## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 29:: คนรู้จัก] UPDATE 20/10/62
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 29:: คนรู้จัก] UPDATE 20/10/62  (อ่าน 48210 ครั้ง)

ออฟไลน์ La_Pomme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


พันธะพัวพัน
By: ริงโกะลาปอม


“ถ้าในอนาคตอยากใช้ชีวิตโดยไม่มีฉัน ก็อย่าทำให้ฉันรู้สึกชินกับการมีนาย”

ผมควรเชื่อคำพูดนั้น ก่อนที่ทุกอย่างจะกลายเป็นแบบนี้... 



#พันธะพัวพัน


*ช่องทางอัพเดตนิยาย >> twitter
*นิยายเรื่องนี้เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งแต่เพียงผู้เดียว ห้ามใครนำไปดัดแปลงเด็ดขาด!
Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-10-2019 23:41:54 โดย La_Pomme »

ออฟไลน์ La_Pomme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
Re: ## พันธะพัวพัน ## [บทนำ] UPDATE 08/05/61
«ตอบ #1 เมื่อ08-05-2018 21:02:00 »

[บทนำ]





แรกสัมผัสเมื่อลืมตา ผมพบเพียงความมืดรายล้อมอยู่รอบตัว มันปลุกความกลัวที่อยู่ก้นบึ้งของจิตใจราวกับมีอานุภาพอันลึกลับ ทุกอย่างดูไม่มีจุดเริ่มต้นหรือสิ้นสุด ผมไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน มันทั้งเงียบและเหน็บหนาว อยู่ๆ ก็วูบ อยู่ๆ ก็ถูกเหวี่ยง ร่างกายอ่อนล้า เจ็บแสบ ผมปวดหัวแทบจะระเบิด

ใครก็ได้ช่วยที ผมยังไม่อยากตาย…

ผมอยากสวดภาวนานะ แต่ไม่รู้ต้องพูดยังไง ใจอยากนึกอะไรให้ได้สักอย่าง ความทรงจำวัยเด็ก ความชอบ พ่อแม่ เพื่อนฝูง เรื่องพวกนี้ผมควรรับรู้ตามสัญชาตญาณ แต่กลับ... ไม่มีอะไรสักอย่าง มันว่างเปล่า ไร้ข้อมูลในหัว นึกอะไรไม่ออก จากความมืดหม่นตอนนี้กลายเป็นดำดิ่งให้ลงลึกเข้าไปอีก

ผมเป็นใครกัน!

การมองไม่เห็นอะไรตรงหน้าอาจเป็นไปได้ว่าผมกำลังหลับตา ไม่สิ เป็นไปไม่ได้ ผมยังลืมตาอยู่ สิ่งที่ควรถามคือที่นี่มันคือที่ไหนมากกว่า ตอนนี้ยิ่งตะเกียกตะกายผมก็ยิ่งหมดแรง ทำไมร่างกายถึงได้อ่อนแอขนาดนี้นะ

“รัณย์…”

นั่นเสียงใคร? ใครพูดอยู่?

เสียงดังมาจากด้านบน ผมแหงนหน้า เงี่ยหูฟัง ความกังวานจากคำพูดนั้นเข้าถึงโสดประสาทราวกับออกมาจากไมค์ ให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในท่อที่ลึกและกว้างใหญ่ อะไรทำนองนั้น

“ช่วยด้วย!”

ผมขยับปากพูด แต่กลับไม่ดังเท่าเสียงที่อยู่เหนือหัว พยายามวิ่งไปรอบๆ พร้อมใจที่เปี่ยมด้วยความหวัง ผู้ชายคนนั้นพูดถึงอะไร จะใช่ชื่อคนหรือเปล่า ถ้าเสียงนั้นคือการร้องเรียก มันอาจเป็นผมก็ได้ใช่มั้ย   

“ไอ้รัณย์ เป็นอะไรไป!”

จู่ๆ ผมก็รู้สึกถึงแรงบีบที่ข้อมือ เกิดอะไรขึ้นกับผมเนี่ย!

“ช่วยด้วย พาผมออกไปจากที่นี่!”

“ตื่นสิไอ้รัณย์!”

หือ? ตื่นหรอ

หรือว่าที่มืดๆ นี่จะเป็น… ความฝัน!

“……………………………………”





“ไอ้รัณย์”

“…”

“ไอ้รัณย์ ลืมตา!”

เสียงนั่น… อยู่ข้างๆ นี่เอง มันไม่กังวานแล้ว แต่ชัดเจนเลยล่ะ

“รัณย์”

‘ให้ตาย ปวดหัวชะมัด’ ผมยกมือจับศีรษะ แต่รู้สึกจะจับคลำเจอผ้าอะไรสักอย่างที่พันไว้รอบหัว

“รัณย์… ไม่เป็นไรใช่มั้ย”

ผมค่อยๆ ลืมตา แสงแรกทำให้การมองพล่ามัว จึงขยับเปลือกตาอยู่หลายครั้งจนทัศนะการมองกลับมาชัดเจน ถึงได้รู้ว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียง แขนผมถูกเจาะให้น้ำเกลือ ฉะนั้นที่นี่คงเป็นโรงพยาบาลอย่างไม่ต้องสงสัย

ส่วนผู้ชายที่เอาแต่เรียก ‘รัณย์ๆ’ ก็ยืนทำหน้ากังวลอยู่ข้างๆ เตียง

“น้ำ” ผมรู้สึกคอแห้งผาด

“อ้อ แปบนะ” ชายคนนั้นรีบเทน้ำจากเหยือกลงแก้วน้ำ นำหลอดใส่เพื่อให้ดื่มง่ายๆ จากนั้นเขาก็พยุงตัวผมลุกขึ้นมาประคองน้ำให้ดื่ม “เป็นไง ดีขึ้นยัง”

หลังจากดูดน้ำจนหมด ผมนั่งลังเลใจว่าจะตอบกลับยังไงดี

“ดีขึ้น”

“โล่งอกไปที” เขาพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะนั่งลงตรงขอบเตียงพร้อมสีหน้าที่ไม่ดีนัก “หลังออกมาจากห้องไอซียู มึงก็หลับไปสองวันเต็มๆ กูกลัวแทบตายเลยรู้มั้ย ถึงหมอจะบอกว่าพ้นขีดอันตรายแล้วมึงก็ไม่ยอมฟื้นสักที… เออใช่! กูต้องเรียกหมอมาดูอาการมึงก่อน”

ชายตรงหน้าคงกระวนกระวายถึงได้พูดลิ้นรัวตะกุกตะกักขนาดนั้น และดูจะตื่นเต้นชัดเจนก็ตอนเดินไปกดสัญญาณเรียกคุณหมอ ท่าทางเป็นกังวลกับผมมาก

เขาคนนี้ คือ…

“คุณเป็นใคร”

คำถามของผมทำทุกอย่างหยุดนิ่ง ชายตรงหน้าชะงักค้างพลางเบิกตากว้าง คิ้วเข้มขมวดหนักแสดงอาการตกใจอย่างเห็นได้ชัด เอาจริงๆ ผมไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้ามากนักหรอก แค่เห็นว่าผู้ชายคนนี้ดูจะรู้จักผมก็เลยถามไป

“มึงว่า…”

เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ต้องเงียบไปเพราะคุณหมอกับพยาบาลอีกท่านหนึ่งเปิดประตูเข้ามาพอดี ชายคนนั้นยกมือลูบหน้าตัวเองก่อนจะถอยห่างจากเตียงเพื่อให้คุณหมอเข้ามายืนแทนที่ ผมยังคงมองเขาอยู่ตลอด พบว่าท่าทางอึกอักนั่นไม่ต่างจากคนสติหลุดสักนิด

คุณหมอตรวจร่างกายและสอบถามอาการผมอย่างละเอียด ไม่นานก็เรียกชายคนนั้นมาคุยด้วย แต่ผมได้ยินไม่ค่อยถนัด เพราะเขายืนคุยกับไกลพอสมควร

“ผมจำเป็นต้องคุยกับญาติผู้ป่วย…” หมอเอ่ย

“คือพ่อแม่เขา…” อยู่ๆ ชายคนนั้นก็หันมาสบตากับผมด้วยสีหน้าที่กำลังคิดหนัก

พวกเขาคุยกันได้สักพักก็พากันมาแถลงให้ผมฟัง หมอบอกว่าผมประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ศีรษะถูกกระแทกอย่างแรง สมองได้รับความกระทบกระเทือนจนเป็นสาเหตุของการสูญเสียความทรงจำ เขาไม่สามารถตอบได้ว่าผมจะหายเป็นปกติเมื่อไหร่ เพราะมันขึ้นอยู่กับการทำงานของสมองและสภาพของจิตใจ โดยรวมแล้วร่างกายผมบอบช้ำแต่ไม่มีอะไรร้ายแรง หากกำหนดเวลากับบ้านได้อาจจะต้องกลับมาตรวจร่างกายตามที่หมอนัดอีกครั้ง

เมื่อหมอเดินออกไปจากห้อง ชายตรงหน้าก็หันมามองผมและเอ่ยขึ้น

“มึงจำอะไรไม่ได้?” ผมพยักหน้า กำลังนึกคำถามหลายล้านข้อในหัว แต่ชายหนุ่มกลับพุ่งตัวเข้ามาใกล้แล้ววางไว้บนไหล่ของผมทั้งสองข้าง “แม้แต่ความทรงจำตอนเด็ก โตมายังไง เรียนที่ไหน ก็จำไม่ได้หรอวะ”

น้ำเสียงของเขาทรงพลังหนักแน่นฟังดูอัดอั้นอย่างอธิบายไม่ถูก แต่ก็พลอยทำให้ผมรู้สึกกดดันไม่น้อย

“ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นใคร” ว่าแล้วก็หลบตา เกร็งมือพลางจิกนิ้วตัวเอง มันเหมือนเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แต่จริงๆ แล้วมันคือปัญหาอันใหญ่หลวงของผมในเวลานี้มากกว่า

ชายตรงหน้าชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะค่อยๆ ผ่อนลมออกจมูกและนำใบหน้าตัวเองออกห่างไป

“ขอโทษด้วย กูไม่ควรขึ้นเสียงใส่มึง”

“คุณรู้จักผม?”

“กูชื่อจ้าน เป็นเพื่อนมึง” แสดงว่าคนคนนี้น่าจะบอกได้ว่าผมเป็นใคร

“เมื่อกี้ผมได้ยินคุณพูดถึงพ่อแม่ แสดงว่าคุณรู้จักพ่อแม่ผมด้วย” ไม่รู้ว่าคำถามมันยากไปหรือเปล่า คนตรงหน้าถึงได้ทำสีหน้าลำบากใจ แถมยืนนิ่งอยู่นานกว่าจะตอบกลับมา

“พ่อมึงอยู่ต่างประเทศ ส่วนแม่…” เขาอึกอัก ท่าทีลังเลใจ ทำให้ผมต้องนั่งลุ้นคำตอบพร้อมๆ กับหัวใจที่อยู่ๆ ก็เต้นเร็วกว่าปกติ

จนกระทั่ง...

“แม่มึงเสียแล้ว”

ได้ยินแวบแรก ผมทำได้แค่พยักหน้ารับรู้ เพราะการไร้ความทรงจำ พยายามนึกเท่าไหร่ก็ไม่มีภาพในอดีตโผล่ขึ้นมาให้ระลึกถึง ทำให้ผมไม่อาจรู้ซึ้งถึงความเสียใจในการสูญเสียได้

“นานหรือยัง” ผมถาม

“ตอนนั้นมึงยังเด็กมาก” เงียบไปสักพัก เขาก็เอ่ยต่อ “บ้านเราอยู่ข้างบ้านกัน กูรู้จักมึงดี ฉะนั้นมึงไว้ใจกูได้  เอาไว้มึงดีขึ้นกว่านี้กูจะเล่าทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวมึงให้ฟัง แต่ตอนนี้มึงต้องพักผ่อนก่อน เดี๋ยวกูจะออกไปซื้อชุดแถวนี้มาเปลี่ยน อยู่เฝ้ามึงมาหลายวันชุดที่เอามาใส่จนครบหมดแล้ว อ้อ... จะได้ซื้อชุดอื่นมาเผื่อตอนมึงออกจากโรง’บาลด้วยไง”

ดูท่าเขาจะอยู่ข้างๆ ผมตลอด คงลำบากแย่

“ขอบใจนะ”

จ้านยิ้มรับ แต่สักพักแววตาก็หรี่ลงและคลายสีหน้าเป็นความกังวลเหมือนเดิม กระทั่งเจ้าตัวหยิบกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์ออกจากห้อง ก็มีนางพยาบาลเดินสวนเข้ามาเพื่อเปลี่ยนถุงน้ำเกลือให้กับผม ระหว่างนั้นพอมีเวลาให้ผมย้อนคิดเรื่องของตัวเอง ถ้านึกอะไรสักอย่างออกบ้างก็คงดี

จริงสิ!


“เออ คุณพยาบาลครับ… เสื้อผ้ากับของที่ติดตัวผมมาอยู่ไหนหรอครับ”













TBC



สวัสดีจ้า สำหรับนิยายเรื่องนี้เนื้อหาอาจพลิกไปพลิกมาได้ตลอดเวลา มีการทิ้งปม ทิ้งข้อสงสัยเล็กๆ น้อยๆ บ้าง หวังว่าผู้อ่านจะร่วมลุ้นและคาดเดาเหตุการณ์ต่างๆ ไปด้วยกันนะจ๊ะ



สุดท้ายนี้ ขอให้มีความสุขกับการอ่านจ้า.... 



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-05-2018 18:58:53 โดย La_Pomme »

ออฟไลน์ La_Pomme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
Re: ## พันธะพัวพัน ## [บทนำ] UPDATE 08/05/61
«ตอบ #2 เมื่อ08-05-2018 21:11:20 »

บทที่ 1
::คำเตือน::





เสื้อผ้าที่ผมใส่ตอนได้รับอุบัติเหตุ รวมถึงกระเป๋าสตางค์ นาฬิกาเรือนหรู โทรศัพท์มือถือและพวงกุญแจอะไรสักอย่างล้วนอยู่ในตู้เก็บของตรงหัวเตียง ถึงผมจะความจำเสื่อมแต่ก็รู้ว่าตัวเองเป็นคนไทย เปิดกระเป๋าสตางค์เจอธนบัตรก็รู้ว่าควรใช้ยังไง ผมนับเลขเป็น เรื่องประวัติศาสตร์ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หรือกระทั่งเรื่องที่อเมริกาเคยส่งนักบินอวกาศไปดวงจันทร์ผมก็รู้และสามารถตอบได้เป็นอย่างดี

คล้ายผมรู้ในสิ่งที่ทุกคนรู้… ยกเว้นเรื่องของตัวเอง

ความจำที่เกี่ยวกับการทำกิจวัตรประจำวันยังคงอยู่ และความจำที่ไม่ต้องคิดอะไรก็ทำได้เองก็เหมือนกัน เช่นการเปิดเครื่องโทรศัพท์ ผมรู้โดยอัตโนมัติว่าต้องทำยังไง

เอาล่ะ! ผมเปิดมันแล้ว

หน้าจอมือถือเป็นรูปชายคนหนึ่ง ผมนึกเอะใจจึงเปิดโหมดกล้องเพื่อดูหน้าตัวเองก็พบว่ารูปหน้าจอนั่นคือตัวผม มองโดยรวมแล้วใบหน้าออกขาวซีดไปหน่อย และที่น่าตกใจยิ่งกว่าร่างกายที่ขาวโอเวอร์ก็คือส่วนสูงของผมดูจะเตี้ยกว่าผู้ชายที่ชื่อจ้านคนนั้นมาก

เดี๋ยวนะ... เหมือนผมจะเห็นหน้าตัวเองในกระเป๋าสตางค์ด้วย

ในนั้นในมีบัตรใบหนึ่ง เป็นบัตรประชาชนที่มีหน้าผมพร้อมชื่อ นามสกุลระบุอยู่ ผมหยิบมันขึ้นมาอ่าน

“นายกรัณย์ รัตนเตศวร เกิดปี 2537”

อ่า~ ผมอายุ 23 สินะ ส่วนชื่อเล่นก็คง…

‘รัณย์… ฟื้นสิ!’ จ้านเรียกผมว่า ‘รัณย์’ งั้นนี่คงเป็นชื่อเล่นของผม

Rrrrrrrrrrrrrr

จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ผมหยิบขึ้นมาดูชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ

‘ไอ้เวรตะไล’

ชื่อคนหรอ? แปลกแฮะ

“สวัสดีครับ”

[ปิดมือถือคือลูกเล่นใหม่ของนายรึไง]

เป็นเสียงผู้ชาย แต่ผมไม่เข้าใจว่าเขาพูดถึงเรื่องอะไร...

[ถ้าอยากหักหน้าฉันก็ถือว่านายทำสำเร็จไปครึ่งเดียว รู้ใช่มั้ยว่าทุกสิ่งที่นายก่อย่อมมีผลตามมา... นายเป็นคนเลือกทำมันเอง ฉะนั้นไม่ว่ามีลูกเล่นสิ้นคิดอะไร สุดท้ายนายก็ต้องรับผิดชอบอยู่ดี]

“คุณคือ...”

[อยากหนีก็เชิญ แต่ซ่อนตัวให้ดีแล้วกัน]

ตู๊ดๆๆ

อ่าว? ยังไม่ทันอธิบายอะไรก็วางไปซะแล้ว

‘หนี’ ฟังเหมือนผมทำอะไรไม่ดีเอาไว้ เรื่องอะไรกันนะ หรือผมควรถามจ้านดี

ไม่ถึงชั่วโมงจ้านก็กลับมาพร้อมกับกระเป๋าเป้ใบหนึ่ง เขาบอกว่าต้องแวะซื้อที่ห้างใกล้ๆ เพราะคอนโดอยู่ห่างจากโรงพยาบาลพอสมควร หลังจากเปลี่ยนชุดใหม่จ้านก็นั่งรอผมทานอาหารเย็นและกินยาจนเสร็จ ก่อนจะใช้เวลาถัดมาในการเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับผมให้ฟัง เพื่อว่าจะมีผลให้นึกอะไรขึ้นได้

จ้านเล่าไปถึงตอนรู้จักกันครั้งแรก แม่ผมแต่งงานกับสามีนักการเมือง ทำให้ผมในวัย 3 ขวบได้ใช้นามสกุลตระกูลใหญ่อย่าง ‘รัตนเตศวร’ ตอนนั้นผมเป็นเพียงลูกติดแม่จึงไม่สามารถบอกได้ว่าพ่อแท้ๆ เป็นใคร ผ่านมา 2 ปี แม่ก็ให้กำเนิดเด็กชายหน้าตาน่ารัก เป็นน้องชายแท้ๆ ของผมและเป็นลูกแท้ๆ ของพ่อใหม่ จากนั้น 5 ปีให้หลังแม่ก็ป่วยเป็นโรคมะเร็งและเสียชีวิตตอนผมอายุได้เพียง 10 ขวบ

ไม่นานพ่อเลี้ยงผมก็แต่งงานใหม่กับดาราหญิงที่มีอายุอ่อนกว่าเขายี่สิบปี หล่อนเข้ามาดูแลน้องชายของผมจนได้ชื่อว่าเป็นแม่บังเกิดเกล้า และแน่นอนว่าหล่อนย่อมรักเด็กที่ตนเองเลี้ยงมามากกว่าผมที่ไม่เคยเรียกหล่อนว่าแม่สักครั้ง

หลังจากแม่เสียไปพ่อก็ยังส่งเสียเลี้ยงดูผมจนจบมัธยมปลาย เล่าถึงตรงนี้ จ้านถึงกับย้ำอย่างหนักแน่นว่าพ่อรักผมมากแม้จะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ทว่าเรื่องแบบนี้มันอ่อนไหว และผมก็เป็นคนขี้น้อยใจ มีนิสัยประชดประชัน ชอบเอาชนะ จ้านอธิบายลักษณะนิสัยของผมในตอนนั้นให้ฟังอย่างละเอียด บอกว่าผมจะหงุดหงิดทุกครั้งที่พ่อเห็นน้องชายดีกว่า หนำซ้ำ คนใช้ในบ้านยังพากันนินทาลับหลังว่าลูกชายคนโตเป็นแค่กาฝาก นอกจากหน้าตาดีแล้วอย่างอื่นแพ้ลูกชายคนเล็กหมด ซึ่งผมมักจะเล่าเรื่องพวกนี้ให้เขาฟังทุกวี่วัน

ถัดมาจ้านเล่าว่าหลังจากจบมัธยมปลายผมไม่ยอมเรียนต่อมหาวิทยาลัย เอาแต่เที่ยวเล่นและใช้เงินราวกับมันเป็นเพียงกระดาษ ฟังถึงตรงนี้ผมถึงกับอึ้ง จึงรีบถามหาสาเหตุที่ผมไม่เรียนต่อ จ้านก็ตอบกลับมาสั้นๆ

‘มึงว่า... คนไม่ฉลาดเรียนไปก็เท่านั้น’

ให้ตายสิ แบบนี้ก็ไม่แปลกหรอกที่คนในบ้านจะพากันนินทา…

แต่นั่นยังไม่ใช่จุดพีคสุดของเรื่อง เพราะหลังจากนั้นพ่อก็ประสบปัญหาจากการถูกตรวจสอบทรัพย์สินเนื่องจากมีแหล่งเงินที่ได้มาอย่างผิดปกติ จนกลายเป็นว่าการสืบสวนพ่อเลี้ยงผมถูกโยงไปเกี่ยวกับการฟอกเงินและเงินสนับสนุนที่ได้มาอย่างผิดกฎหมาย สุดท้ายพ่อผมถูกสั่งฟ้องให้ล้มละลายก่อนจะหนีความผิดไปอยู่ต่างประเทศกับลูกชายคนเล็ก ทิ้งให้ผมอยู่ในความดูแลของญาติห่างๆ ซึ่งเป็นทางออกที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะก่อนหน้านี้ผมใช้ชีวิตราวคุณชายที่เสกเงินใช้ได้ไม่จำกัด แต่เมื่อมาอยู่ในความดูแลของคนที่มองผมเป็นกาฝากอย่างเต็มรูปแบบ มันจึงส่งผลให้ผมหนีออกจากบ้านในที่สุด

เล่ามาถึงตรงนี้จ้านก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกผมอย่างไม่หนักแน่นว่าหลังจากนั้นพวกเราไม่ได้เจอกันบ่อยนัก เพราะจ้านอยู่ในระหว่างเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัย แต่ก็ได้ข่าวว่าผมได้เงินจากที่พ่อส่งมาไปใช้ชีวิตอยู่คนเดียว จนเรียกได้ว่าตัดขาดกับจ้านไปสามถึงสี่ปี กระทั่งพักหลังมานี้เรามาเจอกันอีกครั้ง และผมก็ไปๆ มาๆ  ที่คอนโดเขาบ่อยๆ

ทว่าผมชั่งใจอยูเรื่องหนึ่ง จึงรีบถามจ้านไป...

‘ตอนนี้ผมทำอะไร เอาเงินที่ไหนมาซื้อของกินของใช้ มีงานทำหรอ หรือว่าพ่อส่งให้’

คำตอบที่ได้กลับเป็นการส่ายหน้า และบอกสั้นๆ ว่า ‘มึงไม่เคยเล่าให้ฟัง’

เมื่อจบเรื่องเล่าดังกล่าว แม้จะรับรู้ว่ารัณย์เป็นคนอย่างไร เติบโตมาแบบไหน ในใจผมก็ยังมองว่ารันย์เป็นคนแปลกหน้า เหมือนกับว่าผมกำลังนั่งฟังเรื่องของคนอื่นและก็ได้แต่ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น ในเมื่อเรื่องเล่าทั้งหมดผมสรุปได้ว่ารัณย์เป็นคนไม่เอาไหน ก็แสดงว่าผมรู้จักผิดชอบชั่วดี สิ่งไหนคือถูก สิ่งไหนผิด

ไม่แน่บางที... ผมอาจมีอะไรในใจที่ไม่เคยแสดงออกหรือพูดให้ใครรับรู้ก็ได้

จะว่าไป มันยังมีอีกเรื่องที่ผมสงสัย จากการสนทนากับผู้ชายคนหนึ่งทางโทรศัพท์ เป็นไปได้เขาไม่ชอบใจอะไรสักอย่างถึงได้กล่าวหาว่าผมคิดเอาตัวรอด ไม่รับผิดชอบ

‘ผมกำลังหนีอะไรอยู่หรือเปล่า’ คือประโยคที่ผมตัดสินใจถามจ้านไป เล่าว่ามีคนโทรศัพท์มาพูดเรื่องทำนองนี้ เท่านั้นแหละ จ้านถึงกับฉุนขาด ขอโทรศัพท์มือถือผมมาปิดเครื่องแล้วเก็บไว้กับตัวเองและย้ำว่าคนที่ผมไว้ใจได้มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น

.
.
.
.




