00.02 am.
ขอโทษที ไม่เล่นแล้ว“เห็นมองอยู่ได้ทุกวัน ไม่ใช่อยากได้หรือไง”
เสียงทุ้มเย็นเอ่ยขึ้นมาหลังจากที่ผมเพิ่งประมวลสติได้ไม่ถึงนาที
“เดี๋ยว ใจเย็น”
“ไม่ชอบผู้ชาย?”
“เอ่อ...ก็...จะว่างั้นก็ได้” แต่มันใช่ประเด็นหรือไง
“แล้วเรียกหาอะไรอยู่ได้ทุกวัน”
แค่อยากจะแกล้งเฉยๆ
ผมไม่รู้ว่าเด็กสมัยนี้มีความคิดอะไรแบบนี้อยู่ด้วย ก็แค่พอรู้ว่าเป็นผู้ชายด้วยกันก็เลยอยากจะหยอกเล่นสักหน่อย กวนประสาทกลับสักนิดก็เท่านั้น ไม่คิดว่าไอ้เด็กนี่จะเห็นเป็นเรื่องอย่างว่า
โลกมันหมุนเร็วเกินไปจนผมตามไม่ทันหรือไอ้เด็กขี้เมานี่มันเป็นบ้ากันวะ
คิดดูอีกที อาจจะเพราะเมาอยู่ก็ได้ หมอนี่ถึงได้พูดอะไรแบบนี้ออกมา
หลังจากที่ผมส่งเสียงหยอกเย้าเขาเหมือนทุกคืนที่ผ่านมา ครานี้เด็กหนุ่มไม่ได้เชิดหน้าหนีเข้าบ้านเหมือนเคย แต่กลับเดินมาหยุดอยู่หน้าบ้านผม เงยหน้าใช้ดวงตาสีน้ำทะเลจับจ้องมา ราวกับถูกสะกดจิต ผมละสายตาไปไม่ได้ และไม่ช้าร่างกายผอมเพรียวนั่นก็ขยับแขน ชูมือเป็นสัญลักษณ์ให้ผมลงไปหาเขา
ผมคิ้วขมวด ถามเขาว่ามีอะไร แต่เด็กแสบก็ยังชี้นิ้วให้ผมลงไปหาอยู่นั่น
สำรวจจากขนาดตัวแล้ว ผมไม่มีทางสู้แพ้เด็กผอมเก้งก้างแบบนี้แน่นอน อีกทั้งตรวจสอบมาอย่างดีแล้วว่าเจ้าขี้เมาไม่ได้พกอาวุธอะไร จึงได้ยอมลงไปเปิดประตูรั้วให้
“เข้าบ้าน”
น้ำเสียงทุ้มเย็นเอ่ยคล้ายคำสั่ง เมื่อการเปิดเพียงรั้วบ้านไม่เพียงพอต่อความพอใจของคนหน้าหวาน
“จะเข้าไปทำไม”
“ก็น่าจะรู้”
“ไม่รู้ ลืมเอากุญแจบ้านมาหรือยังไง”
“...ไม่เชิง”
“...”
“เปิดหน่อย”
ไม่ว่าเปล่า เด็กหนุ่มบุ้ยปากเป็นเชิงให้ผมเปิดประตูบ้านให้ แม้ว่าไม่ได้ลงกลอนเพราะเพิ่งเปิดออกมารับเจ้าเด็กแสบนี่ แต่เขาก็ยังมีมารยาท ไม่ยอมเข้าบ้านผมโดยพละการ
เนื่องจากความสงสัยก่อตัวเป็นก้อนใหญ่เกินกว่าจะลบออกไปจากหัวได้ ทำให้ผมเปิดประตูบ้านต้อนรับซินเดอเรลล่าเสียอย่างนั้น กว่าจะรู้ว่าไม่ควรก็สายไปเสียแล้ว
อย่างไม่ทันตั้งตัว ผมถูกเด็กหนุ่มผลักให้ติดผนังบ้านแทบจะทันที เขาประชิดตัวเข้ามาแนบสะโพกติดกับเอวของผม
และนั่น ทำให้รู้ความหมายในทันที
“โอเค พอแล้ว เลิกเล่น โทษที ฉันแค่อยากแกล้งนายเท่านั้น ไม่ได้มีจุดประสงค์อย่างอื่นเลยจริงๆ”
“คุณนอนกับผู้ชายไม่ได้เหรอ”
“ไม่น่าจะได้นะ”
“งั้นก็แค่ลอง”
“ไม่ดีกว่า กลับบ้านนายไปเลย”
ผมว่า ขยับใบหน้าตัวเองหลบลมหายใจอุ่นที่เจือกลิ่นแอลกอฮอล์จากอีกฝ่าย พลางรวบมือที่ซุกซนแอบลูบหน้าท้องของผมไว้ไม่ให้ขยับไปจับส่วนไหนได้ตามใจชอบอีก
ผมจ้องลงไปในดวงตาสีน้ำทะเลลึกแทนการดุ แม้จะตกใจกับรสนิยมของคนตรงหน้า แต่ก็ใช่ว่าจะแปลกใจ ใบหน้าของเขาไม่ยากที่จะสามารถดึงดูดได้ทั้งผู้ชายและผู้หญิง ใครเห็นคงมองเขาจนเหลียวหลัง เสน่ห์ท่วมท้นอย่างอย่างกับนางไม้ร่ายมนต์
ถึงแม้ว่าจะรู้แล้วว่าไม่ใช่สาวน้อยอย่างที่คิด ทว่ารูปร่างหน้าตา ทั้งหมดทั้งมวลของเขามีเสน่ห์ดึงดูดอย่างน่าประหลาด ทุกอย่างของเขาล้วนน่าค้นหาอย่างหาคำอธิบายไม่ได้ ถึงจะฟังดูแปลกๆ แต่เขาเป็นผู้ชายที่สวยมากๆ คนหนึ่ง สวยทั้งรูปร่างทั้งหน้าตา โดยเฉพาะดวงตาสีฟ้าที่ตรึงผมให้อยู่กับที่ทุกทีที่ได้สบตานั่นอีก
ดวงตาของเขาผลักให้ผมหลงอยู่ในห้วงของกาลเวลาได้อย่างง่ายดาย
พอยิ่งเข้าใกล้ ยิ่งรู้ว่าสเน่ห์ของเขามากล้น กลิ่นหอมจากร่างกายยั่วยวนให้ใครต่อใครหลงใหลได้ไม่ยาก ใบหน้าสวยหวานที่ยิ่งพอได้เห็นใกล้ๆ ก็ยิ่งต้องตา ร่างกายบอบบางผิวขาวนวลละเอียดจนคิดว่าหากกอดแรงๆ คงเป็นรอย และต้องใช้ความหักห้ามใจเป็นอย่างมากในการไม่ให้ผลักเขาลงไป แล้วขย้ำเนื้อขาวให้ขึ้นสี
คนตรงหน้ารูปงามเกินกว่าจะปรากฏขึ้นบนโลกแห่งความจริง ทั้งยังวิจิตรจนน่าเสียดายเกินกว่าหากเป็นเพียงรูปวาด
ยากที่จะห้ามใจไม่ให้ครอบครองเขา
แต่เพราะเป็นเด็ก เป็นผู้ชาย เป็นคนข้างบ้าน เป็นคนไม่รู้จัก อะไรหลายๆ อย่างทำให้ผมไม่คิดจะทำอะไรเกินเลยเขาตามที่ปากแดงนั่นเพียรเอ่ยบอก
ได้แต่ฉุดให้เด็กดื้อออกไปจากบ้านของผมอย่างรวดเร็วก่อนที่ฝ่ายมารในใจจะชนะความคิด จับเขายัดเข้าบ้านตรงข้ามโดยที่ไม่ปล่อยให้เจ้าตัวขัดขืน เด็กหนุ่มร้องโวยวายแต่สู้แรงผมไม่ได้ สุดท้ายเขาก็เข้าบ้านไปได้โดยสวัสดิภาพ
หลังจากที่เล่นจนได้เรื่อง ผมก็ไม่ออกไปแซวเขายามค่ำคืนอีก ทำงานงกๆ หลบแสงจันทร์อยู่ในห้อง และหลับพักผ่อนเมื่อแสงอาทิตย์ขึ้น มีเพียงแสงไฟนีออนที่อาบตัวอยู่ทุกวัน
ผ่านไปไม่กี่วัน เมื่อทำงานจนบรรลุหน้าที่ ผมออกไปส่งภาพวาดที่เพิ่งเพ้นท์เสร็จให้กับเจ้าของแกลลอรี่แห่งหนึ่งในตอนเช้า ก่อนกลับเข้ามาหวังจะนอนให้หนำใจ ทว่าโลกกลับเหวี่ยงให้เจอเพื่อนบ้านเพียงคนเดียวอีกครั้ง เขาทำท่าจะออกไปข้างนอก เด็กหนุ่มคนนั้นกระตุกยิ้มมุมปากก่อนเอ่ย
“กลับเช้านะ”
ผมกลอกตา ไหวไหล่ เดินเข้าบ้านอย่างไม่ใคร่จะใส่ใจ นึกเข้าใจความรู้สึกของเขาที่ถูกผมแซวขึ้นมาบ้างแล้ว
ก่อนที่จะได้เข้าบ้านไปฝังตัวบนเตียง ผมหันไปบอกแนะนำเขาแทนคำทักทาย เพราะนึกขึ้นได้ว่าเจอหมอนี่แต่ละทีก็อยู่ในสภาพเมามายทุกครั้ง
“อย่าไปกินเหล้าอีกล่ะ”
เด็กหนุ่มโคลงหัวก่อนเอ่ยตอบ
“คุณห้ามผมไม่ได้หรอก”
“...”
“แต่ถ้ายอมนอนด้วยอาจจะลองเลิกเหล้าดูก็ได้”
“กินเหล้าไปจนตายเถอะงั้น”
ผมเอ่ยกลับแทบจะทันที เด็กเวรลอยหน้าลอยตาไม่สนใจคำสาปแช่งของผมเท่าไหร่นัก ผมหายตัวกลับเข้าไปนอนอย่างที่ตั้งใจ และในคืนนี้เขาก็ไปกินเหล้าอีกตามเคย
ผมคงไม่รู้และไม่ใส่ใจเด็กนิสัยแปลกๆ นี่อีก ถ้าหากว่าในคืนนี้ไม่ได้ยินเสียงเคร้งๆ ดังหนวกหูฝ่าเสียงฝนขึ้นมา
คืนนี้ฝนตกหนัก และหลังจากที่ไอ้หนุ่มผมยาวกระทำตัวแปลกๆ วันนั้น ผมก็ไม่ได้ใส่ใจที่จะไปถ้ำมองเขาอีก เพราะกลัวไอ้เด็กนี่จะกลายร่างเป็นร่างคลั่ง จะมีบ้างในบางวันที่ผมออกมาสูบบุหรี่แล้วเจอเขากำลังกลับเข้าบ้านพอดี แต่ก็ไม่ได้ทักทายไปมากกว่าพยักหน้าให้
จนเสียงโลหะของรั้วบ้านถูกเขย่าอย่างรุนแรงดังขึ้นรบกวนประสาทจนต้องยอมออกไปดู เผื่อว่าคนเมาอาจจะทำอะไรไม่ได้ท่ามกลางสายฝนที่เทลงมาโครมครามราวกับฟ้ารั่ว
คิดว่าคงเห็นเด็กหนุ่มขี้เมานอนเกาะรั้วบ้านตัวเองอยู่ ทว่าผมกลับเห็นเขายืนเขย่ารั้วบ้านของผมอยู่เสียอย่างนั้น
“ทำอะไร”
ผมเอ่ยถาม ส่งเสียงแทรกเสียงฝน คนข้างล่างหยุดมือก่อกวน เงยหน้าใช้ดวงตาสีสวยจับจ้องมายังผม ใบหน้าสวยและเส้นผมยาวเปียกโชกด้วยน้ำฝน หยาดน้ำชโลมจนเสื้อผ้าบางแนบเนื้อไปกับร่างเพรียว ขับสเน่ห์ของคนตรงหน้าเพิ่มมากขึ้นได้อย่างไม่น่าเชื่อ
“เปิดให้หน่อย”
“ทำไม บ้านก็อยู่แค่นี้ กลับบ้านไปเลยไอ้หนู”
“นอนด้วย”
“บอกให้กลับบ้าน”
เคร้งๆๆ
เด็กเวรกวนประสาทผมอย่างต่อเนื่อง เมื่อผมไม่ทำตามความต้องการของเขา สองมือขาวซีดก็เขย่ารั้วบ้านผมจนเกิดเป็นเสียงน่ารำคาญ
“หยุดเลย ไอ้นี่นิ”
ผมถอนหายใจ “รอตรงนั้นแป๊บนึง แล้วก็เลิกเขย่ารั้วบ้านฉันได้แล้ว”
ครานี้เด็กดื้อยอมทำตามคำพูด ผมถึงได้กลับเข้าบ้านเพื่อลงไปเปิดประตูชั้นล่างให้เขา หน้าบ้านส่วนลานจอดรถอยู่ใต้ระเบียงชั้นสอง ทำให้มีหลังคาปกคลุม ผมจึงไม่ได้เปียกฝนเหมือนคนข้างหน้า
และทันทีที่ประตูรั้วเปิดออก คนเมาก็พุ่งเข้าใส่ผมทันที
“ไม่ต้องมาเกาะเลย เปียกหมดแล้วเห็นมั้ย”
“...”
เด็กหนุ่มไม่ตอบ และมีแต่ผมที่พยายามดันตัวเขาออกไป ใบหน้าหวานซบลงที่ไหล่ผมและหาญกล้าใช้เสื้อผมเช็ดหน้าต่างผ้าขนหนู กลิ่นแอลกอฮอล์จากตัวเขาลอยเจือจางตัดกับกลิ่นน้ำฝน
“ทำไมไม่เข้าบ้านตัวเอง หรือเปิดประตูบ้านไม่ได้”
“...”
“เป็นอะไร กุญแจบ้านหายหรือไง”
ผมถามอีกครั้ง เมื่อเสียงฝนเป็นเพียงเสียงเดียวที่ตอบกลับมา
เด็กหนุ่มขยับตัว ช้อนตามองผมอีกครา ใบหน้าหวานมีสีหน้าคล้ายจะเศร้าโศก ทว่าเพียงชั่วเดียวก็หายไป พร้อมกับขยับตัวยุกยิก ควักเอาอะไรบางอย่างในกางเกงยีนส์ออกมา ที่ผมคาดว่าน่าจะเป็นกุญแจบ้านของเขา
แล้วโยนออกไปในสวนหน้าบ้านของผม
“ไอ้...”
“อือ กุญแจบ้านหายแล้ว ขอนอนด้วยดิ”
“...เด็กผี” ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่ พยายามจะผลักเขาออกจากตัวเพื่อไปหากุญแจบ้านของคนขี้เมา ที่น่าจะตกอยู่ในพุ่มไม้แถวนี้
ทว่าเด็กหนุ่มกลับไม่ยอมให้ผมทำเช่นนั้น เมื่อร่างผอมขยับตัวมาเบียดตัวผมมากกว่าเดิม แขนสองข้างเกาะผมไว้แน่นไม่ให้ผมหนีหายไปไหน ใบหน้าสวยซุกลงที่อกผม กระซิบเอ่ย
“แค่นอนเฉยๆ ก็ได้”
“...”
“หนาวแล้ว...”
“...”
“ตัวก็เปียก”
“...”
“เดี๋ยวไม่สบาย”
ถ้ารู้ก็อย่ามาตากฝนตั้งแต่แรกสิ ผมดุเขาในใจ และในที่สุดก็ต้องยอมแพ้ให้กับความเอาแต่ใจของเด็กข้างบ้าน
ยอมเปิดประตูให้เขาเข้าไปอีกครั้ง
ถือว่าช่วยเหลือคนเมา
เด็กน้อยนอนคว่ำหน้าหัวเปียกซบหมอนอยู่บนเตียงผม ให้ตายสิ ไล่ให้ไปนอนอีกห้องก็ไม่ยอมไป แต่เอาเถอะ ผมเองก็ยังไม่คิดจะเข้านอนในเร็วๆ นี้ เพียงแต่สภาพของเขาทำให้ผมขัดใจไม่น้อย จึงหยิบผ้าขนหนูไปวางแปะบนหัวเขา แม้อยากจะเช็ดให้แต่ก็ไม่ได้สนิทใจด้วยขนาดนั้น จึงได้แต่หวังว่าผ้าขนหนูจะคอยซับหยาดน้ำจากเส้นผมของเขาได้เอง
ผมเข้าไปฝังตัวในห้องทำงาน ก่อนบรรเลงแปรงพู่กันบนเฟรมผืนใหญ่ จนเวลาผ่านไปสักพัก ยามเช้ายังไม่มาถึง ทว่าเมื่อมองออกไปผ่านกรอบหน้าต่าง ผมเห็นพระจันทร์ลอยตัวอยู่ท่ามกลางท้องฟ้าโปร่ง ฝนหยุดตกแล้ว
จึงตัดสินใจลุกขึ้นบิดตัวยืดเส้นยืดสาย ตั้งใจจะพักสายตาเสียหน่อย ผมหยิบซองบุหรี่ออกไปสูบนอกระเบียงพร้อมกับชมจันทร์ไปพลางๆ จนหมดมวนแล้วถึงค่อยกลับเข้ามาในบ้าน ตั้งใจจะไปเข้าห้องน้ำก่อนเริ่มทำงานต่อ ทว่าเมื่อเปิดประตูออกไปก็พบกับร่างของเด็กหนุ่มที่นอนพิงผนังอยู่ข้างประตู
“ทำไมมานอนที่นี่”
เขาไม่ตอบ น่าจะหลับไปแล้ว
ผมไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มแอบตื่นมานอนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่จะให้เขานอนตรงนี้ตลอดก็คงไม่ดี จึงก้มตัวลงปลุกเด็กดื้อให้ตื่นเสีย
เขาปรือตาขึ้นมาก่อนหลับต่อ ผมถอนหายใจเมื่อภารกิจล้มเหลว จึงลุกไปหยิบผ้าห่มมาให้เขาแทน แน่นอน ผมไม่ใจดีพอจะอุ้มเขาเหมือนเจ้าหญิงแล้วพาเข้าไปนอนในห้องหรอก อย่างไรเสีย หมอนั่นก็ผู้ชาย
แต่พอเขามานอนเฝ้าอยู่หน้าห้องเช่นนี้กลับทำให้ผมไม่มีสมาธิเอาเสียเลย แม้ว่าจะปล่อยเขาไปก็ได้แต่กลับพะวงถึงคนที่นอนไม่เป็นที่เป็นทาง ก่อนที่จะเผลอตวัดพู่กันผิดสีลงบนผลงานไปมากกว่านี้ ผมตัดสินใจปิดไฟ เดินออกจากห้องสตูดิโอไป
“ลุก จะไปนอนแล้ว”
ครานี้เด็กดียอมฟังคำของผมง่ายๆ เขาตื่นตามแรงเขย่าและเสียงของผม ก่อนจะลุกเดินตามผมเข้าห้องนอน
“ห้องนอนนายน่ะทางนั้น”
ผมร้องบอกเมื่อเห็นเขาเดินตามเข้าห้องตัวเองมาด้วย ไอ้เด็กผีไม่ยอมทำตามคำสั่งของผมอีกแล้ว เขาเดินเข้ามาในห้องผมและไม่คิดจะออกไปไหน
“ฉันเป็นเจ้าของบ้านนะ ให้เกียรติกันหน่อย” ผมดุ แววตาสีฟ้าของเขาเจือความรู้สึกผิดเล็กน้อย
“ผมนอนพื้นก็ได้”
“ได้”
ผมถอนหายใจ เหนื่อยจะต่อล้อต่อเถียงกับเด็กยุคใหม่ที่ตัวเองตามไม่ค่อยจะทัน หยิบหมอนและปูฟูกนอนให้เขา ส่วนผ้าห่มเขามีอยู่แล้ว จากการที่ผมเอาไปห่มตัวเขาก่อนหน้านี้ และเขาก็นำมาห่อตัวเองจนถึงตอนนี้
เขาล้มตัวลงนอนบนฟูกที่ผมจัดเตรียม เมื่อเห็นดังนั้นแล้วผมจึงเดินไปปิดไฟ ก่อนปีนขึ้นมานอนบนเตียงตัวเองบ้าง ให้ตาย ไม่น่าเลย ไม่น่าเปิดประตูให้หมอนี่เข้ามาเลยจริงๆ
ที่ไม่ได้มีปฏิสัมพันธ์กับใครไม่ใช่แค่เพราะขี้เกียจ แต่ผมตั้งใจ
ตั้งใจย้ายที่อยู่มายังที่ที่ไม่มีใครเคยรู้จักผม ตั้งใจอยู่บ้านเพราะไม่อยากพบเจอผู้คนมากมาย หลีกหนีจากผู้คน หลีกหนีจากเพื่อนฝูง หลบหน้าหายไปจากครอบครัว ตั้งใจทำงานตอนกลางคืนเพราะเงียบสงบกว่าตอนกลางวัน ตั้งใจอยู่เป็นเพื่อนพระจันทร์เพราะอยากหลีกจากทุกความสัมพันธ์ที่พระอาทิตย์พยายามนำพามา
ทั้งๆ ที่ตั้งใจจะอยู่คนเดียวแท้ๆ
“นายชื่ออะไร”
“ลัล”
ผมเอ่ยถามเด็กหนุ่มในความมืด รู้ว่าเจ้าตัวยังไม่หลับจากเสียงพลิกตัวไปมา
“ผมต้องถามชื่อคุณไหม”
“ไม่ต้องหรอก”
“...ไม่อยากให้รู้จักหรือ”
“ก็...ไม่เชิง...แต่ที่นายเรียกอยู่นั่นก็ชื่อฉัน”
“...”
ไม่มีเสียงใดตอบกลับมาอีก นอกจากเงาตะคุ่มของร่างผอมที่ลุกขึ้นยืนอยู่ข้างเตียง และไม่รอช้าที่จะปีนขึ้นเตียงเดียวกับผม
“ไหนว่าจะนอนข้างล่าง”
“นอนด้วยไม่ได้เหรอ”
“ผิดคำพูดนะไอ้หนู และก็...เกรงใจเจ้าของบ้านด้วยก็ดี”
“ทีคุณแซวผมทุกวันผมยังไม่เคยบอกให้เกรงใจคนข้างบ้านบ้าง”
“...”
จบคำพูด ผมหาคำเถียงไอ้เด็กนี่ไม่ได้ และเขาก็มุดเข้ามานอนข้างผมเรียบร้อยแล้ว จนต้องถดตัวถอยเว้นระยะให้ห่างออกมา
“ถ้าอยากได้เซ็กซ์เฟรนด์ก็ไปหาที่อื่น”
“นอนเฉยๆ ก็ได้”
ผมถอนหายใจ เมื่อเขาล้มตัวนอนหันหน้ามาทางผม ใช้ดวงตาสีฟ้านั่นจับจ้องมาราวกับเป็นการสะกดจิต ผมพลิกตัวหันหลังให้เขา
เตียงคิงไซส์ใหญ่พอที่จะนอนได้สองคนโดยไม่อึดอัด แต่ไม่ใช่การนอนกับคนแปลกหน้า ที่เป็นการนอนจริงๆ และนั่นทำให้ผมอึดอัดไม่น้อย การนอนจ้องตาแข่งกับความมืดจึงเป็นทางออกให้ผม
และไม่นาน คนข้างกายก็สงบนิ่ง เหมือนว่าเขาจะหลับไปแล้ว
ก่อนที่จะบอกลาพระจันทร์ ผมบ่นพึมพำ
“วันนี้เมาหนักไปนะ ไอ้หนู”
❍
#ณพระจันทร์