**แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.8 [25/08/65]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: **แรมเดือนสิบสอง** ll แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๒ (๒) P.8 [25/08/65]  (อ่าน 54121 ครั้ง)

ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4
แรมเดือนสิบสอง

แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๒
(๑)




“จบงานกีฬาเปิดเทอมมาไม่ถึงสองเดือนก็ต้องเตรียมงานบายเนียร์อีกละ เรียนก็หนัก กิจกรรมก็เยอะ เมื่อไหร่จะจบปีสองวะ กูเหนื่อยแล้วโว้ย” กรองเกียรติลากเสียงยาวก่อนฟุบหน้ากับโต๊ะที่ลานใต้หอพักชายหลังจากประชุมเรื่องจัดงานเลี้ยงส่งรุ่นพี่ปีหกเสร็จแล้ว


“นั่นดิ เหนื่อยแล้วเหมือนกัน นี่ดีนะที่ไม่ต้องเตรียมงานเทศกาลดนตรีเองอีก ไม่งั้นตาย” ตฤณเสริม ทำหน้าเหมือนจะตายให้ได้จริง ๆ เมื่อนึกถึงความเหน็ดเหนื่อยเมื่อปีก่อนที่ต้องเตรียมงานเทศกาลดนตรีประจำปีของคณะแพทย์


“กว่าจะเรียนจบพวกเราไม่กลายเป็นซอมบี้ไปก่อนเหรอวะ”


“ปีหน้ามึงอาสาเป็นประธานรุ่นดิ...” เสียงของคนมาใหม่เรียกให้สายตาของทั้งสามหนุ่มหันไปมอง “...จะได้รู้ไงว่ากว่าจะเรียนจบมึงจะกลายเป็นซอมบี้จริงรึเปล่า” โอ๊คที่เดินมาพร้อมกลุ่มเพื่อนตัวเองว่ายิ้ม ๆ จงใจส่งสายตาล้อประธานชั้นปีที่สามคนปัจจุบันที่ไม่เพียงแต่เหนื่อยตามหน้าที่เพียงคนเดียว แต่ลากเอาเพื่อนทั้งกลุ่มเหนื่อยมากกว่าเพื่อนร่วมรุ่นเป็นพิเศษไปด้วย


“ตัวอย่างมีให้เห็นอยู่นี่แล้วไงไอ้น้อง เรียนเก่งและทำกิจกรรมหนักไม่ทำให้กลายเป็นซอมบี้ แต่ทำให้ได้แฟนเว้ย” บอยที่เขย่งตัวเพื่อกอดคอเดือนแรมเอ่ยแซวขึ้นบ้างจนเรียกเสียงโห่แซวจากเพื่อนฝูงและรุ่นน้องได้เป็นอย่างดีทำเอาคนที่ถูกพาดพิงรู้สึกเก้อเขินจนทำตัวไม่ถูก


“ไอ้น้องธันว์แม่งเป็นรางวัลที่น่าดึงดูดใจจนเพื่อนพี่ไม่ลังเลที่ทำอะไรเพื่อให้ได้มาเลยว่ะ” โอ๊คเสริมยิ้ม ๆ พลางเดินอ้อมไปนั่งข้างกรองเกียรติแต่ยังส่งสายตาล้อเพื่อนที่วางมือบนบ่าของ ‘รางวัล’ แสดงความเป็นเจ้าของตั้งแต่เดินมาถึง


“รางวัลของการเป็นคนเรียนดี กิจกรรมเด่นมันเย้ายวนเนอะ มึงว่าไหม” แม้แต่คนที่นิ่งเงียบที่สุดอย่างไนท์ก็ยังไม่พลาดที่จะร่วมวงแซวเพื่อนทิ้งท้ายก่อนลากบอยขึ้นห้องไปด้วยกัน ถึงอย่างนั้นเดือนแรมก็ไม่ได้ขุ่นเคืองอะไร กลับยิ้มมุมปากรับอย่างคนที่ภูมิใจในตนเอง จนโอ๊คอดไม่ได้ที่จะมองด้วยความหมั่นไส้


“อะไรวะพี่ ฝั่งโน้นก็มี” ตฤณโวยลั่นเมื่อเดือนแรมสะกิดให้เขาขยับตัวออกห่างธันวาเพื่อที่จะได้แทรกลงมานั่งตรงกลางทั้งที่อีกฝั่งของธันวายังมีที่นั่งว่างอยู่ด้วยซ้ำ


“ก็กูอยากนั่งตรงนี้ กูหมั่นไส้มึง มีไรไหม”


ธันวาส่ายหน้าระอาอย่างไม่จริงจังนัก นับตั้งแต่ที่เขาคบหากับเดือนแรมอย่างเปิดเผย นอกจากดีนก็เห็นจะมีแต่ตฤณที่เป็นไม้เบื่อไม้เมากับเดือนแรมมาตลอด เหตุผลก็เพราะเพื่อนเขาเองทั้งนั้นที่ชอบกวนประสาทคนรักของเขาก่อน ถ้าดีนตั้งตนเป็นปรปักษ์อย่างโจ่งแจ้ง ตฤณก็คือคนที่คอยก่อกวนในคราบของคนเป็นมิตร


“พี่แรมแม่ง” ตฤณฟึดฟัดเพราะบ่นไปก็ไม่มีใครสนใจแล้ว นอกจากคนถูกบ่นจะเอาแต่คุยหยอกล้อกับคนรักแล้ว กรองเกียรติกับโอ๊คเองก็ไม่ได้สนใจจะช่วยคืนความยุติธรรมให้เขาสักเท่าไหร่นัก


ใบหน้าของกรองเกียรติแต้มรอยยิ้มยามจ้องมองคู่รักตรงหน้าตน ธันวาที่เหม่อลอยซึมกระทือจากเหตุการณ์ช่วงปิดเทอมใช้เวลาไม่กี่วันก็กลับมายิ้มและหัวเราะสดใสได้เหมือนปกติ คนที่เฝ้ามองใกล้ชิดอย่างเขาคิดว่าคงเพราะได้คนดูแลดีอย่างเดือนแรม ถึงอย่างนั้นเกือบสองเดือนมานี้ก็ใช่ว่าจิตใจจะเข้มแข็งพอที่จะสู้หน้าคนเป็นลุงได้เร็วแม้ว่าอีกฝ่ายจะขยันมาหาบ่อยทุกสัปดาห์ก็ตาม


และใช่ว่าตลอดเกือบสองเดือนมานี้จะมีเพียงลุงประภาสเท่านั้นที่กรองเกียรติเพียรเจรจาให้ออกห่างจากเพื่อนรักตน แต่ยังมีคนรักเก่าของเพื่อนอีกด้วย ที่ไม่รู้ว่าทำไมถึงได้หวนกลับมาหาอีกทั้งที่หายหน้าไปตั้งนานแล้ว


