ตอนพิเศษ 1
หมีกระต่ายคนแรก
ผมเพิ่งมีแฟนคนแรก
มาคิดดูดีๆ ถึงได้รู้ตัวว่าตัวเองช่างอ่อนหัดเรื่องความสัมพันธ์ ไม่เคยจริงจังถึงไม่เคยนึกภาพเวลาที่ต้องจริงจัง
เงอะงะ งุ่มง่าม
“ก็ทำตัวปกติป่ะ ปล่อยไหลตามสถานการณ์” คำตอบไม่ยี่หระทำผมขมวดคิ้วยิ่งกว่าเก่า
“แล้วมึงรู้ได้ไงว่ามันจะออกมาดี ไม่ทะเลาะกัน ไม่ทำให้อีกคนไม่พอใจ ไม่พัง” ไอ้พิชญ์ละเลียดควัน ทิ้งสายตาลอดผ่านพุ่มใบของต้นไม้ที่สูงขึ้นมาถึงระเบียงชั้นสอง ก่อนยักไหล่
“ไม่รู้”
ผมถอนใจ “ใช่ไหม บางทีกูดูไม่ออกว่าเจรู้สึกยังไง ถูกใจหรือไม่ถูกใจ”
เพิ่งรู้ตัวว่าเอาแต่หมกมุ่น คิดมากเรื่องของอีกคนมากมายจนงุ่นง่าน
“บางทีกูก็รู้สึกว่าเราคบกันเร็วเกินไป ยังไม่รู้จักกันมากพอ”
ได้ยินเสียงไอ้พิชญ์หัวเราะ มันหันมาเลิกคิ้วมองผมคล้ายล้อเลียน
“แล้วต้องรู้จักนานแค่ไหนถึงจะมากพอ ปีนึง สิบปี?”
“...”
“ป๊ารอได้เหรอ เจไดจะรอขนาดนั้นไหวไหม”
ไม่ไหว ผมตอบในใจโดยไม่ต้องคิด ทั้งผมทั้งเจ เหมือนเราต่างค่อยๆ ถูกดึงดูดเข้ามาในวงโคจรของกันและกัน พอถึงจุดหนึ่งแรงดึงดูดกลับฉุดรั้งเกินต้านทาน
แต่พอสรุปแบบนั้นก็คล้ายมีบางอย่างติดขวางอยู่ในใจ
กลัววงโคจรเหวี่ยงเร็วเกินไปจะเผาไหม้ ตัดขาด
“กูแค่... อยากรักษาเขาไว้นานๆ เท่าที่จะทำได้” ที่ผ่านมาปลายทางความสัมพันธ์ช่างแสนสั้น เถ้าถ่านมอดดับตั้งแต่ยังไม่เริ่มด้วยซ้ำ
ประสบการณ์สร้างความเชื่อฝังหัวว่าสักวันมันต้องจบ
จะเร็วหรือช้าเท่านั้น
“ป๊าเชื่อไหม ผมกับพี่เตจะรักกันตลอดไป” ผมสบตาน้องรหัส หากเป็นเมื่อก่อนคงหัวเราะในใจตอบขอไปทีหรือว่าไร้สาระ ตอกย้ำความจริงว่าไม่มีความสัมพันธ์ไหนคงอยู่ตลอดกาล
แต่พอเป็นไอ้พิชญ์ น้ำเสียงจริงจัง ดวงตาสีน้ำตาลอ่อนที่ทอประกายความหวังไร้หวาดกลัว
ผมเชื่อตามนั้น
“จะจบวันนี้ พรุ่งนี้ ปีหน้า หรือตลอดกาล... ผมว่ามันอยู่ที่เราจะเชื่อแบบไหน”
“...”