ระหว่างที่จ้านอยู่เฝ้าผมที่โรงพยาบาล ผมถามถึงเรื่องของเขาจนรู้ว่าเขาเป็นลูกชายคนเดียว พ่อเป็นผู้กำกับการตำรวจ ส่วนแม่เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง ด้วยความที่พ่ออยากให้ลูกชายเป็นทนาย จ้านจึงเรียนนิติศาสตร์เพื่อทำตามความหวังของพ่อ และดูท่าจะตั้งใจเรียนเอาการ หนังสือที่เขาเอามาอ่านระหว่างดูแลผมถึงมีแต่เรื่องเกี่ยวกับกฎหมาย จ้านบอกว่าตอนนี้เรียนปีสุดท้ายแล้วก็ยิ่งทำให้ผมคิดหนักกับชีวิตในภายภาคหน้า

สามวันให้หลัง หมอถอดผ้าพันแผลที่หัวและอนุญาตให้ผมออกจากโรงพยาบาลในวันต่อมา ค่ายา ค่าห้องพักฟื้น จ้านเป็นคนจ่ายบิลเองทั้งหมด อุตส่าห์มาดูแลผมทุกวันก็ยังต้องจ่ายค่าพยาบาลให้อีก ระหว่างที่ผมเก็บของใส่กระเป๋าเขาก็อาสาไปรับยาทานมาให้ มีเพื่อนดีดีอย่างจ้านทำให้อาการความจำเสื่อมของผมไม่เลวร้ายมากนัก

“กลับกันเถอะ” จ้านพูดพร้อมกับหยิบกระเป๋าที่ผมถือไว้ไปสะพาย ถุงของใช้ก็ยังเดินไปถือเอง ส่วนผมทำเพียงเดินตัวเปล่าตามหลังเขาออกจากห้องพักฟื้นไป

“คุณจะพาผมกลับไปไหน” คำถามของผมทำให้ชายตรงหน้าหยุดฝีเท้า ก่อนจะหันมาทำหน้าเหนื่อยใจ

“เอาล่ะ! ก่อนตอบคำถามนี้กูขอพูดอะไรสักหน่อย” จ้านเดินกลับมาพูดกับผมใกล้ๆ “มึงเลิกเรียกตัวเองว่าผม เรียกกูว่าคุณสักที ได้ยินแล้วมันแปลกๆ เหมือนกูคุยอยู่กับคนแปลกหน้ายังไงไม่รู้”

“อ่อ... ก็ได้”

“ตอนนี้กูยังไม่อยากปล่อยให้มึงอยู่คนเดียว ก็เลยจะพาไปอยู่ด้วยกันที่คอนโดกูก่อน”

“นาย...” เป็นผมที่รู้สึกแปลกๆ หลังจากพยายามเรียกตามที่จ้านขอ “นายเคยบอกว่าฉันไม่มีญาติคนไหนแยแส ภาระเลยตกอยู่กับนายที่ต้องมาคอยดูแล... แล้วมันจะเป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่ คือ... ฉันไม่อยากเป็นภาระของนาย”

เรื่องอนาคตผมควรกำหนดมันเอง แต่ตอนนี้กลับต้องถามคนอื่น ผมควรสมเพชตัวเองมั้ยล่ะ

“พูดอะไรอย่างนั้น เราเป็นเพื่อนกันนะ เห็นสภาพมึงแบบนี้แล้วจะให้กูอยู่เฉยได้ไง”

“แล้ว... ฉันมีนายเป็นเพื่อนแค่คนเดียวหรอ หลายวันมานี้ นอกจากนายแล้วฉันไม่เห็นใครเลย”

“อันที่จริงมึงมีเพื่อนรายล้อมเยอะแยะไปหมด ไม่ว่าใครก็อยากเข้าหามึงทั้งนั้น... แต่มึงเคยบอกว่ากูเป็นเพื่อนแท้เพียงคนเดียวที่คอยอยู่ข้างๆ และมันก็จริงตามนั้น เพราะกูอยู่นี่แล้ว ถูกมั้ย”

สักพักเราสองคนก็เดินมาถึงทางออกของตึกผู้ป่วยใน

“แดดแรงแฮะ มึงยืนรอตรงนี้นะ เดี๋ยวกูไปเอารถก่อน” ผมยังไม่ทันพูดอะไร จ้านก็ก้าวเท้าจะเดินออกไป ส่วนตัวผมคิดว่าเขาวิตกกังวลเกินเหตุ ถึงผมจะเพิ่งออกโรงพยาบาล แต่ก็ไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดเจอแสงแดดไม่ได้นี่น่า

“ไอ้รัณย์” อยู่ๆ จ้านก็หันมาเรียกชื่อผม ขณะนั้นเขาเผยยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อ “กูดีใจที่ได้มึงกลับคืนมา”

พูดจบจ้านก็เดินต่อไป และหายไปตาสายตาผมหลังจากเลี้ยวเข้าตรงมุมตึก

ตอนนี้ร่างกายผมดูเป็นปกติทุกอย่าง ยกเว้นหัวไหล่ที่เขียวช้ำ และรอยจากการเย็บบริเวณกกหูที่ดูเผินๆ จะไม่ค่อยเห็น จ้านบอกว่าก่อนหน้านั้นผมของผมยาวกว่านี้ แต่หลังเกิดอุบัติเหตุก็เลยต้องตัดออกเล็กน้อย ซึ่งผมชอบนะ เพราะมันดูเท่สมชายชาตรี ไม่เหมือนกับในรูปหน้าจอมือถือหรือรูปหน้าบัตรประชาชนในกระเป๋าสตางค์ ทรงนั้นมันรับกับหน้าของผมจริง แต่ดูแล้วหน่อมแน้มไป ยิ่งเจอกับตาโตๆ ปากนิดจมูกหน่อย หน้าผมกลายเป็นหวานหยดย้อยไปเลย ความสูงประมาณ 175 ของผมไม่ได้ช่วยให้ดูมาดแมนอะไร แถมร่างกายยังไม่มีกล้ามหรือซิกแพ็ก สงสัยผมต้องปฏิวัติร่างกายตัวเองเสียใหม่ อายุยี่สิบกว่าแล้วจะให้สภาพดูไม่ต่างจากเด็กมัธยมได้ยังไง

ระหว่างกำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่ ก็มีรถยนต์ซีดาน 2 คันขับมาจอดเทียบริมฟุตปาธ ชายสองคนเดินลงมาจากรถคันหน้า ส่วนคันหลังลงมาเพียงคนเดียว ซึ่งชายที่มาคนเดียวนั่นแหละที่เดินมาทางผม ลักษณะเด่นคือหัวโล้นๆ ใส่แว่นตากันแดด สวมสูทสีดำ ตัวสูงโดดเด่นดึงดูดสายตาผมให้มองอยู่อย่างนั้น กระทั่งระยะเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนคนๆ นั้นมาหยุดยืนต่อหน้าผม ตามมาด้วยชายอีกสองคนที่ลงมาจากรถคันหน้า

“เชิญไปกับเราด้วย”

ชายใส่แว่นตาดำพูดภาษาไทยไม่ค่อยชัด แต่หน้าตามาทางโซนเอเชีย แต่งตัวเนี้ยบไม่มีข้อบกพร่อง การหยัดยืนมั่นคง รวบมือกุมกันไว้ ถ้าไม่ได้ใส่สูทผูกเนกไทผมคงคิดว่าเขาเป็นหน่วยพิเศษของซีไอเอแน่ๆ

“พวกคุณเป็นใคร” อยู่ๆ ก็มาบอกให้ผมไปด้วย แถมชายสองคนที่เดินตามหลังมายังยืนประกบซ้ายขวาอีก

“นายท่านต้องการพบคุณ”

นายท่าน? เขาเรียกใครอีกคนอย่างให้เกียรติ ฟังดูมีพลังอำนาจราวกับเป็นคนใหญ่คนโต

“แต่ตอนนี้ผม...” กำลังจะบอกว่ารอเพื่อนอยู่ คนหัวโล้นก็หันไปพยักหน้าให้กับชายสองคนที่ยืนอยู่ใกล้ผมที่สุด ไม่นานท่อนแขนก็ถูกคว้าหมับ ก่อนจะได้ยินเสียงสั่งการเป็นลำดับถัดมา

“พาตัวไป”

“ดะ...เดี๋ยวก่อน ผมต้อง...” ถ้าหายไปโดยไม่บอกจ้านต้องเป็นห่วงแน่ อีกอย่างพวกเขาก็ดูน่ากลัวและเร่งรีบจนเกินเหตุ ดูไม่น่าไว้ใจ ผมควรทำยังไงดี 

สุดท้ายผมก็ถูกพาตัวขึ้นมานั่งบนรถซีดานคันที่สอง

“มันเรื่องอะไรกัน!” ผมถามชายสวมแว่นที่นั่งอยู่เบาะหน้า ขณะที่ถูกชายสองคนจับล็อกแขนไว้ตรงเบาะหลัง สถานการณ์ตอนนี้เล่นเอาผมสับสนมาก “ผมไม่สมัครใจไป พวกคุณทำแบบนี้ถือเป็นการลักพาตัวนะครับ”

ชายหัวโล้นที่นั่งเบาะหน้าถอดแว่นตาดำออก มองผมผ่านกระจกมองหลังแล้วพูดสั้นๆ



“อีกเดี๋ยวคุณก็เต็มใจเอง”



















TBC

NEXT UPDATE >> 09/05/61 TIME 19:00


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-05-2018 18:36:23 โดย La_Pomme »

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
จ้าน วางใจเพราะเห็นรันย์เพิ่งฟื้น
ไม่ให้เดินฝ่าแดด เดินไปเอารถคนเดียว
รันย์เลยถูกพาไปหาเจ้านายซะแล้ว ใครกันนะ   :hao3:
แล้วรันย์ จ้านจะติดต่อกันได้ไงเนี่ย  :really2: :really2: :really2:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ La_Pomme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
บทที่ 2
::ไร้ทางรอด::





ผมโดนยึดโทรศัพท์ตั้งแต่ขึ้นรถไปไม่ถึงนาที ระหว่างทางผมสาดคำถามใส่คนพวกนั้นตลอดเวลา แต่ไม่มีใครยอมพูดสักคำ พากันนิ่งเฉยแถมยังบอกให้ผมเงียบเสียงจะเป็นการดีที่สุด

ไม่นานรถยนต์ก็เลี้ยวเข้าประตูรั้วของบ้านหลังหนึ่ง ภายในมีเนื้อที่กว้างขวาง มีทั้งสวนหย่อมและสระว่ายน้ำ เห็นทีว่าคนอยู่อาศัยจะไม่ใช่ระดับรากหญ้า ประกอบกับที่คนพวกนี้พูดว่า ‘นายท่าน’ ก็น่าจะเป็นคนที่มีอิทธิพลอยู่บ้าง

ผมไปรู้จักคนระดับนั้นได้ยังไงกัน?

เอ๊ะ! จะว่าไป คืนก่อนผมได้รับโทรศัพท์จากใครสักคนด้วยนี่

‘อยากหนีก็ตามใจ… ซ่อนตัวให้ดีแล้วกัน’

จุดประสงค์ที่เตือนให้หนี เตือนให้ซ่อนตัว ย่อมเป็นคำพูดของคนที่ต้องการตามล่าใครสักคน และถ้าบอกได้ว่านั่นเป็นคำเตือนก็ต้องเป็นเรื่องที่เราควรระมัดระวังไว้

บ้าชิบ! ทำไมเพิ่งมาคิดได้เอาตอนนี้!!

ห้องโถงของบ้านหลังใหญ่เป็นสถานที่ที่พวกเขาพาตัวผมเข้ามา ทุกอย่างดูหรูหราก็จริง แต่ในสายตาผมกลับรู้สึกเฉยๆ คล้ายกับมันไม่ได้น่าตื่นเต้นอะไร

“มาแล้วครับท่าน”

คำพูดของคนหัวโล้นทำให้ผมรู้ตัวว่ามีใครบางคนอยู่ในห้องนี้ด้วย เมื่อปลายตามองไปยังโซฟาผมเห็นเพียงศีรษะของชายคนหนึ่งโผล่พ้นขึ้นมา เขากำลังนั่งหันหลังพร้อมวางแขนยาวๆ ไว้บนพนัก และในจังหวะที่หันข้างเพื่อเงี่ยหูฟัง แค่เห็นจมูกโด่งๆ รวมไปถึงโครงหน้าของเขาผมก็เดาได้ในทันทีว่านั่นคือ... ชาวต่างชาติ

ไม่นานชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืน ทำให้รู้ว่าเขาเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ อกผายไหล่ผึ่งน่ายำเกรง เมื่อหันหน้ามาตรงๆ ผมก็เห็นเสื้อเชิ้ตสีฟ้าของเขาไม่ได้ติดสองกระดุมบน เผยกล้ามหน้าอกและไหล่ปลาร้าเด่นชัด ขนาดอยู่บ้านยังใส่เสื้อทับกางเกงขายาวแถมยังใส่เข็มขัดพร้อม ถ้าไม่ได้เป็นคนห่วงภาพลักษณ์ก็น่าจะเพิ่งกลับมาถึงบ้านได้ไม่นาน ส่วนตัวผมคิดว่าเป็นอย่างหลังนะ เพราะขนาดในห้องเปิดแอร์เย็นเฉียบเสื้อเชิ้ตที่เขาใส่ยังมีคราบเหงื่ออยู่เลย

“ไง”

ผมพิจารณาจากหน้าตาของคนที่เพิ่งเอ่ยทักทายและกำลังเดินเข้ามาใกล้ อายุของเขาน่าจะประมาณยี่สิบปลายๆ หรือไม่ก็สามสิบต้นๆ สิ่งที่โดดเด่นนอกจากโครงหน้าที่เข้าขั้นประติมากรรมชั้นเลิศคงเป็นนัยน์ตาสีฟ้าอันแสนลึกลับ และด้วยความสูงระดับที่ผมต้องเงยหน้าคุยขนาดนี้ เขาคงสูงเกิน 190 แน่ๆ

“ยินดีต้อนรับ” หน้าตาฝรั่งจ๋าแต่พูดไทยชัดแจ๋ว เขายิ้มมุมปากพลางหันไปส่งซิกให้เหล่าชายชุดดำปล่อยแขนผม จากนั้นพวกเขาก็พากันออกจากห้อง ทิ้งให้ผมอยู่กับชายชาวต่างชาติเพียงลำพัง

“อยากนั่งพักก่อนมั้ย” เขาเชื้อเชิญ

“คุณเป็นใคร” ผมเผลอถามไปแบบไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดีก่อน รู้สึกพลาดยังไงไม่รู้

“พูดแบบนี้มันน่าผิดหวังนะ ขนาดฉันยังไม่ลืมนายเลย... ถึงจะเจอกันแค่ครั้งเดียวก็เถอะ” ลักษณะการพูดของคนคนนี้ทำไมถึงฟังดูแตกต่างจากตอนคุยทางโทรศัพท์เลยล่ะ

เมื่อกี้ผมเผลอเผยไต๋ตัวเองโดยลืมคิดไปว่าก่อนหน้าผมกับเขาอาจรู้จักกัน แต่ไหนๆ อีกฝ่ายก็บอกว่าเคยเจอผมครั้งเดียว งั้นขอถามต่อเลยแล้วกัน

“คุณให้คนพาผมมาที่นี่ทำไม”

“อย่าเข้าเรื่องเร็วนักสิ ฉันยังไม่เปิดไวน์ปี 87 ให้นายดื่มตามสัญญาเลย” เจอกันแค่ครั้งเดียวก็ขอดื่มไวน์แล้วหรอ ตอนแรกคิดว่าจะหยิ่งเย็นชาหรือไม่ก็แข็งกร้าวเหมือนกับน้ำเสียงตอนที่โทรมาซะอีก

“ผมไม่ได้บอกเพื่อนก่อนมาที่นี่ เขาอาจเป็นห่วงผมอยู่ก็ได้” ผมเอ่ย

“หมายถึงทายาทตระกูลตำรวจที่ชื่อจ้าน คนนั้นน่ะหรอ”

“คุณรู้จักเขา?” ผมเลิกคิ้วสูง แสดงความอยากรู้อย่างลืมตัว กระทั่งชายตรงหน้าเดินเข้ามาในระยะประชั้นชิด ผมก็เปลี่ยนเป็นงุนงงพร้อมก้าวถอยหลังให้ห่าง

“ฉันรู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับนาย”

ชักแปลกๆ ผมเริ่มประหม่าขึ้นมานิดๆ แล้ว

“อย่างน้อยก็ให้ผมได้บอกเขาว่าอยู่ที่ไหนเถอะครับ” ถึงจะอยากได้คำตอบว่าเรารู้จักกันยังไง แต่ตอนนี้ผมควรจะขอโทรศัพท์จากเขาเพื่อติดต่อจ้านก่อน ในใจก็กลัวเพื่อนเป็นห่วงนั่นแหละ แต่ถ้าถามเหตุผลจริงๆ ผมคงอยากให้ใครสักคนรู้ว่าผมอยู่ไหนมั้ง แบบว่า...คนพวกนี้ไว้ใจได้หรือเปล่า ผมสามารถอยู่ต่อเพื่อทำตามที่ผู้ชายคนนี้ต้องการ

หรือผมควรหาทางหนีซะ!

“นายไม่ไว้ใจฉัน?” โห ถามยังกับอ่านความคิดในหัวผมได้

“ใครที่โดนลากตัวขึ้นมาบนรถแบบผมก็คงคิดแบบเดียวกันทั้งนั้น”

“ก็นายไม่มาตามนัด... นายผิดคำพูดกับฉันก่อน” จู่ๆ สายตาคนตรงหน้าก็เปลี่ยนไป เพราะเหตุนี้เองหรอที่ทำให้เขาบอกว่าโดนผมหักหน้า

ถ้าให้คิดตามความรู้สึก ผมว่าคนคนนี้ดูไม่น่าไว้วางใจสักนิด จ้านพูดถูกที่ว่าตอนนี้ผมเชื่อใจใครไม่ได้ เพราะผมไม่มีทางรู้เลยว่าสิ่งที่เขาพูดมาเป็นความจริงรึเปล่า ฉะนั้นผมจำต้องปิดบังเรื่องที่ผมสูญเสียความจำเอาไว้ก่อน

“ตอนนี้ผมมาแล้ว เรามีเรื่องอะไรที่ต้องคุยกันก็ว่ามาเลย” พอพูดจบ เขาก็ยิ้มพลางเอียงคอมองผม

“ฉันจะพานายไปดื่มไวน์” อยู่ๆ ชายตรงหน้าคว้ามาที่ข้อมือ ทำให้ผมสะดุ้งตกใจไม่ต่างกับโดนไฟช็อต รีบสะบัดมือตัวเองออกในทันที เชื่อมั้ยว่าเมื่อกี้ในหัวผมมีแต่คำพูดหยาบเต็มไปหมด คล้ายกับเคยใช้มันอย่างไม่ต้องไตร่ตรองอะไรก่อน แต่โชคดีที่ผมยังไม่หลุดพูดคำพวกนั้นออกมา

 สถานการณ์หยุดนิ่งไปสักพัก ผมได้แต่ยืนนิ่งเพราะทำอะไรไม่ถูก ไอ้การกระทำเมื่อกี้ผมไม่ได้นึกถึงเรื่องมารยาทเลย ถ้าเขาขุ่นเคืองขึ้นมาผมคงไม่แปลกใจ หากทว่าเจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าที่กำลังหรี่ตามองผมกลับเผยยิ้มเล็กๆ ก่อนจะเดินนำผมไปราวกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ผมเดินตามคนที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อเข้าไปในห้องอะไรสักอย่าง เห็นมีบาร์เล็กๆ ด้านหลังมีขวดเหล้านอกวางเรียงราย กำลังคิดว่าคงเป็นห้องรับแขก แต่พอหันไปเห็นเตียงขนาดคิงไซส์ผ่านช่องประตูด้านในที่เกิดกว้างอยู่ก็เริ่มฉุกคิดและตั้งข้อสงสัย เพราะเจ้าเตียงนั่นดูไม่น่าเข้ากันได้ทั้งเฟอร์นิเจอร์หรือตำแหน่งการวางเลย

รสนิยมแปลกพอๆ กับคำพูดคำจา...

ไม่นาน ชายคนนั้นรินไวน์ใส่แก้วแล้วยื่นมาให้ผมแก้วหนึ่ง “ดื่มสิ”

“เชิญคุณเถอะครับ ผมไม่ค่อยอยากดื่ม” ผมรู้สึกว่าเขามีเลศนัยอะไรบางอย่าง อยากจะถามไปตรงๆ ให้มันรู้ดำรู้แดง แต่สุดท้ายก็ต้องทำใจเย็น ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ขืนโผงผางทำอะไรไปไม่คิด ผมจะเดือดร้อนเอาได้

“ทำไมถึงไปอยู่ที่โรงพยาบาลล่ะ” เขาถาม

“ผมประสบอุบัติเหตุนิดหน่อยครับ”

“อ่า เพราะงั้นถึงได้ผิดนัดฉันใช่มั้ย”

“เอ่อ... ครับ” ผมเลือกที่จะตอบตามน้ำไป

“บาดเจ็บตรงไหนบ้าง”

“นี่คือเรื่องที่เราจะคุยกันหรอครับ”

“ถามไว้เผื่อหลีกเลี่ยงตรงจุดที่นายเจ็บไง” ผมเลิกคิ้ว พยายามคิดตามสิ่งที่เขาพูด “ที่พาตัวนายมาวันนี้เพราะมีเหตุผล... พรุ่งนี้ฉันต้องบินกลับฮ่องกงแล้ว กว่าจะมาเมืองไทยอีกก็หลายสัปดาห์ ฉันเลยไม่อยากพลาดของรางวัลที่นายเคยสัญญาเอาไว้”

“รางวัล?” อยู่ๆ คิ้วหนาของเขาขมวดลงเล็กน้อย

“นายจะอ้างเรื่องบาดเจ็บก็ได้ แต่ถ้าบอกว่าลืมที่สัญญาเอาไว้ ฉันไม่ยอมแน่” เจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าไม่มีท่าทีว่าจะละสายตาจากผม “กรัณย์ นายบอกเองว่าถ้าฉันยอมเซ็นสัญญาร่วมธุรกิจกับลูเซียน... นายจะยอมนอนกับฉัน

หา!

ผมอุทานในใจพร้อมอ้าปากค้าง หรืออาจเรียกได้ว่าเหวอไปชั่วขณะก็ได้ แต่โชคดีที่ยังดึงสติไว้อยู่ งั้นขอเวลาคิดสักหน่อยนะว่า ‘ยอมนอน’ มันหมายถึงนอนลักษณะไหน ผมก็อยากคิดไปว่าเรากับเขาเป็นผู้ชายทั้งคู่ อาจมีอะไรที่เข้าใจผิดไปก็ได้... แต่เอาเข้าจริงผมแค่ความจำเสื่อมนี่หว่า ไม่ได้อินโนเซ้นต์ถึงขนาดไม่รู้ว่ามันคืออะไรสักหน่อย

บริษัทลูเซียนงั้นหรอ? สำคัญกับผมแค่ไหนถึงต้องยอมทำขนาดนี้!

“ผมต้องกลับแล้ว”

รีบวางแก้วไวน์ในมือไว้ที่บาร์ หันไปเห็นประตูที่เคยเดินเข้ามาอยู่ตรงหน้าผมก็รีบสาวเท้าทันที ในหัวคิดอยู่ตลอดว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว ควรออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด กระทั่งผมกระโจนคว้าไปตรงที่จับประตู เปิดง้างออกมาได้เล็กน้อยก็ถูกคนด้านหลังดันกลับจนเสียงดังปัง!

