00.03 am.
อย่ามาเบียด“หยุดเลย ไหนว่านอนเฉยๆ”
“แค่กอดก็ไม่ได้เหรอ”
“มากไปละ”
“แค่กอดเอง อย่าหวงตัวหน่อยเลย”
เขายังไม่หลับ เมื่อผมพลิกตัวหันมาจ้องหน้าเขาได้ไม่ทันไร เด็กข้างบ้านก็ลืมตาโพลง ขยับตัวเข้ามากอดก่ายผมจนต้องพยายามผละตัวออก พยายามอยู่นะ แต่เสน่ห์เขาน้อยซะที่ไหน สุดท้ายที่ผมทำได้ก็แค่ขืนตัวแล้วนอนนิ่งๆ ไม่ขยับไปมากกว่านี้และทำได้แค่โต้เถียงเด็ก
“ช่วยบอกเหตุผลว่าทำไมฉันต้องอยากกอดคนแปลกหน้าด้วย”
ครานี้เจ้าของชื่อลัลเงยหน้าช้อนขึ้นมาจากอกผม ดวงตาสีฟ้าทอประกายในความมืด ใบหน้าละมุนโดนแสงจันทร์ที่แอบลักลอบผ่านเข้าผ้าม่านส่องแสงฉาบหน้าไปครึ่งหนึ่ง แสงจันทร์นวลราวกับเป็นเวทมนต์ส่งผลให้เขาดูน่าลุ่มหลงกว่าเดิม
ไม่จบแค่การจ้องมอง เสียงทุ้มเย็นเอ่ยถาม
“ผมไม่น่ากอดเหรอ”
“...”
ตอบคำถามไม่ได้ ไม่ใช่ไม่มีคำตอบ แต่ไม่อยากตอบให้คนตรงหน้าได้ใจไปมากกว่านี้ เขาดูเหมือนจะรู้ว่าตัวเองมีเสน่ห์น่าดึงดูดใครต่อใครมากแค่ไหน และรู้จักบริหารเสน่ห์ตัวเองได้อย่างแยบยล
ยิ่งได้อยู่ใกล้ ทำให้มองเห็นใบหน้าสวยชัดเจนยิ่งขึ้น คนตรงหน้าน่ากอดอย่างไม่ต้องสงสัย ใบหน้าวิจิตรราวกับรูปภาพชวนให้ลุ่มหลงได้ไม่ยาก ผมไล่สำรวจใบหน้าของเขาอย่างละเอียดอีกครั้ง
ลัลเป็นคนสวย...อย่างที่เคยบอก เส้นผมยาวสีเข้มเปิดให้เห็นหน้าผากมนชัดเจน ขับให้รูปหน้าดูสมบูรณ์แบบ คิ้วโก่งรับกับจมูกรั้น ริมฝีปากน่าสัมผัส และดวงตาสีฟ้าที่น่าพิศวง ผมไม่รู้ว่าเขาเป็นลูกครึ่งหรืออะไร เพียงแต่มันแปลกดีที่ได้เห็นพันธุกรรมของธรรมชาติในรูปแบบใหม่ สิ่งซึ่งผมไม่คิดว่าจะได้เจอกับตาตัวเอง ทั้งชีวิตแม้เคยรู้จักผู้คนมากมาย แต่ไม่เคยเห็นใครที่มีดวงตาสีน้ำทะเลสวยขนาดนี้มาก่อน
ยังไม่นับสัมผัสทั้งไออุ่นและกลิ่นกาย ที่ราวกับกำยานธูปหอม คอยกล่อมประสาทให้เคลิ้มมัวเมาไปกับรสกลิ่นอันหอมหวาน
ผมถอนหายใจรอบที่ร้อยของคืนนี้
“นอนนิ่งๆ ไปเลย”
ลัลตอบแทนคำพูดผมด้วยการเบียดตัวเข้ามาหาผมมากกว่าเดิม ซ้ำยังเบียดสะโพกตัวเองเข้ามาแนบชิดกับส่วนกลางลำตัวผมอย่างอาจหาญ คนสวยดื้อจนน่าถีบ แต่ครานี้ผมเลิกใช้ไม้แข็งกับเขาแล้ว ในเมื่อดุแล้วก็ยังไม่ยอมทำตาม ผมยอมอ่อนให้สักนิดก็ได้
ผมทำเป็นไม่สนใจท่าทางยั่วยวนของเขา เอื้อมมือไปลูบเส้นผมคนในอ้อมแขน
“ผมสวยนะ”
พร้อมกับยกมือลูบเส้นผมเส้นเล็กนุ่มมือ เส้นผมสีดำยาวสยายอยู่ในกำมือผม ดูหลอนในความมืด แต่เมื่อต้องแสงจันทร์กลับดูสวยงามน่าพิศวง
ครานี้เจ้าของผมยาวชะงักเมื่อผมสัมผัสเส้นผมของเขา เด็กหนุ่มไม่พูดอะไรต่อ ก้มหน้าซบลงที่อกผม ซุกใบหน้าหวานละมุนหลบหนีแสงจันทร์ และยอมสงบนิ่งไปในที่สุด ผมลอบขำในท่าทีของเขา ดูท่าไม้อ่อนจะใช้ได้ผลกับเด็กเกเร เมื่อความเงียบดังขึ้น ไร้ซึ่งสุ้มเสียงใดมาขัดการบรรเลงของราตรีกาล ผมนอนจ้องขวัญบนหัวของเขาในความมืด มีกลิ่นกายหอมรัญจวนของเด็กหนุ่มโชยออกมาเป็นระยะ คล้ายเนื้อสดวางอยู่หน้าปากถ้ำสิงห์ เป็นบททดสอบให้กับสิงโตหิวกระหาย เขาน่าจะหลับไปแล้ว
และทิ้งให้ผมนอนเกร็งอย่างกลัวว่าตัวเองจะขาดสติ
อากาศยามเช้าไม่ได้เย็นสบายอย่างที่หวัง แสงตะวันจะเริ่มแผดเผาและลักลอบเข้าช่องว่างของผ้าม่าน แต่เพราะมีเครื่องปรับอากาศ ทำให้ในห้องยังคงน่านอน
หลังตื่นนอน ผมจับจ้องแขกไม่ได้รับเชิญที่นอนคว่ำกอดหมอนอย่างไร้เกาะป้องกัน หลังจากนั้นก็พยายามขุดตัวเองออกจากเตียงเพื่อออกไปซื้อกับข้าวหน้าปากซอย ทว่าเมื่อกลับเข้ามา เจ้าของชื่อลัลก็ลอบออกบ้านผมไปอย่างไม่บอกไม่กล่าว ทิ้งให้ผมซื้อข้าวมาสองกล่องอย่างเสียดายของ เอาเถอะ ตื่นมาคงสร่างเมาแล้วล่ะมั้งถึงได้เผ่นแนบไปแบบนี้
ผมไม่เจอเด็กขี้เมานี่อีกเลยนับจากวันนั้น
เด็กหนุ่มหายตัวไปราวกับว่าเป็นซินเดอเรลล่าจริงๆ อย่างนั้นแหละ เพียงแต่ไม่มีรองเท้าแก้วให้ตามหา และไม่ได้สำคัญอะไรเลยเพราะบ้านเขาก็อยู่ตรงข้ามนี้เอง
นับจากวันนั้น ผ่านคืนนี้ไปก็วันที่สี่แล้วที่ไม่เห็นเขาเมาอ๋องแอ๋งอยู่หน้าบ้าน ไม่รู้ว่าเลิกเหล้าแล้วหรือไม่กลับบ้านกันแน่
อย่างไรก็ตาม ผมได้แต่ออกไปสูบบุหรี่เป็นเพื่อนพระจันทร์อยู่คนเดียวตลอดสี่คืนที่ผ่านมา และเมื่อเข้าสู่คืนที่ห้า ผมเห็นรถกระบะคุ้นตาขับมาจอดที่บ้านหลังตรงข้าม และไม่รอช้าที่จะชะเง้อมองหาคนที่ลอบหายไปไม่บอกกล่าว
และบิงโก เจ้าเด็กนั่นกลับมาแล้ว
พร้อมกับสภาพที่แปลกไปอย่างเห็นได้ชัด
หลักๆ เลยก็คือ...เส้นผมที่เคยยาวปรกหลัง บัดนี้สั้นลงเหลือเพียงความยาวเลยบ่าไม่ถึงฝ่ามือ...
