You are my day 1◑ : กาลครั้งที่รักคุณ
EP.20 Spotlight
[/size]
Baby when I know you’re only sorry you got caught
But you put on quite a show
ครืดดด ครืดดด
เสียงสั่นของโทรศัพท์บนหัวเตียงทำให้ผมต้องพยายามลืมตาและใช้มือควานหาโทรศัพท์ที่โต๊ะข้างหัวเตียงอย่างสะลึมสะลือ
“ฮัลโหลครับ”
[น้องศิหรอคะ พี่ใบชานะคะ]
“อ่าครับ” พอได้ยินชื่อพี่ใบชาก็ตื่นเต็มตา ลุกขึ้นนั่งคุยโทรศัพท์อย่างตั้งใจ ชื่อนี้ที่ไม่ได้ยินมานานมาก ๆ ตั้งแต่พี่เขาขอให้ทำอะไรแปลก ๆ กับพี่ดิม จนความสัมพันธ์ของผมและเขาก้าวกระโดดมาจนทุกวันนี้
[ขอโทษนะคะที่โทรมารบกวนแต่เช้า วันนี้น้องศิมีเรียนมั้ยคะ ถ้าช่วงบ่ายช่วยเข้ามาที่ษริษัทได้มั้ยเอ่ย]
ผมเริ่มคิดแล้วว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้น พี่ใบชาถึงต้องโทรมาหาผมอย่างทันด่วนขนาดนี้ ถ้าเป็นเรื่องซีรีส์ก็น่าจะแจ้งในกรุ๊ปในทุกคนรับทราบ แต่นี่โทรหาผมโดยตรงคนเดียว..
“มีอะไรหรือเปล่าครับพี่ใบชา แล้วผมไปคนเดียวหรอ” ถามออกไปอย่างกล้า ๆ กลัว ๆ เพราะไม่แน่ใจว่าตัวเองไปทำความผิดอะไรหรือเปล่า
[ถ้าคุณหมออยู่ด้วย ก็ฝากบอกเขาให้มาด้วยกันเลยนะคะ]
“คะ ครับ” เสียงขาดห้วงของผมเปล่งแทบไม่ออกเมื่อพี่ใบชาเอ่ยชื่อคนที่กำลังนอนหลับอยู่ข้าง ๆ ทั้งที่ควรกลับกลับคอนโดตามที่แม่บอก แต่คนตัวโตกลับงอแงมาก เลยทำให้ผมต้องค้างที่นี่อีกคืน และอีกอย่างวันนี้พี่ดิมได้หยุดอีก 1 วัน เก้าโมงต้องเข้าไปคุยกับอาจารย์หมอเรื่องที่ท่านแคนเซิลไปเมื่อวาน แต่ตอนนี้เหมือนบ่ายจะต้องมีคิวเพิ่มเข้ามาอีกเรื่อง
[ค่ะ ทางบริษัทเห็นข่าวแล้ว เราอาจจะต้องคุยกันว่าควรจะทำอย่างไร]
“ข่าว? ข่าวอะไรหรอครับ”
[น้องศิยังไม่รู้หรอคะว่ามีคลิปเสียงที่คล้ายน้องศิกับคุณหมอหลุดจากกองถ่าย]
“ฮะ!!”
คำอุทานเสียงดังส่งผลให้คนที่นอนอยู่ลืมตาตื่นขึ้นมาเห็นสีหน้าสุดช็อกโลกของผม
[ยังไงบ่าย ๆ เราเจอกันนะคะ พี่ไม่รบกวนแล้ว]
“คะ ครับ”
พี่ใบชาวางสายไปแล้วแต่ผมนี่ตัวชาดิกเหมือนยืนอยู่บนไหล่เขาแถบขั้วโลกเหนืออยู่เลย คลิปเสียงที่นึกออกคงมีแค่วันนั้นที่เราลืมปิดไวเลส แต่ป๋าบอกแล้วนี่นาว่าไม่มีใครได้ยินนอกจากป๋าและพี่ผู้ช่วยผู้กำกับอีกสองคน
“ใครโทรมาหรอ” ผู้ชายตัวโตที่ยังสะลึมสะลือพยุงตัวเองนั่งข้าง ๆ พี่ดิมจูบซับที่หัวไหล่เหมือนอย่างที่ชอบทำ แต่ผมยังนั่งนิ่งคิดไม่ตกกับสิ่งที่รับรู้
“พี่ใบชาครับ”
“มีเรื่องอะไรหรือเปล่า” มือใหญ่ลูบไล้แขน และแน่นอนเขาจับสังเกตได้ว่าผมไม่สบายใจเอาเสียเลย
“มีคลิปเสียงเราหลุดครับ ลงข่าวไปเยอะเลย”
“รู้กันแล้วสินะ”
“หื้อ พี่ดิมก็รู้หรอ ทำไมไม่เห็นบอกศิ”
“อ๋อ ถึงว่าเมื่อคืนไม่ให้ศิเล่นมือถือเลย ทำไมไม่บอกศิล่ะครับ”
ออกจากจากห้างเขาก็พาไปดินเนอร์ แล้วผมก็มึนไวน์ กลับมากะว่าจะเช็กข่าวก่อนนอนแต่พี่ดิมริบมือถือ และก็ทำกิจกรรมอย่างว่าเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ แถมมือถือเขาก็สั่นตลอดเวลาหมือนมีคนพยายามติดต่อ แต่สุดท้ายร่างสูงก็ปิดมือถือไปดื้อ ๆ และหันมาตั้งหน้าตั้งตาทำรักต่อ จนดึกดื่นผมก็หลับไป
“พี่ไม่ได้อยากจะปิดศิ”
“แต่พี่ดิมก็ทำไปแล้ว”
“เพราะพี่รู้ว่าศิจะเครียดแบบนี้” พี่ดิมพยายามจะเข้ามากอด แต่ผมกระเถิบตัวหนี
ทุกครั้งผมเข้าใจว่าพี่ดิมอยากปกป้องอยากทำให้ผมสบายใจ และให้ความรักของเราราบรื่นมากที่สุด ในฐานะที่เขาเป็นผู้ใหญ่กว่า มีประสบการณ์ในการจัดการปัญหาที่เข้ามาได้ดีกว่า แต่ผมกลับมองว่าเวลาเรามีปัญหามันควรเป็นเราสองคนที่แก้มันไปด้วยกัน ไม่ใช่พี่ดิมเอาตัวเองเป็นโล่บังทุกปัญหาที่จะเข้าถึงตัวผมทุกครั้ง
“ศิไม่อยากให้พี่ดิมปกป้องศิเหมือนศิเป็นเด็กเล็ก ๆ”
“ปัญหานี้มันควรเป็นเราที่ต้องแก้ไปด้วยกันไม่ใช่หรอครับ”
“…” ร่างสูงมองหน้าผมด้วยสายตาละห้อย
“ใช่ศิกลัวแล้วก็ไม่สบายใจ แต่พี่ดิมเคยบอกไม่ใช่หรอว่าเราจะผ่านมันไปได้”
“...”
“ยิ่งพี่ดิมไม่ให้ศิรับรู้ ปิดบัง แล้วพี่ดิมคิดมั้ยว่าศิจะรู้สึกยังไง ที่ให้แฟนตัวเองรับหน้าแก้ปัญหาทุกอย่างคนเดียว ทั้งที่มันคือปัญหาของเรา” น้อยครั้งที่ผมจะใช้น้ำเสียงแข็งกร้าวคุยกับเขา เพราะครั้งนี้ทั้งรู้สึกกลัวเรื่องที่เกิดขึ้น ทั้งโกรธตัวเองที่ทำตัวอ่อนแอขนาดที่ต้องให้พี่ดิมคอยเป็นห่วงตลอดเวลา
“ครับ พี่ขอโทษ พี่คิดน้อยเอง”
“อื้อ ศิรู้ว่าพี่ดิมรับมือได้ทุกอย่าง” ผมจับมือใหญ่ของเขามากุมไว้ ซึ่งเขาก็คงเครียดไม่ต่างกัน แต่ภาวะความเป็นผู้นำของมันทำให้เขาต้องท้าชนทุกอย่างได้อย่างไม่เกรงกลัว “แต่ศิอยากแบ่งปันทุกอย่างไม่ใช่แค่เรื่องที่สุข แต่ความทุกข์พี่ดิมต้องแชร์ให้ศิรู้ ศิอาจจะยังโตไม่พอที่จะเข้าใจ แต่ศิจะพยายามนะ”
“เจ้าหนูของพี่โตขึ้นขนาดนี้แล้วสินะ” เขายกยิ้มให้
“จะโตพอที่จะปกป้องพี่ดิมให้ได้เลยนะ”
“หึ ครับ”
“ศิมีเรียนเช้าใช่มั้ย เดี๋ยวเที่ยงพี่ไปรับที่มหาลัยแล้วไปเข้าบริษัทด้วยกัน”
“อื้อ เขาคงไม่สั่งให้เราเลิกกันใช่มั้ย”
“ไม่มีใครมีสิทธิ์มาสั่งให้เราเลิกกันทั้งนั้นครับ”พี่ดิมขับรถมาส่งที่มหาวิทยาลัยตอนประมาณแปดโมงสี่สิบห้าทันคลาสแรกพอดี วันนี้เป็นวันที่ผมต้องเข้ามาเรียนวิชาที่ต้องเก็บให้ครบก่อนจบปีสาม ยังไม่ทันได้นั่งเต็มก้น เฌอก็ถามทันทีถึงเรื่องที่เกิดขึ้นอย่างที่ผมไม่แปลกใจ เพราะตอนนั่งรถมาก็เปิดอ่านไลน์กลุ่มที่มีข้อความแชทประมาณเกือบ 300 ข้อความ และส่วนใหญ่จะมาจากเฌอทั้งนั้น
“หายหัวไปเลยนะคะ กูไลน์ไปก็ไม่อ่าน โทรไปก็ไม่รับ”
“ช่วยพี่ดิมทำงาน” งานที่ว่าคือกิจกรรมเข้าจังหวะนั่นแหละนะ
“อ๋อหรอ คิดว่ากกกับผัวลืมเพื่อนไปแล้ว”
“สรุปยังไงคะ เสียงมึงจริงป่ะ”
“เฌอได้ฟังแล้วหรอ”
“หึ ยังอะ ก็หาอยู่แต่ไม่มีเลยว่ะ เสือกทั้งคืน ดูตากูดิดำขนาดที่คอนซีลเลอร์ของนาร์สยังกลบไม่มิดเลย” ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มพยายามเอาหน้าเข้ามาใกล้เพื่อให้เห็นว่าใต้ตาของเธอดำเพราะว่าเสือกทั้งคืนจริง ๆ เออรู้แล้วคุณเฌอลักษม์
“ไม่รู้เหมือนกันว่าจริงมั้ย เพราะก็ยังไม่ได้ฟัง แต่...ถ้าตามเรื่องในข่าว” หน้าตาเฌอบ่งบอกว่าอยากเสือกเอาการเอางานมาก ๆ
“ก็ใช่”
“กรี๊ดดดดดด” เฌอกรี๊ดใส่แขนเสื้อผม เพื่อไม่ให้เสียงดังเกินไปเพราะตอนนี้คนนั่งเต็มห้องสโลปรออาจารย์เข้ามาสอน
“เบา ๆ” อาโปที่นั่งถัดไปปรามเพื่อน เพิ่งสังเกตว่าเมฆไม่ได้นั่งข้างอาโปเหมือนทุกที แต่กลับนั่งข้างผมแทน ตอนมาก็ไม่ได้สังเกตว่าเป็นเมฆเพราะเขาฟุบหลับอยู เว้นที่ว่างไว้เลยเข้าใจว่าเป็นที่ตัวเองโดยอัตโนมัติ แปลก ๆ แฮะ
“โปมึงรู้ป่ะ วันนั้นมึงก็ไปกองไม่ใช่หรอ”
“หึ ไม่รู้ว่ะ วันนั้นคิวกูไม่มีแล้วก็เลยกลับก่อนมั้ง ใช่ป่ะวะศิ” อาโปถาม ทั้งที่สายตายังจับจ้องที่มือถือเหมือนคุยแชทกับใครค้างไว้
“มั้ง จริง ๆ มีแค่กู พี่ดิม ป๋าเจี๊ยบ กับพี่ผู้ช่วยผู้กำกับที่รู้”
“หรือว่าจะเป็นพี่สองคนนั้นเปล่า เพราะป๋าคงไม่ทำ” อาโปตั้งข้อสงสัย
“ไม่หรอกกูเชื่อใจป๋าแล้วก็พี่ ๆ ทีมงาน เขาไม่ทำหรอก”
“ไม่แน่นะมึง เพื่อเงินคนเรามักจะทำอะไรที่คาดไม่ถึงก็ได้” เป็นเฌอที่ตั้งข้อสันนิษฐานสมทบ
“เดี๋ยววันนี้เข้าบริษัท เหมือนผู้ใหญ่จะรู้แล้ว”
“เชี่ยจริงหรอวะ เรื่องใหญ่เลย” อาโปตาโตที่ได้ยินและอุทานขึ้น “งี้เรื่องมึงกับพี่ดิมก็ปิดเขาไม่ได้แล้วดิวะ”
ก็คงแบบนั้น คุยกับพี่ดิมในรถก่อนมาถึงว่าเราจะตัดสินใจบอกเรื่องของเราให้ผู้ใหญ่รับรู้ แต่ถึงอย่างไรก็ไม่มีทางเลิกกันเพื่องาน และถ้ามันจะส่งผลต่อซีรีส์ที่กำลังจะออกอากาศ พี่ดิมก็จะยอมจ่ายค่าเสียหาย หากบริษัทเรียกร้องตามกฏหมาย เพราะทั้งพี่ดิมและผมมีสัญญากับบริษัทสำหรับซีรีส์เรื่องนี้ และในสัญญาก็ระบุไว้ชัดเจนว่าหากทำให้เกิดความเสียหายอันเกิดจากการกระทำของเราบริษัทสามารถดำเนินการทางกฏหมายได้
อาจารย์เดินเข้าห้องพอดี ทุกคนต่างแยกย้ายและเริ่มตั้งหน้าตั้งตาเรียน เมฆก็เงยหน้าขึ้นมาพร้อมเรียนหลังจากฟุบหลับเมื่อครู่
“ผ่านมันไปให้ได้นะ” เสียงเบา ๆ จากผู้ชายข้าง ๆ ที่ให้กำลังใจ แต่ดูจากสีหน้าท่าทางแล้วคนพูดน่าจะต้องการกำลังใจมากกว่า
“ไม่สบายหรอเมฆ” ไม่เคยเห็นเมฆโทรมขนาดนี้มาก่อน เขาแทบจะไม่เคยปล่อยให้หนวดขึ้นเป็นตอเข้มเห็นชัดขนาดนี้
“เปล่ากูไม่เป็นไร”
“มีไรก็บอกได้นะ”
“อืม”
ไม่รู้ว่าเมฆมีเรื่องหนักใจอะไร แต่แทบไม่เคยเห็นผู้ชายที่มั่นใจและเก่งทุกเรื่องดูไร้ทิศทางขนาดนี้มากก่อน สายตาที่ลอบมองผ่านผมไปทางผู้ชายอีกคนในกลุ่มก็น่าจะเดาไม่ยากว่าคงมีอะไรบางอย่างเกิดขึ้นกับสองคนนี้
“พี่ดิมจะมารับหรอวะ” เฌอถามขณะที่กำลังลงลิฟต์หลังจากเลิกคลาส และได้โปรเจ็กต์ใหม่ที่ต้องทำงานคู่ คราวนี้ได้คู่กับเมฆเพราะอาโปตัดหน้าขอคู่กับเฌอไปก่อน ทั้ง ๆ ที่ช่วงหลังมีงานคู่สองคนนี้แทบจะเป็นบัดดี้กัน เพราะผมตัวขี้เกียจอยู่กับเฌอจะได้โดนตามจี้ได้
“อื้ม ไลน์มาว่าอยู่หน้ามอแล้วกำลังวนรถเข้ามา”
“ขอให้ผ่านไปได้นะมึง ยังไงผู้ใหญ่เขาก็คงมีทางออกให้” สายตาเฌอดูเป็นห่วงและเธอส่งให้กำลังใจผ่านดวงตากลมคู่นี้มาให้อย่างเปี่ยมล้น ผมได้แต่ยิ้มรับ
“มีอะไรก็โทรมานะ พี่ใบชากูก็พอจะคุยกับนางได้ นางไม่ได้โหดขนาดนั้น แค่ดึงหน้าเก่ง” อาโปพูด และเช่นเคยแทบไม่มองหน้าเมฆเลย ทั้งที่เมฆมองอาโปแทบจะตลอดเวลา
“ขอบคุณพวกมึงมากนะ กูคิดว่ามันจะต้องมีทางออกที่ดี” ยิ้มให้เพื่อนทุกคน ก่อนสายตาจะมองไปเห็นบีเอ็มคันคุ้นตาจอดเทียบที่ริมฟุตบาธหน้าคณะ เลยโบกมือลาเพื่อน ๆ แล้วขึ้นรถคันเดิมที่นั่งมาตอนเช้า
มองผ่านกระจกไปก็ยังเห็นเพื่อนทั้งสามคนยืมมองรถจนลับสายตา ถึงจะแยกย้ายกันไป
ตลอดสามปีที่ผ่านมาไม่ค่อยได้สนใจว่าเพื่อนจะสำคัญกับเรามากขนาดไหน เพราะสนใจแต่เกม สนใจแต่ตัวเอง จนครึ่งปีที่ผ่านพ้น เมื่อมีปัญหาก็จะมองเห็นสามคนนี้อยู่รอบตัวเสมอ ค้นพบแล้วว่าจริง ๆ เพื่อนไม่ใช่แค่คนที่ไปไหนมาไหนด้วยกัน แชร์เรื่องราวในชีวิตกัน แต่คือคนที่เราจะสามารถทำตัวอ่อนแอ ห่าเหว เหลวแหลกในชีวิต และจะไม่ไปในวันที่เราทุกข์แม้จะช่วยอะไรไม่ได้ แต่อย่างน้อยก็ยังมีเพื่อนยืนอยู่ด้วยกัน
อาคารสูงตระหง่านข้างหน้า ซึ่งตอนนี้ไม่ต่างจากศาลพิพากษาในคดีที่มีผมและสารถีตกเป็นโจทย์ที่เราต้องไปให้ปากคำ ที่เป็นโจทย์ก็คือเราไม่ได้ทำความผิด คนที่ผิดคือคนปล่อยคลิปบ้า ๆ นั่นเพื่อหวังผลอะไรสักอย่าง เราต้องเข้าไปแก้ต่างและหาวิธีแก้ปัญหาก่อนมันจะลุกลามสร้างความเสียหายให้คนอื่นและตัวเราเอง
เราสองคนขึ้นลิฟตืบริเวณไฮโซนอันเป็นสถานที่ที่พี่ใบชาส่งแมสเสจมาบอก ชั้นของผู้บริหารมักจะเงียบเหงาเสมอเพราะมีคนทำงานแค่ไม่กี่คนเท่านั้น
ผลักเข้าห้องประชุมก็เจอผู้ใหญ่คุ้นหน้าในวันแคสติ้งทั้งคุณติณณ์ คุณพิภพและพี่กะรัตฝ่ายสื่อสารองค์กร ป๋าเจี๊ยบ พี่นาย พี่ผู้ช่วยผู้กำกับสองคน กระทั่งคุณอบเชยก็เข้าร่วมประชุมด้วย
“นั่งก่อนสิคุณหมอ ศิ” เสียงทุ้มของคุณติณณ์เชิญเราสองคนนั่งประจำที่ ถัดจากที่หัวโต๊ะซึ่งนั่นคือคนเชิญนั่นเอง “เริ่มเลยนะครับ”
“คุณหมอ น้องศิ ที่วันนี้เราต้องเรียกคุณสองคนมาไม่ได้อยากจะมาต่อว่าหรืออะไรนะ เราแค่ต้องหาวิธีรับมือ หากมันเกิดเหตุการณ์อะไรที่เลวร้ายกว่านี้”
“หมายถึงอะไรที่เลวร้ายครับ?” พี่ดิมตั้งคำถามกลับด้วยเสียงจริงจัง
“ถ้าคลิปที่ว่านั่นมันหลุดออกมาจริง ๆ ไม่ใช่แค่การกล่าวอ้างของเพจ เพราะผมสอบถามคุณเจี๊ยบแล้ว ว่าเหตุการณ์นี้จริงหรือไม่ ซึ่งมันเกิดขึ้นจริง” ประธานที่ประชุมประสานมือตรงหน้าก่อนจะพูดต่อ “ซึ่งเหตุการณ์ที่มันจะเป็นไปได้ต่อจากนี้จะไม่ใช่แค่การที่พวกคุณเป็นคู่จิ้นอย่างที่เราอยากให้เป็น แต่พวกคุณต้องรับแรงปะทะจากสังคมจากความสัมพันธ์ของคุณ ซึ่งมันส่งผลกระทบกับตัวคุณและนักแสดงคนอื่น ๆ”
“แค่เพราะเรารักกันน่ะหรอครับ”“พี่ดิม..” คำพูดเหมือนเพ้อที่ออกมาจากปากของผม หลังจากได้ยินคนรักพูดคำนี้ต่อหน้าทุก ๆ คนที่อยู่ในห้อง ปฏิกิริยาของคุณติณณ์และคนอื่น ๆ นอกจากทีมงานกองถ่าย ดูจะอึ้งไปไม่น้อย
“นี่พวกคุณ…” คุณติณณ์มีสีหน้าตกใจเล็กน้อยที่ได้รับรู้ความสัมพันธ์ของหลานชาย พี่ดิมเล่าให้ฟังแล้วว่าได้เบอร์ผมมาจากคุณอาเขานี่แหละ
“ครับ เราคบกัน”
“แล้วผมก็คิดว่ามันไม่มีอะไรเลวร้าย เพราะเราไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร ผมจะสามสิบ น้องก็บรรลุนิติภาวะแล้ว”
เสียงเย็นยะเยือกของคุณหมอใช้งานได้ดีเหมือนทุกครั้ง เพราะคำพูดเขาเหมือนฟรีซทุกคน และยังไม่มีใครกล้าพูดอะไร
“ขออนุญาตนะคะ คุณหมอคะ คุณก็ทราบดีว่าฐานคนดูซีรีส์เราส่วนใหญ่คือผู้หญิงและสาววาย ซึ่งไม่ใช่ทุกคนที่จะรับความรักแบบชายรักชายได้”
“ครับ ผมก็ไม่ได้บอกว่าจะนั่งแถลงข่าว ถ้าทุกคนเห็นสมควรว่าความสัมพันธ์ของผมกับน้องยังไม่พร้อมเปิดเผย และในเมื่อคลิปนั่นมันอาจจะไม่มีจริงก็ได้ ซึ่งถ้ามีจริง ๆ เราจำเป็นต้องยอมรับหรอครับ สมมติถ้าเราเบี่ยงเบนประเด็นไป ผมว่าคนดูและแฟนคลับเขาคงจะจิ้นหนักกว่าเดิม ซึ่งผมว่ามันดีกับทางการตลาด หรือคุณใบชาคิดยังไงครับ” ยอมรับว่าพี่ดิมพูดแรงทั้งที่ไม่มีคำหยาบ มันเหมือนการประชดประชันพี่ใบชาในหน้าที่ที่เธอรับผิดชอบอยู่
พี่ใบชามองหน้าพี่ดิมด้วยสีหน้าเรียบเฉย “แต่อย่าลืมความลับไม่มีในโลกนะคะ ยังไงพวกเขาก็จะสืบจนรู้”
“ผมทราบดี เพราะทุกวันนี้ก็มีหลายคนไปเฝ้าผมถึงโรงพยาบาล แต่นั่นมันก็เกินความสามารถที่เราจะจัดการได้หรือเปล่า และผมกับน้องก็ไม่ได้อยากปิดบังใคร ถ้าถามกันตรง ๆ” บทจะดื้อดึงพี่ดิมก็ทำได้อย่างไม่ไว้หน้าใคร ยังคงรักษาน้ำเสียงสุภาพ แต่คำพูดนั้นเชือดเฉือนอย่างไม่ยอมใครสุด ๆ
“แล้วนักแสดงคนอื่นล่ะคะ กลัวจะมีผลกระทบกับพวกเขาค่ะ” พี่ใบชาหันไปพูดกับคุณติณณ์ ท่านได้แต่กอดอกอย่างใช้ความคิด ทั้งยังมีสีหน้าเรียบเฉย
“ผมไม่ได้ห้ามให้พวกคุณรักกัน อย่างที่บอกว่ามันต้องหาทางป้องกันถ้ามันเกิดเรื่องที่เราคาดไม่ถึงกว่านี้”
“เอาอย่างนี้ดีมั้ยคะ” คุณอบเชยเสนอความเห็น เขายิ้มให้ผมก่อนที่จะพูดต่อ “อย่างที่หมอดิมบอก ในเมื่อคลิปที่ว่าก็ยังไม่มีใครรู้ว่ามีจริงมั้ย และถ้ามันมีจริงและถูกปล่อยออกมา ก็ไม่มีใครรู้อยู่แล้วว่าเป็นพวกเขาหรือเปล่า เราก็ใช้กระแสนี้ทำให้เป็นเหมือนพวกเขาจริง ๆ ไปเลย ดีเสียอีกคนจะได้อยากดูซีรีส์ของเรามากขึ้น คนก็จะเริ่มจับผิดว่าพวกเขาเป็นคู่จริงมั้ย ที่สำคัญถ้าสมมติมีอะไรที่เลวร้ายแบบที่คุณติณณ์กังวล เราก็ควรจะสนับสนุนให้เขารักกันมากกว่าปิดกั้น คงได้ใจ LGBT ทั่วเอเชียนะคะ”
คุณอบเชยพูดจบทุกคนต่างเงียบราวกับใช้ความคิดและคิดตามที่คุณอบเชยเสนอ ซึ่งผมรู้สึกขอบคุณในใจที่คนสร้างนิยายเรื่องนี้ และทำให้ผมได้มาเจอกับพี่ดิมอีกครั้ง จะเข้าใจเรามากกว่ากลัวผลงานของตัวเองที่ปั้นแต่งขึ้นมากับมือเสียหาย เพียงเพราะผมและพี่ดิมรักกัน
“ผมต้องขอโทษพี่ ๆ ทุกคนนะครับที่ทำให้วุ่นวาย” ผมยกมือไหว้ทุกคน พี่ดิมหันมามองคงไม่คิดว่าอยู่ดี ๆ ผมจะพูดขึ้นมา ทั้งที่เขาจับมือผมไว้บนตกและผมรู้ตัวว่าตัวเองสั่นมากแค่ไหน แต่ถ้าผมไม่ทำอย่างนี้ สถานการณ์มันอาจจะเลวร้ายเหมือนที่คุณติณณ์พูด ในที่นี้หมายถึง พี่ ๆ ทุกคนจะมองพี่ดิมไม่ดี
“แต่เราแค่รักกันในฐานะของผู้ชายธรรมดา ๆ สองคน และผมไม่รู้ว่าจะทำให้เพื่อน ๆ นักแสดงคนอื่นลำบากขนาดนี้ ถ้ายังไงผมจะไปขอโทษพวกเขาล่วงหน้าครับ”
“เอ่อ...พี่ไม่ได้กีดกันที่น้องศิกับคุณหมอรักกันนะคะ พี่แค่..”
“ครับผมเข้าใจว่าพี่ใบชาทำตามหน้าที่” สีหน้าหม่นลงของผู้หญิงสวยจัดกับผมสีดำขลำม้วนลอนสลวย เธอคงไม่ได้อยากมากำหนดกฏเกณฑ์อะไรในชีวิตคนอื่น แต่ทว่าหน้าที่ของเธอจำเป็นที่ต้องตั้งคำถามกับทุกอย่างที่จะกระทบกับองค์กรที่ทำงานให้
“คุณพิภพว่ายังไงครับ” คุณติณณ์ที่ดูผ่อนคลายกว่าเดิมถามผู้อำนวยการฝ่ายสื่อสารองค์กร
“จากที่ฟังมา ผมว่าข้อเสนอของคุณอบเชยดีทีเดียว เราปล่อยให้มันคลุมเครือไปแบบนี้ดีกว่า ไม่ต้องแถลงข่าว มิเช่นนั้นก็ไม่ต่างจากเรายอมรับ ที่สำคัญเราต้องหาต้นตอของคลิปเสียงที่ว่าถ้ามีเกลือเป็นหนอนเราอาจจะลำบากในเรื่องอื่นอีก”
“ผมลองถามทีมงานผมแล้ว ทางทีมตัดต่อบอกว่ามีการอัพฟุตเทจของเทปที่ถ่ายวันนั้นขึ้นคลาวน์บนอินเทอร์เน็ต ไม่แน่อาจจะมีความผิดพลาดตรงนั้น” ผู้กำกับพูดขึ้น
“ผมต้องขอโทษด้วยที่วันนั้นไม่ได้เช็กให้ดีว่ากล้องมันเร็กคอร์ดอยู่ด้วย และไม่ได้ทำการลบครับ” พี่ผู้ช่วยผู้กำกับคนหนึ่งพูดขึ้น
“เอาล่ะ ๆ ผมไม่โทษใครหรอก เท่าที่ฟังดูมันอาจจะเป็นอุบัติเหตุ แต่ยังไงรบกวนคุณพิภพให้ทีมกฏหมายตรวจสอบอีกทาง เพราะถ้ามีคนจงใจปล่อยออกไป เราคงต้องมีมาตรการลงโทษเพราะเจตนาไม่ดีแน่”
พูดจบคุณติณณ์มองหน้าเราสองคนแล้วยกยิ้มให้บาง ๆ และสีหน้าเคร่งเครียดเมื่อสักครู่หายไป
“ผมไม่ให้คุณเลิกกันหรอก น้องศิเลิกทำหน้ากลัวผมได้แล้วนะ คุณหมอก็อย่าทำหน้าเหมือนโกรธผมด้วย”
พี่ดิมยกยิ้มมุมปาก เพราะคุณอาของพูดแทงใจที่ว่าเขารู้สึกโกรธจริง ๆ มีบางช่วงที่พี่ดิมบีบมือผมเพราะเขากำลังระงับความโกรธของตัวเอง
“ยังจำวันที่คุณหมอเดินเข้าห้องประชุมมาขอให้แคสต์ศิได้อยู่เลย อะไรกันนี่ตกลงเป็นแฟนกันแล้ว พรหมลิขิตหรือไง”
พี่ ๆ คนอื่นเริ่มยิ้มตามจากคำแซวของประธานที่ประชุม หลังจากคร่ำเคร่งกับหัวข้อการรประชุมมานาน
“เรื่องเพื่อนนักแสดงคนอื่น ๆ ผมให้พวกคุณคุยกันเองแล้วกัน เห็นว่าจะมีงานเลี้ยงปิดกล้องวันที่ออนแอร์วันแรกใช่มั้ย เคลียร์กันเองนะ ผมว่าพวกเขารู้ก่อนผมอีกมั้งเนี่ย” คุณติณณ์พูดติดตลก
“แค่สงสัยน่ะครับ ยังไม่มีใครรู้นอกจากพูลล์กับอาโป” เพราะผมและพี่ดิมเห็นว่าไม่จำเป็นเท่าไหร่ แต่ในเมื่อเรื่องของเรามันอาจจะกระทบกับงานของพวกเขาด้วย อย่างไรเราก็ควรบอก เพื่อแสดงความจริงใจที่เรามีให้
มีต่อ