ลมหายใจของคนตัวสูงกว่าแผ่วเบาอยู่บริเวณต้นคอ ผมสะดุ้งเฮือก รีบหันกลับมาเผชิญหน้าก่อนจะรวบรวมแรงแขนเพื่อดันอกกว้างให้ถอยห่าง แต่เจ้าหมอนี่กลับไม่สะทกสะท้าน ยืดหยัดไร้ความเคลื่อนไหว

“ถอยไป!” ผมตะคอกออกไปตามสัญชาติญาณ เหมือนเถียงกับตัวเองอยู่นานว่าให้รวบรวมสติ แต่อีกส่วนหนึ่งในสมองกลับกู่ร้องให้ดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดโดยไม่สนวิธีหรือแคร์ใครหน้าไหน

“เป็นไปตามคาด... นายรู้รสนิยมฉันด้วย”

เอาล่ะ! ดูจากรอยยิ้มยียวนนั่น ผมว่าเขาไม่ได้พูดเล่นแล้ว กำลังจะถามไปว่าถ้าผมไม่รับผิดชอบคำพูดตัวเองจะต้องโดนกระทืบจนน่วมหรือเปล่า เพราะผมยอมนะ ขอแค่อย่ายุ่งกับผมเป็นพอ แต่ไม่ทันไรเจ้าคนตัวสูงดันยื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วกระซิบข้างหูผมซะก่อน

“ยิ่งนายขัดขืน ฉันยิ่งชอบ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ทำให้อากาศมันหนาวๆ วูบๆ คล้ายจะเป็นไข้ ผมรู้สึกขยะแขยงกับคำพูดนั่นมากกว่าการโดนคุกคามเป็นไหนๆ

“ผม… ผมว่าคุณคงเข้าใจอะไรผิดไป” ขณะที่พูดก็ยังออกแรงไม่ลดละ แต่บ้าชิบ ผมมีแรงแค่นี้เองหรอ หรือว่าเพิ่งออกจากโรงพยาบาลเรี่ยวแรงยังไม่ฟื้นคืน ถ้าอย่างนั้นลองเปลี่ยนแผน หาทางหลุดจากตรงนี้แล้วไปพึ่งประตูอื่นเอา

เดี๋ยวก่อนสิ! ถ้าจะมีอีกประตูก็คือประตูห้องที่มีเตียงไม่ใช่หรอ ขืนหนีเข้าไปในนั้นผมต้องแย่แน่

“ถึงเวลาที่นายจะทำตามสัญญาแล้ว” พูดจบเขาก็จับแขนผม จากนั้นออกแรงลากมนุษย์คนหนึ่งยังกับพลังช้างสาร ผมพยายามยั้งไว้ก็ยังไม่คณามือเขา รอจังหวะเหมาะที่จะคว้าอะไรสักอย่างมาเป็นอาวุธ แต่ใช้เวลาแค่พริบตาเดียวเขาก็ลากผมเข้ามาอีกห้องหนึ่งจนได้

“ปล่อย!”

ตุบ!

เขาปล่อยผมจริงๆ แต่จะเรียกว่าปล่อยก็ไม่ได้ ต้องบอกว่า ‘เหวี่ยง’ และนั่นไม่ได้ทำให้ผมโกรธเท่ากับตอนที่ผมรู้ว่าเขาปล่อยผมลงบน ‘เตียง’ หรอก

“บ้าเอ้ย!”

เมื่อความเลวร้ายกำลังมาเยือนจะให้อยู่นิ่งได้ไง ผมร้องดังลั่น ร้องแม้รู้อยู่แก่ใจว่าคนในบ้านมีแต่พวกของเขา ยอมรับอย่างแรงว่าผมโคตรตื่นตระหนก แต่สิ่งที่ทำให้สติกระเจิงที่สุดก็คงเป็นตอนที่โดนร่างของเขาคร่อมอยู่

“ไม่นะ! คุณ... คุณเข้าใจผิดแล้ว” ผมยกมือห้ามสุดฤทธิ์ ส่วนเขาก็เริ่มปลดกระดุมเสื้อ เผยให้เห็นกล้ามหน้าท้องและท่อนแขนใหญ่ เขาลงมือปลดเปลื้องเสื้อผ้าผมอย่างอุกอาจ ถ้าพละกำลังของผู้ชายมันวัดกันตรงความแข็งแรง เจ้าหมอนี่คงชนะผมไปหลายขุม

“ฟังผมก่อน... อื้อ” คนตรงหน้าประกบปากผมซ้ำยังบดขยี้ราวกับต้องการให้แหลกเป็นผุยผง สัมผัสแรกทำให้ผมดิ้นพล่าน แต่คงไม่เท่ากับตอนที่เขาพยายามสอดลิ้นเข้ามาจนสำเร็จ ริมฝีปากร้อนดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่าง สมองผมปั่นป่วนไปหมด จงใจปฏิเสธด้วยการหันหน้าหนีแต่ก็ยังโดนมือหนาจับหน้าให้หันมา จัดการล็อคข้อมือ ขัดขาให้หยุดนิ่ง ผมขยับเพียงนิดก็รู้สึกเจ็บแปลบแล้ว 

“ปล่อยผม อย่าทำแบบนี้!” ผมใช้แรงต้านทานหมดไปเกินครึ่ง ส่วนอาการเสียขวัญคงมีมาตั้งแต่ถูกผู้ชายด้วยกันล่วงเกิน ความร้ายกาจของคนคนหนึ่งมีมากมายขนาดนี้เชียว ผมขัดขืนเขาไม่ได้เลย เผลอแปบเดียวสิ่งที่หลงเหลืออยู่มีแค่ร่างกายเปลือยเปล่า ชายตรงหน้าจับเสื้อผ้าโยนไปข้างเตียงก่อนจะนำมือมาลูบใบหน้าผม ความหยาบกร้านที่สัมผัสได้ทำให้ใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ บ่งบอกถึงความกลัวและความหวาดหวั่นใจ

เมื่อร่างกายผมไร้อะไรปกปิด ไม่ว่าเขาทำอะไรผมก็รับรู้หมด ในจังหวะที่ริมฝีปากเลื่อนไปซุกอยู่บริเวณซอกคอ ฝรั่งร่างใหญ่ก็ใช้มือข้างหนึ่งลูบไล้ไปถึงหน้าท้องของผม พอเลื่อนขึ้นมาสะกิดบนยอดอกเพียงนิดร่างกายผมก็กระตุกเกร็งจนถึงขั้นเผลอร้องครางด้วยเสียงที่แสนน่าอายออกมา และมันคงไปกระตุ้นอะไรเข้าสักอย่างเขาถึงได้ย้ายริมฝีปากตัวเองลงไปในตำแหน่งที่ต่ำจากคางผม จากนั้นก็ใช้ลิ้นดูดดุนหยอกเย้ากับมันไม่หยุด ส่งผลให้ผมต้องสะบัดขาตะกายที่นอน ดิ้นกระเส่าจะเป็นจะตาย     

“นายขาวมากกรัณย์ โดนนิดหน่อยที่เป็นรอยแล้ว” ตอนนี้เขาพูดอะไรมา ผมจับใจความได้บ้างไม่ได้บ้าง จะบอกว่าโคตรอายมันก็ใช่ คือมันแย่ไปหมดจนผมอยากร้องไห้ออกมา

“พอที… ปล่อยผมเถอะ” ผมเหนื่อยหอบจนแทบไม่เหลือแรง เลยลองอ้อนวอนดูเผื่อจะได้ผล บอกตรงๆ ว่ามันเหยียบย่ำศักดิ์ศรีผมไม่น้อย แต่เอาเถอะ นาทีนี้ต่อให้ผมจนตรอกก็ต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้

หมับ!

ดูท่าเขาจะไม่ฟังคำใดใด จับร่างอันไร้เรี่ยวแรงของผมพลิกกลับ สะโพกถูกยกขึ้น เขาบีบเค้นบั้นท้ายผมด้วยฝามือ ก่อนจะทาบทับตัวลงมาราวกับต้องการกดผมให้จมเตียง แน่นอนว่าการจู่โจมหนักหน่วงที่ไร้การเตรียมตัวใดใดแบบนี้ ยิ่งทำให้ผมสติแตกกว่าเดิม ไม่รู้ว่าเผลอร้องด้วยเสียงแบบไหนออกไปบ้าง แต่ที่แน่ๆ คือมันเลวร้ายสุดๆ

สองมือผมกำผ้าปูแน่น เมื่อรู้ตัวว่ากำลังโดนอีกฝ่ายรุกล้ำเรือนร่างอย่างอุกอาจ ที่เคยบอกว่าจะเลี่ยงจุดที่ผมได้รับบาดเจ็บนั่นโกหกทั้งเพ ถึงไม่บอกว่าตรงไหนเขาก็รับรู้แล้วว่าผมเพิ่งได้รับบาดเจ็บมา แทนที่จะยั้งมือบ้างแต่เขากลับโถมเข้าใส่เต็มกำลัง ทำร่างกายผมร้อนวูบวาบ และในชั่วขณะหนึ่งผมก็รู้สึกเหมือนมีแรงปะทุบางอย่าง มันพลุ่งพล่านจนผมอดคิดไม่ได้ว่าร่างกายผมกำลังโลดแล่นไปกับมัน

ผมกัดฟัน หลับตาแน่น ไม่ยอมเปิดตามองอะไรก็พอรู้ว่าตอนนี้... ผมไร้ทางรอดแล้ว

“ฉันเพิ่งมาเข้าใจตอนนี้เอง... ว่าทำไมถึงมีแต่คนอยากรับเลี้ยงนาย” เขาพูดไปขยับร่างกายไป ความเสียวส่านบาดลึกทำเอาสมองเบลอ หากแต่สิ่งที่เขาพูดมากลับทำให้ผมได้ยินชัดเจน

รับเลี้ยง?


เขาพูดเรื่องอะไร!













TBC

NEXT UPDATE 10/05/61 TIME 18:00
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-05-2018 22:01:04 โดย La_Pomme »

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ติดตามจ้า  :pig4: :L2: :กอด1:

ออฟไลน์ magic-moon

  • magKapleVE
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 496
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
    • Freedom of meetups, no obligations
เป็นระเบียบดีมาก ตามเวลาเป๊ะๆ ประทับใจ สนุกด้วย

ออฟไลน์ cheezett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
NEXT UPDATE 09/05/61 TIME 22.00 please  :call: :3123: :L2:

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
โดนนายท่านเล่นซะเว้ววววว
 :hao5:
ไลค์ด้วยบวก ชอบจ้านๆๆๆๆๆ
ชอบตรง ตรงเวลา รอๆๆๆ

ออฟไลน์ La_Pomme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
บทที่ 3
::ถามความจริง::





ด้านนอกฟ้ามืดสนิท เป็นระยะเวลาหลายชั่วโมงที่ผมถูกฝรั่งชั่วกระทำย้ำยี และอีกนับครั้งไม่ถ้วนที่เขาหยิบยื่นความเจ็บปวดให้ด้วยการยัดเหยียดความเป็นชายเข้ามาในตัวผม ใช้กำลังสำเร็จความใคร่ด้วยพลังฮึกเหิมไม่ต่างจากสัตว์นรกที่หิวกระหาย ทั้งกระแทกกระทั้น ทั้งส่งเสียงคำรามอันแสนดุดัน เขากระทำในสิ่งที่ผมไม่อาจลืมได้ มันปวดร้าวแค่ไหน เจ็บใจเพียงใด แค่หลับตาผมภาพเหล่านั้นก็คงตามหลอกหลอนผมไปอีกนาน

น้ำตาผมไหลจนแห้ง เจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งตัว ต้องพยายามใช้ขาที่อ่อนแรงพาตัวเองมาถึงห้องน้ำ ผมจมปรักอยู่ในนั้นหลายชั่วโมง ร่างกายสั่นระริก เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว บั้นท้ายผมแสบร้อนไปหมด รู้สึกเหมือนร่างกายฉีกขาดจนคิดว่าเลือดไหลออกมาซะแล้ว แต่เมื่อตรวจสอบด้วยตาและดูผ่านกระจก ผมไม่พบอะไรนอกจากน้ำขุ่นใสเป็นคราบเหนียวเกรอะกรัง ร่องรอยข่วนเล็กน้อย รอยแดงบริเวณแผงอกกับรอยฟันตรงหัวไหล่ แถมด้วยรอยช้ำตรงข้อมือที่ปรากฏเป็นฝามือของเจ้าคนชั่วนั่น

หลังจากอาบน้ำเสร็จ อาการปวดหนึบทำให้ผมต้องใช้เวลาพักใหญ่ในการนำเสื้อผ้าที่หอบมาจัดการแต่งตัวจนเรียบร้อย นึกลังเลอยู่นานว่าถ้าออกไปตอนนี้จะหาลู่ทางออกไปจากที่นี่ยังไง

ไม่นานผมก็ตัดสินใจเดินย่องออกมาจากห้องน้ำ ทว่าสิ่งแรกที่เห็นคือชายคนนั้นกำลังยืนสูบบุหรี่ตรงระเบียงในชุดผ้าคลุมอาบน้ำ เรียกได้ว่าจังหวะเป็นใจสุดๆ ให้ผมเดินมาเห็นเขาตอนทำธุระเสร็จก็เลยเห็นผมเข้าพอดี คนตัวสูงก้าวเข้ามาในห้องพร้อมก้นบุหรี่ จับมันขยี้ตรงที่เขี่ยบริเวณหัวเตียงแล้วเหลือบสายตามองผม

“พักที่นี่สักคืนสิ... ไว้พรุ่งนี้ฉันจะให้ลูกน้องไปส่ง”

ผมยืนนิ่ง ไม่พูดอะไรทั้งนั้น สายตาเอาแต่มองไปตรงประตูเพราะรังเกียจใบหน้าเขาเต็มทน ทำกันขนาดนั้นแล้วยังคิดว่าผมจะอยากอยู่ที่นี่อีกหรอ ถึงรู้ว่าออกไปตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะหาทางติดต่อจ้านยังไงผมก็จะไปอยู่ดี

“บัตรเครดิตของนายอยู่ตรงนั้น” ผมมองหน้าเขาก่อนจะเห็นนิ้วที่ชี้ไปตรงปลายเตียง ปรากฏเป็นบัตรสีดำวางอยู่ พร้อมๆ กับปลายเสียงที่บอกว่า “...ไม่จำกัดวงเงิน”

“นี่มัน...”

“ความจริงฉันอยากพานายไปฮ่องกงด้วย แต่สถานการณ์มันวุ่นวายนิดหน่อยเดี๋ยวนายจะลำบาก อยู่เป็นเด็กดีที่นี่จนกว่าฉันจะกลับแล้วกัน... บ้านหลังนี้ฉันซื้อไว้แล้ว ถ้าอยากมาพักก็บอกคนดูแลไว้ เขาจะได้จัดเตรียมห้องให้” ยิ่งพูดผมก็ยิ่งรู้สึกแย่ มันพูดอะไรไม่ออกราวกับมีอะไรมาจุกอยู่ตรงลำคอ

“ผมไม่ใช่ผู้ชายขายตัว” น้ำเสียงผมสั่น จ้องมองคนหน้าเขม็ง

“เรียกแบบนั้นก็ออกจะเกินไปหน่อย” เจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าเดินเข้ามาใกล้ผม “เสน่ห์ของนายทำให้ฉันชอบใจ ฉะนั้นอะไรที่ทำนายมีความสุขได้ฉันก็อยากทำ”

“แค่ปล่อยผมไปก็พอ”

“มีอะไรที่ฉันทำไม่เหมือนคนก่อนๆ ของนายหรือเปล่า แนะนำมาสิฉันจะจัดการให้”

ไม่ว่าอะไรที่ออกมาจากปากคนคนนี้มันทำให้ผมประสาทเสียได้ทั้งนั้น ตั้งแต่ตอนอยู่บนเตียงแล้วที่เขาพูดถึง ‘คนรับเลี้ยง’ มาตอนนี้ก็พูดถึง ‘คนก่อนๆ’ ฟังแล้วเหมือนผมเคยผ่านใครต่อใครมาเยอะ หรือไม่ก็เป็นพวกเอาตัวเข้าแลกอะไร

เดี๋ยวนะ! หรือเมื่อก่อนผมจะเคย...

ไม่! ไม่ใช่หรอก เขาบอกเองว่าเคยเจอผมแค่ครั้งเดียว ถึงจะบอกว่ารู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับผมก็ไม่ได้แปลว่าจะเชื่อถือได้ มันอาจเป็นเรื่องเข้าใจผิด ผมไม่ทำอะไรแบบนั้นแน่ ตอนนั่งฟังจ้านเล่าเรื่องเก่าๆ ก็ไม่เห็นพูดถึงเรื่องนี้เลย

มันไม่จริง หมอนี่แค่ต้องการดูถูกผม ต้องใช่แน่ๆ!

“เลิกยุ่งกับผม” น้ำเสียงเริ่มหนักแน่นขึ้น “หลังจากผ่านคืนนี้ไปแล้ว คุณกับผมไม่มีอะไรติดค้างกันอีก”

“ที่นายขัดขืน ไม่ใช่ว่าตั้งใจทำให้ฉันคลั่งหรอกหรอ” เมื่อกี้หูฝาดไปรึเปล่า สิ่งที่ผมแสดงออกมันซับซ้อนตรงไหน ลูเซียนเอาอะไรมาคิดว่าผมตั้งใจขัดขืนเพื่อให้เขาชอบ “เวลานายดิ้นรนมันกระตุ้นอารมณ์ฉันดี ตอนบอกให้หยุดก็ยิ่งน่ารังแก อยากปราบให้อยู่หมัด รู้ตัวมั้ยว่าเวลานายร้องไห้มันเย้ายวนใจมาก... ฉันพอได้ยินมาบ้างว่านายเอาใจคนเก่ง แต่ไม่คิดว่าจะช่ำชองขนาดนี้”

ฟังจบผมแทบไปไม่เป็น ได้แต่ขบฟันและกำมือแน่น ก่อนจะกลั่นคำพูดหนึ่งออกมา

“คุณจำไว้แล้วกันว่า... ชาตินี้ ผมไม่มีวันให้อภัยในสิ่งที่คุณทำกับผมแน่” ผมจ้องตาอีกฝ่ายโดยไม่หลบตา ตั้งแต่ลืมตาตื่นบนเตียงผู้ป่วย แม้ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นใคร แต่ความรู้สึกโกรธเกลียดฝรั่งคนนี้ชัดเจนยิ่งกว่าอะไร

“นายนี่มีอะไรเซอร์ไพร์สฉันหลายเรื่องนะ” เขายิ้มเยาะ “ฉันพอรู้มาว่านายเป็นพวกชอบเอาชนะ แต่ถ้าเทียบกับฉัน... คนอย่างนายไม่ถึงเสี้ยวสันดานของฉันหรอก”

คนตัวสูงอาศัยความรวดเร็วคว้าตัวผมเข้าไปแนบอกกว้าง ใช้มือหนาประคองท้ายทอยแล้วฉกฉวยริมฝีปากของผมอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาปรับองศาใบหน้าให้ปากประกบมิดชิด อ้อมแขนแกร่งตอดรัดให้อยู่ในอาณัติ

“อื้อ~” ผมหลับตาแน่น ยกหมัดต่อยแผงอกเพื่อร้องขออากาศหายใจ แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นรสจูบที่หนักหน่วงกว่าเดิม เราค้างอยู่ในสถานการณ์นี้นานพอดู เรียกได้ว่าแทบหมดลมหายใจนั่นแหละเขาถึงยอมปล่อยผม

“แฮ่ก แฮ่ก” เล่นซะเกือบตาย ผมเวียนหัวไปหมด คิดว่าจูบแสนป่าเถื่อนนั่นจะเป็นวิธีปลิดชีวิตเหยื่อตามแบบฉบับเจ้าสัตว์เดรัจฉานนี่ซะแล้ว

“รับไป” เขายื่นบัตรให้ “นายถนัดใช้มันอยู่แล้ว จริงมั้ย”

ผมไม่ได้โง่ขนาดไม่รู้ว่ามันคือคำพูดดูถูก...

“ให้มันจบแค่นี้เถอะ อย่าติดต่อมาหาผมอีก”

“เบอร์โทรนายฉันยังไม่มี มาห้ามกันแบบนี้ไม่ใจร้ายไปหน่อยหรอ”

เป็นไปไม่ได้! เขาจะไม่มีเบอร์โทรศัพท์ผมได้ยังไง

“ไหนบอกว่ารู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับผม”

“ยกเว้นเบอร์โทร” เขาก้มลงมาให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกัน “ถ้าอยากรู้เรื่องนั้น ฉันจะถามนายด้วยตัวเอง”

“เมื่อวานคุณโทรหาผมไม่ใช่หรอ” เขาส่ายหน้า ทำให้ผมคิดหนัก ถ้าไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใครได้อีก “คนที่พล่ามว่าผมต้องรับผิดชอบ ถ้าไม่ใช่คุณ แล้ว...”

“คงเป็นเขา” คำตอบของคนตรงหน้าทำผมขมวดคิ้วมุ่น “สารภาพตามตรงเลยนะ ที่ฉันตามตัวนายเจอก็เพราะเขาเป็นคนส่งพิกัดมาให้”

“ใคร?”

“จะเป็นใครได้อีก... อย่าลืมสิว่าเรารู้จักกันได้ก็เพราะเขา”

“ใครกัน?” ผมอยากรู้จนหยุดความคิดตัวเองไม่ได้ ถ้าสิ่งที่หมอนี่กำลังจะพูดเป็นความจริง ก็เท่ากับว่าคนที่โทรมาหลังจากผมฟื้นคือคนคนเดียวกับที่ส่งผมให้ฝรั่งคนนี้

“ลูเซียน”

ห๊ะ?

ลูเซียนที่พูดถึง เป็นชื่อคนหรอกหรอ!









 

เมื่อไม่ยอมให้คนของไอ้ฝรั่งนั่นไปส่ง ผมเลยโดนเสนอทางเลือกว่าไม่งั้นก็นอนค้างที่นี่ซะ สุดท้ายก็ต้องจำใจกล้ำกลืนรับการปฏิบัติที่แฝงการบังคับนั่นไว้ หลังจากรถยนต์ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากคฤหาสน์หลังใหญ่ ผมบอกกับตัวเองทันทีว่าจะไม่ยอมมาเหยียบที่นี่อีก ลาแล้วลาลับ ต่อให้เป็นชาติหน้าก็อย่าได้เจอกัน คิดไปว่าไม่มีอะไรติดค้างกันแล้ว

แต่... ดันลืมไปว่ายังมีบัตรเครดิตที่เจ้าฝรั่งนั่นยัดใส่มือมา

เมื่อได้โทรศัพท์คืนผมก็รีบโทรหาจ้านทันที เล่าไปคราวๆ ว่าเรื่องราวเป็นยังไงโดยไม่บอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมบ้าง น้ำเสียงจ้านดูร้อนใจและเป็นกังวล ถามผมตลอดว่าปลอดภัยใช่มั้ย บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า เขาบอกว่าตอนนี้กำลังนั่งอยู่ในสถานีตำรวจเพื่อรอให้เจ้าพนักงานตรวจสอบร่องรอยของผม

ฟังต่อไปเรื่อยๆ ก็ได้ความว่าตอนอยู่โรงพยาบาลจ้านตกใจกับการหายตัวไปของผมมาก รีบเข้าไปขอดูกล้องวงจรปิดกับพนักงานก่อนจะเห็นว่ามีรถยนต์สองคันมาจอดเทียบก่อนจะลากตัวผมขึ้นรถไป เขาตัดสินใจนำคลิปไปสถานีเพื่อให้ตำรวจตรวจสอบเพราะคิดว่าผมถูกลักพาตัว ขณะนั้นเขาโดนถามว่าสงสัยใครบ้าง แต่ก็ไม่อาจให้คำตอบได้

ระหว่างทางคนขับรถถามผมขึ้นมาว่าจะให้ไปส่งที่ไหน ภาพในสมองก็เอาแต่นึกถึงเรื่องต่ำช้าที่เจ้าฝรั่งนั่นทำกับผม พวกเขาเซ็นสัญญากันแล้วผมเกี่ยวอะไรด้วย ทำไมถึงต้องยอมเอาตัวเอาเข้าแลกเพื่อคนที่ชื่อลูเซียนขนาดนั้น เป็นไปได้ว่าผมกับเขาอาจจะรู้จักกัน แต่การบันทึกเบอร์คนคนนั้นด้วยชื่อ ‘ไอ้เวรตะไล’ ก็ไม่น่าจะใช้คำว่า ‘เป็นมิตร’ ได้เต็มปาก ลูเซียนมีสวนเกี่ยวข้องกับสาเหตุที่ผมถูกพาตัวมา ก็แปลว่าเขารู้ดีว่าฝรั่งคนนั้นต้องการอะไรจากผม

ให้ตายสิ! ผมจะเป็นอย่างที่โดนกล่าวหาจริงรึเปล่า ยอมนอนกับผู้ชายเพื่อข้อแลกเปลี่ยน เป็นผู้ชายขายตัว มีคนรับเลี้ยง... ผมเป็นแบบนั้นจริงหรอ? แล้วทำไมจ้านไม่เห็นบอกอะไรผมเลยล่ะ ตั้งใจจะปิดบัง หรือเขาเองก็ไม่รู้มาก่อน

ผมลังเลอยู่สักพักก่อนจะตั้งใจตอบเสียงดังเพื่อให้จ้านได้ยิน...

