กระสุนนัดที่ 8
ร.รำคาญ
[เรือใบ]เรามาถึงหน้าโอเมก้าเวลาสามทุ่มครึ่ง
“เรามาสาย” สายธารว่า
“จิตวิทยา มาช้าหน่อย เราจะได้ดูเป็นคนสำคัญ”
“เราดูเหมือนคนไม่รักษาเวลาและไม่ให้เกียรติคนอื่นมากกว่า”
“รถติด”
“คุณขับอ้อมน่ะสิ ไม่รู้ทางทำไมไม่เปิดแผน...”
“รู้”
“แต่จงใจขับอ้อม?”
“ใช่ แกล้งมึง สนุกดี”
ที่จริงผมไม่มั่นใจว่ามาสด้าสีดำคันนั้นขับตามหรือเปล่า พอข้ามแยกแล้วมันไปคนละทางเลยเบาใจหน่อย
“เลวจริงๆ”
ผมฉีกยิ้ม “บ่นจังเว้ย ป้าเป็นนกขุนทองเหรอ”
เจ้าตัวชักสีหน้าใส่ ก่อนจะได้บ่นอะไรต่อเสียงโทรศัพท์ของเขาก็ดังขัดจังหวะ “มิก...ถึงแล้วๆ กำลังจะเข้าไปเดี๋ยวนี้แหละ...เจอกัน”
ผมปล่อยให้สายธารเดินนำไปก่อน ทิ้งระยะห่างประมาณสองก้าว กล้ามเนื้อทุกส่วนตื่นตัวขณะหันมองรอบตัวอย่างเนียนๆ
ดูไม่มีอันตราย
หรือถ้ามีก็ไม่รู้หรอก เพราะผมไม่ใช่ซูเปอร์แมนหรือโทนี่ สตาร์กที่จะมีจาร์วิสคอยช่วยสแกนรายละเอียดทุกอย่างนับตั้งแต่ก้อนขี้หมายันความชื้นในชั้นบรรยากาศ ที่ผมมีอยู่ก็แค่ดวงตาของมนุษย์ธรรมดาๆ
พวกการ์ดของร้านขอค้นตัวเราก่อนเข้าประตู สายธารถูกค้นจนละเอียดยิบ ส่วนผมเอาตัวรอดการลูบคลำมาได้ด้วยการเอ่ยชื่อคนที่พวกนั้นต้องเกรงใจบวกกับวาทศิลป์อีกนิดหน่อย
“ไม่ยุติธรรม” เขาพูดหลังจากเราเข้ามาข้างในแล้ว
“อะไรนะ ไม่ได้ยิน” จริงๆ ก็ได้ยินแหละ เพราะตอนนี้ยังถือว่าเป็นช่วงอุ่นเครื่องอยู่สำหรับบรรยากาศภายในผับ รออีกสักพักคนถึงจะเยอะกว่านี้ เสียงดังกว่านี้
“ทำไมผมโดนค้นตัวอยู่คนเดียว” สายธารยื่นหน้าเข้ามาพูด “ถ้าคุณมีเส้นหรืออะไรก็ช่าง ทำไมไม่บอกพวกนั้นว่าเรามาด้วยกัน”
“โลกมันก็โหดร้ายแบบนี้แหละ”
“ไอ้ธาร” มิกกี้ก้าวยาวๆ เข้ามาขัดจังหวะพอดี “มาซะที พวกนั้นแม่งเริ่มเมากันแล้ว”
“มากันครบแล้วเหรอ”
“ขาดไอ้เฟิร์ส คนติดเมียก็งี้แหละ แล้วนี่...”
“ไง” ผมทัก
“เอาจริงดิ” มิกกี้ทำหน้าเหมือนว่าผมเพิ่งหายตัวแวบมาโผล่ตรงนี้
“กูคนจริงก็ต้องเอาจริงอยู่แล้ว”
“เอ่อ...” สายธารกระแอม “ขอแนะนำอีกทีละกัน นี่มิกกี้เพื่อนสนิทผม” รู้เลยว่าเน้นเสียงคำว่าเพื่อนสนิทเพื่อให้ผมเกรงใจ ไม่ทำอะไรรุนแรงเหมือนวันนั้น “ส่วนนี่ก็เรือใบ...”
“คู่ขา” ผมรีบเสริม ก่อนสายธารจะขยายความด้วยคำอื่นและตกที่นั่งลำบากจนต้องเล่าเรื่องทั้งหมดให้เพื่อนฟัง
“...”
“...”
อ่าว อึ้งกันไป หรือว่าคำนี้มันถึงพริกถึงขิงเกินไป แต่ผมก็ยืมคำของมิกกี้ที่พูดวันนั้นมาใช้นะ คุยด้วยภาษาเดียวกันย่อมเป็นเรื่องดีไม่ใช่รึไง
“แล้วเราก็เข้าขากันได้ดี” ผมเสริมไปอีก พร้อมกับตบบ่าสายธารเบาๆ แต่เจ้าตัวไม่รับมุก ทำเป็นสะบัดหลบมือ
“ไม่รู้ว่าจะมา ไม่ได้หาเกาอี้ไว้เผื่อ” มิกกี้ว่า
“งั้นก็หาสิ”
“โต๊ะนั่งพอดีคนแล้วด้วย”
“ต่อโต๊ะ” ผมยิ้ม วางมือบนบ่าสายธารอีกพร้อมกับพูดเสียงนุ่ม “ไปนั่งกับเพื่อนก่อนนะ อีกสักพักเดี๋ยวตามไป” จากนั้นก็ปลีกตัวออกมา ผมเห็นมิกกี้ลากตัวสายธารไปจากหางตา และเดาว่าเจ้าตัวคงจะพูดประมาณว่า ‘มึงมานี่เลย ต้องคุยกันหน่อย’ แล้วผมก็ตกเป็นขี้ปากของเด็กพวกนี้อย่างเป็นทางการ
ตรงหน้าเคาน์เตอร์บาร์มีเก้าอี้ว่างอยู่ บาร์เทนเดอร์เพื่อนเก่าผมก็ดูจะว่างอยู่พอดี
“โว้ว ดูดิ๊ใครมา” เขาเห็นผมก่อน หูตายังไวเหมือนเดิม
“ก่อนอื่นนะโอม ที่ขอให้การ์ดค้นตัวตรงทางเข้าละเอียดหน่อยเป็นไงมั่ง” ก่อนหน้านี้ผมโทรหาโอม ขอให้เขาสั่งการ์ดให้เข้มงวดหน่อย โอมไม่ใช่แค่บาร์เทนเดอร์ธรรมดา เขาเป็นหัวหน้าการ์ดด้วย
“พวกนั้นขอแหกตูดมึงดูมั้ยล่ะ”
“ก็เกือบๆ”
“งั้นก็คงตรวจละเอียดกว่านี้ไม่ได้แล้ว”
“เออ ขอบใจว่ะ”
“ทีนี้ก็ทักทายอย่างเป็นทางการได้แล้วดิ” โอมยกมือขึ้น “โว้วๆ ดูดิใครมา คุณชายเรือสำราญใช่มั้ยน่ะ แม่งยังหล่อน่าดักตีหัวเหมือนเดิมเลยเว้ย”
“กวนตีน”
เขายื่นกำปั้นมาให้ชน ผมก็เอากำปั้นชนด้วย จากนั้นเขาก็หยิบแก้วรินวิสกี้ให้อย่างรู้ใจ
“ขอบใจ” ผมนั่งบนเก้าอี้สูงหน้าเคาน์เตอร์ หมุนตัวมามองไปที่โต๊ะกลุ่มสายธาร มองผู้คนรอบๆ บริเวณนั้น
“ไงมึง พาลูกนายกมาเที่ยวรึไง ต้องละเอียดขนาดนี้”
“แค่เด็กน่ะ”
“เด็กคนนี้แซ่บเลยอะดิ ดูแลขนาดนี้ โต๊ะนั้นเหรอ...มีแต่ผู้ชายนี่หว่า”
“ไม่ใช่แบบนั้น เด็กมันเดินไปเจอตอเข้า กูเลยต้องดูแลมัน”
“สะดุดตอมึงเหรอ”
“ไอ้นี่”
“ฮ่าๆๆ งั้นทำไมต้องดูแล”
“เรื่องมันยาว”
“เฮ้ย ไม่ต้องอาย เดี๋ยวนี้โลกมันไปถึงไหนแล้ว กูก็คบเด็กมหา’ลัยอยู่เหมือนกัน...ผู้ชายทั้งแท่งเลย อันนี้ตอกูไปสะดุดมันเข้า”
ผมหันขวับ “จริงดิ”
“เมื่อกี้กูพูดให้ทุเรศขำๆ ไปงั้น แต่กูคบเด็กจริง”
“ทำไมวะ เมื่อก่อนมึงก็ชอบผู้หญิงนี่”
โอมตะแคงศีรษะเหมือนครุ่นคิด “อืม...จะว่าไงดีล่ะ ถ้าความรู้สึกนั้นไม่ได้เกิดกับมึง อธิบายไปก็ไม่เข้าใจ”
“คงงั้น”
“เฮ้ย ดูลูกค้าไปก่อน พี่คุยกับเพื่อนแป๊บ” โอมหันไปบอกบาร์เทนเดอร์รุ่นน้อง แล้วขยับตัวมาชิดมุมเคาน์เตอร์ ยื่นหน้ามาพูดพอให้ได้ยินกันสองคน “หรือตอที่ว่าเกี่ยวกับเสี่ยที่ถูกเป่าหลังร้านผับผับ”
ผมกะมาหยั่งๆ โอมเรื่องนี้อยู่เหมือนกัน กลายเป็นว่ามันเดาออกก่อนแล้วว่าผมเข้าไปเกี่ยวข้องด้วย
“มึงรู้อะไรบ้าง” ผมลดเสียงต่ำลง
“นั่นไง ทำงานให้ตำรวจอีกดิมึง เซนส์กูนี่แม่งสุดยอดจริงๆ ตอนซื้อหวยไม่เห็นถูกสักทีวะ”
“กูซีเรียสนะ มึงรู้อะไรบ้าง”
“ไม่มาก”
“งั้น...มึงช่วยเป็นหูเป็นตาให้หน่อยดิ ช่วยสืบๆ ดูหน่อย”
“เดือดร้อนกูอีก”
“ถ้าได้เรื่องยังไงกูไม่ให้มึงเหนื่อยฟรีหรอก”
“เออๆ ไม่เป็นไร เรื่องดำๆ เทาๆ แถวนี้กูควรต้องรู้ไว้อยู่แล้ว แต่มึงอย่าหวังไรมากละกัน”
“เออ ขอบใจ”
“ว่าแต่ ถ้าเด็กของมึงสะดุดตอที่ผับ ทำไมยังพามาเที่ยวผับอีกวะ ร้านนั่นก็ไม่ไกลจากตรงนี้เท่าไหร่ด้วย หรือเป็นแผนใช้ลูกแกะล่อหมาป่าออกจากถ้ำ”
“ยังไม่มีแผนอะไร กูไม่ได้อยากออกมาข้างนอกด้วย แต่วันเกิดเด็กมัน”
“อ่อ”
“คุยแต่เรื่องกู แล้วมึงล่ะ เป็นไงมั่งช่วงนี้”
“เรื่อยๆ” โอมยืดตัวขึ้นสบายๆ “รักรุ่ง งานพุ่ง ระวังสุขภาพเกี่ยวกับขา ผู้ชายผิวดำแดงให้โชค”
“ดวงตามนิตยสารเหรอวะ”
“เปล่า กูดูในเพจเฟซบุ๊ก แต่งานท่วมจริง เฮียกำลังจะเปิดอีกร้านอยู่ฝั่งตรงข้าม ชื่อร้าน ‘โอ มายแอส’ ต่อไปกูต้องดูสองที่”
“ชื่อไรนะ”
“Oh my ass” โอมเดาะลิ้นสำเนียงอังกฤษ
“ฟังดูเหมือนผับเกย์”
“ชื่อมันขึ้นต้นด้วย ‘โอ’ เหมือนร้านนี้ แต่จะออกแนวให้เต้นๆ มากกว่า ประมาณว่าเต้นจนเมื่อยตูด แต่กูว่า ต่อไปมันคงจะพัฒนาไปเป็นผับแนว ชาย-ชาย จริงๆ แหละ ชื่อมันดึงดูด”
“อืม”
“เฮ้ย เด็กมึงคนนั้นใช่ปะ...หน้าตาดีนี่หว่า แน่ใจนะว่าไม่คิดไร”
“คิดไรวะ ไม่อยู่แล้ว!”
“แซวแค่นี้ต้องเสียงดังด้วย”
“มึงทำงานไป คนเริ่มเยอะ กูจะไปฉี่ละ” ผมยกแก้วกระดกจนหมด แล้ววางบนเคาน์เตอร์แรงๆ เหมือนที่พวกผู้ชายในหนังคาวบอยชอบทำกัน “โต๊ะนั้นกูจ่ายนะ ให้เด็กมันกินกันเต็มที่ไป” ว่าแล้วก็หันหลังเดินไป
ไอ้โอมแม่งยังไม่วายกวนตีนส่งท้าย ส่งเสียงตามหลังจนคนแถวนั้นได้ยินกันทั่ว “ได้ครับ ป๋าเรือสำราญ”
หลังจากสายธารแนะนำตัวผม และพูดคุยกันอยู่สักพัก ผมก็ตกผลึกทางความคิดได้แจ่มชัดว่าเพื่อนๆ ของสายธารแต่ละคนน่าจะเป็นสมาชิกสโมสรคนขี้โม้แน่นอน
โต๊ะเรารวมทั้งหมดแล้วก็มีอยู่หกคน มีผม สายธาร มิกกี้ กันดั้ม (อ่ะ หุ่นยนต์ก็มา) โตโตโร่ (การ์ตูนก็มี) และคนที่มาทีหลังชื่อเฟิร์ส ซึ่งไม่ต้องแนะนำตัวให้ยุ่งยากเพราะมิกกี้ทักทันทีที่เจอหน้าว่า
“เชี่ยเฟิร์ส มึงไม่มาตอนตีสองเลยล่ะ”
“กูซ้อมเมียอยู่ นี่ยังโมโหไม่หาย กูต้องจัดชุดใหญ่จนหลับคามือเลย แล้วค่อยออกมา” เฟิร์สโม้
“มึงวางยานอนหลับเมียมากกว่ามั้ง” กันดั้มพูด
“หรือไม่ก็กราบเมียครบร้อยแปดจบมากกว่า” โตโตโร่เสริมเข้าไปอีก
“ไม่หรอก” สายธารผสมโรง “จัดชุดใหญ่คือนวดแผนไทยต่างหาก”
“พวกมึงนี่แม่งรู้ดีกันจริงๆ”
ทุกคนหัวเราะครืน
ผมรอจังหวะให้เสียงหัวเราะขาดช่วง แล้วตัดสินใจถาม
“น้องชื่อโตโตโร่จริงดิ”
“ชื่อโตโต้ครับ แต่ไอ้พวกนี้เรียกโตโตโร่เพราะหุ่นผมมันให้”
“โตโต้ที่มาจากแบรนด์ผ้าห่มน่ะนะ”
“ช่าย”
ผมเลือกไม่ถูกเลยว่าชื่อไหนดีหรือแย่กว่ากัน สุดท้ายก็ได้แต่ทำเสียงขรึมๆ กลับไป “อืม”
ทุกคนหันกลับไปพูดคุยกันต่อ
สักพักแต่ละคนก็เริ่มดูมึนๆ กันแล้ว ยกเว้นผมที่ยังรักษาสติไว้ได้ครบถ้วน พลางสังเกตผู้คนที่อยู่รอบตัวไปด้วย
หัวข้อที่พวกเขาจริงจังกันสุดๆ คือเรื่องหน้าที่การงาน เพราะแต่ละคนเรียนจบแล้ว บทสนทนาเลยเป็นไปในทำนองนี้
“ตอนนี้มีบริษัทติดต่อมาสามที่ กูยังเลือกไม่ได้ ต่อไปกูไม่ต้องใช้น้ำหอมแล้ว”
“ทำไมวะ”
“ก็เนื้อหอมขนาดนี้”
“สัด แต่กูอ่ะ ปฏิเสธไปเลยสองที่ บริษัทก็ใหญ่โตนะมึง แต่ให้เงินเดือนเท่าหรรมหมา มันดูถูกสมองกูมากเกินไปแล้ว เลยไม่เอาแม่ง มึงล่ะมิกกี้”
“กูว่าจะต่อโทก่อน ขี้เกียจทำงาน”
“ป.โทคณะกามศาสตร์เหรอวะ อย่างมึงนี่ได้เกียรตินิยมแน่ ฮ่าๆๆ ที่กูปฏิเสธงานไปก็ว่าจะต่อโทเหมือนกันแหละ แล้วเฟิร์สอ่ะ”
“มันติดเมียขนาดนี้จะทำอะไรได้วะ”
“กูช่วยที่บ้านทำงานเว้ย เลิกแขวะกูเรื่องเมียสักที นี่ พวกมึงเปิดกะลาออกจากหัวแล้วถามคนที่เริ่มโกนหนวดมาก่อนดีกว่า เผื่อจะได้เจริญรอยตาม พี่ทำงานอะไรครับ”
“หืม? กูเหรอ” จู่ๆ หัวข้อนี้ก็วกมาที่ผม
“ครับ ถ้าบอกว่าเป็นนายแบบก็ไม่แปลกใจนะ”
“ไม่ได้ทำนะ ที่บ้านรวย ก็เลยใช้เงินไปวันๆ” ขอโม้บ้างดิ คุยภาษาเดียวกันไง
“โอ้”
“อ้อ”
“อ่า”
“โว้ว” โตโตโร่หันขวับ ราวกับสมองเพิ่งแปลความได้ “สุดยอด วันๆ ไม่ต้องทำอะไรนอกจากกินกับนอน ไอดอลเลย ผมอยากมีชีวิตแบบนี้”
โดน! นี่ผมโดนเด็กถอนหงอกไปแล้วใช่มั้ย
สายธารมองผมแล้วส่ายหน้า “เขาทำงานให้ตะ...”
“เคยทำ” ผมรีบพูดแทรก “เคยทำหลายอย่าง แต่เบื่อๆ เลยลาออกมาพักสักระยะ” ผมสอดมือไปบีบต้นขาเขาแรงๆ ส่งสายตาไม่ให้พูดอะไรต่อ
เขาไม่พูดอะไร สอดมือมาแกะมือผมออกแต่ผมแกล้งขืนไว้ นิ้วเราเลยทำสงครามกันนัวเนียอยู่ใต้โต๊ะ
“อ๋อ แล้วมึงอะธาร...เฮ้ย ไอ้ธาร ฟังอยู่ปะเนี่ย” เฟิร์สถามต่อ
“ว่าไง” สายธารเงยหน้าขึ้น ส่วนผมก็ปล่อยมือจากต้นขาเขาเพื่อไม่ให้เจ้าตัวแสดงสีหน้าพิรุธ
“เรื่องงานเป็นไง”
“ยังไม่ได้หา”
“อ้าว ตอนนั้นบอกจะหาไม่ใช่เหรอ แล้วช่วงนี้ทำไรวะ”
“ไม่ทำไร
“หรือจะต่อโทแบบไอ้สองตัวนี้”
“คิดอยู่”
บทสนทนาเริ่มสะดุด เหมือนกับว่าความหม่นหมองแผ่ออกมาจากตัวสายธาร และเริ่มโอบล้อมทุกคนไว้
“ช่วงนี้ธารกับพี่กำลังสนุกกัน” ผมพูดขึ้น ซึ่งก็ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน
ทุกคนหันมองผม
“พี่กับไอ้ธารแบบว่า...มาต๊ะแหน่วกันได้ไงครับ” โตโตโร่/โตโต้ถาม (ผมยังเลือกไม่ได้ว่าจะแทนเขาด้วยชื่อไหนดี)
“อะไรนะ”
“ก็แบบ...พาม ผ่าม พ้าม อ่ะ”
“พอเลยพวกมึง” สายธารพูดขัด “ไม่ได้เป็นอะไรกันเว้ย ไม่ใช่อย่างที่พวกมึงคิด”
“แค่นี้ทำเขินไปได้” ผมบีบไหล่สายธารเบาๆ แวบนึงผมเห็นตัวเองจัดปอยผมแถวๆ ข้างใบหูให้เขาด้วย มันบ้ามาก เราไม่ได้เป็นอะไรกันจริงๆ อย่างที่เขาว่า แถมเขายังเป็นผู้ชายด้วย “แต่ก็เข้าใจนะ หรือให้พี่เล่า”
“นี่คุณ...”
“ครับ” ผมยิ้มแบบที่นึกเอาว่าคนรักจะยิ้มให้กัน
“หุบปากไปเลย” เขาว่าแล้วยกแก้วเหล้าขึ้นกระดก
“เฮ้ย ได้ไง จั่วหัวมาขนาดนี้แล้ว” เฟิร์สโวย “เล่าเลยพี่”
“ใช่ เจอกันได้ไง” โตโตโร่/โตโต้สนับสนุน “แล้วก็บ๊ะละฮึ่มกันตั้งแต่เมื่อไหร่”
ผมเลยต้องด้นสด “ไม่มีอะไรมาก เจอกันแถวๆ ผับ เจอปุ๊บถูกชะตาปั๊บ ก็กระโดดเข้าไปกอดฟัดกันเลย”
“ตลกแล้ว” กันดั้มที่เงียบอยู่นานถึงกับสำลัก
“ผ่าม” โตโตโร่ทำเสียงเหมือนไม่เชื่อ (เอาเป็นว่า เรียกเขาแบบที่เพื่อนๆ เรียกละกัน)
“เอาดีๆ ดิ” เฟิร์สจี้
“พอดีว่าเมากันด้วย จากนั้นก็ไปต่อกันที่ห้อง”
มิกกี้มองสายธารที่เอาแต่ส่ายหน้าและจิบเหล้า “กูว่าแล้ว คืนนั้นมึงต้องเมาแน่ๆ ช่างมันเถอะ เฮ้ยเฟิร์ส ปิ๊ดๆ มั้ย”
“ไปดิ”
หลังจากสองคนนั้นเดินไปแล้ว ผมหันไปถามโตโตโร่ เพราะดูเหมือนเขาจะเชี่ยวชาญเรื่องศัพท์พิลึกๆ มากกว่าใคร “ปิ๊ดๆ นี่คืออะไร”
“ฉี่ไงพี่ ตอนสุดท้ายพี่ไม่เป็นเหรอ แบบตัวสั่นๆ อะปิ๊ดๆ อ่ะ”
“อ่อ”
ปรากฏว่าพวกเขาไม่ได้แค่ไปปิ๊ดๆ แต่กลับมาพร้อมกับเค้กเซอร์ไพรส์วันเกิด ว่าแล้วเชียว แต่คงไม่ร้องเพลงแฮปปี้เบิร์ธเดย์กันในนี้หรอกมั้ง
“อะแฮ่ม แฮปปี้เบิร์ธ เดย์ ทูยู...” โตโตโร่เปิดก่อนเพื่อนเลย ร้องเต็มเสียงด้วยเสียงต่ำๆ สูงๆ เหมือนหาคีย์ที่เหมาะไม่เจอ
คนอื่นๆ ร้องตามทันที แถมยังตบมือให้จังหวะด้วย
เอากับมันสิ
ผมไม่ตบมือด้วย แต่ก็ไม่ใช่เย็นชาขนาดที่จะเมินเฉย สุดท้ายเลยขยับปากงึมงำและดีดนิ้วแบบคูลๆ ตามน้ำไป เสียงเพลงในผับยังดังต่อเนื่องตามปกติ ผู้คนรอบข้างมองมาที่เรา บางคนยิ้มขำ บางคนทำหน้าขัดใจบอกให้รู้ว่าเสียงตบมือของเรากำลังคร่อมจังหวะเพลงของดีเจอยู่
ในที่สุดเพลงวันเกิดก็จบลงจนได้
“กูไปขอดีเจดีให้เปิดเพลงแล้ว แต่เขาไม่เล่นด้วยว่ะ” มิกกี้พูด
“ใครแคร์ ร้องเองก็ได้” โตโตโร่ว่า
“พวกมึงไม่เห็นต้องทำขนาดนี้เลย กูอายคน”
เห็นด้วย อย่าทำอะไรให้เป็นจุดเด่นดีกว่า
“เอาเถอะ” มิกกี้ตบไหล่เพื่อน “มึงอธิษฐานแล้วเป่าเทียนดิ”
สายธารนิ่งไป
เหมือนว่าจิตใจหลุดลอยไปช่วงสั้นๆ ก่อนเขาจะยอมเป่าเทียน แต่หลังจากนั้นก็ก้มหน้า ไหล่ลู่ลง มือลูบนาฬิกาข้อมือที่สวมอยู่ ไม่รู้ผมคิดไปเองหรือเปล่า ม่านอากาศกลับมาห่อคลุมตัวเขาอีกแล้ว เสียงเพลง เสียงผู้คน หรือแม้แต่อากาศบริสุทธิ์ก็อาจจะผ่านเข้าไปไม่ได้
ไม่ใช่แค่ผมที่สัมผัสได้ ทุกคนรอบโต๊ะก็เหมือนจะทำตัวไม่ถูก
“ดิ่งเหรอวะ” มิกกี้ถามเสียงเบา
‘ดิ่ง’ คำนี้แหละ ใช่เลย เขาดิ่งไปอยู่ในโลกส่วนตัวที่มีแต่ความหดหู่ซึมเซา
แรงบีบไหล่เบาๆ ของมิกกี้ดึงเขากลับมา แต่ความหดหู่ก็ติดตัวออกมาด้วย สายธารยกเหล้าซดรวดเดียวหมดแก้ว แล้วชงแบบเข้มๆ ให้ตัวเองต่อ คนอื่นๆ ได้แต่มองหน้ากัน พยายามทำตัวให้เป็นปกติ
ตอนนั้นเองที่ไอ้โอมเดินเข้ามา
“ไงป๋า เมายัง”
“ว่าไง”
“ขอยืมตัวป๋าแป๊บนะน้องๆ”
ไอ้โอมผงกหัวให้ผมตามไป พอผมตามมันไปถึงเคาน์เตอร์บาร์มันก็เอียงหน้ามาพูดให้ได้ยินกันแค่สองคน
“เผื่อมึงอยากรู้ มีวัวตัวนึงไม่ยอมให้ค้นตัว อ้างเส้นก๋วยจั๊บ”
“ไหน”
“ถัดจากโต๊ะมึงไปทางซ้ายสองโต๊ะ” ผมเป็นมืออาชีพพอที่จะไม่หันไปมอง “ผอม สูงไม่เกินร้อยเจ็ดสิบ ฮิปฮอป เสื้อตัวนอกสีน้ำตาลเข้ม”
“ฟังดูเหมือนมืออาชีพ”
“ดูเหมือนเด็กพ่อแม่ไม่สั่งสอนมากกว่ามั้ง อายุยังไม่เยอะนะ”
“อืม เส้นที่มันอ้างใหญ่จริงมั้ย”
“ไม่รู้หรอก เด็กกูปล่อยผ่านเพราะไม่อยากมีปัญหา”
“โอเค ขอบใจนะ”
“ยังไงก็อย่ามีเรื่องในนี้ละกัน”
“ไม่มีหรอก”
ผมหันหลัง เดินกลับมาที่โต๊ะพลางเหลือบตาสำรวจ เห็นแล้ว เด็กฮิปฮอป หน้าตามู่ทู่เหมือนหมาชิสุ เสื้อแจ็กเก็ตสีน้ำตาลตัวโคร่ง เสื้อที่อาจซ่อนมีดหรือปืนพกได้สบาย ยังบอกอะไรไม่ได้จริงๆ ทำได้แค่พยายามจดจำลักษณะหน้าตาเอาไว้
แก๊งของสายธารเมากันได้ที่แล้ว โตโตโร่กำลังโชว์สเต็ปโยกพุง ส่วนคนอื่นๆ กำลังหัวเราะตบมือเชียร์ ยกเว้นสายธารคนเดียวที่ตั้งหน้าตั้งตากรอกเหล้าเข้าปากแก้วต่อแก้ว
“เบาหน่อย” ผมปราม
“ยุ่ง”
“เดี๋ยวก็อ้วกใส่รถกูหรอก”
“ไม่ได้เมา” เขาชักสีหน้าทั้งที่ตาปรือ ศีรษะขยับโงนเงน “กลับไปเลย กลับเองได้”
“ช้าๆ เดี๋ยวสำลัก” ผมกดแขนเจ้าตัวที่กำลังจะยกแก้วเหล้าจ่อปาก
เขาปัดมือผมออก ยกดื่มเกือบหมดแก้ว แล้วชงต่อ
“ธาร”
“...”
“สายธาร”
“...”
“สังฆทาน”
“...”
เขาไม่ได้ยินผมแล้ว คงไม่ได้ยินกระทั่งเสียงรอบข้าง ความห่วงใยของผมแทรกซึมเข้าไปในโลกของเขาไม่ได้ ห่วงใยงั้นเหรอ? น่าแปลก ผมควรจะหงุดหงิดสิ มันน่าหงุดหงิดมั้ยที่ปล่อยให้เราพูดอยู่ฝ่ายเดียว แถมยังทำหน้าบูดเป็นตูดแบบนี้
แต่ผมก็ไม่รู้สึกแบบนั้น
และคำว่า ‘ห่วงใย’ ก็อาจเป็นคำสำเร็จรูปที่ด่วนสรุปเกินไป
มันเป็นความรู้สึกที่...อธิบายไม่ได้
ผมหันมาชงเหล้าให้ตัวเองบ้าง แต่ไม่หนักเกินไป ผมต้องขับรถ ที่สำคัญกว่านั้นคือต้องตื่นตัวเตรียมพร้อมเข้าไว้
เด็กฮิปมองมาทางนี้สามครั้งแล้ว แต่ก็พูดยาก เพราะมันก็มองทั่วไปหมดเหมือนมนุษย์ถ้ำที่กำลังตัดสินใจว่าจะใช้กระบองฟาดหัวมนุษย์เพศเมียคนไหนดี
มันหลุกหลิก
ล่อกแล่ก
และลื่นไหลในหมู่เพื่อนฝูง
จะนับเป็นข้อพิรุธก็ได้ จะบอกว่าเป็นลักษณะทั่วไปของวัยรุ่นฮอร์โมนพลุ่งพล่านก็ไม่ผิด
โตโตโร่หยุดโชว์สเต็ปแล้ว ทุกคนนั่งลงและชงเหล้าแจกจ่ายกัน ผมละสายตาจากเด็กฮิปเพื่อไม่ให้ตัวเองแสดงพิรุธบ้าง ส่วนสายธารทำท่าจะนั่งหลับไปแล้ว แต่จู่ๆ เขาก็ลุกขึ้นทำเอาเซเกือบล้ม ผมรีบคว้าแขนเขาไว้
คนอื่นๆ หันมาแซวเราสองคนทันที
แซวสายธารว่าคออ่อน
และแซวผมว่าหวงเมีย แรงนะเนี่ย แต่ผมไม่ถือสาเด็กปากมอมที่กำลังเมาหรอก
“ปล่อย จะฉี่” สายธารสะบัดมือผมออก
“ไหวปะวะ ไอ้ธาร” มิกกี้พูด “ไป เดี๋ยวกูพาไป”
“ไม่ต้อง” ผมบอก แปลกใจตัวเองเหมือนกันที่พูดสวนเร็วขนาดนั้น ผมก็เลยฉีกยิ้มกลบเกลื่อน ปั้นเสียงนุ่มๆ พูดต่อ “เรื่องแค่นี้ คู่ขาจัดการได้ มึงสนุกต่อเถอะ”
“อย่าบอกว่าจะไปทำอะไรทุเรศๆ ในนั้น”
“หึ”
ผมฉีกยิ้มให้มิกกี้ พยุงกึ่งฉุดสายธารตรงไปยังห้องน้ำ เสร็จจากนี้ก็ต้องกลับกันแล้ว แน่นอนว่า เหตุผลคือไม่ใช่เพื่อกลับไปทำอะไรทุเรศๆ แต่เป็นเพราะในผับนี้มีคนไม่ยอมให้ค้นตัวปะปนอยู่
ในห้องน้ำมีหนุ่มที่ดูท่าทางเมากรึ่มๆ อยู่คนเดียว เขาล้างมืออยู่ตอนเราเปิดประตูเข้าไป แล้วพอหมุนตัวเดินออกไปผมก็เห็นว่าเขาไม่ได้รูดซิปด้วย แต่นั่นไม่ใช่ธุระกงการอะไรของผม
ธุระสำคัญตอนนี้คือ ช่วยให้สายธารฉี่ได้ตลอดรอดฝั่ง
ซึ่งดูไม่น่าจะง่าย
ผมดันตัวเขาเข้าไปยืนชิดโถฉี่ “จัดการซะ เร็วด้วย ในนี้กลิ่นไม่ได้เหมือนทุ่งลาเวนเดอร์นะเว้ย” สายธารยืนโงนเงน ทำท่าจะหลับ ผมเลยตบไหล่เขาแรงๆ “บอกให้เร็วๆ ไง”
“อะไร”
“ฉี่ไง ปิ๊ดๆ อ่ะ ต้องให้กูช่วยควักไอ้นั่นของมึงออกมาเลยมั้ย”
“อือ ช่วย...”
“ฝันไปเถอะ” ผมบอกทันที
“ช่วย...ออกไป ห่างๆ”
“กูปล่อย เดี๋ยวแม่งก็ล้มหัวฟาด นั่นไง จะหลับอีก” คราวนี้ผมเขย่าตัว ตามด้วยขยี้หัวเขาแรงๆ “สายธาร-ฉี่-ได้-แล้ว! เดี๋ยวนี้!”
“อืม”
ในที่สุดเขาก็จดจำวิธีรูดซิปจนได้ ผมเบือนหน้าไปทางอื่นแต่ยังจับไหล่เขาไว้ ฟังจากเสียงสายน้ำที่กระทบโถฉี่แล้วไม่น่าจะราบรื่นเท่าไหร่ “ยืนนิ่งๆ สิ อย่าส่ายเอว” ผมใช้มืออีกข้างจับเอวเขาไว้ บังคับให้ตัวเขานิ่งที่สุด ถ้าใครมาเห็นสภาพของเราเข้าตอนนี้ คงคิดเลยเถิดไปไหนต่อไหนแน่ๆ “ทีนี้ก็ฉี่ไป เร็วๆ”
“ฉี่”
“เออ...เสร็จยัง” ผมรอ เสียงน้ำเบาลงแล้ว “ปิ๊ดๆ ด้วย”
ร่างกายเขาปิ๊ดๆ โดยอัตโนมัติ
“รูดซิปด้วย...เรียบร้อยยัง”
“อืม”
“ไปล้างมือ”
ผมดันตัวเขามาที่อ่างล้างมือ ดูสภาพแล้วคงต้องใช้สบู่ด้วย แต่สายธารดูเหมือนจะกลับเข้าโหมดสัปหงกอีกแล้ว ผมเลยกดสบู่เหลวมาจับมือเขาล้างให้ซะเลย เหมือนเลี้ยงเด็กอนุบาลเลยนะเนี่ย
ยังไม่ทันฟอกสบู่เสร็จ ตอนนั้นเองเด็กฮิปฮอปผู้ที่อาจจะเป็นนักฆ่าหรือคนสอดแนมหาข่าวก็เปิดประตูเข้ามา
สองมือซุกอยู่ในกระเป๋าเสื้อตัวนอก สายตาเรียบนิ่งเหลือบมองมาที่เรา
ผมรีบดันตัวสายธารติดผนัง สวมบทหื่นทำท่าประคองหน้าจูบเหมือนละครหลังข่าว โดยเว้นระยะริมฝีปากไว้นิดๆ และเบี่ยงศีรษะเพื่อบังใบหน้าสายธารไว้
“พี่พาล” สายธารเพ้อ
“ชู่วว” ผมเป่าลมผ่านปาก ก้มหน้าลงนิดๆ ทำให้ลมหายใจร้อนๆ ที่เกิดจากความตื่นเต้นรดต้นคอเขา
“พี่...”
“อื้อ”
เด็กฮิปทำเสียงสำลักในลำคอ และขยับตัว
ความรู้สึกเสียววาบแล่นผ่านไขสันหลังผม พลาดแล้ว! มุกแกล้งนัวเนียนี่เป็นไอเดียที่ห่วยโคตรๆ เพราะตอนนี้ผมหันหลังให้ศัตรูอยู่ ไอ้หมอนี่สามารถยิงหรือแทงผมได้สบายๆ เลย
พลาด! พลาด! พลาด! ___________________________
วันนี้มีสำนักพิมพ์ติดต่อมาด้วยค่ะว่าสนใจเรื่องนี้ ตื่นเต้นดีใจ ^ ^
แอบตกใจอยู่เหมือนกันค่ะ เพราะว่าคนอ่านไม่เยอะมาก ไม่คิดว่าจะมีสำนักพิมพ์มาสนใจ
มีกำลังใจมากๆ เลยค่ะ ขอบคุณนะคะ
ขอบคุณทุกคนที่คอมเม้นต์มากๆ นะคะ T__T
เป็นสิ่งเดียวที่ทำให้เราอยากลงให้อ่านทุกวันเลยค่ะ
ไม่ว่าจะอ่านกันกี่คนก็ตาม เราก็จะลงให้จนจบนะคะ ไม่ต้องกลัวเทครับป๋ม ^ ^
หวังว่าจะรักพี่เรือใบกันเยอะๆ เยย
ตอนนี้เจอแต่คนเรียกอิพี่เรือ หรือเราควรจะตั้งแท็ก #อิพี่เรือ ขึ้นมากันดี #ขำแห้ง 5 5 5
แอบอยากรู้เหมือนกันว่ามีคนที่อ่านอยู่แล้วไม่เคยแสดงตัวเลยมั้ยคะ
ถ้ามีคอมเม้นต์บอกกันได้นะฮะ ขอบคุณมากๆ เยย ^ ^
เจอกันวันพรุ่งนี้นะฮับ ไม่รอวันอังคารละค่ะ อยากให้อ่านบทต่อไปกันไวๆ ฮ่าๆ
นางร้าย 4.05.18