00.09 am.
ภาพวาดรูปลัลขายได้ราคากว่าที่คิดผมไม่ได้วาดภาพเหมือนหรอก... แค่เวลาว่างในช่วงกลางวัน ผมอยากลองวาดอะไรที่ไม่เกี่ยวข้องกับงานดู ในเมื่อล้มเหลวกับการวาดดวงตาของเขา ผมจึงเลือกเปิดสมุดสเก็ตช์ที่มีรูปลัลเมื่อคราวนั้นออกมา บรรจงวาดมันลงบนผืนผ้าใบผืนใหญ่ ลัลไม่รู้หรอกว่าผมวาดเขา อันที่จริง ผมดัดแปลงรูปของเขาจนแทบไม่เหมือนตัวจริงด้วยซ้ำ
ในรูปภาพเป็นผู้ชายร่างผอมบาง ผมสีดำยาวถึงเอวคลอเคลียหน้าอก สวมใส่ผ้าขาวโปร่ง มีปีกสีใสอันใหญ่โผล่มาจากแผ่นหลัง ใบหูยาวผิดมนุษย์ เขานั่งอยู่ท่ามกลางป่าไม้สีเขียวขจี รายล้อมไปด้วยต้นไม้ใบหญ้าสีสันแปลกตา ใช่ ผมวาดภูติในเทพนิยายที่ลอกแบบมาจากลัล ภูติหนุ่มแสนสวยนั่งอ้อยอิ่งอยู่ท่ามกลางเถาวัลย์และพงหญ้า ใบหน้างดงามหมดจดไร้ซึ่งตำหนิ ริมฝีปากแดงระเรื่อ จมูกโด่งรับโครงหน้า งดงามยิ่งขึ้นเมื่อมีแสงตกกระทบฉาบด้านข้างของใบหน้าหวาน
รูปภาพดูเกือบสมบูรณ์แบบทว่าติดตรงที่ดวงตาปิดสนิท...
ภูติน้อยน่าสงสารรูปนี้กำลังหลับตา จุดอัปลักษณ์ของรูปภาพตอกย้ำที่ผมไร้ความสามารถ ไม่ว่าอย่างไร ผมก็ไม่สามารถวาดดวงตาของลัลออกมาได้เลย...
รูปนี้ผมใช้เวลาวาดราวๆ สองอาทิตย์ ก่อนนำมันไปส่งที่แกลลอรี่พร้อมกับงานที่รับวาดของเดือนนี้ ฝากให้คนรู้จักขายให้ และมันขายออกภายในสองวันหลังจากที่ผมนำไปส่ง ด้วยราคาที่มากกว่าที่คิด
เจ้าของร้านแกลลอรี่บอกผมว่าลูกค้าที่มาซื้อให้ราคาเยอะกว่าที่ผมตั้งถึงสองเท่า เขาเลยรีบขายไปโดนที่ไม่ได้บอกผมก่อน ผมไม่ได้ต่อว่าอะไร ขายออกก็ดีใจ ได้ตังค์ แต่แล้วก็ต้องมานั่งเครียดว่าสรุปแล้วผมหลงใหลกับคนในรูปภาพมากขนาดที่ว่าวาดออกมาได้ราคาดีขนาดนี้เชียวหรือ...
เฮ้อ...
หรือว่าต้องยอมรับจริงๆ แล้ว?
“เป็นอะไรรึเปล่าคุณ”
ผมหันไปมองต้นเสียงซึ่งเป็นสาเหตุให้กับอะไรหลายๆ อย่างในตอนนี้ ผมส่ายหน้า เอ่ยปฏิเสธ ลัลมองผมที่กึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนโซฟารับแขก ก่อนยื่นถ้วยข้าวให้ ผมเห็นเขาผัดมาม่าอยู่ในครัว ไม่คิดว่าจะทำเผื่อ แต่ผมก็รับถ้วยมาม่าผัดมาอย่างดีใจ อาหารโปรดผมเลยล่ะ
“วันนี้ไปร้านมั้ย” ลัลเปิดบทสนทนาขึ้นระหว่างมื้อเช้าในตอนบ่าย
“แล้วแต่”
“งั้นไปนะ ไปด้วยกัน”
“เอาสิ” ผมตอบ ดูดเส้นมาม่าเข้าปาก
ผลจากการทำงานเป็นประจำทุกวันทำให้ผมส่งงานก่อนกำหนด มีเวลาเที่ยวเล่นอีกหลายวันกว่าจะเริ่มงานใหม่ ผมจึงตอบรับคำเชิญจากมาสคอตประจำร้านไปโดยที่แทบไม่ต้องคิด
ลัลลงมานั่งข้างๆ ผมที่โซฟา ใช้ดวงตาสีฟ้าจ้องมองผมกินข้าว
“มีอะไร”
“เปล่า”
“จ้องทำไม” ผมถาม พร้อมกับคีบเส้นมาม่ายื่นไปให้เขา ลัลอ้าปากงับเส้นมาม่าจากตะเกียบผมไปเคี้ยวตุ้ยๆ มานั่งขออาหารหรือไง ผมป้อนเขาเสร็จก็ป้อนเข้าปากตัวเองบ้าง พอลัลเคี้ยวหมดก็นั่งจ้องผมใหม่
“คุณ”
“อะไร...หิวก็ไปผัดเพิ่ม”
“เปล่า...”
ผมหันไปมองคนกวนประสาท เขาจ้องตาผมอีกพักเดียวก็ล้มตัวลงนอน เอาหัวหนุนตักผมเรียบร้อย...ไอ้ท่าทีก่อนหน้านี่คือขออนุญาตกันก่อนหรือไง ผมขำในท่าทีของเขาจนอดลูบเส้นผมดำที่ปรกหน้าเขาไม่ได้ เกลี่ยเส้นผมให้เปิดเห็นใบหน้าละมุน เขานอนขดตัว ขยับตัวจัดท่าทางให้สบายโดยไม่สนว่าผมอยากจะลุกไปไหนหรือไม่
เป็นแมวหรือไง
ว่าแล้วก็บีบต้นคอขาวเบาๆ แทนการระบายอารมณ์มันเขี้ยว
ลัลสะดุ้ง ร้องฮื่ออย่างขัดใจ ยกมือขึ้นมาปิดต้นคอตัวเองไม่ให้ผมคุกคามอีก น่ารักจริงๆ ให้ตาย ดูท่า...ผมคงติดใจเขาเข้าแล้ว
เดี๋ยวนี้ซินเดอเรลล่าเริ่มทำตัวสมกับเป็นนางซิน ลัลช่วยผมทำความสะอาดบ้าน ซักผ้า ล้างจาน ทำอาหาร โดยที่ผมไม่ได้ขอ เพียงแต่เขาทำเองโดยอ้างว่าไม่รู้จะทำอะไร ผมก็เพิ่งรู้ว่ามีคนอยากทำงานบ้านเพราะว่างด้วยเนี่ยแหละ ถึงยังไงผมก็ไม่เสียหายอะไร เลยยอมให้เขารับบทนางซินกวาดบ้านถูบ้าน
เขาเผลอหลับไปเป็นชั่วโมง และผมก็นั่งนิ่งเป็นหมอนให้เขาหนุนจนขาชา กว่าเจ้าแมวเซาจะตื่นก็สายมากแล้ว ลัลสะลึมสะลืออยู่พักนึง ส่วนผมขยับไปไหนไม่ได้เลยนั่งมองเขางัวเงีย แล้วเจ้าตัวก็เริ่มลุกขึ้นยืนอย่างเฉื่อยชา
“เดี๋ยวผมมานะ”
“ไปไหน”
“กลับบ้าน”
“หือ?” ผมส่งเสียงเป็นคำถาม ปกติไล่ให้ตายก็ไม่กลับ นึกยังไงจู่ๆ ถึงอยากจะกลับบ้านตอนนี้
“ไปเปลี่ยนเสื้อ ซักผ้า แล้วก็ว่าจะทำความสะอาดบ้านด้วย” เขาเฉลย และเดินลากขาออกจากบ้านผมไป โดยที่ไม่สนใจผมที่ยืนงงอยู่อย่างนี้
เราเจอกันอีกครั้งตอนสองทุ่ม เจ้าลัลเปลี่ยนชุดอาบน้ำจนตัวหอมฉุย เดินมาเรียกให้ผมขึ้นรถไปร้านจ๊ากด้วยกัน คราวนี้ที่ลานจอดรถหลังร้านไม่มีหมาสีน้ำตาลคอยนั่งเฝ้าเหมือนทุกที เราเข้าไปยังตัวร้าน และเมื่อไอ้จ๊ากเห็น ก็รีบเดินตามมานั่งคุยด้วยทันที
“วันนี้ว่างหรือไง” ผมถามเขา ปกติไม่เคยเห็นเจ้าของร้านมานั่งคุยกับพวกผมนานขนาดนี้เลยสักครั้ง
“ก็ทั้งว่างทั้งไม่ว่าง ไอ้ส่วนไม่ว่างก็ให้ลูกน้องจัดการไปตอนนี้ก็เลยว่าง” ไอ้หนุ่มตอบกลับมาอย่างยียวน จ๊ากเป็นคนอารมณ์ดี ผิวขาวเหลืองตามฉบับชาวเอเชียทั่วไป เขาตัวเล็กกว่าลัลแต่อวบกว่า เป็นเด็กหนุ่มหน้าตาธรรมดาคนหนึ่ง
“วันนี้ผมเลี้ยงเอง” เจ้าของชื่อจ๊ากว่าพร้อมรอยยิ้ม ส่วนผมก็ได้แต่สงสัย
“ฉลองอะไร”
“ก็...ไม่เชิงหรอก เอาเป็นว่าเลี้ยงต้อนรับคุณละกัน”
“ฉันมาตั้งหลายครั้งแล้ว มาเลี้ยงอะไรตอนนี้”
“ก็แบบว่า...” ไอ้จ๊ากยิ้มค้าง ส่งเสียงแหะๆ หันหน้าไปทางเพื่อนของเขา ลัลยังคงทำหน้าเฉื่อยชาเหมือนปกติ “แบบว่า...ฉลองที่ไอ้ลัลเลิกอกหัก”
ผมหันไปมองคนเคยอกหัก “เลิกอกหักแล้วหรือ”
“เปล่าซะหน่อย”
ผมหัวเราะ เมื่อเห็นเขารีบหันมาปฏิเสธเสียงแข็ง
“เนี่ยพี่รู้มั้ย ไอ้ลัลไม่ได้มีสภาพแบบนี้มานานแล้ว”
“จ๊าก หยุดพูด”
“สภาพแบบไหน” ผมไม่สนใจเสียงลัล
“แบบที่เป็นผู้เป็นคน ผมอยู่กับมันตลอดเวลาที่มันอกหัก มันเหมือนพี้ยา เหม่อลอยไร้วิญญาณไม่ก็เมาปลิ้นเที่ยวยั่วชาวบ้าน”
“แล้วเปลี่ยนมาเป็นแบบนี้ดีไหมล่ะ”
“ดีสิ ผมเลยจะเลี้ยงพี่ไง ขอบคุณที่พาเพื่อนผมกลับมานะ”
“ฉันไม่ได้ทำอะไรเลย”
ไอ้จ๊ากยิ้มรับ ส่วนคนถูกพูดถึงทำหน้าบึ้งตึง ผมจำได้ดีว่าเขาเคยพูดขออะไรในคืนนั้น ลัลขอให้ผมเป็นโลกอีกใบของเขา ประโยคฟังดูพิกล แต่เมื่อคิดดีๆ แล้วก็ไม่ต่างจากประโยคบอกรักสักเท่าไหร่
แล้วเจ้าของหัวข้อการสนทนาก็ลุกขึ้น เดินหนีออกไปจากวงโต๊ะ ไอ้จ๊ากหัวเราะขำ
“มันเขินน่ะ”
“หึ”
“พี่ไปทำยังไงให้ไอลัลมันเปิดใจอ่ะ”
“กูไม่รู้ กูอยู่เฉยๆ” ผมเริ่มเปลี่ยนสรรพนาม เมื่อคิดว่าไม่จำเป็นต้องสุภาพกับเด็กนี่มากก็ได้
“มันเป็นอย่างนี้มาเป็นปีผมไม่เคยเห็นมันติดใจใครสักคน”
“หมายถึงเที่ยวไล่นอนกับใครไปทั่วน่ะหรือ”
“ก็ใช่ แต่ก็ไม่ได้นอนจริงๆ หรอกนะ”
“เพราะมึงกันไว้?”
“ก็ส่วนหนึ่ง อีกส่วนหนึ่งคือไอ้ลัลมันก็เลือกนะพี่ ใครเข้าหามันแล้วมันไม่ชอบก็ไม่ยุ่งด้วยเลย บางคนมันเข้าหาเองพอเขาเล่นด้วยไอ้ลัลก็ชิ่ง มันเลยไม่เคยได้นอนกับใครเลย”
“อ่าว แล้วงี้มึงจะห่วงทำไม”
“ห่วงดิ เกิดเจอคนไม่ดีทำไง หน้าอย่างไอ้ลัลยิ่งน่าจับไปปล้ำอยู่ด้วย” ผมมองคนขายเพื่อนที่พูดวิจารณ์เพื่อนตัวเอง แต่ก็ดันเห็นด้วยไปกับจ๊าก
“อีกอย่าง...ผมกลัวมันทำจริง” ไอ้จ๊ากพูดต่อ “มันไปล่อใครก็เยอะ คนเล่นด้วยก็เยอะแต่มันก็ปฏิเสธทุกคน ผมกลัวว่าวันนึงมันเกิดคลั่งอะไรขึ้นมา ยอมลากใครก็ได้ขึ้นเตียงเนี่ย อันตรายโคตรๆ”
“อ่อ...” แสดงว่าผมเจอลัลตอนเป็นร่างคลั่งสินะ
“แล้วพี่...ทำอะไรไปยัง”
“...ยัง”
ไอ้จ๊ากจ้องมาที่ผมราวกับพยายามจับผิด “แน่ใจ?”
“เออ ยัง” ผมตอบ แต่ไม่บอกหรอกว่าทำอะไรเขาไปแล้วบ้าง ผมรู้ว่าไอ้จ๊ากเป็นห่วงเพื่อน แต่ผมก็ไม่อยากบอกให้รู้ทุกเรื่องเหมือนกัน มันไม่มีความจำเป็นต้องลงรายละเอียดขนาดนั้น ให้เขารู้เท่าที่ควรรู้ก็พอ
“มิน่าล่ะ...ลัลถึงติดใจพี่”
“ทำไม?”
“พี่น่าจะเป็นแรกที่ปฏิเสธมันนะ”
“รู้ได้ไง”
“ผมเห็นลัลมันยั่วใครก็ของขึ้นกันทั้งนั้น มีแต่ไอ้ลัลไม่เอาเอง ถ้าให้เดา มันต้องเคยยั่วพี่แน่ๆ”
“เอ้อ...เคย”
“แล้วพี่ก็ไม่เอา”
“กูก็ไม่ได้ชอบเอากับใครมั่ว”
“แม้กระทั่งกับไอ้ลัลอ่ะนะ”
“เออ”
“นี่ไง มิน่าล่ะ พี่แม่งไม่เหมือนใครจริงๆ ด้วย”
ผมยังไม่ทันได้ตอบอะไร ก็เห็นเงาร่างคุ้นเคยโผล่มาข้างหลังไอ้จ๊าก เขาเดินมาพร้อมแก้วและขวดเบียร์ในมือ และพอไอ้จ๊ากรู้สึกตัวว่ามีคนมาข้างหลัง ก็ช้าไปเสียแล้ว
ลัลก้มลงมาหอมแก้มเพื่อนดังจุ๊บ “จ๊ากพูดมาก”
“...”
ผมนั่งอึ้ง พูดไม่ออก ส่วนไอ้จ๊ากหลับตาแน่น สองมือยกขึ้นมาบิดเกร็งเหมือนตั้งสมาธิก่อนลืมตาหันไปหาคนซน
“กูบอกว่าอย่าเล่นอย่างนี้”
“อีกรอบมั้ย” ลัลตอบพร้อมรอยยิ้ม ไอ้จ๊ากเลยถอนหายใจแล้วลุกจากไป ผมว่านี่คือวิธีไล่ไอ้จ๊ากของลัล ร้ายเป็นบ้า แล้วคิดว่ามาหอมแก้มเพื่อนต่อหน้านี่ผมจะไม่รู้สึกอะไรเลยหรือไง
“เดี๋ยวจะโดน” ผมบอกเบาๆ ให้คนที่ยกเบียร์ซดอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ลัลยกแก้วเบียร์ออกแล้วยกยิ้ม
“ผมรอโดนอยู่”
โอเค นัดนี้ยอมให้ก่อนก็ได้
“แล้วจะกินไปถึงเมื่อไหร่ เบียร์เนี่ย”
“กินไม่ได้เหรอครับ”
“ไอ้จ๊ากบอกหายอกหักแล้วนี่”
เขามองผมช้าๆ อีกครั้ง แล้วก็ยกเบียร์ซด “เปล่านี่” ไอ้เด็กนี่มันน่าตีจริงๆ
“วัวมา”
“หา”
“มานี่มา”
จู่ๆ ลัลก็พูดกับอะไรไม่รู้ข้างหลังผม ไม่เชื่อมต่อกับบทสนทนาก่อนหน้าสักนิดจนผมจับต้นชนปลายไม่ถูก และเมื่อหันไปผมก็พบแมวสีขาวแต้มสีดำ...น่าจะเป็นเจ้าของชื่อวัว
“วัว?”
“อือ วันนี้จิ้งจอกไม่อยู่วัวเลยมา”
“...”
“คุณก็เคยเจอจิ้งจอกนี่”
“ตัวอะไรอีกวะ”
“หมาสีน้ำตาลที่อยู่ลานจอดรถอ่ะ”
“อ่อ” แล้วจะช่วยตั้งชื่อให้มันเป็นปกติได้มั้ยล่ะ...
เขาไม่สนใจผม ก้มลงไปหยิบแมวลายวัวขึ้นมานั่งตัก ก่อนลูบหัวลูบหางมันอย่างรักใคร่
“แมวไอ้จ๊ากเหรอ”
“เปล่า มันหลงมา ชอบมาขอข้าวกิน ถ้าวันไหนจิ้งจอกอยู่ก็จะไม่มา” เขาบอก ก่อนอุ้มเจ้าก้อนขนส่งมาทางผม “ผมฝากหน่อย”
ผมส่ายหน้ารัว “ไม่ได้”
“ทำไมล่ะ ไม่ชอบแมว?”
“ชอบ แต่เป็นภูมิแพ้”
“อ้าว...”
“อยู่ใกล้ๆ พอไหว แต่ถ้าเล่นด้วยจะเริ่มคัน”
“งั้นผมเอาไปฝากจ๊ากดีกว่า”
ผมพยักหน้า นั่นน่าจะเป็นการดีสำหรับผมมากกว่า แม้จะไม่ได้เป็นภูมิแพ้รุนแรง แต่ก็กันไว้ดีกว่าแก้
ผมเหม่อรอลัลที่อุ้มแมวจากไป ระหว่างที่ลัลอุ้มแมวไปให้จ๊าก ก็มีใครสักคนเดินเข้ามานั่งแทนที่เขา ผมมองชายที่ไม่รู้จัก เขาส่งยิ้มมาให้ผมอย่างเป็นมิตร
คนแปลกหน้าดูแล้วน่าจะเด็กกว่าผม เขาตัวสูงใหญ่ ตัดผมสั้น คิ้วเข้ม จมูกโด่ง เครื่องหน้าหล่อเหลาคล้ายกับรูปปั้นเดวิด จนอยากลองขอเขาเป็นแบบสเก็ตช์ดู พอหลุดคิดได้เช่นนั้นก็รีบสะบัดหัว ผมไม่ควรขอคนแปลกหน้าเป็นแบบวาดรูป ยิ่งกับผู้ชายด้วยแล้ว ใครได้ยินเข้าคงขนลุกน่าดู ชายหนุ่มยังคงนั่งเงียบ แม้ผมจะสงสัยที่จู่ๆ ไอ้หมอนี่มันก็โผล่มานั่งด้วย แต่ผมเองก็ไม่คิดจะถามอะไรเขา เลยสังเกตใบหน้าเขาอย่างไร้มารยาทต่อไป
“คุณ...รู้จักกับลัลหรือครับ” เป็นเขาที่เอ่ยทำลายความเงียบขึ้นมา
ผมนึกหาคำตอบที่พอจะตอบได้แบบไม่เปิดเผยความสัมพันธ์ของผมกับลัลให้มากจนเกินไป แต่สุดท้ายเอ่ยออกมาแค่เสียงตอบรับแผ่วเบา “อ่า”
“รู้จักกันได้ยังไงเหรอ”
“ทำไมเหรอครับ” ผมเลี่ยงไม่ตอบคำถาม แต่ถามกลับเขาแทน
“ผมเป็นเพื่อนเขา...ไม่เห็นเขาอยู่กับใครมานาน”
“อ้อ...”
“ลัลสบายดีรึเปล่า”
“ก็...อย่างที่เห็น”
คนตรงหน้ายกยิ้มบาง “ถ้ายังไง ผมฝากคุณดูแลลัลด้วยนะครับ” ว่าจบ เขาตั้งท่าจะลุกขึ้น ไม่ทันที่ผมจะได้รู้จักชื่อของอีกฝ่าย น้ำเสียงทุ้มเย็นอันแสนคุ้นเคยก็ดังเฉลยชื่อชายแปลกหน้าขึ้นมา
เมื่อหันกลับไป ผมเห็นแววตาของลัลที่เคยเป็นสีน้ำทะเลฉายเป็นเศษชิ้นส่วนที่แตกสลายของท้องฟ้า
วินาทีนั้นเองผมจึงรับรู้ได้โดยสัญชาตญาณว่าคนตรงหน้าเป็นเจ้าชายเจ้าของหัวใจที่แหลกสลายของซินเดอเรลล่า
“ฮิม...”
❍
กลับมาแล้วค่ะะ
หลังจากนี้ก็จะได้รู้ปริศนาของซินเดอเรลล่าขี้เมากันแล้วว
คิดว่าหลายๆ คนอาจจะสงสัยอยู่แล้ว 555
แต่มาลองเดาเรื่องกันก่อนก็ได้นะะ
ขอบคุณทุกการติดตามค่ะ
#ณพระจันทร์