“ฉันจะไปหาลูเซียน”

“อะไรนะ! มึงจะไปหามันทำไม หรือว่า...”

“หรือว่าอะไร” ผมถามกลับทันที

“เปล่า... ไม่มีอะไร”

เลี่ยงตอบกันชัดๆ จ้านทำให้ผมรู้สึกสงสัย แล้วไหนจะเป็นตอนที่เขาเรียกลูเซียนว่า ‘มัน’ นั่นอีก

“นายรู้จักเขาใช่มั้ย” จ้านเงียบไปสักพัก ผมได้ยินแต่เสียงลมหายใจเข้าออก จนกระทั่ง...

“ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวหรอก มึงแค่... เคยเล่าให้ฟัง”

“แปลว่าฉันรู้จักเขาดี”

“ไอ้รัณย์ กูไม่รู้ว่ามึงคิดจะทำอะไร แต่ช่วยใจเย็นก่อนเถอะ มึงรีบลงจากรถนั่นก่อนแล้วรอจนกว่ากูจะไปรับ”

ผมหงุดหงิดตัวเองที่ได้แต่ถามๆๆ แต่ก็ไม่มีอะไรกระจ่างสักอย่าง ตอนนี้ผมแทบจะเป็นบ้าเพราะไม่รู้ว่าตัวเองกำลังพัวพันอยู่กับอะไร ทำไมต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ เห็นชัดๆ ว่าผมไร้หนทางหลบเลี่ยงหากไม่รู้ที่มาที่ไป จริงอยู่ที่ผมอยากลืมเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนนี้ แต่ถ้าผมหาเหตุผลที่ต้องมานั่งชดใช้ให้กับคนต่ำช้าไม่ได้ก็คงยากที่จะทำใจยอมรับ เพราะตอนนี้ผมมีเพียงความโกรธแค้นโดยไม่อาจมองไปถึงอนาคตได้

ผมควรใช้ชีวิตต่อไปแบบไหน ทำให้มันเหมือนเดิมหรือเปลี่ยนแปลงมันซะ ก่อนอื่นผมก็ควรรู้ให้ได้ว่าผมเป็นใคร เคยใช้ชีวิตยังไง ซึ่งการที่จ้านยังใช้ความเป็นห่วงปิดบังกันอยู่อย่างนี้ก็เท่ากับไร้ประโยชน์

แต่ถ้าจะมีใครพอรู้จักผมอีกบ้าง... ก็คงเป็นผู้ชายคนนั้น!

“นายรู้ว่าลูเซียนอยู่ไหนใช่มั้ย”

ผมยอมรับตามตรงว่ากังวลมาก แต่ไม่อาจหยุดจุดหมายของรถคันนี้ได้จริงๆ

 









รถยนต์มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่เป็นย่านสถานเริงรมย์ มีนักท่องเที่ยวยามราตรีเดินสวนกันไปมาหลากหลาย ตรงริมถนนรวมไปถึงอาคารต่างๆ ใกล้เคียงยังคงเปิดไฟสว่างไสว ราวกับมันเป็นเมืองไม่เคยหลับใหล ผมถามคนขับรถว่าจะเจอลูเซียนได้ยังไง เขาบอกมาเพียงว่าถามคนแถวนั้นก็รู้ เพราะลูเซียนเป็นเจ้าของไนต์คลับที่ใหญ่ที่สุดในย่านนี้!

ใช้เวลาไม่นานผมก็เดินมาถึงหน้าไนต์คลับ เห็นผู้ชายร่างใหญ่ยืนอยู่หน้าทางเข้าเลยกะว่าจะเข้าไปถาม

“สวัสดีครับคุณรัณย์” โอ๊ะ! เขารู้จักชื่อผมด้วย

“คือ... ผมมาหาคุณลูเซียน”

“บอสอยู่ในห้องส่วนตัวครับ ช่วงดึกจะมีแขกวีไอพีเข้ามาก็เลย...”

“ผมขอเข้าไปได้มั้ยครับ” รีบตัดบทให้รวบรัด คนเฝ้าด้านหน้าดูจะงงๆ นิดหน่อย แต่ก็ยังยิ้มให้ผมอยู่

“ได้สิครับ”

ยังไงก็ต้องขออนุญาตก่อนเพราะผมไม่รู้ระเบียบการของคลับนี้เลย ในเมื่อมีคนจำผมได้ก็แสดงว่าผมเคยมาที่นี่ แต่ให้นึกยังไงก็ไม่รู้สึกคุ้นๆ หรือมีภาพความทรงจำแวบเข้ามาในหัวสักอย่าง มิน่าผมถึงได้ตื่นตะลึงกับแสงสีเสียงและบรรยากาศคึกครื้นที่พร้อมพรั่งด้วยกลุ่มคนมากมายอย่างนี้

พอเข้ามาด้านใจผมก็ได้รับคำทักทายจากใครหลายๆ คนขณะเดินผ่าน ลูกค้าในนี้ส่วนใหญ่ดูเหมือนจะรู้จักผมกันทั้งนั้น พวกเขาใช้คำพูดอย่างเป็นกันเองแถมยังพากันมองผมเป็นตาเดียวอีกต่างหาก จากที่อยากถามใครสักคนว่าจะพบลูเซียนได้ที่ไหน กลับต้องกลายเป็นเดินหลบสายตาพวกเขาแทน

“ไงรัณย์!” จู่ๆ ก็มีคนเข้ามาพาดแขนคล้องคอผม จากนั้นก็ตะโกนพูดอยู่ข้างหูเนื่องจากด้านในเสียงเพลงดังมาก “กูกะแล้วว่ามึงต้องโผล่หน้ามา พวกหิ่งห้อยถึงได้พากันมองมึงตาละห้อย”

ผู้ชายคนนี้เป็นใคร?

“ผมมีธุระ ขอตัวก่อน”

“เฮ้!” เขายังล็อคตัวผมไว้ “เป็นอะไรไป ทำไมพูดจาแปลกๆ”

เอาล่ะ… วิธีเลี่ยงไปตรงๆ คงไม่เวิร์ก ถ้าอย่างนั้นก็ใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์เลยแล้วกัน

“ฉันกำลังไปหาลูเซียน เราเดินไปคุยไปได้มั้ย” ผมเปลี่ยนสรรพนามตัวเอง พร้อมถือโอกาสชักนำเขาให้พาไปหาลูเซียนโดยไม่บอกเหตุผลตรงๆ

“ได้สิ” ว่าแล้วก็กอดคอผมเดินไป “หลายวันนี้มีข่าวลือว่ามึงตัดขาดกับเซียนแล้ว... น่าขำนะว่ามั้ย”

พูดแบบนี้แสดงว่าผมอาจมีเรื่องไม่ลงรอยกับเขาสินะ ในเมื่อมันเป็นแบบนี้แล้ว ผมจะยอมนอนกับเจ้าตาสีฟ้านั่นเพื่อสัญญาของเขาทำไมกัน มันต้องมีเหตุผลอะไรแน่ๆ

“กูไม่ถามมึงเพราะกูรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เห็นมั้ยล่ะ คืนนี้มึงมาเหยียบที่นี่ก็แปลว่าข่าวลือนั่นมันปลอมชัดๆ”

“ทำไมถึงคิดว่าเป็นไปไม่ได้” ประเด็นนี้ปล่อยผ่านไม่ได้ ผมต้องถาม

ชายคนนั้นหยุดเดินพลางเอียงคอมองผม บริเวณนี้มีแสงวูบวาบพอให้เห็นหน้าเขาชัดเจน แม้จะมีความสูงที่มากกว่าผมไปสักหน่อยแต่รูปร่างไม่ต่างจากผมเลย ใบหน้าคมคาย ไหล่กว้าง มีรอยยิ้มสะกดใจ เขาดูเป็นคนร่าเริงและขี้เล่น แต่งตัวมีเสน่ห์ด้วยเสื้อเชิ้ตสีแดงเข้ม ผมยังแอบคิดอยู่นี่มันใช่ดาราหรือเปล่า ถึงได้มีออร่าขนาดนี้

ผมจ้องกลับจนอีกฝ่ายหรี่มองตาอย่างมีเลศนัย พร้อมส่งยิ้มหวานให้

“ถามใจมึงดูสิ”

หืม? พูดอะไรของเขา? ไม่เห็นจะเข้าใจ

เราสองคนเดินมาจนถึงห้องๆ หนึ่ง ชายคนนั้นพูดกับผมก่อนจากไปว่าถ้าคุยกับลูเซียนเสร็จแล้วให้ออกมาชนแก้วกันหน่อย หลายวันมานี้ไม่เห็นหน้าคร่าตาเลยอยากจะให้ผมอัพเดตชีวิตให้ฟัง ได้ยินอย่างนั้นผมก็ได้แต่พยักหน้าแทนที่จะบอกไปตรงๆ ว่าแม้แต่ตัวเองยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร

ผมเปิดประตูเข้าไปด้านใน สิ่งแรกที่เจอคือชายคนหนึ่งกำลังยืนโทรศัพท์อยู่คนเดียว

“ครับ ตกลงตามนี้”

ผมยืนมองแผ่นหลังของเขา เห็นมือหนึ่งจับโทรศัพท์ส่วนอีกมือใช้เปิดหน้าเอกสารบนโต๊ะ ผมค่อยๆ ย่องเข้าไปใกล้และหยุดยืนรอจนกว่าเขาจะคุยโทรศัพท์เสร็จ แต่ยืนอยู่ได้แปบเดียวชายตรงหน้าก็หันขวับมาหาผม เขาแสดงสีหน้าแปลกใจก่อนจะกดวางสายทั้งๆ ที่บทสนทนาเหมือนจะยังไม่จบดี

“รัณย์”

เขาเรียกชื่อผมได้ถูกต้อง งั้นนี่คงเป็นลูเซียนไม่ผิดแน่ น้ำเสียงของเขาดูสุขุมสมกับใบหน้าที่น่าจะมีอายุเกินสี่สิบ แต่งตัวมาดนักธุรกิจ จัดทรงผมได้เนี้ยบ สวมแว่นสายตาพร้อมกับมองมาที่ผมอย่างสงสัย 

“ทำไมคุณถึงให้ฝรั่งคนนั้นมาพาตัวผมไป...” ผมเข้าเรื่องทันที “คุณบอกเขาว่าผมอยู่ที่ไหน ทำให้ผมต้อง...” 

“ฉันว่าเราควรรอ...”

พูดไม่ทันจบ ชายตรงหน้าก็ต้องชะงักเพราะเสียงประตูที่ถูกเปิดออก เขามองบางอย่างที่อยู่ด้านหลังผมก่อนจะก้มหน้าลงเล็กน้อย และเมื่อผมหันไปก็พบกับชายร่างสูงใหญ่ในเสื้อคลุมหนังสีน้ำตาลเข้มกำลังเดินเข้ามาพร้อมมาดที่ทำให้ผมต้องมองอย่างพิจารณา ราวกับโดนสะกดด้วยรูปร่างหน้าตาและความสูงยาวเข่าดีของเขา

“ห้องวีไอพีไปถึงไหนแล้ว”

นั่นเป็นประโยคแรกที่ผมได้ยินจากปากคนเข้ามาใหม่ อยู่ๆ ก็ทำให้ผมนึกไปถึงน้ำเสียงของคนที่โทรมาเมื่อหลายวันก่อน

เอ๊ะ? หรือว่า...




“เรียบร้อยแล้วครับ คุณเซียน”

 

 

 

 



 

 





TBC

NEXT UPDATE 11/05/61 TIME 18:00
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-05-2018 00:12:33 โดย La_Pomme »

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
โหงยยยยย
อยากอ่านต่อ มว้ากกกกกกกกก
มีน อึน เอ๋อตามรัณย์เลยอ่า
ใคร อะไร ทำมายยยยยย
 :z3:

ออฟไลน์ ammchun

  • Don't Worry,Be Happy
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4
หงุดหงิด งุ่นง่าน ไม่อยากรอออออ :ling3: :ling3: :ling1: :ling1: :ling2: :ling2:

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 778
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0

ออฟไลน์ La_Pomme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
บทที่ 4
::ข้อต่อรอง::





**
จ้านโล่งอกทันทีที่รู้ว่ากรัณย์ปลอดภัยดี ก่อนหน้านั้นเขาเดินตามหาทั่วโรงพยาบาล ไม่ว่าจะถามใครก็ไม่มีเบาะแส ร้อนใจอยู่สักพักก็นึกอะไรขึ้นได้ รีบเดินเข้าไปขอเจ้าหน้าที่ดูกล้องวงจรปิดจนได้พบชายกลุ่มหนึ่งตรงปรี่เข้าไปลักพาตัวเพื่อนรักของเขาขึ้นรถ จ้านเห็นท่าทางตกใจของกรัณย์ก็เดาออกว่าคงไม่เต็มใจแน่ จึงตัดสินใจนำหลักฐานที่เป็นคลิปชิ้นนี้ไปสถานีตำรวจเพื่อตรวจสอบเจ้าของรถ

ชายหนุ่มเล่าสถานการณ์ให้ตำรวจฟังอย่างละเอียด แต่รอจนมืดค่ำก็ไม่มีวี่แววว่าจะได้คำตอบ เขาเริ่มสงสัยกับท่าทีนิ่งเฉยเกินไปของพวกตำรวจ พยายามคาดคั้นก็ไม่เป็นผล จากความรู้สึกแปลกๆ เริ่มกลายเป็นกลัวว่าคนกลุ่มนั้นจะมีอิทธิพลจนตำรวจไม่กล้ายุ่ง

จริงๆ แล้ว ในใจจ้านมีคนคนหนึ่งที่คิดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนที่พาตัวกรัณย์ไป และเขาคนนั้นก็คือ ‘ลูเซียน’ แต่ความรู้ด้านกฎหมายกลับยับยั้งความร้อนใจของเขาไว้ เพราะถ้าพลีพล่ามเข้าไปโวยวายใส่โดยไม่มีหลักฐานก็เท่ากับว่ากล่าวหาผู้อื่น และอาจโดนข้อหาใส่ความเท็จได้โดยง่าย อันที่จริงลำพังตัวเขาไม่ได้กลัวการเผชิญหน้ากับชายคนนั้นอยู่แล้ว เพียงแต่การโดนเรื่องคดีมันส่งผลกระทบไปถึงครอบครัวด้วย เขาจึงไม่ขอเสี่ยงดีกว่า

จนเมื่อกรัณย์โทรมาเล่าว่ากำลังไปหาลูเซียน จ้านก็รู้ทันทีว่าเขาคิดถูก!

ขณะนี้เขากำลังจะเข้าไปตามหากรัณย์ในไนต์คลับ แต่ในระหว่างที่กำลังถอดเข็มขัดนิรภัยก็มีใครบางคนมาเคาะกระจกฝั่งคนขับ เจ้าของรถจึงหันไปมอง

“ติณณ์” เขาเรียกชื่อชายคนหนึ่งที่กำลังส่งสัญญาณด้วยมือว่าให้ลดกระจกลง

“ไอ้จ้าน!” ชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีแดงแสดงสีหน้าดีใจที่ได้เจอเพื่อนโดยบังเอิญ “กูเห็นรถมึงเข้ามาจอดเลยเดินตามมา... มาทำอะไรที่นี่วะเนี่ย” เขาพูดพลางโค้งตัวลงเพื่อให้อยู่ในระดับสายตากับคนในรถ

“คือ...” จ้านอึกอัก ขณะที่ติณณ์จะหุบยิ้มคล้ายกับนึกอะไรขึ้นได้

“อ้า ไม่น่าถาม เห็นไอ้รัณย์ก็น่าจะรู้แล้วว่ามึงมาทำไม”

“มึงเห็นมันด้วยหรอ? มันเป็นไงบ้างวะ ยังโอเคใช่มั้ย” จ้านอยากรู้และแสดงความกระวนกระวายเป็นพิเศษ ทำให้อีกฝ่ายจ้องมองเขาอย่างสงสัย

“ก็เหมือนเดิม แค่ตัดผมใหม่กับท่าทางแปลกๆ” จนถึงตอนนี้ติณณ์ยังงงกับการใช้คำพูดของกรัณย์อยู่ เดินเข้าไปกอดคอก็มองเขาเหมือนคนแปลกหน้า แถมตอนคุยกันยังเรียกตัวเองว่า ‘ผม’ ด้วย

เจ้ารัณย์มันเคยพูดจาดีดีกับเขาซะที่ไหน!

“อ่อ” จ้านโล่งอก อย่างน้อยรัณย์ก็ยังไม่ได้บอกเรื่องสูญเสียความทรงจำกับติณณ์

“กูไปหาที่คณะเลยได้ข่าวว่ามึงขาดเรียนไปหลายวัน พอโทรหาก็ไม่รับ ไปที่คอนโดก็ไม่อยู่ มึงหายหัวไปไหนของมึงวะ” น้อยครั้งที่เด็กเรียนอย่างจ้านจะยอมให้ตัวเองขาดเรียน และถึงขั้นไม่อยู่ที่คอนโดด้วยมันก็ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่

“กูมีธุระสำคัญที่บ้านน่ะ” จ้านตอบกลับสั้นๆ โดยไม่เงยมองหน้าคนพูดด้วย ติณณ์นิ่งไปทันที แววตาเปลี่ยน สีหน้าบึงตึง ก่อนจะพ่นลมออกจากจมูกอย่างไม่สบอารมณ์

“รู้ว่าโกหกกูไม่ได้แล้วยังจะพยายามอีก” จ้านหลบตาลงอย่างจำยอม ติณณ์มองเขาได้ทะลุโปร่งจริงๆ ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนดูง่ายหรือเพื่อนคนนี้อ่านใจคนเก่งกันแน่ เพราะตั้งแต่คบกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมต้น ติณณ์ก็เดาความคิดเขาออกหมดราวกับมานั่งอยู่ในหัว

“ไอ้รัณย์ไม่สบาย ก็เลย...”

“พอเถอะ!” ติณณ์ตะเบ็งเสียงกร้าว เป็นจังหวะเดียวกับที่มีชายคนหนึ่งตะโกนเรียกชื่อเจ้าตัวจากด้านหลัง พร้อมกับเร่งให้ไปหาไวไว

“มีคนเรียกมึงอยู่ เขารีบรึเปล่า” จ้านเอ่ยถาม

“ช่างปะไร ขนาดชื่อมันกูยังไม่รู้เลย”

“ฮะ? ไม่รู้จักแล้วไปกับเขาทำไม”

“กูไม่อยากกลับบ้าน... พอหมอนั่นชวนไปดื่มต่อกูก็เลยตกลง” ฟังเหมือนมีอะไรแอบแฝงมากับน้ำเสียงนั้น จ้านลองคิดๆ ดูก็พอจะเดาออกได้เรื่องหนึ่ง

“ทะเลาะกับพ่ออีกแล้วรึไง”

“ฮึ! เขาก็หาเรื่องต่อว่ากูได้ตลอดนั่นแหละ ถ้าไม่ติดว่าทุกวันนี้ยังต้องแบมือขอเงินเขา กูคงเก็บข้าวของหนีออกจากบ้านนานแล้ว” ชายหนุ่มชะงักกับคำพูดที่ไม่คิดว่าจะได้ยิน จนกระทั่ง “ทำไงได้ กูไม่มีคนรับเลี้ยงเหมือนไอ้รัณย์นี่หว่า”

“ไอ้ติณณ์!” จู่ๆ จ้านตะคอกใส่ด้วยท่าทางขึงขัง ทำให้คนฟังผงะไปชั่วครู่

ติณณ์ยืนมองความไม่พอใจของเพื่อนสมัยมัธยมที่ถูกแสดงออกมาอย่างเด่นชัด แม้ตอนนี้พวกเขาจะไม่สนิทชนิดที่ว่าไปไหนมาไหนด้วยกันเหมือนแต่ก่อนเพราะเรียนอยู่ต่างคณะ แต่ติณณ์ก็รู้ว่าจ้านไม่เปลี่ยนไปเลย ยังเป็นคนจิตใจดี ชอบช่วยเหลือคนอื่น ทำอะไรด้วยเหตุและผล หากมีเรื่องอะไรให้คิดหนักเขาจะไม่ละเลย นับว่าเป็นคนใจเย็นที่สุดเท่าที่ติณณ์เคยรู้จักมา ทว่ากลับมีบางสิ่งที่ทำให้จ้านมักเป็นเดือดเป็นร้อน กังวลจนขาดสติ จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และคนที่ทำให้จ้านเป็นถึงขนาดนี้ได้ก็มีเพียงคนคนนั้น

กรัณย์... เพื่อนวัยเด็กที่จ้านรู้จักตั้งแต่จำความได้

“กูพูดผิดตรงไหน” นาทีนี้ติณณ์รู้สึกไม่ต่างกับโดนอะไรบีบรัดให้เหน็บชา “จริงสิ เมื่อกี้กูชวนไอ้รัณย์มาดื่มเหล้าด้วยกัน บอกว่าจะรอมันแต่ดันออกมาก่อน ฝากขอโทษมันด้วยละกันนะ ก็แหม...เห็นเข้าไปในห้องทำงานของลูเซียนนานขนาดนั้น กูเลยคิดว่ามันคงอยากดื่มอย่างอื่นมากกว่า”

จ้านกำหมัดแน่น พยายามขบฟันไม่ให้ตัวเองพลีพลาม ทุกครั้งที่ติณณ์เมามักจะพูดอะไรไม่คิด แม้จะโกรธแค่ไหนก็ทำได้แค่ปล่อยให้มันผ่านไป

จริงอยู่ที่จ้านรับรู้ในสิ่งที่เพื่อนรักตัดสินใจเลือกวิถีการดำเนินชีวิตในแบบของตัวเอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยถามถึงเหตุผลเพราะพยายามจะเข้าใจมัน ด้วยความเป็นเพื่อนบางครั้งจ้านก็แอบกังวลความรู้สึกของอีกฝ่าย เขาถึงต้องระวังคำพูด ระวังความนึกคิด เนื่องจากเรื่องแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะพูดเหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดาได้ และเมื่อความสัมพันธ์ของพวกเขาดันมีขอบเขตที่ควรเลี่ยงขึ้นมา มันก็ไม่แปลกที่จะทำให้อะไรๆ ดูไม่เหมือนเดิม

**









ตอนแรกเข้าใจผิดว่าชายมีอายุที่เจอในห้องคนแรกคือลูเซียน ผมยังไม่รู้สึกเกร็งเท่าไหร่ แต่พอเห็นลูเซียนตัวจริงแล้วผมกลับทำอะไรไม่ถูก แววตาดุดันทำให้ผมไม่กล้าสบตา อารมณ์เหมือนมวลอากาศต่ำลง แม้เป็นห้องขนาดใหญ่ก็ยังทำให้ผมอึดอัดได้

ระหว่างมองลูเซียนเดินไปนั่งยังประจำที่ของตัวเอง ท่วงท่าการถอดเสื้อคลุมพาดไว้บนเก้าอี้ ประกอบกับแสงไฟสลัวและรูปภาพจิตรกรรมของราชสีห์แยกเขี้ยวที่แขวนอยู่เหนือหัว มันยิ่งทำให้เขาดูมีพลังอำนาจในแบบปีศาจหรือซาตานอะไรเทือกนั้น
 
“ไม่มีใครบอกเขาหรอว่าวันนี้ผมมีแขก” ลูเซียนพูดกับชายใส่แว่น จากการสังเกตอยู่ห่างๆ ผมว่าชายที่ผมทักผิดคนนี้น่าจะทำงานให้ลูเซียนในฐานะลูกน้อง กระทั่งเขาขอตัวออกจากห้องไป มารู้ตัวอีกทีผมก็อยู่กับเจ้าของไนต์คลับตามลำพังซะแล้ว

“มีอะไร” คำพูดดุดันทำผมสะดุ้งเล็กน้อย

“ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณ”

ขณะนั้นลูเซียนเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ยกเท้าขึ้นไขว่ห้างพลางพูดสั้นๆ “สิบนาที”

“ผมเจอชาวต่างชาติคนนั้นแล้ว”

“ฉันรู้” คำตอบของเขาทำผมเลิกคิ้วสูง

“เขาทำอะไรกับผม คุณก็รู้ใช่มั้ย” ผมเน้นเสียงในระหว่างที่ลูเซียนหมุนแหวนตรงนิ้วชี้ไปมา แสดงท่าทีเฉยชา เอาแต่จ้องแหวนวงนั้นโดยไม่มองหน้าผม

“มาที่นี่เพราะอยากเล่าให้ฉันฟังรึไง” ได้ยินแล้วถึงกับอ้าปากค้าง ผมรู้สึกเหมือนโดนยัวะยังไงไม่รู้

“คุณหาว่าผมหักหน้า เพราะอย่างนั้นคุณเลยบอกเขาว่าผมอยู่ไหน เพื่อที่เขาจะได้ส่งคนมาเอาตัวผมไปใช่มั้ยครับ แล้ว… มันเรื่องอะไรคุณถึงทำแบบนี้” ผมจ้องหน้าลูเซียนอยู่อย่างนั้น แวบหนึ่งแอบเห็นหางคิ้วเขากระตุกเล็กน้อย แล้วค่อยกลับมาแสดงสีหน้าผ่อนคลายตามเดิม ช่างเป็นคนที่สงวนท่าทีเหลือเกิน

“จะโทษใครได้ในเมื่อนายเลือกเอง”

“ผมอยากให้ตัวเองไปพัวพันกับเรื่องแบบนี้งั้นหรอ?” แทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

“แต่ดูนายไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่” ไม่แปลกที่เขาจะไม่เป็นเดือดเป็นร้อน เพราะคงดูรู้อยู่แก่ใจดีว่าผมต้องเจอกับอะไรบ้าง กล่าวหาว่าผมเป็นฝ่ายเลือกเองแต่ไม่ยอมบอกเหตุผลที่ผมควรทำแบบนั้น

อะไรทำให้ผมต้องยอมทำเพื่อให้ฝรั่งนั่นเซ็นสัญญากับเขากันแน่!

