## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 29:: คนรู้จัก] UPDATE 20/10/62
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 29:: คนรู้จัก] UPDATE 20/10/62  (อ่าน 48247 ครั้ง)

ออฟไลน์ La_Pomme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
บทที่ 12
::หมดความอดทน::





ชายร่างหนาหยุดการกระทำ ก่อนจะหันไปมองไทด์พร้อมกับผม ขณะนั้นมือที่ถูกจับล็อคเริ่มคลาย ผมจึงอาศัยจังหวะนั้นพลิกตัวเองกลับแล้วผลักอีกฝ่ายไปเต็มแรง ระหว่างหายใจเหนื่อยหอบ เสียงเพลงกระหึ่มกับกลิ่นเหล้าแทบทำให้ผมสติผมหลุด จนเมื่อหันไปมองไทด์ที่ยืนอยู่ไม่ไกล ผมทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรรับผิดชอบเรื่องผลักลูกค้า หรือว่าจะแบกความผิดแล้วเดินหนีไปดี

“มาช่วยฉันยกของ”

สีหน้าของไทด์เรียบเฉย สบตากันแปบเดียวเขาก็เดินเข้าหลังร้าน กำลังนึกลังเลว่าจะเอาไงต่อ ผมก็ตัดสินใจกัดฟันแล้วสาวเท้าตามหลังเขาไปทันที

เมื่อเดินมาถึงหลังร้าน ผมจำได้ว่าลังเหล้าเบียร์ที่วางเรียงเป็นตั้งคือของล็อตใหม่ที่ผมเพิ่งเช็คสต๊อกไปเมื่อคืนวาน ระหว่านนั้นไทด์กำลังเดินตรวจดูชนิดเหล้าและยี่ห้อที่ต้องยกเข้าไป ท่าทางเขาดูนิ่งเสียจนผมไม่รู้พูดอะไรดี แต่ที่แน่ๆ คือผมหลุดพ้นจากผู้ชายบ้ากามคนนั้นมาได้ก็เพราะเขา   

“ขอบคุณครับ” ผมเอ่ยหลังจากไต่ตรองถี่ถ้วนแล้ว

“ฉันแค่หาคนช่วยยกของ” ไทด์ไม่มองหน้าผม เอาแต่สนใจลังเบียร์ที่ต้องรีบยกเข้าด้านใน

“ถึงยังไงผมก็อยากขอบคุณที่...”

“ฉันไม่ได้ช่วยนาย” คนตรงหน้ายืนยันหนักแน่น แววตาไม่มีความลังเล “ทุกวันนี้ฉันเหม็นขี้หน้านายจะแย่ แล้วทำไมต้องลดตัวไปทำอะไรแบบนั้นด้วย หัดคิดซะบ้าง”

ผมยืนเหวอ ไอ้คำแขวะพวกนั้นผมโดนมาบ่อยจนใกล้จะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ที่ผ่านมาผมไม่เคยตอบกลับเพราะถ้ามองมุมกลับกัน มันอาจเป็นสิ่งที่ผมสมควรได้รับก็ได้

“เอ้า! รีบขนแล้วกลับไปทำงานต่อสิ”

ไทด์ตะคอกเสียงเรียกสติ ผมจึงกุรีกุจอเข้าไปยกลังเบียร์ที่เขาเลือกไว้ กำลังจะใช้แขนขึ้น แต่ในใจกลับมีอะไรบางอย่างที่อยากพูด มันอัดอัดแบบไม่รู้จะอธิบายยังไง ผมทนกับการโดนรังแกมาหลายรูปแบบ อย่างเรื่องที่พยายามลืมสิ่งที่อีวานทำกับผมในคืนนั้น ผมก็ต้องมองว่าการใช้ความอดทนเข้าต่อสู้มันเป็นเรื่องง่าย เพราะผมเหนื่อยที่จะพูด เหนื่อยที่จะแก้ไขในเรื่องที่ผมเคยเป็นมาแต่จำไม่ได้

จนมาเจอกับสถานการณ์ในห้องน้ำเมื่อกี้ ผมก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองชักจะอดทนไม่ไหวแล้ว!

ผมวางลังเบียร์ไว้ที่เดิม หันไปเห็นว่าไทด์กำลังแบกลังโซดาไปตรงประตูเข้าด้านใน จึงรีบย่ำเท้าไปดักหน้าเขาไว้ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่ามันคือการหาเรื่องใส่ตัวชัดๆ

“หลีกไป”

“…” ผมเอาแต่จ้องหน้า ไม่ยอมพูดอะไร เขาจึงวางลังโซดาลง

“จะเอายังไง”

“ผมไปจากที่นี่ตามที่คุณต้องการไม่ได้ เพราะงั้น...” ผมมองมือใหญ่ๆ ของไทด์ ก่อนจะจับมันขึ้นมากระแทกกับหน้าผมเอง “ชกผมเลยครับ”

“เป็นบ้าอะไร!” ไทด์สลัดมือตัวเองออกอย่างรวดเร็ว ตามด้วยการเพ่งนัยน์ตาอันแสนเกรี้ยวกราดมาที่มองผมอย่างขุ่นเคือง การตอบสนองของเขาไวมาก ทำให้รู้เลยว่าเขารังเกียจผมมากจริงๆ

“เอาคืนเรื่องที่ผมเคยทำอะไรให้คุณไม่ชอบใจไง... ต่อยผมเลยสิ เอาให้หายแค้น” ผมใช้เสียงแข่งกับเสียงเพลงด้านใน จนพูดจบไทด์ก็ไม่มีทีว่าจะพูดอะไรกลับ ผมจึงว่าต่อ “ถ้าพอใจแล้ว เราจะเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีต่อกันได้รึเปล่า”

ไทด์ที่ยืนนิ่งตั้งแต่เมื่อกี้เริ่มหรี่ตา ก่อนจะเดินเข้ามาประจันหน้าผมแบบใกล้มาก

“แค่ต่อยหน้า มันไม่ทำอะไรเปลี่ยนหรอก นอกเสียจาก... นายจะเจ็บตัวฟรี”

 












ทุกวันนี้จ้านยังคะยั้นคะยอให้ผมเลิกไปทำงานที่ไนต์คลับ ผมรู้ว่าเขาเป็นห่วง แต่ถึงอย่างนั้นผมยังยืนยันคำเดิมว่าจะลองวิธีนี้ดูก่อน ไหนๆ ก็ทำตามที่ลูเซียนบอกมาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าเลิกไปเขาอาจคิดว่าผมไม่มีความตั้งใจจริง

หลังจากวันนั้นพอกลับมาถึงคอนโดทีไร ผมจะเห็นจ้านนอนฟุบอยู่ตรงโซฟา แม้เคยบอกไปแล้วว่าไม่ต้องรอ แต่เพื่อนคนนี้ก็ไม่ยอมทำตาม แถมยังบอกกลับอีกว่าแบบนี้ดีแล้ว เพราะถึงจะเข้าไปนอนในห้อง สุดท้ายก็ต้องคอยเดินออกมาดูว่าผมถึงบ้านหรือยังอยู่ดี หลายวันมานี้ผมเริ่มอ่านหนังสือน้อยลง ปวดหัวบ้าง เวลาน้อยไปบ้าง หนำซ้ำเวลาสอบก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ผมเป็นกังวลในใจเพราะไม่อยากให้จ้านเครียดไปด้วย

ผมมักจะอ่านหนังสือช่วงสายถึงบ่าย ถ้าวันไหนจ้านไม่มีเรียนก็จะช่วยผมติวและคอยจดโน้ตสำคัญไว้ให้ เพราะในหัวผมว่างเปล่าราวกับไม่เคยเก็บความรู้อะไรมาก่อน ก็ต้องขอบคุณจ้านที่สอนเทคนิคการจำที่ได้ผล ทีเหลือก็แค่ตั้งใจแล้วไปให้สุด ขนาดไปทำงานผมยังขนชีทไปอ่านเวลาพักด้วยเลย

วันนี้ที่คลับดูครื้นเครงเป็นพิเศษ เพราะในครัวเริ่มทำอาหารตั้งแต่ยังไม่เปิดร้าน ผมดูจากสถานการณ์เอาโดยไม่สอบถามใคร ก็ได้ความว่าทุกคนกำลังเตรียมงานเลี้ยงวันเกิดให้ไทด์ ผู้ชายห่ามๆ หน้าตาไม่เป็นมิตรก็มีงานวันเกิดกับเขาด้วย และดูเหมือนว่าลูเซียนจะอนุญาตให้นำเหล้าในร้านมาฉลองได้ตามต้องการ เท่ากับเป็นสวัสดิการจากเจ้านาย

ผมเห็นทุกคนช่วยกันลงแรงก็อยากเป็นส่วนร่วมด้วย แต่เมื่อนึกถึงสายตาเกลียดชังที่ไทด์มีต่อผม ถ้าเข้าไปทำอะไรโดยที่อีกฝ่ายไม่ร้องขอ อาจเป็นการล้ำเส้นและสร้างความตะขิดตะขวงใจได้ อีกอย่างผมก็ไม่ได้สนิทกับใคร เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าผมเสือก ทำตัวหน้าด้านหน้าทนไปอีก

“รัณย์!”

