You are my day 1◑ : กาลครั้งที่รักคุณ
EP.16 SAY YES
[/size]
I'm thinking 'bout how people fall in love in mysterious ways
และแล้วการถ่ายทำซีรี่ส์สุดหฤโหดตลอดหนึ่งอาทิตย์ที่ผ่านมากำลังจะจบลง ตอนนี้เวลาประมาณสี่โมงกว่า ๆ เราย้ายโลเคชั่นมาอีกหาดที่ไม่ไกลจากรีสอร์ทที่พัก หาดทรายสีขาวละเอียดทอดยาวไปริมทะเล ถูกคลื่นซัดกระทบอยู่เป็นระลอก แนวต้นสนสีเขียวขจีเรียงรายเลาะตามริมหาด นี่เป็นอีกสถานที่ที่สวยและเหมาะกับการถ่ายพรีเวดดิ้งมาก ๆ ไม่ต่างจากเกาะนามิที่เกาหลีเลย
คุณลุงนาวิกโยธินที่ดูแลพวกเราบอกว่าหาดตรงนี้เคยมีโอกาสต้อนรับอาคันตุกะคนสำคัญของประเทศมากมาย ยังไม่รวมว่าเคยไปปรากฏอยู่ในภาพยนตร์ชื่อดังทั้งฝั่งฮอลลิวู้ดและบอลลี่วู้ดอีกหลายเรื่อง แต่ที่คนไทยไม่ค่อยทราบ ด้วยเพราะเป็นพื้นที่อนุรักษ์แนวปะการัง และสัตว์ทะเลอย่างพะยูน ที่มักจะวนเวียนมาเล็มหญ้าทะเลในระแวกนี้บ่อยครั้ง หากเปิดเป็นแหล่งท่องเที่ยวไม่พ้นทรัพยากรทางธรรมที่มีค่ามหาศาลเหล่านี้คงหายไปในพริบตา
“น้องศิเอาน้ำมั้ยลูก” พี่สวัสดิการกองถ่ายเดินเอาน้ำมาเสิร์ฟ เป็นกระบอกน้ำลายซัลลี่สีฟ้าตัวการ์ตูนจากภาพยนตร์มอนสเตอร์อิงค์ ที่มีฝาเป็นรูปซัลลี่ตัวใหญ่เด่นกว่าคนอื่น กระบอกน้ำผมเองแต่คนที่เตรียมมาให้น่ะ ยืนคุยกับพี่นายเรื่องรถอะไรสักอย่าง คุณหมอบอกว่าเขาได้เป็นของขวัญจากวอร์ดเด็กอีกแล้ว ได้บ่อยไปป่ะวะ แถมเป็นงานลิมิเต็ดจากญี่ปุ่น นี่คนไข้โรงพยาบาลรัฐเขาซื้อของตอบแทนคุณหมอราคาแพงขนาดนี้เลย?
“ขอบคุณครับ” ยกมือไหว้แล้วยิ้มให้ กองนี้สวัสดิการดีไม่ใช่แค่คนนะ หมายถึงอาหารการกิน น้ำท่า ขนม ผลไม้ มีทุกอย่างเวลาหิว ยิ่งกว่าเซเว่น ยิ่งวันไหนแม่ ๆ แฟนคลับของพวกเราเอาฟู้ดเซอร์วิสมาให้พี่ ๆ ในกองยิ้มแก้มฉีก
“ไงมึงตื่นเต้นป่ะ จะถ่ายฉากสุดท้ายละ” อาโปเดินเอาศอกสะกิดจากด้านหลัง ตอนนี้ผมนั่งอยู่หลังรถบ้านของป๋าเจี๊ยบที่มีเต้นท์และพัดลมแอร์เป่าจนเย็น
“ก็นิดหน่อย แต่ใจหายมากกว่า”
“เออจริง คิดถึงวันที่มึงพากูไปแคสต์ได้เลย”
“เวลาผ่านไปไวเนอะ ครึ่งปีแล้วอะ”
นับตั้งแต่วันแรกที่ไปแคสต์เรายังเป็นนิสิตปี3 ธรรมดากันอยู่เลย มามองดูตอนนี้ที่ใช้ชีวิตในกองถ่ายกับทีมงานมากฝีมือ สังกัดสถานีโทรทัศน์ชื่อดัง ไหนจะมีแฟนคลับมีคนที่รู้จักมากขึ้น มันพลิกชีวิตของผมไปแบบคนละขั้วกับก่อนหน้า
ที่สำคัญพาร์ทชีวิตที่เคยมีแค่เรียน เล่นเกม ทำวิจัย ก็ถูกแบ่งมาทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ และเป็นประสบการณ์ในชีวิตที่สำคัญ พ่วงด้วยการมีคนสำคัญอีกหนึ่งคนในชีวิต เป็นคนที่ไม่เคยคิดว่าจะได้ไปยืนข้าง ๆ จะได้อยู่ใกล้ จะได้ไปอยู่ในชีวิตของเขา คนที่อยู่ในความทรงจำเสมอและกำลังจะสร้างความทรงจำใหม่ไปด้วยกัน
“มึงยิ้มอะไร กูรู้นะ”
“อะไรว้า ยิ้มก็ผิดหรอ”
“เหอะ นี่ถ้ากูไม่มาแคสต์มึงก็ไม่ได้เจอกับพี่หมอ ขอบคุณกูยัง?”
“พูดใหม่ ถ้าเฌอไม่บังคับกูมาหรอก”
“เออนั่นแหละ ผู้มีพระคุณยืนอยู่ตรงนี้แล้ว ไหว้สาเสีย”
“ฮ่า ๆ ติดภาษาโบราณเหมือนพี่ดิมเลย” ผมหัวเราะเพื่อนที่นั่งลงข้าง ๆ พักหลังรู้สึกว่าตัวเองจะยิ้มกับอะไรง่าย ๆ และหัวเราะมากขึ้นกว่าเดิม เหมือนชีวิตมันลงล็อกและรู้สึกว่าการเป็นตัวเองโดยไม่ต้องกลัวว่าใครจะมองยังไงก็ดีเหมือนกัน
“อะไรนิดอะไรหน่อยก็ผัวอะเนาะ ลำไยได้มั้ยวะ”
“อย่าใช้ภาษาป้าตุ๋ยสิ มันดูเหมือนคุณแม่นะ”
อาโปทำจริตเลียนแบบป้าตุ๋ยทั้งจือปาก และทำไม่ทำมือ นิสัยไม่ดีจริง ๆ คนอย่างมัน แต่ขำจนน้ำตาไหล ฮ่าๆๆ
“โปจะบอกว่าเสือกก็ได้นะ เรื่องกับเมฆนี่ยังไงวะ คือกูกับเฌออยากรู้นะ แต่รอพวกมึงบอก” ส่งสายตาลอบ ๆ เคียง ๆ ไปให้เพื่อนดูอากัปกริยาว่ามันจะดูดอึดอัดใจไหมถ้าลองถาม
คนตัวสูงกว่าข้าง ๆ ยกน้ำในกระบอกเก็บคงามเย็นสีเงินขึ้นดูดด้วยท่าทางสบาย ๆ
“งั้นกลับกรุงเทพฯ นัดเฌอไปที่คอนโดกูแล้วกัน บางทีพวกมึงรู้แล้วอาจจะช่วยกูหาทางออกด้วย”
“มันยากขนาดนั้นเลยหรอ”
“ยาก แต่ไม่เท่าเรื่องมึงกับพี่หมอหรอก”
ยังไม่ทันได้ถามอะไรต่อ พี่ประสานงานก็โบกมือเรียกให้เข้าฉากเสียก่อน
“ไปกันเถอะ กูจะได้รอดูมึงกุ๊กกิ๊กในจอ”
“อย่าล้อน่า”
“จะอัดวิดีโอเก็บไว้ ว่านี่ไม่ใช่การแสดงแต่เป็นความรู้สึกจริง แหวะ กูพูดแล้วยังขิงตัวเอง”
“พูดเยอะ”
บรรยากาศปาร์ตี้ริมทะเลของนักศึกษาชายและหญิงที่เซ็ตขึ้นบริเวณข้างรีสอร์ทที่พัก มีเต้นท์ผ้าสีขาว และโต๊ะที่จัดแต่งทั้งอาหารและเครื่องดื่ม เตาย่างบาร์บีคิว ธีมแต่งกายแน่นอนเสื้อฮาวายที่ไม่มีสับปะรด เพราะไม่อย่างนั้นคงลายตาไปหมด
พวกเราซ้อมบล็อกกิ้งกันเล็กน้อย เพื่อนคนอื่นแทบไม่มีบทพูด จะเป็นภาพบรรยากาศแห่งความสุข และการพบปะเพื่อนอีกครั้งก่อนที่ตัวละครแต่ละตัวจะแยกกันหลังจบปี4 เลยจะเป็นการเก็บอินเสิร์ทความวุ่นวายและโกลาหล ก่อนที่รังสิมันต์จะชวนภามาสออกไปริมทะเล เพื่อขอแต่งงาน
ในนิยายอาจจะดูเกินจริงไปสำหรับชีวิตเด็กปี4 แต่คุณอบเชยก็เขียนเหตุผลไว้ดีเหมือนกัน
‘การแต่งงานไม่ใช่จุดจบของความรัก หากแต่มันคือการเริ่มต้นเรียนรู้และทำความรู้จักกับ คู่ชีวิต การยอมรับในความบกพร่อง การชื่นชมในความดี และการอยู่เคียงข้างในวันที่เพลี้ยงพล้ำ และพร้อมโอบอุ้มกันและกันเสมอ เพราะผู้ชายอย่างรังสิมันต์ไม่ใช่คนคิดเยอะ การแสดงออกว่าอยากใช้ชีวิตคู่กับคน ๆ หนึ่งที่เขารักด้วยการแต่งงาน มันเป็นสิ่งที่คนอย่างเขาจะบอกกับคนรักได้ว่า เขาพร้อมจะมอบทั้งชีวิตให้โดยไม่มีข้อแม้’แต่ในเมื่อคนดูซีรี่ส์อาจจะไม่ใช่คนอ่านนิยาย คนเขียนบทโทรทัศน์เลยเอาความคิดของรังสิมันต์มาใส่ในคำพูด มันดูไม่ประดักประเดิดเพราะเขาเป็นคนพูดตรงไปตรงมาอยู่แล้ว
ตอนอ่านยังหน้าร้อน ถ้าได้ยินจากปากพี่ดิม คงละลายไปบนทรายแน่ ๆ เลย ฮึบ หายใจเข้าลึก ๆ
“ไอ้พวกลิงกูให้มึงซ้อมไม่ใช่ให้แดกจริงโว้ย” ป๋าเจี๊ยบตะโกนผ่านโทรโข่ง เพราะพี่ปาล์มพี่ภัทรเริ่มใช้มือจับน่องไก่กันแล้ว เหมือนหิวทั้งที่เมื่อกี๊ก็เพิ่งลุกจากโซนครัวแท้ ๆ กระเพาะคนหรือบ่อน้ำบาดาล ลึกอะไรขนาดนั้น
“โถ่ป๋า ของเข้าฉากดีกว่าที่เลี้ยงพวกผมอีกอ่า” พี่ปาล์มที่ป๋าเรียกว่าตัวก่อกวน เพราะแกเรียนนิเทศฯ เลยอยากเรียนรู้งานในกองทุกอย่างกระทั่งเดินสายไฟและปรับพัดลม บางทีแกก็เดินตัดหน้ากล้องเพราะอยากไปดูมุมกล้องใกล้ ๆ เคยโดนป๋าเอาสเลทเขวี้ยงใส่ก้นด้วย ขำกันทั้งกอง
“มึงหัดอยู่กันแบบสงบเสงี่ยมแบบไอ้เงินบ้างเหอะ” ป๋าพูดถึงน้องชายเล็กสุดในกอง ที่ในบทเล่นเป็นคนกวนบาทาตลอดเรื่อง แต่ชีวิตจริงพูดน้อย ขี้เขิน ยิ้งแก้มแตกอย่างเดียว
“ไอ้เงินไม่ได้สงบเสงี่ยม มันถ่านหมด ถ้าป๋ายังไม่เคยเจอน้องที่เอกมัย ป๋าพูดไม่ได้หรอก”
“เฮ้ยพี่ปาล์ม!” เป็นครั้งแรกเลยที่เห็นน้องเงินโวยวายขนาดนี้ แสดงว่ามันต้องมีอะไรแน่ ๆ
“โคตรฮ็อตอะบอกตรงนี้ สาวรุมอย่างกะของแจกฟรี”
“พี่ปาล์ม ผมไหว้ล่ะครับ” น้องเงินที่โดนปล่อยโป๊ะต่อหน้าทีมงานและนักแสดงเกือบครบเซ็ต ยิ้มกระสับกระส่ายแบบที่ไม่รู้ว่าจะเอาตัวเองไปไว้ตรงไหน
“นี่มึงลิงหลอกเจ้าหรอไอ้เด็ก” ป๋ายิ้ม ๆ กับความลับของเด็กผู้ชายอายุเพิ่ง 19 ปีแต่ดูจะแก่ณานไม่น้อยกว่าพี่ ๆ ในกองเสียแล้ว
“พี่ศิตื่นเต้นมั้ยคะ” น้องปลาที่นั่งข้างผมถามขึ้นด้วยสีหน้าแดงระเรื่อ เหมือนน้องเขินอะไรสักอย่าง
“ก็นิดหน่อยครับ ทำไมน้องปลาเหมือนจะเขิน?” ผมถามไปอย่างตรง ๆ ผิวสีขาวอมชมพูของน้องแดงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด
“ก็แบบ ฮื้อออ อ่านในนิยายมันน่ารักมากนี่คะ แถมต้องมีจูบแบบ deep kiss ด้วย” เธอใช้มือเล็กนาบแก้มที่แดงแจ๋ของเธอขณะเล่าไดอะล็อกที่ทุกคนในกองรู้ และผมเองก็รู้ แต่ไม่ได้คิดว่ามันจะเขินเหมือนที่น้องปลากำลังเป็นอยู่ตอนนี้
“อ่า ก็นิดหน่อยครับ” หรือเพราะจูบกับพี่ดิมบ่อยแล้ว แต่เอ๊ะ จูบผ่านสายตาคนทั้งกองนี่หว่า! กลางทะเลนี่หว่า!! ดีพคิสนี่หว่า!!!
อะ ตายแน่ เขินจนเป็นบ้าแน่
ตอนแรกที่ชิลล์ลืมคิดว่าวันนี้นักแสดงที่ถูกแคสต์ด้วยกันมาอยู่ตรงนี้ทั้งหมด และเหมือนพวกเขาระแคะระคายความสัมพันธ์ของผมกับพี่ดิมอยู่แล้ว แต่ไม่มีใครกล้าถามอะไร คราวนี้ต้องมาเล่นฉากจูบต่อหน้าคนหลายสิบ มันมากกว่าครั้งที่แล้วเป็นเท่าตัว โอ้วมายบุดด้า
อยากขุดทะเลแล้วมุดทรายหนีไปทวีปอื่นเลยพอลองมานั่งคิดหน้าก็เริ่มจะร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้ไอ้การเป็นคนผิวขาวและผิวบางมันเลยเห็นชัดเวลาที่เลือดไหลเวียน ที่ตอนนี้หน้าเริ่มเห่อ ไม่ใช่เพราะร้อนแต่เพราะอายจากความคิดตัวเอง
“ร้อนหรอ” คุณหมอคนเดียวในกองถามขึ้น เรานั่งข้างกันตามที่บล็อกกิ้งไว้
“อะ ปะ เปล่าครับ” ก้มหน้างุดกับอกตัวเอง ทำเป็นอ่านบทซ้ำไปซ้ำมาทั้งที่จำได้หมดแล้ว
“หน้าแดงมากเลยนะ แพ้แดดหรือเปล่าไม่ได้ทาครีมกันแดดหรอ” พี่ดิมแสดงออกถึงความเป็นห่วงเป็นใยอย่างสม่ำเสมอ แต่ไม่ได้รู้เลยว่าเพราะผมคิดแต่เรื่องพี่เขานั่นแหละเลยหน้าร้อนแบบนี้
คิดถึงดีพคิสที่กำลังจะเกิดขึ้นไม่กี่นาทีข้างหน้า จำติดในความรู้สึกเสมอว่าจูบแบบดูดดื่มของพี่ดิมกระชากวิญญาณขนาดไหน มันไม่ใช่แค่ปากสัมผัสกัน หากแต่เขาชอบกัดเบา ๆ ที่ริมฝีปาก และใช้ลิ้นละเลียดผิวปาก กดจูบอย่างโหยหา มันทำให้มืออ่อนระทวยและขาอ่อนแรง ซึ่งถ้าเขาทำแบบนั้นตอนถ่ายฉากนี้ กลัวว่าตัวเองจะเผลอจิกเสื้อ นั่นมันแปลว่าผมต้องการ…
ก็เลยทำให้นั่งไม่ติดนี่ไง
“พี่ดิมไปเข้าห้องน้ำเป็นเพื่อนหน่อยสิ”
“ศิ โอเคหรือเปล่า พี่เริ่มเป็นห่วงแล้วนะ”
“นะ ไปกัน”
ใช้เสียงไม่ดังมากในการคุยกันเพราะตอนนี้ในกองเสียงดังพอสมควร ทั้งจัดไฟ ทั้งเสียงนักแสดง เราสองคนเลยหลบสายตาของทุกคนเดินออกมาได้
ลากคนตัวโตเดินเข้ามาในห้องน้ำรีสอร์ทขนาดสองห้องแล้วล็อกกลอนทางเข้าไว้
“ศิเป็นอะไรเนี่ย หื้ม พี่ไม่สบายใจนะ มือศิก็อุ่น ๆ ด้วย ไม่สบายหรือเปล่า”
คุณหมอเอาหลังมืออังหน้าผาก ข้างแก้ม และซอกคอ คือมันร้อนเพราะเขินไม่ใช่เพราะจะเป็นไข้ คุณหมอคนเก่งเขาแยกไม่ออกสินะ ทีอย่างนี้ล่ะก็
“หึ เปล่าเลย ศิแค่…”
“แค่…” ผมเกลียดการทวนคำของร่างสูงตรงหน้าจัง มันยิ่งลดระดับความกล้าที่จะทำอะไรแบบนี้นะรู้มั้ย!
“ซ้อมจูบกันเถอะ!”
“เดี๋ยว ๆ”
“ก็ซ้อมไงเล่า ในบทมันเขียนว่าจูบดูดดื่มเลยนะ ศิแค่ไม่อยากประหม่าแล้วทำให้ทุกคนช้า กลัวแสงหมด”
นี่คือเรื่องใหญ่ของกองถ่ายเลย ฟ้า ฝน อากาศ เนี่ย วันนี้แสงดีฟ้าโปร่งถ้าถ่ายเสร็จทุกคนก็จะได้กลับบ้านกันเลย ซึ่งสมมติผมทำไม่ได้แปลว่าจะต้องรอพรุ่งนี้อีกหนึ่งวัน ซึ่งเสียเวลา เสียเงิน และเสียความน่าเชื่อถือที่สุด โบกมือให้กับการจะเป็นมืออาชีพได้เลย
“ให้พี่ทำยังไงครับ”
“ก็...จูบ แต่ว่า! ไม่จูบแบบปกติ” พี่ดิมทำหน้างงเล็กน้อยแต่ก็โน้มตัวลงมา พร้อมจับปลายคางด้วย ริมฝีปากของเราสองคนค่อย ๆ สัมผัสกันอย่างอ่อนโยน ผมเอียงคอรับจูบที่ป้อนโดยคนรักที่ตอนนี้จะต้องสวมบทบาทเป็นนักแสดงอีกคน และผมก็ต้องเล่นเป็นอีกคนด้วยเช่นกัน พี่ดิมลูบไล้มือใหญ่ของตัวเองไปตามลำคอก่อนจะกดเบา ๆ เพื่อให้ปากของเราแนบชิดกัน ขยับปรับมุมองศาและเริ่มบดริมฝีปากลงมา ผมเริ่มหายใจเสียงดังตามอารมณ์ และเหมือนพี่ดิมจะรู้เขาค่อย ๆ ถอนใบหน้าออกก่อนจะมองตากันแล้วกดจูบที่จมูกแล้วเลื่อนใบหน้ามาที่หน้าผาก จรดมันอยู่อย่างนั้นแล้วกอดผมเข้าไปจมอก
เป๊ะ! ตามไดอะล็อก
“แบบนี้ได้มั้ย” พี่ดิมผละกอดจากผม เขาใช้สายตานุ่ม ๆ มองริมฝีปากที่ตอนนี้ถูกเคลือบไปด้วยน้ำลายตัวเองเพราะเลียไปเมื่อครู่ ร่างสูงใช้ปลายนิ้วเช็ดมันออกไปอย่างอ้อยอิ่ง
“อื้อ แบบนี้แหละ”
“แล้วศิคิดว่าพี่จะทำแบบไหน”
“กะ ก็..”
“When we make love?”
ผมพยักหน้ากับอกกว้างแทนคำตอบ
“Why”
“I can’t stand even if I wanted you in front of everyone”
“How’s it can I tase?”
ไม่รอให้ตอบรับ ผู้ชายที่ใช้สำเนียงบริชติชได้เซ็กซี่ที่สุด จัดการเชยค้างผมให้เงยหน้ารับจูบที่คราวนี้เลยเถิดจากคำว่าอ่อนโยนไปไกล ควรใช้คำว่าร้อนแรง ริมฝีปากหนาบดเบียดทุกพื้นที่บนผิวปากอย่างชำนาญ ลิ้นร้อนเริ่มถูกใช้ด้วยการแตะที่ริมฝีปากก่อนจะส่งเข้ามาหลอกล้อกับลิ้นของผม และแน่นอนอวัยวะไร้กระดูกชิ้นนี้มันโอนอ่อนตามเขาไปอย่างไม่รักดี ไม่ใช่แค่แตะแต่เขาทั้งดูดดุน และแลกน้ำใสที่ตอนนี้เประเลอะขอบปากไปหมด มือใหญ่ที่ไม่เคยอยู่อย่างสงบบีบที่ก้นหลายครั้งทั้งที่ปากก็ยังทำหน้าที่ ลมหายใจรุนแรงของจูบที่แล้วเทียบไม่ได้กับอาการขาดห้วงของอ๊อกซิเจนที่ต้องอาศัยจังหวะหลบหลีกเพื่อหายใจ มือข้างซ้ายของเขาเริ่มหมุนวนชายเสื้อก่อนละไล้มาที่หน้าอกและสะกิดเบา ๆ
“อ๊ะ ฮะ พี่ดิม อย่า”
เขาไม่ฟังทั้งยังสะกิดเร็วขึ้น มือที่ทำหน้าที่บีบแก้มก้นก็เหมือนเจอของเล่นนุ่มมือ เขาดันให้ผมไปติดผนังห้องน้ำก่อนจะเริ่มบดเบียดหน้าขาของตัวเองเสียดสีกับของผม แขนที่เคยคล้องที่เอวเขาตอนนี้เปลี่ยนเป็นกอดเขาแน่ขึ้นด้วยอารมณ์ที่ถูกปลุก และไม่ช้าก็เริ่มจิกที่หลังพี่ดิมหลายที
“พะ พอเถอ ฮื้อ ศิจะไม่ไหวแล้ว”
“ใครจะไปทำแบบนี้ต่อหน้าคนอื่น” การขยับปากของพี่ดิมไม่ได้ห่างจากริมฝีปากผมเลย การขยับขึ้นขยับลงเลยทำให้สัมผัสน้ำใสที่จะเลอะขอบปากของกันและกัน
“...”
“เมียยั่วแบบนี้ใครจะอยากให้เห็น”
“พี่ดิม!”
“พี่ช่วยก่อนมั้ย ศิจิกหลังพี่แรงขนาดนี้ ทนไม่ไหวหรอกกว่าจะถ่ายซีนนี้จบ”
“หื้ออ เพราะพี่ดิมนั่นแหละ”
ร่างสูงกดจูบที่หน้าผากก่อนจะดึงมือเข้าไปในห้องน้ำและจัดการอะไรต่อมิอะไรที่เขาปลุมมันขึ้นมาให้กลับไปอยู่ในสภาวะปกติเหมือนเหมือน ก่อนจะออกมาเพื่อเข้าฉากจริง ๆ เสียที หลังลงทุนเอาตัวเองไปซ้อมมาก่อนหนึ่งยก
เดิมก้มหน้างุดออกมาก่อนพี่ดิมไม่นาน เพราะรู้เลยว่าหน้าต้องแดง ตัวต้องแดงมากแน่ ๆ มากกว่าตอนที่เข้าห้องน้ำไปเสียอีก ยังดีที่ป๋าบอกอีกสิบนาทีถึงจะเริ่มถ่าย เพราะเหมือนไฟมีปัญญานิดหน่อย เลยได้มีช่วงพักหายใจหายคอ แก้เก้อด้วยการอ่านบทเงียบ ๆ และคนตัวต้นเรื่องก็นั่งเงียบเหมือนกัน
ความรู้สึกเหมือนแอบเอาหนังสือโป๊ไปอ่านในห้องสมุดแล้วกลัวครูบรรณารักษ์จะจับได้ แต่ในใจก็จะค้านว่ามันเห็นจะผิด เพราะนี่ก็ถือเป็นหนังสือเหมือนกัน แถแบบแถดแถ่ด“ทุกคนไฟมาแล้ว อีกห้านาทีเตรียมตัว”
พี่นายประกาศผ่านโทรโข่ง ทุกคนเลยถูกป้าตุ๋ย พี่เอ็ม และพี่เหมี่ยว ดูแลความเรียบร้อยหน้าผม ส่วนผมกับพี่ดิมก็ผมก็ยื่นบทคืนให้พี่ทีมงาน เพราะหมดเวลาจะท่องแล้ว อีกอย่างเวลาเล่นถ้ามันติดขัดจะมีพี่ทีมงานสายปาก ค่อยอ่านบทให้อยู่ ถ้าลืมก็ชำเลืองมองได้นิดหน่อย พี่แกจะคอยอยู่ในมุมที่สายตามองเห็นพอดิบพอดี สายตาที่ว่าคือสายตาฝั่งผมเอง เพราะพี่ดิมน่ะอัจฉริยะจำบทได้ทุกตัวอักษร
“ไฟเดิน กล้องเดิน เสียงมา แอ็คชั่น!” เสียงผู้ช่วยผู้กำกับดังขึ้นก่อนที่การแสดงทุกอย่างจะเป็นไปตามบท
บรรยากาศบนโต๊ะอาหารเต็มไปด้วยความสนุกสนาน พี่ปาล์มเล่าเรื่องตลกจนทุกคนในโต๊ะขำพรืด ภาพที่ออกไปคงจะเป็นการแสดงออกทางความสุขที่เกิดขึ้นของทุกตัวละครก่อนจบบริบูรณ์ ทุกเหตุการณ์ที่ดำเนินตามบทถูกคลี่คลาย ปมทุกอย่างถูกแก้ไข ความสัมพันธ์ของทุกบทบาทถูกเกี่ยวโยงและแสดงออกในฉากสุดท้ายของเรื่องด้วยเสียงหัวเราะ และภาพความทรงจำที่ฉายซ้อนทับ
“คัต! โอเคผ่าน” พี่นายคนเดิมบอกผ่านเครื่องขยาย
“พวกเอ็งเล่นลองเทคเก่งเนอะ เจ้าปลาก็กินจริงจังเหมือนหิวอะหนู” ป๋าได้โอกาสแซว บอกแล้วแกเป็นคนสบาย ๆ นักแสดงหน้าใหม่ทุกคนฝนกองเลยไม่เกร็งเวลาได้ทำงานด้วย ยกเว้นตอนเล่นบทยาก ๆ แล้วหลายเทคยังไม่ผ่าน ก็แอบกลัวว่าจะถูกด่าเหมือนกัน ซึ่งผมรับรองได้ว่าถูกด่ายังรู้สึกดีกว่าแกเงียบใส่แล้วไม่พูดอะไรด้วยตลอดซีนนั้น นรกที่แท้มาเยือนแล้ว
“ป๋าพวกผมปิดกล้องแล้วใช่ป่ะ” พี่ปาล์มตัวก่อกวนถามขึ้น
“ยังเว้ย รอถ่ายฉากจบก่อนสิวะ จะไม่รอเพื่อนเลยหรอไอ้นี่ เมียตามไปเลี้ยงลูกหรอ ฮึ” ทุกคนในกองหัวเราะลั่นกับคำแซวของป๋า เพราะพี่ปาล์มแกติดแฟน ดันได้แฟนเด็กกว่าหลายปีเลยเทียวไปรับไปส่งมหาลัยตลอดช่วงนี้
ขณะที่พูดคุยหลอกล้อ พี่ ๆ ทีมช่างภาพ และช่างไฟ ก็ขนย้ายอุปกรณ์ไปอีกสถานที่ไม่ไกลกัน แต่เป็นริมหาดทรายสีขาวละเอียด ถูกเก็บกวาดและเรียงหินอะไรไม่รู้เต็มไปหมด
ป๋าและพี่นายเรียกผมกับพี่ดิมให้มาซ้อมบล็อกกิ้งการเดิน ท่าทาง ก่อนจะเริ่มถ่ายจริงกันเมื่อทุกอย่างพร้อม
“ปากเอ็งเจ่อ ๆ กินเผ็ดมาหรอตัวเล็ก”
“ปะ เปล่าครับ”
เพี๊ยะ! เพี๊ยะ!
“เฮ้ยป๋า ตีผมทำไม” ป๋าเอาม้วนกระดาษที่น่าจะเป็นบทฟาดพี่ดิมที่หัวสองที เจ้าตัวตั้งตัวไม่ทันได้แต่เอามือปัดพัลวัน
“มึงลามกในกองกูอีกแล้ว นี่เห็นว่าถ้าไม่ได้นอนห้องเดียวกะน้องมันจะจองห้องใหม่ เออรู้แล้วว่ารวย รวยใหญ่เลยนะ”
“นิดหน่อยเองครับ” พี่ดิมหันมามองด้วยสายตาเจ้าชู้ เม้มริมฝีปากตัวเองเพราะภาพในห้องน้ำมันย้อนกลับมาอีก คนบ้าเอ้ยยย
“เออ ๆ เล่นให้สมจริงแล้วกัน ถ้าไม่ทันแสงนะ จะด่าทั้งคืน”
มีต่อ