“ฉันเคยเตือนนายแล้วว่าอีวานไม่ใช่คนที่นายจะรับมือได้ หมอนั่นเหมือนสัตว์ป่าที่หิวโหยตลอดเวลา ต้องการหาอะไรแปลกใหม่ เบื่อง่าย ไม่จมปรักกับใคร” พูดจบลูเซียนก็เงยหน้ามองผมด้วยสายตาดุดัน “เป็นนายที่เสนอตัวเอง ฉะนั้นไม่ว่าอีวานจะทอดทิ้ง ไม่แยแส หรือทำเหมือนนายเป็นของเล่นยังไง... นายก็ต้องยอมรับ”

“ผมเสนอตัวเอง?” รีบถามซ้ำอีกรอบ ถึงจะรู้แล้วว่าฝรั่งนั่นมีชื่อว่า ‘อีวาน’ แต่ผมก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่อยากจะรู้ “แต่การที่ผมไม่ไปตามนัด คุณไม่คิดบ้างหรอว่าผมอาจไม่อยากทำแบบนั้น”

ลูเซียนพูดเองว่าผมคิดหนี แสดงว่าการไปเจอกับอีวานอาจไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากทำจริงๆ

“นายแค่อยากหักหน้าฉัน... เพราะอะไรที่สามารถทำลายฉันได้ นายพร้อมจะทำอยู่แล้ว” ชายตรงหน้าใช้น้ำเสียงเข้ม ส่งความตึงเครียดผ่านสายตาคมกริบมาให้ผม “อย่าทำเหมือนไม่อยากขึ้นเตียงกับใคร เพราะไม่ว่าอะไรที่ทำให้นายมีเงิน ได้ใช้ชีวิตสวยหรู นายก็เอาร่างกายแลกมันมาได้ทั้งนั้น”

“ผม... ขายตัว?” ริมฝีปากผมสั่นระริก คล้ายมีลมพายุซัดกระหน่ำตัวผมให้ลอยเคว้งอยู่บนอากาศ อยู่ๆ ขาทั้งสองข้างก็รู้สึกอ่อนแรงอย่างไม่ทราบสาเหตุ

“นายทำอะไร ย่อมรู้อยู่แก่ใจ”

ผมแทบล้มทั้งยืน สองมือกำแน่นจนเล็บจิกเนื้อตัวเอง จากที่บอกตัวเองว่ามันก็แค่เรื่องเหลวไหล ไม่เป็นความจริง เพียงฟังประโยคเมื่อครู่ เหตุผลที่ผมมาที่นี่ก็ดูเหมือนจะได้รับคำตอบแล้ว

ที่ผ่านมาผมใช้ชีวิตแบบนี้เองหรอ ร่างกายถูกต้องมลทินจากผู้ชายด้วยกัน อย่าบอกนะว่าสาเหตุที่ทำให้ร่างกายผมถูกกระตุ้นไปตามเกมของอีวานง่ายๆ เป็นเพราะมันไม่ใช่ครั้งแรก

“ไหนว่าตัดขาดกับฉันแล้วจะไม่มาเหยียบที่นี่อีก พูดอะไรไว้หัดมีสัจจะบ้าง หรือถ้าตั้งใจมาทวงข้อต่อรองไร้สาระนั่น ก็ไสหัวออกไปซะตอนนี้เลย”

 “ข้อต่อรอง?” หรือว่านี่จะเป็นสาเหตุที่ผมยอมเอาตัวเข้าแลกเพื่อให้เขาได้ทำสัญญากับอีวาน
 
“นายมันฉลาดแต่เรื่องโง่ไม่เปลี่ยน เอาอะไรมามั่นใจว่าธุรกิจเป็นร้อยล้านจะได้มาเพียงเพราะนายเสนอตัวนอนกับอีวาน คิดว่าตัวเองมีค่ามากถึงขนาดส่งผลต่อการตัดสินใจของหมอนั่นรึไง” ผมตั้งใจฟังคำพูดของลูเซียนทุกคำโดยไม่ขัด “เขาจะเซ็นสัญญาหรือไม่มันขึ้นอยู่กับแผนธุรกิจของฉันต่างหาก อีวานฉลาดพอที่เห็นว่าการเปิดคาสิโนในฮ่องกงจะทำให้เขาเฟื่องฟูขนาดไหน... สุดท้ายเขาถึงได้ยอมเซ็นสัญญากับฉัน”

จะว่าไปเรื่องที่ลูเซียนพูดก็น่าคิด ตอนนั้นผมเอาอะไรมามั่นใจว่าแค่ยอมนอนกับอีวานแล้วเรื่องเซ็นสัญญาจะสำเร็จ ฟังดูหลงตัวเองชะมัด แถมไม่เห็นว่าผมจะได้อะไรจากการทำแบบนี้เลย

“ทีนี้เข้าใจรึยังว่าหมอนั่นแค่ต้องการนอนกับนายเพื่อเก็บใส่คอลเลกชั่น ส่วนนายก็คงได้ค่าตอบแทนที่มากพอดู” คำพูดของลูเซียนทำให้ผมนึกถึงบัตรเครดิตไม่จำกัดวงเงินที่ได้มาจากอีวาน “สรุปว่าเงินต่างหากที่นายต้องการ แต่มันคงดูง่ายไปถึงได้ยกข้อต่อรองนั่นขึ้นมา”

ลูเซียนสื่อให้เห็นว่าผมต้องการเงิน โดยอาศัยเรื่องสัญญาของพวกเขามาเป็นข้ออ้างเพื่อเข้าถึงอีวาน แต่ขอโทษเถอะ ผ่านมาจะครบสิบนาทีแล้วผมยังไม่ได้รับคำตอบเรื่องข้อต่อรองเลย

ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องทำให้เขาหลุดพูดออกมาเอง…

“แปลว่าคุณจะไม่ทำตามข้อตกลงของเรา”

“ตอนนี้ไม่ว่านายคิดอะไรอยู่ ฉันขอแนะนำให้เลิกคิดซะ” ลูเซียนกระตุกหางคิ้วเล็กน้อย

“ถ้าผมไม่ทำล่ะ”

อะไร? ข้อต่อรองที่ว่านั่นคืออะไร!


“ต่อให้นายเอาทุกอย่างมาแลก... ฉันก็ไม่มีทางนอนกับนาย”













TBC

NEXT UPDATE 12/05/61 TIME 18:00
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 12-05-2018 01:39:43 โดย La_Pomme »

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
อั๊ยยะ!!!
กระทืบไลค์ดวยบวกอย่างเร็ว
ความพัวพันนี้ช่างล้ำลึก โอ้ววววววว
 :a5:

ออฟไลน์ cheezett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
อะไรยังไง  :ling1: :ling1: :ling1:

ออฟไลน์ ammchun

  • Don't Worry,Be Happy
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +54/-4
รัณย์นี่ดูรุงรังจัง แบบดื้ออะ  :katai1:

ออฟไลน์ La_Pomme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
บทที่ 5
::ทิ้งอดีต::





ตอนเดินออกมาจากไนต์คลับ สายตาผมเหม่อลอยคอยมองพื้นมาตลอดทาง ในหัวเอาแต่คิดว่านี่มันเรื่องบ้าอะไร ชีวิตผมมันยังมีเรื่องแย่กว่าการโดนพ่อทิ้งให้อยู่คนเดียวอีกหลายเท่า พบว่าความจำเสื่อม ออกจากโรงพยาบาลมาก็โดนจับตัวไปมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้ชายด้วยกัน เรื่องนั้นทำให้ผมรังเกียจตัวเองแทบตายสุดท้ายกลับมารู้ว่าที่ผ่านมาผมใช้ชีวิตไม่ต่างกับผู้ชายขายตัว วันนี้ได้รู้จักตัวเองไปอีกขั้น แต่ทั้งหมดล้วนมาจากคำพูดของคนอื่น ไม่มีเรื่องไหนมาจากทรงจำของผมเลย

นี่มัน... ชีวิตผมแน่หรอ?

ผมเป็นใคร เจออะไรมาบ้าง และกำลังเผชิญหน้ากับอะไรอยู่ สิ่งที่ผมเจอในค่ำคืนอันแสนโหดร้ายทำให้ฉุกคิดได้ว่าผมควรทิ้งทุกสิ่งที่เคยมีแล้วเริ่มต้นใหม่ โดยไม่พยายามทำให้ตัวเองจำชีวิตในอดีตได้เด็ดขาด

พอกันที! ผมจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้หมด ไม่มาเหยียบที่ไนต์คลับ ไม่รู้จักคนที่ชื่อลูเซียนหรือฝรั่งตาสีฟ้านั่น ผมจะเปลี่ยนเบอร์ใหม่ ใช้ชีวิตใหม่ เดินหน้าต่อโดยไม่ถามหาอดีต ไม่ว่าผมจะเคยเป็นอะไรมันจะจบแค่นั้น หรือหากเป็นประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าที่ต้องการประทานชีวิตใหม่ให้ ผมก็จะใช้โอกาสนี้เปลี่ยนแปลงชะตาตัวเองซะ

เดินมาจนถึงหน้าไนต์คลับ สายตาผมไปสะดุดกับชายสวมเสื้อเชิ้ตแดงที่ยืนอยู่ข้างรถซีดานฝั่งตรงข้าม ยืนมองอยู่สักพักชายคนนั้นก็เดินไปกับชายคนหนึ่ง เห็นแวบเดียวผมก็จำได้ทันทีว่าเขาคือคนที่เข้ามากอดคอผมและพาไปหาลูเซียนที่ห้องส่วนตัว

ผมกำลังจะหยิบมือถือเพื่อโทรหาจ้าน แต่จังหวะที่เห็นชายคนนั้นเดินผละจากตรงรถจอดอย่างกระฟัดกระเฟียด ก่อนจะข้ามถนนมาขึ้นรถของใครอีกคน ผมบังเอิญเห็นจ้านออกมาจากรถซีดานคันแรกพอดี แบบนี้ก็แปลว่าผู้ชายสวมเชิ้ตแดงกับจ้านรู้จักกัน
ภายหลังจากที่ผมขึ้นรถและถามถึง จ้านก็เล่าคราวๆ ว่าเราสามคนรู้จักกันตั้งแต่เรียบมัธยมต้น

ชายคนนั้นมีชื่อว่า ‘ติณณ์’ ปัจจุบันเรียนบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัยเดียวกันกับจ้าน ครอบครัวทำธุรกิจจิวเวลรี่ อาศัยอยู่กับพ่อและพี่ชาย ส่วนแม่แยกทางไปแต่งงานใหม่กับชาวต่างชาติ ในเมื่อเราเป็นเพื่อนกันแต่จ้านกลับไม่ให้บอกเรื่องที่ผมความจำเสื่อมกับติณณ์ เมื่อถามถึงเหตุผล จ้านก็ตอบเพียงว่า ‘หมอนั่นไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว’

หลังจากพูดถึงติณณ์จบ จ้านก็ขอให้ผมเล่าเรื่องที่โดนจับตัวไปบ้าง แต่ก่อนจะเริ่มเรื่องผมมีบางอย่างอยากถามเขาก่อน “จ้าน... นายรู้มั้ยว่ามีคนรับเลี้ยงฉัน”

“ลูเซียนบอกอะไรมึง” จ้านถลึงตา แสดงออกซะชัดเจนจนผมไม่ต้องจี้ถามต่อ

“เป็นความจริงสินะ”

เขาอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่สักพัก ก่อนจะพยักหน้าเป็นคำตอบ

“ขอโทษที่ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ให้ฟัง คือ... กูคิดว่ามันเร็วไปที่จะบอกมึงน่ะ” จ้านหน้าเสีย ท่าทีกระอักกระอ่วน “กูอาจใช้ความคิดตัวเองตัดสิน แต่มึงไม่ได้ชอบที่จะชีวิตแบบนั้นหรอก กูรู้สึกได้ เพราะงั้นกูถึงไม่อยากบอกเรื่องนี้ เผื่อว่าการสูญเสียความทรงจำจะทำให้มึงเริ่มต้นชีวิตใหม่จริงๆ สักที”

“นายไม่จำเป็นต้องขอโทษ ฉันรู้ว่าทุกอย่างที่นายทำก็เพื่อฉันทั้งนั้น” ผมมองเห็นความจริงใจในตาจ้าน จนนึกสงสัยว่าเมื่อก่อนเขาเคยมองผมแบบไหน รังเกียจกับสิ่งที่ผมเป็นบ้างหรือเปล่า “นายรับฉันได้ด้วยหรอ”

“ไม่ว่ามึงเป็นอะไร กูก็รับได้ทั้งนั้น” เขาตอบหลังจากผมถาม โดยไม่ต้องเสียเวลาคิด

“มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมฉันถึงเลือกทางเดินนี้”

“หลังจากพ่อทิ้งมึงไปมั้ง ตอนนั้นเราเพิ่งเรียนจบม.ปลายกันหมาดๆ กูกำลังง่วนอยู่กับมหา’ลัยที่จะสอบเข้า ส่วนมึงก็หายไปจากชีวิตกูเลย ไม่ได้ข่าวคราวอยู่หลายปี จนมาช่วงหลังนี่แหละที่เรามาเจอกันอีก... ถ้าเกิดย้อนเวลากลับไปได้กูจะพยายามตามหามึง อยู่ข้างๆ มึง จะห้ามไม่ให้มึงทำอะไรแบบนี้แน่นอน”

“ตอนรู้เรื่องนี้ ฉันพอจะเดาออกว่านายรู้สึกยังไง” ผมพูดจบก็นิ่งไป เอาแต่คิดว่าความทรงจำก่อนเมื่อก่อนผมควรทำให้ตัวเองจำได้หรือทิ้งมันไปให้หมดดี คิดมากถึงขั้นว่าถ้ากลับมาจำได้อีกครั้งผมยังจะเลือกใช้ชีวิตแบบไหน แล้วที่จ้านบอกว่าผมไม่ได้ชอบชีวิตแบบนี้จะแสดงว่าผมไม่มีทางเลือกรึเปล่า

สักพักจ้านก็สตาร์ทเครื่องและขับออกไปจากแหล่งสถานบันเทิง...

“ว่าแต่คนที่จับตัวมึงไปเป็นใคร แล้วลูเซียนพูดอะไรกับมึงบ้าง” ผมเข้าใจในความข้องใจของจ้าน แต่ถ้าจะให้เล่าละเอียดก็น่าลำบากใจเกินไป จริงอยู่ที่ผมไว้ใจเพื่อนคนนี้ แต่เรื่องระหว่างผมกับอีวานมันทำให้กลืนไม่เข้าคายไม่ออก สิ่งที่ทำได้คือเล่าในแบบฉบับที่ฟังง่ายและปกปิดเรื่องที่ควรเก็บเงียบเอาไว้

“พวกนั้นเป็นลูกน้องของอีวาน... เขาคงจะเป็นหนึ่งในคนที่มาติดพันฉันมั้ง เห็นบอกว่าฉันไม่ยอมไปตามนัดก็เลยให้คนมารับตัว พอคุยกันไปพักหนึ่งถึงได้รู้ว่าที่ผ่านมาฉันใช้ชีวิตน่าสมเพชแค่ไหน” ผมกังวลที่ต้องซ้อนความคับแค้นใจต่อหน้าคนฉลาดอย่างจ้าน ไม่รู้สกิลการปิดบังเรื่องบางอย่างของผมจะใช้ได้แค่ไหน “ตอนนั้นฉันสับสน ไม่รู้ว่ามันเป็นความจริงรึเปล่า พออีวานบอกว่าลูเซียนเป็นคนกลางที่ชักนำให้ฉันกับเขารู้จักกัน ฉันเลยตั้งใจว่าจะไปหาคำตอบกับลูเซียนด้วยตัวเอง เพราะตอนนั้นฉันไม่มั่นใจว่านายจะรู้เรื่องนี้ด้วยมั้ย แต่สุดท้าย... ความจริงมันก็คือความจริง”

“แล้วคนที่ก่อเรื่องมันรู้ได้ยังไงว่ามึงอยู่ที่โรงพยาบาล” ไปถามประเด็นอื่นแล้ว แสดงว่าจ้านไม่น่าจะรู้จักอีวาน และไม่รู้ว่าผมกับหมอนั่นมีข้อตกลงอะไรกัน

“ลูเซียนเป็นคนบอก”

“หึ ตามจากสัญญาณโทรศัพท์มึงสินะ” คำพูดของจ้านทำให้ผมแปลกใจ ก่อนจะนึกไปถึงตอนที่ผมหยิบมือถือขึ้นมาเปิดเครื่อง และไม่นานลูเซียนก็โทรเข้ามาทันที

อ่า... เข้าใจแล้ว!

“เพราะอย่างนี้ นายถึงรีบปิดเครื่องให้ฉันใช่มั้ย” ผมถามโพล่งออกไป “แล้วนายรู้ได้ยังไง”

“เพราะมึงไม่เคยปิดโทรศัพท์”

หา?

“ช่วงที่มึงเบื่อๆ จะชอบมาหากูที่คอนโด แต่รู้ทั้งรู้ว่าพวกไฮโซที่มาติดพันมันตามสัญญาณโทรศัพท์ได้ มึงก็ยังจะเปิดมือถือไว้ สุดท้ายเป็นไง แค่วันเดียวมึงก็ถูกรับกลับไปแล้ว กูเคยคิดว่ามึงคงตั้งใจให้เป็นแบบนั้นถึงไม่ถามว่าเพราะอะไร แต่ทุกครั้งที่มีคนโทรมาสร้างความรำคาญ โทรมาตื้อ โทรมาชวนไปไหนต่อไหน มึงก็ไม่เคยปิดโทรศัพท์ ขนาดแบตใกล้หมดมึงยังต้องรีบชาร์ตเลย” จ้านพูดไปขับรถไป กระทั่งถึงทางแยกไฟแดง เขาก็พูดต่อ “ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า แต่กูรู้สึกได้ว่ามึงไม่อยากปิดมัน”

“ที่นายปิดเครื่อง ไม่ใช่เพราะรู้ว่าลูเซียนจะโทรมาหรอกหรอ” จ้านพยักหน้าพร้อมกับหันมาจ้องหน้าผมตรงๆ

“กูเองก็เพิ่งรู้ว่ามันตามสัญญาณมือถือของมึงได้เหมือนกัน” ว่าจบก็ถอนหายใจเล็กน้อย “เอาจริงๆ กูนึกอยู่แล้วแหละว่าลูเซียนอาจรู้เรื่องที่มึงถูกพาตัวไป แต่ไม่อยากพลีพลามใส่ความมันโดยไม่มีหลักฐาน ไม่อย่างนั้นกูอาจจะโดนแจ้งความกลับได้”

“ทำไมถึงคิดว่าลูเซียนมาเกี่ยวด้วยล่ะ”

“ก็ทุกคนที่มึงคบค้าสมาคมด้วย แต่ละคนเกี่ยวข้องกับลูเซียนทั้งนั้น” ผมอ้าปากกว้าง ไม่คิดว่าวันนี้จะได้ฟังเรื่องราวชวนช็อกหลายๆ เรื่องพร้อมกัน

แล้วมันเรื่องอะไรผมถึงต้องไปยุ่งกับคนที่รู้จักกับลูเซียน

ความบังเอิญ หรือว่า... ตั้งใจ?

“นายช่วยเล่าเรื่องระหว่างฉันกับลูเซียนให้ฟังหน่อยสิ” ผมถามจ้านและรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ

“กูไม่ค่อยรู้รายละเอียดเท่าไหร่ มึงเคยพูดให้ฟังแค่ว่ามันเป็นคนไต้หวันที่โตในไทย เปิดบริษัทเงินกู้เป็นธุรกิจหลัก รองลงมาก็เป็นเจ้าของไนต์คลับ สปอร์ตคลับ แต่เบื้องหลังเกี่ยวข้องธุรกิจมืดนับไม่ถ้วน... มึงว่าหมอนั่นเป็นคนร้ายกาจ ไม่มีหัวใจ มึงไม่ชอบหน้า เกลียดมันยังกับอะไรดี ส่วนจะรู้จักกันได้ยังไงกูไม่รู้เหมือนกัน”

คนอันตรายชัดๆ เจ้ารัสเซียฮ่องกงที่ชื่ออีวานนั่นก็ด้วย ไม่แปลกหรอกที่ผมจะไม่ชอบเขา เพราะขนาดคุยกันเมื่อกี้ผมไม่ถูกชะตาเลย หลังจากเหตุการณ์วันนี้ทำให้ผมคิดอะไรได้หลายอย่าง และสิ่งแรกที่ผมจะทำคือเลิกยุ่งกับลูเซียนซะ

“นายไม่ต้องห่วงนะ ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ขอเจอหน้าพวกเขาอีก ทิ้งอดีตทุกอย่างให้หมดแล้วเริ่มต้นใหม่”

จ้านหันมายิ้มกับผม พร้อมกับเอ่ยขึ้น “กูจะช่วยมึงเอง”

พรุ่งนี้คือวันใหม่ของผม กรัณย์คนเก่าจะเป็นยังไงก็ช่าง ผมจะไม่ย้อนกลับไปทำในสิ่งที่ผิดอีกเด็ดขาด

‘ต่อให้นายเอาทุกอย่างมาแลก... ฉันก็ไม่มีทางนอนกับนาย’

อะไร? อยู่ๆ ก็นึกขึ้นมาเฉยเลย ถึงเกาหัวตัวเองยิกๆ ก็สลัดคำพูดนี้ออกจากหัวไม่ได้ ทำไมผมต้องอยากนอนกับลูเซียนกันนะ จ้านบอกเองว่าผมไม่ชอบหน้าเขา แล้วมีเหตุผลอะไรที่ต้องเสนอข้อต่อรองแบบนั้น

หรือว่า...