กรองเกียรติปลีกตัวออกจากกลุ่มด้วยคำกล่าวอ้างว่าไปเข้าห้องน้ำก่อนรีบพุ่งตรงไปลากคนที่ยืนโดดเด่นอยู่ตรงทางเข้าหอพักชายหลบไปให้พ้นทางที่เพื่อนตนจะมองเห็นได้ ภีมในวันนี้ไม่ต่างจากทุกครั้งที่มาหาธันวา หนุ่มร่างสูงหุ่นดีพิมพ์นิยมแบบที่เห็นได้ทั่วไปในหมู่นักแสดงวัยรุ่น อำพรางใบหน้าตนเองด้วยการสวมหมวกแก๊ปและใส่แว่นกันแดดปิดบังไปครึ่งหนึ่งแต่ก็ยังปิดรัศมีของคนดังไม่มิด ยิ่งคล้องหูฟังอินเอียร์บลูทูธไว้ที่คอเดินไปไหนมาไหนแบบที่นักศึกษาฝั่งโรงพยาบาลไม่ทำกันก็ยิ่งสะดุดตาคนได้ง่าย


“ทำไมพี่ยังมาที่นี่อีก” อดไม่ได้ที่จะหัวเสียเพราะสัปดาห์นี้ภีมมาที่นี่ถึงสองครั้งแล้ว และนั่นทำให้เขายิ่งไม่อาจปล่อยให้ธันวาอยู่คนเดียวตามลำพังได้อีก “บอกแล้วไงว่ามันไม่อยากเจอพี่แล้ว”


“พี่อยากคุยกับธันว์ ขอพี่เจอธันว์เถอะนะเก่ง”


“ก็บอกว่ามันไม่อยากเจอไง” นี่เป็นความคิดของเขาทั้งหมด กรองเกียรติยอมรับว่าตนคิดแทนเพื่อน เขาไม่เคยบอกธันวาเลยว่าเจอใครอื่นอีกบ้างนอกจากลุงประภาสในช่วงเกือบสองเดือนนี้ เพราะไม่อยากให้เพื่อนไม่สบายใจและกังวลกับความรู้สึกของคนรักในปัจจุบัน


“ธันว์มีแฟนใหม่แล้วใช่ไหม” ภีมตัดสินใจถามออกไปตรง ๆ ครั้งนี้เขาจะไม่ยอมถอยกลับไปโดยดีอย่างก่อนหน้านี้อีกแล้ว เพราะแม้จะแอบมาหาธันวาทุกครั้งที่ว่างจากงานทีไรเป็นอันต้องโดนด่านหน้าอย่างกรองเกียรติสกัดคอตกกลับไปทุกครั้ง


“ใช่ มีแล้ว และพี่ก็ควรเลิกยุ่งกับเพื่อนผมสักที ปล่อยมันมีชีวิตสงบ ๆ บ้างเหอะพี่”


“แฟนใหม่เป็นผู้ชายด้วยใช่ไหม” ผู้ชายคนนั้นที่เขาเห็นอยู่กับธันวาในสวนที่บ้าน คนเดียวกับที่บังเอิญเจอกันในโรงอาหารของมหาวิทยาลัย ร้อนใจจนอยากมาถามหาความจริงตั้งแต่ตอนนั้น แต่เพราะติดงานที่ต่างประเทศ กว่าจะกลับมาและกว่าจะมีเวลาว่างปลีกตัวมาหาได้สักครั้งก็ช่างยากเย็น


กรองเกียรติชะงักเล็กน้อยก่อนตอบเสียงดังฟังชัด “ใช่ แล้วไงวะ จะผู้ชายหรือผู้หญิงแฟนเก่าอย่างพี่ก็ไม่ควรกลับมาหามันรึเปล่า”


“...”


“มันไม่สำคัญหรอกว่าตอนนี้มันชอบผู้ชายแล้ว มันสำคัญที่ว่าคนที่มันชอบคือพี่แรมไม่ใช่พี่


“...”


“จะตอนนั้นหรือตอนนี้ไอ้ธันว์ก็รู้สึกกับพี่แค่พี่ชายเท่านั้นแหละ...พี่รู้อยู่แก่ใจไม่ใช่เหรอ” หลุดปากพูดออกไปด้วยอารมณ์แล้วก็รู้สึกผิดเพราะสีหน้าของคนฟังที่ดูเจ็บปวดจากคำพูดแทงใจดำของเขา


“พี่รู้...” ไม่รู้ว่ากรองเกียรติได้ยินหรือไม่ แต่เขารู้ว่าตนพูดออกไปแล้ว แม้จะแผ่วเบามากก็ตาม “แต่ขอให้พี่ได้คุยกับธันว์หน่อยได้ไหม เก่งก็รู้ว่าระหว่างพี่กับธันว์ยังมีเรื่องคาใจกันอยู่”


“มันไม่ได้อยากรู้เรื่องในวันนั้นอีกแล้วพี่ มันไม่ตั้งคำถามกับการจากไปของพี่อีกแล้ว” เขาจำเป็นต้องใจร้ายอีกครั้ง “ตอนนี้ธันวามันสนใจแค่พี่แรมเท่านั้นแหละ”


“...”


“พี่อย่ากลับเข้ามาในชีวิตมันอีกเลยนะ”


แม้นั่นจะเป็นอีกครั้งที่ภีมต้องเดินคอตกกลับไป แต่ความใจร้ายของกรองเกียรติก็ไม่เป็นผลนัก ภีมยังคงโผล่หน้ามาหาธันวาครั้งแล้วครั้งเล่าเกือบทุกสัปดาห์เหมือนเดิม


แต่ในบรรดาคนที่มาตามตื้อขอเจอธันวาแล้วสมหวังที่สุดกลับกลายเป็นคนที่ไม่เคยโผล่หน้ามาก่อนหน้านี้เลย


ปกป้อง…


ปกป้องโผล่หน้ามาเป็นครั้งแรกหลังภีมกลับไปในวันนั้นได้สองสัปดาห์ กรองเกียรติถึงกับสบถผรุสวาจาออกมาเมื่อเห็นหน้าอีกฝ่ายขณะที่พวกตนกำลังเดินลงจากตึกเรียนในตอนเย็น นึกหงุดหงิดใจที่อีกฝ่ายช่างเลือกเวลาโผล่มาได้ดีเหลือเกินเพราะอีกสองวันพวกเขามีสอบบล็อกใหม่ ถ้าการเจอหน้าปกป้องวันนี้เป็นเรื่องรบกวนจิตใจเพื่อนเขาจนอ่านหนังสือไม่ได้ เขาเองนี่แหละจะอัดหมัดใส่หน้าอีกฝ่ายให้เละจนจำไม่ได้เลย


ธันวาที่เดินนำอยู่ข้างหน้าหนึ่งก้าวหันกลับไปหาเพื่อนทั้งสองที่เดินคุยข้างกันมาตลอดทาง “แยกกันตรงนี้เลยนะ”


“มึงจะไปกับเขาจริงเหรอ”


“มีเรื่องอะไรกัน แล้วนั่นใครวะ” ตฤณถามด้วยความสงสัย หันมองหน้าเพื่อนสองคนสลับกัน คนหนึ่งนิ่ง ๆ สบาย ๆ แต่นัยน์ตาฉายแววกังวลอย่างปิดไม่มิด ต่างกับอีกคนที่ทั้งกังวลและตื่นตระหนกกับการปรากฎตัวของแขกไม่ได้รับเชิญแบบสุด ๆ


“พี่ชายกูเอง” ธันวาตอบ


“คืนนี้พี่แรมมีติวกับเพื่อนใช่ไหม แล้วมึงจะตามมาอ่านหนังสือกับกูรึเปล่า” กรองเกียรติยังคงเรียกรั้งไว้ เผื่อว่าช่วงเวลาที่นานขึ้นแม้เสี้ยววินาทีเดียวจะทำให้เพื่อนได้ไตร่ตรองการตัดสินใจใหม่อีกครั้ง


ธันวายิ้ม “ไม่เป็นไร กูอ่านที่ห้องตัวเองแหละ ขอบใจมึงมาก”


“งั้นกินข้าวกัน กูรอที่โรงอาหารนะ”


ธันวายิ้มอย่างอ่อนใจ ใช่ว่าเขาจะไม่รู้ทันเพื่อน แต่อย่างไรเสียตนก็ตัดสินใจแล้วว่าจะจบเรื่องระหว่างตนกับญาติผู้พี่ในวันนี้ “ไม่ต้องห่วงหรอกหน่า กูนัดพี่แรมไว้แล้ว ถ้ามึงจะกินด้วยก็เจอกันหกโมงแล้วกัน...กูไปนะ”


คราวนี้กรองเกียรติจำต้องปล่อยให้เพื่อนเดินเข้าไปหาปกป้อง ยืนมองจนแผ่นหลังของทั้งคู่ลับสายตาไปแล้วจึงก้าวเดินไปอีกทางโดยทิ้งตฤณให้ฉงนกับสิ่งที่พวกเขาคุยกันและคำตอบสั้น ๆ แค่ว่าไว้รอถามธันวาเองภายหลัง


 
ธันวาเดินนำปกป้องไปนั่งม้านั่งข้างคอร์ทเทนนิส ช่วงเวลาเพิ่งเลิกเรียนแบบนี้ยังไม่มีใครมาจับจองพื้นที่ภายในแต่ก็ใช่ว่าจะไร้ผู้คนผ่านไปมาเสียทีเดียว


คนเป็นน้องนั่งหันหน้าเข้าหาคอร์ทเทนนิสโดยมีญาติผู้พี่นั่งลงข้าง ๆ ไม่มีใครจ้องหน้าใครให้รู้สึกอิหลักอิเหลื่อไปมากกว่านี้ ถึงอย่างนั้นความเงียบที่เข้าปกคลุมก็ทำให้บรรยากาศรอบตัวอึดอัดขึ้นยิ่งกว่าเดิมได้ ธันวาก้มหน้าเล็กน้อย รู้สึกละอายใจ ทั้งที่คิดว่าอยากเป็นฝ่ายเข้าไปขอโทษก่อนด้วยซ้ำแต่กลับเฉยจนคนพี่เป็นฝ่ายมาหาก่อนเสียเอง


“สบายดีไหม” จนแล้วก็ยังเป็นปกป้องอีกเช่นเคยที่เริ่มบทสนทนาก่อน


“ช่วงนี้เรียนหนักนิดหน่อยครับ แต่ไม่ได้เจ็บป่วยอะไร พี่ป้องละครับ สบายดีไหม”


ปกป้องระบายยิ้มบาง ดีใจกับทุกคำที่ได้ยิน น้องพูดกับเขาด้วยประโยคที่ยาวขึ้น เล่าเรื่องตัวเองมากกว่าแค่ถามคำตอบคำอย่างเมื่อก่อน อีกทั้งยังเรียกเขาว่าพี่เหมือนเดิมได้อีกทั้งที่เขาทำไม่ดีด้วยมากขนาดนั้น “สบายดี...พี่มาขอโทษ”


ธันวาเหลือบมองคนพี่แวบหนึ่ง เห็นอีกฝ่ายจ้องมองตรงไปข้างหน้า ก็เงยหน้ากลับขึ้นมามองบ้าง


“พี่รู้ว่าสิ่งที่พี่ทำมันเลวร้ายมากเกินกว่าจะให้อภัย และพี่เข้าใจถ้าธันว์จะไม่ให้อภัยพี่ พี่มาแค่อยากจะบอกว่าพี่เสียใจและอยากขอโทษที่ทำร้ายนาย”


“พี่ป้อง...” ธันวาหันไปมองหน้าคนพี่เกือบทั้งตัว


“ขอโทษจริง ๆ” ปกป้องเองก็หันมาหาน้องเช่นกัน นัยน์ตาที่เคยทำให้น้องหวาดระแวงทุกครั้งที่จ้องมองในตอนนี้กลับเต็มไปด้วยความรู้สึกผิดและขอโทษอย่างจริงใจ


“ผมหายโกรธพี่ตั้งแต่วันนั้นแล้ว…” วันที่ได้รู้ความจริงทุกอย่าง “ผมเองก็ต้องขอโทษเหมือนกันที่ไม่เคยรับรู้หรือเอะใจเลยว่าพี่รู้สึกยังไงบ้างตลอดที่ผมย้ายเข้าไปอยู่ในบ้าน” แม้เรื่องที่เกิดขึ้นจะไม่ใช่ความผิดจากการเพิกเฉยของเขาโดยตรง แต่ธันวาคิดว่าตนก็มีส่วนทำให้เรื่องมันเลวร้ายขึ้นเหมือนกัน “ถ้าผมรู้...”


“นายไม่ผิดเลยธันว์ นายเองก็ได้รับผลกระทบเหมือนกัน”


ธันวาตกใจ แม้ปกป้องจะไม่พูดออกมาตรง ๆ แต่เขาก็รู้ถึงความนัย “พี่ป้องยังโกรธคุณลุงอยู่เหรอครับ”


ปกป้องชะงัก ไม่นึกว่าน้องจะพูดออกมาตรง ๆ คนสูงวัยกว่าเบือนหน้าหนีไปมองคอร์ทเทนนิสเหมือนเดิม “ก็ยังเคืองแทนแม่อยู่หน่อย ๆ แหละ แต่เราได้ปรับความเข้าใจกันแล้วนะ และพี่ก็ย้ายกลับไปนอนที่บ้านแล้วด้วย” ปกป้องยิ้มบาง ๆ “พ่อเขาปรับปรุงตัวขึ้นเยอะนะ ไม่ถึงกับเอาอกเอาใจเป็นพิเศษหรอก แต่เป็นห่วงถามไถ่และรับฟังกันมากขึ้น แค่นี้ก็ดีแล้ว” เพราะเขาเองก็ไม่ได้ต้องการการถูกเอาอกเอาใจ ไม่ได้ต้องการอยู่ในสถานะที่ต่อจากนี้จะทำอะไรก็ถูกไปหมดทุกอย่างหรือทำอะไรตามใจได้ เขาต้องการแค่ความรักและความเข้าใจที่มากขึ้นเท่านั้น


“พ่อชมพี่ด้วยนะว่าทำงานเก่ง” ปกป้องยิ้มกว้างอย่างภาคภูมิใจที่ธันวาสัมผัสได้ถึงความตื้นตันและมีความสุขจริง ๆ ของคนที่รอฟังคำชมจากผู้เป็นพ่อมาโดยตลอด


“พี่ป้อง” คนเป็นน้องโผเข้ากอดพี่ได้อย่างสนิทใจเป็นครั้งแรก คนถูกกอดเองก็ตกใจจนทำตัวไม่ถูกไปครู่หนึ่งก่อนจะยอมกอดตอบเพราะหลายปีมาแล้วที่พวกเขาไม่ได้กอดกันแบบนี้


“ไว้พี่ไปขอขมาพ่อกับแม่นายในวันทำบุญครบรอบพวกท่านนะ” ปกป้องบอกหลังจากผละออกจากกันแล้ว เขาตั้งใจไว้แล้วว่าจะขอขมาญาติผู้ใหญ่ทั้งสอง เหตุที่ทำร้ายลูกชายของพวกท่าน ธันวาพยักหน้างึกงัก บอกอีกด้วยว่าพ่อแม่ตนต้องยกโทษให้คนพี่อย่างแน่นอน


“ไอ้ต้าฝากมาขอโทษด้วยนะ”


ธันวาชะงักเล็กน้อยเมื่อได้ยินชื่อนั้น เขายังจำสายตาที่จ้องมองเล้าโลมตนในวันนั้นได้ดี แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อยากมีเรื่องที่ต้องเกี่ยวพันหรือค้างคากันอีก “ผมยกโทษให้นะ แต่ไม่อยากเห็นหน้าเขาอีก หวังว่าพี่คงเข้าใจนะครับ”


ปกป้องพยักหน้ารับ “ว่าแต่...นายได้คุยกับพ่อพี่รึยัง” เห็นน้องชะงักไปเล็กน้อยเขาก็พอเดาได้ “อย่าโกรธท่านเลยนะ”


ธันวายิ้มบาง ๆ ช่างเป็นยิ้มที่ฝืดเฝื่อนเสียจริง “ผมไม่ได้โกรธหรอกครับ แต่ยังไม่กล้าเจอหน้ากันตรง ๆ ยอมรับว่าทำตัวไม่ถูก”


“อืม” ปกป้องเข้าใจแต่ก็จนด้วยคำพูด เพราะพ่อเขามักใช้สายตาที่เปี่ยมไปด้วยความรักความเสน่หามองทะลุธันวาไปหาใครอีกคนเสมอ “พี่ไม่รบกวนเวลานายแล้วดีกว่า เดี๋ยวก็ต้องอ่านหนังสืออีกนี่ใช่ไหม”


“ครับ”


ปกป้องนิ่งไปครู่หนึ่งเหมือนตัดสินใจจะทำอะไรบางอย่าง ก่อนจะยื่นมือออกไปวางบนศีรษะคนเป็นน้อง “ว่าง ๆ กลับไปกินข้าวที่บ้านบ้างนะ พี่จะรอ”


คนเป็นน้องพยักหน้ารับ ก่อนจากกันปกป้องยังกำชับให้เขาหาเวลาพักผ่อนไปเที่ยวเล่นเหมือนวัยรุ่นทั่วไปบ้างอีกด้วย



ธันวายิ้มระอาส่ายหน้าเล็กน้อยตอนที่เห็นว่าทั้งคนรักและเพื่อนสนิทนั่งรอตนในโรงอาหารด้วยท่าทีกระวนกระวายราวกับว่าถ้าเขาไม่ปรากฎตัวที่นี่ภายในห้าหรืออย่างมากก็สิบนาทีข้างหน้านี้พวกเขาสองคนจะออกไปตามเขาเป็นแน่


“ทุกอย่างโอเคใช่ไหม” เดือนแรมที่พุ่งเข้าไปถึงตัวโดยเร็วเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วงขณะช่วยถือกระเป๋า รู้สึกโล่งใจเมื่อได้เห็นสีหน้าและรอยยิ้มสดใสของคนรักแทนคำตอบก่อนที่เจ้าตัวจะเอาแต่บ่นว่าหิวตอนที่เดินถึงโต๊ะซึ่งมีกรองเกียรตินั่งรออยู่ด้วย


ไม่มีเรื่องราวใดจากปากธันวา มีเพียงรอยยิ้มบาง ๆ แต้มใบหน้าสดใสเท่านั้นที่ทำให้กรองเกียรติคลายกังวลได้


“วันนี้อ่านหนังสือเองอย่ามัวแต่หลับนะ” เดือนแรมกำชับธันวาในตอนที่เตรียมจะปลีกตัวออกไปก่อนเพราะนัดติวกับเพื่อนในรุ่นทำให้ไม่ได้อ่านหนังสือร่วมกับคนรักอย่างเช่นทุกวัน


“ไม่หลับหรอกหน่า เดี๋ยวโด้ปเอ็มร้อยเลย”


“ถ้าอ่านจบแล้วก็นอนไปเลยนะ ไม่ต้องรอพี่”


ธันวาพยักหน้างึกงัก “พี่เองก็อย่าดึกนักล่ะ”


“อืม...ไอ้เก่ง ดูโน่นดิ” เดือนแรมรับปากก่อนชี้นิ้วไปด้านหลังสองหนุ่ม รอจนกรองเกียรติหันมองตามแล้วจึงโฉบตัวข้ามโต๊ะไปหอมขมับคนรักที่หันไปมองข้างหลังด้วยความไม่รู้เช่นกัน


“อะไรวะพี่ ไม่เห็นมีเลย” กรองเกียรติหันกลับมาโวยจะถามรุ่นพี่หนุ่มแต่อีกฝ่ายกลับวิ่งออกไปแล้ว เหลือทิ้งไว้ก็แต่เพื่อนเขาที่หน้าขึ้นสีระเรื่อไว้เป็นคำตอบให้แซวทันทีที่ประติดประต่อเรื่องราวได้


คล้อยหลังหนุ่มรุ่นพี่ได้ไม่นานสองหนุ่มก็แยกย้ายกันไปอ่านหนังสือเตรียมสอบที่จะมาถึงในอีกสองวันด้วยเช่นกัน




เสียงเซ็งแซ่หน้าห้องแลปกรอสส์หลังหมดเวลาสอบกลายเป็นเรื่องที่ต้องทำใจสำหรับอาจารย์ไปเสียแล้ว เพราะไม่ว่าจะตำหนิให้เงียบกี่ครั้งและกี่รุ่นที่สอนมาก็ไม่เป็นผล ไม่ได้ตระหนักกันเลยว่าเสียงจากลำคอสามร้อยกว่าชีวิตนั้นไม่ต่างจากนกกระจอกแตกรังที่ดังไปทั่วทั้งตึกนี้


นอกจากการถกเถียงเกี่ยวกับเรื่องเนื้อหาในห้องสอบแล้ว นักศึกษาแพทย์ชั้นปีที่สองบางคนก็ยังคงบ่นเรื่องสติกระเจิงจากเสียงกริ่งแม้ว่าจะผ่านการสอบแลปกริ๊งมาหลายครั้งจนน่าจะชินชาได้แล้วก็ตาม ซึ่งตฤณเองก็เป็นหนึ่งในนั้น ขณะที่กรองเกียรติกับธันวาถกกันเรื่องเนื้อหา เพราะอย่างนั้นตฤณจึงเดินรั้งท้ายและกลืนหายไปกับฝูงชนที่บ่นเรื่องเดียวกัน


“กูกราบ แลปกริ๊งครั้งสุดท้ายของปีสักที ทิ้งทวนแบบข้อสิบสองใจร้ายกับกูมาก” กรองเกียรติว่าอย่างหัวเสีย ไม่ถึงกับทำไมได้ แต่ก็ไม่ได้สบายใจนัก


“ถามว่าไรวะ” เพราะจำนวนคนในรุ่นมีมากถึงสามร้อยคนจึงต้องถูกแบ่งออกเป็นหลายกลุ่มหลายวงในการสอบและเรียงข้อไม่เหมือนกันอีกด้วย เพราะอย่างนั้นธันวาที่อยู่คนละวงสอบกับกรองเกียรติจึงต้องถามหาคำถามแทนเลขข้อสอบเพื่อความเข้าใจที่ตรงกัน “เข็มปักตรงไหนอะ”


ธันวาหมายถึงเข็มหมุดที่ปักไว้ตามส่วนต่าง ๆ ของร่างที่ชำแหละเฉพาะส่วนออกมาแล้วเพื่อจะเทียบเคียงว่ากรองเกียรติหมายถึงข้อไหนของตน แต่อีกฝ่ายยังไม่ทันตอบก็ชะงักไปเสียก่อน เขาจึงต้องหันมองตามสายตาเพื่อนไปพบกับใครบางคน


“จังหวะดีอีกละ” กรองเกียรติบ่นเสียงหน่าย ตั้งท่าจะก้าวออกไปหาคนที่ตามตื้อเพื่อนตนเก่งที่สุดเหมือนเช่นทุกที แต่ครั้งนี้ธันวากลับรั้งแขนเอาไว้เสียก่อน


“อย่าบอกนะว่ามึง…”


“อือ กูว่าถึงเวลาแล้ว”


“อะไรกัน” เดือนแรมที่แยกออกมาจากกลุ่มรุ่นพี่ปีสามเดินเข้ามาหาคนรัก เอ่ยถามก่อนทักทายด้วยการลูบผมและถามถึงเรื่องสอบ


“แล้วเมื่อกี้คุยอะไรกันอยู่” เดือนแรมวกเข้าเรื่องเดิมหลังจากที่ธันวาให้คำตอบแล้วว่าทำข้อสอบได้


“โน่นครับ” เป็นกรองเกียรติที่พยักพเยิดหน้าไปทางญาติผู้ใหญ่ของเพื่อนแทนเจ้าตัว


เดือนแรมมองตามก่อนหันกลับมาหาคนรัก เอ่ยถามด้วยเสียงทุ้มนุ่มที่ทำให้คนฟังใจชื้น “พร้อมแล้วเหรอ” เขารับรู้มาตลอดว่ากรองเกียรติช่วยบอกปัดให้ทุกครั้งที่ลุงมาหาธันวา เมื่อเห็นว่าครั้งนี้กรองเกียรติยังไม่รีบไปยืนอยู่ตรงนั้นก็พอจะเดาได้ว่าคนรักกำลังคิดอะไร


ธันวาพยักหน้า เป็นจังหวะเดียวกับที่ได้รับข้อความชวนไปกินข้าวจากคนเป็นลุงเหมือนเร่งการตัดสินใจของเขาให้เร็วขึ้นด้วย


“ผมไปกินข้าวกับคุณลุงนะครับ” ธันวาบอกเดือนแรมที่หมายรวมไปถึงเพื่อนสนิทด้วย


“มึงจะไปคนเดียวจริงเหรอวะ” ขณะที่เดือนแรมส่งความห่วงใยและความเชื่อมั่นในตัวเขาผ่านสายตาและการบีบไหล่ กรองเกียรติก็โพล่งขึ้นมาด้วยน้ำเสียงและสีหน้าเป็นกังวลเกินควร “ให้กูหรือพี่แรมไปเป็นเพื่อนเถอะ”


“นี่กูเพื่อนมึงนะ อย่าทำเหมือนกูเป็นเด็กดิ กูดูแลตัวเองได้หน่า ร้านอาหารมีคนตั้งเยอะแยะ”


“กูเชื่อว่าลุงภาสไม่ทำอะไรมึงหรอก แต่เผื่อมึงอึดอัดไง พวกกูจะได้ช่วยทัน ให้ไปนั่งแยกโต๊ะกันก็ได้นะเว้ย”


ธันวาระบายยิ้ม ถ้าดีนยืนอยู่ตรงนี้ด้วยเขาคงเหนื่อยใจมากกว่านี้แน่ “แบบนั้นจะยิ่งอึดอัดกันสิวะ ไม่ต้องห่วงหรอก ไปนะ”


กรองเกียรติตั้งใจจะรั้งไว้อีกครั้งในตอนที่เพื่อนเดินแยกออกไปแล้วแต่เดือนแรมห้ามเอาไว้ก่อน




ยากกว่าที่คิด


ธันวาพบว่าตัวเองทำตัวให้เป็นปกติได้ยากกว่าที่คิด


ช่วงเวลาระหว่างรออาหารมีแต่ความเงียบจนเขาทำตัวไม่ถูก คิดว่าอีกฝ่ายเองก็คงไม่ต่างกันถึงได้ปล่อยให้เวลาผ่านไปโดยเปล่าประโยชน์แบบนี้ คนเป็นหลานจึงเอาแต่ก้มหน้าก้มตาหยิบเอกสารประกอบการเรียนออกมาพลิกไปมาขีด ๆ เขียน ๆ เหมือนมีงานสำคัญต้องเร่งส่งทั้งที่เพิ่งสอบเสร็จ เหตุเพราะยังไม่กล้าสบตากับคนเป็นลุงด้วยยังหวั่นกลัวว่าจะพบกับแววเสน่หาที่มองมายังตนเพื่อส่งไปถึงบุพการี


เขายังไม่พร้อมเจอกับสายตาแบบนั้นจริง ๆ แค่คิดว่าที่ผ่านมาได้รับสายตาแบบนั้นมาโดยตลอดก็ยิ่งรู้สึกแย่กับการนั่งอยู่ตรงนี้ให้อีกฝ่ายจ้องมอง


และแม้ว่าจะมีอาหารจานโปรดวางอยู่เต็มโต๊ะแล้วก็ใช่ว่าจะทำให้บรรยากาศบนโต๊ะอาหารดีขึ้น เพราะมันกลับแย่ลงจากการเอาใจใส่อย่างเสมอต้นเสมอปลายของคนเป็นลุง


“กินเข้าไปเยอะ ๆ นะลูก ช่วงนี้ซูบลงไปเยอะเลยนะ” ธันวาไม่เข้าใจว่าสถานการณ์ดูปกติมากหรืออย่างไรอีกฝ่ายถึงได้กล้ายื่นมือออกมาหมายจะสัมผัสแก้มเขาเพื่อยืนยันความซูบผอมทั้งที่เห็นด้วยตาแล้ว


คนสูงวัยชะงักมือแล้วรีบดึงกลับเมื่อหลานเบี่ยงหน้าหลบก่อนฝ่ามือจะถึงเป้าหมาย สะเทือนใจกับท่าทีที่ดูเหมือนรังเกียจกันเสียเต็มประดาจนเผลอปล่อยให้เสียงสั่นตอนที่เอ่ยถามออกไป “ธันว์ยังโกรธลุงอยู่เหรอลูก”


“เปล่าครับ” แม้จะบอกอย่างนั้นแต่การหลบตาและเลี่ยงสัมผัสกลับสวนทางกับคำบอกกล่าวจนประภาสยิ่งร้อนใจ


“ลุงขอโทษ”


“ผมไม่ได้โกรธคุณลุงแล้วจริง ๆ ทานข้าวเถอะครับ” เขาคงยังไม่พร้อมเจอหน้าคนเป็นลุงจริงอย่างที่เพื่อนกังวล แต่ถึงอย่างนั้นก็ไม่อยากยื้อเวลาอีกแล้ว เขาควรเปิดโอกาสให้อีกฝ่ายได้ขอโทษและตนได้ให้อภัย ไม่ควรปล่อยให้เจ็บปวดคาราคาซังกันนานกว่านี้


“ธันว์จะโกรธไหมที่ลุงไม่ได้ลงโทษพี่เขา” ประภาสพูดขึ้นมาอีกเมื่อหลานเงียบไปนาน แต่ถึงอย่างนั้นก็สังเกตตลอดว่าอีกฝ่ายไม่ได้เจริญอาหารนัก ท่าทีฝืดฝืนเหมือนจะเร่งให้หมดจานแต่ก็กินไม่ลงนั่นดูทรมานจนเขาต้องเป็นฝ่ายรีบสะสางเรื่องราวให้จบโดยเร็วเสียเอง


“...”


“ลุงรู้ว่าป้องเขาทำเกินไป มันเลวร้ายเกินกว่าที่ลุงจะมองข้ามได้ แต่ลุงก็ไม่ได้ลงโทษอะไรเขา เพราะลุงรู้ว่าคนที่ผิดจริง ๆ คือลุง ธันว์อาจจะไม่ให้อภัยพี่เขาได้ แต่หวังว่าจะไม่โกรธที่ลุงเว้นโทษให้พี่นะ”


ธันวายิ้มบาง แม้จะระวังตัวไม่ให้เผลอยิ้มแบบเดิม ๆ เพราะกลัวจะเหมือนแม่เกินไปแต่ก็ไม่อาจปั้นออกมาให้เป็นอื่นไปได้อยู่ดี “ผมไม่โกรธหรอกครับ ผมให้อภัยพี่ป้องแล้วด้วย…” เพราะบางที บทลงโทษอาจจะอยู่ในรูปแบบของความทุกข์จากสิ่งที่เคยกระทำคอยกัดกินใจของพวกเขาทั้งสองคนไปตลอดก็ได้  “...ต่อจากนี้ผมก็อยากให้คุณลุงกับพี่ป้องดูแลซึ่งกันและกันดี ๆ นะครับ”


ประภาสพูดอะไรไม่ออก ไม่กล้าแม้แต่จะเอ่ยชื่อเรียกเพื่อรั้งเอาไว้ทั้งที่รู้ดีว่าประโยคสุดท้ายที่หลานพูดออกมาไม่ต่างจากคำบอกลาอย่าถาวรเลยสักนิด




ธันวาเดินออกมาจากร้านอาหารก่อนคนเป็นลุงด้วยสีหน้าเหมือนแบกโลกทั้งใบไว้ ก่อนจะหลุดยิ้มออกมาได้เมื่อเห็นว่ามีใครมายืนรอตนอยู่หน้าร้านอาหารข้าง ๆ คนที่เชื่อมั่นในตัวเขาว่าจะดูแลตัวเองได้และยอมปล่อยให้ออกมากับลุงประภาสตามลำพังแต่ตัวเองกลับมารอรับอยู่ใกล้ ๆ


ผู้ชายคนนี้ไม่เคยทิ้งเขาไปไหนเลยจริง ๆ


“กลัวผมไม่ไหวเหรอครับ”


