ข้อที่ 8
หมีครอบครัว (100 %)
อีกสามอาทิตย์จะถึงปีใหม่
เรากาปฏิทินนับถอยหลัง เดาสิ่งที่เจดจะให้ ก่อนนึกถึงกระต่ายในขวดโหลที่ตั้งไว้ข้างหัวเตียง
หรือเจดตั้งใจจะให้เราทีเดียวห้าแต้ม?
ยิ่งคิดยิ่งรอแทบไม่ไหว เราอยากได้ทั้งหมดไวๆ จะได้เป็นแฟนเจด...
ถึงจะยังไม่ได้วางแผนไว้ก็เถอะว่าหลังเป็นแฟนแล้วจะทำอะไร
จุ๊บ~
“เหม่อ” เราสะดุ้งน้อยๆ หันไปทำตาโตใส่คนที่ลอบจุ๊บหัวกัน ยกมือลูบตรงตำแหน่งที่ถูกฉกเก้อๆ มองเจดหัวเราะที่ทำเราหลุดจากภวังค์ได้
ตั้งแต่คืนนั้น เจดก็เหมือนเปลี่ยนไป... นิดหน่อย... ที่จริงไม่หน่อย บางอย่างก็เปลี่ยนเยอะจนเราตกใจ
จากที่เคยแค่หยิกแก้ม ลูบหัวบ้าง เดี๋ยวนี้ปากกับจมูกหมีซนมาก ชอบขโมยหอมแก้ม จุ๊บหน้าผาก บางครั้งก็ปาก
ไม่นับลิ้นได้ไหม... มันน่าอายอ่ะ
เจดบอกว่าพอตบะแตกครั้งหนึ่ง ก็อ่อนไหวง่ายขึ้น ให้นึกภาพว่ายันต์สะกดถูกดึงทิ้งไป ผีร้ายในจิตใจก็เลยออกมาเพ่นพ่าน
เจดไม่ใช่ผีร้าย หมีร้ายต่างหาก ชอบสูบพลัง ทำเราใจสั่น
“เจ จริงไหมที่เวลาขอโทษกระต่ายจะเอาหัวอิงกัน”
หืม? อยู่ๆ ก็พูดอะไรเนี่ย
แถมยังเอาหน้าผากมาแตะหน้าผากเราเป็นตัวอย่าง “แบบนี้”
เรากะพริบตางงๆ เดาไม่ถูกว่าเจดคิดอะไร ยิ่งดวงตาคมจ้องลึกมาในดวงตาเราด้วยสายตายิบยับยิ่งทำสมองโล่งจนคิดอะไรไม่ทัน
“ใครบอก” เราไม่เห็นเคยได้ยิน
“ปีเตอร์แรบบิท” เจดตอบยิ้มๆ
นั่นมัน ชื่อหนังใช่ไหม? โธ่เจด เอากระต่ายจริงไปเทียบกับหนังได้ไง
“ขอโทษเรื่องจุ๊บเมื่อกี้เหรอ” เราตกใจ แต่ไม่ได้โกรธสักหน่อย เจดไม่ต้องขอโทษก็ได้
“เปล่า” ยิ้มมุมปาก ดวงตาฉายแววหมีร้าย “จุ๊บนี้ต่างหาก”
“...!” ไม่ทันตั้งตัวเจดก็จูบลงมาบนริมฝีปากเบาๆ ผละออกมองหน้าเราที่เบิกตาค้าง แล้วจูบซ้ำ นานขึ้น... ก่อนทำแบบเดิมอีก คราวนี้ลิ้นร้อนไล้ริมฝีปากล่าง ก่อนแทรกเข้ามาตามรอยแยกของฟัน เกี่ยวกระหวัดลิ้นเราอย่างหยอกเย้า
จูบซ้ำไปซ้ำมาจนเราหลุดเคลิ้ม จูบตอบอย่างไม่อาจห้าม
ไม่เคยรู้มาก่อนว่าตัวเองจะมีความสามารถในการจูบ กระทั่งถูกหมียักษ์ชักจูงโดยไม่รู้ตัว จากจูบเบาๆ ก็ค่อยๆ รุกเร้า ล่อลวงให้เราตอบสนองจนตัวเองพอใจ
รู้ตัวอีกทีก็ถูกยกข้ามเบาะไปนั่งคร่อมตักคนตัวโต เบียดกันอยู่บนที่นั่งคนขับแคบๆ
หมีเจ้าเล่ห์ยอมหยุดหลังจากรับรู้ว่าอุณหภูมิในรถชักจะร้อนเกินไป เจดผละจูบออก ปล่อยมือซนที่ไม่รู้ซุกเข้ามาในเสื้อตอนไหน มองเราที่หอบหายใจเหมือนคนใกล้ตายแล้วยิ้มขำ ยกนิ้วโป้งปาดน้ำลายบนริมฝีปากให้
“ผีร้ายนี่ซนมาก”
ไม่จริง หมีนั่นแหละซนมาก
“สงสัยต้องรีบหายันต์ใหม่มาสะกด เนอะ”
เราเบ้ปากตอบอย่างหมั่นไส้ หอบความอายใส่สองแก้มแล้วรีบปีนออกจากรถอย่างทุลักทุเล
“เจ ลืมกระเป๋า” ได้ยินเสียงตะโกนกลั้วหัวเราะ แต่เรายังเดินดุ่ยๆ ไม่สนใจ
หันไปตอนนี้เจดได้เห็นแน่ว่าหน้าเรากำลังจะไหม้
ถ้าใครผ่านมาเห็นจะคิดยังไง ที่เราสองคนเปิดประตูลงจากรถฝั่งเดียวกัน
☉ ------------------------------------------------------------ ☉
วันนี้เจดมีธุระตอนเย็น ก็เลยนัดซ้อมดนตรีกันตั้งแต่เช้าเพื่อจะได้เลิกไว เราไม่ได้ถามว่าเจดจะไปไหน เพราะคิดว่าเป็นเรื่องส่วนตัว
ไม่คิดว่าจะมีคนรู้
“วันนี้วันเกิดป๋าเหรอ” น้องพิชญ์เดินงัวเงียเอาขนมมาให้พวกเราระหว่างนั่งพัก
หลังจากซ้อมวงด้วยกันหลายครั้งทุกคนก็เริ่มปรับตัวเข้ากัน คนเอาแต่ใจอย่างเตวิชญ์ยอมลงให้เมื่อเห็นว่าเจดกระตือรือร้นมากจนไล่ตามทัน ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเจดพยายามมาก ดูได้จากนิ้วที่ต้องพันแผลทั้งที่ปกติคนเล่นกีตาร์นิ้วก็ด้านอยู่แล้ว แต่เจดซ้อมหนักจนได้แผลเพิ่มซ้ำ
กลายเป็นว่าเราตามหลังสุด เพราะยังมีเล่นหลุดบ้าง โดนเตวิชญ์ดุอยู่หลายครั้งกว่าจะเล่นสมูทจนจบเพลงได้
“อือ เลยต้องกลับเร็วไง”
“โห อยากไปด้วยอ่ะ แต่ไม่รู้พี่เตว่างไหม”
“พวกมึงมีอวัยวะส่วนไหนติดกันไม่ทราบ” เจดทำหน้าหมั่นไส้ แต่น้องพิชญ์ยักไหล่ ยิ้มยียวน
“ใจไง เนี่ยแค่พี่เตไปอาบน้ำแป๊บเดียวก็คิดถึงจะแย่”
“น้ำเน่าโคตร” แล้วสองคนก็หัวเราะใส่กันในบทสนทนาที่เราไม่เข้าใจ
ไปไหนอ่ะ แล้วทำไมน้องพิชญ์รู้จักป๋า... ป๋าคือใคร
“ไปไหมล่ะ ป๋าก็บ่นคิดถึงมึงอยู่” เจดถามย้ำเมื่อเห็นเตวิชญ์เดินออกมาจากห้องในสภาพกางเกงวอร์มตัวเดียวมีหยดน้ำเกาะบนตัวที่เต็มไปด้วยกล้ามเนื้อ
เราชะงักเมื่อเห็นรอยแผลเป็นใหญ่ที่ผ่าเป็นทางยาวจากแผงอกจนถึงสะดือ
“พี่เตเคยมอเตอร์ไซค์คว่ำน่ะ” น้องพิชญ์เอียงหน้ามากระซิบบอก เมื่อเห็นสีหน้าตกใจของเรา
ส่วนเจดเอื้อมมือมาปิดตาเราไว้
“โป๊ ห้ามมอง”
“ทีผมไม่ให้ถอดเสื้อออกจากห้องนะเตวิชญ์” ได้ยินเสียงน้องบ่นไกลออกไป แต่มองไม่เห็น กว่าเจดจะยอมเปิดตาออกก็ตอนที่เตวิชญ์สวมเสื้อเรียบร้อย เดินมานั่งโซฟาโดยมีคนน้องนั่งบนตัก
“พี่เต ป๊าชวนไปกินเลี้ยงวันเกิดพ่อที่บ้าน” บทสนทนากลับมาต่อเรื่องที่ค้างคาไว้
เราหันไปมองเจด ปะติดปะต่อในใจ เจดจะกลับบ้าน แล้วป๋า ก็หมายถึงพ่อเจดใช่ไหม
“พรุ่งนี้ปูนนัดหมอ”
“เออจริงด้วย” น้องพิชญ์เบิกตากว้าง มองเปียกปูนที่นอนหมอบอยู่ใกล้ๆ เท้า “แผลใกล้หายแล้วนี่นา”
เปียกปูนคือลูกหมาที่น้องพิชญ์ซื้อมาเพราะสงสารเจ้าตัวเล็กที่บาดเจ็บเพราะถูกหมาใหญ่กัด
“โห เสียดายอ่ะ ไม่เจอป๋านานแล้ว เฮียเจคด้วย”
เจค... ใครอีกอ่ะ
“ไม่เจออ่ะดีแล้ว ขี้เกียจฟังมันเพ้อถึงมึง”
เรามองเตวิชญ์ที่เริ่มขมวดคิ้วสงสัยในบทสนทนา คนอายุน้อยกว่าจึงหันไปเกลี่ยคิ้มมุ่นเบาๆ อธิบาย
“เฮียเจคพี่ชายป๊า”
เราอ๋อในใจ
ทำไมน้องพิชญ์เหมือนรู้จักครอบครัวเจดดีล่ะ...
อยู่ๆ ก็รู้สึกอิจฉา
“งั้นไปไม่ได้แล้วอ่ะ ฝากสวัสดีป๋ากับแม่ แล้วก็ฝากแฮปปี้เบิร์ดเดย์ด้วยนะ”
“เราไปสูบบุหรี่แป๊บนึง” เราบอกเบาๆ ทั้งที่คิดว่าคงไม่มีใครสนใจ ลุกขึ้นเคาะบุหรี่จากซองข้างตัวพร้อมไฟแช็คออกจากวงสนทนาออกไปยังระเบียงกว้าง
ชั้นบนสุดของคอนโดหรูมีสวนที่ช่วยให้รับลมได้ในบรรยากาศดีๆ จุดบุหรี่สูบไม่ทันไรก็ได้ยินฝีเท้าคนเดินตามหลังมา
“เจ เป็นไร”
เราหันมองเจด ไม่รู้จะบอกยังไง เพราะเราก็ไม่รู้ว่าตัวเองงุ่นง่านเรื่องอะไรเหมือนกัน
แต่เจดไม่คาดคั้น ยังรอ ยิ้มขำ เอื้อมมือมาดึงบุหรี่จากปากเราไปสูบบ้างเพราะไม่ได้หยิบของตัวเองออกมาด้วย เป็นฝ่ายชวนเราคุยเสียเอง
“ว่าจะถามหลายครั้งแล้วว่าพี่เพื่อนไม่ว่าเหรอเรื่องสูบบุหรี่”
“ไม่ว่า” ...แต่จะบ่นเรื่องโทษของบุหรี่ให้ฟังถ้าเราสูบให้เห็นต่อหน้า
เจดทำท่าประหลาดใจ ก่อนหัวเราะน้อยๆ แล้วอัดควันเข้าปอดอีกครั้ง เราต่างคนต่างเงียบไปสักพัก เรามองเจดพ่นควันอ้อยอิ่ง เจดเองก็สบตาเรา ขมวดคิ้ว
“เจ อยากลูบเคราไหม”
เราเลิกคิ้วงงๆ “ทำไม”
เจดเกาคางเก้อๆ เหมือนไม่รู้จะอธิบายยังไง “ไม่รู้อ่ะ เหมือนเจอารมณ์ไม่ดี แต่คิดไม่ออกว่าทำไม แล้วเวลาคิดไม่ออก ลูบเคราแล้วช่วยได้”
เรายิ่งงงไปกันใหญ่ เวลาเจดคิดอะไรไม่ออกแล้วชอบลูบเครา แต่ถ้าให้เราลูบแล้วเจดจะคิดออกไหม
ไม่เข้าใจมากๆ จนเราหลุดยิ้ม ลืมไปแล้วว่าขุ่นใจเรื่องอะไร ยื่นมือออกไปแตะหน้าเจด ไล้ตามรูปเคราที่ขึ้นรอบริมฝีปากเบาๆ
เราชอบทำแบบนี้ แล้วคิดถึงสัมผัสตอนที่จูบกัน... อย่าไปบอกเจดนะ
“ยิ้มแล้ว” ไม่รู้ตัวว่าตัวเองเผลอยิ้มกว้างจนเจดยื่นนิ้วมาจิ้มแก้ม ท่าทางดีใจที่วิธีแปลกๆ ของตัวเองทำเราอารมณ์ดีได้
“แต่ก็คิดไม่ออกอยู่ดีอ่ะว่าเจงอนเรื่องไร”
เราหัวเราะ เจดจะคิดออกได้ไง เรื่องมันไร้สาระจนเรายังตกใจที่ตัวเองเก็บมาคิดเล็กคิดน้อยได้
“งานวันเกิดป๋าเจด” แต่ถ้าเจดอยากรู้เราจะเฉลยให้
“หือ?”
“เราไปด้วยได้ไหม”
เราอยากรู้จักครอบครัวเจดเหมือนน้องพิชญ์บ้าง แค่นั้นเอง
☉ ------------------------------------------------------------ ☉
“แน่ใจเหรอ” แต่เจดดูลังเลใจ สายตาดูสับสนมากขึ้นเรื่อยๆ จนเราสัมผัสได้ “ไม่กลับหอแน่นะ”
“เจดลำบากใจเหรอ” เราถามอย่างรู้สึกผิด... คงขอมากไป
“เปล่า... แต่แบบ...” อยู่ๆ เจดก็ถอนใจ แล้วเงยหน้าสบตาเรา จริงจังมากๆ “อย่าเพิ่งเลิกชอบกันนะ”
“...”
“สัญญาก่อน” เรางง เจดเลยยกนิ้วก้อยขึ้นมา
“สัญญาครับ” เราพยักหน้า เกี่ยวก้อยสัญญาทั้งที่ไม่เข้าใจว่าทำไม
แต่น่ารักอย่างเจด จะเลิกชอบได้ง่ายๆ ได้ไง
เรารู้แล้วว่าทำไมเจดถึงทำท่าแบบนั้น
ถ้าไม่นับการไปร้านเหล้าครั้งก่อน ก็นานมากแล้วที่เราจะพาตัวเองไปอยู่ความวุ่นวาย... ถึงขั้นวุ่นวายมากๆ
“เฮ้ยอันนี้ยังไม่สุก!”
“น้ำแข็งหมดใครไปเอามาดิ๊” หน้าเตาย่างเนื้อขนาดใหญ่มีผู้ชายบึกบึนสี่ห้าคนยืนมุงอยู่อย่างหิวกระหาย บางส่วนตั้งวงดื่มแอลกอฮอล์อยู่บนโต๊ะหินอ่อนในสวนกว้าง
ต้นไม้รอบๆ ถูกประดับไฟวิบวับสร้างบรรยากาศ คำอวยพรวันเกิดคุณป๋าถูกฉายไว้บนหน้าจอโปรเจ็กเตอร์กลางสนามหญ้า
“บ้านเจดเป็นค่ายมวยเหรอ” เราถามสิ่งที่สงสัยตั้งแต่ขับรถผ่านรั้วบ้านแล้วเห็นป้ายขนาดใหญ่ แต่เพราะมืดเราเลยเห็นไม่ถนัด มาแน่ใจก็ตอนที่เจดพาเดินออกจากลานจอดรถผ่านยิมที่ตรงกลางเป็นเวทีมวย และอุปกรณ์เกี่ยวกับศิลปะการต่อสู้เหมือนที่เห็นในหนัง
“อือ คนเลยเยอะ วุ่นวายหน่อยนะ”
เจดจับมือเราเดินผ่าสนามหญ้าเข้าไป ตอบรับทุกคนที่เอ่ยทักทาย พลางหันมาพูดกับเราเหมือนช่วยไม่ให้ประหม่าจากการถูกคนจับตามอง
“ตอนไอ้พิชญ์มาครั้งแรกนี่ตื่นเต้นกันทั้งค่าย นานๆ ทีจะมีเด็กๆ หน้าตาดีมาสมัครเมมเบอร์ ป๋ากับเฮียเจคเกือบดันเป็นพรีเซ็นเตอร์ค่ายแล้ว แต่เด็กถาปัตย์มันว่างที่ไหน ไกลด้วย ไอ้พิชญ์ลากสังขารมาเล่นได้ไม่กี่อาทิตย์ก็ถอดใจ” ว่าพลางหัวเราะเอือมๆ
เราเงียบ พอได้ยินแบบนี้ยิ่งรู้ว่าตัวเองงี่เง่า...
นี่เองเหตุผลที่พิชญ์เคยมาบ้านเจด แถมยังสนิทกับคนในบ้าน
“ไอ้เจด!” เราสะดุ้งที่อยู่ๆ ก็มีคนตะโกนเรียกเจดเสียงดัง เจดหัวเราะ กระชับมือเราเบาๆ แล้วพาไปที่โต๊ะด้านหน้าโปรเจ็กเตอร์ที่มีชายหญิงสูงวัยนั่งกับผู้ชายอีกคนที่น่าจะอายุมากกว่าพวกเราไม่มาก
มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นคุณพ่อกับคุณแม่และพี่ชายเจด พอรู้แบบนั้นหัวใจก็ตึกตักด้วยความตื่นเต้น
“มึงช้า กับข้าวจะหมดแล้วเนี่ย”
“ก็รถมันติด” เจดหัวเราะกับคำแซวของพี่ชาย แล้วหันมาแนะนำทุกคนให้เรารู้จัก “เจ นี่ป๋า แม่ แล้วก็เฮียเจค ทุกคนครับนี่เจได”
เรายกมือไหว้คุณป๋ากับคุณแม่เจดที่ยิ้มรับ แต่พอหันมาสวัสดีพี่ชายเจด คนที่ถูกเรียกว่าเฮียเจคก็เลิกคิ้วทำท่าประหลาดใจ
“อ้าว ไม่ใช่น้องพิชญ์นี่ ตอนที่มึงบอกว่าจะพาแฟนมากูคิดว่าเป็นน้อง...”
“เฮ้ย ไอ้เฮีย ปากหมาแล้ว” เจดรีบโวยวาย ยกมือปิดหูเราสองข้าง “อย่าไปฟังๆ”
ไม่แน่ใจว่าเจดไม่อยากให้ได้ยินอะไร ระหว่างเรื่องที่เฮียประหลาดใจที่เราไม่ใช่น้องพิชญ์ ...หรือเรื่องที่เจดบอกว่าจะพาแฟนมา
พี่ชายเจดหัวเราะอย่างถูกใจที่แกล้งน้องได้ ก่อนที่คุณแม่เจดจะตีแขนเฮียเจคแล้วเรียกพวกเราไปนั่ง
“เลิกแซวน้องได้แล้ว เจด น้องเจไดมานั่งนี่ลูก”
เจดจับมือเราไปนั่งตาม คุณแม่ชักชวนให้กินอาหารที่วางไว้เต็มโต๊ะ ก่อนจะเรียกให้เด็กเอาหมูย่างมาเสิร์ฟให้
“พวกเฮียๆ ให้มาถามว่าคนนี้แฟนเฮียเจดเหรอ” เด็กที่เอาอาหารมาเสิร์ฟเอ่ยท่าทางอยากแซวเต็มที่
“เสือกกันจัง” เจดพึมพำ หันไปมองคนอื่นๆ ที่อยู่ๆ ก็พร้อมใจกันเงียบอย่างมีพิรุธแล้วยิ้มขำ กวักมือให้เด็กเอียงหน้าเข้าหาแล้วกระซิบอะไรบางอย่าง
ไม่ทันไรเด็กคนเดิมก็เอาไปกระซิบต่อๆ กันแล้วทุกคนก็กลับมาส่งเสียงเฮฮาอีกรอบ เราหันไปมองหน้าเจด ส่งสายตาสงสัยว่าเจดกระซิบอะไรทุกคนถึงได้ท่าทางชอบใจแบบนั้น เจดยักไหล่ หันมากระซิบบอกเราบ้าง
"บอกว่าเป็นกระต่ายที่เลี้ยงไว้"
"หา..." กระต่ายอะไรเล่า!
เราจะเถียง แต่ไม่ทัน เจดหันไปคุยกับพ่อที่มองมาทางเราท่าทางเหมือนอยากชวนคุยบ้าง
“ป๋าเป็นไงบ้าง สบายดีไหม” เจดเป็นฝ่ายถาม
“สบายดีฟิตปั๋ง” คุณพ่อเจดยักคิ้วตอบข้างหนึ่ง แต่ไม่ทันขาดคำเฮียเจคที่นั่งอยู่ข้างๆ ก็ขัด
“ปั๋งกะผี เมื่อวันก่อเพิ่งซ่าเป็นคู่ซ้อมให้เด็กใหม่ โดนเตะคว่ำต้องหามส่งโรงบาลวุ่นวายทั้งค่าย”
“แค่เอวเคล็ด ไอ้เจคกับแม่แหละเล่นใหญ่” คุณป๋าแย้ง
“ก็ป๋านะร้องลั่นทั้งค่าย แม่ตกใจคิดว่าซี่โครงหักไปแล้วด้วยซ้ำ” ผู้หญิงคนเดียวในค่ายแกล้งกระซิบกับลูกชาย เจดหัวเราะ หันไปโอ๋คนที่ไม่มีใครเข้าข้าง
“แต่ป๋าจะห้าสิบแล้วยังฟิตขนาดนี้ได้ก็เก่งแล้ว ดูดิไม่มีตีนกาสักเส้น”
“ไงล่ะลูกป๋ากลับมาแล้ว” คุณป๋ายักคิ้วเหนือกว่าแล้วเอื้อมมือมาโอบไหล่ลูกคนเล็กที่ตัวโตกว่าอย่างพอใจ ทุกคนในโต๊ะหัวเราะ พลอยให้เรายิ้มตามด้วย
ไม่สงสัยเลยว่าทำไมเจดถึงมีแต่พลังบวกเต็มตัว เพราะมีครอบครัวน่ารักแบบนี้เอง
“แล้วน้องเจไดนี่เรียนถาปัตย์เหมือนกันหรือเปล่าลูก” คราวนี้คุณแม่หันมาถามเราบ้าง
“เปล่าครับ” เราส่ายหน้า ตอบเสียงเบากว่าที่คิดเพราะไม่ทันตั้งตัว
“เจเรียนเภสัชอ่ะแม่” เจดอธิบายให้ฟัง แม่เจดทำท่าตื่นเต้น
“อ้อ ที่จ่ายยาใช่ไหม” เราพยักหน้า “ดีแล้วล่ะลูก อย่าไปเรียนเลยถาปัตย์ฯ งานหนัก แม่เห็นเจดอดหลับอดนอนตลอด แถมไม่ค่อยกลับบ้าน”
“ไอ้เจดมันไม่กลับเองมากกว่ามั้ง” เฮียเจคเถียง ยิ้มกรุ้มกริ่มมองเจด “เห็นชัดๆ ว่าติดเด็ก”
“หุบปากเลยเฮีย” เจดถองศอกใส่พี่ชาย แล้วพูดแทนเราที่ได้แต่นั่งฟังเพราะพูดไม่ทัน “ก็เหนื่อยเหมือนกันทุกคณะแหละครับแม่ เจก็อ่านหนังสือหนัก มีแล็บด้วย เหนื่อยคนละแบบ เนอะ” หันมาถามความเห็น เราเลยยิ้มตอบพยักหน้าอีกครั้ง
"ครับ"
เจดน่ารักอีกแล้ว
“ที่บ้านทำร้านยาเหรอถึงเรียนเภสัช” คราวนี้เป็นคุณป๋าที่เอ่ยถาม ท่าทางไม่จริงจัง เหมือนชวนคุยเพื่อทำความรู้จักมากกว่า
“เปล่าครับ” เราส่ายหน้า “ที่บ้านทำโรงพยาบาล”
แต่อยู่ๆ ทุกคนก็ชะงัก ทำหน้างงๆ กับคำตอบเรา
“หมายถึงพ่อแม่เป็นหมอเหรอ?” เฮียเจคเป็นคนถาม
เราชะงัก จะส่ายหน้าตอบก็ไม่ได้จะตอบว่าใช่ก็ไม่เชิง คิดคำพูดอยู่นานก่อนจะอธิบาย
“แม่เป็นหมอครับ แต่ปะป๊าเป็นเจ้าของโรงพยาบาล”
ไม่รู้ว่าเราพูดอะไรผิดหรือเปล่า คนในบ้านเจดเลยเงียบไปสักพัก มองหน้ากันไปมาเหมือนสับสนบางอย่าง ก่อนเฮียเจคจะหัวเราะ ถองศอกใส่เจด
“กูว่าน้องพิชญ์รวยแล้วนะ นี่มึงเล่นลูกเจ้าของโรงบาลเลยเหรอวะ”
“อืม ผมก็เพิ่งรู้เหมือนกัน” เจดมองหน้าเราแล้วแกล้งหรี่ตามองเหมือนจะบอกว่าทำไมไม่เคยบอก
...ก็เจดไม่เคยถาม
“ไอ้เจดมึงตกถังข้าวสารแล้ว”
“นั่นดิ แบบนี้คงต้องจับให้มั่น” เจดหัวเราะ เอ่ยไม่จริงจัง แกล้งกระชับมือที่จับมือเราไว้ใต้โต๊ะแรงๆ ทีหนึ่งตามคำที่บอกว่าจะจับให้มั่น
(ต่อด้านล่างค่ะ)