“ไม่เห็นจำเป็นต้องมองโลกในแง่ร้าย” ไอ้พิชญ์ยักไหล่อีกครั้ง ดับก้นบุหรี่กับกระถางต้นไม้เก่าๆ ที่บรรจุทรายใช้เป็นที่เขี่ยบุหรี่
ผมนิ่งงัน จมอยู่ในความเงียบในความคิดตัวเองสักพักกว่าจะหัวเราะออกมา เข้าใจความหมาย
ความกลัวของผมมันไร้สาระ ไม่มีเหตุผลเลยที่จะคิดถึงจุดจบตั้งแต่เริ่มต้น
“ให้คำปรึกษาเรื่องความรักกับคนอื่นไปทั่ว พอเป็นเรื่องตัวเองแล้วโง่นะป๊า” ได้ทีไอ้พิชญ์ซ้ำเติม หัวเราะเยาะเย้ยในความงุ่มง่าม
ผมยักไหล่บ้าง ดับบุหรี่พลางหมุนตัวพิงราวระเบียง
“ธรรมดา ปัญหาคนอื่นมันแก้ง่ายกว่านี่หว่า”
พอพาตัวเองเข้ามาอยู่ในปัญหา ถึงได้รู้ว่ามันยาก ทางซ้ายน่ากลัว ขวาก็เลือนราง จะก้มหน้าก้มตาเดินตรงไปก็ไม่รู้ว่ามีอุปสรรคอะไรบ้าง
“เพราะจริงจังมากก็เลยกังวลไปหมดอ่ะดิ” ไอ้พิชญ์เอ่ยกลั้วหัวเราะ
ผมหัวเราะตาม “เออ”
กลัวเรื่องที่ไม่เคยกลัว ระแวงเรื่องที่ไม่เคยคิดระแวดระวัง
สับสนงุ่นง่านกับเรื่องที่ยังมาไม่ถึง
หลักฐานมัดตัวแน่น ว่าคนเนี้ย โคตรจะจริงจัง
☉ ------------------------------------------------------------ ☉
เจไดเพิ่งมีแฟนคนแรก
แต่ถึงอย่างนั้นกระต่ายกลับไม่เคยแสดงท่าทีงุ่มง่าม ยังเป็นเจไดที่ใสซื่อ น่ารัก ไม่เคยทำตัวไร้เหตุผลงี่เง่าเลยสักครั้ง
จนบางทีผมอยากให้เจเอาแต่ใจบ้าง
‘เจ วันนี้อาจไปสายหน่อยนะ’
ข้อความถูกส่งไปสักพัก ถึงได้ยินเสียงแจ้งเตือนตอบกลับ ผมมองหน้าจอที่แสดงผลโดยไม่ได้กดเข้าไปอ่าน นิ้วยังคงรัวเมาส์สร้างรูปสามมิติตามแปลนที่เพิ่งถูกสั่งแก้ และมีเดดไลน์พรุ่งนี้ตอนบ่าย
‘ครับ’
แค่นั้น ง่ายดาย ไร้ทีท่าน้อยใจ แต่ผมกลับเห็นใบหน้าเบะบึ้งในจินตนาการ
‘จะรีบทำให้เสร็จเร็วๆ ขอโทษนะ’
อดไม่ได้ที่จะวางมือพิมพ์ตอบกลับไป ไม่มีข้อแก้ตัวสำหรับความผิดที่ไม่ได้เกิดขึ้นครั้งแรก
เลื่อนนัด ยกเลิก ไปสาย ซ้ำๆ จนอีกคนคงเบื่อหน่าย
‘ไม่เป็นไร’
‘ตั้งใจทำงานนะ’
‘สู้ๆ ครับ’
แต่กลับยังตอบรับอย่างแสนดีเพื่อให้ผมสบายใจ
ผมถอนหายใจ หันกลับมาโฟกัสงานบนจออีกครั้ง บอกตัวเองให้เร่งมือเพื่อที่จะได้ไปตามนัด อย่างน้อยเร็วขึ้นอีกสักวินาทีก็ยังดี
“ป๊า กินข้าวป่ะ”
ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ที่ผมแทบไม่ได้เงยหน้าขึ้นจากจอ ข้างนอกฟ้ามืด แต่ภายในห้องกลับมีเสียงคึกคัก แทบทุกสตูดิโอในคณะเปิดไฟสว่าง
ผมยกมือนวดกระบอกตา มองนาฬิกาก็พบว่าเลยเวลานัดมาครึ่งชั่วโมงแล้ว
แม่ง
“กูมีนัดกับเจว่ะ” เงยหน้าตอบไอ้พิชญ์พลางหยิบมือถือขึ้นมา ทว่ากลับไม่มีแจ้งเตือนใดๆ
ไม่มีข้อความจากกระต่ายส่งมาหลังจากที่คุยกัน ไม่เร่ง ไม่ถาม
แบบนั้นยิ่งทำผมร้อนใจ
“อ่อ” ไอ้พิชญ์รับคำ หันไปพยักหน้ากับไอ้เตที่ยืนล้วงกระเป๋าถือกุญแจรถกับกระเป๋าสตางค์รออยู่ก่อนแล้วทำท่าจะเดินออกไป
ผมมองงานตัวเอง มองไลน์ที่ยังคงไร้วี่แววแจ้งเตือนข้อความใหม่ สลับไปมา
คิดว่าเจคงตัดใจกินมื้อเย็นกับคนอื่นไปแล้ว แต่อีกใจกลับแย้งว่าคงยังรอ เจเป็นแบบนั้น รอผมอยู่เสมอโดยไร้ข้อแม้
“กูไปข้างนอกนะ อยากได้อะไรไลน์มา” สุดท้ายตัดใจพักงานไว้เท่านั้นรวบของจำเป็น ผุดลุกจากที่นั่ง
แต่ไม่ทันก้าวพ้นประตู
“ไอ้เจดมึงมาพอดี มาดูฟาสาดให้หน่อยดิ กูลองทำแบบมึงแล้วมันไม่เห็นได้เลย”
คนที่เพิ่งเดินเข้ามาใหม่เบิกตากว้างคว้าแขนผมทำท่าจะลากไปที่โต๊ะมัน ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงเดินตามไม่อิดออด ไม่มีอะไรสำคัญกว่างาน กว่าเพื่อนสนิทที่ร่วมหัวจมท้ายมาด้วยกัน
แต่คราวนี้ผมกลับอึกอัก ลังเล จนใครบางคนคงสังเกตได้ถึงความลำบากใจ
ไอ้เตเดินเข้ามาขวางพวกผมสองคนไว้ มองหน้าผมก่อนเบือนหน้ากลับไปสบตาเพื่อนที่แม้จะเคยเห็นหน้าค่าตา แต่ไม่เคยคุยกันสักครั้ง
ไม่มีใครกล้า เพื่อนผมทุกคนลงความเห็นพ้องกันว่ามันน่ากลัว ต่างจากเวลาไอ้พิชญ์มาช่วยงาน ถ้าพ่วงคุณเตวิชญ์มาด้วย บรรยากาศในสตูจะสงบ ไม่มีเสียงโหวกเหวกให้รำคาญ ต่างก้มหน้าก้มตาจนผมอดแซวไม่ได้ว่าไอ้เตทำให้พวกมันขยันขึ้นเป็นเท่าตัว
แค่ยืนขวางก็เบิกตากว้างเป็นไข่ห่าน
“ตรงไหน”
“...” ไม่ต้องสงสัยเลยว่าตอนนี้ทั้งสตูทำสีหน้ายังไง
“เดี๋ยวกูดูให้”
จบคำ บรรยากาศคล้ายถูกแช่แข็ง ค้างเติ่งไร้การขยับตัว กระทั่งได้ยินเสียงไอ้พิชญ์หัวเราะขึ้นมา น้องรหัสตบไหล่ผม ออกปากไล่
“ป๊าไปเหอะ ป่านนี้กระต่ายรอแย่แล้ว”
ผมมองเพื่อนที่ปล่อยมือแล้วละล่ำละลักเดินนำไปที่โต๊ะ เลื่อนเก้าอี้ให้ไอ้เตนั่งพร้อมพยายามเรียบเรียงคำอธิบายขอความช่วยเหลือแล้วยิ้มกว้างออกมา