พนักงานในครัวตะโกนเรียกชื่อในขณะที่ผมกำลังเช็ดโต๊ะอยู่คนเดียว เพราะคนอื่นๆ กำลังสนุกสนานกับงานเลี้ยงวันเกิดของไทด์ ผมจึงหันไปขานรับ

“ครับ”

“มากินด้วยกันสิ” ทุกคนที่กำลังฉลองอยู่หันมามองผมเป็นตาเดียว จากนั้นเสียงสนทนาก็ค่อยๆ เงียบลง ผมเห็นไทด์วางแก้วเหล้าลงบนโต๊ะพลางเบือนหน้าหันไปอีกทาง แสดงสีหน้าไร้อารมณ์จนผมรู้ได้เองว่าควรทำยังไง

“ไม่เป็นไรครับ ผมทานมาแล้ว” พูดจบผมก็หันไปเช็ดโต๊ะลูกค้าต่อ

“ไทด์” พี่ผู้ชายในครัวจ้องหน้าเจ้าของวันเกิด

“ไอ้โก้... มันพูดเองว่ากินมาแล้ว มึงไม่ได้ยินไง” พวกเขาอายุเท่ากัน และยังเข้าทำงานในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันอีก มันจึงไม่แปลกที่พวกเขาจะพูดคุยกันอย่างสนิทสนม

“วันนี้วันเกิดมึงนะเว้ย ลดทิฐิลงสักวันได้ป่าววะ” พี่โก้วางมือไว้บนบ่าของอีกฝ่าย “เรื่องมันนานมาแล้วลืมๆ ไปบ้างก็ได้ อีกอย่างเขาก็ตั้งใจทำงานดี ไม่เห็นสร้างเรื่องยุ่งให้มึงตรงไหน... ใช่มั้ยไอ้ยักษ์”

พี่โก้หันไปหาชายรูปร่างสันทัด แม้ชื่อจะฟังใหญ่โตแต่ตัวเขาสูงไม่เกิน 165 ตัวผอม เป็นคนพูดน้อย และเป็นน้องเล็กสุดในร้านที่ไม่กล้าสบตากับผมตรงๆ แต่หลังจากได้เขามาช่วยสอนเรื่องการเช็คสต็อกของ เราสองคนก็คุยกันบ่อยขึ้น แม้บรรยากาศมันจะดูอึดอัดไปหน่อยก็ตาม

“เขาพูดจากับผมดีกว่าแต่ก่อนอีกนะเฮีย จากตอนแรกที่ผมไม่กล้าเข้าใกล้ ตอนนี้เริ่มจะรู้สึกว่าเขาเป็นพนักงานเหมือนกับเราแล้วล่ะ” ยักษ์พูดกับไทด์ก่อนจะหันมามองผมแล้วยิ้มให้เล็กน้อย ท่าทางยุกยิกหลุกหลิก ผมเห็นแล้วก็อดยิ้มไปด้วยไม่ได้

“คนเรามันเปลี่ยนกันได้ที่ไหน” จบประโยค ไทด์ก็เหลือบตามองผม “รู้หน้าไม่รู้ใจ ในหัววางแผนอะไรอยู่ไว้รึเปล่าก็ไม่รู้ ฉันว่าอีกไม่นานหมอนั่นก็ต้องเผยธาตุแท้ออกมา แค่ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลาเท่านั้นเอง”

“แต่เผอิญว่ากูเป็นคนทำอาหารพวกนี้ว่ะ อยากให้ใครกินมันก็เรื่องของกู โอเค๊?” พี่โก้ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

“วันนี้วันเกิดกูนะเว้ย มึงอยากทำให้งานกร่อยรึไง”

“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ” ผมรีบพูดขึ้นมาเพื่อให้พวกเขาสนุกกันต่อ “ความจริงผมก็ไม่ได้ช่วยทุกคนจัดเตรียมอะไรเลย ให้ผมไปร่วมวงด้วยจะดูแปลกๆ ยังไงก็...”

ผมคิดหนักกับคำพูดที่จะเอ่ยต่อจากนี้ จนเมื่อหันไปจ้องหน้าไทด์อีกครั้งผมก็เอ่ยขึ้น

“สุขสันต์วันเกิดนะครับ”

ถือว่าทำไปตามธรรมเนียม เขาจะไม่รับก็ช่าง และตอนนี้ผมก็เช็ดโต๊ะเสร็จพอดี ตั้งใจว่าจะเข้าไปหยิบหนังสือในล็อคเกอร์อ่านเพื่อฆ่าเวลา แต่ยังไม่ทันก้าวเท้าไปไหน เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้น

“เดี๋ยว!” ผมชะงักก่อนจะหันไปดูต้นเสียง พบว่าไทด์กำลังมองมา

“ฮะ?”

“มานี่” ผมขมวดคิ้วเข้าหากัน เมื่อกี้มีทีท่าปฏิเสธ มาตอนนี้กลับเรียกเข้าไปหา แต่ยืนคิดไปก็เท่านั้น เพราะถ้ายังยืนเฉยอยู่ไทด์อาจจะมองว่าผมชักช้าหรือไม่ก็เป็นคนหยิ่งผยองพองขน

พอเดินมาถึงโต๊ะที่ทุกคนกำลังนั่งทานอะไรกันอยู่ ไทด์ก็เลื่อนจานยำวุ้นเส้นรวมมิตรทะเลมาตรงหน้าผม

“กินซะสิ”

“เฮีย...” ยักษ์เรียกไทด์พร้อมทำหน้ามุ่ยเหมือนไม่สบายใจ

“จะเอายังไงวะ! ก็พวกมึงบอกให้กูชวนมัน”

ผมว่าเจ้าของวันเกิดเองต่างหากที่กำลังทำงานกร่อย เป็นคนพูดขึ้นเสียงอยู่แล้ว พอตะหวาดใส่คนตัวเล็กอย่างยักษ์ภาพมันก็เลยยิ่งทำให้ดูน่ากลัว ผมอยู่ตรงนี้นานๆ ก็รังแต่จะทำให้บรรยากาศหมดสนุกเปล่าๆ เห็นส้อมอยู่ตรงหน้า เลยหยิบขึ้นมาจิ้มตัวกุ้งตัวหนึ่งขึ้นมาใส่ปากทันที

“เฮ้ย!!” ทุกคนอุทานพร้อมกัน ผมเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นพวกเขากำลังจ้องผมเป็นตาเดียว ตกใจอะไรกัน ผมทำอะไรผิดไปงั้นหรอ ทำไมถึงนั่งปากเหวอกันล่ะ

ด้วยความอยากรู้ ผมก็เลยจิ้มกุ้งอีกตัวขึ้นมา

แต่ในตอนนั้นเอง...

“ทำอะไร”

นั่นไม่ใช่เสียงของคนในที่นี้ แต่เป็นใครสักคนที่กำลังเดินเข้ามา ได้ยินเสียงแวบแรกก็พอจะบอกได้แล้วว่าเป็นใคร และพอบวกกับที่ทุกคนลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อทักทายคนมาใหม่อย่างนอบน้อมด้วยแล้ว ยิ่งไม่ต้องสงสัย

ลูเซียน... กับคนสนิทของเขา

“ฉันถามว่านายกำลังทำอะไร” จู่ๆ ลูเซียนก็พุ่งเข้ามาหาผม น้ำเสียงดุดันกับสีหน้าจริงจังของเขาทำเอาทุกคนสะดุ้งกันหมด แปลว่าเมื่อกี้เขาถามผมหรอ

“ก็จะกิน...” ผมชูส้อมที่จิ้มตัวกุ้งไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมาให้เขาดู

หมับ! ลูเซียนคว้าข้อมือผมแล้วกำแน่น ผมนิ่วหน้าพร้อมกับความประหลาดใจ กระทั่งอีกฝ่ายเอาส้อมผมออกจากมือ เขาก็ถามผมอีกว่า “กินไปแล้ว?”

“ทำไม...”

เหมือนสมองผมหยุดการทำงานกะทันหัน คำพูดนั้นถูกกลืนหายไปพร้อมๆ กับวินาทีที่ผมเริ่มรู้สึกว่าหัวใจกำลังเต้นผิดจังหวะ ปากผมแสบร้อนและคันยุบยิบตามร่างกาย พยายามตั้งสติและถามตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น แต่แล้วก็รู้สึกเหมือนตัวเองจะหายใจลำบาก ควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้ จนสุดท้ายขาผมอ่อนยวบและกำลังจะล้มลงไปนอนกับพื้น แต่ประสาทสัมผัสในตอนนั้นยังพอบอกผมได้ว่ามีลำแขนแกร่งของใครบางคนรับตัวผมเอาไว้

“รัณย์!”

เสียงของลูเซียนกึกก้องกังวานเข้ามาในโสตประสาท ในขณะที่มีอะไรบางอย่างกำลังทำให้ผมผิดปกติ มันรู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออก ทำอะไรไม่ได้นอกจากดิ้นรนด้วยความทุกข์ทรมาน ผมอ้าปากพะงาบๆ ไม่ต่างกับปลาที่กำลังขาดน้ำและใกล้ตาย ดวงตาผมพร่ามัว มือเท้าเกร็ง รู้สึกได้เลยว่าเวลาความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อมมันเป็นยังไง


“เรียกรถพยาบาล!”