ผมจะเคย ‘ชอบ’ เขา!










เมื่อคืนจ้านนำอัลบั้มรูปสมัยเด็กของเรามาให้ผมดู ก่อนจะไปนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานนานหลายชั่วโมง จนถึงตี 5 กว่าๆ เพิ่งได้นอน ผมคิดว่ามันน่าเป็นงานของอาจารย์ที่ต้องทำส่ง เนื่องจากหลายวันมานี้เขาไม่มีเวลาทำเพราะมัวแต่ไปเฝ้าผมที่โรงพยาบาล อีกอย่างเมื่อวานตอนผมถูกคนพาตัวไปเขาก็ยังไม่วายพยายามตามหาผม กว่าจะกลับมาก็ดึกดื่นเที่ยงคืน แถมเช้ามายังต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปมหาวิทยาลัยอีก

ก่อนออกจากคอนโดจ้านบอกว่าถ้าหิวก็โทรสั่งรูมเซอร์วิสเอา พร้อมทิ้งเงินไว้ให้ ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเวลาประมาณ 9 โมง เริ่มท้องร้องเพราะเมื่อคืนไม่ได้ทานอะไร จึงโทรสั่งข้าวตามเบอร์ที่จ้านทิ้งไว้

ไม่นานก็มีเสียงคนมาเคาะประตู คงเป็นรูมเซอร์วิส มาไวขนาดนี้ต้องชื่นชมหน่อยแล้ว

ผมเดินไปเปิดประตูพร้อมแบงค์ห้าร้อยในมือ แต่คนที่ปรากกฎตรงหน้ากลับไม่ได้ถืออะไรมา นอกเสียจากลูกสมุนอีกสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง และให้ตายเถอะ ผมร้องสบถทันทีที่เห็นหน้าผู้ชายหัวโล้นใส่แว่นดำ

ลูกน้องของอีวาน!

ผมรีบปิดประตูแบบสายฟ้าแลบ แต่ดันไม่ไวกว่าเจ้าคนพวกนี้ ฝั่งนั้นใช้แขนบึกๆ ขวางประตูไม่พอ ยังจะจับข้อมือผมไว้แน่น สุดท้ายเลยต้องจำยอมปล่อยให้เขาดึงตัวผมออกจากห้องง่ายๆ

“เชิญไปกับเราด้วย” ประโยคนี้อีกแล้ว สีหน้าเดิม คำพูดเดิม อีวานเห็นผมเป็นอะไรถึงได้สั่งให้คนมาพาตัวผมไปตามใจชอบ ใช้ลูกน้องมาทำสายตาดุกดดันกันแบบนี้ก็ได้หรอ

ผมยอมเดินตามหลังไปดีดีเพราะไม่อยากมีปัญหา ไว้หาลู่ทางหนีเอาดาบหน้า คราวนี้ไม่ยอมพลาดเป็นครั้งที่สองแน่ พอเดินมาถึงหน้าลิฟต์ ผมมองไปยังทางหนีไฟที่อยู่เยื้องไปเล็กน้อย แล้วรอเวลาให้คนพวกนี้เผลอ
 
“ลูกน้องฉันวิ่งไวกว่านายเยอะ อย่าทำให้เสียเวลาดีกว่า” บ้าชิบ! รู้ทันอีก

แต่... ใครจะไปฟังล่ะ!

ผมคิดได้อย่างนั้นก็วิ่งไปผลักประตูหนีไฟก่อนจะวิ่งลงบันไดอย่างสุดชีวิต กว่าจะถึงชั้นล่างเล่นเอาเหงื่อท่วมตัว คนพวกนั้นเล่นตามมาติดๆ นะ เหลือแค่เปิดประตูทางออกไปด้านนอกแล้วไปขอความช่วยเหลือจากคนแถวนี้

นั่นไงทางออก! ผมรีบเปิดประตู กำลังจะแหกปากร้อง

หากทว่า...

“จับไว้!”

ยังมีพวกมันอีกสองคนยืนรออยู่หน้าประตู ให้ตาย... ผมน่าจะเอะใจตั้งแต่พวกมันขึ้นไปบนคอนโดได้ทั้งๆ ที่มียามรักษาความปลอดภัย เจ้าของที่นี่คงไม่ปล่อยให้ใครขึ้นไปสุ่มสี่สุ่มห้าแน่ แต่ถ้าสามารถตบตาคนอื่นได้เนียนขนาดนี้ก็ต้องวางแผนกันมาเป็นอย่างดี ซึ่งนั่นสามารถบอกได้อย่างหนึ่งว่าผมคงไปไหนไม่รอดชัวร์ๆ

สุดท้ายพวกมันก็พาผมขึ้นรถแล้วขับผ่านทางด่วนมาจนถึง... สนามบิน!

ใช่แน่ๆ ตัวหนังสือบนป้ายชัดออกอย่างนั้น นี่ถึงขนาดลักพาตัวผมข้ามประเทศกันเลยหรอ


ไม่เอานะ ผมไม่ยอมเด็ดขาด!!










TBC

NEXT UPDATE 13/05/61 TIME 18:00
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-05-2018 02:50:29 โดย La_Pomme »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1915
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
โอ้ๆๆๆๆใครก็ได้ช่วยที

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7538
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
ชอบบบบบบบบ  สนุกมากแม้ งง เอ๋อๆ ไม่รู้เรื่องไปกับรันย์   :mew1: :mew1: :mew1:

รันย์ ไม่รู้สึกไรๆกันลูเซียน ก็ดีแล้ว หมั้นไส้ลู เหอะ   :z6: :z6: :z6:

แต่อีวานนี้ ท่าทางหลงรันย์หนักเลย
แยกกันก็ให้ลูกน้องมารับ เอ๊ย..จับตัวรันย์อีก
ถึงขนาดลักพาตัวข้ามประเทศเลยสินะ

ให้รู้สึกว่า ลู ต่อไปจะมาวอแว พัวพันกับรันย์ซะเอง
จ้านนี่ รักเพื่อน ดีมากๆ
ไม่คิดไรๆกับรันย์เลยหรือ  :hao3:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ La_Pomme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
บทที่ 6
::หนทางหลุดพ้น::





รถยนต์เคลื่อนไปจอดตรงเทอร์มินัลส่วนตัว ซึ่งเป็นตึกเล็กๆ ที่แยกตัวออกมาจากสนามบิน พอเดินออกมาจากรถก็มีพนักงานสาวสวยเดินเข้ามา เจ้าคนหัวโล้นคุยด้วยสักพักก่อนจะเชิญเราทั้งหมดเข้าไป ผมเดินตามหลังอย่างงงๆ จะถามก็ถูกสั่งให้เงียบเหมือนเดิม จนมาถึงลานกว้างๆ เห็นเครื่องบินเจ็ทจอดอยู่หนึ่งลำพร้อมด้วยเจ้าตัวปัญหาที่ยืนเก๊กให้ลมพัดผมปลิวยังกับพระเอกฮอลลีวูด

“คิดจะทำอะไร” ผมถามทันทีที่เดินมายืนประจันหน้ากัน ส่วนลูกน้องทุกคนพากันถอยห่างออกไป

“ฉันกำลังจะกลับฮ่องกง”

“แล้วพาผมมาที่นี่ทำไม”

“พูดให้เข้าใจก็คือ... ฉันอยากให้นายมาส่ง” เออ! เอากับเขาสิ เรื่องเยอะไม่จบไม่สิ้น เหตุผลที่ต้องพามาถึงที่นี่มันสำคัญแค่ไหนกันเชียว ถนัดเรื่องการก่อกวนคนมากนักรึไง เมื่อกี้ผมตกใจแทบตายแต่เขากลับพูดหน้าตาเฉยว่าอยากให้มาส่งเนี่ยนะ

“ก่อนหน้านี้ลูกน้องฉันรายงานว่านายวิ่งหนี” ว่าจบก็หัวเราะลั่น ให้ผมได้แต่ยืนงงว่าเขาเป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก “นายคือคนแรกเลยนะที่พยายามจะหนีหน้าฉันขนาดนี้”

งั้นผมก็คงเป็นคนแรกที่รู้ว่าหมอนี่มันชั่วช้ามาก...

“บัตรเครดิตคุณ ผมหักทิ้งไปแล้ว” หลังจากผมพูดจบ อีวานถอดสีหน้าเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นก็ค่อยๆ เผยรอยยิ้มตรงมุมปาก

“ฉันมีใบใหม่ให้” ว่าแล้วก็หยิบมันออกจากกระเป๋าเสื้อสูท พร้อมกับยัดมันใส่มือผมทันที

ล้อกันเล่นใช่มั้ยเนี่ย!

“ผมไม่ต้องการ” รีบยื่นคืนให้ แต่อีวานกลับปฏิเสธและขมวดคิ้วใส่ท่าเดียว “ช่วยรับไปด้วย”

“เผื่อนายเปลี่ยนใจ”

“ผมไม่...”

“เอาล่ะ! ถึงเวลาล่ำลากันแล้ว” จู่ๆ อีวานก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผม ไม่ได้เบิกตาดูเลยว่าตรงนี้ไม่ได้มีแค่ผมกับเขายืนอยู่ ถึงพวกลูกน้องกับแอร์สาวสวยจะไม่ได้ยินที่เราพูดแต่ก็มีตามองเห็นนะ “ฉันไม่อยู่หลายอาทิตย์ นายมีอะไรอยากพูดกับฉันก่อนไปมั้ย”

ต้องยอมรับว่าก่อนหน้านี้ผมทั้งกลัวทั้งรังเกียจผู้ชายคนนี้ ขอเพียงต้องการอะไรเขาก็หาทางทำให้เป็นดังหวัง เขาจะบีบเค้น เอาชนะ หรือบังคับให้ผมทำอะไรก็ได้ ต่อให้อ้อนวอนก็คงไร้ประโยชน์ สู้ตาต่อตากันไปให้รู้แล้วรู้รอดเลยดีกว่า ชีวิตในตอนนี้ก็เหมือนเกิดใหม่อยู่แล้ว จะตายไปตอนนี้หรือพรุ่งนี้ก็ค่าเท่ากัน

เอาเถอะ ถ้าเขาอยากให้พูดจริงๆ ผมก็มีบางคำที่อยากจะบอก...

“ไป-ตาย-ซะ”

ในที่สุดก็ได้พูดคำนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าผมไปเอาความกล้ามาจากไหน ในใจรู้สึกโกรธมาก คิดว่าตายเป็นตายทั้งที่กลัวจนมือไม้สั่น ผมอยากให้อีวานจุกซะบ้าง แต่กลับโดนแสยะยิ้มใส่เหมือนไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเฉยเลย

“ตามคติคนไทย ยิ่งแช่งยิ่งตายยากใช่มั้ย ขอบใจนะ” เล่นซะพูดอะไรไม่ออก ผมพยายามนิ่ง ยืนมองสีหน้ายียวนราวกับกำลังประกาศชัยชนะให้ผมอารมณ์เสีย

แต่มันยังไม่จบแค่นี้หรอก

“ก็อย่างที่มีคนเคยกล่าวไว้... ว่าคนดีมักตายเร็วแต่คนเลวจะอายุยืน” ผมพูดโดยไม่หลบตา

หลังจากฟื้นขึ้นมาผมก็รู้ว่าในชีวิตมีคนไม่ดีพัวพันอยู่รอบตัว และเหตุการณ์ร้ายๆ ที่เกิดขึ้นก็ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าเมื่อก่อนผมเผชิญกับมันได้ยังไง แรกเริ่มผมอาจหวาดระแวงไปซะทุกอย่างเพราะในใจรู้สึกกลัว ได้แต่คิดว่าตัวเองต้องอ่อนแอแน่ๆ และใช่ ผมอาจอ่อนแอจริงๆ แต่จะไม่ยอมแสดงให้คนพวกนี้เห็น ที่ผมพูดไปเมื่อกี้ใช้การตัดสินใจล้วนๆ ถ้าเขาไม่พอใจอยากจะต่อยก็เชิญ

คือ... ผมเตรียมเจ็บตัวแล้วนะ แต่เจ้าหมอนี่กลับดึงตัวผมเข้าไปใกล้จนจมูกแทบจะชนกัน

“แย่ล่ะ ฉันชักไม่อยากกลับแล้วสิ”

ไม่พูดเปล่า อีวานยังส่งสายตาประกายซะจนน่าขนลุก เดือดร้อนให้ผมต้องจัดหมัดต่อยไปตรงอกของเขาเพื่อเป็นการเอาคืน แต่แทนที่เขาจะแสดงอาการเจ็บให้เห็นสักหน่อยกลับเป็นผมที่มือชาซะเอง ไม่จบแค่นั้น เจ้าฝรั่งบ้ายังยิ้มแปร้น เปลี่ยนเป็นฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาหาผมเอง แถมยังจิ้มหน้าตัวเองคล้ายต้องการส่งซิกให้อะไรบางอย่าง

“อะไร?” ผมถาม

“จูบลาไง”

“ไม่มีทาง”

“นายจะทำเองหรือยกเป็นหน้าที่ฉัน”

“คุณนี่มัน...” จังหวะที่ผมกำลังจะหมดความอดทน อีวานก็พุ่งหน้าเข้ามาอีก แต่ยังดีที่ผมไหวตัวผลักอกเขาได้ทันการณ์ “อย่าทำอะไรบ้าๆ นะ”

“บอกไว้ก่อน” อีวานจับข้อมือผมแน่น “ฉันเป็นคนหวงของมาก ใครมายุ่งก็บอกไปเลยว่านายเป็นคนของฉัน”

“ผมไม่ใช่คนของคุณ”

“ใช่แน่! ตราบใดที่ฉันอยากให้ใช่ นายก็ต้องเป็น” แววตาฉายแววจริงจัง บ่งบอกถึงความหนักแน่น ผมกลืนน้ำลายลงคอพร้อมกับเม้มปากหนัก

“คิดว่าผมจะอยู่รอให้คุณมาคุกคามหรอ”

“ถ้าหวั่นใจเรื่องนั้นฉันคงพานายไปด้วยแล้ว แต่ที่ไม่ทำเพราะนายไม่มีทางหนีฉันพ้น... ไม่เชื่อจะลองดูก็ได้”

จังหวะที่อีวานเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้อีก ผมต้องรีบเบือนหน้าไปอีกทาง พยายามเอนหัวให้ออกห่างแต่เจ้าของมือหนากลับยึดร่างผมไว้ด้วยการวางผมไว้ตรงต้นแขน ก่อนจะเอ่ยพูดด้วยประโยคสั้นๆ

“ไว้เจอกัน...”

กลิ่นน้ำหอมของเขายังแรงฉุนเหมือนเดิม มันติดจมูกจนผมรู้สึกไม่ดี กลัวว่าถ้าได้กลิ่นแบบนี้อีกคงต้องหลอนแน่ๆ ซึ่งหลังจากที่เขาเดินขึ้นเครื่องบินไปพร้อมกับผู้ชายหัวโล้น ลูกน้องคนอื่นๆ ก็ถูกสั่งให้ไปส่งผมเช่นเคย

บัตรเครดิตใบใหม่ที่ถืออยู่ในมือกับคำพูดทิ้งท้ายทำให้ผมรู้สึกจิตตก ไม่รู้จะสลัดปัญหานี้ยังไงดี อีวานได้สิ่งที่ต้องการแล้วก็ควรปล่อยผมไปสิ ไหนลูเซียนบอกว่าอีวานชอบเปลี่ยนคู่นอน ไม่เคยจมปรักกับใครไงล่ะ แล้วทีนี้ผมจะทำยังไง ปรึกษาจ้านก็ไม่ได้ ทุกวันนี้เขาทำเพื่อผมมากพอแล้ว ถ้าลากเขาเข้ามาเดือดร้อนด้วยผมคงรู้สึกผิดไปตลอดแน่

จริงสิ! ในเมื่อห้ามให้อีวานคุกคามผมไม่ได้ ก็ต้องทำให้เขาเลิกยุ่งกับผมไปเอง

“ให้ผมไปส่งที่คอนโดเลยมั้ยครับ” เสียงของลูกน้องอีวานทำให้ผมหลุดจากภวังค์ความคิด เผลอนึกอะไรไปเรื่อยจนไม่รู้ตัวว่ามานั่งอยู่ในรถตั้งแต่เมื่อไหร่

โอเค ถ้าถามอย่างนั้นผมก็มีคำตอบในใจแล้ว!

“ผมจะไปหาลูเซียน”













 

โทรศัพท์ของผมถูกจ้านปิดเครื่องและเอาไปเก็บไว้ไหนไม่รู้ ผมเลยโทรบอกจ้านไม่ได้ว่าตอนนี้อยู่ข้างนอก สุดท้ายจึงตั้งใจว่าจะเสร็จเรื่องให้ทันก่อนจ้านกลับคอนโด ระหว่างทางผมหวนคิดไปถึงคำปฏิญาณว่าจะไม่ขอเจอหน้าอีวานกับลูเซียนอีก แต่จนรอดจนรอดก็มีเหตุผลให้ผมต้องผิดคำพูดตัวเอง จริงอยู่ที่อีวานเป็นฝ่ายลากตัวผมไปหา แต่กับลูเซียน ผมดันมาหาเขาถึงที่ซะนี่

ตอนนี้เวลาใกล้เที่ยง รถยนต์มาจอดอยู่หน้าบริษัทแห่งหนึ่ง เป็นอาคารสี่ชั้น ใหญ่โตกว้างขวาง ดีไซน์เข้ากับยุคสมัย จุดเด่นอยู่ที่ชั้นบนสุดทำเหมือนห้องโถงทรงกลมติดกระจกใสรอบด้านดูคล้ายพวกหอชมวิวอะไรทำนองนั้น คนขับรถบอกผมเพียงว่าที่นี่คือบริษัท CX Enterprise ของลูเซียน

ผมมองหาจุดประชาสัมพันธ์ก่อนจะเข้าไปแจ้งความต้องการ คำตอบที่ได้คือลูเซียนกำลังประชุมอยู่ สักประมาณเที่ยงคงเสร็จ แถมยังบอกว่าปกติแล้วเขาจะแวะเข้ามาบริษัทอาทิตย์ละ 3 ครั้ง ผมโชคดีที่เลือกมาหาวันนี้ พนักงานสาวพูดกับผมอย่างนอบน้อมและดูเกรงอกเกรงใจ จากนั้นก็เชิญให้ผมนั่งรอก่อนเพราะถ้าไม่ได้นัดไว้ลูเซียนจะไม่อนุญาตให้พบ

ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงก็มีชายคนหนึ่งเดินมาหยุดยืนตรงที่ผมนั่งอยู่ พอเงยหน้าขึ้นผมเห็นเป็นคนสวมแว่นที่อยู่กับลูเซียนในไนต์คลับวันนั้น

“เชิญครับ” เขาเอ่ยกับผมด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ผมเดินตามขึ้นลิฟต์ไปถึงชั้นบน ถึงรู้ว่าห้องโถงทรงกลมขนาดใหญ่ที่อยู่บนสุดคือห้องทำงานของลูเซียน หลังจากเปิดประตูเข้าไปด้านใน ผมเห็นลูเซียนนั่งอ่านเอกสารพร้อมกับตวัดปากกาเซ็นลงไป ท่าทางคร่ำเคร่ง จริงจัง สมกับมาดนักธุรกิจ กระทั่งรู้ตัวว่ามีว่ามีคนเดินเข้ามาเขาก็เงยหน้าขึ้น ส่งสัญญาณให้ชายใส่แว่นออกไป จากนั้นก็มองมาทางผมพร้อมท่าทีเมินเฉย

“สิบนาที” เขากล่าวสั้นๆ ถึงเวลาจะน้อยไปหน่อย แต่ก็พอให้ผมได้พูดในสิ่งที่ตั้งใจไว้

“ผมไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นอีก” ผมนำบัตรเครดิตใบใหม่ที่เพิ่งได้มาไปวางไว้บนโต๊ะของลูเซียน “ฝากคืนเขาให้ผมด้วย”

“ใคร?”

“อีวาน” คำตอบของผมทำให้ลูเซียนขมวดคิ้วเล็กน้อย

“อีวานรับเลี้ยงนาย?”

“ผมไม่ต้องการ...”

“ไปบอกเขาเอง”

พูดยังไม่ทันจบก็โดนเขาตัดบทซะก่อน ผมรู้ว่ามารบกวนเวลางาน แต่ถ้าจะเอาแต่จดจ่ออยู่กับกองเอกสาร เขาก็ไม่ควรเรียกผมให้เข้ามาพบแต่แรก

“คิดว่าอยู่ดีดีผมก็เอาบัตรเครดิตของเขามาวางต่อหน้าคุณหรอครับ... ผมบอกแล้ว แต่เขาไม่ยอม”

“ทำอะไรให้มันสมกับเป็นนายหน่อยสิ ตัดขาดกับฉันแล้วก็ควรอยู่ส่วนของนาย ไม่ใช่หาเรื่องวุ่นวายให้ฉันแบบนี้” ลูเซียนจ้องผมเขม็ง “นายจะมีวิธีแก้ปัญหาสักกี่อย่างกัน ไม่ชอบใจเขาก็ไปหาคนใหม่เหมือนที่เคยทำมาตลอด มีแบล็คดีก็ช่วยคุ้มครองนายได้เอง”

จุดประสงค์ที่ผมมาหาลูเซียนวันนี้ เพราะอยากรู้ว่าเขาจะพูดยังไงหากผมพยายามพูดถึงปัญหาให้ฟัง ดูเหมือนว่าเรื่องทำนองนี้จะเคยเกิดขึ้นกับผมมาบ้าง และจากที่พูดมามันก็พอเป็นไปได้อยู่ แต่...

“ผมไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว” คนตรงหน้าหรี่ตามองผม คล้ายข้องใจกับสิ่งที่ได้ยิน

“พูดใหม่ซิ”

“เอาตัวเข้าแลกเพื่อจะได้ใช้ชีวิตสุขสบาย ผมไม่ทำอีกแล้ว”

“รู้ใช่มั้ยว่าฉันไม่สนลูกเล่นหรือแผนการโง่ๆ ของนาย”

“ผมพูดจริง!”

“ไอ้ความหยิ่งยโสรักสบายในตัวมันไม่ได้แก้กันง่ายๆ ที่ผ่านมานายพยายามทำให้ตัวเองมีทุกอย่างเพราะไม่อยากเป็นคุณชายตกอับให้ใครต่อใครทับถม ถ้าหลงเชื่อว่านายสามารถหันหลังให้กับเส้นทางนี้ได้จริง ฉันคงเพี้ยนไปแล้ว”

ผมดูแย่ในสายตาเขาขนาดนั้นเชียว มันน่าแปลกนะที่คนพูดทำนองนี้ดันเป็นคนที่ชีวิตผมเหมือนจะวนเวียนอยู่ด้วย ความจริงผมก็อยากหาคำตอบว่าเรามารู้จักกันได้ยังไง ทำไมผมต้องเกี่ยวข้องกับชายคนนี้ ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนใจดำแถมยังปากคอเราะร้าย แต่ช่างเถอะ ถึงรู้ไปก็ไม่สำคัญ เพราะตอนนี้เขาก็เป็นคนแปลกหน้าสำหรับผมอยู่แล้ว ตั้งใจกับเรื่องที่ว่าจะทำให้อีวานเลิกวุ่นวายกับผมเป็นพอ

“คุณบอกว่าผมต้องมีแบล็คใช่มั้ยครับ” ถามไปแค่นั้น คำพูดประโยคหนึ่งของลูเซียนก็โผล่เข้ามาในความคิด

‘ต่อให้นายเอาทุกอย่างมาแลก... ฉันก็จะไม่นอนกับนาย’

“ถ้าผมอยากเป็นคนของคุณ ต้องทำยังไง”

จริงอยู่ที่ลูเซียนเป็นต้นเหตุให้ผมโดนอีวานย่ำยี แถมพวกเขายังทำธุรกิจร่วมกันอีก ผมอาจจะลำบากใจในเรื่องนั้น แต่การที่ผมเคยลงทุนเอาตัวเองเข้าแลกกับสัญญาทางธุรกิจเพื่อลูเซียน ก็แสดงว่าก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ระหว่างเราไม่ธรรมดา ขนาดผมยังสงสัยว่าตัวเองอาจมีใจให้ลูเซียน อีวานเองก็น่าจะคิดแบบเดียวกันได้ไม่ยาก ถ้าปล่อยให้เข้าใจว่าผมเป็นของคนอื่น เดี๋ยวเขาก็ไปหาเหยื่อรายใหม่เอง ที่สำคัญคือลูเซียนมีอำนาจพอจะคุ้มกะลาหัวผมได้ ในเมื่อเจ้าตัวพูดเองว่าจะไม่นอนกับผม นั่นก็หมายความว่าผมคงไม่ได้เป็นคนของเขาในฐานะคู่ขาแน่ๆ

“จะให้ฉันคุ้มครองนาย?” เขาเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการ

“คุณ... คุณเป็นคนทำให้เขาตามตัวผมเจอ” พอเห็นสีหน้าขึงขังของคนตรงหน้าแล้ว ลิ้นผมรัวไปหมด จังหวะนี้ผมพูดตะกุกตะกักมาก “คุณบอกให้ผมรับผิดชอบกับสิ่งที่พูด ผมก็ทำแล้ว คราวนี้คุณต้องเป็นฝ่ายช่วยผมบ้าง”

จริงอยู่ที่ผมทั้งโกรธเกลียดและไม่ไว้ใจเขา แต่ถ้าให้ตกเป็นของเล่นของอีวาน... ผมยอมเสี่ยงกับลูเซียนดีกว่า 

“ฉันคงหูฝาดไป” ลูเซียนเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ เหมือนไม่ใส่ใจกับสิ่งที่ผมพูด

“แค่ไม่ใช่เอาตัวเข้าแลก คุณต้องการให้ทำอะไร ผมทำได้ทั้งนั้น...”

ปึง!!

“หยุดพูด!” เขาตบโต๊ะอย่างเกรี้ยวกราด ท่าทางน่ากลัวจนผมผงะไปเลย

“แต่ว่า...”

“ออกไป” ลูเซียนเลื่อนบัตรเครดิตไปเกือบถึงริมขอบโต๊ะ ผมมองแววตาเขาแปบเดียวก็ต้องก้มหน้าเพราะไม่อาจสู้แรงกดดันขนาดนั้นได้ ตัดสินใจเดินไปรับมันมาเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงก่อนจะหันหลังกลับ

ระหว่างเดินไปที่ประตู ผมคิดอะไรมากมาย แต่สุดท้ายก็บอกตัวเองได้แค่ว่าที่ผ่านมามันคืออดีตสำหรับผม ทั้งที่ความจริงมันคือสิ่งที่ผมไม่อาจหลีกหนีได้ต่างหาก ไม่ว่าจะเปลี่ยนยังไงก็ยังถูกตอกย้ำให้ฝังลึกอยู่ดี ผมรับตัวเองไม่ได้และไม่อาจทนที่จะเป็นเหมือนแต่ก่อนได้จริงๆ

“ผมไม่อยากกลับไปเป็นเหมือนที่เคยเป็น ผมก็แค่... อยากจะเลิก” เอ่ยก่อนจะวางมือไว้บนที่จับประตู และจู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหล ตัวเองน่าสมเพชแค่ไหนผมรู้ซึ้งก็ตอนนี้

จังหวะที่ผมกำลังเอื้อมมือไปวางบนที่จับประตู เสียงเข้มของคนด้านหลังก็ดังขึ้น

“เดี๋ยว...”

ผมชะงักตกใจ รีบหันไปมองต้นเสียงก็เห็นลูเซียนกำลังลุกจากเก้าอี้ และก้าวเท้ายาวๆ มาหยุดยืนในระยะที่จากผมเพียงครึ่งเมตร นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจ้องผมพักใหญ่ คล้ายครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนจะพูดมันออกมาในที่สุด

“แน่ใจนะว่ายอมทำทุกอย่างจริงๆ”











 

**

หลังจากเครื่องบินเจ็ทแลนดิ้งที่ฮ่องกงอย่างปลอดภัย อีวานกับเหย้าเหวินผู้เป็นบอดี้การ์ดคนสนิทเดินเข้าสู่เลานจ์ไฮโซสุดหรูของสนามบิน ความโดดเด่นของเขาทำให้คนเดินผ่านต้องเหลียวหลังมอง ซึ่งอีวานเองก็ตอบรับความสนใจเหล่านั้นด้วยการส่งยิ้มให้ และในขณะที่กำลังผ่านตม. เขาก็หันไปถามบางอย่างกับเหย้าเหวิน

“เจ้าตัวเปี๊ยกกลับถึงที่พักเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย” ก่อนหน้านี้อีวานกำชับเหย้าเหวินก่อนขึ้นบินว่าหลังจากถึงฮ่องกงแล้วให้โทรเช็คกับคนที่ไปส่งกรัณย์ทันที ขณะนั้นชายหัวโล้นพยักหน้าเป็นคำตอบก่อนจะมองเจ้านายด้วยสายตาแปลกๆ

“มีอะไร” อีวานสงสัย

“ผมไม่เคยเห็นท่านใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มาก่อน” ผู้เป็นนายยิ้มมุมปากพร้อมกับใช้พาสปอร์ตในมือฟาดหัวโล้นๆ ของคนสนิทไปหนึ่งที ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเหย้าเหวินอายุน้อยกว่าอีวานสองปี ซ้ำยังเป็นคนไม่ถือตัวอยู่แล้ว

“เขาให้ไปส่งที่ไหน”

“บริษัทของลูเซียนครับ” ได้ยินดังนั้น รอยยิ้มเล็กๆ ก็เผยขึ้นบนริมฝีปากของอีวาน

“เจ้าตัวเปี๊ยกดูตกใจมากตอนที่รู้ว่าลูเซียนบอกเรื่องเขากับฉัน พอออกจากบ้านก็ไปที่คลับนั่นทันที แถมวันนี้ก็ยังไปหาเขาอีก” อีวานฉุกคิด “ยอมนอนกับฉันเพื่อข้อแลกเปลี่ยน ขนาดเสนอให้อยู่ข้างกายแล้ว เจ้าตัวเปี๊ยกก็ยังจะคลานกลับไปหาลูเซียน... ถึงฟันธงไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่เห็นทีฉันจะเจออุปสรรคใหญ่เข้าให้แล้ว”

“ให้ผมสั่งคนไปสืบมั้ยครับ” เหย้าเหวินเสนอตัว

“ยังก่อน...” ผู้เป็นนายยกมือห้าม พลางหันไปยิ้มให้ “เดี๋ยวนายจะหาว่าฉันใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อีก”



**















TBC

NEXT UPLDATE 14/05/61 TIME 19:00
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-05-2018 02:08:13 โดย La_Pomme »

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1915
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
ยังไงกันแน่ อีวานชอบนายเอกเรา?

ออฟไลน์ Chompoo reangkarn

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
ไม่เอา3pนะ ไม่ชอบลูเซียนเย็นชาจนเป็นน้ำแข็งลุ้นอีวานถึงจะเลวไปหน่อยแต่ดูจะชอบนายเอกจริง

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
แอบชอบลูเซียน ดูน่าหมั่นไส้ดี 555 เชียร์เซียนละกันน

ออฟไลน์ La_Pomme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
บทที่ 7
::จุดเริ่มต้น::





**

3 สัปดาห์ก่อน...

ลูเซียนเปิดห้องวีไอพีของไนต์คลับเพื่อต้อนรับนักธุรกิจชาวรัสเซีย-ฮ่องกงนายหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘อีวาน’ พวกเขาเคยเจอกันที่ฮ่องกงในฐานะผู้ร่วมงานเปิดตัวธุรกิจใหม่ของนาย ‘เฉินเปียว’ มหาเศรษฐีวัยเจ็ดสิบห้าปีที่ประสบความสำเร็จเป็นนักลุงทุนรายใหญ่และทรงอิทธิพลที่สุดในมาเก๊า ขณะนั้นลูเซียนร่วมเจรจาธุรกิจเพื่อนำเข้าสินค้าของบริษัทรายใหญ่ผ่านทางฮ่องกง เขาได้ความช่วยเหลือจากเฉินเปียวมาตลอด จึงอยากแสดงความมีน้ำใจด้วยการเดินทางไปร่วมงานในครั้งนั้น

เฉินเปียวแนะนำลูเซียนให้รู้จักกับอีวาน เจ้าพ่ออสังหาฯ และนักลงทุนตัวฉกาจ บทบาททางธุรกิจของชายคนนี้เป็นที่พูดถึงในฐานะของมาเฟียหนุ่มเจ้าเล่ห์ เทพแห่งการเล่นพลิกแพลง ทำอะไรเฉียบขาดและไร้ข้อบกพร่อง ลูเซียนเคยได้ยินแค่ชื่อเพิ่งมีโอกาสเจอ ระหว่างคุยกันในงาน พวกเขาต่างรู้ถึงความสามารถของอีกฝ่าย กระทั่งลูเซียนพูดเข้าโปรเจคที่ตั้งใจจะทำในฮ่องกง อีวานก็ทำท่าเหมือนจะสนใจเช่นกัน

มาถึงวันนี้ ลูเซียนถือโอกาสที่อีวานมาไทยเพื่อพูดคุยธุรกิจกันต่อ หลังจากได้คุยกันหลายต่อหลายครั้งแล้วแต่ยังไม่ได้รับคำตอบเสียที ความจริงลูเซียนจะล้มเลิกก็ได้ แต่ที่ยังคุยกันอยู่เรื่อยๆ เป็นเพราะเขาไม่ใช่คนทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ  ซึ่งถ้าการคุยกันในไนต์คลับคืนนี้ไม่มีความคืบหน้าอะไร เขาก็จะหาผู้ร่วมลงทุนรายใหม่ แม้ในใจจะรู้สึกเสียดายแหล่งทำเงินที่อยู่ในความดูแลของอีวานก็ตาม

ระหว่างคุยงานกัน อยู่ๆ ก็มีเด็กหนุ่มเดินเข้ามาในห้องวีไอพีพร้อมอาการเมามาย พล่ามอะไรเรื่อยเปื่อยจนต้องให้คนพาออกไป แต่ทันทีที่เด็กคนนั้นไปนั่งซบอกอีวานและชวนชนแก้ว คำสั่งของเขาเลยเป็นอันต้องล้มเลิกไป

‘รัณย์ นายคิดจะทำอะไร’ ลูเซียนนึกสงสัยในใจ

เด็กหนุ่มอ้อล้อกับอีวานทั้งที่เพิ่งรู้จักกันไม่กี่นาที และมาเฟียฮ่องกงก็ดูจะชอบอกชอบใจจนลืมไปแล้วว่ากำลังคุยเรื่องธุรกิจค้างอยู่ เขาปล่อยให้ลูเซียนต้องนั่งฟังคำพูดแทะโลมของกรัณย์ กับอะไรต่อมิอะไรที่เด็กหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งจะหว่านเสน่ห์อีกฝ่ายได้ การกระทำดูมีความพยายามและบ่งบอกชัดเจนว่ามีอะไรแอบแฝง

และจากภาพที่เห็น ลูเซียนชักจะเชื่อเรื่องข่าวลือเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศของอีวานแล้ว

ลูเซียนขอปลีกตัวออกมาเพื่อให้อีวานใช้เวลากับกรัณย์ตามสบาย แต่ไม่นานนักเด็กคนนั้นก็เดินเซออกมา เขายืนมองกรัณย์เดินไปหาเพื่อนที่โต๊ะจากห้องกระจกชั้นสอง ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องวีไอพีเพื่อคุยธุระต่อ

หากทว่า...

“คนเมื่อกี้ดูน่าสนใจดีนะครับ รู้สึกว่าคุณกับเขาจะรู้จักกันด้วย รบกวนติดต่อให้ผมได้มั้ยครับ”

หลังจากเปิดประเด็นนี้มา เรื่องแผนธุรกิจก็ต้องถูกพับเก็บอย่างเรียบร้อย ลูเซียนข่มความโกรธไว้เต็มที่ คิดว่าถ้ามาเฟียหนุ่มคนนี้กำลังลองเชิงเขาอยู่ก็จะลองยอมให้ปั่นหัวสักตั้ง ตอนนี้เขาอายุเข้า 38 แล้ว จะไหลไปตามน้ำให้คนที่เด็กกว่าสักหน่อยคงไม่เป็นไร อยากรู้เหมือนกันว่านายอีวานคนนี้จะใช้ลูกเล่นแพรวพราวไปถึงเมื่อไหร่

วันต่อมาลูเซียนเรียกกรัณย์เข้าไปพบที่บริษัทเพื่อพูดถึงความต้องการของอีวานให้ฟัง

“เขาสนใจผม?” กรัณย์ยิ้มกว้าง

“ไปถามเขาสิ”

“พูดเหมือนผมจะสื่อสารกับเขาได้” เด็กหนุ่มพูด อ่าน เขียนภาษาอังกฤษได้เพียงน้อยนิด ความรู้อาจไม่ต่างกับเด็กประถมด้วยซ้ำ “รู้สึกว่าคืนนั้นผมพูดจาทะลึ่งตึงตังไปเยอะเลย เขาคงฟังภาษาไทยไม่ออกใช่มั้ย”

เท่าที่จำได้ลางๆ เหมือนว่าเขาจะชวนชาวต่างชาติคนนั้นคุยอยู่ฝ่ายเดียว

“อีวานเป็นลูกครึ่งรัสเซียฮ่องกง พูดได้ 5 ภาษา หนึ่งในนั้นคือภาษาไทย... เขาพูดได้คล่องเพราะเริ่มต้นลงทุนกับธุรกิจรีสอร์ทในไทยเมื่อสิบปีก่อน”

“ฟังดูดีจัง หน้าตาระดับพระเอก ส่วนสูงเทียบเท่านายแบบ ท่าทางรวยเอาการ... นี่มันเฟอร์เฟคชัดๆ” พูดถึงตรงนี้ กรัณย์ก็ยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบและยังคงเผยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มตลอดเวลา จริงอยู่ที่อีวานเพียบพร้อมไปซะทุกอย่าง แต่ลูเซียนไม่ได้เห็นถึงความพิเศษ เพราะเบื้องหลังการลงทุนของหนุ่มมาเฟียคนนั้นก็คือการฟอกเงินสกปรก

อีวานมีแหล่งเงินมหาศาลจากการบริหารอาคารพาณิชย์และโรงแรมหลายแห่งที่แทคโอเวอร์มาได้ เขาเปลี่ยนรูปแบบการบริหารงานให้กลายเป็นที่สนใจของนักลงทุน อีกทั้งยังหนุนนักการเมืองเพื่อให้ได้รับจัดซื้อจัดจ้างโครงการของหน่วยงานรัฐ มันจึงไม่แปลกที่เขาจะสามารถไต่ขึ้นมาเป็นเจ้าพ่ออสังหาฯ ได้อย่างรวดเร็ว เม็ดเงินที่อีวานได้มาอย่างผิดกฎหมายมันมากมายจนเสี่ยงกับการถูกตรวจสอบ เขาจึงต้องขยายฐานฟอกเงินมาในไทยเช่นปัจจุบัน

“เรื่องที่ฉันจะพูดด้วยมีเท่านี้” ลูเซียนทำท่าจะลุกเพื่อไปนั่งยังโต๊ะทำงาน

“ได้ยินว่าคุณกำลังตกลงธุรกิจกับเขา แต่อีกฝ่ายยังไม่มีทีท่าว่าจะเซ็นสัญญาด้วย” กรัณย์พูดต่อ คำพูดนั้นทำให้คนตัวสูงหยุดชะงัก แล้วหันมาจ้องชายหนุ่มอย่างเอาเรื่อง “ดูท่าเป็นเรื่องจริงสินะ คุณถึงได้มาหาผมด้วยตัวเองทันทีที่เขาบอกว่าสนใจอะไร”

คำถามแรกที่อยู่ในหัวคือกรัณย์รู้ได้ยังไง หรือจะเป็นช่วงที่เขาขอตัวออกมาข้างนอก

“อยากให้ผมช่วยมั้ยล่ะ”

“ฉันไม่ยอมให้นายทำพังแน่” ลูเซียนเค้นเสียงหนัก

“แล้วถ้าผมทำให้เขาตกลงร่วมธุรกิจกับคุณได้จริงๆ จะว่ายังไง”

“อีวานไม่ใช่คนที่นายจะรับมือได้”

ทุกคนอาจเห็นอีวานเป็นเพียงนักธุรกิจไฟแรง เติบโตมาในฐานะลูกหลานตระกูลเก่าแก่ที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ของรัสเซีย และประสบความสำเร็จเป็นนักลงทุนระดับหมื่นล้าน ทว่าความจริงของสาเหตุที่ทำให้ตระกูลตกต่ำลงในยุคก่อน จนต่อมาทายาทรุ่นหลังสามารถทำให้มันกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งได้ ย่อมมีประวัติเบื้องลึกเบื้องหลังทั้งนั้น

“อยู่ๆ ก็ทำตัวใจดีขึ้นมา... ทำไม? หวงผมหรอ”

พูดไปก็เหมือนไร้ประโยชน์ ลูเซียนนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยกับเด็กหนุ่ม

“ที่เสนอตัวเองขนาดนี้ ต้องการอะไร”

“ถ้าอีวานยอมเซ็นสัญญา...” กรัณย์ยิ้มอย่างมีเลศนัย “คุณต้องนอนกับผม”



………………นอน………………..

…….กับผม........



ลูเซียนยุติการนึกย้อนไปยังสามสัปดาห์ก่อนเพียงเท่านั้น มันแค่ช่วงเวลาเล็กน้อยที่อยู่ในเศษเสี้ยวความทรงจำ และเกิดขึ้นเพียงเพราะเด็กหนุ่มที่เดินเข้ามาในห้องทำงาน พร้อมเสนอให้ตัวเองเป็นคนของเขาเพื่อป้องกันตัวจากอีวาน กรัณย์ย้ำว่าจะให้ทำอะไรก็ได้ขอเพียงไม่เอาตัวเข้าแลก ซ้ำยังบอกอีกว่าจะเลิกเป็นเหมือนเมื่อก่อน แม้จะเชื่อยาก แต่แววตาที่อ้อนวอนอย่างคนไร้ความหวังของเด็กหนุ่มทำให้ลูเซียนประหลาดใจไม่น้อย

เพราะเขา... ไม่คิดว่าจะได้เห็นมันอีกครั้ง

ระหว่างยืนมองเด็กหนุ่มเดินออกจากบริษัทผ่านกระจกใส เลขาส่วนตัวที่ลูเซียนเพิ่งเรียกตัวเข้ามารับฟังการตัดสินใจก็เดินเข้ามายืนเคียงข้าง จึงทันเห็นกรัณย์กำลังโบกแท็กซี่ตรงหน้าบริษัทพอดี

“รัณย์จะยอมทำตามที่คุณเสนอหรอครับ” จักรพงษ์วัยสี่สิบสองหันมาเอ่ยถาม

“คุณควรถามเขา ไม่ใช่ผม” พูดจบ บอสใหญ่แห่งซีเอ็กซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ก็กลับไปนั่งประจำตำแหน่ง ลงมือเปิดเอกสารได้เพียงหน้าเดียวก็เอ่ยบางอย่างกับผู้เป็นเลขา “บอกให้ไทด์สอนงานเขาด้วย”

“อะไรนะครับ”

“ผมเชื่อว่าคุณได้ยินชัดแล้ว” น้ำเสียงเย็นชาไม่ต่างจากใบหน้า เลขาผู้ซื่อสัตย์จำต้องยอมทำตามคำสั่ง

แม้รู้อยู่แก่ใจว่า... มันไม่เข้าท่าเอามากๆ



**

 







ผมนั่งแท็กซี่กลับมาก็แวะทานข้าวข้างนอกก่อนขึ้นคอนโด รู้สึกปวดหัวนิดหน่อยเลยตั้งใจว่าจะนอนหลับสักพัก แต่กลายเป็นว่าตื่นมาจ้านก็กลับมาแล้ว เขาซื้อของกินของใช้มาเพียบ จากตู้เย็นว่างๆ เปิดมาเต็มทุกชั้น แล้วไหนจะเสื้อผ้า ของใช้ในห้องน้ำ ทุกอย่างล้วนมีราคาทั้งนั้น

ระหว่างทานข้าวเย็น ผมบอกจ้านตามตรงว่าวันนี้ออกไปทำอะไร...

“ว่าไงนะ! มึงออกไปสมัครงานมา” สิ่งแรกที่จ้านทำคือแสดงอาการตกใจ

“คืออย่างนี้... ฉันคิดว่าถ้ามีงานทำก็จะได้ไม่ต้องเป็นภาระให้นาย หรือรบกวนนายจนเกินไป”

“ทำไมถึงกะทันหันนักล่ะ” คนตรงหน้าเพ่งสายตาจริงจังใส่ผม

“จ้าน” ผมจ้องหน้าเจ้าของชื่อ “ฉันอยากเรียนต่อ... ถ้าจะหาเงินเพื่อจ่ายค่าเทอมได้ ฉันก็ต้องหางานทำนอกเวลาถูกมั้ย” เมื่อพูดจบ ท่าทีของจ้านดูเปลี่ยนใจ เขาค่อยๆ สงบลงก่อนจะท้วงถามผมอย่างตื่นเต้น

“พูดจริงหรอ”

ผมพยักหน้าแล้วเล่าเรื่องที่เกิดกับตัวให้ฟัง “ก่อนนายจะกลับมา ฉันเผลอนอนหลับแล้วฝันเห็นผู้หญิงคนนึงมานั่งร้องไห้ข้างๆ แล้วบอกว่าอยากให้ฉันมีชีวิตที่ดี”

อยู่ๆ จ้านก็เบิกตากว้างคล้ายกับนึกอะไรบางอย่างออก…

“คุณน้า” เขาพูดโพล่งออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “ไม่นานมานี้ มึงเคยเล่าให้ฟังว่าฝันเห็นแม่มานั่งร้องไห้เพื่อขอร้องให้มึงเรียนต่อ เพราะงั้นมึงถึงซื้อหนังสือมาอ่านเตรียมสอบเข้ามหา’ลัย”

“จริงหรอ! แล้วสุดท้ายเป็นไง ฉันสอบเข้าได้รึเปล่า”

“มึงอ่านไปได้สองวันก็วางหนังสือเข้าชั้น นี่ก็เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่เดือน กูว่าคงสอบรอบเก็บตกไม่ทันแล้วล่ะ ถ้าเกิดว่ามึงยังอยากเรียนต่ออยู่ ลองรอปีหน้าดีกว่ามั้ย”

“แต่ฉันอยากสอบเข้าปีนี้เลย”

“สมองมึงเพิ่งถูกกระทบกระเทือนมา ถ้าปล่อยให้คิดอะไรมากๆ มันอาจไม่เป็นผลดีกับมึงก็ได้นะ”

“ตอนนี้ฉันไม่มีครอบครัวที่สามารถพึ่งพาได้นอกจากตัวเอง จะใช้ชีวิตต่อไปได้ฉันก็ต้องมีงานทำ และถ้าอยากก้าวหน้าในหน้าที่การงานฉันก็ต้องเรียนให้จบมหา’ลัย”

ผมเห็นเพื่อนรุ่นเดียวกันได้เรียนหนังสือ และอีกไม่นานจ้านก็เรียนจบไปเป็นทนาย สร้างชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูล ผมอยากประสบความสำเร็จแบบนั้นบ้าง หรืออย่างน้อยก็ได้ทำอะไรสักอย่างเพื่อหาเลี้ยงชีพตัวเองอย่างสุจริต หากเริ่มต้นวันนี้ผมก็จะมีอนาคตที่ก้าวไปเร็วขึ้น ไม่ใช่จมปรักอยู่กับอดีตและคอยให้จ้านดูแลอย่างเดียว

“งั้นกูจะช่วยเอง ส่วนเรื่องทำงานอะไรนั่นก็...”

“ให้ฉันทำเถอะ” ผมย้ำถึงความตั้งใจ “อย่าให้ฉันงอมืองอเท้าอยู่เฉยๆ เลย ถ้านายหวังดีก็อย่าทำให้ฉันเคยตัว ให้โอกาสฉันได้ทำในสิ่งที่หวังเอาไว้เถอะนะ”

แน่ล่ะ ผมควรพูดแบบนี้เพื่อให้จ้านยอมเห็นด้วย มันเป็นเรื่องจริงที่ผมฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งจึงคิดจะเรียนต่อ และใช่ ผมเพิ่งได้งานทำ ก็ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วล่ะ... เพียงแต่งานที่ว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากทำเท่าไหร่

‘ถ้าอยากเป็นคนของฉัน... นายก็ต้องไปทำงานที่ไนต์คลับ’

ลูเซียนบอกว่าผมจะได้เงินเดือนเหมือนพนักงานทุกคน ถ้ายอมรับก็เท่ากับเขาเป็นเจ้านาย ส่วนผมเป็นลูกน้องที่อยู่ในความดูแลของเขาอีกที ตอนนั้นผมคิดไม่ตก เพราะไม่รู้ว่าทำแบบนี้แล้วลูเซียนจะได้อะไร อย่างที่รู้ว่าเขาต้องเสี่ยงมีปัญหากับหุ้นส่วน แต่สุดท้ายกลับยื่นแค่ข้อเสนอให้ผมมาทำงานแถมยังมีค่าจ้างให้อีกต่างหาก

เขาอาจกำลังหาคนงานเพิ่มพอดี หรือไม่ก็... อยากลองใจ ผมคิดว่าไม่เสียหายอะไรผมจึงตกปากรับคำไป มีงานทำก็เท่ากับมีรายได้ ดีกว่าอยู่เฉยๆ ตั้งเยอะ แต่ปัญหามันอยู่ที่จ้านว่าจะเห็นด้วยกับผมหรือเปล่า เพราะก่อนหน้านี้อุตส่าห์พูดเป็นมั่นเหมาะว่าจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับลูเซียนอีก แน่นอนว่าผมคิดมากจนไม่อาจพูดความจริงทั้งหมดให้ฟังได้ จึงต้องปิดบังเอาไว้ก่อน

ผมโกหกคนที่ผมไว้ใจมากที่สุดไปกี่ครั้งแล้วนะ

“มึงไปสมัครงานอะไร ต้องทำอะไรบ้าง” ผมสะตั้นกับคำถาม แต่ยังดีนะที่เตรียมคำตอบไว้แล้ว

“มันเป็นร้านอาหารกลางคืน คงเป็นเด็กเสิร์ฟมั้ง”

“อยู่แถวไหน กูจะได้แวะไปหา... มึงไม่เคยทำงานมาก่อน กูเป็นห่วง”

“เอ่อ… ค่อยไปหลังจากนั้นสักอาทิตย์นึงได้มั้ย คือ... ฉันอยากทำให้ชินกับงานก่อน ไม่อยากทำอะไรให้ขายหน้านาย” ผมพยายามแถจนสีข้างแทบถลอก เพราะไม่อยากให้จ้านเป็นกังวลทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ลงมือทำอะไร ผมเลยคิดไว้ว่าจะไปทำงานสักสี่ห้าวันก่อนค่อยบอกความจริงกับเขา

ใครจะว่าผมโง่ที่เอาแต่เก็บปัญหาไว้คนเดียวก็ได้ เพราะถึงยังไงมันก็ดีกว่าดึงให้เขามาติดร่างแหด้วยแล้วกัน



สุดท้ายจ้านก็ตอบกลับเพียงว่า “ตามใจ”














TBC

NEXT UPDATE 16/05/61 TIME 19:00
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-05-2018 00:54:04 โดย La_Pomme »

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1915
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
จ้านเป็นเพื่อนที่ดีจัง ชอบจ้านจังเลย

ออฟไลน์ La_Pomme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
บทที่ 8
::เริ่มงาน::





จ้านอาสาช่วยติวหนังสือให้ผมเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย ตอนแรกตั้งใจจะซื้อหนังสือให้แต่ผมถามจ้านถึงหนังสือที่เคยซื้อก่อนหน้านั้นเพราะเสียดาย แล้วจ้านก็พูดถึงคอนโดที่ผมเคยอยู่โดยมีชายคนหนึ่งซื้อเอาไว้ในชื่อของผม เรียกได้ว่าเป็นที่พักย่านไฮโซ แต่จ้านไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร รู้เพียงว่าตอนนี้ผมกับชายคนนั้นเลิกติดต่อกันแล้วแค่นั้น

ในกระเป๋าสตางค์ที่อยู่กับตัวผมก่อนเกิดอุบัติเหตุมีคีย์การ์ดของคอนโดแห่งหนึ่ง ผมกับจ้านคิดว่าอาจเป็นคอนโดเดียวกันจึงตัดสินใจไป และมันก็เป็นอย่างที่คิด ผมสามารถใช้คีย์การ์ดเปิดประตูเข้าไปในห้องสุดหรูได้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายความรู้สึกยังไง ผมประหลาดใจที่ตัวเองได้อยู่ในสถานที่ดีดีแบบนี้ แต่อีกใจกลับหดหู่ เพราะมันยิ่งตอกย้ำให้ผมยอมรับว่าตัวเองเคยถูกเศรษฐีรับเลี้ยงจริงๆ

หลังจากเลิกยุ่งเกี่ยวกับชายที่ซื้อคอนโดให้ จ้านบอกว่าผมไม่ค่อยอยากมาเหยียบที่นี่อีก เนื่องจากชายคนนั้นเป็นพวกกัดไม่ปล่อย ตามติดผมมากกว่าคนไหนๆ หากรู้ว่าผมมาที่นี่ก็อาจจะเข้าใจว่าผมยอมกลับไปเป็นทาสเงินของเขาอีก เพราะเหตุนี้จ้านจึงเอ่ยปากบอกให้ผมมาอยู่ด้วยกันในตอนแรก

วันนี้ตั้งใจมาเอาหนังสือ ส่วนของใช้หรือเสื้อผ้าอะไรผมไม่แตะ กระทั่งออกมาจากห้องพักแล้วกลับคอนโดของจ้าน ผมนั่งอ่านหนังสืออย่างจริงจัง ส่วนจ้านก็ปล่อยให้เขาจัดการงานตัวเองไปก่อน ผมอ่านคนเดียวได้แหละ มันก็มีเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างตามประสา

และเมื่อถึงวันที่ต้องไปตามนัดของลูเซียน ผมยอมทำงานในไนต์คลับของเขาตามข้อตกลง ช่วงเย็นผมเดินทางไปที่ไนต์คลับ เตรียมใจพร้อม แรงกายพร้อม แค่ทำงานมันไม่มีอะไรยากหรอก ใครๆ เขาก็ทำกันทั้งนั้น ผมเดินเข้าไปด้านในอย่างมั่นใจ จนได้เจอกับตาลุงใส่แว่นผู้เป็นเลขาของลูเซียนที่ยืนนิ่งราวกับกำลังรออะไรอยู่

“เธอมาจริงๆ” อ่า รอผมนี่เอง

“ผมต้องทำอะไรบ้างครับ”

“เชิญทางนี้”

เขาเอ่ยก่อนจะเดินนำผมไป จำได้ว่าถ้าเดินไปทางขวามือจะเป็นทางเข้าโซนของลูกค้า และแยกตรงตรงบาร์ไปทางขวาอีกทีจะเป็นห้องส่วนตัวของลูเซียน มาครั้งนี้ผมต้องเดินไปทางซ้ายซึ่งตรงกับหลังบาร์พอดี ลึกไปอีกก็จะเป็นส่วนหลังร้าน แบ่งเป็นโซนอาหารและเครื่องดื่ม อยู่เยื้องกับหลังเวทีของพวกนักดนตรีหรือไม่ก็ดีเจประจำไนต์คลับ

ด้านหลังร้านมีคนอยู่บ้างประปราย เพราะก่อนจะเดินเข้ามาผมเดินผ่านโซนที่นั่งของลูกค้า เห็นพนักงานเช็ดโต๊ะ กวาดถูพื้น ตรงบาร์มีผู้ชายสามคนกำลังเช็ดแก้วและเรียงเหล้าเข้าชั้นวาง ส่วนพนักงานที่เหลือคงอยู่ตรงหลังร้านนี่แหละ ตอนแรกเห็นกลุ่มคนคุยกันเฮฮา แต่พอผมเดินเข้าไปก็เงียบเสียง สายตาหลายคู่มองมาที่ผมเป็นตาเดียว

จนเมื่อคุณเลขาเดินเข้าไปถามหาใครคนหนึ่งเสร็จก็พาผมเดินลึกเข้าไปอีก ผ่านกองกล่องเบียร์ไปจนถึงประตูหลัง ก่อนจะพบกับชายผิวเข้มที่กำลังนั่งดูดบุหรี่อยู่

“ไทด์”

เจ้าของชื่อชะงักเล็กน้อย ผมเห็นคุณเลขากับชายคนนั้นจ้องหน้ากันสักพัก ฝ่ายที่อายุน้อยกว่าก็ทิ้งบุหรี่ลงพื้นปูน เหยียบจนไฟดับก่อนจะก้มไปหยิบมันมาทิ้งถังขยะ

“สาบานได้ว่าทั้งอาทิตย์นี้ผมดูดแค่ม้วนนั้นม้วนเดียว” น้ำเสียงเขาทุ้มต่ำ เดินเอามือล้วงกระเป๋าเข้ามาใกล้คุณเลขาแล้วพูดต่อ “ผมไม่อยากให้อาบ่น เลยอธิบายให้ฟังก่อน”

ผมลอบมองเขาอยู่ด้านหลังคุณเลขาก็พบว่าชายที่ชื่อไทด์คนนี้แต่งตัวสบายๆ ดูเซอร์ๆ ใส่กางเกงยีนส์ขาดๆ ผมเกรียนสั้นเหมือนตัดสกินเฮด ตรงแขนมีรอยสักเป็นทางยาว ผมมองไม่ถนัดว่ามันเป็นรูปอะไรแต่โดยรวมแล้วดูเท่ห์เอาเรื่อง เขามีทั้งความสูง รูปร่างแข็งแรง ผิวสีแทน โครงหน้าคมคาย แต่พอประกอบกับสายตาเด็ดเดี่ยว คิ้วที่ขมวดมุ่นและจมูกโด่งๆ นั่น กลับทำให้เขาดูเคร่งเครียดเกินกว่าจะสร้างมิตรกับคนที่เพิ่งรู้จัก

จากนั้นคุณเลขาก็เดินหลบเพื่อให้ผมปรากฏตัวต่อหน้าคนชื่อไทด์ เจอกันครั้งแรกไม่รู้จะทำอะไรนอกจากยิ้มให้ คิดว่าเขาคงเป็นพนักงานของที่นี่เหมือนกัน แต่ชายตรงหน้ากลับจ้องผมด้วยแววตาขุ่นเคืองซะงั้น

“ในเมื่อรู้จักกันแล้ว ฉันจะขอเข้าเรื่องเลย”

หืม? รู้จักกันหรอ

“คราวนี้อะไรอีก คุณวีไอพีเขามีเรื่องไม่พอใจตั้งแต่คลับยังไม่เปิดรึไง... วันนั้นพูดปาวๆ ว่าจะไม่มาเหยียบที่นี่แล้วไม่ใช่หรอ หรือว่าปากดีไปอย่างนั้นเอง” ไทด์จ้องหน้าผม น้ำเสียงให้ความรู้สึกประชดประชัน ฟังแล้วมั่นใจระดับหนึ่งว่าเขาอาจรู้จักผมจริงๆ และที่บอกว่าคุณวีไอพีอะไรนั่น หมายถึงผมสินะ

“รัณย์จะเข้ามาทำงานที่นี่” คุณเลขาพูดจบ ไทด์ก็หรี่ตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า สีหน้าไม่ได้แสดงความสงสัย เพราะเขาดูแหยงๆ เหมือนมองว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหล

“จะมาเล่นพิเรนทร์อะไร”

“แกต้องเป็นคนสอนงานเขา...” ไทด์ตวัดสายตาไปหาคุณเลขาก่อนจะเลิกคิ้วสูง “ตำแหน่งตรงบาร์อาจยังทำไม่ได้เร็วๆ นี้ แกก็ให้เขาดูเรื่องความสะอาดและคอยเสิร์ฟออเดอร์ไปพลางๆ ก่อน”

“เดี๋ยวนะ... ผมไม่เข้าใจ ทำไมเขาต้องมาทำงานที่นี่ด้วย”

“แกทำตามที่บอกก็พอ”

“ผมไม่รู้หรอกนะว่ามันคือเรื่องอะไร แต่อาไปสั่งคนอื่นเถอะ” จากนั้นเขาก็ส่งสายตาคมกริบมาทางผม “คนอย่างหมอนี้ ผมไม่อยากยุ่งด้วย” 

เขาส่งอารมณ์ความอึดอัดคับแค้นใจอะไรสักอย่าง ก่อนหน้านี้ที่บอกว่าเรารู้จักกัน ความสัมพันธ์ของเราอาจไม่ลงรอยกันก็ได้ และเชื่อเหอะ ผมไม่ได้คิดไปเองแน่ๆ เพราะทั้งสายตาและการพูดจากระแทกกระทั้นมันชัดเจนออกขนาดนั้น แถมพูดจบแล้วเขายังจะเดินกระทืบเท้าเข้าด้านในโดยไม่สนใจใครด้วย

แต่ในตอนนั้นเอง...

“เป็นคำสั่งของบอส”

ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด บอสที่พูดถึงคงเป็นลูเซียน เมื่อกี้คุณเลขาใช้น้ำเสียงหนักแน่นมาก แสดงว่ามันมีผลต่อการตัดสินใจของไทด์พอสมควร ไม่อย่างนั้นเขาจะยืนนิ่งเป็นปูนพลาสเตอร์อยู่แบบนี้หรอก

“หวังว่าแกจะจัดการทุกอย่างได้ดี” ท่ามกลางการสนทนาที่เต็มไปด้วยความกดดัน ผมทำได้เพียงยืนเงียบไม่ปริปากพูดอะไร จนสุดท้ายไทด์ก็หันหลังกลับมาพร้อมแสยะยิ้มให้กับคุณเลขา

“รับบัญชาครับ” พูดเพียงเท่านั้นเขาก็ปรายตามามองผม

แววตาแบบนั้นกำลังบ่งบอกถึงอะไร ผมไม่อาจคาดเดาความคิดของเขาได้เลย...

เสร็จเรื่อง คุณเลขาก็บอกให้ผมรับคำสั่งงานกับไทด์ เพราะเขาจะสอนการทำงานและระเบียบของที่นี่ให้ จากนั้นเดินเข้าไปในร้าน โดยทิ้งให้ผมยืนอยู่กับเจ้าคนผิวสีแทนแค่สองคน

“จะเริ่มงานตั้งแต่วันนี้ใช่มั้ย” ไทด์ถามผม

“ครับ”

“หึ... ฟังพูดเข้า” ไทด์นำแขนขึ้นกอดอก ก่อนจะพูดต่อ “นายกลายเป็นคนตกอับไปแล้วรึไง เห็นแต่ก่อนทำตัวไม่สนหัวใคร ชูคอเบ่งใส่คนนั้นทีคนนี้ที คิดว่าตัวเองมีระดับสูงส่งค้ำฟ้าซะเต็มประดา แต่วันนี้ดันจะมาเป็นพนักงานซะอย่างนั้น... กรรมตามทันเร็วเหมือนกันนี่”

เมื่อก่อนผมคงเป็นคนไม่ดีในสายตาของเขา รู้แบบนี้แม้ผมจะตกใจแต่ก็ยอมรับมันได้รวดเร็ว เพราะไทด์ไม่ใช่คนแรกที่มองผมในแง่ร้าย ขนาดถูกบอกว่าเป็นผู้ชายขายตัวผมยังผ่านมันมาแล้ว เรื่องโดนมองด้วยสายตาเย็นชาหรือถูกเหน็บแนมว่าร้ายมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ผมไม่รู้ว่าเคยทำให้ไทด์เจ็บแค้นมากน้อยแค่ไหน และมันไม่ผิดหากเขาจะปฏิบัติกับผมอย่างสาสม เพียงแต่ตอนนี้มันไม่เหมือนตอนนั้น ผมเข้าใจดีว่าตัวเองอยู่ตรงจุดไหน หวังเพียงต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนน่าจะเป็นการดีกับทุกฝ่าย 

“ผมจะเชื่อฟังคุณ และทำหน้าที่ให้ดีที่สุดครับ” ผมเอ่ยอย่างหนักแน่น

“นายคิดอะไรอยู่ฉันไม่รู้นะ แต่ขอบอกไว้เลยว่า... นายคิดผิดแล้ว” คนตรงหน้าจ้องมองเขม็ง

“ผมไม่อยากปัญหากับใคร”

“คนที่นี่เขาไม่อยากมีปัญหากับนายทั้งนั้นแหละ” ปลายเสียงสุดท้ายแผ่วลง ผมเห็นรอยยิ้มตรงมุมปากเขาเด่นชัด มันแฝงไปด้วยความนัยบางอย่าง จนกระทั่ง...

“ยกเว้นฉัน”

อา... การจะเริ่มชีวิตใหม่ มันไม่มีอะไรง่ายจริงๆ













 

ผมต้องทำงานตั้งแต่ช่วงเย็นจนถึงตีสามกว่า วันก่อนผมเรียนรู้งานเสิร์ฟและรับออเดอร์จากรุ่นพี่คนหนึ่งซึ่งไม่ใช่คนที่มีหน้าที่สอนงานผม พูดให้ถูกคือไทด์ละเลยเมินเฉยราวกับมองข้ามผมไป พอถามอะไรก็ทำเป็นหูทวนลม เวลาเขาจะพูดด้วยคือตอนที่บอกให้หลบ เอานั่นมา เอาโน้นไปทิ้ง เช็ดตรงนี้ ถูตรงโน้น ใช้แรงงานผมไม่ต่างจากทาสในเรือนเบี้ย

ผมรู้สึกได้ว่าคนงานที่นี่ไม่มีใครอยากเป็นมิตรด้วย ขนาดรุ่นพี่ที่เข้ามาสอนงาน ไอ้จะบอกว่าช่วยมันก็ไม่เต็มปาก ต้องบอกว่าอธิบายส่งๆ แบบใส่อารมณ์ซะมากกว่า ส่วนน้องเล็กสุดในคลับก็เอาแต่หลบหน้าผม ถามอะไรก็ลนลานเหมือนกลัว คือเอาจริงๆ ผมพอรับเรื่องพวกนี้ได้นะ เพราะไม่คิดเกี่ยงงานอยู่แล้ว แต่ไอ้สิ่งที่ยากที่สุดน่าจะเป็นงานเสิร์ฟ เพราะต้องเจอกับคนที่รู้จักผมเนี่ยแหละ

ช่วงประมาณห้าทุ่ม ผมเห็นลูกค้ากลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา ประกอบด้วยหญิงหนึ่งกับชายอีกสามคน ด้วยหน้าที่ทำให้ผมต้องเร่งเก็บโต๊ะแล้วรีบไปรับออเดอร์จากชายหญิงกลุ่มนั้นอย่างรวดเร็ว

“รับอะไรดีครับ” ผมใช้เครื่องมืออิเล็กโทรนิคในการรับออเดอร์

“รัณย์” เสียงนั้นทำให้ผมหยุดทุกอย่างแม้กระทั่งลมหายใจ คนเรียกชื่อเมื่อครู่เป็นลูกค้าผู้ชายในกลุ่มที่ผมกำลังต้อนรับอยู่ โดยหลังจากมั่นใจว่าใช่ผมแล้วเขาก็หันไปบอกเพื่อนๆ ก่อนที่คนเหล่านั้นจะจ้องผมราวกับเป็นสิ่งประหลาด

“ทำอะไรของนาย” ชายอีกคนแสดงท่าทางไม่อยากเชื่อ

เอาไงต่อล่ะทีนี้... ผมควรทักในระดับที่เหมาะสมก่อนดีมั้ย

“ไง” ไม่พูดเปล่า ผมยกมือเป็นการทักทายไปด้วย คิดว่าแค่นี้คงแนบเนียนแล้ว

“แต่งตัวแบบนี้ทำไม กำลังเล่นอะไรแผลงๆ อยู่หรอ” ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มดูสับสน ส่วนผมที่อยู่ในชุดเด็กเสิร์ฟก็ได้แต่ยืนคิดว่าจะเอายังไงจ่อ คนพวกนี้เป็นใครยังไม่รู้ เคยคุยกันแบบผิวเผินหรือสนิทกันก็ไม่รู้อีก เอาจริงๆ มันก็ไม่สำคัญหรอก เพราะเหนือสิ่งอื่นใด ตอนนี้ผมควรอยู่ในหน้าที่ถึงจะถูก

“พวกนายจะสั่งอะไร” ผมพยายามพูดแบบเป็นกันเองเพื่อไม่ให้ถูกสงสัย แต่กลับถูกเสียงหัวเราะสาดกลับมา ท่าทางชอบอกชอบใจมากกว่าเห็นใจผมที่ต้องมาอยู่ในสภาพนี้เสียอีก

“คืนนี้น่าสนใจแฮะ” พูดซะผมไม่ต้องเดาเลยว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคนพวกนี้น่าจะเป็นในแบบไหน ที่แน่ๆ คงไม่ใช่เพื่อนรัก หรือคนที่น่าคบค้าสมาคมด้วยนัก

หลังจากเสียเวลาอยู่ตรงโต๊ะลูกค้าใหญ่พักใหญ่ สุดท้ายพวกเขาก็สั่งเครื่องดื่มจนได้

“นี่เอาขำๆ หรือจริงจังเนี่ย พวกเรางงไปหมดแล้วนะ” ระหว่างนั้นมีเสียงของหญิงสาวดังแทรกขึ้นมา ให้มันได้อย่างนี้สิ ผมใส่ชุดเต็มยศแถมกำลังทำหน้าที่อยู่ขนาดนี้แล้วยังจะสงสัยไม่เลิก

“ฉันทำงานที่นี่” ผมตอบไปตามตรง

“ทำงาน?” พวกเขาพูดพร้อมกันราวกับนัดกันมา ก่อนจะมีชายคนหนึ่งถามย้ำกับผมเพื่อให้มั่นใจ “หมายความว่า...ที่นี่…ตอนนี้…นายกำลังทำงานอยู่”

ผมพยักหน้าเป็นคำตอบ

“อย่าอำกันน่า ถึงนายจะเลิกยุ่งกับคุณพุฒิไกรไปแล้วก็ใช่ว่าจะจนตรอกนี่หว่า”

พุฒิไกร... ใครอีกวะ?

“นั่นสิ พูดไปใครเขาจะเชื่อว่านายยอมลดตัวมาทำงานงกๆ แบบนี้จริงๆ”

“เอ๋ เดี๋ยวนะ! หรือว่าหลังจากทิ้งเจ้าของบริษัทเรือแล้วนายยังหาเหยื่อรายใหม่ไม่ได้” คนที่ชื่อว่าพุฒิไกรกับเจ้าของบริษัทเรือนี่คนเดียวกันมั้ย “โธ่รัณย์... ทิ้งกฎเกณฑ์ไปบ้างเถอะน่า คุณพุฒิไกรต้องแต่งงานกับลูกสาวนายห้างก็เพราะธุรกิจ ความจริงเขาหลงนายจะตายใครๆ ก็รู้ อุตส่าห์มีขุมทรัพย์อยู่ตรงหน้ายังจะปล่อยให้หลุดมือไปอีก คนใจป้ำแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ นะเว้ย”

“ไอ้รัณย์มันศักดิ์ศรีค้ำคอจะตาย มันไม่ยอมไปเป็นน้อยคนอื่นหรอก”

ฮะ? เมื่อกี้พูดว่าไงนะ!















TBC

NEXT UPDATE 17/05/61 TIME 19:00

มีตัวละครใหม่เพิ่มเข้ามาอีกแล้ววววว  พัวพันกับใครต่อใครเยอะไปนะบางที -*- 

 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 17-05-2018 17:02:26 โดย La_Pomme »

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด