บทที่ 3
::ถามความจริง::
ด้านนอกฟ้ามืดสนิท เป็นระยะเวลาหลายชั่วโมงที่ผมถูกฝรั่งชั่วกระทำย้ำยี และอีกนับครั้งไม่ถ้วนที่เขาหยิบยื่นความเจ็บปวดให้ด้วยการยัดเหยียดความเป็นชายเข้ามาในตัวผม ใช้กำลังสำเร็จความใคร่ด้วยพลังฮึกเหิมไม่ต่างจากสัตว์นรกที่หิวกระหาย ทั้งกระแทกกระทั้น ทั้งส่งเสียงคำรามอันแสนดุดัน เขากระทำในสิ่งที่ผมไม่อาจลืมได้ มันปวดร้าวแค่ไหน เจ็บใจเพียงใด แค่หลับตาผมภาพเหล่านั้นก็คงตามหลอกหลอนผมไปอีกนาน
น้ำตาผมไหลจนแห้ง เจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งตัว ต้องพยายามใช้ขาที่อ่อนแรงพาตัวเองมาถึงห้องน้ำ ผมจมปรักอยู่ในนั้นหลายชั่วโมง ร่างกายสั่นระริก เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว บั้นท้ายผมแสบร้อนไปหมด รู้สึกเหมือนร่างกายฉีกขาดจนคิดว่าเลือดไหลออกมาซะแล้ว แต่เมื่อตรวจสอบด้วยตาและดูผ่านกระจก ผมไม่พบอะไรนอกจากน้ำขุ่นใสเป็นคราบเหนียวเกรอะกรัง ร่องรอยข่วนเล็กน้อย รอยแดงบริเวณแผงอกกับรอยฟันตรงหัวไหล่ แถมด้วยรอยช้ำตรงข้อมือที่ปรากฏเป็นฝามือของเจ้าคนชั่วนั่น
หลังจากอาบน้ำเสร็จ อาการปวดหนึบทำให้ผมต้องใช้เวลาพักใหญ่ในการนำเสื้อผ้าที่หอบมาจัดการแต่งตัวจนเรียบร้อย นึกลังเลอยู่นานว่าถ้าออกไปตอนนี้จะหาลู่ทางออกไปจากที่นี่ยังไง
ไม่นานผมก็ตัดสินใจเดินย่องออกมาจากห้องน้ำ ทว่าสิ่งแรกที่เห็นคือชายคนนั้นกำลังยืนสูบบุหรี่ตรงระเบียงในชุดผ้าคลุมอาบน้ำ เรียกได้ว่าจังหวะเป็นใจสุดๆ ให้ผมเดินมาเห็นเขาตอนทำธุระเสร็จก็เลยเห็นผมเข้าพอดี คนตัวสูงก้าวเข้ามาในห้องพร้อมก้นบุหรี่ จับมันขยี้ตรงที่เขี่ยบริเวณหัวเตียงแล้วเหลือบสายตามองผม
“พักที่นี่สักคืนสิ... ไว้พรุ่งนี้ฉันจะให้ลูกน้องไปส่ง”
ผมยืนนิ่ง ไม่พูดอะไรทั้งนั้น สายตาเอาแต่มองไปตรงประตูเพราะรังเกียจใบหน้าเขาเต็มทน ทำกันขนาดนั้นแล้วยังคิดว่าผมจะอยากอยู่ที่นี่อีกหรอ ถึงรู้ว่าออกไปตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะหาทางติดต่อจ้านยังไงผมก็จะไปอยู่ดี
“บัตรเครดิตของนายอยู่ตรงนั้น” ผมมองหน้าเขาก่อนจะเห็นนิ้วที่ชี้ไปตรงปลายเตียง ปรากฏเป็นบัตรสีดำวางอยู่ พร้อมๆ กับปลายเสียงที่บอกว่า “...ไม่จำกัดวงเงิน”
“นี่มัน...”
“ความจริงฉันอยากพานายไปฮ่องกงด้วย แต่สถานการณ์มันวุ่นวายนิดหน่อยเดี๋ยวนายจะลำบาก อยู่เป็นเด็กดีที่นี่จนกว่าฉันจะกลับแล้วกัน... บ้านหลังนี้ฉันซื้อไว้แล้ว ถ้าอยากมาพักก็บอกคนดูแลไว้ เขาจะได้จัดเตรียมห้องให้” ยิ่งพูดผมก็ยิ่งรู้สึกแย่ มันพูดอะไรไม่ออกราวกับมีอะไรมาจุกอยู่ตรงลำคอ
“ผมไม่ใช่ผู้ชายขายตัว” น้ำเสียงผมสั่น จ้องมองคนหน้าเขม็ง
“เรียกแบบนั้นก็ออกจะเกินไปหน่อย” เจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าเดินเข้ามาใกล้ผม “เสน่ห์ของนายทำให้ฉันชอบใจ ฉะนั้นอะไรที่ทำนายมีความสุขได้ฉันก็อยากทำ”
“แค่ปล่อยผมไปก็พอ”
“มีอะไรที่ฉันทำไม่เหมือนคนก่อนๆ ของนายหรือเปล่า แนะนำมาสิฉันจะจัดการให้”
ไม่ว่าอะไรที่ออกมาจากปากคนคนนี้มันทำให้ผมประสาทเสียได้ทั้งนั้น ตั้งแต่ตอนอยู่บนเตียงแล้วที่เขาพูดถึง ‘คนรับเลี้ยง’ มาตอนนี้ก็พูดถึง ‘คนก่อนๆ’ ฟังแล้วเหมือนผมเคยผ่านใครต่อใครมาเยอะ หรือไม่ก็เป็นพวกเอาตัวเข้าแลกอะไร
เดี๋ยวนะ! หรือเมื่อก่อนผมจะเคย...
ไม่! ไม่ใช่หรอก เขาบอกเองว่าเคยเจอผมแค่ครั้งเดียว ถึงจะบอกว่ารู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับผมก็ไม่ได้แปลว่าจะเชื่อถือได้ มันอาจเป็นเรื่องเข้าใจผิด ผมไม่ทำอะไรแบบนั้นแน่ ตอนนั่งฟังจ้านเล่าเรื่องเก่าๆ ก็ไม่เห็นพูดถึงเรื่องนี้เลย
มันไม่จริง หมอนี่แค่ต้องการดูถูกผม ต้องใช่แน่ๆ!
“เลิกยุ่งกับผม” น้ำเสียงเริ่มหนักแน่นขึ้น “หลังจากผ่านคืนนี้ไปแล้ว คุณกับผมไม่มีอะไรติดค้างกันอีก”
“ที่นายขัดขืน ไม่ใช่ว่าตั้งใจทำให้ฉันคลั่งหรอกหรอ” เมื่อกี้หูฝาดไปรึเปล่า สิ่งที่ผมแสดงออกมันซับซ้อนตรงไหน ลูเซียนเอาอะไรมาคิดว่าผมตั้งใจขัดขืนเพื่อให้เขาชอบ “เวลานายดิ้นรนมันกระตุ้นอารมณ์ฉันดี ตอนบอกให้หยุดก็ยิ่งน่ารังแก อยากปราบให้อยู่หมัด รู้ตัวมั้ยว่าเวลานายร้องไห้มันเย้ายวนใจมาก... ฉันพอได้ยินมาบ้างว่านายเอาใจคนเก่ง แต่ไม่คิดว่าจะช่ำชองขนาดนี้”
ฟังจบผมแทบไปไม่เป็น ได้แต่ขบฟันและกำมือแน่น ก่อนจะกลั่นคำพูดหนึ่งออกมา
“คุณจำไว้แล้วกันว่า... ชาตินี้ ผมไม่มีวันให้อภัยในสิ่งที่คุณทำกับผมแน่” ผมจ้องตาอีกฝ่ายโดยไม่หลบตา ตั้งแต่ลืมตาตื่นบนเตียงผู้ป่วย แม้ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นใคร แต่ความรู้สึกโกรธเกลียดฝรั่งคนนี้ชัดเจนยิ่งกว่าอะไร
“นายนี่มีอะไรเซอร์ไพร์สฉันหลายเรื่องนะ” เขายิ้มเยาะ “ฉันพอรู้มาว่านายเป็นพวกชอบเอาชนะ แต่ถ้าเทียบกับฉัน... คนอย่างนายไม่ถึงเสี้ยวสันดานของฉันหรอก”
คนตัวสูงอาศัยความรวดเร็วคว้าตัวผมเข้าไปแนบอกกว้าง ใช้มือหนาประคองท้ายทอยแล้วฉกฉวยริมฝีปากของผมอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาปรับองศาใบหน้าให้ปากประกบมิดชิด อ้อมแขนแกร่งตอดรัดให้อยู่ในอาณัติ
“อื้อ~” ผมหลับตาแน่น ยกหมัดต่อยแผงอกเพื่อร้องขออากาศหายใจ แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นรสจูบที่หนักหน่วงกว่าเดิม เราค้างอยู่ในสถานการณ์นี้นานพอดู เรียกได้ว่าแทบหมดลมหายใจนั่นแหละเขาถึงยอมปล่อยผม
“แฮ่ก แฮ่ก” เล่นซะเกือบตาย ผมเวียนหัวไปหมด คิดว่าจูบแสนป่าเถื่อนนั่นจะเป็นวิธีปลิดชีวิตเหยื่อตามแบบฉบับเจ้าสัตว์เดรัจฉานนี่ซะแล้ว
“รับไป” เขายื่นบัตรให้ “นายถนัดใช้มันอยู่แล้ว จริงมั้ย”
ผมไม่ได้โง่ขนาดไม่รู้ว่ามันคือคำพูดดูถูก...
“ให้มันจบแค่นี้เถอะ อย่าติดต่อมาหาผมอีก”
“เบอร์โทรนายฉันยังไม่มี มาห้ามกันแบบนี้ไม่ใจร้ายไปหน่อยหรอ”
เป็นไปไม่ได้! เขาจะไม่มีเบอร์โทรศัพท์ผมได้ยังไง
“ไหนบอกว่ารู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับผม”
“ยกเว้นเบอร์โทร” เขาก้มลงมาให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกัน “ถ้าอยากรู้เรื่องนั้น ฉันจะถามนายด้วยตัวเอง”
“เมื่อวานคุณโทรหาผมไม่ใช่หรอ” เขาส่ายหน้า ทำให้ผมคิดหนัก ถ้าไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใครได้อีก “คนที่พล่ามว่าผมต้องรับผิดชอบ ถ้าไม่ใช่คุณ แล้ว...”
“คงเป็นเขา” คำตอบของคนตรงหน้าทำผมขมวดคิ้วมุ่น “สารภาพตามตรงเลยนะ ที่ฉันตามตัวนายเจอก็เพราะเขาเป็นคนส่งพิกัดมาให้”
“ใคร?”
“จะเป็นใครได้อีก... อย่าลืมสิว่าเรารู้จักกันได้ก็เพราะเขา”
“ใครกัน?” ผมอยากรู้จนหยุดความคิดตัวเองไม่ได้ ถ้าสิ่งที่หมอนี่กำลังจะพูดเป็นความจริง ก็เท่ากับว่าคนที่โทรมาหลังจากผมฟื้นคือคนคนเดียวกับที่ส่งผมให้ฝรั่งคนนี้
“ลูเซียน”ห๊ะ?
ลูเซียนที่พูดถึง เป็นชื่อคนหรอกหรอ!
เมื่อไม่ยอมให้คนของไอ้ฝรั่งนั่นไปส่ง ผมเลยโดนเสนอทางเลือกว่าไม่งั้นก็นอนค้างที่นี่ซะ สุดท้ายก็ต้องจำใจกล้ำกลืนรับการปฏิบัติที่แฝงการบังคับนั่นไว้ หลังจากรถยนต์ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากคฤหาสน์หลังใหญ่ ผมบอกกับตัวเองทันทีว่าจะไม่ยอมมาเหยียบที่นี่อีก ลาแล้วลาลับ ต่อให้เป็นชาติหน้าก็อย่าได้เจอกัน คิดไปว่าไม่มีอะไรติดค้างกันแล้ว
แต่... ดันลืมไปว่ายังมีบัตรเครดิตที่เจ้าฝรั่งนั่นยัดใส่มือมา
เมื่อได้โทรศัพท์คืนผมก็รีบโทรหาจ้านทันที เล่าไปคราวๆ ว่าเรื่องราวเป็นยังไงโดยไม่บอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมบ้าง น้ำเสียงจ้านดูร้อนใจและเป็นกังวล ถามผมตลอดว่าปลอดภัยใช่มั้ย บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า เขาบอกว่าตอนนี้กำลังนั่งอยู่ในสถานีตำรวจเพื่อรอให้เจ้าพนักงานตรวจสอบร่องรอยของผม
ฟังต่อไปเรื่อยๆ ก็ได้ความว่าตอนอยู่โรงพยาบาลจ้านตกใจกับการหายตัวไปของผมมาก รีบเข้าไปขอดูกล้องวงจรปิดกับพนักงานก่อนจะเห็นว่ามีรถยนต์สองคันมาจอดเทียบก่อนจะลากตัวผมขึ้นรถไป เขาตัดสินใจนำคลิปไปสถานีเพื่อให้ตำรวจตรวจสอบเพราะคิดว่าผมถูกลักพาตัว ขณะนั้นเขาโดนถามว่าสงสัยใครบ้าง แต่ก็ไม่อาจให้คำตอบได้
ระหว่างทางคนขับรถถามผมขึ้นมาว่าจะให้ไปส่งที่ไหน ภาพในสมองก็เอาแต่นึกถึงเรื่องต่ำช้าที่เจ้าฝรั่งนั่นทำกับผม พวกเขาเซ็นสัญญากันแล้วผมเกี่ยวอะไรด้วย ทำไมถึงต้องยอมเอาตัวเอาเข้าแลกเพื่อคนที่ชื่อลูเซียนขนาดนั้น เป็นไปได้ว่าผมกับเขาอาจจะรู้จักกัน แต่การบันทึกเบอร์คนคนนั้นด้วยชื่อ ‘ไอ้เวรตะไล’ ก็ไม่น่าจะใช้คำว่า ‘เป็นมิตร’ ได้เต็มปาก ลูเซียนมีสวนเกี่ยวข้องกับสาเหตุที่ผมถูกพาตัวมา ก็แปลว่าเขารู้ดีว่าฝรั่งคนนั้นต้องการอะไรจากผม
ให้ตายสิ! ผมจะเป็นอย่างที่โดนกล่าวหาจริงรึเปล่า ยอมนอนกับผู้ชายเพื่อข้อแลกเปลี่ยน เป็นผู้ชายขายตัว มีคนรับเลี้ยง... ผมเป็นแบบนั้นจริงหรอ? แล้วทำไมจ้านไม่เห็นบอกอะไรผมเลยล่ะ ตั้งใจจะปิดบัง หรือเขาเองก็ไม่รู้มาก่อน
ผมลังเลอยู่สักพักก่อนจะตั้งใจตอบเสียงดังเพื่อให้จ้านได้ยิน...
“ฉันจะไปหาลูเซียน”
“อะไรนะ! มึงจะไปหามันทำไม หรือว่า...”
“หรือว่าอะไร” ผมถามกลับทันที
“เปล่า... ไม่มีอะไร”
เลี่ยงตอบกันชัดๆ จ้านทำให้ผมรู้สึกสงสัย แล้วไหนจะเป็นตอนที่เขาเรียกลูเซียนว่า ‘มัน’ นั่นอีก
“นายรู้จักเขาใช่มั้ย” จ้านเงียบไปสักพัก ผมได้ยินแต่เสียงลมหายใจเข้าออก จนกระทั่ง...
“ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวหรอก มึงแค่... เคยเล่าให้ฟัง”
“แปลว่าฉันรู้จักเขาดี”
“ไอ้รัณย์ กูไม่รู้ว่ามึงคิดจะทำอะไร แต่ช่วยใจเย็นก่อนเถอะ มึงรีบลงจากรถนั่นก่อนแล้วรอจนกว่ากูจะไปรับ”
ผมหงุดหงิดตัวเองที่ได้แต่ถามๆๆ แต่ก็ไม่มีอะไรกระจ่างสักอย่าง ตอนนี้ผมแทบจะเป็นบ้าเพราะไม่รู้ว่าตัวเองกำลังพัวพันอยู่กับอะไร ทำไมต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ เห็นชัดๆ ว่าผมไร้หนทางหลบเลี่ยงหากไม่รู้ที่มาที่ไป จริงอยู่ที่ผมอยากลืมเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนนี้ แต่ถ้าผมหาเหตุผลที่ต้องมานั่งชดใช้ให้กับคนต่ำช้าไม่ได้ก็คงยากที่จะทำใจยอมรับ เพราะตอนนี้ผมมีเพียงความโกรธแค้นโดยไม่อาจมองไปถึงอนาคตได้
ผมควรใช้ชีวิตต่อไปแบบไหน ทำให้มันเหมือนเดิมหรือเปลี่ยนแปลงมันซะ ก่อนอื่นผมก็ควรรู้ให้ได้ว่าผมเป็นใคร เคยใช้ชีวิตยังไง ซึ่งการที่จ้านยังใช้ความเป็นห่วงปิดบังกันอยู่อย่างนี้ก็เท่ากับไร้ประโยชน์
แต่ถ้าจะมีใครพอรู้จักผมอีกบ้าง... ก็คงเป็นผู้ชายคนนั้น!
“นายรู้ว่าลูเซียนอยู่ไหนใช่มั้ย”
ผมยอมรับตามตรงว่ากังวลมาก แต่ไม่อาจหยุดจุดหมายของรถคันนี้ได้จริงๆ
รถยนต์มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่เป็นย่านสถานเริงรมย์ มีนักท่องเที่ยวยามราตรีเดินสวนกันไปมาหลากหลาย ตรงริมถนนรวมไปถึงอาคารต่างๆ ใกล้เคียงยังคงเปิดไฟสว่างไสว ราวกับมันเป็นเมืองไม่เคยหลับใหล ผมถามคนขับรถว่าจะเจอลูเซียนได้ยังไง เขาบอกมาเพียงว่าถามคนแถวนั้นก็รู้ เพราะลูเซียนเป็นเจ้าของไนต์คลับที่ใหญ่ที่สุดในย่านนี้!
ใช้เวลาไม่นานผมก็เดินมาถึงหน้าไนต์คลับ เห็นผู้ชายร่างใหญ่ยืนอยู่หน้าทางเข้าเลยกะว่าจะเข้าไปถาม
“สวัสดีครับคุณรัณย์” โอ๊ะ! เขารู้จักชื่อผมด้วย
“คือ... ผมมาหาคุณลูเซียน”
“บอสอยู่ในห้องส่วนตัวครับ ช่วงดึกจะมีแขกวีไอพีเข้ามาก็เลย...”
“ผมขอเข้าไปได้มั้ยครับ” รีบตัดบทให้รวบรัด คนเฝ้าด้านหน้าดูจะงงๆ นิดหน่อย แต่ก็ยังยิ้มให้ผมอยู่
“ได้สิครับ”
ยังไงก็ต้องขออนุญาตก่อนเพราะผมไม่รู้ระเบียบการของคลับนี้เลย ในเมื่อมีคนจำผมได้ก็แสดงว่าผมเคยมาที่นี่ แต่ให้นึกยังไงก็ไม่รู้สึกคุ้นๆ หรือมีภาพความทรงจำแวบเข้ามาในหัวสักอย่าง มิน่าผมถึงได้ตื่นตะลึงกับแสงสีเสียงและบรรยากาศคึกครื้นที่พร้อมพรั่งด้วยกลุ่มคนมากมายอย่างนี้
พอเข้ามาด้านใจผมก็ได้รับคำทักทายจากใครหลายๆ คนขณะเดินผ่าน ลูกค้าในนี้ส่วนใหญ่ดูเหมือนจะรู้จักผมกันทั้งนั้น พวกเขาใช้คำพูดอย่างเป็นกันเองแถมยังพากันมองผมเป็นตาเดียวอีกต่างหาก จากที่อยากถามใครสักคนว่าจะพบลูเซียนได้ที่ไหน กลับต้องกลายเป็นเดินหลบสายตาพวกเขาแทน
“ไงรัณย์!” จู่ๆ ก็มีคนเข้ามาพาดแขนคล้องคอผม จากนั้นก็ตะโกนพูดอยู่ข้างหูเนื่องจากด้านในเสียงเพลงดังมาก “กูกะแล้วว่ามึงต้องโผล่หน้ามา พวกหิ่งห้อยถึงได้พากันมองมึงตาละห้อย”
ผู้ชายคนนี้เป็นใคร?
“ผมมีธุระ ขอตัวก่อน”
“เฮ้!” เขายังล็อคตัวผมไว้ “เป็นอะไรไป ทำไมพูดจาแปลกๆ”
เอาล่ะ… วิธีเลี่ยงไปตรงๆ คงไม่เวิร์ก ถ้าอย่างนั้นก็ใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์เลยแล้วกัน
“ฉันกำลังไปหาลูเซียน เราเดินไปคุยไปได้มั้ย” ผมเปลี่ยนสรรพนามตัวเอง พร้อมถือโอกาสชักนำเขาให้พาไปหาลูเซียนโดยไม่บอกเหตุผลตรงๆ
“ได้สิ” ว่าแล้วก็กอดคอผมเดินไป “หลายวันนี้มีข่าวลือว่ามึงตัดขาดกับเซียนแล้ว... น่าขำนะว่ามั้ย”
พูดแบบนี้แสดงว่าผมอาจมีเรื่องไม่ลงรอยกับเขาสินะ ในเมื่อมันเป็นแบบนี้แล้ว ผมจะยอมนอนกับเจ้าตาสีฟ้านั่นเพื่อสัญญาของเขาทำไมกัน มันต้องมีเหตุผลอะไรแน่ๆ
“กูไม่ถามมึงเพราะกูรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เห็นมั้ยล่ะ คืนนี้มึงมาเหยียบที่นี่ก็แปลว่าข่าวลือนั่นมันปลอมชัดๆ”
“ทำไมถึงคิดว่าเป็นไปไม่ได้” ประเด็นนี้ปล่อยผ่านไม่ได้ ผมต้องถาม
ชายคนนั้นหยุดเดินพลางเอียงคอมองผม บริเวณนี้มีแสงวูบวาบพอให้เห็นหน้าเขาชัดเจน แม้จะมีความสูงที่มากกว่าผมไปสักหน่อยแต่รูปร่างไม่ต่างจากผมเลย ใบหน้าคมคาย ไหล่กว้าง มีรอยยิ้มสะกดใจ เขาดูเป็นคนร่าเริงและขี้เล่น แต่งตัวมีเสน่ห์ด้วยเสื้อเชิ้ตสีแดงเข้ม ผมยังแอบคิดอยู่นี่มันใช่ดาราหรือเปล่า ถึงได้มีออร่าขนาดนี้
ผมจ้องกลับจนอีกฝ่ายหรี่มองตาอย่างมีเลศนัย พร้อมส่งยิ้มหวานให้
“ถามใจมึงดูสิ”
หืม? พูดอะไรของเขา? ไม่เห็นจะเข้าใจ
เราสองคนเดินมาจนถึงห้องๆ หนึ่ง ชายคนนั้นพูดกับผมก่อนจากไปว่าถ้าคุยกับลูเซียนเสร็จแล้วให้ออกมาชนแก้วกันหน่อย หลายวันมานี้ไม่เห็นหน้าคร่าตาเลยอยากจะให้ผมอัพเดตชีวิตให้ฟัง ได้ยินอย่างนั้นผมก็ได้แต่พยักหน้าแทนที่จะบอกไปตรงๆ ว่าแม้แต่ตัวเองยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร
ผมเปิดประตูเข้าไปด้านใน สิ่งแรกที่เจอคือชายคนหนึ่งกำลังยืนโทรศัพท์อยู่คนเดียว
“ครับ ตกลงตามนี้”
ผมยืนมองแผ่นหลังของเขา เห็นมือหนึ่งจับโทรศัพท์ส่วนอีกมือใช้เปิดหน้าเอกสารบนโต๊ะ ผมค่อยๆ ย่องเข้าไปใกล้และหยุดยืนรอจนกว่าเขาจะคุยโทรศัพท์เสร็จ แต่ยืนอยู่ได้แปบเดียวชายตรงหน้าก็หันขวับมาหาผม เขาแสดงสีหน้าแปลกใจก่อนจะกดวางสายทั้งๆ ที่บทสนทนาเหมือนจะยังไม่จบดี
“รัณย์”
เขาเรียกชื่อผมได้ถูกต้อง งั้นนี่คงเป็นลูเซียนไม่ผิดแน่ น้ำเสียงของเขาดูสุขุมสมกับใบหน้าที่น่าจะมีอายุเกินสี่สิบ แต่งตัวมาดนักธุรกิจ จัดทรงผมได้เนี้ยบ สวมแว่นสายตาพร้อมกับมองมาที่ผมอย่างสงสัย
“ทำไมคุณถึงให้ฝรั่งคนนั้นมาพาตัวผมไป...” ผมเข้าเรื่องทันที “คุณบอกเขาว่าผมอยู่ที่ไหน ทำให้ผมต้อง...”
“ฉันว่าเราควรรอ...”
พูดไม่ทันจบ ชายตรงหน้าก็ต้องชะงักเพราะเสียงประตูที่ถูกเปิดออก เขามองบางอย่างที่อยู่ด้านหลังผมก่อนจะก้มหน้าลงเล็กน้อย และเมื่อผมหันไปก็พบกับชายร่างสูงใหญ่ในเสื้อคลุมหนังสีน้ำตาลเข้มกำลังเดินเข้ามาพร้อมมาดที่ทำให้ผมต้องมองอย่างพิจารณา ราวกับโดนสะกดด้วยรูปร่างหน้าตาและความสูงยาวเข่าดีของเขา
“ห้องวีไอพีไปถึงไหนแล้ว”
นั่นเป็นประโยคแรกที่ผมได้ยินจากปากคนเข้ามาใหม่ อยู่ๆ ก็ทำให้ผมนึกไปถึงน้ำเสียงของคนที่โทรมาเมื่อหลายวันก่อน
เอ๊ะ? หรือว่า...
“เรียบร้อยแล้วครับ คุณเซียน” TBC
NEXT UPDATE 11/05/61 TIME 18:00