“ตัดผมหรือ”
ผมเอ่ยทัก แอบเห็นว่าเขาชะงักตัวไปแวบหนึ่ง ก่อนหมุนตัวหันมา ดวงตาสีฟ้ายังคงส่องแสงเปล่งประกายแข่งกับแสงจันทร์เหมือนเคย เขาไม่ตอบอะไรผม ทำเพียงแค่จ้องมาและหมุนตัวกลับไปไขกุญแจรั้ว เข้าบ้านตัวเองไปอย่างคล่องแคล่ว
วันนี้ไม่เมาแฮะ
ผมพ่นควันบุหรี่ออกปาก สูดมะเร็งอีกสองสามครั้งจนหมดมวน ก็กลับเข้าบ้านตัวเองไป
พลางนึกเสียดายเส้นผมที่เคยยาวกว่านี้นิดหน่อย ไม่รู้ว่าเขาไปตัดมาเพราะผมเอ่ยทักไปเมื่อคืนนั้นรึเปล่า
คืนต่อมา บุหรี่ผมหมดซองอย่างไม่น่าให้อภัย ปกติแล้วเวลาออกไปข้างนอกผมมักจะซื้อบุหรี่ตุนไว้ แต่ตอนนี้มันกลับหมดบ้าน ไม่เหลือแม้สักมวนเดียว ผมหงุดหงิด และคงหงุดหงิดมากกว่านี้ถ้าหากว่าไม่ได้มะเร็งมาสูบสักเฮือก
เลยได้แต่คว้ากระเป๋าตังก่อนเดินออกไปยังเซเว่นหน้าหมู่บ้าน
ผมตั้งใจมาซื้อบุหรี่ แต่ไม่ได้ตั้งใจจะมาเจอเขาผู้เป็นเจ้าของดวงตาสีน้ำทะเล
เด็กหนุ่มชะงักที่เจอหน้าผม แต่ก็หันไปหยิบกระป๋องเบียร์อีกสองกระป๋องก่อนปิดตู้แช่ลง ดูท่าเขาเองก็ตกใจที่เห็นผมเช่นกัน ทว่าดูไม่ได้แปลกใจ
“ดื่มอีกแล้ว”
ผมต่อว่า คนขี้เมาไม่ได้ตอบอะไร พอจ่ายเงินที่เคาท์เตอร์ฝั่งข้างๆ เสร็จเขาก็สะบัดหน้าหนีไป ผมคิดว่านี่คงเป็นนิสัยปกติของเจ้าตัวเวลาไม่เมา ...หยิ่งผยอง
จนอดไม่ได้ที่จะคว้าแขนผอมๆ นั่นก่อนที่เขาจะเดินหนีไป
“กลับด้วยกันสิ”
เขามองหน้าผม แต่ก็ยอมหยุดเดิน ยืนรอจนผมจ่ายเงินเสร็จ ก้าวออกร้านสะดวกซื้อไปพร้อมกัน
“คุณพูดเหมือนอ่อยผมอยู่”
“ก็บ้าแล้ว”
ทันทีที่ปราศจากผู้คน น้ำเสียงทุ้มเย็นนั่นก็เอ่ยตอบ ต่อจากประโยคที่ผมเคยกล่าว ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องคิดไปในทางนั้นตลอด ไอ้เด็กคนนี้ คนมาอย่างเป็นมิตร มีไมตรีจิตต่อกันเฉยๆ ไม่ได้หรือไง
เราสองคนเดินกลับบ้านท่ามกลางความมืดยามราตรี และมีพระจันทร์ลอยเด่นอยู่กลางท้องฟ้า พลางคิดว่าผมเจอเขาแค่ช่วงเวลากลางคืน แต่ก็ต้องเป็นอย่างนั้นอยู่แล้ว ในเมื่อช่วงเวลาที่พระอาทิตย์ทำงาน ผมมักจะไม่ออกไปไหน
กลางคืนเงียบสงบ วันนี้ไม่มีแม้แต่เสียงลมพัด เสียงความเงียบพูดคุยกันจนผมต้องเป็นฝ่ายทำลายบทสนทนาของความเงียบนี้ลง
“ทำไมถึงตัดผมล่ะ”
“...”
ลัลไม่ตอบ ไม่แม้แต่จะหันมามอง เขาใช้ดวงตาสีมหาสมุทรจ้องมองไปแต่เส้นทางข้างหน้า แววตาดูว่างเปล่ากับคำถาม
“ไม่เสียดายเหรอ”
เขาเงียบไปพักใหญ่อีกครา แต่คราวนี้คนข้างๆ ไม่ปล่อยให้ผมคุยอยู่คนเดียว
“เสียดาย”
“แล้วตัดทำไม เพราะฉันทักไปตอนนั้นหรือ”
“ไม่รู้สิ...อาจจะ”
“อา...”
“อันที่จริงอยากตัดสั้นเลยด้วยซ้ำ แต่ทำใจไม่ได้”
“ไม่ต้องตัดหรอก ไว้ยาวนี่แหละ” อันที่จริงผมนึกภาพเขาตัดผมสั้นไม่ค่อยออกเท่าไหร่ รวมถึงคิดว่าปล่อยให้เส้นผมยาวคอลเคลียใบหน้าเขาก็ดีอยู่แล้ว
“ไว้รอทำใจได้จะไปโกนหัว”
“นี่ประชดกันใช่มั้ย”
ผมร้อง หันหน้าไปมองคนขี้ประชดพลันเห็นรอยยิ้มสว่างไสวท่ามกลางแสงจันทร์ จนหัวใจเต้นผิดจังหวะไปวูบหนึ่ง ผมไม่เคยเห็นเขายิ้ม จะมีก็แต่ใบหน้าเฉื่อยชา ไม่รับรู้เรื่องราวอะไรเสียส่วนมาก แม้ว่าหากสังเกตดีๆ จะเห็นแววตาโศกของเขาเจือปนอยู่เสมอก็ตาม
รอยยิ้มแรกของเขาที่มอบมาทำให้ผมรับมือไม่ทัน
จนเผลอพูดอะไรแปลกๆ ออกไป
“เป็นแบบวาดรูปให้หน่อยสิ”
“หา”
ทันทีที่เสียงทุ้มเย็นตอบกลับมา ผมพลันได้สติ อา...เผลอตัวไปเสียแล้ว
“เปล่าหรอก ไม่มีอะไร”
ระยะทางจากบ้านถึงปากซอยไม่ได้ใกล้ เราเดินมาเพียงครึ่งทางเท่านั้น และเขาไม่มีทีท่าว่าจะเป็นฝ่ายเอ่ยปากพูดก่อน ผมไม่ชินกับการใช้ความเงียบสื่อสารเมื่อมีใครอยู่ข้างๆ ถึงได้หาเรื่องคุยกับเขาไป
“อายุเท่าไหร่แล้วน่ะ”
“หือ ผมเหรอ”
“ก็ใช่น่ะสิ”
“ยี่สิบสอง”
อา...
“จริงหรือ”
“จะโกหกไปทำไม”
“หน้าตาดูเด็กกว่านั้น เหมือนเพิ่งเข้ามหาลัยได้ไม่กี่ปี”
เขายักไหล่ “ชมใช่มั้ย”
“แล้วแต่จะคิด” ผมว่า
“แล้วคุณล่ะ” ครานี้เจ้าของชื่อลัลเป็นฝ่ายถามผมกลับบ้าง “อายุเท่าไหร่”
“ปีนี้ก็ยี่สิบเก้า”
“ไม่อยากจะเชื่อ”
“ทำไม”
“ดูแก่กว่านั้น”
ผมคิ้วกระตุก กำมือแน่นไม่ให้เผลอไปเขกหัวเจ้าเด็กเวรนี่
“เวลาคุณพูดเหมือนคนรุ่นพ่อ” เขาว่าต่ออย่างไม่คิดจะใส่ใจใบหน้าที่เคียดแค้นของผม
“...แล้วผมต้องเรียกคุณว่าพี่มั้ย หรือต้องเรียกอะไร? ลุง?”
ผมพ่นลมหายใจออก บอกกับตัวเองว่าอย่าไปเอาอะไรกับเด็กนี่มาก
“เรียกแบบเดิมนั่นแหละ”
“เรียกคุณน่ะหรือ”
“อืม”
“เอางั้นก็ดี”
ผมถอนหายใจอีกครั้ง อายุห่างกันไม่ถึงสิบปีทว่าเหมือนกับอยู่คนละโลก ความคิดผมคงแก่กว่าอายุตัวเองจริงๆ และความคิดเขาก็คงเด็กกว่าความจริง ทำให้เราดูเหมือนจะจูนกันไม่ค่อยติด
แต่เอาเถอะ
“สูบบุหรี่ได้มั้ย”
ผมถามเขาขึ้นมาเมื่อบทสนทนาเงียบอีกครั้ง เราใกล้จะถึงบ้านแล้วแต่ผมเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าไม่อยากเสียเวลาไปกับการสูบมะเร็งเข้าปอดไปมากกว่านี้ แค่นี้ก็หักเวลาเดินทางไปซื้อบุหรี่มากพอแล้ว งานในห้องยังดำเนินไปไม่ถึงไหนเลย
“ได้”
เขาตอบกลับมา และทันทีที่ปลายบุหรี่ติดไฟจนเกิดควัน เขาก็กระแซะตัวเข้ามา
“ทำอะไร”
“สูบด้วย”
เขาว่าด้วยน้ำเสียงเฉื่อยชา ทำราวกับว่าสิ่งที่เขากระทำอยู่ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรเลย
“พอเลย แค่นี้นายก็จะตับแข็งตายอยู่แล้ว อยากเป็นมะเร็งตายด้วยหรือไง”
“อือ ก็เลยมาขอสูบบุหรี่มือสองนี่ไง เผื่อจะตายช้าลง”
ให้ตาย ผมไม่เข้าใจความคิดเขาจริงๆ
“งั้นเอาเบียร์มา จะแย่งกิน”
“ไม่ให้”
ผมยุดยื้อเล่นกับเด็กข้างๆ ตัวนี่ไปโดยไม่รู้ตัวว่าเราเดินมาถึงบ้านของตัวเองแล้ว เด็กหนุ่มปล่อยมือให้ผมเป็นฝ่ายคว้าถุงที่มีเบียร์กระป๋องอยู่สามสี่กระป๋องได้สำเร็จ เขาช้อนสายตามายังผม ใช้สายตาที่ผมพ่ายแพ้นั่นออดอ้อนอีกครั้ง
“ผมนอนด้วยนะ”
ไม่ได้
ผมร้อง พยายามส่งสายตาดุจ้องเขาเพื่อปฏิเสธ ทว่าเจ้าของดวงตาสีฟ้ากลับยื่นหน้าเข้ามาใกล้ พิงใบหน้าสวยหวานนั่นเข้ากับอกผม ช้อนสายตาจากมุมต่ำราวกับลูกแมวเชื่องๆ
“นอนเฉยๆ ก็ได้”
ให้ตาย... เขานี่เก่งเรื่องทำให้คนอื่นตกหลุมเสียจริงๆ
ผมพยายามรวบรวมสติทั้งหมดในชีวิตเพื่อตอบกลับเขา เค้นหาประโยคปฏิเสธที่ละมุนละม่อมที่สุด
“เดี๋ยวที่บ้านก็เป็นห่วงหรอก”
“คุณเคยเห็นคนที่บ้านผมเหรอ”
“...”
“ไม่มีใครอยู่หรอก”
น้ำเสียงทุ้มเย็นเจือไปด้วยความรู้สึกหงอยเหงาจนคนฟังสัมผัสได้
❍
อยากทอล์กแต่ไม่รู้จะทอล์กอะไร 5555
เอาเป็นว่าฝากเอ็นดูเด็กขี้เหงาคนนี้ด้วยนะคะ <3
#ณพระจันทร์