ไม่ใช่แค่เพราะมีคนเข้ามาช่วยในสถานการณ์ที่ผมหาทางปฏิเสธไม่ได้ แต่เพราะเป็นไอ้เต ที่แม้แต่กับผมก็ยังคุยนับคำได้ กลับออกตัวช่วยเหลือคนที่ไม่สนิท เปิดใจ เดินเข้ามาในโลกที่บรรจุคนอื่นไว้ทีละน้อย
“เออ ขอบใจมาก” ผมตบบ่าไอ้พิชญ์ก่อนหันไปยิ้มให้ไอ้เตที่หัวเราะกลับมา
ถึงตรงนี้ ผมอดคิดไม่ได้ว่าทุกอย่างเป็นผลมาจากลูกโซ่กำลังใจ
ผมไม่ได้บอกเจไดว่ากำลังจะไปหา กว่าจะนึกขึ้นได้ก็ตอนที่ขับรถมาถึงคณะ เห็นเด็กเภสัชจับกลุ่มนั่งอ่านหนังสือบนโต๊ะไม้ใต้คณะ
กระต่ายตัวเล็ก กว่าผมจะหาเจอก็ใช้เวลากวาดสายตาสักพัก
หลุดหัวเราะเมื่อเห็นว่าขณะที่เพื่อนๆ กำลังก้มหน้าก้มตาอ่านหนังสือ แฟนผมกลับนั่งเหม่อจ้องโทรศัพท์ มุมปากอิ่มเบะคว่ำเหมือนในจินตนาการ
กำลังรออยู่จริงๆ สินะ
ผมหยิบมือถือตัวเองขึ้นมา กดโทรออกเบอร์ล่าสุดโดยที่สายตายังคงจับจ้องปลายสาย ในระยะห่างที่เห็นอีกฝ่ายชัด เห็นดวงตากลมโตเบิกกว้าง หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดรับโดยไม่ต้องให้ผมรอนาน
[ เจด ]
“เจ ขอโทษนะ” เอ่ยเสียงอ่อยขณะที่สองขาก้าวไปข้างหน้าอย่างช้าๆ จับจ้องการเปลี่ยนแปลงของสีหน้าที่เจื่อนลงอย่างเห็นได้ชัด
[ งานไม่เสร็จเหรอ ] เบะบึ้งกว่าเดิมอีกหนึ่งระดับ ก่อนจะเม้มปากเข้าหากัน คล้ายได้ยินเสียงฮึบลอดผ่านลำโพงเข้ามาเบาๆ
[ ไม่เป็นไร เดี๋ยวเราไปกินกับเพื่อน... ] คำบอกเล่าชะงัก เมื่อผมหัวเราะออกมาเบาๆ เอ่ยขัด
“เปล่า งานเสร็จแล้ว”
เป็นจังหวะเดียวกับที่ก้าวขามาในระยะที่สามารถสบตา เห็นกระต่ายที่เบิกตากว้าง อ้าปากค้าง
[ เอ๊ะ... อ้าว... ]
“ขอโทษที่มาช้า ร้านแซลม่อนปิดแล้วอ่ะ”
[ ... ]
“กินก๋วยเตี๋ยวร้านเดิมแทนได้ป่ะ”
ชัดพอที่จะเห็นสีหน้าตกใจค่อยๆ แปรเปลี่ยนเป็นดีใจ จากอมยิ้ม ค่อยๆ กลายเป็นยิ้มบาง และยิ้มกว้าง
กว้างจนมุมปากดันสองแก้มกลมป่อง เห็นฟันขาวแทบจะครบสามสิบสองซี่แล้วมั้ง
[ อื้อ ] ไม่ยอมวางสายทั้งที่เดินมายืนอยู่ต่อหน้า ยังคงกรอกเสียงใส่โทรศัพท์พร้อมพยักหน้าหงึกหงักตอบผม
น่ารัก น่ารักจนเผลอยิ้มตาม น่ารักจนหลุดหัวเราะ จนเผลอรวบคนตัวเล็กมากอดไว้แน่นๆ ให้สมกับความน่ารัก
“เจ... ทำไงดี”
น่ารักจนลืมเรื่องสำคัญ
“คนมองเต็มเลยอ่ะ”
ถูกความน่ารักเล่นงานจนไม่ทันคิดว่ากำลังยืนกอดกันท่ามกลางสายตานับครึ่งร้อยที่กำลังมองมาเป็นสายตาเดียว
☉ ----------------------------Side Story 15 --------------------------------- ☉
ถ้าเป็นเรื่องปล่อยไหลตามสถานการณ์อย่างไอ้พิชญ์ว่า เจไดคงชนะผมขาด
ถึงบางทีจะชอบคิดมาก เดาใจไม่ออก แต่บางครั้งกลับแสดงความรู้สึกตรงไปตรงมา
ไม่เสียเวลาเงอะเงอะงุ่มง่าม
เช่นวันนี้ที่ผมหอบสังขารร่อแร่มาถึงหอ ตั้งใจจะอาบน้ำแล้วกลับไปทำงานต่อที่คณะ กลับต้องประหลาดใจ เมื่อไฟสว่างผมเห็นใครบางคนนอนซุกตัวอยู่ในผ้าห่ม บนเตียงที่ร้างมาสักพักเพราะอพยพไปกินนอนที่คณะ
"กลับมาแล้วเหรอ" แทนที่จะตกใจ ผมกลับหลุดยิ้มเมื่อเจ้าของใบหน้างัวเงียลุกขึ้นนั่ง เอ่ยทักทาย
"เจ จะมาทำไมไม่บอกอ่ะ" ผมเคยให้กุญแจห้องเจไว้ ไม่ได้หวงห้ามพื้นที่ส่วนตัว
แต่คงดีกว่าถ้าบนเตียงนั้นมีผมนอนอยู่ด้วย ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน
"โกรธเหรอ" แต่ผู้บุกรุกกลับตีความตรงข้าม ขมวดคิ้วท่าทางกังวลใจ
"เปล่า จะได้ไปรับ ถ้าคืนนี้ไม่กลับทำไงเนี่ย"
ผมหัวเราะ เดินเข้าไปนั่งข้างๆ ยกมือลูบผมที่ยุ่งเหยิง ลามมาบีบแก้มเล่นอย่างโหยหาความนุ่มนิ่มที่ไม่ได้สัมผัสมาหลายวัน
คิดถึงชะมัด
"ไม่เป็นไร เราก็ไม่ได้ตั้งใจจะมา" คนงัวเงียตอบหน้าซื่อ ขยี้ตาตัวเองไปมา
"หืม?"
คำตอบคือยิ้มกว้าง คนตัวเล็กขยับมานั่งชิดกัน เสซบซุกใบหน้าลงกับอก โอบแขนรอบเอวโถมน้ำหนักทั้งตัวใส่ผม พลางบ่นงึมงำ
"พอรู้ตัวว่าคิดถึงเจด ก็วาร์ปมาหน้าห้องแล้วอ่ะ"
"พี่เจ..."
ถึงจะไม่สัดทัดเรื่องปล่อยไหลตามสถานการณ์
“คืนนี้ค้างห้องผมนะ”
แต่ผมว่า ผมรู้ ว่าสถานการณ์นี้ต้องรับมือยังไง
☉ ------------------------------------------------------------- ☉
พาหมีกับกระต่ายมาให้กอดแก้หนาวแล้วค่ะ
มาพร้อมบอกข่าวดีว่า #หมีแต่รัก ผ่านการพิจารณาแล้วเด้อ ><
เล่มนี้ออกกับสนพ. EverY ค่ะ
ถ้าไม่มีอะไรผิดพลาดน่าจะได้เจอกันประมาณเดือนเมษายนปีหน้าเนอะ
เกียมหยอดกระปุกหมูรอรับหมีกับกระต่ายไปกอดด้วยนะคะ
ฝาก #หมีแต่รัก ด้วยน้า
ขอบคุณทุกๆ การสนับสนุนเลยค่ะ
-Martian-