และนั่นคือเสียงสุดท้ายที่ได้ยิน ก่อนดวงตาจะปิดลง...















TBC

NEXT UPDATE 22/05/61 TIME 20:00
ง่าาาาา ขอโทษที่มาช้าน๊าา ฝนตกเน็ตไม่ดีเลย
พรุ่งนี้งดอัพวันนึงนะจ๊ะ  :katai2-1:





 
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 20-05-2018 22:20:36 โดย La_Pomme »

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
สถานการณ์ดูดีขึ้นกว่าเดิมนิดนึงรึเปล่า

อีกไม่นานเชื่อว่าไทด์ต้องหวงรัณย์แน่นอน (หรอ) :z2:

วรั๊ย แต่ลูเซียนมาแล้ว แหวกทางให้เรือผีหน่อย #ทีมลูเซียน

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
ลูเซียนมาจังหวะพระเอกเลย  #ทีมลูเซียน
ไทค์ทำเกินไปแล้วนะ รู้ว่ารัณย์แพ้กุ้งเลยคิดจะแกล้งหรอ :katai1:

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1912
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
คือแบบว่าน่าจะเริ่มรู้ว่านายเอกเราความจำเสื่อม

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
คือแบ่บ นี่อารายอ่ะ
พัวพันอาไรกับลุงลูเซียนนักหนา
ทีมอีวานมะเข้าจายอ่า
 :hao5:
หน่องรัณย์หายเร็วๆ แพ้กุ้งดันกินกุ้งอย่างไม่ลังเลซะงั้น ไทด์ตายแน่ หุหุ

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
รัณย์ ความจำเสื่อมจริงๆ
ตัวเองแพ้กุ้ง ยังจำไม่ได้
แต่ทุกคนรู้หมด  แม้แต่ลูเซียน
แสดงว่าก่อนนี้รัณย์อยู่กับกลุ่มนี้นานมากจริงๆ
งั้นคนกลุมนี้ไม่รู้เรื่องที่รัณย์ความจำเสื่อม

ลู ห่วงรัณย์เพราะเป็นลูกน้องทำงานด้วย หรือมีอะไรมากกว่านั้น  o18
คงคิดว่าที่รัณย์มาทำงานด้วย เพราะอยากนอนกับตัวเองสินะ  :hao3:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
 :hao7:
รันณ์เป็นไงบ้าง แพ้กุ้งแน่นอนเบย

ออฟไลน์ angel_Z4

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
ความชิบหายจงบังเกิด...นายแพ้ของอร่อยอ่ะรัณย์//ผิด

รอๆๆๆ

ออฟไลน์ เอมมี่

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 572
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
มาจากกระทู้แนะนำค่ะ สนุกมากจริงๆ รอตอนต่อไป

ออฟไลน์ saccarrum

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 142
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
ความจะแตกก็คราวนี้รึเปล่านะ   :z3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
ปู่เสื่อ ที่นอนหมอนมุ้งพร้อม !  :z2:

กรี๊ด รอ ๆๆๆ คิดถึงงง

ออฟไลน์ La_Pomme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
บทที่ 13
::สงสัย::





ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในห้องสีขาว ร่างกายอ่อนล้าจนขยับมากไม่ได้ สภาพที่นอนอยู่บนเตียงปรับเอนได้กับสายน้ำเกลือโยงยางอยู่ใกล้ๆ ช่างเป็นภาพคุ้นตา เหมือนกับตอนที่ผมฟื้นขึ้นมาหลังประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ จะต่างกันตรงที่จ้านไม่ได้เป็นคนแปลกหน้าสำหรับผมอีกแล้ว

“เป็นไงบ้าง” จ้านชะโงกหน้ามาดูผมด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล

“คันยุบยิบเกือบทั้งตัว รู้สึกคลื่นไส้ แล้วก็เวียนหัวนิดหน่อยด้วย” ถึงเป็นอย่างนั้นแต่ผมก็คิดว่าตัวเองดีขึ้นกว่าก่อนหน้านั้นมาก ไม่รู้มันเกิดขึ้นได้ยังไง ถ้าถามจ้านอาจได้ความอะไรบ้าง “ฉันเป็นอะไรไปหรอ”

“มึงแพ้อาหารทะเล โดยเฉพาะกุ้ง”

“อ้า...” อย่างนี้เอง

“หมอบอกมึงมีอาการแพ้เฉียบพลัน ทำให้หายใจไม่ออกและช็อคจนสลบไป” พูดจบจ้านก็ทำสีหน้าข้องใจ กรอกตาขึ้นคล้ายคนกำลังใช้ความคิด “เมื่อก่อนมึงเป็นแค่ผื่นจ้ำๆ เองนะ แต่ทำไมตอนนี้อาการถึงรุนแรงขึ้นล่ะ”

“เมื่อก่อนฉันไม่ได้เป็นหนักอย่างนี้หรอ”

“อืม ถ้าปกติมึงแพ้กุ้งหนักขนาดนี้กูคงเตือนมึงไปนานแล้ว แต่ก่อนอย่างมากก็แค่ปากบวมกับผื่นขึ้นตามตัว กูจำได้ว่ายังเคยล้อมึงเรื่องนี้อยู่เลย ทำไมอยู่ๆ ถึงเป็นหนักได้วะ” ผมไม่มีความเห็นให้กับสิ่งที่จ้านถาม และดูเหมือนเขาจะเพิ่งรู้ตัวว่าถามผมไปก็ไม่มีประโยชน์ “เดี๋ยวกูไปถามหมอให้ดีกว่า”

จ้านเดินไปที่ประตู กำลังจะจับลูกบิดเพื่อเปิดออก แต่กลับมีใครบางคนเปิดเข้ามาก่อน

ชายวัยสี่สิบผู้เป็นเลขาคนสนิทของลูเซียนคนนี้ ผมทราบชื่อในภายหลังว่าเขาคือ ‘คุณจักรพงษ์’ ตอนที่เกิดเรื่องเขาก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย และถ้าเข้าใจไม่ผิด ผมว่าเขาเนี่ยแหละที่ตะโกนบอกให้ใครสักคนโทรเรียกรถพยาบาล

จ้านกับคุณจักรพงษ์ยังคงยืนจ้องหน้ากันอยู่ตรงประตู คนอายุน้อยกว่าไม่มีทีท่าว่าจะเปิดทางให้คนอายุมากกว่าเข้ามา ผมมองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ

จนกระทั่ง...

“ผมดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายให้แล้ว” เลขาของลูเซียนยื่นกระดาษใบหนึ่งให้ ผมคิดว่าน่าจะบิลค่าใช้จ่ายตามที่ว่า จ้านมองมันอยู่สักพักก็คว้ามาโดยไม่แสดงสีหน้ายินดียินร้ายอะไร

“เอ่อ... ขอบคุณที่พาผมมาส่งโรงพยาบาลนะครับ”  ผมยกมือขอบคุณ และคุณจักรพงษ์เองก็รับไหว้ตามมารยาทก่อนขยับปากพูดบางอย่าง

“ความจริง...”

“มันก็สมควรอยู่หรอก” ยังไม่ทันรู้ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร จ้านก็พูดโพล่งขึ้นมาซะอย่างนั้น “รัณย์ต้องมานอนซมแบบนี้เพราะทำงานอยู่ที่นั่น พวกคุณเป็นเจ้านายก็ต้องออกหน้ารับผิดชอบอยู่แล้ว”

จ้านแสดงความไม่พอใจอย่างโจ่งแจ้ง ผมรู้สึกไม่ดีกับการเป็นตัวกลางที่ทำให้เกิดเรื่อง เข้าใจว่าจ้านห่วงผมมาก แต่มันไม่ใช่ความผิดของใคร ยังดีที่คุณจักรพงษ์เป็นผู้ใหญ่ใจเย็น แม้ไม่รู้ว่าใบหน้าเรียบเฉยกำลังคิดอะไรอยู่ แต่แววตาที่เขามองมาทุกครั้ง ไม่เคยทำให้ผมรู้สึกว่าเขาเป็นกังวลเลย

“เรื่องแบบนี้ไม่น่าเกิดขึ้นอีก” คุณจักรพงษ์จ้องหน้าเพื่อนสนิทผมอย่างไม่ละสายตา

จ้านยืนนิ่ง... และดูจะนิ่งไปนานมากก่อนจะตัดสินใจพูดอะไรบางอย่าง

“รัณย์เพิ่งฟื้น ต้องการพักผ่อน” เปรียบเหมือนคำเชิญให้กลับดีดีนี่เอง

“ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัว” เลขาของลูเซียนพูดกับจ้าน จากนั้นคล้อยตามามองผมแวบเดียวแล้วก็เดินหันหลังไป กระทั่งเสียงประตูปิดสนิท จ้านยังคงยืนอยู่ที่เดิม ลักษณ์เหมือนคนกำลังจมอยู่กับความคิดในหัว ผมเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ได้ยิน

“จ้าน!” ผมเรียกเขาเป็นครั้งที่สาม ก่อนเจ้าตัวจะได้สติหันมา

“หืม?”

“คิดอะไรอยู่” เขาไม่ตอบคำถามนั้นทันที แต่เลือกที่จะเดินมาหาผมพร้อมสายตาที่เปลี่ยนไป

“ลูเซียนกับคนของเขาที่ไนต์คลับ รู้รึเปล่าว่ามึงแพ้กุ้ง”

“อืม...” ผมนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า “เหมือนลูเซียนจะรู้นะ เพราะตอนที่เห็นฉันกำลังเอากุ้งเข้าปาก เขาก็เดินมาหยิบส้อมออกจากมือฉันเลย”

“ถ้างั้นมึงไม่ต้องไปทำงานที่นั่นแล้วดีมั้ย”

“ทำไมล่ะ! เรื่องนี้ไม่มีใครผิดนะ นายอย่าโทษคนพวกนั้นเลย เขาอาจไม่รู้เรื่องที่ฉันแพ้กุ้งเหมือนที่ลูเซียนรู้ก็ได้” ผมชี้แจงยืดยาว คิดว่ายังไงก็ต้องทำงานที่นั่นต่อ

แต่แล้วจู่ๆ ความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัว ผมนิ่งไปหลายสิบวิ จ้องลึกเข้าไปในตาของจ้านที่คล้ายว่าอะไรบางอย่างจะบอก และพอทวนคำพูดตัวเองไปถึงคำสุดท้าย ผมก็เริ่มจะเข้าใจ

“หรือว่า...”

“มึงกินกุ้งทั้งๆ ที่ตัวเองแพ้ แถมยังแพ้หนักด้วย” เห็นจ้านขมวดคิ้วแล้วผมก็รู้สึกกังวลตามไปด้วย “หมอนั่นต้องเอะใจเรื่องนี้แน่ กูรับรองได้”













ผมพักฟื้นในโรงเพยาบาลสองวันหมอถึงอนุญาตให้กลับบ้าน จำได้ว่าตอนนั้นจ้านมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการแพ้อาหารทะเลของผมเลยสอบถามหมอไป คำตอบที่ได้คือลักษณะของอาการมักจะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะทางร่างกาย หรืออาจเกิดมาจากการที่ผมไม่ค่อยดูแลสุขภาพและมีความเครียดมากเกินไป

พอกลับมาก็ต้องรักษาตัวอีกหนึ่งวันเต็มๆ เมื่อเริ่มดีขึ้น วันต่อมาผมจึงตัดสินใจไปทำงานโดยให้เหตุผลกับจ้านว่าเรื่องอาการแพ้ของผม แม้จะเสี่ยงว่าอาจสงสัย แต่ก็คงไม่มีใครมานั่งใส่ใจ เพราะผมไม่ใช่คนที่อยู่ในสายตาของลูเซียนอยู่แล้ว หรือต่อให้สุดท้ายโดนจับได้ว่าสูญเสียความทรงจำไปก็ไม่น่าจะส่งผลอะไร ใช่ว่าตัวตนของผมในอดีตไม่ได้ลบไปจากใจของเขาซะเมื่อไหร่

ผมไม่รู้ว่าคนอื่นๆ คิดยังไงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนั้น มันอาจเป็นไปได้ว่าพวกเขาจะรู้ถึงอาการแพ้ที่ผมเป็น แต่อีกใจก็คิดว่าไม่น่าใช่... ไม่อย่างนั้นไทด์จะเลื่อนจานนั้นมาให้ผมกินทำไม

บางครั้งเวลาเห็นเหล่าพนักงานจับกลุ่มคุยกัน เพียงแค่เจอหน้าผมพวกเขาต่างก็แยกย้ายไปคนละทาง ในเมื่อเป็นแบบนี้ผมเลยปล่อยผ่านและทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น โชคยังดีที่ผมเริ่มชินกับงานโดยไม่ต้องมีใครมาคอยบอกแล้ว ไม่งั้นก็ไม่รู้ว่าจะโดนถามอะไรหรือเปล่า อีกอย่างไทด์ก็ดูสีหน้าไม่ค่อยดี ผมเดินผ่านไม่ยอมสบตา เมินเฉยใส่ ถามอะไรก็ตอบกลับมาสั้นๆ

และในวันที่ผมกำลังเช็คสต๊อกของอยู่หลังร้าน เสียงฝีเท้าคู่หนึ่งก็มาหยุดยืนอยู่ข้างหลัง

“นายรู้ว่าฉันตั้งใจสินะ” ผมค่อยๆ หันไปมองพบว่าเป็นหัวหน้าเด็กเสิร์ฟที่กำลังแสดงสีหน้าบึ้งตึง เมื่อกี้ผมได้ยินสิ่งที่เขาพูดก็จริง แต่ไม่เข้าใจ

“คุณพูดเรื่องอะไรครับ”

ไทด์ขยับเข้ามาใกล้ผมอีกก้าว จากนั้นก็คว้าคอเสื้อผมขึ้นมา

“ฉันเอายำรวมมิตรทะเลให้นาย เห็นๆ อยู่ว่ามีกุ้งแล้วทำไมถึงกิน ไหนบอกว่าแพ้นักแพ้หนา ตอนไอ้ยักษ์เสิร์ฟให้ผิดก็เคยโวยวายจนร้านแตกมาแล้วจำไม่ได้รึไง อ้อหรือว่า... นายอยากเห็นฉันกลายเป็นคนผิดถึงขนาดลงทุนทำให้ตัวเองเกือบตายน่ะห๊ะ!”

เดี๋ยวก่อน! แบบนี้ก็หมายความว่า...

“คุณรู้ว่าผมแพ้กุ้ง?”

“ใช่!” นัยน์ตาผมเบิกกว้าง พูดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงฟังคนตรงหน้าขึ้นเสียงต่อไป “แค่เห็นกุ้งวางบนโต๊ะ นายถึงกับเขวี้ยงจานใส่หัวลูกน้องฉัน มาคราวนี้ถึงขั้นกินเข้าไป… เพราะอะไร? อยากท้าทายฉันนักใช่มั้ย!”

“ผม...”

“อย่าหวังว่าจะได้ยินคำขอโทษจากฉัน” พูดจบไทด์ก็ผลักตัวผมจนเซเกือบล้ม

อะไรกัน? ผมเคยร้ายกาจใส่ยักษ์ขนาดนั้นเชียวหรอ มิน่าช่วงแรกๆ เขาถึงไม่กล้าสบตาผมเลย แบบนี้ก็แปลว่าทุกคนในนี้รู้ว่าผมแพ้กุ้ง แต่ทั้งๆ ที่เป็นอย่างนั้นไทด์ก็ยังเลื่อนเมนูที่มีกุ้งมาให้ผมทานเนี่ยนะ หรือเขาทำไปเพราะตั้งใจจะกลั่นแกล้ง คงอยากดูว่าตอนที่ผมเห็นของที่กินไม่ได้อยู่ตรงหน้าจะมีปฏิกิริยายังไง... แต่กลายเป็นว่าผมดันกินเข้าไปจริงๆ

แบบนี้นี่เอง ทุกคนถึงพากันอุทานทันทีที่ผมตักกุ้งเข้าปาก...

เอาจริงๆ ผมเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะแพ้ขนาดนั้น เพราะงั้นผมถึงไม่รู้สึกโกรธไทด์สักนิด และยิ่งเขามาพูดกับผมแบบนี้มันก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความกังวล คงคิดไม่ตกเรื่องที่ตัวเองเกือบหยิบยื่นความตายให้กับใครอีกคน

แม้ไทด์จะชอบขึ้นเสียง ดุร้ายเวลาโมโห ไม่ค่อยอยู่ในกรอบ แต่เขาก็ไม่เคยทำอะไรที่สร้างความเดือนร้อนให้กับคนอื่น ผมเคยสงสัยว่าเพราะอะไรพนักงานที่นี่ถึงได้รักหัวหน้าจอมหัวรั้นอย่างเขานัก พออยู่มาเรื่อยๆ ถึงได้รู้ว่าเขามักเป็นห่วงคนอื่นอยู่เสมอ ใครดีมาดีกลับ ร้ายมาก็ร้ายกลับ เผลอๆ อาจจัดหนักเต็มสูบด้วยซ้ำ ถึงจะเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นแต่ก็ยังรู้จักผิดชอบชั่วดี ผมเลยคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจทำให้เขารู้สึกแย่ไม่น้อย

หลังจากไทด์แสดงแววตาอันโกรธเกรี้ยวที่ไร้ซึ่งความน่ากลัว ผมเห็นเขากำลังจะเดินไป จึงรีบเอ่ยขึ้น

“ผมไม่เป็นไร” ไทด์ชะงักเท้า แล้วหันหลังมากลับมามอง ผมรู้ว่าไม่ใช่เวลามายิ้มให้แต่สมองมันดันสั่งการให้เป็นไปตามนั้น “ผมสบายดีแล้ว หมอบอกว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”

ไทด์ยืนนิ่ง ในขณะที่หางตากระตุกเล็กน้อย ในหัวคงคิดอะไรต่อมิอะไรก่อนประมวลมันออกมาเป็นคำพูดที่ยังคงความเป็นตัวเขาอย่างครบถ้วน

“ใครเป็นห่วงนาย”

 









**

จักรพงษ์เปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานของลูเซียนพร้อมกับแฟ้มเอกสาร เขาวางมันไว้บนโต๊ะและบอกถึงตารางงานที่ต้องทำในวันนี้ แต่พูดไปได้เพียงเรื่องสองเรื่องลูเซียนก็วางแฟ้มลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น

“ที่ให้ไปสืบ ได้เรื่องอะไรบ้าง... ตกลงว่าวันนั้นรัณย์ไปทำอะไรที่โรงพยาบาล” จักรพงษ์ตั้งใจจะรายงานเรื่องดังกล่าวหลังจากพูดเรื่องงานเสร็จ แต่ดูเหมือนผู้เป็นนายจะต้องการทราบมันเร็วกว่านี้

ย้อนไปหลายอาทิตย์ก่อน อีวานให้คนมาถามหากรัณย์กับลูเซียน บอกเพียงว่าต้องการทวงคำสัญญาบางอย่างกับเด็กหนุ่ม เขาเคยรู้จากปากกรัณย์เองว่าไปตกลงอะไรกับอีวานเอาไว้จึงไม่ได้ซักถาม ขณะนั้นสัญญาณมือถือของกรัณย์ระบุสถานที่ล่าสุดว่าเป็นโรงพยาบาล ลูเซียนไม่ได้สนใจว่ากรัณย์ไปทำอะไรที่นั่น จนเมื่อเกิดเรื่องวุ่นวายในวันเกิดของไทด์ที่ไนต์คลับเมื่อสองสามวันก่อน เขาถึงเริ่มฉุกคิด

กรัณย์แพ้อาหารทะเล... ลูเซียนรู้เรื่องนี้ตั้งแต่ตอนที่มีพนักงานเสิร์ฟเมนูทานเล่นไปผิดโต๊ะ บังเอิญว่าเมนูนั่นเป็นของทะเลและดันถูกวางอยู่ตรงหน้าคนที่แพ้พอดี ขณะนั้นกรัณย์เมามากประกอบกับมีเศรษฐีไฮโซประคบประหงมอยู่ใกล้ๆ จึงไม่มีการไว้ใครหน้าไหน พนักงานร่างเล็กถูกต่อว่าและโดนจานเขวี้ยงใส่จนหัวแตก ทุกคนในนี้จึงให้กิตติศัพท์แก่กรัณย์ว่าเป็นหนุ่มหน้าตาดีแต่จิตใจน่ารังเกียจ

มาถึงเหตุการณ์ที่กรัณย์กินอาหารทะเลแล้วเกิดช็อคจนหมดสติไปเมื่อหลายวันก่อน ทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองแพ้แต่กลับกินมันอย่างหน้าตาเฉย ลูเซียนเกิดความสงสัยถึงการกระทำนั้น รวมไปถึงอะไรหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งคำพูด แววตา และความมุ่งมั่น เขาคิดจนกระทั่งว่าเลยเถิดไปถึงตอนที่เด็กหนุ่มถูกพบตัวที่โรงพยาบาล จากแต่ก่อนไร้ซึ่งความใส่ใจ มาตอนนี้เขากลับสั่งการให้จักรพงษ์ไปตรวจสอบเรื่องนี้แทบทันที

เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น มันต้องมีคำอธิบาย...

“หลายอาทิตย์ก่อนกรัณย์อยู่โรงพยาบาลเพราะต้องเข้ารักษาตัวหลังจากเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ครับ และคนที่พาเขามาส่งโรงพยาบาลก็คือคุณจิตตากร” เป็นชื่อจริงของจ้าน ลูกชายนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ “เห็นว่าพักฟื้นอยู่เป็นอาทิตย์ ดูแล้วอาการท่าจะหนัก”

“ได้ข้อมูลทางการรักษามารึเปล่า” ถามเลขาคนสนิท เนื่องจากจำเหตุการณ์ที่กรัณย์เปิดเครื่องโทรศัพท์จนทำให้สามารถเชื่อมต่อกับแอฟหาพิกัดจีพีเอสในมือถือได้ ตอนนั้นลูเซียนโทรเข้ามือถือของกรัณย์และได้คุยกันสักพัก น้ำเสียงของอีกฝ่ายเหมือนคนไม่เป็นอะไร จึงคิดไปว่าคงไม่มีอะไร อาจจะไปเพราะเป็นไข้หวัดธรรมดา หากถามไถ่ไปก็จะดูไม่สมกับเป็นคนที่เพิ่งตัดขาดกัน

ภายหลังจากรู้ว่าไปโรงพยาบาลเพราะเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ลูเซียนก็เอ่ยปากถามอาการของรัณย์ทั้งๆ ที่เหตุการณ์ในตอนนั้นผ่านมาแล้ว เนื่องจากไม่อาจควบคุมสมองให้หยุดตั้งข้อสงสัยได้

“เรื่องนี้คงยากที่จะใช้เวลาไม่กี่วันในการตรวจสอบครับ เพราะทางโรงพยาบาลไม่มีทางเปิดเผยข้อมูลคนไข้กับบุคคลนอกง่ายๆ เว้นแต่ว่าเราจะซื้อคนในหรือไม่ก็ใช้นักโจรกรรมข้อมูล” ฟังแล้วก็น่าจะเป็นจริงตามนั้น หากแต่มีบางสิ่งที่ทำให้ลูเซียนต้องขมวดคิ้วเป็นปม

“เมื่อกี้คุณบอกว่ารัณย์พักฟื้นอยู่เป็นอาทิตย์”

“ครับ” จักรพงษ์ตอบโดยไม่มีมองหน้าอีกฝ่าย มือที่ปล่อยไว้ข้างลำตัวถูกนำมากุมไว้ด้านหน้า

“แล้วออกจากโรงพยาบาลวันไหน” ลูเซียนลุกจากเก้าอี้ เดินอ้อมโต๊ะทำงานมายืนประจันหน้ากับเลขาส่วนตัวแล้วค่อยพูดต่อด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ใช่วันเดียวกับที่อีวานไปเจอตัวเขารึเปล่า”

เงียบกริบ... จักรพงษ์ไม่ตอบกลับแม้แต่คำเดียว

“ผมให้คุณไปถามเหตุผลที่ต้องนอนโรงพยาบาลกับเจ้าเด็กนั่นตรงๆ เลยดีมั้ย” ผู้เป็นนายเข้าหัวข้อสนทนาใหม่ ทำให้คนฟังตามไม่ถูก กระทั่งเหลือบไปสบตากับความลึกลับที่ซ้อนอยู่ในดวงตาของคนตรงหน้า

จักรพงษ์ไม่แปลกใจที่คนเจ้าสังเกตอย่างลูเซียนจะจับผิดการกระทำบางอย่างได้ และแน่นอนว่าเขาเองก็เตรียมใจยอมรับผลของมันตั้งแต่ตอนที่ผู้เป็นนายสั่งให้เขาไปสืบเรื่องของกรัณย์ที่โรงพยาบาลแล้ว เนื่องจากตัวแปรคือระยะเวลาการพักฟื้น หากแอดมิดนานก็เท่ากับอาการหนัก

“ผมทำเพื่อคุณได้ครับ” จักรพงษ์พูดสั้นๆ

“เพื่อผมงั้นหรอ? เรื่องที่อีวานตามตัวเด็กนั่นจนเจอ ถ้าเขาไม่โทษว่าผมเป็นคนส่งตำแหน่งให้อีวาน... ผมก็คงไม่มีวันรู้ว่าคุณแอบขัดคำสั่ง” ร่างสูงถอนหายใจเฮือกใหญ่ “วันที่รัณย์ออกมาจากโรงพยาบาล คุณบอกตำแหน่งเขาให้อีวานรู้ แล้วค่อยมารายงานผมตอนที่เขาถูกพาตัวไปแล้ว ใช่หรือเปล่า”

ลูเซียนนึกถึงตอนที่กรัณย์เข้ามาในไนต์คลับด้วยท่าทางดึงดัน และต่อว่าเขาเรื่องที่ตัวเองถูกพาตัวไปอย่างไม่เต็มใจ ตอนนั้นชายหนุ่มรู้ในทันทีว่าเป็นฝีมือของเลขาคนสนิท เพียงแต่ไม่ปริปากพูดออกไป เพราะต่อให้กรัณย์จะเข้าใจผิดอย่างนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ต้องทักท้วง จนถึงเหตุการณ์ที่กรัณย์แพ้กุ้งอย่างรุนแรงก็ทำให้เขาเกิดสังหรณ์บางอย่าง ก่อนจะได้รู้ว่ามันคือเรื่องที่เหนือความคาดหมายมาก 

“ตอนนั้นผมบอกคุณว่ายังไง? ไม่ว่ารัณย์จะพยายามหลบหน้าอีวาน หรือเป็นตายร้ายดียังไงก็ให้นายอยู่เฉยไว้ใช่มั้ย... วันแรกที่ตรวจจับสัญญาณมือถือได้ คุณรายงานผมว่ารัณย์อยู่ที่โรงพยาบาล พอสัญญาณหายไปผมก็สั่งทันทีว่าไม่ต้องตามต่อ แต่สุดท้ายคุณก็ยังเอาเรื่องไปบอกอีวานจนได้” ลูเซียนขยับเทคไนตัวเองให้คลายออก ก่อนจะพูดต่อ “คุณรอให้รัณย์ออกจากโรงพยาบาลก่อนค่อยติดต่ออีวาน ฉะนั้นคุณก็ต้องรู้ว่ารัณย์พักฟื้นอยู่ที่นั่นกี่วัน... ถึงขนาดนี้แล้วยังจะมีหน้ามาบอกผมว่าไม่รู้เรื่องอาการของเขาอีกหรอ”

เสียงกร้าวเต็มไปด้วยความดุดัน บรรยากาศในห้องทำงานคุกรุ่นไปด้วยแรงโทสะ ขณะนี้จักรพงษ์ควรตระหนักถึงคำพูดของผู้เป็นนาย แต่เขากลับแสยิ้มออกมาแทน

“เด็กคนนั้นมีอิทธิพลต่อคุณจริงๆ” ลูเซียนหางตากระตุกกับสิ่งที่ได้ยิน “หลังจากรู้ว่ารัณย์อยู่ที่โรงพยาบาลคุณก็รีบโทรไปทันที คงอยากรู้มากว่าเขาเป็นอะไร ทำไมถึงไปอยู่ที่นั่น... โดยไม่สนใจเลยว่าเขาประกาศตัดขาดกับคุณไปแล้ว”

“หุบปาก!”

คล้ายถูกจุดไฟให้โหมกระหน่ำอยู่ภายในอก ลูเซียนโมโหกับคำพูดเหล่านั้นแต่ก็ยังควบคุมอารมณ์ไว้อย่างเต็มที่ เห็นแก่คนตรงหน้าที่อายุมากกว่าและทำงานอยู่ข้างกายเขามานาน

หากทว่า...



“ถ้าการตัดเขาออกจากชีวิตมันเป็นเรื่องยาก อย่างน้อยผมก็ควรจัดการให้คุณด้วยตัวเอง”

**









TBC.

 

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 22-05-2018 21:28:33 โดย La_Pomme »

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
มาม่ามาแล้ว :a5:

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1912
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
เอ...มันเริ่มแปลกๆได้กลิ่นตุๆจากเลขา แปลว่า เลขาแอบชอบเจ้านาย?

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
อืม!!!!

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
อืมห์นะ เริ่มรู้เรื่องมาทีละนิดละ รู้สึกอ่านแล้วสนุกขึ้นหน่อย
ตอนแรกก็งง งง งง แต่ก็ปูทางได้ดีมาก น่าติดตาม
และก็มาต่ออีกเร็วๆ นะ
 :katai4: :katai4:

ออฟไลน์ buathongfin

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1244
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
ใช้ชีวิตได้อย่างบัดซบมาก ไม่มี critical thinking เห้อม บอกปาวๆไม่ไปยุ่งคืออะไร หมั่นไส้นายเอกแรง ผู้รุมล้อมเหลือเกิน ไปเรียนมวยไทยไป สละเวลาสักนิดออกกำลังกาย จะได้ไม่โดนอุ้มง่ายๆอย่างนี้ สู้คนหน่อยชาวโลก แต่อุปสรรคคือความจำเสื่อมหรือวิญญาณเข้าร่างใหม่หรือยังไง รอปมคลาย ลุ้นโพดโพ

ออฟไลน์ rockiidixon666

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 760
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-3
ฮึ่ยยย ไอ้คุณเลขา ทำไมทำแบบนี้  :katai1:

ออฟไลน์ angel_Z4

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 783
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-1
คุณจักรพงษ์? ปมมาอีกแล้วสินะคะ

ออฟไลน์ Januarysky

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 507
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-0
คุณเลขามาพัวมาพันเข้าไปอีก
นี่เรากำลังหลงเข้าไปในนิยายสืบสวน สอบสวน ฆาตกรรมอำพราง แบบคดีในห้องปิดตายของโคนันอยู่ชิมิ
ฟามรักโรแมนซ์ของเค้าล่ะ อืออออออออ
 :hao5:
+ และเป็ดรออีวาน

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
อ้าวๆๆ........คุณเลขา  ทำนอกเหนือคำสั่งเจ้านาย
ที่แท้ รัณย์ตัดขาดกับลูเซียนไปแล้ว
แล้วรัณย์ก็สำคัญกับลู จนเลขาคิดช่วยให้ขาดๆไปซะเลย
รอวันลู รัณย์ รักกัน คืนดีกัน ใช่มั้ยเนี่ย  :z3: :z3: :z3:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:


ออฟไลน์ route rover

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2423
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +221/-7
งั้นก็ ลูรันย์ สินะ  :katai2-1:

ออฟไลน์ onlyplease

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 317
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
ควรส่ง เลขา ไปให้อีวานย่ำยี!!!
 เกลียดจริงๆ พวกหวังดีแบบไม่ถามคนอื่น
 นายเอกโดนเยอะไปล่ะ
 อยากให้เอาคืนได้แล้ว  :katai4:

ออฟไลน์ La_Pomme

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 51
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +65/-0
บทที่ 14
::แผนตบตา::





**

วันนี้เป็นวันหยุดของไทด์ กิจกรรมยามว่างของเขาไม่มีอะไรมาก เริ่มจากตื่นนอนแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวออกไปข้างนอก เรียกได้ว่าเป็นผู้ชายธรรมดาที่ใช้ชีวิตแบบก้าวผ่านวันแต่ละวันไปด้วยการทำอะไรเดิมๆ

ไทด์ออกจากห้องเช่า และแวะซื้อผลไม้และนมกล่องที่ร้านค้าข้างทางทุกๆ วันเสาร์ มาเวลาเดิมจนคนขายแค่เห็นหน้าก็หยิบจับของใส่ถุงให้อย่างถูกต้อง หลังจากนั้นเขาก็ขับรถมอเตอร์ไซค์ที่ซื้อมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง มุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งอาคารที่เป็นจุดหมายคือแผนกผู้ป่วยด้านสมอง เพียงก้าวเท้าเข้าประตูเหล่าพยาบาลก็กล่าวทักทายชายหนุ่มอย่างสนิทสนม ทำให้รู้ว่าเขาทางมาที่นี่บ่อยครั้ง

ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไปในห้องผู้ป่วยรวม เดินเข้าไปวางของตรงเตียงที่ระบุข้อมูลว่าเป็นผู้ป่วยเพศชาย อายุยี่สิบสามปี ไทด์นำผลไม้ที่ซื้อมายื่นให้กับนางพยาบาลที่ประจำเวรอยู่ และนำส่วนหนึ่งมอบให้ผู้ป่วยคนอื่นๆ ในห้องเพื่อแสดงน้ำใจ อีกทั้งยังเป็นการแสดงความขอบคุณที่ช่วยดูแลคนสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา

ท็อป... ผู้เป็นน้องชายแท้ๆ และญาติเพียงคนที่ไทด์เหลืออยู่

เป็นเวลาเกือบห้าปีแล้วที่ไทด์ใช้เวลาอยู่ที่โรงพยาบาลพอๆ กับช่วงเวลาทำงาน เมื่อน้องชายของเขาโดนพวกคนร้ายที่เข้ามาชิงทรัพย์ทุบหัวด้วยไม้เบสบอล อีกฝ่ายกระหน่ำไม่ยั้งมือทำให้สมองของท็อปได้รับความกระทบกระเทือน มีเลือดคลั่งในสมอง กะโหลกแตก ช่วงแรกหายใจเองไม่ได้จึงต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ จนผ่านมาหนึ่งปีก็เริ่มดีขึ้น อาการบาดเจ็บภายนอกหายเป็นปกติ แต่ถึงอย่างนั้นท็อปก็ยังไม่ฟื้น ต้องให้อาหารทางสายยาง รวมไปถึงการใส่ท่อปัสสาวะด้วย

ไทด์ใช้เวลาดูแลน้องชายด้วยการบีบนวดตามแขนและเท้าเพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อยึด ความจริงเขาทำแบบนี้เป็นประจำก่อนไปทำงานทุกวัน เสร็จแล้วก็จะกลับราวๆ บ่ายสองโมง แต่วันนี้เป็นวันหยุดเขาจึงใช้เวลาอยู่ที่นี่ทั้งวัน กระทั่งถึงเวลากินข้าวกลางวันเขาก็จะไปหากินใกล้ๆ กำลังคิดๆ อยู่ว่าจะกินอะไรเขาก็พาตัวเองเดินมาทางไปลานจอดรถ แต่แล้วทุกอย่างก็ต้องชะงัก เมื่อสายตาบังเอิญเหลือบไปเห็นชายคนหนึ่งลงจากรถแท็กซี่

ไทด์เพ่งให้มั่นใจว่ามองไม่ผิด ก่อนจะพบว่าชายคนนั้นคือ... กรัณย์

สิ่งแรกที่เขาคิดในหัวคือ ‘เจ้านั่นมาทำอะไรที่โรงพยาบาล’

หรือว่า... จะเกี่ยวกับอาการแพ้อาหารทะเล?

“อะไรวะ? ไหนบอกว่าไม่เป็นไรแล้วไง”

กรัณย์เพิ่งออกจากโรงพยาบาลไปหมาดๆ วันอาจจะมาเพราะหมอนัดก็ได้ ไทด์คิดว่าจะช่างมันไป แต่พอเห็นกรัณย์เดินเข้าไปในอาคารที่เกี่ยวกับโรคทางสมอง เขาก็นึกเอะใจ เกิดอะไรขึ้น ทำไมกรัณย์ถึงไปที่นั่น หรือว่าจะมีโรคแทรกซ้อน ด้วยความอยากรู้ไทด์จึงตามไป เห็นกรัณย์ถูกหมอเรียกพบ มันก็ยิ่งสร้างความสงสัยเข้าไปใหญ่

เจ้านั่นเป็นอะไร... มีโรคเกี่ยวกับสมองงั้นหรอ?

**

 









ช่วงนี้ผมดูหนังสือหนักมาก สมองถูกใช้งานตลอดเวลา ซ้ำยังพักผ่อนน้อย วันนี้ต้องมาตามนัดของคุณหมอก็เลยว่าจะขอยาที่สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดหัวได้ โชคดีที่จ้านติดเรียนมาด้วยไม่ได้ ไม่งั้นผมต้องโดนซักเรื่องอาการจนถูกสั่งให้พักแน่ๆ

คุณหมอตรวจเสร็จก็เตือนว่าการพักผ่อนน้อยอาจทำให้ผมเกิดอาการปวดหัวขั้นรุนแรงได้ เนื่องจากสาเหตุที่ทำให้ผมสูญเสียความทรงจำคือการโดนกระทบกระเทือนที่สมอง ควรดูแลตัวเองด้วยการหันมาการฝึกทักษะสมอง นำแนวคิดการออกกำลังกายแบบแอโรบิกส์ ทำให้ร่างกายแข็งแรงด้วยการขยับกล้ามเนื้อหลายๆ ส่วนมาประยุกต์ บริหารสมองที่ใช้ประสาทสัมผัสไปกระตุ้นกล้ามเนื้อสมองหลายๆ ส่วนให้ขยับและตื่นตัว โดยจะส่งผลให้เซลล์ประสาทแตกกิ่งก้านสาขา มีการเชื่อมโยงสื่อสาร และเมื่อเกิดการเรียนรู้สิ่งใหม่ ก็จำให้เซลล์สมองแข็งแรงยิ่งขึ้น

ผมเดินออกมาจากห้องตรวจพร้อมกับเอกสารกำกับยา ขณะกำลังเดินอ่านคู่มือการบริหารสมองที่คุณหมอให้มา ผมก็พลันรู้สึกเหมือนกับมีคนเดินตาม ตั้งใจเดินไปที่ห้องจ่ายยา คนคนนั้นก็เดินตามมาอีก ตอนแรกผมกะว่าจะไม่สนใจ แต่เล่นมานั่งรอข้างๆ ผมก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองหน้า

“คุณ!”

ผมแปลกใจที่คนนั่งข้างๆ เป็นไทด์ เผลอสะดุ้งเฮือกจนเอกสารในมือหล่นลงพื้น

“มาทำอะไรที่นี่” ในใจก็อยากถามกลับเหมือนกัน กำลังนึกๆ ว่าจะตอบไปยังไง ไทด์ก็เอาแต่มองของที่ผมทำหล่นไว้ และกว่าจะรู้ตัวอีกทีอีกฝ่ายก็คว้ามันตัดหน้าไปก่อนแล้ว

“ผมเห็นบทความมันน่าสนใจดี เลยหยิบมาอ่านน่ะครับ” รีบอธิบายทั้งๆ ที่เขายังไม่ถามอะไร

“เห็นเข้าไปคุยกับหมอ... เป็นอะไร สมองมีปัญหารึไง” ผมอ้าปากค้าง ไม่ใช่ว่าตกใจ แต่กำลังคิดว่าจะตอบยังไงมากกว่า สงสัยว่าสติการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจะเป็นศูนย์ แค่พูดอะไรส่งๆ ไปคงไม่เป็นไรมั้ง เพราะถึงยังไงเขาก็คงไม่ใส่ใจกับคำพูดของผมอยู่แล้ว

“แล้วคุณล่ะครับ ทำไมถึงมาอยู่แถวนี้ได้”

“ฉันถามนายก่อน”

“สำคัญด้วยหรอครับ”

“เอ้า! ไอ้นี่” ไทด์มองหน้าหาเรื่อง ถลึงตาโตเป็นไข่ห่านจนผมถึงกับผงะ

คิดว่ากวนตีนไปเขาก็คงไม่อยากคุยด้วยแล้ว แต่ที่ไหนได้...

“ฉันมาเยี่ยมน้องชาย”

จู่ๆ เขาก็ตอบคำถามด้วยสีหน้าที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน แววตาดูหม่นหมองไม่คุ้นชิน เพราะธรรมดาผมจะได้เห็นแต่สายตาที่แสนเกรี้ยวกราดและดุร้าย แต่วันนี้เป็นครั้งแรกที่ผมสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่ไม่มีความขุ่นเคืองเจือปน และยังเป็นครั้งแรกที่เขายอมตอบคำถามผมดีดี โดยไม่มีคำพูดถากถางหรือคอยแขวะให้ผมรู้สึกแย่

“น้องชายคุณเป็นอะไร” ผมอยากรู้ต่อ

“ตอบคำถามฉันมาก่อนเถอะ”

ให้ตายสิ โดนคาดคั้นอีกแล้ว... เอาไงดีล่ะทีนี้

“นายกรัณย์ รัตนเตศวร!”

หืม? ชื่อผมหนิ? คนจ่ายยากำลังเรียกชื่อผมจริงๆ ด้วย เสียงสวรรค์มาโปรด ขอบคุณที่มอบโอกาสให้ผมได้หลุดออกมาจากสถานการณ์อันแสนอึดอัดในตอนนี้

“ขอตัวก่อนนะครับ”

ผมรีบเดินไปรับยา ระหว่างนั้นก็เหลือบมองไทด์เป็นระยะ พอเห็นเขายังมองอยู่ผมก็ทำทีถามนางพยาบาลเรื่องการทานยาไปเรื่อยๆ และเมื่อหันไปอีกครั้ง เห็นเขาพลิกคู่มือการบริหารสมองในมืออ่าน ผมก็เลยฉวยโอกาสนี้สาวเท้าออกไปจากโรงพยาบาลทันที

 












หลายวันต่อมา เรื่องอาการแพ้กุ้งของผมเริ่มไม่มีใครพูดถึง พนักงานคนอื่นๆ ชวนผมคุยมากขึ้น แม้ไม่อาจเรียกว่าเป็นกันเองได้เต็มปาก แต่การที่ผมเกือบขาดใจตายต่อหน้าต่อตาทุกคนก็ดูจะเป็นจุดเปลี่ยนเล็กๆ ที่ทำให้พวกเขาปฏิบัติกับผมอย่างใช้การไตร่ตรองโดยไร้ซึ่งอคติขึ้นบ้าง แม้บางครั้งผมจะแอบคิดว่ามันคือความสงสารและรู้สึกผิด แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นการเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่ดี

เมื่อสถานการณ์ไม่เหมือนเก่า ผมมีความยินดีในการมาทำงานแต่ละวัน เพราะไม่ต้องรู้สึกหนักใจทุกครั้งที่ออกจากบ้าน ผมคิดว่าทุกอย่างกำลังดี แต่มันกลับมีพนักงานอยู่คนหนึ่งที่ยังทำให้ผมกระอักกระอ่วนใจอยู่ จากหลายวันก่อนที่ไทด์ทำเมินเฉยต่อผม แม้แต่หน้าก็ยังไม่อยากมอง มาคราวนี้เขากลับใช้สายตาแปลกๆ จับจ้องผมคล้ายกับมีเครื่องหมายคำถามติดบนหน้าผากอยู่ตลอดเวลา 

ระหว่างนั้น ยักษ์เดินเข้าบอกผมว่าลูเซียนเรียกให้ไปพบในห้องส่วนตัว วันนี้เขาแวะเข้ามายังไนต์คลับทั้งๆ ที่ไม่มีแขกวีไอพี ผมผละจากงานตรงหน้า ใช้ทางลัดเดินเลียบข้างโต๊ะลูกค้าไปตามทางเดิน ก่อนจะโผล่ยังหน้าห้องของลูเซียนที่ผมเคยเข้าไปแล้วครั้งหนึ่ง

หลังจากเคาะประตูเสร็จ ผมก็เปิดเข้าไปด้านในโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูให้ด้วย

สถานการณ์ตรงหน้าผมในตอนนี้คือลูเซียนกำลังพิมพ์คอมอยู่ ภายในห้องเปิดไฟสลัว ผมจึงเห็นใบหน้าคร่ำเคร่งผ่านจากแสงของจอโน้ตบุ๊กเท่านั้น 

“มีอะไรจะพูดกับผมหรอครับ”

“ยืนรอไปก่อน” ลูเซียนไม่มองหน้าผมด้วยซ้ำ

เห็นว่าเขากำลังง่วนอยู่กับงานบางอย่างผมก็เลยยืนรอตามที่บอก จนเวลาผ่านไปเป็นนาที สองนาที และสามนาที พอเข้านาทีที่ห้าผมก็เริ่มมองไปรอบห้องเพื่อสำรวจอะไรต่อมิอะไรเพื่อฆ่าเวลา ในห้องส่วนตัวของเขามีชุดโซฟาไว้รับแขก บานกระจกสี่ด้านติดฟิล์มทึบ และยังเก็บเสียงเพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงเพลงจากด้านนอก โดยรวมแล้วห้องดูเรียบง่าย แต่ก็ยังได้ความทรงพลังจากรูปภาพจิตรกรรมราชสีห์แยกเขี้ยวที่แขวนอยู่ตรงกำแพงด้านหลังโต๊ะทำงาน

นอกจานี้ก็ยังมีภาพวาดที่แขวนอยู่อีกฝั่ง ผืนผ้าใบที่แต่งแต้มสีนำมันเป็นภาพของท้องฟ้าคราม ทะเลยามเย็น และโขดหินน้อยใหญ่ตามหาดทราย จุดเด่นในภาพเห็นจะเป็นชายหญิงคู่หนึ่งที่นั่งอยู่บนโขดหิน หญิงสาวรูปร่างบอบบาง ส่วนชายหนุ่มนั้นยังเยาว์วัย พวกเขานั่งหันข้าง ทอดสายตามองเรือลำเล็กที่กำลังถูกเกลียวคลื่นซัดออกไปไกล การใช้เฉดสีเข้มหม่นๆ ยิ่งทำให้รู้สึกหมองเศร้า มองแล้วสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวด สายลมอันเปลี่ยวเหงา ผมคิดเล่นๆ ว่าถ้าหากภาพนี้ถ่ายทอดอารมณ์ของชายหญิงสองคนให้เห็นชัดเจนขึ้น จิตรกรรมชิ้นนี้คงสร้างความหดหู่ใจไม่น้อย

“มีอะไร”

“ครับ?” หันขวับไปยังต้นเสียงที่ทำให้ผมหลุดจากภวังค์

“เห็นนายจ้องภาพนั้นอยู่นาน”

“อ้อ~ ภาพสวยดีนะครับ”

“สวย?” ลูเซียนเลิกคิ้วสูง “ตอนเอามาติดไว้ นายเคยบอกว่ามันไม่เข้ากับห้องนี้”

กรรม ผมเคยออกความคิดเห็นด้วยหรอเนี่ย

“เอ่อ... ก็มันดูไม่เข้าจริงๆ” ผมพยายามแถขั้นสุด พอเห็นภาพวาดที่อยู่เหนือหัวเขาก็หาทางไหลลื่นไปได้อีก “มีภาพสิงโตตัวเบ้อเร้ออยู่เหนือหัว แต่หันไปอีกทางกลับเป็นรูปทิวทัศน์ธรรมดา มันดูขัดๆ ไปหน่อย”

พูดจบ ลูเซียนเบือนหน้าไปอีกทาง ทำยังกับไม่อยากใส่ใจคำพูดของผมเท่าไหร่

“นี่เป็นห้องส่วนตัวของฉัน ภาพนั่นฉันก็วาดเอง จะแขวนตรงไหนต้องสนคนวิจารณ์ด้วยหรอ”

“คุณวาดเอง?” แปลกใจจนอุทานออกมาอย่างลืมตัว ก่อนจะนึกได้ว่าตัวเองควรรู้เรื่องนี้ถึงจะถูก “แหงล่ะ ผลงานของคุณนี่ และห้องนี้ก็เป็นส่วนตัว คุณจะตกแต่งยังไงก็ได้”

ผมว่างั้นก่อนจะเห็นลูเซียนยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู

“นายยืนอยู่ตรงนั้นประมาณสิบนาทีได้” หืม? แล้วยังไงอ่ะ “คนอย่างนายรู้จักรออะไรนานเกินสามนาทีตั้งแต่เมื่อไหร่”

ให้ตายสิ บรรยากาศในห้องก็อึดอัดพอแล้ว เขายังจะสร้างประเด็นใหม่ให้ผมกระวนกระวายใจเข้าไปอีก เรื่องภาพวาดก็ทีนึงแล้ว ใจคอจะให้ผมหาเรื่องแถจนสีข้างถลอกเลยรึไง ไม่ได้ๆ ต้องเปลี่ยนเรื่องคุย

“แล้วเรื่องที่คุณจะพูดกับผม...”


“อีวานใกล้จะกลับมาแล้ว”


เหมือนเส้นประสาทกระตุกให้อวัยวะทั่วร่างทำงานพร้อมกัน มือไม้สั่นระริก ริมฝีปากเม้มหนัก นัยน์ตาเบิกกว้าง อยู่ๆ ภาพใบหน้าของฝรั่งดวงตาสีฟ้าก็ผุดขึ้นมาในสมอง ผมรังเกียจผู้ชายคนนั้นจนอยากจะหนีให้ไกล และนึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าถ้าเจอกันอีกผมจะทำยังไง อีวานเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้ผมยอมทำตามคำสั่งการของลูเซียนทุกอย่าง ดังนั้นการถูกเรียกตัวมาตอนนี้ อาจไม่ใช่แค่บอกให้ผมรู้ว่าอีวานกลับมาแล้วแน่ๆ

“ผมต้องทำยังไงครับ” ผมถามอย่างร้อนใจ

“ฉันควรถามนายก่อน ว่าถ้าเกิดนายนึกหลงตัวเองว่าอีวานต้องการตัว ทั้งๆ ที่ความจริงหมอนั่นอาจเห็นนายเป็นแค่เรื่องสนุกข้ามคืน… นายจะทำยังไง”

“ก็ดีสิครับ ผมจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ไม่มาให้คุณเห็นหน้าอีก” ตอบโดยไม่ต้องคิดให้มากความ

“แล้วเรื่องหนี้ที่ค้างฉันไว้ล่ะ” ลูเซียนหรี่ตาคมเล็กน้อย

“คุณบอกเองว่าถ้าผมสอบเข้ามหา’ลัยได้ จะยกหนี้ให้ผมทั้งหมดนี่ครับ”

“นายคิดอย่างนั้นจริงหรอ”

“แน่นอนครับ และผมก็จะทำให้ได้ด้วย ไม่ยอมให้คุณดูถูกง่ายๆ หรอก”

“เรื่องเงินสิบล้านนั่น นายยังคิดว่าฉัน...” ชายตรงหน้าเว้นเสียงและค้างไว้จนความเงียบเข้ามาแทนที่ ผมรอประโยคถัดเพราะมีความรู้สึกว่าเขายังพูดไม่จบ แต่อีกฝ่ายก็ยังเงียบอยู่ ผมจึงต้องถามกลับ

“อะไรครับ”

“อีกกี่วันถึงจะสอบ” อ่าว? เปลี่ยนเรื่องเฉย

“สี่วันครับ”

“ตั้งแต่วันพรุ่งนี้นายไม่ต้องมาทำงานที่ไนต์คลับ”

หืม?

“คุณจะให้ผมหยุดเพื่ออ่านหนังสือหรอครับ” ผมขมวดคิ้วอย่างฉงนใจ ก่อนจะถามให้กระจ่าง

“ช่วงนี้ฉันจะให้นายมาอยู่ที่บ้าน”

“บ้าน? บ้านคุณน่ะหรอ!”

“ถ้าอีวานมาเห็นนายเป็นแด็กเสิร์ฟเข้า เขาจะคิดยังไง” ผมวิเคราะห์ตามสิ่งที่ลูเซียนบอก “มีใครให้คู่ขาของตัวเองมาทำงานงกๆ บ้าง”

“แล้วจะให้เราไปเป็นเด็กเสิร์ฟแต่แรกทำไมกัน” ผมคิดนะ แต่ปากดันพูดออกมา และคงจะดังไปหน่อยลูเซียนถึงผมไม่วางตาขนาดนั้น “เอ่อ... แปลว่าคุณตั้งใจจะตบตาอีวานใช่มั้ยครับ”

“ไม่งั้นจะมีเหตุผลอะไรอีก”

“แล้วผมต้องไปอยู่ยังไงหรอครับ” อย่างน้อยก็ต้องถามให้ละเอียดก่อน มันจะได้ง่ายต่อการติดสินใจ ก็ยอมรับว่าแอบเห็นด้วยกับความคิดนั้น แต่การไปอยู่กับคนที่ผมไม่เคยมอบความไว้วางใจให้ มันก็ต้องกังวลใจเป็นของธรรมดา และอีกอย่าง ผมก็ต้องขอเหตุผลไปพูดกับจ้านให้เข้าใจด้วย

ดวงตาดุจสัตว์ป่าของลูเซียนจดจ้องผม กระทั่งหางตาถูกเลิกขึ้นสูง เขาก็เอ่ยขึ้น



“ในฐานะที่เป็นคู่ขาของฉัน... คิดว่าตัวเองควรทำอะไรล่ะ”















TBC

NEXT UPDATE 25/05/61 TIME 20:00

ออฟไลน์ loveview

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1912
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-10
ง่ะ?  สรุปว่าลูน่าจะรู้อะไรบ้างแล้วล่ะนะ

ออฟไลน์ barataku

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +33/-0
อ่านเรื่องนี้แล้วตื่นเต้นตลอดเลย ไม่ได้รู้สึกหนักหรือดราม่านะ แต่เรื่องเข้มข้นมีปมให้คาดเดาสนุกดี

ออฟไลน์ tamarind

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ตื่นเต้นๆ รอตอนต่อไปค่า :katai5:

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
ลูเซียน จะมาไม้ไหนนนน :hao7: 


ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
รันณ์นี่ขายดีจริงๆ อิจฉา อิอิอิ
 :z6:

ออฟไลน์ magic-moon

  • magKapleVE
  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-2
    • Freedom of meetups, no obligations
เป็นน้องของไทด์ ใช่ไหมๆ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด