⛵____ร.เรือ ร.รัก ร.ฤกษ์____⛵ [อัพตอนพิเศษ 2] ร.รุก ร.รับ ร.รูม 06.05.19| P.9
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ⛵____ร.เรือ ร.รัก ร.ฤกษ์____⛵ [อัพตอนพิเศษ 2] ร.รุก ร.รับ ร.รูม 06.05.19| P.9  (อ่าน 71334 ครั้ง)

ออฟไลน์ suck_love

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 780
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +34/-1
พี่เรือใบก้แค่คนซึนๆ  :hao7:

ออฟไลน์ tungz

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 7
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
คิดถึงจังงง

ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
กระสุนนัดที่ 17
ร.ร่ม



[สายธาร]

ถึงจะแปรงฟันดีแค่ไหนก็ยังรู้สึกถึงรสเหล้าบ้าๆ นั่นอยู่ มันน่าจะเป็นรสแบบหลอนๆ มากกว่า คิดถึงทีไรกลิ่นและรสของมันก็เหมือนจะย้อนเข้ามาเอ่ออยู่ในปากทุกที

ที่น่าหงุดหงิดกว่านั้นคือ ผมห้ามความคิดไม่ได้

ตอนเช้าเขาดูจะสงสัยว่าทำไมผมแปรงฟันนาน เกือบจะหลุดปากไปแล้ว โชคดีที่เขาไม่เซ้าซี้ต่อ หวังว่าเขาจะเมาจนจำห้าวินาทีนั้นไม่ได้นะ ขอให้เขาเข้าใจว่าเป็นแค่ความฝันทีเถอะ

“มีลูกชิ้นปิ้งขายด้วยแถวนี้ด้วยแฮะ อยากกินมั้ย” เรือใบถามตอนจะเลี้ยวรถตรงหน้าคอนโด

“ไม่”

“โอเค” เขาหยุดมองซ้ายขวาอยู่อึดใจ ก่อนจะขับออกถนนเส้นหลัก

หลังจากนั้นเราก็นั่งเงียบกันอยู่นาน ไม่ใช่ความเงียบน่าอึดอัด ดูเขาออกจะอารมณ์ดีด้วยซ้ำ ส่วนผมก็กำลังวุ่นวายอยู่แต่กับความคิดตัวเอง

เล่าเรื่องผู้ชายที่มุมสูบบุหรี่เมื่อคืนนี้ให้เขาฟังดีมั้ยนะ 

ผมไม่ชอบความคิดที่ว่าเขาต้องคอยมาดูแลปกป้องเอาซะเลย มันทำให้รู้สึกเหมือนผมยังเป็นเด็กตัวเล็กๆ ที่ดูแลตัวเองไม่ได้

แต่ถ้าเล่าแล้วเขาไม่ใส่ใจ มันก็จะเป็นความรู้สึกแย่อีกแบบ กลายเป็นว่าจะดูเหมือนผมขอร้องให้เขามาปกป้อง

“คิดอะไรอยู่”

“เปล่า”

“เห็นๆ อยู่ว่าคิด หน้าเหม่อขนาดนี้”

“ยุ่งไรด้วย”

“ก็เผื่อคิดไรเกี่ยวกับกู”

“ไม่เกี่ยวกับคุณ”

“แน่เหรอ”

“เลิกเซ้าซี้ได้มั้ย”

“ทำไม”

“ขี้เกียจตอบ”

“ปากเป็นไร เดี๋ยวแกะเดี๋ยวลูบอยู่ได้”

“ยุ่งจริงๆ ปากผม ผมจะทำอะไรก็ได้”

เขาหันมายิ้ม ยิ้มเหมือนว่ากำลังนึกสนุกกับความคิดสักอย่าง “หึ”

เราเงียบกันไป

สักพักเขาก็พูดขึ้น “เมื่อคืนนี้น่ะ...”

ไม่นะ! ขอทีเหอะ อย่าพูดถึงมัน แค่คิดรสเหล้าก็เอ่อล้นขึ้นมาในปากอีกแล้ว

“ไอ้โอมแบกกูมาส่งใช่มั้ย”

“อื้ม”

“แล้วไงอีก”

“แล้วเขาก็กลับไป”

“ไงอีก”

“เลิกถามสักทีได้ป่ะ”

“ตอบจนกูเลิกสงสัย กูก็เลิกถามเองแหละ”

“คุณจำอะไรไม่ได้เลยงั้นสิ”

“จำได้บางอย่าง”

“...”

“กูมานอนบนโซฟาได้ไง”

“ก็พี่โอมทิ้งคุณไว้ตรงนั้น”

“แล้วมึงนอนไหน”

นี่คือปัญหา ผมไม่นอนบนเตียงเขาแน่ๆ ถ้าเกิดเขาดันตื่นก่อนและมาเห็นคงเซ้าซี้จนผมหูชาแน่ ไหนจะต้องทนฟังคำทับถมต่างๆ นานาอีก

“ผมก็ถีบคุณลงไปนอนที่พื้น แล้วผมก็นอนบนโซฟาแทน พอผมตื่นตอนเช้าคุณก็งัวเงียคลานกลับขึ้นไปบนโซฟาเอง” ความจริงคือผมเอาผ้าห่มมาปูนอนบนพื้น ส่วนเขาก็นอนอยู่บนโซฟานั่นแหละ โชคดีที่ผมตื่นก่อน

“ทำไมมึงไม่ไปนอนในห้อง”

หือ? ไม่ด่าเหรอ ไม่ประชดด้วย

“คุณจะได้ไม่ต้องถูกถีบไปนอนบนพื้นอ่ะนะ”

“มึงจะได้นอนสบายๆ” น้ำเสียงเขาเรียบและนุ่ม “วันหลังไปนอนในห้องด้วยกันก็ได้ หรือจะให้กูนอนโซฟาแทนก็ได้ มึงเลือก”

“ไม่อ่ะ แบบเดิมดีอยู่แล้ว”

“โซฟาไม่เหี้ยเหรอวะ กูนอนแป๊บเดียวยังปวดหลังชิบหาย”

“ผมชอบแบบนี้”

“จริงดิ มึงชอบงั้นเหรอ”

นี่เขาจะมาไม้ไหนวะ

“ถึงยังไง ผมก็ไม่ได้อยู่นี่ตลอดไปอยู่แล้ว”

เขาเหลือบมองผมแวบนึง “กูรู้”

ผมเงียบ เพราะไม่รู้จะพูดอะไร

“กูขอโทษละกัน เรื่องนั้นน่ะ”

เอาละไง!

“อะ...อะไร ช่างมันเถอะ คุณไม่รู้สึกตัว”

“กูรู้ตัวสิ”

“...”

“ก็แกล้งล้อมึงขนาดนั้น ไหนจะพูดเหยียดพวกเกย์อีก”

อ้อ ไม่ใช่เรื่องจูบ โล่งไปที

“ช่างมันเถอะ”

“ดีกันแล้วนะ”

“อืม”

“เอาดีๆ ชัวร์เปล่า”

“อือ ดี เลิกพูดสักทีเหอะ ขี้เกียจฟัง”

เขายิ้ม เป็นรอยยิ้มที่เหมือนจะทำให้อุณหภูมิภายในรถอุ่นขึ้นได้ “งั้นฟังเพลงมั้ย”

“ไม่”

“ให้มึงเลือก ฟังแนวไหน”

“คุณอยากฟังอะไรก็เปิดๆ ไปเหอะ ไม่ต้องถามผม”

“ถ้ามึงไม่อยาก กูก็ไม่ฟัง”

“...”

“อยู่เงียบๆ ก็ดีเหมือนกัน”

เราเลยอยู่กันเงียบๆ ไปจนถึงห้างฯ ที่จะช้อปปิ้ง เรือใบดูแปลกไป ไม่ถึงกับเปลี่ยนเป็นคนละคน แต่เป็นเวอร์ชั่นที่...เหมือนถูกลบคำหยาบบางส่วนออกจากสมอง เขาไม่แซะ ไม่บ่น ไม่รำคาญสิ่งรอบข้าง สีหน้าค่อนข้างเรียบเฉยเหมือนครุ่นคิด บางครั้งก็เผลอยิ้มด้วย

เป็นครั้งแรกที่เรากินข้าวนอกบ้านกัน เขาสั่งกับข้าวเยอะแยะจนแทบล้นโต๊ะ และไม่ต้องสังเกตก็เห็นว่าเขาไม่ค่อยแตะเมนูเผ็ดๆ สักเท่าไหร่

“ดูหนังมั้ย” เขาถามหลังจากกินข้าวเสร็จ

“ไม่ดีกว่า”

“ทำไม”

กินข้าวดูหนัง มันฟังดูเหมือนคนมาเดตกันไปมั้ย

“ขี้เกียจนั่งนาน”

“งั้นไปเดินช้อป”

เขาลากผมเข้าไปแผนกเสื้อผ้า หยิบชุดโน้นชุดนี้มาทาบตัวผมก่อนหย่อนลงตะกร้า ผมไม่ขัดอะไร ได้แต่นึกในใจว่าเรือใบเวอร์ชั่นนี้ตลกดี ถ้าจะเอาชุดมาทาบแค่เสี้ยววินาทีแบบนี้สุ่มหยิบเอาเลยก็ได้มั้ง ที่น่าตลกกว่านั้นคือเขาเลือกเองไปสิบกว่าชุดแล้วค่อยหันมาถามผมว่า

“มึงชอบตัวไหนอีก” 

“ไม่มี” ผมบอก

“เลือกเลย”

“ซื้ออะไรเยอะแยะ”

“กูจ่าย” เขาว่า “ไอ้พวกนี้กูเลือกเพราะอยากเห็นมึงใส่ ทีนี้มึงก็เลือกที่อยากใส่เอง เอาสิ”

“พะ...พอแล้ว ผมไม่ได้จะอยู่กับคุณนานอะไร แล้วก็ไม่ต้องจ่ายให้ผมด้วย”

“กูจะจ่าย เพราะกูเลือก”

“เออๆ ตามใจ แต่เอาแค่นี้ก็พอแล้วจริงๆ”

ผมหลุบสายตาลง ทำไมเมื่อกี้ต้องพูดตะกุกตะกักด้วยนะ

“โอเค ทีนี้ก็ของกิน มึงอย่าลืมของที่ใช้จะทำท่อนแยมล่ะ”

หลังจ่ายเงินค่าเสื้อผ้าเสร็จเราก็มากันที่ซูเปอร์ฯ ด้านล่าง

ระหว่างที่ดูผลไม้อยู่ไม่รู้ว่าเขาหายไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ผมเดินย้อนกลับไปตามหากะจะถามว่าอยากได้แอปเปิลรึเปล่า ก็เห็นว่าเขายืนหันหลังหลบมุมอยู่แถวๆ ชั้นกาแฟ กำลังคุยโทรศัพท์ด้วยน้ำเสียงกระซิบกระซาบ แต่ก็ดังพอให้ได้ยินประโยคที่เขาพูด

“...ถ้ามันยังอยู่ต่อ เดี๋ยวจะล่อให้ยับเลย...”

ผมรีบหันหลังเดินหลบไปอีกทาง สัญชาตญาณบอกว่าเขาพูดถึงผมแน่ๆ

อยู่ที่ว่าคำว่า ‘ล่อ’ ในที่นี้หมายถึงอะไรแค่นั้นเอง



ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
กระสุนนัดที่ 18
ร.รับปาก



[เรือใบ]

[ฮัลโหล เรือ เป็นไงมั่ง]

“ก็ดี กินอิ่ม นอนหลับ ฉี่สะดวก”

[พยานล่ะ สายธารน่ะ โอเคมั้ย]

“นอนหลับกินอิ่ม แต่ฉี่ปกติมั้ยไม่รู้ ไม่ได้ตามไปดู”

[ฟังดูอารมณ์ดีนะ]

“อยากอารมณ์ดีบ้างก็ลาออกดิเฮีย”

[ยังไม่ได้น่ะสิ เออ เรื่องที่จะให้หาคนมาดูแล...]

“ไม่ต้องละ ผมดูต่อ”

[ให้มันได้งี้สิ! เฮียจะบอกว่าหาคนไม่ได้อยู่พอดี เรืออยู่กับน้องแหละดีแล้ว ว่าแต่ก่อนหน้านี้เกิดอะไรขึ้นล่ะ ติดขัดอะไรหรือเปล่า”

“ติดเรื่องเดียว ที่เฮียส่งลูกน้องมาเฝ้านี่แหละ”

[อ่าว...โดนจับได้ซะแล้ว]

“ขายลูกชิ้นปิ้งตอนสิบโมงเนี่ยนะ ไม่เนียนเอาซะเลย แถมยังควักมือถือขึ้นมาถ่ายทะเบียนรถผมอีก”

[เฮียไม่ได้กำกับถึงขนาดให้มันปลอมตัวเป็นอะไร แค่ให้ไปเฝ้าเฉยๆ อาจจะช่วยเมียขายอะไรจุกจิกแถวนั้นละมั้ง]

“ไม่ต้องแล้ว แค่เด็กคนเดียว ผมเอาอยู่”

“เอาเด็กอยู่...อะไรนะ พูดดังหน่อยเถอะ ทำไมต้องกระซิบ นี่อยู่ไหน”

“เอาอยู่น่ะ! เอาอยู่ หมายถึงจัดการได้ ไม่มีปัญหา”

[อ๋อ แต่เผื่อไว้หน่อยดีกว่ามั้ย]

“ไม่เอา”

[แต่...]

“ถ้ามันยังอยู่ต่อ เดี๋ยวจะล่อให้ยับเลย”

[ขนาดนั้นเลย]

“ผมไม่ชอบให้ใครมาตามดูวุ่นวาย เข้าใจมั้ย”

[เข้าใจๆ]

“ไม่ต้องห่วงหรอก ใครเสนอหน้าแปลกๆ เข้ามาใกล้เดี๋ยวยิงไส้แตก จำไม่ได้รึไง คะแนนยิงปืนของผมที่หนึ่งของรุ่น มีไรอีกมั้ย เดี๋ยวไปช้อปต่อแล้ว”

[งั้นถ้ามีอะไรไม่ชอบมาพากลต้องรายงานเฮียตลอดนะ แล้วก็เอารถคันใหม่ไปใช้ เดี๋ยวว่างๆ เฮียเอาไปเปลี่ยนให้ แต่ทางที่ดีระหว่างนี้อย่าออกไปไหนมาไหนดีกว่า]

“ได้ครับท่าน”


ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
กระสุนนัดที่ 19
ร.รู้



[สายธาร]

“ทำไรวะ หอมว่ะ” เรือใบขยับเข้ามาชะเง้อจากด้านหลังผม

“แกงเขียวหวาน”

“ทำเป็นเหรอ แม่ศรีเรือนเว้ยเฮ้ย”

“เดี๋ยวนี้เขามีเครื่องปรุงเป็นซองขาย นี่ซื้อมาลองดู”

“แล้วไอ้พวกนั้นล่ะ”

“เดี๋ยวทำไข่เจียว ผักบุ้งไฟแดง แล้วก็จะเอาแกงจืดเต้าหูด้วยมั้ยล่ะ”

“เอา ใส่แม่งเยอะๆ เลยเต้าหู้เนี่ย”

“ไม่มีของเผ็ดๆ แบบที่คุณชอบนะ” ผมแกล้งตีหน้าซื่อ

“ไม่เป็นไร กินไรที่มันอ่อนโยนกับลิ้นบ้าง ว่าแต่ทำเป็นแน่เหรอวะ”

“อาหารง่ายๆ ทั้งนั้น เด็กหอที่ไหนก็ทำได้”

“ทำท่อนแยมด้วยได้มะ”

“นี่เยอะแล้ว ไว้เป็นของว่างตอนกลางวันละกัน”

“ก็ได้” เสียงเขาดูผิดหวังเหมือนเด็กๆ “ส่วนตอนเย็นไปหาของกินที่อะเวนิวกัน อยู่แค่ตรงนี้ เดินไปได้”

“ไม่เป็นไร ตอนเย็นผม...” ผมไม่ได้ตั้งใจจะเว้นจังหวะ แต่น้ำเสียงมันก็ขาดห้วงไปเอง “จะกลับหอแล้ว”

“กลับหออะไรของมึง”

“ก็กลับหอไง ผมอยู่กับคุณตลอดไปไม่ได้หรอก จริงมั้ย” ผมก้มลงคนแกงเขียวหวานในหม้อ ก่อนจะเด็ดผักบุ้งเพิ่มอีกทั้งที่เด็ดไว้ในจานก่อนหน้านี้เรียบร้อยแล้ว ไม่รู้ทำไมถึงอยากทำตัวให้ยุ่งเข้าไว้

“มึงอยู่กับกูมานานแค่ไหนละ” เรือใบขยับเข้ามาจนเกือบชิดข้างหลังผม

“เกือบๆ เดือน...มั้ง”

“แค่เกือบเดือน”

“ป่านนี้ไอ้มิกยึดห้องผมเป็นโรงแรมม่านรูดไปแล้ว คุณไปนั่งรอดีกว่า เกะกะ”

“กูไม่ให้มึงไป”

“นึกว่าคุณไม่อยากให้ผมอยู่ที่นี่ซะอีก”

“ใครบอกล่ะ”

ที่คุณพูดในโทรศัพท์นั่นไง ถ้ามันยังอยู่ เดี๋ยวจะล่อให้ยับเลย พูดเหมือนท้าทายอวดเพื่อนว่า ถ้าผมยังอยู่จะเล่นงานผมให้หนัก พูดเหมือนอยากให้ผมไป

“ก็จริงมั้ยล่ะ”

“กูต้องดูแลมึงระหว่างที่ยังจับคนร้ายไม่ได้ แล้วก็ไม่มีกำหนดด้วย” เขาพูดเสียงหนักแน่นราวกับย้ำเตือนหน้าที่ตัวเอง

“อีกกี่ปีจะจับได้ ตำรวจอ่ะ”

“มึงนี่ท่าจะเกลียดตำรวจจังนะ”

ผมถอนหายใจแล้วตัดบทง่ายๆ “ผมโตแล้ว ดูแลตัวเองได้”

“แต่กูจะดูแลมึงไง จบนะ” เขาผละออกไปนั่งที่โซฟา ผมหันไปมองและเห็นว่าเขากำลังยกมือถือขึ้นแนบหู “มิกกี้...เออ สบายดี กูจะบอกว่าธารจะอยู่กับกูอีกพักใหญ่ๆ อีกนานเลยแหละ มึงไปนอนห้องธารได้ หรือจะเอาทำโรงแรมม่านรูดอะไรก็ได้...เออ ธารไม่กล้าบอกเอง คงเขินมั้ง แค่นี้แหละ”

ผมชักสีหน้าใส่เขา “คุณไปพูดอย่างนั้นได้ไง”

“ก็พูดไปแล้ว”

“เผด็จการ”

“ทำกับข้าวไป กูหิวแล้ว”

ผมส่ายหน้าเบาๆ แล้วรีบหันกลับมาเด็ดผักต่อ ต้องรีบหันหน้าหนีเพราะรู้สึกมุมปากของผมทำท่าจะยกยิ้มเองโดยที่ห้ามยังไงก็ไม่อยู่



สัญญาณอันตรายส่วนใหญ่มักจะเตือนเราด้วยเสียงหวีดดังลั่น

แต่บางครั้ง มันเตือนอย่างแผ่วเบาราวกับไม่เต็มใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องที่ผมยังอยู่ที่นี่ เรื่องอยากลุกขึ้นมาทำอาหารให้เขา รวมถึงรอยยิ้มเล็กๆ ที่กลั้นไม่อยู่จนผมต้องรีบหันหน้าหลบไปทางอื่น แต่ละอย่างเป็นเหมือนเข็มหมุดที่ปักลงบนแผนที่ความสัมพันธ์ประหลาดๆ ของเรา

พอรู้ตัวอีกทีเข็มหมุดพวกนั้นก็รุกคืบเข้ามาใกล้ใจกลางแผนที่แล้ว

อันตราย

อันตรายมากด้วย

พี่อยู่นี่ ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นพี่ก็อยู่นี่ เสียงพี่ภาณในหัวผมฟังดูแปลกไป น้ำเสียงดูเคลือบแคลงหวั่นไหวแต่ยังฝืนยิ้ม

น้ำเสียงที่ดึงดูดผมเข้าหาหลุมดำ

ตอนที่ผมอยู่กับพี่ภาณ เสียงและรอยยิ้มของเขาแทบจะเหมือนแสงอาทิตย์ในชีวิตผม มันทั้งเจิดจ้า อบอุ่น และมีชีวิตชีวา เขาหัวเราะได้กับทุกเรื่อง และทำให้ผมหัวเราะได้โดยแทบไม่ต้องทำอะไร แต่หลังจากเขาไปแล้ว สมองของผมมักจะบิดเบือนเสียงของเขาไปในแบบที่น่าหดหู่เสมอ

แต่ในวันนี้เสียงพี่ภาณฟังดูเหมือนน้อยใจโดยที่สมองของผมไม่ได้ดัดแปลงมัน

“เฮ้ย”

“...”

“ธาร สายธาร...”

ผมเงยขึ้น “อะไร” ขณะนี้เราอยู่ในร้านอาหารญี่ปุ่นที่อะเวนิวใกล้คอนโด และพนักงานกำลังทยอยนำอาหารมาเสิร์ฟ

“เมื่อกี้สาวโต๊ะทางซ้ายยิ้มให้มึง ตาเยิ้มเชียว”

ที่โต๊ะทางซ้ายมีผู้หญิงหน้าตาน่ารักสองคนนั่งกินซูชิกันอยู่จริง คนนึงยกถ้วยซุปมิโซะขึ้นซดเบาๆ อีกคนจีบปากจีบคอค่อยๆ คีบซูชิเข้าปาก

“ไม่มั้ง”

“เออ ไม่หรอก ที่จริงยิ้มให้กูต่างหาก”

“ก็ดีนี่”

เขายักไหล่ “กูไม่สนใจ”

“ทำไมล่ะ ไม่ใช่สเป๊ก?”

“เพราะตอนนี้มีเรื่องที่กูสนใจมากกว่า”

“...”

“ข้าวหน้าหมูซีอิ๊วนี่ก็อย่างนึงละ”

“...”

“อีกอย่าง” เขายกศอกขึ้นค้ำโต๊ะพร้อมกับมองหน้าผม ตะเกียบในมือจ่ออยู่เหนือถ้วยแบบสบายๆ วิธีจับตะเกียบของเขาก็ดูปกติธรรมดา แต่ไม่รู้ทำไมนิ้วเรียวยาวกับองศาตะเกียบนั้นดูลงตัวราวกับงานศิลปะจนดึงสายตาผมให้มองนิ่ง “กูอยากรู้ว่า ทำไมมึงชอบทำหน้าเศร้า”

“อะไร”

“มึงชอบเหม่อ แล้วก็เศร้า เป็นห่าไรมากป่ะชีวิตอ่ะ”

“ผมเปล่า”

เรือใบนิ่ง แล้วก็ถอนหายใจ “มึงเป็น มีอะไรเล่าได้นะ” น้ำเสียงเขาเปลี่ยนเป็นทุ้มลึก ดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นมาอย่างประหลาด เขาทำลายงานศิลปะที่ผมจ้องอยู่ด้วยการวางตะเกียบลงแล้วหันไปยกชาเขียวขึ้นจิบ จากนั้นท่าทางก็กลับไปกวนๆ เหมือนเดิม “แต่ถ้าไม่อยากเล่า ก็แล้วแต่”

“คุณเคยเสียคนรักไปมั้ย”

“อ้อ เรื่องนี้เอง”

“ถ้าคุณไม่เคย เล่าไปก็ไม่เข้าใจหรอก”

“กูว่ากูเข้าใจไปถึงทรวงเลยต่างหาก”

“แสดงว่าเคย...” ผมเลิกคิ้วเป็นเชิงถาม

“หึ”

“งั้นคุณเล่าเรื่องของคุณก่อนสิ แล้วผมจะเล่า”

ใบหน้าเขาพลันเรียบเฉยราวกับรูปปั้น ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคล้ายจะมองลึกเข้าไปในมิติที่ผมไม่รู้จัก แต่ก็ชั่วครู่เดียวเท่านั้นก่อนเขาจะพูดชัดถ้อยชัดคำ “ไม่”

“งั้นผมก็ไม่เล่า”

“ได้”

“งั้นก็อย่าถามอีก”

“ได้เลย”

กลายเป็นว่าเราสลับบทบาทกันซะงั้น เขาไม่อยากเล่า ส่วนผมดันอยากรู้ ก็เล่นเปิดมาแบบนี้ใครจะไม่อยากรู้ต่อล่ะ แต่อย่างผมคงไม่มีปัญญาสรรหาอะไรมาง้างปากเขาได้

ผมก้มลงกินข้าวของตัวเอง

ผ่านไปสักพักก็อดถามอีกไม่ได้ “ถ้าคุณเคยเสียคนรักไปจริง ทำไมดูไม่เศร้าล่ะ”

เรือใบยิ้ม แล้วคีบหมูซีอิ๊วของเขาวางลงบนชามผม

“แดกไป แล้วก็อย่าถามอีก”
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 07-07-2018 17:21:04 โดย นางร้าย »

ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
กระสุนนัดที่ 20
ร.ราวกับ



[เรือใบ]

[ไงป๋า] โอมรับสายรวดเร็ว

“เออ”

[ว่าไง มีไร]

“คืนนี้แมนยูจะชนะป่ะ”

[มึงดูบอลด้วยเหรอ]

“กูไม่ได้ตาบอด”

[ถ้ามึงดูคงไม่ถามงี้หรอก]

“ทำไม”

[คืนนี้แมนยูเตะซะที่ไหน]

“อ่อ งั้นก็แล้วไป”

[ไม่แล้วไปหรอกมั้ง ไม่ต้องฟอร์ม มีอะไรก็ว่ามา...เฮ้ย มาชงแทนดิ๊ พี่คุยกับเพื่อนแป๊บ]

“...”

[ต่อๆ]

“นี่มึงสะดวกคุยเปล่า”

[คุยได้ เรื่องเด็กนั่นใช่มะ]

“เด็กไร กูแค่เบื่อๆ แล้วก็อยากกลับมาดูบอล”

[มึงข้ามเส้นบ้าบอนั่นยัง]

“...”

[ขนาดนี้ยังจะแอ๊บอีก ถ้าอยากดูบอลแม่งก็ถามอากู๋ง่ายกว่ามะ...]

“ยัง”

[ยังอะไร]

“ยังไม่ได้ข้ามเส้น กู...”

[นั่นไง! ไม่ฟันดาบให้มันรู้แล้วรู้รอดวะ]

“มึงนี่มัน...ช่างเถอะ แค่นี้นะ”

[อ้าว เดี๋ยวสิ...]

 

คุณเคยเสียคนรักไปมั้ยบ[/i]

คำถามนี้แทงเข้าไปอกผมเหมือนมีคมๆ แผลที่คิดว่าหายดีแล้วปริแยกอีกครั้ง ความร่าเริง ความกวนตีน และไม่แคร์โลก เหล่านี้คงจะเป็นเนื้อเยื่อที่ตัวตนผมสร้างขึ้นมาพอกแผลเอาไว้ จนมันกลายเป็นแผลเป็นนูนเด่นเห็นได้ชัด

แต่ลึกลงไปใต้แผลนั้นยังอักเสบอยู่

ถ้าคุณเคยเสียคนรักไปจริง ทำไมดูไม่เศร้าล่ะ

ถูกต้อง มันไม่ใช่ความเศร้าหรอก เป็นความเจ็บปวดที่น่าอับอายมากกว่า ซึ่งก็แน่นอนว่าผมไม่อยากพูดถึงมัน ต่อให้อยากรู้เรื่องสายธารสักแค่ไหนก็เถอะ

โอเค ประเด็นคือทำไมผมถึงอยากรู้เรื่องสายธารกับคนรักขนาดนั้น

มันเหมือนฉากหลงป่าในหนังงี่เง่าทั้งหลาย คุณเดินเข้าไปในป่าด้วยเหตุผลโง่ๆ สักอย่าง ตั้งใจจดจำลักษณะก้อนหินหรือแม้แต่หักกิ่งไม้ไว้เป็นสัญลักษณ์ คุณมั่นใจร้อยเปอร์เซ็นว่าเดินเป็นเส้นตรงไปข้างหน้าเรื่อยๆ ถึงกับจับตาดูเข็มทิศไว้ไม่ให้คลาดสายตาด้วยซ้ำ แต่สักพักคุณก็จะอุทาน อ๊ะ เราผ่านหินก้อนนั้นสามรอบแล้วนี่ หรือถ้าเป็นหนังเกรดบีคุณก็อาจจะสบถ ห่าจะแดก นี่คือก้อนหินสามพี่น้องเหรอวะ ทำไมเหมือนกันขนาดนี้

แล้วอีกไม่กี่นาทีต่อจากนั้น มนุษย์หมาป่าหรือโคตรแวมไพร์ก็จะโผล่มา

อย่างไรก็ตาม สิ่งที่น่ากลัวจริงๆ คือการหลงทางต่างหาก

ผมหลงทางอยู่รึเปล่า

หลงทาง โดยที่ไม่ได้ตั้งใจจะออกเดินทางไปไหนด้วยซ้ำ...



“กูว่ากูสับสนว่ะ”

[อะไร แมนยูเหรอ คืนนี้ก็ยังไม่เตะ]

“ไม่ใช่บอล”

[อ่อ เรื่องเด็ก สับสนเป็นเด็กมัธยมเลยนะป๋า]

“อย่ากวนตีนได้ป่ะ ซีเรียสนะเว้ย”

[ครับๆ ใจเย็นครับป๋า ก็ผมแนะนำไปแล้วไง คืนนั้นทำไมป๋าไม่รวบหัวรวบหางล่ะ]

“กูเมา”

[ก็แม่งแดกซะขนาดนั้น...เฮ้ยๆ สองโต๊ะนั้นแม่งจะล่อกันแต่หัวค่ำเลย มึง มานี่ซิ...]

“เฮ้ย โอม คุยกับกูก่อน”

[...]

“ไอ้โอม ฮัลโหล...”

[มาต่อ ถึงไหนละ อ่อ มึงเมาจนหมดสภาพ แต่คืนนั้นกูก็ไกด์ให้น้องไปนิดๆ นะว่า ให้จัดให้มึงสักดอกสองดอก]

“สมองมึงนี่มีแต่เรื่องทุเรศๆ เหรอวะ กูยังไม่ได้คิดถึงขั้นนั้น”

[แล้วคิดขั้นไหน]

“ไม่รู้เว้ย บอกแล้วไง กูสับสน”

[เฮ้ยๆ มึงลากคอมันออกไปข้างนอกเลยดีกว่า เดี๋ยวมีเรื่องกันจนได้...เดี๋ยวนะ...]

“โอม...ไอ้โอม งั้นกูวาง...”

[มึงชอบน้องมันมั้ยล่ะ]

“มึงไปทำงานเถอะ ไว้ค่อยคุย”

[กูให้เด็กจัดการแล้วเรียบร้อย สรุปมึงชอบน้องมันรึเปล่า]

“...”

[ถามตัวเองดีๆ]

“กูชอบมองตอนมันนอน”

[ไงอีก]

“ชอบตอนมันอ่านหนังสือเงียบๆ ไม่วุ่นวายดี...แต่บางทีกูก็อยากให้มันวุ่นวายนะ”

[อะฮะ]

“ตอนอยู่ใกล้กันกูทำตัวไม่ค่อยถูก”

[เข้าใจ]

“แล้วกูก็ชอบท่อนแยมของมันด้วย”

[เดี๋ยวๆ ไหนบอกยังไม่รวบหัวรวบหางไงป๋า ยังไง เอาดีๆ]

“ก็...เดี๋ยวๆ นี่แม่งคิดไปไหนวะ ไม่ใช่ท่อน...แบบนั้นเว้ย ท่อนแยมทอด ขนมกินเล่นอะ มันทำให้กูกิน อร่อย”

[ฮ่าๆๆ]

“นั่นแหละ แต่กูไม่ได้ชอบมัน เข้าใจป่ะ”

[เอ้าเหรอ ที่พูดมานั่นคือชอบแบบอาการหนักละนะ]

“ใช่เหรอวะ...ไม่รู้เว้ย”

[แล้วน้องชอบมึงมั้ย]

“ไม่รู้”

[สังเกตดิวะ ตำรวจเก่ามองอะไรไม่ออกเลยรึไง]

“มันเป็นคนที่...มีกำแพงอะ เข้าถึงยาก”

[งั้นก็จีบดิ คิดไรให้ซับซ้อน]

“กูไม่เคยจีบผู้ชาย ยังไงวะ”

[สารภาพไปเลย แมนๆ]

“แม่ง น่าปวดหัวว่ะ ถ้ามันไม่เล่นด้วยกับกูล่ะ เดี๋ยวไปกันใหญ่อีก”

[ต้องดูจังหวะดิ ไม่ใช่เข้าไปบอกสุ่มสี่สุ่มห้า]

“จังหวะ อืม...”

[เออ ดูฤกษ์ยามดีๆ พอได้จังหวะก็บอกแบบแมนๆ ไปเลย]

“กูเปลี่ยนใจแล้วว่ะ กูไม่ได้ชอบมันหรอก แค่นี้นะ”

[เอ้า ไอ้นี่]



_____________________________________

สวัสดีค่ะทุกคน T___T

กลับมาแล้วค่ะหลังจากหายไปนานมาก จริงๆ ก็ไม่เชิงหายไปไหน
แต่ว่าไปรอผลนิยายอย่างใจจดใจจ่อมาค่ะ

ซึ่งผลก็มาแล้วค่ะ :D

เป็นเรื่องดีๆ ที่อยากมาบอกทุกคนในนี้ค่ะ คือ...

เรื่องร.เรือ ร.รัก ร.ฤกษ์ ผ่านการพิจารณากับทางสนพ. EverY แล้วนะคะ

TT____________TT


ตื้นตัน อัดอั้น แล้วก็มีอะไรอยากบอกเยอะมาก
ความในใจเต็มไปหมดเลยค่ะ พยายามจะเรียบเรียงออกมาให้ดีๆ


อยากแชร์เกี่ยวกับจุดเริ่มต้นของเรื่องนี้นิดนึงค่ะ เพราะที่มาที่ไปสตอรี่มันแปลกๆ ดี
คือตอนที่เริ่มมีไอเดียเรื่องนี้ เกิดจากตอนนั้นไปเจอ Facebook แอคนึง เป็นเพื่อนของเพื่อนอีกที
เขามาคอมเมนต์ในหน้าเฟซของเพื่อนเราอีกทีค่ะ ชื่อเฟซเขาคือ Ruabai เรารู้สึกว่าคนอะไรชื่อเท่จัง (ฮา)
ชื่อเรือใบก็ติดในหัวเรามาเลยตั้งแต่นั้น แล้วจู่ๆ ก็รู้สึกว่าอยากเล่นกับอักษร ร.เรือ แฮะ
ชื่อ ร.เรือ ร.รัก ร.ฤกษ์ ก็แวบเข้ามาในหัว เอาชื่อเรื่องนี้แล้วกัน ง่ายๆ แบบนี้เลย
เป็นนิยายที่ได้ชื่อนิยายมาก่อนพล็อตอีกค่ะ
เป็นจุดเริ่มต้นที่แปลกมากๆ ไม่เคยมีนิยายเรื่องไหนของเราที่เริ่มจากการได้ชื่อเรื่องมาก่อน

ด้วยความที่ตอนนั้นไม่มีพล็อตอะไรเลย
เลยคิดแค่ว่าจะให้พระเอกชื่อเรือใบ นิยายชื่อ ร.เรือ ร.รัก ร.ฤกษ์
พยายามแต่งให้เข้ากับชื่อเรื่องอย่างเดียว
เปิดไฟล์เวิร์ดแล้วเขียนๆๆๆๆ ออกมาแบบไม่ได้ร่างอะไรไว้เลย #กำปั้นทุบดินมาก ฮา
คิดไปเขียนไป ทุกอย่างมันมาเองแบบงงๆ สะเปะสะปะไปเรื่อยเลยค่ะ 555555

 
ส่วนตัวเราได้อ่านนิยายวายมาเรื่อยๆ ทั้งชอบ แล้วก็หลงรักค่ะ
ส่วนตัวรู้สึกว่านิยายวายมีความยากในแบบของมัน คงเขียนไม่ไหว ฝีมือเรากากเกินไป
แต่ช่วงนึงเราเกิดอาการ writer’s block อาการเขียนนิยายชาย-หญิงไม่ออกขึ้นมา
รู้สึกต้องทำอะไรสักอย่าง เลยลองเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา เพราะรู้สึกว่าลองดูก็ไม่เสียหาย
หาอะไรใหม่ๆ ให้จิตใจตัวเองได้ลองเผชิญดูบ้าง
เขียนไปเรื่อยๆ แล้วก็อินอยู่คนเดียวหลังคอม
เพราะหลงรักผู้ชายที่ชื่อเรือใบมากๆ


พอเขียนมาได้เยอะพอสมควร ตอนนั้นก็มีเรื่องตลกๆ เกิดขึ้น คือมีรุ่นน้องเป็นหมอดู แล้วแกดูแม่น
เลยให้แกช่วยดูดวงนิยายเรื่องนี้
(ชีวิตมาถึงจุดดูดวงให้นิยายกันแล้วนะคะ 555555 ร.ฤกษ์มั้ยล่ะ 5555555)
น้องแม่หมอบอกว่าเรื่องนี้จะไปได้ดี จะผ่านพิจารณาด้วยค่ะ
เราก็แบบ จริงเรอะ O_o เลยลองเอาลงเน็ตดูค่ะ อยากดูว่าคนอื่นจะคิดยังไงบ้าง
ลงด้วยใจที่สั่นไหวไปหมด กลัวทุกอย่าง กลัวมันไม่ดี กลัวคนเกลียด กลัวคนไม่ชอบ
กลัวนักอ่านผิดหวังในตัวเรา ความกลัวทำให้เราไม่ค่อยได้โปรโมตนิยายเรื่องนี้เลย มันรู้สึกกระดากกับความกากตัวเองมากไป

แต่พอเอามาลง ก็มีคนมาคอมเมนต์ให้เรื่อยๆ ทุกคอมเมนต์มันมีค่ากับใจเรามากเลยค่ะ (พิมพ์ไปจุกอกไป)
ขอบคุณเล้าเป็ดและทุกคนในเล้าเป็นที่ให้โอกาสเรานะคะ เพราะเราใหม่สำหรับที่นี่มากๆ
เราคอยเข้ามาดูว่ามีคนเมนต์ให้เรือใบบ้างหรือเปล่านะ
บางวันเข้าทีเป็นสิบรอบได้ เวลาตัวเลขคอมเมนต์ขึ้นมา 1 คอมเมนต์
มันมีความหมายกับเราอย่างถึงที่สุดเลยค่ะ

ทุกคอมเมนต์ของทุกคนมีค่ากับเรามากจริงๆ
และทุกๆ View ของทุกคนก็เติมเต็มจิตใจเราถึงที่สุด
การที่ทุกคนสละเวลาส่วนตัวเข้ามาอ่าน ถึงเมนต์หรือไม่เมนต์เราก็ดีใจมากๆ เลยค่ะ
ทำให้เรามีแรงเขียนๆๆๆ เขียนจนจบ จนได้ส่ง แล้วก็จนผ่านการพิจารณา (ลุ้นสุดตัวเลยค่ะ)


อยากบอกว่านิยายเรื่องนี้ไม่ใช่นิยายของเรานะคะ แต่เป็นนิยายของทุกคน เพราะทุกคนช่วยกันสร้างขึ้นมา ^ ^
ขอบคุณจากใจเลยค่ะ เรารักนักอ่านเรามากจริงๆ คุณคือเหตุผลที่เราเขียนนิยายค่ะ


ป.ล. รายละเอียดอื่นๆ เกี่ยวกับตัวนิยายไว้จะทยอยมาแจ้งเรื่อยๆ นะคะ ^ ^

แต่เรื่องนี้ลงให้อ่านจนจบแน่นอน จนถึงตอนพิเศษเลยค่ะ <3
หลังจากตอนนี้ก็จะกลับมาลงต่อเนื่องให้อ่านกันแบบเดิมแล้วนะคะ <3

ถ้าอ่านแล้วอยากพูดถึงเรือใบใน Social ช่วยติด #รรรเรือ ให้หน่อยนะคะ (ใช้แฮชแท็กอันนี้ไม่เปลี่ยนแล้วค่ะ ^ ^)

 

รักจริงๆ

นางร้าย

07.07.2018


ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ท่อนแยม อร่อยไหม มันคืออะไร  :hao4:

ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
กระสุนนัดที่ 21
ร.รัด



[สายธาร]

“ลุกขึ้น”
 

เสียงเผด็จการดังขึ้นขณะที่ผมนอนอ่านหนังสืออยู่บนโซฟา

“อะไร”

“มายืดเส้นยืดสายหน่อย นอนไรเยอะแยะ”

“ไม่เอา”

เขาฉกหนังสือไปจากมือผมไปวางบนโต๊ะ

“นี่คุณ...” ผมเด้งตัวเตรียมจะโวยวาย แต่ก็ต้องชะงักเมื่อเห็นเขาชักปืนออกมา ปืนพกสั้นสีดำล้วน เดาว่าเป็นกระบอกเดียวกับที่ใช้หลังผับคืนนั้น “เอามาทำไร จะยิงผม?”

“ยิงห่าไร กูจะฝึกให้มึงยิง”

“ไม่ละ ไม่ชอบ”

“ไม่ชอบก็ต้องฝึกไว้บ้าง อะไรก็เกิดขึ้นได้ มึงไม่ใช่เด๊ดพูลนะที่จะ...ธาร”

ผมนอนแล้ว หลับตาด้วย

“สายธาร”

เรียกไปดิ

“สังฆทาน รับประทาน โรงทาน...ไอ้เด็กขี้เซา...นี่...”

ผมลืมตาขึ้น ไม่ใช่เพราะชื่อแปลกๆ ที่เขาสรรหามาเรียก แต่เพราะผมรู้สึกว่าเขาโน้มใบหน้าลงมาใกล้เกินไป

“เออๆๆ” ผมเด้งตัวลุกขึ้นนั่ง “จะทำอะไรก็ทำ รีบๆ ว่ามา”

เรือใบฉีกยิ้ม “ต้องงี้ดิ” เขายืดตัวขึ้นและเหมือนจะนึกหาถ้อยคำอยู่ชั่วอึดใจ “จริงๆ แล้วกูมีปืนสะสมเยอะนะ รุ่นคลาสสิกสวยๆ เพียบ แต่เก็บไว้ที่บ้าน...”

“ตัดส่วนที่โม้ออกแล้วเข้าเรื่องเลยได้มั้ย”

“มึงนี่นะ” เขายังยิ้มอยู่ แล้วก็ยกปืนขึ้นมาเหมือนพรีเซนเตอร์ตั้งใจจะโฆษณาสินค้า “โอเค เข้าเรื่อง...ที่มึงเห็นอยู่นี่เรียกว่าปืน”

“นึกว่าสากกระเบือซะอีก”

“นี่ปากหรือตูด ขัดแม่งทุกประโยค”

ผมกลอกตาแล้วผายมือให้เขาพรีเซนส์ต่อ

“นี่เรียกว่าปืนเซมิออโต้หรือภาษาบ้านๆ เรียกว่าปืนแม็กกาซีน กระบอกนี้คือปืน Glock 19 กระสุนขนาด 9 มม. เป็นปืนสำหรับใช้งานเลย คุณภาพก็ไม่ได้ขี้เหร่อะไร ข้อดีของมันคือ น้ำหนักเบาเพราะโครงปืนทำจากพอลิเมอร์ พกง่าย ขัดลำกล้องยาก แรงรีคอยล์ต่ำ”

“พูดภาษาคนได้มั้ย”

“กูว่า...ช่างแม่งเหอะ เอาเป็นว่าใช้งานเลยดีกว่า” อีกครั้งที่เหมือนเขานึกหาถ้อยคำ “เริ่มจากบรรจุกระสุน มึงต้องกดปุ่มปลดแม็กแบบนี้” เขาอธิบายพร้อมกับทำให้ดู พอกดปุ่มข้างปืนแม็กกาซีนก็หลุดออกมา “กูจะใส่เข้าไปหนึ่งนัดนะ แล้วก็ตบแม็กกลับเข้าไป ทีนี้พอจะยิงมึงต้องดึงสไลด์ขึ้นลำแบบนี้”

แกร๊ก

ท่าดึงสไลด์ของดูคล่องแคล่วและเหมือนทำง่ายๆ “เอาละมึงทีนี้ นี่คืออันตรายแล้ว กระสุนเข้าไปอยู่ในรังเพลิงเรียบร้อย...ดู” เรือใบดึงสไลด์ค้างไว้และตะแคงปืนให้ดู ซึ่งผมก็อดที่จะชะเง้อมองไม่ได้ เขาปล่อยให้สไลด์ดีดกลับแล้วยกปืนชี้ไปด้านข้าง “พอจะยิงก็ยกขึ้น เล็ง สอดนิ้วเข้าโกร่งไก แล้วก็...ป๊อก ใครก็ตามที่แม่งอยู่ในวิถีกระสุนก็จะเด้งไปนอนที่พื้น ง่ายๆ แค่นี้ เข้าใจมั้ย”

“มั้ง”

“เอาดีๆ”

“เข้าใจ”

“ยังไม่จบ นี่คือกระสุนอยู่ในรังเพลิงแล้วใช่มะ ถ้าเราไม่ยิงแล้วจะเก็บปืนต้องทำยังไง ก็ง่ายๆ ปลดแม็ก แล้วคัดกระสุนออก วิธีคือคว่ำมือดึงสไลด์แบบนี้กระสุนจะดีดออกมาเข้ามือ...เห็นมั้ย จะดึงอีกสองสามทีก็ได้ ดูให้แน่ใจ แล้วก็ดันกลับ ลั่นไกทิ้งหนึ่งที”

แชะ

“โอเคนะ”

“อืม”

“อะ ลองจับดู” เขาส่งปืนให้ผมด้วยท่าทางสบายๆ น้ำหนักมันเบากว่าที่ผมคิดไว้ แต่ก็ไม่รู้จะใช้คำว่าเหมาะมือได้มั้ย เพราะนี่เป็นครั้งแรกที่ผมได้จับปืนจริงๆ “กฎข้อแรก สอดนิ้วเข้าโกร่งไกเฉพาะตอนที่จะยิงเท่านั้น”

เขาพูดดักทันทีที่ผมกำลังจะทำแบบนั้น

“อย่าหันปลายกระบอกมาทางกู”

“ก็ไม่มีลูกแล้วไม่ใช่เหรอ”

“ทุกครั้งที่จับปืน มึงต้องคิดไว้ก่อนว่ามันมีลูกอยู่ในรังเพลิง เข้าใจมั้ย...นั่นคือสไลด์ ดึงแรงกว่านั้นหน่อย เออ แบบนั้น ดันกลับแล้วลั่นไกยิงแห้งทิ้งไป...เวร แล้วหันเข้าหน้าตัวเองทำไม”

“ก็แค่จะดูว่าในรูมันเป็นยังไง”

“เรียกว่าลำกล้อง”

ผมหรี่ตามองรูดำมืดที่ปลายกระบอก “ก็รูนั่นแหละ”

“บอกว่าอย่าหันปืนแบบนั้น มึงนี่ สอนลิงแสมยังจะง่ายกว่าอีกมั้งเนี่ย”

“งั้นก็ไปสอนลิงดิ”

เรือใบส่ายหน้า “ลุกขึ้นยืนแล้วยกปืนเล็งซิ” ผมทำตามแบบไม่ค่อยเต็มใจเท่าไหร่ “อย่าหันหากู! หันไปทางประตูโน่น...จับปืนแบบนี้ยิงควายยังไม่ถูกเลย มานี่ สอนให้”

ว่าแล้วเขาก็อ้อมมาอยู่ด้านหลังผม ยืนใกล้จนลมหายใจอุ่นรดต้นคอ แขนทั้งสองข้างโอบรอบไหล่ผมมาจัดมือผมที่ถือปืนอยู่ “จับแบบนี้...อย่าเพิ่งสอดนิ้วเข้าโกร่งไกดิวะ เอาทาบโครงปืนไว้ มือขวากำรอบด้ามปืน ใช้อุ้งมือซ้ายมาประกบ แล้วก็ให้นิ้วโป้งทั้งสองข้างชี้ไปข้างหน้า...อย่าวางนิ้วแบบนั้น เดี๋ยวมันติดสไลด์ตอนยิง ให้นิ้วโป้งขวาแนบโคนนิ้วโป้งซ้ายไว้ เออ เกยกันไว้เหมือนคนจะเอากันอ่ะ...”

“ฮะ?” นี่คือคำเปรียบเทียบเหรอ

“แนบๆ กันไว้ไง ถือปืนชิดอกไว้แบบนี้ เรียกว่าท่าพักปืน...” เขากุมมือผมไว้ครู่หนึ่ง ก่อนจะปล่อยให้ผมจับปืนเอง “ทีนี้พอจะยิงก็เหยียดแขนทั้งสองข้างให้ตึง บีบมือให้แน่น ล็อกข้อมือ...ล็อกคือเกร็งไว้อ่ะ ไม่งั้นปืนจะกระดกเยอะ แขนไม่ต้องตึงจนแอ่นขนาดนั้น ศอกงอนิดๆ จะรับแรงรีคอยล์ได้ดี”

“แรงไรนะ”

“ภาษาบ้านๆ ก็แรงถีบอ่ะ ปืนไม่มีตีน แต่แม่งถีบได้...เออ ศอกแบบนี้ ทีนี้ก็ยืนให้มั่นคง ย่อเข่าลงนิดๆ...ทีนี้เล็ง มองศูนย์หน้าให้ชัด จัดศูนย์หน้าให้ตรงกับร่องบากศูนย์หลัง...ทำไมแขนแม่งแอ่นอีกแล้ววะ นิ้วโป้งก็ไม่ถูก”

“ยุ่งยาก” ผมลดแขนลง ไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกันว่ารำคาญคำสอนที่ยุ่บยั่บ หรือว่าไม่โอเคกับลมหายใจของเขาที่เป่ารดอยู่แถวๆ ใบหู “จับมือเดียวไม่ได้เหรอ แบบในหนังอะ เท่ๆ”

“อยากเท่ใช่มะ ได้ อ่ะมึงยืนห่างจากกูก้าวนึง ถือมือเดียวเล็งมาที่กู”

ไม่มีเขายืนแนบชิดข้างหลังแล้ว ค่อยหายใจหายคอคล่องขึ้นหน่อย ผมถอยไปหนึ่งก้าว จับปืนมือเดียวและยก...

ฟึ่บ!

“โอ๊ย!”

ไม่ทันได้เล็งด้วยซ้ำ แล้วก็ไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้น พริบตาเดียวผมก็มาอยู่ในท่าถูกจับบิดแขนและกดคอให้มองเท้าตัวเอง แถมปืนยังถูกแย่งไปจากมือเรียบร้อย

“ปะ...ปล่อย เจ็บ”

เขายอมปล่อย แต่โคตรเกลียดรอยยิ้มได้ใจแบบนี้จริงๆ

“ยังไม่ได้ตั้งตัวแค่นั้นแหละ”

“งั้นลองอีกที” เรือใบส่งปืนกลับมาให้

“แน่จริงก็หันหลังดิ”

“ได้”

เรือใบหมุนตัวหันหลังแล้วยืนนิ่ง ผมมองแผ่นหลังกว้างๆ ของเขาแล้วรู้สึกใจสั่นๆ ชอบกล มันทั้งน่าเกรงขามข่มให้ถอยห่างและขณะเดียวกันก็ดึงดูดให้อยากเข้าใกล้ด้วย โอเค ตั้งสติ คราวนี้ต้องลั่นไกใส่เขาให้ได้ เล็งที่กลางลำตัวไม่มีพลาดแน่นอน

“ยกมือขึ้น” ผมสั่ง

เขาชูสองมือขึ้นข้างศีรษะในท่ายอมแพ้ ทันใดนั้นผมก็ดึงสไลด์แล้วก็ยกปืนขึ้น

แกร๊ก!

ฟึ่บ!

เสี้ยววินาทีปืนในมือผมก็ถูกปัดเฉไปทางซ้าย พร้อมกับตัวเขาหมุนมาด้านขวา ในจังหวะที่ต่อเนื่องกันสุดๆ แขนผมก็ถูกจับบิดขึ้นสูงและคอถูกกดจนเข่าทรุด ปืนที่ควรจะลั่นดังแชะก็ไม่ลั่น เพราะผมยังไม่ทันได้สอดนิ้วเข้าโกร่งไกด้วยซ้ำ

“เจ็บๆๆ โอ๊ย...”

“สงสัยต้องจัดคอร์สต่อสู้ประชิดตัวให้มึงหนักๆ ซะแล้ว” เขายอมปล่อยให้ผมลุกขึ้นยืน

ไอ้เถื่อน! บิดอีกนิดเดียวก็แขนหักแล้วมั้งเนี่ย

แต่ปืนยังอยู่ในมือผม แถมขึ้นลำไว้แล้วเรียบร้อย จังหวะที่เขาไม่ทันตั้งตัวเพราะมัวแต่โม้ผมก็ขยับพรวดถอยไปสามก้าว และยกปืนขึ้นด้วยมือเดียว

แชะ!

กระสุนอาจจะเข้าเป้าหรือไม่ก็ได้ เพราะในจังหวะลั่นไกผมเห็นเขากระตุกตัวก้มหลบทันที และอีกครั้งที่ผมมองการเคลื่อนไหวของเขาแทบไม่ทัน ปืนในมือผมถูกตะปบยกสูงข้ามไหล่เขา ลำตัวเบียดแนบชิด ใบหน้าก้มนิดๆ อยู่ข้างหูผม “กูว่าไม่โดน แม่งโคตรช้าเลย”

เดี๋ยวนะ นี่พี่แกเป็นนินจาเหรอ...

หัวใจผมเต้นโครมคราม ทำไมเสียงต้องทุ้มๆ กรุ้มกริ่มแบบนี้ด้วยวะ

ผมชักเท้าถอย “ไม่เล่นแล้ว เอาคืนไป” ว่าแล้วยัดปืนใส่ตัวเขาซึ่งเขาก็ตะปบรับไว้ก่อนมันจะเลื่อนตกลงพื้น

“เดี๋ยวดิ ยังไม่จบ”

“เชิญคุณเล่นไปคน...เฮ้ย อะไรเนี่ย”

เขารวบตัวผมจากด้านหลังและรัดไว้แน่น “การบ้าน” คางเกยบนไหล่ผม น้ำเสียงต่ำและเบาลงอีกระดับ “ถูกกอดจากข้างหลัง แก้ยังไง”

“ปล่อย...ปล่อยสิวะ!”

“พูดไม่เพราะ ต้องรัดให้แน่นกว่าเดิม”

ทั้งดิ้น สะบัด เขย่ง แต่ก็เหมือนไม่มีทีท่าว่าจะหลุดเลย จะใช้ศอกกระทุ้งก็ไม่ได้ เขารัดตรงข้อศอกพอดีและกดแนบกับลำตัวจนแทบกระดิกไม่ได้ ลมหายใจของเขาร้อนผ่าวยิ่งกว่าเดิม

“ตัวคุณร้อน”

“เหรอ อืม...”

“ปล่อยดิ”

“ก็ทำให้กูปล่อยดิ”

“อึดอัด หายใจไม่ออก”

“คิดสิ ว่าต้องทำยังไง”

ผมหยุดดิ้นรน แล้วใช้น้ำเสียงแบบผู้ใหญ่ที่มีเหตุผลคุยกัน “ปล่อย”

“ถ้าไม่หาทางแก้ก็แล้วแต่นะ” แต่น้ำเสียงที่เขาพูดกลับมา ดูไม่ต่างจากเด็กที่กำลังเห่อของเล่นชิ้นใหม่ “แรงกูยังเหลืออีกเยอะ...จะให้กอดมึงทั้งคืนเลยก็ยังได้”


ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
กระสุนนัดที่ 22
ร.ร้อน



[เรือใบ]


ก๊อก ก๊อก ก๊อก 

เสียงเคาะประตูฉุดผมจากภวังค์ ความคิดที่กำลังไหลเรื่อยเปื่อยฟุ้งกระจายเหมือนฝูงแมลงตื่น

“ไม่ได้ล็อก” ผมเก๊กเสียงเข้ม ดึงสติกลับสู่ปัจจุบัน

ประตูเปิดออก สายธารเดินเข้ามาด้วยท่าทีปกติธรรมดา หมายถึงธรรมดาจริงๆ เขาไม่เกร็ง หรือว่าลอบมองสำรวจโน่นนี่ เก็บความรู้สึกเก่งแบบนี้ครูฝึกด้านสายข่าวชอบเลย

หรือว่าเขาไม่ได้รู้สึกอะไร

ตอนเย็นที่ฝึกต่อสู้ประชิดตัวกัน ผมกอดเขาไว้ร่วมๆ ห้านาที หลังจากที่ดิ้นรนทุกวิถีทางแล้วสุดท้ายสายธารก็แก้ด้วยการบิดเนื้อตรงต้นขาผมไปเรื่อยๆ ผมทนไหวนะ ต่อให้เขาบิดแรงๆ ก็คิดว่าคงทนได้อีกนาน แต่สักพักหนึ่งเหมือนเขาจะบิดเบาลงและทิ้งช่วงนานขึ้น

เขาไม่พูดอะไร

ผมก็ไม่พูด

ขณะที่ผมโอบรอบตัวเขาอยู่ ความเงียบก็โอบล้อมเราไว้อีกชั้น พอถึงจุดหนึ่งผมก็ไม่อยากแกล้งเขาต่อ แต่อยากเห็นหน้าเขามากกว่า

ผมเลยคลายอ้อมแขนออก โดยเตือนตัวเองไม่ให้หลุดยิ้มตอนเขาหันกลับมา

แต่สายธารไม่หัน เขาเดินไปทิ้งตัวนอนที่โซฟาเลย

ผมยืนเคว้งอยู่ครู่หนึ่งแล้วพูดทิ้งท้าย “ไอ้บิดขานี่คงไม่ทำให้โจรปล่อยหรอก มึงนอนคิดให้ดีๆ ว่าจะแก้ท่านี้ยังไง” พูดจบก็กลับเข้าห้องตัวเองทันที

ตอนนี้เริ่มดึกแล้ว ผมนั่งอยู่บนเตียงโดยมีผ้าขนหนูปูแผ่อยู่ตรงหน้า บนผ้ามีชิ้นส่วนปืนลูกโม่ที่ถูกถอดเป็นชิ้นๆ

“ว่าไง” ผมยังใช้น้ำเสียงเข้มขรึมทักทายเขา แล้วก็หยิบด้ามปืนขึ้นมาขัดใหม่ทั้งที่เพิ่งขัดเสร็จไปแล้ว

“เห็นคุณตัวร้อน เลยเอายาเข้ามาให้”

“มึงลงไปเซเว่นมาเหรอ”

“เปล่า ก็ซื้อมาจากตอนที่ไปห้างกัน”

“อ้อ ขอบใจ”

สายตาเนือยๆ ของเขามองชิ้นส่วนปืน

“ปืน” ผมอธิบาย ซึ่งค่อนข้างจะงี่เง่า “ปืนลูกโม่ Smith & Wesson 686 กระสุน .357 แม็กนั่ม ลำกล้อง 2.5 นิ้ว ด้ามจับแฮนด์เมด ใช้งานง่าย ไม่มีขัดลำกล้อง ไม่คายปลอกไว้เป็นหลักฐาน...” ยิ่งอธิบายแม่งยิ่งไปกันใหญ่ เปลี่ยนเรื่องดีกว่า “นั่งดิ”

เขายอมนั่งลงที่เตียง “ทำไมคุณถึงเอาปืนมาทำความสะอาด เห็นอะไรไม่ชอบมาพากลเหรอ”

“ก็เตรียมพร้อมไว้” ผมตอบไปกลางๆ แต่เหตุผลที่แท้จริงน่าจะเป็นเพราะคำถามตอนนั้นของเขามากกว่า  ถ้าคุณเคยเสียคนรักไปจริง ทำไมดูไม่เศร้าล่ะ พูดถึงเรื่องนั้นทีไรเป็นต้องอยากหยิบปืนกระบอกนี้มาทำความสะอาดทุกที

“โอเค”

“หรือมึงเห็นอะไรล่ะ ไม่ชอบมาพากลที่ว่า”

สายธารนิ่งอยู่ชั่วครู่ “ผมไม่ได้ถูกฝึกมาให้สังเกตสิ่งผิดปกติแบบคุณ ต่อให้คนร้ายมายืนอยู่ต่อหน้าผมก็ไม่รู้หรอก”

“นั่นน่ะสิ เดี๋ยวเอาไว้กูพามึงไปฝึกยิงให้เป็นเรื่องเป็นราวที่สนามซ้อม”

“ไม่เป็นไร”

“เออน่า”

“ผมไม่ชอบเสียงดัง”

“ฝึกไว้ดีกว่า เผื่อมีอะไร...”

“ผมก็มีคุณอยู่แล้วนี่ คุณบอกจะดูแลผม” ถ้ายิ้มตอนนี้หน้าผมต้องดูงี่เง่าแน่ๆ เหมือนเด็กที่เอาปืนของเล่นออกมาโชว์และถูกชมว่าโตขึ้นอาจจะได้เป็นซูเปอร์แมนนั่นแหละ

“ไปละ อ่ะ นี่ยา” เขาทำท่าจะลุกขึ้น คล้ายกับไม่ชอบใจตัวเองอยู่เหมือนกันที่พูดอย่างนั้นออกมา

“ต้องกินยังไง” ผมเก๊กเสียงขรึม

“กินทางปาก”

“อ๋อ ต้องกินทางปากนี่เอง เพิ่งรู้นะเนี่ย” แล้วผมก็ยิ้มจนได้ “กินกี่เม็ด”

“นี่คุณไม่เคยกินยาพาราเลยเหรอ”

“ไม่รู้”

“ยังตัวร้อนมั้ยล่ะ”

“กูจะรู้ได้ไงว่าตัวร้อน” ผมยกหลังมือแตะหน้าผากตัวเอง กลอกตามองบนไปมา “ถ้ากูตัวร้อน แล้วเอามือร้อนๆ แตะตัวเอง กูจะรู้ได้ไงล่ะว่านี่คือร้อนแล้ว”

“โวะ มันจะยากอะไรขนาดนั้น”

ว่าแล้วสายธารก็โน้มตัวเข้ามา เอื้อมมือมาแตะหน้าผากผมค้างไว้ นี่ใช่ฤกษ์งามยามดีที่จะพูดอะไรหรือเปล่า

“...”

“...”

ตาสบตาในระยะประชิด เงาสะท้อนของผมสั่นไหวอยู่ในดวงตาฉ่ำเยิ้ม แต่ยังห่างไป ผมอยากเห็นว่าเงาตัวเองยิ้มอยู่มั้ย

“ระ...” ทันทีที่ผมขยับใบหน้าเข้าไป สายธารก็รีบดึงศีรษะกลับไป “ร้อน คงเป็นไข้แหละ”

จังหวะนี้...

บอกแบบแมนๆ ไปเลย

“ตะ...ต้องกินกี่เม็ด!”

“คุณจะเสียงดังทำไม”

“เออน่า กินกี่เม็ด”

“ไม่รู้”

“อ่าว”

“จะกินเป็นกำก็แล้วแต่ ผมไปละ”

“เดี๋ยว”

สายธารที่ลุกขึ้นเดินไปแล้วหันกลับมา เป็นภาษาร่างกายที่ทั้งสนใจและไม่สนใจ ซึ่งผมไม่รู้ว่ามันรวมอยู่ในขณะเดียวกันได้ยังไง

“อะไร” เขาถาม

“กู...”

“...”

“กูจะถามว่า มึงเบื่อรึเปล่า อยากออกไปไหนมั้ย”

เขานิ่ง ก่อนจะยักไหล่

“กูบอกตั้งนานแล้ว ที่ชั้นสิบหกเป็นคลับเฮาส์ มีสระว่ายน้ำกับฟิตเนส”

“ผมไม่ใช่สายออกกำลัง”

“งั้นก็โน้ตบุ๊กอยู่นั่น เอาไปเล่นได้ จะดูหนังก็ได้ กูสมัคร Eflix ไว้แต่ไม่ค่อยได้ดูเท่าไหร่ แล้วก็ถ้าเจอหนังแนวหลงทางก็บอกกูด้วย”

“ได้” เขาไปหยิบโน้ตบุ๊กบนโต๊ะเดินไปที่ประตู

จังหวะนั้นมันผ่านไปแล้ว

คำที่ควรจะพูดไม่พูด คำที่ไม่น่าพูดกลับพยายามดันผ่านลำคอขึ้นมา ผมแอบเม้มปากไว้ แต่ก็ทนไม่ไหวจนได้

“เอ้อ ถ้าเจอคลิปชื่อคืนนรกแตกอย่าไปมือลั่นแชร์ลงโซเชียลล่ะ”

“คืนนรกแตก?”

“คลิปกูนัวเนียกับสาวๆ น่ะ”

สายธารกลอกตามองบน “ไม่ต้องห่วงหรอก ผมไม่ใช่พวกติดโซเชียล”

“คลิปขี่ม้าส่งเมืองด้วย อันนี้อ่ะสุดๆ แล้ว”

ปึง

ผมพยายามจะไม่พูดแล้ว แต่มันอดไม่ได้จริงๆ




_______________________________

สงสารสายธารที่สุดในโลกละค่ะที่มาเจอคนแบบเรือใบ น้องงงงงงง 555555555
ฮือออออ วันนี้ลงให้ทีเดียวในนี้สองตอนนะคะ <3
ใครอ่านแล้วฝากเมนต์กันโหน่ยน้า ชอบอ่านเมนต์มากๆ เลยค่ะ


รักน้าาา <3

นางร้าย 17.07.18



ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
จับปืน ยิงปืน ประกอบปืน นัวเนียกันซะ  :heaven

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ ลูกกุญแจ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
ใกล้ชิดกันมากขึ้นๆทุกที


ปล.เย่ ตามทันแล้ว

ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
กระสุนนัดที่ 23
ร.ร้อนๆ หนาวๆ



[สายธาร]

ผมเข้าเว็บไซต์ Eflix แหล่งรวมหนังและซีรี่ส์ยอดฮิตของยุคนี้ ผมเลื่อนดูผ่านๆ อยู่สักพัก ก่อนจะสุ่มเลือกเปิดหนังเรื่องหนึ่งจากหมวดหนังคอมเมดี้

ดูไม่รู้เรื่อง

ไม่รู้ว่าหนังห่วยหรือว่าเพราะไม่มีสมาธิมากพอ

ผมเลยกดปิดเว็บไซต์ไป นั่งมองหน้าจอเปล่าๆ ที่วอลเปเปอร์น่าจะเป็นตัวละครหลักจากเกมแนวยิงโหดระห่ำสักเกม แล้วก็ตัดสินใจกดเข้าเฟซบุ๊ก หวังว่าจะได้เห็นหน้าโปรไฟล์ของเขาที่ล็อกอินค้างไว้

แต่เปล่า มันเด้งไปที่หน้าแรกให้กรอกอีเมลและรหัสผ่านเลย เขาอาจจะไม่มีเฟซบุ๊กเลยก็ได้

ช่างเถอะ นอนดีกว่า

แต่...

มือผมยังไม่ยอมกดปิดเครื่อง ใจคันยิบๆ อยากรู้ให้ได้ทั้งที่ผมคิดอยู่แล้วว่ามันไม่มีอะไรหรอก

เอาวะ ให้มันรู้แล้วรู้รอดไป

ผมคลิกเปิดช่องค้นหาไฟล์ขึ้นมา พิมพ์ลงไปทีละตัวช้าๆ ว่า ขี่ม้าส่งเมือง แล้วเลื่อนนิ้วมาที่ปุ่มเอนเทอร์

ไม่ดีกว่า มันอาจจะโหดไป เปลี่ยนเป็นอีกอันละกัน

คืนนรกแตก

ผมสูดหายใจเข้า หันมองไปทางประตูห้องนอนเขาที่ยังปิดสนิทดี จากนั้นก็กดปุ่มเอนเทอร์เบาๆ



ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
กระสุนนัดที่ 24
ร.ราง



[เรือใบ]

พอสายธารออกจากห้องไป  รอยยิ้มของผมก็ค่อยๆ หายตามไปด้วย ความเงียบแผ่คลุมมาจากตรงไหนสักที่จนเข้าถึงตัวผม เหมือนที่วาทะเซ็นกล่าวไว้ เสียงของความเงียบคือเสียงที่ดังที่สุด นี่เรื่องจริงเลยละ เมื่อทุกอย่างเงียบลง เสียงความคิดเราจะดังขึ้น โดยเฉพาะความคิดลบๆ จากความผิดพลาดในอดีต

ผมเรียนรู้ที่จะไม่ฟังเสียงพวกนั้นแล้ว เลิกขยี้ตัวเอง และลาขาดจากวงการดราม่า แต่ตอนนี้ปืนลูกโม่ที่ประกอบเรียบร้อยแล้วหนักอึ้งอยู่ในมือผม ปืนที่ผมใช้ก่อเหตุในคืนนั้น...

เวร

ความคิดพวกนี้เหมือนกับเห็บไม่มีผิด เผลอไม่ได้ กระโดดเกาะมาสูบเลือดสูบเนื้อทันที

ผมพลิกปืนไปมา ก่อนจะถอดชิ้นส่วนมันอีกรอบเพื่อจะได้โฟกัสอยู่กับปัจจุบัน ทำช้าๆ ฆ่าเวลาไปเรื่อย จนประกอบเสร็จ

เวลาเกือบเที่ยงคืน สายธารหลับไปแล้วมั้ง

ผมเปิดประตูห้องนอนออกมาเพื่อมาดื่มน้ำ ปรากฏว่าสายธารดูหนังอยู่ เขาเลื่อนโต๊ะมาตั้งตรงหน้าโซฟาและวางโน้ตบุ๊กไว้บนนั้น ทำให้มันอยู่ในระดับสายตาพอดี

“เรื่องอะไร” ผมเดินไปค้ำตัวด้านหลังโซฟา “คืนนรกแตกเหรอ”

“คืนนรกแตกบ้าบออะไร ไม่เห็นจะมี”

“เอ้า มีนะ เป็นหนังผีเก่าๆ เกือบยี่สิบปีได้แล้วมั้ง...เอ๊ะ ที่ไม่เจอ หรือเพราะมึงค้นหาไฟล์ในเครื่อง”

“...”

“นี่มึงอยากดูกูเล่นหนัง AV จริงๆ ดิ”

“ขี้โม้”

“โม้ไร กูย้ายไฟล์ไปไว้ในแฟลชไดร์แล้วต่างหาก แล้วตอนนี้ก็เก็บไว้ในตู้เซฟที่ธนาคารโน่น”

“เหอะ”

ผมซ่อนรอยยิ้มไว้ แล้วเดินอ้อมโซฟาไปนั่งลงข้างๆ เขา

“มาใกล้อะไรขนาดนี้ เถิบไปหน่อย”

“ก็จอมันเล็ก มองไม่เห็น” ผมพูดพร้อมกับตวัดแขนพาดคอเขาไว้ “แบบนี้ค่อยถนัดหน่อย”

“นี่คุณ เอาแขนออก”

“นี่เรื่องอะไรนะ...Home Alone ใช่มะ”

“เอาแขนออกไป”

“เด็กนรกสู้กับโจรขึ้นบ้าน หนังเก่าโคตร” ผมหันมองเขา ด้วยระยะที่ใกล้มากเลยทำให้ปลายจมูกเราเกือบชนกัน สายธารที่พยายามแกะแขนผมออกอยู่ถึงกับชะงัก “ทำไมดูเรื่องนี้”

“...”

“...”

เขาเงียบ ผมก็เงียบ เหมือนกับว่ากำลังเล่นเกมจ้องตากันอยู่

เอาสิ เกมนี้ผมไม่แพ้แน่นอน

นั่นไง ไม่ถึงนาทีก็หันไปมองจอละ

“ร้อน” เขาพูดเสียงขรึมและกอดอก “อึดอัด”

โชคดีรีโมตแอร์อยู่แถวนี้ ผมเลยหยิบมากดเร่งแอร์ให้เย็นขึ้น “กูถามว่าทำไมดูเรื่องนี้”

“เข้ากับชีวิตมั้ง” เขาหันมาแกะแขนผมอีก คราวนี้ผมยอมยกแขนขึ้นและพาดไว้บนพนักพิงด้านหลังเขาแทน

“ยังไง”

“อยู่บ้านกับคนเลวๆ ไง”

“เจ็บนะเนี่ย” ผมหัวเราะ “เวลากูหลับจะได้แอบเอากระทะตีหัวงั้นเหรอ หรือว่ามัดติดกับเตียงแล้ว...”

“อะไร”

“นั่นสิ คิดอยู่ ถ้ากูโดนมัดติดกับเตียงแล้วมึงจะทำอะไร”

“...”

“พูดมา”

“ปล่อยรังมดใส่มั้ง”

“เหรอ นึกว่าอย่างอื่นซะอีก”

“เงียบไปเลย จะดูหนัง”

“แถวนี้ไม่มีรังมดนะ”

“ถ้าไม่เงียบก็ปิด แยกย้ายไปนอน”

“โอเค ดู”

ผมหันไปดูหน้าจอด้วย ขณะที่สมองคิดสะเปะสะปะไม่เป็นเรื่อง แขนที่พาดอยู่บนพนักพิงทำท่าจะเลื่อนตกลงมาเอง แต่ผมก็ฝืนไว้ให้มันอยู่นิ่งๆ

หนังมาถึงช่วงท้ายแล้ว ดูอีกสักพักเด็กแสบเควินก็จัดการคนร้ายขั้นเด็ดขาด

“มีหนังหลงทางมั้ย หรือแนวสายลับก็ได้” ผมเอียงศีรษะไปหาสายธาร “ดูกัน”

“ง่วงแล้ว”

“ทีกูยังดูเป็นเพื่อนมึงเลย มึงก็ต้องดูเป็นเพื่อนกูบ้าง” ผมโน้มตัวไปกดเลื่อนดูที่หน้าแรกของเว็บไซต์ อ่านเรื่องย่อของหนังแต่ละเรื่องผ่านๆ ก่อนจะกดเปิดหนังเรื่องหนึ่ง

“โอเค เริ่ม”

สายธารถอนหายใจ “เรื่องอะไร”

“ที่วิ่งในเขาวงกตอะ”

“เมซรันเนอร์”

“เออ”

“ทำไมเจาะจงว่าต้องหลงทางอะไรงี้” 

เพราะมันเข้ากับชีวิตกูตอนนี้มั้ง ผมคิด แต่พูดไปอีกอย่าง “ตลกดี ตื่นมาจำอะไรไม่ได้แล้วก็วิ่งแม่งทั้งเรื่อง”

“ถ้าเคยดูแล้วจะดูทำไมอีก”

“เออน่ะ ดูๆ ไป”

เราเงียบกันไปอีก

ไม่พูดอะไรกันเลย จนกระทั่งหนังเล่นไปเกือบครึ่งเรื่องผมก็สังเกตเห็นว่าสายธารเริ่มสัปหงกนิดๆ คอตกตาปรือ สองมือวางแปะบนตัก ผมเอื้อมไปกดลดเสียงโน้ตบุ๊กเพื่อไม่ให้รบกวนเขา ก่อนจะกลับมานั่งพาดแขนเหมือนเดิม

ไม่ถึงห้านาทีศีรษะของสายธารก็ซบลงมาบนไหล่ผม

แขนที่พาดอยู่บนพนักพิงเลื่อนลงมาโอบไหล่เขาไว้โดยอัตโนมัติ มุมปากก็ขยับเป็นรอยยิ้มได้เองราวกับไม่ผ่านการสั่งของสมอง

ผลักหัวมันออกดิวะ

โวยวายดังๆ แล้วเข้าไปนอน

แต่ร่างกายผมกลับนั่งนิ่ง สายตายังคงมองหน้าจอดูโทมัสตัวเอกของเรื่องกับเพื่อนๆ วิ่งอยู่ในเขาวงกต ซึ่งกำแพงก็บีบตัวเข้ามาเพื่อปิดทางหนีไว้ แต่ใจผมจดอยู่อยู่บริเวณหัวไหล่ของตัวเอง จุดที่ไออุ่นของสายธารค่อยๆ ซึมผ่านเนื้อผ้าเข้ามา

แม่ง เกิดอะไรขึ้นกับผมวะ

ไอ้เด็กนี่แอบป้ายน้ำมันพรายผมรึไง



ตอนเช้าผมลุกมาชงกาแฟเอง สายธารยังนอนอยู่บนโซฟา เขาตื่นงัวเงียตอนที่ผมใช้ช้อนคนแก้วเบาๆ เจ้าตัวยกมือขยี้ตาอย่างกับเด็กห้าขวบ หัวก็ฟูไม่เป็นทรงอีก โรคเพอร์เฟ็กชั่นนิสต์ของผมพลันกำเริบตะหงิดๆ อยากจะจัดปอยผมของเขาให้เป๋ไปด้านข้างอีกนิด

“กี่โมงแล้ว” เขาถาม

“โทษที กูทำมึงตื่น”

“ทะ...ทำอะไร”

ผมคนแก้วให้เสียงดังขึ้น

“คุณทำอะไรผม”

“ก็นี่ไง ชงกาแฟ เสียงดังมึงเลยตื่น””

เขาถอนหายใจเหมือนโล่งอก ยกมือนวดบริเวณกรามเบาๆ

“แต่เมื่อคืนนี้น่ะ...” ผมผ่อนน้ำเสียงลง “ทำยังไงก็ไม่ตื่น”

เขาเงยหน้าทันที “ทำอะไร แล้วทำไมต้องยิ้มแบบนั้นด้วย”

ในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว ต้องเดินเข้าไปและลงมือจัดปอยผมให้เขา เจ้าตัวเอียงหัวหลบพร้อมกับชักสีหน้ากลับมาให้

“ปัดไปทางนี้ดูดีกว่า ไม่รู้ตัวรึไง”

“ไม่ต้องยุ่ง” เขาปัดมันกลับทางเดิม แถมยังขยี้หัวให้ยุ่งฟูไปหมด “ถามว่าเมื่อคืนทำไม เล่ามา”

“เปล๊า ก็แค่เปิดหนังเสียงดังแต่มึงก็ยังหลับไม่รู้เรื่อง ขี้เซาจริงๆ ทำไม คิดว่ากูจะลักหลับมึงเหรอ ฝันไปเหอะ คิด
อะไรเสื่อมๆ นะมึงอ่ะ”

“...”

“...”

เอาอีกละ ปากกู เริ่มจะปล่อยหมาอีกแล้ว

รอยยิ้มผุดตรงมุมปากเขานิดๆ เป็นรอยยิ้มที่ดูเคร่งขรึมและห่างเหิน

“ดีแล้วละ” เขาลุกขึ้นเดินห้องน้ำ

“ดีอะไรวะ เฮ้ย! เดี๋ยวดิ พูดให้เคลียร์ก่อน อย่ามาเดินหนีกูแบบนี้นะเว้ย...”

สายธารหยุดตรงหน้าห้องน้ำ และหันมาด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ดีแล้วที่คุณไม่คิดอะไร แล้วก็ดีแล้วที่ยังด่าว่าผมแบบนี้”

ปึง

เขาเข้าห้องน้ำไปแล้ว

จุก

ทำไมจุกวะ

เหมือนคำพูดมันต่อยเข้าที่ท้องเลย ไม่ได้ด่าว่าอะไรสักหน่อย แค่แกล้งแซวเล่น ทำเป็นจริงจังไปได้

ผมเขย่งตัวนั่งบนโต๊ะกินข้าว หย่อนขาสบายๆ จิบกาแฟรอโดยยังมองประตูห้องน้ำอยู่ตลอดเวลา จนกระทั่งเจ้าตัวกลับออกมานั่งที่โซฟา ที่คอของเขามีผ้าขนหนูผืนเล็กพาดอยู่ ใบหน้าดูสะอาดสะอ้าน ปอยผมข้างหน้าเปียกชื้นนิดๆ โดยแต่ละเส้นอยู่องศาที่ดี ถึงจะไม่เป๊ะตามที่ผมอยากให้เป็นก็เถอะ

เขายกมือนวดกรามอีก

“เป็นอะไร” ผมถาม

“เปล่า”

“บอกมาเหอะน่า อย่าลีลา ทำหน้าเหมือนขี้ไม่ออกแบบนี้”

“ปวดฟันนิดหน่อย”

“ขี้เกียจแปรงฟันล่ะสิมึง” ผมลงจากโต๊ะมาโน้มตัวมองหน้าเขา “ไหนดู”

“แปรงตลอด นี่ฟันคุดต่างหาก”

“ดูซิ”

“ไม่เอา”

ผมมองหน้าเขา แล้วตัดสินใจอย่างรวดเร็ว “ไปแต่งตัว”

“ไปไหน”

“ไปหาหมอสิวะ”

“ไม่เป็นไร ไม่ได้ปวดอะไรมาก แค่เคืองๆ”

“มึงกลัวหมอฟันเหรอ”

“มะ...ไม่ใช่ซะหน่อย”

“งั้นก็ไปแต่งตัว”

หลังจากแถลงนโยบายโต้กันอยู่พักหนึ่ง ผมก็ลากเขามาขึ้นรถจนได้ เราเงียบกันอยู่นานตั้งแต่ขับรถออกมาจากคอนโด สายธารเหมือนจมอยู่ในโลกสีเทาของตัวเองอีกแล้ว

“เศร้าอีกแล้วนะ” ผมพูดลอยๆ

“เปล่า”

“ทำหน้างี้ คงมีความสุขหรอก”

“หน้าปกติผมก็เป็นงี้”

“มึงเศร้า”

“เอาเถอะ แล้วแต่จะคิด”

“อย่างกับคนอกหัก คิดถึงแฟนเก่ารึไง”

“คุณจะไปรู้อะไร”

“ใช่ กูจะไปรู้อะไรล่ะ ก็มึงไม่เล่า”

“เลิกคุยกันดีกว่า เงียบๆ ไป”

ผมยอมเงียบไปชั่วอึดใจ “ยิ้มซิ แล้วกูจะเงียบ”

เขาเหลือบมองผมด้วยหางตา “อยู่กับคนอย่างคุณใครจะยิ้มออก”

“เหรอ งั้นแบบนี้ล่ะ”

“เฮ้ย! อะ...อะไร อย่าจี้เอว...”

สายธารหลุดขำพรืด

“อะ เก่งจริงก็อย่ายิ้ม นี่ๆๆๆ” ผมโจมตีเอวเขาซ้ำๆ “อยู่กับคนอย่างกู อย่ายิ้ม อย่าหัวเราะ”

“อย่า! โอ๊ย ฮ่าๆ หยะ...หยุด” เขาดิ้นหลบพลางกลั้นขำ “เดี๋ยวรถก็ชนหรอก”

ผมหันมองถนน กุมพวงมาลัยด้วยมือขวา ส่วนมือซ้ายยังยกค้างไว้เป็นเชิงขู่ขณะที่เขาก็มองอย่างหวาดๆ พอผมแกล้งจะแหย่อีกเขาก็สะดุ้ง

“ขี้โกง”

“หึ”

เขายิ้ม ก่อนจะเบือนหน้าหลบไปมองข้างทาง

ผมยิ้ม แล้วหันไปขับรถเงียบๆ

ไม่นานเราก็ไปถึงคลินิกทำฟันที่ประจำของผม เวลาสายๆ วันธรรมดาแบบนี้แทบไม่มีลูกค้าและผมก็โทรมานัดก่อนแล้ว พนักงานสาวที่เคาน์เตอร์ต้อนรับเราอย่างกระตือรือร้นปานจะกลืนกิน มองแวบเดียวก็รู้ว่าสายธารรับมือกับสาวๆ ไม่เก่ง ผมเลยกระโดดเข้าไปรับหน้าแทน พิฆาตเธอด้วยรอยยิ้มน้อยๆ นำร่องไปก่อน แล้วค่อยบอกข้อมูล

“นี่ครับ คนไข้ ปวดฟันเพราะไม่ค่อยแปรงฟัน คงจะผุไปถึงรากฟันละมั้ง ถ้าถอนได้ก็ถอน ผ่าได้ก็ผ่าเลย ฝากบอกคุณหมอด้วยนะครับว่ามือหนักได้เต็มที่”

สายธารอ้าปากจะเถียง แต่ผมรีบตัดบท “เดี๋ยวกูออกไปหาไรกินหน่อย มึงอยู่นี่แหละ เดี๋ยวหมอก็เรียกขึ้นเขียงแล้ว”

จากนั้นผมก็ปล่อยให้เขาเผชิญโชคชะตาตามลำพัง

ฝั่งตรงข้ามมีเซเว่นอยู่ ผมเดินข้ามถนนไปและได้แซนวิชกับนมติดมือออกมา ผมเห็นแต่แรกแล้วว่ามีหมอดูไพ่ตั้งโต๊ะรอฮุบเหยื่ออยู่ข้างๆ เซเว่น ผมไม่เคยสนใจเรื่องโชคลาง ออกจะเอนไปทางดูหมิ่นดูแคลนด้วยซ้ำ แต่จังหวะจะเดินผ่านเสียงไอ้โอมก็ผุดขึ้นมาจนผมหยุดชะงัก เออ ดูฤกษ์ยามดีๆ พอได้จังหวะก็บอกแบบแมนๆ ไปเลย

“ดูดวงมั้ยจ๊ะ แม่นๆ เลย”

“ไม่อ่ะ”

“เดี๋ยวๆ ช่วงนี้มีโปรนะ ดูให้ฟรีเลยหนึ่งเรื่อง การงาน การเงิน ความรัก ถามได้หมดเลย ถ้าแม่นเราค่อยคบหาดูไพ่กันต่อ”

รอยยิ้มแม่หมอกว้างซะจนเหมือนว่าผมเป็นหมอฟันขอตรวจคราบหินปูน อายุเธอน่าจะไม่ต่ำกว่าสี่สิบ อยู่ในชุดกระโปรงยาวลายพร้อย ดูเข้ากับพวงลูกปัดและสร้อยข้อมือ ของพวกนี้สวมใส่มาเพื่อเพิ่มความน่าเชื่อถือ แทบจะเหมือนกับเอาป้ายมาแขวนคอว่า เฮ้ย ดูดิ เจ้สืบเชื้อสายมาจากชาวยิปซีแท้ๆ เลยนะ

ยิปซีเสินเจิ้นล่ะไม่ว่า

แต่ผมก็ตัดสินใจนั่งลง ไม่ใช่เพราะสนใจอยากดูดวง แต่กำลังหาที่นั่งกินแซนวิชพอดี

“โอเค วางมือบนไพ่จ้ะ...”

“กินไปด้วยได้มั้ย”

“ได้ๆ ถ้าหิวขนาดนั้น...ทีนี้ก็วางมือบนไพ่นะ ตั้งจิตตั้งใจให้ดี แล้วอธิษฐานว่าอยากรู้เรื่องอะไร ป้าจะดูให้ฟรีก่อนเลยหนึ่งเรื่อง”

“ป้ามีเชื้อจีนรึเปล่า”

“ใช่ รู้ได้ไงเนี่ย ถือว่ามีเซนส์นะคุณอ่ะ”

เซนส์ไร ดูหนังตาเจ้ก็รู้แล้วมั้ง

ผมวางมือบนไพ่ที่ดูจากสภาพแล้วน่าจะผ่านร้อนผ่านหนาวมาเยอะ อีกมือก็ส่งแซนวิชเข้าปากไปด้วย

“อธิษฐานยัง”

“ขอให้แม่น”

“โอเค อยากรู้เรื่องอะไร”

“ความรัก”

“นึกว่าจะเลือกเรื่องงานซะอีกนะเนี่ย โอเคๆ แป๊บนะ” ป้าคลี่ไพ่เป็นแนวครึ่งวงกลม สุ่มหยิบมาสามใบ แล้วเปิดแต่ละใบช้าๆ ราวกับกลัวว่ามันจะแตกหัก

แล้วก็นิ่งไป

“ว่าไงป้า”

“อืม...ความรัก มีทั้งคนเก่าและคนใหม่เข้ามาเกี่ยวข้อง คนปัจจุบันนี้มีอิทธิพลกับคุณมากนะ แต่มันจะดูแปลกๆ หน่อย”

“แปลกยังไง”

“เหมือนว่าเป็นความรักที่คุณไม่เคยเจอ น่าตื่นเต้นอะไรแบบนี้ แต่เป็นช่วงเริ่มต้นรึเปล่า เหมือนว่ามันจะคลุมเครืออยู่ ยังไม่ค่อยชัดว่าความสัมพันธ์จะไปทางไหน แต่ไม่น่าจะนานนะ มีไพ่ผู้ตัดสินขึ้นมา แสดงว่าอีกไม่นานก็จะรู้ผล”

ผมส่งแซนวิชคำสุดท้ายเข้าปาก ตามด้วยยกขวดนมขึ้นดื่ม

“แล้วผลก็...มันเป็นได้ทั้งสองทาง ถ้าดีก็จะดีไปเลย แต่ถ้าแย่ก็อาจจะถึงขั้นขาดกัน”

“พอละ” 

“แต่...”

“ไม่แม่น” ผมลุกขึ้นควักกระเป๋าสตางค์ หยิบแบงก์ร้อยวางลงบนโต๊ะ “ไม่แม่นตั้งแต่มันมีอิทธิพลกับผมละ บายป้า”


_____________________________

ทำไมเป็นบุคคลที่ซึนที่สุดในโลกขนาดนี้นะพี่เรือนะ <3
รักนักอ่านมากๆ เลยนะคะ ^ ^
รออ่านคอมเมนต์น่ารักๆ ของทุกคนอยู่นะคะ
ขอบคุณมากๆ เลยที่ส่งพลังดีๆ มาให้แบบนี้ <3

ใครอ่านมาถึงตรงไหน
ถ้าเกิดไปคุยกันในโซเชียลติด #รรรเรือ ได้เลยนะคะ >___<
ขอบคุณมากๆ เลยยยย


นางร้าย

23.07.18
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 23-07-2018 19:35:00 โดย นางร้าย »

ออฟไลน์ ลูกกุญแจ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
อยากเอามือตีหน้าผากพระเอกดังเพี้ยะซักที
หมั่นไส้555

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
 :fire: เรือใบนิสัยไม่ดี ทำร้ายจิตใจสาว สว. ได้ไง  :katai1:

ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
กระสุนนัดที่ 25
ร.ระลอก



[สายธาร]

หมอบอกว่าสุขภาพปากโดยรวมโอเคดี ส่วนฟันคุดมันโผล่พ้นเหงือกแล้ว เหงือกบวมนิดหน่อย ถ้าจะถอนเลยก็ได้ หรือจะกินยาให้หายบวมก่อนค่อยมาถอนก็ได้ ผมเลยตัดสินใจให้หมอจัดการให้มันจบๆ ไป

“ร้องไห้มะ” นั่นคือคำแรกที่เขาทัก

“...” ผมส่ายหน้าตอบ เพราะปากยังต้องกัดผ้าก๊อซเพื่อห้ามเลือดอยู่

“หน้าขี้แงงี้ร้องชัวร์ นั่นไง ตาแดงๆ”

หลังจากนั้นเขาก็ทับถมผมต่างๆ นานา ยังไม่พอ ยังพยายามทำให้ผมหัวเราะด้วยวิธีต่างๆ เพื่อให้เลือดจากแผลที่ถอนฟันไหลออกมาอีก ไม่ว่าจะเป็นปล่อยมุกฝืดๆ ทำหน้าตาประหลาดๆ รวมถึงพุ่งเข้ามาล็อกตัวและจั๊กจี้เอว วิธีอื่นผมเอาตัวรอดได้หมด แต่จั๊กจี้นี่ไม่ไหวจริงๆ

โชคดีที่คุณหมอมือเบา แผลเลยไม่แย่มาก ใช้เวลาแค่สามวันก็แทบจะรู้สึกหายเป็นปกติ

จะว่าไป ถ้าไม่นับเรื่องแกล้งพูดทับถมกับจั๊กจี้แล้ว เรือใบก็ดูแลผมดีทุกอย่าง ดีเกินไปสำหรับคนหยาบๆ อย่างเขา มีมานั่งป้อนโจ๊กให้ด้วย

ผมบอกเขาว่ากินเองได้ แค่ถอนฟัน ไม่ได้เป็นง่อย แต่เขาก็อ้างว่าถ้าปล่อยให้จัดการตัวเอง เด็กดื้ออย่างผมคงไม่กินข้าวไม่กินยา เผลอๆ จะเอาไปเททิ้งด้วย

เรือใบดูแปลกไป

ดูไม่เป็นตัวของตัวเอง

บางครั้งทำท่าเหมือนจะพูดอะไรบางอย่าง แต่ก็ไม่พูด...

พฤติกรรมของเขาทำให้ผมคิดถึงพี่ภาณบ่อยขึ้น พี่ภาณจะไม่พยายามทำให้ผมหัวเราะด้วยวิธีเถื่อนๆ แบบนี้หรอก แต่พี่ภาณไปแล้ว สิ่งที่ยังเหลืออยู่ก็มีแค่ความทรงจำ กับน้ำเสียง ของเขาที่ผมคิดขึ้นมาเองเพื่อทำให้ภาพอดีตพวกนั้นมีชีวิตชีวา

การปลอบตัวเองว่าเรื่องราวแสนดีเหล่านั้นยังไม่ได้หายไปไหน ช่วยให้ผมอยากใช้ชีวิตต่อไป

แต่ความจริงที่ว่าเขาไม่ได้อยู่ตรงนี้แล้ว ก็ทำให้ผมอยากกระโดดลงจากตึกหรือไม่ก็กินยานอนหลับสักกำ

ความรู้สึกสองขั้วนี้ฉีกทึ้งผมไปคนละทิศละทางไม่ต่างจากถูกชักคะเย่อ ปมเชือกที่อยู่ตรงกลางถูกดึงแน่นเข้าเรื่อยๆ และสักวันหนึ่งมันคงขาด...

ถ้าไม่ใช่เพราะเรือใบรวบตัวผมหมอบลงกับพื้นในคืนนั้น ทุกอย่างก็คงจบไปแล้ว

จบโดยที่ผมไม่ได้มีส่วนในการตัดสินใจและต้องรับผิดชอบใดๆ ด้วย

เวลาเกือบเที่ยงคืน เป็นอีกคืนที่ผมนึกอยากจะอาศัยเบียร์ช่วยกล่อมให้หลับ เรือใบเปิดประตูออกมาจังหวะนี้พอดี ราวกับความคิดผมดังทะลุเข้าไปในห้อง

เขาเข้ามานั่งข้างๆ ผมบนโซฟา ยกแขนพาดพนักพิงด้านหลังผมอย่างอัตโนมัติ พักหลังมานี้เขาชอบนั่งแบบนี้ตลอด

“กูมีไรจะบอก” เขาพูดเสียงหนักแน่น

“ว่า...”

เขานิ่งไปครู่หนึ่ง แล้วถอนหายใจนิดๆ “อยากกินท่อนแยมทอด ไปทำให้หน่อย”

“กินไรตอนนี้ ดึกแล้ว”

“ก็ได้ งั้นดูหนังกัน”

“ไม่อ่ะ ผมก็มีเรื่องจะบอกเหมือนกัน”

เรือใบหันขวับมองหน้าผม “อะไร”

“อยากกินเบียร์”

“อืม...ก็ดีเหมือนกัน”

“หือ? จริงดิ”

“มึงทำท่อนแยม กูลงไปซื้อเบียร์ แล้วมาดูหนังกัน”

“ผมแค่อยากกินเบียร์แล้วก็นอน...”

“เออ ไงก็ได้ กูไปซื้อเบียร์ก่อนละกัน”

ไม่ค่อยเผด็จการแล้วแฮะ

คิดอะไรของเขาอยู่นะ


ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
กระสุนนัดที่ 26

ร.รน



[เรือใบ]

ผมนั่งอยู่หน้ากระจก พยายามยิ้มหลายๆ แบบเพื่อให้ตัวเองดูงี่เง่าน้อยที่สุด แต่ดูแล้วก็ไม่ต่างกันเลยสักแบบ เคยเห็นแต่ในหนัง ไม่คิดว่าตัวเองต้องมาทำอะไรแบบนี้

เฮ้ย มึงว่ากูดูเป็นไงในสายตาคนที่ชอบผู้ชายด้วยกัน ไม่ดี ดูไม่มีความมั่นใจเลย

โอเค ฟังนะ กูไม่รู้ว่ามึงคิดยังไงกับกู แต่กูคิดว่า...  งี่เง่าจริงๆ

กูรู้ว่ามันแค่เวลาสั้นๆ แต่ในเวลาสั้นๆ อะไรก็เกิดขึ้นได้จริงมั้ย กูคิดว่ามันเกิดขึ้นกับกูแล้วล่ะ คือว่า... พอเถอะ จะยาวไปไหน

เอาเป็นว่าพูดคำนั้นสั้นๆ ละกัน อย่างที่ไอ้โอมบอก แมนๆ กันไปเลย

ผมซ้อมอยู่อีกสองสามรอบ แล้วตัดสินใจเปิดประตูออกไป

สายธารนั่งอยู่บนโซฟาที่ประจำของเขา สวมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นที่ผมซื้อให้ ดูจ่อมจมอยู่กับความคิดน่าหดหู่สักอย่าง จังหวะนี้เหมาะหรือเปล่านะ แต่จะว่าไปเขาก็เป็นอย่างนี้ตลอดอยู่แล้ว

ผมเข้าไปนั่งลงข้างเขา คำพูดเกริ่นนำโพล่งจากปากทันที “กูมีไรจะบอก”

แต่หลังจากนั้นผมก็ปอดแหกขึ้นมา เลยเฉไฉไปว่าอยากกินท่อนแยมทอดซะงั้น ซึ่งก็แน่นอนว่าเขาปฏิเสธ ที่น่าแปลกใจคือ จู่ๆ เขาก็มีเรื่องจะบอกผมเหมือนกัน

ผมหันขวับ กลั้นใจรอฟัง “อยากกินเบียร์” นั่นคือสิ่งที่เขาบอก ใจที่เพิ่งพองฟูขึ้นพลันเหี่ยวแฟบลง ทำไมถึงคิดว่าเขาจะพูดอะไรเกี่ยวกับผมนะ เพราะเขาสวมเสื้อผ้าที่ผมตั้งใจเลือกให้งั้นเหรอ แต่นี่มันก็เป็นชุดอยู่กับบ้านตามปกติอยู่แล้ว

เขาอยากกินเบียร์ตอนนี้

ดีเหมือนกัน

ผมเลยอาสาลงไปเซเว่น ซื้อเบียร์กระป๋องยกมาทั้งแพ็กพร้อมกับขนมขบเคี้ยวเป็นของแกล้ม พอกลับขึ้นมาก็เห็นว่าเขาทำท่อนแยมทอดอยู่เกือบจะเสร็จแล้ว

“ไหนว่าไม่ทำ” ผมกลั้นยิ้ม

“เปลี่ยนใจ”

“ทำไมเปลี่ยนใจ”

“ก็คุณอุตส่าห์ไปซื้อเบียร์ให้”

“กูไม่ได้อุตส่าห์ เต็มใจต่างหาก แล้วกูก็จะกินด้วย”

“เออๆ” เขาเก็บเครื่องครัว แล้วหยิบจานที่มีท่อนแยมทอดแค่ไม่กี่ชิ้นมาตรงหน้าผม “ดึกแล้ว กินแค่นี้พอ”

“ไม่ต้องห่วง ระบบเผาผลาญกูดี”

“ใครเขาห่วงคุณ” เขาพูดพึมพำ

รอยยิ้มคลี่บานบนใบหน้าผมจนได้ เมื่อกี้ผมพอฟังออกว่าเขาพูดอะไร แต่ก็ยังอยากได้ยินอีก “ว่าไงนะ”

“ช่างเถอะ กินๆ ไปแค่นั้นแหละ ขี้เกียจทำแล้ว”

“ได้ยินว่าห่วงๆ อะไรสักอย่าง”

“จะดูมั้ยหนังอ่ะ”

“ดูสิ อยากดูเรื่องไร”

“แล้วแต่”

“หนังโป๊มะ”

“ไม่เอา”

“ไหนบอกแล้วแต่กู”

“ถ้าอยากดูอะไรทุเรศๆ ก็ไปดูคนเดียวในห้อง...ยกโน้ตบุ๊กไปเลย ผมจะนอนแล้วถ้างั้น”

ผมลุกไปปิดไฟเพดานบางดวงทำให้ทั้งห้องสลัวลง จากนั้นกลับมาเลือกหนังแบบสุ่มๆ จากหมวดแฟนตาซี

“โป๊ไม่มีว่ะ มีแต่แบบนี้พอได้มั้ย”

“อืม”

“โอเค”

เราดื่มเบียร์พร้อมกับดูไปเงียบๆ สายธารดื่มไปกระป๋องกว่าๆ พอหนังถึงครึ่งเรื่องเขาก็ผล็อยหลับ

ก็เหมือนกับคืนก่อนๆ ผมหรี่เสียงโน้ตบุ๊กลงจนเกือบสุด ดึงศีรษะเขามาซบบนไหล่ ปล่อยให้แสงวูบวาบของฉากแอ๊คชั่นจากหน้าจออาบร่างเราทั้งคู่ เมื่อประกอบกับอาการมึนนิดๆ จากฤทธิ์เบียร์ ก็ชวนให้รู้สึกราวกับว่าเราหลุดเข้าไปอยู่ในโลกอื่น

โลกที่มีแค่เราสองคน

และรอบตัวนั้นก็เต็มไปด้วยความปั่นป่วนคลุ้มคลั่ง แต่เงียบงัน



ฤกษ์งามยามดี

คืนนี้ละ...

ถ้ายึดตามปฏิทินจีนคือวันธงชัยเชียวนะ วันที่ดีที่สุด ยามที่ดีที่สุด เหมาะแก่การมงคลทั้งหลาย ซึ่งจะบันดาลให้ประสบความสำเร็จโดยง่าย ผมไม่เชื่อเรื่องพวกนี้ ไม่เคยชื่อ แต่ต่อให้มันไม่มีเค้าความจริงเลยก็ตาม ตอนนี้มันก็ยังเป็นแรงสนับสนุนที่ดีอย่างน่าเหลือเชื่อ

ที่สำคัญผมอยากทำตอนที่สติสัมปชัญญะยังสมบูรณ์ดี เห็นชัดๆ แล้วว่าแอลกอฮอล์ไม่ได้ช่วยอะไร เผลอๆ จะทำให้แย่กว่าเดิมด้วยซ้ำ เพราะปากพาซวยของผมอาจเผลอพูดจาพล่อยๆ ออกไปได้ทุกนาที

เฮ้ย เอาตรงๆ เลยละกัน มึงรู้ใช่มะว่ากูไม่ได้ทำตามหน้าที่ที่เฮียยอช์ตสั่ง เพราะกูไม่ใช่ตำรวจแล้ว ไม่มีหน้าที่ต้องมาดูแลมึงแบบนี้...

สายธาร เอาแบบผู้ชายเลยนะ กูไม่รู้ว่าเกิดอะไรขึ้นกับกู แต่มันก็เกิดขึ้นไปแล้ว...

มึงรู้ใช่มั้ยว่าทำไมกูชอบวางแขนพาดตรงนี้...มึงต้องรู้อยู่แล้ว อย่ามาแกล้งโง่...

ช่างมันเถอะ พูดยังไงก็เหมือนกันแหละ

ลุยๆๆๆ

ผมสูดหายใจ แล้วเปิดประตูออกไป

สายธารนั่งอ่านหนังสืออยู่ที่โซฟา ดูท่าทางผ่อนคลาย อาจจะมีมุมยิ้มตรงมุมปากด้วยซ้ำ บอกแล้วว่านี่คือวันธงชัย

ผมเข้าไปนั่งข้างเขา พาดแขนบนพนักพิงด้านหลังเขาโดยอัตโนมัติ พักหลังมานี้ผมนั่งท่านี้ตลอด ต้องตัวชิดกันเพื่อจะได้ดูหนังจากหน้าจอโน้ตบุ๊กถนัดๆ จากเดิมที่เลือกดูหนังเป็นเรื่องๆ สองสามวันมานี้เราพัฒนามาดูซีรีส์กันแล้ว เขาเคยถามว่ามีวิธีทำให้ภาพขึ้นจอทีวีได้มั้ย ผมตอบทันทีว่าไม่ โดยไม่คิดจะศึกษาด้วยซ้ำ

ตอนนี้เรายังไม่ได้เริ่มดูหนัง แต่ผมก็ยังพาดแขนบนพนักพิงอยู่ดี

“ไง” ผมทัก

“อือ” เขาเหลือบมองผมด้วยหางตา ก่อนจะกลับไปอ่านต่อ

“ทำไรอยู่”

“ขับเครื่องบินอยู่มั้ง”

“เออ เห็นแล้ว สนุกมะ”

“ก็ดี”

“อืม”

ท่าทางมีสมาธิของเขาทำให้หมาในปากผมนอนสงบ ไม่อยากพูดอะไร แค่อยากนั่งตรงนี้ ดูเขาจมลงไปในเรื่องราวบนหน้าหนังสือ แล้วผมก็จมลงไปในท่าทีของเขาอีกที

สักพักหนึ่ง คิ้วของเขาก็เริ่มขมวดเข้าหากัน

แล้วในที่สุดก็ลดหนังสือลง “นี่คุณมานั่งจ้องผมทำไม”

“จ้องที่ไหน กูแค่นั่งตรงนี้เฉยๆ”

“แล้วคุณมานั่งตรงนี้ทำไม นั่งใกล้ขนาดนี้อีก อึดอัด”

“อ่าว นั่งไม่ได้รึไง ทีตอนดูหนังยังนั่งได้”

“ก็นั่นตอนดูหนัง ตอนนี้นั่งทำไมล่ะ”

“ก็...” ผมยักไหล่ “ทำไมต้องมีเหตุผลไรเยอะแยะ อยากนั่งก็นั่ง”

สายธารถอนหายใจ เอียงตัวออกไปเพื่อมองหน้าผมให้ชัดๆ “คุณนี่ทำตัวแปลกๆ นะ มีอะไรรึเปล่า”

ผมขยับตัวถอยไปอีกนิด ชักแขนที่พาดบนพนักพิงมาอยู่ในท่ากอดอก “มีไร ไม่มี้” ทำไมผมต้องเสียงสูงด้วยวะ แถมยังกอดอกด้วย ในวงการตำรวจรู้กันดี ท่ากอดอกนี่เป็นภาษากายง่ายๆ ที่แสดงว่าคนทำกำลังปกป้องตัวเองหรือปิดกั้นบางสิ่งบางอย่างอยู่

ผมเลยลดมือลง เปลี่ยนไปเคาะนิ้วกับหัวเข่าเล่น

“มีอะไรก็ว่ามา”

“ไม่-มี ได้ยินชัดป่ะ”

“เด็กประถมยังดูออกเลย” สายธารโน้มตัวไปข้างหน้าและเอียงศีรษะมามองหน้าผม “ว่าไง จะกินท่อนแยม?”

“เปล่า”

“งั้นอะไร”

มึงนี่ก็จี้จัง จะรู้ให้ได้เลยใช่ป่ะ

ได้!

“เออ มีก็มี”

“นั่นไง”

“กู...”

“ว่า...”

“ขอยืมหนังสือมึงได้ปะ”

“...”

“เล่มนั้นน่ะ สีฟ้าขาวที่มีคนฆ่าตัวตาย”

“คุณเนี่ยนะ อ่านหนังสือ”

“ทำไม หน้าตาอย่างกูเหมือนอ่านหนังสือไม่ออกรึไง”

“รู้ว่าอ่านออก แต่เหมือนไม่ชอบอ่าน”

“ดูหนังเยอะแล้ว อ่านบ้าง”

“แต่เล่มนั้นมันเป็นรักวัยรุ่นนะ แบบที่คุณว่า”

“ไหนมึงบอกเกี่ยวกับตีแผ่คำถาม ก้าวข้ามปมปัญหา เติบโตเป็นผู้ใหญ่”

“ฮ่าๆ” สายธารหัวเราะเบาๆ “งั้นก็ตามใจ”

เขาลุกไปค้นข้าวของส่วนตัว แล้วกลับมาพร้อมกับหนังสือเล่มนั้น “อ่ะ นี่”

“ขอบใจ” ผมรับมันมาพลิกดู เคาะมันกับสันมือเบาๆ เหมือนครุ่นคิดทั้งที่ในสมองว่างเปล่า “งั้นกูไปละ”

ผมลุกขึ้นเดินกลับไปยังที่ชอบที่ชอบของตัวเอง

“นี่คุณ”

ราวกับมีเชือกล่องหนผูกรอบตัวผมและถูกกระตุกเบาๆ ผมหันกลับไป หัวใจเต้นแรงขึ้นฉับพลัน “อะไร”

“อ่านให้สนุก”

“เออ หวังว่างั้น”

แล้วผมก็กลับเข้าห้อง

ฮู่ว...

ไอ้โอมพูดผิด ผมรู้สึกแล้ว แต่มันก็ยังมีเส้นนั้นอยู่จริงๆ เส้นล่องหนบางเบาที่ผมก้าวข้ามไม่ได้ทั้งตอนเมาและขณะที่ตื่นเต็มตา

อีกอย่าง ที่สายธารพูดน่ะถูกแล้ว เด็กประถมยังดูออกเลย แล้วทำไมคนจบปริญญาตรีอย่างเขาจะดูไม่ออก

ที่เขาถามจี้หลายครั้งนี่เพื่อให้ผมพูดสิ่งที่คิดอยู่ออกมารึเปล่า

หรือว่าเขาจะไม่รู้จริงๆ ว่าผมคิดอะไรอยู่...



________________________


อิพี่เรือ แงงงงงงงงงง <3
เวลาคนผีบ้า ซึนๆ กระวนกระวายนี่แบบ แง น่ายักดีเนอะ <3
ฮืออออออ คิดถึงทุกคนมากเลย
รออ่านคอมเมนต์น่ารักๆ อยู่นะคะ T///T

ถ้าอ่านแล้วอยากพูดคุย ติดแท็ก #รรรเรือ ในโซเชียลได้นะคะ
ชอบเข้าไปอ่านมากๆ เลย <3


นางร้าย

31.07.18

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7

ออฟไลน์ ลูกกุญแจ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
ยึกยักอยู่นั่นแหละ แหมมมมมมมมมม
พ่อคุณ คนน่าตีปาก5555

ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
กระสุนนัดที่ 27
ร.ระเบิด



[สายธาร]

บางครั้งจิตใจคนเราก็ช่างเหมือนลูกตุ้มซะเหลือเกิน พอแกว่งไปที่ขั้วหนึ่ง ไม่นานมันก็จะเหวี่ยงไปอีกขั้ว เมื่อวานผมยังเป็นผู้เป็นคน นิยายเรื่องใหม่ที่เริ่มอ่านน่ารักชวนให้ยิ้มได้ แต่ผ่านมาอีกวันอารมณ์กลับดิ่งลงเหว

ช่วงนี้เรือใบทำตัวเผด็จการน้อยลง ยิ้มมากขึ้น แถมยังยืมหนังสือไปอ่านด้วย จิตใจเขาอาจจะคล้ายลูกตุ้มเหมือนกันมั้ง

ในบางครั้งเขาก็ดูเกือบจะคล้ายพี่ภาณ ผมอธิบายไม่ได้ว่าคล้ายยังไง อาจจะเป็นน้ำเสียงอยากรู้อยากเห็น การหัวเราะแบบไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย ท่าทีลุกลี้ลุกลนเหมือนเด็กที่พยายามเก็บความลับสักอย่างไว้กับตัว อาจเป็นแววตา หรือแม้แต่ช่วงไหล่กว้างๆ ตอนหมุนตัว...

อาจเป็นอะไรหลายๆ อย่างที่ผสมปนเปกัน จนทำให้อณูอากาศภายในห้องเกิดกลิ่นอายคล้ายตอนที่พี่ภาณยังอยู่

คืนนี้ผมเลยต้องใช้เบียร์เป็นตัวช่วยให้หลับอีก เรือใบลงไปซื้อให้เหมือนเคย แถมยังปล่อยให้ผมนั่งกินคนเดียวเงียบๆ อย่างที่ขออีก

ทำไมเขาถึงตามใจนะ

ผมอยากให้เขาด่าว่าผมมากกว่า

แล้วระหว่างนั้นผมก็นึกขึ้นได้ว่า คืนนี้ไม่ใช่แค่มีกลิ่นอายคล้ายตอนที่พี่ภาณยังอยู่ แต่บรรยากาศก็ดูคล้ายวันที่เขาไปด้วย อารมณ์ผมไม่ได้แกว่งเหมือนลูกตุ้มแล้ว แต่มันตึงเขม็งคล้ายเชือกชักคะเย่อมากกว่า ความรู้สึกสองขั้วกำลังจะฉีกทึ้งผมออกเป็นชิ้นๆ

อบอุ่น...ว้าเหว่

เข้าใจ...แต่ก็โกรธ

ข้างนอกเงียบ...แต่ข้างในเสียงดัง

“พอแล้วมั้ง” เสียงเรือใบดังขึ้น ผมไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเปิดประตูออกมาจากห้องนอนตอนไหน

ผมไม่พูดตอบ ก้อนอะไรบางอย่างจุกอยู่ในลำคอจนพูดไม่ออก มือกำกระป๋องเบียร์แน่นเกินไปจนเกิดรอยบุบ ผมเลยยกซดอึกใหญ่ แล้วหายใจเข้าลึกๆ เพื่อให้ตัวเองผ่อนคลาย

เรือใบนั่งลงบนโซฟา ค่อยๆ แกะกระป๋องเบียร์ออกจากมือผม

“พอ”

“กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว” ปากผมขยับพูดไปเอง คล้ายแรงดันในหม้อต้มที่ถึงจุดต้องระบายออก “โชคชะตาได้นำพานักศึกษาหนุ่มสองคนมาพบกัน”

“อะไร นิทาน?”

“คนหนึ่งเป็นรุ่นพี่ชื่อภาณุ อีกคนเป็นรุ่นน้องชื่อสายธาร ทั้งคู่เจอกันอย่างเรียบง่ายในห้องสมุด แทบจะตกหลุมรักกันในทันที ภาณุเป็นคนสบายๆ พูดเก่ง รวยอารมณ์ขัน ชอบทำอะไรแหกกรอบ ส่วนสายธารเติบโตมาในครอบครัวที่เคร่งครัด เป็นคนเงียบๆ ชอบฟังมากกว่าพูด พวกเขาเลยเข้ากันได้ในทุกแง่ทุกมุมเหมือน...”

“...”

ผมหยิบเบียร์มาซดอีกพร้อมกับกลืนก้อนสะอื้นกลับลงไป “เหมือนจิ๊กซอว์ที่ต่อกันได้สนิท”

เรือใบเปิดเบียร์กระป๋องใหม่แล้วจิบบ้าง “อืม”

“ภานุทำให้สายธารมองโลกในแง่ดีและหัวเราะเก่งขึ้น สายธารก็ช่วยให้ภาณุจริงจังกับชีวิตมีเป้าหมายชัดเจน พวกเขา...เข้าอกเข้าใจกันดี”

“...”

“รักกันมาก”

“...”

“เลยตัดสินใจย้ายมาอยู่ด้วยกัน วาดฝันสวยงาม จับมือกันเดินไปข้างหน้า และทั้งคู่ก็จะได้ครองรักกันอย่างมีความสุขตลอดไป เหมือนตอนจบของนิทานทุกๆ เรื่อง แต่...”

“อะไร”

“แต่คืนหนึ่ง ไอ้สายธารแม่งดันอยากกินขนมกลางดึก ภานุเลยอาสาลงไปซื้อให้ เขาไม่บ่นสักคำ แถมยังจูบหน้าผากอีกฝ่ายก่อนไปด้วย ตอนขากลับนั้นเอง เขาไม่รู้เลยว่ามี...”

“อะไร”

“มีมนุษย์หมาป่าหิวโซป่าดักรออยู่ มันกระโดดออกจากมุมมืดมาขย้ำเขาจนจมเขี้ยว แล้ว...แล้ว...” มาถึงตรงนี้ผมก็กลั้นน้ำตาไว้ไม่ได้อีก ผมใช้หลังมือปาดมันออกจากแก้มแรงๆ แล้วค่อยยกเบียร์ซดอึกใหญ่

“...”

“...”

แรงสะอื้นพาให้ตัวผมสั่นเยือก เรือใบวางมือบนไหล่ผมและบีบเบาๆ สัมผัสของเขาราวกับเปิดสวิตช์คำพูดในตัวผมขึ้นมาอีก

“สายธารดูทีวีรออยู่นานก็ไม่เห็นคนรักกลับมาสักที ลองโทรไปก็ไม่ติด...”

“ไม่ต้องเล่าแล้ว”

“เขาเลยลงไปตาม ก็เห็นผู้คนมุงดูและส่งเสียงกันโหวกเหวก เขาเร่งฝีเท้าเข้าไป แล้วก็เห็นภาณุ...นอนจมกองเลือดอยู่ริมถนน ถุงขนมกระจายเกลื่อน ปาปริก้าที่สายธารชอบกินถูกเหยียบจนถุงแตก แต่ภาณุก็ยังกำมันไว้แน่น ผม...”

“พอ”

“ผมเข้าไปกอดเขา ทั้งเขย่าทั้งทุบตี แต่เขาก็ไม่ตื่น เขา...”

“สายธาร” เรือใบบีบไหล่ผมอีก

คราวนี้ผมโผเข้ากอดรวบเอวเรือใบไว้ ไม่ใช่ต้องการความเห็นใจ แต่เป็นวินาทีที่ผมต้องเกาะกุมใครสักคนไว้เพื่อไม่ให้ตัวเองแตกสลาย ความรู้สึกที่เก็บกดมาตลอดสองปีปะทุขึ้นมาเป็นระลอก ทั้งความโกรธ น้อยใจ เศร้า และสิ้นหวัง

“เขาเคยสัญญาว่าจะอยู่ด้วยกัน”

“กูอยู่นี่”

เรือใบโอบรอบตัวผม

เหมือนกอดของพี่ภาณไม่มีผิด มือข้างหนึ่งจะโอบที่เอว และมืออีกข้างจะกดท้ายทอยไว้เบาๆ แบบนี้ แต่แทนที่จะช่วยให้ดีขึ้น แรงกอดนี้กลับทำให้เหลี่ยมแก้วแตกๆ ที่แทรกเจืออยู่ในตัวตนของผมบดเบียดกันจนเจ็บไปหมด ผมจิกแผ่นหลังเขาไว้ พลางเม้มปากสะกดกลั้นความรู้สึก

“...”

“...”

แล้วผมก็คลายอ้อมแขนออก ใช้หัวไหล่ปาดน้ำตาจากแก้ม ซดเบียร์อีกหลายอึกเพื่อดับความร้อนข้างในที่คล้ายกับมีเตาหลอมซ่อนอยู่

หลังจากเงียบกันไปพักใหญ่ เรือใบก็พูดขึ้นเบาๆ “มนุษย์หมาป่านั่น...”

“พี่ภาณถูกแทง มันได้ไอโฟนกับเงินแค่ไม่กี่ร้อยไป”

“แม่ง อย่างกับในละคร”

“อืม”

“แล้วตำรวจ...”

“จับคนทำไม่ได้ ตำรวจแม่งเหี้ย!”

“ส่วนใหญ่ก็เหี้ยจริง” เรือใบนิ่งไป แล้วถอนหายใจ “เพราะงี้มึงเลยไม่ค่อยชอบตำรวจ”

“...”

“ไม่ชอบดูทีวี”

“...”

“แล้วก็ไม่กินปาปริก้าที่กูซื้อมา”

“พอเหอะ ไม่อยากพูดถึงแล้ว”

“ทีแรกกูนึกว่ามึงอกหัก” 

“บอกให้พอไง!”

“พี่ภาณของมึงหน้าตายังไง”

ผัวะ!

รู้ตัวอีกทีผมก็ฟาดปากเขาไปแล้ว โดนหมัดขวาเข้าไปเต็มๆ จนหน้าสะบัดและตัวเอียงซบกับพนักพิง

เรือใบกลับมานั่งตัวตรง กดริมฝีปากไว้กับหลังมือ “ต่อยเบาเป็นเด็กเลยว่ะ”

แล้วห้องก็กลับมาเงียบอีกครั้ง...



CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
กระสุนนัดที่ 28
ร.ร่วม



[เรือใบ]

เขาไม่ได้อกหัก ไม่ได้ถูกบอกเลิกด้วยเหตุผลงี่เง่าตามประสาวัยรุ่น

สิ่งที่เขาเจอมันหนักกว่านั้น ทั้งที่คดีฉกชิงวิ่งราวควรจะเป็นเรื่องขี้หมูขี้หมาแท้ๆ สมัยยังเป็นตำรวจผมคงคลุกอยู่กับเรื่องพวกนี้จนชิน มองดูเลือดและความตายโดยไม่สะทกสะเทือนเลย ไม่เคยนึกถึงคนที่อยู่ข้างหลังผู้เคราะห์ร้ายเหล่านั้นด้วยซ้ำ

จนกระทั่งตอนนี้...

แต่ไม่ว่าผมจะมีมุมมองกับเรื่องนี้ยังไงมันก็คงไม่สำคัญ ที่สำคัญคือสายธารระบายมันออกมาแล้ว กำแพงส่วนตัวพังทลายไม่มีชิ้นดี น้ำตาอาบแก้ม เนื้อตัวสั่นเทาอยู่ในอ้อมแขนของผม

หลังจากนั้นเขาก็ผละอ้อมกอดออก เช็ดน้ำตา พยายามก่อกำแพงเพื่อขังตัวเองไว้ในโลกส่วนตัวอีกครั้ง และไม่รู้ว่าผมพูดอะไรผิด จู่ๆ เขาก็เหวี่ยงกำปั้นฟาดปากผมเต็มๆ

เล่นเอาหมาในปากหงอยไปเลย

หรืออาจจะไม่ได้พูดอะไรผิด แต่พูดมากเกินไป

โอเค เงียบ

แต่มันก็อดพูดไม่ได้

“ต่อยเบาเป็นเด็กเลยว่ะ” รสเลือดเอ่ออยู่ในปาก กระพุ้งแก้มคงจะแตกนิดๆ ผมเลยหยิบเบียร์เย็นๆ กระดก ค่อยรู้สึกดีขึ้นหน่อย

“...” สายธารยังไม่พูดอะไร

“เสียใจด้วยนะ เรื่องแฟนมึง”

“...”

“จากกันแบบนี้ ยังดี นึกย้อนหลังไปก็มีแต่เรื่องดีๆ”

“...”

“แต่ที่กูเจอสิ แม่ง”

“...” สายธารหันมามองผม แต่แววตาดูเหม่อลอยและห่างไกล คล้ายกับว่ามีแค่เศษเสี้ยวของตัวตนเท่านั้นที่สนใจสิ่งที่ผมพูด

ไม่

ผมพูดมากไปแล้ว อย่าพูดต่อ ไม่นะ ไม่...

“ลิน”

“...”

ชื่อเธอหลุดออกมาแล้ว คำพูดอื่นๆ ดันขึ้นมาจนริมฝีปากสั่น ราวกับถ้อยคำเหล่านี้โหยหาคนที่จะรับฟังพวกมันมานาน คนที่นั่งฟังเงียบๆ ไม่สนใจเกินไปแต่ก็ไม่ถึงกับเมินเฉย แบบที่สายธารกำลังเป็นอยู่ตอนนี้

“คู่หมั้นกูน่ะ” ในที่สุดผมก็ทนไม่ไหว “จะแต่งกันอยู่แล้ว แต่แม่งดันมีชู้ จับได้คาหนังคาเขาเลย”

“...”

“คนแบบนี้ที่สมควรตาย ไม่ใช่คนแบบแฟนมึง”

สายธารเลิกคิ้วขึ้นนิดๆ อาจเป็นเพราะคำว่า ‘ตาย’ หรือไม่ก็ ‘แฟนมึง’ ที่ดึงเขากลับมาจากโลกส่วนตัวอันห่างไกลให้เข้าใกล้ผมมากขึ้น

“ปืนลูกโม่ที่มึงเห็น...นั่นแหละ...”

ผมเม้มปาก สะกดถ้อยคำไว้

เราเงียบกันไปอึดใจใหญ่

“คุณยิง...” เสียงสายธารแผ่วเบา เหมือนลอยแว่วจากที่ไกล

“เออ ยิงแม่งทั้งคู่เลย”

“...”

ผมพูดออกไปแล้ว

กำแพงส่วนตัวแตกสลายและเปลือยเปล่าทางจิตวิญญาณไม่ต่างจากเขา

ความรู้สึกมันเป็นอย่างนี้เอง...

แววตาของสายธารดูซับซ้อน แวบแรกเป็นความตกใจราวกับถูกผมต่อย แต่วินาทีต่อมา แววตาเขาเฉื่อยเนือยลงและมีรอยยิ้มเล็กๆ ตรงมุมปาก ซึ่งมันอาจสะท้อนมาจากความเข้าอกเข้าใจหรือนึกเสียดเย้ยกับความเป็นไปของโลกก็ได้

มันเป็นช่วงเวลาที่แปลกประหลาด เราสองคนต่างถูกโลกฉีกทึ้งจนยับเยิน จนไม่ต่างจากก้อนเนื้อเหวอะหวะที่ยังหายใจได้ และตอนนี้เราก็นั่งอยู่ด้วยกัน ต่างคนต่างเสแสร้งว่าไม่เป็นไร ทั้งที่มองเห็นรอยแผลอักเสบของกันและกันได้ชัดเจน

ความเงียบปกคลุมลงมา

ผมซดเบียร์จนหมด แล้วเปิดกระป๋องใหม่ สายธารเห็นแบบนั้นก็ทำตามด้วย พอผมกระดกหนักๆ เขาก็ทำตามอีกเหมือนเป็นการล้อเลียน

ผมหัวเราะในลำคอ พร้อมกับชูกระป๋องเบียร์ไปทางเขา

เขาเอากระป๋องของตัวเองมาชนด้วย และพยายามหัวเราะให้คล้ายผม

จากนั้นเราก็ตั้งหน้าตั้งตาซดเบียร์กระป๋องต่อกระป๋อง ปริมาณแอลกอฮอล์ที่ซึมเข้าสู่กระแสเลือดเร็วเกินไปทำให้หัวหมุนติ้ว รู้สึกยินดีที่ตัวตนจมดิ่งลงไปในโลกที่เลอะเลือน

ไม่รู้เวลาผ่านไปนานเท่าไหร่ แต่สายธารดูหมดสภาพไปแล้ว เขาบ่นอะไรกับตัวเองงึมงำ ศีรษะเอียงโงนเงน ในที่สุดก็เอียงซบลงมาบนไหล่ผม

“พี่...”

“หืม”

ผมโอบตัวเขาไว้

ส่วนเขาก็สอดแขนกอดตอบ

“อะไร ธาร...”

“พี่ภาณ”

อ้อ เขากำลังเพ้อ

สำหรับเขา คนที่นั่งอยู่ตรงนี้ไม่ใช่เรือใบอีกต่อไปแล้ว นั่นทำให้ผมรู้สึกขัดแย้งในตัวเอง ทั้งอยากกอดเขาไว้และผลักตัวออก ระหว่างนั้นเองเขาก็แนบตัวชิดเข้ามา

ลมหายใจร้อนผ่าวพ่นรดต้นคอผม ปลายจมูกเกลี่ยไล้สันกรามก่อนจะเลื่อนมาที่คาง

“ธาร กูไม่ใช่...”

ริมฝีปากเขาสกัดถ้อยคำจากปากผม ลิ้นอ่อนนุ่มแทรกเข้ามาคล้ายจะควานคว้ารสสัมผัสที่โหยหามานาน ผมบิดลิ้นหนี แต่ในปากแคบๆ มันก็กลายเป็นการดุนดันตอบรับเขา และทันใดนั้นผมก็รู้สึกคล้ายกับตีลังกาคว้างในอากาศจนต้องกอดเขาไว้แน่นๆ ฤทธิ์แอลกอฮอล์ยิ่งช่วยทำให้มันเป็นเรื่องเหนือจริงขึ้นไปอีก

กระดูกทุกท่อนในตัวผมสั่นระรัว

เลือดทุกหยดไหลพลุ่งพล่าน

เซลล์ทุกเซลล์ต่างกรีดร้องแตกตื่น...

หลังจากนั้นอารมณ์หลากหลายก็ปะทุขึ้นมา ถ้ามีเส้นบางๆ ที่ผมก้าวข้ามไม่ได้อยู่จริง สายธารก็กระชากมันจนขาดสะบั้นไปแล้ว ในภาวะนี้ ดูเหมือนเขาจะฉุดพาให้ผมล่องลอยไป ขณะที่ตัวผมเองพยายามไขว่คว้าหาที่ยึดเหนี่ยวและยืนบนผิวโลก

พอรู้ตัวอีกที ก็พบว่ามือผมประคองใบหน้าเขาอยู่ ริมฝีปากของเรายังบดเบียดกัน และบนแก้มผมมีน้ำตาของเขาเปรอะเปื้อน

ทุกอย่างดีหมดเลย ติดแค่ว่า...

ผมคือเรือใบ

ไม่ใช่พี่ภาณของเขา


ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
กระสุนนัดที่ 29
ร.รสชาติ



[สายธาร]

เขาอยู่นี่แล้ว

เขากลับมาหาผม หรือไม่ผมก็เดินเลยขอบของสติสัมปชัญญะไปไกลจนทุกอย่างเลอะเลือน มีแค่อ้อมกอดกับรสจูบอุ่นซ่านที่สมจริง

เขามีตัวตน

เขาสัมผัสจับต้องได้

ทุกอย่างดีหมด เพียงแค่ว่า...

เขาไม่ใช่พี่ภาณของผม








________________________

(T___________T)

นางร้าย
02.08.18


ออฟไลน์ ลูกกุญแจ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
ฮืออออ เศร้าเลย
สงสารธาร

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เป็นเรื่องแล้ว.  :ruready

ออฟไลน์ t2007

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2401
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +135/-5
รอเปิดใจรักกัน

ออฟไลน์ นางร้าย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 96
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +56/-2
กระสุนนัดที่ 30
ร.ร่าเริง


[เรือใบ]

ผมตื่นก่อนเวลาปกติ 

ปวดหัวนิดๆ ซึ่งคงเป็นเพราะความสับสนที่ยังตกค้างตั้งแต่เมื่อคืน มากกว่าจะเป็นเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ หลายสิ่งหลายอย่างดูขัดแย้งกันไปหมด

มันดูราวกับความฝัน แต่ผมก็รู้ว่ามันเกิดขึ้นจริง

ผมอยากเห็นหน้าเขา แต่ก็ไม่กล้าเปิดประตูออกไป

เส้นบางๆ นั่น เขาทำลายทิ้งไปแล้ว แต่ระหว่างเรากลับจะมีกำแพงล่องหนเกิดขึ้นแทน

แบบนี้ควรจะยิ้ม หรือกุมขมับดี

ผมลุกจากเตียงไปฉี่ แล้วกลับมาทิ้งตัวนอนคว่ำหน้าลงกับเตียง กลิ้งไป กลิ้งมา ห้อยหัว เอาขาไขว่ห้าง ถ้าเอาตีนก่ายหน้าผากได้ก็คงทำไปแล้ว 

เวลาผ่านไปจนเกือบจะสิบโมง เหล่าพยาธิเริ่มก่อม็อบอยู่แถวๆ ลำไส้เล็กตรงขดที่สองจนผมทนไม่ไหว ต้องยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรสั่งอาหาร ผมพยายามสรรหาอะไรก็ได้มาสังหารอารมณ์ขุ่นมัวของตัวเองอยู่ แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล

ผ่านไปราวครึ่งชั่วโมง พนักงานส่งอาหารก็โทรบอกว่ามาถึงที่ล็อบบี้แล้ว

ผมเปิดประตูห้องนอนออกไปเบาๆ สายธารยังนอนนิ่งอยู่ที่โซฟา ผมเลยย่องเงียบออกจากห้องลงไปรับอาหาร ก็ร้านอาหารใต้นั่นแหละ สั่งแบบจัดหนักมาเอาใจสายธารโดยเฉพาะ

ตอนเปิดประตูกลับเข้ามาผมหวังว่าเขายังหลับอยู่ แต่ปรากฏว่าเขาตื่นแล้ว อยู่ในท่านั่งก้มหน้าพลางกดคลึงขมับ

“หิวมั้ย นี่ กับข้าวเยอะแยะ”

“ไม่ค่อย”

“ค้างอ่ะดิ” ชิบ พูดผิดชีวิตเปลี่ยน ผมรีบปรับน้ำเสียงเป็นปกติและพูดเสริมให้ชัดเจนขึ้น “บอกแล้วอย่ากินเยอะ ก็เมาค้างงี้แหละ”

ทีแรกเสียงผมก็ปกติดีอยู่แล้ว พอตั้งใจดัดให้ปกติมันเลยกลายเป็นฟังดูแปร่งๆ ไปซะงั้น “อะฮึ่ม” ผมกระแอม “เอากาแฟมั้ย แก้แฮงค์”

“ผมไม่กินกาแฟ”

“งั้นก็กล้วย แก้แฮงค์ได้เหมือนกัน”

สายธารยิ้ม ตอบด้วยเสียงอืมลึกๆ ในลำคอ

ผมขอตัวไปอาบน้ำ หลังจากนั้นเราก็กินข้าวด้วยกัน ระหว่างมื้ออาหารไม่มีใครพูดถึงเรื่องเมื่อคืน ไม่มีคำถามว่า คุณทำอะไรผม ไม่มีแม้แต่คำเกริ่นลอยๆ อย่าง เมื่อคืนนี้น่ะ...

ดีแล้วที่มันเป็นแค่การจูบสั้นๆ ไม่อย่างนั้นเขาต้องจำรายละเอียดได้และยกขึ้นมาพูดคุยกันแน่ๆ

แต่อีกใจนึง ผมก็อยากให้เขาถามหรือพูดถึงมันสักนิด นี่เองคือความขัดแย้งที่เล่นงานผมอยู่ตอนนี้ เขาเข้าใจว่าตัวเองฝันถึงพี่ภาณหรือเปล่า หรือรับรู้อยู่ว่าคนคนนั้นคือผม หรือเขาจำอะไรไม่ได้เลย

ผมอยากรู้ว่าเขารู้สึกยังไง

อยากรู้ทุกสิ่งทุกอย่างที่อยู่ในหัวเขา

แต่ช่างมันเถอะ ความอยากรู้อยากเห็นนี่แหละฆ่าคนมาเยอะแล้ว ผมเองก็มีเรื่องที่ไม่อยากให้เขารู้หรือนึกสงสัยเหมือนกัน

สายธารยังบ่นปวดหัวอยู่ ผมเลยอาสาล้างจานเอง เสร็จแล้วเราก็แยกกันไปนอนต่อเพื่อให้หายแฮงค์ กิจกรรมในครึ่งวันแรกไม่มีอะไรมากกว่านี้

จนกระทั่งช่วงบ่ายแก่ๆ ผมก็ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความคิดบางอย่าง 

“เฮ้ย ตื่นได้ละ” ผมดึงแขนสายธารที่ยังหลับอยู่

“อะไร”

“ไปว่ายน้ำกัน”

“หืม”

“ว่ายน้ำ”

“ไม่”

“นอนอะไรเยอะแยะ อากาศดีขนาดนี้ ตื่นๆๆๆ” คราวนี้ผมช้อนตัวเขาให้ลุกขึ้นนั่ง พอเขาทำท่าจะล้มตัวลงอีกผมก็จับไหล่ไว้อีก ล้มอีกก็จับอีก

“อะไรของคุณเนี่ย” ในที่สุดสายธารก็นั่งทรงตัวด้วยกล้ามเนื้อก้นของตัวเอง พลางเกาหัวจนผมยุ่งไปหมด

“นอนเยอะเดี๋ยวแม่งก็เป็นง่อยหรอก ไปว่ายน้ำกัน” 

“ว่ายไม่เป็น”

“เดี๋ยวกูสอน”

“ไม่มีกางเกงว่ายน้ำ”

“กูมีเยอะ ของใหม่ด้วย นี่ ยกให้เลย”

เขาทำท่าจะเถียงอีก แต่ผมก็ยัดกางเกงว่ายน้ำที่เตรียมไว้ใส่มือเขา จากนั้นก็ลากตัวออกจากห้องไปยังคลับเฮาส์ชั้นสิบหก

วันนี้อากาศแจ่มใส แดดส่องกระทบผิวน้ำเป็นประกาย ลมอ่อนๆ พลิ้วผ่านยอดต้นลีลาวดีและไม้กระถางที่ปลูกอยู่ทั้งสองฟากของสระ ที่สำคัญกว่านั้นคือเวลานี้ไม่มีใครอยู่เลยนอกจากเราสองคน

เห็นบอกไม่อยากออกมา แต่แอบสูดอากาศเลยนะ

“เห็นมะ บอกแล้วว่าดีกว่านอน” ผมยิ้มให้เขา “ไปเปลี่ยนกางเกงว่ายน้ำดิ”

“ไม่เป็นไร”

“จะเปลี่ยนเอง หรือให้กูเปลี่ยนให้”

เดี๋ยวๆๆ ปากจะพาซวยอีกแล้ว

“ไม่ต้อง! ทำเองได้” เขาว่าแล้วก็เดินงุดๆ เข้าห้องน้ำไป

ทำไมเดี๋ยวนี้พูดอะไรคอยแต่จะฟังดูสองแง่สองง่ามตลอดวะ

ระหว่างนั้นผมก็เดินไปที่ริมสระ เอาโทรศัพท์มือถือ คีย์การ์ด รวมถึงผ้าขนหนูวางไว้บนเก้าอี้หวาย ลมเย็นสบายจนเป็นไปไม่ได้เลยที่จะไม่ยืดตัวสูดอากาศเข้าปอด ดวงอาทิตย์กำลังคล้อยต่ำลงหลังเหลี่ยมตึก อีกไม่นานท้องฟ้าก็จะเป็นสีส้มจัด หลังจากนั้นทุกสิ่งทุกอย่างก็จะตกอยู่ภายใต้ร่มเงาของสงครามแห่งสีสัน

สมัยลาออกจากตำรวจใหม่ๆ ผมชอบมาว่ายน้ำตอนเย็นเกือบค่ำ ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่น่าพิศวง สีของกลางวันและกลางคืนจะห้ำหั่นกันอยู่เงียบๆ บางครั้งท้องฟ้าดูเหมือนจะมีแผลปริฉีกเป็นแนวยาว บางคราวก้อนเมฆก็ดูคล้ายกลุ่มควันของระเบิด และบ่อยครั้งที่ผมรู้สึกเจ็บปวดไปด้วย

ผมชอบลอยคอในสระมองสีสันของสงครามนี้ มองจนพอใจแล้วจะดำลงใต้น้ำ กลั้นลมหายใจให้นานที่สุดจนความตายเริ่มกวักมือเรียกแล้วค่อยโผล่ศีรษะพ้นเหนือน้ำ มีครั้งหนึ่ง ความตายไม่ใช่แค่กวักมือ แต่มันเข้ามากอดผมด้วยมือที่เย็นเฉียบ อาจจะด้วยความบังเอิญหรือโชคชะตา ผมพาร่างที่ใกล้จะแตกเป็นเสี่ยงโผล่ขึ้นเหนือน้ำในจังหวะที่แสงสุดท้ายของวันลับตาไปพอดี และลมหายใจเฮือกนั้นให้ความรู้สึกราวกับเกิดใหม่

นับแต่นั้นผมก็เลิกว่ายน้ำตอนเย็นอีก

ผมบอกตัวเอง เรือใบคนเดิมตายไปแล้ว ตอนนี้คือเรือใบคนใหม่ที่เจ๋งกว่า คนที่เป็นอิสระ เปี่ยมด้วยพลังชีวิต และยิ้มเยาะโลกได้ทุกสถานการณ์

แต่นั่นเป็นความจริงหรือเปล่า...

เสียงเคลื่อนไหวจากข้างหลังดึงผมกลับสู่ปัจจุบัน

สายธารที่สวมเพียงกางเกงว่ายน้ำตัวเดียวเดินเข้ามา ท่าทางเงอะงะนิดๆ ปกติผมไม่เคยใส่ใจร่างกายผู้ชายเลย แต่ตอนนี้กลับอดที่จะมองและวิจารณ์ไม่ได้

หุ่นแบบนี้...โครงสร้างแม่งก็ดี แต่ไม่ได้ออกกำลังกายมาเป็นชาติละมั้ง ผิวเคยโดนแดดบ้างรึเปล่า ลอนกล้ามที่ท้องนี่ก็จางจนแทบไม่เห็น หรือว่าเป็นแค่แสงหลอกตาวะ...

“เลิกทำหน้าโรคจิตแบบนั้นสักทีเถอะ”

“โรคจิตยังไง นี่กูกำลังสงสารมึงอยู่ มึงเหงื่อออกครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่”

“ตอนนอนกลางวันเมื่อวาน ร้อน”

“กูหมายถึงออกกำลังกาย”

“จำไม่ได้”

“แบบนี้อายุไม่เกินสี่สิบหรอกมึงอ่ะ เดี๋ยวแม่งก็ตายห่า”

“ก็ดี” เขานั่งลงที่ขอบสระและหย่อนขาลงในน้ำ

“ฝักบัวล้างตัวอยู่ตรงนั้น”

“ผมแค่จะนั่งเล่น ไม่ได้ลงสระ”

“ตามใจ”

ผมบอกเรียบๆ เดินเลาะขอบสระอ้อมหลังเขาไปทำท่าว่าจะไปห้องน้ำ แต่...

ตูม!

จะพลาดโอกาสนี้ได้ไง เผลอปุ๊บก็ผลักดิ

“ฮ่าๆ มาถึงสระแล้วคิดจะนั่งเล่นเหรอวะ ว่ายไป ว่ายน้ำนี่แหละทำให้หุ่นดี...ไม่ว่ายวะ”

“...”

ไม่ใช่แค่ไม่ว่าย แต่ยังสำลักและตะเกียกตะกายด้วย

“ธาร เฮ้ย! อย่าบอกนะว่ามึงว่ายน้ำไม่เป็นจริงๆ”

“...”

“ไม่ตลกนะเว้ย!”

“...”

สองมือเขาหมดแรงตะกาย แล้วศีรษะก็จมลงใต้น้ำ

ผมรอ

แต่เขายังไม่โผล่ขึ้นมาสักที

“แม่ง”

ผมพุ่งลงสระโดยไม่ต้องคิดอะไรอีก ก็เหมือนกับโศกนาฏกรรมทั้งหลายที่มักจะเกิดขึ้นในวันที่อากาศแจ่มใสและเรายังมีความสุขดีๆ อยู่ เจ้ากรรมนายเวรคงจะเป็นโรคจิต ถึงได้แสวงหาความบันเทิงด้วยตลกร้ายแบบนี้ นี่มันงี่เง่ามาก ถ้าเขาเป็นอะไรขึ้นมาผมจะไม่มีวันให้อภัยตัวเองเลย

อะดรีนาลีนผลักดันผมราวกับลูกกระสุน ก่อนผมจะช้อนตัวเขาได้และลากขึ้นมาบนขอบสระ

สายธารหมดสติไปแล้ว

ผมแตะนิ้วที่ต้นคอของเขาเพื่อตรวจชีพจร แต่ดูเหมือนชีพจรผมจะเต้นแรงกว่าหลายเท่า โน้มหน้าลงไปใกล้ก็ได้ยินแต่เสียงหายใจฟืดฟาดของตัวเอง ในหัวคือนึกเห็นภาพตัวเองผายปอดและปั๊มหัวใจเขาไปแล้ว

และผมก็กำลังจะทำตามนั้น

“คึ...”

แม่งลืมตาแป๋วเลย

“ธาร นี่มึงแกล้งกูเหรอ”

“ทีคุณยังแกล้งผมล่ะ”

“แม่ง”

เขาค้ำตัวลุกขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มท้าทาย ปลายจมูกเกือบจะทิ่มหน้าผม จนผมต้องเป็นฝ่ายผงะหลบเกือบจะล้มหงายหลัง ซึ่งก็เรียกเสียงหัวเราะจากเขาได้อีก

“ฝักบัวล้างตัวอยู่ตรงนั้น” เขาเลียนเสียงเข้มๆ ของผม จากนั้นก็พุ่งตัวลงสระ ดำผุดดำว่ายอย่างคล่องแคล่วเหมือนลูกหมาขี้อวด

“มึงมานี่เลย”

ผมพุ่งตัวตามลงไปทันที แล้วไล่กวดเขาด้วยท่าฟรีสไตล์ที่เกือบจะสมบูรณ์แบบ สายธารตะกายหนีได้แค่ช่วงสั้นๆ สุดท้ายก็จนมุมที่ขอบสระ

“เดี๋ยวๆ คุณจะทำอะไร”

“มานี่” ผมรวบเอวเขาไว้

“เดี๋ยว! คุณไปเปลี่ยนชุดก่อน ลงมาทั้งเสื้อยืดงี้ได้ไง”

“ไม่ทันแล้ว” ผมถอดเสื้อยืดออกเร็วๆ และเหวี่ยงขึ้นบนขอบสระ ตอนนี้เลยเหลือแค่กางเกงขาสั้นตัวเดียว แต่พอจะรวบตัวเขาใหม่ สายธารก็อาศัยจังหวะนั้นวิดน้ำใส่หน้าผม และพุ่งตัวออกไป

ช้ามาก ไล่ตามไม่เท่าไหร่ก็จนมุมอีกแล้ว

ผมล็อกตัวเขาไว้อีกครั้ง สอดแขนรวบเอวและจับไหล่ให้หันมาเผชิญหน้ากัน จากนั้น...

แล้วยังไงต่อล่ะ

ท่ามกลางแสงแดดยามนี้ ใบหน้าสายธารใสกระจ่าง เส้นผมเปียกลู่ดูเรียบร้อย นัยน์ตาสีน้ำตาลเข้มคล้ายกับมีหลุมดำลึกลับ และมันก็ดึงดูดให้ผมยื่นหน้าเข้าไป...

“โอ๊ย!”

“สม”

“แสบนะเว้ย”

“ไม่เอานิ้วจิ้มตาก็ดีแค่ไหนแล้ว”

ใช่ เขาแค่วิดน้ำใส่หน้าผม แต่ในจังหวะที่เผลอๆ แบบนี้ก็โดนเข้าไปเต็มๆ ไม่ต่างจากใช้นิ้วจิ้มหรอก ผมวักน้ำล้างหน้าแรงๆ แล้วมองหาเขาที่ฉวยโอกาสว่ายหนีออกไป

สายธารอยู่ห่างสองสามช่วงตัว หันหน้ามายิ้มร่าอย่างลืมตัว และเพราะหยาดน้ำที่เกาะเปลือกตาผมอยู่ทำให้เห็นเขาในแบบพร่าเลือนนิดๆ จนดูไม่สมจริง เป็นสายธารในเวอร์ชั่นที่น่าจะมีอยู่แค่ในความฝัน

“มึงโดนแน่ มานี่เลย” ผมทำเสียงดุ แต่ก็ยังฟังดูร่าเริงอย่างช่วยไม่ได้

จากนั้นผมก็ไล่กวดเขาอย่างไม่จริงจังนัก พอเข้าประชิดตัวได้เราก็ทำสงครามวิดน้ำใส่หน้ากัน

จังหวะหนึ่ง ผมเข้าล็อกตัวเขาหลวมๆ และจับหัวกดลงใต้น้ำเหมือนทรมานนักโทษ นี่คือการแสดงความเอ็นดูสไตล์เรือใบ สายธารแก้เผ็ดด้วยการรัวหมัดใส่ท้องผม ซึ่งไม่เป็นปัญหา ซิกซ์แพ็กของผมรับไหว แถมการต่อยใต้น้ำยังช่วยผ่อนแรงไปได้เยอะ

เอ๊ะ แต่กดหัวมันนานไปรึเปล่าวะ ทำไมต่อยเบาลง

ผมฉุดสายธารให้โผล่พ้นน้ำอีกครั้ง เขาหายใจเฮือกใหญ่และสำลักนิดๆ

“นี่จะฆ่ากันรึไง”

“แค่นี้ทำใจเสาะ”

“งั้นลองโดนบ้างสิ!”

เขาโถมเข้ามาล็อกคอผมและกดหัวผมลง จะขัดขืนก็คงไม่ยาก แต่ร่างกายผมกลับดิ้นรนพอเป็นพิธี แล้วยอมโอนอ่อนจมลงใต้น้ำพร้อมกับรอยยิ้ม

หน้าท้องสายธารไม่ได้น่าต่อย ดูน่าตบเล่นเบาๆ ตอนเราปล่อยใจคิดเรื่อยเปื่อยมากกว่า รวมถึงน่าจั๊กจี้แรงๆ เวลาเรามันเขี้ยวด้วย

นั่นไงล่ะ

สายธารหัวเราะพรืด แล้วดิ้นหนีวิชานิ้วดัชนีของผม ผมใช้แขนซ้ายล็อกตัวเขาไว้ แล้วค่อยโผล่หัวพ้นผิวน้ำเพื่อหายใจ มือขวาก็ยังจิ้มๆ ที่เอวเขาไม่เลิก

“ดะ...เดี๋ยวๆ โอ๊ย แค่กๆๆ”

“ยิ้มยากนักใช่มั้ยมึง ต้องเจองี้”

“อย่า...ฟังสิ ฟัง โทรศัพท์คุณ”

มีเสียงเรียกเข้าจริงๆ ด้วย

“แม่ง ใครโทรมาตอนนี้วะ”

“ไปรับดิ”

“มือเปียกอยู่”

“ก็เช็ดดิ ผ้าขนหนูอยู่นั่น”

“ช่างมัน ค่อยโทรกลับ”

“อาจจะสำคัญก็ได้ ไปรับเลย”

สายธารฉวยโอกาสผลักอกผมแรงๆ และว่ายออกไปอีก

ถ้ายังตามไปวอแวเขาอีกผมจะดูงี่เง่าหรือเปล่า เหมือนเด็กวัยรุ่นหัวรั้นที่พูดจาไม่รู้เรื่องอะไรงี้ เขาจะมองออกมั้ยว่า การเล่นเกมจั๊กจี้เป็นแค่ฉากบังหน้าเพื่อให้ตัวเราได้แนบชิดกัน

รับสายก็ได้วะ

ผมขึ้นจากสระมาที่เก้าอี้หวาย กดรับสายทั้งที่มือยังเปียก

“ไงเฮีย”

[เรือ รับสายช้านะ โอเครึเปล่า]

“ยุ่งอยู่นิดหน่อย” ผมหันไปมองสายธารตีกรรเชียงเล่น จู่ๆ แขกไม่ได้รับเชิญโผล่มาจากไหนก็ไม่รู้ ฝรั่งหน้าคมเข้มรูปร่างกำยำกระโดดพุ่งหลาวลงสระใกล้ๆ ตำแหน่งสายธาร หยาดน้ำแตกกระเซ็นสวยงาม

[คุยได้มั้ยตอนนี้]

“รีบๆ ว่ามาเลยเฮีย ผมงานเข้าละ”

[งานอะไร]

“เออน่ะ งานส่วนตัว”

[อย่างแรก พยานเป็นไงมั่ง]

“สบายดี กระดี๊กระด๊า”

คนมาใหม่โผล่ขึ้นจากน้ำ สะบัดเส้นผมสีทองที่ยาวระต้นคอแรงๆ ทำให้ผมนึกถึงโฆษณาแชมพูหมาตะหงิดๆ ที่มีนายแบบเป็นโกลเด้นรีทรีฟเวอร์สะบัดขนไล่น้ำออกจากตัว เขาหันไปยิ้มให้สายธาร สายธารพยักหน้ารับ

แล้วทั้งคู่ก็คุยกัน

[งั้นก็ดีแล้ว] เฮียยอช์ตพูดต่อ [เฮียจะบอกว่า เรืออาจจะไม่ต้องดูแลพยานนานนักหรอก ทนหน่อยละกัน]

“จริงดิ จะจับคนร้ายได้แล้วเหรอ”

[ยังหรอก แต่ได้เบาะแสเพิ่มมาบ้าง]

“อ้อ เซอร์ไพรส์นะเนี่ย เดี๋ยวนี้ทำงานมีประสิทธิภาพกันขนาดนี้”

[ประชดใช่มั้ย]

“ให้ทาย”

[เอาเถอะ อีกเรื่อง เฮียหารถมาเปลี่ยนให้ได้แล้ว ว่างวันไหนก็นัดได้]

“ไว้เดี๋ยวบอก”

[โอเค ก็มีแค่นี้แหละ งั้น...]

“เดี๋ยว” ผมโพล่งออกไปขณะที่สายตายังจ้องมองสายธารกับเพื่อนใหม่ของเขา “เฮียบอกเด็กที่มาเฝ้าผมให้กลับไปแล้วใช่มั้ย”

[จ่าวิชัยน่ะเหรอ กลับมาแล้ว หลังออกเวรก็มาขายยำแหนมช่วยเมียอยู่หลังโรงพักนี่แหละ]

“ไม่ส่งใครมาอีกแล้วแน่นะ”

[ไม่มี]

“แล้วทางฝั่งคนร้ายล่ะ เบาะแสที่เฮียรู้ มีพวกต่างชาติเข้ามาเกี่ยวข้องมั้ย”

[คิดว่าไม่มีนะ ทำไมเหรอ หรือนายรู้อะไรมา]

ผมอาจระแวงมากไป ดูจากลักษณะก็แค่ฝรั่งเงินหนาที่นิยมคนเพศเดียวกันแค่นั้นแหละ ตอนนี้ท่าทางเหมือนจะอยากงาบสายธารเข้าไปทั้งตัวแล้ว ตางี้เยิ้มเป็นน้ำเชื่อมเชียว

[เรือ...]

“ไม่มีไรเฮีย”

[ถ้ารู้อะไรก็บอกมา]

“ถ้ามีเดี๋ยวบอก”

[โอเค งั้นก็...]

“มีอีกเรื่องเฮีย”

[ว่า...]

ข้างหลังผมมีเสียงคนก้าวขึ้นจากสระ ผมหันไปมองและเห็นว่าสายธารกำลังก้าวตรงเข้ามา ผมเลยรีบตัดบท

“ไว้ผมถามเฮียทีหลัง แค่นี้ก่อน” ผมกดตัดสายแล้วหันไปทักสายธาร “ไง”

“เฮียยอช์ตโทรมาเหรอ”

“ใช่”

“ผมได้ยินแว่วๆ ว่าจับคนร้ายได้แล้วเหรอ”

“แอบฟังคนอื่นคุยกันมันเสียมารยาทนะเฮ้ย เรียนก็สูง ครูไม่สอนเหรอ”

เขานั่งลงที่เก้าอี้หวายอีกตัวที่อยู่ถัดไป “แอบฟังที่ไหน บอกว่าได้ยินแว่วๆ”

“ถ้าจับคนร้ายได้แล้วทำไม”

“ผมก็ไม่มีเหตุผลที่ผมต้องอยู่กับคุณต่อ” เขามองหน้าผม เว้นจังหวะนิดนึงก่อนจะพูด “ผมจะได้กลับไปใช้ชีวิตต่อตามปกติ อย่างที่เคยเป็น”

“ยังจับไม่ได้” ผมพูดสวนทันที ซึ่งดูเหมือนจะตกอกตกใจมากไปหน่อย แต่หัวใจผมก็เต้นแรงขึ้นจริงๆ

“มีอะไรที่ผมควรรู้รึเปล่าล่ะ ถ้ามีก็บอกมา”

“ไม่มี” ผมตอบเสียงเฉียบ “แต่มีที่กูอยากรู้ ไอ้ที่ลอยคอเป็นลูกหมาอยู่นั่นน่ะ มึงคุยอะไรกับมัน”

“คุณนี่ ไปเรียกเขาเป็นหมาได้ไง”

“ก็กูสะดวกแบบนี้ คุยไรกัน ตอบมา”

สายธารยักไหล่ “ก็คุยทั่วไป ไม่มีอะไรสำคัญ”

“กูจะตัดสินเองว่าสำคัญรึเปล่า”

“คุณจะอยากรู้ไปทำไม”

“ถ้าเกิดแม่งเป็นพวกคนร้ายล่ะ มึงไม่รู้หรอก แต่กูรู้ รีบเล่ามา”

“จะเสียงดังทำไม นี่เขาก็ยังอยู่ตรงนี้นะ” สายธารพูดเสียงเบา

“เล่า” ผมกดเสียงต่ำ

“เขาชื่อโจเซฟ มาจากแคนาดา”

“ไงอีก”

“เขาบอกวันนี้อากาศดี เหมาะที่จะว่ายน้ำ”

“ต่อ”

“แล้วก็บอกร้านอาหารญี่ปุ่นที่อยู่อีกสองซอยถัดไปอร่อย แนะนำให้ไปลอง”

“ไอ้เรื่องแค่นี้กูก็แนะนำได้ เดี๋ยวพาไป ไงอีก”

“หมดแล้ว”

“กูเห็นมึงคุยเยอะกว่านี้”

“ก็สาระสำคัญมันมีแค่นี้ไง”

“เห็นสปีกอิงลิชปร๋อเลยนี่”

“พอสื่อสารได้”

“หมดเวลาสื่อสารแล้ว” ผมพูดพร้อมกับเหวี่ยงผ้าขนหนูไปที่ตัวเขา “ขึ้นห้อง”

“อ้าว ทำไมรีบขึ้น”

“กูหิวแล้ว”

“งั้นคุณก็หาอะไรในตู้เย็นรองท้องไปก่อน เดี๋ยวผมขอ...”

“ไม่ได้”

“...”

“กูไม่ปล่อยให้มึงคลาดสายตาหรอก มันไม่ปลอดภัย”

“เหอะ”

“ขำไร”

“ยังไงคุณก็เป็นพวกเผด็จการอยู่ดี”

สายธารเช็ดผมลวกๆ และลุกขึ้นเดินออกไปเลย แถมยังยกมือเป็นเชิงบอกลาไอ้โจเซฟรีทรีฟเวอร์ไรนั่นด้วย ผมรวบเก็บข้าวของที่เหลือรวมถึงเสื้อยืดที่ถอดทิ้งไว้บนขอบสระ จากนั้นก็ก้าวยาวๆ ตามไป 

พอแล้วกับการว่ายน้ำ

พอแล้วกับคลับเฮาส์

ต่อไปนี้ผมจะขังเขาไว้ในห้องไม่ให้ออกไปไหนเลย





_______________________


เมื่อวานอัพเองอึนเองค่ะ วันนี้เลยต้องเยียวยาตัวเองด้วยการรีบอัพบทนี้
ฮ่าๆ หวังว่าจะช่วยให้ยิ้มๆ กันได้นะคะ :D

รออ่านคอมเมนต์น่ารักๆ ของทุกคนอยู่เสมอเลย <3
ขอบคุณจากใจนะคะ :D


นางร้าย
03.08.18
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 03-08-2018 21:22:16 โดย นางร้าย »

ออฟไลน์ ลูกกุญแจ

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 337
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-2
ชอบฟีลกอดกันในน้ำ
จูบกันสักทีเถอะนะ555

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
นึกว่าจะมีการผายปอดแบบดูดดื่มซะอีก  :katai1:

ออฟไลน์ Snowermyhae

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4015
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +97/-7
ชอบเขามากแต่ทำเป็นเกรี้ยวกราดใส่ 555555555555555555555

ออฟไลน์ singalone

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 381
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-2
จ้าาาา พ่อคุณคนซึน ไม่หึงเล้ยยยยน

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด