24..ถ้าเธอไม่รู้สึก
“ถ้าไม่ใช่เพราะสมองเป็นเลิศอันชาญฉลาดของกูนะ เสียหายไปหลายแสน”
คนเล่าพูดด้วยท่าทีประกอบฟอร์มยักษ์อย่างกับหนังกู้โลก แต่ปากที่ดูดเจเล่บิวตี้ช่างขัดกับภาพที่กำลังเล่าเหลือเกิน
ปิง ลูป และบาส มองคลังที่กำลังเล่นใหญ่อยู่ข้างหน้าสุดของกลุ่มแล้วพากันยิ้มเป็นอันรู้กันว่าปล่อยไป ตอนนี้กำลังพากันเดินกลับแอสหลังจากทานข้าวกลางวันเสร็จ
ที่คลังกำลังเล่าเรื่องใหญ่ไฟกระพริบอยู่ คือเมื่อเช้าเกิดเหตุขัดข้องของสายพานในแอสและคลังเป็นคนจับสังเกตเห็นและทำการแก้ไขทันท่วงทีเลยทำให้คุณเขาภูมิใจอยู่นี้แหละ แต่จริงๆที่คลังภูมิใจในตัวเองก็ถูกนะเพราะคลังทำดีจริงๆเมื่อเช้า
“อะไรของมึงอีก”
ลูปถามเมื่อคนเดินนำหน้าหยุดลงกะทันหันทำให้ทั้งกลุ่มต้องหยุดตาม คลังหันไปมองอะไรบางอย่างนอกอาคารที่เป็นกระจกใสมองเห็นข้างนอกได้
“กูกับไอ้ทิคนี้เหมาะสมแล้วที่คบกัน เพราะมันเก่งกูก็เก่ง เฮ้อออ”
ทุกคนหันมองตามคลังผ่านกระจกอาคาร ทำให้รู้ว่าคลังพูดถึงอะไร
ทิคและเอ็นจิเนียร์แอสห้ากำลังพาเอ็นจิเนียร์ของโรงงานสาขาสมุทรปราการที่มาดูงานเดินดูงาน โดยมีทิคเป็นคนเดินงานเป็นหลัก
“แม่งโคตรเจ๋งอะกูยอมรับเลย”
ปิงพูดมองทิคด้วยสีหน้าชื่นชม
“ติดต่อมันให้น้องกูดีไหมวะ!”
ปิงพูดแล้วหันกลับมาแต่ข้างๆคือบาส บาสเลยยิ้มตอบไป
ป่านน้องสาวปิงจะว่าไปก็เหมาะสมกับทิคเหมือนกันตอนนี้น่าจะเรียนอยู่ทันตะปีสี่แล้วถ้าจำไม่ผิด สวย เรียนเก่ง ฐานะทางบ้านดี เหมาะสมกันดี
“เออ ลองดิ น้องมึงสวยมันยังไม่มีแฟนพอดี”
คลังพูดเสริมแล้วกอดคอปิง
“อ้าว แล้วชมพูที่อยู่แอสห้าไม่ใช่แฟนทิคหรอวะ”
ลูปพูดถึงสาวสวยเลอค่าประจำแอสห้าที่ดูสนิทสนมกับทิคจนคนทั้งโรงงานคิดว่าเป็นแฟนกันทั้งที่ไม่เคยมีใครถามจริงๆจังๆถึงความสัมพันธ์นะแต่ดูจากการกระทำของทั้งคู่เอา
บาสเงียบฟังที่ลูปพูดแล้วคิดตาม ชมพูเขาเจอเธอสองครั้งแล้ว ตอนนัดคืนหมวกที่มาตามทิคและที่แอสห้าเขาช่วยเธอเก็บของที่เธอทำตกคราวนั้น
ทุกคนเดินต่อ บาสหันไปมองทิคอีกครั้งแล้วเดินตามเพื่อนไป
มันมีจริงๆนะไอ้ความรู้สึกด้อยกว่า มันทำให้ความรู้สึกเราดาวน์อย่างบอกไม่ถูก
วันนี้อากาศมันร้อนเกินไปหรือเปล่า ทำไมรู้สึกกระวนกระวาย ทำอะไรก็ไม่มีอารมณ์
เอกสารบนโต๊ะที่วางไม่เป็นที่ถูกเจ้าของโต๊ะเก็บรวมจัดโต๊ะตัวเองให้เรียบร้อย โทรศัพท์ประจำตำแหน่งในกระเป๋าเสื้อที่สั่นทำให้คนทำละมือจากของหยิบมันออกมากดรับ
“บาสครับ”
(ทำไร)
ตัววุ่นวาย...
บาสถอนหายใจเบาๆไม่ให้คนในสายได้ยินแล้วตอบคำถาม
“ไม่ได้ทำอะไร วันนี้ไม่วุ่นเท่าไร”
พูดไปมือก็เก็บโต๊ะไปด้วย
(เออ เดี๋ยวตามไป)
เสียงทิคตะโกนบอกใครสักคน บาสจึงเงียบให้ทิคพูดก่อน
(กำลังจะไปกินข้าว)
บาสยกข้อมือดูนาฬิกา เลยเวลากินข้าวมาเกือบชั่วโมงแล้วเพิ่งได้กินข้าวหรอ
“เขาห้ามใช้โทรศัพท์โรงงานคุยเรื่องส่วนตัว ไม่รู้หรอ”
บาสพูดประชด ตั้งแต่โทรมาทิคพูดแต่เรื่องไม่ใช่งาน
(กูรวย ค่าโทรมันจะเท่าไรกันจะเสียให้ทั้งบริษัทเลย)
หมดคำจะพูดจริงๆ
“แล้วพาเขาดูงานเสร็จแล้วหรอ”
(อีกนิดหน่อย)
(มึง)
“ว่า”
(ตกลงวันนี้ ไปบ้านกูนะ)
บาสละมือจากการเก็บโต๊ะ มาพูดกับทิคจริงจัง
“อยากให้ไปอะไรนักหนา คิดจะแกล้งอะไรอีก”
(คนเลวร้ายมันก็คิดอะไรเลวร้ายตลอดเนอะ)
“มึงนะสิ!”
บาสพูดกลับเสียงฉุน
(เลิกงานแล้วเดี๋ยวโทรหาถ้าไม่โทรไปก็โทรมา เข้าใจ)
“เออ”
บาสลากเสียงยาวประชดให้รู้ไปเลย
“ไปกินข้าวไป จะไปเช็คไลน์แล้ว”
ตู๊ด ตู๊ด...
อ้าว!
มันจะรีบวางไปไหม เขาควรเป็นคนวางก่อนสิ
บาสมองโทรศัพท์ในมือแล้วแยกเขี้ยวให้ใส่มันลงกระเป๋าเหมือนเดิมแล้วหันมาตั้งใจเก็บโต๊ะ เมื่อได้เวลาที่เหมาะสมจึงลุกขึ้นหยิบแฟ้มเดินออกจากห้องเพื่อไปตรวจไลน์การผลิต
ทำเหมือนทุกวันเดินดูการทำงานไปเรื่อย แต่ดีวันนี้ไม่มีเหตุขัดข้องอะไร บาสเดินเข้าไปหยิบน็อตที่พนักงานทำหล่นส่งคืนให้เจ้าของแล้วพูดด้วยสายตาเปื้อนยิ้ม
“ระวังครับ คิวเอมานู้นแล้ว”
พนักงานคนนั้นยื่นมือมารับน็อตจากมือบาส ยิ้มให้แล้วโค้งหัวขอบคุณนิดๆ หันไปมองคิวเอตรวจสอบงานหน้าขรึมประจำแอสที่กำลังเดินมาทางนี้
สิ่งที่ทำมันไม่ถูกก็จริงในเชิงการทำงานที่เห็นความผิดแต่ปกปิดให้ แต่บาสคิดเสมอว่าถ้ามันไม่ได้เกิดความเสียหายอะไรแล้วคนๆนั้นไม่ได้ตั้งใจทำไมต้องทำให้เกิดปัญหาละ ช่วยกันได้ก็ช่วยไป แบบนี้ไงถึงทำให้บาสเป็นที่รักของทุกคนในแอสคนอายุเท่ากันก็ยอมรับและชื่นชมคนอายุเยอะก็เอ็นดู
“โมเดลใหม่มาโอเคอยู่ใช่ไหมครับ”
บาสเดินเข้าไปหาพนักงานอีกจุดหนึ่งถาม เปลี่ยนโมเดลไปเรื่อยพนักงานก็ต้องใช้เวลากว่าจะเคยชิน
“ลงตัวแล้วค่ะ สองสามวันแรกร่างแทบแยกเหมือนกัน”
พนักงานสาวยิ้มให้คนถามมือก็ทำงานไปด้วย
“อดทนหน่อยน้า เดี๋ยวก็จะกลับมาเป็นเหมือนเดิมแล้ว”
บาสพูดด้วยน้ำเสียงอ้อนยิ้มให้กำลังใจ รู้ดีว่าเวลาเปลี่ยนโมเดลใหม่พนักงานจะเหนื่อยมาก
“เห็นหน้าพี่บาสก็หายเหนื่อยแล้วค่ะ”
พนักงานใกล้ๆยื่นมือมาผลักไหล่คนพูดแล้วซุบซิบกันขำ ส่วนบาสได้แต่ยืนยิ้ม
“อะไรเล่า จะอายทำไม”
คนพูดแซวบาสพูดกับเพื่อนตัวเอง แล้วหันมาหาบาสที่ยืนเขียนรายงานลงแฟ้มอยู่
“พี่บาสมีแฟนหรือยังคะ”
“ไปเรียกเขาแบบนั้นได้ไง เขาเป็นคิวซีเอ็นจิเนียร์เลยนะเว้ย”
เพื่อนเธอพูดขัดขึ้นสะกิดคนที่ถามบาส
“ไม่เป็นไรครับเรียกบาสเฉยๆแหละดีแล้ว เราน่าจะห่างกันไม่กี่ปีนะ”
บาสพูดเสียงอ่อนหน้าอ้อนบอก ไม่อยากให้คนอื่นทำตัวห่างเหินกับเขาทำงานร่วมกันจะได้สบายๆ
คนถามยิ้มแฉ่งหันไปมุ่ยหน้าใส่เพื่อนตัวเอง แล้วหันกลับมาหาบาส
“สรุปพี่บาสมีแฟนหรือยังคะ”
“มีหรือไม่มีมันก็ไม่เกี่ยวกับงานที่กำลังทำอยู่หรอก”
ไม่ใช่บาสที่พูด
ทุกคนหันมองบุคคลที่สี่โดยพร้อมเพรียง
!
เป็นบงกชที่ยืนหน้านิ่งมองมา
ช็อคกว่าได้คำตอบว่าบาสมีแฟนแล้วซะอีก
“เปลี่ยนคิวซีเอ็นจิเนียร์คงจะดี”
“อย่านะคะพี่บง!”
เธอยกมือขึ้นห้ามบงกช แล้วยิ้มแห้งๆพูดออกไป
“จะตั้งใจทำงานแล้วค่ะ”
เธอยิ้มเจือนให้บงกชยกมือขึ้นพนมแล้วหันกลับไปทำงาน
“ถ้าตั้งใจทำงานให้เท่าแทะเล็มคนหล่อนี้แอสคงขึ้นที่หนึ่งไปแล้ว”
บงกชหันไปพูดเสียงดังจงใจให้ทุกคนได้ยิน ทำเอาพนักงานสาวๆคนอื่นที่กำลังแอบมองอยู่หลบตากันเป็นแถว พูดจบก็เดินจากไป
บาสแอบยิ้มขำกับเหตุการณ์เมื่อครู่ เขาอยู่กับบงกชมานานจนรู้ว่าเมื่อครู่บงกชไม่ได้โกรธอะไร ออกแนวแกล้งให้กลัวมากกว่า ส่วนเรื่องที่ถูกแซวนั้นเป็นเรื่องปกติที่เจอประจำจนชิน ถ้าเป็นพวกป้าๆก็จะเข้าไปเล่นด้วย แต่ถ้าเป็นคนรุ่นราวคราวเดียวกันก็จะยิ้มเขินหน่อยๆ
“สรุปมีไหมคะ แฟนนะ”
เห็นบงกชเดินจากไปเธอก็หันมาถามอีก
“ยังไม่เข็ดหรอแวว!”
เพื่อนคนเดิมหันมาตะคอกเบาๆ ตาก็เหลือบมองบงกชไปด้วย ดึงหน้าเพื่อนตัวเองกลับไป บาสได้แต่ยิ้มกับสิ่งที่เห็น
“ตรงเวลาเหลือเกินนะ”
รับโทรศัพท์ปุ๊บก็ยิงคำประชดทันที
(เคลียร์อีกนิดหน่อยก็เสร็จแล้ว ไปรอลานจอดรถเลยนะ)
“เออ ไม่มีอะไรงั้นแค่นี้นะ”
(อืม)
บาสเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าลงมือเก็บทุกอย่างบนโต๊ะให้เรียบร้อย แล้วตรงออกจากห้องไปจุดนัดพบ เดินกดโทรศัพท์ไปเรื่อยเพราะของที่เต็มมือและความไม่ระวังทำให้โทรศัพท์ตก เล่นเอาเจ้าของเครื่องตกใจรีบหยิบขึ้นมาดูทันที
“เชี้ย!”
บาสอุทานเสียงหลงพลิกโทรศัพท์ลูบๆคลำๆไปมา และพบว่าตรงมุมโทรศัพท์แตกไม่รู้ว่าแตกแค่ฟิล์มหรือแตกไปถึงตัวเครื่อง ว่าจะรักษาเท่าชีวิตแล้วเชียวอยากจะตัดนิ้วตัวเอง
“เบ๊อะ เร็ว”
เสียงเรียกทำให้คนที่กำลังนั่งจับโทรศัพท์อยู่ที่เก้าอี้ลานจอดรถเงยหน้าขึ้นมอง
“มึง”
ทิคเดินเข้าไปหาแล้วถามด้วยความสงสัยเมื่อเห็นสีหน้าบาส
“เป็นไร”
“กูทำโทรศัพท์ตก แตกเลยว่ะ”
บาสหน้ามุ่ยพูดแล้วก้มมองโทรศัพท์อีกครั้ง
“เวอร์ไปไหม”
“ของแพงขนาดนี้ทำเสียก็ต้องเสียใจไหมวะ”
บาสเงยหน้าขึ้นพูดเสียงห้วนใส่ทิค
“ซื้อใหม่ก็ได้”
“มึงจะบ้าหรอ เงินเดือนกูสองเดือนยังไม่พอเลย”
ทิคเห็นท่าทีจริงจังของบาสแล้วขำนั่งลงข้างๆ
“ทำงานโรงงานมันรายได้น้อย มาเป็นแฟนกูดิรายได้ดีนะ”
บาสได้ยินแบบนั้นก็ละมือจากโทรศัพท์มองทิค กระตุกยิ้มเบะปากให้
“เก็บไว้เลี้ยงตัวเองตอนแกเถอะ”
พูดจบก็ลุกขึ้นเดินออกไป คนถูกพูดใส่ได้แต่มองตามยิ้มๆ
ไม่ใช่ง่ายๆเลยคนนี้
รถแล่นไปตามทางเรื่อยๆคนในรถก็คุยตลอดทาง แปลกดีที่แต่ก่อนนั่งรถไปด้วยกันจะเงียบ แต่ทุกวันนี้คุยกันแทบไม่มีเวลาว่าง เรื่องไร้สาระยังยกมาคุยกันเลยบางที เช่นเรื่องอาหารในโรงอาหารไม่อร่อยและปากกาที่ชอบเลอะกระเป๋าเสื้อ
จนรถถูกจอดลงที่หน้าบ้านหลังใหญ่มีรั้วใหญ่มหึมากั้นอยู่หลังหนึ่ง
บาสมองออกไปนอกกระจกรถแล้วถามออกไปด้วยความสงสัย
“ไหนบอกจะพาไปบ้านมึงไง”
คนขับที่กำลังถอดเข็มขัดหันมาตอบคำถาม
“ก็ใช่ไง”
“แต่..”
บาสหยุดคำพูดแค่นั้น แล้วนึกในใจแทน มันไม่ใช่หลังที่ทิคเคยพาไปนิ
“ที่เคยพาไปนั้นบ้านกู แต่หลังนี้บ้านของครอบครัว”
เหมือนทิคจะรู้ว่าบาสกำลังคิดอะไรอยู่ เขาเดินนำเข้าไปในบ้าน
“เข้ามาดิ”
ทิคหันไปพูดเมื่อบาสไม่เดินตามมา บาสได้ยินแบบนั้นจึงเดินตามเข้าไป
บ้านใหญ่มาก เหมือนบ้านคนรวยในหนังเลย จะก้าวแต่ละก้าวก็แทบไม่กล้ามันเกร็งไปหมด
“ทิค”
เสียงดังมาจากฝั่งซ้ายหันไปดูทำให้รู้ว่าเจ้าของเสียงคือผู้หญิงมีอายุที่ยังดูดีมากคนหนึ่ง ใส่ผ้ากันเปื้อนเดินออกมาจากห้องที่น่าจะเป็นห้องครัว เดินเข้ามาหาทิคทั้งคู่จึงสวมกอดกันด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“แม่ครับ นี้เพื่อนทิค”
ทิคชี้มาหาบาสที่ยืนเงียบอยู่ รายนั้นเมื่อถูกพูดถึงจึงยิ้มให้
“นี้แม่กู”
พอได้ยินแบบนั้นบาสจึงกล่าวคำทักทายตามมารยาทไทยด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม
“สวัสดีครับ”
แม่ทิคยิ้มมาที่บาสอย่างอ่อนโยนแล้วกล่าวคำทักทายกลับ
“สวัสดีจ้ะ”
ผู้เป็นแม่แปลกใจเป็นอย่างมาก เพราะทิคบอกว่าจะกลับบ้านแต่ไม่ได้บอกว่าจะพาเพื่อนมาด้วย และที่แปลกใจว่านั้นคือ รู้ดีว่าลูกชายของเธอเป็นคนโลกส่วนตัวสูงและมีเพื่อนน้อยและยิ่งเพื่อนที่จะพามาบ้านยิ่งน้อย เพื่อนทุกคนของทิคแม่จะรู้จักแต่คนนี้ไม่เคยเห็นเลย
“พาเพื่อนไปนั่งรอที่โต๊ะนะลูก แม่เหลืออีกอย่างเดียวก็เสร็จแล้ว”
ทิคพยักหน้ายิ้มให้แม่ แล้วหันมาหาบาสพาเดินต่อ
ยิ่งเข้ามาในบ้านลึกเท่าไร บาสยิ่งทำตัวไม่ถูกมากเท่านั้น ที่นี้มันแตกต่างจากบ้านเขาสุดขั้ว ทุกอย่างเหมือนถูกวาดขึ้นมาเลย บ้านคนรวยเขาเป็นแบบนี้นี่เอง
“พ่อละครับ”
ทิคเงยหน้าถามเมื่อกำลังยื่นมือไปรับจานอาหารจากแม่มาวางลงบนโต๊ะอาหาร
“มีงานด่วนนะ บอกให้กินไปก่อนเลยคงกลับดึก”
แม่พูดแบบเสียดายถอดผ้ากันเปื้อนออกแล้วนั่งลงบนเก้าอี้
“ส่วนทับ...”
“อยู่เวร”
ทิคแทรกขึ้นเพราะคุยกับพี่สาวมาแล้ว
“เมื่อไรจะพร้อมหน้าพร้อมตาก็ไม่รู้”
“เหงาละสิ”
ทิคพูดหยอกแม่ด้วยสายตาล้อเลียน
“รู้ว่าแม่เหงาก็ไม่มาอยู่กับแม่”
ทิคยิ้มอ่อนให้ผู้เป็นแม่ เขาไม่ค่อยอยากคุยเรื่องกลับมาอยู่บ้านเท่าไร ซึ่งแม่ก็เข้าใจดีและไม่ได้อะไรแค่พูดหยอกไปเท่านั้นเพราะรู้ดีว่าทิคเป็นคนตัดสินใจอะไรแล้วไม่ย้อนกลับ ออกไปอยู่ข้างนอกทิคอาจจะอยู่กับตัวเองได้ดีกว่า
“ทำตำแหน่งเดียวกับทิคหรอจ้ะ”
บาสที่นั่งเงียบฟังบทสนทนาระหว่างทิคกับแม่อยู่นานเงยหน้าขึ้นมองยิ้มและตอบไป
“ครับ”
“ไม่ต้องเกร็งนะ ทำตัวตามสบายเลย”
แม่พูดเสียงอ่อนโยนแล้วตักผัดผักมาวางลงบนจานให้ บาสจึงยิ้มให้ ทั้งคู่มองตากันด้วยสายตาเข้าใจถึงความรู้สึกกันแบบรู้สึกได้ บาสก้มมองของในจานยิ้มแล้วตักมันพร้อมข้าวขึ้นเข้าปาก
“ลองแกงพะแนงของแม่สิ ใครกินก็ต้องติดใจ”
แกงพะแนงถูกตักมาวางในจานให้อีก
“ขอบคุณครับ”
บาสยิ้มให้แม่ แล้วตักขึ้นกิน
ทิคที่มองเหตุการณ์อยู่ยิ้มออกมา ดีใจที่บาสเข้ากับแม่ได้ ดีใจที่ทุกอย่างเป็นไปตามที่คาดหวังไว้
กินข้าวเสร็จทิคก็พาบาสเดินขึ้นบันไดไปอีกชั้นหนึ่งของบ้านแล้วหยุดลงที่หน้าห้องๆหนึ่ง
“รออยู่ในห้องก่อนนะกูจะไปคุยกับแม่ก่อน”
“อืม”
บาสตอบรับแล้วเข้าไปในห้องตามคำบอกของทิค ประตูถูกปิดลงเดินเข้ามาแล้วรู้สึกหดหู่อย่างบอกไม่ถูก ทุกอย่างในห้องเต็มไปด้วยสีดำและสีเทา เดินเข้าไปอีกก็พบกับเตียงที่มีผ้าห่มพับไว้และหมอนหนึ่งใบเหมือนไม่ได้ใช้งานมานานแล้วในห้องแทบไม่มีอะไรเลย ให้ความรู้สึกโล่งจนรู้สึกเคว้งเมื่อหันกลับไปที่ปลายเตียงก็พบเข้ากับแสงสว่างเดียวของห้อง
รูปขนาดใหญ่ถูกแขวนไว้กับผนังและมีไฟส่องลงมาที่รูปโดยเฉพาะ รูปครอบครัวที่มี พ่อ แม่ พี่สาว และน้องชาย แม่นั่งที่เก้าอี้โดยมีพ่อยืนโค้งตัวมาจับมือแม่และพี่สาวที่ยืนกอดคอน้องชายตัวเล็กที่ยิ้มจนตาหยี เป็นรูปที่เห็นแล้วอบอุ่นเหลือเกิน ทำให้คิดถึงครอบครัวที่ไม่สมบูรณ์ของตัวเอง
“กูอุ่นใจและหลับสบายทุกครั้งที่มองมาปลายเตียง แล้วเห็นรูปครอบครัวของกู”
บาสหันมองคนข้างๆที่กำลังยืนมองภาพที่เขากำลังมองอยู่ก่อนแล้วด้วยใบหน้าเปื้อนยิ้ม
“ครอบครัวมึงดูดีทุกคนเลยเนอะ” บาสเอียงคอมายิ้มให้ทิค
“พี่กูสวยละสิ”
บาสละสายตาจากรูปมาหา
“มึงหล่อเหมือนพี่”
“แล้วระหว่างกูกับพี่ มึงชอบใครมากกว่ากัน”
ทั้งคู่สบตากันนิ่ง
ทั้งที่คำถามนี้ไม่ใช่คำถามที่ตอบยากเป็นผู้ชายก็ต้องผู้หญิงอยู่แล้วยิ่งสวยๆแบบนี้อีก
แต่บาสกลับให้คำตอบไปทันทีไม่ได้ สายตาของทิคที่มองมามันทำให้กลัวถ้าจะพูดคำตอบที่คิดออกไป
หรือจริงๆแล้ว...ในใจเขาไม่ได้อยากตอบคำตอบนั้นต่างหาก
“มึงจะหลับสบายได้ยังไง ในเมื่อห้องมันใหญ่เกินที่คนเดียวจะนอน มีแต่สีดำ มองไปทางไหนก็หดหู่”
บาสไม่ตอบคำถามเลี่ยงไปพูดอีกเรื่อง เดินดูห้องไปพร้อม
“คำถามมันตอบยากหรอ” แต่ทิคไม่ยอมจบ
“จริงจังไปป่ะ”
บาสหันมาถามด้วยสีหน้าสงสัย
“ตอบมาก็จบ เลือก”
“ก็ต้องเลือกผู้หญิงสวยๆไหมวะ”
บาสพูดออกไปเสียงไม่พอใจหน่อยๆ ทิคหยุดมองนิ่งแล้วเดินเข้าไปหาใกล้เข้าไปทุกทีจนบาสต้องถอยหนี
“อ่อ เข้าใจแล้ว”
คำว่าเข้าใจแล้วกับการกระทำของทิคมันเหมือนจะขัดกัน เข้าใจแล้วก็ควรหยุดสิ ทำไมถึงยังเข้ามาใกล้อีก
“จะเข้ามาใกล้ทำไมนักหนา”
พูดไปด้วยเสียงเบาหวิว บาสพยายามหลบตาทั้งที่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงต้องหลบ
“จูบกันไหม”
“ห๊ะ!”
บาสอุทานเสียงหลงเงยหน้ามองทิคด้วยสีหน้าตกใจสุดขีดทันทีที่ได้ยิน
“จูบกันไหม”
“มึงบ้าหรอ จูบอะไร จูบทำไม แกล้งอะไรพิเรนทร์ๆวะ!”
บาสโพล่งใส่เสียงดังหน้าตาเลิ่กลั่กทำอะไรไม่ถูก จะเดินหนีออกมาทางหน้าห้องแต่ทิคดึงแขนไว้
“ก็แค่จูบ”
“มึงจูบกับใครไปทั่วหรอ กับใครก็ได้”
บาสถามหน้าเครียด รู้สึกไม่โอเคกับคำที่ทิคพูดเขาไม่มีประสบการณ์เรื่องความรักก็จริงแต่ก็รู้ว่าการที่คนจะจูบกันก็ต้องรักกันหรือรู้สึกดีๆต่อกันสิ
“ไม่”
“แล้วมึงจะมาจูบกับกูทำไม ในเมื่อเราไม่ได้เป็นแฟน คนรัก หรือมีความรู้สึกดีต่อกัน”
“กูรู้ กูถึง...”
ทิคเงียบไป เขาไม่รู้จะพูดออกมายังไง ไม่รู้จะอธิบายให้บาสฟังยังไง เพราะขนาดตัวเขายังหาคำตอบให้ตัวเองไม่ได้เลย แต่นิสัยยอมอะไรง่ายๆไม่ใช่นิสัยของเขา นิสัยวอนขอก็ไม่ใช่นิสัยของเขา ทางเดียวที่เขาจะต้องทำก็คือ เอานิสัยก้นบึ้งแท้จริงที่เก็บไว้ออกมาใช้อีกครั้ง
“กูทำอะไรให้มึงบ้าง”
คำพูดที่ไม่ต้องมีรูปประโยคสวยหรูและยาวเหยียด แค่พูดมาเท่านี้ก็รู้แล้วว่าเจ้าของคำพูดหมายถึงอะไร
“ต้องการให้กูตอบแทนแบบนี้หรอ”
บาสถามด้วยสายตาไม่อยากเชื่อ ทิคเดินหน้านิ่งเข้ามาใกล้แล้วพูดด้วยเสียงเรียบเฉย
“ถ้ามึงรู้และคิดได้ว่ากูทำอะไรหะ...”
!
ทุกอย่างหยุดไปกะทันหัน เมื่อปากทิคถูกปิดด้วยปากของบาส มือทั้งสองข้างของบาสยื่นมาจับหน้าทิคเก้ๆกังๆประคองหน้าจูบ ทิคเหลือบต่ำมองคนที่กำลังหลับตาจับหน้าเขาจูบแบบปากชนปากธรรมดาไม่ได้ดูดดื่มอยู่อย่างนั้นด้วยความตกใจ ไม่คิดว่าบาสจะเป็นฝ่ายเริ่มก่อนแบบนี้ บาสละจูบออกช้าๆก้มหน้ามองต่ำไม่สบตากับทิคที่มองอยู่
ทิคมองภาพตรงหน้าอย่างไม่มีคำพูดใดๆ สิ่งเดียวที่มีอารมณ์ร่วมก็คือ ใจเขาที่เต้นแรงอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน และไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ก้าวเข้าไปประกบจูบบาสแบบไม่ให้เจ้าตัวได้ทันตั้งตัว ทิคใช้มือข้างซ้ายจับหน้าบาสให้อยู่ในองศาที่เหมาะสมแต่แค่มือข้างเดียวก็มีแรงบังคับมากพอที่จะทำให้หน้าบาสเป็นไปตามในทิศทางที่เขากำหนดได้ จูบที่บรรจงลงมาเบาๆทั่วบริเวณปากมันนุ่มนวล เป็นจังหวะ จนคนถูกจูบเคลิ้มตาม แต่ลิ้นที่พยายามเหมือนจะเข้ามาในปากทำให้บาสลืมตาขึ้นด้วยความตกใจ
!
บาสใช้แรงทั้งหมดที่มีผลักทิคออก เมื่อทิคเริ่มจะเกินเลยไปแล้ว เขาหายใจแรงจนอกกระเพื่อมมองหน้าทิคที่กำลังมองมาเหมือนกัน
เหมือนทิคจะไม่ยอมหยุด ก้าวเข้ามาจะจับหน้าบาสไปจูบอีกแต่บาสดันอกไว้
“พอแล้ว”
บาสพูดก้มมองต่ำไม่สบตาทิค มันเกินเลยมากไปแล้วมันไม่ใช่สิ่งที่ควรทำ ไม่ใช่สิ มันไม่ใช่สิ่งที่เขาทำกัน ผู้ชายที่ไหนเขาจูบกัน
“กะ.กูลงไปรอข้างล่างนะ”
บาสพูดด้วยเสียงติดขัดแล้วหันหลังเดิน
“ไม่รู้สึกอะไรเลยหรอ”
มือที่กำลังเปิดประตูชะงักทันที บาสเงียบไม่หันกลับไปโต้ตอบอะไรมือกำลูกบิดประตูแน่น
“แต่กูรู้สึกนะ”
ทั้งคู่สบตากันเมื่อบาสหันกลับไปหา ความเงียบเข้ามาปกคลุมไม่มีคำพูดใดๆหลุดออกมา มีแค่ความเงียบและความรู้สึกที่สื่อถึงกันทางสายตาเท่านั้น
บาสเดินเข้าไปหา แล้วหยิบของบางอย่างออกจากกระเป๋าเสื้อแล้วยื่นให้ทิค
“ปิงฝากมาให้ มันอยากให้มึงลองคุยกับน้องมันดู”
รอยยิ้มบนหน้าทิคหายไปทันทีเมื่อได้ฟังสิ่งที่บาสพูด เขาก้มมองเศษกระดาษในมือบาสที่ยื่นมาค้างอยู่ครู่หนึ่ง แล้วรับมันมากุมไว้ในมือ