พิมพ์หน้านี้ - ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 29:: คนรู้จัก] UPDATE 20/10/62

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบ => ข้อความที่เริ่มโดย: La_Pomme ที่ 08-05-2018 20:59:17

หัวข้อ: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 29:: คนรู้จัก] UPDATE 20/10/62
เริ่มหัวข้อโดย: La_Pomme ที่ 08-05-2018 20:59:17
อ้างถึง
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


พันธะพัวพัน
By: ริงโกะลาปอม


“ถ้าในอนาคตอยากใช้ชีวิตโดยไม่มีฉัน ก็อย่าทำให้ฉันรู้สึกชินกับการมีนาย”

ผมควรเชื่อคำพูดนั้น ก่อนที่ทุกอย่างจะกลายเป็นแบบนี้... 



#พันธะพัวพัน


*ช่องทางอัพเดตนิยาย >> twitter (https://twitter.com/kana_jeriwer)
*นิยายเรื่องนี้เป็นลิขสิทธิ์ของผู้แต่งแต่เพียงผู้เดียว ห้ามใครนำไปดัดแปลงเด็ดขาด!
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [บทนำ] UPDATE 08/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: La_Pomme ที่ 08-05-2018 21:02:00
[บทนำ]





แรกสัมผัสเมื่อลืมตา ผมพบเพียงความมืดรายล้อมอยู่รอบตัว มันปลุกความกลัวที่อยู่ก้นบึ้งของจิตใจราวกับมีอานุภาพอันลึกลับ ทุกอย่างดูไม่มีจุดเริ่มต้นหรือสิ้นสุด ผมไม่รู้ว่าตัวเองอยู่ที่ไหน มันทั้งเงียบและเหน็บหนาว อยู่ๆ ก็วูบ อยู่ๆ ก็ถูกเหวี่ยง ร่างกายอ่อนล้า เจ็บแสบ ผมปวดหัวแทบจะระเบิด

ใครก็ได้ช่วยที ผมยังไม่อยากตาย…

ผมอยากสวดภาวนานะ แต่ไม่รู้ต้องพูดยังไง ใจอยากนึกอะไรให้ได้สักอย่าง ความทรงจำวัยเด็ก ความชอบ พ่อแม่ เพื่อนฝูง เรื่องพวกนี้ผมควรรับรู้ตามสัญชาตญาณ แต่กลับ... ไม่มีอะไรสักอย่าง มันว่างเปล่า ไร้ข้อมูลในหัว นึกอะไรไม่ออก จากความมืดหม่นตอนนี้กลายเป็นดำดิ่งให้ลงลึกเข้าไปอีก

ผมเป็นใครกัน!

การมองไม่เห็นอะไรตรงหน้าอาจเป็นไปได้ว่าผมกำลังหลับตา ไม่สิ เป็นไปไม่ได้ ผมยังลืมตาอยู่ สิ่งที่ควรถามคือที่นี่มันคือที่ไหนมากกว่า ตอนนี้ยิ่งตะเกียกตะกายผมก็ยิ่งหมดแรง ทำไมร่างกายถึงได้อ่อนแอขนาดนี้นะ

“รัณย์…”

นั่นเสียงใคร? ใครพูดอยู่?

เสียงดังมาจากด้านบน ผมแหงนหน้า เงี่ยหูฟัง ความกังวานจากคำพูดนั้นเข้าถึงโสดประสาทราวกับออกมาจากไมค์ ให้ความรู้สึกเหมือนตัวเองอยู่ในท่อที่ลึกและกว้างใหญ่ อะไรทำนองนั้น

“ช่วยด้วย!”

ผมขยับปากพูด แต่กลับไม่ดังเท่าเสียงที่อยู่เหนือหัว พยายามวิ่งไปรอบๆ พร้อมใจที่เปี่ยมด้วยความหวัง ผู้ชายคนนั้นพูดถึงอะไร จะใช่ชื่อคนหรือเปล่า ถ้าเสียงนั้นคือการร้องเรียก มันอาจเป็นผมก็ได้ใช่มั้ย   

“ไอ้รัณย์ เป็นอะไรไป!”

จู่ๆ ผมก็รู้สึกถึงแรงบีบที่ข้อมือ เกิดอะไรขึ้นกับผมเนี่ย!

“ช่วยด้วย พาผมออกไปจากที่นี่!”

“ตื่นสิไอ้รัณย์!”

หือ? ตื่นหรอ

หรือว่าที่มืดๆ นี่จะเป็น… ความฝัน!

“……………………………………”





“ไอ้รัณย์”

“…”

“ไอ้รัณย์ ลืมตา!”

เสียงนั่น… อยู่ข้างๆ นี่เอง มันไม่กังวานแล้ว แต่ชัดเจนเลยล่ะ

“รัณย์”

‘ให้ตาย ปวดหัวชะมัด’ ผมยกมือจับศีรษะ แต่รู้สึกจะจับคลำเจอผ้าอะไรสักอย่างที่พันไว้รอบหัว

“รัณย์… ไม่เป็นไรใช่มั้ย”

ผมค่อยๆ ลืมตา แสงแรกทำให้การมองพล่ามัว จึงขยับเปลือกตาอยู่หลายครั้งจนทัศนะการมองกลับมาชัดเจน ถึงได้รู้ว่าตัวเองกำลังนอนอยู่บนเตียง แขนผมถูกเจาะให้น้ำเกลือ ฉะนั้นที่นี่คงเป็นโรงพยาบาลอย่างไม่ต้องสงสัย

ส่วนผู้ชายที่เอาแต่เรียก ‘รัณย์ๆ’ ก็ยืนทำหน้ากังวลอยู่ข้างๆ เตียง

“น้ำ” ผมรู้สึกคอแห้งผาด

“อ้อ แปบนะ” ชายคนนั้นรีบเทน้ำจากเหยือกลงแก้วน้ำ นำหลอดใส่เพื่อให้ดื่มง่ายๆ จากนั้นเขาก็พยุงตัวผมลุกขึ้นมาประคองน้ำให้ดื่ม “เป็นไง ดีขึ้นยัง”

หลังจากดูดน้ำจนหมด ผมนั่งลังเลใจว่าจะตอบกลับยังไงดี

“ดีขึ้น”

“โล่งอกไปที” เขาพยักหน้าเบาๆ ก่อนจะนั่งลงตรงขอบเตียงพร้อมสีหน้าที่ไม่ดีนัก “หลังออกมาจากห้องไอซียู มึงก็หลับไปสองวันเต็มๆ กูกลัวแทบตายเลยรู้มั้ย ถึงหมอจะบอกว่าพ้นขีดอันตรายแล้วมึงก็ไม่ยอมฟื้นสักที… เออใช่! กูต้องเรียกหมอมาดูอาการมึงก่อน”

ชายตรงหน้าคงกระวนกระวายถึงได้พูดลิ้นรัวตะกุกตะกักขนาดนั้น และดูจะตื่นเต้นชัดเจนก็ตอนเดินไปกดสัญญาณเรียกคุณหมอ ท่าทางเป็นกังวลกับผมมาก

เขาคนนี้ คือ…

“คุณเป็นใคร”

คำถามของผมทำทุกอย่างหยุดนิ่ง ชายตรงหน้าชะงักค้างพลางเบิกตากว้าง คิ้วเข้มขมวดหนักแสดงอาการตกใจอย่างเห็นได้ชัด เอาจริงๆ ผมไม่เข้าใจสถานการณ์ตรงหน้ามากนักหรอก แค่เห็นว่าผู้ชายคนนี้ดูจะรู้จักผมก็เลยถามไป

“มึงว่า…”

เขากำลังจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ต้องเงียบไปเพราะคุณหมอกับพยาบาลอีกท่านหนึ่งเปิดประตูเข้ามาพอดี ชายคนนั้นยกมือลูบหน้าตัวเองก่อนจะถอยห่างจากเตียงเพื่อให้คุณหมอเข้ามายืนแทนที่ ผมยังคงมองเขาอยู่ตลอด พบว่าท่าทางอึกอักนั่นไม่ต่างจากคนสติหลุดสักนิด

คุณหมอตรวจร่างกายและสอบถามอาการผมอย่างละเอียด ไม่นานก็เรียกชายคนนั้นมาคุยด้วย แต่ผมได้ยินไม่ค่อยถนัด เพราะเขายืนคุยกับไกลพอสมควร

“ผมจำเป็นต้องคุยกับญาติผู้ป่วย…” หมอเอ่ย

“คือพ่อแม่เขา…” อยู่ๆ ชายคนนั้นก็หันมาสบตากับผมด้วยสีหน้าที่กำลังคิดหนัก

พวกเขาคุยกันได้สักพักก็พากันมาแถลงให้ผมฟัง หมอบอกว่าผมประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ ศีรษะถูกกระแทกอย่างแรง สมองได้รับความกระทบกระเทือนจนเป็นสาเหตุของการสูญเสียความทรงจำ เขาไม่สามารถตอบได้ว่าผมจะหายเป็นปกติเมื่อไหร่ เพราะมันขึ้นอยู่กับการทำงานของสมองและสภาพของจิตใจ โดยรวมแล้วร่างกายผมบอบช้ำแต่ไม่มีอะไรร้ายแรง หากกำหนดเวลากับบ้านได้อาจจะต้องกลับมาตรวจร่างกายตามที่หมอนัดอีกครั้ง

เมื่อหมอเดินออกไปจากห้อง ชายตรงหน้าก็หันมามองผมและเอ่ยขึ้น

“มึงจำอะไรไม่ได้?” ผมพยักหน้า กำลังนึกคำถามหลายล้านข้อในหัว แต่ชายหนุ่มกลับพุ่งตัวเข้ามาใกล้แล้ววางไว้บนไหล่ของผมทั้งสองข้าง “แม้แต่ความทรงจำตอนเด็ก โตมายังไง เรียนที่ไหน ก็จำไม่ได้หรอวะ”

น้ำเสียงของเขาทรงพลังหนักแน่นฟังดูอัดอั้นอย่างอธิบายไม่ถูก แต่ก็พลอยทำให้ผมรู้สึกกดดันไม่น้อย

“ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าตัวเองเป็นใคร” ว่าแล้วก็หลบตา เกร็งมือพลางจิกนิ้วตัวเอง มันเหมือนเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ แต่จริงๆ แล้วมันคือปัญหาอันใหญ่หลวงของผมในเวลานี้มากกว่า

ชายตรงหน้าชะงักไปชั่วครู่ ก่อนจะค่อยๆ ผ่อนลมออกจมูกและนำใบหน้าตัวเองออกห่างไป

“ขอโทษด้วย กูไม่ควรขึ้นเสียงใส่มึง”

“คุณรู้จักผม?”

“กูชื่อจ้าน เป็นเพื่อนมึง” แสดงว่าคนคนนี้น่าจะบอกได้ว่าผมเป็นใคร

“เมื่อกี้ผมได้ยินคุณพูดถึงพ่อแม่ แสดงว่าคุณรู้จักพ่อแม่ผมด้วย” ไม่รู้ว่าคำถามมันยากไปหรือเปล่า คนตรงหน้าถึงได้ทำสีหน้าลำบากใจ แถมยืนนิ่งอยู่นานกว่าจะตอบกลับมา

“พ่อมึงอยู่ต่างประเทศ ส่วนแม่…” เขาอึกอัก ท่าทีลังเลใจ ทำให้ผมต้องนั่งลุ้นคำตอบพร้อมๆ กับหัวใจที่อยู่ๆ ก็เต้นเร็วกว่าปกติ

จนกระทั่ง...

“แม่มึงเสียแล้ว”

ได้ยินแวบแรก ผมทำได้แค่พยักหน้ารับรู้ เพราะการไร้ความทรงจำ พยายามนึกเท่าไหร่ก็ไม่มีภาพในอดีตโผล่ขึ้นมาให้ระลึกถึง ทำให้ผมไม่อาจรู้ซึ้งถึงความเสียใจในการสูญเสียได้

“นานหรือยัง” ผมถาม

“ตอนนั้นมึงยังเด็กมาก” เงียบไปสักพัก เขาก็เอ่ยต่อ “บ้านเราอยู่ข้างบ้านกัน กูรู้จักมึงดี ฉะนั้นมึงไว้ใจกูได้  เอาไว้มึงดีขึ้นกว่านี้กูจะเล่าทุกอย่างที่เกี่ยวกับตัวมึงให้ฟัง แต่ตอนนี้มึงต้องพักผ่อนก่อน เดี๋ยวกูจะออกไปซื้อชุดแถวนี้มาเปลี่ยน อยู่เฝ้ามึงมาหลายวันชุดที่เอามาใส่จนครบหมดแล้ว อ้อ... จะได้ซื้อชุดอื่นมาเผื่อตอนมึงออกจากโรง’บาลด้วยไง”

ดูท่าเขาจะอยู่ข้างๆ ผมตลอด คงลำบากแย่

“ขอบใจนะ”

จ้านยิ้มรับ แต่สักพักแววตาก็หรี่ลงและคลายสีหน้าเป็นความกังวลเหมือนเดิม กระทั่งเจ้าตัวหยิบกระเป๋าสตางค์และโทรศัพท์ออกจากห้อง ก็มีนางพยาบาลเดินสวนเข้ามาเพื่อเปลี่ยนถุงน้ำเกลือให้กับผม ระหว่างนั้นพอมีเวลาให้ผมย้อนคิดเรื่องของตัวเอง ถ้านึกอะไรสักอย่างออกบ้างก็คงดี

จริงสิ!


“เออ คุณพยาบาลครับ… เสื้อผ้ากับของที่ติดตัวผมมาอยู่ไหนหรอครับ”













TBC



สวัสดีจ้า สำหรับนิยายเรื่องนี้เนื้อหาอาจพลิกไปพลิกมาได้ตลอดเวลา มีการทิ้งปม ทิ้งข้อสงสัยเล็กๆ น้อยๆ บ้าง หวังว่าผู้อ่านจะร่วมลุ้นและคาดเดาเหตุการณ์ต่างๆ ไปด้วยกันนะจ๊ะ



สุดท้ายนี้ ขอให้มีความสุขกับการอ่านจ้า.... 



หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [บทนำ] UPDATE 08/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: La_Pomme ที่ 08-05-2018 21:11:20
บทที่ 1
::คำเตือน::





เสื้อผ้าที่ผมใส่ตอนได้รับอุบัติเหตุ รวมถึงกระเป๋าสตางค์ นาฬิกาเรือนหรู โทรศัพท์มือถือและพวงกุญแจอะไรสักอย่างล้วนอยู่ในตู้เก็บของตรงหัวเตียง ถึงผมจะความจำเสื่อมแต่ก็รู้ว่าตัวเองเป็นคนไทย เปิดกระเป๋าสตางค์เจอธนบัตรก็รู้ว่าควรใช้ยังไง ผมนับเลขเป็น เรื่องประวัติศาสตร์ ศาสนา พระมหากษัตริย์ หรือกระทั่งเรื่องที่อเมริกาเคยส่งนักบินอวกาศไปดวงจันทร์ผมก็รู้และสามารถตอบได้เป็นอย่างดี

คล้ายผมรู้ในสิ่งที่ทุกคนรู้… ยกเว้นเรื่องของตัวเอง

ความจำที่เกี่ยวกับการทำกิจวัตรประจำวันยังคงอยู่ และความจำที่ไม่ต้องคิดอะไรก็ทำได้เองก็เหมือนกัน เช่นการเปิดเครื่องโทรศัพท์ ผมรู้โดยอัตโนมัติว่าต้องทำยังไง

เอาล่ะ! ผมเปิดมันแล้ว

หน้าจอมือถือเป็นรูปชายคนหนึ่ง ผมนึกเอะใจจึงเปิดโหมดกล้องเพื่อดูหน้าตัวเองก็พบว่ารูปหน้าจอนั่นคือตัวผม มองโดยรวมแล้วใบหน้าออกขาวซีดไปหน่อย และที่น่าตกใจยิ่งกว่าร่างกายที่ขาวโอเวอร์ก็คือส่วนสูงของผมดูจะเตี้ยกว่าผู้ชายที่ชื่อจ้านคนนั้นมาก

เดี๋ยวนะ... เหมือนผมจะเห็นหน้าตัวเองในกระเป๋าสตางค์ด้วย

ในนั้นในมีบัตรใบหนึ่ง เป็นบัตรประชาชนที่มีหน้าผมพร้อมชื่อ นามสกุลระบุอยู่ ผมหยิบมันขึ้นมาอ่าน

“นายกรัณย์ รัตนเตศวร เกิดปี 2537”

อ่า~ ผมอายุ 23 สินะ ส่วนชื่อเล่นก็คง…

‘รัณย์… ฟื้นสิ!’ จ้านเรียกผมว่า ‘รัณย์’ งั้นนี่คงเป็นชื่อเล่นของผม

Rrrrrrrrrrrrrr

จู่ๆ เสียงโทรศัพท์ก็ดังขึ้น ผมหยิบขึ้นมาดูชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอ

‘ไอ้เวรตะไล’

ชื่อคนหรอ? แปลกแฮะ

“สวัสดีครับ”

[ปิดมือถือคือลูกเล่นใหม่ของนายรึไง]

เป็นเสียงผู้ชาย แต่ผมไม่เข้าใจว่าเขาพูดถึงเรื่องอะไร...

[ถ้าอยากหักหน้าฉันก็ถือว่านายทำสำเร็จไปครึ่งเดียว รู้ใช่มั้ยว่าทุกสิ่งที่นายก่อย่อมมีผลตามมา... นายเป็นคนเลือกทำมันเอง ฉะนั้นไม่ว่ามีลูกเล่นสิ้นคิดอะไร สุดท้ายนายก็ต้องรับผิดชอบอยู่ดี]

“คุณคือ...”

[อยากหนีก็เชิญ แต่ซ่อนตัวให้ดีแล้วกัน]

ตู๊ดๆๆ

อ่าว? ยังไม่ทันอธิบายอะไรก็วางไปซะแล้ว

‘หนี’ ฟังเหมือนผมทำอะไรไม่ดีเอาไว้ เรื่องอะไรกันนะ หรือผมควรถามจ้านดี

ไม่ถึงชั่วโมงจ้านก็กลับมาพร้อมกับกระเป๋าเป้ใบหนึ่ง เขาบอกว่าต้องแวะซื้อที่ห้างใกล้ๆ เพราะคอนโดอยู่ห่างจากโรงพยาบาลพอสมควร หลังจากเปลี่ยนชุดใหม่จ้านก็นั่งรอผมทานอาหารเย็นและกินยาจนเสร็จ ก่อนจะใช้เวลาถัดมาในการเล่าเรื่องที่เกี่ยวกับผมให้ฟัง เพื่อว่าจะมีผลให้นึกอะไรขึ้นได้

จ้านเล่าไปถึงตอนรู้จักกันครั้งแรก แม่ผมแต่งงานกับสามีนักการเมือง ทำให้ผมในวัย 3 ขวบได้ใช้นามสกุลตระกูลใหญ่อย่าง ‘รัตนเตศวร’ ตอนนั้นผมเป็นเพียงลูกติดแม่จึงไม่สามารถบอกได้ว่าพ่อแท้ๆ เป็นใคร ผ่านมา 2 ปี แม่ก็ให้กำเนิดเด็กชายหน้าตาน่ารัก เป็นน้องชายแท้ๆ ของผมและเป็นลูกแท้ๆ ของพ่อใหม่ จากนั้น 5 ปีให้หลังแม่ก็ป่วยเป็นโรคมะเร็งและเสียชีวิตตอนผมอายุได้เพียง 10 ขวบ

ไม่นานพ่อเลี้ยงผมก็แต่งงานใหม่กับดาราหญิงที่มีอายุอ่อนกว่าเขายี่สิบปี หล่อนเข้ามาดูแลน้องชายของผมจนได้ชื่อว่าเป็นแม่บังเกิดเกล้า และแน่นอนว่าหล่อนย่อมรักเด็กที่ตนเองเลี้ยงมามากกว่าผมที่ไม่เคยเรียกหล่อนว่าแม่สักครั้ง

หลังจากแม่เสียไปพ่อก็ยังส่งเสียเลี้ยงดูผมจนจบมัธยมปลาย เล่าถึงตรงนี้ จ้านถึงกับย้ำอย่างหนักแน่นว่าพ่อรักผมมากแม้จะไม่ใช่ลูกแท้ๆ ทว่าเรื่องแบบนี้มันอ่อนไหว และผมก็เป็นคนขี้น้อยใจ มีนิสัยประชดประชัน ชอบเอาชนะ จ้านอธิบายลักษณะนิสัยของผมในตอนนั้นให้ฟังอย่างละเอียด บอกว่าผมจะหงุดหงิดทุกครั้งที่พ่อเห็นน้องชายดีกว่า หนำซ้ำ คนใช้ในบ้านยังพากันนินทาลับหลังว่าลูกชายคนโตเป็นแค่กาฝาก นอกจากหน้าตาดีแล้วอย่างอื่นแพ้ลูกชายคนเล็กหมด ซึ่งผมมักจะเล่าเรื่องพวกนี้ให้เขาฟังทุกวี่วัน

ถัดมาจ้านเล่าว่าหลังจากจบมัธยมปลายผมไม่ยอมเรียนต่อมหาวิทยาลัย เอาแต่เที่ยวเล่นและใช้เงินราวกับมันเป็นเพียงกระดาษ ฟังถึงตรงนี้ผมถึงกับอึ้ง จึงรีบถามหาสาเหตุที่ผมไม่เรียนต่อ จ้านก็ตอบกลับมาสั้นๆ

‘มึงว่า... คนไม่ฉลาดเรียนไปก็เท่านั้น’

ให้ตายสิ แบบนี้ก็ไม่แปลกหรอกที่คนในบ้านจะพากันนินทา…

แต่นั่นยังไม่ใช่จุดพีคสุดของเรื่อง เพราะหลังจากนั้นพ่อก็ประสบปัญหาจากการถูกตรวจสอบทรัพย์สินเนื่องจากมีแหล่งเงินที่ได้มาอย่างผิดปกติ จนกลายเป็นว่าการสืบสวนพ่อเลี้ยงผมถูกโยงไปเกี่ยวกับการฟอกเงินและเงินสนับสนุนที่ได้มาอย่างผิดกฎหมาย สุดท้ายพ่อผมถูกสั่งฟ้องให้ล้มละลายก่อนจะหนีความผิดไปอยู่ต่างประเทศกับลูกชายคนเล็ก ทิ้งให้ผมอยู่ในความดูแลของญาติห่างๆ ซึ่งเป็นทางออกที่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ เพราะก่อนหน้านี้ผมใช้ชีวิตราวคุณชายที่เสกเงินใช้ได้ไม่จำกัด แต่เมื่อมาอยู่ในความดูแลของคนที่มองผมเป็นกาฝากอย่างเต็มรูปแบบ มันจึงส่งผลให้ผมหนีออกจากบ้านในที่สุด

เล่ามาถึงตรงนี้จ้านก็นิ่งไปครู่หนึ่ง ก่อนจะบอกผมอย่างไม่หนักแน่นว่าหลังจากนั้นพวกเราไม่ได้เจอกันบ่อยนัก เพราะจ้านอยู่ในระหว่างเตรียมตัวเข้ามหาวิทยาลัย แต่ก็ได้ข่าวว่าผมได้เงินจากที่พ่อส่งมาไปใช้ชีวิตอยู่คนเดียว จนเรียกได้ว่าตัดขาดกับจ้านไปสามถึงสี่ปี กระทั่งพักหลังมานี้เรามาเจอกันอีกครั้ง และผมก็ไปๆ มาๆ  ที่คอนโดเขาบ่อยๆ

ทว่าผมชั่งใจอยูเรื่องหนึ่ง จึงรีบถามจ้านไป...

‘ตอนนี้ผมทำอะไร เอาเงินที่ไหนมาซื้อของกินของใช้ มีงานทำหรอ หรือว่าพ่อส่งให้’

คำตอบที่ได้กลับเป็นการส่ายหน้า และบอกสั้นๆ ว่า ‘มึงไม่เคยเล่าให้ฟัง’

เมื่อจบเรื่องเล่าดังกล่าว แม้จะรับรู้ว่ารัณย์เป็นคนอย่างไร เติบโตมาแบบไหน ในใจผมก็ยังมองว่ารันย์เป็นคนแปลกหน้า เหมือนกับว่าผมกำลังนั่งฟังเรื่องของคนอื่นและก็ได้แต่ยอมรับความจริงที่เกิดขึ้น ในเมื่อเรื่องเล่าทั้งหมดผมสรุปได้ว่ารัณย์เป็นคนไม่เอาไหน ก็แสดงว่าผมรู้จักผิดชอบชั่วดี สิ่งไหนคือถูก สิ่งไหนผิด

ไม่แน่บางที... ผมอาจมีอะไรในใจที่ไม่เคยแสดงออกหรือพูดให้ใครรับรู้ก็ได้

จะว่าไป มันยังมีอีกเรื่องที่ผมสงสัย จากการสนทนากับผู้ชายคนหนึ่งทางโทรศัพท์ เป็นไปได้เขาไม่ชอบใจอะไรสักอย่างถึงได้กล่าวหาว่าผมคิดเอาตัวรอด ไม่รับผิดชอบ

‘ผมกำลังหนีอะไรอยู่หรือเปล่า’ คือประโยคที่ผมตัดสินใจถามจ้านไป เล่าว่ามีคนโทรศัพท์มาพูดเรื่องทำนองนี้ เท่านั้นแหละ จ้านถึงกับฉุนขาด ขอโทรศัพท์มือถือผมมาปิดเครื่องแล้วเก็บไว้กับตัวเองและย้ำว่าคนที่ผมไว้ใจได้มีเพียงเขาคนเดียวเท่านั้น

.
.
.
.




ระหว่างที่จ้านอยู่เฝ้าผมที่โรงพยาบาล ผมถามถึงเรื่องของเขาจนรู้ว่าเขาเป็นลูกชายคนเดียว พ่อเป็นผู้กำกับการตำรวจ ส่วนแม่เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยเอกชนชื่อดัง ด้วยความที่พ่ออยากให้ลูกชายเป็นทนาย จ้านจึงเรียนนิติศาสตร์เพื่อทำตามความหวังของพ่อ และดูท่าจะตั้งใจเรียนเอาการ หนังสือที่เขาเอามาอ่านระหว่างดูแลผมถึงมีแต่เรื่องเกี่ยวกับกฎหมาย จ้านบอกว่าตอนนี้เรียนปีสุดท้ายแล้วก็ยิ่งทำให้ผมคิดหนักกับชีวิตในภายภาคหน้า

สามวันให้หลัง หมอถอดผ้าพันแผลที่หัวและอนุญาตให้ผมออกจากโรงพยาบาลในวันต่อมา ค่ายา ค่าห้องพักฟื้น จ้านเป็นคนจ่ายบิลเองทั้งหมด อุตส่าห์มาดูแลผมทุกวันก็ยังต้องจ่ายค่าพยาบาลให้อีก ระหว่างที่ผมเก็บของใส่กระเป๋าเขาก็อาสาไปรับยาทานมาให้ มีเพื่อนดีดีอย่างจ้านทำให้อาการความจำเสื่อมของผมไม่เลวร้ายมากนัก

“กลับกันเถอะ” จ้านพูดพร้อมกับหยิบกระเป๋าที่ผมถือไว้ไปสะพาย ถุงของใช้ก็ยังเดินไปถือเอง ส่วนผมทำเพียงเดินตัวเปล่าตามหลังเขาออกจากห้องพักฟื้นไป

“คุณจะพาผมกลับไปไหน” คำถามของผมทำให้ชายตรงหน้าหยุดฝีเท้า ก่อนจะหันมาทำหน้าเหนื่อยใจ

“เอาล่ะ! ก่อนตอบคำถามนี้กูขอพูดอะไรสักหน่อย” จ้านเดินกลับมาพูดกับผมใกล้ๆ “มึงเลิกเรียกตัวเองว่าผม เรียกกูว่าคุณสักที ได้ยินแล้วมันแปลกๆ เหมือนกูคุยอยู่กับคนแปลกหน้ายังไงไม่รู้”

“อ่อ... ก็ได้”

“ตอนนี้กูยังไม่อยากปล่อยให้มึงอยู่คนเดียว ก็เลยจะพาไปอยู่ด้วยกันที่คอนโดกูก่อน”

“นาย...” เป็นผมที่รู้สึกแปลกๆ หลังจากพยายามเรียกตามที่จ้านขอ “นายเคยบอกว่าฉันไม่มีญาติคนไหนแยแส ภาระเลยตกอยู่กับนายที่ต้องมาคอยดูแล... แล้วมันจะเป็นแบบนี้ไปถึงเมื่อไหร่ คือ... ฉันไม่อยากเป็นภาระของนาย”

เรื่องอนาคตผมควรกำหนดมันเอง แต่ตอนนี้กลับต้องถามคนอื่น ผมควรสมเพชตัวเองมั้ยล่ะ

“พูดอะไรอย่างนั้น เราเป็นเพื่อนกันนะ เห็นสภาพมึงแบบนี้แล้วจะให้กูอยู่เฉยได้ไง”

“แล้ว... ฉันมีนายเป็นเพื่อนแค่คนเดียวหรอ หลายวันมานี้ นอกจากนายแล้วฉันไม่เห็นใครเลย”

“อันที่จริงมึงมีเพื่อนรายล้อมเยอะแยะไปหมด ไม่ว่าใครก็อยากเข้าหามึงทั้งนั้น... แต่มึงเคยบอกว่ากูเป็นเพื่อนแท้เพียงคนเดียวที่คอยอยู่ข้างๆ และมันก็จริงตามนั้น เพราะกูอยู่นี่แล้ว ถูกมั้ย”

สักพักเราสองคนก็เดินมาถึงทางออกของตึกผู้ป่วยใน

“แดดแรงแฮะ มึงยืนรอตรงนี้นะ เดี๋ยวกูไปเอารถก่อน” ผมยังไม่ทันพูดอะไร จ้านก็ก้าวเท้าจะเดินออกไป ส่วนตัวผมคิดว่าเขาวิตกกังวลเกินเหตุ ถึงผมจะเพิ่งออกโรงพยาบาล แต่ก็ไม่ได้อ่อนแอถึงขนาดเจอแสงแดดไม่ได้นี่น่า

“ไอ้รัณย์” อยู่ๆ จ้านก็หันมาเรียกชื่อผม ขณะนั้นเขาเผยยิ้มเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยต่อ “กูดีใจที่ได้มึงกลับคืนมา”

พูดจบจ้านก็เดินต่อไป และหายไปตาสายตาผมหลังจากเลี้ยวเข้าตรงมุมตึก

ตอนนี้ร่างกายผมดูเป็นปกติทุกอย่าง ยกเว้นหัวไหล่ที่เขียวช้ำ และรอยจากการเย็บบริเวณกกหูที่ดูเผินๆ จะไม่ค่อยเห็น จ้านบอกว่าก่อนหน้านั้นผมของผมยาวกว่านี้ แต่หลังเกิดอุบัติเหตุก็เลยต้องตัดออกเล็กน้อย ซึ่งผมชอบนะ เพราะมันดูเท่สมชายชาตรี ไม่เหมือนกับในรูปหน้าจอมือถือหรือรูปหน้าบัตรประชาชนในกระเป๋าสตางค์ ทรงนั้นมันรับกับหน้าของผมจริง แต่ดูแล้วหน่อมแน้มไป ยิ่งเจอกับตาโตๆ ปากนิดจมูกหน่อย หน้าผมกลายเป็นหวานหยดย้อยไปเลย ความสูงประมาณ 175 ของผมไม่ได้ช่วยให้ดูมาดแมนอะไร แถมร่างกายยังไม่มีกล้ามหรือซิกแพ็ก สงสัยผมต้องปฏิวัติร่างกายตัวเองเสียใหม่ อายุยี่สิบกว่าแล้วจะให้สภาพดูไม่ต่างจากเด็กมัธยมได้ยังไง

ระหว่างกำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่ ก็มีรถยนต์ซีดาน 2 คันขับมาจอดเทียบริมฟุตปาธ ชายสองคนเดินลงมาจากรถคันหน้า ส่วนคันหลังลงมาเพียงคนเดียว ซึ่งชายที่มาคนเดียวนั่นแหละที่เดินมาทางผม ลักษณะเด่นคือหัวโล้นๆ ใส่แว่นตากันแดด สวมสูทสีดำ ตัวสูงโดดเด่นดึงดูดสายตาผมให้มองอยู่อย่างนั้น กระทั่งระยะเริ่มใกล้เข้ามาเรื่อยๆ จนคนๆ นั้นมาหยุดยืนต่อหน้าผม ตามมาด้วยชายอีกสองคนที่ลงมาจากรถคันหน้า

“เชิญไปกับเราด้วย”

ชายใส่แว่นตาดำพูดภาษาไทยไม่ค่อยชัด แต่หน้าตามาทางโซนเอเชีย แต่งตัวเนี้ยบไม่มีข้อบกพร่อง การหยัดยืนมั่นคง รวบมือกุมกันไว้ ถ้าไม่ได้ใส่สูทผูกเนกไทผมคงคิดว่าเขาเป็นหน่วยพิเศษของซีไอเอแน่ๆ

“พวกคุณเป็นใคร” อยู่ๆ ก็มาบอกให้ผมไปด้วย แถมชายสองคนที่เดินตามหลังมายังยืนประกบซ้ายขวาอีก

“นายท่านต้องการพบคุณ”

นายท่าน? เขาเรียกใครอีกคนอย่างให้เกียรติ ฟังดูมีพลังอำนาจราวกับเป็นคนใหญ่คนโต

“แต่ตอนนี้ผม...” กำลังจะบอกว่ารอเพื่อนอยู่ คนหัวโล้นก็หันไปพยักหน้าให้กับชายสองคนที่ยืนอยู่ใกล้ผมที่สุด ไม่นานท่อนแขนก็ถูกคว้าหมับ ก่อนจะได้ยินเสียงสั่งการเป็นลำดับถัดมา

“พาตัวไป”

“ดะ...เดี๋ยวก่อน ผมต้อง...” ถ้าหายไปโดยไม่บอกจ้านต้องเป็นห่วงแน่ อีกอย่างพวกเขาก็ดูน่ากลัวและเร่งรีบจนเกินเหตุ ดูไม่น่าไว้ใจ ผมควรทำยังไงดี 

สุดท้ายผมก็ถูกพาตัวขึ้นมานั่งบนรถซีดานคันที่สอง

“มันเรื่องอะไรกัน!” ผมถามชายสวมแว่นที่นั่งอยู่เบาะหน้า ขณะที่ถูกชายสองคนจับล็อกแขนไว้ตรงเบาะหลัง สถานการณ์ตอนนี้เล่นเอาผมสับสนมาก “ผมไม่สมัครใจไป พวกคุณทำแบบนี้ถือเป็นการลักพาตัวนะครับ”

ชายหัวโล้นที่นั่งเบาะหน้าถอดแว่นตาดำออก มองผมผ่านกระจกมองหลังแล้วพูดสั้นๆ



“อีกเดี๋ยวคุณก็เต็มใจเอง”



















TBC

NEXT UPDATE >> 09/05/61 TIME 19:00


หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 1:: คำเตือน] UPDATE 08/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 09-05-2018 05:20:54
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 1:: คำเตือน] UPDATE 08/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 09-05-2018 08:39:00
จ้าน วางใจเพราะเห็นรันย์เพิ่งฟื้น
ไม่ให้เดินฝ่าแดด เดินไปเอารถคนเดียว
รันย์เลยถูกพาไปหาเจ้านายซะแล้ว ใครกันนะ   :hao3:
แล้วรันย์ จ้านจะติดต่อกันได้ไงเนี่ย  :really2: :really2: :really2:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 1:: คำเตือน] UPDATE 08/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: La_Pomme ที่ 09-05-2018 18:33:50
บทที่ 2
::ไร้ทางรอด::





ผมโดนยึดโทรศัพท์ตั้งแต่ขึ้นรถไปไม่ถึงนาที ระหว่างทางผมสาดคำถามใส่คนพวกนั้นตลอดเวลา แต่ไม่มีใครยอมพูดสักคำ พากันนิ่งเฉยแถมยังบอกให้ผมเงียบเสียงจะเป็นการดีที่สุด

ไม่นานรถยนต์ก็เลี้ยวเข้าประตูรั้วของบ้านหลังหนึ่ง ภายในมีเนื้อที่กว้างขวาง มีทั้งสวนหย่อมและสระว่ายน้ำ เห็นทีว่าคนอยู่อาศัยจะไม่ใช่ระดับรากหญ้า ประกอบกับที่คนพวกนี้พูดว่า ‘นายท่าน’ ก็น่าจะเป็นคนที่มีอิทธิพลอยู่บ้าง

ผมไปรู้จักคนระดับนั้นได้ยังไงกัน?

เอ๊ะ! จะว่าไป คืนก่อนผมได้รับโทรศัพท์จากใครสักคนด้วยนี่

‘อยากหนีก็ตามใจ… ซ่อนตัวให้ดีแล้วกัน’

จุดประสงค์ที่เตือนให้หนี เตือนให้ซ่อนตัว ย่อมเป็นคำพูดของคนที่ต้องการตามล่าใครสักคน และถ้าบอกได้ว่านั่นเป็นคำเตือนก็ต้องเป็นเรื่องที่เราควรระมัดระวังไว้

บ้าชิบ! ทำไมเพิ่งมาคิดได้เอาตอนนี้!!

ห้องโถงของบ้านหลังใหญ่เป็นสถานที่ที่พวกเขาพาตัวผมเข้ามา ทุกอย่างดูหรูหราก็จริง แต่ในสายตาผมกลับรู้สึกเฉยๆ คล้ายกับมันไม่ได้น่าตื่นเต้นอะไร

“มาแล้วครับท่าน”

คำพูดของคนหัวโล้นทำให้ผมรู้ตัวว่ามีใครบางคนอยู่ในห้องนี้ด้วย เมื่อปลายตามองไปยังโซฟาผมเห็นเพียงศีรษะของชายคนหนึ่งโผล่พ้นขึ้นมา เขากำลังนั่งหันหลังพร้อมวางแขนยาวๆ ไว้บนพนัก และในจังหวะที่หันข้างเพื่อเงี่ยหูฟัง แค่เห็นจมูกโด่งๆ รวมไปถึงโครงหน้าของเขาผมก็เดาได้ในทันทีว่านั่นคือ... ชาวต่างชาติ

ไม่นานชายหนุ่มก็ลุกขึ้นยืน ทำให้รู้ว่าเขาเป็นคนรูปร่างสูงใหญ่ อกผายไหล่ผึ่งน่ายำเกรง เมื่อหันหน้ามาตรงๆ ผมก็เห็นเสื้อเชิ้ตสีฟ้าของเขาไม่ได้ติดสองกระดุมบน เผยกล้ามหน้าอกและไหล่ปลาร้าเด่นชัด ขนาดอยู่บ้านยังใส่เสื้อทับกางเกงขายาวแถมยังใส่เข็มขัดพร้อม ถ้าไม่ได้เป็นคนห่วงภาพลักษณ์ก็น่าจะเพิ่งกลับมาถึงบ้านได้ไม่นาน ส่วนตัวผมคิดว่าเป็นอย่างหลังนะ เพราะขนาดในห้องเปิดแอร์เย็นเฉียบเสื้อเชิ้ตที่เขาใส่ยังมีคราบเหงื่ออยู่เลย

“ไง”

ผมพิจารณาจากหน้าตาของคนที่เพิ่งเอ่ยทักทายและกำลังเดินเข้ามาใกล้ อายุของเขาน่าจะประมาณยี่สิบปลายๆ หรือไม่ก็สามสิบต้นๆ สิ่งที่โดดเด่นนอกจากโครงหน้าที่เข้าขั้นประติมากรรมชั้นเลิศคงเป็นนัยน์ตาสีฟ้าอันแสนลึกลับ และด้วยความสูงระดับที่ผมต้องเงยหน้าคุยขนาดนี้ เขาคงสูงเกิน 190 แน่ๆ

“ยินดีต้อนรับ” หน้าตาฝรั่งจ๋าแต่พูดไทยชัดแจ๋ว เขายิ้มมุมปากพลางหันไปส่งซิกให้เหล่าชายชุดดำปล่อยแขนผม จากนั้นพวกเขาก็พากันออกจากห้อง ทิ้งให้ผมอยู่กับชายชาวต่างชาติเพียงลำพัง

“อยากนั่งพักก่อนมั้ย” เขาเชื้อเชิญ

“คุณเป็นใคร” ผมเผลอถามไปแบบไม่คิดหน้าคิดหลังให้ดีก่อน รู้สึกพลาดยังไงไม่รู้

“พูดแบบนี้มันน่าผิดหวังนะ ขนาดฉันยังไม่ลืมนายเลย... ถึงจะเจอกันแค่ครั้งเดียวก็เถอะ” ลักษณะการพูดของคนคนนี้ทำไมถึงฟังดูแตกต่างจากตอนคุยทางโทรศัพท์เลยล่ะ

เมื่อกี้ผมเผลอเผยไต๋ตัวเองโดยลืมคิดไปว่าก่อนหน้าผมกับเขาอาจรู้จักกัน แต่ไหนๆ อีกฝ่ายก็บอกว่าเคยเจอผมครั้งเดียว งั้นขอถามต่อเลยแล้วกัน

“คุณให้คนพาผมมาที่นี่ทำไม”

“อย่าเข้าเรื่องเร็วนักสิ ฉันยังไม่เปิดไวน์ปี 87 ให้นายดื่มตามสัญญาเลย” เจอกันแค่ครั้งเดียวก็ขอดื่มไวน์แล้วหรอ ตอนแรกคิดว่าจะหยิ่งเย็นชาหรือไม่ก็แข็งกร้าวเหมือนกับน้ำเสียงตอนที่โทรมาซะอีก

“ผมไม่ได้บอกเพื่อนก่อนมาที่นี่ เขาอาจเป็นห่วงผมอยู่ก็ได้” ผมเอ่ย

“หมายถึงทายาทตระกูลตำรวจที่ชื่อจ้าน คนนั้นน่ะหรอ”

“คุณรู้จักเขา?” ผมเลิกคิ้วสูง แสดงความอยากรู้อย่างลืมตัว กระทั่งชายตรงหน้าเดินเข้ามาในระยะประชั้นชิด ผมก็เปลี่ยนเป็นงุนงงพร้อมก้าวถอยหลังให้ห่าง

“ฉันรู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับนาย”

ชักแปลกๆ ผมเริ่มประหม่าขึ้นมานิดๆ แล้ว

“อย่างน้อยก็ให้ผมได้บอกเขาว่าอยู่ที่ไหนเถอะครับ” ถึงจะอยากได้คำตอบว่าเรารู้จักกันยังไง แต่ตอนนี้ผมควรจะขอโทรศัพท์จากเขาเพื่อติดต่อจ้านก่อน ในใจก็กลัวเพื่อนเป็นห่วงนั่นแหละ แต่ถ้าถามเหตุผลจริงๆ ผมคงอยากให้ใครสักคนรู้ว่าผมอยู่ไหนมั้ง แบบว่า...คนพวกนี้ไว้ใจได้หรือเปล่า ผมสามารถอยู่ต่อเพื่อทำตามที่ผู้ชายคนนี้ต้องการ

หรือผมควรหาทางหนีซะ!

“นายไม่ไว้ใจฉัน?” โห ถามยังกับอ่านความคิดในหัวผมได้

“ใครที่โดนลากตัวขึ้นมาบนรถแบบผมก็คงคิดแบบเดียวกันทั้งนั้น”

“ก็นายไม่มาตามนัด... นายผิดคำพูดกับฉันก่อน” จู่ๆ สายตาคนตรงหน้าก็เปลี่ยนไป เพราะเหตุนี้เองหรอที่ทำให้เขาบอกว่าโดนผมหักหน้า

ถ้าให้คิดตามความรู้สึก ผมว่าคนคนนี้ดูไม่น่าไว้วางใจสักนิด จ้านพูดถูกที่ว่าตอนนี้ผมเชื่อใจใครไม่ได้ เพราะผมไม่มีทางรู้เลยว่าสิ่งที่เขาพูดมาเป็นความจริงรึเปล่า ฉะนั้นผมจำต้องปิดบังเรื่องที่ผมสูญเสียความจำเอาไว้ก่อน

“ตอนนี้ผมมาแล้ว เรามีเรื่องอะไรที่ต้องคุยกันก็ว่ามาเลย” พอพูดจบ เขาก็ยิ้มพลางเอียงคอมองผม

“ฉันจะพานายไปดื่มไวน์” อยู่ๆ ชายตรงหน้าคว้ามาที่ข้อมือ ทำให้ผมสะดุ้งตกใจไม่ต่างกับโดนไฟช็อต รีบสะบัดมือตัวเองออกในทันที เชื่อมั้ยว่าเมื่อกี้ในหัวผมมีแต่คำพูดหยาบเต็มไปหมด คล้ายกับเคยใช้มันอย่างไม่ต้องไตร่ตรองอะไรก่อน แต่โชคดีที่ผมยังไม่หลุดพูดคำพวกนั้นออกมา

 สถานการณ์หยุดนิ่งไปสักพัก ผมได้แต่ยืนนิ่งเพราะทำอะไรไม่ถูก ไอ้การกระทำเมื่อกี้ผมไม่ได้นึกถึงเรื่องมารยาทเลย ถ้าเขาขุ่นเคืองขึ้นมาผมคงไม่แปลกใจ หากทว่าเจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าที่กำลังหรี่ตามองผมกลับเผยยิ้มเล็กๆ ก่อนจะเดินนำผมไปราวกับเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ผมเดินตามคนที่ไม่รู้จักแม้กระทั่งชื่อเข้าไปในห้องอะไรสักอย่าง เห็นมีบาร์เล็กๆ ด้านหลังมีขวดเหล้านอกวางเรียงราย กำลังคิดว่าคงเป็นห้องรับแขก แต่พอหันไปเห็นเตียงขนาดคิงไซส์ผ่านช่องประตูด้านในที่เกิดกว้างอยู่ก็เริ่มฉุกคิดและตั้งข้อสงสัย เพราะเจ้าเตียงนั่นดูไม่น่าเข้ากันได้ทั้งเฟอร์นิเจอร์หรือตำแหน่งการวางเลย

รสนิยมแปลกพอๆ กับคำพูดคำจา...

ไม่นาน ชายคนนั้นรินไวน์ใส่แก้วแล้วยื่นมาให้ผมแก้วหนึ่ง “ดื่มสิ”

“เชิญคุณเถอะครับ ผมไม่ค่อยอยากดื่ม” ผมรู้สึกว่าเขามีเลศนัยอะไรบางอย่าง อยากจะถามไปตรงๆ ให้มันรู้ดำรู้แดง แต่สุดท้ายก็ต้องทำใจเย็น ค่อยๆ เป็นค่อยๆ ไป ขืนโผงผางทำอะไรไปไม่คิด ผมจะเดือดร้อนเอาได้

“ทำไมถึงไปอยู่ที่โรงพยาบาลล่ะ” เขาถาม

“ผมประสบอุบัติเหตุนิดหน่อยครับ”

“อ่า เพราะงั้นถึงได้ผิดนัดฉันใช่มั้ย”

“เอ่อ... ครับ” ผมเลือกที่จะตอบตามน้ำไป

“บาดเจ็บตรงไหนบ้าง”

“นี่คือเรื่องที่เราจะคุยกันหรอครับ”

“ถามไว้เผื่อหลีกเลี่ยงตรงจุดที่นายเจ็บไง” ผมเลิกคิ้ว พยายามคิดตามสิ่งที่เขาพูด “ที่พาตัวนายมาวันนี้เพราะมีเหตุผล... พรุ่งนี้ฉันต้องบินกลับฮ่องกงแล้ว กว่าจะมาเมืองไทยอีกก็หลายสัปดาห์ ฉันเลยไม่อยากพลาดของรางวัลที่นายเคยสัญญาเอาไว้”

“รางวัล?” อยู่ๆ คิ้วหนาของเขาขมวดลงเล็กน้อย

“นายจะอ้างเรื่องบาดเจ็บก็ได้ แต่ถ้าบอกว่าลืมที่สัญญาเอาไว้ ฉันไม่ยอมแน่” เจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าไม่มีท่าทีว่าจะละสายตาจากผม “กรัณย์ นายบอกเองว่าถ้าฉันยอมเซ็นสัญญาร่วมธุรกิจกับลูเซียน... นายจะยอมนอนกับฉัน

หา!

ผมอุทานในใจพร้อมอ้าปากค้าง หรืออาจเรียกได้ว่าเหวอไปชั่วขณะก็ได้ แต่โชคดีที่ยังดึงสติไว้อยู่ งั้นขอเวลาคิดสักหน่อยนะว่า ‘ยอมนอน’ มันหมายถึงนอนลักษณะไหน ผมก็อยากคิดไปว่าเรากับเขาเป็นผู้ชายทั้งคู่ อาจมีอะไรที่เข้าใจผิดไปก็ได้... แต่เอาเข้าจริงผมแค่ความจำเสื่อมนี่หว่า ไม่ได้อินโนเซ้นต์ถึงขนาดไม่รู้ว่ามันคืออะไรสักหน่อย

บริษัทลูเซียนงั้นหรอ? สำคัญกับผมแค่ไหนถึงต้องยอมทำขนาดนี้!

“ผมต้องกลับแล้ว”

รีบวางแก้วไวน์ในมือไว้ที่บาร์ หันไปเห็นประตูที่เคยเดินเข้ามาอยู่ตรงหน้าผมก็รีบสาวเท้าทันที ในหัวคิดอยู่ตลอดว่าสถานการณ์ไม่ดีแล้ว ควรออกไปจากที่นี่ให้เร็วที่สุด กระทั่งผมกระโจนคว้าไปตรงที่จับประตู เปิดง้างออกมาได้เล็กน้อยก็ถูกคนด้านหลังดันกลับจนเสียงดังปัง!

ลมหายใจของคนตัวสูงกว่าแผ่วเบาอยู่บริเวณต้นคอ ผมสะดุ้งเฮือก รีบหันกลับมาเผชิญหน้าก่อนจะรวบรวมแรงแขนเพื่อดันอกกว้างให้ถอยห่าง แต่เจ้าหมอนี่กลับไม่สะทกสะท้าน ยืดหยัดไร้ความเคลื่อนไหว

“ถอยไป!” ผมตะคอกออกไปตามสัญชาติญาณ เหมือนเถียงกับตัวเองอยู่นานว่าให้รวบรวมสติ แต่อีกส่วนหนึ่งในสมองกลับกู่ร้องให้ดิ้นรนเพื่อเอาตัวรอดโดยไม่สนวิธีหรือแคร์ใครหน้าไหน

“เป็นไปตามคาด... นายรู้รสนิยมฉันด้วย”

เอาล่ะ! ดูจากรอยยิ้มยียวนนั่น ผมว่าเขาไม่ได้พูดเล่นแล้ว กำลังจะถามไปว่าถ้าผมไม่รับผิดชอบคำพูดตัวเองจะต้องโดนกระทืบจนน่วมหรือเปล่า เพราะผมยอมนะ ขอแค่อย่ายุ่งกับผมเป็นพอ แต่ไม่ทันไรเจ้าคนตัวสูงดันยื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วกระซิบข้างหูผมซะก่อน

“ยิ่งนายขัดขืน ฉันยิ่งชอบ” เขาเอ่ยด้วยน้ำเสียงแหบพร่า ทำให้อากาศมันหนาวๆ วูบๆ คล้ายจะเป็นไข้ ผมรู้สึกขยะแขยงกับคำพูดนั่นมากกว่าการโดนคุกคามเป็นไหนๆ

“ผม… ผมว่าคุณคงเข้าใจอะไรผิดไป” ขณะที่พูดก็ยังออกแรงไม่ลดละ แต่บ้าชิบ ผมมีแรงแค่นี้เองหรอ หรือว่าเพิ่งออกจากโรงพยาบาลเรี่ยวแรงยังไม่ฟื้นคืน ถ้าอย่างนั้นลองเปลี่ยนแผน หาทางหลุดจากตรงนี้แล้วไปพึ่งประตูอื่นเอา

เดี๋ยวก่อนสิ! ถ้าจะมีอีกประตูก็คือประตูห้องที่มีเตียงไม่ใช่หรอ ขืนหนีเข้าไปในนั้นผมต้องแย่แน่

“ถึงเวลาที่นายจะทำตามสัญญาแล้ว” พูดจบเขาก็จับแขนผม จากนั้นออกแรงลากมนุษย์คนหนึ่งยังกับพลังช้างสาร ผมพยายามยั้งไว้ก็ยังไม่คณามือเขา รอจังหวะเหมาะที่จะคว้าอะไรสักอย่างมาเป็นอาวุธ แต่ใช้เวลาแค่พริบตาเดียวเขาก็ลากผมเข้ามาอีกห้องหนึ่งจนได้

“ปล่อย!”

ตุบ!

เขาปล่อยผมจริงๆ แต่จะเรียกว่าปล่อยก็ไม่ได้ ต้องบอกว่า ‘เหวี่ยง’ และนั่นไม่ได้ทำให้ผมโกรธเท่ากับตอนที่ผมรู้ว่าเขาปล่อยผมลงบน ‘เตียง’ หรอก

“บ้าเอ้ย!”

เมื่อความเลวร้ายกำลังมาเยือนจะให้อยู่นิ่งได้ไง ผมร้องดังลั่น ร้องแม้รู้อยู่แก่ใจว่าคนในบ้านมีแต่พวกของเขา ยอมรับอย่างแรงว่าผมโคตรตื่นตระหนก แต่สิ่งที่ทำให้สติกระเจิงที่สุดก็คงเป็นตอนที่โดนร่างของเขาคร่อมอยู่

“ไม่นะ! คุณ... คุณเข้าใจผิดแล้ว” ผมยกมือห้ามสุดฤทธิ์ ส่วนเขาก็เริ่มปลดกระดุมเสื้อ เผยให้เห็นกล้ามหน้าท้องและท่อนแขนใหญ่ เขาลงมือปลดเปลื้องเสื้อผ้าผมอย่างอุกอาจ ถ้าพละกำลังของผู้ชายมันวัดกันตรงความแข็งแรง เจ้าหมอนี่คงชนะผมไปหลายขุม

“ฟังผมก่อน... อื้อ” คนตรงหน้าประกบปากผมซ้ำยังบดขยี้ราวกับต้องการให้แหลกเป็นผุยผง สัมผัสแรกทำให้ผมดิ้นพล่าน แต่คงไม่เท่ากับตอนที่เขาพยายามสอดลิ้นเข้ามาจนสำเร็จ ริมฝีปากร้อนดูดกลืนทุกสิ่งทุกอย่าง สมองผมปั่นป่วนไปหมด จงใจปฏิเสธด้วยการหันหน้าหนีแต่ก็ยังโดนมือหนาจับหน้าให้หันมา จัดการล็อคข้อมือ ขัดขาให้หยุดนิ่ง ผมขยับเพียงนิดก็รู้สึกเจ็บแปลบแล้ว 

“ปล่อยผม อย่าทำแบบนี้!” ผมใช้แรงต้านทานหมดไปเกินครึ่ง ส่วนอาการเสียขวัญคงมีมาตั้งแต่ถูกผู้ชายด้วยกันล่วงเกิน ความร้ายกาจของคนคนหนึ่งมีมากมายขนาดนี้เชียว ผมขัดขืนเขาไม่ได้เลย เผลอแปบเดียวสิ่งที่หลงเหลืออยู่มีแค่ร่างกายเปลือยเปล่า ชายตรงหน้าจับเสื้อผ้าโยนไปข้างเตียงก่อนจะนำมือมาลูบใบหน้าผม ความหยาบกร้านที่สัมผัสได้ทำให้ใจผมเต้นไม่เป็นจังหวะ บ่งบอกถึงความกลัวและความหวาดหวั่นใจ

เมื่อร่างกายผมไร้อะไรปกปิด ไม่ว่าเขาทำอะไรผมก็รับรู้หมด ในจังหวะที่ริมฝีปากเลื่อนไปซุกอยู่บริเวณซอกคอ ฝรั่งร่างใหญ่ก็ใช้มือข้างหนึ่งลูบไล้ไปถึงหน้าท้องของผม พอเลื่อนขึ้นมาสะกิดบนยอดอกเพียงนิดร่างกายผมก็กระตุกเกร็งจนถึงขั้นเผลอร้องครางด้วยเสียงที่แสนน่าอายออกมา และมันคงไปกระตุ้นอะไรเข้าสักอย่างเขาถึงได้ย้ายริมฝีปากตัวเองลงไปในตำแหน่งที่ต่ำจากคางผม จากนั้นก็ใช้ลิ้นดูดดุนหยอกเย้ากับมันไม่หยุด ส่งผลให้ผมต้องสะบัดขาตะกายที่นอน ดิ้นกระเส่าจะเป็นจะตาย     

“นายขาวมากกรัณย์ โดนนิดหน่อยที่เป็นรอยแล้ว” ตอนนี้เขาพูดอะไรมา ผมจับใจความได้บ้างไม่ได้บ้าง จะบอกว่าโคตรอายมันก็ใช่ คือมันแย่ไปหมดจนผมอยากร้องไห้ออกมา

“พอที… ปล่อยผมเถอะ” ผมเหนื่อยหอบจนแทบไม่เหลือแรง เลยลองอ้อนวอนดูเผื่อจะได้ผล บอกตรงๆ ว่ามันเหยียบย่ำศักดิ์ศรีผมไม่น้อย แต่เอาเถอะ นาทีนี้ต่อให้ผมจนตรอกก็ต้องออกไปจากที่นี่ให้ได้

หมับ!

ดูท่าเขาจะไม่ฟังคำใดใด จับร่างอันไร้เรี่ยวแรงของผมพลิกกลับ สะโพกถูกยกขึ้น เขาบีบเค้นบั้นท้ายผมด้วยฝามือ ก่อนจะทาบทับตัวลงมาราวกับต้องการกดผมให้จมเตียง แน่นอนว่าการจู่โจมหนักหน่วงที่ไร้การเตรียมตัวใดใดแบบนี้ ยิ่งทำให้ผมสติแตกกว่าเดิม ไม่รู้ว่าเผลอร้องด้วยเสียงแบบไหนออกไปบ้าง แต่ที่แน่ๆ คือมันเลวร้ายสุดๆ

สองมือผมกำผ้าปูแน่น เมื่อรู้ตัวว่ากำลังโดนอีกฝ่ายรุกล้ำเรือนร่างอย่างอุกอาจ ที่เคยบอกว่าจะเลี่ยงจุดที่ผมได้รับบาดเจ็บนั่นโกหกทั้งเพ ถึงไม่บอกว่าตรงไหนเขาก็รับรู้แล้วว่าผมเพิ่งได้รับบาดเจ็บมา แทนที่จะยั้งมือบ้างแต่เขากลับโถมเข้าใส่เต็มกำลัง ทำร่างกายผมร้อนวูบวาบ และในชั่วขณะหนึ่งผมก็รู้สึกเหมือนมีแรงปะทุบางอย่าง มันพลุ่งพล่านจนผมอดคิดไม่ได้ว่าร่างกายผมกำลังโลดแล่นไปกับมัน

ผมกัดฟัน หลับตาแน่น ไม่ยอมเปิดตามองอะไรก็พอรู้ว่าตอนนี้... ผมไร้ทางรอดแล้ว

“ฉันเพิ่งมาเข้าใจตอนนี้เอง... ว่าทำไมถึงมีแต่คนอยากรับเลี้ยงนาย” เขาพูดไปขยับร่างกายไป ความเสียวส่านบาดลึกทำเอาสมองเบลอ หากแต่สิ่งที่เขาพูดมากลับทำให้ผมได้ยินชัดเจน

รับเลี้ยง?


เขาพูดเรื่องอะไร!













TBC

NEXT UPDATE 10/05/61 TIME 18:00
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 2:: ไร้ทางรอด] UPDATE 09/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 09-05-2018 19:53:40
ติดตามจ้า  :pig4: :L2: :กอด1:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 2:: ไร้ทางรอด] UPDATE 09/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 09-05-2018 21:12:10
เป็นระเบียบดีมาก ตามเวลาเป๊ะๆ ประทับใจ สนุกด้วย
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 2:: ไร้ทางรอด] UPDATE 09/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 09-05-2018 21:36:18
NEXT UPDATE 09/05/61 TIME 22.00 please  :call: :3123: :L2:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 2:: ไร้ทางรอด] UPDATE 09/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 09-05-2018 22:34:41
ติดตาม
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 2:: ไร้ทางรอด] UPDATE 09/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 10-05-2018 11:04:01
โดนนายท่านเล่นซะเว้ววววว
 :hao5:
ไลค์ด้วยบวก ชอบจ้านๆๆๆๆๆ
ชอบตรง ตรงเวลา รอๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 2:: ไร้ทางรอด] UPDATE 09/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: La_Pomme ที่ 10-05-2018 18:09:57
บทที่ 3
::ถามความจริง::





ด้านนอกฟ้ามืดสนิท เป็นระยะเวลาหลายชั่วโมงที่ผมถูกฝรั่งชั่วกระทำย้ำยี และอีกนับครั้งไม่ถ้วนที่เขาหยิบยื่นความเจ็บปวดให้ด้วยการยัดเหยียดความเป็นชายเข้ามาในตัวผม ใช้กำลังสำเร็จความใคร่ด้วยพลังฮึกเหิมไม่ต่างจากสัตว์นรกที่หิวกระหาย ทั้งกระแทกกระทั้น ทั้งส่งเสียงคำรามอันแสนดุดัน เขากระทำในสิ่งที่ผมไม่อาจลืมได้ มันปวดร้าวแค่ไหน เจ็บใจเพียงใด แค่หลับตาผมภาพเหล่านั้นก็คงตามหลอกหลอนผมไปอีกนาน

น้ำตาผมไหลจนแห้ง เจ็บปวดรวดร้าวไปทั้งตัว ต้องพยายามใช้ขาที่อ่อนแรงพาตัวเองมาถึงห้องน้ำ ผมจมปรักอยู่ในนั้นหลายชั่วโมง ร่างกายสั่นระริก เดี๋ยวร้อนเดี๋ยวหนาว บั้นท้ายผมแสบร้อนไปหมด รู้สึกเหมือนร่างกายฉีกขาดจนคิดว่าเลือดไหลออกมาซะแล้ว แต่เมื่อตรวจสอบด้วยตาและดูผ่านกระจก ผมไม่พบอะไรนอกจากน้ำขุ่นใสเป็นคราบเหนียวเกรอะกรัง ร่องรอยข่วนเล็กน้อย รอยแดงบริเวณแผงอกกับรอยฟันตรงหัวไหล่ แถมด้วยรอยช้ำตรงข้อมือที่ปรากฏเป็นฝามือของเจ้าคนชั่วนั่น

หลังจากอาบน้ำเสร็จ อาการปวดหนึบทำให้ผมต้องใช้เวลาพักใหญ่ในการนำเสื้อผ้าที่หอบมาจัดการแต่งตัวจนเรียบร้อย นึกลังเลอยู่นานว่าถ้าออกไปตอนนี้จะหาลู่ทางออกไปจากที่นี่ยังไง

ไม่นานผมก็ตัดสินใจเดินย่องออกมาจากห้องน้ำ ทว่าสิ่งแรกที่เห็นคือชายคนนั้นกำลังยืนสูบบุหรี่ตรงระเบียงในชุดผ้าคลุมอาบน้ำ เรียกได้ว่าจังหวะเป็นใจสุดๆ ให้ผมเดินมาเห็นเขาตอนทำธุระเสร็จก็เลยเห็นผมเข้าพอดี คนตัวสูงก้าวเข้ามาในห้องพร้อมก้นบุหรี่ จับมันขยี้ตรงที่เขี่ยบริเวณหัวเตียงแล้วเหลือบสายตามองผม

“พักที่นี่สักคืนสิ... ไว้พรุ่งนี้ฉันจะให้ลูกน้องไปส่ง”

ผมยืนนิ่ง ไม่พูดอะไรทั้งนั้น สายตาเอาแต่มองไปตรงประตูเพราะรังเกียจใบหน้าเขาเต็มทน ทำกันขนาดนั้นแล้วยังคิดว่าผมจะอยากอยู่ที่นี่อีกหรอ ถึงรู้ว่าออกไปตอนนี้ก็ไม่รู้ว่าจะหาทางติดต่อจ้านยังไงผมก็จะไปอยู่ดี

“บัตรเครดิตของนายอยู่ตรงนั้น” ผมมองหน้าเขาก่อนจะเห็นนิ้วที่ชี้ไปตรงปลายเตียง ปรากฏเป็นบัตรสีดำวางอยู่ พร้อมๆ กับปลายเสียงที่บอกว่า “...ไม่จำกัดวงเงิน”

“นี่มัน...”

“ความจริงฉันอยากพานายไปฮ่องกงด้วย แต่สถานการณ์มันวุ่นวายนิดหน่อยเดี๋ยวนายจะลำบาก อยู่เป็นเด็กดีที่นี่จนกว่าฉันจะกลับแล้วกัน... บ้านหลังนี้ฉันซื้อไว้แล้ว ถ้าอยากมาพักก็บอกคนดูแลไว้ เขาจะได้จัดเตรียมห้องให้” ยิ่งพูดผมก็ยิ่งรู้สึกแย่ มันพูดอะไรไม่ออกราวกับมีอะไรมาจุกอยู่ตรงลำคอ

“ผมไม่ใช่ผู้ชายขายตัว” น้ำเสียงผมสั่น จ้องมองคนหน้าเขม็ง

“เรียกแบบนั้นก็ออกจะเกินไปหน่อย” เจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าเดินเข้ามาใกล้ผม “เสน่ห์ของนายทำให้ฉันชอบใจ ฉะนั้นอะไรที่ทำนายมีความสุขได้ฉันก็อยากทำ”

“แค่ปล่อยผมไปก็พอ”

“มีอะไรที่ฉันทำไม่เหมือนคนก่อนๆ ของนายหรือเปล่า แนะนำมาสิฉันจะจัดการให้”

ไม่ว่าอะไรที่ออกมาจากปากคนคนนี้มันทำให้ผมประสาทเสียได้ทั้งนั้น ตั้งแต่ตอนอยู่บนเตียงแล้วที่เขาพูดถึง ‘คนรับเลี้ยง’ มาตอนนี้ก็พูดถึง ‘คนก่อนๆ’ ฟังแล้วเหมือนผมเคยผ่านใครต่อใครมาเยอะ หรือไม่ก็เป็นพวกเอาตัวเข้าแลกอะไร

เดี๋ยวนะ! หรือเมื่อก่อนผมจะเคย...

ไม่! ไม่ใช่หรอก เขาบอกเองว่าเคยเจอผมแค่ครั้งเดียว ถึงจะบอกว่ารู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับผมก็ไม่ได้แปลว่าจะเชื่อถือได้ มันอาจเป็นเรื่องเข้าใจผิด ผมไม่ทำอะไรแบบนั้นแน่ ตอนนั่งฟังจ้านเล่าเรื่องเก่าๆ ก็ไม่เห็นพูดถึงเรื่องนี้เลย

มันไม่จริง หมอนี่แค่ต้องการดูถูกผม ต้องใช่แน่ๆ!

“เลิกยุ่งกับผม” น้ำเสียงเริ่มหนักแน่นขึ้น “หลังจากผ่านคืนนี้ไปแล้ว คุณกับผมไม่มีอะไรติดค้างกันอีก”

“ที่นายขัดขืน ไม่ใช่ว่าตั้งใจทำให้ฉันคลั่งหรอกหรอ” เมื่อกี้หูฝาดไปรึเปล่า สิ่งที่ผมแสดงออกมันซับซ้อนตรงไหน ลูเซียนเอาอะไรมาคิดว่าผมตั้งใจขัดขืนเพื่อให้เขาชอบ “เวลานายดิ้นรนมันกระตุ้นอารมณ์ฉันดี ตอนบอกให้หยุดก็ยิ่งน่ารังแก อยากปราบให้อยู่หมัด รู้ตัวมั้ยว่าเวลานายร้องไห้มันเย้ายวนใจมาก... ฉันพอได้ยินมาบ้างว่านายเอาใจคนเก่ง แต่ไม่คิดว่าจะช่ำชองขนาดนี้”

ฟังจบผมแทบไปไม่เป็น ได้แต่ขบฟันและกำมือแน่น ก่อนจะกลั่นคำพูดหนึ่งออกมา

“คุณจำไว้แล้วกันว่า... ชาตินี้ ผมไม่มีวันให้อภัยในสิ่งที่คุณทำกับผมแน่” ผมจ้องตาอีกฝ่ายโดยไม่หลบตา ตั้งแต่ลืมตาตื่นบนเตียงผู้ป่วย แม้ผมไม่แน่ใจว่าตัวเองเป็นใคร แต่ความรู้สึกโกรธเกลียดฝรั่งคนนี้ชัดเจนยิ่งกว่าอะไร

“นายนี่มีอะไรเซอร์ไพร์สฉันหลายเรื่องนะ” เขายิ้มเยาะ “ฉันพอรู้มาว่านายเป็นพวกชอบเอาชนะ แต่ถ้าเทียบกับฉัน... คนอย่างนายไม่ถึงเสี้ยวสันดานของฉันหรอก”

คนตัวสูงอาศัยความรวดเร็วคว้าตัวผมเข้าไปแนบอกกว้าง ใช้มือหนาประคองท้ายทอยแล้วฉกฉวยริมฝีปากของผมอย่างไม่ทันตั้งตัว เขาปรับองศาใบหน้าให้ปากประกบมิดชิด อ้อมแขนแกร่งตอดรัดให้อยู่ในอาณัติ

“อื้อ~” ผมหลับตาแน่น ยกหมัดต่อยแผงอกเพื่อร้องขออากาศหายใจ แต่สิ่งที่ได้รับกลับเป็นรสจูบที่หนักหน่วงกว่าเดิม เราค้างอยู่ในสถานการณ์นี้นานพอดู เรียกได้ว่าแทบหมดลมหายใจนั่นแหละเขาถึงยอมปล่อยผม

“แฮ่ก แฮ่ก” เล่นซะเกือบตาย ผมเวียนหัวไปหมด คิดว่าจูบแสนป่าเถื่อนนั่นจะเป็นวิธีปลิดชีวิตเหยื่อตามแบบฉบับเจ้าสัตว์เดรัจฉานนี่ซะแล้ว

“รับไป” เขายื่นบัตรให้ “นายถนัดใช้มันอยู่แล้ว จริงมั้ย”

ผมไม่ได้โง่ขนาดไม่รู้ว่ามันคือคำพูดดูถูก...

“ให้มันจบแค่นี้เถอะ อย่าติดต่อมาหาผมอีก”

“เบอร์โทรนายฉันยังไม่มี มาห้ามกันแบบนี้ไม่ใจร้ายไปหน่อยหรอ”

เป็นไปไม่ได้! เขาจะไม่มีเบอร์โทรศัพท์ผมได้ยังไง

“ไหนบอกว่ารู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับผม”

“ยกเว้นเบอร์โทร” เขาก้มลงมาให้สายตาอยู่ในระดับเดียวกัน “ถ้าอยากรู้เรื่องนั้น ฉันจะถามนายด้วยตัวเอง”

“เมื่อวานคุณโทรหาผมไม่ใช่หรอ” เขาส่ายหน้า ทำให้ผมคิดหนัก ถ้าไม่ใช่เขาแล้วจะเป็นใครได้อีก “คนที่พล่ามว่าผมต้องรับผิดชอบ ถ้าไม่ใช่คุณ แล้ว...”

“คงเป็นเขา” คำตอบของคนตรงหน้าทำผมขมวดคิ้วมุ่น “สารภาพตามตรงเลยนะ ที่ฉันตามตัวนายเจอก็เพราะเขาเป็นคนส่งพิกัดมาให้”

“ใคร?”

“จะเป็นใครได้อีก... อย่าลืมสิว่าเรารู้จักกันได้ก็เพราะเขา”

“ใครกัน?” ผมอยากรู้จนหยุดความคิดตัวเองไม่ได้ ถ้าสิ่งที่หมอนี่กำลังจะพูดเป็นความจริง ก็เท่ากับว่าคนที่โทรมาหลังจากผมฟื้นคือคนคนเดียวกับที่ส่งผมให้ฝรั่งคนนี้

“ลูเซียน”

ห๊ะ?

ลูเซียนที่พูดถึง เป็นชื่อคนหรอกหรอ!









 

เมื่อไม่ยอมให้คนของไอ้ฝรั่งนั่นไปส่ง ผมเลยโดนเสนอทางเลือกว่าไม่งั้นก็นอนค้างที่นี่ซะ สุดท้ายก็ต้องจำใจกล้ำกลืนรับการปฏิบัติที่แฝงการบังคับนั่นไว้ หลังจากรถยนต์ค่อยๆ เคลื่อนตัวออกจากคฤหาสน์หลังใหญ่ ผมบอกกับตัวเองทันทีว่าจะไม่ยอมมาเหยียบที่นี่อีก ลาแล้วลาลับ ต่อให้เป็นชาติหน้าก็อย่าได้เจอกัน คิดไปว่าไม่มีอะไรติดค้างกันแล้ว

แต่... ดันลืมไปว่ายังมีบัตรเครดิตที่เจ้าฝรั่งนั่นยัดใส่มือมา

เมื่อได้โทรศัพท์คืนผมก็รีบโทรหาจ้านทันที เล่าไปคราวๆ ว่าเรื่องราวเป็นยังไงโดยไม่บอกว่าเกิดอะไรขึ้นกับผมบ้าง น้ำเสียงจ้านดูร้อนใจและเป็นกังวล ถามผมตลอดว่าปลอดภัยใช่มั้ย บาดเจ็บตรงไหนรึเปล่า เขาบอกว่าตอนนี้กำลังนั่งอยู่ในสถานีตำรวจเพื่อรอให้เจ้าพนักงานตรวจสอบร่องรอยของผม

ฟังต่อไปเรื่อยๆ ก็ได้ความว่าตอนอยู่โรงพยาบาลจ้านตกใจกับการหายตัวไปของผมมาก รีบเข้าไปขอดูกล้องวงจรปิดกับพนักงานก่อนจะเห็นว่ามีรถยนต์สองคันมาจอดเทียบก่อนจะลากตัวผมขึ้นรถไป เขาตัดสินใจนำคลิปไปสถานีเพื่อให้ตำรวจตรวจสอบเพราะคิดว่าผมถูกลักพาตัว ขณะนั้นเขาโดนถามว่าสงสัยใครบ้าง แต่ก็ไม่อาจให้คำตอบได้

ระหว่างทางคนขับรถถามผมขึ้นมาว่าจะให้ไปส่งที่ไหน ภาพในสมองก็เอาแต่นึกถึงเรื่องต่ำช้าที่เจ้าฝรั่งนั่นทำกับผม พวกเขาเซ็นสัญญากันแล้วผมเกี่ยวอะไรด้วย ทำไมถึงต้องยอมเอาตัวเอาเข้าแลกเพื่อคนที่ชื่อลูเซียนขนาดนั้น เป็นไปได้ว่าผมกับเขาอาจจะรู้จักกัน แต่การบันทึกเบอร์คนคนนั้นด้วยชื่อ ‘ไอ้เวรตะไล’ ก็ไม่น่าจะใช้คำว่า ‘เป็นมิตร’ ได้เต็มปาก ลูเซียนมีสวนเกี่ยวข้องกับสาเหตุที่ผมถูกพาตัวมา ก็แปลว่าเขารู้ดีว่าฝรั่งคนนั้นต้องการอะไรจากผม

ให้ตายสิ! ผมจะเป็นอย่างที่โดนกล่าวหาจริงรึเปล่า ยอมนอนกับผู้ชายเพื่อข้อแลกเปลี่ยน เป็นผู้ชายขายตัว มีคนรับเลี้ยง... ผมเป็นแบบนั้นจริงหรอ? แล้วทำไมจ้านไม่เห็นบอกอะไรผมเลยล่ะ ตั้งใจจะปิดบัง หรือเขาเองก็ไม่รู้มาก่อน

ผมลังเลอยู่สักพักก่อนจะตั้งใจตอบเสียงดังเพื่อให้จ้านได้ยิน...

“ฉันจะไปหาลูเซียน”

“อะไรนะ! มึงจะไปหามันทำไม หรือว่า...”

“หรือว่าอะไร” ผมถามกลับทันที

“เปล่า... ไม่มีอะไร”

เลี่ยงตอบกันชัดๆ จ้านทำให้ผมรู้สึกสงสัย แล้วไหนจะเป็นตอนที่เขาเรียกลูเซียนว่า ‘มัน’ นั่นอีก

“นายรู้จักเขาใช่มั้ย” จ้านเงียบไปสักพัก ผมได้ยินแต่เสียงลมหายใจเข้าออก จนกระทั่ง...

“ไม่ได้รู้จักเป็นการส่วนตัวหรอก มึงแค่... เคยเล่าให้ฟัง”

“แปลว่าฉันรู้จักเขาดี”

“ไอ้รัณย์ กูไม่รู้ว่ามึงคิดจะทำอะไร แต่ช่วยใจเย็นก่อนเถอะ มึงรีบลงจากรถนั่นก่อนแล้วรอจนกว่ากูจะไปรับ”

ผมหงุดหงิดตัวเองที่ได้แต่ถามๆๆ แต่ก็ไม่มีอะไรกระจ่างสักอย่าง ตอนนี้ผมแทบจะเป็นบ้าเพราะไม่รู้ว่าตัวเองกำลังพัวพันอยู่กับอะไร ทำไมต้องมาเจอกับเรื่องแบบนี้ เห็นชัดๆ ว่าผมไร้หนทางหลบเลี่ยงหากไม่รู้ที่มาที่ไป จริงอยู่ที่ผมอยากลืมเรื่องทุกอย่างที่เกิดขึ้นในคืนนี้ แต่ถ้าผมหาเหตุผลที่ต้องมานั่งชดใช้ให้กับคนต่ำช้าไม่ได้ก็คงยากที่จะทำใจยอมรับ เพราะตอนนี้ผมมีเพียงความโกรธแค้นโดยไม่อาจมองไปถึงอนาคตได้

ผมควรใช้ชีวิตต่อไปแบบไหน ทำให้มันเหมือนเดิมหรือเปลี่ยนแปลงมันซะ ก่อนอื่นผมก็ควรรู้ให้ได้ว่าผมเป็นใคร เคยใช้ชีวิตยังไง ซึ่งการที่จ้านยังใช้ความเป็นห่วงปิดบังกันอยู่อย่างนี้ก็เท่ากับไร้ประโยชน์

แต่ถ้าจะมีใครพอรู้จักผมอีกบ้าง... ก็คงเป็นผู้ชายคนนั้น!

“นายรู้ว่าลูเซียนอยู่ไหนใช่มั้ย”

ผมยอมรับตามตรงว่ากังวลมาก แต่ไม่อาจหยุดจุดหมายของรถคันนี้ได้จริงๆ

 









รถยนต์มุ่งหน้าไปยังสถานที่ที่เป็นย่านสถานเริงรมย์ มีนักท่องเที่ยวยามราตรีเดินสวนกันไปมาหลากหลาย ตรงริมถนนรวมไปถึงอาคารต่างๆ ใกล้เคียงยังคงเปิดไฟสว่างไสว ราวกับมันเป็นเมืองไม่เคยหลับใหล ผมถามคนขับรถว่าจะเจอลูเซียนได้ยังไง เขาบอกมาเพียงว่าถามคนแถวนั้นก็รู้ เพราะลูเซียนเป็นเจ้าของไนต์คลับที่ใหญ่ที่สุดในย่านนี้!

ใช้เวลาไม่นานผมก็เดินมาถึงหน้าไนต์คลับ เห็นผู้ชายร่างใหญ่ยืนอยู่หน้าทางเข้าเลยกะว่าจะเข้าไปถาม

“สวัสดีครับคุณรัณย์” โอ๊ะ! เขารู้จักชื่อผมด้วย

“คือ... ผมมาหาคุณลูเซียน”

“บอสอยู่ในห้องส่วนตัวครับ ช่วงดึกจะมีแขกวีไอพีเข้ามาก็เลย...”

“ผมขอเข้าไปได้มั้ยครับ” รีบตัดบทให้รวบรัด คนเฝ้าด้านหน้าดูจะงงๆ นิดหน่อย แต่ก็ยังยิ้มให้ผมอยู่

“ได้สิครับ”

ยังไงก็ต้องขออนุญาตก่อนเพราะผมไม่รู้ระเบียบการของคลับนี้เลย ในเมื่อมีคนจำผมได้ก็แสดงว่าผมเคยมาที่นี่ แต่ให้นึกยังไงก็ไม่รู้สึกคุ้นๆ หรือมีภาพความทรงจำแวบเข้ามาในหัวสักอย่าง มิน่าผมถึงได้ตื่นตะลึงกับแสงสีเสียงและบรรยากาศคึกครื้นที่พร้อมพรั่งด้วยกลุ่มคนมากมายอย่างนี้

พอเข้ามาด้านใจผมก็ได้รับคำทักทายจากใครหลายๆ คนขณะเดินผ่าน ลูกค้าในนี้ส่วนใหญ่ดูเหมือนจะรู้จักผมกันทั้งนั้น พวกเขาใช้คำพูดอย่างเป็นกันเองแถมยังพากันมองผมเป็นตาเดียวอีกต่างหาก จากที่อยากถามใครสักคนว่าจะพบลูเซียนได้ที่ไหน กลับต้องกลายเป็นเดินหลบสายตาพวกเขาแทน

“ไงรัณย์!” จู่ๆ ก็มีคนเข้ามาพาดแขนคล้องคอผม จากนั้นก็ตะโกนพูดอยู่ข้างหูเนื่องจากด้านในเสียงเพลงดังมาก “กูกะแล้วว่ามึงต้องโผล่หน้ามา พวกหิ่งห้อยถึงได้พากันมองมึงตาละห้อย”

ผู้ชายคนนี้เป็นใคร?

“ผมมีธุระ ขอตัวก่อน”

“เฮ้!” เขายังล็อคตัวผมไว้ “เป็นอะไรไป ทำไมพูดจาแปลกๆ”

เอาล่ะ… วิธีเลี่ยงไปตรงๆ คงไม่เวิร์ก ถ้าอย่างนั้นก็ใช้โอกาสนี้ให้เป็นประโยชน์เลยแล้วกัน

“ฉันกำลังไปหาลูเซียน เราเดินไปคุยไปได้มั้ย” ผมเปลี่ยนสรรพนามตัวเอง พร้อมถือโอกาสชักนำเขาให้พาไปหาลูเซียนโดยไม่บอกเหตุผลตรงๆ

“ได้สิ” ว่าแล้วก็กอดคอผมเดินไป “หลายวันนี้มีข่าวลือว่ามึงตัดขาดกับเซียนแล้ว... น่าขำนะว่ามั้ย”

พูดแบบนี้แสดงว่าผมอาจมีเรื่องไม่ลงรอยกับเขาสินะ ในเมื่อมันเป็นแบบนี้แล้ว ผมจะยอมนอนกับเจ้าตาสีฟ้านั่นเพื่อสัญญาของเขาทำไมกัน มันต้องมีเหตุผลอะไรแน่ๆ

“กูไม่ถามมึงเพราะกูรู้ว่ามันเป็นไปไม่ได้ เห็นมั้ยล่ะ คืนนี้มึงมาเหยียบที่นี่ก็แปลว่าข่าวลือนั่นมันปลอมชัดๆ”

“ทำไมถึงคิดว่าเป็นไปไม่ได้” ประเด็นนี้ปล่อยผ่านไม่ได้ ผมต้องถาม

ชายคนนั้นหยุดเดินพลางเอียงคอมองผม บริเวณนี้มีแสงวูบวาบพอให้เห็นหน้าเขาชัดเจน แม้จะมีความสูงที่มากกว่าผมไปสักหน่อยแต่รูปร่างไม่ต่างจากผมเลย ใบหน้าคมคาย ไหล่กว้าง มีรอยยิ้มสะกดใจ เขาดูเป็นคนร่าเริงและขี้เล่น แต่งตัวมีเสน่ห์ด้วยเสื้อเชิ้ตสีแดงเข้ม ผมยังแอบคิดอยู่นี่มันใช่ดาราหรือเปล่า ถึงได้มีออร่าขนาดนี้

ผมจ้องกลับจนอีกฝ่ายหรี่มองตาอย่างมีเลศนัย พร้อมส่งยิ้มหวานให้

“ถามใจมึงดูสิ”

หืม? พูดอะไรของเขา? ไม่เห็นจะเข้าใจ

เราสองคนเดินมาจนถึงห้องๆ หนึ่ง ชายคนนั้นพูดกับผมก่อนจากไปว่าถ้าคุยกับลูเซียนเสร็จแล้วให้ออกมาชนแก้วกันหน่อย หลายวันมานี้ไม่เห็นหน้าคร่าตาเลยอยากจะให้ผมอัพเดตชีวิตให้ฟัง ได้ยินอย่างนั้นผมก็ได้แต่พยักหน้าแทนที่จะบอกไปตรงๆ ว่าแม้แต่ตัวเองยังไม่รู้เลยว่าตัวเองเป็นใคร

ผมเปิดประตูเข้าไปด้านใน สิ่งแรกที่เจอคือชายคนหนึ่งกำลังยืนโทรศัพท์อยู่คนเดียว

“ครับ ตกลงตามนี้”

ผมยืนมองแผ่นหลังของเขา เห็นมือหนึ่งจับโทรศัพท์ส่วนอีกมือใช้เปิดหน้าเอกสารบนโต๊ะ ผมค่อยๆ ย่องเข้าไปใกล้และหยุดยืนรอจนกว่าเขาจะคุยโทรศัพท์เสร็จ แต่ยืนอยู่ได้แปบเดียวชายตรงหน้าก็หันขวับมาหาผม เขาแสดงสีหน้าแปลกใจก่อนจะกดวางสายทั้งๆ ที่บทสนทนาเหมือนจะยังไม่จบดี

“รัณย์”

เขาเรียกชื่อผมได้ถูกต้อง งั้นนี่คงเป็นลูเซียนไม่ผิดแน่ น้ำเสียงของเขาดูสุขุมสมกับใบหน้าที่น่าจะมีอายุเกินสี่สิบ แต่งตัวมาดนักธุรกิจ จัดทรงผมได้เนี้ยบ สวมแว่นสายตาพร้อมกับมองมาที่ผมอย่างสงสัย 

“ทำไมคุณถึงให้ฝรั่งคนนั้นมาพาตัวผมไป...” ผมเข้าเรื่องทันที “คุณบอกเขาว่าผมอยู่ที่ไหน ทำให้ผมต้อง...” 

“ฉันว่าเราควรรอ...”

พูดไม่ทันจบ ชายตรงหน้าก็ต้องชะงักเพราะเสียงประตูที่ถูกเปิดออก เขามองบางอย่างที่อยู่ด้านหลังผมก่อนจะก้มหน้าลงเล็กน้อย และเมื่อผมหันไปก็พบกับชายร่างสูงใหญ่ในเสื้อคลุมหนังสีน้ำตาลเข้มกำลังเดินเข้ามาพร้อมมาดที่ทำให้ผมต้องมองอย่างพิจารณา ราวกับโดนสะกดด้วยรูปร่างหน้าตาและความสูงยาวเข่าดีของเขา

“ห้องวีไอพีไปถึงไหนแล้ว”

นั่นเป็นประโยคแรกที่ผมได้ยินจากปากคนเข้ามาใหม่ อยู่ๆ ก็ทำให้ผมนึกไปถึงน้ำเสียงของคนที่โทรมาเมื่อหลายวันก่อน

เอ๊ะ? หรือว่า...




“เรียบร้อยแล้วครับ คุณเซียน”

 

 

 

 



 

 





TBC

NEXT UPDATE 11/05/61 TIME 18:00
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 3:: ถามความจริง] UPDATE 10/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 10-05-2018 18:48:29
โหงยยยยย
อยากอ่านต่อ มว้ากกกกกกกกก
มีน อึน เอ๋อตามรัณย์เลยอ่า
ใคร อะไร ทำมายยยยยย
 :z3:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 3:: ถามความจริง] UPDATE 10/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 10-05-2018 23:34:50
หงุดหงิด งุ่นง่าน ไม่อยากรอออออ :ling3: :ling3: :ling1: :ling1: :ling2: :ling2:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 3:: ถามความจริง] UPDATE 10/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 11-05-2018 07:28:19
 :L2: :pig4: :L2: :pig4: :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 3:: ถามความจริง] UPDATE 10/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: La_Pomme ที่ 11-05-2018 18:04:33
บทที่ 4
::ข้อต่อรอง::





**
จ้านโล่งอกทันทีที่รู้ว่ากรัณย์ปลอดภัยดี ก่อนหน้านั้นเขาเดินตามหาทั่วโรงพยาบาล ไม่ว่าจะถามใครก็ไม่มีเบาะแส ร้อนใจอยู่สักพักก็นึกอะไรขึ้นได้ รีบเดินเข้าไปขอเจ้าหน้าที่ดูกล้องวงจรปิดจนได้พบชายกลุ่มหนึ่งตรงปรี่เข้าไปลักพาตัวเพื่อนรักของเขาขึ้นรถ จ้านเห็นท่าทางตกใจของกรัณย์ก็เดาออกว่าคงไม่เต็มใจแน่ จึงตัดสินใจนำหลักฐานที่เป็นคลิปชิ้นนี้ไปสถานีตำรวจเพื่อตรวจสอบเจ้าของรถ

ชายหนุ่มเล่าสถานการณ์ให้ตำรวจฟังอย่างละเอียด แต่รอจนมืดค่ำก็ไม่มีวี่แววว่าจะได้คำตอบ เขาเริ่มสงสัยกับท่าทีนิ่งเฉยเกินไปของพวกตำรวจ พยายามคาดคั้นก็ไม่เป็นผล จากความรู้สึกแปลกๆ เริ่มกลายเป็นกลัวว่าคนกลุ่มนั้นจะมีอิทธิพลจนตำรวจไม่กล้ายุ่ง

จริงๆ แล้ว ในใจจ้านมีคนคนหนึ่งที่คิดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มคนที่พาตัวกรัณย์ไป และเขาคนนั้นก็คือ ‘ลูเซียน’ แต่ความรู้ด้านกฎหมายกลับยับยั้งความร้อนใจของเขาไว้ เพราะถ้าพลีพล่ามเข้าไปโวยวายใส่โดยไม่มีหลักฐานก็เท่ากับว่ากล่าวหาผู้อื่น และอาจโดนข้อหาใส่ความเท็จได้โดยง่าย อันที่จริงลำพังตัวเขาไม่ได้กลัวการเผชิญหน้ากับชายคนนั้นอยู่แล้ว เพียงแต่การโดนเรื่องคดีมันส่งผลกระทบไปถึงครอบครัวด้วย เขาจึงไม่ขอเสี่ยงดีกว่า

จนเมื่อกรัณย์โทรมาเล่าว่ากำลังไปหาลูเซียน จ้านก็รู้ทันทีว่าเขาคิดถูก!

ขณะนี้เขากำลังจะเข้าไปตามหากรัณย์ในไนต์คลับ แต่ในระหว่างที่กำลังถอดเข็มขัดนิรภัยก็มีใครบางคนมาเคาะกระจกฝั่งคนขับ เจ้าของรถจึงหันไปมอง

“ติณณ์” เขาเรียกชื่อชายคนหนึ่งที่กำลังส่งสัญญาณด้วยมือว่าให้ลดกระจกลง

“ไอ้จ้าน!” ชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตสีแดงแสดงสีหน้าดีใจที่ได้เจอเพื่อนโดยบังเอิญ “กูเห็นรถมึงเข้ามาจอดเลยเดินตามมา... มาทำอะไรที่นี่วะเนี่ย” เขาพูดพลางโค้งตัวลงเพื่อให้อยู่ในระดับสายตากับคนในรถ

“คือ...” จ้านอึกอัก ขณะที่ติณณ์จะหุบยิ้มคล้ายกับนึกอะไรขึ้นได้

“อ้า ไม่น่าถาม เห็นไอ้รัณย์ก็น่าจะรู้แล้วว่ามึงมาทำไม”

“มึงเห็นมันด้วยหรอ? มันเป็นไงบ้างวะ ยังโอเคใช่มั้ย” จ้านอยากรู้และแสดงความกระวนกระวายเป็นพิเศษ ทำให้อีกฝ่ายจ้องมองเขาอย่างสงสัย

“ก็เหมือนเดิม แค่ตัดผมใหม่กับท่าทางแปลกๆ” จนถึงตอนนี้ติณณ์ยังงงกับการใช้คำพูดของกรัณย์อยู่ เดินเข้าไปกอดคอก็มองเขาเหมือนคนแปลกหน้า แถมตอนคุยกันยังเรียกตัวเองว่า ‘ผม’ ด้วย

เจ้ารัณย์มันเคยพูดจาดีดีกับเขาซะที่ไหน!

“อ่อ” จ้านโล่งอก อย่างน้อยรัณย์ก็ยังไม่ได้บอกเรื่องสูญเสียความทรงจำกับติณณ์

“กูไปหาที่คณะเลยได้ข่าวว่ามึงขาดเรียนไปหลายวัน พอโทรหาก็ไม่รับ ไปที่คอนโดก็ไม่อยู่ มึงหายหัวไปไหนของมึงวะ” น้อยครั้งที่เด็กเรียนอย่างจ้านจะยอมให้ตัวเองขาดเรียน และถึงขั้นไม่อยู่ที่คอนโดด้วยมันก็ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่

“กูมีธุระสำคัญที่บ้านน่ะ” จ้านตอบกลับสั้นๆ โดยไม่เงยมองหน้าคนพูดด้วย ติณณ์นิ่งไปทันที แววตาเปลี่ยน สีหน้าบึงตึง ก่อนจะพ่นลมออกจากจมูกอย่างไม่สบอารมณ์

“รู้ว่าโกหกกูไม่ได้แล้วยังจะพยายามอีก” จ้านหลบตาลงอย่างจำยอม ติณณ์มองเขาได้ทะลุโปร่งจริงๆ ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นคนดูง่ายหรือเพื่อนคนนี้อ่านใจคนเก่งกันแน่ เพราะตั้งแต่คบกันมาตั้งแต่สมัยมัธยมต้น ติณณ์ก็เดาความคิดเขาออกหมดราวกับมานั่งอยู่ในหัว

“ไอ้รัณย์ไม่สบาย ก็เลย...”

“พอเถอะ!” ติณณ์ตะเบ็งเสียงกร้าว เป็นจังหวะเดียวกับที่มีชายคนหนึ่งตะโกนเรียกชื่อเจ้าตัวจากด้านหลัง พร้อมกับเร่งให้ไปหาไวไว

“มีคนเรียกมึงอยู่ เขารีบรึเปล่า” จ้านเอ่ยถาม

“ช่างปะไร ขนาดชื่อมันกูยังไม่รู้เลย”

“ฮะ? ไม่รู้จักแล้วไปกับเขาทำไม”

“กูไม่อยากกลับบ้าน... พอหมอนั่นชวนไปดื่มต่อกูก็เลยตกลง” ฟังเหมือนมีอะไรแอบแฝงมากับน้ำเสียงนั้น จ้านลองคิดๆ ดูก็พอจะเดาออกได้เรื่องหนึ่ง

“ทะเลาะกับพ่ออีกแล้วรึไง”

“ฮึ! เขาก็หาเรื่องต่อว่ากูได้ตลอดนั่นแหละ ถ้าไม่ติดว่าทุกวันนี้ยังต้องแบมือขอเงินเขา กูคงเก็บข้าวของหนีออกจากบ้านนานแล้ว” ชายหนุ่มชะงักกับคำพูดที่ไม่คิดว่าจะได้ยิน จนกระทั่ง “ทำไงได้ กูไม่มีคนรับเลี้ยงเหมือนไอ้รัณย์นี่หว่า”

“ไอ้ติณณ์!” จู่ๆ จ้านตะคอกใส่ด้วยท่าทางขึงขัง ทำให้คนฟังผงะไปชั่วครู่

ติณณ์ยืนมองความไม่พอใจของเพื่อนสมัยมัธยมที่ถูกแสดงออกมาอย่างเด่นชัด แม้ตอนนี้พวกเขาจะไม่สนิทชนิดที่ว่าไปไหนมาไหนด้วยกันเหมือนแต่ก่อนเพราะเรียนอยู่ต่างคณะ แต่ติณณ์ก็รู้ว่าจ้านไม่เปลี่ยนไปเลย ยังเป็นคนจิตใจดี ชอบช่วยเหลือคนอื่น ทำอะไรด้วยเหตุและผล หากมีเรื่องอะไรให้คิดหนักเขาจะไม่ละเลย นับว่าเป็นคนใจเย็นที่สุดเท่าที่ติณณ์เคยรู้จักมา ทว่ากลับมีบางสิ่งที่ทำให้จ้านมักเป็นเดือดเป็นร้อน กังวลจนขาดสติ จิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว และคนที่ทำให้จ้านเป็นถึงขนาดนี้ได้ก็มีเพียงคนคนนั้น

กรัณย์... เพื่อนวัยเด็กที่จ้านรู้จักตั้งแต่จำความได้

“กูพูดผิดตรงไหน” นาทีนี้ติณณ์รู้สึกไม่ต่างกับโดนอะไรบีบรัดให้เหน็บชา “จริงสิ เมื่อกี้กูชวนไอ้รัณย์มาดื่มเหล้าด้วยกัน บอกว่าจะรอมันแต่ดันออกมาก่อน ฝากขอโทษมันด้วยละกันนะ ก็แหม...เห็นเข้าไปในห้องทำงานของลูเซียนนานขนาดนั้น กูเลยคิดว่ามันคงอยากดื่มอย่างอื่นมากกว่า”

จ้านกำหมัดแน่น พยายามขบฟันไม่ให้ตัวเองพลีพลาม ทุกครั้งที่ติณณ์เมามักจะพูดอะไรไม่คิด แม้จะโกรธแค่ไหนก็ทำได้แค่ปล่อยให้มันผ่านไป

จริงอยู่ที่จ้านรับรู้ในสิ่งที่เพื่อนรักตัดสินใจเลือกวิถีการดำเนินชีวิตในแบบของตัวเอง แต่ไหนแต่ไรมาเขาไม่เคยถามถึงเหตุผลเพราะพยายามจะเข้าใจมัน ด้วยความเป็นเพื่อนบางครั้งจ้านก็แอบกังวลความรู้สึกของอีกฝ่าย เขาถึงต้องระวังคำพูด ระวังความนึกคิด เนื่องจากเรื่องแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะพูดเหมือนมันเป็นเรื่องธรรมดาได้ และเมื่อความสัมพันธ์ของพวกเขาดันมีขอบเขตที่ควรเลี่ยงขึ้นมา มันก็ไม่แปลกที่จะทำให้อะไรๆ ดูไม่เหมือนเดิม

**









ตอนแรกเข้าใจผิดว่าชายมีอายุที่เจอในห้องคนแรกคือลูเซียน ผมยังไม่รู้สึกเกร็งเท่าไหร่ แต่พอเห็นลูเซียนตัวจริงแล้วผมกลับทำอะไรไม่ถูก แววตาดุดันทำให้ผมไม่กล้าสบตา อารมณ์เหมือนมวลอากาศต่ำลง แม้เป็นห้องขนาดใหญ่ก็ยังทำให้ผมอึดอัดได้

ระหว่างมองลูเซียนเดินไปนั่งยังประจำที่ของตัวเอง ท่วงท่าการถอดเสื้อคลุมพาดไว้บนเก้าอี้ ประกอบกับแสงไฟสลัวและรูปภาพจิตรกรรมของราชสีห์แยกเขี้ยวที่แขวนอยู่เหนือหัว มันยิ่งทำให้เขาดูมีพลังอำนาจในแบบปีศาจหรือซาตานอะไรเทือกนั้น
 
“ไม่มีใครบอกเขาหรอว่าวันนี้ผมมีแขก” ลูเซียนพูดกับชายใส่แว่น จากการสังเกตอยู่ห่างๆ ผมว่าชายที่ผมทักผิดคนนี้น่าจะทำงานให้ลูเซียนในฐานะลูกน้อง กระทั่งเขาขอตัวออกจากห้องไป มารู้ตัวอีกทีผมก็อยู่กับเจ้าของไนต์คลับตามลำพังซะแล้ว

“มีอะไร” คำพูดดุดันทำผมสะดุ้งเล็กน้อย

“ผมมีเรื่องอยากคุยกับคุณ”

ขณะนั้นลูเซียนเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ ยกเท้าขึ้นไขว่ห้างพลางพูดสั้นๆ “สิบนาที”

“ผมเจอชาวต่างชาติคนนั้นแล้ว”

“ฉันรู้” คำตอบของเขาทำผมเลิกคิ้วสูง

“เขาทำอะไรกับผม คุณก็รู้ใช่มั้ย” ผมเน้นเสียงในระหว่างที่ลูเซียนหมุนแหวนตรงนิ้วชี้ไปมา แสดงท่าทีเฉยชา เอาแต่จ้องแหวนวงนั้นโดยไม่มองหน้าผม

“มาที่นี่เพราะอยากเล่าให้ฉันฟังรึไง” ได้ยินแล้วถึงกับอ้าปากค้าง ผมรู้สึกเหมือนโดนยัวะยังไงไม่รู้

“คุณหาว่าผมหักหน้า เพราะอย่างนั้นคุณเลยบอกเขาว่าผมอยู่ไหน เพื่อที่เขาจะได้ส่งคนมาเอาตัวผมไปใช่มั้ยครับ แล้ว… มันเรื่องอะไรคุณถึงทำแบบนี้” ผมจ้องหน้าลูเซียนอยู่อย่างนั้น แวบหนึ่งแอบเห็นหางคิ้วเขากระตุกเล็กน้อย แล้วค่อยกลับมาแสดงสีหน้าผ่อนคลายตามเดิม ช่างเป็นคนที่สงวนท่าทีเหลือเกิน

“จะโทษใครได้ในเมื่อนายเลือกเอง”

“ผมอยากให้ตัวเองไปพัวพันกับเรื่องแบบนี้งั้นหรอ?” แทบไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

“แต่ดูนายไม่ค่อยชอบใจเท่าไหร่” ไม่แปลกที่เขาจะไม่เป็นเดือดเป็นร้อน เพราะคงดูรู้อยู่แก่ใจดีว่าผมต้องเจอกับอะไรบ้าง กล่าวหาว่าผมเป็นฝ่ายเลือกเองแต่ไม่ยอมบอกเหตุผลที่ผมควรทำแบบนั้น

อะไรทำให้ผมต้องยอมทำเพื่อให้ฝรั่งนั่นเซ็นสัญญากับเขากันแน่!

“ฉันเคยเตือนนายแล้วว่าอีวานไม่ใช่คนที่นายจะรับมือได้ หมอนั่นเหมือนสัตว์ป่าที่หิวโหยตลอดเวลา ต้องการหาอะไรแปลกใหม่ เบื่อง่าย ไม่จมปรักกับใคร” พูดจบลูเซียนก็เงยหน้ามองผมด้วยสายตาดุดัน “เป็นนายที่เสนอตัวเอง ฉะนั้นไม่ว่าอีวานจะทอดทิ้ง ไม่แยแส หรือทำเหมือนนายเป็นของเล่นยังไง... นายก็ต้องยอมรับ”

“ผมเสนอตัวเอง?” รีบถามซ้ำอีกรอบ ถึงจะรู้แล้วว่าฝรั่งนั่นมีชื่อว่า ‘อีวาน’ แต่ผมก็ยังมีอีกหลายเรื่องที่อยากจะรู้ “แต่การที่ผมไม่ไปตามนัด คุณไม่คิดบ้างหรอว่าผมอาจไม่อยากทำแบบนั้น”

ลูเซียนพูดเองว่าผมคิดหนี แสดงว่าการไปเจอกับอีวานอาจไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากทำจริงๆ

“นายแค่อยากหักหน้าฉัน... เพราะอะไรที่สามารถทำลายฉันได้ นายพร้อมจะทำอยู่แล้ว” ชายตรงหน้าใช้น้ำเสียงเข้ม ส่งความตึงเครียดผ่านสายตาคมกริบมาให้ผม “อย่าทำเหมือนไม่อยากขึ้นเตียงกับใคร เพราะไม่ว่าอะไรที่ทำให้นายมีเงิน ได้ใช้ชีวิตสวยหรู นายก็เอาร่างกายแลกมันมาได้ทั้งนั้น”

“ผม... ขายตัว?” ริมฝีปากผมสั่นระริก คล้ายมีลมพายุซัดกระหน่ำตัวผมให้ลอยเคว้งอยู่บนอากาศ อยู่ๆ ขาทั้งสองข้างก็รู้สึกอ่อนแรงอย่างไม่ทราบสาเหตุ

“นายทำอะไร ย่อมรู้อยู่แก่ใจ”

ผมแทบล้มทั้งยืน สองมือกำแน่นจนเล็บจิกเนื้อตัวเอง จากที่บอกตัวเองว่ามันก็แค่เรื่องเหลวไหล ไม่เป็นความจริง เพียงฟังประโยคเมื่อครู่ เหตุผลที่ผมมาที่นี่ก็ดูเหมือนจะได้รับคำตอบแล้ว

ที่ผ่านมาผมใช้ชีวิตแบบนี้เองหรอ ร่างกายถูกต้องมลทินจากผู้ชายด้วยกัน อย่าบอกนะว่าสาเหตุที่ทำให้ร่างกายผมถูกกระตุ้นไปตามเกมของอีวานง่ายๆ เป็นเพราะมันไม่ใช่ครั้งแรก

“ไหนว่าตัดขาดกับฉันแล้วจะไม่มาเหยียบที่นี่อีก พูดอะไรไว้หัดมีสัจจะบ้าง หรือถ้าตั้งใจมาทวงข้อต่อรองไร้สาระนั่น ก็ไสหัวออกไปซะตอนนี้เลย”

 “ข้อต่อรอง?” หรือว่านี่จะเป็นสาเหตุที่ผมยอมเอาตัวเข้าแลกเพื่อให้เขาได้ทำสัญญากับอีวาน
 
“นายมันฉลาดแต่เรื่องโง่ไม่เปลี่ยน เอาอะไรมามั่นใจว่าธุรกิจเป็นร้อยล้านจะได้มาเพียงเพราะนายเสนอตัวนอนกับอีวาน คิดว่าตัวเองมีค่ามากถึงขนาดส่งผลต่อการตัดสินใจของหมอนั่นรึไง” ผมตั้งใจฟังคำพูดของลูเซียนทุกคำโดยไม่ขัด “เขาจะเซ็นสัญญาหรือไม่มันขึ้นอยู่กับแผนธุรกิจของฉันต่างหาก อีวานฉลาดพอที่เห็นว่าการเปิดคาสิโนในฮ่องกงจะทำให้เขาเฟื่องฟูขนาดไหน... สุดท้ายเขาถึงได้ยอมเซ็นสัญญากับฉัน”

จะว่าไปเรื่องที่ลูเซียนพูดก็น่าคิด ตอนนั้นผมเอาอะไรมามั่นใจว่าแค่ยอมนอนกับอีวานแล้วเรื่องเซ็นสัญญาจะสำเร็จ ฟังดูหลงตัวเองชะมัด แถมไม่เห็นว่าผมจะได้อะไรจากการทำแบบนี้เลย

“ทีนี้เข้าใจรึยังว่าหมอนั่นแค่ต้องการนอนกับนายเพื่อเก็บใส่คอลเลกชั่น ส่วนนายก็คงได้ค่าตอบแทนที่มากพอดู” คำพูดของลูเซียนทำให้ผมนึกถึงบัตรเครดิตไม่จำกัดวงเงินที่ได้มาจากอีวาน “สรุปว่าเงินต่างหากที่นายต้องการ แต่มันคงดูง่ายไปถึงได้ยกข้อต่อรองนั่นขึ้นมา”

ลูเซียนสื่อให้เห็นว่าผมต้องการเงิน โดยอาศัยเรื่องสัญญาของพวกเขามาเป็นข้ออ้างเพื่อเข้าถึงอีวาน แต่ขอโทษเถอะ ผ่านมาจะครบสิบนาทีแล้วผมยังไม่ได้รับคำตอบเรื่องข้อต่อรองเลย

ถ้าอย่างนั้นผมคงต้องทำให้เขาหลุดพูดออกมาเอง…

“แปลว่าคุณจะไม่ทำตามข้อตกลงของเรา”

“ตอนนี้ไม่ว่านายคิดอะไรอยู่ ฉันขอแนะนำให้เลิกคิดซะ” ลูเซียนกระตุกหางคิ้วเล็กน้อย

“ถ้าผมไม่ทำล่ะ”

อะไร? ข้อต่อรองที่ว่านั่นคืออะไร!


“ต่อให้นายเอาทุกอย่างมาแลก... ฉันก็ไม่มีทางนอนกับนาย”













TBC

NEXT UPDATE 12/05/61 TIME 18:00
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 4:: ข้อต่อรอง] UPDATE 11/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 11-05-2018 18:20:13
อั๊ยยะ!!!
กระทืบไลค์ดวยบวกอย่างเร็ว
ความพัวพันนี้ช่างล้ำลึก โอ้ววววววว
 :a5:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 4:: ข้อต่อรอง] UPDATE 11/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 11-05-2018 18:34:08
อะไรยังไง  :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 4:: ข้อต่อรอง] UPDATE 11/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: ammchun ที่ 11-05-2018 20:16:30
รัณย์นี่ดูรุงรังจัง แบบดื้ออะ  :katai1:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 4:: ข้อต่อรอง] UPDATE 11/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: La_Pomme ที่ 12-05-2018 18:47:39
บทที่ 5
::ทิ้งอดีต::





ตอนเดินออกมาจากไนต์คลับ สายตาผมเหม่อลอยคอยมองพื้นมาตลอดทาง ในหัวเอาแต่คิดว่านี่มันเรื่องบ้าอะไร ชีวิตผมมันยังมีเรื่องแย่กว่าการโดนพ่อทิ้งให้อยู่คนเดียวอีกหลายเท่า พบว่าความจำเสื่อม ออกจากโรงพยาบาลมาก็โดนจับตัวไปมีความสัมพันธ์ลึกซึ้งกับผู้ชายด้วยกัน เรื่องนั้นทำให้ผมรังเกียจตัวเองแทบตายสุดท้ายกลับมารู้ว่าที่ผ่านมาผมใช้ชีวิตไม่ต่างกับผู้ชายขายตัว วันนี้ได้รู้จักตัวเองไปอีกขั้น แต่ทั้งหมดล้วนมาจากคำพูดของคนอื่น ไม่มีเรื่องไหนมาจากทรงจำของผมเลย

นี่มัน... ชีวิตผมแน่หรอ?

ผมเป็นใคร เจออะไรมาบ้าง และกำลังเผชิญหน้ากับอะไรอยู่ สิ่งที่ผมเจอในค่ำคืนอันแสนโหดร้ายทำให้ฉุกคิดได้ว่าผมควรทิ้งทุกสิ่งที่เคยมีแล้วเริ่มต้นใหม่ โดยไม่พยายามทำให้ตัวเองจำชีวิตในอดีตได้เด็ดขาด

พอกันที! ผมจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นในวันนี้ให้หมด ไม่มาเหยียบที่ไนต์คลับ ไม่รู้จักคนที่ชื่อลูเซียนหรือฝรั่งตาสีฟ้านั่น ผมจะเปลี่ยนเบอร์ใหม่ ใช้ชีวิตใหม่ เดินหน้าต่อโดยไม่ถามหาอดีต ไม่ว่าผมจะเคยเป็นอะไรมันจะจบแค่นั้น หรือหากเป็นประสงค์ของพระผู้เป็นเจ้าที่ต้องการประทานชีวิตใหม่ให้ ผมก็จะใช้โอกาสนี้เปลี่ยนแปลงชะตาตัวเองซะ

เดินมาจนถึงหน้าไนต์คลับ สายตาผมไปสะดุดกับชายสวมเสื้อเชิ้ตแดงที่ยืนอยู่ข้างรถซีดานฝั่งตรงข้าม ยืนมองอยู่สักพักชายคนนั้นก็เดินไปกับชายคนหนึ่ง เห็นแวบเดียวผมก็จำได้ทันทีว่าเขาคือคนที่เข้ามากอดคอผมและพาไปหาลูเซียนที่ห้องส่วนตัว

ผมกำลังจะหยิบมือถือเพื่อโทรหาจ้าน แต่จังหวะที่เห็นชายคนนั้นเดินผละจากตรงรถจอดอย่างกระฟัดกระเฟียด ก่อนจะข้ามถนนมาขึ้นรถของใครอีกคน ผมบังเอิญเห็นจ้านออกมาจากรถซีดานคันแรกพอดี แบบนี้ก็แปลว่าผู้ชายสวมเชิ้ตแดงกับจ้านรู้จักกัน
ภายหลังจากที่ผมขึ้นรถและถามถึง จ้านก็เล่าคราวๆ ว่าเราสามคนรู้จักกันตั้งแต่เรียบมัธยมต้น

ชายคนนั้นมีชื่อว่า ‘ติณณ์’ ปัจจุบันเรียนบริหารธุรกิจที่มหาวิทยาลัยเดียวกันกับจ้าน ครอบครัวทำธุรกิจจิวเวลรี่ อาศัยอยู่กับพ่อและพี่ชาย ส่วนแม่แยกทางไปแต่งงานใหม่กับชาวต่างชาติ ในเมื่อเราเป็นเพื่อนกันแต่จ้านกลับไม่ให้บอกเรื่องที่ผมความจำเสื่อมกับติณณ์ เมื่อถามถึงเหตุผล จ้านก็ตอบเพียงว่า ‘หมอนั่นไม่เหมือนกับเมื่อก่อนแล้ว’

หลังจากพูดถึงติณณ์จบ จ้านก็ขอให้ผมเล่าเรื่องที่โดนจับตัวไปบ้าง แต่ก่อนจะเริ่มเรื่องผมมีบางอย่างอยากถามเขาก่อน “จ้าน... นายรู้มั้ยว่ามีคนรับเลี้ยงฉัน”

“ลูเซียนบอกอะไรมึง” จ้านถลึงตา แสดงออกซะชัดเจนจนผมไม่ต้องจี้ถามต่อ

“เป็นความจริงสินะ”

เขาอ้ำๆ อึ้งๆ อยู่สักพัก ก่อนจะพยักหน้าเป็นคำตอบ

“ขอโทษที่ไม่ได้พูดถึงเรื่องนี้ให้ฟัง คือ... กูคิดว่ามันเร็วไปที่จะบอกมึงน่ะ” จ้านหน้าเสีย ท่าทีกระอักกระอ่วน “กูอาจใช้ความคิดตัวเองตัดสิน แต่มึงไม่ได้ชอบที่จะชีวิตแบบนั้นหรอก กูรู้สึกได้ เพราะงั้นกูถึงไม่อยากบอกเรื่องนี้ เผื่อว่าการสูญเสียความทรงจำจะทำให้มึงเริ่มต้นชีวิตใหม่จริงๆ สักที”

“นายไม่จำเป็นต้องขอโทษ ฉันรู้ว่าทุกอย่างที่นายทำก็เพื่อฉันทั้งนั้น” ผมมองเห็นความจริงใจในตาจ้าน จนนึกสงสัยว่าเมื่อก่อนเขาเคยมองผมแบบไหน รังเกียจกับสิ่งที่ผมเป็นบ้างหรือเปล่า “นายรับฉันได้ด้วยหรอ”

“ไม่ว่ามึงเป็นอะไร กูก็รับได้ทั้งนั้น” เขาตอบหลังจากผมถาม โดยไม่ต้องเสียเวลาคิด

“มันเกิดขึ้นตั้งแต่เมื่อไหร่ ทำไมฉันถึงเลือกทางเดินนี้”

“หลังจากพ่อทิ้งมึงไปมั้ง ตอนนั้นเราเพิ่งเรียนจบม.ปลายกันหมาดๆ กูกำลังง่วนอยู่กับมหา’ลัยที่จะสอบเข้า ส่วนมึงก็หายไปจากชีวิตกูเลย ไม่ได้ข่าวคราวอยู่หลายปี จนมาช่วงหลังนี่แหละที่เรามาเจอกันอีก... ถ้าเกิดย้อนเวลากลับไปได้กูจะพยายามตามหามึง อยู่ข้างๆ มึง จะห้ามไม่ให้มึงทำอะไรแบบนี้แน่นอน”

“ตอนรู้เรื่องนี้ ฉันพอจะเดาออกว่านายรู้สึกยังไง” ผมพูดจบก็นิ่งไป เอาแต่คิดว่าความทรงจำก่อนเมื่อก่อนผมควรทำให้ตัวเองจำได้หรือทิ้งมันไปให้หมดดี คิดมากถึงขั้นว่าถ้ากลับมาจำได้อีกครั้งผมยังจะเลือกใช้ชีวิตแบบไหน แล้วที่จ้านบอกว่าผมไม่ได้ชอบชีวิตแบบนี้จะแสดงว่าผมไม่มีทางเลือกรึเปล่า

สักพักจ้านก็สตาร์ทเครื่องและขับออกไปจากแหล่งสถานบันเทิง...

“ว่าแต่คนที่จับตัวมึงไปเป็นใคร แล้วลูเซียนพูดอะไรกับมึงบ้าง” ผมเข้าใจในความข้องใจของจ้าน แต่ถ้าจะให้เล่าละเอียดก็น่าลำบากใจเกินไป จริงอยู่ที่ผมไว้ใจเพื่อนคนนี้ แต่เรื่องระหว่างผมกับอีวานมันทำให้กลืนไม่เข้าคายไม่ออก สิ่งที่ทำได้คือเล่าในแบบฉบับที่ฟังง่ายและปกปิดเรื่องที่ควรเก็บเงียบเอาไว้

“พวกนั้นเป็นลูกน้องของอีวาน... เขาคงจะเป็นหนึ่งในคนที่มาติดพันฉันมั้ง เห็นบอกว่าฉันไม่ยอมไปตามนัดก็เลยให้คนมารับตัว พอคุยกันไปพักหนึ่งถึงได้รู้ว่าที่ผ่านมาฉันใช้ชีวิตน่าสมเพชแค่ไหน” ผมกังวลที่ต้องซ้อนความคับแค้นใจต่อหน้าคนฉลาดอย่างจ้าน ไม่รู้สกิลการปิดบังเรื่องบางอย่างของผมจะใช้ได้แค่ไหน “ตอนนั้นฉันสับสน ไม่รู้ว่ามันเป็นความจริงรึเปล่า พออีวานบอกว่าลูเซียนเป็นคนกลางที่ชักนำให้ฉันกับเขารู้จักกัน ฉันเลยตั้งใจว่าจะไปหาคำตอบกับลูเซียนด้วยตัวเอง เพราะตอนนั้นฉันไม่มั่นใจว่านายจะรู้เรื่องนี้ด้วยมั้ย แต่สุดท้าย... ความจริงมันก็คือความจริง”

“แล้วคนที่ก่อเรื่องมันรู้ได้ยังไงว่ามึงอยู่ที่โรงพยาบาล” ไปถามประเด็นอื่นแล้ว แสดงว่าจ้านไม่น่าจะรู้จักอีวาน และไม่รู้ว่าผมกับหมอนั่นมีข้อตกลงอะไรกัน

“ลูเซียนเป็นคนบอก”

“หึ ตามจากสัญญาณโทรศัพท์มึงสินะ” คำพูดของจ้านทำให้ผมแปลกใจ ก่อนจะนึกไปถึงตอนที่ผมหยิบมือถือขึ้นมาเปิดเครื่อง และไม่นานลูเซียนก็โทรเข้ามาทันที

อ่า... เข้าใจแล้ว!

“เพราะอย่างนี้ นายถึงรีบปิดเครื่องให้ฉันใช่มั้ย” ผมถามโพล่งออกไป “แล้วนายรู้ได้ยังไง”

“เพราะมึงไม่เคยปิดโทรศัพท์”

หา?

“ช่วงที่มึงเบื่อๆ จะชอบมาหากูที่คอนโด แต่รู้ทั้งรู้ว่าพวกไฮโซที่มาติดพันมันตามสัญญาณโทรศัพท์ได้ มึงก็ยังจะเปิดมือถือไว้ สุดท้ายเป็นไง แค่วันเดียวมึงก็ถูกรับกลับไปแล้ว กูเคยคิดว่ามึงคงตั้งใจให้เป็นแบบนั้นถึงไม่ถามว่าเพราะอะไร แต่ทุกครั้งที่มีคนโทรมาสร้างความรำคาญ โทรมาตื้อ โทรมาชวนไปไหนต่อไหน มึงก็ไม่เคยปิดโทรศัพท์ ขนาดแบตใกล้หมดมึงยังต้องรีบชาร์ตเลย” จ้านพูดไปขับรถไป กระทั่งถึงทางแยกไฟแดง เขาก็พูดต่อ “ไม่รู้ว่าคิดไปเองรึเปล่า แต่กูรู้สึกได้ว่ามึงไม่อยากปิดมัน”

“ที่นายปิดเครื่อง ไม่ใช่เพราะรู้ว่าลูเซียนจะโทรมาหรอกหรอ” จ้านพยักหน้าพร้อมกับหันมาจ้องหน้าผมตรงๆ

“กูเองก็เพิ่งรู้ว่ามันตามสัญญาณมือถือของมึงได้เหมือนกัน” ว่าจบก็ถอนหายใจเล็กน้อย “เอาจริงๆ กูนึกอยู่แล้วแหละว่าลูเซียนอาจรู้เรื่องที่มึงถูกพาตัวไป แต่ไม่อยากพลีพลามใส่ความมันโดยไม่มีหลักฐาน ไม่อย่างนั้นกูอาจจะโดนแจ้งความกลับได้”

“ทำไมถึงคิดว่าลูเซียนมาเกี่ยวด้วยล่ะ”

“ก็ทุกคนที่มึงคบค้าสมาคมด้วย แต่ละคนเกี่ยวข้องกับลูเซียนทั้งนั้น” ผมอ้าปากกว้าง ไม่คิดว่าวันนี้จะได้ฟังเรื่องราวชวนช็อกหลายๆ เรื่องพร้อมกัน

แล้วมันเรื่องอะไรผมถึงต้องไปยุ่งกับคนที่รู้จักกับลูเซียน

ความบังเอิญ หรือว่า... ตั้งใจ?

“นายช่วยเล่าเรื่องระหว่างฉันกับลูเซียนให้ฟังหน่อยสิ” ผมถามจ้านและรอฟังอย่างใจจดใจจ่อ

“กูไม่ค่อยรู้รายละเอียดเท่าไหร่ มึงเคยพูดให้ฟังแค่ว่ามันเป็นคนไต้หวันที่โตในไทย เปิดบริษัทเงินกู้เป็นธุรกิจหลัก รองลงมาก็เป็นเจ้าของไนต์คลับ สปอร์ตคลับ แต่เบื้องหลังเกี่ยวข้องธุรกิจมืดนับไม่ถ้วน... มึงว่าหมอนั่นเป็นคนร้ายกาจ ไม่มีหัวใจ มึงไม่ชอบหน้า เกลียดมันยังกับอะไรดี ส่วนจะรู้จักกันได้ยังไงกูไม่รู้เหมือนกัน”

คนอันตรายชัดๆ เจ้ารัสเซียฮ่องกงที่ชื่ออีวานนั่นก็ด้วย ไม่แปลกหรอกที่ผมจะไม่ชอบเขา เพราะขนาดคุยกันเมื่อกี้ผมไม่ถูกชะตาเลย หลังจากเหตุการณ์วันนี้ทำให้ผมคิดอะไรได้หลายอย่าง และสิ่งแรกที่ผมจะทำคือเลิกยุ่งกับลูเซียนซะ

“นายไม่ต้องห่วงนะ ฉันตัดสินใจแล้วว่าจะไม่ขอเจอหน้าพวกเขาอีก ทิ้งอดีตทุกอย่างให้หมดแล้วเริ่มต้นใหม่”

จ้านหันมายิ้มกับผม พร้อมกับเอ่ยขึ้น “กูจะช่วยมึงเอง”

พรุ่งนี้คือวันใหม่ของผม กรัณย์คนเก่าจะเป็นยังไงก็ช่าง ผมจะไม่ย้อนกลับไปทำในสิ่งที่ผิดอีกเด็ดขาด

‘ต่อให้นายเอาทุกอย่างมาแลก... ฉันก็ไม่มีทางนอนกับนาย’

อะไร? อยู่ๆ ก็นึกขึ้นมาเฉยเลย ถึงเกาหัวตัวเองยิกๆ ก็สลัดคำพูดนี้ออกจากหัวไม่ได้ ทำไมผมต้องอยากนอนกับลูเซียนกันนะ จ้านบอกเองว่าผมไม่ชอบหน้าเขา แล้วมีเหตุผลอะไรที่ต้องเสนอข้อต่อรองแบบนั้น

หรือว่า...

ผมจะเคย ‘ชอบ’ เขา!










เมื่อคืนจ้านนำอัลบั้มรูปสมัยเด็กของเรามาให้ผมดู ก่อนจะไปนั่งอยู่หน้าโต๊ะทำงานนานหลายชั่วโมง จนถึงตี 5 กว่าๆ เพิ่งได้นอน ผมคิดว่ามันน่าเป็นงานของอาจารย์ที่ต้องทำส่ง เนื่องจากหลายวันมานี้เขาไม่มีเวลาทำเพราะมัวแต่ไปเฝ้าผมที่โรงพยาบาล อีกอย่างเมื่อวานตอนผมถูกคนพาตัวไปเขาก็ยังไม่วายพยายามตามหาผม กว่าจะกลับมาก็ดึกดื่นเที่ยงคืน แถมเช้ามายังต้องตื่นแต่เช้าเพื่อไปมหาวิทยาลัยอีก

ก่อนออกจากคอนโดจ้านบอกว่าถ้าหิวก็โทรสั่งรูมเซอร์วิสเอา พร้อมทิ้งเงินไว้ให้ ผมอาบน้ำแต่งตัวเสร็จเวลาประมาณ 9 โมง เริ่มท้องร้องเพราะเมื่อคืนไม่ได้ทานอะไร จึงโทรสั่งข้าวตามเบอร์ที่จ้านทิ้งไว้

ไม่นานก็มีเสียงคนมาเคาะประตู คงเป็นรูมเซอร์วิส มาไวขนาดนี้ต้องชื่นชมหน่อยแล้ว

ผมเดินไปเปิดประตูพร้อมแบงค์ห้าร้อยในมือ แต่คนที่ปรากกฎตรงหน้ากลับไม่ได้ถืออะไรมา นอกเสียจากลูกสมุนอีกสองคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง และให้ตายเถอะ ผมร้องสบถทันทีที่เห็นหน้าผู้ชายหัวโล้นใส่แว่นดำ

ลูกน้องของอีวาน!

ผมรีบปิดประตูแบบสายฟ้าแลบ แต่ดันไม่ไวกว่าเจ้าคนพวกนี้ ฝั่งนั้นใช้แขนบึกๆ ขวางประตูไม่พอ ยังจะจับข้อมือผมไว้แน่น สุดท้ายเลยต้องจำยอมปล่อยให้เขาดึงตัวผมออกจากห้องง่ายๆ

“เชิญไปกับเราด้วย” ประโยคนี้อีกแล้ว สีหน้าเดิม คำพูดเดิม อีวานเห็นผมเป็นอะไรถึงได้สั่งให้คนมาพาตัวผมไปตามใจชอบ ใช้ลูกน้องมาทำสายตาดุกดดันกันแบบนี้ก็ได้หรอ

ผมยอมเดินตามหลังไปดีดีเพราะไม่อยากมีปัญหา ไว้หาลู่ทางหนีเอาดาบหน้า คราวนี้ไม่ยอมพลาดเป็นครั้งที่สองแน่ พอเดินมาถึงหน้าลิฟต์ ผมมองไปยังทางหนีไฟที่อยู่เยื้องไปเล็กน้อย แล้วรอเวลาให้คนพวกนี้เผลอ
 
“ลูกน้องฉันวิ่งไวกว่านายเยอะ อย่าทำให้เสียเวลาดีกว่า” บ้าชิบ! รู้ทันอีก

แต่... ใครจะไปฟังล่ะ!

ผมคิดได้อย่างนั้นก็วิ่งไปผลักประตูหนีไฟก่อนจะวิ่งลงบันไดอย่างสุดชีวิต กว่าจะถึงชั้นล่างเล่นเอาเหงื่อท่วมตัว คนพวกนั้นเล่นตามมาติดๆ นะ เหลือแค่เปิดประตูทางออกไปด้านนอกแล้วไปขอความช่วยเหลือจากคนแถวนี้

นั่นไงทางออก! ผมรีบเปิดประตู กำลังจะแหกปากร้อง

หากทว่า...

“จับไว้!”

ยังมีพวกมันอีกสองคนยืนรออยู่หน้าประตู ให้ตาย... ผมน่าจะเอะใจตั้งแต่พวกมันขึ้นไปบนคอนโดได้ทั้งๆ ที่มียามรักษาความปลอดภัย เจ้าของที่นี่คงไม่ปล่อยให้ใครขึ้นไปสุ่มสี่สุ่มห้าแน่ แต่ถ้าสามารถตบตาคนอื่นได้เนียนขนาดนี้ก็ต้องวางแผนกันมาเป็นอย่างดี ซึ่งนั่นสามารถบอกได้อย่างหนึ่งว่าผมคงไปไหนไม่รอดชัวร์ๆ

สุดท้ายพวกมันก็พาผมขึ้นรถแล้วขับผ่านทางด่วนมาจนถึง... สนามบิน!

ใช่แน่ๆ ตัวหนังสือบนป้ายชัดออกอย่างนั้น นี่ถึงขนาดลักพาตัวผมข้ามประเทศกันเลยหรอ


ไม่เอานะ ผมไม่ยอมเด็ดขาด!!










TBC

NEXT UPDATE 13/05/61 TIME 18:00
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 5:: ทิ้งอดีต] UPDATE 12/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 12-05-2018 19:04:18
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 5:: ทิ้งอดีต] UPDATE 12/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 12-05-2018 20:37:47
โอ้ๆๆๆๆใครก็ได้ช่วยที
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 5:: ทิ้งอดีต] UPDATE 12/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 12-05-2018 21:34:57
ชอบบบบบบบบ  สนุกมากแม้ งง เอ๋อๆ ไม่รู้เรื่องไปกับรันย์   :mew1: :mew1: :mew1:

รันย์ ไม่รู้สึกไรๆกันลูเซียน ก็ดีแล้ว หมั้นไส้ลู เหอะ   :z6: :z6: :z6:

แต่อีวานนี้ ท่าทางหลงรันย์หนักเลย
แยกกันก็ให้ลูกน้องมารับ เอ๊ย..จับตัวรันย์อีก
ถึงขนาดลักพาตัวข้ามประเทศเลยสินะ

ให้รู้สึกว่า ลู ต่อไปจะมาวอแว พัวพันกับรันย์ซะเอง
จ้านนี่ รักเพื่อน ดีมากๆ
ไม่คิดไรๆกับรันย์เลยหรือ  :hao3:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 5:: ทิ้งอดีต] UPDATE 12/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: La_Pomme ที่ 13-05-2018 19:34:27
บทที่ 6
::หนทางหลุดพ้น::





รถยนต์เคลื่อนไปจอดตรงเทอร์มินัลส่วนตัว ซึ่งเป็นตึกเล็กๆ ที่แยกตัวออกมาจากสนามบิน พอเดินออกมาจากรถก็มีพนักงานสาวสวยเดินเข้ามา เจ้าคนหัวโล้นคุยด้วยสักพักก่อนจะเชิญเราทั้งหมดเข้าไป ผมเดินตามหลังอย่างงงๆ จะถามก็ถูกสั่งให้เงียบเหมือนเดิม จนมาถึงลานกว้างๆ เห็นเครื่องบินเจ็ทจอดอยู่หนึ่งลำพร้อมด้วยเจ้าตัวปัญหาที่ยืนเก๊กให้ลมพัดผมปลิวยังกับพระเอกฮอลลีวูด

“คิดจะทำอะไร” ผมถามทันทีที่เดินมายืนประจันหน้ากัน ส่วนลูกน้องทุกคนพากันถอยห่างออกไป

“ฉันกำลังจะกลับฮ่องกง”

“แล้วพาผมมาที่นี่ทำไม”

“พูดให้เข้าใจก็คือ... ฉันอยากให้นายมาส่ง” เออ! เอากับเขาสิ เรื่องเยอะไม่จบไม่สิ้น เหตุผลที่ต้องพามาถึงที่นี่มันสำคัญแค่ไหนกันเชียว ถนัดเรื่องการก่อกวนคนมากนักรึไง เมื่อกี้ผมตกใจแทบตายแต่เขากลับพูดหน้าตาเฉยว่าอยากให้มาส่งเนี่ยนะ

“ก่อนหน้านี้ลูกน้องฉันรายงานว่านายวิ่งหนี” ว่าจบก็หัวเราะลั่น ให้ผมได้แต่ยืนงงว่าเขาเป็นบ้าอะไรขึ้นมาอีก “นายคือคนแรกเลยนะที่พยายามจะหนีหน้าฉันขนาดนี้”

งั้นผมก็คงเป็นคนแรกที่รู้ว่าหมอนี่มันชั่วช้ามาก...

“บัตรเครดิตคุณ ผมหักทิ้งไปแล้ว” หลังจากผมพูดจบ อีวานถอดสีหน้าเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นก็ค่อยๆ เผยรอยยิ้มตรงมุมปาก

“ฉันมีใบใหม่ให้” ว่าแล้วก็หยิบมันออกจากกระเป๋าเสื้อสูท พร้อมกับยัดมันใส่มือผมทันที

ล้อกันเล่นใช่มั้ยเนี่ย!

“ผมไม่ต้องการ” รีบยื่นคืนให้ แต่อีวานกลับปฏิเสธและขมวดคิ้วใส่ท่าเดียว “ช่วยรับไปด้วย”

“เผื่อนายเปลี่ยนใจ”

“ผมไม่...”

“เอาล่ะ! ถึงเวลาล่ำลากันแล้ว” จู่ๆ อีวานก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ผม ไม่ได้เบิกตาดูเลยว่าตรงนี้ไม่ได้มีแค่ผมกับเขายืนอยู่ ถึงพวกลูกน้องกับแอร์สาวสวยจะไม่ได้ยินที่เราพูดแต่ก็มีตามองเห็นนะ “ฉันไม่อยู่หลายอาทิตย์ นายมีอะไรอยากพูดกับฉันก่อนไปมั้ย”

ต้องยอมรับว่าก่อนหน้านี้ผมทั้งกลัวทั้งรังเกียจผู้ชายคนนี้ ขอเพียงต้องการอะไรเขาก็หาทางทำให้เป็นดังหวัง เขาจะบีบเค้น เอาชนะ หรือบังคับให้ผมทำอะไรก็ได้ ต่อให้อ้อนวอนก็คงไร้ประโยชน์ สู้ตาต่อตากันไปให้รู้แล้วรู้รอดเลยดีกว่า ชีวิตในตอนนี้ก็เหมือนเกิดใหม่อยู่แล้ว จะตายไปตอนนี้หรือพรุ่งนี้ก็ค่าเท่ากัน

เอาเถอะ ถ้าเขาอยากให้พูดจริงๆ ผมก็มีบางคำที่อยากจะบอก...

“ไป-ตาย-ซะ”

ในที่สุดก็ได้พูดคำนี้ ไม่รู้เหมือนกันว่าผมไปเอาความกล้ามาจากไหน ในใจรู้สึกโกรธมาก คิดว่าตายเป็นตายทั้งที่กลัวจนมือไม้สั่น ผมอยากให้อีวานจุกซะบ้าง แต่กลับโดนแสยะยิ้มใส่เหมือนไม่เดือดเนื้อร้อนใจอะไรเฉยเลย

“ตามคติคนไทย ยิ่งแช่งยิ่งตายยากใช่มั้ย ขอบใจนะ” เล่นซะพูดอะไรไม่ออก ผมพยายามนิ่ง ยืนมองสีหน้ายียวนราวกับกำลังประกาศชัยชนะให้ผมอารมณ์เสีย

แต่มันยังไม่จบแค่นี้หรอก

“ก็อย่างที่มีคนเคยกล่าวไว้... ว่าคนดีมักตายเร็วแต่คนเลวจะอายุยืน” ผมพูดโดยไม่หลบตา

หลังจากฟื้นขึ้นมาผมก็รู้ว่าในชีวิตมีคนไม่ดีพัวพันอยู่รอบตัว และเหตุการณ์ร้ายๆ ที่เกิดขึ้นก็ทำให้ผมอดคิดไม่ได้ว่าเมื่อก่อนผมเผชิญกับมันได้ยังไง แรกเริ่มผมอาจหวาดระแวงไปซะทุกอย่างเพราะในใจรู้สึกกลัว ได้แต่คิดว่าตัวเองต้องอ่อนแอแน่ๆ และใช่ ผมอาจอ่อนแอจริงๆ แต่จะไม่ยอมแสดงให้คนพวกนี้เห็น ที่ผมพูดไปเมื่อกี้ใช้การตัดสินใจล้วนๆ ถ้าเขาไม่พอใจอยากจะต่อยก็เชิญ

คือ... ผมเตรียมเจ็บตัวแล้วนะ แต่เจ้าหมอนี่กลับดึงตัวผมเข้าไปใกล้จนจมูกแทบจะชนกัน

“แย่ล่ะ ฉันชักไม่อยากกลับแล้วสิ”

ไม่พูดเปล่า อีวานยังส่งสายตาประกายซะจนน่าขนลุก เดือดร้อนให้ผมต้องจัดหมัดต่อยไปตรงอกของเขาเพื่อเป็นการเอาคืน แต่แทนที่เขาจะแสดงอาการเจ็บให้เห็นสักหน่อยกลับเป็นผมที่มือชาซะเอง ไม่จบแค่นั้น เจ้าฝรั่งบ้ายังยิ้มแปร้น เปลี่ยนเป็นฝ่ายยื่นหน้าเข้ามาหาผมเอง แถมยังจิ้มหน้าตัวเองคล้ายต้องการส่งซิกให้อะไรบางอย่าง

“อะไร?” ผมถาม

“จูบลาไง”

“ไม่มีทาง”

“นายจะทำเองหรือยกเป็นหน้าที่ฉัน”

“คุณนี่มัน...” จังหวะที่ผมกำลังจะหมดความอดทน อีวานก็พุ่งหน้าเข้ามาอีก แต่ยังดีที่ผมไหวตัวผลักอกเขาได้ทันการณ์ “อย่าทำอะไรบ้าๆ นะ”

“บอกไว้ก่อน” อีวานจับข้อมือผมแน่น “ฉันเป็นคนหวงของมาก ใครมายุ่งก็บอกไปเลยว่านายเป็นคนของฉัน”

“ผมไม่ใช่คนของคุณ”

“ใช่แน่! ตราบใดที่ฉันอยากให้ใช่ นายก็ต้องเป็น” แววตาฉายแววจริงจัง บ่งบอกถึงความหนักแน่น ผมกลืนน้ำลายลงคอพร้อมกับเม้มปากหนัก

“คิดว่าผมจะอยู่รอให้คุณมาคุกคามหรอ”

“ถ้าหวั่นใจเรื่องนั้นฉันคงพานายไปด้วยแล้ว แต่ที่ไม่ทำเพราะนายไม่มีทางหนีฉันพ้น... ไม่เชื่อจะลองดูก็ได้”

จังหวะที่อีวานเลื่อนใบหน้าเข้ามาใกล้อีก ผมต้องรีบเบือนหน้าไปอีกทาง พยายามเอนหัวให้ออกห่างแต่เจ้าของมือหนากลับยึดร่างผมไว้ด้วยการวางผมไว้ตรงต้นแขน ก่อนจะเอ่ยพูดด้วยประโยคสั้นๆ

“ไว้เจอกัน...”

กลิ่นน้ำหอมของเขายังแรงฉุนเหมือนเดิม มันติดจมูกจนผมรู้สึกไม่ดี กลัวว่าถ้าได้กลิ่นแบบนี้อีกคงต้องหลอนแน่ๆ ซึ่งหลังจากที่เขาเดินขึ้นเครื่องบินไปพร้อมกับผู้ชายหัวโล้น ลูกน้องคนอื่นๆ ก็ถูกสั่งให้ไปส่งผมเช่นเคย

บัตรเครดิตใบใหม่ที่ถืออยู่ในมือกับคำพูดทิ้งท้ายทำให้ผมรู้สึกจิตตก ไม่รู้จะสลัดปัญหานี้ยังไงดี อีวานได้สิ่งที่ต้องการแล้วก็ควรปล่อยผมไปสิ ไหนลูเซียนบอกว่าอีวานชอบเปลี่ยนคู่นอน ไม่เคยจมปรักกับใครไงล่ะ แล้วทีนี้ผมจะทำยังไง ปรึกษาจ้านก็ไม่ได้ ทุกวันนี้เขาทำเพื่อผมมากพอแล้ว ถ้าลากเขาเข้ามาเดือดร้อนด้วยผมคงรู้สึกผิดไปตลอดแน่

จริงสิ! ในเมื่อห้ามให้อีวานคุกคามผมไม่ได้ ก็ต้องทำให้เขาเลิกยุ่งกับผมไปเอง

“ให้ผมไปส่งที่คอนโดเลยมั้ยครับ” เสียงของลูกน้องอีวานทำให้ผมหลุดจากภวังค์ความคิด เผลอนึกอะไรไปเรื่อยจนไม่รู้ตัวว่ามานั่งอยู่ในรถตั้งแต่เมื่อไหร่

โอเค ถ้าถามอย่างนั้นผมก็มีคำตอบในใจแล้ว!

“ผมจะไปหาลูเซียน”













 

โทรศัพท์ของผมถูกจ้านปิดเครื่องและเอาไปเก็บไว้ไหนไม่รู้ ผมเลยโทรบอกจ้านไม่ได้ว่าตอนนี้อยู่ข้างนอก สุดท้ายจึงตั้งใจว่าจะเสร็จเรื่องให้ทันก่อนจ้านกลับคอนโด ระหว่างทางผมหวนคิดไปถึงคำปฏิญาณว่าจะไม่ขอเจอหน้าอีวานกับลูเซียนอีก แต่จนรอดจนรอดก็มีเหตุผลให้ผมต้องผิดคำพูดตัวเอง จริงอยู่ที่อีวานเป็นฝ่ายลากตัวผมไปหา แต่กับลูเซียน ผมดันมาหาเขาถึงที่ซะนี่

ตอนนี้เวลาใกล้เที่ยง รถยนต์มาจอดอยู่หน้าบริษัทแห่งหนึ่ง เป็นอาคารสี่ชั้น ใหญ่โตกว้างขวาง ดีไซน์เข้ากับยุคสมัย จุดเด่นอยู่ที่ชั้นบนสุดทำเหมือนห้องโถงทรงกลมติดกระจกใสรอบด้านดูคล้ายพวกหอชมวิวอะไรทำนองนั้น คนขับรถบอกผมเพียงว่าที่นี่คือบริษัท CX Enterprise ของลูเซียน

ผมมองหาจุดประชาสัมพันธ์ก่อนจะเข้าไปแจ้งความต้องการ คำตอบที่ได้คือลูเซียนกำลังประชุมอยู่ สักประมาณเที่ยงคงเสร็จ แถมยังบอกว่าปกติแล้วเขาจะแวะเข้ามาบริษัทอาทิตย์ละ 3 ครั้ง ผมโชคดีที่เลือกมาหาวันนี้ พนักงานสาวพูดกับผมอย่างนอบน้อมและดูเกรงอกเกรงใจ จากนั้นก็เชิญให้ผมนั่งรอก่อนเพราะถ้าไม่ได้นัดไว้ลูเซียนจะไม่อนุญาตให้พบ

ผ่านไปประมาณครึ่งชั่วโมงก็มีชายคนหนึ่งเดินมาหยุดยืนตรงที่ผมนั่งอยู่ พอเงยหน้าขึ้นผมเห็นเป็นคนสวมแว่นที่อยู่กับลูเซียนในไนต์คลับวันนั้น

“เชิญครับ” เขาเอ่ยกับผมด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ผมเดินตามขึ้นลิฟต์ไปถึงชั้นบน ถึงรู้ว่าห้องโถงทรงกลมขนาดใหญ่ที่อยู่บนสุดคือห้องทำงานของลูเซียน หลังจากเปิดประตูเข้าไปด้านใน ผมเห็นลูเซียนนั่งอ่านเอกสารพร้อมกับตวัดปากกาเซ็นลงไป ท่าทางคร่ำเคร่ง จริงจัง สมกับมาดนักธุรกิจ กระทั่งรู้ตัวว่ามีว่ามีคนเดินเข้ามาเขาก็เงยหน้าขึ้น ส่งสัญญาณให้ชายใส่แว่นออกไป จากนั้นก็มองมาทางผมพร้อมท่าทีเมินเฉย

“สิบนาที” เขากล่าวสั้นๆ ถึงเวลาจะน้อยไปหน่อย แต่ก็พอให้ผมได้พูดในสิ่งที่ตั้งใจไว้

“ผมไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับผู้ชายคนนั้นอีก” ผมนำบัตรเครดิตใบใหม่ที่เพิ่งได้มาไปวางไว้บนโต๊ะของลูเซียน “ฝากคืนเขาให้ผมด้วย”

“ใคร?”

“อีวาน” คำตอบของผมทำให้ลูเซียนขมวดคิ้วเล็กน้อย

“อีวานรับเลี้ยงนาย?”

“ผมไม่ต้องการ...”

“ไปบอกเขาเอง”

พูดยังไม่ทันจบก็โดนเขาตัดบทซะก่อน ผมรู้ว่ามารบกวนเวลางาน แต่ถ้าจะเอาแต่จดจ่ออยู่กับกองเอกสาร เขาก็ไม่ควรเรียกผมให้เข้ามาพบแต่แรก

“คิดว่าอยู่ดีดีผมก็เอาบัตรเครดิตของเขามาวางต่อหน้าคุณหรอครับ... ผมบอกแล้ว แต่เขาไม่ยอม”

“ทำอะไรให้มันสมกับเป็นนายหน่อยสิ ตัดขาดกับฉันแล้วก็ควรอยู่ส่วนของนาย ไม่ใช่หาเรื่องวุ่นวายให้ฉันแบบนี้” ลูเซียนจ้องผมเขม็ง “นายจะมีวิธีแก้ปัญหาสักกี่อย่างกัน ไม่ชอบใจเขาก็ไปหาคนใหม่เหมือนที่เคยทำมาตลอด มีแบล็คดีก็ช่วยคุ้มครองนายได้เอง”

จุดประสงค์ที่ผมมาหาลูเซียนวันนี้ เพราะอยากรู้ว่าเขาจะพูดยังไงหากผมพยายามพูดถึงปัญหาให้ฟัง ดูเหมือนว่าเรื่องทำนองนี้จะเคยเกิดขึ้นกับผมมาบ้าง และจากที่พูดมามันก็พอเป็นไปได้อยู่ แต่...

“ผมไม่ทำแบบนั้นอีกแล้ว” คนตรงหน้าหรี่ตามองผม คล้ายข้องใจกับสิ่งที่ได้ยิน

“พูดใหม่ซิ”

“เอาตัวเข้าแลกเพื่อจะได้ใช้ชีวิตสุขสบาย ผมไม่ทำอีกแล้ว”

“รู้ใช่มั้ยว่าฉันไม่สนลูกเล่นหรือแผนการโง่ๆ ของนาย”

“ผมพูดจริง!”

“ไอ้ความหยิ่งยโสรักสบายในตัวมันไม่ได้แก้กันง่ายๆ ที่ผ่านมานายพยายามทำให้ตัวเองมีทุกอย่างเพราะไม่อยากเป็นคุณชายตกอับให้ใครต่อใครทับถม ถ้าหลงเชื่อว่านายสามารถหันหลังให้กับเส้นทางนี้ได้จริง ฉันคงเพี้ยนไปแล้ว”

ผมดูแย่ในสายตาเขาขนาดนั้นเชียว มันน่าแปลกนะที่คนพูดทำนองนี้ดันเป็นคนที่ชีวิตผมเหมือนจะวนเวียนอยู่ด้วย ความจริงผมก็อยากหาคำตอบว่าเรามารู้จักกันได้ยังไง ทำไมผมต้องเกี่ยวข้องกับชายคนนี้ ทั้งๆ ที่เขาเป็นคนใจดำแถมยังปากคอเราะร้าย แต่ช่างเถอะ ถึงรู้ไปก็ไม่สำคัญ เพราะตอนนี้เขาก็เป็นคนแปลกหน้าสำหรับผมอยู่แล้ว ตั้งใจกับเรื่องที่ว่าจะทำให้อีวานเลิกวุ่นวายกับผมเป็นพอ

“คุณบอกว่าผมต้องมีแบล็คใช่มั้ยครับ” ถามไปแค่นั้น คำพูดประโยคหนึ่งของลูเซียนก็โผล่เข้ามาในความคิด

‘ต่อให้นายเอาทุกอย่างมาแลก... ฉันก็จะไม่นอนกับนาย’

“ถ้าผมอยากเป็นคนของคุณ ต้องทำยังไง”

จริงอยู่ที่ลูเซียนเป็นต้นเหตุให้ผมโดนอีวานย่ำยี แถมพวกเขายังทำธุรกิจร่วมกันอีก ผมอาจจะลำบากใจในเรื่องนั้น แต่การที่ผมเคยลงทุนเอาตัวเองเข้าแลกกับสัญญาทางธุรกิจเพื่อลูเซียน ก็แสดงว่าก่อนหน้านี้ความสัมพันธ์ระหว่างเราไม่ธรรมดา ขนาดผมยังสงสัยว่าตัวเองอาจมีใจให้ลูเซียน อีวานเองก็น่าจะคิดแบบเดียวกันได้ไม่ยาก ถ้าปล่อยให้เข้าใจว่าผมเป็นของคนอื่น เดี๋ยวเขาก็ไปหาเหยื่อรายใหม่เอง ที่สำคัญคือลูเซียนมีอำนาจพอจะคุ้มกะลาหัวผมได้ ในเมื่อเจ้าตัวพูดเองว่าจะไม่นอนกับผม นั่นก็หมายความว่าผมคงไม่ได้เป็นคนของเขาในฐานะคู่ขาแน่ๆ

“จะให้ฉันคุ้มครองนาย?” เขาเข้าใจในสิ่งที่ผมต้องการ

“คุณ... คุณเป็นคนทำให้เขาตามตัวผมเจอ” พอเห็นสีหน้าขึงขังของคนตรงหน้าแล้ว ลิ้นผมรัวไปหมด จังหวะนี้ผมพูดตะกุกตะกักมาก “คุณบอกให้ผมรับผิดชอบกับสิ่งที่พูด ผมก็ทำแล้ว คราวนี้คุณต้องเป็นฝ่ายช่วยผมบ้าง”

จริงอยู่ที่ผมทั้งโกรธเกลียดและไม่ไว้ใจเขา แต่ถ้าให้ตกเป็นของเล่นของอีวาน... ผมยอมเสี่ยงกับลูเซียนดีกว่า 

“ฉันคงหูฝาดไป” ลูเซียนเอนตัวพิงพนักเก้าอี้ เหมือนไม่ใส่ใจกับสิ่งที่ผมพูด

“แค่ไม่ใช่เอาตัวเข้าแลก คุณต้องการให้ทำอะไร ผมทำได้ทั้งนั้น...”

ปึง!!

“หยุดพูด!” เขาตบโต๊ะอย่างเกรี้ยวกราด ท่าทางน่ากลัวจนผมผงะไปเลย

“แต่ว่า...”

“ออกไป” ลูเซียนเลื่อนบัตรเครดิตไปเกือบถึงริมขอบโต๊ะ ผมมองแววตาเขาแปบเดียวก็ต้องก้มหน้าเพราะไม่อาจสู้แรงกดดันขนาดนั้นได้ ตัดสินใจเดินไปรับมันมาเก็บไว้ในกระเป๋ากางเกงก่อนจะหันหลังกลับ

ระหว่างเดินไปที่ประตู ผมคิดอะไรมากมาย แต่สุดท้ายก็บอกตัวเองได้แค่ว่าที่ผ่านมามันคืออดีตสำหรับผม ทั้งที่ความจริงมันคือสิ่งที่ผมไม่อาจหลีกหนีได้ต่างหาก ไม่ว่าจะเปลี่ยนยังไงก็ยังถูกตอกย้ำให้ฝังลึกอยู่ดี ผมรับตัวเองไม่ได้และไม่อาจทนที่จะเป็นเหมือนแต่ก่อนได้จริงๆ

“ผมไม่อยากกลับไปเป็นเหมือนที่เคยเป็น ผมก็แค่... อยากจะเลิก” เอ่ยก่อนจะวางมือไว้บนที่จับประตู และจู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนน้ำตาจะไหล ตัวเองน่าสมเพชแค่ไหนผมรู้ซึ้งก็ตอนนี้

จังหวะที่ผมกำลังเอื้อมมือไปวางบนที่จับประตู เสียงเข้มของคนด้านหลังก็ดังขึ้น

“เดี๋ยว...”

ผมชะงักตกใจ รีบหันไปมองต้นเสียงก็เห็นลูเซียนกำลังลุกจากเก้าอี้ และก้าวเท้ายาวๆ มาหยุดยืนในระยะที่จากผมเพียงครึ่งเมตร นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มจ้องผมพักใหญ่ คล้ายครุ่นคิดอะไรบางอย่างก่อนจะพูดมันออกมาในที่สุด

“แน่ใจนะว่ายอมทำทุกอย่างจริงๆ”











 

**

หลังจากเครื่องบินเจ็ทแลนดิ้งที่ฮ่องกงอย่างปลอดภัย อีวานกับเหย้าเหวินผู้เป็นบอดี้การ์ดคนสนิทเดินเข้าสู่เลานจ์ไฮโซสุดหรูของสนามบิน ความโดดเด่นของเขาทำให้คนเดินผ่านต้องเหลียวหลังมอง ซึ่งอีวานเองก็ตอบรับความสนใจเหล่านั้นด้วยการส่งยิ้มให้ และในขณะที่กำลังผ่านตม. เขาก็หันไปถามบางอย่างกับเหย้าเหวิน

“เจ้าตัวเปี๊ยกกลับถึงที่พักเรียบร้อยแล้วใช่มั้ย” ก่อนหน้านี้อีวานกำชับเหย้าเหวินก่อนขึ้นบินว่าหลังจากถึงฮ่องกงแล้วให้โทรเช็คกับคนที่ไปส่งกรัณย์ทันที ขณะนั้นชายหัวโล้นพยักหน้าเป็นคำตอบก่อนจะมองเจ้านายด้วยสายตาแปลกๆ

“มีอะไร” อีวานสงสัย

“ผมไม่เคยเห็นท่านใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ มาก่อน” ผู้เป็นนายยิ้มมุมปากพร้อมกับใช้พาสปอร์ตในมือฟาดหัวโล้นๆ ของคนสนิทไปหนึ่งที ที่เป็นเช่นนั้นเพราะเหย้าเหวินอายุน้อยกว่าอีวานสองปี ซ้ำยังเป็นคนไม่ถือตัวอยู่แล้ว

“เขาให้ไปส่งที่ไหน”

“บริษัทของลูเซียนครับ” ได้ยินดังนั้น รอยยิ้มเล็กๆ ก็เผยขึ้นบนริมฝีปากของอีวาน

“เจ้าตัวเปี๊ยกดูตกใจมากตอนที่รู้ว่าลูเซียนบอกเรื่องเขากับฉัน พอออกจากบ้านก็ไปที่คลับนั่นทันที แถมวันนี้ก็ยังไปหาเขาอีก” อีวานฉุกคิด “ยอมนอนกับฉันเพื่อข้อแลกเปลี่ยน ขนาดเสนอให้อยู่ข้างกายแล้ว เจ้าตัวเปี๊ยกก็ยังจะคลานกลับไปหาลูเซียน... ถึงฟันธงไม่ได้ว่าเป็นเพราะอะไร แต่เห็นทีฉันจะเจออุปสรรคใหญ่เข้าให้แล้ว”

“ให้ผมสั่งคนไปสืบมั้ยครับ” เหย้าเหวินเสนอตัว

“ยังก่อน...” ผู้เป็นนายยกมือห้าม พลางหันไปยิ้มให้ “เดี๋ยวนายจะหาว่าฉันใส่ใจเรื่องเล็กๆ น้อยๆ อีก”



**















TBC

NEXT UPLDATE 14/05/61 TIME 19:00
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 6:: หนทางหลุดพ้น] UPDATE 13/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 13-05-2018 21:29:05
ยังไงกันแน่ อีวานชอบนายเอกเรา?
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 6:: หนทางหลุดพ้น] UPDATE 13/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 13-05-2018 22:38:40
ไม่เอา3pนะ ไม่ชอบลูเซียนเย็นชาจนเป็นน้ำแข็งลุ้นอีวานถึงจะเลวไปหน่อยแต่ดูจะชอบนายเอกจริง
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 6:: หนทางหลุดพ้น] UPDATE 13/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 13-05-2018 23:49:46
แอบชอบลูเซียน ดูน่าหมั่นไส้ดี 555 เชียร์เซียนละกันน
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 6:: หนทางหลุดพ้น] UPDATE 13/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: La_Pomme ที่ 14-05-2018 19:38:57
บทที่ 7
::จุดเริ่มต้น::





**

3 สัปดาห์ก่อน...

ลูเซียนเปิดห้องวีไอพีของไนต์คลับเพื่อต้อนรับนักธุรกิจชาวรัสเซีย-ฮ่องกงนายหนึ่งที่มีชื่อว่า ‘อีวาน’ พวกเขาเคยเจอกันที่ฮ่องกงในฐานะผู้ร่วมงานเปิดตัวธุรกิจใหม่ของนาย ‘เฉินเปียว’ มหาเศรษฐีวัยเจ็ดสิบห้าปีที่ประสบความสำเร็จเป็นนักลุงทุนรายใหญ่และทรงอิทธิพลที่สุดในมาเก๊า ขณะนั้นลูเซียนร่วมเจรจาธุรกิจเพื่อนำเข้าสินค้าของบริษัทรายใหญ่ผ่านทางฮ่องกง เขาได้ความช่วยเหลือจากเฉินเปียวมาตลอด จึงอยากแสดงความมีน้ำใจด้วยการเดินทางไปร่วมงานในครั้งนั้น

เฉินเปียวแนะนำลูเซียนให้รู้จักกับอีวาน เจ้าพ่ออสังหาฯ และนักลงทุนตัวฉกาจ บทบาททางธุรกิจของชายคนนี้เป็นที่พูดถึงในฐานะของมาเฟียหนุ่มเจ้าเล่ห์ เทพแห่งการเล่นพลิกแพลง ทำอะไรเฉียบขาดและไร้ข้อบกพร่อง ลูเซียนเคยได้ยินแค่ชื่อเพิ่งมีโอกาสเจอ ระหว่างคุยกันในงาน พวกเขาต่างรู้ถึงความสามารถของอีกฝ่าย กระทั่งลูเซียนพูดเข้าโปรเจคที่ตั้งใจจะทำในฮ่องกง อีวานก็ทำท่าเหมือนจะสนใจเช่นกัน

มาถึงวันนี้ ลูเซียนถือโอกาสที่อีวานมาไทยเพื่อพูดคุยธุรกิจกันต่อ หลังจากได้คุยกันหลายต่อหลายครั้งแล้วแต่ยังไม่ได้รับคำตอบเสียที ความจริงลูเซียนจะล้มเลิกก็ได้ แต่ที่ยังคุยกันอยู่เรื่อยๆ เป็นเพราะเขาไม่ใช่คนทำอะไรครึ่งๆ กลางๆ  ซึ่งถ้าการคุยกันในไนต์คลับคืนนี้ไม่มีความคืบหน้าอะไร เขาก็จะหาผู้ร่วมลงทุนรายใหม่ แม้ในใจจะรู้สึกเสียดายแหล่งทำเงินที่อยู่ในความดูแลของอีวานก็ตาม

ระหว่างคุยงานกัน อยู่ๆ ก็มีเด็กหนุ่มเดินเข้ามาในห้องวีไอพีพร้อมอาการเมามาย พล่ามอะไรเรื่อยเปื่อยจนต้องให้คนพาออกไป แต่ทันทีที่เด็กคนนั้นไปนั่งซบอกอีวานและชวนชนแก้ว คำสั่งของเขาเลยเป็นอันต้องล้มเลิกไป

‘รัณย์ นายคิดจะทำอะไร’ ลูเซียนนึกสงสัยในใจ

เด็กหนุ่มอ้อล้อกับอีวานทั้งที่เพิ่งรู้จักกันไม่กี่นาที และมาเฟียฮ่องกงก็ดูจะชอบอกชอบใจจนลืมไปแล้วว่ากำลังคุยเรื่องธุรกิจค้างอยู่ เขาปล่อยให้ลูเซียนต้องนั่งฟังคำพูดแทะโลมของกรัณย์ กับอะไรต่อมิอะไรที่เด็กหนุ่มหน้าตาดีคนหนึ่งจะหว่านเสน่ห์อีกฝ่ายได้ การกระทำดูมีความพยายามและบ่งบอกชัดเจนว่ามีอะไรแอบแฝง

และจากภาพที่เห็น ลูเซียนชักจะเชื่อเรื่องข่าวลือเกี่ยวกับรสนิยมทางเพศของอีวานแล้ว

ลูเซียนขอปลีกตัวออกมาเพื่อให้อีวานใช้เวลากับกรัณย์ตามสบาย แต่ไม่นานนักเด็กคนนั้นก็เดินเซออกมา เขายืนมองกรัณย์เดินไปหาเพื่อนที่โต๊ะจากห้องกระจกชั้นสอง ก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องวีไอพีเพื่อคุยธุระต่อ

หากทว่า...

“คนเมื่อกี้ดูน่าสนใจดีนะครับ รู้สึกว่าคุณกับเขาจะรู้จักกันด้วย รบกวนติดต่อให้ผมได้มั้ยครับ”

หลังจากเปิดประเด็นนี้มา เรื่องแผนธุรกิจก็ต้องถูกพับเก็บอย่างเรียบร้อย ลูเซียนข่มความโกรธไว้เต็มที่ คิดว่าถ้ามาเฟียหนุ่มคนนี้กำลังลองเชิงเขาอยู่ก็จะลองยอมให้ปั่นหัวสักตั้ง ตอนนี้เขาอายุเข้า 38 แล้ว จะไหลไปตามน้ำให้คนที่เด็กกว่าสักหน่อยคงไม่เป็นไร อยากรู้เหมือนกันว่านายอีวานคนนี้จะใช้ลูกเล่นแพรวพราวไปถึงเมื่อไหร่

วันต่อมาลูเซียนเรียกกรัณย์เข้าไปพบที่บริษัทเพื่อพูดถึงความต้องการของอีวานให้ฟัง

“เขาสนใจผม?” กรัณย์ยิ้มกว้าง

“ไปถามเขาสิ”

“พูดเหมือนผมจะสื่อสารกับเขาได้” เด็กหนุ่มพูด อ่าน เขียนภาษาอังกฤษได้เพียงน้อยนิด ความรู้อาจไม่ต่างกับเด็กประถมด้วยซ้ำ “รู้สึกว่าคืนนั้นผมพูดจาทะลึ่งตึงตังไปเยอะเลย เขาคงฟังภาษาไทยไม่ออกใช่มั้ย”

เท่าที่จำได้ลางๆ เหมือนว่าเขาจะชวนชาวต่างชาติคนนั้นคุยอยู่ฝ่ายเดียว

“อีวานเป็นลูกครึ่งรัสเซียฮ่องกง พูดได้ 5 ภาษา หนึ่งในนั้นคือภาษาไทย... เขาพูดได้คล่องเพราะเริ่มต้นลงทุนกับธุรกิจรีสอร์ทในไทยเมื่อสิบปีก่อน”

“ฟังดูดีจัง หน้าตาระดับพระเอก ส่วนสูงเทียบเท่านายแบบ ท่าทางรวยเอาการ... นี่มันเฟอร์เฟคชัดๆ” พูดถึงตรงนี้ กรัณย์ก็ยกแก้วกาแฟขึ้นมาจิบและยังคงเผยรอยยิ้มกรุ้มกริ่มตลอดเวลา จริงอยู่ที่อีวานเพียบพร้อมไปซะทุกอย่าง แต่ลูเซียนไม่ได้เห็นถึงความพิเศษ เพราะเบื้องหลังการลงทุนของหนุ่มมาเฟียคนนั้นก็คือการฟอกเงินสกปรก

อีวานมีแหล่งเงินมหาศาลจากการบริหารอาคารพาณิชย์และโรงแรมหลายแห่งที่แทคโอเวอร์มาได้ เขาเปลี่ยนรูปแบบการบริหารงานให้กลายเป็นที่สนใจของนักลงทุน อีกทั้งยังหนุนนักการเมืองเพื่อให้ได้รับจัดซื้อจัดจ้างโครงการของหน่วยงานรัฐ มันจึงไม่แปลกที่เขาจะสามารถไต่ขึ้นมาเป็นเจ้าพ่ออสังหาฯ ได้อย่างรวดเร็ว เม็ดเงินที่อีวานได้มาอย่างผิดกฎหมายมันมากมายจนเสี่ยงกับการถูกตรวจสอบ เขาจึงต้องขยายฐานฟอกเงินมาในไทยเช่นปัจจุบัน

“เรื่องที่ฉันจะพูดด้วยมีเท่านี้” ลูเซียนทำท่าจะลุกเพื่อไปนั่งยังโต๊ะทำงาน

“ได้ยินว่าคุณกำลังตกลงธุรกิจกับเขา แต่อีกฝ่ายยังไม่มีทีท่าว่าจะเซ็นสัญญาด้วย” กรัณย์พูดต่อ คำพูดนั้นทำให้คนตัวสูงหยุดชะงัก แล้วหันมาจ้องชายหนุ่มอย่างเอาเรื่อง “ดูท่าเป็นเรื่องจริงสินะ คุณถึงได้มาหาผมด้วยตัวเองทันทีที่เขาบอกว่าสนใจอะไร”

คำถามแรกที่อยู่ในหัวคือกรัณย์รู้ได้ยังไง หรือจะเป็นช่วงที่เขาขอตัวออกมาข้างนอก

“อยากให้ผมช่วยมั้ยล่ะ”

“ฉันไม่ยอมให้นายทำพังแน่” ลูเซียนเค้นเสียงหนัก

“แล้วถ้าผมทำให้เขาตกลงร่วมธุรกิจกับคุณได้จริงๆ จะว่ายังไง”

“อีวานไม่ใช่คนที่นายจะรับมือได้”

ทุกคนอาจเห็นอีวานเป็นเพียงนักธุรกิจไฟแรง เติบโตมาในฐานะลูกหลานตระกูลเก่าแก่ที่เกี่ยวข้องกับราชวงศ์ของรัสเซีย และประสบความสำเร็จเป็นนักลงทุนระดับหมื่นล้าน ทว่าความจริงของสาเหตุที่ทำให้ตระกูลตกต่ำลงในยุคก่อน จนต่อมาทายาทรุ่นหลังสามารถทำให้มันกลับมายิ่งใหญ่อีกครั้งได้ ย่อมมีประวัติเบื้องลึกเบื้องหลังทั้งนั้น

“อยู่ๆ ก็ทำตัวใจดีขึ้นมา... ทำไม? หวงผมหรอ”

พูดไปก็เหมือนไร้ประโยชน์ ลูเซียนนิ่งไปชั่วครู่ก่อนจะเอ่ยกับเด็กหนุ่ม

“ที่เสนอตัวเองขนาดนี้ ต้องการอะไร”

“ถ้าอีวานยอมเซ็นสัญญา...” กรัณย์ยิ้มอย่างมีเลศนัย “คุณต้องนอนกับผม”



………………นอน………………..

…….กับผม........



ลูเซียนยุติการนึกย้อนไปยังสามสัปดาห์ก่อนเพียงเท่านั้น มันแค่ช่วงเวลาเล็กน้อยที่อยู่ในเศษเสี้ยวความทรงจำ และเกิดขึ้นเพียงเพราะเด็กหนุ่มที่เดินเข้ามาในห้องทำงาน พร้อมเสนอให้ตัวเองเป็นคนของเขาเพื่อป้องกันตัวจากอีวาน กรัณย์ย้ำว่าจะให้ทำอะไรก็ได้ขอเพียงไม่เอาตัวเข้าแลก ซ้ำยังบอกอีกว่าจะเลิกเป็นเหมือนเมื่อก่อน แม้จะเชื่อยาก แต่แววตาที่อ้อนวอนอย่างคนไร้ความหวังของเด็กหนุ่มทำให้ลูเซียนประหลาดใจไม่น้อย

เพราะเขา... ไม่คิดว่าจะได้เห็นมันอีกครั้ง

ระหว่างยืนมองเด็กหนุ่มเดินออกจากบริษัทผ่านกระจกใส เลขาส่วนตัวที่ลูเซียนเพิ่งเรียกตัวเข้ามารับฟังการตัดสินใจก็เดินเข้ามายืนเคียงข้าง จึงทันเห็นกรัณย์กำลังโบกแท็กซี่ตรงหน้าบริษัทพอดี

“รัณย์จะยอมทำตามที่คุณเสนอหรอครับ” จักรพงษ์วัยสี่สิบสองหันมาเอ่ยถาม

“คุณควรถามเขา ไม่ใช่ผม” พูดจบ บอสใหญ่แห่งซีเอ็กซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์ก็กลับไปนั่งประจำตำแหน่ง ลงมือเปิดเอกสารได้เพียงหน้าเดียวก็เอ่ยบางอย่างกับผู้เป็นเลขา “บอกให้ไทด์สอนงานเขาด้วย”

“อะไรนะครับ”

“ผมเชื่อว่าคุณได้ยินชัดแล้ว” น้ำเสียงเย็นชาไม่ต่างจากใบหน้า เลขาผู้ซื่อสัตย์จำต้องยอมทำตามคำสั่ง

แม้รู้อยู่แก่ใจว่า... มันไม่เข้าท่าเอามากๆ



**

 







ผมนั่งแท็กซี่กลับมาก็แวะทานข้าวข้างนอกก่อนขึ้นคอนโด รู้สึกปวดหัวนิดหน่อยเลยตั้งใจว่าจะนอนหลับสักพัก แต่กลายเป็นว่าตื่นมาจ้านก็กลับมาแล้ว เขาซื้อของกินของใช้มาเพียบ จากตู้เย็นว่างๆ เปิดมาเต็มทุกชั้น แล้วไหนจะเสื้อผ้า ของใช้ในห้องน้ำ ทุกอย่างล้วนมีราคาทั้งนั้น

ระหว่างทานข้าวเย็น ผมบอกจ้านตามตรงว่าวันนี้ออกไปทำอะไร...

“ว่าไงนะ! มึงออกไปสมัครงานมา” สิ่งแรกที่จ้านทำคือแสดงอาการตกใจ

“คืออย่างนี้... ฉันคิดว่าถ้ามีงานทำก็จะได้ไม่ต้องเป็นภาระให้นาย หรือรบกวนนายจนเกินไป”

“ทำไมถึงกะทันหันนักล่ะ” คนตรงหน้าเพ่งสายตาจริงจังใส่ผม

“จ้าน” ผมจ้องหน้าเจ้าของชื่อ “ฉันอยากเรียนต่อ... ถ้าจะหาเงินเพื่อจ่ายค่าเทอมได้ ฉันก็ต้องหางานทำนอกเวลาถูกมั้ย” เมื่อพูดจบ ท่าทีของจ้านดูเปลี่ยนใจ เขาค่อยๆ สงบลงก่อนจะท้วงถามผมอย่างตื่นเต้น

“พูดจริงหรอ”

ผมพยักหน้าแล้วเล่าเรื่องที่เกิดกับตัวให้ฟัง “ก่อนนายจะกลับมา ฉันเผลอนอนหลับแล้วฝันเห็นผู้หญิงคนนึงมานั่งร้องไห้ข้างๆ แล้วบอกว่าอยากให้ฉันมีชีวิตที่ดี”

อยู่ๆ จ้านก็เบิกตากว้างคล้ายกับนึกอะไรบางอย่างออก…

“คุณน้า” เขาพูดโพล่งออกมาอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย “ไม่นานมานี้ มึงเคยเล่าให้ฟังว่าฝันเห็นแม่มานั่งร้องไห้เพื่อขอร้องให้มึงเรียนต่อ เพราะงั้นมึงถึงซื้อหนังสือมาอ่านเตรียมสอบเข้ามหา’ลัย”

“จริงหรอ! แล้วสุดท้ายเป็นไง ฉันสอบเข้าได้รึเปล่า”

“มึงอ่านไปได้สองวันก็วางหนังสือเข้าชั้น นี่ก็เหลือเวลาอีกแค่ไม่กี่เดือน กูว่าคงสอบรอบเก็บตกไม่ทันแล้วล่ะ ถ้าเกิดว่ามึงยังอยากเรียนต่ออยู่ ลองรอปีหน้าดีกว่ามั้ย”

“แต่ฉันอยากสอบเข้าปีนี้เลย”

“สมองมึงเพิ่งถูกกระทบกระเทือนมา ถ้าปล่อยให้คิดอะไรมากๆ มันอาจไม่เป็นผลดีกับมึงก็ได้นะ”

“ตอนนี้ฉันไม่มีครอบครัวที่สามารถพึ่งพาได้นอกจากตัวเอง จะใช้ชีวิตต่อไปได้ฉันก็ต้องมีงานทำ และถ้าอยากก้าวหน้าในหน้าที่การงานฉันก็ต้องเรียนให้จบมหา’ลัย”

ผมเห็นเพื่อนรุ่นเดียวกันได้เรียนหนังสือ และอีกไม่นานจ้านก็เรียนจบไปเป็นทนาย สร้างชื่อเสียงให้วงศ์ตระกูล ผมอยากประสบความสำเร็จแบบนั้นบ้าง หรืออย่างน้อยก็ได้ทำอะไรสักอย่างเพื่อหาเลี้ยงชีพตัวเองอย่างสุจริต หากเริ่มต้นวันนี้ผมก็จะมีอนาคตที่ก้าวไปเร็วขึ้น ไม่ใช่จมปรักอยู่กับอดีตและคอยให้จ้านดูแลอย่างเดียว

“งั้นกูจะช่วยเอง ส่วนเรื่องทำงานอะไรนั่นก็...”

“ให้ฉันทำเถอะ” ผมย้ำถึงความตั้งใจ “อย่าให้ฉันงอมืองอเท้าอยู่เฉยๆ เลย ถ้านายหวังดีก็อย่าทำให้ฉันเคยตัว ให้โอกาสฉันได้ทำในสิ่งที่หวังเอาไว้เถอะนะ”

แน่ล่ะ ผมควรพูดแบบนี้เพื่อให้จ้านยอมเห็นด้วย มันเป็นเรื่องจริงที่ผมฝันเห็นผู้หญิงคนหนึ่งจึงคิดจะเรียนต่อ และใช่ ผมเพิ่งได้งานทำ ก็ตั้งใจไว้ตั้งแต่แรกแล้วล่ะ... เพียงแต่งานที่ว่านั่นไม่ใช่สิ่งที่ผมอยากทำเท่าไหร่

‘ถ้าอยากเป็นคนของฉัน... นายก็ต้องไปทำงานที่ไนต์คลับ’

ลูเซียนบอกว่าผมจะได้เงินเดือนเหมือนพนักงานทุกคน ถ้ายอมรับก็เท่ากับเขาเป็นเจ้านาย ส่วนผมเป็นลูกน้องที่อยู่ในความดูแลของเขาอีกที ตอนนั้นผมคิดไม่ตก เพราะไม่รู้ว่าทำแบบนี้แล้วลูเซียนจะได้อะไร อย่างที่รู้ว่าเขาต้องเสี่ยงมีปัญหากับหุ้นส่วน แต่สุดท้ายกลับยื่นแค่ข้อเสนอให้ผมมาทำงานแถมยังมีค่าจ้างให้อีกต่างหาก

เขาอาจกำลังหาคนงานเพิ่มพอดี หรือไม่ก็... อยากลองใจ ผมคิดว่าไม่เสียหายอะไรผมจึงตกปากรับคำไป มีงานทำก็เท่ากับมีรายได้ ดีกว่าอยู่เฉยๆ ตั้งเยอะ แต่ปัญหามันอยู่ที่จ้านว่าจะเห็นด้วยกับผมหรือเปล่า เพราะก่อนหน้านี้อุตส่าห์พูดเป็นมั่นเหมาะว่าจะไม่ขอยุ่งเกี่ยวกับลูเซียนอีก แน่นอนว่าผมคิดมากจนไม่อาจพูดความจริงทั้งหมดให้ฟังได้ จึงต้องปิดบังเอาไว้ก่อน

ผมโกหกคนที่ผมไว้ใจมากที่สุดไปกี่ครั้งแล้วนะ

“มึงไปสมัครงานอะไร ต้องทำอะไรบ้าง” ผมสะตั้นกับคำถาม แต่ยังดีนะที่เตรียมคำตอบไว้แล้ว

“มันเป็นร้านอาหารกลางคืน คงเป็นเด็กเสิร์ฟมั้ง”

“อยู่แถวไหน กูจะได้แวะไปหา... มึงไม่เคยทำงานมาก่อน กูเป็นห่วง”

“เอ่อ… ค่อยไปหลังจากนั้นสักอาทิตย์นึงได้มั้ย คือ... ฉันอยากทำให้ชินกับงานก่อน ไม่อยากทำอะไรให้ขายหน้านาย” ผมพยายามแถจนสีข้างแทบถลอก เพราะไม่อยากให้จ้านเป็นกังวลทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ลงมือทำอะไร ผมเลยคิดไว้ว่าจะไปทำงานสักสี่ห้าวันก่อนค่อยบอกความจริงกับเขา

ใครจะว่าผมโง่ที่เอาแต่เก็บปัญหาไว้คนเดียวก็ได้ เพราะถึงยังไงมันก็ดีกว่าดึงให้เขามาติดร่างแหด้วยแล้วกัน



สุดท้ายจ้านก็ตอบกลับเพียงว่า “ตามใจ”














TBC

NEXT UPDATE 16/05/61 TIME 19:00
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 7:: จุดเริ่มต้น] UPDATE 14/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 14-05-2018 21:27:52
จ้านเป็นเพื่อนที่ดีจัง ชอบจ้านจังเลย
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 7:: จุดเริ่มต้น] UPDATE 14/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: La_Pomme ที่ 16-05-2018 19:14:45
บทที่ 8
::เริ่มงาน::





จ้านอาสาช่วยติวหนังสือให้ผมเพื่อสอบเข้ามหาวิทยาลัย ตอนแรกตั้งใจจะซื้อหนังสือให้แต่ผมถามจ้านถึงหนังสือที่เคยซื้อก่อนหน้านั้นเพราะเสียดาย แล้วจ้านก็พูดถึงคอนโดที่ผมเคยอยู่โดยมีชายคนหนึ่งซื้อเอาไว้ในชื่อของผม เรียกได้ว่าเป็นที่พักย่านไฮโซ แต่จ้านไม่รู้ว่าเขาเป็นใคร รู้เพียงว่าตอนนี้ผมกับชายคนนั้นเลิกติดต่อกันแล้วแค่นั้น

ในกระเป๋าสตางค์ที่อยู่กับตัวผมก่อนเกิดอุบัติเหตุมีคีย์การ์ดของคอนโดแห่งหนึ่ง ผมกับจ้านคิดว่าอาจเป็นคอนโดเดียวกันจึงตัดสินใจไป และมันก็เป็นอย่างที่คิด ผมสามารถใช้คีย์การ์ดเปิดประตูเข้าไปในห้องสุดหรูได้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะอธิบายความรู้สึกยังไง ผมประหลาดใจที่ตัวเองได้อยู่ในสถานที่ดีดีแบบนี้ แต่อีกใจกลับหดหู่ เพราะมันยิ่งตอกย้ำให้ผมยอมรับว่าตัวเองเคยถูกเศรษฐีรับเลี้ยงจริงๆ

หลังจากเลิกยุ่งเกี่ยวกับชายที่ซื้อคอนโดให้ จ้านบอกว่าผมไม่ค่อยอยากมาเหยียบที่นี่อีก เนื่องจากชายคนนั้นเป็นพวกกัดไม่ปล่อย ตามติดผมมากกว่าคนไหนๆ หากรู้ว่าผมมาที่นี่ก็อาจจะเข้าใจว่าผมยอมกลับไปเป็นทาสเงินของเขาอีก เพราะเหตุนี้จ้านจึงเอ่ยปากบอกให้ผมมาอยู่ด้วยกันในตอนแรก

วันนี้ตั้งใจมาเอาหนังสือ ส่วนของใช้หรือเสื้อผ้าอะไรผมไม่แตะ กระทั่งออกมาจากห้องพักแล้วกลับคอนโดของจ้าน ผมนั่งอ่านหนังสืออย่างจริงจัง ส่วนจ้านก็ปล่อยให้เขาจัดการงานตัวเองไปก่อน ผมอ่านคนเดียวได้แหละ มันก็มีเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างตามประสา

และเมื่อถึงวันที่ต้องไปตามนัดของลูเซียน ผมยอมทำงานในไนต์คลับของเขาตามข้อตกลง ช่วงเย็นผมเดินทางไปที่ไนต์คลับ เตรียมใจพร้อม แรงกายพร้อม แค่ทำงานมันไม่มีอะไรยากหรอก ใครๆ เขาก็ทำกันทั้งนั้น ผมเดินเข้าไปด้านในอย่างมั่นใจ จนได้เจอกับตาลุงใส่แว่นผู้เป็นเลขาของลูเซียนที่ยืนนิ่งราวกับกำลังรออะไรอยู่

“เธอมาจริงๆ” อ่า รอผมนี่เอง

“ผมต้องทำอะไรบ้างครับ”

“เชิญทางนี้”

เขาเอ่ยก่อนจะเดินนำผมไป จำได้ว่าถ้าเดินไปทางขวามือจะเป็นทางเข้าโซนของลูกค้า และแยกตรงตรงบาร์ไปทางขวาอีกทีจะเป็นห้องส่วนตัวของลูเซียน มาครั้งนี้ผมต้องเดินไปทางซ้ายซึ่งตรงกับหลังบาร์พอดี ลึกไปอีกก็จะเป็นส่วนหลังร้าน แบ่งเป็นโซนอาหารและเครื่องดื่ม อยู่เยื้องกับหลังเวทีของพวกนักดนตรีหรือไม่ก็ดีเจประจำไนต์คลับ

ด้านหลังร้านมีคนอยู่บ้างประปราย เพราะก่อนจะเดินเข้ามาผมเดินผ่านโซนที่นั่งของลูกค้า เห็นพนักงานเช็ดโต๊ะ กวาดถูพื้น ตรงบาร์มีผู้ชายสามคนกำลังเช็ดแก้วและเรียงเหล้าเข้าชั้นวาง ส่วนพนักงานที่เหลือคงอยู่ตรงหลังร้านนี่แหละ ตอนแรกเห็นกลุ่มคนคุยกันเฮฮา แต่พอผมเดินเข้าไปก็เงียบเสียง สายตาหลายคู่มองมาที่ผมเป็นตาเดียว

จนเมื่อคุณเลขาเดินเข้าไปถามหาใครคนหนึ่งเสร็จก็พาผมเดินลึกเข้าไปอีก ผ่านกองกล่องเบียร์ไปจนถึงประตูหลัง ก่อนจะพบกับชายผิวเข้มที่กำลังนั่งดูดบุหรี่อยู่

“ไทด์”

เจ้าของชื่อชะงักเล็กน้อย ผมเห็นคุณเลขากับชายคนนั้นจ้องหน้ากันสักพัก ฝ่ายที่อายุน้อยกว่าก็ทิ้งบุหรี่ลงพื้นปูน เหยียบจนไฟดับก่อนจะก้มไปหยิบมันมาทิ้งถังขยะ

“สาบานได้ว่าทั้งอาทิตย์นี้ผมดูดแค่ม้วนนั้นม้วนเดียว” น้ำเสียงเขาทุ้มต่ำ เดินเอามือล้วงกระเป๋าเข้ามาใกล้คุณเลขาแล้วพูดต่อ “ผมไม่อยากให้อาบ่น เลยอธิบายให้ฟังก่อน”

ผมลอบมองเขาอยู่ด้านหลังคุณเลขาก็พบว่าชายที่ชื่อไทด์คนนี้แต่งตัวสบายๆ ดูเซอร์ๆ ใส่กางเกงยีนส์ขาดๆ ผมเกรียนสั้นเหมือนตัดสกินเฮด ตรงแขนมีรอยสักเป็นทางยาว ผมมองไม่ถนัดว่ามันเป็นรูปอะไรแต่โดยรวมแล้วดูเท่ห์เอาเรื่อง เขามีทั้งความสูง รูปร่างแข็งแรง ผิวสีแทน โครงหน้าคมคาย แต่พอประกอบกับสายตาเด็ดเดี่ยว คิ้วที่ขมวดมุ่นและจมูกโด่งๆ นั่น กลับทำให้เขาดูเคร่งเครียดเกินกว่าจะสร้างมิตรกับคนที่เพิ่งรู้จัก

จากนั้นคุณเลขาก็เดินหลบเพื่อให้ผมปรากฏตัวต่อหน้าคนชื่อไทด์ เจอกันครั้งแรกไม่รู้จะทำอะไรนอกจากยิ้มให้ คิดว่าเขาคงเป็นพนักงานของที่นี่เหมือนกัน แต่ชายตรงหน้ากลับจ้องผมด้วยแววตาขุ่นเคืองซะงั้น

“ในเมื่อรู้จักกันแล้ว ฉันจะขอเข้าเรื่องเลย”

หืม? รู้จักกันหรอ

“คราวนี้อะไรอีก คุณวีไอพีเขามีเรื่องไม่พอใจตั้งแต่คลับยังไม่เปิดรึไง... วันนั้นพูดปาวๆ ว่าจะไม่มาเหยียบที่นี่แล้วไม่ใช่หรอ หรือว่าปากดีไปอย่างนั้นเอง” ไทด์จ้องหน้าผม น้ำเสียงให้ความรู้สึกประชดประชัน ฟังแล้วมั่นใจระดับหนึ่งว่าเขาอาจรู้จักผมจริงๆ และที่บอกว่าคุณวีไอพีอะไรนั่น หมายถึงผมสินะ

“รัณย์จะเข้ามาทำงานที่นี่” คุณเลขาพูดจบ ไทด์ก็หรี่ตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า สีหน้าไม่ได้แสดงความสงสัย เพราะเขาดูแหยงๆ เหมือนมองว่ามันเป็นเรื่องเหลวไหล

“จะมาเล่นพิเรนทร์อะไร”

“แกต้องเป็นคนสอนงานเขา...” ไทด์ตวัดสายตาไปหาคุณเลขาก่อนจะเลิกคิ้วสูง “ตำแหน่งตรงบาร์อาจยังทำไม่ได้เร็วๆ นี้ แกก็ให้เขาดูเรื่องความสะอาดและคอยเสิร์ฟออเดอร์ไปพลางๆ ก่อน”

“เดี๋ยวนะ... ผมไม่เข้าใจ ทำไมเขาต้องมาทำงานที่นี่ด้วย”

“แกทำตามที่บอกก็พอ”

“ผมไม่รู้หรอกนะว่ามันคือเรื่องอะไร แต่อาไปสั่งคนอื่นเถอะ” จากนั้นเขาก็ส่งสายตาคมกริบมาทางผม “คนอย่างหมอนี้ ผมไม่อยากยุ่งด้วย” 

เขาส่งอารมณ์ความอึดอัดคับแค้นใจอะไรสักอย่าง ก่อนหน้านี้ที่บอกว่าเรารู้จักกัน ความสัมพันธ์ของเราอาจไม่ลงรอยกันก็ได้ และเชื่อเหอะ ผมไม่ได้คิดไปเองแน่ๆ เพราะทั้งสายตาและการพูดจากระแทกกระทั้นมันชัดเจนออกขนาดนั้น แถมพูดจบแล้วเขายังจะเดินกระทืบเท้าเข้าด้านในโดยไม่สนใจใครด้วย

แต่ในตอนนั้นเอง...

“เป็นคำสั่งของบอส”

ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด บอสที่พูดถึงคงเป็นลูเซียน เมื่อกี้คุณเลขาใช้น้ำเสียงหนักแน่นมาก แสดงว่ามันมีผลต่อการตัดสินใจของไทด์พอสมควร ไม่อย่างนั้นเขาจะยืนนิ่งเป็นปูนพลาสเตอร์อยู่แบบนี้หรอก

“หวังว่าแกจะจัดการทุกอย่างได้ดี” ท่ามกลางการสนทนาที่เต็มไปด้วยความกดดัน ผมทำได้เพียงยืนเงียบไม่ปริปากพูดอะไร จนสุดท้ายไทด์ก็หันหลังกลับมาพร้อมแสยะยิ้มให้กับคุณเลขา

“รับบัญชาครับ” พูดเพียงเท่านั้นเขาก็ปรายตามามองผม

แววตาแบบนั้นกำลังบ่งบอกถึงอะไร ผมไม่อาจคาดเดาความคิดของเขาได้เลย...

เสร็จเรื่อง คุณเลขาก็บอกให้ผมรับคำสั่งงานกับไทด์ เพราะเขาจะสอนการทำงานและระเบียบของที่นี่ให้ จากนั้นเดินเข้าไปในร้าน โดยทิ้งให้ผมยืนอยู่กับเจ้าคนผิวสีแทนแค่สองคน

“จะเริ่มงานตั้งแต่วันนี้ใช่มั้ย” ไทด์ถามผม

“ครับ”

“หึ... ฟังพูดเข้า” ไทด์นำแขนขึ้นกอดอก ก่อนจะพูดต่อ “นายกลายเป็นคนตกอับไปแล้วรึไง เห็นแต่ก่อนทำตัวไม่สนหัวใคร ชูคอเบ่งใส่คนนั้นทีคนนี้ที คิดว่าตัวเองมีระดับสูงส่งค้ำฟ้าซะเต็มประดา แต่วันนี้ดันจะมาเป็นพนักงานซะอย่างนั้น... กรรมตามทันเร็วเหมือนกันนี่”

เมื่อก่อนผมคงเป็นคนไม่ดีในสายตาของเขา รู้แบบนี้แม้ผมจะตกใจแต่ก็ยอมรับมันได้รวดเร็ว เพราะไทด์ไม่ใช่คนแรกที่มองผมในแง่ร้าย ขนาดถูกบอกว่าเป็นผู้ชายขายตัวผมยังผ่านมันมาแล้ว เรื่องโดนมองด้วยสายตาเย็นชาหรือถูกเหน็บแนมว่าร้ายมันก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไร ผมไม่รู้ว่าเคยทำให้ไทด์เจ็บแค้นมากน้อยแค่ไหน และมันไม่ผิดหากเขาจะปฏิบัติกับผมอย่างสาสม เพียงแต่ตอนนี้มันไม่เหมือนตอนนั้น ผมเข้าใจดีว่าตัวเองอยู่ตรงจุดไหน หวังเพียงต่างคนต่างทำหน้าที่ของตนน่าจะเป็นการดีกับทุกฝ่าย 

“ผมจะเชื่อฟังคุณ และทำหน้าที่ให้ดีที่สุดครับ” ผมเอ่ยอย่างหนักแน่น

“นายคิดอะไรอยู่ฉันไม่รู้นะ แต่ขอบอกไว้เลยว่า... นายคิดผิดแล้ว” คนตรงหน้าจ้องมองเขม็ง

“ผมไม่อยากปัญหากับใคร”

“คนที่นี่เขาไม่อยากมีปัญหากับนายทั้งนั้นแหละ” ปลายเสียงสุดท้ายแผ่วลง ผมเห็นรอยยิ้มตรงมุมปากเขาเด่นชัด มันแฝงไปด้วยความนัยบางอย่าง จนกระทั่ง...

“ยกเว้นฉัน”

อา... การจะเริ่มชีวิตใหม่ มันไม่มีอะไรง่ายจริงๆ













 

ผมต้องทำงานตั้งแต่ช่วงเย็นจนถึงตีสามกว่า วันก่อนผมเรียนรู้งานเสิร์ฟและรับออเดอร์จากรุ่นพี่คนหนึ่งซึ่งไม่ใช่คนที่มีหน้าที่สอนงานผม พูดให้ถูกคือไทด์ละเลยเมินเฉยราวกับมองข้ามผมไป พอถามอะไรก็ทำเป็นหูทวนลม เวลาเขาจะพูดด้วยคือตอนที่บอกให้หลบ เอานั่นมา เอาโน้นไปทิ้ง เช็ดตรงนี้ ถูตรงโน้น ใช้แรงงานผมไม่ต่างจากทาสในเรือนเบี้ย

ผมรู้สึกได้ว่าคนงานที่นี่ไม่มีใครอยากเป็นมิตรด้วย ขนาดรุ่นพี่ที่เข้ามาสอนงาน ไอ้จะบอกว่าช่วยมันก็ไม่เต็มปาก ต้องบอกว่าอธิบายส่งๆ แบบใส่อารมณ์ซะมากกว่า ส่วนน้องเล็กสุดในคลับก็เอาแต่หลบหน้าผม ถามอะไรก็ลนลานเหมือนกลัว คือเอาจริงๆ ผมพอรับเรื่องพวกนี้ได้นะ เพราะไม่คิดเกี่ยงงานอยู่แล้ว แต่ไอ้สิ่งที่ยากที่สุดน่าจะเป็นงานเสิร์ฟ เพราะต้องเจอกับคนที่รู้จักผมเนี่ยแหละ

ช่วงประมาณห้าทุ่ม ผมเห็นลูกค้ากลุ่มหนึ่งเดินเข้ามา ประกอบด้วยหญิงหนึ่งกับชายอีกสามคน ด้วยหน้าที่ทำให้ผมต้องเร่งเก็บโต๊ะแล้วรีบไปรับออเดอร์จากชายหญิงกลุ่มนั้นอย่างรวดเร็ว

“รับอะไรดีครับ” ผมใช้เครื่องมืออิเล็กโทรนิคในการรับออเดอร์

“รัณย์” เสียงนั้นทำให้ผมหยุดทุกอย่างแม้กระทั่งลมหายใจ คนเรียกชื่อเมื่อครู่เป็นลูกค้าผู้ชายในกลุ่มที่ผมกำลังต้อนรับอยู่ โดยหลังจากมั่นใจว่าใช่ผมแล้วเขาก็หันไปบอกเพื่อนๆ ก่อนที่คนเหล่านั้นจะจ้องผมราวกับเป็นสิ่งประหลาด

“ทำอะไรของนาย” ชายอีกคนแสดงท่าทางไม่อยากเชื่อ

เอาไงต่อล่ะทีนี้... ผมควรทักในระดับที่เหมาะสมก่อนดีมั้ย

“ไง” ไม่พูดเปล่า ผมยกมือเป็นการทักทายไปด้วย คิดว่าแค่นี้คงแนบเนียนแล้ว

“แต่งตัวแบบนี้ทำไม กำลังเล่นอะไรแผลงๆ อยู่หรอ” ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มดูสับสน ส่วนผมที่อยู่ในชุดเด็กเสิร์ฟก็ได้แต่ยืนคิดว่าจะเอายังไงจ่อ คนพวกนี้เป็นใครยังไม่รู้ เคยคุยกันแบบผิวเผินหรือสนิทกันก็ไม่รู้อีก เอาจริงๆ มันก็ไม่สำคัญหรอก เพราะเหนือสิ่งอื่นใด ตอนนี้ผมควรอยู่ในหน้าที่ถึงจะถูก

“พวกนายจะสั่งอะไร” ผมพยายามพูดแบบเป็นกันเองเพื่อไม่ให้ถูกสงสัย แต่กลับถูกเสียงหัวเราะสาดกลับมา ท่าทางชอบอกชอบใจมากกว่าเห็นใจผมที่ต้องมาอยู่ในสภาพนี้เสียอีก

“คืนนี้น่าสนใจแฮะ” พูดซะผมไม่ต้องเดาเลยว่าความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคนพวกนี้น่าจะเป็นในแบบไหน ที่แน่ๆ คงไม่ใช่เพื่อนรัก หรือคนที่น่าคบค้าสมาคมด้วยนัก

หลังจากเสียเวลาอยู่ตรงโต๊ะลูกค้าใหญ่พักใหญ่ สุดท้ายพวกเขาก็สั่งเครื่องดื่มจนได้

“นี่เอาขำๆ หรือจริงจังเนี่ย พวกเรางงไปหมดแล้วนะ” ระหว่างนั้นมีเสียงของหญิงสาวดังแทรกขึ้นมา ให้มันได้อย่างนี้สิ ผมใส่ชุดเต็มยศแถมกำลังทำหน้าที่อยู่ขนาดนี้แล้วยังจะสงสัยไม่เลิก

“ฉันทำงานที่นี่” ผมตอบไปตามตรง

“ทำงาน?” พวกเขาพูดพร้อมกันราวกับนัดกันมา ก่อนจะมีชายคนหนึ่งถามย้ำกับผมเพื่อให้มั่นใจ “หมายความว่า...ที่นี่…ตอนนี้…นายกำลังทำงานอยู่”

ผมพยักหน้าเป็นคำตอบ

“อย่าอำกันน่า ถึงนายจะเลิกยุ่งกับคุณพุฒิไกรไปแล้วก็ใช่ว่าจะจนตรอกนี่หว่า”

พุฒิไกร... ใครอีกวะ?

“นั่นสิ พูดไปใครเขาจะเชื่อว่านายยอมลดตัวมาทำงานงกๆ แบบนี้จริงๆ”

“เอ๋ เดี๋ยวนะ! หรือว่าหลังจากทิ้งเจ้าของบริษัทเรือแล้วนายยังหาเหยื่อรายใหม่ไม่ได้” คนที่ชื่อว่าพุฒิไกรกับเจ้าของบริษัทเรือนี่คนเดียวกันมั้ย “โธ่รัณย์... ทิ้งกฎเกณฑ์ไปบ้างเถอะน่า คุณพุฒิไกรต้องแต่งงานกับลูกสาวนายห้างก็เพราะธุรกิจ ความจริงเขาหลงนายจะตายใครๆ ก็รู้ อุตส่าห์มีขุมทรัพย์อยู่ตรงหน้ายังจะปล่อยให้หลุดมือไปอีก คนใจป้ำแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ นะเว้ย”

“ไอ้รัณย์มันศักดิ์ศรีค้ำคอจะตาย มันไม่ยอมไปเป็นน้อยคนอื่นหรอก”

ฮะ? เมื่อกี้พูดว่าไงนะ!















TBC

NEXT UPDATE 17/05/61 TIME 19:00

มีตัวละครใหม่เพิ่มเข้ามาอีกแล้ววววว  พัวพันกับใครต่อใครเยอะไปนะบางที -*- 

 
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 8:: เริ่มงาน] UPDATE 16/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 16-05-2018 20:33:51
มีตัวละครเพิ่มมาแล้ววววว
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 8:: เริ่มงาน] UPDATE 16/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 16-05-2018 23:07:54
พัวพันยุ่งเยิง-*-ชีวิตนายเอกหลายชาย
ติดตามรอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 8:: เริ่มงาน] UPDATE 16/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: TNM ที่ 16-05-2018 23:55:36
นิยายเรื่อนี้ดีมากจ้า ฮาเร็มสุดๆ รักเลยยยยยย
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 8:: เริ่มงาน] UPDATE 16/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 17-05-2018 00:04:45
ได้เรียนรู้และทำความรู้จักตัวละครไปพรัอมกับรัณย์เลย 55 :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 8:: เริ่มงาน] UPDATE 16/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-05-2018 02:22:29
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 8:: เริ่มงาน] UPDATE 16/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 17-05-2018 05:25:57
รัณย์ คนก่อนคงนิสัยไม่ดีถึงขั้นแย่
ดูจากปฏิกิริยาของคนที่ต้องทำงานด้วย

คนรู้จักโผล่มาอีก ท่าทางก็ไม่ได้ดีกับรัณย์
แม้รัณย์ จะเป็นแบบนี้แต่รัณย์เป็นที่สนใจของคนหลายคน
แบบยึดติด หวง คลั่งใคล้ ขนาดซื้อคอนโดให้

แต่ทำไมรัณย์กลับหลงใหลลูเซียน
เพราะลูเซียนไม่สนใจรัณย์ ทั้งที่มีแต่คนสนใจรัณย์
รัณย์ ชอบลูจริงๆ หรือแค่อยากเอาชนะกันแน่  :hao3:

์ไทด์คนนี้แต่งตัวสบายๆ ดูเซ่อๆ ------ เซอร์ๆ  หรือเปล่า
ใจปล้ำ ------ ใจป้ำ
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 8:: เริ่มงาน] UPDATE 16/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 17-05-2018 07:00:04
 :L2: :pig4: :L2: :pig4: :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 8:: เริ่มงาน] UPDATE 16/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 17-05-2018 08:43:00
หื้ออออ เพิ่งเข้ามาอ่านสนุกมาก

ไม่ต้องไปสนใจใคร เริ่มใหม่ ยังไม่สายเนอะๆๆ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 8:: เริ่มงาน] UPDATE 16/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 17-05-2018 10:04:37
- ตอนก่อนหน้า
อ้าวๆ กลับมาหาลูเซียนไมอ่ะ แล้วที่บอก "ทุกอย่าง"
นี่อ่านไปตาปริบๆ ไป
งี้ก็กลับมาพัวพันกะลุงลูแทนอ่ะดิ โอ...ไม่นะ!
 :z3:

- ตอนเมื่อกี้
มาเจอไทด์ขาโหดนี่อีก
แถมบรรทัดสุดท้ายยังมี อิตาคุณไกร เพิ่มเติม โอยยยยยย ปวดหมอง
 :hao5:

เค้าทีมอีวานนนนนนนนนนนนนน
ทีมอีวาน!
ทีมอีวาน!!
ทีมอีวาน!!!

กดบวกและเป็ดขอบคุณ
ปล.1  เค้าขอโทษ 2-3 ตอนก่อนหน้าไม่ได้เม้นต์เพราะเค้าหนีเท่วมา  อย่างอนเค้าน้าาาาาาา

ปล.2 ตอนบอกว่าทุกอย่าง นี่จิ้นจ้านกับลูเซียน
นึกว่าลูเซียนจะยื่นข้อเสนอให้เอาตัวจ้านมา จะได้ปล่อยรัณย์ไปไรงี้
แต่พอตอนล่าสุดเจอไทด์ เลยจิ้นจิ้นจ้านกับไทด์แล้ว
ปล่อยลูเซียนเป็นลุงบ้างานต่อไปเถอะ อุอุอุ
 :mew3:

ปล.3 เกือบลืม ชอบเรื่องนี้มาก
เป็นเรื่องที่กดรีเฟรช F5 รัวๆ (โดยเฉพาะช่วง 6 โมง ที่บอกจะมาอัพ) เพราะอยากอ่านต่อใจจะขาด
เลยแนะนำที่นิยายเรื่องต้องอ่านแหละ
เป็นกำลังใจให้
ดีใจที่คนแต่งใจดีมาอัพที่เล้าเป็ดแห่งนี้ให้ได้อ่านด้วย
แธงยู โซมัช
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 8:: เริ่มงาน] UPDATE 16/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 17-05-2018 18:19:36
ฮืออออออ ชอบมากค่ะ สำนวนดี ภาษาสวย อ่านแล้วอินง่าย ลุ้นตลอดดดดด  :ling1:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 8:: เริ่มงาน] UPDATE 16/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: La_Pomme ที่ 17-05-2018 20:43:59
บทที่ 9
::หาเรื่อง::





‘รัณย์ อยู่รินเหล้าให้ก่อนสิ’

ลูกค้าชายท่านหนึ่งชูแบงค์พันต่อหน้า จากนั้นก็จับยัดใส่กระเป๋าเสื้อผมโดยไม่ถามถึงความสมัครใจสักคำ วิธีการแบบนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมเจอ

เดาว่าตั้งแต่คนในไนต์คลับเห็นผมทำใส่ชุดพนักงานเสิร์ฟเดินไปเดินมา พวกเขาคงมั่นใจแล้วว่าผมทำงานที่นี่จริงๆ ถึงเอาแต่พูดทักทายผมทั้งๆ ที่ก่อนหน้าแค่มองอย่างสงสัย บางคนเรียกผมให้ไปหาที่โต๊ะ ถือโอกาสพูดจาเย้ยหยันตอนสั่งเครื่องดื่ม บ้างก็แสดงความอยากรู้อยากเห็นซะจนผมเหนื่อยกับการตอบคำถาม รู้แล้วล่ะว่าส่วนมากลูกค้าของที่นี่จะรู้จักผม แถมมีคนมากกว่าครึ่งที่ไม่ค่อยชอบหน้า พวกเขาถึงได้มองผมด้วยสายตาดูถูก หรือไม่ก็อยากซ้ำเติมผมให้จมดิน แล้วไหนจะมีพวกที่แอบแตะเนื้อต้องตัวผมอีก

หลายวันมานี้ผมต้องอดทนกับปฏิกิริยาของลูกค้าที่ต่างกันไป ยิ่งเป็นคนไม่ชอบขี้หน้าผมอยู่ก่อนแล้วก็จะเข้าใจง่ายหน่อย เพราะนอกจากโดนแกล้งให้เดินไปมาเป็นสิบรอบ ผมยังโดนคำพูดถูกทั้งต่อหน้าและลับหลัง ราวกับคนพวกนั้นผ่านมาเห็นคนล้มแล้วยกเท้าเหยียบซ้ำ ซึ่งผมก็ได้แต่ปั้นรอยยิ้มกลับอย่างเดียว บอกให้นั่งรินเหล้าให้ผมก็ทำ ในบางกรณีถึงขั้นเรียกเงินแข่งกันเพื่อได้ผมไปบริการ ฟังแล้วเหมือนผมสำคัญมาก แต่เปล่าเลย ยิ่งทำแบบนี้ผมก็ยิ่งรู้สึกแย่

มันไม่ใช่ว่าพวกเขาพิศวาสผม แต่อยากแสดงให้เห็นว่าอยู่เหนือผมมากกว่า...

ผมทนทำงานที่นี่เพื่ออะไร ความอยู่รอด? หนีบางอย่าง? เงิน? อยู่ตรงนี้นานวันก็ยิ่งรู้จักอดีตมากขึ้น เหมือนเอาตัวเองมาอยู่ในที่ที่เป็นความทรงจำทั้งๆที่ผมอยากหนีมันแทบตาย แน่นอนว่าผมเปลี่ยนตัวเองได้ แต่ก็ใช่ว่าคนอื่นจะเข้าใจในสิ่งที่ผมทำ พวกเขายังมองผมเป็นกรัณย์คนก่อน ต่อให้เปลี่ยนยังไงมันก็ไม่มีอะไรดีขึ้นอยู่ดี

หลังเลิกงาน ผมไปที่ตู้ล็อคเกอร์เปลี่ยนเสื้อผ้า จัดการถอดเสื้อกักอย่างลวกๆ ก่อนจะปลดกระดุมเสื้อเชิ้ตทีละเม็ด ระหว่างนั้นผมได้ยินเสียงคนเดินเข้ามาทางนี้จึงรับหันไปมอง ก็พบว่าเขาคือชายผิวเข้มที่มีหน้าที่สอนงานผม แต่กลับไม่เคยทำ ใช้อำนาจสั่งการมากดขี่ผมราวกับต้องการประกาศให้รู้ว่าเกลียดผมมาก

“นายยังไม่ได้เช็คสต๊อกที่เหลือ”

ไทด์เดินไปตรงตู้ล็อคเกอร์ของตัวเอง จากนั้นก็ถอดเสื้อออกจนเปลือยท่อนบนเหมือนผม เขาพูดเรื่องเช็คสต๊อก คงหมายถึงการนับพวกลังเหล้าเบียร์หรือโซดาแล้วตรวจสอบข้อมูลสั่งซื้อเพื่อดูว่าคืนนี้ขายไปเท่าไหร่ สั่งการผมซะดิบดี จากนั้นก็ให้น้องคนหนึ่งมาบอกวิธีการ ซึ่งผมมารู้ทีหลังว่าหน้าที่เช็คสต็อกเป็นน้องคนนั้นที่ทำเป็นประจำอยู่แล้ว

มาอีหรอบนี้ ไทด์จงใจหาเรื่องผมแหงๆ

“พรุ่งนี้ผมจะรีบมาจัดการให้ครับ”

“กับอีแค่เช็คสต็อกไม่กี่นาที ทำไมต้องรอพรุ่งนี้ด้วย” ไทด์ยืนเท้าเอวพลางจ้องเขม็ง เมื่อกี้กำลังจะเปิดกระเป๋าเพื่อเอาเสื้อตัวเองออกมา แต่พอได้ยินอย่างนั้นผมก็ต้องหยุดไว้ก่อนจะถอนหายใจเฮือกใหญ่

“ความจริงผมต้องเลิกงานตั้งแต่ครึ่งชั่วโมงที่แล้ว แต่คุณบอกให้ผมเก็บโต๊ะห้องวีไอพีก่อนผมก็ไปทำให้ แล้วแบบนี้ผมจะเอาเวลาที่ไหนไปเช็คสต๊อกล่ะครับ” ผมอธิบายด้วยเหตุผล

“ฉันบอกให้จัดการห้องวีไอพีตั้งแต่สามชั่วโมงก่อน แต่นายดันมาเร่งทำเอาตอนใกล้เลิกงานเอง”

“ผม...” จะพูดอะไรได้อีก ถ้าเขาว่ามาแบบนั้นอธิบายไปก็เปล่าประโยชน์ อีกอย่างเขาก็พูดเรื่องจริง ช่วงเที่ยงคืนเขาบอกให้ผมไปจัดการห้องวีไอพี แต่ผมกลับติดลูกค้าอยู่เลยหาทางปริตัวไปไหนไม่ได้ และกว่าจะนึกถึงเรื่องห้องวีไอพีได้อีกทีก็ใกล้เลิกงานแล้ว

“เพราะมัวเอาเวลาไปยุ่งกับลูกค้าอยู่ ก็เลยไม่มีเวลาสินะ” ไทด์เดินเข้ามาใกล้ผม ทำให้เห็นซิกแพคของเขาชัดขึ้นไปอีก “ไอ้การพยายามจะบริการลูกค้ามันก็เป็นเรื่องดี แต่ถ้าอยากได้มากกว่านี้ ฉันว่านายกลับไปเป็นอย่างเมื่อก่อนแทนที่จะมาเดินวนเวียนให้เกะกะลูกตาฉันดีกว่านะ”

ผมขบกราม สูดหายใจเข้าลึกๆ หยิบเสื้อมาใส่จนเรียบร้อยก่อนจะหันไปพูดกับไทด์ตรงๆ

“มีอะไรที่พอจะทำให้คุณเลิกเกลียดผมมั้ย” จังหวะที่กำลังรอคำตอบ ชายตรงหน้าแสยิ้มอย่างมีเลศนัย

“ไปให้พ้นหน้าฉันสิ”

พูดจบก็เดินไปใส่เสื้อของตัวเองแล้วผิวปากอย่างสบายใจ เอ่ยปากไล่กันขนาดนี้ เรื่องที่เคยคิดว่าผมกับเขาอาจเข้ากันได้สักวันแทบจะถูกโละจากสมอง และเชื่อเถอะว่าฝืนทำต่อไปก็รังแต่จะทำให้ตัวเองเหนื่อยใจเท่านั้น

เพื่อความสบายใจของทุกฝ่าย... ผมควรทำตามที่ไทด์พูดสินะ











 

วันต่อมา ผมนั่งรถแท็กซี่ไปที่บริษัท CX Enterprise แต่พนักงานบอกว่าลูเซียนไม่ได้เข้าบริษัท พอสอบถามก็ได้ว่าเขาอยู่ที่สปอร์ตคลับในสาขาที่เพิ่งเปิดใหม่ ผมจึงนั่งรถตามไป หลังจากนั้นไม่นานก็มาถึงที่หมาย

เมื่อเดินขึ้นไปด้านบน พบห้องออกกำลังกายขนาดกว้างขวาง ขณะที่กำลังมองหาลูเซียน สายตาก็เจอเข้ากับชายร่างสูงที่กำลังออกกำลังกายอยู่ตรงเครื่องสร้างกล้ามเนื้อ และแน่นอนว่าคนที่ยืนอ่านเอกสารอยู่ตรงมุมห้องคือเลขาคนสนิทของเขา

ไม่รอช้า... ผมเดินเข้าไปหาคุณเลขาทันที

“ขอโทษนะครับ” ผมกล่าวทักทาย ก่อนจะเอ่ยต่อ “ผมขอคุยกับลูเซียนสักครู่ได้มั้ยครับ”

คนตรงหน้าจ้องผมอย่างสงสัย กำลังคิดว่าเขาคงจะถามถึงเหตุผล แต่ไม่เลย เพราะทันทีที่ผมบอกความต้องการเขาก็เดินเข้าไปกระซิบกระซาบกับลูเซียน ใช้เวลาไม่นานเขาก็เดินกลับมาบอกให้ผมเดินไปตรงเครื่องออกกำลังกายที่ผู้เป็นนายกำลังเล่นอยู่

“สิบนาที”

อีกแล้ว? พูดคำอื่นไม่เป็นรึไง

“ผมขอเปลี่ยนงานได้มั้ยครับ จะให้ผมมาเป็นพนักงานของที่นี่ก็ได้ ขอแค่ไม่ใช่งานที่ไนต์คลับนั่น” ผมพูดเข้าเรื่องโดยไม่มีการอ้อมค้อม และทันทีที่สิ้นเสียงผม เขาก็ทำเสียงขบขันในลำคอ

“อุตส่าห์คิดว่านายจะดิ้นรนมาหาฉันภายในหนึ่งอาทิตย์ให้หลัง แต่นี่เพิ่งผ่านมาแค่สามวัน... ความอดทนของนายมีแค่นี้สินะ” ลูเซียนยังเล่นเครื่องออกกำลังกายอย่างต่อเนื่อง

“เรื่องใช้งานหนักผมไม่เกี่ยงอยู่แล้วครับ ขอแค่ไม่ต้องมีปัญหากับเพื่อนร่วมงานหรือลูกค้าก็พอ ถือว่าผมขอร้อง”

“มีงานไหนบ้างที่ทำแล้วไม่มีปัญหา” ลูเซียนหยุดละมือจากเครื่องออกกำลังกาย นำผ้าหนูที่พาดอยู่ใกล้ๆ ขึ้นมาเช็ดเหงื่อ “คนทำงานมันต้องรู้จักแก้ไขสถานการณ์ ไม่ใช่เดินหนีมัน ไม่อย่างนั้นชีวิตนายจะไปเจอความสำเร็จได้ยังไง หรือถ้ามันท้อแท้นักก็เลิกไปสิ ไม่มีใครห้ามนายอยู่แล้ว... ดีเหมือนกัน ฉันจะได้รู้ว่าคนอย่างนายไม่มีวันเลิกเป็นแบบเดิมได้”

ท่าทางเย็นชา เมินเฉยต่อทุกอย่างจนผมอดคิดไม่ได้ว่าเขาอาจจะชอบใจที่ผมตกอยู่ในสถานการณ์นี้

“คุณให้ผมไปเป็นพนักงานเสิร์ฟทั้งๆ ที่รู้ว่าลูกค้าที่คลับมองผมยังไง... คนที่ชื่อไทด์นั่นก็ด้วย คุณรู้อยู่ก่อนแล้วใช่มั้ยว่าเขาเกลียดขี้หน้าผม ถึงได้สั่งให้เขามาเป็นคนสอนงาน”

“ไทด์มีตำแหน่งเป็นหัวหน้าพนักงานเสิร์ฟ ฉันฝากนายไว้กับเขาก็ถือว่าให้เกียรติ์มากแล้ว ส่วนเรื่องลูกค้า ฉันจะตรัสรู้ได้ยังไงว่านายเคยมีปัญหากับใครมาบ้าง... ถ้าจะโทษก็โทษที่ตัวนายเอง ไม่ใช่โยนความผิดให้คนอื่น”

คำพูดของลูเซียนทำให้ผมพูดอะไรไม่ออก

ก็ใช่! ผมกำลังหนีปัญหาและพยายามหลีกหนีในสิ่งที่ตัวเองเคยเป็น แต่นั่นเป็นเพราะผมอดทนรับรู้เรื่องราวในอดีตไม่ไหว ทำไมผมต้องฟังคำพูดดูถูกของคนอื่นทั้งๆ ที่คนพวกนั้นไม่เข้าใจตัวตนในปัจจุบันของผม และถ้าจะเริ่มต้นใหม่จริงผมก็ควรมีโอกาสได้รู้จักกับคนใหม่ๆ ไม่ใช่หรอ

ลูเซียนลุกจากเครื่องออกกำลังกาย แล้วใช้สายตาคมจดจ้องผม

“อย่าคิดว่าฉันจะเป็นเหมือนนาย เพราะการใช้คนอื่นมาจัดการกับอีกฝ่ายไม่ใช่วิธีของฉัน” ใบหน้าเรียบเฉยแต่กลับแฝงไปด้วยความน่ากลัว “คนอย่างฉันมันต้องตาต่อตาฟันต่อฟัน ถ้าฉันล้มอีกฝ่ายต้องจมดิน... และถ้าฉันบาดเจ็บ อีกฝ่ายก็ต้องตายเท่านั้น”

ลูเซียนมองอย่างเอาจริงเอาจังซะจนผมต้องเป็นฝ่ายหลบตาไปก่อน ทีนี้ก็คิดต่อว่าควรเอายังไง เขาพูดมาขนาดนั้นผมจะเชื่อแล้วกันว่าไม่ได้จงใจกลั่นแกล้ง และถ้าผมยอมแพ้ก็เท่ากับปล่อยให้เขามาดูถูกอีกคนถูกมั้ย

“ผมเข้าใจแล้ว”

“สรุปว่าจะเลิก?”

“ไม่ครับ” ชายตรงหน้าได้แต่ผมมองโดยไม่พูดอะไรกลับมา จนเมื่อเขาทำท่าจะเดินไปผมจึงรีบว่าต่อ “แต่ผมอยากขอวันหยุดเพิ่มหนึ่งวันเป็นทำงานอาทิตย์ละห้าวัน จะได้มั้ยครับ”

“เหตุผล?”

“ผมต้องมีเวลาอ่านหนังสือก่อนสอบเข้ามหา’ลัย”

“นายจะเรียนต่อ?” เขาย้ำพลางทำสีหน้าไม่สบอารมณ์ “ข้ออ้างดีดีที่พอจะทำให้ฉันเชื่อมีตั้งร้อยแปดอย่างทำไมไม่เลือกมาใช้ หรือในสายตานายฉันดูเป็นคนโง่มาก”

“ผมตั้งใจจริงนะครับ!” สวนกลับด้วยความหนักแน่น พร้อมเพ่งสายตามองลูเซียนอย่างจริงจัง

“กลับไปทำงานซะ”

“แล้วเรื่องวันหยุด...”

“จะกลับไปทำงานหกวัน หรือเปลี่ยนเป็นทำทั้งอาทิตย์แบบไม่มีวันหยุด”

ผมสตั้นไปสิบวิ... จากนั้นก็พยักหน้าหงึกๆ อย่างจำยอม

















TBC

NEXT UPDATE 18/05/61 TIME 20:00

วันนี้ลงเลทไปตั้ง 1 ชั่วโมง โกเมนน๊าาา พรุ่งนี้สัญญาจะลงตามเวลาเลย และขอบคุณที่ช่วยดูคำผิดให้ด้วย น่ารักมากๆ ^^
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 9:: หาเรื่อง] UPDATE 17/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 18-05-2018 00:35:44
โถ รัณย์ อดทนไว้น้า สักวันจะมีคนเห็นว่ารัณย์ได้เปลึ่ยนไปแล้ว
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 9:: หาเรื่อง] UPDATE 17/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 18-05-2018 05:38:46
ใจร้ายจังลูเซียน
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 9:: หาเรื่อง] UPDATE 17/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 18-05-2018 10:25:48
เริ่มพัวพันกับลูเซียนใหญ่แล้ว
เมื่อไหร่อีวานจะมา ค่าตัวแพงมากชิมิ จ่ายด้วยบวกและเป็ดไปพลางๆ
 :mew3:
อยากอ่านอีกๆๆๆๆ
อีวาน!
อีวาน!
อีวาน!
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 9:: หาเรื่อง] UPDATE 17/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: La_Pomme ที่ 18-05-2018 20:28:19
บทที่ 10
::โทรบอกอีวาน::





ผมยังคงทำงานที่ไนต์คลับ ต้องเจอสารพัดเรื่องแย่จากไทด์ผู้เป็นคนสอนงาน ความตั้งใจของเขาคงพูดได้ว่าทำทุกอย่างเพื่อให้ผมหมดความอดทน เวลาเห็นผมตกที่นั่งลำบากก็จะรู้สึกชอบใจจนอยากปรบมือดังๆ

ทนกับไทด์ว่างานหินแล้วแต่ก็คงไม่เท่ากับบรรดาลูกค้า อย่างวันก่อนมีชายวัยกลางคนเข้ามาขอเบอร์ บอกว่าสนใจผมนานแล้ว เห็นกำลังลำบากก็เลยเสนอตัวรับเลี้ยง ให้ผมรีบไปลาออก อยากได้เท่าไหร่ต่อเดือนก็ว่ามา ขอแค่ไปอยู่กับเขาพร้อมข้อแลกเปลี่ยนนิดหน่อย ผมฟังคนที่อายุห่างจากผมหนึ่งรอบด้วยความลำบากใจ แต่ก็ต้องปฏิเสธไป

เมื่อถึงวันหยุด ผมคิดว่าก่อนจะอ่านหนังสือควรทำให้สมองปลอดโปร่งก่อน เพราะก่อนหน้านี้ผมใช้เวลาอ่านก่อนไปทำงานทุกครั้ง แต่พอกลับมาตอนดึกก็จำไม่ค่อยได้แล้ว ตอนเช้าวันนี้ผมเลยตัดสินใจไปวิ่งออกกำลังกาย โดยใช้ถนนใกล้ๆ กับคอนโดวิ่งวนในซอยไปมา จนถึงสองโมงเช้าผมก็วิ่งขึ้นชั้นยี่สิบหกโดยไม่ใช้ลิฟต์

การออกกำลังกายเป็นไปด้วยดี กว่าจะวิ่งมาถึงหน้าประตูผมก็ได้เหงื่อเพียบ เมื่อเปิดเข้าไปในห้องผมเห็นจ้านนั่งทำอะไรบางอย่างอยู่ตรงโซฟา มีกระดาษใบเล็กๆ อยู่ในมือเขาในขณะที่รอบตัวมีแต่ถุงกับอะไรกล่องอะไรเต็มไปหมด พอเดินเข้าไปใกล้ก็พบว่าถุงพวกนั้นบรรจุพวกของแบรนด์เนม มีทั้งนาฬิกา รองเท้า เสื้อผ้า และอื่นๆ อีกมากมาย ผมกำลังจะทักว่าจ้านซื้ออะไรมาเยอะแยะ แต่ทันทีที่เห็นสีหน้าเขาความคิดของผมก็เปลี่ยนอย่างฉับพลัน

จ้านนิ่งเกินไป ขนาดผมเดินเข้ามาใกล้ขนาดนี้เขายังไม่พูดอะไรสักคำ ถ้าจะมีอะไรสักอย่างที่แปลกก็คงเป็นข้าวของพวกนี้ แม้ครอบครัวของจ้านจะร่ำรวยแต่เขาก็ไม่ได้มีนิสัยใช้เงินสุรุ่ยสุร่าย ผมอยู่กับเขามาเป็นอาทิตย์ย่อมสังเกตเห็น เพราะสิ่งของที่เขาใช้ไม่มีสิ่งไหนเกินตัว ของใช้หรือทุกอย่างในห้องดูเรียบง่าย บางอย่างดูมีระดับแต่ไม่ถึงขั้นแพงหูฉีก

แล้วไอ้ของแบรนด์เนมพวกนี้ จะใช่ของเขาแน่หรอ

“จ้าน ของพวกนี้ คือ...”

ผมพูดจบ จ้านก็นำกระดาษในมือยื่นมาให้ผม “อ่านดูสิ”

จากนั้นเขาก็เดินออกไปตรงระเบียง ทิ้งให้ผมอยู่กับกองของแบรนด์เนมและกระดาษใบเล็กๆ ในมือ มันคืออะไรกันแน่ ผมรีบอ่านด้วยความอยากรู้

‘นายไม่ยอมใช้บัตรเครดิตที่ฉันให้ไว้ เลยส่งของที่นายอาจจะชอบมาแทน เชื่อมั้ยว่านับจากคืนนั้นมาจนถึงตอนนี้ฉันยังนึกถึงวินาทีที่มีนายอยู่ในอ้อมกอดอยู่เลย หวังว่ากลับไปนายจะหาวิธีมายั่วใจฉันอีกครั้ง... อีวาน’

ไอ้ฝรั่งบ้านั่น! คิดอะไรอยู่ถึงได้ส่งข้อความแบบนี้มาที่คอนโดจ้านวะเนี่ย

ผมสบถในใจอยู่หลายคำ แต่ไม่มีคำไหนที่จะด่าหมอนั่นได้ตรงใจ เมื่อกี้จ้านคงอ่านแล้วถึงได้มีท่าทางแปลกๆ เขารู้ว่าผมปิดบังเรื่องคืนนั้น จากนี้ควรไปพูดยังไงกับเขาดี ป่านนี้จะคิดมากในทำนองที่ว่าผมไม่เชื่อใจเขาหรือเปล่า

ไม่ได้การล่ะ! ผมต้องไปอธิบายให้จ้านเข้าใจ

สายตาจดจ้องไปที่แผ่นหลังของคนตัวสูงกว่า ก่อนจะเดินตามออกไปตรงระเบียง แม้จ้านกำลังมองทิวทัศน์ด้านนอกแต่ผมกลับรู้สึกว่าเขาไม่มีความสุนทรีย์ใดใด ใบหน้าคร่ำเคร่งพลอยให้ผมหดหู่ใจจนต้องขอเวลาตั้งหลัก แล้วจึงพูดประโยคหนึ่งออกไป

“ฉันขอโทษ...”

“กูต่างหากที่ต้องขอโทษ!” เขาขึ้นเสียงสูงใส่ผม จากนั้นก็ทำสีหน้าไม่สู้ดีราวกับว่าการแสดงออกเมื่อครู่คือความพลั้งเผลอ เมื่อได้สติคืนเขาจึงพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนลง “กูไม่ได้โกรธอะไรทั้งนั้น เพียงแต่... ไม่รู้จะพูดยังไง”

“จ้าน...”

“มึงต้องอดทนเก็บเรื่องนี้ไว้คนเดียวเพราะไม่อยากให้กูเป็นห่วง ต้องมาเจอกับเรื่องร้ายๆ ในขณะที่กูช่วยอะไรไม่ได้เลย ตอนนี้กูกำลังคิดว่าคนที่สูญเสียความทรงจำอย่างมึงต้องมาเจออะไรแบบนั้น มันจะทำให้มึงทุกข์ทรมานสักแค่ไหน” คำพูดของจ้านทำให้ผมรู้ซึ้งถึงความห่วงใยที่มีให้ เขาเคยบอกว่าเราสองคนเป็นเพื่อนกันตั้งแต่จำความได้ ช่วงเวลาที่ผ่านมาผมเชื่อว่าจ้านเป็นเพียงคนเดียวที่สร้างความทรงจำดีดีให้ผม แต่ถ้ามองในมุมกลับ การที่ผมจำอะไรไม่ได้ก็เท่ากับหลงลืมความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้นระหว่างเราไป ซึ่งเขาคงทุกข์ใจกับเรื่องนั้นไม่น้อย

มาคราวนี้เขาต้องมารับรู้เรื่องร้ายๆ ที่เกิดขึ้นกับผมอีก มันช่าง... แย่จริงๆ

“นายไม่ต้องนึกถึงมันแล้วได้มั้ย ช่วยลืมๆ ไปเหมือนอย่างที่ฉันกำลังทำอยู่เถอะนะ” ผมจับเขาให้หันมามองหน้ากันตรงๆ เพื่อจะได้เข้าใจว่าผมไม่เป็นไรจริงๆ

“กูขอโทษ”

จ้านว่ามาอย่างนั้นผมก็ได้แต่ส่ายหน้า และพอหันไปเห็นของต่างที่อีวานส่งมาให้ ผมก็เอ่ยขึ้น “นายอย่ากังวลไปเลย ฉันกับอีวานไม่มีอะไรเกี่ยวข้องกันอีกแล้ว ของพวกนั้นฉันก็จะเอาไปคืนเขาด้วย ตกลงมั้ย”

“มึงรู้ว่ามันอยู่ไหนใช่มั้ย... บอกมา กูจะได้ไปถามมันว่าการใช้กำลังบีบบังคับคนไม่มีทางสู้มันสนุกมากนักหรอ” จ้านเค้นเสียงกร้าว ผมก็ได้แต่ตบบ่าเขาเพื่อให้ใจเย็นลง

“ตอนนี้เขาอยู่ที่ฮ่องกง”

“มันไม่เลิกยุ่งกับมึงแน่ แค่ข้อความนั่นกูก็รู้สึกได้แล้ว” จ้านจับบ่าผมให้เผชิญหน้ากันตรงๆ “มึงไม่ต้องกลัวนะ กูปกป้องมึงเอง จะไม่ยอมให้ใครหน้าไหนมาทำร้ายมึงได้อีก กูสัญญา”

“เอ่อ เรื่องนั้น...” เพราะผมพูดอึกอัก จ้านจึงเกิดความสงสัย

“มีอะไร”

ให้ตาย... และแล้ววันนี้ก็มาถึงจนได้!

“ฉันจะเล่าให้ฟัง”

ไหนๆ เรื่องก็มาถึงขนาดนี้ ถ้าผมไม่ยอมเปิดใจพูดเล่าทุกอย่างให้จ้านฟัง มันอาจจะช่วยชดเชยเรื่องที่ผมลืมความทรงจำที่เกี่ยวกับเขาได้บ้าง

ผมเล่าตั้งแต่อีวานให้ลูกน้องมาพาตัวไปยังคฤหาสน์ของเขา ร่ายยาวไปถึงตอนที่ถูกพาตัวออกจากคอนโดเพื่อไปหาอีวานที่สนามบิน ตอนนั้นผมโกหกจ้านว่าออกไปสมัครงาน และปิดท้ายด้วยการบอกเรื่องที่ไปทำงานในไนต์คลับพร้อมสาเหตุที่ต้องทำตามคำพูดของลูเซียนด้วย

“ร้านที่มึงไปทำงาน... คือไนต์คลับของลูเซียน”

“อืม” ผมพยักหน้าช้าๆ จากนั้นก็แอบมองสีหน้าของจ้านเพื่อคาดเดาสถานการณ์ที่จะเกิดต่อจากนี้

ผมให้เขารู้เพียงเรื่องที่อีวานเป็นเพียงผู้ชายที่มาติดพันผมแล้วไม่ยอมปล่อย สุดท้ายจึงต้องพึ่งพาลูเซียนจากเหตุผลหลายๆ ข้อ ผมเลือกที่จะให้จ้านรู้แค่นั้น เพราะผมไปขอให้ลูเซียนช่วย ถ้าเอาเรื่องที่เคยเสนอตัวให้อีวานเพื่อธุรกิจของลูเซียนมาเล่าให้ฟัง จ้านอาจจะสั่งให้ผมล้มเลิกสิ่งที่ทำอยู่เดี๋ยวนี้เลยก็ได้

“คิดว่ามึงจะไม่ยอมบอกเรื่องนี้กับกูซะแล้ว”

เอ๊ะ? ทำไมจ้านถึง...

“หมายความว่ายังไง”

“อันที่จริงกูรู้เรื่องตั้งแต่วันแรกที่มึงไปทำงานแล้ว” ผมหน้าเหวอทันที ไม่คิดว่าจ้านจะมีเรื่องที่ปิดบังผมไว้เหมือนกัน “ตอนนั้นกูเป็นห่วงมึง เลยแอบตามไปดูว่างานที่ร้านเป็นยังไง”

“แล้วทำไมถึงไม่พูดอะไรเลย” ผมถาม

“แต่ไหนแต่ไรมามึงชอบทำอะไรตามใจตัวเองจนกูชินชา ไม่ว่าใครจะห้ามยังไงก็ไม่เคยสน กูเลยได้แต่คิดว่ามึงคงมีเหตุผลที่ทำแบบนั้นถึงไม่ยอมบอกความจริง ไม่ยอมปรึกษากู แล้วยังจัดการอะไรคนเดียวอีก” จ้านดูซีเรียสมาก สีหน้าแสดงความจริงจังเสียจนผมต้องตั้งใจฟัง “กูเข้าใจว่าสถานการณ์ในตอนนี้ไม่เหมือนกับตอนนั้น มึงไม่ใช่ไอ้รัณย์คนเก่า กูจะปล่อยปะละเลยมึงไม่ได้ แต่การที่มึงปิดบังกูทั้งๆ ที่ตอนนี้กูเป็นเพียงคนเดียวที่มึงไว้ใจได้ก็เท่ากับมึงตั้งใจดีแล้ว ถ้ากูถามมันจะยิ่งทำให้มึงลำบากใจเปล่าๆ ก็เลยต้องปิดปากเงียบมาตลอด แล้วรอว่าเมื่อไหร่มึงจะบอกกูตรงๆ”

“ฉันไม่อยากให้นายเดือดร้อนไปด้วย ก็เลยยอมทำตามข้อตกลงของลูเซียน” สิ้นเสียงผม จ้านก็ขบขันในลำคอทันที คล้ายเป็นการพ่นลมหายใจที่เหน็ดเหนื่อย อ่อนล้า และหมดคำจะพูดถึงเรื่องอัดอั้นตันใจ

“กูเอาแต่สงสัยในสิ่งที่มึงตัดสินใจทำโดยไม่ถาม มารู้ความจริงอีกทีก็ตอนที่มึงบอกว่าไม่อยากทำให้กูเดือดร้อน” จ้านแสดงอาการหน่ายใจอีกครั้ง “มึงยอมเผชิญหน้ากับไอ้คนอันตรายพวกนั้นคนเดียวได้ยังไงวะ ทำไมถึงเชื่อใจเขาง่ายๆ ไม่รู้ตัวเลยหรอว่ากำลังถูกเอาเปรียบอยู่”

จู่ๆ จ้านก็พูดใส่อารมณ์ ผมเลยต้องรีบอธิบายซ้ำ

“ในเมื่อฉันยอมทำตามที่สั่งแล้ว เขาก็ควรรักษาคำพูดสิ”

“โธ่ ไอ้รัณย์! มึงคิดจริงๆ หรอว่าการไปเป็นพนักงานที่ไนต์คลับจะช่วยให้มึงรอดพ้นจากไอ้มาเฟียนั่นได้” จ้านดูหัวเสียมาก ซึ่งผมก็เข้าใจถึงได้ตั้งใจฟังเขาพูด “มึงบอกกูเองว่ารู้จักกับอีวานในฐานะหุ้นส่วนของลูเซียน แล้วอย่างนี้มันจะมาช่วยมึงให้ผิดใจกับฝ่ายนั้นเพื่ออะไร”

“ฉันไม่ได้สำคัญถึงขนาดมีต่อธุรกิจของพวกเขาหรอกนะ ตอนนี้อีวานก็แค่เป็นบ้าอะไรไม่รู้ ลองให้เขาเข้าใจว่าฉันเป็นคนของลูเซียนแล้ว เขาอาจไปหาเหยื่อคนใหม่แทนก็ได้”

“ถึงอย่างนั้นมึงก็เชื่อใจลูเซียนแค่คำพูดไม่ได้ ถ้าอยู่ๆ หมอนั่นเกิดทำเป็นไม่รู้ไม่ชี้เรื่องอีวานขึ้นมาจะทำยังไง ถึงไม่มีผลต่อธุรกิจ แต่การผิดใจกันมันก็ไม่ใช่เรื่องดีนักหรอกนะ”

ผมเริ่มคล้อยตามสิ่งที่จ้านบอกทีละนิด

“และอีกอย่าง มึงก็เป็นแค่พนักงานไม่ใช่คู่นอน ไม่มีเหตุผลเลยที่อีวานจะเกรงใจลูเซียนอย่างที่มึงว่า” คล้ายกับผมเพิ่งบรรลุอะไรสักอย่าง ทำไมไม่เคยฉุกคิดได้แบบนี้บ้าง แค่ลูเซียนพูดสัญญาปากเปล่าผมก็ยอมไปทำงานที่ไนต์คลับทันที สรุปว่าผมจะหวังให้ตัวเองเป็นคนของเขาแค่เพียงลมปากไม่ได้สินะ

“ฉันเข้าใจแล้ว” ผมเอ่ย

“เข้าใจอะไร”

“เดี๋ยวฉันมานะ”

“เฮ้ย! ไอ้รัณย์!”

 










ผมเสี่ยงดวงมาที่บริษัทของลูเซียนเป็นแห่งแรก คิดว่าถ้าไม่เจอค่อยไปหาที่อื่น ตอนนี้เวลาก็เกือบเก้าโมงครึ่ง ต้องรีบไปถามกับพนักงานว่าวันนี้เจ้าของบริษัทจะเข้ามาหรือเปล่า เมื่อได้รับคำตอบว่าลูเซียนอยู่ในระหว่างการเดินทาง ผมก็จัดการหาที่นั่งรอทันที เพราะดูจากสถานการณ์แล้วพวกพนักงานคงสงสัยว่าทำไมถึงแวะมาหาลูเซียนอยู่เรื่อย แน่นอนว่าผมกระอักกระอ่วนกับสายตาพวกนั้น แต่ทำไงได้ ก็ผมมีธุระกับเขาจริงๆ นี่

ในที่สุดลูเซียนก็มาถึง ผมมองไปก็เห็นคนคอยบริการเปิดประตูรถให้เสร็จสรรพ เขากระชับเสื้อสูทแล้วเดินเข้ามาในบริษัทด้วยท่วงท่าการเดินที่เปี่ยมไปด้วยพลังอำนาจ แต่นั่นไม่ทำให้ผมรู้สึกกังวลใจเหมือนก่อน ช่างหัวการให้เกียรติ์ไปเลย เพราะตอนนี้ผมกำลังตรงไปดักหน้าลูเซียนอย่างห้าวหาญ

ผมตั้งใจทำให้เขาหยุดเดิน จนเมื่อนัยน์ตาของเราประสานกันก่อนที่คนตรงหน้าจะเอ่ยขึ้น...

“รู้สึกว่าช่วงนี้นายจะมาหาฉันบ่อยนะ” เออ! ยอมรับ แต่ผมไม่คิดจะเถียงเรื่องนี้ให้เสียเวลาหรอก

“ตอนแรกผมเข้าใจว่าการเข้ามาเป็นพนักงานตามที่สั่งก็เท่ากับเป็นคนของคุณแล้ว แต่พอมาคิดดูอีกที ผมก็เข้าใจว่ามันไม่น่าจะง่ายขนาดนั้น”

“แล้วยังไง?” ลูเซียนถามอย่างเฉยชา ผมจึงหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงแล้วยื่นไปตรงหน้าเขา

“โทรบอกอีวานว่าผมเป็น ‘คู่นอน’ ของคุณ” น้ำเสียงหนักแน่นของผมทำให้คิ้วหนาของลูเซียนกระตุก “เสร็จแล้วผมถึงจะกลับไปทำงานต่อ”

บอสใหญ่แห่งซีเอ็กซ์ เอ็นเตอร์ไพรส์หันไปส่งซิกกับคุณเลขาที่ยืนอยู่ด้านหลังทำนองว่าให้เดินออกไป เมื่อลานของตึกชั้นล่างเหลือเพียงแค่ผมกับเขา แบบนี้มันจะเท่ากับว่าการสนทนาของเรากลายเป็นเรื่องส่วนตัวขึ้นมาทันที

“ถ้าไม่อยากทำก็ออกไป” เขาเอ่ยพร้อมสีหน้าเรียบเฉย ผมจึงรีบย้ำด้วยน้ำเสียงที่ดังฟังชัด

“คุณต้องโทรนะครับ”

“ฉันไม่จำเป็นต้องทำตามที่นายบอก”

“ผมจะซื้อคุณ!”

ลูเซียนถลึงตาใส่ผม “อย่าพูดจาพล่อยๆ”

“ถ้าเกิดผมขอให้คุณสมมุติว่าเราเป็นคู่ขากัน คุณจะเรียกเงินเท่าไหร่” ผมต้องการหลักประกันที่สามารถเชื่อในคำพูดของลูเซียนได้ หรืออย่างน้อยก็ให้มั่นใจว่าเขาจะไม่ถอนคำพูดทีหลัง และใช่ การยื่นมือช่วยผมมันไม่ใช่กงการอะไรของเขา ให้ทำฟรีๆ ใครจะไปยอม เพราะงั้นตอนแรกผมถึงทำตามที่เขาสั่ง นั่นคือการไปเป็นพนักงานในไนต์คลับ

แต่คราวนี้ ผมไม่มีอะไรมาแลกเปลี่ยนกับเขา... นอกจากเงิน

“มีเงินมาฝาดหัวฉันรึไง”

“ผมจะทำงานให้คุณจนกว่าจะครบจำนวนเงินที่คุณเรียก... โดยไม่มีวันหยุด”

“แล้วถ้าฉันเรียกเงิน 10 ล้านล่ะ”

“ห๊ะ?” แพงขนาดนี้เชียว!

“อย่าลืมว่านายกำลังให้หลอกลวงหุ้นส่วนระดับวีไอพี”

ฟังมาถึงตรงนี้ ผมรู้สึกว่าเขากำลังเล่นเกมอะไรสักอย่าง แม้จะไม่อาจคาดเดาความนึกคิดจากสายตาอันเย็นชาคู่นั้นได้ แต่การกระทำและคำพูดหลายๆ อย่างมันทำให้ผมสัมผัสได้ว่าเขาไม่มีความเห็นใจอยู่เลย

“คุณไม่ได้ตั้งใจจะช่วยผมตั้งแรกแล้วใช่มั้ย” น้ำเสียงผมสั่น จ้องมองคนตรงหน้าด้วยความขุ่นเคือง

ลูเซียนประจันหน้ากับผมสักพักก็หันไปส่งสายตาให้คุณเลขาเดินเข้ามาใกล้ สั่งให้อีกฝ่ายกดเบอร์หาอีวานอย่างไม่ลังเล ทุกอย่างมันกะทันหันซะจนผมตั้งตัวไม่ถูก จนเมื่อรับโทรศัพท์มาไว้ในมือ ลูเซียนก็ยกหน้าจอขึ้นเพื่อโชว์ชื่อให้ดูว่ากำลังโทรหามาเฟียฮ่องกงนั่นจริงๆ

“ขอสายอีวาน” จริงหรอเนี่ย! ลูเซียนคงโทรเข้าเบอร์ของคนสนิทอีวาน ผมยืนรอด้วยใจระทึก จนกระทั่ง... “ผมมีเรื่องสำคัญจะบอกคุณ”

นึกไปถึงเรื่องที่คุยกันเมื่อกี้ คับคล้ายคับคราว่าลูเซียนเสนอราคาสำหรับการโทรหาอีวานมาแบบแพงหูฉีก

ให้ตายสิ! ผมต้องเป็นหนี้เขาถึงสิบล้านเชียวนะ

“ดะ... เดี๋ยวก่อนครับ”

“รัณย์เป็นคนของผม”

ชายตรงหน้าปรายตามองผมแล้วเลิกคิ้วขึ้น “หวังว่าคุณจะไม่ยุ่งกับเขาอีก”

















TBC

NEXT UPDATE 19/05/61 TIME 20:00

 
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 10:: โทรหาอีวาน] UPDATE 18/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 18-05-2018 21:16:01
อีวานจะว่าไงเนี่ย? รออ่านตอนหน้า รีบมาต่อนะคะ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 10:: โทรบอกอีวาน] UPDATE 18/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 18-05-2018 21:43:17
ทีมอีวาน :z2:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 10:: โทรบอกอีวาน] UPDATE 18/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 18-05-2018 22:36:37
ไม่รู้ดิ อยู่ทีมลูเซียน เหมือนมีอะไรในใจไหม555
ไม่งั้นรันย์คนเก่าจะยอมขายตัวให้อีวานหรอ รึไง #ทีมลูเซียน อย่าร้ายให้มากได้ไหมมม

รอนะคะ อยากอ่านต่อแล้วว
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 10:: โทรบอกอีวาน] UPDATE 18/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 18-05-2018 23:00:23
ดูเหมือนเกิดความปั่นป่วนเล็กๆยังไงไม่รู้ ต่อจากนี้อีวานคงจะรีบทำอะไรสักอย่างแน่
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 10:: โทรบอกอีวาน] UPDATE 18/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 18-05-2018 23:18:53
เราชอบลูเซียน เซียนดูน่าสนใจดีค่ะ ดูเป็นคนนิ่งๆ น่าค้นหา นึกว่าวันนี้จะพูดดักรัณย์ว่า 10นาทีอีก 555555
 ขออยู่ทีมลูเซียนละกัน 55
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 10:: โทรบอกอีวาน] UPDATE 18/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 19-05-2018 11:31:39
เนื้อเรื่องสนุกดีค่ะ นายเอกความจำเสื่อมจริงๆ หรือเป็นวิญญาณอื่นมาอยู่ในร่าง

จะออกแนวฮาเร็ม มีพระเอกหลายคนหรือเปล่าคะ แบบ True Star ที่พอนายเอกนิสัยเปลี่ยน บรรดาพระเอกจากที่เดิมไม่สนใจก็มาชอบ ยังไงรอติดตามตอนหน้า มาต่อไวๆ นะคะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 10:: โทรบอกอีวาน] UPDATE 18/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 19-05-2018 13:00:05
 :z3: :katai1:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 10:: โทรบอกอีวาน] UPDATE 18/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 19-05-2018 13:57:21
ลูเซียน เหมือนคิดไรในใจกับรัณย์นะ
แต่รัณย์ ดูซื่อๆ ไม่ทันเกม

รัณย์  เสน่ห์แรงจริงๆ มีแต่คนเข้าหา   :o8: :-[ :impress2:
อีวาน ก็ติดหนึบหนับ  :really2: :really2: :really2:
จ้านล่ะ รักรัณย์แต่ไม่แสดงออกหรือเปล่า
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 10:: โทรบอกอีวาน] UPDATE 18/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: La_Pomme ที่ 19-05-2018 20:11:26
บทที่ 11
::ไม่สนิทใจ::




พูดออกไปแล้ว?

ผมได้ยินชัดเจน ขนาดพูดจบไปแล้วก็ยังดังก้องอยู่ในโสตประสาท ผมควรพอใจที่อีกฝ่ายทำตามคำร้องขอและเชื่อมั่นในสัจจะของเขาได้แล้ว หากทว่า มันกลับมีบางอย่างที่ยากเกินกว่าจะทำใจยอมรับ เพราะมันไม่ต่างกับพายุลูกใหญ่ที่มาหลังจากท้องเริ่มสดใสแม้แต่น้อย

ลูเซียนนำโทรศัพท์ออกจากหู ส่งให้คุณเลขาก่อนจะหันมาพูดกับผม

“พอใจรึยัง”

“ผม... ผมต้องจ่าย... สะ... สิบล้านจริงๆ หรอครับ”

กลายเป็นว่าในหัวผมตอนนี้มีแต่เรื่องเงินที่ตกลงกันไว้ แต่เฮ้ย! เดี๋ยวก่อน ผมยังไม่ตกลงว่าจะจ่ายให้เขาเท่านั้นสักหน่อย พูดเองเออเอง โทรเอง แถมยังคุยกันแค่ประโยคเดียวแค่นั้นก็จะมาเรียกเงินผมถึงสิบล้าน มันเกินไปหน่อยมั้ย

“ที่คลับฉันมีโบนัสให้พนักงานทุกปี”

“แล้วยังไง ต่อให้ทำที่นั่นจนตายผมก็คงใช้เงินให้คุณไม่หมดหรอก”

“ไม่ทันไรก็คิดจะเบี้ยวแล้ว?”

“ไม่ใช่อย่างนั้นนะครับ” ตอบด้วยน้ำเสียงที่แสนสลด “คือ... ผมยังต้องหาเงินเรียนอีก”

“ถามจริง?”

“ผมกำลังเตรียมตัวสอบเข้ามหา’ลัย ถ้าสอบติดผมก็ต้องเก็บเงินเรียนเอง แล้วจะเอาเวลาที่ไหนมาทำงานใช้หนี้คุณ” ผมตัดพ้อ “ไม่งั้นก็รอให้ผมจบก่อนได้มั้ยครับ ส่วนเรื่องเงินค่อยว่ากัน”

“แค่พูดใครๆ ก็ทำได้”

ฟังแล้วเหมือนตัวเองค้างอยู่กลางอากาศ คำพูดช่างเย็นชาไม่ต่างกับสีหน้า ผมรู้ว่ามันออกจากห่างไกลความจริงไปหน่อย แต่ผมจะไม่ให้คนอย่างเขาดูถูกเด็ดขาด

“ผมจะพิสูจน์ให้คุณเห็นเอง” อยู่ๆ ก็รู้สึกมุ่งมั่น เต็มเปี่ยมไปด้วยพลังแห่งความหวัง ผมจริงจังกับคำพูดตัวเองมากพอๆ กับความต้องการที่อยากจะเข้ามหาวิทยาลัยเพื่ออนาคตอันสดใส

“ถ้านายสอบเข้ามหา’ลัยได้จริง เรื่องเงิน 10 ล้านฉันจะยกให้” ผมเบิกตากว้าง แวบแรกก็ดีใจอยู่หรอก แต่พอคิดดูอีกที ลูเซียนคงมั่นใจว่าผมทำไม่ได้มากกว่า ไม่งั้นคงไม่วางเดิมพันสูงขนาดนี้

ดี! อย่างน้อยก็ช่วยเพิ่มแรงฮึด แล้วเขาจะได้รู้ว่าไม่ควรดูถูกคนอย่างผม

“พูดแล้วห้ามคืนคำ” เขาพยักหน้าตอบ

“นายก็อย่าลืมที่บอกว่าจะทำงานให้ฉันทุกวันโดยไม่มีวันหยุดด้วย”

ว่าไงนะ!

“คือ เมื่อกี้ผม...”

“จะกลับคำหรอ” ฟังแล้วรู้สึกเหมือนมีอะไรมาจุกตรงลำคอ เมื่อกี้เป็นคนบอกเขาเองว่า ‘พูดแล้วห้ามคืนคำ’ เจอสวนกลับแบบนี้ผมจะกล้าถอนคำพูดตัวเองได้ไง

“แต่ผมต้องมีเวลาอ่านหนังสือนะครับ” น้ำเสียงผมแผ่วลง แสดงถึงความนอบน้อมทั้งๆ ที่ไม่อยากทำเท่าไหร่

“สรุปว่าอยากเรียนต่อ หรืออยากให้อีวานเลิกยุ่ง”

“ทะ… ทั้งสองอย่าง”

“ต้องการมากยิ่งเหนื่อยมาก มันก็ถูกต้องแล้ว”

ไอ้...  &$%&@#

 











**

ลูเซียนเดินไปที่ลิฟต์หลังจากกรัณย์เดินออกจากบริษัทไป จักรพงษ์จัดการกดเลือกชั้นบนสุดให้เช่นเคย ระหว่างรอให้ลิฟต์ถึงที่หมาย เลขาวัย 42 ก็เอ่ยขึ้น

“คุณเซียนไม่ได้โทรหามิสเตอร์อีวานจริงๆ ใช่มั้ยครับ” จริงอยู่ที่จักรพงษ์ถูกสั่งให้กดเบอร์หาเหย้าเหวิน แต่หลังจากยกหน้าจอให้กรัณย์ดู เขาแอบเห็นว่าลูเซียนอาศัยจังหวะตอนนำโทรศัพท์แนบหูใช้นิ้วกดวางสายไป

ผู้เป็นนายยืนนิ่ง ไม่พูดอะไรกลับ กระทั่งลิฟต์เปิดออก...

“ผมจะโทรหาเขาด้วยเรื่องไร้สาระทำไม” หลังจากเดินออกมาจากลิฟต์ ลูเซียนก็เอ่ยระหว่างเดินไปด้วย “อีวานมีหูตาอยู่ทั่ว ถ้าเขาคิดจะจับตาดูรัณย์จริงๆ ป่านนี้คงรู้ทุกความเคลื่อนไหวแล้ว ไม่ต้องรอให้ผมเอ่ยปากบอกหรอก”

ร่างสูงเดินนำหน้าไปยังห้องทำงาน ก่อนจะปิดล็อคห้องไม่ให้ใครเข้าพบไปจนถึงตอนเย็น จักรพงษ์ทำงานกับลูเซียนตั้งแต่ยังเป็นวัยรุ่น เขาย่อมรู้ดีว่าลูเซียนมักทำแบบนั้นเวลามีเรื่องให้คิดหนัก


**

 












 “เอาจริงดิ!”

ระหว่างที่ผมกำลังทำความสะอาดโต๊ะเพื่อตอนรับลูกค้ากลุ่มใหม่ ก็ได้ยินเสียงใครบางคนดังมากจากด้านหลัง เมื่อผมหันไปดูก็พบว่าเขาคือผู้ชายที่เคยเข้ามาทักทายผมเมื่อตอนเข้ามาในไนต์คลับนี่ครั้งแรก และยังเคยคุยกับจ้านที่รถอีกด้วย ถ้าจำไม่ผิด รู้สึกว่าเขาจะชื่อ...

“ติณณ์” ผมเรียกเชื่อคนตรงหน้าทันทีที่นึกได้

“ไอ้ปาล์มมันโทรมาบอกกูว่ามึงใส่ชุดเด็กเสิร์ฟทำงานอยู่ที่ไนต์คลับ ตอนแรกก็คิดว่ามันอำเพราะอยากให้กูทิ้งงานวิจัยมา แต่ที่ไหนได้...” เขาแสดงสีหน้าเหลือเชื่อเหมือนกับคนอื่นๆ จนผมเริ่มรู้สึกชินซะแล้ว

“เรื่องมันยาวน่ะ”

“ไม่เอาน่ารัณย์ มึงมีปัญหาอะไรก็เล่าให้กูฟังบ้างสิ เราเป็นเพื่อนกันนะ”

นั่นสิ ติณณ์เองก็เป็นเพื่อนผมอีกคนหนึ่ง แต่จ้านกลับไม่ให้พูดเรื่องที่ผมความจำเสื่อม ไม่ว่าจะด้วยเหตุผลอะไรก็คงเป็นผลดีต่อผม ถ้าอย่างนั้นก็เล่าในส่วนที่เล่าได้แล้วกัน

“ฉันอยากเรียนต่อ ก็เลยหางานทำเพื่อส่งเสียตัวเอง” พูดจบ ติณณ์ถึงกับทำหน้าเหวอไปเลย เขาดูอึ้งจนผมต้องแปลกใจตามไปด้วย

“อะไรที่ทำให้มึงคิดแบบนี้... หรือว่าไปเจอคนไม่ดีเข้า” เขาเข้ามาจับตัวผมหันซ้ายหันขวา แล้วใช้สายตาตรวจตั้งแต่หัวจรดเท้า “เกิดอะไรขึ้น มันทำร้ายมึงหรอ? เคยบอกแล้วใช่มั้ยว่าจะคบกับใครให้ปรึกษากูก่อน”

พูดแบบนี้แสดงว่าเขารู้เรื่องของผมอยู่บ้าง ถ้าอย่างนั้นผมก็ควรชี้แจงกับเขาก่อนที่เจ้าตัวจะคิดไปไกล

“ต่อไปนี้ฉันจะไม่ให้ใครรับเลี้ยงอีกแล้ว... ไม่เอาแล้ว” ผมจริงจังกับคำพูดตัวเองมาก คิดว่าบอกไปแบบนั้นอีกฝ่ายคงเข้าใจในการตัดสินใจของผม แต่ท่าทางติณณ์จะไม่เฉียดใกล้กับคำว่า ‘เข้าใจ’ เลย

“คอนโดมึงล่ะ” น้ำเสียงของติณณ์ฟังดูทะแม่งๆ แตกต่างจากเมื่อกี้โดยสิ้นเชิง

“ฉันไม่ได้อยู่ที่นั่น”

“แล้วไปอยู่ไหน”

“ตอนนี้ฉันอยู่กับจ้าน” ติณณ์ถอดสีหน้าทันทีที่ผมพูดจบ ซ้ำยังขมวดคิ้วหนักพลางจ้องผมเขม็ง “แต่ถ้าอะไรมันลงตัวแล้วฉันจะย้ายออกทันที”

ผมเริ่มประหม่ากับการถูกมองแบบนั้น แต่ไม่นานหลังจากพูดประโยคเมื่อครู่จบ ติณณ์ก็เสยผมแล้วยิ้มออกมา แต่บอกตามตรงว่าผมไม่ได้รู้สึกว่าอยากยิ้มตามเท่าไหร่เลย

“ไปอยู่กับกูมั้ยล่ะ ที่บ้านกูมีห้องเยอะแยะ มึงอยู่สบายแน่”

“ไม่ดีกว่า ฉันไม่อยากรบกวนนาย” ผมส่ายหน้าก่อนหางตาจะเหลือบไปเห็นลูกค้ากลุ่มใหม่ที่กำลังเดินเข้ามา “ตอนนี้ฉันทำงานอยู่ เอาไว้คุยกันวันหลังนะ”

ขณะเดินผ่านติณณ์ไป ผมก็ได้ยินเสียงที่ออกมาจากปากของอีกฝ่าย

“มึงคิดจะทำอะไรกันแน่”

ผมหยุดฝีเท้า น้ำเสียงกระแทกกระทั้นของเขาทำให้ผมรู้สึกงุนงง

“จะให้กูเชื่อเรื่องที่มึงอยากเรียนต่อจนต้องมาหางานทำเนี่ยนะ” ติณณ์กัดฟันกรอด สีหน้าเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง “ถึงกูจะแปลกใจกับคำพูดคำจาของมึงพักหลังมานี้ แต่ก็ใช่ว่ากูจะเชื่อเรื่องที่มึงอยากเปลี่ยนแปลงตัวเองได้จริงๆ”

ปฏิเสธไม่ได้ว่าผู้ชายคนนี้รู้จักผมดี คงเห็นผมเป็นกรัณย์เพื่อนสนิทที่รู้นิสัยใจคอกัน แม้จะยังทำตัวไม่ถูกเวลาอยู่ต่อหน้าเขา แต่ผมก็พยายามบอกในเรื่องที่ติณณ์ควรรู้ไปแล้ว เข้าใจว่าเขาคงรู้สึกแปลกๆ แต่ทำไมต้องแสดงอาการไม่พอใจขนาดนั้นด้วยล่ะ

กับจ้าน... ผมสัมผัสได้ว่าเขาคือเพื่อน ถึงได้ไว้วางใจ

แต่กับติณณ์... ถึงบอกว่าสนิทกัน ผมกลับไม่รู้สึกสนิทใจเท่าไหร่

ตอนแรกคิดว่าอยู่กับจ้านทุกวัน คนอื่นๆ ก็เลยกลายเป็นคนแปลกหน้าไปหมด จนได้มาคุยกับติณณ์ แม้จะพูดแบบเป็นกันเอง แต่ผมก็ยังมองว่าเขาเป็นชายหนุ่มที่รู้จักแค่ชื่ออยู่ดี

ผมเดินสลัดความคิดในหัวก่อนจะเดินไปต้อนรับลูกค้า รอสั่งเครื่องดื่ม กระทั่งนำมาเสิร์ฟเรียบร้อย พอเห็นว่าทุกอย่างดูเรียบร้อยดีผมก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ กำลังคิดอะไรเพลินๆ อยู่ๆ ก็มีใครบางคนเดินมายืนอยู่ด้านหลัง

โถฉี่ข้างๆ ก็ว่างทำไมไม่ใช้?

ผมสงสัยและรู้สึกพะวงหลังไปจนเสร็จธุระ จากนั้นจึงค่อยๆ เลี่ยงไปใช้อ่างล้างมือ ไม่มีจังหวะไหนที่ผมเห็นหน้าเขาหรอก แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะตามติดจนทำให้ผมข้องใจว่าต้องการอะไร

สุดท้ายผมก็ตัดสินใจหันไปดูหน้าชายที่กำลังยืนอยู่ด้านหลัง...

“คุณ!”

พับผ่าสิ! ผู้ชายคนนี้เป็นคนเดียวกับที่เคยบอกว่าจะขอรับเลี้ยงผมนี่หว่า

“รัณย์...” เขาเรียกชื่อผมด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง ฟังดูสนิทสนม แต่ใบหน้าเขากลับดูมีอายุจนผมสามารถเรียกพ่อได้สบายๆ “เธอจะไม่ให้โอกาสฉันจริงหรอ ฉันสนใจเธอมานานแค่ไหนรู้บ้างมั้ย ถึงไม่มีบริษัทใหญ่โตเหมือนคนอื่นแต่ฉันก็ไม่ปล่อยให้เธอลำบากแบบนี้แน่ ไปอยู่กับฉันเถอะนะ ฉันสัญญาว่าจะดูแลเธอยอย่างดี อยากได้อะไรฉันให้เธอได้หมด”

ชายตรงหน้าจับไหล่ผมไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง ลมหายใจมีแต่กลิ่นเหล้าแบบไม่ต้องเดาเลยว่าดื่มหนักแค่ไหน วันนี้ผมไม่ได้ต้อนรับเขาเลยไม่ทันเห็นว่าคืนนี้มาด้วย อุตส่าห์คิดว่าการปฏิเสธจะได้ผลซะแล้ว  แต่ท้ายที่สุดก็ยังเห็นเขามาที่นี่เหมือนอย่างทุกวันอยู่ดี

“ปล่อยผมเถอะครับ” ผมพยายามแกะมือเขาออก ใช้วาจานิ่มนวลในฐานะผู้บริการอย่างดีที่สุด ยิ้มให้ก็แล้ว ขอดีดีก็แล้ว อีกฝ่ายก็ยังดื้อรั้นจะเอาแต่ใจให้ได้

“ฉันชอบเธอมากนะรัณย์” พูดจบก็ยื่นหน้าเข้ามาใกล้ ยังดีที่ผมไหวตัวทัน สามารถเบี่ยงหลบได้ ผมล่ะอยากยกเท้าขึ้นมายันคนตรงหน้าใจจะขาด แต่ก็ต้องข่มใจไว้เพราะเขาเป็นลูกค้า ทำได้ก็แค่เดินหนีไปให้เร็วที่สุด นึกว่าจะรอดแล้ว ไม่นานมือปลาหมึกก็คว้าตัวผมไว้อีก แถมคราวนี้ถึงขั้นผลักร่างติดกำแพงกันเลย

ผมสูงกว่าชัดเจน แต่เขาอาศัยร่างกายที่อ้วนท้วมกว่าบังทางหนีทีไล่ของผม ใบหน้าเราอยู่ใกล้กันจนเห็นริ้วรอยตีนกา ตอนนี้เขาดูโกรธมาก พอผมขัดขื่นแรงเข้าหน่อยก็จับหันหน้าเข้ากำแพงและล็อคแขนผมไขว่หลังไว้

เพียงชั่วครู่ผมก็รู้สึกถึงอะไรแฉะๆ ตรงใบหู...

วินาทีนั้นผมร้องห้ามแทบตาย ทั้งรังเกียจ ทั้งขยะแขยง รู้สึกเวียนหัวอยากอาเจียน จากตอนแรกที่คิดว่าจัดการได้ ถ้าโดนจู่โจมผมจะป้องกันตัวสุดชีวิต ไม่ยอมให้อีกฝ่ายทำอะไรล้ำเส้นแน่นอน แต่ดูตอนนี้สิ ความชะล่าใจของผมกำลังทำให้สถานการณ์มันเลวร้ายกว่าเดิม

และในตอนนั้นเอง!

“เฮ้!”

มีใครบางคนส่งเสียงอยู่ไม่ไกลจากตรงนี้ ผมรีบหันไปมองก่อนจะพบกับผู้ชายที่ผมไม่อยากให้มาเห็นสภาพอันน่าสมเพชของตัวเองในตอนนี้มากที่สุด




ไทด์...















TBC

NEXT UPDATE 20/05/61 TIME 19:00
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 11:: ไม่สนิทใจ] UPDATE 19/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 19-05-2018 20:41:42
ไทด์!! มาทำไม มาทำอะไร หวังว่าจะไม่เดินผ่านไปหรอกนะ :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 11:: ไม่สนิทใจ] UPDATE 19/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 20-05-2018 03:56:20
มาได้จังหวะ แต่ไทค์ก็คงมองว่ารัณย์ทำตัวแบบเดิมอีกแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 11:: ไม่สนิทใจ] UPDATE 19/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 20-05-2018 07:34:11
จะมาซ้ำเติมรึเปล่า
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 11:: ไม่สนิทใจ] UPDATE 19/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 20-05-2018 15:02:29
ไทด์ จะเห็นแค่แรกหรือเปล่า   :really2:
ยิ่งดูแคลนรัณย์ซะด้วย

ลูเซียน ประหลาดๆ เอาประโยชน์จากรัณย์
ไม่เชื่อรัณย์  แค่ให้คนจับตามองก็รู้แล้วว้่รัณย์พุดจริงหรือไม่
 
ติณณ์เหมือนจะเป็นคนรู้จัก แต่ต่างไปจากจ้านอีก
ก็เหมือนๆคนอื่น ไม่เชื่อรัณย์ซะเลย   :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 11:: ไม่สนิทใจ] UPDATE 19/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 20-05-2018 19:57:43
แง้้้ รอ ร๊อรอ 2 ทุ่มละนะ งอแงงง  :katai5:

คิดถึงรันย์แล้ว
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 11:: ไม่สนิทใจ] UPDATE 19/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 20-05-2018 20:16:32
มารอด้วยคนน ติดงอมแงม
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 11:: ไม่สนิทใจ] UPDATE 19/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: La_Pomme ที่ 20-05-2018 21:31:24
บทที่ 12
::หมดความอดทน::





ชายร่างหนาหยุดการกระทำ ก่อนจะหันไปมองไทด์พร้อมกับผม ขณะนั้นมือที่ถูกจับล็อคเริ่มคลาย ผมจึงอาศัยจังหวะนั้นพลิกตัวเองกลับแล้วผลักอีกฝ่ายไปเต็มแรง ระหว่างหายใจเหนื่อยหอบ เสียงเพลงกระหึ่มกับกลิ่นเหล้าแทบทำให้ผมสติผมหลุด จนเมื่อหันไปมองไทด์ที่ยืนอยู่ไม่ไกล ผมทำอะไรไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรรับผิดชอบเรื่องผลักลูกค้า หรือว่าจะแบกความผิดแล้วเดินหนีไปดี

“มาช่วยฉันยกของ”

สีหน้าของไทด์เรียบเฉย สบตากันแปบเดียวเขาก็เดินเข้าหลังร้าน กำลังนึกลังเลว่าจะเอาไงต่อ ผมก็ตัดสินใจกัดฟันแล้วสาวเท้าตามหลังเขาไปทันที

เมื่อเดินมาถึงหลังร้าน ผมจำได้ว่าลังเหล้าเบียร์ที่วางเรียงเป็นตั้งคือของล็อตใหม่ที่ผมเพิ่งเช็คสต๊อกไปเมื่อคืนวาน ระหว่านนั้นไทด์กำลังเดินตรวจดูชนิดเหล้าและยี่ห้อที่ต้องยกเข้าไป ท่าทางเขาดูนิ่งเสียจนผมไม่รู้พูดอะไรดี แต่ที่แน่ๆ คือผมหลุดพ้นจากผู้ชายบ้ากามคนนั้นมาได้ก็เพราะเขา   

“ขอบคุณครับ” ผมเอ่ยหลังจากไต่ตรองถี่ถ้วนแล้ว

“ฉันแค่หาคนช่วยยกของ” ไทด์ไม่มองหน้าผม เอาแต่สนใจลังเบียร์ที่ต้องรีบยกเข้าด้านใน

“ถึงยังไงผมก็อยากขอบคุณที่...”

“ฉันไม่ได้ช่วยนาย” คนตรงหน้ายืนยันหนักแน่น แววตาไม่มีความลังเล “ทุกวันนี้ฉันเหม็นขี้หน้านายจะแย่ แล้วทำไมต้องลดตัวไปทำอะไรแบบนั้นด้วย หัดคิดซะบ้าง”

ผมยืนเหวอ ไอ้คำแขวะพวกนั้นผมโดนมาบ่อยจนใกล้จะเป็นส่วนหนึ่งของชีวิต ที่ผ่านมาผมไม่เคยตอบกลับเพราะถ้ามองมุมกลับกัน มันอาจเป็นสิ่งที่ผมสมควรได้รับก็ได้

“เอ้า! รีบขนแล้วกลับไปทำงานต่อสิ”

ไทด์ตะคอกเสียงเรียกสติ ผมจึงกุรีกุจอเข้าไปยกลังเบียร์ที่เขาเลือกไว้ กำลังจะใช้แขนขึ้น แต่ในใจกลับมีอะไรบางอย่างที่อยากพูด มันอัดอัดแบบไม่รู้จะอธิบายยังไง ผมทนกับการโดนรังแกมาหลายรูปแบบ อย่างเรื่องที่พยายามลืมสิ่งที่อีวานทำกับผมในคืนนั้น ผมก็ต้องมองว่าการใช้ความอดทนเข้าต่อสู้มันเป็นเรื่องง่าย เพราะผมเหนื่อยที่จะพูด เหนื่อยที่จะแก้ไขในเรื่องที่ผมเคยเป็นมาแต่จำไม่ได้

จนมาเจอกับสถานการณ์ในห้องน้ำเมื่อกี้ ผมก็เริ่มรู้สึกว่าตัวเองชักจะอดทนไม่ไหวแล้ว!

ผมวางลังเบียร์ไว้ที่เดิม หันไปเห็นว่าไทด์กำลังแบกลังโซดาไปตรงประตูเข้าด้านใน จึงรีบย่ำเท้าไปดักหน้าเขาไว้ ทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจว่ามันคือการหาเรื่องใส่ตัวชัดๆ

“หลีกไป”

“…” ผมเอาแต่จ้องหน้า ไม่ยอมพูดอะไร เขาจึงวางลังโซดาลง

“จะเอายังไง”

“ผมไปจากที่นี่ตามที่คุณต้องการไม่ได้ เพราะงั้น...” ผมมองมือใหญ่ๆ ของไทด์ ก่อนจะจับมันขึ้นมากระแทกกับหน้าผมเอง “ชกผมเลยครับ”

“เป็นบ้าอะไร!” ไทด์สลัดมือตัวเองออกอย่างรวดเร็ว ตามด้วยการเพ่งนัยน์ตาอันแสนเกรี้ยวกราดมาที่มองผมอย่างขุ่นเคือง การตอบสนองของเขาไวมาก ทำให้รู้เลยว่าเขารังเกียจผมมากจริงๆ

“เอาคืนเรื่องที่ผมเคยทำอะไรให้คุณไม่ชอบใจไง... ต่อยผมเลยสิ เอาให้หายแค้น” ผมใช้เสียงแข่งกับเสียงเพลงด้านใน จนพูดจบไทด์ก็ไม่มีทีว่าจะพูดอะไรกลับ ผมจึงว่าต่อ “ถ้าพอใจแล้ว เราจะเป็นเพื่อนร่วมงานที่ดีต่อกันได้รึเปล่า”

ไทด์ที่ยืนนิ่งตั้งแต่เมื่อกี้เริ่มหรี่ตา ก่อนจะเดินเข้ามาประจันหน้าผมแบบใกล้มาก

“แค่ต่อยหน้า มันไม่ทำอะไรเปลี่ยนหรอก นอกเสียจาก... นายจะเจ็บตัวฟรี”

 












ทุกวันนี้จ้านยังคะยั้นคะยอให้ผมเลิกไปทำงานที่ไนต์คลับ ผมรู้ว่าเขาเป็นห่วง แต่ถึงอย่างนั้นผมยังยืนยันคำเดิมว่าจะลองวิธีนี้ดูก่อน ไหนๆ ก็ทำตามที่ลูเซียนบอกมาถึงขั้นนี้แล้ว ถ้าเลิกไปเขาอาจคิดว่าผมไม่มีความตั้งใจจริง

หลังจากวันนั้นพอกลับมาถึงคอนโดทีไร ผมจะเห็นจ้านนอนฟุบอยู่ตรงโซฟา แม้เคยบอกไปแล้วว่าไม่ต้องรอ แต่เพื่อนคนนี้ก็ไม่ยอมทำตาม แถมยังบอกกลับอีกว่าแบบนี้ดีแล้ว เพราะถึงจะเข้าไปนอนในห้อง สุดท้ายก็ต้องคอยเดินออกมาดูว่าผมถึงบ้านหรือยังอยู่ดี หลายวันมานี้ผมเริ่มอ่านหนังสือน้อยลง ปวดหัวบ้าง เวลาน้อยไปบ้าง หนำซ้ำเวลาสอบก็ใกล้เข้ามาเรื่อยๆ ผมเป็นกังวลในใจเพราะไม่อยากให้จ้านเครียดไปด้วย

ผมมักจะอ่านหนังสือช่วงสายถึงบ่าย ถ้าวันไหนจ้านไม่มีเรียนก็จะช่วยผมติวและคอยจดโน้ตสำคัญไว้ให้ เพราะในหัวผมว่างเปล่าราวกับไม่เคยเก็บความรู้อะไรมาก่อน ก็ต้องขอบคุณจ้านที่สอนเทคนิคการจำที่ได้ผล ทีเหลือก็แค่ตั้งใจแล้วไปให้สุด ขนาดไปทำงานผมยังขนชีทไปอ่านเวลาพักด้วยเลย

วันนี้ที่คลับดูครื้นเครงเป็นพิเศษ เพราะในครัวเริ่มทำอาหารตั้งแต่ยังไม่เปิดร้าน ผมดูจากสถานการณ์เอาโดยไม่สอบถามใคร ก็ได้ความว่าทุกคนกำลังเตรียมงานเลี้ยงวันเกิดให้ไทด์ ผู้ชายห่ามๆ หน้าตาไม่เป็นมิตรก็มีงานวันเกิดกับเขาด้วย และดูเหมือนว่าลูเซียนจะอนุญาตให้นำเหล้าในร้านมาฉลองได้ตามต้องการ เท่ากับเป็นสวัสดิการจากเจ้านาย

ผมเห็นทุกคนช่วยกันลงแรงก็อยากเป็นส่วนร่วมด้วย แต่เมื่อนึกถึงสายตาเกลียดชังที่ไทด์มีต่อผม ถ้าเข้าไปทำอะไรโดยที่อีกฝ่ายไม่ร้องขอ อาจเป็นการล้ำเส้นและสร้างความตะขิดตะขวงใจได้ อีกอย่างผมก็ไม่ได้สนิทกับใคร เดี๋ยวจะกลายเป็นว่าผมเสือก ทำตัวหน้าด้านหน้าทนไปอีก

“รัณย์!”

พนักงานในครัวตะโกนเรียกชื่อในขณะที่ผมกำลังเช็ดโต๊ะอยู่คนเดียว เพราะคนอื่นๆ กำลังสนุกสนานกับงานเลี้ยงวันเกิดของไทด์ ผมจึงหันไปขานรับ

“ครับ”

“มากินด้วยกันสิ” ทุกคนที่กำลังฉลองอยู่หันมามองผมเป็นตาเดียว จากนั้นเสียงสนทนาก็ค่อยๆ เงียบลง ผมเห็นไทด์วางแก้วเหล้าลงบนโต๊ะพลางเบือนหน้าหันไปอีกทาง แสดงสีหน้าไร้อารมณ์จนผมรู้ได้เองว่าควรทำยังไง

“ไม่เป็นไรครับ ผมทานมาแล้ว” พูดจบผมก็หันไปเช็ดโต๊ะลูกค้าต่อ

“ไทด์” พี่ผู้ชายในครัวจ้องหน้าเจ้าของวันเกิด

“ไอ้โก้... มันพูดเองว่ากินมาแล้ว มึงไม่ได้ยินไง” พวกเขาอายุเท่ากัน และยังเข้าทำงานในช่วงเวลาไล่เลี่ยกันอีก มันจึงไม่แปลกที่พวกเขาจะพูดคุยกันอย่างสนิทสนม

“วันนี้วันเกิดมึงนะเว้ย ลดทิฐิลงสักวันได้ป่าววะ” พี่โก้วางมือไว้บนบ่าของอีกฝ่าย “เรื่องมันนานมาแล้วลืมๆ ไปบ้างก็ได้ อีกอย่างเขาก็ตั้งใจทำงานดี ไม่เห็นสร้างเรื่องยุ่งให้มึงตรงไหน... ใช่มั้ยไอ้ยักษ์”

พี่โก้หันไปหาชายรูปร่างสันทัด แม้ชื่อจะฟังใหญ่โตแต่ตัวเขาสูงไม่เกิน 165 ตัวผอม เป็นคนพูดน้อย และเป็นน้องเล็กสุดในร้านที่ไม่กล้าสบตากับผมตรงๆ แต่หลังจากได้เขามาช่วยสอนเรื่องการเช็คสต็อกของ เราสองคนก็คุยกันบ่อยขึ้น แม้บรรยากาศมันจะดูอึดอัดไปหน่อยก็ตาม

“เขาพูดจากับผมดีกว่าแต่ก่อนอีกนะเฮีย จากตอนแรกที่ผมไม่กล้าเข้าใกล้ ตอนนี้เริ่มจะรู้สึกว่าเขาเป็นพนักงานเหมือนกับเราแล้วล่ะ” ยักษ์พูดกับไทด์ก่อนจะหันมามองผมแล้วยิ้มให้เล็กน้อย ท่าทางยุกยิกหลุกหลิก ผมเห็นแล้วก็อดยิ้มไปด้วยไม่ได้

“คนเรามันเปลี่ยนกันได้ที่ไหน” จบประโยค ไทด์ก็เหลือบตามองผม “รู้หน้าไม่รู้ใจ ในหัววางแผนอะไรอยู่ไว้รึเปล่าก็ไม่รู้ ฉันว่าอีกไม่นานหมอนั่นก็ต้องเผยธาตุแท้ออกมา แค่ตอนนี้มันยังไม่ถึงเวลาเท่านั้นเอง”

“แต่เผอิญว่ากูเป็นคนทำอาหารพวกนี้ว่ะ อยากให้ใครกินมันก็เรื่องของกู โอเค๊?” พี่โก้ทำหน้าไม่รู้ไม่ชี้

“วันนี้วันเกิดกูนะเว้ย มึงอยากทำให้งานกร่อยรึไง”

“ไม่เป็นไรจริงๆ ครับ” ผมรีบพูดขึ้นมาเพื่อให้พวกเขาสนุกกันต่อ “ความจริงผมก็ไม่ได้ช่วยทุกคนจัดเตรียมอะไรเลย ให้ผมไปร่วมวงด้วยจะดูแปลกๆ ยังไงก็...”

ผมคิดหนักกับคำพูดที่จะเอ่ยต่อจากนี้ จนเมื่อหันไปจ้องหน้าไทด์อีกครั้งผมก็เอ่ยขึ้น

“สุขสันต์วันเกิดนะครับ”

ถือว่าทำไปตามธรรมเนียม เขาจะไม่รับก็ช่าง และตอนนี้ผมก็เช็ดโต๊ะเสร็จพอดี ตั้งใจว่าจะเข้าไปหยิบหนังสือในล็อคเกอร์อ่านเพื่อฆ่าเวลา แต่ยังไม่ทันก้าวเท้าไปไหน เสียงของใครบางคนก็ดังขึ้น

“เดี๋ยว!” ผมชะงักก่อนจะหันไปดูต้นเสียง พบว่าไทด์กำลังมองมา

“ฮะ?”

“มานี่” ผมขมวดคิ้วเข้าหากัน เมื่อกี้มีทีท่าปฏิเสธ มาตอนนี้กลับเรียกเข้าไปหา แต่ยืนคิดไปก็เท่านั้น เพราะถ้ายังยืนเฉยอยู่ไทด์อาจจะมองว่าผมชักช้าหรือไม่ก็เป็นคนหยิ่งผยองพองขน

พอเดินมาถึงโต๊ะที่ทุกคนกำลังนั่งทานอะไรกันอยู่ ไทด์ก็เลื่อนจานยำวุ้นเส้นรวมมิตรทะเลมาตรงหน้าผม

“กินซะสิ”

“เฮีย...” ยักษ์เรียกไทด์พร้อมทำหน้ามุ่ยเหมือนไม่สบายใจ

“จะเอายังไงวะ! ก็พวกมึงบอกให้กูชวนมัน”

ผมว่าเจ้าของวันเกิดเองต่างหากที่กำลังทำงานกร่อย เป็นคนพูดขึ้นเสียงอยู่แล้ว พอตะหวาดใส่คนตัวเล็กอย่างยักษ์ภาพมันก็เลยยิ่งทำให้ดูน่ากลัว ผมอยู่ตรงนี้นานๆ ก็รังแต่จะทำให้บรรยากาศหมดสนุกเปล่าๆ เห็นส้อมอยู่ตรงหน้า เลยหยิบขึ้นมาจิ้มตัวกุ้งตัวหนึ่งขึ้นมาใส่ปากทันที

“เฮ้ย!!” ทุกคนอุทานพร้อมกัน ผมเงยหน้าขึ้นมาก็เห็นพวกเขากำลังจ้องผมเป็นตาเดียว ตกใจอะไรกัน ผมทำอะไรผิดไปงั้นหรอ ทำไมถึงนั่งปากเหวอกันล่ะ

ด้วยความอยากรู้ ผมก็เลยจิ้มกุ้งอีกตัวขึ้นมา

แต่ในตอนนั้นเอง...

“ทำอะไร”

นั่นไม่ใช่เสียงของคนในที่นี้ แต่เป็นใครสักคนที่กำลังเดินเข้ามา ได้ยินเสียงแวบแรกก็พอจะบอกได้แล้วว่าเป็นใคร และพอบวกกับที่ทุกคนลุกขึ้นจากเก้าอี้เพื่อทักทายคนมาใหม่อย่างนอบน้อมด้วยแล้ว ยิ่งไม่ต้องสงสัย

ลูเซียน... กับคนสนิทของเขา

“ฉันถามว่านายกำลังทำอะไร” จู่ๆ ลูเซียนก็พุ่งเข้ามาหาผม น้ำเสียงดุดันกับสีหน้าจริงจังของเขาทำเอาทุกคนสะดุ้งกันหมด แปลว่าเมื่อกี้เขาถามผมหรอ

“ก็จะกิน...” ผมชูส้อมที่จิ้มตัวกุ้งไว้ก่อนหน้านี้ขึ้นมาให้เขาดู

หมับ! ลูเซียนคว้าข้อมือผมแล้วกำแน่น ผมนิ่วหน้าพร้อมกับความประหลาดใจ กระทั่งอีกฝ่ายเอาส้อมผมออกจากมือ เขาก็ถามผมอีกว่า “กินไปแล้ว?”

“ทำไม...”

เหมือนสมองผมหยุดการทำงานกะทันหัน คำพูดนั้นถูกกลืนหายไปพร้อมๆ กับวินาทีที่ผมเริ่มรู้สึกว่าหัวใจกำลังเต้นผิดจังหวะ ปากผมแสบร้อนและคันยุบยิบตามร่างกาย พยายามตั้งสติและถามตัวเองว่าเกิดอะไรขึ้น แต่แล้วก็รู้สึกเหมือนตัวเองจะหายใจลำบาก ควบคุมร่างกายตัวเองไม่ได้ จนสุดท้ายขาผมอ่อนยวบและกำลังจะล้มลงไปนอนกับพื้น แต่ประสาทสัมผัสในตอนนั้นยังพอบอกผมได้ว่ามีลำแขนแกร่งของใครบางคนรับตัวผมเอาไว้

“รัณย์!”

เสียงของลูเซียนกึกก้องกังวานเข้ามาในโสตประสาท ในขณะที่มีอะไรบางอย่างกำลังทำให้ผมผิดปกติ มันรู้สึกอึดอัด หายใจไม่ออก ทำอะไรไม่ได้นอกจากดิ้นรนด้วยความทุกข์ทรมาน ผมอ้าปากพะงาบๆ ไม่ต่างกับปลาที่กำลังขาดน้ำและใกล้ตาย ดวงตาผมพร่ามัว มือเท้าเกร็ง รู้สึกได้เลยว่าเวลาความตายอยู่ใกล้แค่เอื้อมมันเป็นยังไง


“เรียกรถพยาบาล!”


และนั่นคือเสียงสุดท้ายที่ได้ยิน ก่อนดวงตาจะปิดลง...















TBC

NEXT UPDATE 22/05/61 TIME 20:00
ง่าาาาา ขอโทษที่มาช้าน๊าา ฝนตกเน็ตไม่ดีเลย
พรุ่งนี้งดอัพวันนึงนะจ๊ะ  :katai2-1:





 
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 12:: หมดความอดทน] UPDATE 20/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 20-05-2018 21:54:13
สถานการณ์ดูดีขึ้นกว่าเดิมนิดนึงรึเปล่า

อีกไม่นานเชื่อว่าไทด์ต้องหวงรัณย์แน่นอน (หรอ) :z2:

วรั๊ย แต่ลูเซียนมาแล้ว แหวกทางให้เรือผีหน่อย #ทีมลูเซียน
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 12:: หมดความอดทน] UPDATE 20/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 20-05-2018 22:07:10
ลูเซียนมาจังหวะพระเอกเลย  #ทีมลูเซียน
ไทค์ทำเกินไปแล้วนะ รู้ว่ารัณย์แพ้กุ้งเลยคิดจะแกล้งหรอ :katai1:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 12:: หมดความอดทน] UPDATE 20/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 20-05-2018 22:35:18
คือแบบว่าน่าจะเริ่มรู้ว่านายเอกเราความจำเสื่อม
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 12:: หมดความอดทน] UPDATE 20/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 21-05-2018 10:08:18
คือแบ่บ นี่อารายอ่ะ
พัวพันอาไรกับลุงลูเซียนนักหนา
ทีมอีวานมะเข้าจายอ่า
 :hao5:
หน่องรัณย์หายเร็วๆ แพ้กุ้งดันกินกุ้งอย่างไม่ลังเลซะงั้น ไทด์ตายแน่ หุหุ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 12:: หมดความอดทน] UPDATE 20/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 21-05-2018 15:46:48
รัณย์ ความจำเสื่อมจริงๆ
ตัวเองแพ้กุ้ง ยังจำไม่ได้
แต่ทุกคนรู้หมด  แม้แต่ลูเซียน
แสดงว่าก่อนนี้รัณย์อยู่กับกลุ่มนี้นานมากจริงๆ
งั้นคนกลุมนี้ไม่รู้เรื่องที่รัณย์ความจำเสื่อม

ลู ห่วงรัณย์เพราะเป็นลูกน้องทำงานด้วย หรือมีอะไรมากกว่านั้น  o18
คงคิดว่าที่รัณย์มาทำงานด้วย เพราะอยากนอนกับตัวเองสินะ  :hao3:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 12:: หมดความอดทน] UPDATE 20/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 21-05-2018 21:53:45
 :hao7:
รันณ์เป็นไงบ้าง แพ้กุ้งแน่นอนเบย
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 12:: หมดความอดทน] UPDATE 20/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 21-05-2018 21:57:30
ความชิบหายจงบังเกิด...นายแพ้ของอร่อยอ่ะรัณย์//ผิด

รอๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 12:: หมดความอดทน] UPDATE 20/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: เอมมี่ ที่ 22-05-2018 13:55:18
มาจากกระทู้แนะนำค่ะ สนุกมากจริงๆ รอตอนต่อไป
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 12:: หมดความอดทน] UPDATE 20/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: saccarrum ที่ 22-05-2018 18:45:31
ความจะแตกก็คราวนี้รึเปล่านะ   :z3:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 12:: หมดความอดทน] UPDATE 20/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 22-05-2018 20:26:45
ปู่เสื่อ ที่นอนหมอนมุ้งพร้อม !  :z2:

กรี๊ด รอ ๆๆๆ คิดถึงงง
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 12:: หมดความอดทน] UPDATE 20/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: La_Pomme ที่ 22-05-2018 20:55:36
บทที่ 13
::สงสัย::





ผมรู้สึกตัวตื่นขึ้นมาในห้องสีขาว ร่างกายอ่อนล้าจนขยับมากไม่ได้ สภาพที่นอนอยู่บนเตียงปรับเอนได้กับสายน้ำเกลือโยงยางอยู่ใกล้ๆ ช่างเป็นภาพคุ้นตา เหมือนกับตอนที่ผมฟื้นขึ้นมาหลังประสบอุบัติเหตุทางรถยนต์ จะต่างกันตรงที่จ้านไม่ได้เป็นคนแปลกหน้าสำหรับผมอีกแล้ว

“เป็นไงบ้าง” จ้านชะโงกหน้ามาดูผมด้วยสีหน้าที่เป็นกังวล

“คันยุบยิบเกือบทั้งตัว รู้สึกคลื่นไส้ แล้วก็เวียนหัวนิดหน่อยด้วย” ถึงเป็นอย่างนั้นแต่ผมก็คิดว่าตัวเองดีขึ้นกว่าก่อนหน้านั้นมาก ไม่รู้มันเกิดขึ้นได้ยังไง ถ้าถามจ้านอาจได้ความอะไรบ้าง “ฉันเป็นอะไรไปหรอ”

“มึงแพ้อาหารทะเล โดยเฉพาะกุ้ง”

“อ้า...” อย่างนี้เอง

“หมอบอกมึงมีอาการแพ้เฉียบพลัน ทำให้หายใจไม่ออกและช็อคจนสลบไป” พูดจบจ้านก็ทำสีหน้าข้องใจ กรอกตาขึ้นคล้ายคนกำลังใช้ความคิด “เมื่อก่อนมึงเป็นแค่ผื่นจ้ำๆ เองนะ แต่ทำไมตอนนี้อาการถึงรุนแรงขึ้นล่ะ”

“เมื่อก่อนฉันไม่ได้เป็นหนักอย่างนี้หรอ”

“อืม ถ้าปกติมึงแพ้กุ้งหนักขนาดนี้กูคงเตือนมึงไปนานแล้ว แต่ก่อนอย่างมากก็แค่ปากบวมกับผื่นขึ้นตามตัว กูจำได้ว่ายังเคยล้อมึงเรื่องนี้อยู่เลย ทำไมอยู่ๆ ถึงเป็นหนักได้วะ” ผมไม่มีความเห็นให้กับสิ่งที่จ้านถาม และดูเหมือนเขาจะเพิ่งรู้ตัวว่าถามผมไปก็ไม่มีประโยชน์ “เดี๋ยวกูไปถามหมอให้ดีกว่า”

จ้านเดินไปที่ประตู กำลังจะจับลูกบิดเพื่อเปิดออก แต่กลับมีใครบางคนเปิดเข้ามาก่อน

ชายวัยสี่สิบผู้เป็นเลขาคนสนิทของลูเซียนคนนี้ ผมทราบชื่อในภายหลังว่าเขาคือ ‘คุณจักรพงษ์’ ตอนที่เกิดเรื่องเขาก็อยู่ในเหตุการณ์ด้วย และถ้าเข้าใจไม่ผิด ผมว่าเขาเนี่ยแหละที่ตะโกนบอกให้ใครสักคนโทรเรียกรถพยาบาล

จ้านกับคุณจักรพงษ์ยังคงยืนจ้องหน้ากันอยู่ตรงประตู คนอายุน้อยกว่าไม่มีทีท่าว่าจะเปิดทางให้คนอายุมากกว่าเข้ามา ผมมองสถานการณ์ตรงหน้าอย่างไม่เข้าใจ

จนกระทั่ง...

“ผมดูแลเรื่องค่าใช้จ่ายให้แล้ว” เลขาของลูเซียนยื่นกระดาษใบหนึ่งให้ ผมคิดว่าน่าจะบิลค่าใช้จ่ายตามที่ว่า จ้านมองมันอยู่สักพักก็คว้ามาโดยไม่แสดงสีหน้ายินดียินร้ายอะไร

“เอ่อ... ขอบคุณที่พาผมมาส่งโรงพยาบาลนะครับ”  ผมยกมือขอบคุณ และคุณจักรพงษ์เองก็รับไหว้ตามมารยาทก่อนขยับปากพูดบางอย่าง

“ความจริง...”

“มันก็สมควรอยู่หรอก” ยังไม่ทันรู้ว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร จ้านก็พูดโพล่งขึ้นมาซะอย่างนั้น “รัณย์ต้องมานอนซมแบบนี้เพราะทำงานอยู่ที่นั่น พวกคุณเป็นเจ้านายก็ต้องออกหน้ารับผิดชอบอยู่แล้ว”

จ้านแสดงความไม่พอใจอย่างโจ่งแจ้ง ผมรู้สึกไม่ดีกับการเป็นตัวกลางที่ทำให้เกิดเรื่อง เข้าใจว่าจ้านห่วงผมมาก แต่มันไม่ใช่ความผิดของใคร ยังดีที่คุณจักรพงษ์เป็นผู้ใหญ่ใจเย็น แม้ไม่รู้ว่าใบหน้าเรียบเฉยกำลังคิดอะไรอยู่ แต่แววตาที่เขามองมาทุกครั้ง ไม่เคยทำให้ผมรู้สึกว่าเขาเป็นกังวลเลย

“เรื่องแบบนี้ไม่น่าเกิดขึ้นอีก” คุณจักรพงษ์จ้องหน้าเพื่อนสนิทผมอย่างไม่ละสายตา

จ้านยืนนิ่ง... และดูจะนิ่งไปนานมากก่อนจะตัดสินใจพูดอะไรบางอย่าง

“รัณย์เพิ่งฟื้น ต้องการพักผ่อน” เปรียบเหมือนคำเชิญให้กลับดีดีนี่เอง

“ถ้าอย่างนั้น ผมขอตัว” เลขาของลูเซียนพูดกับจ้าน จากนั้นคล้อยตามามองผมแวบเดียวแล้วก็เดินหันหลังไป กระทั่งเสียงประตูปิดสนิท จ้านยังคงยืนอยู่ที่เดิม ลักษณ์เหมือนคนกำลังจมอยู่กับความคิดในหัว ผมเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ได้ยิน

“จ้าน!” ผมเรียกเขาเป็นครั้งที่สาม ก่อนเจ้าตัวจะได้สติหันมา

“หืม?”

“คิดอะไรอยู่” เขาไม่ตอบคำถามนั้นทันที แต่เลือกที่จะเดินมาหาผมพร้อมสายตาที่เปลี่ยนไป

“ลูเซียนกับคนของเขาที่ไนต์คลับ รู้รึเปล่าว่ามึงแพ้กุ้ง”

“อืม...” ผมนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นก่อนหน้า “เหมือนลูเซียนจะรู้นะ เพราะตอนที่เห็นฉันกำลังเอากุ้งเข้าปาก เขาก็เดินมาหยิบส้อมออกจากมือฉันเลย”

“ถ้างั้นมึงไม่ต้องไปทำงานที่นั่นแล้วดีมั้ย”

“ทำไมล่ะ! เรื่องนี้ไม่มีใครผิดนะ นายอย่าโทษคนพวกนั้นเลย เขาอาจไม่รู้เรื่องที่ฉันแพ้กุ้งเหมือนที่ลูเซียนรู้ก็ได้” ผมชี้แจงยืดยาว คิดว่ายังไงก็ต้องทำงานที่นั่นต่อ

แต่แล้วจู่ๆ ความคิดหนึ่งก็แล่นเข้ามาในหัว ผมนิ่งไปหลายสิบวิ จ้องลึกเข้าไปในตาของจ้านที่คล้ายว่าอะไรบางอย่างจะบอก และพอทวนคำพูดตัวเองไปถึงคำสุดท้าย ผมก็เริ่มจะเข้าใจ

“หรือว่า...”

“มึงกินกุ้งทั้งๆ ที่ตัวเองแพ้ แถมยังแพ้หนักด้วย” เห็นจ้านขมวดคิ้วแล้วผมก็รู้สึกกังวลตามไปด้วย “หมอนั่นต้องเอะใจเรื่องนี้แน่ กูรับรองได้”













ผมพักฟื้นในโรงเพยาบาลสองวันหมอถึงอนุญาตให้กลับบ้าน จำได้ว่าตอนนั้นจ้านมีข้อสงสัยเกี่ยวกับอาการแพ้อาหารทะเลของผมเลยสอบถามหมอไป คำตอบที่ได้คือลักษณะของอาการมักจะเปลี่ยนแปลงไปตามสภาวะทางร่างกาย หรืออาจเกิดมาจากการที่ผมไม่ค่อยดูแลสุขภาพและมีความเครียดมากเกินไป

พอกลับมาก็ต้องรักษาตัวอีกหนึ่งวันเต็มๆ เมื่อเริ่มดีขึ้น วันต่อมาผมจึงตัดสินใจไปทำงานโดยให้เหตุผลกับจ้านว่าเรื่องอาการแพ้ของผม แม้จะเสี่ยงว่าอาจสงสัย แต่ก็คงไม่มีใครมานั่งใส่ใจ เพราะผมไม่ใช่คนที่อยู่ในสายตาของลูเซียนอยู่แล้ว หรือต่อให้สุดท้ายโดนจับได้ว่าสูญเสียความทรงจำไปก็ไม่น่าจะส่งผลอะไร ใช่ว่าตัวตนของผมในอดีตไม่ได้ลบไปจากใจของเขาซะเมื่อไหร่

ผมไม่รู้ว่าคนอื่นๆ คิดยังไงกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นวันนั้น มันอาจเป็นไปได้ว่าพวกเขาจะรู้ถึงอาการแพ้ที่ผมเป็น แต่อีกใจก็คิดว่าไม่น่าใช่... ไม่อย่างนั้นไทด์จะเลื่อนจานนั้นมาให้ผมกินทำไม

บางครั้งเวลาเห็นเหล่าพนักงานจับกลุ่มคุยกัน เพียงแค่เจอหน้าผมพวกเขาต่างก็แยกย้ายไปคนละทาง ในเมื่อเป็นแบบนี้ผมเลยปล่อยผ่านและทำตัวปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น โชคยังดีที่ผมเริ่มชินกับงานโดยไม่ต้องมีใครมาคอยบอกแล้ว ไม่งั้นก็ไม่รู้ว่าจะโดนถามอะไรหรือเปล่า อีกอย่างไทด์ก็ดูสีหน้าไม่ค่อยดี ผมเดินผ่านไม่ยอมสบตา เมินเฉยใส่ ถามอะไรก็ตอบกลับมาสั้นๆ

และในวันที่ผมกำลังเช็คสต๊อกของอยู่หลังร้าน เสียงฝีเท้าคู่หนึ่งก็มาหยุดยืนอยู่ข้างหลัง

“นายรู้ว่าฉันตั้งใจสินะ” ผมค่อยๆ หันไปมองพบว่าเป็นหัวหน้าเด็กเสิร์ฟที่กำลังแสดงสีหน้าบึ้งตึง เมื่อกี้ผมได้ยินสิ่งที่เขาพูดก็จริง แต่ไม่เข้าใจ

“คุณพูดเรื่องอะไรครับ”

ไทด์ขยับเข้ามาใกล้ผมอีกก้าว จากนั้นก็คว้าคอเสื้อผมขึ้นมา

“ฉันเอายำรวมมิตรทะเลให้นาย เห็นๆ อยู่ว่ามีกุ้งแล้วทำไมถึงกิน ไหนบอกว่าแพ้นักแพ้หนา ตอนไอ้ยักษ์เสิร์ฟให้ผิดก็เคยโวยวายจนร้านแตกมาแล้วจำไม่ได้รึไง อ้อหรือว่า... นายอยากเห็นฉันกลายเป็นคนผิดถึงขนาดลงทุนทำให้ตัวเองเกือบตายน่ะห๊ะ!”

เดี๋ยวก่อน! แบบนี้ก็หมายความว่า...

“คุณรู้ว่าผมแพ้กุ้ง?”

“ใช่!” นัยน์ตาผมเบิกกว้าง พูดอะไรไม่ออก ทำได้เพียงฟังคนตรงหน้าขึ้นเสียงต่อไป “แค่เห็นกุ้งวางบนโต๊ะ นายถึงกับเขวี้ยงจานใส่หัวลูกน้องฉัน มาคราวนี้ถึงขั้นกินเข้าไป… เพราะอะไร? อยากท้าทายฉันนักใช่มั้ย!”

“ผม...”

“อย่าหวังว่าจะได้ยินคำขอโทษจากฉัน” พูดจบไทด์ก็ผลักตัวผมจนเซเกือบล้ม

อะไรกัน? ผมเคยร้ายกาจใส่ยักษ์ขนาดนั้นเชียวหรอ มิน่าช่วงแรกๆ เขาถึงไม่กล้าสบตาผมเลย แบบนี้ก็แปลว่าทุกคนในนี้รู้ว่าผมแพ้กุ้ง แต่ทั้งๆ ที่เป็นอย่างนั้นไทด์ก็ยังเลื่อนเมนูที่มีกุ้งมาให้ผมทานเนี่ยนะ หรือเขาทำไปเพราะตั้งใจจะกลั่นแกล้ง คงอยากดูว่าตอนที่ผมเห็นของที่กินไม่ได้อยู่ตรงหน้าจะมีปฏิกิริยายังไง... แต่กลายเป็นว่าผมดันกินเข้าไปจริงๆ

แบบนี้นี่เอง ทุกคนถึงพากันอุทานทันทีที่ผมตักกุ้งเข้าปาก...

เอาจริงๆ ผมเองก็ไม่รู้ว่าตัวเองจะแพ้ขนาดนั้น เพราะงั้นผมถึงไม่รู้สึกโกรธไทด์สักนิด และยิ่งเขามาพูดกับผมแบบนี้มันก็ยิ่งแสดงให้เห็นถึงความกังวล คงคิดไม่ตกเรื่องที่ตัวเองเกือบหยิบยื่นความตายให้กับใครอีกคน

แม้ไทด์จะชอบขึ้นเสียง ดุร้ายเวลาโมโห ไม่ค่อยอยู่ในกรอบ แต่เขาก็ไม่เคยทำอะไรที่สร้างความเดือนร้อนให้กับคนอื่น ผมเคยสงสัยว่าเพราะอะไรพนักงานที่นี่ถึงได้รักหัวหน้าจอมหัวรั้นอย่างเขานัก พออยู่มาเรื่อยๆ ถึงได้รู้ว่าเขามักเป็นห่วงคนอื่นอยู่เสมอ ใครดีมาดีกลับ ร้ายมาก็ร้ายกลับ เผลอๆ อาจจัดหนักเต็มสูบด้วยซ้ำ ถึงจะเป็นคนเจ้าคิดเจ้าแค้นแต่ก็ยังรู้จักผิดชอบชั่วดี ผมเลยคิดว่าเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นอาจทำให้เขารู้สึกแย่ไม่น้อย

หลังจากไทด์แสดงแววตาอันโกรธเกรี้ยวที่ไร้ซึ่งความน่ากลัว ผมเห็นเขากำลังจะเดินไป จึงรีบเอ่ยขึ้น

“ผมไม่เป็นไร” ไทด์ชะงักเท้า แล้วหันหลังมากลับมามอง ผมรู้ว่าไม่ใช่เวลามายิ้มให้แต่สมองมันดันสั่งการให้เป็นไปตามนั้น “ผมสบายดีแล้ว หมอบอกว่าไม่มีอะไรน่าเป็นห่วง”

ไทด์ยืนนิ่ง ในขณะที่หางตากระตุกเล็กน้อย ในหัวคงคิดอะไรต่อมิอะไรก่อนประมวลมันออกมาเป็นคำพูดที่ยังคงความเป็นตัวเขาอย่างครบถ้วน

“ใครเป็นห่วงนาย”

 









**

จักรพงษ์เปิดประตูเข้ามาในห้องทำงานของลูเซียนพร้อมกับแฟ้มเอกสาร เขาวางมันไว้บนโต๊ะและบอกถึงตารางงานที่ต้องทำในวันนี้ แต่พูดไปได้เพียงเรื่องสองเรื่องลูเซียนก็วางแฟ้มลง ก่อนจะเงยหน้าขึ้น

“ที่ให้ไปสืบ ได้เรื่องอะไรบ้าง... ตกลงว่าวันนั้นรัณย์ไปทำอะไรที่โรงพยาบาล” จักรพงษ์ตั้งใจจะรายงานเรื่องดังกล่าวหลังจากพูดเรื่องงานเสร็จ แต่ดูเหมือนผู้เป็นนายจะต้องการทราบมันเร็วกว่านี้

ย้อนไปหลายอาทิตย์ก่อน อีวานให้คนมาถามหากรัณย์กับลูเซียน บอกเพียงว่าต้องการทวงคำสัญญาบางอย่างกับเด็กหนุ่ม เขาเคยรู้จากปากกรัณย์เองว่าไปตกลงอะไรกับอีวานเอาไว้จึงไม่ได้ซักถาม ขณะนั้นสัญญาณมือถือของกรัณย์ระบุสถานที่ล่าสุดว่าเป็นโรงพยาบาล ลูเซียนไม่ได้สนใจว่ากรัณย์ไปทำอะไรที่นั่น จนเมื่อเกิดเรื่องวุ่นวายในวันเกิดของไทด์ที่ไนต์คลับเมื่อสองสามวันก่อน เขาถึงเริ่มฉุกคิด

กรัณย์แพ้อาหารทะเล... ลูเซียนรู้เรื่องนี้ตั้งแต่ตอนที่มีพนักงานเสิร์ฟเมนูทานเล่นไปผิดโต๊ะ บังเอิญว่าเมนูนั่นเป็นของทะเลและดันถูกวางอยู่ตรงหน้าคนที่แพ้พอดี ขณะนั้นกรัณย์เมามากประกอบกับมีเศรษฐีไฮโซประคบประหงมอยู่ใกล้ๆ จึงไม่มีการไว้ใครหน้าไหน พนักงานร่างเล็กถูกต่อว่าและโดนจานเขวี้ยงใส่จนหัวแตก ทุกคนในนี้จึงให้กิตติศัพท์แก่กรัณย์ว่าเป็นหนุ่มหน้าตาดีแต่จิตใจน่ารังเกียจ

มาถึงเหตุการณ์ที่กรัณย์กินอาหารทะเลแล้วเกิดช็อคจนหมดสติไปเมื่อหลายวันก่อน ทั้งๆ ที่รู้ว่าตัวเองแพ้แต่กลับกินมันอย่างหน้าตาเฉย ลูเซียนเกิดความสงสัยถึงการกระทำนั้น รวมไปถึงอะไรหลายอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป ทั้งคำพูด แววตา และความมุ่งมั่น เขาคิดจนกระทั่งว่าเลยเถิดไปถึงตอนที่เด็กหนุ่มถูกพบตัวที่โรงพยาบาล จากแต่ก่อนไร้ซึ่งความใส่ใจ มาตอนนี้เขากลับสั่งการให้จักรพงษ์ไปตรวจสอบเรื่องนี้แทบทันที

เพราะสิ่งที่เกิดขึ้น มันต้องมีคำอธิบาย...

“หลายอาทิตย์ก่อนกรัณย์อยู่โรงพยาบาลเพราะต้องเข้ารักษาตัวหลังจากเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ครับ และคนที่พาเขามาส่งโรงพยาบาลก็คือคุณจิตตากร” เป็นชื่อจริงของจ้าน ลูกชายนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่ “เห็นว่าพักฟื้นอยู่เป็นอาทิตย์ ดูแล้วอาการท่าจะหนัก”

“ได้ข้อมูลทางการรักษามารึเปล่า” ถามเลขาคนสนิท เนื่องจากจำเหตุการณ์ที่กรัณย์เปิดเครื่องโทรศัพท์จนทำให้สามารถเชื่อมต่อกับแอฟหาพิกัดจีพีเอสในมือถือได้ ตอนนั้นลูเซียนโทรเข้ามือถือของกรัณย์และได้คุยกันสักพัก น้ำเสียงของอีกฝ่ายเหมือนคนไม่เป็นอะไร จึงคิดไปว่าคงไม่มีอะไร อาจจะไปเพราะเป็นไข้หวัดธรรมดา หากถามไถ่ไปก็จะดูไม่สมกับเป็นคนที่เพิ่งตัดขาดกัน

ภายหลังจากรู้ว่าไปโรงพยาบาลเพราะเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ ลูเซียนก็เอ่ยปากถามอาการของรัณย์ทั้งๆ ที่เหตุการณ์ในตอนนั้นผ่านมาแล้ว เนื่องจากไม่อาจควบคุมสมองให้หยุดตั้งข้อสงสัยได้

“เรื่องนี้คงยากที่จะใช้เวลาไม่กี่วันในการตรวจสอบครับ เพราะทางโรงพยาบาลไม่มีทางเปิดเผยข้อมูลคนไข้กับบุคคลนอกง่ายๆ เว้นแต่ว่าเราจะซื้อคนในหรือไม่ก็ใช้นักโจรกรรมข้อมูล” ฟังแล้วก็น่าจะเป็นจริงตามนั้น หากแต่มีบางสิ่งที่ทำให้ลูเซียนต้องขมวดคิ้วเป็นปม

“เมื่อกี้คุณบอกว่ารัณย์พักฟื้นอยู่เป็นอาทิตย์”

“ครับ” จักรพงษ์ตอบโดยไม่มีมองหน้าอีกฝ่าย มือที่ปล่อยไว้ข้างลำตัวถูกนำมากุมไว้ด้านหน้า

“แล้วออกจากโรงพยาบาลวันไหน” ลูเซียนลุกจากเก้าอี้ เดินอ้อมโต๊ะทำงานมายืนประจันหน้ากับเลขาส่วนตัวแล้วค่อยพูดต่อด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ “ใช่วันเดียวกับที่อีวานไปเจอตัวเขารึเปล่า”

เงียบกริบ... จักรพงษ์ไม่ตอบกลับแม้แต่คำเดียว

“ผมให้คุณไปถามเหตุผลที่ต้องนอนโรงพยาบาลกับเจ้าเด็กนั่นตรงๆ เลยดีมั้ย” ผู้เป็นนายเข้าหัวข้อสนทนาใหม่ ทำให้คนฟังตามไม่ถูก กระทั่งเหลือบไปสบตากับความลึกลับที่ซ้อนอยู่ในดวงตาของคนตรงหน้า

จักรพงษ์ไม่แปลกใจที่คนเจ้าสังเกตอย่างลูเซียนจะจับผิดการกระทำบางอย่างได้ และแน่นอนว่าเขาเองก็เตรียมใจยอมรับผลของมันตั้งแต่ตอนที่ผู้เป็นนายสั่งให้เขาไปสืบเรื่องของกรัณย์ที่โรงพยาบาลแล้ว เนื่องจากตัวแปรคือระยะเวลาการพักฟื้น หากแอดมิดนานก็เท่ากับอาการหนัก

“ผมทำเพื่อคุณได้ครับ” จักรพงษ์พูดสั้นๆ

“เพื่อผมงั้นหรอ? เรื่องที่อีวานตามตัวเด็กนั่นจนเจอ ถ้าเขาไม่โทษว่าผมเป็นคนส่งตำแหน่งให้อีวาน... ผมก็คงไม่มีวันรู้ว่าคุณแอบขัดคำสั่ง” ร่างสูงถอนหายใจเฮือกใหญ่ “วันที่รัณย์ออกมาจากโรงพยาบาล คุณบอกตำแหน่งเขาให้อีวานรู้ แล้วค่อยมารายงานผมตอนที่เขาถูกพาตัวไปแล้ว ใช่หรือเปล่า”

ลูเซียนนึกถึงตอนที่กรัณย์เข้ามาในไนต์คลับด้วยท่าทางดึงดัน และต่อว่าเขาเรื่องที่ตัวเองถูกพาตัวไปอย่างไม่เต็มใจ ตอนนั้นชายหนุ่มรู้ในทันทีว่าเป็นฝีมือของเลขาคนสนิท เพียงแต่ไม่ปริปากพูดออกไป เพราะต่อให้กรัณย์จะเข้าใจผิดอย่างนั้นไม่ใช่เรื่องใหญ่ที่ต้องทักท้วง จนถึงเหตุการณ์ที่กรัณย์แพ้กุ้งอย่างรุนแรงก็ทำให้เขาเกิดสังหรณ์บางอย่าง ก่อนจะได้รู้ว่ามันคือเรื่องที่เหนือความคาดหมายมาก 

“ตอนนั้นผมบอกคุณว่ายังไง? ไม่ว่ารัณย์จะพยายามหลบหน้าอีวาน หรือเป็นตายร้ายดียังไงก็ให้นายอยู่เฉยไว้ใช่มั้ย... วันแรกที่ตรวจจับสัญญาณมือถือได้ คุณรายงานผมว่ารัณย์อยู่ที่โรงพยาบาล พอสัญญาณหายไปผมก็สั่งทันทีว่าไม่ต้องตามต่อ แต่สุดท้ายคุณก็ยังเอาเรื่องไปบอกอีวานจนได้” ลูเซียนขยับเทคไนตัวเองให้คลายออก ก่อนจะพูดต่อ “คุณรอให้รัณย์ออกจากโรงพยาบาลก่อนค่อยติดต่ออีวาน ฉะนั้นคุณก็ต้องรู้ว่ารัณย์พักฟื้นอยู่ที่นั่นกี่วัน... ถึงขนาดนี้แล้วยังจะมีหน้ามาบอกผมว่าไม่รู้เรื่องอาการของเขาอีกหรอ”

เสียงกร้าวเต็มไปด้วยความดุดัน บรรยากาศในห้องทำงานคุกรุ่นไปด้วยแรงโทสะ ขณะนี้จักรพงษ์ควรตระหนักถึงคำพูดของผู้เป็นนาย แต่เขากลับแสยิ้มออกมาแทน

“เด็กคนนั้นมีอิทธิพลต่อคุณจริงๆ” ลูเซียนหางตากระตุกกับสิ่งที่ได้ยิน “หลังจากรู้ว่ารัณย์อยู่ที่โรงพยาบาลคุณก็รีบโทรไปทันที คงอยากรู้มากว่าเขาเป็นอะไร ทำไมถึงไปอยู่ที่นั่น... โดยไม่สนใจเลยว่าเขาประกาศตัดขาดกับคุณไปแล้ว”

“หุบปาก!”

คล้ายถูกจุดไฟให้โหมกระหน่ำอยู่ภายในอก ลูเซียนโมโหกับคำพูดเหล่านั้นแต่ก็ยังควบคุมอารมณ์ไว้อย่างเต็มที่ เห็นแก่คนตรงหน้าที่อายุมากกว่าและทำงานอยู่ข้างกายเขามานาน

หากทว่า...



“ถ้าการตัดเขาออกจากชีวิตมันเป็นเรื่องยาก อย่างน้อยผมก็ควรจัดการให้คุณด้วยตัวเอง”

**









TBC.

 

หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 13:: สงสัย] UPDATE 22/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 22-05-2018 21:09:04
มาม่ามาแล้ว :a5:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 13:: สงสัย] UPDATE 22/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 22-05-2018 21:19:49
เอ...มันเริ่มแปลกๆได้กลิ่นตุๆจากเลขา แปลว่า เลขาแอบชอบเจ้านาย?
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 13:: สงสัย] UPDATE 22/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-05-2018 21:41:58
อืม!!!!
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 13:: สงสัย] UPDATE 22/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 22-05-2018 22:39:16
อืมห์นะ เริ่มรู้เรื่องมาทีละนิดละ รู้สึกอ่านแล้วสนุกขึ้นหน่อย
ตอนแรกก็งง งง งง แต่ก็ปูทางได้ดีมาก น่าติดตาม
และก็มาต่ออีกเร็วๆ นะ
 :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 13:: สงสัย] UPDATE 22/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 22-05-2018 23:36:22
ใช้ชีวิตได้อย่างบัดซบมาก ไม่มี critical thinking เห้อม บอกปาวๆไม่ไปยุ่งคืออะไร หมั่นไส้นายเอกแรง ผู้รุมล้อมเหลือเกิน ไปเรียนมวยไทยไป สละเวลาสักนิดออกกำลังกาย จะได้ไม่โดนอุ้มง่ายๆอย่างนี้ สู้คนหน่อยชาวโลก แต่อุปสรรคคือความจำเสื่อมหรือวิญญาณเข้าร่างใหม่หรือยังไง รอปมคลาย ลุ้นโพดโพ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 13:: สงสัย] UPDATE 22/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 23-05-2018 00:45:34
ฮึ่ยยย ไอ้คุณเลขา ทำไมทำแบบนี้  :katai1:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 13:: สงสัย] UPDATE 22/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 23-05-2018 09:10:14
คุณจักรพงษ์? ปมมาอีกแล้วสินะคะ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 13:: สงสัย] UPDATE 22/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 23-05-2018 09:40:40
คุณเลขามาพัวมาพันเข้าไปอีก
นี่เรากำลังหลงเข้าไปในนิยายสืบสวน สอบสวน ฆาตกรรมอำพราง แบบคดีในห้องปิดตายของโคนันอยู่ชิมิ
ฟามรักโรแมนซ์ของเค้าล่ะ อืออออออออ
 :hao5:
+ และเป็ดรออีวาน
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 13:: สงสัย] UPDATE 22/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 23-05-2018 10:00:06
อ้าวๆๆ........คุณเลขา  ทำนอกเหนือคำสั่งเจ้านาย
ที่แท้ รัณย์ตัดขาดกับลูเซียนไปแล้ว
แล้วรัณย์ก็สำคัญกับลู จนเลขาคิดช่วยให้ขาดๆไปซะเลย
รอวันลู รัณย์ รักกัน คืนดีกัน ใช่มั้ยเนี่ย  :z3: :z3: :z3:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:

หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 13:: สงสัย] UPDATE 22/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: route rover ที่ 23-05-2018 19:12:08
งั้นก็ ลูรันย์ สินะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 13:: สงสัย] UPDATE 22/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: onlyplease ที่ 23-05-2018 19:26:08
ควรส่ง เลขา ไปให้อีวานย่ำยี!!!
 เกลียดจริงๆ พวกหวังดีแบบไม่ถามคนอื่น
 นายเอกโดนเยอะไปล่ะ
 อยากให้เอาคืนได้แล้ว  :katai4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 13:: สงสัย] UPDATE 22/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: La_Pomme ที่ 24-05-2018 20:36:12
บทที่ 14
::แผนตบตา::





**

วันนี้เป็นวันหยุดของไทด์ กิจกรรมยามว่างของเขาไม่มีอะไรมาก เริ่มจากตื่นนอนแต่เช้าเพื่อเตรียมตัวออกไปข้างนอก เรียกได้ว่าเป็นผู้ชายธรรมดาที่ใช้ชีวิตแบบก้าวผ่านวันแต่ละวันไปด้วยการทำอะไรเดิมๆ

ไทด์ออกจากห้องเช่า และแวะซื้อผลไม้และนมกล่องที่ร้านค้าข้างทางทุกๆ วันเสาร์ มาเวลาเดิมจนคนขายแค่เห็นหน้าก็หยิบจับของใส่ถุงให้อย่างถูกต้อง หลังจากนั้นเขาก็ขับรถมอเตอร์ไซค์ที่ซื้อมาด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเอง มุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาลเอกชนแห่งหนึ่ง ซึ่งอาคารที่เป็นจุดหมายคือแผนกผู้ป่วยด้านสมอง เพียงก้าวเท้าเข้าประตูเหล่าพยาบาลก็กล่าวทักทายชายหนุ่มอย่างสนิทสนม ทำให้รู้ว่าเขาทางมาที่นี่บ่อยครั้ง

ชายหนุ่มเปิดประตูเข้าไปในห้องผู้ป่วยรวม เดินเข้าไปวางของตรงเตียงที่ระบุข้อมูลว่าเป็นผู้ป่วยเพศชาย อายุยี่สิบสามปี ไทด์นำผลไม้ที่ซื้อมายื่นให้กับนางพยาบาลที่ประจำเวรอยู่ และนำส่วนหนึ่งมอบให้ผู้ป่วยคนอื่นๆ ในห้องเพื่อแสดงน้ำใจ อีกทั้งยังเป็นการแสดงความขอบคุณที่ช่วยดูแลคนสำคัญที่สุดในชีวิตของเขา

ท็อป... ผู้เป็นน้องชายแท้ๆ และญาติเพียงคนที่ไทด์เหลืออยู่

เป็นเวลาเกือบห้าปีแล้วที่ไทด์ใช้เวลาอยู่ที่โรงพยาบาลพอๆ กับช่วงเวลาทำงาน เมื่อน้องชายของเขาโดนพวกคนร้ายที่เข้ามาชิงทรัพย์ทุบหัวด้วยไม้เบสบอล อีกฝ่ายกระหน่ำไม่ยั้งมือทำให้สมองของท็อปได้รับความกระทบกระเทือน มีเลือดคลั่งในสมอง กะโหลกแตก ช่วงแรกหายใจเองไม่ได้จึงต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ จนผ่านมาหนึ่งปีก็เริ่มดีขึ้น อาการบาดเจ็บภายนอกหายเป็นปกติ แต่ถึงอย่างนั้นท็อปก็ยังไม่ฟื้น ต้องให้อาหารทางสายยาง รวมไปถึงการใส่ท่อปัสสาวะด้วย

ไทด์ใช้เวลาดูแลน้องชายด้วยการบีบนวดตามแขนและเท้าเพื่อไม่ให้กล้ามเนื้อยึด ความจริงเขาทำแบบนี้เป็นประจำก่อนไปทำงานทุกวัน เสร็จแล้วก็จะกลับราวๆ บ่ายสองโมง แต่วันนี้เป็นวันหยุดเขาจึงใช้เวลาอยู่ที่นี่ทั้งวัน กระทั่งถึงเวลากินข้าวกลางวันเขาก็จะไปหากินใกล้ๆ กำลังคิดๆ อยู่ว่าจะกินอะไรเขาก็พาตัวเองเดินมาทางไปลานจอดรถ แต่แล้วทุกอย่างก็ต้องชะงัก เมื่อสายตาบังเอิญเหลือบไปเห็นชายคนหนึ่งลงจากรถแท็กซี่

ไทด์เพ่งให้มั่นใจว่ามองไม่ผิด ก่อนจะพบว่าชายคนนั้นคือ... กรัณย์

สิ่งแรกที่เขาคิดในหัวคือ ‘เจ้านั่นมาทำอะไรที่โรงพยาบาล’

หรือว่า... จะเกี่ยวกับอาการแพ้อาหารทะเล?

“อะไรวะ? ไหนบอกว่าไม่เป็นไรแล้วไง”

กรัณย์เพิ่งออกจากโรงพยาบาลไปหมาดๆ วันอาจจะมาเพราะหมอนัดก็ได้ ไทด์คิดว่าจะช่างมันไป แต่พอเห็นกรัณย์เดินเข้าไปในอาคารที่เกี่ยวกับโรคทางสมอง เขาก็นึกเอะใจ เกิดอะไรขึ้น ทำไมกรัณย์ถึงไปที่นั่น หรือว่าจะมีโรคแทรกซ้อน ด้วยความอยากรู้ไทด์จึงตามไป เห็นกรัณย์ถูกหมอเรียกพบ มันก็ยิ่งสร้างความสงสัยเข้าไปใหญ่

เจ้านั่นเป็นอะไร... มีโรคเกี่ยวกับสมองงั้นหรอ?

**

 









ช่วงนี้ผมดูหนังสือหนักมาก สมองถูกใช้งานตลอดเวลา ซ้ำยังพักผ่อนน้อย วันนี้ต้องมาตามนัดของคุณหมอก็เลยว่าจะขอยาที่สามารถช่วยบรรเทาอาการปวดหัวได้ โชคดีที่จ้านติดเรียนมาด้วยไม่ได้ ไม่งั้นผมต้องโดนซักเรื่องอาการจนถูกสั่งให้พักแน่ๆ

คุณหมอตรวจเสร็จก็เตือนว่าการพักผ่อนน้อยอาจทำให้ผมเกิดอาการปวดหัวขั้นรุนแรงได้ เนื่องจากสาเหตุที่ทำให้ผมสูญเสียความทรงจำคือการโดนกระทบกระเทือนที่สมอง ควรดูแลตัวเองด้วยการหันมาการฝึกทักษะสมอง นำแนวคิดการออกกำลังกายแบบแอโรบิกส์ ทำให้ร่างกายแข็งแรงด้วยการขยับกล้ามเนื้อหลายๆ ส่วนมาประยุกต์ บริหารสมองที่ใช้ประสาทสัมผัสไปกระตุ้นกล้ามเนื้อสมองหลายๆ ส่วนให้ขยับและตื่นตัว โดยจะส่งผลให้เซลล์ประสาทแตกกิ่งก้านสาขา มีการเชื่อมโยงสื่อสาร และเมื่อเกิดการเรียนรู้สิ่งใหม่ ก็จำให้เซลล์สมองแข็งแรงยิ่งขึ้น

ผมเดินออกมาจากห้องตรวจพร้อมกับเอกสารกำกับยา ขณะกำลังเดินอ่านคู่มือการบริหารสมองที่คุณหมอให้มา ผมก็พลันรู้สึกเหมือนกับมีคนเดินตาม ตั้งใจเดินไปที่ห้องจ่ายยา คนคนนั้นก็เดินตามมาอีก ตอนแรกผมกะว่าจะไม่สนใจ แต่เล่นมานั่งรอข้างๆ ผมก็อดไม่ได้ที่จะหันไปมองหน้า

“คุณ!”

ผมแปลกใจที่คนนั่งข้างๆ เป็นไทด์ เผลอสะดุ้งเฮือกจนเอกสารในมือหล่นลงพื้น

“มาทำอะไรที่นี่” ในใจก็อยากถามกลับเหมือนกัน กำลังนึกๆ ว่าจะตอบไปยังไง ไทด์ก็เอาแต่มองของที่ผมทำหล่นไว้ และกว่าจะรู้ตัวอีกทีอีกฝ่ายก็คว้ามันตัดหน้าไปก่อนแล้ว

“ผมเห็นบทความมันน่าสนใจดี เลยหยิบมาอ่านน่ะครับ” รีบอธิบายทั้งๆ ที่เขายังไม่ถามอะไร

“เห็นเข้าไปคุยกับหมอ... เป็นอะไร สมองมีปัญหารึไง” ผมอ้าปากค้าง ไม่ใช่ว่าตกใจ แต่กำลังคิดว่าจะตอบยังไงมากกว่า สงสัยว่าสติการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าจะเป็นศูนย์ แค่พูดอะไรส่งๆ ไปคงไม่เป็นไรมั้ง เพราะถึงยังไงเขาก็คงไม่ใส่ใจกับคำพูดของผมอยู่แล้ว

“แล้วคุณล่ะครับ ทำไมถึงมาอยู่แถวนี้ได้”

“ฉันถามนายก่อน”

“สำคัญด้วยหรอครับ”

“เอ้า! ไอ้นี่” ไทด์มองหน้าหาเรื่อง ถลึงตาโตเป็นไข่ห่านจนผมถึงกับผงะ

คิดว่ากวนตีนไปเขาก็คงไม่อยากคุยด้วยแล้ว แต่ที่ไหนได้...

“ฉันมาเยี่ยมน้องชาย”

จู่ๆ เขาก็ตอบคำถามด้วยสีหน้าที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน แววตาดูหม่นหมองไม่คุ้นชิน เพราะธรรมดาผมจะได้เห็นแต่สายตาที่แสนเกรี้ยวกราดและดุร้าย แต่วันนี้เป็นครั้งแรกที่ผมสัมผัสได้ถึงน้ำเสียงที่ไม่มีความขุ่นเคืองเจือปน และยังเป็นครั้งแรกที่เขายอมตอบคำถามผมดีดี โดยไม่มีคำพูดถากถางหรือคอยแขวะให้ผมรู้สึกแย่

“น้องชายคุณเป็นอะไร” ผมอยากรู้ต่อ

“ตอบคำถามฉันมาก่อนเถอะ”

ให้ตายสิ โดนคาดคั้นอีกแล้ว... เอาไงดีล่ะทีนี้

“นายกรัณย์ รัตนเตศวร!”

หืม? ชื่อผมหนิ? คนจ่ายยากำลังเรียกชื่อผมจริงๆ ด้วย เสียงสวรรค์มาโปรด ขอบคุณที่มอบโอกาสให้ผมได้หลุดออกมาจากสถานการณ์อันแสนอึดอัดในตอนนี้

“ขอตัวก่อนนะครับ”

ผมรีบเดินไปรับยา ระหว่างนั้นก็เหลือบมองไทด์เป็นระยะ พอเห็นเขายังมองอยู่ผมก็ทำทีถามนางพยาบาลเรื่องการทานยาไปเรื่อยๆ และเมื่อหันไปอีกครั้ง เห็นเขาพลิกคู่มือการบริหารสมองในมืออ่าน ผมก็เลยฉวยโอกาสนี้สาวเท้าออกไปจากโรงพยาบาลทันที

 












หลายวันต่อมา เรื่องอาการแพ้กุ้งของผมเริ่มไม่มีใครพูดถึง พนักงานคนอื่นๆ ชวนผมคุยมากขึ้น แม้ไม่อาจเรียกว่าเป็นกันเองได้เต็มปาก แต่การที่ผมเกือบขาดใจตายต่อหน้าต่อตาทุกคนก็ดูจะเป็นจุดเปลี่ยนเล็กๆ ที่ทำให้พวกเขาปฏิบัติกับผมอย่างใช้การไตร่ตรองโดยไร้ซึ่งอคติขึ้นบ้าง แม้บางครั้งผมจะแอบคิดว่ามันคือความสงสารและรู้สึกผิด แต่ถึงอย่างนั้นมันก็เป็นการเริ่มต้นความสัมพันธ์ที่ดี

เมื่อสถานการณ์ไม่เหมือนเก่า ผมมีความยินดีในการมาทำงานแต่ละวัน เพราะไม่ต้องรู้สึกหนักใจทุกครั้งที่ออกจากบ้าน ผมคิดว่าทุกอย่างกำลังดี แต่มันกลับมีพนักงานอยู่คนหนึ่งที่ยังทำให้ผมกระอักกระอ่วนใจอยู่ จากหลายวันก่อนที่ไทด์ทำเมินเฉยต่อผม แม้แต่หน้าก็ยังไม่อยากมอง มาคราวนี้เขากลับใช้สายตาแปลกๆ จับจ้องผมคล้ายกับมีเครื่องหมายคำถามติดบนหน้าผากอยู่ตลอดเวลา 

ระหว่างนั้น ยักษ์เดินเข้าบอกผมว่าลูเซียนเรียกให้ไปพบในห้องส่วนตัว วันนี้เขาแวะเข้ามายังไนต์คลับทั้งๆ ที่ไม่มีแขกวีไอพี ผมผละจากงานตรงหน้า ใช้ทางลัดเดินเลียบข้างโต๊ะลูกค้าไปตามทางเดิน ก่อนจะโผล่ยังหน้าห้องของลูเซียนที่ผมเคยเข้าไปแล้วครั้งหนึ่ง

หลังจากเคาะประตูเสร็จ ผมก็เปิดเข้าไปด้านในโดยไม่ลืมที่จะปิดประตูให้ด้วย

สถานการณ์ตรงหน้าผมในตอนนี้คือลูเซียนกำลังพิมพ์คอมอยู่ ภายในห้องเปิดไฟสลัว ผมจึงเห็นใบหน้าคร่ำเคร่งผ่านจากแสงของจอโน้ตบุ๊กเท่านั้น 

“มีอะไรจะพูดกับผมหรอครับ”

“ยืนรอไปก่อน” ลูเซียนไม่มองหน้าผมด้วยซ้ำ

เห็นว่าเขากำลังง่วนอยู่กับงานบางอย่างผมก็เลยยืนรอตามที่บอก จนเวลาผ่านไปเป็นนาที สองนาที และสามนาที พอเข้านาทีที่ห้าผมก็เริ่มมองไปรอบห้องเพื่อสำรวจอะไรต่อมิอะไรเพื่อฆ่าเวลา ในห้องส่วนตัวของเขามีชุดโซฟาไว้รับแขก บานกระจกสี่ด้านติดฟิล์มทึบ และยังเก็บเสียงเพื่อไม่ให้ได้ยินเสียงเพลงจากด้านนอก โดยรวมแล้วห้องดูเรียบง่าย แต่ก็ยังได้ความทรงพลังจากรูปภาพจิตรกรรมราชสีห์แยกเขี้ยวที่แขวนอยู่ตรงกำแพงด้านหลังโต๊ะทำงาน

นอกจานี้ก็ยังมีภาพวาดที่แขวนอยู่อีกฝั่ง ผืนผ้าใบที่แต่งแต้มสีนำมันเป็นภาพของท้องฟ้าคราม ทะเลยามเย็น และโขดหินน้อยใหญ่ตามหาดทราย จุดเด่นในภาพเห็นจะเป็นชายหญิงคู่หนึ่งที่นั่งอยู่บนโขดหิน หญิงสาวรูปร่างบอบบาง ส่วนชายหนุ่มนั้นยังเยาว์วัย พวกเขานั่งหันข้าง ทอดสายตามองเรือลำเล็กที่กำลังถูกเกลียวคลื่นซัดออกไปไกล การใช้เฉดสีเข้มหม่นๆ ยิ่งทำให้รู้สึกหมองเศร้า มองแล้วสัมผัสได้ถึงความเจ็บปวด สายลมอันเปลี่ยวเหงา ผมคิดเล่นๆ ว่าถ้าหากภาพนี้ถ่ายทอดอารมณ์ของชายหญิงสองคนให้เห็นชัดเจนขึ้น จิตรกรรมชิ้นนี้คงสร้างความหดหู่ใจไม่น้อย

“มีอะไร”

“ครับ?” หันขวับไปยังต้นเสียงที่ทำให้ผมหลุดจากภวังค์

“เห็นนายจ้องภาพนั้นอยู่นาน”

“อ้อ~ ภาพสวยดีนะครับ”

“สวย?” ลูเซียนเลิกคิ้วสูง “ตอนเอามาติดไว้ นายเคยบอกว่ามันไม่เข้ากับห้องนี้”

กรรม ผมเคยออกความคิดเห็นด้วยหรอเนี่ย

“เอ่อ... ก็มันดูไม่เข้าจริงๆ” ผมพยายามแถขั้นสุด พอเห็นภาพวาดที่อยู่เหนือหัวเขาก็หาทางไหลลื่นไปได้อีก “มีภาพสิงโตตัวเบ้อเร้ออยู่เหนือหัว แต่หันไปอีกทางกลับเป็นรูปทิวทัศน์ธรรมดา มันดูขัดๆ ไปหน่อย”

พูดจบ ลูเซียนเบือนหน้าไปอีกทาง ทำยังกับไม่อยากใส่ใจคำพูดของผมเท่าไหร่

“นี่เป็นห้องส่วนตัวของฉัน ภาพนั่นฉันก็วาดเอง จะแขวนตรงไหนต้องสนคนวิจารณ์ด้วยหรอ”

“คุณวาดเอง?” แปลกใจจนอุทานออกมาอย่างลืมตัว ก่อนจะนึกได้ว่าตัวเองควรรู้เรื่องนี้ถึงจะถูก “แหงล่ะ ผลงานของคุณนี่ และห้องนี้ก็เป็นส่วนตัว คุณจะตกแต่งยังไงก็ได้”

ผมว่างั้นก่อนจะเห็นลูเซียนยกนาฬิกาข้อมือขึ้นมาดู

“นายยืนอยู่ตรงนั้นประมาณสิบนาทีได้” หืม? แล้วยังไงอ่ะ “คนอย่างนายรู้จักรออะไรนานเกินสามนาทีตั้งแต่เมื่อไหร่”

ให้ตายสิ บรรยากาศในห้องก็อึดอัดพอแล้ว เขายังจะสร้างประเด็นใหม่ให้ผมกระวนกระวายใจเข้าไปอีก เรื่องภาพวาดก็ทีนึงแล้ว ใจคอจะให้ผมหาเรื่องแถจนสีข้างถลอกเลยรึไง ไม่ได้ๆ ต้องเปลี่ยนเรื่องคุย

“แล้วเรื่องที่คุณจะพูดกับผม...”


“อีวานใกล้จะกลับมาแล้ว”


เหมือนเส้นประสาทกระตุกให้อวัยวะทั่วร่างทำงานพร้อมกัน มือไม้สั่นระริก ริมฝีปากเม้มหนัก นัยน์ตาเบิกกว้าง อยู่ๆ ภาพใบหน้าของฝรั่งดวงตาสีฟ้าก็ผุดขึ้นมาในสมอง ผมรังเกียจผู้ชายคนนั้นจนอยากจะหนีให้ไกล และนึกไม่ออกด้วยซ้ำว่าถ้าเจอกันอีกผมจะทำยังไง อีวานเป็นเหตุผลเดียวที่ทำให้ผมยอมทำตามคำสั่งการของลูเซียนทุกอย่าง ดังนั้นการถูกเรียกตัวมาตอนนี้ อาจไม่ใช่แค่บอกให้ผมรู้ว่าอีวานกลับมาแล้วแน่ๆ

“ผมต้องทำยังไงครับ” ผมถามอย่างร้อนใจ

“ฉันควรถามนายก่อน ว่าถ้าเกิดนายนึกหลงตัวเองว่าอีวานต้องการตัว ทั้งๆ ที่ความจริงหมอนั่นอาจเห็นนายเป็นแค่เรื่องสนุกข้ามคืน… นายจะทำยังไง”

“ก็ดีสิครับ ผมจะได้เริ่มต้นชีวิตใหม่ ไม่มาให้คุณเห็นหน้าอีก” ตอบโดยไม่ต้องคิดให้มากความ

“แล้วเรื่องหนี้ที่ค้างฉันไว้ล่ะ” ลูเซียนหรี่ตาคมเล็กน้อย

“คุณบอกเองว่าถ้าผมสอบเข้ามหา’ลัยได้ จะยกหนี้ให้ผมทั้งหมดนี่ครับ”

“นายคิดอย่างนั้นจริงหรอ”

“แน่นอนครับ และผมก็จะทำให้ได้ด้วย ไม่ยอมให้คุณดูถูกง่ายๆ หรอก”

“เรื่องเงินสิบล้านนั่น นายยังคิดว่าฉัน...” ชายตรงหน้าเว้นเสียงและค้างไว้จนความเงียบเข้ามาแทนที่ ผมรอประโยคถัดเพราะมีความรู้สึกว่าเขายังพูดไม่จบ แต่อีกฝ่ายก็ยังเงียบอยู่ ผมจึงต้องถามกลับ

“อะไรครับ”

“อีกกี่วันถึงจะสอบ” อ่าว? เปลี่ยนเรื่องเฉย

“สี่วันครับ”

“ตั้งแต่วันพรุ่งนี้นายไม่ต้องมาทำงานที่ไนต์คลับ”

หืม?

“คุณจะให้ผมหยุดเพื่ออ่านหนังสือหรอครับ” ผมขมวดคิ้วอย่างฉงนใจ ก่อนจะถามให้กระจ่าง

“ช่วงนี้ฉันจะให้นายมาอยู่ที่บ้าน”

“บ้าน? บ้านคุณน่ะหรอ!”

“ถ้าอีวานมาเห็นนายเป็นแด็กเสิร์ฟเข้า เขาจะคิดยังไง” ผมวิเคราะห์ตามสิ่งที่ลูเซียนบอก “มีใครให้คู่ขาของตัวเองมาทำงานงกๆ บ้าง”

“แล้วจะให้เราไปเป็นเด็กเสิร์ฟแต่แรกทำไมกัน” ผมคิดนะ แต่ปากดันพูดออกมา และคงจะดังไปหน่อยลูเซียนถึงผมไม่วางตาขนาดนั้น “เอ่อ... แปลว่าคุณตั้งใจจะตบตาอีวานใช่มั้ยครับ”

“ไม่งั้นจะมีเหตุผลอะไรอีก”

“แล้วผมต้องไปอยู่ยังไงหรอครับ” อย่างน้อยก็ต้องถามให้ละเอียดก่อน มันจะได้ง่ายต่อการติดสินใจ ก็ยอมรับว่าแอบเห็นด้วยกับความคิดนั้น แต่การไปอยู่กับคนที่ผมไม่เคยมอบความไว้วางใจให้ มันก็ต้องกังวลใจเป็นของธรรมดา และอีกอย่าง ผมก็ต้องขอเหตุผลไปพูดกับจ้านให้เข้าใจด้วย

ดวงตาดุจสัตว์ป่าของลูเซียนจดจ้องผม กระทั่งหางตาถูกเลิกขึ้นสูง เขาก็เอ่ยขึ้น



“ในฐานะที่เป็นคู่ขาของฉัน... คิดว่าตัวเองควรทำอะไรล่ะ”















TBC

NEXT UPDATE 25/05/61 TIME 20:00
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 14:: แผนตบตา] UPDATE 24/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 24-05-2018 20:50:26
ง่ะ?  สรุปว่าลูน่าจะรู้อะไรบ้างแล้วล่ะนะ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 14:: แผนตบตา] UPDATE 24/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: barataku ที่ 24-05-2018 21:40:15
อ่านเรื่องนี้แล้วตื่นเต้นตลอดเลย ไม่ได้รู้สึกหนักหรือดราม่านะ แต่เรื่องเข้มข้นมีปมให้คาดเดาสนุกดี
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 14:: แผนตบตา] UPDATE 24/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: tamarind ที่ 24-05-2018 22:04:51
ตื่นเต้นๆ รอตอนต่อไปค่า :katai5:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 14:: แผนตบตา] UPDATE 24/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 24-05-2018 23:53:34
ลูเซียน จะมาไม้ไหนนนน :hao7: 

หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 14:: แผนตบตา] UPDATE 24/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 25-05-2018 07:44:16
รันณ์นี่ขายดีจริงๆ อิจฉา อิอิอิ
 :z6:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 14:: แผนตบตา] UPDATE 24/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 25-05-2018 08:52:41
เป็นน้องของไทด์ ใช่ไหมๆ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 14:: แผนตบตา] UPDATE 24/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: angel_Z4 ที่ 25-05-2018 09:03:05
เจ้มจ้นๆ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 14:: แผนตบตา] UPDATE 24/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 25-05-2018 10:13:34
สนุกอ่าา
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 14:: แผนตบตา] UPDATE 24/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 25-05-2018 11:33:08
อ้าวๆๆๆ งี้ยิ่งพัวพัน พันพัวกับป๋าลูเข้าไปใหญ่เลยอ่ะดิ
+ และเป็ดขอบคุณ
 :z2:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 14:: แผนตบตา] UPDATE 24/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 26-05-2018 15:45:57
 :hao7:


 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 14:: แผนตบตา] UPDATE 24/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 26-05-2018 15:51:54
ติดเรื่องนี้อย่างหนัก แว๊บเข้ามาดูเป็นระยะ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 14:: แผนตบตา] UPDATE 24/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 26-05-2018 21:01:32
รออ่านตั้งแต่เมื่อคืนแล้ว คืนนี้จะมาต่อไหมจ๊ะ  :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 14:: แผนตบตา] UPDATE 24/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: La_Pomme ที่ 26-05-2018 22:02:57
บทที่ 15
::หลงกล::





**

อีกไม่กี่วันกรัณย์จะสอบเข้ามหาวิทยาลัยเดียวกับจ้าน คนเป็นเพื่อนสนิทจึงเดินมาหาในห้องสมุดเพื่อดูตำราที่จะนำไปติวเพิ่มเติมให้ ช่วงนี้กรัณย์ขยันเป็นพิเศษหากเทียบกับเมื่อก่อนที่ไม่เคยใส่ใจการเรียนสักครั้ง ชายหนุ่มถือหนังสือหลายเล่มไว้ในเต็มมือ แต่ก็ยังเดินไปตรงหมวดหนังสือคณิตศาสตร์แบบสรุปเนื้อหาและสังคมทั่วไปเพื่อดูอีกสองสามเล่ม

“ไอ้จ้าน!”

เสียงคุ้นหูทักทายเขาจากด้านหลัง ชายหนุ่มหันไปดูก็พบว่าเป็นเพื่อนสนิทสมัยมัธยมของตน เขาจึงกล่าวทักทายกลับ ก่อนจะหันมาเลือกหนังสือตรงหน้าต่อ

“ทำอะไรอยู่วะ ธีสิสยังไม่เรียบร้อยอีกหรอ” ติณณ์เห็นจ้านถือหนังสือเต็มมือ จึงคิดไปว่าบางทีเจ้าเพื่อนคนนี้อาจเข้ามาในห้องสมุดด้วยสาเหตุเดียวกัน “ของกูแม่งไม่เข้าร่องเข้ารอยสักทีว่ะ เจอแต่ปัญหาร้อยแปดอย่าง หลายวันมานี้กูแทบไม่ได้นอน สงสัยต้องหาตัวช่วยแล้วมั้ง”

ตัวช่วยที่ว่าคงหมายถึงกลุ่มคนที่รับจ้างทำงานวิจัย จ้านคิดอย่างนั้นเพราะติณณ์เคยเกริ่นเรื่องนี้ขึ้นมาลอยๆ ซ้ำยังบอกว่าถ้าเป็นหนทางสุดท้ายจริงๆ เขาคงตัดสินใจทำ โดยเหตุผลหลักๆ อาจเกิดจากการที่ติณณ์ไม่อยากเรียนบริหารอยู่แล้ว แต่เพราะต้องเชื่อฟังคำสั่งพ่อจึงทำให้เจ้าตัวไม่มีทางเลือก

“ทำอะไรด้วยตัวเองไปเถอะน่า เวลามันสำเร็จมึงจะได้รู้สึกภูมิใจ... อีกอย่าง คนอย่างมึงถ้าตั้งใจทำอะไรก็ทำได้อยู่แล้วไม่ใช่ไง” จ้านยังเอ่ยปากปรามติณณ์เหมือนเคย แน่นอนว่ามันทำให้อีกฝ่ายรับรู้ถึงความหวังดี แต่จากการพูดไปด้วยสนใจหนังสือตรงหน้าไปด้วย กลับสร้างความไม่พอใจเล็กๆ จนก่อให้เกิดความสงสัยขึ้นมา

“มึงหาหนังสือพวกนี้ไปทำไมวะ หรือจะรับจ้างสอนพิเศษ” ติณณ์พูดติดตลก

“จะเอาไปให้ไอ้รัณย์อ่าน อีกไม่ถึงอาทิตย์มันต้องสอบเข้ามหา’ลัยแล้ว” คำตอบนั้นทำให้ติณณ์หน้าตึง ขบกรามกรอด ใจมันร้อนรุ่มเหมือนกำลังมอดไหม้ เขาพยายามแสดงสีหน้าเรียบเฉยเพื่อปกปิดสิ่งที่ตัวเองคิด สุดท้ายกลับไปไม่รอด

“มันอยากเรียนต่อจริงเหรอ ทำไมอยู่ๆ...” พูดยังไม่ทันสิ้นเสียง จ้านก็หันขวับมาจ้องหน้าติณณ์อย่างรวดเร็ว

“คนเราจะคิดเปลี่ยนแปลงตัวเองบ้างไม่ได้รึไง”

“เพราะเป็นไอ้รัณย์ต่างหากกูถึงสงสัย” น้ำเสียงเริ่มสูงขึ้นจากอารมณ์ที่ส่งผ่าน “ตั้งแต่รู้จักกันมามันเคยคิดจะหาความรู้ใส่หัวด้วยหรอ ที่มันเรียนจบม.ปลายมาได้ก็เพราะพวกเราคอยช่วยมันทั้งนั้น หรือมึงจะเถียงว่าไม่จริง”

“ที่นี่ห้องสมุด เงียบเสียงหน่อย” จ้านเอ็ดพร้อมแสดงแววตาเอาเรื่อง กำลังจะพาตัวเองออกจากความตึงเครียดที่ไม่ได้เป็นคนก่อ แต่กลับโดนอีกฝ่ายเดินมาดักหน้าไว้

“ทำไมเราต้องมีปากเสียงแล้วก็ต้องหมางเมินกันเพราะไอ้รัณย์ตลอดเลย กูพูดความจริงไม่ได้เลยใช่มั้ย ถามจริงเหอะ มึงจะปกป้องมันไปจนถึงเมื่อไหร่ อย่าลืมสิว่ามึงก็มีชีวิตของตัวเองเหมือนกัน จำได้รึเปล่าว่าในอนาคตมึงอยากเป็นทนายที่ประสบความสำเร็จ หรือต้องให้ไอ้รัณย์ฉุดลงไปกว่านี้ก่อนมึงถึงจะตาสว่างสักที” ติณณ์พยายามคุมเสียงพูดให้เบาที่สุด โดยหวังว่ามันคงดังพอที่จะสะท้อนบางอย่างให้คนตรงหน้าได้ตระหนักและถึงคิดสิ่งที่เขาพูดบ้าง สักนิดก็ยังดี

“มึงยังเห็นไอ้รัณย์เป็นเพื่อนอยู่มั้ย”

นับเป็นคำพูดที่ติณณ์ไม่คิดว่าจะได้ยิน แน่นอนว่าเขาไม่เคยลืมว่าจ้านกับกรัณย์เป็นเพื่อนสนิทกันก่อนที่เขาจะก้าวเข้าไป ความสัมพันธ์แน่นแฟ้นจากวัยเยาว์เป็นเรื่องน่าอิจฉาสำหรับเขามาตลอด อีกทั้งยังรู้ดีว่าต่อให้พยายามแค่ไหนก็ไม่อาจแทรกกลางได้ จะว่าไป คำถามของจ้านทำให้ติณณ์ฉุกคิดทั้งๆ ที่มีคำตอบในใจมานานแล้ว ถ้าอย่างนั้นมันคงถึงเวลาที่เขาจะพูดเรื่องในใจออกมาสักที

“กูจำได้ว่ามันเป็นเพื่อนที่ทำให้เรามีความทรงจำร่วมกัน แต่ทุกวันนี้... คนที่ทำให้กูมองมันเปลี่ยนไปก็คือมึง” ดวงตายังคงจับจ้อง แม้ในใจสั่นไหวก็ไม่อาจทำให้เขากระพริบตา “กูไม่อยากให้มันมาทำลายมึงถึงได้คอยเตือนอยู่แบบนี้ แต่แล้วยังไง สุดท้ายมึงก็เห็นว่ากูเป็นคนใจร้ายอย่างนั้นใช่มั้ย”

จ้านยืนฟังโดยไม่มีคำพูดใดออกมาจากปาก

“กูจะบอกให้นะ… คนที่ไม่เห็นไอ้รัณย์เป็นเพื่อนแล้วไม่ใช่กู แต่เป็นมึงต่างหาก!”

ติณณ์รับรู้มานานแล้วว่าในใจจ้านคิดเกินเลยกับรัณย์มาตลอด เริ่มจากการปกป้อง ตามใจทุกอย่าง แม้ถูกทำให้ผิดหวังเสียใจก็ยังให้อภัยเหมือนคนโง่ จ้านทำแบบนี้จนกลายเป็นความเคยชิน และเมื่อมารู้ตัวอีกทีก็ไม่อาจห้ามความรู้สึกนั้นได้แล้ว ถึงจ้านจะหลงคิดว่าตัวเองปกปิดมิดชิด แต่ก็ไม่อาจรอดพ้นสายตาเขาไปได้

จ้านอยู่ในสายตาติณณ์เสมอมา และมันไม่ยากเลยที่จะมองการกระทำของเพื่อนสนิทคนนี้ได้อย่างทะลุปรุโปร่ง ในเมื่อเขาเองก็ตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกันนี้เช่นกัน...

“ไหนๆ ก็พูดแล้ว กูขอเตือนอะไรมึงไว้อย่าง” ติณณ์ตัดสินใจพูดหลังจากยืนนิ่งอยู่ชั่วครู่ “รู้ใช่มั้ยว่าตอนนี้ไอ้รัณย์กลับไปหาลูเซียนอีกแล้ว ถึงจะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องลดตัวไปเป็นพนักงานที่นั่น แต่กูก็มั่นใจว่ามันต้องมีอะไรแน่ๆ ถ้ามึงยังเล่นตามน้ำไปกับไอ้รัณย์อยู่อย่างนี้ มึงก็คงเป็นได้แค่เพื่อนที่เคยแก้ปัญหาให้มัน หรือไม่แน่บางทีมึงอาจต้องทำใจที่จะเห็นมันไปได้กับคนอื่นเหมือนอย่างที่เคยเป็นมาตลอด”

ใช้ความกล้าพูดออกไปโดยไม่กลัวผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้น ติณณ์เดาปฏิกิริยาตอบสนองของจ้านไม่ออก ไม่รู้ว่าจะปฏิเสธเสียงแข็ง หรือยืนนิ่งแล้วทำเฉย

จนกระทั่ง...

“กลับไปทำงานวิจัยของมึงให้เสร็จเถอะ” ว่าจบก็กำลังจะเดินจากไป การกระทำเย็นชานั้นทำให้ติณณ์โกรธจนลมออกหู ท่าทางแบบนี้หมายความว่ายังไง จะทำเหมือนกับคำพูดเขาเป็นอากาศ ไร้ความหมาย หรือจะปล่อยมันผ่านไปโดยไม่ใส่ใจอย่างนั้นใช่มั้ย

ได้! งั้นก็ไม่ต้องมานั่งเป็นห่วงว่าจะทำให้ใครเสียใจกันแล้ว

“ไอ้รัณย์บอกมึงหรือยังว่ามันกำลังจะไปอยู่กับลูเซียน”

จ้านชะงักฝีเท้า แสดงสีหน้าคร่ำเคร่งอย่างเห็นได้ชัด

“ไม่มีทาง”

“เมื่อคืนกูแอบฟังตอนที่สองคนนั้นคุยกัน”

ติณณ์นึกย้อนถึงตอนไปดื่มเหล้าที่ไนต์คลับเมื่อคืน บังเอิญเห็นรัณย์เดินไปทางห้องส่วนตัวของลูเซียน เขาจึงเดินตามไปทั้งๆ ที่ยังมีอาการอึนๆ เพราะฤทธิ์เหล้าเล็กน้อย แต่ถึงจะมีสติไม่เต็มร้อย เขาก็มั่นใจว่าได้ยินไม่ผิดแน่

ชายหนุ่มในชุดนักศึกษาเดินเข้าไปใกล้เพื่อนสนิทที่เรียนคณะนิติศาสตร์พร้อมรอยยิ้มที่เต็มไปด้วยเลศนัย ใบหน้าเรียบเนียนเงยขึ้นตามความสูงของอีกฝ่าย ก่อนจะเอ่ยทิ้งท้ายให้ได้คิด

“ตราบใดที่พวกเขายังเจอกันอยู่แบบนี้... ความหวังของมึงก็ไม่มีทางเป็นจริงหรอก”

จ้านปล่อยให้ติณณ์พูดจนจบ และยังมองตามหลังเจ้าของเสียงจนเดินลับออกไป หลังจากถูกทิ้งให้ยืนอยู่กับกองหนังสือในมือ ชายหนุ่มเม้มปากหนัก พ่นลมหายใจออกอย่างกระฟัดกระเฟียด ดึงเนกไทที่รัดอยู่ให้คลายออกเล็กน้อยเพื่อคลายความโมโห ก่อนจะนำหนังสือที่แบกไว้ไปวางลงบนชั้นของหนังสือที่อ่านแล้ว เขาไม่มีกะจิตกะใจทำอะไรต่อ กำลังจะเดินออกจากห้องสมุดด้วยความผิดหวัง แต่พอมาคิดดูอีกที ความตั้งใจของรัณย์ในหลายวันมานี้ไม่ใช่เรื่องที่จะเกิดขึ้นง่ายๆ เลยพลอยทำให้เขาตัดใจทิ้งไม่ลง จนต้องเดินกลับมาแล้วแบกหนังสือทั้งหมดไปยังเคาน์เตอร์เพื่อทำการยืม

**

 








ผมเอาเรื่องที่ลูเซียนเสนอไปคิดทบทวน ถ้าให้บอกตามตรงผมคงไม่ปฏิเสธว่ากำลังลังเลใจ เพราะนอกจากจ้านแล้วผมไม่ไว้ใจใครทั้งนั้น อีวานยิ่งแล้วใหญ่ ขนาดเรื่องผ่านมาหลายอาทิตย์ ทุกวันนี้ผมยังไม่ลืมเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในคืนนั้นเลย ผมทั้งเกลียดทั้งกลัวเขา อยากพาตัวเองหนีไปให้พ้นๆ ถึงขนาดยอมไปขอความช่วยเหลือจากลูเซียน ผู้ที่เป็นตัวต้นเหตุให้ผมต้องเจอกับฝรั่งตาสีฟ้านั่น ผมยอมเสี่ยงเพื่อไม่ให้จ้านต้องเดือนร้อนด้วย และครั้งนี้ก็เหมือนกัน ถ้าทางเลือกคือการเข้าไปอยู่ที่บ้านของลูเซียนชั่วคราว ผมก็ควรหาเหตุผลดีดีที่ฟังขึ้นไปพูดกับจ้านเพื่อให้เขาเห็นด้วย

ระหว่างกำลังจัดเรียงขวดเหล้าที่บาร์แทนยักษ์ที่ป่วยกะทันหัน ผมก็นึกไปถึงเรื่องที่ลูเซียนพูดไว้

‘ในฐานะที่เป็นคู่ขาของฉัน... คิดว่าตัวเองควรทำอะไรล่ะ’

พอจับใจความได้ผมก็ตกใจสุดขีด ไม่คิดว่าจะได้ยินคำพูดนี้จากปากของลูเซียน

‘ไหนคุณบอกว่าไม่มีทางนอนกับผมไง’ แววตาฉายความกังวล แต่ตอนนั้นเขากลับขมวดคิ้วใส่ผม

‘คิดไปถึงไหน’

‘แล้วคุณพูดแบบนั้นมันหมายความว่ายังไงล่ะครับ’

‘คู่ขาของคนทั่วไปจะปฏิบัติต่อกันยังไงก็ช่าง แต่ระหว่างฉันกับนาย’ ลูเซียนจ้องผมเขม็ง ก่อนจะเอ่ยประโยคสั้นๆ ออกมาในขณะที่ผมตั้งใจฟังเต็มที่ ‘ฉันให้ได้แค่คนอาศัย’

ตอนแรกก็พยักหน้าเข้าใจ แต่พอเวลาผ่านไปอีกหน่อยผมก็เริ่มร้อนที่ใบหน้าจนอยากจะแทรกแผ่นดินหนี

ขายหน้าชะมัด!

“เฮ้!” เสียงดังจากด้านหลังทำให้ผมสะดุ้งเฮือก ก่อนจะรีบหันไปมอง

ให้ตายเถอะ เป็นไทด์นั่นเอง... จะมีสักวันที่เขาไม่ทำเสียงดุใส่ผมบ้างมั้ยนะ

“หน้าที่นายรึไง”

“ยักษ์ไม่สบาย ผมเลยทำงานแทนเขา”

“ใครสั่ง”

“ผมทำเองครับ”

จู่ๆ ไทด์ก็หรี่ตามองผมอย่างสงสัย ยืนจดจ้องโดยไม่พูดอะไรต่อ ผมไม่เข้าใจการกระทำของเขาในหลายวันมานี้เลย ทำไมจะต้องคอยใช้สายตาแบบนั้นมองผมด้วย มีเรื่องอะไรในใจทำไม่ไม่พูดออกมาตรงๆ เอาแต่ทำหน้ามุ่ยเหมือนไม่มีอะไรได้ดั่งใจ แล้วก็พลอยขุ่นเคืองใส่ผมอย่างนี้มันใช่เรื่องหรอ

“จะบอกให้ว่าทำไมการต่อยนายถึงไม่ทำให้ฉันเกลียดขี้หน้านายน้อยลง”

“ฮะ?”

“ตามมา”

ผมยังจับใจความประโยคแรกไม่ได้ทั้งหมด เจ้าของคำพูดก็เดินนำไปซะแล้ว มันเรื่องอะไรวะ ผมยกมือเกาหัวตัวเองก่อนจะตัดสินใจผละจากงานตรงหน้าเพื่อเดินตามไทด์ไป

ห้องน้ำ?

ผมยืนเก้ๆ กังๆ อยู่หน้าทางเข้าทั้งๆ ที่ไทด์เดินเข้าไปเป็นนาทีแล้ว ถ้าให้เชื่อสัญชาตญาณตัวเอง ผมไม่ควรเข้าไปเด็ดขาด อยู่ๆ เขาก็จะบอกเรื่องที่ว่าทำไมถึงเกลียดผมอะไรสักอย่าง ฟังยังไงก็ไม่ปกติ หรือเพิ่งคิดได้ว่าต้องเอาคืน มันอาจเป็นผลจากที่ผมไปท้าให้เขาต่อยหน้าก็ได้ แย่ล่ะสิ รูปร่างสูงใหญ่ขนาดนั้นคว่ำผมได้สบายๆ เลยนะ

“ไม่เป็นไรน่า เดี๋ยวมันก็ผ่านไป” ปลอบใจตัวเองเสร็จก็หายใจเข้าให้เต็มปอด

จนเมื่อเดินตามไทด์เข้าไปในห้องน้ำ สิ่งแรกที่ผมเห็นคือเขากำลังปลดเข็มขัดกางเกง...

ปลดทำไมอ่ะ?

ผมถอยหลังครูดไปติดกำแพงโดยอัตโนมัติ ในใจคิดว่ารอก่อน เขาคงรู้ตัวแหละว่ากำลังทำอะไรอยู่ จากนั้นก็มองรอบๆ สลับกับดูไทด์ปลดเข็มขัดออกจนลามไปถึงซิปกางเกง มันชัวร์ตรงที่ว่าในห้องน้ำไม่มีใครนอกจากเรา แต่ไม่ชัวร์คือเจ้าคนตรงหน้าผมนี่

ตั้งใจจะทำของเขาวะเนี่ย!

“ดูให้ดี” ไทด์พูดแค่นั้น ก็จัดการแหวกกางเกงให้เห็นเชิงกรานที่มีรอยอะไรบางอย่าง

ผมเอียงคอสงสัย รู้ว่าตัวเองเห็นอะไรแต่ยังไม่ชัดพอ จึงตัดสินใจเดินเข้าไปใกล้อีกนิด และอีกนิด จนสุดท้ายผมต้องก้มมองดูอย่างละเอียด ก่อนจะพบว่ามันคือ ‘แผลเป็น’ ลักษณะนูนเป็นทางยาวตรงเชิงกรานไปจนถึงสะโพก

“นี่มัน...”

“ฝีมือนาย”

ผมอ้าปากค้างจนต้องยกมือขึ้นมาปิด แผลนั่นดูท่าจะเคยได้รับบาดเจ็บอย่างสาหัสมาก่อน ในใจอยากรู้ว่ามันเกิดขึ้นได้ยังไงแต่กลับถามไม่ได้ ในเมื่อเขาบอกเองว่าผมเป็นคนทำก็แปลว่าผมต้องรู้เรื่องเหตุการณ์นั้นดี

ไม่อยากเชื่อว่าผมจะทำร้ายคนอื่นจนมีแผลเป็นติดตัวแบบนี้ การชดใช้เพียงแค่ชกกลับมันน้อยเกินไปจริงๆ ถ้าเทียบกับแผลเป็นที่ต้องติดตัวคนคนหนึ่งไปตลอดชีวิต 

“ผมขอโทษ” คงพูดได้เพียงเท่านี้ ผมคิดคำอื่นไม่ออกจริงๆ

“ถ้าให้ฉันเอาคืน นายจะยินดีมั้ยล่ะ”

ไทด์ท้าทายผมด้วยสีหน้าที่ไม่สะทกสะท้าน ซ้ำยังยิ้มเยาะเหมือนทีเล่นทีจริง ผมเดาไม่ออกว่าอีกฝ่ายพูดจริงมั้ย จนเมื่อเขาหยิบมีดสั้นเล่มหนึ่งขึ้นมา หัวใจผมเต้นแรงระส่ำระส่าย นึกไปว่าถ้าจิตใจเขาสามารถเยียวยาด้วยการเห็นความเจ็บปวดของผมได้ มันก็สมควรทำ

ไม่รอช้า ผมดึงเสื้อเชิ้ตออกจากกางเกงขายาว ก้มปลดตะขอพร้อมถลกเสื้อขึ้น

“ถ้ามันจะพอชดใช้ให้คุณได้ ก็ทำเถอะครับ” หลังจากพูดจบ เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นไทด์ยิ้มกว้างขนาดนั้น เสียงเดินย่ำกับพื้นกระเบื้องทำให้รู้ว่าเขากำลังเดินเข้ามาใกล้ ผมยืนตัวแข็ง ริมฝีปากผมสั่นระริก กระทั่งอีกฝ่ายมายืนตรงหน้าเพียงหนึ่งไม้บรรทัด ผมก็ค่อยๆ หลับตาลงในที่สุด

“แผลนี่ ฉันได้มาตอนรถมอเตอร์ไซค์ล้มเมื่อสองปีก่อน...”

“ครับ ผมเป็นต้นเหตุเอง” ทำเหมือนเป็นความรับผิดชอบ แต่ไม่อาจคุมเสียงตัวเองไม่ให้สั่นได้

“สองปี... ก่อนที่ฉันจะรู้จักนาย”

เอ๊ะ?

“อะไรนะครับ” ผมลืมตาขึ้นมาถามอย่างฉงนใจ ทว่าคนตัวสูงกว่ากลับดันผมติดกำแพงก่อนจะเอามือขึ้นมาคั่นผมด้วยการเท้ากำแพงไว้ทั้งสองข้าง

ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจ สถานการณ์เปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ อยากทักท้วงเรื่องเมื่อสองปีก่อนให้หายข้องใจ แต่เหมือนผมถูกสะกดไว้ด้วยแววตาที่ฉายแววจริงจังของคนตรงหน้า 

“นายเป็นใครกันแน่”

เป็นคำถามที่ทำให้ผมกลืนน้ำลายลงคออย่างยากลำบาก อย่าบอกนะว่าเมื่อกี้เพิ่งปล่อยไก่ตัวใหญ่ไป ให้ตายเถอะ อยากขย้ำหัวตัวเองแล้วดึงแรงๆ จริงๆ เลย คิดบ้าอะไรถึงได้หลวมตัวเชื่ออะไรง่ายๆ บื้อซะไม่มี

“คุณหลอกผม?” ถึงจะมั่นใจว่าเป็นอย่างนั้น ผมก็ยังอยากถาม

“นายมาเป็นพนักงานในไนต์คลับแทนที่จะไปใช้ชีวิตหรูหรา ใส่เสื้อผ้าเกรดต่ำ ไม่ใส่นาฬิกาแบรนด์เนม คำพูดคำจาเปลี่ยนไปยังกับคนละคน แล้วยังจะกินกุ้งเข้าไปเหมือนไม่รู้ว่าตัวเองแพ้นั่นอีก... ฉันเลยคิดเล่นๆ ว่าอาจมีวิญญาณคนอื่นมาเข้าสิงนาย แต่บังเอิญว่าฉันไม่เชื่อเรื่องไสยศาสตร์ไร้สาระนั่น” ไทด์ยังยืนท่าเดิม ไม่ได้รู้สึกตัวเลยหรอว่ากำลังทำให้ผมอึดอัด โดนจ้องหน้าใกล้กันแค่นี้ แถมหลังยังติดกำแพง จะมุดออกไปก็หาจังหวะไม่ได้ เลยต้องยืนฟังอีกฝ่ายพูดต่อไป “พอเห็นวันก่อนนายไปหาหมอเกี่ยวกับสมอง ฉันก็เลยคิดไปว่าสมองนายอาจกระทบกระเทือนจนทำให้บุคลิกเปลี่ยนไป แต่เมื่อกี้นายดันเชื่อเรื่องแผลเป็นที่ฉันกุขึ้นมาด้วย แปลว่านายจำอะไรไม่ได้... เพราะอะไรล่ะ? ความจำเสื่อมงั้นหรอ?”

การตีความของเขาเล่นซะผมอึ้งไปเลย

“คุณน่าจะเอาเรื่องนี้ไปแต่งนิยายขายนะครับ” เห็นจังหวะสบโอกาส ผมรีบมุดออกไปจากการกักตัวของคนตัวสูงกว่า แต่รอดไปได้ไม่ถึงหน้าประตูทางออกน้ำห้อง ผมก็โดนคว้าหมับที่แขนซะก่อน

“ไม่ต้องเดินหนี!” ไทด์จับต้นแขนผมไว้แน่น “นิยายงั้นหรอ? ก็ดี ฉันจะเอาไปบอกให้คนอื่นฟังด้วย ดูซิว่ามันจะบันเทิงแค่ไหน”

“อย่านะครับ!”

“ก็บอกมาตรงๆ สิ”

ถูกคาดคั้นจนได้ วันนี้คำแก้ตัวไม่ได้ดั่งใจสักอย่าง ยิ่งหาทางดิ้นความจริงยิ่งรัดตัวเอง ไทด์เห็นผมที่โรงพยาบาลวันนั้น ถึงได้ประติดประต่อเรื่องให้เข้ากันก่อนจะมาพิสูจน์ด้วยการลองเชิงผม สุดท้ายก็เลยเป็นอย่างที่เห็น

เอาเถอะ! ไหนๆ เรื่องก็มาถึงขนาดนี้แล้ว



“คุณพูดถูก... ผมสูญเสียความทรงจำ”













TBC

ไม่ได้มาตามนัดอีกแล้ว รู้สึกผิดจัง  :mew2:
หลังจากนี้เลยกะว่าจะไม่ระบุวันและเวลาลงไปสักระยะ แฮะๆ
ยังไงก็ขอบคุณที่เฝ้าคิดตามกันน๊า รู้ว่ายังมีคนตามอ่านอยู่ก็ยังพอมีแรงฮึดที่จะแต่งต่อไป
เนื้อเรื่องหลังจากนี้ยังมีอะไรพีคๆ อีกเยอะ รอลุ้นไปด้วยกันนะจ๊ะ



 
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 15:: หลงกล] UPDATE 26/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 26-05-2018 22:20:11
 o13


 :L2: :3123: :pig4: :pig4: :pig4: :3123: :L2:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 15:: หลงกล] UPDATE 26/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 26-05-2018 22:57:23
ต้องเป็นน้องของไทด์แน่ๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 15:: หลงกล] UPDATE 26/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 26-05-2018 23:34:08
ไทด์อีกคนหรอ  :hao7:
รัณย์ต้องระวังตัวมากๆๆๆนะ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 15:: หลงกล] UPDATE 26/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 26-05-2018 23:56:31
ชื่นใจ มาต่อแล้วววววว....จ้านอย่าทิ้งรัณย์ไปนะ  น่าสงสารรัณย์
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 15:: หลงกล] UPDATE 26/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 27-05-2018 00:17:32
ตั้งแต่อ่านตอนแรก ก็คิดว่าจ้านเป็นคนแอบรักรัณย์นะ ดูแล้วน่าสงสารมากๆ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 15:: หลงกล] UPDATE 26/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 27-05-2018 01:18:13
คนรอบข้างรัณย์นอกจากจ้านแล้วมีแต่คนน่ากลัวทั้งนั้นเลย สงสารรัณย์จัง  :hao5:
จ้านชอบรัณย์ ส่วน ติณก็ชอบจ้าน  :z3:
พัวพันสมชื่อเรื่องจริงๆค่ะ นิยายสนุกมากเลยค่ะ เราติดเรื่องนี้เลย รออ่านทุกวัน 55  เหมือนคนอ่านได้ลุ้นไปพร้อมๆกับรัณย์ ไม่รู้ว่าใครดีหรือร้าย ไม่รุ้ว่าก่อนหน้านี้ตัวเองไปทำไรไว้บ้าง รอเฉลยไปพร้อมกับตัวละครเลย


หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 15:: หลงกล] UPDATE 26/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: kingkongkaew ที่ 27-05-2018 04:54:52
ถ้าวันนึงรัณย์ความทรงจำกลับมาแล้วจะเป็นยังไง สงสารจ้าน ตอนนี้กรัณย์เป็นคนดีกว่าแต่ก่อนมาก ลูเซียนถึงทำท่าว่าไม่ชอบแต่ใจจริงคงสนใจกรัณย์อยู่จนลูกน้องถึงกับหาทางกำจัดกรัณย์
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 15:: หลงกล] UPDATE 26/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 27-05-2018 20:40:02
เนื้อเรื่องยังมีแต่ปม รอตอนคลี่คลายปมต่างๆ  มาต่อไวๆ นะคะ รออ่านทุกวันเลย  :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 15:: หลงกล] UPDATE 26/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 27-05-2018 20:52:49
ไทด์เป็นแฟนละครบุพเพสันนิวาสรึป่าว 555555
รันย์ยังไม่สงสัย เราขอสงสัยรอเรืีองอุบัติเหตุว่าเกิดได้ไง
รอตอนต่อไปจ้าาา
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 15:: หลงกล] UPDATE 26/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 27-05-2018 21:21:20
ชัดเลยลูเซียน รู้เรื่องรัณย์แล้ว  :z3: :z3: :z3:
 
ไทด์ก็รู้แล้วเหมือนกัน 

ติณณ์ ชอบจ้าน จ้านชอบรัณย์   :hao3:
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 15:: หลงกล] UPDATE 26/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 29-05-2018 18:31:10
ไม่ชอบลูเซียนเลย  :hao5:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 15:: หลงกล] UPDATE 26/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 30-05-2018 09:39:22
พี่ไทด์มารอเจ้าที่ท่าน้ำทุกวัน
 :mew3:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 15:: หลงกล] UPDATE 26/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 30-05-2018 11:57:06
มาเกะขอบสนาม
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 15:: หลงกล] UPDATE 26/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 30-05-2018 17:23:54
รอน้าา
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 15:: หลงกล] UPDATE 26/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: La_Pomme ที่ 30-05-2018 20:16:29
บทที่ 16
::ไม่ให้คลาดสายตา::





ผมกลับมาถึงคอนโดของจ้านประมาณตีสามเหมือนทุกคืน ระหว่างกำลังเตรียมตัวอาบน้ำก็นึกย้อนไปถึงตอนที่คุยกับไทด์ในห้องน้ำ เขาเข้าใจว่าผมมีปัญหาทางสมองและต้อนให้ผมพูดความจริง แต่พอผมยอมบอกเขาก็เอาแต่ยืนนิ่งไม่พูดไม่จา ทำสีหน้าเหมือนลังเลใจที่จะเชื่อ และเมื่อสถานการณ์เริ่มกระอักกระอ่วนผมก็เลยขอตัวไปทำงานเพื่อออกจากตรงนั้นให้เร็วที่สุด ซึ่งตอนเลิกงานผมก็พยายามหลีกเลี่ยงเขาอย่างสุดความสามารถเช่นกัน

เมื่อกลับมาถึงคอนโด ธรรมดาจ้านจะนอนรอผมอยู่ตรงโซฟา แต่วันนี้เขากลับเข้าห้องปิดไฟเงียบ ความรู้สึกแรกคือโล่งใจที่เขายอมฟังผม แต่อีกใจก็รู้สึกว่ามันมีอะไรแปลกๆ แต่ช่างเถอะ สิ่งที่ผมควรคิดไตร่ตรองในตอนนี้คือเรื่องไปอยู่บ้านเดียวกับลูเซียน ผมอาบน้ำไปด้วยคิดไปด้วย ขนาดหัวหนุนหมอนก็ยังคิดอยู่ เอายังไงดี ยิ่งคิดเปอร์เซ็นที่ควรไปก็เริ่มสูงขึ้น เอาจริงๆ ไอ้เรื่องไปนอนบ้านคนอื่นมันไม่น่าหวั่นใจเท่ากับการคิดว่าจะหาทางบอกจ้านยังไง 

เช้าวันอาทิตย์ ผมตื่นนอนตามเวลาปกติ ออกมาดื่มน้ำเห็นห้องเงียบๆ เลยคิดว่าจ้านอาจไปมหาวิทยาลัย ช่วงใกล้จะจบคงยุ่งๆ ถ้าผมเข้าไปใช้ชีวิตเป็นนักศึกษาในมหาวิทยาลัยบ้างจะเป็นยังไงก็ไม่รู้ กำลังนึกตื่นเต้นก็ได้ยินเสียงเปิดประตู ผมเลยรู้ว่าจ้านอยู่ในห้อง

“วันนี้ไม่ได้ออกไปหรอ” ผมถามพลางยืนมองจ้านถือหนังสือหลายเล่มออกมาว่างไว้บนโต๊ะหน้าทีวี

“ตอนนี้กูรอรับปริญญาอย่างเดียวแล้ว”

“จริงดิ! จะได้เกียรตินิยมด้วยใช่มั้ย” ถามอย่างตื่นเต้น คนที่ต้องให้คำตอบเดินมาหาผมตรงตู้เย็น สายตาคนสูงกว่ามองมายังแก้วที่อยู่ในมือผม ส่งซิกให้รู้ว่าเขาอยากจะดื่มบ้าง คนมีจิตบริการอย่างผมจึงเทน้ำให้เขาใหม่ โดยใช้แก้วที่ผมดื่มแล้วนั่นแหละยื่นให้เขา

“ทำไมถามเหมือนรู้ จำได้แล้วหรอว่ากูเรียนเก่ง” หยิบน้ำจากมือผมไปก็พูดคำโต ไม่มีการถ่อมตัวแต่อย่างใด จ้านก็มีมุมที่ติดตลกขำปนหมั่นไส้ได้เหมือนกันนะเนี่ย

“ติวหนังสือให้คล่องขนาดนั้น ถ้าไม่เก่งก็คงพูดให้ฉันเข้าใจไม่ได้หรอก”

“เออนี่... กูขนหนังสือพวกนั้นมาจากห้องสมุดของมหา’ลัย มึงลองเอาไปอ่านนะ ถ้าไม่เข้าใจตรงไหนเดี๋ยวกูเขียนสรุปให้” อ้า เป็นหนังสือที่เขาจะเอามาให้ผมนี่เอง

“ขอบใจ” พูดไปเพียงอึดใจ ผมก็นึกอะไรขึ้นได้

ช่วงเวลาก่อนสอบในอีกไม่ถึงอาทิตย์ ถ้าผมไปอยู่บ้านลูเซียนแล้วใครจะติวในหัวข้อที่ผมไม่เข้าใจให้ล่ะ รู้ๆ กันอยู่ว่าจ้านเต็มที่กับผมในเรื่องการสอบเข้ามหาวิทยาลัยมาก ขืนบอกว่าจะไปอยู่ที่อื่นเอาตอนนี้มีหรอที่เขาจะเห็นด้วย

โธ่เอ้ย ไม่เอาน่า เวลานี้ไม่ควรมานั่งคิดมากแล้ว ลูเซียนบอกให้คนมารับตั้งแต่วันพรุ่งนี้ ถ้าไม่ตกลงก็เป็นอันจบ เขาไม่จำเป็นต้องช่วยเหลืออะไรอีก ไม่ดีๆ แบบนี้แย่แน่นอน คราวที่แล้วอีวานพาคนบุกมาถึงคอนโดจ้านและจับตัวผมไปได้ ถ้าครั้งนี้เขากลับมาเห็นว่าผมยังอยู่ที่นี่ เรื่องระหว่างผมกับลูเซียนก็คงไม่มีน้ำหนักอะไรให้เชื่อได้เลย

เอาวะ! ทำให้จ้านเป็นกังวล ก็ยังดีกว่าเป็นต้นเหตุทำให้เขาเดือดร้อน

“จ้าน คือ... ฉันมีเรื่องจะคุยด้วย”

พูดจบ คนที่ได้ชื่อว่าเป็นเพื่อนสนิทผมก็ยกน้ำดื่มรวดเดียวกันหมดแก้ว ก่อนจะคว่ำลงบนชั้นวางที่ทำจากกระจกใสด้วยน้ำหนักมือที่ทำให้เสียงดังกังวานไปทั่วห้อง

“เอ่อ...” ตอนนี้จ้านเหมือนรังสีทะมึนตึงบางอย่างแผ่ออกมา เล่นเอาผมพูดไม่ออกเลย

“มึงเชื่อใจกูมั้ย” ถามด้วยสีหน้าจริงจัง

“เชื่อสิ”

“งั้นก็เลิกไปยุ่งเกี่ยวกับลูเซียนซะ ส่วนเรื่องของอีวานปล่อยให้กูจัดการเอง”

“จ้าน...”

“ไม่ต้องสนใจว่าการปกป้องมึงจะทำให้กูเดือดร้อน... ตอนนั้นมึงความจำเสื่อม อาจลืมไปว่าคนอย่างกูทำอะไรได้บ้าง แต่ต่อจากนี้กูอยากให้มึงคิดใหม่ เพราะไม่ว่าใครจะใหญ่มาจากไหนกูก็ไม่กลัวทั้งนั้น” จ้านกระแทกเสียงลงท้ายทุกคำ สะกดให้ผมได้แต่ยืนฟังอยู่นิ่งๆ “แต่ก่อนกูไม่เคยคัดค้านอะไรเพราะเห็นว่ามึงมีเหตุผล แต่ตอนนี้กูจะไม่ตามใจมึงแล้ว จะไม่อยู่เฉยๆ เพื่อดูมึงเดินไปตามเส้นทางผิดๆ อีก อะไรที่คิดว่าไม่ดีกูจะห้าม ไม่มีทางปล่อยให้มึงคลาดสายตาอีกเด็ดขาด”

คำพูดทุกประโยคสื่อให้เห็นว่าจ้านเป็นห่วงและหวังดีกับผมมากแค่ไหน

“ฉันเชื่อใจนายนะ แต่เรื่องนี้มันอาจจะอยู่เหนือความควบคุมของนายเกินไป”

“ตอนเด็กๆ มึงเห็นกูเป็นที่พึ่งเสมอ แต่หลังจากพ่อมึงพาลูกชายเขาไปอยู่ต่างประเทศทุกอย่างก็เปลี่ยนไปหมด มึงเริ่มตีตัวออกห่างเพื่อนๆ เดือนร้อนแค่ไหนก็ไม่ยอมปรึกษาใคร ตอนนั้นมึงหายไปจากชีวิตกูเป็นปีๆ พอกลับมาพบกันได้แปบเดียวมึงก็ความจำเสื่อม กูหลงคิดว่าหลังจากนี้มึงคงเห็นกูเป็นที่พึ่งได้แบบจริงๆ จังๆ เหมือนเมื่อก่อนสักที แต่เปล่าเลย... เพราะไอ้รัณย์ที่สูญเสียความทรงจำยังเป็นหนักกว่าไอ้รัณย์ที่กูรู้จักหลายเท่า” แววตาดุดันจับจ้อง อีกฝ่ายเริ่มผ่อนคลายตัวเองด้วยการหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะเอ่ยต่อด้วยน้ำเสียงที่อ่อนลง “ทำไมมึงถึงกลายเป็นคนตีตนไปก่อนไข้ได้ขนาดนี้วะ ยังไม่ทันเกิดเรื่องอะไรขึ้นก็คิดไปต่างๆ นานา กังวลไปซะทุกอย่าง อย่างตอนไปถามลูเซียนเรื่องในอดีตของตัวเอง มึงก็ผลีผลามไปโดยไม่รอกูก่อน อีวานตามตอแยก็ไปหาลูเซียนทั้งๆ ที่มีกูอยู่ทั้งคน มึงคิดไปเองว่าจะทำให้กูเดือดร้อน ในใจกลัวแทบตายแต่กลับยิ้มต่อหน้ากู ทำไมวะ! หรือกูเป็นคนแปลกหน้าสำหรับมึงไปแล้ว”

จ้านขึ้นเสียงในตอนท้าย ทำให้ผมถึงกับผงะด้วยความตกใจ

“ฉันแค่กลัวว่า...”

“กูรู้ปัญหาของมึงช้ากว่าคนอื่นทั้งๆ ที่กูเป็นเพื่อนสนิท มึงคิดว่ากูจะรู้สึกยังไง ถ้าให้พูดตรงๆ ก็คือกูรู้สึกเหมือนถูกมองข้าม... คือ... กูเข้าใจว่ามึงเป็นกังวลเว้ย แต่อย่างน้อยก็ควรเล่าให้กูฟังสักนิดสิ ไม่ใช่ตัดสินใจอะไรคนเดียวแล้วปล่อยให้กูรู้เรื่องทีหลังแบบนี้” คล้ายเป็นความอัดอั้นตันใจที่เก็บไว้มานาน ผมสัมผัสถึงความหวังดีของจ้าน ความสัมพันธ์ที่ยาวนานและแน่นแฟ้น มันมีมากซะจนผมรู้สึกแย่ที่ไม่มีความทรงจำของเขาอยู่ในหัวเลย

“ฉันเป็นห่วงนาย ยิ่งเห็นนายคอยดูแลเอาใจใส่ ฉันก็ยิ่งอยากปกป้องนายจากเรื่องไม่ดี” ผมพยายามพูดในส่วนที่อยากให้จ้านเข้าใจ “ครอบครัวนายเป็นคนใหญ่คนโต มีหน้ามีตา และอีกไม่นานนายก็จะได้เป็นทนาย... เรื่องของฉันพัวพันกับคนมีอิทธิพล มันไม่ใช่แค่นายที่อาจได้รับผลกระทบ แต่ฉันคิดไกลไปถึงพ่อแม่นายด้วย... ที่เลือกทำแบบนี้เพราะคิดว่าการจะต่อกรกับคนอันตรายพวกนั้นได้ ก็ต้องให้คนประเภทเดียวกันจัดการเท่านั้นเอง”

“กูมีวิธีของกู” จ้านสวนกลับแทบจะทันที ซ้ำยังจ้องลึกมาในดวงตาผมพร้อมอย่างตั้งมั่นและจริงจัง “จะไม่มีใครเดือดร้อนแน่ มึงเลิกคิดที่จะไปอยู่บ้านเดียวกับลูเซียนได้เลย”

เอ๊ะ? เดี๋ยวนะ ทำไมจ้านถึง...

“นายรู้เรื่องที่ฉันจะไปอยู่กับลูเซียนได้ไง”

“ไม่สำคัญหรอก”

“จ้าน ฉันแค่ไปอยู่บ้านลูเซียนชั่วคราว เพราะอีวานกำลังจะกลับมาแล้ว”

“หึ... จะบอกว่าทำไปเพราะให้ไอ้มาเฟียนั่นหลงเชื่องั้นหรอ”

“เอาเข้าจริงมันอาจไม่เป็นอย่างที่ฉันคิดก็ได้นะ ถ้าอีวานกลับมาแล้วไม่มายุ่งกับฉัน ถึงตอนนั้นก็ไม่มีเหตุผลที่ฉันต้องไปข้องเกี่ยวกับลูเซียนอีก”

“แล้วถ้าอีวานยังเกาะแกะมึงอยู่ล่ะ” คำถามของจ้านทำให้ผมชะงักไปเล็กน้อย

“เรื่องนั้น...”

“จะบอกว่าคนที่ช่วยมึงได้คือลูเซียนงั้นสิ” จ้านเลิกติ้วสูง “อำนาจของมันปกป้องมึงได้มากแค่ไหน อำนาจที่กูมีก็ไม่ได้น้อยไปกว่ามันเหมือนกัน”

คนตรงหน้ายังคงดักทางออกตรงครัวเอนกประสงค์ ผมจึงได้แต่ยืนจับเจ่าตรงหน้าตู้เย็นอยู่อย่างนี้

ถึงพูดอะไรต่อจ้านก็คงยืนยันคำเดิม เพื่อความสบายใจของเขาผมคงต้องเลยตามเลย หากแต่มีอยู่อย่างหนึ่งที่ผมยังคิดไม่ตก คือตอนนั้นที่ผมรับคำลูเซียนว่าจะทำทุกอย่างเพียงเพื่อให้อีวานออกไปจากชีวิต กระทั่งมาเป็นพนักงานในไนต์คลับ ผมได้เงินมาซื้อของกินของใช้เลยคิดว่าการทำแบบนี้ต่อไปก็จะได้แบ่งเบาภาระจ้านด้วย

ล่าสุดผมเริ่มคุ้นกับงานที่นั่นแล้ว และใช่ว่าจะได้เจอลูเซียนทุกวัน หากเก็บเงินค่าเข้าเรียนเทอมแรกมันก็ไม่เสียหาย ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าผมทำงานโดยคิดถึงแต่เงิน แถมลืมไปซะสนิทว่าก่อนหน้านี้ทำไปเพราะลูเซียนสั่ง

“โอเคจ้าน ถ้านายไม่เห็นด้วยกับเรื่องนี้ ฉันจะไม่ไปอยู่กับลูเซียนก็ได้ แต่เรื่องทำงานที่ไนต์คลับ...”

“ไม่ต้องคิดอะไรที่เกี่ยวกับลูเซียนแล้วจะได้มั้ย!”

โดนคนตรงหน้าเกรี้ยวกราดใส่ ผมเบิกตากว้างเพราะไม่เคยเห็นจ้านเป็นแบบนี้มาก่อน กระทั่งมือหนาของอีกฝ่ายวางไว้บนบ่าทั้งสองข้าง เจ้าของนัยน์ตาคมกริบก็เอ่ยกับผมอย่างชัดถ้อยชัดคำ

“อย่าไปให้ความไว้ใจกับใคร ให้กูเป็นเพียงคนเดียวที่มึงพึ่งพาได้ก็พอ”

 










**

ไทด์มาเข้างานตามเวลาเดิมของทุกวัน เพียงแต่วันนี้เขาไม่ได้เดินไปเปลี่ยนเสื้อผ้าตรงล็อคเกอร์เป็นอันดับแรก สองเท้าก้าวเดินไปหลังร้านแล้วสอดส่ายสายตามองรอบๆ เวลานี้กรัณย์ควรอยู่ที่นี่เพื่อเช็คจำนวนเครื่องดื่มที่มาส่งในแต่ละวัน แต่ไม่ว่าจะหาตัวยังไงเขาก็พบเพียงหนุ่มรุ่นน้องที่กำลังทำงานอย่างแข็งขัน

“ไอ้ยักษ์” เสียงดังลั่นของไทด์ทำให้เจ้าของชื่อรีบตาลีตาเหลือกหันมา

“ครับเฮีย”

“เจ้านั่นอยู่ไหน”

“ใครครับ”  ไทด์อึกอักลังเลว่าจะพูดยังไง

“รัณย์...”

“อ้อ วันนี้ผมยังไม่เห็นเขาเลย” คิ้วหนาของไทด์ขมวดเข้ากันโดยอัตโนมัติ และยังไม่ทันถามอะไรกลับก็พลันมีเสียงคนพูดแทรกเข้ามา

“ไม่ใช่ว่าลาออกไปแล้วหรอ” โก้บังเอิญเดินผ่านมาเข้าห้องน้ำพอดี เห็นไทด์ถามถึงกรัณย์จึงตอบไปตามที่เข้าใจ “เห็นวันก่อนบอสเรียกไปคุยตั้งนาน เมื่อวานที่เป็นวันหยุดมึงเขาก็ไม่ได้มาด้วย”

ยักษ์แสดงสีหน้าตกใจไม่ต่างจากหัวหน้าพนักงานเสิร์ฟอย่างไทด์

“โหย... ถ้าเป็นงั้นจริงก็น่าเสียดายแย่ ผมกับเขาเกือบจะสนิทกันอยู่แล้วเชียว” คำพูดของยักษ์ทำให้ไทด์เหลือบมองอย่างเอือมระอา เมื่อก่อนยังไม่กล้าสู้หน้าและกระอักกระอ่วนใจที่จะพูดคุยกับกรัณย์อยู่เลย มาตอนนี้กลับบอกว่าเกือบสนิทกัน แถมคนที่พูดดันเป็นเด็กผู้ชายอายุสิบแปดที่พูดน้อย เงียบๆ ไม่ค่อยสุงสิงกับใครซะด้วย

“หมอนั่นเคยทำอะไรมึงไว้ ลืมไปแล้วรึไง” ไทด์ถามถึงอดีต เมื่อครั้งที่เกิดเรื่องใหญ่ขึ้นในไนต์คลับ ซึ่งนับว่าเป็นเหตุการณ์ที่ยักษ์ไม่อาจลืมมันได้ง่ายๆ

“เฮีย~ ถ้าลองคิดดูดีดีผมก็ผิดจริงๆ นะครับ ยังดีที่ตอนนั้นเขายังไม่ทานอาหารจานที่ผมเสิร์ฟผิดไป ไม่งั้นผมต้องเป็นต้นเหตุที่ทำให้คนตายแน่ๆ” ยักษ์ย้อนนึกถึงภาพที่ตัวเองเคยเสิร์ฟเมนูทานเล่นที่เป็นกุ้งชุบแป้งทอดให้กรัณย์ หลังจากกินไปคำแรกอีกฝ่ายถึงกับโวยวายใหญ่โต ทั้งตะโกนด่าและหยิบจานอาหารขึ้นมาเขวี้ยงใส่ ปรากฏว่าไปโดนหน้าผากของยักษ์พอดี จึงเป็นเหตุให้น้องเล็กสุดในไนต์คลับต้องโดนเย็บหลายเข็ม ปัจจุบันนี้ยังมีรอยแผลเป็นจางๆ อยู่เลย

ไทด์ได้ฟังอย่างนั้นก็รู้สึกเหมือนโดนจี้จุดอย่างแรง เพราะเขาเองก็เคยทำให้กรัณย์ช็อกจนหมดสติมาแล้ว แม้ไม่ได้ตั้งใจแต่ก็ถือว่าเป็นความผิด ไม่อยากเก็บมาใส่ใจสุดท้ายกลับรู้สึกแย่อย่างบอกไม่ถูก อีกทั้งยังตั้งแง่สงสัยว่ากรัณย์ยอมกินกุ้งตามที่บอกเพราะอะไร กระทั่งเจ้าตัวมาบอกเขาสั้นๆ ง่ายๆ ว่า ‘ความจำเสื่อม’

เดี๋ยวก่อน! เจ้านั่นคงไม่ได้คิดจะลาออกเพราะเราดันไปรู้ความลับหรอกนะ

“ผมว่าพักหลังมานี้เขาดูเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยนะครับ พูดจาดี แถมยังช่วยทำงานแทนผมอีก เขาเพิ่งจะเริ่มคุ้นกับงานที่นี้แล้วแท้ๆ ไม่น่าลาออกเลย” ยักษ์ตัดพ้อ ในขณะที่ไทด์กำลังคิดหนัก

“มีคนงานลาออกทั้งคนแล้วกูจะไม่รู้ได้ไง หรือมันเห็นกูเป็นหัวหลักหัวตอ” อยู่ๆ หัวหน้าพนักงานเสิร์ฟก็รู้สึกหัวเสีย พาลโกรธคนที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้อย่างเป็นจริงเป็นจัง

“ทำอย่างกับเฮียเคยสนใจเขางั้นแหละ” ยักษ์พูดพึมพำพร้อมทำหน้ามุ่ย ทั้งที่แต่ก่อนเห็นไทด์เป็นดั่งพี่ชายแท้ๆ และเจ้านายที่เคารพรัก แต่พอกรัณย์เปลี่ยนไปเข้าหน่อยยักษ์ก็ปฏิบัติตัวกับอีกฝ่ายต่างไปจากเดิมราวกับพลิกฝ่ามือ ซ้ำยังเข้าข้างกันออกหน้าออกตาอย่างที่ไม่เคยทำมาก่อน

“มึงก็โทรไปถามสิไอ้ยักษ์” โก้พูดแทรกอีกครั้ง เพราะเป็นจังหวะที่เจ้าตัวเดินออกมาจากห้องน้ำพอดี

“จริงสิ! ลืมคิดไปเลย”

ไทด์ยืนมองยักษ์ที่กำลังหยิบโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงด้วยความประหลาดใจ เรื่องความสนิทกับกรัณย์เริ่มมีหลักฐานบ่งชี้ ไม่ให้เป็นการพูดจาลอยๆ เพียงคนเดียว

“มึงมีเบอร์เจ้านั่นด้วย?” ไทด์เลิกคิ้วสูง

“ผมถึงบอกไงว่าเราเกือบจะสนิทกันแล้ว... และไม่ใช่แค่ผมที่มีนะครับ ทุกคนในนี้ก็มีเบอร์เขาทั้งนั้น” พูดจบก็ปรายตามองคนตรงหน้าพร้อมรอยยิ้มมุมปาก “ยกเว้นเฮียสินะ”

หัวหน้าพนักงานเสิร์ฟรู้สึกหัวร้อนทั้งๆ ที่ไม่ใครหาเรื่อง มันหงุดหงิดงุ่นง่านไปหมด ยิ่งตอนที่มองยักษ์โทรศัพท์หาคนปลายสายที่ไทด์ก็อดคิดไม่ได้ว่า... เขาเป็นเพียงคนเดียวที่ไม่มีเบอร์เจ้านั่นจริงๆ หรือ

“โอ๊ะ สายไม่ว่างแฮะ” ยักษ์นำโทรศัพท์ออกจากหู “งั้น... ไว้พักแล้วผมค่อยโทรหาอีกที”

พูดจบก็เก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าตามเดิม กำลังจะเดินไปเช็คของอีกฝั่ง แต่ไทด์กลับดึงคอเสื้อด้านหลังไว้

ชายหนุ่มลูบหัวสกินเฮดของตัวเอง ยืนจ้องคนอายุน้อยกว่าที่มองเขากลับด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความสงสัย ไทด์ลังเลอยู่นานว่าจะพูดดีมั้ย

จนกระทั่ง...



“บอกเบอร์เจ้านั่นมาซิ”

**










TBC

ฝากช่องทางอัพเดตนิยายด้วยจ้า >> twitter (https://twitter.com/kana_jeriwer)

หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 16:: ไม่ให้คลาดสายตา] UPDATE 30/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 30-05-2018 20:38:38
หนักใจแทนรัณย์ คนนึงก็เพื่อนที่ห่วง กับอีกคนที่คิดว่าจะช่วยตัวเองได้

มีโอกาสไหมที่จะกลับมาจำได้ :z3:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 16:: ไม่ให้คลาดสายตา] UPDATE 30/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 30-05-2018 20:54:09
คือแบบลูเซียนทำไงต่อไปน้าาาา จ้านช่วยเต็มที่เลย
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 16:: ไม่ให้คลาดสายตา] UPDATE 30/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 30-05-2018 20:57:38
อะไร ใครๆ ก็สนใจแต่รัณย์ทั้งนั้น เพราะอะไรน้อออ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 16:: ไม่ให้คลาดสายตา] UPDATE 30/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 30-05-2018 21:04:25
บางทีก็คิดเหมือนจ้านนะ  :mew2:
แต่ก็เข้าใจรัณย์ ที่อยากช่วยตัวเองก่อน
และรัณย์ก็ห่วงจ้านเรื่องผลกระทบที่จะตามมา

นิสัยรัณย์คนใหม่ดี เข้ากับคนอื่นได้  :hao4:
จนตอนนี้เพื่อนร่วมงานพากันชอบรัณย์กันหมด
ขนาดมีเบอร์มือถึอรัณย์กันทุกคน  :mew1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
ขอแก้ที่ผิดนะ
มึงก็พลีพล่ามไป -------  ผลีผลาม
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 16:: ไม่ให้คลาดสายตา] UPDATE 30/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 30-05-2018 21:28:13
ปวดหัวแทนรัณย์จริงๆๆ  :z3: ยังต้องมีเรื่องวุ่นวายอีกเยอะแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 16:: ไม่ให้คลาดสายตา] UPDATE 30/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 30-05-2018 21:47:51
 :L2: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 16:: ไม่ให้คลาดสายตา] UPDATE 30/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 30-05-2018 22:25:00
เริ่มมีเค้าความอีรุงตุงนังเบาๆ 555555
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 16:: ไม่ให้คลาดสายตา] UPDATE 30/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 31-05-2018 12:58:00
เย้ววววว เชียร์จ้านกับอิวาน
เค้าชอบอิวาน
เค้าทีมอีวานมิอาจเปลี่ยนใจ
 :hao7:

ส่วนนู๋รัณย์พัวพันกับลุงลูเยอะๆ เลยนะๆๆๆ
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 16:: ไม่ให้คลาดสายตา] UPDATE 30/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 02-06-2018 15:21:31
โดยตอนของหนุ่มอื่นคั่น อีวานยังไม่มาสักที รออ่านตอนหน้าน๊า  :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 16:: ไม่ให้คลาดสายตา] UPDATE 30/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 02-06-2018 22:16:39
สนุกมากกก รอตอนต่อไปนะ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 16:: ไม่ให้คลาดสายตา] UPDATE 30/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 02-06-2018 22:46:30
 :call: :call: :call:อีวาน
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 16:: ไม่ให้คลาดสายตา] UPDATE 30/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 02-06-2018 23:17:14
มาให้กำลังใจนักเขียนค่ะ จุ๊บๆ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 16:: ไม่ให้คลาดสายตา] UPDATE 30/05/61
เริ่มหัวข้อโดย: La_Pomme ที่ 03-06-2018 21:33:10
บทที่ 17
::ข่มขู่::





**

จ้านนั่งอยู่ในร้านกาแฟ ที่ตั้งอยู่เยื้องกับสปอร์ตคลับระดับไฮคลาสในย่านนี้ เมื่อก่อนเคยคิดที่จะสมัครสมาชิกไว้เพราะเพื่อนหลายคนที่เข้าร่วมอยู่ แต่พอรู้ว่าใครเป็นเจ้าของ จ้านก็เปลี่ยนใจทันที

ชายหนุ่มดื่มคาปูชิโน่ร้อนไปจนหมดแก้ว เอาโทรศัพท์ขึ้นอ่านข่าวเหตุการณ์บ้านเมืองก็แล้ว คนที่เขารอพบกลับไม่ยังมาไม่ถึง เห็นว่าวันนี้เจ้าของสปอร์ตคลับจะแวะมาออกกำลังกายจ้านจึงนัดในสถานที่ที่ชายคนนั้นสะดวกที่สุด เวลาก็นัดชัดเจนไปแล้ว มาสายขนาดนี้ยังเรียกตัวเองว่าเป็นนักธุรกิจได้อีกหรือ

บ่นในใจไปสักครู่ ที่หน้าประตูร้านก็มีใครคนหนึ่งกำลังเดินเข้ามา ชายหนุ่มสวมเสื้อเชิ้ตแขนสั้น กางเกงผ้าสีอ่อนพร้อมเข็มขัดสีดำหัวเรียบ ข้างกายไม่มีใครติดตามอย่างที่เคย เมื่อเห็นจ้านอยู่ตรงมุมหนึ่งของร้าน ชายคนดังกล่าวก็เดินเข้าไปขยับเก้าอี้และนั่งลงยังหัวโต๊ะของอีกฝั่งทันที

เขาเห็นแก้วกาแฟของจ้านถูกดื่มจนหมดก็เอ่ยขึ้น “ดูเหมือนผมจะมาช้าไป”

จ้านทำได้เพียงยิ้มรับโดยไม่พูดอะไรกลับ พยายามควบคุมอารมณ์ตัวเองไว้อย่างมั่นคง ยืดอก ขยับเสื้อคลุมเล็กน้อย จ้องมองนัยน์ตาชายที่เพิ่งเจอกันอย่างไร้อาการอึกอัก

“ขอแนะนำตัวอย่างเป็นทางการนะครับ” ว่าจบก็ผายมือไปตรงหน้าเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายมีความเป็นต่างชาติ จึงตั้งใจจะทักทายแบบฝรั่ง “ผมจิตตากร คุณจะเรียกสั้นๆ ว่าจ้านก็ได้”

“ผมรู้จักคุณ และคุณเองก็คงรู้จักชื่อผมแล้ว” ความหมายคือเขาจะไม่แนะนำตัวเองกลับ จ้านได้ยินแค่นั้นก็ขบฟันกร้าว อุตส่าห์วางตัวดีก่อนแล้วกลับถูกทำเมินใส่ เขาจึงต้องเก็บมือตัวเองไว้โดยที่เผลอกำมือแน่นอย่างไม่รู้ตัว

“คุณทำธุรกิจหลากหลายดีนะครับ ไม่แปลกที่จะประสบความสำเร็จขนาดนี้”

“ชมกันเกินไป ผมก็เป็นแค่นักธุรกิจธรรมดาเท่านั้นเอง” ลูเซียนตอบด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

“ไม่บ่อยที่ผมจะได้ยินชื่อคุณจากสื่อ ดูเหมือนคุณจะชอบเก็บตัวเป็นพิเศษ” คำพูดของจ้านทำให้คนฟังถึงกับยิ้มมุมปาก เห็นว่าอีกฝ่ายติดตามเรื่องราวของตนสมควร จึงตอบกลับในทันใด

“คุณรู้จักผมดีกว่าที่คิดซะอีก”

“รัณย์เคยพูดเรื่องคุณให้ผมฟังน่ะครับ” จ้านเป็นฝ่ายยิ้มกลับบ้าง

“ถ้าอย่างนั้น... คงมีแต่เรื่องที่ไม่ค่อยดีนัก”

“ผมรู้อะไรไม่มากหรอกครับ เพราะมันไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร” ว่าจบก็เผยรอยยิ้มอย่างเจ้าเล่ห์ ลูเซียนรู้ทันกับประโยคที่ตั้งใจเจาะจงเป็นพิเศษ ถ้าเป็นคนอื่นคงขุ่นเคืองไม่น้อย แต่ลูเซียนกลับมองว่าชายคนนี้เปี่ยมไปด้วยความทะนงตน อีกทั้งยังมีนิสัยกล้าได้กล้าเสียไม่เบา

“อย่างน้อยมันก็น่าจะมีส่วนที่ทำให้คุณอยากนัดเจอผม” ลูเซียนเอ่ยอย่างจงใจ

“และคุณก็ตอบรับอย่างรวดเร็วจนอดแปลกใจไม่ได้... ขอบคุณนะครับที่ให้เกียรติกันขนาดนี้” คนอายุน้อยกว่าสวนกลับโดยไม่ใช้เวลาคิด “เอาล่ะครับ ผมไม่อยากรบกวนเวลาของคุณมาก จะขอเข้าเรื่องเลยแล้วกัน”

“ครับ ผมรอฟังอยู่”

“ผมรู้เรื่องที่คุณจะช่วยกันอีวานออกไปจากชีวิตรัณย์แล้ว ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าเจ้านั่นคิดอะไรอยู่กันแน่ แต่ผมคงปล่อยให้เขาสร้างความลำบากใจให้กับคุณไม่ได้” จ้านหยิบเหตุผลต่างๆ นานา กระทั่งแววตาจริงจังถูกส่งผ่านไปยังคนตรงหน้า เขาก็พูดต่อทันที “ฉะนั้น... ผมจะจัดการเรื่องนี้ต่อเอง”

จ้านไม่เคยนั่งพูดคุยเป็นส่วนตัวกับลูเซียนมาก่อน มีแต่เคยเจอหน้าผ่านๆ และได้ฟังเรื่องของนักธุรกิจคนนี้มาจากกรัณย์เท่านั้น หลังจากตัดสินใจได้ว่าจะเป็นคนปกป้องเพื่อนรักเอง เขาก็ติดต่อไปทางเลขาของลูเซียนเพื่อนัดพบอย่างเร็วที่สุด ด้วยความที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนและจ้านเองก็เป็นเพียงนักศึกษา การจะเข้าพบกับผู้บริหารบริษัทได้คงไม่ใช่เรื่องง่าย แต่เวลาผ่านไปไม่นานอีกฝ่ายก็ตอบรับกลับมาอย่างน่าประหลาดใจ

สิ่งที่จ้านเอ่ยไปเมื่อครู่ฟังชัดทุกคำ ลูเซียนหรี่ตามองคนอายุน้อยกว่าก่อนจะเอ่ยขึ้น

“เพิ่งมาเสนอตัวเอาตอนนี้ รู้ช้าเกินไปมากนะครับ” จ้านรู้ว่าอีกฝ่ายตั้งใจเหน็บแหนม แต่ไม่นำมาใส่ใจ

“หลังจากนี้ผมจะไม่ให้เขาเจอคุณอีก หวังว่าคุณก็จะอยู่ห่างจากเขาเหมือนกัน”

“นอกจากอีวานแล้ว คุณคงเห็นผมเป็นตัวอันตรายสำหรับรัณย์ด้วยอีกคน... แต่สำหรับผม เด็กคนนั้นไม่ใช่คนที่ยอมให้ใครมารังแกง่ายๆ ผมเคยโดนเขาโกรธเกลียดมาก่อน รู้ดีว่าการต่อกรกับเขาไม่ใช่เรื่องดีนัก” ลูเซียนพูดถึงกรัณย์ในมุมมองของตัวเอง พร้อมระบุข้อสงสัยที่ยังติดใจอยู่ “รัณย์กล้าเผชิญหน้ากับทุกคนที่สร้างความเจ็บแค้นให้ ขอเพียงไม่พอใจเขาก็จะตอบกลับอย่างเจ็บแสบ... แต่หลังจากเจออีวานวันนั้นเขากลับดูหวาดหวั่น กระวนกระวายใจ ขนาดมีนิสัยเย่อหยิ่งยิ่งกว่าอะไรแต่กลับเดินมาขอให้คนอย่างผมช่วย ทั้งๆ ที่เคยบอกเองกับปากว่าจะตัดขาดกับผมแล้วแท้ๆ”

“หึ... คุณจะบอกว่าเขาอยากพึ่งคุณมากกว่า อย่างนั้นสินะ”

“เปล่าเลย ผมแค่สงสัยในการกระทำของเขาช่วงหลังมานี้ สงสัยว่าเขามีเหตุผลอะไรที่จะต้องกลัวอีวานถึงขนาดยอมทำทุกอย่างที่ผมสั่ง นิสัยผิดแปลกไม่เหมือนเก่า ยอมลดตัวมาเป็นพนักงานในไนต์คลับทั้งๆ ที่นักธุรกิจใหญ่อย่างอีวานเสนอตัวว่าจะรับเลี้ยง ถ้าคุณกับเขาสนิทกันมากก็น่าจะรู้สึกประหลาดใจบ้าง จริงมั้ยครับ” เห็นได้ชัดว่าลูเซียนต้องการความคิดเห็นของอีกฝ่าย เพราะมั่นใจว่าสิ่งที่ตนเองตระหนักจะต้องมีคนคิดเหมือนกัน

“ผมกับรัณย์โตมาด้วยกัน ไม่เคยห่างกันไปไหน แต่ทันทีที่พ่อเลี้ยงล้มละลายและต้องถูกทอดทิ้งให้อยู่ตัวคนเดียว เจ้านั่นเตลิดไปไกลทำให้ผมไม่ได้เจอเขานานหลายปี จนตอนที่เขากลับเข้ามาในชีวิตอีกครั้ง ผมก็บอกตัวเองทันทีว่าจะไม่ปล่อยให้เขาอยู่เพียงลำพังอีก เพราะในระหว่างที่จิตใจเขาอ่อนแอ มันเป็นเรื่องง่ายที่จะมีอะไรมาฉุดดึงให้เขาเดินไปในทางที่ผิด” จ้านรู้จักนิสัยใจคอของกรัณย์มาตั้งแต่เล็ก และการปกป้องเพื่อนคนนี้ก็เป็นสิ่งที่เขาทำมาตลอด “รัณย์ไม่ได้เข้มแข็งอย่างที่คุณเห็นจากภายนอก อย่าเอาความรู้สึกของคุณมาตัดสินใครแบบนี้สิครับ”

จ้านใส่อารมณ์กับการอธิบายเรื่องของกรัณย์อย่างช่วยไม่ได้

“จริงอยู่ที่คุณคงรู้อะไรมากกว่าผม แต่ถ้าเทียบกับช่วงเวลาที่รัณย์ไม่มีคุณอยู่ในชีวิต แค่สามสี่ปีมานี้ผมพอจะบอกได้ว่าอะไรที่เป็นตัวเขา... และอะไรที่ไม่ใช่”

“คุณจะพูดอะไรกันแน่” จ้านชักเริ่มหวั่นใจกับสิ่งที่ลูเซียนคิด

“ผมมีเรื่องบางอย่างที่ต้องรู้ให้ได้”

“เรื่องอะไร”

“อุบัติเหตุที่ทำให้เขาต้องรักษาตัวอยู่ที่โรงพยาบาล”

หางคิ้วจ้านกระตุกเล็กน้อย สัมผัสได้โดยสัญชาตญาณว่าชายคนนี้ต้องไปรู้อะไรมา ตอนนั้นแม้จะจับสัญญาณโทรศัพท์ได้แต่ลูเซียนก็น่าจะรู้แค่ว่ากรัณย์อยู่ที่โรงพยาบาล ส่วนจะไปทำอะไรนั้นขึ้นอยู่กับอีกฝ่ายว่าจะให้คนสืบต่อหรือไม่ กระทั่งมาพูดถึงเรื่อง ‘อุบัติเหตุ’ เอาตอนนี้ แสดงว่ามีอะไรบางอย่างจุดชนวนให้ลูเซียนอยากรู้เรื่องนั้นขึ้นมา

“คุณสนใจว่าเจ้านั่นจะเป็นตายร้ายดียังไงด้วยหรอครับ” จ้านแฝงความประชดประชัน

“ผมแค่บังเอิญไปเจอเรื่องที่ไม่ชอบมาพากลเข้า และมันน่าสนใจดี” สีหน้าไร้อารมณ์ของลูเซียนยิ่งทำให้จ้านคิดไม่ตก เดิมทีอยากพูดคุยแบบง่ายๆ ตกลงกันง่ายๆ และจากกันแบบง่ายๆ แต่ดูเหมือนอีกฝ่ายจะทำให้เป็นเรื่องยากซะเอง

จ้านนั่งตระหนักอยู่ชั่วอึดใจ ก่อนจะหยิบซองเอกสารสีน้ำตาลขึ้นมาวางไว้บนโต๊ะ

“ถ้าคุณยืนยันอย่างนั้น มันก็ช่วยไม่ได้”

นักศึกษาหนุ่มแนบหลังพิงกับพนักเก้าอี้อย่างเฉยชา ลูเซียนนั่งมองซองนั่นไม่นานก็หยิบขึ้นมาเปิดดูด้านใน มีเอกสารที่ถูกปริ้นมาพร้อมเย็บเข้ารูปเป็นอย่างดี เขาจึงนำมันขึ้นมาเปิดอ่านทีละหน้าอย่างใจเย็น

จ้านจับจ้องดวงตาคมของอีกฝ่ายแล้วสงสัยไปด้วย ระหว่างดูเอกสารทำไมลูเซียนถึงไม่แสดงสีหน้าตื่นตระหนก ทั้งๆ ที่เอกสารพวกนั้นเป็นหลักฐานที่จะเปิดโปงธุรกิจด้านมืดของตัวเอง!

ลูเซียนเคยเกี่ยวข้องกับการติดต่อซื้อขายอาวุธเถื่อนในขณะที่ยังไม่ได้มีชื่อในฐานะนักธุรกิจ ตอนนั้นนักการเมืองหลายคนใช้ให้เขาเป็นตัวกลางในการทำเรื่องผิดกฎหมายเพื่อเป็นใบเบิกทางในการสนับสนุนเงินทุน จนเมื่อมีบริษัทเงินกู้ที่ทำรายได้เดือนละหลายร้อยล้านก็ไม่มีการบอกที่มาที่ไปของเงินหมุนเวียนได้อย่างชัดเจน ซ้ำยังมีธุรกิจไนต์คลับ สปอร์ตคลับที่สร้างขึ้นมาเพื่อใช้เป็นศูนย์กลางในการติดต่อแขกระดับวีไอพี จึงไม่แปลกที่ลูเซียนจะรู้จักกับผู้ทรงอิทธิพลหลายคน

“คุณกำลังขู่ผม?” ลูเซียนเอ่ยด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

“ถ้าคุณสัญญากับผมว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกับรัณย์อีก หลักฐานทั้งหมดนั่นผมขอยกให้คุณ” จ้านดูไม่ลนลานกับสิ่งที่ตัวเองกำลังตัดสินใจทำ แม้เรื่องนี้จะถูกมองว่าก้าวล้ำอำนาจมืดที่ใหญ่เกินกว่านักศึกษาอย่างเขาจะรับมือได้ก็ตาม

“นานมากแล้วที่ผมรู้ตัวว่ามีใครบางคนพยายามตามสืบเรื่องของผม... รวบรวมรายชื่อคนที่เกี่ยวพัน สอบถามข้อมูลจากอดีตคนที่เคยทำงานให้ และคงสนิทกับคนในกรมตำรวจจนถึงขั้นเอาหลักฐานที่สุ่มเสี่ยงออกมาได้”

นักธุรกิจหนุ่มยกเท้าขึ้นไขว่ห้าง พลางจ้องคนอายุน้อยกว่าด้วยแววตาดุดัน...

 “เป็นคุณเองสินะ” ว่าแล้วก็วางเอกสารลงกับโต๊ะราวกับเป็นของไร้ค่า “ลงทุนเก็บหลักฐานตั้งนาน แน่ใจหรอว่าจะเอาไพ่ตายมาใช้กับเรื่องนี้ ผมนึกว่าคุณคิดจะทำการใหญ่ซะอีก... อยากทำลายผมเพื่อรัณย์จริงหรือเปล่า ถ้าอย่างนั้นก็ควรเจาะข้อมูลให้ลึกกว่านี้อีกหน่อยสิ เพราะของพรรณนี้ทำอะไรผมไม่ได้”

จ้านมีเพียงข้อมูลที่ยังพอมีหลักฐานหลงเหลืออยู่ ซึ่งล้วนแต่เป็นอดีตในช่วงที่ลูเซียนก้าวเข้าสู่วงการ หากแต่เวลาล้วงเลยมาจนถึงตอนนี้ การไต่ขึ้นมาสู่ระดับที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ทำให้เขาสามารถล้มล้างหรือกุมอำนาจเหนือกว่านักธุรกิจบางคนได้เลย แม้หลักฐานนั้นจะก่อให้เกิดปัญหาให้เสียเวลาตามล้างตามเช็ด แต่ก็นับว่าสิ่งจ้านรู้มาเป็นเพียงแค่เศษฝุ่นที่ใช้มือปัดเล็กน้อยก็ปลิวหายไป

“ผมสืบเรื่องของคุณจริง แต่รัณย์ไม่เกี่ยวด้วย ถ้าไม่พอใจอะไรก็เชิญมาลงกับผมนี่” ได้ยินอีกฝ่ายเอ่ยถึงกรัณย์แล้วจ้านถึงกับต้องออกหน้าเพื่อไม่ให้เพื่อนรักเดือดร้อน

“อุตส่าห์เรียนนิติศาสตร์มา ผมจะถือว่าคุณกำลังหาประสบการณ์แล้วกัน” ฟังจากคำพูดคำจา ดูเหมือนลูเซียนจะไม่ทุกข์ร้อนกับหลักฐานที่จ้านนำมาจริงๆ

“คุณจะเอายังไง”

“กลับไปช่วยเจ้านั่นเก็บของเถอะ”

“ผมไม่ยอมให้รัณย์ไปอยู่กับคุณอีกแน่!” จ้านกล่าวเสียงแข็ง คนในร้านต่างพากันหันมามอง

“คุณจิตตากร...” ลูเซียนเน้นเสียงหนัก เป็นการปรามคนตรงหน้าให้สงบสติอารมณ์ ก่อนจะเอ่ยต่อพร้อมใบหน้าเรียบเฉยเช่นเคย “คุณไม่ได้สืบเรื่องผมอยู่ฝ่ายเดียวหรอกนะ”

คนฟังขมวดคิ้วมุ่น พลางขบฟันกรามแน่น

“อันที่จริง ผมไม่ได้รู้จักคุณในฐานะเพื่อนสนิทของรัณย์อย่างเดียว แต่มีโอกาสได้รู้ชื่อ นามสกุล ประวัติส่วนตัว เรื่องทางบ้าน และอะไรต่อมิอะไรเกี่ยวกับคุณจากเอกสารที่คนของผมรวบรวมมา จนบังเอิญเจอกับเรื่องหนึ่งที่น่าสนใจเข้า” ลูเซียนยิ้มอย่างมีเลศนัย “ผมอยากถามคุณเรื่องคดีที่พ่อเลี้ยงของรัณย์ถูกตั้งข้อหาหนัก กลายเป็นบุคคลล้มละลาย เด็กคนนั้นต้องแยกทางกับพ่อและน้องชาย มีชีวิตโดดเดี่ยวตัวคนเดียว ใครกันที่เป็นคนเปิดโปงเรื่องคอรัปชั่นกับตำรวจในตอนนั้น”

“ข่าวนั่นออกใหญ่โต ใครๆ ก็รู้กันทั้งนั้น... คุณจะเอาเรื่องเก่าขึ้นมาพูดเพื่ออะไร”

ลูเซียนได้ยินประโยคนั้นก็เลิกคิ้วสูง เกริ่นถึงขนาดนี้อีกฝ่ายกลับพูดเหมือนไม่รู้เรื่องรู้ราวอะไร เป็นไปได้ว่าจ้านอาจจะเข้าใจเหตุการณ์ในตอนนั้นเหมือนคนอื่นๆ ที่เสพข่าวจากโทรศัพท์และหน้าหนังสือพิมพ์เพียงอย่างเดียว

“ผมรู้มาว่ามีตำรวจนิรนามที่รับบทบาทสำคัญในคดีนี้ เขาทำภารกิจสำเร็จแต่ก็ไม่ขอเปิดเผยว่าตัวเองเป็นหัวแรงหลักในการหาหลักฐานมาเปิดโปงเรื่องทุจริตของนักการเมืองคนนั้น สุดท้ายแม้เขาจะไม่มีชื่อในการทำคดี แถมนายตำรวจท่านอื่นยังได้ออกหน้าออกตากับสื่อแทนอีก แต่เขาก็ยังได้เลื่อนขั้นเป็นนายตำรวจชั้นผู้ใหญ่อย่างรวดเร็ว” ลูเซียนพูดพลางดูปฏิกิริยาของนักศึกษาหนุ่มไปพลาง “เคยสงสัยมั้ยครับว่าทำไมนายตำรวจคนนั้นทำคดีสำเร็จได้ ถ้าผมบอกคุณคงคิดว่ามันง่ายดายอย่างไม่น่าเชื่อ เพราะเขาหาหลักฐานมาจับกุมพ่อของรัณย์ได้โดยอาศัยความเป็นเพื่อนสนิท... ที่อยู่บ้านใกล้เรือนเคียงกัน”

จ้านหูผึ่ง ประสาทการรับฟังกระตุ้นให้ริมฝีปากของเขาสั่นโดยอัตโนมัติ

“จริงสิ ไม่กี่ปีมานี้พ่อคุณก็ได้เลื่อนขั้นเป็นผู้กับการตำรวจใช่มั้ยครับ”

“ไม่จริง!”

ระดับความอดกลั้นเกินขีดจำกัด นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้ยินเรื่องไร้สาระแบบนี้ ซ้ำยังมาจากปากคนที่เขามองว่าเป็นตัวอันตราย ไว้ใจไม่ได้ จ้านกำมือแน่น ทั้งโกรธเคืองทั้งร้อนรน จิตใจกระวนกระวายคล้ายมีไฟโหมรุนแรงสุ่มอยู่ในอก

กระทั่งลูเซียนพูดประโยคสุดท้ายที่ทำให้เขายิ่งรู้สึกเหมือนจมดิ่งลงไปในเหวลึก



“มันอยู่ที่คุณแล้ว... ว่าอยากให้รัณย์รู้เรื่องนี้ด้วยรึเปล่า”

**













TBC

หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 17:: ข่มขู่] UPDATE 03/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-06-2018 22:48:06
เอาละสิ..........   :z3: :z3: :z3:
จ้านเตรียมหลักฐานเอกสารไปขู่ลูเซียน ให้เลิกยุ่งกับรัณย์
ที่ไหนได้ กลับเจอเรื่องขู่กลับใหญ่กว่า
กลายเป็นพ่อตัวเองทำเรื่องให้ครอบครัวรัณย์เสียหาย ล้มละลาย แตกแยก
แล้วพ่อจ้านได้หน้าตา มียศใหญ่โต มันยากที่จะรีบจริงๆ
จ้าน จะช่วยรัณย์ แต่พ่อตัวเองทำร้ายรัณย์ซะนี่  :serius2: :serius2: :serius2:
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 17:: ข่มขู่] UPDATE 03/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 03-06-2018 22:55:51
 :a5:
อะไรจะพัวพันกันไปหมดเนี่ย สงสารแต่รัณย์
 :mew6:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 17:: ข่มขู่] UPDATE 03/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 03-06-2018 23:25:24
เฮ้อออ แต่ละคนยุ่งไปหมด ฝั่งโน้นก่มีความลับ ฝั่งนี้ก็มีความลับ

แต่ยังไงยังลงเรือ #ลูเซียนรัณย์ เหมือนเดิม แอบเชียร์ให้จำไม่ได้ จะได้ไม่ต้องเจ้บปวด
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 17:: ข่มขู่] UPDATE 03/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 03-06-2018 23:44:45
อีรุงตุงนัง สุดท้ายรัณย์เจ็บสุด
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 17:: ข่มขู่] UPDATE 03/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 05-06-2018 10:03:26
 :a5:
ยิ่งมึนหนักเบย
เชียร์จ้านดีก่า
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 17:: ข่มขู่] UPDATE 03/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 05-06-2018 10:25:53
ช่างเป็นพล๊อตเรื่องที่สมกับชื่อเรื่องจริงๆ พัวพันกันไปหมดแล้ว แต่งเก่งมากครับ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 17:: ข่มขู่] UPDATE 03/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 05-06-2018 18:14:15
พี่ลูแกถือไพ่เหนือกว่าไม่สะทกสะท้านกับหลักฐานของจ้านและกลับเป็นจ้านเองที่งานเข้า แอบสงสารจ้าน แต่เชียพี่ลูนะ 555
ตายๆๆๆๆ พัวพันจริงๆๆ หยุดอ่านเรื่องนี้ไม่ได้เลย  :katai1:
 
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 17:: ข่มขู่] UPDATE 03/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 05-06-2018 20:08:36
ปมในปมในปม อีวานไปไหน55555555555หรือค่าตัวหมดแล้ว
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 17:: ข่มขู่] UPDATE 03/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: pe-ar ที่ 05-06-2018 23:20:06
ตอนแรกก็จะทีม อิวานอยู่นะ
แต่ตอนนี้ ลูเซียนมาวินจ้าาา
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 17:: ข่มขู่] UPDATE 03/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 06-06-2018 13:58:19
จ้านนี่บทพระรองจริงๆ ทำไรไม่ได้มาก สุดท้ายรัณย์ก็ต้องไปอยู่กับลูเซียน รอดูอีวานกลับมาทวงรัณย์กับลูเซียน  :laugh:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 17:: ข่มขู่] UPDATE 03/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: La_Pomme ที่ 06-06-2018 18:59:12
บทที่ 18
::บ้านใหม่::





“ครับ ผมมาถึงหน้าบ้านแล้ว”

ผมคุยกับเลขาของลูเซียนผ่านทางโทรศัพท์ ขณะกำลังลงจากรถแท็กซี่ที่วิ่งมาจอดตรงหน้าบ้านเดี่ยวหลังใหญ่ตามโลเคชั่นที่ระบุไว้ในข้อความ ก่อนหน้านี้ผมคิดทั้งคืนว่าจะใช้วิธีพูดยังไงเพื่อให้จ้านเปลี่ยนใจ พอมาตอนเช้าก็หวั่นใจแทบตายเพราะสีหน้าของจ้านไม่สู้ดีนัก แต่แล้วจู่ๆ บรรยากาศกลับเปลี่ยนไปอย่างน่าประหลาด เขาถามผมเพียงว่าตัดสินใจดีแล้วใช่มั้ย พอผมพยักหน้าเขาก็พูดสั้นๆว่า...

‘ตามใจนาย’

จ้านปล่อยให้ผมเก็บของใส่กระเป๋าโดยไม่พูดอะไรสักพัก ไม่มีคำบอกลายืดยาว และดูนิ่งเฉยซะจนอดกังวลใจไม่ได้ ผมก็ย้ำหลายครั้งนะว่าให้ไปแน่หรอ สุดท้ายเขาทำเพียงพยักหน้าช้าๆ และเดินเข้าไปในห้อง กว่าจะได้ยินเสียงอีกก็ตอนที่ผมบอกว่ากำลังไป

ตอนนั้นจ้านทำเพียงเดินมาส่งผมขึ้นรถแท็กซี่และยิ้มให้อย่างฝืนๆ บอกตามตรงว่าผมไม่สบายใจเลย ต้องย้ำเขาให้แน่ใจอีกครั้งว่า ‘ไม่เป็นไรแน่นะ’ จ้านก็ยืนนึกอะไรอยู่นาน สุดท้ายกลับตอบมาเพียง ‘อืม’

ยืนอยู่หน้าบ้านไม่นานประตูรั้วก็เลื่อนเปิดโดยอัตโนมัติ ผมเห็นคุณเลขาเดินมาแต่ไกล

“เชิญ” เขาส่งสัญญาณให้ผมเดินเข้าไปด้านใน ระหว่างทางก็ยังพูดเปรยถึงที่นี่ให้ฟัง “บ้านหลังนี้คุณเซียนอาศัยอยู่คนเดียว พนักงานทำความสะอาดจะเข้ามาทำงานระหว่างที่ท่านไม่อยู่บ้าน และจะกลับออกไปก่อนท่านมาถึงเท่านั้น เพราะท่านไม่ชอบเห็นใครเดินในบ้าน ส่วนเรื่องอาหารท่านจะทานข้างนอกหรือโทรสั่งที่บ้านทุกครั้ง เวลาเธออยู่นี่ก็ออกไปหาอะไรทานข้างนอกเอานะ มีร้านมินิมาร์ทอยู่ไม่ไกล”

ฟังจบผมสงสัยอยู่หนึ่งข้อ เลยถามไปตามตรง “แล้วผมต้องทำอะไรบ้างครับ”

“เรื่องนั้นคุณเซียนจะบอกเธอเอง” ว่าจบก็แนะนำบ้านในส่วนอื่นต่อ ผมมองผ่านๆ รู้สึกว่าการแต่งดูเรียบง่ายแต่ทันสมัย แม้บ้านไม่ได้ใหญ่โออาถึงขั้นเดินหลงแต่ก็มีพื้นที่ใช้สอยอยู่มาก ถ้ามองด้วยตาเปล่าข้าวของเครื่องใช้ไม่ได้เยอะมากมายอะไร ออกจะโล่งสบายตาด้วยซ้ำ เดินดูได้สักพักคุณจักรพงษ์ก็ผายมือเชื้อเชิญให้ผมขึ้นบันไดไปด้านบน

“นี่คือห้องของเธอ... วันก่อนฉันให้คนมาทำความสะอาดแล้ว พักผ่อนตามสบายได้เลย” คุณเลขาพูดจบก็เตรียมจะเดินไป แต่ผมยังไม่เคลียร์กับการที่ต้องอยู่ที่นี่เลยนะ

“คุณจะไปแล้วหรอครับ” ผมถาม

“ฉันมีธุระต้องไปทำต่อ”

“แล้วจะให้ผมอยู่ที่นี่คนเดียว?”

“ฉันไม่อยากจะพูดแบบนี้ แต่...” คุณจักรพงษ์เว้นเสียงไปสักพัก ดูกึ่งจิตกึ่งใจ แต่สุดท้ายก็พูดออกมา “ระหว่างอยู่ที่นี่อย่าพยายามสร้างเรื่องวุ่นวายให้คุณเซียนเป็นพอ”

 










ผมเอาเสื้อผ้ากับข้าวของเครื่องใช้มาไม่มาก ใช้เวลาแปบเดียวก็จัดของทุกอย่างในห้องใหม่จนเสร็จ หลังจากนั้นก็ไม่มีอะไรทำต่อ ผมเลยนั่งอ่านหนังสือและเผลอหลับไปจนถึงกลางดึก รู้สึกตัวอีกทีเพราะท้องร้องส่งสัญญาณว่าหิวข้าว กะว่าจะออกไปหาอะไรกินในครัวแต่ดันว่างเปล่า ทั้งๆ ที่มีเครื่องครัวครบครันแต่กลับไม่มีของกินอยู่ในตู้เย็นนอกจากน้ำเปล่า

ระหว่างนั้นผมได้ยินเสียงรถยนต์ เดินไปดูด้วยความสงสัยก็พบว่าลูเซียนกำลังเปิดประตูลงมาจากรถ เจ้าของบ้านมาแล้วผมควรทำตัวยังไง อยู่ๆ ก็รู้สึกกระวนกระวายใจแบบไปไม่ถูก กระทั่งได้ยินเสียงคนกำลังกดรหัสหน้าประตู ผมยืนเกร็งตัวโดยอัตโนมัติ เมื่อลูเซียนเห็นผม แวบแรกเขาทำเพียงปรายตามองด้วยสีหน้าที่ไร้อารมณ์ ก่อนปลดกระดุมแขนเสื้อระหว่างเดินมาหาตู้เย็นเพื่อเปิดน้ำดื่ม ผมอยู่ตรงนั้นพอดีเลยต้องเดินหลีกไปอีกทาง

ความเงียบของบรรยากาศภายในบ้าน ยังไม่ทำให้ผมวังเวงเท่ากับการยืนดูทุกการกระทำของลูเซียนโดยที่ต่างฝ่ายต่างไม่พูดอะไรสักคำ จนเมื่อท้องผมไม่อาจทนต่อความหิวได้ สุดท้ายจึงต้องเป็นฝ่ายพูดก่อน

“เออ... เดี๋ยวผมขอออกไปซื้ออะไรกินก่อนนะครับ” พูดจบก็รอว่าอีกฝ่ายจะว่ายังไง ผมรอจนเขาดื่มน้ำเกือบหมดขวด คนหน้าตึงคร่ำเคร่งก็เดินมาหาผมพร้อมกับยื่นอะไรบางอย่างให้

กุญแจรถ? เขาจะให้ผมขับรถไปเองงั้นหรอ

หูย~ บทจะใจดีก็ใจดีอย่างน่าเหลือเชื่อเลยแฮะ

“ไม่เป็นไรครับ ร้านมินิมาร์ทอยู่หน้าปากซอยเอง” เอาตรงๆ คือผมขับรถไม่เป็นอ่ะ

“มีของอยู่หลังรถฉัน ไปเอาเข้ามา”

“…”

รู้สึกเหมือนมีเศษแก้วตกอยู่แถวนี้ หน้าแตกยับเยิน และดูท่าว่าจะละเอียดมากด้วย

ผมรับกุญแจจากมือของลูเซียนมาอย่างน่าอับอาย รีบเดินออกไปเปิดประตูหลังรถที่จอดอยู่ เห็นถุงอะไรสักอย่างวางอยู่ก็หยิบขึ้นมา มันเป็นกล่องอะไรสักอย่าง จู่ๆ ก็ได้กลิ่นหอมโชยมาทำให้ท้องร้อง ผมรู้สึกว่ามันน่ากินทั้งๆ ที่ไม่รู้ว่ามันคืออะไร พอกลับเข้าบ้านก็เห็นลูเซียนกำลังโทรศัพท์ เขาทอดสายตามองออกไปนอกกระจกของหน้าต่างบานใหญ่ ก่อนจะหันมาหาผมแล้วขอวางสายทันที

“ให้ผมวางไว้ตรงไหนครับ”

ลูเซียนไม่ตอบ แค่แบมือขอสิ่งที่ผมถืออยู่เท่านั้น ผู้ชายคนนี้สงบปากสงบคำเสียจนผมรู้สึกหงุดหงิดจริงๆ แต่ก็เอาเถอะ อยากถือไปหาที่วางเองก็ตามใจ

ผมยื่นของในมือทั้งสองข้างไปตรงหน้าเขา ซ้ายเป็นกุญแจรถ ส่วนขวาเป็นถุงที่บรรจุกล่องสี่เหลี่ยมไว้ ลูเซียนไม่ลังเลที่จะคว้ากุญแจไปจากมือผมก่อนจะเอ่ยกลับด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย

“ถุงนั้น... ของนาย”

ว่าจบก็เดินผ่านผมไปโดยไม่รอให้ซักถามหรือฟังคำขอบคุณ หันไปอีกทีก็เห็นหลังเขาขึ้นบันไดไปไวไว ผมยืนฉงนใจอยู่สักพักก็เปิดกล่องในถุงดู ปรากฏว่ามันคือของกินตามที่จมูกผมได้กลิ่น ลูเซียนตั้งใจซื้อมาหรือว่าตัวเองกินอิ่มแล้วเลยยกให้กันนะ คือผมก็อยากถือคติว่าอย่าติดค้างคนอย่างลูเซียนมากนัก แต่ภาพตรงหน้ามันยั่วใจซะเหลือเกิน

เอาน่า... ไม่กินเดี๋ยวก็บูด เสียดายของแย่












หลังจากกินเสร็จผมแทบลุกจากโซฟาไม่ได้ เพราะอาหารที่ลูเซียนซื้อมามันเยอะเกินกว่าจะกินคนเดียว แต่เพราะความหิวทำให้ผมจัดการไม่เหลือ ทีนี้คิดขึ้นได้ว่ามีเรื่องบางอย่างที่ต้องถามเจ้าของบ้านให้เข้าใจ ผมเลยเดินขึ้นไปเคาะห้องที่มีแสงไฟลอดออกมา ใช้เวลารอไม่นานเจ้าของห้องก็เปิดประตู

ลูเซียนแสดงสีหน้าบอกบุญไม่รับ เหมือนผมไปขัดอะไรเขาเข้า ดูทรงแล้วเจ้าตัวน่าจะกำลังถอดเสื้อผ้าอยู่ เพราะกระดุมตรงบริเวณอกถูกปลดออกไปสามเม็ดแล้ว

“คือ... ผมอยากรู้ว่าระหว่างอยู่ที่นี่ต้องทำอะไรบ้าง” รีบพูดรีบไป เดี๋ยวจะหาว่ากวนใจ “เมื่อตอนกลางวันถามคุณเลขาไปแล้ว แต่เขาบอกให้มาถามคุณเอง”

คนตรงหน้ายกมือกอดอกพลางจ้องหน้าผม ลักษณะเหมือนกำลังใช้ความคิด 

“อยู่แบบไม่ให้ฉันรู้สึกว่านายอยู่... ทำได้มั้ย”

“หา?”

“มีอะไรอีก?”

“ไม่มีแล้วครับ”

ทุกอย่างดูเร็วมาก เขาถามมาผมตอบปุ๊บโดยไม่ได้ผ่านการกลั่นกรองใดใด เมื่อกี้เหมือนจะเข้าใจในสิ่งที่ลูเซียนต้องการ แต่ดันจับใจความได้ไม่หมด มารู้ตัวอีกทีลูเซียนก็กำลังจะปิดประตูใส่หน้าผมแล้ว

“เดี๋ยวก่อนครับ!”

ผมรีบเอามือไปขวางประตูไว้โดยไม่ทันคิดให้ดีว่าการกระทำนั้นเกือบจะทำให้ตัวเองเจ็บตัว หากลูเซียนไม่ใช้ความเร็วในการดึงประตูออกมือผมคงโดนประตูหนีบไปแล้ว

“ทำบ้าอะไร!” เสี้ยววินาทีนั้นลูเซียนใช้สายตาดุดันจ้องผมอย่างเอาเรื่อง การถลึงตาโตแสดงอาการไม่พอใจ มันทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองกำลังโดนดุได้มากกว่าเสียงตะคอกใส่เป็นไหนๆ

 “เอ่อ คือ... ผมจะขอรหัสไวไฟน่ะครับ” มือถือผมไม่มีเน็ต เงินก็ไม่มี จะติดต่อหาจ้านก็ต้องใช้โซเชียลอื่นแทน

“ไม่อ่านหนังสือรึไง”

“ผมข้องใจโจทย์คณิต เลยกะว่าจะโทรไลน์ไปถามจ้านเพราะผมไม่มีเงินในโทรศัพท์” แม้บอกเหตุผล ลูเซียนก็ยังมองผมอย่างสงสัย “ไม่งั้นคุณให้ผมยืมโทรศัพท์มั้ยล่ะครับ”

“ไปเอาโจทย์มาดู”

“เอ๋?”

ร้องอุทานเพราะแทบไม่เชื่อหูตัวเอง และท่าทางคนพูดก็ใช่ว่าจะล้อเล่น จู่ๆ เขาก็เดินไปเปิดโคมไฟตรงโต๊ะทำงานทั้งๆ ที่ประตูยังเปิดค้างไว ลูเซียนเอาจริงหรอเนี่ย คือ... ผมไม่ได้แปลกใจที่เขามีความรู้เรื่องคณิตศาสตร์นะ แต่ไอ้การที่เขาเอ่ยปากว่าจะดูให้ต่างหากที่น่าเหลือเชื่อ

ผมเดินกลับไปเอาหนังสือพร้อมกระดาษเปล่าแล้วย้อนกลับมาที่ห้องนอนของลูเซียน แวบแรกเห็นเขากำลังนั่งหลังตรงพลางกระดิกนิ้วชี้ให้กระทบกระโต๊ะเป็นจังหวะ พอผมเอาหนังสือไปวางตรงหน้าพร้อมบอกจุดที่สงสัยไป เขาก็อธิบายเป็นขั้นเป็นตอน ท่าทางใจเย็น ไม่รีบร้อน ได้เห็นเขาในมุมนี้ความรู้สึกอึดอัดที่มีต่อเขาก็เริ่มกลายเป็นความผ่อนคลาย แม้ภายนอกจะดูเย็นชาจนผมไม่อาจเข้าถึง ก็ยังดีกว่าทำหน้าบึ้งตึงทั้งวันเหมือนมนุษย์ที่ไร้หัวใจ

พอไขข้อกระจ่างได้ผมก็ขอบคุณคนสอนแล้วเดินลาออกไป พยายามให้เวลาไม่เกินสิบนาทีเหมือนอย่างที่ลูเซียนกำหนดมาตลอด แต่กลับมาทบทวนแปบๆ ก็เจอข้อสงสัยอีกแล้ว ขืนปล่อยไว้อย่างนี้มีหวังผมนอนไม่หลับทั้งคืนแน่ ก็ถามตัวเองนะว่าลูเซียนจะโกรธมั้ยถ้าผมจะกลับไปถามเขาอีกรอบ กำลังอยู่ในระหว่างตัดสินใจ ขาผมก็เดินมาถึงหน้าห้องของผู้เป็นเจ้าของบ้านซะแล้ว ทีนี้เลยเข้าสเต็ปเดิม เคาะประตู ลูเซียนเดินมาเปิด ผมถามจุดที่สงสัย จากนั้นเขาก็เดินไปเปิดโคมไฟบนโต๊ะ อธิบายให้ฟัง เสร็จแล้วผมก็กลับห้อง

เอาล่ะ... สบายใจละ

ประมาณห้าทุ่มผมกลับมารอบที่ห้า เปิดประตูมาคราวนี้ตรงโคมไฟยังส่องแสงสว่างอยู่ ผมก็คิดนะว่าจะยุติทันทีที่ลูเซียนแสดงอารมณ์ขุ่นเคืองทางสีหน้าหรือบอกผมตามตรงว่าพอก่อน แต่ถึงจะเดินมารอบนี้เขาก็ยังไม่ออกอาการใดใด แถมยังอธิบายโจทย์คณิตให้ฟังพร้อมใบหน้าที่ไร้อารมณ์อย่างนั้นแหละ แถมน้ำเสียงก็ไม่มีความตึงเครียดด้วย

“อ้า~ เข้าใจแล้วครับ ขอบคุณมาก” ผมลุกจากเก้าอี้ กำลังจะเดินออกไป

“เดี๋ยว”

“ฮะ?”

“ลากเก้าอี้มาตั้งตรงนี้”

“เก้าอี้?”

อยู่ๆ ลูเซียนถามถึงเก้าอี้ ผมงงแต่ก็รีบมองหาไปรอบห้อง สุดท้ายเขากลับชี้นิ้วไปตรงมุมห้อง บอกให้ไปยกเก้าอี้ตรงนั้นมาพร้อมปรายตามองผมอย่างช้าๆ

“เห็นนายเดินเข้าๆ ออกๆ ฉันรำคาญ”

ไปๆ มาๆ ผมต้องนั่งเป็นเด็กนักเรียนเพื่อให้ลูเซียนสอนหนังสือ เป็นครั้งแรกที่เขาไม่กำหนดเวลาคุยกับผม ไม่ใช้สายตามองอย่างเหยียดหยามหรือพูดจาดูถูก

ตกลงว่าลูเซียน... เป็นคนยังไงกันแน่

 










ผมตื่นแต่เช้า เพราะไม่อยากให้เจ้าของบ้านมองว่าเป็นพวกขี้เกียจสันหลังยาว นึกขึ้นได้ว่าลูเซียนไม่ค่อยทานข้าวที่บ้าน ในตู้เย็นเลยไม่มีของกินอะไรนอกน้ำเปล่า ที่เห็นชัดๆ ก็มีแต่กาน้ำร้อนกับเครื่องชงกาแฟที่วางเด่นอยู่ตรงเคาน์เตอร์ สงสัยว่าเขาจะดื่มแค่กาแฟก่อนออกไปทำงานทุกเช้า ตอนนี้ผมตั้งใจว่าจะไปออกกำลังกายและแวะซื้อของกินขากลับ แต่ต้องรอบอกลูเซียนเพื่อขอกุญแจบ้านไว้ก่อน

ระหว่างนั้นผมเห็นว่าเมื่อคืนเขาช่วยอธิบายโจทย์คณิตยากๆ ให้ตั้งหลายข้อ แล้วไหนจะเรื่องข้าวเย็นอีก อย่างน้อยก็น่าจะทำอะไรเพื่อเป็นการตอบแทนเขาซะหน่อย

คิดได้แค่นั้นผมก็เดินไปในครัวทันที ค้นหาแก้วกาแฟตามตู้แล้วจัดการชงมันออกมาตามความพอดี ใช้เวลาศึกษาเครื่องทำไม่นานก็พอเดาๆทางได้ แถมหน้าตาตอนทำออกมาดูไม่เลวเท่าไหร่ พอชิมไปหนึ่งแก้วรู้สึกขมขึ้นคอ สงสัยจะต้องลดปริมาณกาแฟลงแล้วเพิ่มน้ำตาลแทน

จับเจ่าอยู่ในครัวพักใหญ่ ผมก็ได้ยินเสียงฝีเท้าของลูเซียนที่กำลังเดินมาในบริเวณนี้

“คุณจะมาชงกาแฟใช่มั้ยครับ รอแปบนึงนะ ผมกำลังทำให้คุณอยู่”

“ฉันไม่ได้สั่ง”

“ผมอยากทำให้ครับ อย่างน้อยก็แทนคำขอบคุณที่ช่วยผมเมื่อคืน” ผมพูดในขณะที่กำลังจับช้อนขนกาแฟให้เข้ากัน “คุณอุตส่าห์ช่วยติวให้ผม ทั้งๆ ที่เราพนันกันไว้ว่าถ้าผมสอบเข้ามหา’ลัยได้คุณจะยกหนี้ให้แท้ๆ”

ลูเซียนไม่ตอบกลับ ผมเลยคิดว่าเขายอมรับน้ำใจของผม

หากทว่า...

“วันนั้นฉันไม่ได้โทรหาอีวาน” ผมชะงัก วางมือจากทุกอย่างตรงหน้าก่อนจะหันไปมองลูเซียนอย่างไม่เข้าใจ

“อะไรนะครับ”

“ฉันโกหกนาย” ลูเซียนพูดอย่างเฉยชา ไม่มีอาการทุกข์ร้อนใดใด เขายอมรับมาตามตรงว่าไม่ได้บอกอะไรกับอีวานตามที่ผมคาดหวัง และดูเหมือนจะเป็นผลกับคนซื่ออย่างผมที่ดันเชื่อเป็นตุเป็นตะ ขนาดเรื่องเงินสิบล้านที่เขายกขึ้นมาต่อรองผมยังหลงเชื่อเลย มันน่าโมโหนะ ผมควรโกรธ แสดงความไม่พอใจ

แต่ไม่รู้ทำไมถึงรู้สึก ‘โล่งอก’ มากกว่า

“แปลว่า... ผมไม่ต้องกังวลเรื่องเงินสิบล้านนั่นแล้วใช่มั้ย”

“ฉันอาจไม่อยากช่วยนายจริงๆ ไม่กังวลเรื่องนั้นเลยรึไง” 

“แต่คุณก็ให้ผมมาอยู่ที่นี่แล้วนี่ครับ ถ้าอีวานรู้เข้าเขาคงเข้าใจว่าผมเป็นคนของคุณแน่”

ลูเซียนเงียบเสียงอีกครั้ง ปรายตามองแก้วกาแฟที่ผมวางไว้ตรงหน้า จากนั้นก็หยิบขึ้นมาสูดกลิ่นช้าอย่างๆ ก่อนจะยกดื่มเพียงนิดเพื่อลิ้มรส

“ไอ้สิ่งที่ใช้แทนคำขอบคุณของนาย...”

นัยน์ตาคมจดจ้องมาที่ผมไม่วางตา คล้ายมีความลึกลับซับซ้อนบางอย่างแอบแฝงมาด้วย โดยเฉพาะคำพูดทิ้งท้ายที่เขาเปล่งด้วยน้ำเสียงนุ่มจนผมรู้สึกเหมือนมีอะไรมาสะกดให้ชะงักค้าง



“มันหวานเกินไป”















TBC


หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 18:: บ้านใหม่] UPDATE 06/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 06-06-2018 19:21:52
 :really2:
อยู่ด้วยกัน เดี๋ยวก็รักกันไปเอง
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 18:: บ้านใหม่] UPDATE 06/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 06-06-2018 19:42:55
โอ้?  บรรยากาศไม่ธรรมดา
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 18:: บ้านใหม่] UPDATE 06/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 06-06-2018 20:31:43
พี่ลูของน้องงง  :-[
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 18:: บ้านใหม่] UPDATE 06/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 06-06-2018 20:45:39
ประโยคท้าย มีแอบเขินแฮะ  :-[
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 18:: บ้านใหม่] UPDATE 06/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 06-06-2018 20:55:14
อะเฮื้ออออ กัปตันเรือมาแล้ว ทีม #เซียนรัณย์   :z2:

ฮือออ ลูเซียนเห็นความตั้งใจของรัณย์แล้วใช่มั๊ย

กาแฟไม่เป็นไรครั้งหน้าชงใหม่เนาะ

ดีใจมาอัพต่อแล้วเย่ :pig4:

หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 18:: บ้านใหม่] UPDATE 06/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 06-06-2018 21:13:12
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 18:: บ้านใหม่] UPDATE 06/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 07-06-2018 09:28:29
ยิ่งพัวพันหนักแว้วลุง
ถ้าอีวานมาคงยิ่งรัดหนักกว่านี้แน่
อิวานๆๆๆๆๆๆ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 18:: บ้านใหม่] UPDATE 06/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 07-06-2018 09:52:22
ยังไงๆ........กาแฟที่รัณย์ ชงให้ลู มันขมมากกก
แต่ลู บอกว่า  “ไอ้สิ่งที่ใช้แทนคำขอบคุณของนาย.......มันหวานเกินไป”  ชักจะยังไง   o18
ก็คือที่รัณย์บอกว่า   
“........... ถ้าอีวานรู้เข้าเขาคงเข้าใจว่าผมเป็นคนของคุณแน่”
แอ๊ะ......หวานเกินไปตรงที่รัณย์เป็นคนของลู  ใช่ป่ะ  กรี๊ดดดดดดด  :z3: :z3: :z3:

ลู บอกไม่ชอบเห็นคนเดินไปมาในบ้าน
แต่รัณย์ เดินไป-กลับ เคาะประตูห้องถามปัญหาหลายเที่ยว
ไม่เห็นลูจะโกรธ หรือรำคาญเลย
แถมอธิบายอย่างปกติ   :really2: :really2: :really2:

ลูเซียน  รัณย์    :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 18:: บ้านใหม่] UPDATE 06/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 07-06-2018 11:04:37
 o13

 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 18:: บ้านใหม่] UPDATE 06/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 07-06-2018 13:09:49
มารอด้วย อ่านไปอ่านมาสนุก แต่เดาทางยากชะมัด
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 18:: บ้านใหม่] UPDATE 06/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 07-06-2018 14:24:02
มันมีนัยอะไรหรือเปล่านะ  ไอ้คำว่า มันหวานเกินไป
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 18:: บ้านใหม่] UPDATE 06/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: Dangdang ที่ 09-06-2018 04:34:50
อ่านถึงตอนนี้ชักไม่มั่นใจพระเอกลูเซียนหรืออีวานกันแน้ :hao4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 18:: บ้านใหม่] UPDATE 06/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 09-06-2018 09:21:05
อีวานไม่โผล่เลยหรือเป็นประกอบอุสาห์เชียร์
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 18:: บ้านใหม่] UPDATE 06/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: La_Pomme ที่ 11-06-2018 21:36:12
บทที่ 19
::ขอร้อง::





พรุ่งนี้ถึงวันสอบ ผมเลยนั่งอ่านหนังสือเพื่อทบทวนส่วนที่ต้องทำความเข้าใจอีกรอบ จนถึงช่วงเที่ยงก็เดินออกจากบ้านเพื่อไปซื้อของกินที่มินิมาร์ทใกล้ๆ เมื่อก่อนตอนอยู่กับจ้านผมไม่ต้องออกไปไหนเลย เพราะเขาจะทำกับข้าวง่ายๆ วางไว้ให้ผมก่อนไปมหาวิทยาลัยทุกครั้ง และถ้าวันไหนจ้านหยุดผมก็จะลองๆ ทำดู ทานได้บ้างไม่ได้บ้างถือเป็นเรื่องที่พอนึกแล้วก็ทำให้ยิ้มได้ จนถึงตอนนี้ฝีมือทำอาหารของผมก็พอไปวัดไปวา เลยคิดว่าจะซื้อของง่ายๆ มาฝึกฝีมือหน่อย ไหนๆ ที่บ้านหลังนั้นก็มีห้องครัวแล้ว

พอนึกถึงจ้านผมก็อยากโทรหาเขา เลยเติมเงินมือถือแล้วโทรหาจ้านในระหว่างเดินกลับบ้าน

“ฮัลโหล จ้าน” ผมทักทายอย่างร่าเริงเพื่อให้จ้านรู้ว่าผมสบายดี “ฉันอยากโทรหานายตั้งแต่เมื่อคืนแล้วแต่ไม่มีเงินในโทรศัพท์”

[ขอโทษที่ไม่ได้โทรหา... พอดีกูยุ่งนิดหน่อย]

“อ้อ~ ฉันก็นึกว่านายจะโกรธเรื่องที่ไม่ยอมเชื่อฟังซะอีก” ผมยอมรับว่ากังวลที่อยู่ๆจ้านก็เงียบไป ไม่โทรหา ไม่อะไรเลย ที่ผ่านมาผมคงรู้สึกว่าตัวเองได้รับการเอาใจใส่มาตลอด ก็เลยหวั่นใจไปต่างๆ นานา

[กูไม่เคยโกรธมึง... ไม่แม้แต่ครั้งเดียว] ได้ยินแบบนี้แล้วค่อยโล่งใจหน่อย

“พรุ่งนี้ฉันจะสอบแล้ว รู้สึกตื่นเต้นยังไงไม่รู้”

[กูอาจไปไม่ได้นะ] ผมชะงักเท้า และหยุดเดินเพื่อฟังสิ่งที่จ้านกำลังพูดอย่างตั้งใจ [พรุ่งนี้พ่อกูมีงานเลี้ยงสำคัญ ถึงกับกำชับกูว่าต้องไปให้ได้ก็เลยไม่อยากขัดเขา]

“ไม่เป็นไรหรอก แค่นายทำเรื่องสมัครให้ก็ถือว่าช่วยมากแล้ว ไหนจะช่วยติว แล้วไหนจะเอาหนังสือมาให้อ่านอีก ต้องขอบคุณนายมากจริงๆ” ผมเดินหน้าต่อพร้อมพูดประโยคอย่างจริงจัง “รับรองว่าสอบครั้งนี้ฉันต้องผ่านแน่ ไว้พรุ่งนี้ก่อนสอบฉันจะโทรไปขอกำลังใจจากนายแล้วกัน”

[เอาสิ] จ้านตอบสั้นๆ ก่อนที่ผมจะได้ยินเสียงรถวิ่งอยู่ในสาย

“ตอนนี้นายอยู่ไหน เหมือนฉันได้ยินเสียงรถด้วย”

[คือ... กูกำลังจะเดินเข้าไปหาซื้อเสื้อในห้าง พรุ่งนี้ต้องออกงาน ต้องดูดีหน่อย]

“อ้อ~” ผมพยักหน้าประกอบ

[ว่าแต่... มึงสบายดีใช่มั้ย]

“ก็ยังไม่มีอะไรแย่ ถึงอยู่บ้านในลูเซียนแต่ก็ไม่ค่อยได้เจอกันหรอก เขาออกไปทำงานแต่เช้ากว่าจะกลับก็ดึก เห็นบอกอีกว่าอยากให้ฉันอยู่แบบไม่ให้เขารู้ว่าอยู่ ถือว่าวินวินทั้งคู่”

[อืม... ถ้างั้นแค่นี้ก่อนนะ กูต้องไปแล้ว]

“โอเค”

ความกะทันหันทำให้ผมต้องบอกลาจ้านอย่างเร่งรีบและจากนั้นสายก็ตัดไป ผมเก็บโทรศัพท์ไว้ในกระเป๋ากางเกงตามเดิมก่อนจะเดินหน้าต่อ ทว่ามุมหนึ่งของถนนตรงหน้า ผมเห็นแผ่นหลังของใครบางคนที่คุ้นตา มันไว้มากเหมือนผ่านไปเพียงแวบเดียว หลังจากข้ามถนนมาผมจึงรีบตามไปและพบว่าเขาคนนั้นขึ้นรถยนต์ไปซะแล้ว

แต่เดี๋ยวก่อน! นั่นมัน... รถจ้านไม่ใช่หรอ?

ไม่นานรถยนต์ที่จอดริมฟุตปาธก็ขับเคลื่อนออกไป จ้านตามผมมาตั้งแต่เมื่อไหร่ ไหนเมื่อกี้บอกว่ากำลังหาซื้อชุดสำหรับไปงานเลี้ยง แต่เท่าที่เดินผ่านมาแถวนี้ไม่มีร้านตัดชุดเลยนี่ ทำไมต้องทำลับๆ ล่อๆ ด้วย หรือว่าจ้านจะเป็นห่วงผม แต่ถ้าแบบนั้นเขาก็ควรบอกผมตรงๆ สิ ไม่ใช่มาโกหกกันอย่างนี้

กำลังคิดอะไรอยู่สักพักก็มีสายโทรเข้ามาอีก แต่คราวนี้เป็นเบอร์แปลก

“สวัสดีครับ”

[หายหัวไปไหน ทำไมไม่มาทำงาน]

“คุณ!” ผมเผลออุทานเสียงดัง จนต้องเลี่ยงหลบไปริมทางเดินเพื่อตั้งสติ

ไทด์รู้เบอร์ผมได้ไง!

[พอพูดแบบนั้นกับฉันแล้วก็คิดจะชิ่งงั้นหรอ]

“เปล่านะครับ”

[แล้วที่หยุดไปหลายวันโดยไม่บอกฉัน มันหมายความว่าไง]

“เลขาของลูเซียนยังไม่บอกคุณหรอครับ”

[บอกเรื่องอะไร] ถามแบบนี้จะให้ตอบยังไง ถ้าให้เล่าตรงๆ สงสัยต้องสาวเรื่องยาวแน่ และลูเซียนเองก็คงไม่ชอบใจหากผมปากยื่นปากยาวป่าวประกาศเรื่องที่มีเขามาเกี่ยวข้องให้คนอื่นฟัง

“คือ... ผมมาทำงานที่บ้านลูเซียนชั่วคราวน่ะครับ”

[บ้านบอส? เขาหวงพื้นที่ส่วนตัวจะตาย ขนาดอาฉันที่เป็นเลขาส่วนตัวยังไม่เคยนอนค้าง แล้วนายเป็นใคร... แม่บ้านระดับมาสเตอร์ยังสำคัญกว่า มีเหตุผลอะไรที่บอสจะต้องให้นายไปอยู่ด้วย]

“ทำไมคุณไม่ไปถามเขาเองล่ะครับ”

[เอ๊ะไอ้นี่! ยอกย้อนอีก] เขาขึ้นเสียงจนผมต้องเอาโทรศัพท์ห่างจากหูแปบนึง

จะว่าไป ผมก็มีเรื่องจะคุยกับไทด์อยู่พอดี...

“ว่าแต่... คุณยังไม่บอกเรื่องของผมกับใครใช่มั้ยครับ”

[แสดงว่านอกจากฉันแล้วยังไม่มีใครรู้] อยู่ๆ น้ำเสียงของเขาก็เปลี่ยนไป ไทด์คิดอะไรอยู่นะ ผมหวั่นใจจนรู้สึกกระวนกระวายไปหมด คิดว่ามีสิ่งไหนที่ทำได้ผมก็รีบทำทันที

“ขอร้องนะครับ อย่าเอาเรื่องนี้ไปบอกใคร” สิ่งเดียวที่ผมทำได้ตอนนี้คือขอความเห็นใจจากเขา

[ให้คนอื่นรู้แล้วมันยังไง นายไม่ได้ทำอะไรไม่ดีหนิ ถ้าทุกคนรู้ว่านายความจำเสื่อมก็จะได้มองนายใหม่ แบบนี้ไม่ดีรึไง] ผมเข้าใจความหมายในคำถามนั้น ถึงได้รู้ว่าไทด์ต่างหากที่ไม่เข้าใจในสิ่งที่ผมทำ

“คุณยังจำตอนที่เคยหลอกผมเรื่องแผลเป็นได้มั้ยครับ” ผมถาม “คุณระแคะระคายเรื่องของผมถึงได้แต่งเรื่องขึ้นมาเพื่อลองเชิง ตอนนั้นผมเชื่อคุณสนิทใจ ยอมทำตามที่บอกทุกอย่าง แล้วถ้าเกิดคนไม่หวังดีกับผมรู้เข้า เขาจะไม่เอาจุดอ่อนเรื่องที่ผมสูญเสียความทรงจำมาทำร้ายผมหรอครับ”

ผมลืมทุกอย่างที่เคยเกิดขึ้นในชีวิต การกระทำดีเลวของตัวเองล้วนแต่ฟังคนอื่นบอก เรื่องไหนจริงเรื่องไหนเท็จผมไม่มีทางรู้ และดูท่าว่าจุดอ่อนนี้จะเลวร้ายเข้าไปอีกเมื่อคนส่วนใหญ่มองผมเป็นคนไม่ดี เลยอดระแวงไม่ได้ว่าถ้าปล่อยให้คนพวกนั้นรู้ความจริงเข้ามันจะกลายเป็นภัยต่อผมขึ้นมาจริงๆ

หลังจากเงียบเสียงกันไปสักพัก ผมก็ได้ยินเสียงไทด์จากปลายสายอีกครั้ง 

[สรุปว่ายังไม่ได้ลาออกใช่มั้ย]

“ครับ”

[สมองเสื่อม... ชีวิตนายนี่มันพิลึกพิลั่นดีจริงๆ] ผมไม่รู้ว่าไทด์พูดด้วยความรู้แบบไหน จึงฟังไปเงียบๆ [แต่ก็ควรอยู่หรอก อย่างน้อยฉันก็ไขข้อข้องใจเรื่องที่นายยอมกินกุ้งได้แล้ว]

“เอ่อ แล้วเรื่องที่ผมขอ...”

[ความจริงฉันก็ไม่ได้อยากยุ่งเรื่องส่วนตัวของนายนักหรอกนะ]

“ขอบคุณครับ” ได้ยินแบบนั้นค่อยโล่งใจ ขอเพียงไทด์ไม่ใส่ใจเรื่องของผมเหมือนอย่างที่เคยทำมาตลอดก็ไม่น่ามีปัญหา หรือถ้าอยากให้ต่างคนต่างอยู่ผมก็จะไม่ขัดข้อง

[เชื่อใจฉันรึไง] คำถามของไทด์ทำให้ฉุกคิดว่าที่ผ่านมาผมมองหัวหน้าพนักงานเสริฟ์คนนี้เป็นอย่างไร หากไม่นับตอนเจอกันครั้งแรกหรือทัศนคติที่มีต่อผม เขาก็ดูไม่ใช่คนเลวร้ายอะไร

“คุณอาจไม่ชอบขี้หน้าผม แต่คุณไม่ใช่คนไม่ดีหรอกครับ”












รู้สึกเครียดแต่เช้า ไม่รู้ว่าข้อสอบวันนี้จะเอาตัวรอดไปได้รึเปล่า ผมเตรียมเอกสารใส่กระเป๋าสะพายเรียบร้อย เดินมาหยิบขนมปังที่ซื้อไว้ในครัวพร้อมกับหาเครื่องปิ้งขนมปัง วันนี้ขอทำอะไรง่ายๆ กินก่อนไม่งั้นไม่ทันเวลาแน่ ทว่าสิ่งที่ผมพบกลับเป็นเครื่องใหม่เอี่ยม ลักษณะไม่น่าจะเคยถูกใช้งานสักครั้ง

เห็นแล้วผมไม่กล้าใช้เลย สงสัยจะต้องไปขออนุญาตเจ้าของบ้านก่อน...

ผมเคาะประตูห้องนอนลูเซียนเป็นจังหวะ แล้วรอเวลาให้คนด้านในมาเปิด ผ่านไปเพียงชั่วอึดใจชายร่างสูงก็ปรากฏตรงหน้า เขาเตรียมพร้อมที่จะไปทำงาน ใส่สูทเต็มยศ ขาดก็แต่เนกไทที่ยังต้องจัดให้เรียบร้อย

“ผมขอใช้เครื่องปิ้งขนมปังในครัวได้มั้ยครับ” พูดจบก็รอคำตอบ แต่อีกฝ่ายกลับไม่แสดงท่าทีอะไรเลย “ผมจะใช้อย่างระวัง ไม่ทำให้ของคุณเสียหายแน่นอน”

“ฉันบอกให้อยู่ที่นี่เหมือนไม่อยู่ มันยากนักหรือไง” น้ำเสียงของเขาไม่สบอารมณ์เท่าไหร่

“ให้ผมใช้ของโดยไม่ขอคุณก่อนก็เสียมารยาทสิครับ”

“นายเคยสนเรื่องนั้นด้วยรึไง” เหมือนกำลังถูกด่าเลยแฮะ   

“คือ... ผมจะทำขนมปังทาแยม คุณอยากรับสักชิ้นมั้ยครับ เดี๋ยวผมทำเผื่อ”

“ไม่ต้อง” ตอบแบบไม่ต้องคิด และสิ่งที่ทำให้ผมหน้าชากว่าเดิมก็ตอนที่เขาปิดประตูใส่หน้าเนี่ยแหละ ปฏิเสธซะหนักแน่น จะเกรี้ยวกราดไปถึงไหน

ผมเดินลงมาจัดการขนมปังแผ่นเพื่อทำเป็นอาหารเช้าคู่กับโอวัลตินซองที่ซื้อมาพร้อมกัน ขณะนั้นผมมองสลับกับแก้วกาแฟที่ชงให้ลูเซียนดื่มเมื่อวาน เขาบอกหวานไปแสดงว่าอยากให้รสน้ำตาลอีกนิด ไม่ได้ปฏิเสธหนักแน่นทำนองว่าผมไม่ต้องเสร่อทำมาอีก ครั้งแรกตอบแทนน้ำใจเขาไม่สำเร็จก็แปลว่าผมต้องแก้ตัว

แต่... เขาบอกว่าให้เราอยู่ที่นี่เหมือนไม่อยู่นี่หว่า

เวลาผ่านไปห้านาที ผมเห็นลูเซียนเดินลงบันไดมาพร้อมกับบุคลิกมาดเข้ม โดยรวมแล้วไม่ต้องจัดการอะไรอีกก็สามารถออกจากบ้านได้เลย ทีนี้ผมรอจังหวะให้เขาหันมามอง พอสบตากันในเสี้ยวนาทีนั้นผมก็หันไปกดน้ำร้อนใส่แก้วกาแฟแล้วเดินถือไปหาเขาอย่างเร่งรีบ

“ลองชิมแก้วนี้ก่อนครับ รับรองว่ารสชาติถูกปากคุณกว่าเมื่อวานแน่ๆ” ผมตั้งใจพูดดักไว้ก่อน เพราะรู้ว่าหลังจากนี้ลูเซียนจะเดินเข้าครัวเพื่อชงกาแฟดื่มก่อนไปทำงาน

แต่จากสีหน้านิ่งๆ และดูจะไม่สบอารมณ์ของเขาแล้ว ผมอาจโดนปฏิเสธน้ำใจอีกแน่เลย...

ลูเซียนยืนมองแก้วกาแฟในมือผมโดยไม่พูดอะไรประมาณสิบวินาทีได้ กำลังสงสัย ลังเล หรือไม่แน่ใจอะไรก็ไม่ยอมพูดออกมา ลำพังเดาจากสีหน้าก็ยากอยู่แล้ว ยังจะต้องให้เดาสิ่งที่อยู่ในใจเขาอีกหรอ

ทว่าในฉับพลันนั้นทุกอย่างจะหยุดชะงักลง เมื่อคนตรงหน้ายกแก้วกาแฟไปจากมือผม

“นึกว่าคุณจะไม่รับซะอีก” ผมยิ้มเล็กน้อย พลางยกมือเกาหัวไปมา 

“นายมันก็เป็นแบบนี้ตลอด ไม่เคยใส่ใจคำปฏิเสธของฉัน ทั้งดื้อดึง ทั้งหัวรั้น... ฉันรำคาญเต็มทน” ความหมายของเขาคือรับไปให้มันจบๆ สินะ พูดยังกับว่าเมื่อก่อนเขาบอกปัดผมบ่อยๆ แต่ผมก็ยังตื้อไม่เลิกอย่างงั้นแหละ

“ถ้าครั้งนี้ไม่ถูกปากคุณอีก ผมจะไม่ทำแล้วก็ได้ครับ” นัยน์ตาคมหรี่มองผมชั่วครู่ จากนั้นยกแก้วกาแฟขึ้นดื่มเพียงนิด ผมลุ้นโดยไม่แสดงอาการ โดยหวังอย่างยิ่งว่าการตอบแทนเขาเรื่องอธิบายโจทย์เลขจะได้ชดใช้เสียที 

แต่จู่ๆ ชายคนนี้กลับหยิบอะไรบางอย่างมาวางไว้ตรงหน้าผมแทน

“กุญแจประตูหลัง เผื่อแม่บ้านที่จะเข้ามาทำความสะอาดไม่อยู่ตอนนายกลับมา” เดี๋ยวๆ อย่าข้ามบทแบบนี้สิ

“แล้วเรื่องรสชาติล่ะครับ” ถามจบ คนตัวสูงแค่มองผมแล้วถอนหายใจนิดหน่อย ใครที่อยู่ในสถานการณ์เดียวกับผมคงเดาได้อย่างเดียวว่าโดนรำคาญอีกแล้วแน่ๆ แค่ไม่อยากติดหนี้บุญคุณลูเซียน กลับกลายเป็นก่อความวุ่นวายให้เขา

โอเค ไม่ทำแล้วก็ได้วะ

ผมกำลังก้มหน้าถอนหายใจทิ้ง จู่ๆ แก้วกาแฟก็ถูกวางลงบนโต๊ะโดยฝีมือของลูเซียน จากนั้นก็ได้ยินเสียงฝีเท้าหนักหน่วงเดินออกไปจากครัวในจังหวะเดียวกับที่ผมเหลือบมองภาพอันน่าประหลาดใจตรงหน้า


ลูเซียน... ดื่มซะเกลี้ยงเลย 













TBC

หายไปหลายวัน เดี๋ยวพรุ่งนี้จะอัพเดตตอนต่อไปให้เวลาประมาณ 2 ทุ่มละกันเนอะ

รู้สึกว่าจะมีคนถามหาอีวานกันเยอะเลย เขามาแน่นอนจ้า อีกไม่กี่ตอนต่อจากนี้แหละ

รับรองว่าสมแก่การรอคอยแน่นอน 55555

หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 19:: ขอร้อง] UPDATE 11/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 11-06-2018 22:16:15
ลู ปากอย่าง ใจอย่างสินะ
ทำเข้มใส่รัณย์ 
ซื้อเครื่องปิ้งขนมปังเครื่องใหม่ให้ใช้
รัณย์ก็พาซื่อ จะใช้ไปขออนุญาต  :เฮ้อ: :เฮ้อ: :เฮ้อ:

จ้าน กับไทด์ ก็คิดถึงรัณย์
ยังไงกันๆ 
รัณย์มีเสน่ห์มากกกกกกก
ลูเซียน  รัณย์   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 19:: ขอร้อง] UPDATE 11/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 12-06-2018 05:21:14
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 19:: ขอร้อง] UPDATE 11/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 12-06-2018 08:27:26
แหม อร่อยก็ไม่บอกตรงๆนะ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 19:: ขอร้อง] UPDATE 11/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 12-06-2018 09:50:34
อ้างถึง
รับรองว่าสมแก่การรอคอยแน่นอน 55555
ทอล์คตอนท้ายนี่เล่นเอา...
 :a5:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 19:: ขอร้อง] UPDATE 11/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 12-06-2018 10:14:01
แหม ทำไมมีเสน่ห์จัง ใครๆ ก็ชอบ บอกเคล็ดลับหน่อยดิ จะเอาไปจีบไทด์ 5555
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 19:: ขอร้อง] UPDATE 11/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 12-06-2018 13:52:43
อิอิ ลูน่ารักจัง เรือแล่นแล้วววว :-[
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 19:: ขอร้อง] UPDATE 11/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 12-06-2018 15:22:04
พี่ลูเนี่ย ซึนเดเระรึเปล่าน้าาา 
ใครเป็นพระเอกเดาไม่ถูกเลยค่ะ แต่ขออยู่ทีมพี่ลูจนถึงนาทีสุดท้าย 555555
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 19:: ขอร้อง] UPDATE 11/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: La_Pomme ที่ 12-06-2018 19:51:10
บทที่ 20
::ขี้ลืม::





มาถึงสถานที่สอบก็โทรศัพท์หาจ้านทันที ผมถามอย่างเป็นกังวลว่าถ้าข้อสอบไม่ออกตามที่อ่านมาจะทำยังไง จ้านตอบกลับสั้นๆ ว่าผมทำได้แน่ เขามั่นใจในตัวผมมาก ฟังแล้วชื่นใจนะแต่มันก็กดดันพอควรเลยล่ะ

เมื่อเปิดข้อสอบคณิตศาสตร์ ทุกอย่างที่จ้านติวให้หลั่งไหลเข้ามาในหัวสมอง เทคนิคการจำสูตรและการคำนวณแบบง่ายๆ ใช้เวลาไม่นานก็สามารถหาคำตอบได้ ยิ่งไปกว่านั้นคือโจทย์ที่ผมสงสัยแล้วลูเซียนเป็นคนสอนหาค่าให้ก็มีออกในข้อสอบด้วย นึกถึงผู้ชายด้านชาคนนั้นแล้วภาพในคืนนั้นก็ผุดขึ้นในความทรงจำ ผมไม่ลังเลใจที่จะเชื่อในการสอนของเขาสักนิด ยามเขียนคำตอบในกระดาษผมก็มั่นใจว่าข้อนี้ต้องถูกแน่นอน

เนื่องจากผลสอบจะถูกประกาศทางเว็บ ผมเลยต้องรอลุ้นในสองวันถัดไป ได้ยินแว่วๆ จากผู้ร่วมเข้าสอบเกี่ยวกับคำตอบที่ถูกต้องของข้อนั้นข้อนี้ เท่าที่ฟังผมไม่แน่ใจเลยว่าจะผ่านหรือเปล่า ข้อที่คิดว่าถูกอาจผิด ข้อที่คิดว่าผิดก็คงผิด ไม่รู้ว่าจะได้เกินครึ่งมั้ย กำลังคิดว่ามีบางข้อที่สงสัยเลยกะจะโทรถามจ้าน ฉับพลันนั้นกลับมีชายคนหนึ่งเดินเข้ามาทักทายผมขณะยืนอยู่หน้ามหาวิทยาลัย 

“คุณกรัณย์” ผมเงยหน้ามองชายใส่สูทอายุประมาณสามสิบต้นๆ “เสร็จธุระแล้ว เชิญขึ้นรถไปกับผมด้วยครับ”

“คุณคือ...”

“บอสสั่งให้ผมมารับคุณครับ”

ได้ยินแล้วขามันก้าวถอยหลังโดยอัตโนมัติ ความรู้สึกเหมือนเดจาวู เหตุการณ์คุ้นๆ เหมือนตอนยืนรอจ้านอยู่หน้าโรงพยาบาลแล้วถูกกลุ่มคนในชุดสูทพาขึ้นรถไป แถมหลายวันก่อนลูเซียนก็เพิ่งบอกว่าอีวานกำลังจะกลับมา

หรือว่า...

“บอสที่คุณพูดถึงคือใครครับ” ผมมือไม้สั่น เตรียมหาลู่ทางวิ่งหนีเรียบร้อย

“คุณเซียนครับ”

ลูเซียน? เขามีเรื่องด่วนอะไรถึงให้คนมารับผมถึงนี่

“รอเดี๋ยวนะครับ” พูดจบผมก็ยกโทรศัพท์ขึ้นมาเปลี่ยนบุคคลติดต่อจากจ้านเป็นเลขาของลูเซียนแทน เนื่องจากผมไม่มีเบอร์โทรโดยตรงถึงลูเซียนได้

ผมเดินออกไปคุยห่างๆ รอเพียงอึดใจก็มีคนรับสาย “ฮัลโหล คุณจักรพงษ์ คือผมอยากทราบว่าลูเซียนเขาสั่งให้คนรถมารับผมใช่มั้ยครับ.. หา! คุณไม่รู้เรื่องหรอ แล้วผมควรทำยังไงล่ะครับ เขาเป็นคนของลูเซียนจริงๆ หรือเปล่าก็ไม่รู้... อ้อ ได้ครับ ผมจะให้คุณคุยกับเขา”

คุยเสร็จก็ยื่นโทรศัพท์ให้คนที่อ้างว่ามารับผมแล้วบอกว่าเลขาของลูเซียนจะคุยด้วย ปฏิกิริยาของเขาไม่มีท่าทีลุกลน รับโทรศัพท์ผมไปคุยแต่โดยดี และใช้เวลาเพียงไม่นานก็คืนให้พร้อมบอกว่าคุณจักรพงษ์ยังอยู่ในสาย

“ครับคุณจักรพงษ์... อ้า~ โอเคครับ ผมเข้าใจแล้ว” สรุปคือชายคนนี้เป็นคนของลูเซียนจริง คุณเลขาเลยบอกให้ผมขึ้นรถไปกับเขาได้

รถเบนซ์สีขาวที่จอดนิ่งหน้ามหาวิทยาลัยเป็นสุดยอดพาหนะสุดหรู ผมรู้สึกได้ทันทีที่ได้นั่งอยู่ด้านหลัง มันสะดวกสบายทุกอย่าง แต่มันคงจะดีกว่านี้ถ้าผมไม่นั่งไประแวงไปตลอดทาง

กระทั่งรถยนต์เคลื่อนเข้าไปในบริษัทของลูเซียนผมถึงจะโล่งใจ เปิดประตูลงจากรถแล้วเดินเข้าด้านในโดยไม่หวั่นวิตกอะไรอีก พนักงานในบริษัทเองก็ต้อนรับผมราวกับรู้อยู่ก่อนแล้วว่าจะมา ไม่ต้องแลกบัตรอะไรก็เข้าไปได้เลย

หลังจากเคาะประตูห้องและได้รับการอนุญาต ผมก็เดินตรงเข้าไปยังโต๊ะทำงานของลูเซียนพร้อมสอบถามถึงเหตุผลในการมาของตัวเองทันที “คุณมีอะไรหรอครับ”

ชายหนุ่มละจากงานตรงหน้า เปลี่ยนไปหยิบอะไรมาอย่างมาวางไว้บนโต๊ะ...

“นายลืมไว้”

กุญแจบ้าน?

อ้า~ ไม่ได้หยิบมานี่หว่า เมื่อเช้ามัวแต่ทำอะไรรีบๆ เลยลืมซะสนิท

“เกือบเข้าบ้านไม่ได้แล้ว” ผมเจื่อนยิ้มแบบต้องการกลบเกลื่อนสิ่งที่ทำพลาดไป จากนั้นก็หยิบกุญแจพวงนั้นมาไว้กับตัว คิดไปว่าตอนเช้าก่อนออกจากบ้านลูเซียนทำไมถึงไม่เอะใจสักนิด หรือในสมองจะมีแต่เรื่องสอบจนหลงๆ ลืมๆ ไป

“มันเป็นของที่นายทิ้งขว้างได้ง่ายๆ รึไง” ลูเซียนจดจ้องอย่างเอาเรื่อง เล่นเอาผมผงะไปเลย

“ผมแค่ลืมเองนะครับ” ถ้าเข้าไม่ได้ก็แค่นั่งรอจนกว่าเจ้าของบ้านจะกลับ ไม่เห็นเรื่องใหญ่ตรงไหน

“นายเคยขโมยกุญแจบ้านฉัน แอบเข้ามาบ่อยจนต้องเปลี่ยนเป็นล็อคแบบใส่รหัสผ่านแทน” หา! ผมเคยทำถึงขนาดนั้นเลย? “กุญแจนั่นเป็นของที่สำรองไว้เพราะฉันไม่เคยเปิดประตูหลังมาก่อน มันถูกเก็บในลิ้นชักมาเป็นชาติก่อนจะหยิบมาปัดฝุ่นเพื่อให้นายใช้มัน... แต่เมื่อกี้นายกลับพูดว่า ‘ลืม’ งั้นหรอ”

ลูเซียนไม่ได้ใช้น้ำเสียงดุดันหรือแสดงความเกรี้ยวกราดอะไรเลย แต่ทำไมผมถึงรู้สึกว่าตัวเองผิดมหันต์ซะล่ะ แล้วไอ้ที่บอกว่าแอบขโมยกุญแจบ้านได้เนี่ย แปลว่านี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมมาบ้านเขาน่ะสิ!

“ผมไม่ได้ตั้งใจ” สลดจนไม่อาจเงยหน้ามอง ถ้าผมไม่ลืมกุญแจ ลูเซียนก็คงไม่เดือดร้อนให้คนขับรถมารับ...

หืม? เดี๋ยวนะ แล้วทำไมเขาไม่ฝากกุญแจมากับคนรถเลยเล่า จะกลับไปกลับมาให้ลำบากคนอื่นทำไม

“ฉันต้องไปทำธุระแถวสีลม อาจกลับดึก... ล็อคบ้านให้ดีด้วย”

“สีลม?” ผมทวนคำพูดเมื่อครู่พร้อมกับใช้ความคิดไปด้วย “ผมสอบเข้าอยู่แถวนั้น และคุณก็กำลังจะผ่านไปแถวนั้นพอดี... เอ๋ ทำไมคุณไม่แวะเอากุญแจมาให้ล่ะครับ โทรบอกผมให้รอก่อนแถวนั้นก่อน ไม่เห็นต้องลำบากให้คนไปรับผมมานี่เลย ขับรถไปกลับเปลืองน้ำมันจะตาย ไม่งั้นก็ฝากกุญแจมากับคนขับรถก็ได้ เพราะผมนั่งรถจากมหา’ลัยกลับบ้านคุณ ยังเดินทางง่ายกว่าออกจากบริษัทคุณไปบ้านซะอีก”

“ทำไมฉันต้องเป็นฝ่ายไปหานาย” ได้ยินแล้วถึงกับไปไม่เป็น ผมยืนเงียบอยู่สักพักเพื่อไตร่ตรองถึงคำพูดนั้น

“คิดๆ ดู ผมก็เป็นฝ่ายมาหาคุณตลอด… ถ้าวันนึงคุณเป็นฝ่ายมาหาผมบ้าง โลกทั้งใบคงสั่นสะเทือน” ว่าจบผมก็ยกนาฬิกาข้อมือดู “สิบนาทีเป๊ะ... งั้นผมขอตัวกลับก่อนนะครับ”

ระหว่างเดินไปที่ประตู เจ้าของห้องก็เรียกผมไว้ “สอบเป็นยังไง”

ผมแปลกใจที่ลูเซียนถามถึง และพอหันไปมองหน้าตรงๆ ก็พบว่าเขากำลังจ้องอยู่

“ดีครับ โจทย์ที่ถามคุณไปวันนั้นออกในข้อสอบด้วย ผมทำตามที่สอนทุกขั้นตอนเลย มั่นใจว่าข้อนั้นต้องถูกชัวร์” อาจฟังเหมือนผมกำลังอวดเก่ง แต่จริงๆ คืออยากให้ลูเซียนรู้สึกว่าตัวเขาเป็นส่วนช่วยให้ผมทำได้ต่างหาก

 “จะกลับบ้านก็ไปกับรถที่นายนั่งมา” หืม? หมายถึงรถคันที่มารับผมหน้ามหา’ลัยน่ะหรอ

“แล้วอย่างนี้คุณจะไปทำธุระยังไงล่ะครับ”

ลูเซียนชักสีหน้าใส่ผมเล็กน้อย แล้วค่อยพูดด้วยน้ำเสียงเรียบเฉย...

“ฉันมีใบขับขี่”

 











ผมคุยเรื่องสอบกับจ้านจนผล็อยหลับไป ตื่นมาอีกทีก็เที่ยงคืนกว่าแล้ว รู้สึกคอแห้งเลยลงมาดื่มน้ำ เห็นโคมไฟตั้งโต๊ะในห้องรับแขกเปิดอยู่ก็เดินไปดู ปรากฏว่าตรงโซฟามีร่างของลูเซียนกำลังนั่งหลับอยู่ สองมือกอดอกไว้อย่างมั่นคง คอวางไว้บนพนัก สีหน้าไม่ค่อยสู้ดี เขาดูเหนื่อยมากเสียจนผมไม่กล้าปลุก แต่อากาศมันหนาวๆ จะปล่อยไว้อย่างนี้ก็ดูจะใจดำเกินไป ในเมื่อผมเป็นคนอาศัยก็ควรเห็นใจกันบ้าง

คิดได้แบบนั้น... เลยตัดสินใจขึ้นไปเอาผ้าห่มในห้องของตัวเองมา

จังหวะที่ค่อยๆ จับผ้านวมห่มกายคนตัวสูง ผมกะจะคลุมผ้าให้มิดชิดทั้งลำตัว แต่พริบตาเดียวกลับเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ผมตกใจสุดขีด เมื่อลูเซียนจับร่างผมตวัดทุ่มลงโซฟาแล้วพาตัวเองขึ้นคร่อมตัวผมไว้ ลำแขนแกร่งวางทาบตรงลำคอ ส่วนมืออีกข้างก็ใช้บีบไหล่ผมกดโซฟาจนขยับกายไม่ได้

ดวงตาเปล่งประกายภายใต้แสงไฟสลัว ใบหน้าของลูเซียนอยู่ใกล้เพียงลมหายใจ ผ้าห่มที่ให้เขาไปเมื่อครู่ตอนนี้กลับมาคลุมกายผมแทน การตอบสนองรวดเร็วปานสายฟ้า สงสัยสัญชาตญาณการป้องกันตัวทำงาน สมมติว่าผมเป็นโจรบุกขึ้นบ้านเขา คงไม่มีทางรอดเงื้อมือเขาแน่นอน

“ทำอะไร” ลูเซียนถามแต่ผมไม่ตอบอะไร แค่จับผ้าห่มให้ดูคงรู้ความหมาย ทีนี้เขาก็ค่อยๆ ผละออกจากตัวผม แสดงอาการไม่สบอารมณ์ก่อนจะคลายเนกไทออกอย่างลวกๆ

“ทะ... ทำไมมานอนตรงนี้ล่ะครับ” ผมถามอย่างตะกุกตะกัก

“ฉันแค่หลับตา” น้ำเสียงแหบแห้งของคนตรงหน้าทำให้ผมรู้สึกว่าเขาน่าจะต้องการน้ำ

“เดี๋ยวผมไปรินน้ำมาให้” พูดจบก็ลุกไปเปิดตู้เย็นเพื่อเอาของขวดน้ำเปล่า ผมกำลังจะเทน้ำใส่แก้วอย่างระมัดระวัง ลูเซียนก็พูดขึ้น

“อีวานจะมาถึงวันพรุ่งนี้”

ผมชะงักค้าง และหันขวับไปหาเขาทันใด “จริงหรอครับ”

“น่าแปลกนะ เขาน่าจะส่งข่าวมาบอกนายสักนิด หรือไม่... คนของเขาก็ควรตามดูความเคลื่อนไหวของนายบ้าง แต่จนถึงตอนที่นายมาอยู่บ้านฉันก็ไม่เห็นมีสัญญาณอะไร” ลูเซียนวิเคราะห์ ส่วนผมก็ฟังพร้อมคิดตามไป “ดูท่าว่าฉันจะตามน้ำไปกับคนที่หลงตัวเองแล้วล่ะมั้ง”

“ผมยอมให้คุณคิดอย่างนั้น ดีกว่าได้เจออีวานอีก”

“นายไม่ชอบใจเขา แต่ก็น่าจะรักเงินเขาไม่ใช่หรอ” โอ้ คำพูดดูถูกของลูเซียนกลับมาอีกแล้ว และเหมือนจะไม่ยอมหยุดแค่นี้ด้วย “ถ้าอีวานหลงนายจริง เรื่องเงินทองคงทุ่มไม่อั้นแน่”

“ผมเคยบอกแล้วไงว่าจะเลิก ถึงยังไงก็ไม่ยอมกลับไปทำตัวแบบนั้นอีก” เถียงกลับอย่างขึงขัง

“งั้นนายอยากรู้เหตุผลที่ฉันยอมช่วยมั้ย”

“คุณคงขาดพนักงานอยู่พอดี ไม่ก็อยากท้าทายเพราะคิดว่าผมทำงานที่ไนต์คลับไม่ได้”

ลูเซียนไม่ตอบกลับ พาตัวเองลุกจากโซฟาแล้วมุ่งหน้ามาหาผมตรงเคาน์เตอร์ที่มีตู้เย็นอยู่ด้านหลัง เห็นเขายืนมองผมโดยไม่พูดอะไรอยู่นาน

จนกระทั่ง...

“นายเคยบอกฉันว่าถ้าจะให้เลิกทำตัวแบบนั้น... ก็คงต้องรอให้นายตายก่อน” ผมอ้าปากเหวอ ขึงตาโตแสดงความตกใจอย่างไม่ปกปิด “ตอนนั้นนายพูดซะหนักแน่น เหมือนเป็นเกมเดิมพันที่จะแพ้ไม่ได้”

ลูเซียนจ้องผมไม่วางตา ทำให้สถานการณ์เข้าสู่สภาวะอึดอัดและคุกรุ่นไปด้วยความตึงเครียด

“ฉันเลยอยากรู้ว่านาย... ตายไปแล้วจริงมั้ย”













TBC

หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 20:: ขี้ลืม] UPDATE 12/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: naumi ที่ 12-06-2018 19:57:33
พระเอกดูท่าจะฉลาดใช่เล่น :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 20:: ขี้ลืม] UPDATE 12/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 12-06-2018 20:34:25
อ้างถึง
“ฉันเลยอยากรู้ว่านาย... ตายไปแล้วจริงมั้ย”
มิสเตอร์ลูจึงเทสต์กับตัวเอง...ที่บ้าน กิ๊วววว
 :impress2:

รอๆๆๆ อีวานจะกลับมาแว้วววววววว
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 20:: ขี้ลืม] UPDATE 12/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 12-06-2018 21:00:48
เข้มข้นทั้งเรื่อง หมั่นไส้ลูเซียนจัง อีวานทำคะแนนหน่อย
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 20:: ขี้ลืม] UPDATE 12/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 12-06-2018 21:01:02
โอ้ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆงานเข้า
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 20:: ขี้ลืม] UPDATE 12/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 12-06-2018 21:44:02
อีวานจะกลับมาแล้ว วุ่นแน่ พี่ลูต้องช่วยด้วยนะะะะ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 20:: ขี้ลืม] UPDATE 12/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 12-06-2018 21:58:11
อะไรกันเนี่ย เรื่องยุ่งๆ กำลังจะมา
 :katai4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 20:: ขี้ลืม] UPDATE 12/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 12-06-2018 22:19:24
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 20:: ขี้ลืม] UPDATE 12/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 12-06-2018 23:00:59
 :pig4: :katai1:   จะเป็นยังไงต่อนะ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 20:: ขี้ลืม] UPDATE 12/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 12-06-2018 23:14:52
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 20:: ขี้ลืม] UPDATE 12/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 12-06-2018 23:21:25
สนุก   ชอบบบบ   :mew1: :mew1: :mew1:

เข้มข้น น่าตามติดตลอด   :mew1:
ลูเซียนได้คำตอบละสิ

ลูเซียน  กรัณย์   :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 20:: ขี้ลืม] UPDATE 12/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 13-06-2018 01:47:27
สนุกมากกกอยากอ่านอีกซัก10ตอน555555ตอนหน้าอีวานจะมีบทละจ้า นั่มตาหลัยย
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 20:: ขี้ลืม] UPDATE 12/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: masochism2018 ที่ 13-06-2018 09:38:03
หนุกหนานน  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 20:: ขี้ลืม] UPDATE 12/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 13-06-2018 09:40:15
สนุกอะ อยากอ่านต่อ !!!
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 20:: ขี้ลืม] UPDATE 12/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: ommanymontra ที่ 13-06-2018 17:10:46
 :3123: :pig4: :3123:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 20:: ขี้ลืม] UPDATE 12/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: La_Pomme ที่ 15-06-2018 19:35:15
บทที่ 21
::ไม่อยู่เฉย::





ผมเปิดตู้รื้อครัวของบ้านหลังใหญ่อย่างตั้งใจ เพราะอยากรู้ว่ามีอะไรที่พอจะเอามาใช้ทำอาหารได้บ้าง สุดท้ายก็พบว่าบ้านหลังนี้มีอุปกรณ์เครื่องครัว ‘ทุกอย่าง’ ที่ห้องครัวทุกบ้านควรมี และทั้งหมดยังดูใหม่ราวกับไม่เคยถูกใช้งานมาก่อน ขนาดเครื่องปรุงที่เก็บไว้ในตู้ก็ยังไม่เคยเปิดด้วยซ้ำ

อันที่จริงๆ ผมไม่ติดใจเท่าไหร่หรอก เพียงแต่สงสัยว่าเขาทานอาหารข้างนอกทุกวันได้ยังไง ไม่มีอารมณ์แบบซื้อของกินมาตุนไว้ในตู้เย็นบ้างเลยหรอ ทำตัวเป็นคนบ้างาน มีทีวีก็ไม่เคยเปิดดู ผมว่าเพราะชีวิตเขาไม่มีสีสันแบบนี้ล่ะมั้งถึงได้อยากทำธุรกิจไนต์คลับขึ้นมา

วันก่อนเคยขออนุญาตเรื่องใช้ของในครัวไปแล้วก็ไม่น่าจะมีปัญหา เช้านี้ผมตั้งใจจะทำข้าวผัดสูตรของจ้านเลยซื้อของมาครบ ไม่รู้ว่าจ้านใส่อะไรลงไปถึงทำให้ผมเอาแต่นึกถึงจนอยากกินเอามากๆ จะหาซื้อที่ไหนก็ไม่ถูกปาก สุดท้ายเลยต้องทำเอง ผมเคยช่วยจ้านทำมาก่อน ลำดับขั้นตอนเลยจำได้แม่น แต่กว่าจะทำอะไรแต่ละอย่างผมต้องใช้เวลาเตรียมการพอสมควร ไม่ได้หยิบจับอะไรคล่องนัก

ใช้เวลาไปเท่าไหร่ไม่รู้ ช่างมัน แค่ทำสำเร็จออกมาน่าทานเท่านั้นเป็นพอ ข้าวสำเร็จรูปที่ซื้อมาสองห่อผมแกะใส่หมดปริมาณเลยเยอะเกินกำลังผม ถ้าเหลือมาน่าเสียดายแน่

ระหว่างที่ผมกำลังถือจานข้าวมาทานวางบนโต๊ะอาหาร ลูเซียนก็ลงมาจากบนบ้านพอดี 

“ทานด้วยกันมั้ยครับ” ผมถามตามมารยาทและแสดงความมีน้ำใจ แม้จะรู้เต็มอกว่าเขาจะตอบยังไง

“จะต้องฉันให้พูดซ้ำไปถึงเมื่อไหร่”

โอเค! รู้เรื่อง

“อืม... แล้ว... วันนี้คุณจะได้เจออีวานมั้ยครับ”

“ทำไม”

“ถ้าเกิดเขายื่นข้อเสนอเพื่อให้คุณเปลี่ยนใจ คุณก็จะยังยืนยันว่าผมเป็นคนของคุณอยู่หรือเปล่า” ลูเซียนต้องคิดว่าผมฟุ้งซ่านแน่ๆ ซึ่งเอาเข้าจริงมันก็มีนิดนึงแหละ ผมเชื่อใจลูเซียนมากเกินไปไม่ได้ และจะจัดการเองก็ไม่ได้อีก สุดท้ายเลยได้แต่นั่งหวั่นวิตกจนต้องหาอะไรทำอย่างการทำอาหารอยู่อย่างนี้

“ก็เลยจะเอาอาหารขยะมาติดสินบนฉันรึไง”

“ไม่ใช่นะครับ”

“ฉันก็อยากรู้เหมือนกันว่าเพื่อนายแล้ว อีวานจะเสนออะไร” ลูเซียนเอ่ย “แต่ถ้าเขาเกิดลืมนายขึ้นมา ไม่รู้ว่าฉันต้องหน้าชาก่อน หรือควรหัวเราะให้ลั่นไปเลย”

“ขอให้ได้หัวเราะแล้วกันครับ ส่วนผมจะยอมกลายเป็นคนโง่ที่หลงตัวเอง” ถ้าเป็นอย่างที่ลูเซียนพูดก็นับว่าเป็นเรื่องดี แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงไม่ชอบการพูดล้อเลียนของเขาเลย “ตอนนี้ผมกำลังคาดการณ์ว่าเวลาไหนถึงจะเหมาะแก่การออกจากบ้านคุณ อยู่ที่นี่ผมไม่ค่อยได้ทำอะไร แถมยังจะสร้างความรำคาญให้คุณด้วย ถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากไปจากที่นี่เร็วๆ เหมือนกันครับ”

ผมกับลูเซียนจ้องตากันโดยไม่พูดอะไร ก็สงสัยตัวเองเหมือนกันว่าอ่อนไหวกับคำพูดของเขาเกินไปหรือเปล่า ถึงได้ตอบแบบประชดประชันไปอย่างนั้น ลูเซียนพูดดูถูกแกมเหน็บแนมผมมาตลอดอยู่แล้ว ทำไมต้องไปใส่ใจด้วย

“วันนี้ฉันหยุด จะเจออีวานอีกทีคงเป็นวันพรุ่งนี้” อยู่ๆ ก็ย้อนมาตอบเรื่องที่ผมเคยถามไป

“คุณมีวันหยุดด้วยหรอครับ ตั้งแต่มาอยู่นี่ผมเห็นคุณออกไปทำงานทุกวัน”

“เห็นฉันเป็นเครื่องจักรที่ไม่ต้องมีวันหยุดพักรึไง”

“แล้วคุณจะทานข้าวเช้าที่ไหนล่ะครับ”

ถามจบไปไม่ทันไรก็ได้ยินเสียงกริ่งดัง ลูเซียนไม่มีท่าทีประหลาดใจแบบผม เขาทำเพียงแค่เดินไปเปิดผ้าม่านแล้วหยิบเครื่องอะไรสักอย่างขึ้นมากด จากนั้นประตูบานใหญ่ก็เปิดออก และมีใครบางคนเดินเข้ามาในบ้านอย่างรู้ที่ทางว่าควรเดินเข้ามาทางไหน

คนคนนี้ดูเด็กกว่าผมมาก เป็นผู้ชายตัวสูงสมวัย ท่าทางกระฉับกระเฉง ใส่เสื้อผ้าสไตล์วัยรุ่นธรรมดา เข้ามาพร้อมกับถุงใบใหญ่ที่มองแวบเดียวก็รู้ว่าเป็นพวกกับข้าว

“คุณเซียนมีวันหยุดจนได้นะครับ ผมไม่ได้เอาข้าวมาส่งหลายวันจนคิดว่าคุณเซียนจะสั่งข้าวกับเจ้าอื่นไปแล้ว” เด็กหนุ่มเดินเข้าไปในครัว หยิบจานชามออกมาโดยไม่ต้องขออนุญาตใดใดจากเจ้าของบ้าน เขาจัดการนำกับข้าวทั้งหมดเทใส่ภาชนะ จากนั้นก็นำมาวางไว้บนโต๊ะอาหารที่ผมกำลังนั่งอยู่อีกฝั่ง

“ฉันไม่เคร่งเรื่องรสชาติเท่ากับการตรงต่อเวลา” ลูเซียนเดินมานั่งตรงหัวโต๊ะตรงข้ามกับผม “ในเมื่อเรามาไม่เคยสาย... ฉันจะไปสั่งร้านอื่นทำไม”

ถ้าให้เดา ผมว่าเด็กคนนี้คงเป็นคนส่งอาหาร แต่ดูจากถุงใส่มา มันไม่น่าจะใช่ภัตตาคารใหญ่ หรือส่งตรงจากโรงแรมห้าดาว คนอย่างลูเซียนทานอาหารง่ายๆ แบบนี้ได้ด้วยหรอ ไม่อยากจะเชื่อ

“ผมไม่รู้ว่าคุณเซียนมีเพื่อนทานด้วย ก็เลยเอามาแค่ชุดเดียว...” เด็กหนุ่มมองมาที่ผมอย่างสงสัย

“เขามีของเขาแล้ว” ลูเซียนตอบแค่นั้นก็ลงมือทานทันที

“ตอนกลางวันคุณเซียนเอาเมนูเดิมใช่มั้ยครับ” สีหน้าของเด็กหนุ่มสดใสทันตาเมื่อเห็นลูเซียนพยักหน้าเป็นคำตอบ แต่มันยังไม่จบแค่นั้น...

“เอามาสองชุด” ได้ยินอย่างนั้นผมถึงกับมองหน้าลูเซียนตรงๆ และเห็นว่าเขากำลังหันไปมองเด็กหนุ่มเพื่อพูดด้วย “เสร็จแล้วก็กลับไปเถอะ วันนี้ฉันมีคนล้างจานให้แล้ว”

สิ้นเสียง ลูเซียนกลับเด็กหนุ่มก็หันมามองหน้าผมพร้อมกัน

“อ้อครับ ผมล้างเอง” พูดจบก็ก้มหน้าทานข้าว โดยที่ในใจยังมีเรื่องค้างคาอยู่

สองชุดงั้นหรอ? ไม่เอาน่า วันนี้เขาอาจจะอยากกินเยอะๆ ก็ได้

“ถ้าผมเข้าใจไม่ผิด สองชุดที่ว่า...” ตัดสินใจถาม แต่ชักจะลังเลเพราะกลัวหน้าแตกนี่แหละ ผมเลยเว้นคำพูดไว้อยู่สักพัก เพื่อรอให้อีกฝ่ายขยายความให้ฟังเอง

“ฉันอยู่บ้าน แปลว่าวันนี้คนทำความสะอาดจะไม่เข้ามา...” ต้องการสื่อถึงอะไร ไม่เห็นจะเข้าใจ “แต่บังเอิญว่าฉันอยากเปลี่ยนผ้าม่านใหม่ทั้งหมด และที่ต้องทำคงเป็นนาย ก็ถือซะว่าข้าวกลางวันนั่นเป็นแรงไป”

“เปลี่ยนผ้าม่าน...” อ่า~ ข้อแลกเปลี่ยนสินะ

“นายบอกเองว่าอยู่ที่นี่ไม่ค่อยมีอะไรทำ”

“งั้นผมขออะไรคุณเรื่องนึงได้มั้ยครับ”

“อะไร”

“ขอยืมคอมหน่อย”










 

ก่อนจะเริ่มเปลี่ยนผ้าม่าน ผมได้รับอนุญาตจากลูเซียนให้ใช้คอมได้ จุดประสงค์ก็คือการเข้าเว็บของมหาวิทยาลัยเพื่อดูผลสอบ เพราะเห็นว่าระบบมันต้องใช้คอมตรวจสอบเท่านั้น มาถึงโต๊ะทำงานผมก็นั่งเก้าอี้ที่เป็นดั่งบัลลังก์ของลูเซียนทันที ส่วนเจ้าตัวก็ถือหนังสือมานั่งตรงโซฟาที่อยู่เยื้องไปไม่ไกล

“ต้องเข้าตรงไหน...” ผมพึมพำอยู่หน้าคอมพลางหาหัวข้อที่ควรกดเข้าไป เข้าหน้าต่างนั้นออกหน้าต่างนี้อยู่สักพักก็เริ่มสับสน ดูท่าว่าเรื่องการใช้คอมจะไม่สิ่งที่ผมไม่ถนัดซะแล้ว

“ได้รึยัง” ได้ยินเสียงเจ้าของห้อง ผมรู้ตัวทันทีว่าใช้คอมนานกว่าที่คิด

“อีกแปบนึงครับ ผมหาทางเข้าหน้าเว็บประกาศผลอยู่” ว่าแล้วก็พยายามต่อ รหัสกับพาสเวิดเตรียมพร้อมแล้วแท้ แต่กลับหาทางเข้าระบบไม่ได้ แค่เรื่องเท่านี้ยังทำไม่ได้ เรื่องสอบของผมก็เป็นไปได้ยากแล้วล่ะ

เวลาผ่านไปสักพัก คนที่นั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงโซฟาลุกขึ้นแล้วเดินมาหาผม คิดในใจว่าคงโดนด่าว่าซื่อบื้อหรือไม่ก็ต้องโดนลูเซียนดูถูกเรื่องสติปัญญาแน่ๆ แต่ยังไม่ทันที่จะเงยหน้ามองเพื่อถามว่ามีอะไร เขาก็เดินไปหยุดตรงหลังเก้าอี้ จับมือผมออกจากเม้าส์แล้ววางมือตัวเองแทน ส่วนมืออีกข้างหนึ่งจับอยู่ตรงพนักเก้าอี้ที่ผมนั่ง ก่อนจะโค้งตัวลงโดยให้ระดับสายตาสามารถมองเห็นหน้าจอคอม

ผมไม่รู้หรอกว่าสภาพการณ์ในตอนนี้เป็นยังไง สัมผัสได้แค่ว่าใบหน้าของลูเซียนอยู่ใกล้ผมมาก มากซะจนหางตามองเห็นข้างแก้มและจมูกโด่งๆ ของเขาได้ในระยะไม่กี่นิ้ว ผมไม่กล้าขยับตัวมาก ได้แต่คิดว่าจะลุกเพื่อหลีกทางให้ หรือควรควบคุมลมหายใจก่อนดี เพราะเมื่อกี้ผมรู้สึกว่าตัวเองจะเผลอกลั้นหายใจไปซะนาน

“รหัสอะไร” คำพูดประโยคสั้นๆ ผมให้ผมสะดุ้งอย่างที่ไม่ควรจะเป็น แถมร่างกายยังกระตือรือร้นกับการหยิบแผ่นกระดาษที่เคยจดขึ้นมาวางให้ลูเซียนเห็น

หลังจากกดตามตัวอักษรบนคีย์บอร์ดเสร็จเขาก็จะกดลงไปที่ปุ่ม Enter

“เดี๋ยวก่อนครับ!” ผมคว้ามือข้างขวาของลูเซียนไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง การกระทำอย่างลืมตัวทำให้ผมชะงักค้างก่อนจะอ้าปากกว้าง เลยเป็นเหตุให้โดนลูเซียนมองหน้า จังหวะนั้นผมสัมผัสได้ว่าลมหายใจอุ่นๆ ของเขาอยู่ใกล้แค่นี้เอง ถ้าไม่พูดอะไรสักอย่างสถานการณ์คงน่าอึดอัดแย่ “คือ... ผมขอเตรียมใจสามวินะครับ”

พูดจบก็หันหน้าไปที่หน้าจอคอมแล้วสูดหายใจเข้าลึกๆ

“โอเคครับ กดได้เลย” ผมปล่อยมือจากลูเซียน นำมือตัวเองขึ้นมาประสานกัน รอลุ้นด้วยใจระทึกไปพร้อมๆ กับจ้องหน้าจอคอมอย่างตั้งใจ

ตึ้ง!!

ผมมองทุกตัวอักษร ไล่เรียงเป็นประโยค ทั้งที่เป็นคำสั้นๆ แต่ผมกลับใช้เวลาอ่านมันซ้ำแล้วซ้ำอีก หลายวันที่ทุ่มเทไปกับการอ่านหนังสือ อดหลับอดนอน ตั้งใจทำมันอย่างจริงจัง และผลลัพธ์ที่ได้ก็ปรากฏอยู่ตรงหน้าแล้ว ตอนนี้ผมไม่รู้ว่าควรแสดงการตอบสนองแบบไหน ไม่รู้ว่าต้องพูดอะไรให้ตรงกับใจที่สุด นอกจากเสียจากตั้งสติพร้อมข่มอารมณ์ไว้

‘ไม่ผ่าน’

ความหวังทั้งหมดทั้งมวลแทบจะถมทับตัวผม ความรู้สึกหนักอึ้งนั้นเต็มไปด้วยความเสียดาย และโทษตัวเองว่าทำไมถึงไม่ทำให้ดีกว่านี้ หรือเพราะผมก็คือผม ชีวิตเคยล้มเหลวมายังไงก็จะเป็นมันอยู่อย่างนั้น

‘น่าอายชะมัด’

ผมนึกในใจอย่างนั้นก่อนจะหันไปมองหน้าลูเซียน นึกไม่ถึงว่าเขากำลังมองผมอยู่

“ทำไมมองผมอย่างนั้นล่ะครับ” สายตาที่ไม่อาจคาดเดาได้ พอไม่ได้รับคำตอบก็ยิ่งทำให้ผมรู้สึกหงุดหงิด “อ้อ~ คงเสียดายเงิน 10 ล้านที่เคยเดิมพันกับผมไว้ล่ะสิ... ถ้าคุณไม่บอกความจริง ปานนี้คงได้หัวเราะเยาะผมแล้ว”

“ฉันจะเสียดายกับเงินแค่นั้นทำไม”

“‘แค่นั้น’ เพราะเป็นคุณถึงพูดได้สินะ”

“แพ้แล้วพาลหรอ”

“ก็ที่คุณพูดมันน่าโมโห”

“นายพูดประชดประชันฉันก่อน”

“แล้วมันไม่จริงหรอครับ คุณต้องดูถูกผมอยู่ในใจแน่ๆ คงอยากหัวเราะกับความอวดดีของผม ทำเป็นมั่นอกมั่นใจว่าตัวเองทำได้ แต่สุดท้ายก็ยังเป็นคนไม่เอาอ่าวอะไรเหมือนเดิม”

“จะยอมแพ้แค่นี้รึไง” ลูเซียนสวนผมทันควัน “สอบไม่ผ่านมันทำให้โลกนายหยุดหมุนหรอ หกล้มไปก็ลุกขึ้นมาใหม่สิ ใช่ว่าครั้งหน้าจะไม่มีโอกาสซะเมื่อไหร่ มหา’ลัยเอกชนก็มี... ความผิดหวังทำให้ท้อแท้ได้ แต่ถ้าเสียความตั้งใจมันก็ไร้ความหมาย ทบทวนถึงสิ่งที่ตัวเองวาดฝันในอนาคตให้ดี แล้วเอาความผิดพลาดเป็นประสบการณ์เพื่อก้าวผ่านมันไปซะ”

เหมือนผมกำลังโดนญาติผู้ใหญ่สั่งสอนยังไงอย่างงั้น พอได้คิดไตร่ตรองดู จิตใจท้อแท้ที่ใกล้จะดิ่งลงเหวกลับกลายเป็นเห็นแสงสว่างอยู่อีกฝากฝั่ง ลูเซียนใส่อารมณ์กับผมอย่างเต็มที่ จนสามารถอ่านสีหน้าของเขาออกได้โดยไม่ต้องใช้สมองคิด เพราะสิ่งที่ผมมันเรียกว่าความหวังดี

“ที่จริง... นายสอบไม่ผ่านก็ไม่น่าแปลกใจสำหรับฉันเท่าไหร่”

ให้ตาย~ ปรับอารมณ์แทบไม่ทัน ผมส่ายหน้าพร้อมยิ้มให้กับใบหน้าไร้อารมณ์ของลูเซียน และน่าแปลกที่หลังจากนั้นไอ้คำว่า ‘ไม่ผ่าน’ ดันกลายเป็นเพียงตัวหนังสือสำหรับผมไปเลย

ขณะที่กำลังหันไปปิดคอมผมก็นึกขึ้นได้ว่าควรบอกข่าวนี้ให้ใครบางคนรู้...

“จริงสิ ต้องโทรบอกจ้าน” หยิบโทรศัพท์ขึ้นมา ปลดล็อคหน้าจอได้แล้วแต่ลูเซียนดันคว้าไปจากมือผมเฉยเลย

“ไปทำงานแลกข้าวก่อน เสร็จแล้วค่อยมาเอาคืน”

“ผมขอคุยแปบเดียวเอง” แสดงสีหน้าอ้อนวอนเต็มที่ จนมารู้ว่าใช้กับคนอย่างลูเซียนไม่ได้ก็ตอนที่โดนเขาขึงตาใส่เนี่ยแหละ

เผด็จการชะมัด!


 








**

กรัณย์เดินหน้าหงอยออกไปจากห้อง ชายร่างสูงมองตามหลังจนลับตา มารู้ตัวอีกทีก็นึกสงสัยว่าเดี๋ยวนี้เขาเผลอมองเด็กคนนั้นไปกี่ครั้งแล้ว บ้านที่เคยสงบสุข ตั้งแต่มีกรัณย์เข้ามาอยู่ก็ดูน่ารำคาญไปหมด ตอนเช้าต้องได้ยินเสียงกุกกักในห้องครัว อ่านหนังสือก็ดันท่องออกเสียง เวลาเดินผ่านหน้าห้องจะได้ยินทุกครั้ง ที่เคยบอกไว้ว่าให้อยู่แบบไม่รู้ว่าอยู่มันอาจใช้กับเด็กคนนี้ไม่ได้จริงๆ

ลูเซียนวางมือถือของกรัณย์ไว้บนโต๊ะข้างคอม นั่งคิดว่าตัวเองใส่ใจกับเรื่องหยุมหยิมแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ สีหน้าผิดหวังของเด็กคนนั้นใช่ว่าจะเป็นครั้งแรกที่เห็น แต่น่าแปลกที่มันสามารถกระตุ้นอะไรบางอย่างในใจจนทำให้เขาเผลอพูดอะไรยืดยาวออกไป และสิ่งที่น่ารำคาญไปกว่านั้นคงเป็นตอนที่กรัณย์ยังมีหน้ามายิ้มหลังจากเขาพูดจบ

คิดอะไรสักพัก เสียงโทรศัพท์ของลูเซียนก็ดังขึ้น เบอร์แปลกปรากฏอยู่บนหน้าจอ ชายหนุ่มต้องตั้งข้อสงสัยเพราะน้อยครั้งนักที่จะมีคนโทรมา เนื่องจากการคุยธุรกิจส่วนใหญ่ลูเซียนจะใช้เบอร์จักรพงษ์ในการติดต่อและฝากเรื่อง ทำให้เขาต้องตั้งเบอร์ของเลขาส่วนตัวเป็นเบอร์ต้นๆ

ลูเซียนนึกถึงเหตุการณ์เมื่อวานที่มีคนขอเบอร์เขาผ่านทางจักรพงษ์ ฉะนั้นคงเป็นใครไม่ได้นอกจาก...

“ฮัลโหล” ลูเซียนติดสินใจรับสาย

[มีโอกาสคุยกันผ่านโทรศัพท์ครั้งแรก หวังว่าคุณลูเซียนจะจำเสียงผมได้]

เจ้าของเบอร์แปลกช่างน่าสนใจ ลูเซียนยิ้มมุมปากเล็กน้อยก่อนจะเอ่ยตอบ “Welcome to Thailand”

[หึ... ผมใช้เบอร์ส่วนตัวโทรมา หวังว่าคุณจะบันทึกไว้ในเครื่องนะครับ เพราะกว่าจะได้เบอร์คุณมามันยากยิ่งกว่าเผด็จศึกคนภายในสิบวิซะอีก] ลูเซียนเพิ่งบอกให้จักรพงษ์ส่งเบอร์ตัวเองให้อีวานเมื่อเช้า ไม่นึกว่าอีกฝ่ายจะโทรมารวดเร็วราวกับรอการติดต่อกลับอยู่ทุกเวลา ยิ่งโดนเหน็บกลับแบบนี้ก็ยิ่งตอกย้ำความจริงได้ดีทีเดียว

“ลำบากคุณแล้ว... แต่หวังว่าความพยายามของคุณจะคุ้มค่า”

[น้อยคนที่จะมีโอกาสได้คุยโทรศัพท์กับลูเซียน คนที่ได้ชื่อว่ามีโลกส่วนตัวสูงและเข้าถึงยาก ผมอุตส่าห์ได้รับโอกาสนั้น มีหรอจะไม่ยินดี] น้ำเสียงของอีวานมีความขบขันอยู่ไม่น้อย [ผมหลงคิดกระทั่งว่าเลขาของคุณอาจหวงเบอร์เจ้านาย ถึงกล้าปล่อยให้ผมรอตอบกลับซะนาน]

“ช่วงนี้ผมค่อนข้างยุ่ง อาจจะพลาดข้อความของคุณ ต้องขอโทษด้วย”

[ไม่เป็นไรครับ ผมเข้าใจว่าเวลามีอะไรเข้ามาดึงความสนใจ ก็อาจทำให้ลืมเรื่องที่ไม่ค่อยสำคัญไปได้] ลูเซียนเลิกคิ้วเล็กน้อย ดูเหมือนว่ากำลังจะเริ่มเข้าสู่บทสนทนาที่แท้จริงแล้ว

“คุณเองก็คงมีเรื่องที่สนใจมากถึงขนาดตามหาเบอร์ผมเพื่อคุยกันเป็นการส่วนตัว”

[ผมแค่จะขอเจอคุณหน่อย ไม่ทราบว่าพรุ่งนี้ผมจะแวะเข้าไปที่บริษัทได้หรือเปล่า]

“เราเป็นหุ้นส่วนกัน คุณจะเข้ามาคุยธุระกับผมเมื่อไหร่ก็ย่อมได้”

[บังเอิญว่าเรื่องที่ผมจะคุยไม่เกี่ยวกับธุรกิจน่ะสิครับ] สิ้นเสียงปลายสาย ลูเซียนพังหลังกับพนักเก้าอี้ ยกขาขึ้นไขว่ห้างท่วงท่าสบาย ไม่สะทกสะท้านกับคำพูดประโยคนั้นสักนิด

“ถ้าอย่างนั้น... ผมก็พอจะเดาออก”

[แหงล่ะ ก็คุณเพิ่งทำในสิ่งที่รู้อยู่แล้วว่าผมจะต้องไม่อยู่เฉย ใช่มั้ยล่ะครับ]

สิ่งแรกที่ลูเซียนคิดหลังจากฟังจบคือเรื่องราวซับซ้อนที่เดาไม่ได้ว่าจะจบอย่างไร สัญชาตญาณหวาดระแวงของกรัณย์ที่มีต่ออีวานสรุปว่าถูกต้อง เมื่อเป็นแบบนี้เขาก็ไม่อาจเลี่ยงได้ จึงตอบตกลงไปอย่างมีความพร้อม โดยหลังจากนัดเวลากันเรียบร้อยอีวานก็วางสายไป

ไม่รู้ว่าป่านนี้เจ้าเด็กนั่นทำงานที่สั่งไปถึงไหน เปลี่ยนผ้าม่านคนเดียวเป็นงานใหญ่ คิดว่าอีกเดี๋ยวคงมาขอความช่วยจากเขาแต่ก็ไร้วี่แวว จะไปเสนอตัวก็ไม่ใช่เรื่อง และถ้าเกิดบอกให้ฟังว่าวันพรุ่งนี้อีวานอยากคุยด้วย เขาอาจถูกเจ้าเด็กนั่นซักจนไม่เป็นอันทำงานเลยก็ได้

เวลาผ่านไปไม่นาน ลูเซียนตัดสินใจลุกจากเก้าอี้ กำลังจะเดินออกไปจากห้องแต่กลับได้เสียงจังหวะดนตรีของโทรศัพท์ที่ไม่คุ้นหูซะก่อน ซึ่งเสียงดนตรีสั้นๆ นั้น คงเป็นข้อความเข้าในมือถือของกรัณย์...

ชายหนุ่มไม่ใส่ใจ มาหยุดยืนอยู่ตรงหน้าประตูแล้วกำลังจะคว้าลูกบิด ทว่าจู่ๆ กลับชะงัก นึกลังเลใจอย่างที่ไม่ควรจะเป็น จากนั้นจึงเดินกลับที่โต๊ะทำงาน ทิ้งมารยาทไว้แล้วหยิบมือถือคนอื่นขึ้นมากดหน้าจอดู

‘มาเจอกันหน่อย’


จาก... ไทด์











TBC

อีวานมาแต่เสียง แต่ก็มานะ 555555555  :hao7:
ตอนนี้มีตัวละครใหม่อีกแล้ว เดี๋ยวได้รู้ชื่อแน่ จะมีบทบาทยังไง ต้องรอติดตาม

 

 
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 21:: ไม่อยู่เฉย] UPDATE 15/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 15-06-2018 19:46:45
ตื่นเต้นทุกตอนเลย
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 21:: ไม่อยู่เฉย] UPDATE 15/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: pangham301 ที่ 15-06-2018 19:49:28
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 21:: ไม่อยู่เฉย] UPDATE 15/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 15-06-2018 20:13:28
แง่วววว แล้วที่ลูซถามทิ้งไว้ตอนที่แล้วอ่าาา
อยากรู้ว่าตอบกันยังไง
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 21:: ไม่อยู่เฉย] UPDATE 15/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 15-06-2018 20:16:15
ลงเรือพี่ลู แต่หมั่นไส้พี่ลูมากกกก 555555 ซึนสุดๆ :katai1:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 21:: ไม่อยู่เฉย] UPDATE 15/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: masochism2018 ที่ 15-06-2018 20:40:15
ขอให้น้องส่งข้าวมาดีน้าา แค่นี้ก็อิรุงตุงนังจะแย่
 :mew5:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 21:: ไม่อยู่เฉย] UPDATE 15/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 15-06-2018 20:52:33
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 21:: ไม่อยู่เฉย] UPDATE 15/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 15-06-2018 21:02:12
เริ่มเรื่องเยอะทีนี้ล่ะเหอะๆ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 21:: ไม่อยู่เฉย] UPDATE 15/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: WaterProof ที่ 15-06-2018 22:10:47
ใครคือพระเอก ลุ้น  :ling3:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 21:: ไม่อยู่เฉย] UPDATE 15/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 15-06-2018 22:10:55
อะไรจะพัวพันกันไปหมด เหมือนชื่อเรื่องเลยเหรอ
 :hao7:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 21:: ไม่อยู่เฉย] UPDATE 15/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: La_Pomme ที่ 19-06-2018 20:24:08
บทที่ 22 (50%)
::ทำไมต้องเป็นเขา::





ผมต้องเปลี่ยนผ้าม่านคนเดียวทั้งบ้าน จับถอดจับใส่ผิดๆ ถูกๆ ใช้เวลาไปหลายชั่วโมงกว่าจะรู้เทคนิค พอได้เวลากินข้าวกลางวัน ผมลงมาเห็นเจ้าของบ้านนั่งกินหน้าตาเฉย ไม่มีการเรียกให้ไปกินก่อนหรือถามถึงงานว่าลุล่วงไปถึงไหน ผมคิดว่าเราเริ่มไม่อึดอัดเวลาคุยกันแล้ว เพราะเขาเพิ่งแสดงความเป็นผู้ใหญ่ที่น่านับถือขึ้นมาบ้าง แต่ไหงกลับมาเฉยชาใส่กันอีก อารมณ์ขึ้นๆ ลงๆ ตามประสาวัยกลางคนรึไง

ตกดึกผมเปิดข้อความเจอไทด์ส่งข้อความมาหา บอกว่าพรุ่งนี้ให้ผมไปรอหน้าโรงพยาบาลที่เคยเจอกัน เขาคงมีเรื่องจะคุยกับผมเลยเอาหยุดมานัดเจอ ทำให้ผมต้องตอบรับไปอย่างเลี่ยงไม่ได้ เสร็จเรื่องผมก็โทรไปเล่าให้จ้านฟังเรื่องผลสอบทันที บอกขอโทษที่ทำให้ผิดหวัง เขาอุตส่าห์ช่วยติว คาดหวังกับผมเต็มที่ แต่สุดท้ายกลับสอบไม่ผ่านซะอย่างนั้น

จ้านบอกผมเพียงว่าปีหน้ายังมีโอกาส เรากลับไปแก้ไขอะไรไม่ได้ เสียใจไปก็เปล่าประโยชน์ คำพูดของเขาทำให้ผมนึกถึงเจ้าของบ้านหลังนี้เลย ทุกประโยคที่ได้ยินมันไม่ใช่แค่คำสวยหรู แต่มันทำให้ผมคิดได้จริงๆ

ดูสิ ขนาดผมคุยกับจ้านอยู่ก็ไม่วายไปนึกถึงผู้ชายคนนั้น มันใช่เรื่องมั้ยเนี่ย!

เช้าวันต่อมา ผมบอกลูเซียนก่อนออกจากบ้านว่าจะไปข้างนอกสักพัก เขาไม่พูดอะไรก็เดินขึ้นรถยนต์ไปทำงานซะแล้ว ไม่ห้ามอะไรแปลว่าอนุญาต เขาเป็นคนมีภาพลักษณ์ที่ควรรักษา ผมจะพยายามเข้าใจละกัน

มาถึงหน้าโรงพยาบาลผมก็ยืนรอตามสถานที่นัด เหลือก็แต่คอยเวลาให้อีกฝ่ายมาถึง แดดวันนี้ร้อนยังกับไฟกัลป์ในนรก เมื่อแดดส่งมาถึงผมเลยต้องไปหลบใต้ต้นไม้ที่เยื้องออกไปเล็กน้อย และถ้าเดินไปอีกหน่อยก็จะเป็นป้ายรถเมล์ที่มีฝูงคนจำนวนมากยืนรอรถอยู่ โดยหลังจากนั้นไม่นานก็มีรถมอเซอร์ไซค์มาจอดเทียบตรงริมฟุตปาธที่ผมยืนพอดี

คนขับรถถอดหมวกกันน็อคออก ทำให้เห็นทรงผมสกินเฮดกับใบหน้าคมเข้ม

“มายืนเซ่ออะไรตรงนี้”

“ก็คุณบอกให้รอหน้าโรง’บาล” ผมตอบไทด์ที่กำลังทำหน้าไม่สบอารมณ์

“หมายถึงด้านหน้าโน้น มันมีที่นั่งในร่มอยู่ จะมายืนรอร้อนๆ ทำไม”

“ผมไม่รู้นี่ครับ”

“คงงั้น เพราะที่จริงตรงนี้ไม่ใช่หน้าโรง’บาล แต่เป็นทางเข้าข้างหลังต่างหาก” ผมยืนกระพริบตาปริบๆ ก่อนจะหันไปดูสภาพการณ์โดยรอบ รถเมล์มาส่งผมตรงนี้เลยคิดว่าเป็นหน้าโรงพยาบาลน่ะสิ

“อ้า ก็ว่าทำไมป้ายเล็กจัง” ผมยิ้มกลบเกลื่อนพลางเกาหัวหยิกๆ

“ขึ้นมา”

เป็นคำสั้นๆ ที่ทำให้ผมประหลาดใจ เขาจะให้ผมซ้อนมอเตอร์ไซค์คันนี้น่ะหรอ ลำพังแค่คุยกันก็อึดอัดจะแย่ ถ้าได้นั่งไปกับเขามีหวังตัวเกร็งตลอดทางแน่

“คุณขับรถเข้าไปจอดเถอะครับ เดี๋ยวผมเดินไปเอง”

“มันไกล ไม่งั้นจะชวนขึ้นทำไมเล่า” ผมโดนเขาชักสีหน้าใส่อีกรอบ นึกลังเลใจในขณะที่อีกฝ่ายกำลังสวมหมวกกันน็อค ผมยังไม่ทันตอบตกลงเขาก็สตาร์ทรถราวกับเร่งให้รีบตัดสินใจ จนท้ายที่สุด... ผมก็ยอมขึ้นรถไปแต่โดยดี

ระหว่างหาที่จับให้มั่นคง ไทด์ก็เอี้ยวตัวหันข้างเพื่อพูดบางอย่างกับผม

“ฉันไม่เคยให้ใครซ้อนท้ายมาก่อน ภูมิใจซะด้วย”

สิ้นเสียง รถมอเตอร์ไซค์ก็พุ่งทะยานไปด้วยความเร็ว ไม่ทันให้ผมรู้สึกคล้อยตามคำพูดนั้นก็ถึงที่หมายซะแล้ว ไทด์จอดรถพร้อมล็อคกุญแจแน่นหนา ถอดถุงมือเก็บไว้ใต้เบาะนั่งพร้อมหมวกกันน็อค ก่อนจะหยิบถุงของกินออกมายื่นให้ผม

“เอ้า รับไป” ผมรับมาอย่างงงๆ 

“เรามาทำอะไรที่นี่หรอครับ”

“ฉันจะให้นายรู้เรื่องของฉันบ้าง” ผมขมวดคิ้วเป็นปม และรอฟังในสิ่งที่คนตรงหน้ากำลังจะพูดต่อ “ให้รู้เรื่องของนายฝ่ายเดียวรู้สึกว่ามันไม่แฟร์ อย่างน้อยก็ควรทำอะไรให้นายสบายใจได้ว่าฉันจะไม่เอาความลับของนายไปพูดแน่นอน”

ฟังแล้ว ผมก็เผลอยิ้มออกมา “ไม่เห็นต้องทำขนาดนั้นเลย”

“ฉันมันคนจริงเว้ย ตั้งใจทำอะไรก็ต้องให้ชัดเจน” เขาหนักแน่นกับคำพูดในตอนแรก แต่ประโยคถัดไปกลับอ่อนละมุน “นายจะได้ไม่ต้องมานั่งระแวงฉัน”

“แล้วทำไมต้องเป็นที่โรง’บาลนี้ด้วย”

“ฉันจะพานายไปเจอน้องชาย”

“เอ๊ะ? น้องชายคุณยังไม่ออกจากโรงพยาบาลอีกหรอ” จำได้ว่าวันที่เจอกันในโรงพยาบาลโดยบังเอิญ ไทด์บอกผมว่ามาเยี่ยมน้องชาย พอถามไปว่าเป็นอะไรเขาก็ไม่ยักจะตอบ

“ไปเจอก็รู้เองล่ะน่า”

ไทด์ถือถุงอีกส่วนเดินนำหน้าผมไป เมื่อกี้แอบมองนิดหน่อยเห็นว่าเป็นผลไม้กับของกินกระจุกกระจิบ นึกแปลกใจว่าทำไมถึงซื้อมาเยอะแยะ แต่สงสัยไม่นานก็ได้รับคำตอบ เมื่อเขานำถุงเหล่านั้นยื่นให้กับเหล่าพยาบาลและคุณหมอท่านหนึ่งในทันทีที่เดินเข้าไปยังอาคารผู้ป่วยใน

“นี่ครับป้า” ถัดมาก็ยื่นให้ถึงเตียงผู้ป่วยอีกสองคนในห้องนอนรวม “เพิ่งเข้าหน้าลิ้นจี่พอดี ผมเลือกแต่พวงสวยๆ มาให้ทั้งนั้น ถ้าเกิดชิมดูแล้วชอบวันหลังผมจะซื้อมาฝากอีก”

ไทด์ยิ้มแย้มแจ่มใส ผมเคยเห็นตอนเขาร่าเริงแบบนี้ตอนหยอกล้อกับพนักงานในไนต์คลับ ตอนนั้นเขาดูกวนๆ มีความขี้แกล้ง แต่พออยู่กับผู้ใหญ่เขากลายเป็นคนน้อมนอบ มีมารยาทและยิ้มเก่ง

เมื่อเดินมาถึงเตียงผู้ป่วยที่อยู่ด้านในสุดของห้อง ผมเห็นชายคนหนึ่งนอนให้น้ำเกลือพร้อมสายระโยงระยางเต็มไปหมด เขาสวมหมวกไหมพรมสีเทาปกปิดผมที่ถูกโกนทิ้ง สีหน้าไร้ความรู้สึก ร่างกายซูบเล็กน้อย ผมเดินเข้าไปใกล้เพราะเห็นว่าเขากำลังลืมตาอยู่ แต่ก็ไม่พบว่าแววตานั้นจะมีปฏิกิริยาใดใด   

“เขาชื่อท็อป อายุเท่านาย” ไทด์เอ่ยอยู่ด้านหลังผม

“เขานอนอยู่แบบนี้มานานแค่ไหนแล้วครับ”

“5 ปีกว่าได้”

“อ่า... ไม่แปลกที่คุณจะรู้จักหมอกับพยาบาลที่นี่ทุกคน” ในใจผมนึกเวทนาแต่ไม่แสดงอาการออกมา เพราะไทด์คงรู้สึกเสียใจกับเรื่องของน้องชายมากพอแล้ว ผมเลยตั้งใจพูดติดตลกเพื่อที่เขาจะได้ไม่รู้สึกแย่

“เวลาฉันทำงาน ก็ได้พวกเขาคอยดูแลท็อปให้ ถึงเป็นเพราะหน้าที่ฉันก็อยากขอบคุณ... เพราะมีพวกเขาน้องชายฉันถึงอยู่มาได้นานขนาดนี้” ผมเข้าใจในสิ่งที่ไทด์พูด และยังดีใจแทนท็อปที่มีพี่ชายที่ดูจะรักเขามาก

“ผมถามได้มั้ยว่าเขาเป็นอะไร”

“เลือดคลั่งในสมองเพราะโดนของแข็งกระทบอย่างแรง ท็อปเฉียดตายไปหลายครั้งก็ได้คุณหมอช่วยยื้อชีวิตให้ ตอนนี้เขาช่วยเหลือตัวเองไม่ได้เลย จะตอบสนองแค่ดวงตา ที่ทำให้รู้ว่าเวลาไหนเขาหลับและเวลาไหนกำลังตื่นอยู่”

เป็นอย่างนี้นี่เอง ตอนนี้ท็อปลืมตาก็แสดงว่าเขาอาจได้ยินเรื่องที่พวกเราพูดกันสินะ

“หวัดดี ฉันชื่อรัณย์นะ” ผมนั่งลงข้างๆ เขา พยายามพูดด้วยน้ำเสียงเบาแต่ชัดถ้อยชัดคำ “เห็นพี่ชายนายบอกว่าเราอายุเท่ากัน ถ้างั้น... นายเพิ่มฉันเป็นเพื่อนอีกซักคนได้หรือเปล่า ความจริงฉันไม่ค่อยมีเพื่อนเท่าไหร่ ให้ฉันแวะมาเยี่ยมนายบ้างคงไม่เป็นไรใช่มั้ย เห็นมีแต่พี่ชายมาเยี่ยมฉันกลัวว่านายจะเบื่อหน้าเขาแล้วน่ะสิ”

“ให้มันน้อยๆ หน่อย”

ผมหันไปมองคนทำน้ำเสียงดุ และก็เป็นอย่างที่คิด ไทด์กำลังเขม็งตาใส่ผมอยู่ แต่ที่น่าแปลกใจคือหลังจากนั้นเขากลับยิ้มออกมา แม้จะเป็นเพียงเสี้ยวเล็กๆ ตรงมุมปาก มันก็เป็นภาพที่ผมไม่คิดว่าจะได้เห็น

รอยยิ้มละมุนละไม ทำให้ใบหน้าเข้มกับท่าทางโหดๆ ของเขาหายไปในพริบตา...

“เรื่องเกี่ยวกับคุณที่จะเล่าให้ผมฟัง ก็คือเรื่องของน้องชายหรอครับ”

“ฉันไม่เคยพูดถึงท็อปกับใคร จะมีก็แต่อาจักรกับบอสที่รู้เรื่อง” อ้า สองคนนั้นเอง “ฉันก็ไม่ได้อยากปิดบังอะไรหรอกนะ... แต่แค่ละอายใจเวลาที่ต้องบอกว่ามันคือความผิดของฉัน”

“ความผิดของคุณ?” ผมไม่เข้าใจว่าทำไมเขาถึงพูดแบบนั้น

ไทด์เล่าให้ผมฟังว่าหลายปีก่อนหน้าที่น้องชายจะประสบภัยร้าย เขาเคยใช้ชีวิตเหลวแหลก อยู่กับกลุ่มเพื่อนอันธพาล กินเหล้าสูบบุหรี่ ไม่ยอมหางานทำ ได้แต่รับงานใต้ดินกับทำเรื่องผิดกฎหมายไปเรื่อย ตอนนั้นเขาเข้าออกโรงพักเป็นว่าเล่น จนชีวิตตกต่ำถึงขีดสุด ต้องไปรวมตัวกับเพื่อนเพื่อชิงทรัพย์เล็กๆน้อยๆ จากคนอื่น

ระหว่างนั้นท็อปกำลังเรียนอยู่มัธยมปลาย มีผลการเรียนและพฤติกรรมดีเด่นจนได้รางวัลมานับไม่ถ้วน ท็อปอาศัยอยู่บ้านเช่าเพียงลำพังเนื่องจากพ่อและแม่เสียชีวิตไปตั้งแต่เด็ก ส่วนค่าใช้จ่ายในบ้านกับค่าเล่าเรียนไทด์จะเป็นคนโอนไปให้เสมอ โดยที่ท็อปไม่เคยรู้ว่าพี่ชายทำมาหากินอะไรเพราะไม่เคยกลับมาบ้าน

จนอยู่มาวันหนึ่งไทด์ได้ข่าวเรื่องน้องชายถูกกลุ่มอันธพาลจี้ชิงทรัพย์ แต่เพราะขัดขื่นไม่ยอมให้พวกมันเอาเงินที่จะจ่ายค่าเทอมไป ทำให้อีกฝ่ายกระหน่ำใช้ไม้เบสบอลทุบตีจนบาดเจ็บสาหัส เขาคลุ้มคลั่งเอาแต่โทษตัวเองที่ทำกับคนอื่นไว้เยอะ กรรมมันจึงไปตกอยู่กับน้องชายเขาแทน เวลานั้นไทด์จมอยู่กับความเครียดจนคิดถึงขั้นว่าถ้าท็อปเป็นอะไรไป เขาก็จะตายตามเช่นกัน

โชคดีที่จักรพงษ์เพื่อนสนิทของพ่อไทด์กับท็อปยื่นมาเข้ามาช่วย ช่วยจ่ายค่าผ่าตัดและแนะนำงานให้กับไทด์ แน่นอนว่าเขาตกลงทันที โดยตั้งเป้าหมายว่าจะทำงานหาเงินมารักษาท็อปให้หายดี

เขาเปรียบน้องชายเหมือนกำลังใจอันแกร่งกล้าที่สามารถช่วยทำให้เขาอดทนต่อไปจนกว่าสองพี่น้องจะได้พบกันอีกครั้ง เรียกได้ว่าน้องชายเป็นผู้ที่เปลี่ยนแปลงชีวิตเขาไทด์อย่างแท้จริง ทำให้เขาเป็นคนใหม่ พยายามเลิกบุหรี่และอาการติดเหล้าอย่างหนัก หันหลังให้กับชีวิตบัดซบอย่างที่ผ่านมา

ผมเพิ่งรู้ว่าลูเซียนเองก็เป็นบุคคลหนึ่งที่เป็นส่วนทำให้ชีวิตของไทด์มาถึงจุดนี้ ช่วยเรื่องหน้าที่การงานและยังช่วยเรื่องค่ารักษาพยาบาลของท็อปในยามที่ต้องผ่าตัดใหญ่ ด้วยเหตุนี้ลูเซียนจึงเป็นดั่งผู้มีพระคุณ ไม่ว่าต้องการให้ทำอะไรไทด์ก็ไม่เคยขัดข้อง อย่างตอนที่บอกให้สอนงานผม เขาก็ตัดสินใจทำตามคำสั่งแม้ในใจจะคัดค้าน

หลังจากฟังจบ ผมมีคำพูดหนึ่งที่อยากบอก...

“ท็อปโชคดีที่มีพี่ชายอย่างคุณ”

ไทด์ขมวดคิ้วพลางหันหน้ามามอง “เมื่อกี้นายไม่ได้ฟังฉันเล่าเลยใช่มั้ย”

“ก็คุณไม่ได้ทิ้งเขานี่ครับ” ผมจ้องกลับพร้อมยิ้มให้อย่างจริงใจ แต่สบตากันได้แปบเดียวเขาก็หันหน้าหนีไปทางอื่นก่อน “เอาน่า... รู้สึกผิดช้าไปยังดีกว่าไม่สำนึกนะครับ คุณยอมเปลี่ยนแปลงตัวเองตั้งมากมายเพื่อน้องชาย ถ้าเป็นคนอื่นจะทำได้ขนาดนี้หรอ”

“หึ... ทำพูดเข้า”

“ได้ยินคุณเล่าเรื่องในอดีตแล้ว เล่นเอาคนจำความไม่ได้อย่างผมอิจฉาไปเลย อย่างน้อยคุณก็มีความทรงจำที่ดีและไม่ดีมาเป็นประสบการณ์ในชีวิต ส่วนผม... กลับจำได้อย่างเดียวว่าเคยเป็นยังไงในสายตาคนอื่น”

มีหลายคนไม่ชอบขี้หน้า เป็นเครื่องยืนยันได้ดีว่าผมเคยทำตัวแย่แค่ไหน ก่อเรื่องอะไรไว้ก็ต้องยอมรับกับมัน แต่ที่ยังหลุดไปไม่ได้สักทีอาจเป็นเพราะผมยังมีพันธะบางอย่าง ที่ต่อให้อยากเปลี่ยนแปลงยังไงก็สลัดมันไม่ได้ง่ายๆ

“วันนั้นนายเชื่อเรื่องที่ฉันโกหกเรื่องแผลเป็น ไม่รู้หรอกนะว่ามันทำให้นายรู้สึกแย่แค่ไหน แต่หลังจากคิดดูแล้ว ฉันก็ตัดสินใจว่าจะเล่าเรื่องของตัวเองให้นายฟังบ้าง”

“ทำไมล่ะครับ”

“นายจะได้รู้ว่าไม่ได้มีแค่นายที่กำลังเผชิญปัญหาอยู่ ไม่ว่าใครก็มีโอกาสเจอเรื่องแย่ๆ กันได้ทั้งนั้น แค่ต้องจำไว้ว่ามันไม่ใช่จุดจบในชีวิต ถ้าพอมีอะไรที่ทำให้นายก้าวต่อไปได้ก็จงทำมันซะ ลงมือให้เต็มที่ จะได้ไม่เสียใจภายหลัง”

จากใจคนที่เคยโดนชายคนนี้พูดจาแดกดันมาตลอด ผมไม่เคยชิงชังกับอคติที่เขาเคยมีต่อผม แต่แค่อยากให้เปิดใจเรียนรู้กันใหม่อีกครั้ง ผมคิดว่าจะไม่มีวันนั้นซะแล้ว จนเมื่อครู่ที่ได้ฟังไทด์แนะนำการใช้ชีวิต ผมรู้สึกดีใจอย่างบอกไม่ถูก เพราะการได้รู้จักเขามากขึ้น ทำให้ผมมองเห็นถึงมิตรภาพที่ไม่เลวเลย

“ว่าแต่... ไอ้อาการความจำเสื่อมเนี่ย มันจะเปลี่ยนนิสัยคนจากหน้ามือเป็นหลังมือได้ขนาดนี้เชียว ไม่ใช่ว่านายมีฝาแฝดหรอกนะ” เห็นได้ชัดว่าไทด์จงใจเปลี่ยนเรื่อง ทำเหมือนเพิ่งรู้สึกตัวว่าพูดในสิ่งที่ทำให้ผมประหลาดใจไปงั้นแหละ

“หรือไม่ก็อาจเป็นวิญญาณที่ตายไปแล้วมาสิงสู่” จริงๆ ผมไม่รู้หรอกว่าเป็นเพราะอะไร ที่พูดไปก็แค่อยากรับมุกเฉยๆ “พาผมไปสำนักหมอผีดีมั้ยครับ เขาจะได้ช่วยดูให้”

“รับมุกก็เป็น” ไทด์พูดจบ เราสองคนก็หัวเราะขึ้นมาพร้อมกันอย่างลืมตัว

“ไหนๆ เราก็รู้จักกันมากขึ้นแล้ว ผมจะขอเรียกคุณว่า ‘พี่’ ได้มั้ยครับ”

ถ้าให้พูดถึงความรู้สึกตอนนี้ เอาตรงๆ ผมก็เขินเหมือนกันนะ แบบว่าตื่นเต้นหน่อยๆ ไม่กล้าสบตา สิ่งที่ผมคิดคืออยากเรียกเขาเหมือนรุ่นน้องคนอื่นๆ ในไนต์คลับ เพราะหลังจากนี้เรายังต้องทำงานด้วยกัน มันก็แน่นอนว่าผมอยากสนิทกับเขามากกว่าโดนเขม่นใส่อยู่แล้ว

ไม่รู้ว่าไทด์จะมองผมเป็นเหมือนน้องคนหนึ่งได้หรือเปล่า 


“ความจริง... มีน้องชายเพิ่มอีกคนก็ไม่เสียหลาย”











TBC

ขอแบ่งลงครึ่งตอนน้า พอดีพาร์ทที่เหลือมันต้องปรับแก้นิดหน่อย
เดี๋ยวพรุ่งนี้มาต่อให้แน่นอนจ้า ^^

หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 22 (50%):: ทำไมต้องเป็นเขา] UPDATE 19/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 19-06-2018 20:55:36
จะถูกรู้ความลับไหมล่ะนั่น
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 22 (50%):: ทำไมต้องเป็นเขา] UPDATE 19/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 19-06-2018 21:00:50
อยากให้ท็อปหายจัง สงสารน้อง  :hao5:
เรื่องนี้เดาอะไรไม่ได้เลยจริงๆ คือเดาไปออกว่าจะไปในทิศทางใหน เนื้อเรื่องจะไปยังไง และใครพระเอก ลุ้นตรงนี้สุดๆค่ะ แม้ใจจะเอียงไปทางพี่ลูมากหน่อยก็ตาม  :laugh:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 22 (50%):: ทำไมต้องเป็นเขา] UPDATE 19/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 19-06-2018 21:42:01
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 22 (50%):: ทำไมต้องเป็นเขา] UPDATE 19/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: ANIKI. ที่ 19-06-2018 22:12:48
ต่อไปจะเป็นยังไง รอจ้า
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 22 (50%):: ทำไมต้องเป็นเขา] UPDATE 19/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 19-06-2018 22:17:00
มานั่งรอ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 22 (50%):: ทำไมต้องเป็นเขา] UPDATE 19/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 19-06-2018 23:08:52
ชีวิตคนเราก็มีหลายมุมนะ แต่ว่าจะทำอย่างไรให้ผ่านไปด้วยดีนี่สิ
สู้ๆ นะ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 22 (50%):: ทำไมต้องเป็นเขา] UPDATE 19/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: masochism2018 ที่ 20-06-2018 00:59:04
รอค่า  :3123:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 22 (50%):: ทำไมต้องเป็นเขา] UPDATE 19/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 20-06-2018 09:35:52
รัณย์มีพี่ชายแล้ว  :katai2-1:
ส่วนไทด์ ก็มีน้องชายเพิ่มอีกคนหนึ่ง
ว่าแต่สัมพันธภาพนี้จะไม่เปลี่ยนไปใช่ไหม สำหรับไทด์  :hao3:

ลูเซียน มีการเปลี่ยนแปลงด้านอารมณ์ ความรู้สึกกับรัณย์บ้างแล้ว
แล้วอีวาน ก็ติดต่อลู อย่างที่รัณย์คิดไว้จริงๆ
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 22 (50%):: ทำไมต้องเป็นเขา] UPDATE 19/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: La_Pomme ที่ 20-06-2018 21:43:44
บทที่ 22 (100%)
::ทำไมต้องเป็นเขา::




**

เป็นครั้งแรก ที่อีวานมีโอกาสเข้ามาสำรวจห้องทำงานของลูเซียนในฐานะหุ้นส่วนทางธุรกิจ หนุ่มลูกครึ่งกวาดสายตาไปทั่วโดยไม่แตะต้องสิ่งของให้เป็นการเสียมารยาท เขารู้สึกได้เลยว่าบอสใหญ่แห่งซีเอ็กซ์ เอ็นเตอร์ไพร์สมีไลฟ์สไตล์ที่สุขุมนุ่มลึก แฝงไปด้วยความละเอียดอ่อน ยิ่งรู้ว่าสถานที่บางส่วนในบริษัทถูกดีไซน์โดยชายคนนี้ เจ้าพ่ออสังหาฯอย่างอีวานก็ดูจะทึ้งกับความมีศิลปะและเปี่ยมไปด้วยความทรงพลังของผู้ออกแบบไม่น้อย

“ห้องทำงานดูดีนะครับ รสนิยมของคุณใช้ได้เลย”

“ผมไม่ได้มีบริษัทใหญ่โตบนตึกระฟ้าเหมือนคุณ ถ้าเปรียบเทียบกันห้องของผมคงธรรมดามาก” ลูเซียนเอ่ย

“หึ... ถ่อมตัวซะจริง” ว่าแล้วชายหนุ่มก็นั่งลงบนโซฟาที่มีไว้สำหรับรับแขก

“สองสามวันหลังจากนี้ผมจะเริ่มจัดการประชุมเพื่อวางแผนงานสำหรับธุรกิจคาสิโนในมาเก๊า จากนั้นก็ส่งต่อให้บริษัทคุณวางโครงสร้างและดำเนินการทันที ระยะนี้มีนักลงทุนรายใหญ่จับจ้องอยู่ หากได้รับความสนใจ เงินหมุนเวียนอาจจะเพิ่มเป็นหลายพันล้าน” ลูเซียนพูดถึงเรื่องที่ทำการสำรวจมา ยิ่งสำเร็จเร็วก็จะเป็นผลดีต่อธุรกิจที่กำลังเติบโต

“แปลว่าช่วงนี้คุณก็ไม่ค่อยว่างน่ะสิ” อีวานเอ่ยอย่างอารมณ์ดี

“คุณกลับมาคราวนี้ก็คงมีเรื่องที่ต้องทำเหมือนกัน”

“นิดหน่อยครับ พอดีว่าเรื่องยุ่งๆ ในฮ่องกงทำให้ผมอยากพักผ่อนสมอง ก็อย่างที่คุณรู้ว่าการถูกก่อกวนจากศัตรูทางอำนาจมันต้องใช้วิธีตาต่อตา ฟันต่อฟัน ลูกน้องผมถูกลอบยิงไปหนึ่งคนก็ต้องทำให้ฝ่ายนั้นชดใช้อย่างสาสม”

อีวานถือเป็นผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งในฮ่องกง จึงไม่แปลกที่จะมีมาเฟียตระกูลเก่าแก่คอยจับตา หากล้ำเส้นกันเพียงนิดก็อาจเสี่ยงต่อการเผชิญหน้าจนถึงขั้นนองเลือด วงการนี้มีอันตรายรอบด้าน ศัตรูทั่วทิศ เมื่อเลือกที่จะพาตัวเองไปพัวพันกับโลกสีเทาแล้วก็ต้องคอยระแวดระวงตัวเองอยู่ตลอด

“ทุกอย่างเรียบร้อยดีใช่มั้ยครับ” ลูเซียนเอ่ยถาม

“เรียกได้ว่าสมบูรณ์แบบ” อีวานยิ้มออกมาจากใจ ก่อนจะว่าต่อ “อันที่จริง ไปฮ่องกงคราวนี้ถ้าไม่ติดว่าต้องเสี่ยงกับเรื่องอันตรายผมคงพารัณย์ไปด้วยแล้ว... มานึกเสียดายอีกทีก็ตอนที่รู้ว่าเขาไม่ได้เป็นเด็กดีตามที่สั่งไว้”

ดูอีวานจะตั้งใจให้ลูเซียนรู้ว่าก่อนหน้านี้พวกเขาเคยคุยอะไรกัน

“ถ้าคุณรู้จักเขาอีกสักนิด ก็จะเข้าใจเอง”

“ว้าว~ น่ายินดีที่เราเข้าเรื่องกันได้สักที... เพราะคุณคงรู้อยู่แล้วว่าผมตั้งใจมาคุยเรื่องอะไร” บรรยากาศในห้องเปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน เมื่อต่างฝ่ายต่างมีหัวข้อสนทนาใหม่

“นึกไม่ถึงว่ารัณย์จะกลายเป็นเรื่องสำคัญถึงขนาดทำให้คุณมาหาผมถึงที่นี่”

“รัณย์เป็นคนของผม... การเห็นเขาไปอยู่กับคนอื่น ผมควรทนเฉยหรอครับ” อีวานพูดโดยปราศจากชั้นเชิงใดใด แม้จะเป็นที่น่าแปลกใจสำหรับลูเซียน แต่ในเมื่ออีกฝ่ายพูดตรงๆ แล้ว เขาก็จะไม่อ้อมค้อมเหมือนกัน

“ผมคิดว่าคนเรามีสิทธิ์ที่จะเลือกอยู่กับใครก็ได้”

“แต่ไม่ใช่กับคนที่ผมต้องการ” เจ้าพ่ออสังหาฯ กล่าวอย่างหนักแน่น “รัณย์เคยเสนอตัวให้ผมเพื่อช่วยคุณ หรือด้วยเหตุผลอะไรผมไม่สนใจ แต่ถ้าคิดจะดึงเขากลับไปทั้งๆ ที่คุณเป็นคนส่งตัวเขาให้ผมเอง แบบนั้นผมคงรับไม่ได้ ในเมื่อคุณปล่อยมือเด็กคนนั้นไปแล้ว ต่อให้เขาเป็นฝ่ายมีใจให้คุณมันก็ไม่ได้แปลว่าผมควรถอย... อย่าทำให้ผมรู้สึกว่าเขาเป็นเพียงเด็กคนหนึ่งที่คุณมีไว้เพื่อหาประโยชน์เลยครับ จากใจคนที่ไม่เคยเห็นใครเป็นของตายอย่างผม มันรู้สึกทนไม่ได้จริงๆ”

“คุณคงคิดแบบนี้เพราะคนที่รัณย์พัวพันด้วย ล้วนแต่เกี่ยวข้องกับธุรกิจของผม” ลูเซียนถามกลับ

“จะเป็นเรื่องจริงหรือไม่มันไม่มีผลอะไรหรอกครับ เพราะตอนนี้ผมคิดแต่เรื่องของรัณย์เท่านั้น”

“น่าประหลาดใจที่ผมได้ยินคำพูดนี้จากปากคุณ”

ลูเซียนอ่านแววตาของอีวานไม่ออก ใจเชื่อครึ่งไม่เชื่อครึ่ง หากพูดเรื่องจริงก็นับว่าไม่ธรรมดาในสายตาคนอื่น เพราะอีวานไม่เคยตามตอแยใคร แสดงความสนใจได้เพียงข้ามคืนก็ทิ้งขว้าง ไร้ซึ่งข้อผูกมัดใดใด เขามักเปลี่ยนคู่นอนต่อสัปดาห์ หรืออาจน้อยกว่านั้นแต่ไม่มีมากไป และไม่ใช่คนที่จะใช้คำว่า ‘คนของผม’ พร่ำเพรื่อ แต่ถึงขั้นลักพาตัวโดยที่อีกฝ่ายไม่เต็มใจ คงเป็นสิ่งที่เขาไม่เคยทำมาก่อนแน่นอน จะว่าหลงเสน่ห์เด็กหนุ่มที่พึ่งรู้จักกันไม่นานก็น่าเหลือเชื่อเกินไป เพราะอีวานใช่ว่าจะผ่านโลกมาน้อย แค่มองแวบเดียวก็น่าจะรู้ว่ากรัณย์ไม่ได้สดใสบริสุทธิ์

หรืออาจเป็นไปได้ว่าอีวานคือคนจำพวกยอมแพ้ไม่เป็น ยิ่งอีกฝ่ายวิ่งหนีเขาก็ยิ่งอยากเอาชนะ แล้วไหนจะมีลูเซียนเข้ามาเกี่ยวข้องอีก ถ้าหลีกทางตอนนี้เขาอาจโดนตราหน้าว่าเสียคนให้กับบอสใหญ่แห่งซีเอ็กซ์ เอ็นเตอร์ไพร์สไปง่ายๆ อะไรทำนองนั้น     

“ผมพูดกับคุณเปิดอกแล้ว หวังว่าจะเข้าใจไม่ยาก”

“อยู่ๆ คุณก็ดูจะหลงเด็กคนนั้นขึ้นมา หากให้เข้าใจทันทีคงไม่ถูกนัก... คุณหาว่าผมให้เขาอยู่ข้างกายเพื่อใช้งาน ผมก็อดคิดไม่ได้ว่าคุณเองก็อาจจะมีจุดประสงค์อะไรแอบแฝงเหมือนกัน” ลูเซียนวิเคราะห์ในสิ่งที่อาจเป็นไปได้ หรือเรียกได้ว่าคาดการณ์ไปตามเหตุและผล “คุณจะหาใครที่ดีกว่านี้ก็ได้... ทำไมต้องเป็นเขา”

อีวานยิ้มกว้าง สีหน้าเปล่งประกายราวกับมีคนพูดถูกใจ

“ถ้าจะให้เข้าใจก็คือ...” อีวานทำบรรยากาศให้เงียบลง รอดูความสงบเยือกเย็นของลูเซียนโดยไม่ละสายตา ถ้าได้เห็นอีกฝ่ายแสดงอาการอยากฟังกว่านี้คงจะดี แต่ดูเหมือนจะเป็นเขาต่างหากที่อยากจะพูดให้ลูเซียนรู้เต็มแก่ “ผมเซ็นสัญญากับคุณเพราะรัณย์”

ลูเซียนขมวดคิ้วหนาอย่างที่อีวานไม่คิดว่าจะได้เห็น

“คุณคงมีเหตุผลที่ฟังขึ้น”

“แน่นอนครับ ผมเคยเจอรัณย์มาก่อนที่เราจะเจอกัน... เนี่ยแหละเหตุผล” อีวานกล่าวได้ลื่นไหล ไม่มีท่าทีสะทกสะท้านแต่อย่างใด “เรื่องธุรกิจที่คุณเสนอมาตอนนั้นผมสนใจจริงๆ ในทางกลับกัน ถ้ารัณย์เสนอว่าจะมอบตัวเองให้ผมเพื่อแลกกับการไม่ให้เซ็นสัญญา ผมก็จะไม่เซ็น... แต่โชคดีที่เขาเสนอไปในทางเดียวกับผม เพราะอย่างนั้นเราถึงได้เซ็นสัญญาร่วมกันไงครับ”

หากอีวานรู้จักกรัณย์ก่อนหน้านั้น ก็แปลว่าลูเซียนโดนตบตาให้เข้าใจว่าอีวานไม่เคยเจอกรัณย์มาก่อน ที่ให้ช่วยแนะนำชื่อต่างๆ นานาเป็นเพียงการแสดงทั้งหมด อีวานตั้งใจทำแบบนี้ไปเพื่ออะไร

“แล้วทำไมตอนแรกคุณถึงทำเป็นไม่รู้จักเขา หรือเวลาที่คนอย่างคุณอยากได้ใครก็ต้องใช้คนกลาง” ลูเซียนไม่อ้อมค้อม ซัดคำถามอย่างหนักแน่น

“รัณย์ไม่รู้จักผมนี่ครับ แถมตอนนั้นผมก็เพิ่งรู้ว่าพวกคุณรู้จักกัน ใช่ว่าอยู่ๆ ผมจะเจรจาธุรกิจกับคุณเพื่อเข้าหาเด็กคนนั้นซะเมื่อไหร่” ว่าแล้วอีวานก็พยายามนึกอะไรบางอย่าง “ตอนแรกผมตั้งใจจะตามหารัณย์ แต่คืนนั้น... อยู่ๆ เขาก็ปรากฏตัวต่อหน้าผม ภาษาไทยเรียกว่าอะไรนะ... พรหมลิขิตใช่มั้ย ใครจะไปคิดว่านอกจากได้เซ็นสัญญากับคุณแล้ว ผมยังได้ตัวเขาอีก”

อีวานเน้นประโยคหลังอย่างจงใจ

“คุณเคยเจอรัณย์ที่ไหน” ลูเซียนถามเสียงเข้ม

“ผมไม่จำเป็นต้องตอบคุณมั้งครับ”

“เห็นพูดมาถึงขนาดนี้ ผมเลยคิดว่าคุณคงไม่อยากปิดบังอะไรแล้ว”

“ที่จะพูดคือ... ผมไม่มีทางปล่อยเขาไป” เจ้าของนัยน์ตาสีฟ้ากล่าวอย่างจริงจัง เขามองลึกหยั่งเชิงลูเซียนโดยไม่หลบตา และหากนี้คือสงครามเย็นที่กำลังก่อตัว แม้มั่นใจว่าแยกเรื่องงานออกจากกันได้ก็ไม่น่าวางใจ เพราะถ้าอีวานกล้าเอากรัณย์อยู่เหนือทุกอย่าง ก็แปลว่าเจ้าตัวพร้อมจะเสียอะไรก็ได้... ยกเว้นเด็กคนนั้น 

“น่าเสียดายที่เขาไม่ต้องการคุณ” ลูเซียนเอ่ย

“แล้วคุณต้องการเขาหรอครับ”

“เขาพอใจที่จะเป็นคนของผม” เป็นคำตอบที่ทำให้อีวานแสยะยิ้ม

“คุณควรรู้ว่าผมไม่อยู่เฉยแน่”

“ผมก็เหมือนกัน”

ลูเซียนตอบกลับแทบจะทันที จากที่เคยคิดว่านักธุรกิจเชื้อชาติไต้หวันคนนี้อาจเป็นอุปสรรคใหญ่หลวง อีวานเริ่มรู้สึกได้เดี๋ยวนี้เองว่าคิดไม่ผิด ท่าทางหนักแน่นไม่หวาดหวั่นต่ออะไร เขานับถือการตรงไปตรงมาของลูเซียน แต่ถ้าจะต้องหาวิธีให้กรัณย์มาอยู่ในความดูแล เขาก็ควรทำให้เด็กคนนั้นหยุดคิดถึงเรื่องของชายคนนี้ซะก่อน

เสียงข้อความในมือถืออีวานดัง เจ้าตัวหยิบมันขึ้นมาอ่านเพียงชั่วครู่ก็เผยยิ้ม เขาดูสบายใจในขณะที่อีกฝ่ายเริ่มอึดอัด จากนั้นอีวานก็หยิบของบางอย่างออกจากกระเป๋าเสื้อสูทก่อนจะยื่นไปให้ลูเซียน

“เผื่อคุณสนใจ”

บอสใหญ่รับของที่มีลักษณะเป็นซองจดหมายมา เมื่อเปิดดูก็พบว่ามันคือการ์ดเชิญเข้าร่วมงาน ‘ประมูลวัตถุโบราณ’ ที่กำลังจะจัดขึ้นในไม่ช้า...


**













TBC.

 

 
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 22 (100%):: ทำไมต้องเป็นเขา] UPDATE 20/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 20-06-2018 22:07:35
อร๊าย ซับซ้อนอ่าาา
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 22 (100%):: ทำไมต้องเป็นเขา] UPDATE 20/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: pe-ar ที่ 20-06-2018 23:23:34
ตอนแรกก็เชียร์แอิวานแหละ พอสักพัก อิวานไม่อยู่เลย มาเทใจให้ลูเซียน  แต่พออิวานกลับมาเท่านั้นบ่ะ เหมือนเขามาทวงจริงๆ5555 เอนเอียงมาหาอิวานอีกละ  เนี่ยยยงง คือนายเอกนี่สวยมากกกดด ยังหาพระเอกไม่เจอเลย
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 22 (100%):: ทำไมต้องเป็นเขา] UPDATE 20/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 21-06-2018 02:03:53
 :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 22 (100%):: ทำไมต้องเป็นเขา] UPDATE 20/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 21-06-2018 02:14:57
สับสนแหะ เดาไม่ถูกว่าใครเป็นพระเอกระหว่างพี่ลูกับอีวาน  :katai5:
พี่ลูสู้เขานะะะ พี่ลูต้องหัดอ่อนหวานกับรัณย์บ้างนะไม่ใช่เอาแต่ซึน 55555
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 22 (100%):: ทำไมต้องเป็นเขา] UPDATE 20/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: masochism2018 ที่ 21-06-2018 02:33:59
อีวานคัมแบคอย่างหล่ออะ พระรองแน่5555555555
เชียร์ทั้งคู่ แต่เอียงไปทางพี่ลูหน่อยเพราะซีนเยอะ  :hao7:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 22 (100%):: ทำไมต้องเป็นเขา] UPDATE 20/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 21-06-2018 02:35:18
นี่ว่ารัณแอบเทใจให้ลูอะ แต่เกมส์อาจพลิกให้อีวาน555555แอบเชียร์อีวาน
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 22 (100%):: ทำไมต้องเป็นเขา] UPDATE 20/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 21-06-2018 06:53:07
แอบนึกถึงทรูสตาร์ หนุ่มๆ เยอะจนเลือกไม่ถูกแบบนี้เลย
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 22 (100%):: ทำไมต้องเป็นเขา] UPDATE 20/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 21-06-2018 12:48:35
อีวาน!
อีวาน!
อีวาน!
พระรองขั้นเทพที่เราต้องการต้องแบบเน้
ได้กินนายเอกก่อน แล้วก็มาไฟท์ติ้ง อยากได้ๆๆ จะเอาๆๆ โต้งๆ ให้ลุงลู กระอักเลือดดดดด

กดบวกขอบคุณ รีเควรสขออิวานเยอะๆ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 22 (100%):: ทำไมต้องเป็นเขา] UPDATE 20/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 27-06-2018 20:25:08
วันนี้จะมาไหมคะ รออ่านอยู่น๊า  :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 22 (100%):: ทำไมต้องเป็นเขา] UPDATE 20/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 28-06-2018 01:14:32
เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนใจ อิวานเท่านั่นค่ะ  ไม่ถูกจริตกับตาลู่ เชียร์ต้นยันอวสานถ้าไม่ใช้พระเอกคู่รันย์ก็ไม่เป็นไรนายเป็นพระเอกในใจฉัน
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 22 (100%):: ทำไมต้องเป็นเขา] UPDATE 20/06/61
เริ่มหัวข้อโดย: La_Pomme ที่ 01-07-2018 20:48:04
บทที่ 23
::ลักพาตัว::




ขณะนั่งอยู่ในห้องผู้ป่วย ไทด์พูดเรื่องของผมให้ฟังเยอะแยะ บอกว่าเจอผมครั้งแรกเมื่อสามปีก่อน ตอนนั้นผมมานั่งดื่มเหล้ากับผู้ชายคนหนึ่ง จากลักษณะที่เล่าผมเดาว่าน่าจะเป็นติณณ์ไว้ก่อน เพราะเป็นลูกค้าประจำและดูสนิทสนมกับผมมาก หลังจากนั้นไม่นานผมก็เป็นที่รู้จักของพนักงานในฐานะแขกวีไอพีของลูเซียน วันไหนที่ลูเซียนมาคลับก็จะเห็นผมทุกครั้ง พอผมถามว่าทำไมถึงเป็นอย่างนั้น ไทด์ก็บอกได้แค่ไม่รู้ละเอียด แต่ทุกคนคิดกันไปแล้วว่าผมเป็นคนของลูเซียน

ช่วงแรกไทด์บอกว่าผมยังทำตัวธรรมดา ไม่ได้มากเรื่อง แต่พอไม่ทำตัวติดลูเซียนไปมีความสัมพันธ์ลับๆ กับเศรษฐีคราวพ่อ เวลามาคลับทีไรผมจะมีปัญหาตลอด ไม่พอใจอะไรก็โวยวาย ทำพนักงานทุกคนปวดหัวไปหมด บางคนถึงกับพูดกันว่าผมโดนลูเซียนทิ้งก็เลยจะเอาคืน มันจึงเป็นที่รู้กันว่าวันไหนถ้าผมโผล่มา เตรียมเจอกับเรื่องวุ่นวายได้เลย 

ได้ฟังแบบนี้ก็พอรู้อะไรขึ้นมาบ้าง แม้จะไม่ละเอียดเพราะไทด์ไม่ได้สนใจเรื่องของผมเท่าไหร่ ความจริงมันมีอะไรมากกว่านี้แน่ ถ้าอยากรู้จริงๆ ก็คงต้องไปถามกับลูเซียนเอา ซึ่งเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เอาเป็นว่าตอนนี้ผมมีอะไรข้องใจก็ถามไปก่อน อย่างเรื่องที่เคยประกาศกร้าวว่าจะไม่ไปเหยียบที่คลับอีก ผมอยากรู้ว่ามันเกิดอะไรขึ้นเลยถามไทด์ไป

คำตอบที่ได้คือ... ไม่รู้

แต่ไทด์ก็เล่าถึงเหตุการณ์ในวันนั้นให้ฟังว่าผมเดินตาขวางฝ่าฝูงชนในคลับไปเหมือนพายุ พอเปิดประตูห้องทำงานของลูเซียนออกก็ตะคอกเสียงดัง

‘เราตัดขาดกันตั้งแต่วันนี้ ลูเซียน... ผมจะไม่ให้อภัยกับสิ่งที่คุณทำ และต่อจากนี้ไปจนถึงวันตาย ผมจะไม่ขอมาเหยียบที่นี่อีก’  

ยิ่งฟังผมก็ยิ่งสงสัยว่ามีปัญหาอะไรกับลูเซียน ถ้าจำไม่ผิด ครั้งแรกที่ผมเจอลูเซียนหลังจากฟื้นขึ้นมา เขาพูดว่า ‘อะไรที่สามารถทำลายฉันได้ นายพร้อมจะทำอยู่แล้ว’ รวมไปถึงตอนที่จ้านเองเล่าเรื่องระหว่างผมกับเขาให้ฟัง ‘มึงว่าหมอนั่นเป็นคนร้ายกาจ ไม่มีหัวใจ มึงไม่ชอบหน้า เกลียดมันยังกับอะไรดี’ สรุปได้ว่าผมไม่ชอบลูเซียน ถ้าอย่างนั้น จะอธิบายเรื่องที่ผมเคยยกข้อต่อรองขึ้นมาเพราะอยากนอนกับเขายังไงล่ะ

ตอนนั้น... ลูเซียนทำเรื่องอะไรที่ทำให้ผมเกลียดเขากันนะ?

แต่พอมานึกๆ อีกที สงสัยไปก็รังแต่จะทำให้ตัวเองปวดหัว ถ้ายังมัวแต่อยากรู้เรื่องเก่าๆ ผมจะเริ่มต้นชีวิตใหม่ได้ยังไง พอแค่นี้เถอะ ยังไงเรื่องระหว่างผมกับลูเซียนก็ไม่มีอะไรไปมากกว่าที่เป็นอยู่ตอนนี้หรอก

เมื่อได้เวลากลับ เราสองคนเดินออกมาข้างนอก ไทด์บอกให้ผมรอก่อนเพราะต้องไปจ่ายค่ารักษาพยาบาลของน้องชายสำหรับเดือนนี้ จากนั้นเขาก็อาสาขับรถไปส่งผม ยังไม่ทันตอบอะไรก็เดินนำไปที่จอดรถแล้ว

ขณะที่ผมกำลังเดินตามไทด์ไปเพื่อบอกว่าไม่เป็นไร ผมกลับเองได้ จู่ๆ จ้านก็โทรเข้ามา

“ว่าไงจ้าน”

[เตรียมตัวไว้นะ กูจะรับมึงไปกินข้าว เมื่อวานคงเศร้าเรื่องผลสอบมากใช่มั้ยล่ะ ถือว่าเลี้ยงข้าวครั้งนี้เป็นการปลอบใจมึงแล้วกัน ดีมั้ย]

ผมหยุดเดินเพื่อคุยโทรศัพท์ พอมองไปข้างหน้าก็เห็นว่าไทด์หยุดรอผมด้วย

“เอาสิ กำลังหิวอยู่พอดีเลย แต่ตอนนี้ฉันอยู่ข้างนอกนะ พอดีมีนัดกับพี่ที่ทำงานด้วยกัน”

[งั้นหรอ? อยู่ไหนล่ะ ฉันจะขับรถไปรับ]

“ฉันอยู่ที่...”

คำพูดผมถูกกลืนลงคอทันทีที่เห็นรถยนต์คันหนึ่งมาจอดขนาบข้าง ไม่ทันที่ผมจะสงสัยอะไรคนในรถสองคนก็เปิดประตูออกมาอย่างฉับไว ขณะกำลังตื่นตระหนกอยู่นั่น สิ่งที่ทำให้ผมเข้าใจในชะตากรรมของตัวเองเลยก็ตอนที่ชายหัวโล้นเดินแหวกชายสองคนมาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าผม

สถานการณ์แบบนี้ ผมเคยเห็นมาก่อน...

พวกเขาคือลูกน้องของอีวาน!

“คุณ!”

“เชิญไปกับเรา” คำพูดของคนตรงหน้าทำผมเดินถอยหลังโดยอัตโนมัติ ก้าวเข้ามาอีกผมก็ถอยไปเท่านั้น ซึ่งในระหว่างที่กลัวว่าคนพวกนี้จะเดินมาถึงตัว ไทด์ก็เข้าเอาตัวมาขวางไว้

“นายรู้จักหรอ” ผมรีบส่ายหน้า

“เรามีคำสั่งให้พาคุณไป”

พอเห็นคนหัวโล้นยื่นมาใกล้ ผมก็ร้องทันที  “ไม่ ผมไม่ไป!”

“เฮ้ย! ทำอะไรวะ!!” ไทด์ผลักอกลูกน้องของอีวานให้ถอยห่าง สมุนสองคนเตรียมการปะทะแต่คนหัวโล้นยกมือห้ามไว้ก่อน ผมกำลังคิดว่าจะเอายังไง ก็พลันได้ยินเสียงของจ้านที่ร้องฮัลโหลๆ เพราะโทรศัพท์ยังไม่กดวางสาย

“คุณควรหลีกไป” ลูกคนสนิทสุดภูมิฐานของอีวานประจันหน้ากับไทด์

“ในเมื่อเขาไม่เต็มใจ ต่อให้มึงเป็นพระเจ้าก็เอาตัวเขาไปไม่ได้!” ไทด์ตะหวาดกร้าว ที่เคยเล่าให้ฟังว่าเคยอยู่กับพวกแก๊งค์อันธพาลผมไม่ค่อยเห็นภาพ จนมาตอนนี้ผมชักเชื่อแล้วล่ะ

ลูกน้องที่ได้รับคำสั่งจากอีวานคงไม่ง่ายที่จะต่อกร ชายสองคนพยายามเข้าใกล้ตัวผมก็โดนไทด์ทั้งผลักทั้งต่อย นั่นถือเป็นการเริ่มก่อนก็จริง แต่ก็ถือเป็นการป้องกันตัว กระทั่งไทด์พลาดพลั้งถูกอีกฝ่ายเอาคืน คนหัวโล้นแตะขาข้างหนึ่งเพื่อให้ไทด์ล้มลงก่อนจะจับแขนไขว่หลัง ขณะนั้นผมเองก็โดนชายอีกคนรวบตัวไว้เหมือนกัน เห็นไทด์สู้ผมจะอยู่เฉยได้ยังไง แรงมีเท่าไหร่ใส่ไปเท่ากัน เริ่มจากบิดข้อมือตัวเองจนหลุดออก ก่อนจะหันไปถีบเข้าท้องลูกน้องของอีวานจนเซถอยหลัง

ผมคิดหาทางเอาตัวรอด แต่โชคร้ายที่ทางลัดหลังอาคารเพื่อไปยังลานจอดรถไม่ค่อยมีคนเดินผ่านไปผ่านมาเลย ช่วยไม่ได้ ผมต้องพาไทด์หนีไปจากตรงนี้ด้วยตัวเองให้ได้

แต่ยังไม่ทันถึงตัวไทด์... ผมก็โดนอีกฝ่ายจับล็อคจากด้านหลังอีกครั้ง

“บ้าเอ้ย! ปล่อยสิ”

ผมร้องสุดเสียงพร้อมกระทืบไปที่เท้าของไอ้คนข้างหลัง ตั้งใจว่าจะหันไปต่อย แต่กลับโดนหลบและถูกอีกฝ่ายคว้าข้อมือข้างที่ปล่อยหมัดไว้ การเคลื่อนไหวรวดเร็วเพียงพริบตาเดียว มาตั้งตัวได้อีกทีก็ตอนที่โดนบิดแขนจนหลุดการทรงตัว ผมขาทรุดเอาเข่าลงกับพื้น ร้องโอดโอยด้วยความเจ็บ ความรู้สึกในตอนนี้เหมือนหัวไหล่ผมใกล้จะหลุดแล้ว ให้ดูยังไงทักษะการต่อสู้ของคนพวกนี้ก็มีชั้นเชิงคล้ายถูกฝึกมา ใช้กำลังอย่างเดียวคงคว่ำพวกมันไม่ได้แน่ คือลำพังผมน่ะไม่เป็นไรหรอก แต่จะปล่อยให้ไทด์เดือดร้อนได้ยังไง

ถ้าอย่างนั้น... คงต้องใช้แผนเอาตัวเข้าไปขวางแล้วให้ไทด์หนีไปซะ

หากแต่ในจังหวะเดียวกัน กลับกลายเป็นว่าไทด์เอาแรงฮึดสู้มาจากไหนไม่รู้ เขาเอาตัวเองออกจากการถูกจับล็อคแล้วลงมือซัดกับหนึ่งในลูกสมุนอย่างเป็นท่วงท่า และจัดการแลกหมัดสูสีกันกับพวกมันจนเลือกกลบปาก

“ไม่ต้องห่วง ฉันไม่ปล่อยให้พวกมันเอาตัวนายไปแน่” ไทด์พูดอย่างนั้นทั้งๆ ที่ตัวเองทั้งเหนื่อยหอบและแทบจะยืนไม่ตรง กระทั่งชายหัวโล้นเข้ามาดึงตัวผมไว้เพื่อลูกน้องไปรวมตัวกันจัดการกับไทด์

“ผมไม่อยากให้ใครเจ็บตัว แต่เขามาขวางเราเอง” คนสนิทของอีวานพูดอยู่ข้างหูผม เห็นจากสถานการณ์สองต่อหนึ่งแล้วไทด์โดนเอาเปรียบเห็นๆ ถ้าปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไปไทด์ต้องเจ็บหนักแน่

 “อย่าทำเขา!” พอเห็นไทด์ถูกจับคว่ำลงกับพื้น ผมก็หวั่นใจทันที เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับเขาด้วยเลย จะให้มาเจ็บตัวเพื่อช่วยผมไม่ได้ “พอแล้ว! พอ... ผมยอมไปแล้ว หยุดทำร้ายเขาสักที”

ผมน้ำตาไหลไม่รู้ตัว ทั้งกลัวว่าไทด์จะเป็นอะไรไป แล้วไหนจะต้องไปหาอีวานอีก แต่ถ้าเลือกทำได้ผมก็ควรช่วยเหลือคนตรงหน้าก่อน เพราะถ้าเขาโดนหนักกว่านี้มีหวังลุกไม่ขึ้นแน่

“รัณย์...” ไทด์พยายามลุกและเดินเข้ามาหาผม

“อย่าเข้ามาพี่ไทด์!” เมื่อเห็นรอยช้ำตรงโหนกแก้ม คราบเลือดบริเวณริมฝีปากและเสื้อผ้าที่เปื้อนฝุ่นของไทด์ ผมรู้สึกเสียใจที่ตัวเองเป็นต้นเหตุ ถ้ายอมไปแต่แรกเขาคงไม่เจ็บตัวแบบนี้

“ฉันบอกแล้วไงว่า...”

“ไม่เป็นไรครับ… ผมไม่เป็นไร”

พูดไปเพราะเข้าใจในสิ่งที่พี่ไทด์กำลังจะเอ่ย ไม่ว่าเกิดอะไรขึ้น ผมจะไม่โทษที่ตัวเองยอมออกมาข้างนอก ไม่โทษที่คนพวกนี้มาจับตัวผมเพราะทำตามคำสั่ง

ถ้าจะโทษ... ก็โทษที่ตัวผมมันอ่อนแอเอง

“รัณย์...”

หวังว่ารอยยิ้มของผมจะทำให้พี่ไทด์ไม่เป็นกังวลมาก คิดถึงตรงนี้คนหัวโล้นก็ปล่อยตัวผมให้เดินขึ้นรถไปอย่างสะดวก ช่วงที่หันหลังให้เขาผมไม่แม้แต่จะหันกลับไปมอง หรือกระทั่งขึ้นรถไปแล้วก็ตาม...











 

**

หลังจากพาตัวเองไปเอารถมอเตอร์ไซค์ที่จอดอยู่ ไทด์ก็รีบบึ่งรถออกจากโรงพยาบาลทันที อาการหวาดกลัวของกรัณย์ทำให้เขาจิตใจไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ทั้งพะว้าพะวงทั้งไม่เข้าใจว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น แต่เมื่อกี้เห็นหน้าชายหัวโลนแล้วเขารู้สึกคลับคล้ายคลับคลาเหมือนเคยเห็นที่ไหนมาก่อน จนมานึกถึงเมื่อครั้งที่ลูเซียนนัดเจรจากับนักธุรกิจเชื้อสายจีนอย่างอีวานในห้องวีไอพีก่อนจะตกลงเซ็นสัญญากัน ไทด์เห็นชายหัวโล้นคอยติดตามไม่ห่าง มาที่ไนต์คลับทีไรก็จะตามเจ้านายมาด้วยทุกครั้ง หากเป็นคนเดียวกันจริงก็แปลว่ากรัณย์ถูกพาตัวไปโดยคำสั่งของฝรั่งคนนั้นแน่

จะช่วยกรัณย์ได้ก็ต้องหาที่อยู่ของคนพวกนั้น ไทด์รู้ว่าควรถามกับใครจึงรีบบึงรถไปที่บริษัทซีเอ็กซ์ เอ็นเตอร์ไพร์ส เมื่อมาถึงก็แลกบัตรทั้งๆ ที่มุมปากยังเหลือคราบเลือดจากการเช็ดออกลวกๆ และในระหว่างรอลิฟต์เพื่อขึ้นไปหาจักรพงษ์ ไทด์เห็นลิฟต์ฝั่งขาลงเปิดออกจังหวะพอดีกับฝั่งขาขึ้น แต่ไม่ทันได้สังเกตว่าเป็นใครอยู่ในนั้น เขาก็รีบกดลิฟต์ขึ้นไปข้างบนก่อนแล้ว

จักรพงษ์เดินออกมาจากห้องทำงานพร้อมกับลูเซียน เนื่องจากมีนัดคุยธุระกับนักลงทุนต่อ ไทด์เห็นว่าเวลาไม่รอใครเพราะเขาเองก็รีบเหมือนกัน จึงตัดสินใจเดินเข้าไปหาอาแท้ๆ โดยไม่นัดล่วงหน้าก่อน

“ผมขอคุยกับอาแปบนึงได้มั้ยครับ”

“หน้าแกไปโดนอะไรมา” จักรพงษ์ซักด้วยสีหน้าเป็นห่วง

“เดี๋ยวผมเล่าให้ฟัง”

ขณะนั้นลูเซียนยืนอยู่ใกล้ๆ เห็นว่าเวลาไทด์ควรอยู่กับกรัณย์ เลยนึกสงสัยว่าทำไมอยู่ๆ ถึงมาที่นี่ด้วยอาการตื่นตระหนกพร้อมบาดแผลบนใบหน้าแบบนั้น

“เกิดอะไรขึ้น” ลูเซียนไม่ปล่อยให้ตัวเองสงสัย

“ครับ?”

“รัณย์อยู่ไหน เวลานี้เขาควรอยู่กับนายไม่ใช่หรอ” ไทด์แปลกใจที่ลูเซียนรู้ว่าเขานัดกรัณย์ออกมาเจอ แต่อึ้งได้ชั่วครู่ก็ต้องรีบพูดเรื่องสำคัญก่อน

“มีคนพาตัวเขาขึ้นรถไปครับบอส” ไทด์แสดงท่าทีตื่นตระหนกชัดเจน

“แกมั่นใจนะ” จักรพงษ์ถามแทรก

“ครับอา... คนที่พาไปผมจำได้ด้วยนะว่าเคยเห็นที่ไหน เขาเป็นลูกน้องของแขกวีไอพีที่บอสเคยพามา เอ่อ... คนที่เพิ่งเซ็นสัญญาทำธุรกิจกับบอสไงครับ ผมมั่นใจว่าไอ้หัวโล้นที่เป็นลูกน้องของเขานั่นแหละที่เป็นคนพาตัวรัณย์ไป”

ได้ยินดังนั้นลูเซียนก็สาวเท้ากลับไปยังห้องทำงาน เมื่อถึงบานกระจกใหญ่ เขายกแขนตวัดมู่ลี่ขึ้นอย่างเกรี้ยวกราด สายตาคมทอดมองผ่านกระจกใสไปยังถนนเบื้องล่าง ก่อนพบรถยนต์ของอีวานกำลังเคลื่อนตัวออกไป เพียงเท่านี้... ลูเซียนก็พอเข้าใจทุกอย่าง

อีวานจงใจเอาตัวเองมาดึงความสนใจจากเขา เพื่อส่งลูกน้องไปหากรัณย์!

ทว่ามีบางอย่างที่ทำให้คิดไม่ตก ลูเซียนหันไปหยิบบัตรเชิญเข้างานประมูลวัตถุโบราณในโรงแรมหรูขึ้นมาดู พลางคิดว่าอีวานมีเหตุผลอะไรถึงมอบสิ่งนี้ให้ และเมื่ออ่านรายละเอียดก็พบว่างานจะถูกจัดขึ้นในเกาะสมุย

หรือว่า... 

เพราะอะไร? ทำไมอีวานถึงทำแบบนี้ ตั้งใจจะทดสอบอะไรอยู่อย่างงั้นหรอ

“คุณเซียน...” เจ้าของชื่อเงี่ยหูฟังคนที่เพิ่งเปิดประตูเข้ามา “ด้านล่างแจ้งมาว่าคุณจิตตากรขอเข้าพบครับ”

รู้เรื่องรวดเร็วฉับไว ช่างเป็นเพื่อนสนิทที่ทุ่มเทอะไรแบบนี้...


“ให้เขาขึ้นมา”


**











TBC

หายไปซะนานเลย บางคนคงบ่นเรื่องนี้อยู่แน่ๆ 555555
พอดีมีเหตุผลส่วนตัวนิดนึงจ้า แต่หลังจากนี้จะพยายามไม่หายไปนานๆ อีก
ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ที่เป็นกำลังใจให้กับเราเป็นอย่างดี
พรุ่งนี้จะอัพต่อตอนไปให้อ่านเพื่อเป็นการชดเชยละกันเนอะ ^^


หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 23:: ลักพาตัว] UPDATE 01/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 01-07-2018 21:29:44
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 23:: ลักพาตัว] UPDATE 01/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 01-07-2018 21:33:51
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 23:: ลักพาตัว] UPDATE 01/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 01-07-2018 21:51:12
จ้านๆๆๆฟ จ้านมาแล้ววววว  ชอบๆ อยากให้จ้านมีคู่ด้วย
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 23:: ลักพาตัว] UPDATE 01/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 01-07-2018 22:15:39
 :z3: :z3: :z3:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 23:: ลักพาตัว] UPDATE 01/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 01-07-2018 22:59:22
อะไรกันเนี่ยย วุ่นวายแท้ :ling1:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 23:: ลักพาตัว] UPDATE 01/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 01-07-2018 23:48:37
ตอนนี้หนุ่มๆ ที่มาพัวพันกับรัณย์มากันครบเลยทีเดียว อิ อิ รออ่านตอนหน้านะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 23:: ลักพาตัว] UPDATE 01/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: masochism2018 ที่ 02-07-2018 01:21:54
อยากเป็นรัณย์จะได้ไหมมม  :ling1: :katai5:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 23:: ลักพาตัว] UPDATE 01/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 02-07-2018 09:00:42
พันกันให้วุ่นน
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 23:: ลักพาตัว] UPDATE 01/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 02-07-2018 10:22:36
พันกันใหญ่แว้วววว
กดบวกขอบคุณ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 23:: ลักพาตัว] UPDATE 01/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 02-07-2018 17:18:10
พี่วานขยันหิ้วรัณย์จริงๆ ชีวิตรัณย์วุ่นวายน่าดู พี่ลูต้องเอารัณย์กลับมาให้ได้นะ  :hao7:
อยากให้ไทค์มีคู่จัง ตายๆ ชอบผู้ชายทั้งเรื่องเลย  :laugh:
แต่เชียร์พี่ลูนะคะ ชอบคนซึนที่เกรี้ยวกราด 55555
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 23:: ลักพาตัว] UPDATE 01/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: myd3ar ที่ 02-07-2018 20:21:34
กำลังลุ้นเลย น้องรัณย์ จะรอดมั้ยคราวนี้
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 23:: ลักพาตัว] UPDATE 01/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: La_Pomme ที่ 02-07-2018 21:51:13
บทที่ 24
::ไม่สนถูกผิด::





**

ระหว่างรอจ้านขึ้นมาหาบนห้องทำงาน ลูเซียนบอกให้ไทด์กลับไปก่อนเพราะเห็นว่าไม่มีเรื่องอะไรให้ช่วยเหลือแล้ว แต่ไทด์กลับขออยู่จนกว่าจะได้เบาะแสของกรัณย์ บอสใหญ่จึงย้ำให้กลับไปทำหน้าที่ของตัวเองซะ ไทด์เห็นว่าผู้เป็นนายเอาจริง ถ้ารั้นจะอยู่ก็เท่ากับขัดคำสั่ง 

หลังจากจักรพงษ์กับหลานชายเดินออกจากห้องทำงานไปไม่นาน จ้านก็เปิดประตูห้องพรวดพราดเข้ามาโดยไม่มีการเคาะเป็นสัญญาณแต่อย่างใด...

“รัณย์ถูกอีวานจับตัวไปอีกแล้วใช่มั้ย” จ้านยืนต่อหน้าลูเซียน “ผมตามสัญญาณโทรศัพท์ไม่ได้เพราะเครื่องถูกปิด คุณรู้หรือเปล่าว่ามันพาตัวรัณย์ไปไหน ผมจะได้ตามไปช่วย”

“ผมไม่รู้” เจ้าของบริษัทกล่าวสั้นๆ ดูราวกับไม่สะทกสะท้าน ซึ่งนั่นทำให้จ้านโมโหมาก

“เนี่ยน่ะหรอที่บอกว่าการเป็นคนของคุณจะช่วยคุ้มครองรัณย์จากไอ้หมอนั่นได้ ดูมันเกรงใจคุณมากเลยสิ แผนวางให้รัณย์เป็นคนของคุณแล้วยังไง ถ้ามันอยากจะได้ซะอย่าง... คุณเองก็ชะล่าใจแบบนี้แล้วจะไปปกป้องใครได้”

“อีวานไม่ใช่คนทำอะไรผลีผลาม เขาไม่ยอมเสี่ยงกับอะไรแม้จะเป็นเรื่องเล็กน้อย... แต่กับรัณย์มันต่างออกไป ไม่ใช่ว่าผมเป็นคนที่เขาต่อกรได้ แต่เด็กคนนั้นต่างหากที่ทำให้เขาแหกกฎของตัวเอง”

“คุณจะบอกว่าหมอนั่นชอบรัณย์มากงั้นหรอ” จ้านดูจะอารมณ์ขึ้นกับทุกคำที่ออกมาจากปากลูเซียนในเวลานี้ “บ้านเมืองมีขื่อมีแป มันเป็นแค่คนต่างชาติ จะให้มาคุกคามคนอื่นตามใจชอบแบบนี้ไม่ได้”

“ก็ถ้าเพื่อนคุณไม่เอาตัวเข้าแลกจนเขามาติดพัน มันจะเกิดเรื่องนี้ขึ้นรึไง”

“ว่าไงนะ? เอาตัวเข้าแลกอะไร?” จ้านผงะกับสิ่งที่ตัวเองเพิ่งได้ยิน ในขณะที่ลูเซียนเองก็สงสัยท่าทีประหลาดใจของคนตรงหน้า ถ้าเป็นอย่างนี้ก็แสดงว่ากรัณย์ไม่ได้เล่ารายเอียดที่ตัวเองต้องเข้าไปพัวพันกับอีวานให้จ้านฟัง

“อีวานบอกเองว่าเหตุผลที่ยอมเซ็นสัญญากับผม ก็เพราะต้องการทำตามข้อต่อรองของรัณย์”

ลูเซียนนึกย้อนไปหลังจากตอนที่เขาเรียกกรัณย์มาพบเพื่อพูดถึงความต้องการของอีวานให้ฟัง เมื่อรู้ว่าอีกฝ่ายสนใจกรัณย์ก็ตกลงที่จะไปเจอตามนัด โดยหลังจากคุยกับอีวานแล้วเด็กหนุ่มก็มาบอกลูเซียนเรื่องข้อตกลงกับทางนั้นทันที

ช่วงนาทีแรกที่ฟังจบ เขาพูดไว้ว่า ‘เอาตัวเข้าแลกกับเขาเพื่อให้ได้นอนกับฉัน นายคิดบ้าอะไรอยู่’

แต่กรัณย์ทำเพียงแสยะยิ้มให้ ก่อนจะเอ่ยช้าๆ ‘คุณไม่รู้จริงๆ หรอ’

“เด็กนั่นเสนอตัวให้อีวาน เขาไม่ได้บอกคุณรึไง” ลูเซียนถามจ้านหลังจากหยุดความคิดในหัวเอาไว้แค่นั้น

“ทำไมรัณย์ต้องยอมทำขนาดนั้น” เมื่อถูกจ้านถามกลับ บอสใหญ่นิ่งไปเพราะเจ้าตัวเคยตีความไว้หลายอย่าง อีกทั้งไม่อยากพูดถึงข้อตกลงที่กรัณย์เคยคุยกับเขาด้วยปากของตัวเองด้วย

“เอาเป็นว่าเรื่องของอีวานกับเจ้าเด็กนั่นผมเป็นคนดูแลอยู่ คุณอย่ากังวลไปเลย” ลูเซียนพูดจบก็จะเดินไป แต่จ้านกลับผายมือมาขวางหน้าไว้

“ถ้าคุณเห็นอีวานเป็นหุ่นส่วนที่แตะต้องไม่ได้ก็นั่งทำใจเย็นต่อไปเถอะ... เรื่องของรัณย์ผมจัดการเอง”

“การที่ผมไม่หัวร้อนจะเป็นจะตายเหมือนคุณ มันแปลว่าผมชะล่าใจงั้นสิ”

“คนอย่างคุณจะไปเข้าใจอะไร เพราะรัณย์เกี่ยวข้องกับคุณเขาถึงเจอแต่เรื่องแย่ๆ ไม่ใช่หรอ ถ้าไม่คิดจะช่วยรัณย์จริงๆ ก็ไม่น่าออกตัวแต่แรก เห็นมั้ยว่ามันเกิดอะไรขึ้นบ้าง” บทสนทนาของพวกเขาแทบจะไม่เหลือความเกรงอกเกรงใจกันอีก และดูจะหนักขึ้นเมื่อจ้านใช้นิ้วชี้หน้าลูเซียนพร้อมเอ่ยต่อ “ถ้ารัณย์เป็นอะไรไป ผมคิดบัญชีกับคุณแน่”

บอสใหญ่ไม่หลบแววตาของคนตรงหน้า ซ้ำยังวางท่ามาดมั่นเพื่อแสดงให้เห็นว่าเขาไม่สนใจกับคำขู่นั้น

“ถ้าไม่อยากให้ผมเสียเวลาจัดการเรื่องนี้ ก็หยุดพล่ามซะเถอะ”

“คุณจะจัดการยังไง” ลูเซียนไม่ตอบคำถามในทันที ได้แต่เดินไปหยิบเสื้อคลุมขึ้นมาสวมเพื่อเตรียมตัวออกข้างนอก “รีบตอบมา ผมรอฟังอยู่”

“ถ้าได้เรื่องอะไรผมจะส่งข่าวไป”

“ไม่! ไม่ได้... ผมจะไปช่วยรัณย์เอง ส่วนคุณก็อยู่เฉยๆ เหมือนที่เคยทำมาตลอดเถอะ”

จ้านยกเรื่องในอดีตขึ้นมาเหน็บแนม เนื่องจากกรัณย์เคยเล่าให้ฟังว่าตลอดสามปีที่จากกันไป เจ้าตัวมีโอกาสได้เจอกับลูเซียน ชายหนุ่มผู้ลึกลับและเต็มเปี่ยมไปด้วยเสน่ห์น่าค้นหา แม้ในคำบอกเล่าจะพูดถึงเรื่องแย่ๆ แต่แววตาของกรัณย์กลับบ่งบอกชัดเจนว่าอาทรชายคนนั้นขนาดไหน

สำหรับจ้านแล้ว ลูเซียนก็เป็นแค่ผู้ชายเลือดเย็นที่ไม่เคยแคร์ใครนอกจากผลประโยชน์ทางธุรกิจ กรัณย์เคยอยู่ข้างกายชายคนนั้นชีวิตถึงได้พลิกผัน ต้องกลายเป็นผู้ชายขายตัวในขณะที่ลูเซียนไม่คิดทำอะไรเลย พอคิดอย่างนั้นจ้านจึงได้แต่โทษตัวเองว่าหากสามปีก่อนเขาตั้งใจตามหาเพื่อนสนิทอีกสักนิด ชีวิตของกรัณย์ก็คงไม่ต้องมาเจอกับลูเซียน

“คุณควรรู้จักสงบสติอารมณ์ซะบ้าง” ลูเซียนกระแทกเสียง

“คุณไม่เคยเป็นห่วงใคร อย่าพูดเลยดีกว่า” จ้านยังมีเรื่องในใจที่อยากกล่าวกับคนตรงหน้าให้จบ “ต่อให้เอาเรื่องในอดีตระหว่างพ่อผมกับครอบครัวของรัณย์ขึ้นมาขู่อีกผมก็ไม่สน คุณอยากทำอะไรก็เชิญ เพราะหลังจากช่วยรัณย์ได้แล้วผมจะบอกเรื่องทุกอย่างให้เขาฟังเอง”

“แสดงว่าคุณสืบเรื่องคดีของพ่อรัณย์อย่างละเอียดแล้ว” บอสใหญ่เอ่ยอย่างรู้ทัน ซึ่งมันก็เป็นจริงนั้น

เหตุผลที่จ้านยอมให้รัณย์ไปอยู่กับลูเซียนเกือบหนึ่งอาทิตย์ เป็นเพราะเขาต้องการใช้เวลาค้นข้อมูลเกี่ยวกับคดีของพ่อรัณย์ที่เกิดขึ้นเมื่อสามถึงสี่ปีก่อน แล้วค่อยนำรายละเอียดที่สืบได้ไปซักถามกับพ่อให้รู้ดำรู้แดง จนสุดท้ายฝ่ายที่โดนจี้จำต้องยอมรับตามตรงว่าเป็นคนหักหลังเพื่อนของตัวเอง หากแต่สิ่งที่ทำไปนั่นไม่ใช่ความผิด แต่มันเป็นหน้าที่และความรับผิดชอบ เมื่อจ้านพยายามพูดให้พ่อฟังว่าเราเป็นต้นเหตุที่ทำให้รัณย์ต้องใช้ชีวิตอยู่อย่างเลวร้าย พ่อของเขากลับพูดว่า…

‘ยังคบกันอยู่อีกหรอ ไหนว่าไม่ได้เจอกันแล้ว’

จ้านจึงรู้ในทันทีว่าพ่อคงไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับตระกูลรัตนเตศวรอีก ไม่ว่าจะเป็นเพราะความละอายใจ รู้สึกผิด หรืออะไรก็ตาม เขาจะไม่ซักให้อีกฝ่ายเสียความรู้สึก เพราะหากพูดถึงความถูกต้อง แม้ลำบากใจเขาก็ควรเข้าข้างพ่อ

แต่ถ้าจะให้เลิกคบกับกรัณย์ไป เขาไม่มีทางยอมแน่!

“พ่อก็ส่วนพ่อ ผมก็ส่วนผม รัณย์รู้ดีว่าผมหวังดีกับเขาที่สุด” จ้านเอ่ยอย่างจริงจัง

“คิดจะพูดอะไรก็ได้ เพราะเห็นเขาเป็นแบบนี้งั้นหรอ”

“แบบนี้ที่ว่า... คุณหมายถึงอะไร”

“รัณย์ไม่เหมือนเมื่อก่อนแล้ว ต่อให้เรื่องร้ายแรงแค่ไหนก็คงพร้อมจะมองข้ามอดีตเพื่อเริ่มต้นใหม่... คุณคงคิดแบบนี้นี้สินะ” จ้านรู้สึกทะแม่งๆ เหมือนจะข้องใจในสิ่งที่ลูเซียนเอ่ย เดิมทีเข้าใจว่าไม่แปลกที่ลูเซียนจะคิดอย่างนั้น เพราะแค่กรัณย์ไปทำงานเป็นเด็กเสิร์ฟในไนต์คลับ คนที่เคยรู้จักก็ต้องรู้สึกว่ากรัณย์เปลี่ยนไปอยู่แล้ว

มองข้ามอดีต? เริ่มต้นใหม่?

“หรือว่าคุณ...”

“ผมรู้แล้วว่ารัณย์ความจำเสื่อม”


**

 










ผมรู้สึกถึงความนุ่มตั้งแต่บริเวณหลังคอไปจนถึงแผ่นหลัง ได้กลิ่นหอมสดชื้นของดอกไม้หรือน้ำหอมอะไรสักอยู่ใกล้เลยเกิดอาการสงสัย ค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาแล้วกวาดสายตามองไปทั่ว ก่อนจะพบว่าผมกำลังอยู่บนเตียงนอน

ภาพตรงหน้าคือห้องนอนขนาดไม่ใหญ่มาก แต่การตกแต่งภายในหรูหรามีราคา ครั้งสุดท้ายจำได้ว่าผมอยู่บนรถยนต์กับลูกน้องของอีวาน หลับไปตอนไหนไม่รู้ ตื่นมาอีกทีก็อยู่ที่นี่แล้ว โชคดียังดีที่ร่างกายยังไม่รู้สึกผิดปกติอะไร แถมเสื้อผ้ายังอยู่ครบ

ผมรีบคลานลงจากเตียง จากนั้นก็รู้เหมือนพื้นมันโคลงเคลงยังไงชอบกล ความสงสัยทำให้ผมมองออกไปนอกหน้าต่าง ก่อนจะพบว่าด้านนอกมีแต่... ท้องทะเล

นี่ผมอยู่บน ‘เรือ’ อย่างนั้นหรอ!

ตกใจได้สักพักก็มีคนเปิดประตูเข้ามา...

“นายตื่นแล้ว” แวบแรกที่เห็นว่าเป็นใคร ผมรีบถอยกรูไปติดกำแพงพร้อมมองหาอะไรแข็งๆ ไว้เพื่อป้องกันตัวเอง

“ผมอยู่ที่ไหน”

“ยังไม่เห็นข้างนอกอีกหรอ” ว่าแล้วก็เดินเข้ามานั่งตรงปลายเตียงอย่างสบายใจ แม้จะไม่เจอกันหลายอาทิตย์ผมก็รู้สึกว่าเวลามันผ่านไปแปบเดียวเอง และที่ตลกคือผมพยายามเอาตัวรอดจากผู้ชายคนนี้ ด้วยการทำทุกอย่างเพื่อให้เป็นคนของลูเซียน ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านั้นผมพูดดิบดีว่าจะไม่ไปยุ่งกับเขาอีก แต่สุดท้าย... ผมก็ยังไม่หลุดพ้นอยู่ดี

สงสัยว่าเรื่องที่ผมคงทำไม่ดีกับคนอื่นในอดีต จะเป็นกรรมตามสนองมาถึงตอนนี้

“เรากำลังจะไปไหนกัน” ผมถามโดยไม่หลบตา

“ฉันชอบที่นายใช้คำว่า ‘เรา’ นะ”

โดนสายตากรุ้มกริ่มสวนกลับมาแบบนี้ผมจำต้องเบือนหน้าหนีจริงๆ ไม่ไหวจะสู้ แล้วไหนจะรอยยิ้มนั่นอีก บอกตามตรงว่าผมเกลียดทุกการกระทำที่เขาแสดงออกในเชิงมีเลศนัย เพราะมันทำให้ผมอึดอัด อยากจะอาเจียน ถ้าไม่ติดว่าข้างนอกเป็นทะเล ผมคงกระโดดลงไปนานแล้ว

“เจ็บหรือเปล่า” อีวานชี้ข้อมือของตัวเองเพื่อให้ผมเข้าใจว่าถามถึงอาการเจ็บตรงส่วนไหน

จริงสิ... ตอนปะทะกันก่อนหน้านี้ ผมโดนลูกน้องของอีวานออกแรงจับตรงข้อมือจนเป็นรอยแดง

“ลำพังผมไม่เท่าไหร่หรอก แต่ลูกน้องของคุณทำร้ายคนอื่นที่เขาไม่เกี่ยวอะไรด้วย มีกันตั้งหลายคนกลับรุมทำร้ายคนคนเดียว ตกลงว่าพวกคุณเป็นนักธุรกิจหรือนักเลงกันแน่” ผมนึกไปถึงไทด์ทันที เป็นห่วงว่าเขาจะเป็นอะไรมากหรือเปล่า ป่านนี้จะไปหาหมอหรือยัง แล้วไหนจะจ้านอีก ตอนเกิดเรื่องผมไม่ได้วางสายจากเขา ก็แปลว่าเขาน่าจะรู้แล้ว

“ถ้านายยอมขึ้นรถดีดีแต่แรก คนที่นายเรียกว่า ‘คนอื่น’ จะโดนแบบนั้นมั้ยล่ะ”

“ห๊ะ? แปลว่าผมไม่มีสิทธิ์เลือก ส่วนคุณมีสิทธิ์จะทำอะไรก็ได้ตามใจชอบงั้นหรอ” ผมพูดด้วยความโมโห “เพราะอะไร? เพราะคุณไม่เคยแคร์ความรู้สึกของคนอื่น หรือไม่รู้ว่าสิ่งที่ทำอยู่มันผิด”

“สำหรับตอนนี้... ฉันไม่สนความถูกผิดทั้งนั้น” ผมเอะใจว่าอีวานคิดจะทำอะไร เพราะมันฟังเหมือนกับว่าการพาตัวผมมาที่นี่คือสิ่งที่เขาคิดการณ์ล่วงหน้ามาแล้ว 

“ล่าสุดผมจำได้ว่ากำลังนั่งรถไปกับลูกน้องคุณ แล้วอยู่ๆ ผมมาโผล่ที่นี่ได้ยังไง เป็นไปได้หรอที่ผมจะถูกพาขึ้นเรือโดยไม่รู้สึกตัวเลย” พูดถึงตรงนี้ ผมก็ฉุกคิดอะไรขึ้นได้ “หรือว่า... เป็นเพราะน้ำนั่น”

“ใช่ ฉันให้นายดื่มน้ำที่ผสมยานอนหลับ”

ได้ยินอย่างนั้น สมองของผมก็พลันนึกไปถึงเหตุการณ์ในรถที่เกิดขึ้นก่อนหน้านี้...

ภาพคือชายหัวโล้นหยิบขวดน้ำขึ้นมาเปิดฝาและยื่นให้ผม แต่อยู่กับคนไม่น่าไว้ใจใครจะกล้าดื่ม ผมเลยบอกปัดไปแบบยังไงก็ไม่เอา คิดว่าทำแบบนั้นแล้วอีกฝ่ายจะเฉยไปเอง หากทว่า...

‘คุณต้องดื่ม’ ทำไมต้องรบเร้ากันด้วย ผมเริ่มสงสัย

‘ผมไม่หิว’

‘คุณมีทางเลือกเดียวคือต้องดื่มมันเข้าไป... เพราะถ้าไม่ดื่มเอง ผมจะเป็นคนกรอกให้’

จากคำพูดที่ว่ามา คิดๆ ดูผลสุดท้ายผมก็ต้องได้ดื่มอยู่ดี และที่สำคัญคือตอนนั้นผมต่อสู้จนอ่อนล้าเรี่ยวแรงแทบไม่เหลือแล้ว ถ้าจะให้ต่อต้านอีกก็พอเดาออกว่าใครแพ้ เลยหยิบมาดื่มส่งๆ โดยที่ในใจก็คิดอยู่แล้วว่าในน้ำต้องมีอะไรแน่ แต่ก็คงไม่ถึงกับตายหรอก เพราะถ้าพวกเขาอยากฆ่าผมจริง ก็คงหักคอผมได้ตั้งแต่โดนรวบตัวแล้ว

“ทำไมต้องให้ยานอนหลับผมด้วย”

“นายต้องขึ้นเฮลิคอปเตอร์มาที่นี่ แล้วไหนจะต้องต่อรถไปลงเรืออีก ฉันกลัวว่านายจะตื่นตระหนกเกินเหตุ พลอยทำให้ทริปสุดสวีทของเราพังไม่เป็นท่า ก็เลยอยากให้นายลืมตาขึ้นมา แล้ว... เซอร์ไพร์ส!” เจ้าของนัยน์ตาสีฟ้ายิ้มร่า เน้นคำสุดท้ายจริงจังราวกับเป็นเรื่องที่ยิ่งใหญ่มาก ผมได้แต่ยืนมองโดยไม่พูดอะไร จากนั้นเขาถึงจะหุบยิ้มลงช้าๆ

“คุณอยากเคลื่อนย้ายผมแบบไม่ให้เกิดเรื่องยุ่งยากมากกว่า” คำพูดของผมทำให้อีวานเผยยิ้มอีกครั้ง แสดงว่ามันเป็นจริงตามที่ผมคาดเดา

“ถ้าไม่ทำแบบนั้น ระหว่างทางนายคงเอาแต่ถามลูกน้องฉันอย่างโน้นอย่างนี้ จนตัวเองคิดฟุ้งซ่านไปต่างๆ นานา” ผมจ้องอีวานเขม็ง แน่นอนว่ามันมีแต่ความไม่ไว้ใจ “อย่ามองอย่างนั้นสิ ฉันไม่พานายไปขายหรอกน่า”

“เรือจะแล่นไปขึ้นฝั่งที่ไหน” ผมถาม

“เกาะสมุย”

“ไปทำอะไรที่นั่น”

“ฉันมีเรื่องสำคัญบางอย่างที่ต้องทำ” จู่ๆ น้ำเสียงและสีหน้าของอีวานก็เปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง “หรืออาจเรียกได้ว่ารอเวลานี้มานานมาก... ฉันเลยอยากให้นายอยู่ด้วย”

“ทำไมต้องเป็นผม”

ได้ยินมาว่าอีวานทั้งเนื้อหอมในฐานะนักธุรกิจไฟแรงและนักรักที่เปลี่ยนคู่นอนไม่ซ้ำหน้า แสดงว่าเขาน่าจะมีคนอ้อมล้อมเยอะแยะ ไม่ว่าจะถูกพาไปที่ไหนก็คงเต็มใจแน่... แต่ทำไมต้องเป็นผมล่ะ

“เพราะว่าต้องเป็นนายไง” นี่เขาตั้งใจตอบแล้ว หรือคิดจะกวนประสาทผมกันแน่!

“เมื่อไหร่จะปล่อยผมไปสักที ผมไม่อยากยุ่งเกี่ยวกับคุณอีก แค่เรื่องที่เจออยู่ทุกวันนี้ก็ทำให้ผมลำบากมากพอแล้ว ทำไมจะต้องก่อกวนผมด้วยการจับไปโน้นที ไปนี่ที เหมือนผมเป็นสิ่งของด้วย” ระดับเสียงเริ่มดังขึ้นตามระดับอารมณ์ที่พุ่งสูง ผมพูดไปเจ็บใจไป ไม่มีใครอยากอ่อนแอหรอก และผมอยากก็เห็นแก่ตัวด้วยการเอาซวยที่ได้มาจากความโง่เขลาไปให้จ้านช่วยเหมือนกัน แต่ติดตรงที่ผมทำไม่ได้ สุดท้ายก็เลยต้องจมปรักเป็นคนงานของลูเซียนอย่างจำยอม “ถ้าคุณออกไปจากชีวิตแต่แรก ผมก็คงได้เริ่มชีวิตใหม่ ไม่ต้องรับรู้เรื่องในอดีตที่ทำให้ผมรู้สึกแย่เหมือนอย่างตอนนี้”

“รัณย์...”

“อย่าเข้ามา!” ผมร้องทันทีที่เห็นอีวานลุกจากปลายเตียงเพื่อเดินมาหา

สองเท้าขยับให้ห่างไปอีก ทุกอย่างเป็นไปโดยอัตโนมัติ ผมปากสั่น มือไม้ก็สั่น เรียกได้ว่าความทรงจำแย่ๆ ในคืนนั้นมันย้อนกลับเข้ามาหมด ผมรู้สึกได้กระทั่งว่าร่างกายส่วนไหนที่โดนเขาดูดจนเป็นรอยจ้ำๆ เสียงฮึกเหิมคำรามลอดไรฟันยังดังก้องอยู่ข้างหู แค่นึกถึงช่วงเวลานั้นก็สั่นไปทั้งตัวแล้ว

ผมไม่สบตาอีวาน ขออยู่กับตัวเองเพื่อควบคุมสติสักพัก ทว่าเพียงเสี้ยวนาทีที่ผมละสายตาไปอีวานก็มาปรากฏตัวอยู่ตรงหน้า จากนั้นก็ใช้มือรวบเอวผมแล้วดึงให้เข้าหา ตอนนี้เลยกลายเป็นว่าผมอยู่ในอ้อมแขนของเขาเรียบร้อย

“ฉันอยากน่ากลัวในสายตาของศัตรู เพราะมันจะทำให้ฉันยิ่งเข้มแข็ง เหมือนตัวเองได้รับชัยชนะ” ผมเงยหน้ามองแววตาลุกโชนที่แฝงไปด้วยโทสะของอีวาน “แต่สำหรับแววตาของนายในตอนนี้ ฉันกลับรู้สึกเหมือน... กำลังพ่ายแพ้”

เมื่อครู่เขาดูดุดันมาก แต่ผ่านไปจนถึงประโยคสุดท้ายเจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าครามที่ปั่นป่วนเหมือนพายุก็สงบลง โดยหลังจากนั้น เขาก็พูดด้วยน้ำเสียงนุ่มละมุนจนผมขนลุกไปทั่วร่าง

“นายจะโกรธจะเกลียดฉันยังไงก็ได้ แต่ขออย่างเดียว... อย่ากลัวฉัน” 














TBC.

หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 24:: ไม่สนถูกผิด] UPDATE 02/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 02-07-2018 22:43:39
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 24:: ไม่สนถูกผิด] UPDATE 02/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 03-07-2018 00:04:57
จะลูเซียนหรืออีวานหรือไทด์ก็ได้ แต่ไม่ใช่จ้าน
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 24:: ไม่สนถูกผิด] UPDATE 02/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 03-07-2018 07:30:54
ฮือออ สับสนวุ่นวายไปหมด
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 24:: ไม่สนถูกผิด] UPDATE 02/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 03-07-2018 08:33:49
โอ๊ยๆได้ใจมาอีวาน
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 24:: ไม่สนถูกผิด] UPDATE 02/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: masochism2018 ที่ 03-07-2018 09:38:35
รัณยือย่าง่าย!!
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 24:: ไม่สนถูกผิด] UPDATE 02/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 03-07-2018 10:33:53
มีลุ้นทุกตอน รออ่านทุกวัน
ประโยคท้ายนี่อิวานทิ้งระเบิดไว้อีกล่ะ
พัวพันยังไงกะนู๋รัณย์อีก
กดบวกขอบคุณ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 24:: ไม่สนถูกผิด] UPDATE 02/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 03-07-2018 18:07:34
พี่ลูเป็นคนฉลาด นางต้องมีแผนอยู่ในหัวแน่ๆว่าจะช่วยรัณย์ยังไง
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 24:: ไม่สนถูกผิด] UPDATE 02/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: mkianit ที่ 04-07-2018 23:22:35
เนี่ยยย ชอบความร้ายของอีวานอะ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 24:: ไม่สนถูกผิด] UPDATE 02/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: La_Pomme ที่ 06-07-2018 20:14:12
บทที่ 25
::ปล่อยนายไปไม่ได้::





ใบหน้าของอีวานเด่นชัดอยู่เพียงคืบ ผมกัดปากตัวเองท่ามกลางสถานการณ์ตึงเครียด และเมื่อหลบนัยน์ตาสีฟ้าคู่นั้นไปได้ ผมไม่รอช้า จัดการผลักตัวอีวานออกให้ห่าง ก่อนจะพูดอะไรบางอย่างเพื่อเป็นการเตือนสติเขา

“ผมเคยบอกแล้วว่าจะไม่อภัยให้กับสิ่งที่คุณทำไว้”

“แต่นายเป็นคนเสนอข้อต่อรองนั้นเองนะ”

“เพราะงั้นคุณก็เลยมีสิทธิ์ใช้กำลังบีบบังคับผมหรือไง” ผมขึ้นเสียงกลับ “เคยคิดสักนิดมั้ยว่าผมอาจจะต้องการเวลา หรือไม่พร้อมที่จะมีอะไรกับคุณในคืนนั้น”

ผมพยายามจะเข้าใจว่ามันคือการรับผิดชอบต่อคำพูด และไม่ยอมบอกอีวานไปตรงๆ ว่าผมความจำเสื่อม แต่ถึงอย่างนั้น ในสถานการณ์ที่ผมขอร้องให้เขาปล่อย ขอร้องว่าอย่าทำ ต้องกล้ำกลืนฝืนทน น้ำตาไหลอย่างหวาดกลัว เขาเห็นทุกอย่างแต่ก็ยังไม่ยั้งมือ ใช้กายถาโถมเข้าหาอย่างตามใจชอบ แบบนี้ผมควรมองว่าเขาเป็นคนยังไง

จนถึงตอนนี้อีวานยังเงียบอยู่ และผมก็ได้แต่ยืนมองว่าเขาจะพูดอะไรมั้ย

“ฉันขอโทษ” ม่านตาผมขยายกว้างทันที อีวานพูดประโยคแรกโดยไม่มองหน้าผม แต่หลังจากนั้นก็หันมาแล้วว่าต่อ “ฉันเข้าใจผิดไป... ไม่สิ ฉันผิดเอง ฉันไม่ควรทำแบบนั้นกับนาย”

“พูดเอาตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์แล้ว”

“งั้นฉันควรทำยังไงนายถึงจะยอมยกโทษให้”

“ปล่อยผมไป...” คำตอบของผมทำให้อีวานหรี่ตาลง คล้ายกำลังครุ่นคิดอะไรในใจ

“เป็นเพราะลูเซียนใช่มั้ย”

เดี๋ยวนะ... พูดแบบนี้แปลว่าเขารู้เรื่องระหว่างผมกับลูเซียนงั้นหรอ แล้วผมจะรู้ได้ยังไงว่าอีวานมองออกจากการที่ผมไปอยู่บ้านลูเซียน หรือเข้าใจความสัมพันธ์ของเราสองคนว่าเป็นยังไงตั้งแต่ก่อนที่ผมจะรู้จักเขาแล้วกันแน่

“ในเมื่อคุณรู้เหตุผลแล้ว ผมยังต้องอธิบายอะไรอีก” ไหนๆ อีวานก็เปิดทางมาให้แล้ว ผมก็แค่ต้องเล่นตามน้ำไป และถ้าถามว่าผมภูมิใจกับการนำเสนอตัวเองเหมือนเป็นสมบัติของผู้ชายอีกคนมันรู้สึกยังไง

ตอบได้เลยว่าน่าสมเพช...

ผมไม่ได้อยากถูกผู้ชายด้วยกันสนใจ ไม่อยากเป็นที่ต้องตาของใครต่อใคร แต่มารู้ตัวเอาตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ เพราะก่อนหน้านี้ผมเป็นคนเอาตัวเองเข้าไปพัวพันกับคนมีอำนาจพวกนั้นเอง ใครทำยังไงก็ได้อย่างนั้น อยากจะหลุดพ้นให้ได้ผมก็ต้องฉลาดทันเกมคนอื่น เข้มแข็งเพื่อปกป้องตัวเองและคนรอบข้าง แน่นอนว่าถ้ายังไม่ตายผมก็ยังมีโอกาสเริ่มต้นใหม่ ขอเพียงออกไปจากพันธะที่พันแข้งพันขาผมไว้ให้ได้เป็นพอ 

หากทว่า...

“ฉันปล่อยนายไปไม่ได้”

“เพราะอะไร”

“ฉันชอบนาย”

คำพูดเพียงไม่กี่คำดังก้องอยู่ในหัว มันเป็นเพียงประโยคสั้นๆ แต่ความหมายกว้างใหญ่ ผมได้แต่ยืนนิ่งโดยไม่พูดอะไรไปหลายวินาที กำลังงงหรือสับสนก็ยังตอบไม่ได้ อยู่ๆ ก็ต้องเผชิญหน้ากับสถานการณ์ไม่คาดฝัน ผมรู้สึกอื้ออึง ทำตัวไม่ถูก เหมือนอาการตอบสนองมันเชื่องช้าไปดื้อๆ แต่ถึงอย่างนั้น มันกลับมีคำพูดประโยคหนึ่งที่ก้องอยู่ในหัว

เขาเอาอะไรมาชอบผม ไม่มีเหตุผลเอาซะเลย!

สักพักผมได้ยินเสียงฝีเท้าเดินเข้ามาใกล้ เมื่อแหงนหน้าขึ้นผมเห็นอีวานเอาหน้าพุ่งเข้ามาอย่างไม่ทันตั้งตัว ฝ่ามือทั้งสองประคองใบหน้าผมไว้อย่างมั่นคง ก่อนจะตามมาด้วยสัมผัสร้อนที่บนเบียดลงมาบนริมฝีปาก

ผมเบิกตากว้าง จะร้องห้ามก็ทำได้เพียงส่งเสียงอู้อี้เล็ดรอดออกมาจากไรฟัน จังหวะเร่งเร้ารุ่มร้อนอย่างกระหายทำให้ผมตื่นตระหนกจนต้องรวบรวมแรงทั้งหมดสลัดตัวเองออกมาอย่างทุลักทุเล

“ทำบ้าอะไร!”

คล้ายกับเพิ่งโดนดูดวิญญาณไปยังไงอย่างงั้น ผมหอบหนัก ยกมือขึ้นมาเช็ดปากตัวเองเพื่อให้รสสัมผัสของอีวานหายไป สมองผมรวน รู้สึกสติหลุดแถมกระสับกระส่ายไปมา ไม่รู้ว่ากำลังมึนหัวเพราะตัวเองเมาเรือด้วยหรือเปล่า แต่ที่แน่ๆ คือผมอยากออกไปจากตรงนี้ให้เร็วที่สุด     

ไม่ใช่แค่คิด ผมเลือกทำจริงๆ เริ่มจากมองหาประตูทางออกแล้ววิ่งพรวดออกไปโดยไม่สนเสียงเรียกของไอ้ฝรั่งนั่น ตอนนี้ภาพตรงหน้าคือทางขึ้นบันไดไปชั้นดาดฟ้าเรือ กับชายหัวโล้นที่ยืนเฝ้าหน้าประตูอยู่ เมื่อผมพาตัวเองพ้นจากนั้นแล้วมองรอบๆ ก็เห็นเป็นเรือยอร์ชขนาดกลาง มีคนขับเรือหน้าตาคุ้นๆ กับชายใส่สูทดำอีกหนึ่งคน แน่นอนว่าพวกเขาล้วนเป็นคนเดียวกับที่พาผมมานี่

พอลูกน้องคนสนิทของอีวานตามขึ้นมา ผมรีบวิ่งไปข้างตัวเรือพร้อมกับจับราวด้วยมือทั้งสองข้าง น้ำทะเลซัดเซปั้นเป็นเกลียวคลื่น ผมมองเห็นความสูงของเรือกับระดับน้ำทะเล ดูแล้วไม่น่ากลัวเท่าสถานการณ์ที่กำลังประสบอยู่ เกาะน้องใหญ่สุดลูกหูลูกตา ถ้าลองคำนวณดูผมจะต้องใช้กำลังแค่ไหนจึงจะว่ายไปถึงเกาะที่ใกล้ที่สุดในตอนนี้

“นายจะทำอะไร”

“หยุดอยู่ตรงนั้นเลย!” ผมตวาดใส่ทันทีที่เห็นอีวานกับชายหัวโล้นกำลังเดินเข้ามาใกล้

“รัณย์ เข้ามาข้างในก่อน” อีวานพูดกับผมอย่างใจเย็น

“จะเชื่อได้ไงว่าคุณจะไม่คิดทำอะไรบ้าๆ ผมอีก”

“ถ้านายโกรธเรื่องเมื่อกี้ ฉันสัญญา... จะไม่ทำอีกแล้ว” ผมส่ายหน้าไปมาอัตโนมัติ กระบวนการวิเคราะห์ของผมแทบจะเป็นศูนย์ ก็คิดเหมือนกันนะว่าถ้ายิ่งหนีก็จะยิ่งอ่อนแอ แต่สุดท้ายผมก็เลือกที่จะทำอย่างแรก

อยากต่อสู้ แต่ก็กลัวมือตัวเองจะเจ็บซะก่อน

“คุณบีบให้ผมต้องทำแบบนี้...”

“รัณย์!”

ตู้ม!!!

เพียงเสี้ยวนาทีที่สัมผัสมวลน้ำทะเล ร่างของผมจมลึกลงไปก่อนจะค่อยๆ ตีขึ้น ทั้งแขนและขาตะเกียดตะกายให้เป็นท่า พยายามหัวเอาให้พ้นน้ำ หากแต่ออกแรงไปสักพัก... ถึงรู้ตัวว่าว่ายน้ำไม่เป็น

เหมือนจะกินน้ำเข้าไปหลายอึก ผมไม่ไปไหนจากที่เดิมเพิ่มเติมคือร่างกายเริ่มอ่อนล้า จนท้ายที่สุดก็ปล่อยให้ทุกอย่างจบสิ้นตรงนั้น เรียกได้ว่าเป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกใกล้ตายเต็มที จวบจนการสั่งลาโลกนี้มาถึง ผมก็เพิ่งนึกได้ว่าอะไรเป็นปัจจัยที่ทำให้ผมต้องเอาชีวิตตัวเองมาเสี่ยงทำอะไรแบบนี้

เมื่อครั้งที่ผมไปโรงพยาบาลเพื่อหมอตามนัด ระหว่างพูดถึงอาการโดยรวม คุณหมอก็ถามว่า...

‘นับจากวันที่คุณตื่นขึ้นมาจนถึงวันนี้ พอจะรู้สึกมั้ยว่าตัวเองหวาดกลัวอะไร หรือมีอาการต่อต้านกับบางสิ่งบ้างรึเปล่า... คุณสูญเสียความทรงจำไปทั้งหมด นับเป็นแคสที่หาได้ยาก จากการตรวจสอบพบว่าเซลล์ประสาทของคุณไม่ได้รับความเสียหาย จึงเป็นไปได้ว่าคุณอาจมีสภาวะช็อคอย่างรุนแรงกับอุบัติเหตุในครั้งนั้น แม้ยังยืนยันไม่ได้แต่เราก็ควรวิเคราะห์ในหลายๆ แง่ เพราะสมองส่วนที่ควบคุมอารมณ์มันซับซ้อนมาก และมีกลไกบางอย่างที่เรียกว่าการป้องกันตัวเองจากสิ่งที่กระทบกระเทือนจิตใจ ผมเลยอยากอธิบายให้ฟังว่าถ้าคุณจำไม่ได้กระทั่งว่าตัวเองเคยกลัวอะไร ระดับไหน... สิ่งเดียวที่จะทำให้คุณรู้ได้ก็คือตอนเจอกับตัว จากนั้นจิตใต้สำนึกก็จะกระตุ้นให้คุณรู้สึกและตัดสินใจว่าควรทำยังไง... หากในอดีตคุณเคยเสียใจอย่างหนัก มีสภาวะเครียด เคยถูกทำร้าย กล้ำกลืนฝืนทนกับเรื่องแย่ๆ หรือเคยหวาดกลัวต่ออะไรก็ตาม ยิ่งถูกสะสมไว้ในใจมากๆ คุณก็จะยิ่งตอบสนองด้วยการหาวิธีปกป้องตัวเองและต่อต้านมันอย่างสุดกำลัง’

ผมหลับตาลอยเคว้งอยู่ในน้ำทะเลและค่อยๆ จมลงไปเรื่อยๆ แต่แล้วจู่ๆ ก็มีมือปริศนามาจับแขนผมไว้ ก่อนจะว่ายน้ำพาขึ้นไปจนพ้นผิวน้ำ

ขณะนี้ผมรู้สึกตัวทุกอย่าง พอลืมตาขึ้นก็พบว่าคนที่กระโดดลงมาช่วยคือ... อีวาน

“แค่กๆๆ”

เพราะดื่มน้ำไปหลายอึก เลยทำให้สำลักน้ำออกมา อีวานจับผมตัวผมให้ลูกน้องสองคนพาขึ้นไปตรงท้ายเรือ พอถึงพื้นเท่านั้นแหละ ผมล้มตัวนอนหงายเลย คิดว่าจะขอพักหายใจตรงนี้สักเดี๋ยว แต่อีวานกลับจับตัวผมให้นอนตะแคงแทน

“แสบนักนะ... ต้องทำขนาดนี้เลยหรอ” ได้ยินเสียงอีวานชัดขึ้นมาหน่อย เขาทำกระฟัดกระเฟียดก่อนจะหัวเราะออกมาราวกับรู้ทันว่าผมทำไปเพื่ออะไร

ผมค่อยๆ ลุกขึ้นมานั่ง แล้วหันไปพูดกับเขา “คุณจะพาผมกลับเมื่อไหร่”

“ขอเวลาวันสองวัน ถ้าเสร็จเรื่องแล้วฉันจะพานายกลับทันที และถ้าถามว่าทำไมต้องพานายมาด้วยอีกล่ะก็ ฉันคงตอบเหมือนเดิมว่าอยากให้นายอยู่ข้างๆ ในงานคืนพรุ่งนี้”

“หมายถึงงานอะไร”

“งานประมูลวัตถุโบราณ”

ถ้าระดับลูเซียนเข้าร่วมด้วยงานคงยิ่งใหญ่น่าดู แต่ฟังแล้วก็เหมือนเพวกเศรษฐีที่มีงานอดิเรกเป็นการสะสมพวกของโบราณทั่วไป ไม่เห็นต้องพูดเวอร์วังว่ามันสำคัญขนาดนั้นเลยนี่น่า

“อยากให้ผมไปเป็นเพื่อน แค่นั้นจริงๆ ใช่มั้ย” ผมยังไม่ไว้ใจ เลยถามย้ำเพื่อให้เขาพูดให้ชัดเจน

“ใช่... แต่ถ้านายคิดหนี ฉันก็จะให้เหย้าเหวินคอยไปรับนายอยู่เรื่อยๆ” นั่นไงล่ะ! หาเรื่องข่มขู่กันจนได้

“แปลว่าถ้าผมอยู่ที่นี่กับคุณดีดี คุณจะไม่สั่งให้คนพาตัวผมไปไหนมาไหนตามใจชอบอีก”

“ใช่... เพราะฉันจะเป็นฝ่ายไปหานายเอง”

“ห๊ะ?”

“นายจะปิดกั้นฉันทุกช่องทางไม่ได้นะ” อีวานพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉันสารภาพความรู้สึกกับนายไปแล้วก็ควรเปิดโอกาสให้ฉันได้ทำคะแนนบ้างสิ”

ผมส่ายหน้าทันที “คุณจะเสียเวลาเปล่าๆ”

“ฉันเคยทำให้นายผิดหวังกับคืนแรกของเรา ฉะนั้นต่อจากนี้ฉันจะพยายามแก้ตัวจนกว่านายจะยอมรับและให้อภัยฉัน” ทันทีที่พูดจบ ลูกน้องของเขาส่งผ้าขนหนูให้ หลังจากรับมาก็คลี่ออกแล้วห่มให้ผม

“ไปอาบน้ำซะ จะได้มาทานข้าว... นายยังไม่ได้กินอะไรเลยหนิ”

 











**

อีวานสั่งให้ลูกน้องพากรัณย์ไปยังห้องอาบน้ำ ระหว่างยืนมองเด็กหนุ่มเดินเข้าไปด้านใน เหย้าเหวินก็เดินมาแนบข้างผู้เป็นนายเนื่องจากมีข้อสงสัยบางอย่างที่ค้างคาใจ

“เป็นการสารภาพรักที่หวานปนขมมากครับ” อีวานรู้ได้โดยอัตโนมัติว่ากำลังถูกคนสนิทล้อเลียน

“อยู่ๆ ลูเซียนก็ยื่นจมูกเข้ามายุ่มย่ามแบบโจ่งแจ้ง ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้เขาได้แต่อยู่เฉยเหมือนไม่แคร์อะไร ถึงฉันจะยังไม่รู้เหตุผลที่แท้จริงแต่ก็ชะล่าใจไม่ได้” เว้นช่วงไปพักหนึ่ง เจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าก็เอ่ยต่อ “ถ้าฉันไม่รุกให้หนัก ลูเซียนมีหวังได้ตัวรัณย์กลับไปอยู่ข้างกายเหมือนที่ผ่านมาแน่”

“ผมสงสัยครับ... ก่อนกระโดดลงไปกรัณย์เมื่อกี้ นายท่านคิดอะไรอยู่”

เหย้าเหวินจำได้แม่นว่าตอนที่กรัณย์กระโดดลงไปในน้ำ เขาจะอาสาลงไปช่วย แต่อีวานกลับยกมือห้ามไว้ แววตาซ้อนความลึกลับทอดมองร่างของเด็กหนุ่มที่กำลังตระเกียดกระกายแหวกว่ายเพื่อพยุงตัว เป็นเวลาเกือบหนึ่งนาทีที่อีวานยืนนิ่งโดยไม่มีปฏิกิริยาใดใด กระทั่งร่างของกรัณย์หายไปต่อหน้า เขาถึงพูดออกมาว่า...

‘ฉันเอง’ และกระโดดลงน้ำไป

“เด็กคนนั้นตั้งใจต่อกรกับฉัน เพราะเขาไม่เชื่อว่าฉันจะรักษาสัญญา ถึงได้กระโดดลงไป” อีวานหันไปจ้องคนสนิทแบบไม่กะพริบตา “ถือเป็นคำเตือน... ว่าเขายอมตายดีกว่ายอมตกเป็นของฉัน”

“ขนาดนั้นเลยหรอครับ” เหย้าเหวินค่อนข้างประหลาดใจ แต่กับผู้เป็นนาย... จวบจนตอนนี้เขายังไม่รู้เลยว่าเผลอยิ้มกับการกระทำของเด็กคนนั้นไปกี่ครั้งกี่หน


“เจ้าตัวเปี๊ยก... ชักน่าสนใจขึ้นทุกทีแล้วสิ”

**












TBC.

 

หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 25:: ปล่อยนายไปไม่ได้] UPDATE 06/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: masochism2018 ที่ 06-07-2018 21:02:37
อีวานดูปลอม ไม่จริงจัง
ทีมพี่ลูแล้วกันนะ  :katai3:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 25:: ปล่อยนายไปไม่ได้] UPDATE 06/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 06-07-2018 21:23:58
ก่อนความจำเสื่อม โดนอะไีรมานะ

ยอมใจรัณย์เลยกระโดดไปเลยเนี่ย ถ้าอีวานไม่ช่วยก็จะแย่เอา

พระเอกคือใครไม่รู้ ที่รู้ๆ #ทีมลูเซียน
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 25:: ปล่อยนายไปไม่ได้] UPDATE 06/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 06-07-2018 21:32:31
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 25:: ปล่อยนายไปไม่ได้] UPDATE 06/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 06-07-2018 21:49:27
 :m28: :m28:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 25:: ปล่อยนายไปไม่ได้] UPDATE 06/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 06-07-2018 21:57:30
คืออะไรกัน เล่นๆกันไปหมดอ่าาาางงใจ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 25:: ปล่อยนายไปไม่ได้] UPDATE 06/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 06-07-2018 23:25:46
“นายจะปิดกั้นฉันทุกช่องทางไม่ได้นะ” ลูเซียนพูดด้วยน้ำเสียงจริงจัง “ฉันสารภาพความรู้สึกกับนายไปแล้วก็ควรเปิดโอกาสให้ฉันได้ทำคะแนนบ้างสิ”
ตรงนี้ต้องเป็นอีวานหรือเปล่า

อดีตของรัณย์ก็ซับซ้อน   :เฮ้อ:  อยากเผือก  :z3:
มีความกลัว ความกดดันอะไรที่ไม่ชัดเจน
เอ่อ.......หวาดเสียว รัณย์ว่ายน้ำไม่เป็น แต่โดดทะเลเฉยเลย  o22
นอกจากชอบเซ็กซ์กับรัณย์แล้ว  ยิ่งทำให้อีวานสนใจชอบรัณย์้เข้าไปอีก
อีวานนี่จริงใจกับรัณย์จริงๆหรือ   :hao3:
แต่ที่แน่ๆตอนนี้ใครๆก็สนใจรัณย์แล้ว   :z3:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 25:: ปล่อยนายไปไม่ได้] UPDATE 06/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 06-07-2018 23:55:02
สงสารรัณย์ เหนื่อยแทนรัณย์ที่ต้องเจอกับความวุ่นวายรอบตัว อยากรู้จังว่าก่อนความจำเสื่อมเกิดอะไรขึ้นบ้าง :z3:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 25:: ปล่อยนายไปไม่ได้] UPDATE 06/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: La_Pomme ที่ 13-07-2018 19:39:37
บทที่ 26
::งานประมูล::





ผมได้เสื้อผ้าใหม่เอี่ยมอ่อง ราวกับเพิ่งเสกออกมาให้ ตอนแรกคิดคงเป็นใครสักคนบนเรือที่ให้ยืมใส่ แต่มันบนปกเสื้อยังไม่เอาป้ายราคาออก แถมไซส์ยังเท่ากับตัวผมอีก มันเป็นไปไม่ได้ที่คนตัวสูงใหญ่จะใส่เสื้อตัวเท่านี้ได้ เลยถามอีวานไปตรงๆ ว่าไปเอาเสื้อใครมาให้ใส่ คำตอบคือซื้อมาให้ผมโดยเฉพาะ

ถึงขั้นเตรียมการซื้อของใช้สำหรับพักข้างคืนขนาดนี้ แสดงว่าเขาคิดไว้แต่แรกแล้วว่าจะพาผมมาที่นี่...

ระหว่างล่องเรือไปเรื่อยๆ อีวานให้ผมนั่งบนนั่งทานของว่างระหว่างกินลมชมวิว ก่อนจะขึ้นฝั่งไปทานของหนักในร้านอาหาร เขาสั่งพวกอาหารทะเลมาเพียบ ผมรู้แล้วแหละว่าตัวเองแพ้แต่ไม่ได้บอกไป เพราะคิดว่าดูตั้งใจแน่วแน่ว่ามาทะเลก็ต้องสั่งอาหารซีฟู๊ด เมื่อถึงตาผมสั่งก็บอกไปว่าขอเป็นกับข้าวธรรมดาก็ได้ อีวานได้ยินรีบปฏิเสธ ผมเลยต้องบอกตามตรงว่าแพ้อาการทะเล

เพียงเท่านั้น... อีวานไม่พูดพร่ำทำเพลง เรียกพนักงานมาที่โต๊ะเพื่อสั่งอาหารใหม่ทันที

ท้องอิ่มแล้วอีวานก็พาผมขึ้นไปยังห้องพักของโรงแรม ระหว่างเดินตามหลังผมไม่พูดอะไรสักคำ คืนนี้ต้องพักห้องเดียวกับอีวานสิ่งเดียวที่ผมกำลังคิดก็คือ... ‘ไม่น่าไว้ใจ’

ขนาดอีวานเดินมาถึงหน้าประตูแล้ว ผมยังยืนนิ่งไม่ตามเขาเข้าไปด้านใน คือตอนนี้ผมไม่มีอะไรติดตัวสักอย่าง เสื้อผ้าที่สวมอยู่ก็ไม่ใช่ของตัวเอง ลำพังจะขออีวานให้เปิดห้องอีกหนึ่งห้องก็กลัวจะหาว่าทำเกินกว่าเหตุไป เพราะนี่เป็นห้องสวีท หรูหราด้วยของตกแต่ง ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าราคาค้างคืนจะแพงขนาดไหน อีกอย่างเขาก็บอกผมเองว่าขอเวลาไม่กี่วัน ถ้าปฏิเสธอีกก็ไม่รู้จะว่ายังไงแล้ว 

“ยืนทำอะไรอยู่ เข้ามาสิ”

ผมได้สติก็เดินเข้าไปในด้านแบบที่ยังเป็นกังวลอยู่ แต่พอเห็นวิวทะเลด้านนอกกับแสงไฟริมหาดก็ทำให้ผมเริ่มรู้สึกดีขึ้นบ้าง อีวานเดินนำผมไปตรงระเบียงด้านนอกก่อนจะควักมือเรียกให้ผมเดินตามไปดูบรรยากาศโดยรอบโรงแรม

“ชอบมั้ย”

“วิวสวยดี” ผมตอบแบบขอไปที

“เสร็จแล้วก็มาทางนี้เถอะ” เขาจับมือผมเพื่อพาไป แต่ผมยื้อไว้ก่อน เรียกว่าชะงักค้างมันตรงนั้นเลย และที่ผมไม่สะบัดมือออกเดี๋ยวนั้นเพราะอยากให้เขาเป็นฝ่ายถอยห่างผมไปเองบ้าง

สุดท้ายอีวานยอมปล่อยมือผม ก่อนจะเดินนำไปยังห้องนอนที่อยู่ทางซ้ายมือ พอเปิดประตูไปก็เห็นมีเตียง ทีวี ตู้เสื้อผ้า เฟอร์นิเจอร์ทุกอย่างที่ห้องสุดหรูในโรงแรมเขามีกัน จากนั้นอีวานก็เดินมาหยุดตรงปลายเตียงที่มีชุดสูทกับโบว์ไทค์สีแดงวางพาดอยู่คู่กัน

“นั่นเป็นชุดที่นายจะต้องใส่เข้างานคืนพรุ่งนี้” พูดถึงงานนั่น ผมมีเรื่องข้องใจอยู่นิดหน่อย

“งานประมูลวัตถุโบราณมันสำคัญยังไง คุณถึงอยากให้ผมไปด้วย”

“มีของล้ำค่าสิ่งหนึ่งที่ฉันอยากครอบครอง... เพราะมันบอกได้ว่าฉันเป็นใคร และเกิดมาเพื่ออะไร” เขาหนักแน่น ดูจริงจังกับคำพูดในประโยคนี้จนผมไม่กล้าขัด “ตลอดชีวิตฉันต้องแบกรับความภาคภูมิใจของตระกูล ฉะนั้นไม่ว่าแลกด้วยอะไรฉันก็ต้องได้มันมา”

“มันคือ...”

“เอาไว้นายไปเห็นในงานดีกว่า แล้วฉันจะบอกให้ฟังอย่างละเอียดเลย” ผมตัดใจไม่รบเร้าเอาคำตอบ เลยหันไปหยิบชุดสูทขึ้นมาดู ก่อนจะเห็นว่าขนาดมันเล็กเกินกว่าที่ผมจะใส่พอดี

“ดูจากทรงแล้ว ผมไม่น่าจะใส่ได้”

“มันเป็นชุดสั่งตัด พอดีตัวนายแน่นอน”

“ชุดพวกนี้ต้องวัดขนาดตัวอย่างละเอียดถึงจะตัดออกมาได้ไม่ใช่หรอ” ผมถามเพราะข้องใจ จนพูดจบแล้วอีวานก็ส่งสายแต่ที่มีเลศนัยพร้อมรอยยิ้มกว้างให้ผม

“ฉันเคยสัมผัสร่างกายนายมาแล้ว ทำไมจะไม่รู้ว่าตรงไหนขนาดเท่าไหร่ ไซส์อะไร” ไม่พูดเปล่า แต่ยังก้าวเท้าเข้ามาใกล้อีกต่างหาก ผมกลืนน้ำลายลงคอช้าๆ พยายามไม่สบตาอีกฝ่าย ก่อนจะหาเรื่องตัดบทไป

“ผมง่วงนอนแล้ว”

อีวานขำออกเสียง แม้เพียงสั้นๆ แต่ก็ทำให้ผมหงุดหงิดไม่น้อย

“ประตูห้องฉันไม่ได้ล็อค ถ้ามีอะไรเข้ามาหาได้ตลอดนะ” ว่าจบแล้วก็กำลังจะเดินหันหลังไป ทว่าจู่ๆ ผมก็นึกอะไรขึ้นได้ เลยร้องเรียกอีวานไว้ก่อนที่เขาจะเดินออกประตูไป

“เดี๋ยวก่อน”

“อะไร? จะเปลี่ยนใจไปนอนห้องเดียวกับฉันหรอ” แค่ฟังก็ขนลุกแล้วให้ตายสิ

“มือถือผมล่ะ”

อีวานเลิกคิ้วสูง จากนั้นก็หยิบโทรศัพท์ของผมออกมจากกระเป๋าเสื้อสูทของตัวเองขึ้นมา ผมแบมือรอหวังได้คืน แต่อีวานกลับเอาเก็บไว้ที่เดิม ก่อนจะเอ่ยสั้นๆ ว่า...

“ฉันยึด”









ตื่นเช้ามา ผมเดินขยี้ตาออกไปจากห้องนอนเพื่อหาน้ำดื่ม ไม่เห็นอีวานเลยคิดว่าเขายังไม่ตื่น สบโอกาสได้เดินดูรอบๆ เพราะเมื่อคืนไม่ได้สำรวจอะไร พอหัวถึงหมอนก็หลับยาวไปด้วยความเพลีย ผมหวังว่าจะได้เจอของที่ติดตัวมาแต่แรกอย่างกระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์ แต่หาไปเรื่อยๆ กลับสะดุดกระดาษแผ่นเล็กๆ ที่วางไว้บนโต๊ะกระจกแถวๆ โซฟาแทน

‘ฉันออกไปวิ่ง... ถ้าหิวก็โทรสั่งรูมเซอร์วิสเอา อยากกินอะไรพวกเขาจะหามาให้นายทุกอย่าง’

ทุกอย่าง? ผู้ชายคนนี้ชอบทำอะไรให้มันเวอร์ตลอดเลยสินะ...

เอาเข้าจริงผมจะหาทางหนีไปตอนนี้เลยก็ได้ แต่ถ้าออกจากโรงแรมแล้วเอาไงต่อล่ะ ผมอยู่บนเกาะ แถมไม่มีเงินติดตัวสักบาท โดนคนของอีวานเอาของส่วนตัวไปหมดแบบนั้นผมก็เท่ากับเป็นคนตัวเปล่า ไม่มีทางเอาตัวรอดได้แน่ และถึงจะไปแจ้งความว่าโดนคนจับตัวมาก็ไม่มีประโยชน์ เพราะถ้าตำรวจทำอะไรอีวานได้ ป่านนี้เขาคงถูกสอบสวนไปตั้งแต่ผมโดนพาตัวไปตั้งแต่ครั้งแรกแล้ว

ตัดใจไม่ทำอะไรวู่วาม ผมเลือกอยู่อย่างนี้ด้วยการโทรสั่งอาหารจากรูมเซอร์วิสตามที่อีวานบอก และเมื่ออาหารเช้ามาวางตรงหน้า ผมจัดการจนเรียบก่อนจะเดินออกไปย่อยตรงระเบียง รับแดดรับลมทะเล บรรยากาศอบอุ่น ผืนทะเลสีฟ้าครามกับทรายละเอียด เห็นแล้วสบายตามาก

ถ้าคิดในแง่ดี ผมว่านี่คือโมเม้นท์ที่ผ่อนคลายสุดๆ เลยล่ะ

กระทั่งได้ยินเสียงประตูเปิด ผมเอี้ยวตัวหันไปมองก็พบว่าอีวานกลับมาแล้ว อยู่ๆ ก็เข้าใจเลยว่ารู้สึกหมดอารมณ์มันเป็นยังไง ผมเลื่อนบานกระจกเพื่อเข้ามาด้านใน กะว่าจะเดินเข้าห้องตัวเองเพื่อหลีกเลี่ยงอีวาน แต่สุดท้ายกลับโดนเขาเอาตัวมาขวางซะก่อน

เจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าจ้องผมเขม็ง จากนั้นก็เอาหลังมือขึ้นมาทาบตรงหน้าผาก สัมผัสนั้นทำผมสะดุ้งจนต้องรีบเอาหัวหลบไปโดยอัตโนมัติ แต่ก็ยังเห็นอยู่ว่าสีหน้าของอีวานดูหงุดหงิดยังไงชอบกล

“ไม่สบายจนได้ นี่ไงล่ะ... ผลจากการที่นายทำอะไรโง่ๆ” เขาเค้นเสียงดุ คงพูดถึงเหตุการณ์ที่ผมตัดสินใจกระโดดลงน้ำทะเลจนทำให้ตัวเองไม่สบาย แต่ผมก็ลองจับหน้าผากตามแล้วนะ ไม่เห็นร้อนตรงไหนเลย

“ผมสบายดี เมื่อกี้ออกไปตากแดดตรงระเบียงมา ตัวก็เลยร้อน”

“แต่สีหน้านายไม่ค่อยดี กินยากันไว้หน่อยดีกว่า” จะจริงจังไปทำไม หรือว่า...

“กลัวผมจะไปงานประมูลกับคุณไม่ได้ใช่มั้ยล่ะ”

“นั่นก็ด้วย”

ผมถอนหายใจ ไหนๆ ผมก็ตามน้ำมาจนถึงตอนนี้แล้ว ถ้าเขาคิดจะพาผมกลับในวันสองวันนี้ตามที่บอก ผมก็จะพยายามไม่ขัดเขาเพื่อความสบายใจของทั้งสองฝ่าย

“แล้วยาอยู่ไหนล่ะ” ผมจำยอมในขณะที่อีวานยิ้มกว้าง ถามจริง มันตลกตรงไหน จะถามว่าขำทำไมก็ดันเดินไปไหนไม่รู้ เห็นอีกทีก็ตอนถือแก้วน้ำกับยาพารามาให้

ผมหยิบเข้าปากสองเม็ดก่อนจะดื่มน้ำตาม เสร็จเรียบร้อยเจ้าฝรั่งก็ขยี้หัวผมแล้วก็พูดว่า “เด็กดี”

อะไรของเขาวะ!

ยังไม่ทันอ้าปากต่อว่าเจ้าฝรั่งบ้าก็เดินร่างที่เต็มไปด้วยเหงื่อเข้าห้องตัวเองไป ทำไมต้องลูบหัวด้วย ไม่เห็นเข้าท่าเลย ผมอายุยี่สิบกว่าแล้ว ทำเป็นเด็กๆ ไปได้









เมื่อถึงเวลาเข้างานประมูลวัตถุโบราณ ผมถูกผู้ชายหัวโล้นทื่ชื่อว่า ‘เหย้าเหวิน’ หรือก็คือคนสนิทของอีวานช่วยจัดทรงผมพร้อมดูเสื้อผ้าให้เรียบร้อย เขาเล่าว่างานนี้มีชาวต่างชาติมากกว่าครึ่ง เพราะวัตถุโบราณส่วนใหญ่มีแหล่งที่มาจากทั่วโลก แต่เนื่องจากผู้ครอบครองเป็นชาวไทยและเคยถูกจัดแสดงมาก่อน มันถึงได้ก่อเกิดความน่าสนใจขึ้นมา

อีวานสวมใส่ชุดทักซิโด้สีดำ ทรงผมเนี้ยบทำให้ดูสุขุม รูปร่างสูงใหญ่กับบ่ากว้างของเขาดูเข้ากับชุดไปทุกสัดส่วน บอกตามตรงว่าตอนเดินเข้างานกับอีวานผมรู้สึกประหม่ามาก ก็เขาดูสง่าไปซะหมด ทั้งหล่อกว่า รูปร่างดีกว่า แค่ส่วนสูงผมก็สู้ไม่ได้แล้ว มันต้องเกิดการเปรียบเทียบแน่ๆ ผมไม่มั่นใจในตัวเองสักนิด รู้สึกอย่างเดียวคืออยากออกจากงานนี้แล้ว

ภายในงานมีมุมที่ถูกจัดคอกเทล ตรงไปเป็นเวทีและโพเดียม เก้าอี้สำหรับผู้ประมูลถูกวางไว้อย่างเป็นระเบียบ ที่เหลือก็รอเพียงงานเริ่ม ระหว่างนั้นอีวานมีโอกาสได้พูดคุยกับคนอื่นๆ โดยบอกให้ผมยืนอยู่ตรงโต๊ะคอกเทลไปก่อน ตรงจุดนี้ผมค่อนข้างโอเค เพราะถ้าให้ยืนอยู่ด้วยผมคงอึดอัดน่าดู   

“วันนี้ฉันให้นายเป็นญาติห่างๆ ไม่ต้องเสียใจไปนะ” อีวานยืนอยู่ข้างหลังผมตอนไหนไม่รู้ ฟังประโยคเมื่อกี้คงมีคนถามว่าผมเป็นใคร และพอหันไปมองหน้า เขาก็ยิ้มให้ผมพร้อมพูดต่อ “อย่าห่วงเลย ฉันไม่ให้นายอยู่ฐานะนี้นานหรอก”

สิ้นเสียงอีวาน ผมเบือนหน้าหนีทันที ของกินตรงนี้ยังน่าสนใจกว่าคำพูดเลี่ยนๆ ของเขาซะอีก

“เหย้าเหวินเซตผมให้นายแบบนี้ ลุคผู้ใหญ่ขึ้นเป็นกองเลย” ว่าแล้วใช้มือตัวเองจัดๆ ทรงให้ผมแบบลวกๆ

“อย่าน่า” ผมปัดมืออีวานออกแล้วจัดผมตัวเองให้เข้าที่ ก่อนจะมองรอบๆ เพื่อดูว่ามีใครมองอยู่หรือเปล่า เพราะแค่ยืนเฉยๆ ผมยังคิดอยู่ตลอดว่าวางตัวถูกหรือเปล่า แล้วอยู่ๆ ดันโดนอีวานแกล้งแบบนี้ ผมก็ยิ่งกังวลสิ ไม่รู้ว่าคนในงานเขาจะมองเราสองคนยังไง   

“ทำไมต้องเกร็งด้วย นายน่าจะเคยมางานแบบนี้บ่อยหนิ... หรือว่าพ่อเลี้ยงของนายไม่เคยพาออกงาน” ผมมองอีวานตาไม่กะพริบ กำลังจะถามว่าทำไมถึงพูดเหมือนรู้เรื่องครอบครัวผมนัก แต่ยังไม่ทันเอ่ยปาก คนตรงหน้ากลับรู้ทัน เลยพูดดักทางไว้ “เคยบอกแล้วไงว่าฉันรู้ทุกเรื่องที่เกี่ยวกับนาย”

ผมเฉยชากับคำพูดนี้ ฟังแล้วรู้สึกว่าตัวเองเคยโดนจับตา ถูกตามสืบเรื่องส่วนตัวอะไรทำนองนั้น ยิ่งตอนนี้สูญเสียความทรงจำไป ก็อาจเป็นไปได้ว่าอีวานจะรู้เรื่องผมมากกว่าตัวผมเองซะอีก

ไม่นานเสียงประกาศเริ่มการประมูลก็ดังขึ้น...

“ไปนั่งที่กันเถอะ” อีวานเอ่ยชวน

“ผมรอคุณอยู่ตรงนี้ดีกว่า”

“เฮ่... ฉันให้นายมานั่งข้างๆ ไม่ใช่มายืนกินของจุกจิกพวกนี้ ถ้าอยากกินฉันจะสั่งคนจัดไว้ให้ทีหลัง” เดี๋ยวนะ พูดยังกับผมเห็นแก่กินงั้นแหละ ไม่ใช่สักหน่อย ผมแค่นึกภาพตอนตัวเองไปนั่งเอ๋อๆ อยู่ตรงนั้น เพราะไม่ได้อินกับการประมูลเหมือนพวกคนไฮโซต่างหาก

“มันเหมือนไม่ใช่ที่ของผม” พูดจบก็ก้มหน้าลง ขนาดมองชุดที่ใส่อยู่ยังดูเหมือนไม่ใช่ตัวผมเลย แต่แล้วจู่ๆ อีวานก็จับคางผมเชยขึ้น ดวงตาสีฟ้าฉายแววจริงจังอยู่ตรงหน้า เล่นเอาผมนิ่งไปเดี๋ยวนั้น

“ขอแค่นายต้องการ... ไม่ว่าที่ไหนบนโลกนี้ ฉันก็ทำให้มันเป็นที่ของนายได้หมด”

ผมขมวดคิ้ว จัดการปัดมืออีวานให้ออกจากตัวอีกครั้ง “เมื่อไหร่คุณจะเลิกพูดจาโอเวอร์สักที”

“ฉันไม่ได้พูดเล่นนะ”

“ผมไม่ได้หวังให้ตัวเองอยู่ได้ทุกที่สักหน่อย... เอาแค่อยู่ในที่ที่ไม่มีคุณก็พอ” ผมไม่สนใจว่าอีวานจะพูดอะไรต่อ และเลือกที่จะเดินนำไปยังเก้าอี้ว่างที่เรียงกันเป็นแถวตอนลึกสองฝั่ง

การประมูลเริ่มขึ้น มีวัตถุโบราณออกมาให้ทำงานเสนอราคาพลัดกันไป โดยที่คนให้ราคาในชนิดที่คนอื่นสู้ไม่ไหว จะเป็นผู้ครอบครองวัตถุโบราณดังกล่าว  เจ้าหน้าที่นำของออกมาเรื่อยๆ แต่อีวานไม่ยอมเสนอราคาสักครั้ง เขากำลังรอสมบัติชนิดไหนกัน ผมเห็นฝรั่งตาฟ้านั่งไขว่ห้างมองคนอื่นเอาของสิ่งนั้นสิ่งนี้ไปแบบชิวๆ

จนกระทั่ง...

“เอาล่ะครับ ลำดับต่อเป็นไปป์เครื่องเงินทรงบิลเลียตในศตวรรษที่ 19 เบ้าเป็นทรงกระบอกที่มีฐานด้านล่างมน ทำจากเครื่องเงินสลักลาย ปลายด้ามแบบเรียวทำจากทองสัมฤทธิ์ ถูกสร้างขึ้นเพื่อเป็นของขวัญแด่ดยุคแห่งรัสเซีย ไปป์ด้ามนี้จึงมีเพียงชิ้นเดียวในโลก”

ผมเห็นแววตาของอีวานเปล่งประกาย เหมือนเขากำลังมองสิ่งที่คลั่งไคล้หลงใหล ของประมูลชิ้นล่าสุดดึงความสนใจคนทั้งงาน ไม่รู้ว่าเป็นเพราะมันสวยงามหรือมีเพียงชิ้นเดียวในโลกกันแน่

มีบางคนเริ่มยกป้ายประมูลราคากันแล้ว อีวานเริ่มคร่ำเคร่ง สอดส่ายสายตามองคนที่ประมูลเกทับกันไปมา จนราคาเพิ่มขึ้นไปถึงยี่สิบล้านเหรียญ เขาก็ยกป้ายขึ้นและเพิ่มราคาประมูลไปที่สามสิบล้านเหรียญ!

ผมอ้าปากค้าง ของเก่าชิ้นแค่นั้นมีมูลค่าขนาดนี้เชียว...

ราคายิ่งสูงขึ้นบรรยากาศในงานก็เริ่มคึกคัก เว้นแต่ผู้ประมูลที่กำลังต่อสู้กันอย่างเอาจริงเอาจัง ตอนแรกผมรู้สึกประหม่ากับการร่วมงานแบบนี้ แต่พอเห็นความตั้งใจของอีวานที่อยากได้ไปป์โบราณ ผมก็เผลอลุ้นไปด้วย ไม่รู้ว่าเป็นเพราะโบราณวัตถุชิ้นนี้คือสมบัติของชาติตัวเองหรือเปล่า เขาถึงเอาจริงเอาจังขนาดนี้ ไม่ว่าอีกฝ่ายเพิ่มราคาขึ้นเท่าไหร่ เขาก็ยกป้ายสู้ราคาตลอด และเมื่อพิธีกรเริ่มนับให้ราคาสี่สิบสามล้านเหรียญ ซึ่งเป็นราคาที่สูงสุดในขณะนี้ อีวานไม่พูดพร่ำทำเพลงรีบยกป้ายขึ้นมาแล้วตะโกนเสียงดัง

“ห้าสิบล้าน!”

คนในงานฮือฮากันยกใหญ่ พิธีกรนับถึงสามก่อนจะเคาะราคาอยู่ที่ห้าสิบล้านเหรียญ ผมทั้งตกตะลึงและตื่นเต้นไปกับสถานการณ์ที่พาไป มารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่อีวานจับมือผมแล้วกุมไว้

ในช่วงเวลาที่ทุกสายตาของคนในงานมองชายหนุ่มที่ได้วัตถุโบราณชิ้นนี้ไปครอบครอง ผมโฟกัสไปที่เจ้าของมือหนาพร้อมขืนตัวเองด้วยการบิดข้อมือเพื่อเตือนว่าเขาควรปล่อยได้แล้ว แต่ทันทีที่เห็นอีวานยิ้มร่าหน้าบานพร้อมหันมามองผมโดยไม่พูดอะไร... วินาทีนั้น ผมคล้อยตามความดีใจที่อีกฝ่ายแสดงออกอย่างไม่ปิดบัง จนไม่อาจขวางความสุขของเขาได้ลง


เหตุผลที่อีวานอยากให้ผมอยู่ข้างๆ หมายถึงช่วงเวลานี้งั้นหรอ...















TBC.

NEXT UPDATE 15/07/2018 TIME 20.00 น.

 

 

 
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 26:: งานประมูล] UPDATE 13/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 13-07-2018 21:32:02
 :mew1: :mew1: :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 26:: งานประมูล] UPDATE 13/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 13-07-2018 23:54:37
ห่ะ อะไรเนี่ย อีวานลุคพระเอกสุดๆ อยากได้แบบนี้มั่ง
 :z2: :z2:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 26:: งานประมูล] UPDATE 13/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 14-07-2018 00:07:24
ใครจะได้ใจนายเอกเนี่ย
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 26:: งานประมูล] UPDATE 13/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: masochism2018 ที่ 14-07-2018 00:15:05
สับสนเหลือเกิน  :katai5:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 26:: งานประมูล] UPDATE 13/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 14-07-2018 00:37:42
ชอบพระเอกสายเปย์ ชัดเจน เชียร์อีวานจ้า  :laugh:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 26:: งานประมูล] UPDATE 13/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 14-07-2018 04:29:40
อยากให้อีวานเป็นพระเอก ฮ่าฮา
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 26:: งานประมูล] UPDATE 13/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 14-07-2018 10:30:59
มาขนาดนี้แล้วต้อง สามพีเท่านั้น!!!!
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 26:: งานประมูล] UPDATE 13/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: Januarysky ที่ 14-07-2018 11:16:00
เชียร์อีวาน
อีวาน!!
อีวาน!!
 :hao7:
กดบวกขอบคุณ
รีเควส ขอจ้านกับไทด์โหน่ยยยย

หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 26:: งานประมูล] UPDATE 13/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 14-07-2018 11:38:29
ตอนนี้อีวานลุคพระเอกมาก แงง พี่ลูสู้เขานะ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 26:: งานประมูล] UPDATE 13/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 14-07-2018 14:06:03
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 26:: งานประมูล] UPDATE 13/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: Thawatchai01 ที่ 14-07-2018 20:46:15
ต่อมเผือกทำงานไม่หยุด มาต่อเร็วๆนะครับ  :katai1:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 26:: งานประมูล] UPDATE 13/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 14-07-2018 21:53:34
ใิิืีห้สงสัย ทำไมอีวาน  ถึงได้หลงใหลรัณย์ซะมากมาย  :hao3:
รู้เรื่องส่วนตัวของรัณย์ก็มาก
ถูกปฏิเสธก็ไม่ย่อท้อ  กลับปลื้มปริ่มซะอีก
ตกลงชอบรัณย์จริงๆ หรืออยากเอาชนะกัน
        :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 26:: งานประมูล] UPDATE 13/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 15-07-2018 22:34:20
รออ่านอยู่นะจ๊ะ  :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 26:: งานประมูล] UPDATE 13/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 16-07-2018 09:29:46
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 26:: งานประมูล] UPDATE 13/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: La_Pomme ที่ 16-07-2018 21:06:20
บทที่ 27
::จับฉันสิ::





หลังจากเสร็จงานประมูล อีวานพาผมขึ้นไปบนดาดฟ้าของโรงแรม เห็นว่าได้รับอนุญาตพิเศษเพราะไม่ใช่ลูกค้าธรรมดา แต่ยังเป็นหุ้นส่วนของที่นี่ด้วย ได้ยินแล้วอึ้งไปเลย เพราะผมอยู่ในถิ่นของอีวานนี่เอง เมื่อเช้าเขาถึงปล่อยให้ผมอยู่ในห้องคนเดียวแบบไม่กังวลว่าผมจะหาทางหนีหรือเปล่า

“วิวเป็นไง?” อีวานยืนล้วงกระเป๋าอยู่ข้างผม

“ฟ้ามืดมองไม่เห็นอะไรเลย แล้วจะให้ผมดูวิวที่ไหน” ผมพูดความจริง ไม่ได้กวนตีนแต่อย่างใด คืนนี้พระจันทร์เสี้ยวเดียวเอง ถ้าเต็มดวงน่าจะกว่านี้

“แค่รับลมทะเลก็ได้บรรยากาศไปอีกแบบน่า”

“นี่มันลมบกต่างหาก ลมทะเลพัดตอนกลางวันโน้น”

“โอ้! ไม่ยักรู้ว่านายตั้งใจเรียนด้วย” ผมเหลือบมองอีวานโดยไม่แสดงอารมณ์ร่วมไปกับคำพูดที่พยายามทำให้ตลก เพราะผมคิดว่าน่าจะเป็นตลกกลบเกลื่อนซะมากกว่า

“สรุปว่าไปป์นั่นคือสิ่งที่ทำให้คุณมาประมูลมันถึงที่นี่ใช่มั้ย” ผมเปลี่ยนไปคุยเรื่องที่ค้างคาใจแทน

“ถูกต้อง”

“มันสำคัญยังไง”

อีวานหรี่ตามองผม “อยากรู้เรื่องเกี่ยวกับฉันขึ้นมาแล้วสิ”

“ก็มันคือสาเหตุที่ทำให้ผมถูกพาตัวมาที่นี่ไม่ใช่หรอ... คุณพูดมาให้รู้เรื่องสิ ผมจะได้เข้าใจ” อีวานไม่ยอมบอกสาเหตุที่พาผมมาที่นี่แบบตรงๆ สักที จนตอนนี้เขาได้สิ่งที่ต้องการแล้วก็ควรจะบอกผมมาให้หมด

“แค่อยากให้นายรู้ว่าฉันกำลังทำอะไรอยู่” ผมดูจากสถานการณ์แล้วคิดตาม

“สะสมของเก่า?”

อีวานยิ้มเล็กน้อย เหมือนส่งสัญญาณให้รู้ว่าผมเดาผิด

“ฉันกำลังตามหาของล้ำค่าที่เป็นสมบัติของตระกูลฉัน” ผมเลิกคิ้วสูง

“คุณคงหมายถึงตระกูลเชื้อสายรัสเซีย เพราะไปป์ที่ประมูลได้ถูกผลิตที่นั่น”

“ใช่... แต่ที่บอกว่าถูกมอบให้ดยุคแห่งรัสเซียไม่ใช่ชิ้นนี้ ฉันมีหลักฐานจากบันทึกของตระกูลว่าไปป์ถูกทำขึ้นเป็นพิเศษโดยลูกชายที่มองให้พ่อเพื่อเป็นของขวัญวันเกิด และเรื่องนี้จะถูกเผยแพร่ให้ทั่วโลกได้รู้ความจริงว่ามันคือสมบัติของตระกูลฉัน ไม่ใช่ของเชื้อพระวงศ์” สายตาอีวานดูมุ่งมั่นและจริงจังมาก “ในยุคที่รัสเซียยังมีกษัตริย์ปกครอง ต้นตระกูลฉันใกล้ชิดกับราชวงศ์ที่สุด เป็นเชื้อสายอาร์ไมนอฟผู้มั่งคั่งและทรงเกียรติ... จนถึงคราวแย่งชิงราชบัลลังก์ ตระกูลฉันถูกกวาดล้างจนเกือบล่มสลาย เงินทองทั้งหมดถูกยึด สมบัติล้ำค่าของตระกูลทุกชิ้นก็กระจัดกระจายหายไป คนที่เหลือรอดต้องใช้ชีวิตข้นแค้น กลายเป็นคนต่ำต้อย ขนาดว่าในประวัติศาสตร์ไม่มีจารึกเกี่ยวกับตระกูลฉันเอาไว้ด้วยซ้ำ”

อีวานก้มหน้า นำมือสองหนึ่งล้วงกระเป๋ากางเกง จนเมื่อเขาถอนหายใจเฮือกใหญ่ออกมา ผมรู้สึกได้เลยว่าสิ่งที่จะพูดต่อไปนี้คงถูกกลั่นกรองอย่างดีแล้ว

“แม่ฉันเป็นคนรัสเซีย แต่พอท่านแต่งงานกับพ่อที่เป็นชาวฮ่องกง ฉันก็เลยถือสัญชาติจีน... ตอนเด็กๆ ยายฉันพูดตลอดว่าบรรพบุรุษชาวรัสเซียของท่านทรงอิทธิพลแค่ไหน มันมีไม่กี่ตระกูลหรอกที่สามารถเล่าเรื่องราวสืบต่อกันมาจนรุ่นลูกรุ่นหลาน เพราะอย่างนั้นบันทึกของตระกูลเลยสำคัญมากกว่าชีวิต และมันคือสมบัติชิ้นเดียวที่ยายฉันมี ที่น่าสนใจคือในนั้นมีข้อความเกี่ยวกับสมบัติของตระกูลที่สูญหาย ฉันเห็นมาตั้งแต่เด็ก จนตอนนี้มันถูกส่งต่อให้ฉัน เลยคิดว่ามันจะดีแค่ไหนถ้าสมบัติที่จะส่งต่อให้ลูกหลานไม่ใช่แค่บันทึกของตระกูล แต่มีของเก่าล้ำค่าที่สามารถบอกได้ว่าบรรพบุรุษของเราเคยยิ่งใหญ่” เขามองลึกมานัยน์ตาของผม ก่อนกระตุกรอยยิ้ม “ฉันถูกคุณยายเลี้ยงมา เลยได้แนวทางการดำเนินชีวิตกับท่านมาเยอะ เพราะมีเชื้อรัสเซียแค่ครึ่งเดียว ท่านก็เลยสนับสนุนให้ฉันทำทุกวิถีทางในการรวบรวมสมบัติของตระกูลที่พอจะหาได้ เพื่อไม่ให้ตระกูลอาร์ไมนอฟต้องถูกลืม”

ผมได้ยินอย่างนั้น ก็เกิดความอยากรู้ขึ้นมา

“คุณเจอครบรึยัง”

“ไปป์เครื่องเงินเป็นชิ้นที่ 3”

“แล้ว 2 ชิ้นแรกคืออะไร” ผมถามกลับ

“ภาพสีน้ำมันที่วาดโดยจิตกรชาวยุโรป เป็นรูปเหมือนของกลุ่มคนที่รวมตัวอยู่ห้องโถงใหญ่ ว่ากันว่าคนพวกนั้นเป็นคนในตระกุลอาร์ไมนอฟ แต่น่าเสียดายที่มีเพียงภาพเดียวเพราะนอกนั้นถูกเผาทำลายไปหมด ส่วนชิ้นที่ 2 คือเหรียญสลักตราเกียรติยศที่เคยได้รับพระราชทานจากกษัตริย์... สำหรับไปป์เครื่องเงินที่เพิ่งประมูลมาได้ ตามบันทึกของตระกูลระบุว่าในอดีตเราเคยรับสัมปทานทำไปป์เพื่อเป็นสินค้าส่งออก และเพื่อมอบผู้นำตระกูลในวันครบรอบวันเกิด ลูกชายคนโตเลยทำขึ้นเป็นพิเศษ หลักฐานก็คือลายเส้นตวัดนามสกุลที่ถูกสลักเอาไว้ตรงด้ามจับ”

ฟังที่อีวานพูดมา ถ้าเป็นความจริงก็แปลว่าวัตถุโบราณพวกนั้นไม่ได้ประมูลมาเป็นของสะสม แต่มันมีคุณค่าทางจิตใจ เป็นการเคารพบรรพบุรุษ เพราะเหตุนี้เขาถึงพูดอย่างนั้น

‘มันบอกได้ว่าฉันเป็นใคร และเกิดมาเพื่ออะไร... ตลอดชีวิตฉันต้องแบกรับความภาคภูมิใจของตระกูล ฉะนั้นไม่ว่าแลกด้วยอะไรฉันก็ต้องได้มันมา’

“แล้วของชิ้นต่อไปล่ะ” อีวานยิ้มให้กับคำถามของผม ก่อนจะแหงนหน้ามองท้องฟ้า

“สร้อยอัญมณีสีเงิน” ว่าจบก็หันมามองผม “ตอนนี้ฉันสืบจนรู้แล้วว่ามันอยู่ที่ไหน เหลือแค่... เอามันมาให้ได้”

“ฟังเหมือนคุณเป็นนักล่าสมบัติเลย”

“หึ! ชีวิตฉันมีอะไรน่าตื่นเต้นตั้งเยอะ ทำไมนายไม่นึกสนใจบ้าง ถ้าชอบแบบลูเซียน เทียบกันแล้วฉันลึกลับกว่าเยอะ ไหนจะรวยกว่า หล่อกว่า มีทุกอย่างเหนือกว่า... ถ้าเปลี่ยนใจมาหาฉันตอนนี้ยังทันนะ” อีวานยิ้มกว้าง มองผมตาไม่กะพริบ ก่อนจะค่อยๆ ยกมือขึ้นมาแล้วใช้นิ้วเกลี่ยข้างแก้มผม

“อีวาน...” ผมสะดุ้ง จะหันตัวหลบแต่อีวานกลับจับบ่าไว้ด้วยมือทั้งสองข้าง นัยน์ตาสีฟ้าจดจ้องพยายามให้ผมประจันหน้า เลยเป็นที่แน่นอนว่าตอนนี้ผมเห็นใบหน้าอันแสนจริงจังของเขาอย่างชัดเจน

“จับฉันสิรัณย์ จับฉันให้อยู่หมัด... นี่เป็นโอกาสของนายแล้ว”

“อีวาน” ผมเน้นเสียงหนัก “ต้องทำยังไงคุณถึงจะเลิกยุ่งกับผม”

“ทีนายยังเลิกยุ่งกับลูเซียนไม่ได้ แล้วจะมาห้ามฉันทำไม”

“คุณชอบผมจริงๆ น่ะหรอ” คำสวนกลับทำให้อีวานนิ่งไปสักพัก แต่ก็ใช้เวลาไม่นานก่อนจะเอ่ยตอบ

“ถึงขนาดนี้แล้วยังถามอีก”

“กิตติศัพท์คุณเป็นยังไงใช่ว่าผมไม่เคยได้ยิน แล้วจะให้ผมเชื่อว่าคุณจริงใจกับผมเนี่ยนะ”

“ใช่ นายควรเชื่อ... หรือไม่ก็ควรมองให้ออกว่านายพิเศษต่อฉันยังไง” 

“เรื่องระหว่างผมกับคุณมันเกิดขึ้นจากข้อตกลง ผมเอาตัวเองเข้าแลกเพื่อคนอื่น ส่วนคุณได้ความสนุก มันมีจุดที่ทำให้คุณรู้สึกดีดีกับผมตรงไหน” ยิ่งอีวานพูดคล้ายว่าให้ความสำคัญกับผม มันก็ยิ่งสร้างความข้องใจมากเท่านั้น “จริงสิ...  พูดถึงเรื่องนี้ ผมมีข้อสงสัยอย่างหนึ่ง”

“ว่ามาสิ”

“คุณตั้งใจจะเซ็นสัญญากับลูเซียนอยู่แล้ว ทำไมถึงรับข้อเสนอของผมล่ะ”

“ฉันอยากได้นาย”

อะไรกัน! เขาไม่คิดก่อนพูดด้วยซ้ำ

“แค่เจอกันครั้งเดียวคุณก็รู้สึกแบบนั้นกับผมแล้วหรอ”

“ฉันเคยเจอนายก่อนหน้านั้น”

“ไงนะ!”

ไหนบอกว่าเราเคยเจอกันครั้งเดียว แถมรู้จักกันได้เพราะลูเซียนไงล่ะ แล้วอยู่ๆ จะกลับคำว่าเคยเจอผมมาก่อนเนี่ยนะ พูดจริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ผมต้องพิสูจน์ยังไง เพราะถ้าให้ตามไปตรงๆ ก็คงไม่เนียน

“ฉันยอมเซ็นสัญญากับลูเซียนเพราะนายบอกให้เซ็น” เฮอะ พูดเป็นเล่น ใครเขาจะโง่เชื่อกัน

“โกหก”

“ฉันรู้ มันดูไม่ค่อยน่าเชื่อถือเท่าไหร่... ก็เหมือนกับที่ฉันไม่เชื่อว่าลูเซียนคิดจะลุกขึ้นมาแย่งนายไปนั่นแหละ เขาเป็นฝ่ายแนะนำนายให้ฉันแท้ๆ แต่กลับฉวยโอกาสตอนที่ฉันไม่อยู่ชิงนายไป แบบนี้มันใช้ได้หรอ” อีวานพูดรัวๆ แบบไม่ใช้เวลาคิด แถมยังดูเฉยๆ ในขณะที่ผมกำลังจับต้นชนปลายไม่ถูก

แต่ไหนๆ อีวานก็พูดถึงลูเซียนขึ้นมาแล้ว ผมก็ควรทำตัวให้สมบทบาท

“คุณเข้าใจอะไรผิดแล้ว ที่ผมยอมอยู่กับลูเซียน... เพราะว่าเรารักกัน”

“เจ้าตัวเปี๊ยก” ทำไมเขาต้องเรียกผมแบบนี้ด้วยเนี่ย “อย่าโง่หน่อยเลยน่า ถ้าลูเซียนจะรักนายเขาคงรักไปนานแล้ว”

“คุณจะไปรู้อะไร”

“ไม่งั้นเขาจะปล่อยให้นายอยู่กับฉันตั้งแต่เมื่อวานจนถึงตอนนี้หรอ”

“เรื่องนั้น...”

แน่นอนสิ... เขาเป็นใครจะต้องข้ามน้ำข้ามทะเลมาหาผมที่เกาะนี่ด้วย อยู่ตั้งไกล แถมเสียเวลางานอีกต่างหาก และอีกอย่าง เขาไม่มีวันเป็นฝ่ายมาหาผมก่อนอยู่แล้ว

ระหว่างที่ผมเผลอคิดตาม อีวานก็ขยับตัวเข้ามาใกล้ และยืนจ้องหน้าผมอย่างไม่วางตา

“ให้ฉันดูแลนายเถอะรัณย์ รับรองว่าการเปิดใจให้ชอบฉัน มันง่ายกว่าทลายกำแพงน้ำแข็งของลูเซียนซะอีก” อีวานใช้น้ำเสียงจริงจัง วาจาสุขุม เป็นครั้งแรกที่ผมฟังเขาอย่างไม่รู้สึกหงุดหงิดรำคาญใจ บอกตามตรงว่าในสมองผมไม่มีคำตอบให้กับเขาเลย คิดได้อย่างเดียวคือผู้ชายคนนี้แค่ต้องการเอาชนะ ไม่แน่ว่าผมอาจเป็นคนเดียวที่ทำให้เขารู้สึกไม่ได้ดั่งใจ ยิ่งหนี เขาก็จะยิ่งทำทุกวิธีทางเพื่อพาผมกลับมา

ยังไงผมก็เป็นเพียงแค่เหยื่อเท่านั้น ถ้าลองเขาได้ในสิ่งที่ต้องการแล้ว ผมจะกลายเป็นอะไรต่อก็ไม่รู้... 

เจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าสัมผัสข้างแก้มผมด้วยฝ่ามือ และเอ่ยพูดในขณะที่ยังมองผมอยู่ “สัญญาก่อนว่านายจะไม่กระโดดตึก... ถ้าหากฉันจูบ”

“จ...จูบ!” ได้ยินแบบนี้เป็นใครไม่ตกใจบ้าง

“ใจเย็น... ฉันจำได้น่าว่าสัญญาอะไรไว้ แต่นายดูรอบๆ สิ บรรยากาศเป็นใจขนาดนี้จะไม่คล้อยตามหน่อยหรอ นี่ฉันก็กำลังขอนายอยู่ด้วย” อีวานเลื่อนนิ้วโป้งมาลูบบนริมฝีปากของผมเบาๆ ก่อนจะเอ่ยต่อ “ตรงนี้... ขอได้มั้ย”

ผมยืนนิ่งเหมือนหุ่นถูกสต๊าฟไว้ เขาใช้เสียงนุ่มนวลจนไม่อยากเชื่อว่าคำพูดอ้อนวอนจะออกมาจากปากของคนอย่างอีวานได้ ทำไมไม่ทำสีหน้ากวนประสาทเหมือนเคย เขาควรยิ้มแบบมีเลศนัยกว่านี้ไม่ใช่หรอ ผิดๆๆ ผิดไปหมด แบบนี้ ไม่ใช่เขาเลยสักนิด

คิดอะไรไม่ทันแล้ว อีวานไม่ให้โอกาสผมพูดอะไรด้วยซ้ำ แค่กลืนน้ำลายลงคอไปแปบเดียวเขาก็โน้มตัวลงมาแทบจะทันที แต่โชคยังดีที่ผมเบือนหน้าหนีทัน

“ฮึ นายนี่มัน...” อีวานฉีกยิ้มได้เพียงครู่เดียวก็หยุดพูดกะทันหัน สายตาเขามองผ่านผมไปยังท้องฟ้าที่อยู่เบื้องหน้าอย่างไม่อาจคาดเดา

ผมหันไปดูบ้าง ก็ว่าพบมีเฮลิคอปเตอร์ลำหนึ่งกำลังบินตรงมาทางนี้!

อีวานยกนาฬิกาขึ้นมาดูเวลาแล้วแหงนหน้าขึ้นไปมองบนฟ้าอีกครั้ง จนเมื่อเฮลิคอปเตอร์ลอยอยู่เหนือหัว เขาก็จับมือผมแล้วพาออกไปให้ไกลจากสัญญาลักษณ์ที่จอดเฮลิคอปเตอร์

“คุณพาผมขึ้นมาบนนี้เพราะสั่งให้เฮลิคอปเตอร์มารับนี่เอง” ผมต้องพูดเสียงดังเพราะลมแรงมาก ถ้านี่เป็นเครื่องที่จะมารับอีวานจริง ก็แปลว่าผมจะได้กลับบ้านคืนนี้เลยน่ะสิ

อย่างน้อยอีวานก็ทำตามที่พูด เสร็จงานประมูลแล้วจะพากลับเลย

แต่ทว่า...

“ฉันไม่ได้สั่งให้มาเวลานี้”

สีหน้าและแววตาของอีวานเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ผมเริ่มตระหนักถึงความไม่ชอบมาพากลบางอย่าง เห็นเขามองเฮลิคอปเตอร์แบบนัยน์ตาไม่กะพริบ ผมก็มองบ้าง ตอนแรกสงสัยว่าถ้าจะมีเฮลิคอปเตอร์มาจอดบนนี้ ทำไมทางโรงแรมถึงอนุญาตให้เราขึ้นมาได้ นึกไม่ถึงว่าอีวานจะเป็นคนสั่งให้เฮลิคอปเตอร์มารับซะเอง

เมื่อเฮลิคอปเตอร์จอดสนิท บานประตูถูกเปิดออก ผมพยายามเพ่งสายตามองคนที่เดินลงมาท่ามกลางลมแรงจากใบพัดที่ทำให้ฝุ่นลอยฟุ้งไปทางลำแสง ดูจากไกลๆ เห็นเป็นชายคนหนึ่งที่มีรูปร่างสูงใหญ่ ผมสีน้ำตาลเข้มปลิวไสว ชายเสื้อคลุมกับเนกไทไหวสะบัด จนเมื่อระยะทางห่างกันเพียงไม่กี่เมตร ผมก็ได้เห็นใบหน้าคมของเขาชัดเจน   

ไม่อยากจะเชื่อ นั่นมัน....

“ลูเซียน”

เจ้าของชื่อเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า และเพียงชั่วอึดใจเขาก็เอ่ยกับผมด้วยคำพูดประโยคสั้นๆ


“ฉันมารับนายกลับบ้าน”














TBC.

หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 27:: จับฉันสิ] UPDATE 16/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: anythinginitt ที่ 16-07-2018 21:19:01
โอ้โห ลูซเปิดตัวมาอย่างหล่อ เหมือนกลับมาทวงคืนพื้นที่ ปล่อยอีวานมานานละ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 27:: จับฉันสิ] UPDATE 16/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 16-07-2018 22:49:34
เหวอเลย....... 
ลูเซียนนั่งเฮลิค็อบเตอร์มารับรัณย์   o22 o22 o22
ลู เอาจริงแล้ว คิดถึงรัณย์แล้วใช่ไหม   :z3: :z3: :z3:

แต่ฟังอีวานแล้ว ก็เอาจริงกับรัณย์เหมือนกัน
และว่าเคยเจอรัณย์มาก่อน ยังไงๆ  :hao3:
แต่ดูๆแล้วรัณย์รู้สึกดีกับลู มากกว่าอีวานนะ
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 27:: จับฉันสิ] UPDATE 16/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 16-07-2018 23:28:41
อืม รู้สึกเรื่องมันจะอีกยาวเลย  อีธานต้องไม่ยอมแน่ๆ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 27:: จับฉันสิ] UPDATE 16/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: masochism2018 ที่ 17-07-2018 01:06:02
มิสเตอร์เกรย์มากอะพี่ลู
สงสารรัณย์ วุ่นวายมากผู้ชายพวกนี้ 5555555
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 27:: จับฉันสิ] UPDATE 16/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: puiiz ที่ 17-07-2018 02:18:51
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 27:: จับฉันสิ] UPDATE 16/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: JustWait ที่ 17-07-2018 06:40:38
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 27:: จับฉันสิ] UPDATE 16/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 17-07-2018 08:44:39
 :ling1:  :fire:โผล่มาทำไมลูเซียน
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 27:: จับฉันสิ] UPDATE 16/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: k2blove ที่ 17-07-2018 08:51:42
อะไร รันเป็นสินค้าชิ้นที่ดีเยี่ยมหรือไง ใครๆ ก็อยากได้
เราอยากเป็นแบบนี้ม้าง ง้าง ๆ ๆ ๆ อิอิอิ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 27:: จับฉันสิ] UPDATE 16/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: rockiidixon666 ที่ 17-07-2018 10:26:11
โอ้โหพี่ลู เปิดตัวซะเท่เลยย  :o8:
ลูมาแล้ว ลูกลับมาทวงทุกอย่างของลูคืน /สะบัดบ๊อบตามแรงลม

หรือเรื่องนี้จะ 3p กันแน่อ่า เดาไม่ออกแล้วว
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 27:: จับฉันสิ] UPDATE 16/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 17-07-2018 12:08:47
โอ้ยยยยใครพระเอ๊กกกก
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 27:: จับฉันสิ] UPDATE 16/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 24-07-2018 16:22:04
ทีมอีวานค่ะ



มีเทใจไปทางไกด์นิดหน่อย แต่ไม่มาก แต่เค้าต้องลงจะเป็นพี่น้องกันแล้ว เราก็ยอมถอยทัพ



หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 27:: จับฉันสิ] UPDATE 16/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 13-09-2018 15:34:07
ยังรออ่านอยู่นะคะ  :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 27:: จับฉันสิ] UPDATE 16/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: magarons ที่ 13-09-2018 18:45:16
พันพัวมั่วตั้วไปหมดเลย ใครจะเป็นพระเอก หรืออีวานกับลูเซียนได้กัน5555. 3พีก้อดีนะ555
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 27:: จับฉันสิ] UPDATE 16/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: sweetie009 ที่ 14-09-2018 01:03:47
อ่านไปแล้ว  นึกถึง ทรุ สตาร์ เลย  เดาๆว่า กินเรียบ  3 คนเรย ลูเซียน อีวาน และจ้าน
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 27:: จับฉันสิ] UPDATE 16/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: magic-moon ที่ 14-09-2018 11:36:25
คิดถึงนะ คิสถึงนะ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 27:: จับฉันสิ] UPDATE 16/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: ชมพูพาล ที่ 19-09-2018 14:30:14
ปักกกกก
โอ๊ย สนุกมากอ่านรวดเดียว ใจเอนเอียง รู้สึกว่าลูซมาทีไรคือหมือนทุกอย่างเป็นใจ บรรยากาศ จังหวะ โคตรพระเอกอ่ะ 5555
ตั้งแต่เปิดเรื่องมา ลูซจังหวะพระเอกมาตลอด ยิ่งตอนล่าสุดโคตรพระเอก ส่วนอีวานนี่จังหวะตัวร้ายมาก จ้านก็จังหวะเฟรนด์โซนสุดๆ
เรื่องลึกลับซับซ้อนมากๆ สมชื่อพันธะพัวพัน
ดีใจที่กดเข้ามาลองอ่านค่ะ ห่างเหินจากเล้าไปนาน มาติดก็เรื่องนี้แหละ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 27:: จับฉันสิ] UPDATE 16/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: Rifleke ที่ 22-09-2018 20:49:36
สนุกดีค่ะ  อ่านเรื่องนี้แล้วนึกถึงเรื่อง ทรู สตาร์ เลย
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 27:: จับฉันสิ] UPDATE 16/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: Jthida ที่ 14-10-2018 01:49:06

พึ่งได้เข้ามาอ่าน นี่เชียร์อีวานเนี้ยนะะ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 27:: จับฉันสิ] UPDATE 16/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: W2P5 ที่ 14-10-2018 09:11:43
สนุกมากๆเลยค่ะ  เชียร์อีวานนะ :hao5:ฟ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 27:: จับฉันสิ] UPDATE 16/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 14-10-2018 18:08:25
อ้าว ไม่มีใครทีมไทด์บ้างเหรอ 55555 โถ่ น่ารักออก  :-[
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 27:: จับฉันสิ] UPDATE 16/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: เอฟเอฟ ที่ 25-11-2018 11:53:11
เอาทุกคนเลยได้มั้ยย  :katai5:
รออ่านจ้า
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 27:: จับฉันสิ] UPDATE 16/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: shoi_toei ที่ 26-11-2018 22:11:10
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 27:: จับฉันสิ] UPDATE 16/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: MsMin ที่ 03-01-2019 05:14:36
ตามคนอื่นเข้ามาค่ะ มีคนแนะนำว่าสนุกมาก และค้นพบว่าเฮ้ยยยยสนุกจริง คือเหมือนผูกปมซ่อนเงื่อนให้ติดตามที่ละชั้นว่าเกิดอะไรก่อนหน้านี้
แล้วบางเรื่องก็เดายาก หลายๆเรื่องเขียนให้ตัวเอกอยู่รอดปลอดภัยพระเอกมาช่วยทันตลอด จนเดาทางได้ แต่อันนี้เปิดมาแต่แรกก็โดนอีวานสอยเลยจร้า
เข้าใจนะว่ารัณย์คนเก่าก็ไปยั่วเขาไว้เยอะอ่ะนะ
แล้วพออีวานกลับมาหวานทีหลังโอโหอยากจะเชียร์ขึ้นมาเลยอ่ะ
แต่ๆๆๆ อย่าลืมว่าถ้าเป็นคนดีจะได้เป็นแค่พระรองค่ะ พระเอกต้องเลวๆเท่านั้นเอามาดอย่าลูเซียนเนี่ย เปิดตัวทีรู้ตัวเลยว่านี่แหละพระเอก อย่างจ้านนี่บทพระรองชัดๆ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 27:: จับฉันสิ] UPDATE 16/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: ♥►MAGNOLIA◄♥ ที่ 03-01-2019 07:13:51
สวัสดีปีใหม่ ๒๕๖๒ ค่ะไรท์
ขอให้ไรท์ แข็งแรง สุขภาพดี ประสบแต่สิ่งดีๆ นะคะ  :mew1:

ไรท์มาต่อไวๆนะ  คิดถึงงงงงงงงงงงงงง  :mew1:
       :L1: :L1: :L1:
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 27:: จับฉันสิ] UPDATE 16/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: พันวา ที่ 03-01-2019 21:57:21
ยังไงๆก็ทีมพี่ลู แม้จเฝะเอนเอียงไปหาอีวานบางครั้งก็นะ :katai4: :katai4: :katai4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 27:: จับฉันสิ] UPDATE 16/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: babimild1985 ที่ 06-01-2019 10:16:37
ตามมาจากกระทู้แนะนำ เฮ้ยมันสนุกจริงไรจริง
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 27:: จับฉันสิ] UPDATE 16/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 06-01-2019 10:21:08
 :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 27:: จับฉันสิ] UPDATE 16/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: Grey Twilight ที่ 06-01-2019 16:16:03
ตัวละครชายเยอะมากเลย (หัวเราะ) แต่ละตัวละครก็มีบทแตกต่างกันไปนะครับ น่าสนใจดี ผมติตรงนิสัยตัวนางเนี่ยแหละครับ กรัณย์เนี่ย ดูเป็นมนุษย์ที่ระบบความคิดพังยังไงก็ไม่รู้ หรือว่าดั้งเดิมอาจจะเป็นคนที่ไม่ค่อยมีระบบความคิดแบบ Critical Thinking เลยทำให้ดำเนินเส้นทางชีวิตแบบงงๆ (ก็เลยเป็นผลให้อวยเข้าหาลูเซียน)

ตอนแรกที่เสียตัวให้กับอีวานไปแล้ว สืบจนรู้ว่าทำไมถึงต้องไปเสียตัว (เพราะเป็นข้อเสนอของคุณเอง) พอไปเรียกร้องจากลูเซียนแล้วลูเซียนไม่เชื่อ การจะโกรธลูเซียนและจะไม่ไปยุ่งด้วย มันก็น่าจะสมเหตุสมผลแล้ว แต่ปรากฏ พออีวานยังตัดสินใจจะตามตื๊อคุณต่อ คุณกลับคิดว่าจะหนีหมอนี่ยังไงดี เลยกลับไปดีลกับลูเซียนเนี่ยนะ? กลับไปคุยกับไอ้คนที่เพิ่งจะปฏิเสธความรับผิดชอบในคำพูดของตัวเองที่เคยดีลไว้ คนแบบนี้ไว้ใจได้ที่ไหนครับ แถมตัวนางยังโอเค ยอมหมดจะให้ทำอะไรก็ได้ ขอแค่ทำให้อีวานไม่มายุ่งกับเขาอีก โอ้โห นี่หรือคือมุมมอง ทำไมไม่ไปคุยกับต้นเหตุจริงๆจังๆล่ะ? ถ้าอีวานไม่เลิกตื๊อ เพราะอะไร ก็คุยกันให้เคลียร์ ถ้าเพราะเค้าอยากได้หรืออยากอยู่ด้วย ก็เปิดโอกาสให้เค้าหน่อยสิ ถ้าไม่เวิร์คก็จบเลิกกันไป อีวานก็คงยอมจบด้วยอยู๋แล้วถ้าไม่เวิร์ค ทำไมต้องไปทำอะไรให้ยุ่งยาก มันเหมือนตัวนางปากว่าตาขยิบ โกรธที่เค้าไม่ยอมรับนู่นนี่ แต่พอมีเหตุการณ์เกิดขึ้นก็พร้อมจะวิ่งเข้าหาลูเซียนตลอดเวลา ซึ่งผมว่ามันขัดกับบุคลิกของตัวละครที่พยายามบรรยายออกมาน่ะครับ

ผมไม่รู้พระเอกเป็นใคร แต่ตัวละครชายทุกตัวมีความเด่นที่ชัดเจนดี อย่างลูเซียน ผมคิดว่าภาพลักษณ์ของลูเซียนให้เหมือนกับผู้ปกครองนะครับ คือเป็นคนซึน เย็นชา ผมว่าปริศนาของตัวละครนี้อยู่ที่ภาพวาดในห้องทำงานลูเซียน ในภาพนั้นมีผู้ชายกับผู้หญิง ผู้ชายน่าจะเป็นลูเซียน แล้วผู้หญิงเป็นใคร? ปกติบุคลิกคนมันไม่เย็นชาขนาดนี้ถ้าไม่มีปม ถ้าผู้หญิงเคยเป็นน้องสาว หรือเคยเป็นภรรยา หรือเป็นคนที่ใกล้ชิดมาก่อน เป็นไปได้ว่าลูเซียนไม่อยากเจ็บปวดด้วยการสร้างครอบครัวหรือสนิทสนมกับใคร แต่กับกรัณย์ ผมสัมผัสได้ว่าเค้าให้ลุคเหมือนผู้ปกครอง ลูเซียนเป็นคุณพ่อที่ดีนะครับ ทั้งหัดให้กรัณย์รู้จักทำอะไรด้วยตัวเอง ให้โอกาสเมื่อกรัณย์อยากจะเปลี่ยนแปลงตัวเอง ไม่ได้อำนวยความสะดวกเป็นการสปอยล์เด็กเกินไป ถ้าจะเปลี่ยนก็ไปเริ่มจากหนึ่งซะ การที่ลูเซียนไม่เชื่อกรัณย์ง่ายๆและมีเวลาให้แปปเดียวทุกครั้ง มันก็เป็นการสอนว่าเวลาจะคุยกับคน มันต้องมีอะไรให้ระมัดระวังบ้าง ให้กรัณย์รู้จักบริหารเวลาและไม่พูดอะไรพร่ำเพรื่อ แต่ก็มีมุมใจดีเช่นจะสอบเข้าแต่ไม่เข้าใจ ก็มีเวลามานั่งสอนการบ้าน มีมุมใจดีที่อบอุ่นให้เวลาที่อีกฝ่ายต้องการคำปลอบใจจริงๆ ผมคิดว่าเค้าเป็นคุณพ่อที่ดีได้เลยนะครับ เฉียบขาด ตรงเวลา เคร่งครัดวินัย แต่ก็มีมุมที่สอนให้คนอื่นได้รับรู้ประสบการณ์และไม่ทำอะไรที่มันไร้สาระ (เช่นที่ตำหนิจ้าน หรือให้โอกาสไทด์)

สำหรับจ้านกับไทด์ ผมว่าคนเขียนเคลียร์เรื่องไทด์ได้ครบถ้วนดีแล้วนะครับ ให้อารมณ์เหมือนพี่ชาย เป็นคนที่หมั่นไส้และไม่ชอบขี้หน้านิสัยของกรัณย์ที่คงเคยเหมือนตัวเองมาก่อน แต่พอได้มาพัวพัน ได้มาเห็นนิสัยว่าตัวนางเป็นคนซื่อๆ ไทด์ที่กลับตัวได้มาแล้วก็เลยเกิดความเอ็นดูและน่าจะสนิทสนมกับกรัณย์เหมือนพี่ชายคอยดูแลดี แต่กับจ้าน ผมว่าตัวละครนี้มันดูจืดจางไปน่ะครับ

จ้านเป็นตัวละครที่ดูน่าหัวเราะหน่อยๆในเรื่องนี้นะครับ สำหรับผมคาแรกเตอร์แบบนี้เป็นไม่ได้แม้กระทั่งพระรองด้วยมั้ง เพราะว่าออร่าของตัวละครชายอื่นเด่นกว่าจนกลบรัศมีจ้านไปหมดเลย ทุกการกระทำของจิตตากรมันโดนกระแสเรื่องพัดให้ดูเป็นการกระทำที่ดูน่าหัวเราะและไม่มีประโยชน์ใดๆเลย ไม่ว่าจะเป็น พยายามช่วยเหลือกรัณย์ แต่เจ้าตัวก็วิ่งโร่ไปหาลูเซียนทุกครั้ง ถ้าผมเป็นลูเซียน แค่เยาะเรื่องนี้เบาๆก็เจ็บไปถึงกระดูกดำแล้วแหละ พออยากจะช่วยปกป้องรัณย์จากคนอื่น อยากเอารัณย์ออกจากลูเซียน พยายามหาหลักฐานแทบตาย แต่ปรากฏพอนัดคุย ดันโดนอีกฝ่ายสวนมาจนหน้าซีดปากสั่น อย่างนี้ผมว่าไม่ผ่านล่ะมั้งครับ แถมพอรัณย์โดนจับไป ยังจะบากหน้าไปโวยวายใส่ลูเซียน แต่ก็ทำอะไรไม่ได้ จนให้อีกฝ่ายคาบหน้าที่ช่วยเหลือไปกินเองด้วยซ้ำ อย่างนี้ผมว่ายังมือไม่ถึงอะ เป็นเด็กเห่อความทรนงหยิ่งในตัวเองแต่ความสามารถยังแทบไม่มีด้วยซ้ำ เหมือนเป็นตัวประกอบที่ส่งบทสนับสนุนให้ตัวละครชายอื่นโดดเด่นกว่าล่ะมั้ง ถ้าเทียบบทก็คงเป็นได้แค่ตัวประกอบเกรดบี พอกับตัวละครที่ชื่อติณณ์อะ

แต่ตัวละครที่ผมคิดว่ามีมิติและน่าสนใจจริงๆคืออีวานนะครับ ด้วยแบ็คกราวน์ชีวิตที่มีมิติ แล้วก็นิสัยที่ให้เกียรติรัณย์ด้วยแม้จะพยายามตื๊อโดยใช้อำนาจในทางที่ประหลาดๆบางครั้ง แต่โดยรวมผมว่าอีวานเป็นคนที่จริงใจกับกรัณย์มากๆแล้วนะครับ แถมด้วยหน้าตารูปร่าง และบุคลิกที่มีความมุ่งมั่น ขี้เล่นนิดหน่อย แต่ก็มีความละเอียดรอบคอบสุขุมสมเป็นผู้มีอิทธิพลในฮ่องกง ก็ไม่ยากที่จะทำให้ตัวละครนี้มีเสน่ห์ขึ้นมามากๆในสายตาของคนอ่าน
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 27:: จับฉันสิ] UPDATE 16/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: Tin Tin ที่ 27-02-2019 21:26:38
ค้างงงงงงงงงง
 :serius2: :serius2: :serius2:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 27:: จับฉันสิ] UPDATE 16/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: Chompoo reangkarn ที่ 28-02-2019 00:59:13
 :call: :call:ยังคงเชียร์อีวานเป็นพระเอก
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 27:: จับฉันสิ] UPDATE 16/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: wizard_tao ที่ 06-03-2019 13:19:02
งงไปหมดแล้วววววว
ไม่รู้จะเชียร์ใคร
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 27:: จับฉันสิ] UPDATE 16/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: FonJuz ที่ 19-03-2019 19:11:41
ยังรอเรื่องนี้อยู่นะคะ ค้างมากๆ
มาคลายปมที่พัวพันนี้ทีนะคะคนเขียน
  :call: :call: :call: :call:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 27:: จับฉันสิ] UPDATE 16/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: Sky ที่ 22-03-2019 19:03:35
อยากอ่านต่อแล้วววววว :ling1: :ling1: :ling1:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 27:: จับฉันสิ] UPDATE 16/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: Chakaimook ที่ 17-04-2019 19:01:21
สนุกมากกก ปะทะกันแล้วค่ะท่านผู้ชมมมม  :katai1:  :ling3:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 27:: จับฉันสิ] UPDATE 16/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: PAiPEiPEi ที่ 23-04-2019 00:19:43
เห็นจากกระทู้เเนะนำ  เลยตามมาตั้งใจจะอ่านเลยค่ะ  เเต่แอบส่องคอมเม้นมีแต่คนโหยหวน
รอคุณนักเขียนมาอัพ  ทำไงดีล่ะคะเลยยังไม่กล้าอ่านกลัวค้าง จะยังมาต่อใช่มั้ยคะคุณนักเขียน

 o14 o14 o14
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 27:: จับฉันสิ] UPDATE 16/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: Panza ที่ 14-05-2019 17:15:15
จะว่าไงดีน้า ชอบมากๆแล้วกัน มาไม่ทันตอนคุณนักเขียนอัพเรียลไทม์ เลยไม่ได้เม้นให้กำลังใจ แต่ถ้าคุณนักเขียนแว๊บผ่านมาอยากบอกว่าชอบมากๆๆๆยังรออ่านอยู่น้า ถ้าว่างหรื่อพร้อมก็กลับมานะคะ รออ่านอยู่


Sent from my iPhone using Tapatalk
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 27:: จับฉันสิ] UPDATE 16/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: ลูกกุญแจ ที่ 10-06-2019 23:24:56
ชอบมาก ตามอ่านมาจนถึงตอนนี้ก็ติดแล้ว
ยังไงก็ให้กำลังใจคนเขียนนะจ๊ะ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 27:: จับฉันสิ] UPDATE 16/07/61
เริ่มหัวข้อโดย: La_Pomme ที่ 09-10-2019 23:17:47
บทที่ 28



ผมยืนประหลาดใจกับสถานการณ์ตรงหน้า อยู่ๆ ลูเซียนก็เดินลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ที่ผมเข้าใจตอนแรกว่ามารับอีวาน ตอนนี้ผมอยู่บนเกาะ ห่างจากกรุงเทพเป็นร้อยๆ กิโล ใครจะคิดว่าเวลาผ่านไปเพียงชั่วข้ามคืน ลูเซียนจะรู้แล้วว่าผมอยู่ไหน แถมยังดั้นด้นมาถึงที่นี่ด้วยตัวเองอีกต่างหาก
“เสียใจด้วย คุณมาช้าไป” คำพูดของอีวานทำให้ผมหันไปมอง คำพูดนั้นฟังเหมือนแฝงอะไรบางอย่าง กระทั่งตัวเจ้าพูดประโยคถัดมา “ตอนนี้งานประมูลเลิกแล้ว”
หืม? หรือว่าลูเซียนก็ได้เข้าร่วมงานนี้ด้วย
“เพราะอย่างนั้น คุณถึงพารัณย์ขึ้นมาบนนี้...” ลูเซียนยืนจ้องหน้าอีวาน ในขณะที่ใบพัดโรเตอร์ของเฮลิคอปเตอร์ค่อยๆ หยุดทำงาน “ผมไม่ได้ร่วมงานก็ไม่เป็นไรครับ เพราะผมไม่ได้อยากเสียเวลากับเรื่องนี้อยู่แล้ว”
“หึ... อุตส่าห์มาถึงนี่คงไม่ต้องเสียดายเวลาแล้วมั้งครับ ตอนคุยกันเห็นบอกว่าช่วงนี้ยุ่งๆ ใครจะคิดว่าบัตรเชิญใบเดียวจะทำให้คุณตัดสินใจทิ้งงานประชุมที่ตั้งใจวางแผนเกี่ยวกับโปรเจคของเราไปได้”
ระหว่างที่ชาวต่างชาติสองคนคุยกัน ผมยืนอยู่ใกล้อีวาน และตรงหน้าเขาก็คือลูเซียน พอได้ยินเรื่องที่บอสใหญ่แห่งซีเอ็กส์ เอ็นเตอร์ไพร์สต้องทิ้งงานมาที่นี่ แม้ผมจะไม่เข้าใจนักแต่ก็แอบรู้สึกดี คงเพราะลูเซียนเป็นคนจริงจังกับงานมาก ขนาดว่าบนโต๊ะที่ทำงาน ที่ไนต์คลับ หรือกระทั่งที่บ้านก็จะมีงานกองอยู่เสมอ
เขามาเพื่อรับผมกลับจริงๆ หรอ...
“คุณจงใจบอกให้ผมรู้ว่าคุณที่นี่เพราะอะไร” ลูเซียนถามเหมือนทั้งสองคนมีโอกาสได้คุยกันก่อนหน้านี้
แต่เดี๋ยวนะ! ที่ลูเซียนรู้ว่าผมอยู่นี่เพราะอีวานเป็นคนบอกเองงั้นหรอ
“ไม่ใช่ว่าคุณรู้เหตุผลอยู่แล้วหรือครับ” อีวานตอบกลับ
“ถ้าการที่ผมมาที่นี่เพื่อทำให้คุณรู้ว่าแคร์เด็กคนนั้น... คุณก็เข้าใจถูกแล้ว”
ผมอึ้งกิมกี่ อีวานเองก็เงียบเสียงไป จนมารู้สึกตัวอีกทีก็ตอนที่ลูเซียนหันมามองผมและพูดว่า “มานี่”
ลูเซียนยื่นมาทางผม คล้ายกับรอรับ ผมไม่แน่ใจว่าสถานการณ์นี้คืออะไร คำพูดและการกระทำของคนตรงหน้ามันประหลาดอย่างไม่น่าเชื่อ ส่วนหนึ่งคงมาจากการแสดงเพื่อตบตาอีวาน และถ้าจะให้สมบทบาทผมก็ควรฟังคำพูดของเขา เลยตัดสินใจเดินเข้าไปหา
หากแต่อีวานกลับคว้าต้นแขนผมไว้อย่างรวดเร็ว!
“ฉันสัญญาแล้วว่าจะพานายกลับ” อีวานพูดกับผม แววตาจริงจังจนตอบไม่ได้ว่าจริงหรือหลอก
“ผมตั้งใจว่าจะไม่พูดเรื่องนี้แล้ว แต่การที่คุณกดดันเขาครั้งแล้วครั้งเล่า มันก็ไม่ต่างอะไรกับการอยากเอาชนะ” ลูเซียนเริ่มทำเสียงเข้ม ส่งผลให้อีวานปล่อยแขนผมโดนไม่ต้องรอให้ขัดขืน “คุณไม่เคยไล่ตามใครมาก่อน ไม่ได้แปลว่าการพาเขามาโดยที่เขาไม่เต็มใจจะเป็นสิ่งที่ควรทำ... หรือคุณอยากซื้อใจเขาด้วยวิธีนี้”
“ลูเซียน... ดูเหมือนคุณจะก้าวกายเรื่องของผมมากกว่าการทำตัวเป็นหุ้นส่วนนะครับ”
“ผมไม่ทำแน่ ถ้าคนที่คุณพาตัวมาไม่ใช่รัณย์” ผมหันไปมองลูเซียนโดยอัตโนมัติ
“แล้วทำไมถึงไม่มารับเขากลับตั้งแต่ตอนผมให้คนไปพาตัวมาที่บ้านล่ะครับ” อีวานเค้นเสียง “เป็นคนส่งตัวเขาให้ผม แต่ตอนนี้คิดจะมาเอาคืน... คุณเห็นผมเป็นอะไร พอยอมเซ็นสัญญาก็เลยไม่ต้องใช้ของเล่นมาล่อแล้วอย่างนั้นหรอ”
ฟังเหมือนลูเซียนจะเจอคำถามที่ตอบยากจนถึงกับยืนนิ่งไปพักใหญ่...
“ผมแนะนำรัณย์ให้คุณ ไม่ได้แปลว่าจะยกให้”
ท้าทายเกินไปแล้ว! ลูเซียนดูไม่หวั่นใจกับผลของคำพูดตัวเองสักนิด ส่วนผมทำอะไรไม่ถูกนอกจากยืนเฉยๆ และเก็บอาการไม่ให้รู้ว่ากำลังตกใจแค่ไหน
“คุณเคยพูดเองว่าคนเรามีสิทธิ์เลือกที่จะอยู่กับใครก็ได้ ฉะนั้นถ้าวันหนึ่งใจของรัณย์โอนเอียงมาทางผม คุณก็ต้องหลีกทางไป” อีวานฉายแววตาที่มุ่งมั่น “อันที่จริงผมไม่ได้คิดจะแย่งรัณย์กับใคร... แต่กำลังปกป้องเขาต่างหาก”
“คุณเห็นผมเป็นตัวอันตรายสำหรับเขา?” ลูเซียนแสยะยิ้มราวกับเป็นเรื่องน่าขำ “ดูจากวิธีที่คุณเข้าหาด้วยการลักพาตัว แปลว่าคุณรู้ตัวอยู่แล้วว่ารัณย์ไม่เต็มใจไปด้วย... พูดตามตรงคือคุณกลายเป็นคนที่ไม่น่าไว้ใจสำหรับรัณย์ไปแล้ว ฉะนั้นเรื่องปกป้องคงเป็นไปไม่ได้ เพราะคนที่เขาอยากหนีไปให้ไกลที่สุดในตอนนี้... ก็คือคุณ”
“อย่างน้อยผมก็เห็นค่าของเด็กคนนี้ และเชื่อว่าเขาจะมีความสุขได้ถ้าเลือกที่จะเดินออกมาจากคุณ” สัมผัสได้ถึงบรรยากาศมาคุ พอได้ยินอีวานพูดแบบนั้นรู้สึกใจตกวูบ แต่ก็ยังตั้งใจฟังพวกเขาต่อ “คุณอาจเข้าใจว่าผมเห็นรัณย์เป็นแค่เด็กที่คอยปรนเปรอความสุขบนเตียงให้ แต่ทำไมผมต้องไล่ตามเขาเหมือนที่ทำอยู่ตอนนี้ด้วย... ถ้าเขาไม่สำคัญ ผมก็คงไม่มั่นใจหรอกครับว่าจะทำให้รัณย์มีความสุขได้”
“แค่เริ่มต้นคุณยังบีบบังคับเขา แล้วจะเอาอะไรมาทำให้มั่นใจ”
“ผมก็ไม่คิดว่าความรู้สึกของตัวเองจะมาไกลขนาดนี้” ว่าจบอีวานก็หันมาพูดกับผม “รัณย์ ฉันรู้แล้วว่าสิ่งที่เคยทำกับนายมันเลวร้ายมาก ถ้าพอจะมีทางไหนที่ฉันสามารถแก้ไขหรือชดเชยให้ได้ ฉันยอมทำทุกอย่าง... แต่ต้องไม่ใช่การปล่อยนายไป”
ผมอยากหนีให้ไกลจากอีวานเหมือนอย่างที่ลูเซียนพูด จนถึงตอนนี้ก็ยังคิด แม้เขาจะขอโทษและโอกาสแก้ไข แล้วไหนจะเรื่องที่บอกชอบผมอีก แต่ความรู้สึกแย่ที่ฝั่งลึก มันยากเหลือเกินหากจะมองหน้าเขาแล้วไม่นึกถึงเรื่องในคืนนั้น เขาแสดงให้ผมรู้ว่าความป่าเถื่อนที่แฝงมากับแรงปรารถนาในใจคนมันบ้าคลั่งแค่ไหน 
จริงอยู่ที่อีวานกลับมาคราวนี้ดูจะเปลี่ยนไปไม่น้อย อย่างตอนที่ถามผมถึงอาการบาดเจ็บตรงข้อมือและซักถามเรื่องเป็นไข้ มีการแสดงความอารมณ์ขัน พยายามรักษาสัญญาที่ให้ไว้ รวมไปถึงการเปิดเผยเรื่องส่วนตัวกับผม แต่เอาเข้าจริงหากเป็นมิตรกันมันก็ยังคิดหนักอยู่ เพราะผมคงต้องขอใช้เวลาอีกมากสำหรับการเริ่มใหม่
แต่ถ้าท้ายที่สุดแล้ว ผมไม่อาจตอบรับความรู้สึกของอีวานได้... ก็ไม่ควรให้ความหวังเขา   
เมื่อได้คำตอบในใจผมก็เลือกที่จะเดินไปหาลูเซียนทันที แม้ว่าตอนนี้เขาไม่ได้ยื่นมือมา ผมก็จะเป็นฝ่ายไปจับมือเขาเอาไว้เอง จังหวะนั้นลูเซียนทำเพียงมองหน้าผม คงสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น จนกระทั่งผมพูดประโยคหนึ่งออกไป
“ผมรักลูเซียน… ไม่ว่ายังไงผมก็จะไม่ปล่อยมือจากเขา” ผมกำมืออีกฝ่าย ในขณะที่หัวใจเต้นรัวเพราะรู้สึกกดดันและตื่นตระหนกไปหมด
“รัก?” อีวานทวนคำที่ได้ยิน จากนั้นค่อยเค้นเสียงกร้าวใส่ผม “เลิกพูดจาไร้สาระกับฉันสักที”
“คุณอีวาน” ลูเซียนพูดแทรกได้ตรงจังหวะ “พอดีว่าผมขึ้นเฮลิคอปเตอร์มาจากชุมพร รู้สึกว่าจะเป็นบริษัทเช่าเดียวกับที่คุณจะใช้บินกลับ ผมต้องขอโทษด้วยที่ผมเช่าตัดหน้าคุณ แต่ไม่ต้องห่วง เพราะผมคุยกับทางนั้นแล้วว่าเรารู้จักกัน แค่ใช้วิธีผมบินมาคุณบินกลับก็ถือว่าได้ใช้งานเหมือนกัน”
จู่ๆ ลูเซียนก็จับมือผมตอบ เล่นเอาผมสะดุ้งเฮือก เขามีความจงใจให้อีวานเห็น ซ้ำยังพูดต่ออย่างไม่สะทกสะท้าน “คุณกลับได้เลยนะครับ ส่วนผมกับรัณย์จะกลับกันวันหลัง”
“เจ้าเล่ห์มาก ลูเซียน” อีวานยิ้มเยาะชอบใจ หากแต่แววตากลับแฝงไปด้วยความขุ่นเคือง
“คนของคุณคงพากันไปรอที่สนามบินเพราะเข้าใจว่าคุณจะกลับคืนนี้.... ไม่อยากกลับก็คงไม่ได้” ลูเซียนจัดการเช่าเฮลิคอปเตอร์ตัดหน้าอีวานได้ แสดงว่ารู้เรื่องแผนการเดินทางของอีกฝ่าย และดูจากรูปการณ์เขาไม่น่าจะได้ข้อมูลมาจากอีวานเหมือนที่รู้ว่าผมอยู่ไหนแน่ๆ 
เวลาแค่คืนเดียว เขาเอาเวลาไหนไปสืบกันนะ
คงยากที่อีวานจะเลี่ยง เนื่องจากเวลานี้ดึกมากแล้ว ถ้าเรียกให้ลูกน้องกลับมาก็คงสร้างความลำบาก หรือไม่แน่พรุ่งนี้เขาอาจมีธุระต้องทำที่กรุงเทพ ระหว่างรอว่าเจ้าของนัยน์ตาสีฟ้าจะเอายังไงต่อ เขาก็พาร่างสูงๆ ของตัวเองมาทางผม สองเท้าหยุดยืนอยู่ตรงหน้า ก่อนจะพูดในขณะที่สายตายังจับจ้องผมอย่างจริงจัง
“ฉันไม่มีทางยอมแพ้เรื่องนาย”
เฮลิคอปเตอร์ถูกติดเครื่องอีกครั้ง กระแสลมรุนแรงพัดสิ่งที่อ่อนนุ่มให้ปลิวไสว ผมรู้สึกหูอื้อไปชั่วขณะ แต่คำพูดของอีวานกลับชัดเจน และแม้ว่าเสียงใบพัดจะดังสนั่นหวั่นไหวแค่ไหน คนตรงหน้าก็ยังร้องตะโกนให้ผมได้ยินในสิ่งที่เขาพูด คล้ายกับมันเป็นข้อความใจความสำคัญ 
“ถ้าความรักทำให้นายเป็นของฉัน... ก็เตรียมตัวหลงรักฉันได้เลย”
พูดจบ อีวานก็เดินผ่านผมเพื่อไปขึ้นเฮลิคอปเตอร์ หากแต่คำพูดของเขายังคงดังก้องอยู่ในหัว รู้สึกว่าผมจะเจอกับสิ่งที่รับมือยากเข้าให้แล้ว ฉะนั้นการสลัดปัญหาออกคงไม่ใช่หนทางที่ดีอีกต่อไป
ตอนนี้เฮลิคอปเตอร์บินขึ้นไปแล้ว ผมควรปล่อยมือลูเซียนจากสักที แต่ดูเหมือเขาจะกำแน่นกว่าเดิม...
“ลู... เซียน” ผมเรียกเชื่อเขาเผื่อจะลืมไปว่าเรายังจับมือกันอยู่
“นึกจะจับก็จับ นึกจะปล่อยก็ปล่อย”
“ผมไม่ได้ตั้งใจ แค่คิดว่าทำแบบนี้แล้วอีวานอาจจะ...” ไม่รอให้พูดจบ ลูเซียนก็ปล่อยมือผมทันที
คนตัวสูงสวมเสื้อเชิ้ตสีพับแขนสีดำยืนล้วงกระเป๋ากางเกง สายตาทอดมองไกลออกไปยังท้องทะเล ไม่ก็ท้องฟ้าที่มีดาวเป็นล้านดวง ผมเห็นเขาเงียบก็เลยเงียบบ้าง เก็บคำถามมากมายไว้ก่อนเพราะผมไม่รู้ว่าจะเริ่มตรงไหนดี
และในตอนนั้นเอง... 
“ฉันมาหานายแล้ว ไหนล่ะที่บอกว่าโลกจะสั่นสะเทือน” ลูเซียนพูดหน้าตาย ในขณะที่ผมกลั้นยิ้มไว้ไม่ได้ แปลกใจเหมือนกันนะที่เขาจำคำพูดผมได้ ตอนนั้นผมเปรียบเปรยไปเพราะค่อนข้างมั่นใจว่าลูเซียนเป็นคนยังไง แต่ดูๆ ไปเหมือนจะไม่ใช่อย่างนั้นซะทีเดียว
ถ้าจะมีอะไรสั่นสะเทือน... ก็คงเป็นจังหวะการเต้นของหัวใจผม

ลูเซียนกับผมลงมาจากดาดฟ้าเพื่อไปยังห้องพักที่จองไว้ ตอนเดินเข้าไปกดชั้นในลิฟต์ ผมชักเอะใจ แต่คงไม่ใช่อย่างที่คิดหรอกน่า จนเมื่อเดินไปทางห้องฝั่งซ้ายและมาหยุดยืนอยู่หน้าประตูก็พบว่าเลขห้องตรงกัน
ห้องนี้อีกแล้ว!
หลังจากเดินเข้าไปโถงส่วนกลาง ผมไม่ปริปากพูดอะไรจนลูเซียนเดินมานั่งตรงโซฟาข้างๆ
“เมื่อคืนนายกับอีวานนอนที่ห้องนี้สินะ”
“คุณรู้ด้วยหรอครับ” ผมประหลาดใจ
“นี่เป็นสวีทที่แพงที่สุดของโรงแรม ถ้าพนักงานไม่จัดห้องนี้ให้เขา ฉันคงแปลกใจ” ลูเซียนเปิดผ้าม่านตรงระเบียงเพื่อให้เห็นวิวยามค่ำคืนพร้อมกับพูดไปด้วย “เขาเพิ่งเช็คเอ้าส์ออกไปก็เลยว่างแค่ห้องนี้ห้องเดียว ฉันจำเป็นต้องเอาไว้ก่อน เพราะทุกห้องถูกจองเต็มหมด”
คงเกี่ยวกับการจัดงานประมูล เพราะนอกจากจะมีคนไทยบางส่วนแล้ว ก็ยังมีชาวต่างชาติที่เดินทางมาที่นี่ด้วย โรงแรมนี้ค่อนข้างมีเอกลักษณ์และหรูหราโออ่า เหล่าเศรษฐีมีเงินคงเลือกพัก
“ผมยังไงก็ได้ครับ... ที่ห่วงคงเป็นเรื่องงานของคุณมากกว่า ได้ยินอีวานบอกว่าคุณต้องทิ้งการประชุมเพื่อเดินทางมาที่นี่ มันจริงหรือเปล่าครับ” ผมถามให้แน่ใจ เผื่ออีวานจะพูดไปเองเพราะมีเหตุผลอื่นแอบแฝง
“ห่วงตัวเองก่อนเถอะ” สิ้นเสียงลูเซียนก็เดินไปทางห้องนอนที่มีสองฝั่ง โดยจะแยกเป็นห้องสองห้อง “อยากนอนห้องไหน เลือกเลย”
“ห้องเดิมก็ได้ครับ” ว่าแล้วผมก็เดินไปเปิดประตูห้องที่นอนเมื่อคืน ก่อนจะได้ยินเสียงลูเซียนเดินตามหลังมาติดๆ พอหันไปมองก็พบว่าสายตาคมกริบกวาดมองรอบห้องด้วยสีหน้าที่บูดบึ้ง ผมไม่เข้าใจว่าเขาต้องการอะไร
จนกระทั่ง... 
“อีวานนอนห้องนี้ด้วยรึเปล่า” ผมตาโตทันทีที่ได้ยิน
“เปล่าครับ เรานอนคนละห้องกัน”
“เขาไม่ทำอะไรนายใช่มั้ย”
“ไม่ครับ อีวานแค่ให้ผมแต่งตัวดีๆ แล้วก็ไปร่วมงานประมูลวัตถุโบราณกับเขาแค่นั้น”
ลูเซียนขมวดคิ้ว แล้วเอ่ยตอบ “พานายมางานประมูล?”
“ครับ เห็นเขาว่าอย่างนั้น ผมเองก็ไม่ค่อยมั่นใจเหมือนกัน” พูดไปด้วย แกะโบว์ไทด์ที่คอไปด้วย กะว่าจะรอให้ลูเซียนออกไปก่อนค่อยถอดเสื้อเพื่อไม่ให้ดูเป็นการเสียมารยาท เพราะถ้ามองตามหลักความเป็นจริง ผมเพิ่งรู้จักเขาไม่ถึงเดือนเองนะ หนำซ้ำเราก็ไม่ได้อยู่ในวัยเดียวกัน เขาอายุมากกว่า ยังไงก็ต้องเกรงใจไว้ก่อน
“ไปอาบน้ำเถอะ” ลูเซียนคงเห็นว่าผมอยากถอดชุดสูทนนี้เต็มทน “ฉันออกมาฉุกละหุก ไม่ได้เตรียมอะไรมาด้วย คงต้องใส่เสื้อเชิ้ตนอนไปก่อน พรุ่งนี้ค่อยไปซื้อเสื้อผ้าใหม่”
“จริงสิ ของส่วนตัวผมถูกคนของอีวานเอาไปหมด ทั้งกระเป๋าสตางค์ แล้วก็โทรศัพท์...” พูดถึงตรงนี้ ผมก็นึกอะไรขึ้นได้ “คุณเซียน... ผมขอยืมโทรศัพท์คุยกับจ้านได้มั้ยครับ ป่านนี้เขาคงเป็นห่วงผมแย่แล้ว พี่ไทด์อีกคน เขาอยู่กับผมตอนนั้นเลยถูกทำร้าย ไม่รู้ว่าอาการจะเป็นยังไงบ้าง”
ลูเซียนเลิกคิ้ว ลักษณะเหมือนกำลังชั่งใจ แต่ไม่นานก็ควักโทรศัพท์ออกมาจากกระเป๋ากางเกงตัวเองแล้วยื่นให้โดยไม่พูดอะไร จังหวะนั้นผมรีบรับมาอย่างว่องไว เห็นหน้าจอถูกปลดล็อคเรียบร้อย กำลังจะกดเบอร์ แต่สุดท้าย...
“จ้านเบอร์อะไร” ผมพึมพำถามตัวเอง แต่นึกให้ตายยังไงก็นึกไม่ออก จ้านเป็นคนเมมเบอร์ตัวเองไว้ในเครื่องของผม เวลาจะโทรหาก็แค่กดเลขหนึ่งค้างไว้ จากนั้นชื่อของจ้านก็จะปรากฏบนหน้าจอ แล้วแบบนี้จะให้ผมจำเบอร์เขาได้ยังไง
“ฉันจะหาทางส่งข่าวให้เขาเอง” พูดจบก็หยิบมือถือคืน “ส่วนไทด์... รายนั้นเขารับมือกับความรุนแรงได้อยู่แล้ว ไม่เป็นอะไรมากหรอก”
ได้ยินอย่างนั้นค่อยโล่งใจ ผมพยักหน้าช้าๆ ก่อนจะตอบกลับ “เข้าใจแล้วครับ... แค่กๆ”
“มีไข้รึไง” ลูเซียนถามถึงเรื่องที่ผมก็ไอเสียงดัง
“เจ็บคอนิดหน่อยครับ” ผมไม่ได้รู้สึกปวดหัว เลยสงสัยว่าร่างกายตัวร้อนหรือเปล่า พิสูจน์ง่ายๆ ก็แค่เอามือทาบหน้าผากดู แต่สัมผัสไปได้แปบเดียวลูเซียนก็จับมือผมออกแล้วเอาลงช้าๆ
“วัดไข้แบบนี้ไม่รู้เรื่องหรอก”
น้ำเสียงแผ่วเบาไร้ความแข็งกระด้าง เป็นอีกครั้งที่เราสัมผัสมือกัน ผมรู้สึกถึงความเย็นวูบวาบ ร้อนๆ หนาวๆ อาจเป็นเพราะเราเพิ่งลงมาจากดาดฟ้า ไม่ก็เกิดจากมือเย็นๆ ของลูเซียนที่ส่งผ่าน กระทั่งเขาปล่อยมือผม สิ่งแรกที่คิดคือสถานการณ์ในห้องเริ่มจะอึดอัดใหญ่แล้ว 
“ผมขอไปอาบน้ำก่อนนะครับ”
“อย่าเพิ่งสระผมล่ะ”
จากนั้นลูเซียนก็เดินออกจากห้องไป ทิ้งให้ผมงงกับคำสั่งที่ดูไม่ออกว่าเขาคิดอะไรอยู่ถึงพูดออกมา แต่ใครจะทนกับผมแข็งๆ ที่ถูกฉีดด้วยสเปรย์ได้ ผมจำเป็นต้องสระจริงๆ ไม่งั้นนอนไม่หลับแน่ และพออาบน้ำเสร็จผมก็เดินออกมาหยิบเสื้อผ้าที่วางไว้บนเตียง สายตาเหลือบไปเห็นปรอทวัดไข้กับแผงยาวางอยู่ใกล้ๆ ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ไม่มี
ใบเสร็จยังอยู่ในถุง ดูเวลาซื้อที่ระบุไว้ปรากฏว่ามันเพิ่งผ่านมาเมื่อไม่กี่นาทีนี้เอง...







หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 28:: สั่งสะเทือน] UPDATE 09/10/62
เริ่มหัวข้อโดย: lcortsess ที่ 14-10-2019 01:20:35
ว้าววววววว เพิ่งเจอเรื่องนี้  เชียร์ เป็น 3p ได้ไหมเนี้ย พ่อลูเราก็ชอบ ลุงอีวานเราก็ให้ใจ แค่กๆๆ ติดตามค้าบบบบ
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 28:: สั่งสะเทือน] UPDATE 09/10/62
เริ่มหัวข้อโดย: Summerset ที่ 17-10-2019 04:02:29
งื้ออออมาต่อแล้ว ดีต่อใจ อย่าหายไปไหนอีกน้าาาาา :hao5:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 28:: สั่งสะเทือน] UPDATE 09/10/62
เริ่มหัวข้อโดย: j123 ที่ 17-10-2019 16:59:37
ยังรออ่านอยู่นะคะ ถ้ามาอัพบ่อยๆ จะดีมากเลย  :pig4:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 28:: สั่งสะเทือน] UPDATE 09/10/62
เริ่มหัวข้อโดย: lnudeel ที่ 19-10-2019 22:05:54
ตามมาจากในแนะนํา​ สนุกๆ  น่าติดตาม ลุ้นตามน้องตลอด
แต่เลือกลงเรือไม่ถูกเลยนี่สิ :mew1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 28:: สั่นสะเทือน] UPDATE 09/10/62
เริ่มหัวข้อโดย: La_Pomme ที่ 20-10-2019 23:31:52
บทที่ 29



จากเมื่อคืนที่ผมรู้สึกเจ็บคอและมีไข้อยู่ที่ 38 องศา พอตื่นเช้ามาผมรู้สึกปกติทุกอย่าง ไม่มีอาการวงเวียนศีรษะหรือว่าคัดจมูก สงสัยยาที่ลูเซียนซื้อมาจะเอาอยู่ ผมลองวัดไข้ตัวเองอีกทีก็พบว่าอุณหภูมิลดลงมาแล้ว เห็นมั้ยล่ะว่าต่อให้สระผม ก็ไม่ได้ทำให้อาการหนักกว่าเดิม
ลูเซียนสั่งให้ผมเตรียมตัวเพื่อออกไปซื้อของตามที่คุยกันไว้เมื่อคืน เพราะเราสองคนในตอนนี้ยังใส่ชุดเดิมกันอยู่เลย ก่อนออกจากห้องผมเอาเสื้อสูทพาดไว้กับแขนตัวเอง ไม่ยอมใส่เต็มยศเหมือนลูเซียนแน่ๆ ชุดผมเหมาะกับงานราตรี ให้ใส่ไปเดินห้างเดี๋ยวจะกลายเป็นโอเวอร์ไป
ระหว่างอยู่ในลิฟต์ ลูเซียนถามเรื่องอาการไข้ ผมก็ตอบไปตามตรงว่าสบายดีแล้ว พร้อมขอบใจเรื่องยาที่อุตส่าห์เอามาให้ และพอผมถามว่าไปหาซื้อมาจากไหน คำตอบที่ได้คือ...
‘ฉันจ้างให้พนักงานโรงแรมออกไปซื้อมาให้’ 
เมื่อลงมาถึงบริเวณล็อบบี้ ลูเซียนก็หันมาพูดกับผม  “นายรออยู่นี่ ฉันจะไปเช็คเอ้าส์”
“งั้นผมขอไปเข้าห้องน้ำนะครับ”
“แล้วทำไมไม่เข้าตั้งแต่ที่ห้อง” น้ำเสียงของลูเซียนฟังดุๆ ยังไงชอบกล
“ก็ผมยังไม่ปวด”
คนตัวสูงถอดหายใจใส่ ก่อนจะเบือนหน้าหนีอย่างเหนื่อยหน่าย ถามจริง มันใช่เรื่องที่ควรหงุดหงิดหรอ ตั้งแต่เมื่อเช้าแล้วที่เขาถามผมว่าได้สระผมหรือเปล่า ถึงจะแปลกใจกับความจริงจังแต่ผมก็ตอบไปตรงๆ ว่าไม่ จากนั้นเขาก็ดุว่าผมไม่ยอมทำตามคำสั่ง มาตอนนี้ยังไม่สบอารมณ์เรื่องที่ผมจะเข้าห้องน้ำอีก อะไรของเขาวะ
พอเห็นลูเซียนเดินไปยังเคาน์เตอร์พนักงานต้อนรับ ผมเดินไปหาห้องน้ำทันที ป้ายบอกว่าอยู่ทางซ้ายมือ จังหวะเลี้ยวตรงหัวมุมเพื่อเดินเยื้องไปอีกทาง ผมดันไปชนกับใครคนหนึ่งเข้า
“โอ๊ะ ขอโทษครับ” เต็มแรงเลยเมื่อกี้ เล่นเอาผมเซไปอีกทาง เราคงไม่ทันดูกันทั้งคู่ผมเลยต้องขอโทษไว้ก่อน พอเห็นเขาไม่พูดอะไร ผมก็จะเดินเข้าห้องน้ำไปทำธุระส่วนตัว
แต่ทว่า... 
“รัณย์” ผู้ชายที่ผมเพิ่งเดินชนคว้าหมับที่ต้นแขนของผม
“เอ่อ...”
“นายมาทำอะไรที่นี่” คนแปลกหน้าถามผมอย่างจริงจัง แถมยังเข้าประชัดตัวแบบไม่ทันตั้งตัว ผมเลยได้แต่เอนตัวให้ออกห่างแล้วคิดว่าจะเอาไงดี ดูท่าเขาจะรู้จักผม ถ้ารู้ก่อนว่าจะมาเจอคนรู้จักผมคงเตรียมตัวมาดีกว่านี้
“คือ...”
“คุณไกร!” เสียงผู้หญิงดังมาจากด้านหน้า มันเหมือนกับตัวช่วยโผล่มาทันเวลา เพราะนอกจากผมจะไม่ต้องตอบคำถามนั้นแล้ว เขายังต้องปล่อยแขนผมให้เป็นอิสระด้วย
“เจอคนรู้จักหรอคะ” ชายตรงหน้าดูอึกอัก
“เขาเป็น... เอ่อ เคยเป็นพนักงานที่บริษัทผม แต่ตอนนี้ลาออกไปแล้ว”
หืม? พนักงานบริษัทหรอ จ้านไม่เห็นเล่าเรื่องนี้ให้ฟังเลย ไหนว่าผมไม่เคยทำงานมาก่อนไงล่ะ ที่สำคัญเลยคือผมยังเรียนไม่จบ แล้วจะเป็นพนักงานบริษัทได้ไง
ตกลงมันยังไงกันแน่วะ?
“โอ๊ะ! คุณเซียน” ดูจากสายตาของสาวสวยที่มองผ่านผมไป เหมือนจะรู้ได้โดยอัตโนมัติเลยว่าเจ้าของชื่อยืนอยู่ข้างหลังผมนี่เอง งั้นก็หมายความว่าหญิงสาวคนนี้รู้จักลูเซียนด้วยน่ะสิ
“สวัสดีครับ คุณลิตา” ลูเซียนเดินมายืนข้างๆ ผม
“คุณเซียนมาทำอะไรที่นี่หรอคะ”
“พักผ่อนครับ”
“อ้า งั้นนี่คงเป็นผู้ติดตามสินะคะ” ผู้หญิงที่ชื่อลิตาหันมามองผม แล้วพูดด้วย “เห็นว่าเคยทำงานกับคุณพุฒิไกรมาก่อนแต่ลาออกไปแล้ว คงจะเปลี่ยนใจไปทำงานกับคุณเซียนแน่เลย ใช่มั้ยจ้ะ”
ผมยืนงงเป็นไก่ตาแตก เหมือนคนหูหนวกตาบอด ไม่รู้จักชายหญิงสองคนนี้ ไม่รู้ว่าตัวเองเคยทำอะไร เรื่องจริงหรือหลอกก็ไม่รู้ แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังต้องทำตัวเนียนต่อหน้าลูเซียน ถ้าเกิดปล่อยไก่ตอนนี้มีหวังจบเห่แน่
แต่เดี๋ยวก่อน! วุฒิไกร? ชื่อนี้คุ้นๆ แฮะ
‘อย่าอำกันน่า ถึงนายจะเลิกยุ่งกับคุณพุฒิไกรไปแล้วก็ใช่ว่าจะจนตรอกนี่หว่า’
อ้อ~ หรือว่าเขาจะเป็น...
‘คุณพุฒิไกรต้องแต่งงานกับลูกสาวนายห้างก็เพราะธุรกิจ ความจริงเขาหลงนายจะตายใครๆ ก็รู้ อุตส่าห์มีขุมทรัพย์อยู่ตรงหน้ายังจะปล่อยให้หลุดมือไปอีก คนใจป้ำแบบนี้หาไม่ได้ง่ายๆ นะเว้ย’
พอนึกถึงคำพูดของคนกลุ่มแรกๆ ที่ทักผมเรื่องทำงานไนต์คลับว่ากำลังเล่นพิเรนทร์ ก็พลอยให้นึกตอนพูดถึงชื่อของชายคนหนึ่งที่เชื่อว่าเพิ่งเลิกกับผมเพื่อไปแต่งงาน พอมาดูจากสถานการณ์ตอนนี้ ผมว่าเปอร์เซ็นที่จะเป็น ‘พุฒิไกร’ เดียวกันมีสูงมาก ทั้งเรื่องที่รู้จักผมและเรื่องที่ผู้หญิงคนนี้น่าจะเป็นภรรยาของเขา   
“หน้าตายังเด็กอยู่เลย แต่คงทำงานเก่งมากถึงได้ร่วมงานกับซีเอ็กส์ เอ็นเตอร์ไพร์ส” ว่าจบ ก็หันไปหาผู้ชายที่ชื่อพุฒิไกร “ทำไมคุณถึงปล่อยให้เขาหลุดมือไปล่ะคะ เด็กรุ่นใหม่ไฟแรงต้องคอยสนับสนุนนะ”
พุฒไกรมองหน้าผม แววตาเขาเต็มไปด้วยความอัดอั้น
“ผมไม่ได้อยากปล่อยมือจากเขา...” คำพูดฟังคลุมเครือแต่ก็โจ่งแจ้ง คล้ายแอบแฝงอะไรบางอย่าง และพุฒิไกรคงรู้ตัวถึงรีบยิ้มกลบพร้อมพูดต่อ “แต่อะไรมันก็เกิดขึ้นได้ ในเมื่อเขาเจอเส้นทางที่ดีกว่า ผมก็ควรดีใจกับเขา”
ผมไม่รู้จะพูดอะไรเลยเลือกที่จะเงียบไว้ สักพักคนตัวสูงที่ยืนอยู่ข้างผมก็พูดขึ้น
“ผมไม่ได้ไปร่วมงานแต่งงานของพวกคุณ ต้องขอโทษด้วย” นั่นไงล่ะ เป็นสามีภรรยากันจริงๆ ด้วย
“ไม่เป็นไรค่ะ เราเข้าใจว่าคุณไม่ค่อยมีเวลาว่าง ไม่เพราะอย่างนั้นธุรกิจจะเติบโตถึงขนาดนี้ได้ยังไง ที่จริงลิตาควรขอบคุณคุณเซียนมากกว่าที่เคยอนุมัติเงินกู้หลายสิบล้านเพื่อให้ไกรมาลงทุนกับธุรกิจเรือ เขาถึงประคองบริษัทอื่นๆ ในเครือเอาไว้ได้” เธอเผยยิ้มตามบุคลิกผู้ดีทุกกระเบียดนิ้ว “อ้อจริงสิ ตอนนี้เราได้สัมปทานเดินเรือรับนักท่องเที่ยวที่เกาะสมุยแล้วนะคะ เพิ่งทำข้อตกลงกันไปเมื่อวานเอง”
“ผมคิดว่าพวกคุณมาฮันนีมูนกันซะอีก ที่แท้ก็เรื่องงาน”
“เราเพิ่งแต่งงานกันไม่นาน คุณไกรเองก็ยังยุ่งๆ กับบริษัท ฉันเลยตั้งใจว่าสิ้นปีนี้จะบินฮันนีมูนกันที่ยุโรปค่ะ” ผมฟังคุณลิตาอย่างตั้งใจ แต่พอหันไปดูลูเซียน ผมกลับเห็นเขาจ้องคุณพุฒิไกรแล้วยิ้มไปด้วย
“ยินดีด้วยนะครับ” อีกฝ่ายไม่ตอบอะไร และดูท่าลูเซียนจะโดนพุฒิไกรเมินด้วยการหันไปหาภรรยา
“ไปเถอะคุณ รถน่าจะมารอแล้ว” เขาพูดใกล้หูคุณลิตา แต่ได้ยินชัดมาถึงนี่
“ถ้าอย่างนั้นพวกเราขอตัวก่อนนะคะ หวังว่าโอกาสหน้าจะได้พบกันอีก”
“ยินดีครับ” ลูเซียนทำเพียงพยักหน้า ในขณะที่พุฒิไกรชำเลืองมองผมครู่หนึ่ง ไม่รู้ว่าเข้าใจไปเองหรือเปล่าแต่ผมรู้สึกว่าเขาทำเหมือนมีอะไรอยากพูด จนท้ายที่สุดเขาก็เดินเคียงคู่ภรรยาออกจากโรงแรมไป
จู่ๆ ลูเซียนก็ใช้มือแตะไหล่ผม “ไปได้แล้ว ฉันต้องพานายไปซื้อของอีก”
ลูเซียนพาผมเดินไปกันคนละทางกับคุณพุฒิไกร เห็นว่าจะใช้บริการรถรับส่งของทางโรงแรม ระหว่างยืนรอรถผมก็นึกอยู่ว่าคงต้องคืนเสื้อผ้าที่ใส่อยู่ให้กับเจ้าของ ถ้าได้เจอกันอีกผมควรทำแบบนี้ แต่ถ้าไม่เจอก็น่าจะดีกว่า
“เจอคนคุ้นเคย รู้สึกยังไงบ้างล่ะ” ผมมองหน้าคนถาม ค่อนข้างประหลาดใจที่ลูเซียนอยากได้ความเห็นของผม และพอจะทำให้รู้ว่าการถามแบบนี้ ต้องเป็นเพราะเขารู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างผมกับคุณพุฒิไกรไม่มากก็น้อย
เอาตรงๆ นะ ไม่ว่าจะเป็นตอนที่เจอเขา หรือแม้แต่ตอนที่รู้ว่าเราเคยคบกัน ผมก็...
“...”
ไม่รู้จะพูดอะไร
“หึ... ถึงกับต้องโกหกว่านายเคยทำงานด้วยต่อหน้าเมีย สิ้นคิดจริงๆ”
กะไว้แล้วเชียว ผมยังเรียนไม่จบแถมมันสมองก็ไม่ได้ใกล้เคียงกับคำว่าฉลาดสักนิด ตอนแรกผมอาจสงสัย แต่พอรู้ว่าชายคนนี้คือพุฒิไกร ผมก็พอจะเดาออกว่าทำไมเขาถึงเลือกที่จะโกหกภรรยาไปแบบนั้น
“ผมรู้ครับ” ขืนทำอ๋อเหมือนเพิ่งรู้คงโดนจับได้แหงๆ
“นายเคยบอกว่าพุฒิไกรเป็นคนที่รักนายจากใจจริง แต่ฉันว่านายเข้าใจแบบนั้น เพราะเขาเสียเงินให้นายไปมากต่างหาก” ผมตวัดสายตามองลูเซียน ไม่ใช่ว่าตกใจกับเรื่องที่เพิ่งรู้ แต่อยากดูสีหน้าเวลาเขาพูดถึงผมมากกว่า “ทั้งคอนโด ทั้งรถยนต์ แล้วไหนจะเงินที่โอนให้แต่ละเดือนอีก น่าเสียดาย... ถ้าเขาไม่ถูกบังคับให้แต่งงาน นายคงไม่ต้องคอยหลีกเลี่ยงอีวาน หรือมานั่งคิดว่าอยากเปลี่ยนตัวเองอยู่แบบนี้”
“ผมเปลี่ยนตัวเองเพราะอยากเปลี่ยน ไม่ได้เกี่ยวกับใครเลย” มันอดไม่ได้ที่จะเถียงกลับ โดยลืมไปว่าตัวเองกำลังพูดอยู่กับใคร “แต่ถึงจะพูดยังไงคุณก็คงไม่เข้าใจ... ช่างมันเถอะครับ ผมไม่สนหรอกว่าคุณจะคิดยังไง”
“ถ้าไม่ใส่ใจคำพูดของฉัน ก็ไม่เห็นต้องโกรธ”
“ผมไม่ได้โกรธ” ตอบกลับทันทีทันใด
“ลองบอกมาซิว่าตอนนี้ความรักในแบบของนายเป็นยังไง” ลูเซียนถามในสิ่งที่ผมต้องใช้ความคิดและความรู้สึก แต่ใช้เวลานึกอยู่สักพักผมก็...
“ผมไม่รู้ครับ” ที่ผ่านมามีเรื่องให้คิดเยอะแยะ แค่ใช้เวลากับการทบทวนหนังสือก็ไม่มีเวลาคิดอย่างอื่นแล้ว ไหนจะเรื่องอนาคตอีก ความรักสำหรับผมในตอนนี้มันสำคัญเลย 
“แปลว่ายังไม่รู้สึกรักใคร?”
“คงงั้น...”
สิ้นสุดการสนทนา รถยนต์ก็เคลื่อนมาจอดเทียบริมทางเดิน เราสองคนนั่งด้านหลังโดยมีพนักงานของทางโรงแรมขับรถให้ ลูเซียนบอกที่หมายเสร็จบรรยากาศในรถก็เงียบลง ผมได้แต่มองข้างทางโดยไม่หันไปมองคนที่นั่งข้างๆ เลย

จุดมุ่งหมายของลูเซียนคือห้างสรรพสินค้า มาถึงเขาก็พาผมขึ้นไปที่ร้านโทรศัพท์เป็นอันดับแรก บอกจะซื้อให้แต่ผมปฏิเสธ จนเขาบอกว่าเป็นสวัสดิการให้พนักงาน ผมเลยตกลง
ระหว่างเดินดูลูเซียนก็คอยถามผมว่าอยากได้แบบไหน ยี่ห้ออะไร พอบอกว่าได้หมด เขาก็เดินไปจิ้มโทรศัพท์ที่โชว์เด่นสุดในร้านพร้อมกับยื่นบัตรเครดิตให้ กับพนักงานขาย ผมดูราคาแล้วก็ได้แต่กลืนน้ำลาย โทรศัพท์รุ่นล่าสุด ฟังก์ชันครบสมบูรณ์แบบ ผมต้องทำงานสองสามเดือนโน้นมั้งถึงจะซื้อเครื่องนี้ได้
หลังจากพนักงานส่งโทรศัพท์ให้ลูเซียน ผมก็เห็นเขาหยิบมาเลื่อนๆ กดๆ ก่อนจะหยิบมือถือตัวเองขึ้นมา รอสักพักเครื่องของเขาก็มีเสียงริงโทนขึ้น ผมกำลังสงสัยว่าทำอะไร ลูเซียนก็ยื่นโทรศัพท์เครื่องใหม่มาให้ 
หน้าจอเป็นภาษาอังกฤษหมดเลย รู้สึกจะอยู่ในหน้าตั้งค่า ผมงงว่ามันคืออะไร
“นี่คือ...”
“ฉันตั้งให้เบอร์ตัวเองเป็นเบอร์โทรฉุกเฉินในเครื่องนาย” พูดถึงตรงนี้ ลูเซียนก็ขยับตัวเข้ามาใกล้เพื่อแสดงให้ผมดูว่าต้องทำยังไง “ถึงหน้าจอล็อคอยู่ แค่กดตรงนี้ก็จะโทรหาฉันได้ทันที”
ฟังจนจบแล้วรู้สึกคุ้นๆ แฮะ “อ้อ~ เหมือนที่จ้านเคยทำให้เลย”
ตอนซื้อโทรศัพท์มาใหม่ๆ จ้านตั้งให้เบอร์เขาอยู่ลำดับแรก เผื่อว่าเกิดเรื่องไม่ดีขึ้นจะได้โทรหา มาคราวนี้ลูเซียนก็ทำแบบเดียวกัน คือมันรู้สึกแปลกๆ เหมือนกันนะ เพราะผมไม่เคยมีโอกาสโทรหาเขาโดยตรงมาก่อน จะมีก็แค่ติดต่อกับเลขาส่วนตัวของเขาเท่านั้น
ขณะที่นึกอะไรเรื่อยเปื่อย ผมมองไปรอบๆ ก่อนจะหันไปหาลูเซียนอีกครั้ง จังหวะนั้นแหละที่ผมเห็นสีหน้าเขาเปลี่ยนไป อยู่ๆ ก็ถูกอีกฝ่ายทำหน้าตึงใส่ ผมจะไม่งงได้หรอ   
“ถ้าอยากเปลี่ยนให้เขาเป็นเบอร์แรกก็ลบเบอร์ฉันทิ้งซะ” พูดจบก็เดินออกจากร้านขายโทรศัพท์ไป ผมมองตามพร้อมเกาหัวหยิกๆ เมื่อกี้น้ำเสียงฟังดูกระแทกกระทั้นยังไงชอบกล แล้วดูนั่น เดินไม่รอเลย เห็นหลังไวไวข้างหน้าโน้นก่อนจะเดินหายเข้าไปในร้านเสื้อผ้า
ผมเดินตามมาจนพบลูเซียนกำลังเลือกเสื้อผ้าอยู่ ภายในร้านดูดีมีระดับ ป้ายราคาแต่ละตัวแพงลิบลิ่ว ผมลองจับดูแล้วจับวางอยู่อย่างนั้น ไม่กล้าใส่เลยสักตัวบอกตรงๆ
“อยากใส่ตัวไหน เลือกเอา” ลูเซียนถาม
“เราอยู่ทะเลทั้งที ลองใส่อะไรที่มันเข้ากับที่นี่ดีมั้ยครับ” ผมนึกอะไรดีๆ ออก ตอนแรกหวั่นๆ ที่ลูเซียนไม่ถามกลับว่าอะไรยังไง แต่หลังจากคิดอยู่สักพักเขาก็ยอมฟังผม
ก่อนจะขึ้นมาบนห้างผมเห็นว่าข้างๆ มีตลาดอยู่ ก็จะมีร้านขายพวกของฝากสำหรับนักท่องเที่ยว ของกินเล่น และละลานตาไปด้วยเสื้อผ้าหลายร้าน แต่แฟชั่นที่ผมเห็นแล้วอยากใส่ ดูจะไม่ได้เป็นที่ชื่นชอบของลูเซียนเท่าไหร่…
“ไม่มีทาง”
นั่นคือคำแรกที่หลุดออกมาจากปาก หลังจากผมพาเดินเขามาถึงหน้าร้านขายเสื้อฮาวาย
“ตัวละไม่กี่บาทเอง เนื้อผ้าใส่สบายด้วย ลองก่อนแล้วค่อยตัดสินใจก็ได้นี่ครับ” ผมตรงดิ่งเข้าไปในร้าน มองๆ เลือกเสื้อผ้าสีสันสดใสที่ถูกแขวนไว้ในราว น่าใส่ทั้งนั้น แถมยังถูกกว่าในห้างนั่นตั้งหลายเท่า
“จะให้ฉันใส่ชุดแบบนี้นั่งเครื่องบินกลับกรุงเทพ?” ลูเซียนเค้นเสียง
“ไม่เห็นเป็นไรเลย ผมก็จะใส่เหมือนกัน” ลูเซียนอาจเห็นว่ามันมีสีสันฉูดฉาดเกินไป ไม่เหมาะกับเจ้าตัวสักนิด แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น แต่ละวันเคยเห็นเขาใส่อยู่สองสี ไม่ขาวก็ดำ ถ้าลองใส่แบบนี้ดูบ้างอาจจะดูเหมาะมากก็ได้
“ฉันไม่ได้มาเที่ยว” คล้ายกำลังบอกให้ผมรู้ตัวว่าเขามาที่นี่เพราะมีใครเป็นต้นเหตุ
“ผมก็ไม่ได้เต็มใจมา” สวนกลับด้วยน้ำเสียงแผ่วเบา “ตอนอยู่กับอีวาน ผมรู้สึกเหมือนตัวเองถูกคุมตัว... แต่กับคุณมันต่างออกไป ฉะนั้นไม่ว่าคุณจะมาที่นี่ด้วยสาเหตุอะไร ผมก็ดีใจที่คุณมานะครับ”
ช่วงเวลาที่ลูเซียนเดินลงมาจากเฮลิคอปเตอร์ เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าตัวตนของลูเซียนในแบบที่ผมคิด กับสิ่งที่เขาเป็นจริงๆ อาจแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง จากที่เคยเกลียดลูเซียนพอๆ กับอีวาน มาตอนนี้ผมกลับรู้สึกสบายใจกับเขามากกว่า คงเพราะผู้ชายคนนี้ไม่ใช่แค่ช่วยเหลือผม แต่ยังปกป้องผมด้วย 
อยู่ๆ ภายในร้านก็ไร้เสียงคนพูด เอาเถอะ ในเมื่อลูเซียนไม่อยากใส่ผมจะไปบังคับก็ใช่เรื่อง ใส่คนเดียวก็ได้ไม่เห็นเป็นไร คิดได้อย่างนั้น ผมเลยหยิบเสื้อลายสีน้ำเงินออกมาจากราวเหล็ก กำลังมองหาเจ้าของร้านเพื่อขอลอง แต่ลูเซียนกลับคว้าเสื้อที่ผมถืออยู่ไปอย่างหน้าตาเฉย
คนตัวสูงถอดเสื้อเชิ้ตออก ก่อนจะสวมเสื้อฮาวายพร้อมติดกระดุมครบทุกเม็ด ส่วนกางเกงในร้านก็มีขายแบบขาสี่ส่วน เขาเลือกสีครีมออกมา เดินหายไปหลังร้านสักพักก็เดินออกมา
แวบแรกที่เห็น... ผมกลั้นหัวเราะไว้ไม่ได้จริงๆ
“ถ้าขำอีกครั้งเดียว ฉันจะเลาะฟันนายออกให้หมด”
“โอเคครับ! โอเค ผมไม่ขำแล้ว” ผมเม้มปากตัวเองแน่น ส่วนตัวคิดว่าลูเซียนใส่แบบนี้ก็ทำให้เขาดูดีไปอีกแบบ ไม่เห็นแย่ตรงไหน แต่ประเด็นที่ขำคือเขาดูเปลี่ยนไปมากจนคิดว่าเป็นนักท่องเที่ยวจริงๆ ต่างหาก
“ฉันเลือกให้นายบ้าง” ว่าแล้วก็เดินดุ่มไปดูเสื้อที่ราวทันที
เฮ้ยๆ ชักไม่ค่อยดีนะแบบนี้
“อย่าแกล้งกันนะครับ สีที่ผมเลือกมาฉูดฉาดน้อยสุดแล้ว แต่คุณดันเอาไปใส่เองเฉยเลย” พูดจบ ลูเซียนก็โยนเสื้อมาให้แบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ดีที่ผมมีสติเลยรับทัน
แต่ให้ตายเถอะ! สาบานว่านี่คือสีที่เขาเลือก...
“สีแดง?” ผมทำหน้าเหยเก
“ฉันใส่สีโทนเย็นแล้ว นายก็ควรใส่โทนร้อน จะได้พอดีกัน” เออ... ฟังมีเหตุผลแฮะ
“แต่มันลายเดียวกันเลยนะครับ”
“ใส่ไปเถอะ”
ผมควรใส่ก่อนที่ลูเซียนจะหัวร้อนไปมากกว่านี้สินะ โอเคๆ อย่างน้อยก็มีโอกาสได้ใส่แล้ว ผมจึงเดินไปหลังร้านเพื่อเปลี่ยนเสื้อผ้า เสร็จเรียบร้อยก็มายืนดูกระจกในร้านตั้งแต่หัวจรดเท้า... อืมม์ มันก็ไม่ได้แย่นะ
ระหว่างที่กำลังดูความเรียบร้อยของเสื้อผ้า ผมเห็นลูเซียนเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างหลังจากทางกระจกเงา ก่อนจะนำสิ่งที่ถืออยู่ในมือขึ้นมาสวมบนศีรษะผม
หมวกแก๊ปสีดำ... เขาซื้อมาเมื่อไหร่ ตอนผมเข้าไปเปลี่ยนเสื้อผ้างั้นหรอ?
ผมกะว่าจะถามเกี่ยวกับหมวกใบนี้ แต่คนที่มองผมผ่านกระจกใส่ดันเอ่ยขึ้นมาก่อน...


“แดดมันแรง”





หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 29:: คนรู้จัก] UPDATE 20/10/62
เริ่มหัวข้อโดย: lcortsess ที่ 21-10-2019 02:08:30
.
หัวข้อ: Re: ## พันธะพัวพัน ## [ตอนที่ 29:: คนรู้จัก] UPDATE 20/10/62
เริ่มหัวข้อโดย: Summerset ที่ 23-10-2019 22:18:01
งื้ออออ มุ้มมิ้ง :-[