ผู้ชายคนนี้ไม่เคยทิ้งให้เขาต้องเผชิญเรื่องทุกข์ใจเพียงลำพัง


รอยยิ้มที่มอบกลับมานั่นก็แสนอบอุ่นเสียจนไล่หมอกควันในใจไปเสียหมด โลกทั้งใบสดใสขึ้นได้จริง ๆ เพียงแค่มีเดือนแรมอยู่ด้วย


“มารับกลับ กลัวหลงทาง”


ผู้ชายคนนี้พร้อมจะเคียงข้างเขาทั้งยามทุกข์และสุขโดยไม่เคยต้องร้องขอ


ธันวายิ้มกว้างขึ้น แม้ในสภาวะที่ไม่น่าจะยิ้มออก แต่ธันวาก็พบว่าเป็นเรื่องยากยิ่งที่จะไม่ยิ้มเพราะเดือนแรม และเกือบจะยิ้มทั้งน้ำตาด้วยความตื้นตันเมื่ออีกฝ่ายยื่นมือออกมาหา ไม่ได้เสียเวลาคิดเลยสักนิดที่ยื่นมือออกไปจับไว้แล้วออกเดินไปพร้อมกัน







TBC.
-------------------------------------------------
หายไปนานม้ากกกกก ไม่รู้จะยังจำกันได้ไหม

ด้วยรักและขอบคุณเสมอ

ธัญญ์
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 25-08-2022 13:47:15 โดย ธัญญ์ »

ออฟไลน์ AkuaPink

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2033
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +59/-1

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

 :pig2: back

หายไปเป็นปี  ในที่สุดก็ได้เห็นตอนใหม่

ออฟไลน์ BaGgYsOdA

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 87
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
รอนะครับบ

ออฟไลน์ partner_soulmate

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 10
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รอนานมากค่ะ..เป็นกำลังใจให้น้า จะรอต่อไป

ออฟไลน์ ธัญญ์

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 127
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +87/-4
แรมเดือนสิบสอง

แรม ๑๔ ค่ำ เดือน ๑๒
(๒)




ธันวาไม่ได้กลับไปที่บ้านของประภาสอีกเลยแม้ว่าจะรับปากกับปกป้องไว้ว่าจะกลับไปร่วมมื้ออาหารด้วยกันบ้างในวันที่ตนสบายใจขึ้นแล้ว ถึงอย่างนั้นสองพ่อลูกเองก็ไม่ได้แวะไปหาธันวาที่คณะอีกเลยเช่นกัน มีเพียงแค่การทักทายถามไถ่สารทุกข์สุขดิบผ่านข้อความเท่านั้น ซึ่งนั่นช่วยให้ธันวาลดความอึดอัดไปได้เยอะเมื่อกลับมาเจอกันอีกครั้งในวันทำบุญครบรอบวันเสียชีวิตของแม่ที่รวมการทำบุญให้พ่อด้วยเช่นกัน



ภีมยังคงมาทำบุญให้แม่เขาทุกปี ธันวารู้เพราะเห็นดอกไม้วางอยู่ก่อนหน้าตนมาถึงแล้วอยู่ทุกครั้ง เพียงแต่ไม่มีครั้งไหนที่อีกฝ่ายจะโผล่หน้าออกมาเจอกัน และเพราะเป็นตอนที่ตนยืนอยู่กับเดือนแรมแบบนี้ด้วยแล้วก็ยิ่งตกใจจนทำหน้าไม่ถูก



“พี่ไปรอตรงโน้นนะ” ถ้าได้ยินแค่เสียงธันวาคงใจแป้ว แต่เพราะสีหน้าแววตาและรอยยิ้มที่แสดงถึงความเข้าใจและให้กำลังใจกันที่มอบให้มาทำให้เขาใจชื้นขึ้น



“แฟนเหรอ” ภีมถามด้วยรอยยิ้มที่ไม่สดใสนักเมื่ออยู่กับธันวาตามลำพัง แต่ก็ไม่ได้ฝืดฝืนจนคนมองไม่สบายใจ แม้จะได้เจอกันต่อหน้าหนึ่งครั้งและมองจากระยะไกลอีกหนึ่งครั้ง แต่นี่ก็นับว่าเป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็น ‘แฟนใหม่’ ของธันวาชัด ๆ



คนนี้เองน่ะหรือ



ภีมยิ้มให้ตัวเองในตอนที่น้องยืนยันความเข้าใจของเขาพอดี เขาจำใบหน้าของผู้ชายคนเมื่อครู่นี้ได้ดี ช่วงที่ตัวติดกับธันวาก็รับรู้ได้ถึงสายตาคู่หนึ่งที่มองมาอยู่บ่อยครั้ง ไม่คิดเลยว่าท้ายที่สุดแล้วคนที่ได้หัวใจของธันวาไปจะเป็นเขาคนนั้น



แต่ก็… “ยินดีด้วยนะที่ได้รู้จักความรักจริง ๆ แล้ว”



“พี่ภีม...”



“เรียนเป็นไงบ้าง เริ่มชอบคณะนี้บ้างรึยัง” คนเป็นพี่เปลี่ยนเรื่องที่ทำเอาคนฟังชะงักเล็กน้อย เขาลืมไปแล้วว่าภีมเคยรู้เรื่องของเขาดีมากแค่ไหน



“สนุกดีนะครับ ถึงจะเรียนหนักไปหน่อย” ธันวาเล่า รอยยิ้มบาง ๆ ประดับใบหน้าเหมือนน้องชายคนหนึ่งกำลังเล่าเรื่องประจำวันให้พี่ชายฟัง “พี่ภีมละครับ เดี๋ยวนี้ดังใหญ่แล้วนะ”



ภีมยิ้มเขิน ไม่ออกความเห็นเรื่องของตัวเอง “ถ้าธันว์มีความสุขดีพี่ก็ดีใจด้วยนะ”



ภีมเลือกที่จะมองใบหน้าของผู้หญิงในรูปเล็ก ๆ บนเจดีย์บรรจุอัฐิตรงหน้าแทนใบหน้าของธันวา ฝืนกลั้นก้อนสะอื้นไว้ในตอนที่ภาพวันเก่า ๆ ระหว่างตนกับคนข้าง ๆ ไหลบ่าเข้ามาในห้วงความคิด เพราะการจากไปของผู้หญิงคนนี้ทำให้เขาได้พบกับเด็กผู้ชายเจ้าของดวงตาเศร้าโศกที่นั่งเหม่อลอยบนพื้นพิงขอบเตียงอยู่ในห้องนอนตัวเอง คนที่เขาเคยมอบกำลังใจให้ผ่านการมองจากฝั่งระเบียงห้องตัวเองที่อยู่ตรงข้ามกันจนลงท้ายด้วยการใช้เวลาอยู่ด้วยกันในห้องเขาเป็นวัน ๆ จากเด็กที่ไร้ที่พึ่ง ชีวิตเต็มไปด้วยความทุกข์จากการลาจากกลายเป็นเด็กที่สดใสขึ้น แต่แล้ววันหนึ่งเขาก็เลือกที่จะมอบความรู้สึกของการถูกทอดทิ้งให้น้องอีกครั้ง



เขาโง่เอง



โง่เองที่ทิ้งไปแล้วกลับมาในวันที่สายเกินไป



“เรายังเป็นพี่น้องกันได้ใช่ไหม”



ธันวายังคงยิ้มให้เขาเหมือนในวันวาน รอยยิ้มแบบที่น้องชายมอบให้พี่ชายมาโดยตลอด มันไม่มีทางลึกซึ้งกว่านั้นไปได้ “ได้สิครับ...พี่เป็นเหมือนคนในครอบครัวของผมเสมอนะ”



ภีมแค่นยิ้ม ขมขื่นในความรู้สึกจนไม่อาจสบตาได้



“ขอบคุณนะ”



“พี่ภีม...”



“ถ้าเขาทำให้เสียใจ วิ่งมาฟ้องพี่เลยนะ พี่ชายคนนี้จะจัดการให้” ธันวายิ้มให้ท่าทางมุ่งมั่นนั่น “หรือถ้ามีปัญหาเรื่องอื่น ก็ให้นึกไว้ว่ายังมีพี่ที่รับฟังและพร้อมช่วยเหลืออยู่เสมอ”



ธันวาพยักหน้าเหมือนเด็กน้อย และกลายเป็นฝ่ายที่น้ำตาไหลออกมาก่อนอีกด้วย “ขอบคุณครับ”



ภีมจ้องมองน้องอย่างชั่งใจ อยากเอ่ยขอบางอย่างเป็นครั้งสุดท้ายแต่ก็ไม่กล้าเอ่ยให้อีกฝ่ายลำบากใจ แต่ดูเหมือนว่าช่วงเวลาที่สนิทกันหลายปีจะไม่เสียเปล่าเพราะธันวาเอ่ยมันออกมาก่อนราวกับล่วงรู้ความต้องการของเขา “ขอกอดหน่อยได้ไหมครับ”



ก่อนที่จะไม่มีโอกาส…



ภีมอ้าแขนออกรับน้องเข้ามาในอ้อมกอดที่เคยรอคอยอีกฝ่ายมาตลอด รอวันที่ธันวาจะรู้สึกกับเขาเหมือนสถานะคนรักที่มอบให้กัน แต่ก็ไม่มีวี่แวว และภีมก็ไม่อยากรั้งอีกฝ่ายให้ยึดติดกับตนโดยพลาดโอกาสที่จะได้รู้จักกับความรักที่แท้จริง ในวันนั้นเขาจึงต้องเป็นฝ่ายบอกลาด้วยข้ออ้างว่าตนคิดกับอีกฝ่ายแค่น้องชายทั้งที่รักลึกซึ้งจนหมดใจ



เขาเคยคิดว่าธันวาจะยังแคลงใจกับคำพูดของเขาในวันนั้นและไม่ยอมรับมัน แต่ตอนนี้เขารู้แล้วว่ากรองเกียรติพูดถูก ธันวาไม่อยากรู้แล้วว่าสิ่งที่เขาใช้เป็นเหตุผลในการบอกลาครั้งนั้นเป็นเรื่องจริงหรือไม่



คงถึงเวลาที่เขาต้องปล่อยธันวาไปจริง ๆ แล้วเสียที





 

ธันวารอให้ภีมเดินจากไปจนลับสายตาก่อนค่อยกลับไปหาเดือนแรม เห็นคนรักแค่ยิ้มให้ไม่เอ่ยปากพูดอะไรเขาจึงเปิดประเด็นขึ้นก่อน “ไม่ถามเรื่องพี่ภีมเหรอครับ”



“อยากให้ถาม?”



“ก็...เป็นปกติของแฟนใหม่ไม่ใช่เหรอครับ”



เดือนแรมส่ายหน้า ไร้ข้อกังขาจริงอย่างที่แสดงออก “ไม่ถามหรอก” สำหรับเขา การที่ได้เห็นว่าแววตาของน้องยังมั่นคงในตัวเขาเหมือนเดิม ไร้แววสับสนสั่นคลอนเหมือนครั้งก่อนที่เจอภีมก็ถือเป็นสัญญาณที่ดีในการเดินหน้าไปด้วยกันโดยไม่จำเป็นต้องสนใจอยากรู้เรื่องในอดีตอีกแล้ว



“ไม่ถามตอนนี้ จะไม่ให้ถามอีกแล้วนะครับ” เขาอยากให้เรื่องเก่า ๆ มันจบในวันนี้ให้หมดเพื่อเริ่มต้นใหม่ด้วยชีวิตที่สดใสกว่าเดิมเสียที



“ชัดเจนขนาดนี้ยังต้องถามอะไรอีกล่ะครับ”



รอยยิ้มของเดือนแรมอบอุ่นเสมอ



“ต่อจากนี้จะมีแค่เรา ผมสัญญาครับ” ธันวาแบมือไปข้างหน้ารอให้อีกคนวางมือลงมาเพื่อจับประสานกัน เดือนแรมเองก็ไม่ปล่อยให้น้องรอนาน เขารีบจับมือนั่นไว้และกระชับแน่นแทนคำสัญญาที่มีให้กัน



“เดินไปด้วยกันเรื่อย ๆ เลยนะ”


 







-----------------------------------------
TBC.


ไม่คิดว่าจะยังมีคนรอ เกรงใจคนที่ยังรออยู่มาก ๆ เลยค่ะ

ตามแพลน ตอนหน้าจะเป็นตอนสุดท้าย แต่นี่ก็ถือว่าจบแล้ว

ถือว่าธัญญ์ไม่ได้ทิ้งตัวละครและคนอ่านให้ค้างคาอะไรกับเรื่องราวของพวกเขาสองคนอีก

ที่ผ่านมาหายหน้าไปเป็นปี ๆ เพราะมีปัญหารุมเร้าจนผลิตผลงานออกมาไม่ได้

แต่จะพยายามลงให้จบเรื่องนะคะ (แต่งตอนจบคาไว้เป็นปีแล้วค่ะ แต่ยังไม่จบ)

ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันมาถึงตอนนี้และในระหว่างทางด้วย

ทุกคนเป็นกำลังใจให้ธัญญ์มากเลยค่ะ

เร็ว ๆ นี้ธัญญ์จะกลับมาลงผลงานใหม่ ๆ ในหลายแพลตฟอร์ม ฝากติดตามกันด้วยนะคะ

ด้วยรักและขอบคุณ

ธัญญ์

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด