END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)  (อ่าน 186062 ครั้ง)

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทุ้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเวปไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสอ้างอิงชื่อผู้โพสหรือเวปไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเวปไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสและเวปไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเวปไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพส
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เวปไซต์แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม









you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ




☀☀☀☀☀☀☀☀☀☀☀☀☀☀☀☀


พระอาทิตย์สัญลักษณ์แห่งทิวากาล             

พระจันทร์สัญลักษณ์แห่งราตรีกาล

พระอาทิตย์มาพร้อมกับความสว่างสไสว          

พระจันทร์มาพร้อมกับความมืดมิด

พระอาทิตย์เป็นแหล่งกำเนิดทุกสรรพสิ่ง          

พระจันทร์ทำได้แค่อาศัยพลังจากแสงพระอาทิตย์

พระอาทิตย์เจ้าแห่งดาว                        

พระจันทร์ดาวเคราะห์ไร้ราคา



แม้พระอาทิตย์จะร้อนแรงแผดเผา แต่ก็ทำประโยชน์ต่อมวลมนุษย์คณานับ

แต่พระจันทร์ที่เยือกเย็นทำได้แค่ส่องแสงนวลในบางวัน

พระจันทร์มิอาจทัดเทียมพระอาทิตย์ฉันใด พระอาทิตย์ก็ยิ่งอยากครอบครองพระจันทร์ฉันนั้น

หากแต่กฏธรรมชาติยากนักจะหักหาญ….




                     






อดีตรุ่นพี่ที่ร้อนแรงดั่งแสงอาทิตย์

เป็ชนวนแรงดึงดูดให้พระจันทร์อย่างผมเคลื่อนที่รอบเขาอย่างไม่สิ้นสุด

แต่จะเป็นยังไงถ้าพระอาทิตย์อยากโคจรรอบดวงจันทร์มากกว่า



◐◐◐◐◐◐◐◐◐◐◐◐◐◐◐


ดิม อาคิรา นายแพทย์หนุ่ม พ่วงอาชีพนักแสดงมากฝีมือ ที่นานๆ ทีจะรับเล่นละครสักที กลับเลือกมาแคสติ้งในซีรี่ส์วายเป็นครั้งแรก

ศิ ศิรัส จับพลัดจับผลูได้ไปแคสติ้งซีรี่ส์วายเรื่องนี้อย่างจำใจก็ไม่ถูกนัก เพราะถ้าไม่ใช่เพราะรุ่นพี่ที่เคยทำให้ใจเต้นแรงมาขอร้อง

มีหรือคนอย่างศิที่รักสงบจะเอาตัวเองเข้ามาในวงการที่อยู่ยากที่สุด!


กับการเป็น คู่จิ้น ที่มีหนึ่งคน คิดจริง




ฝากด้วยนะคะเรื่องแรกค่ะ
ผิดพลาดอะไรยังไงก็ลองติชมกันเข้ามาเล้ยย
ขอบคุณที่กดเข้ามาอ่านนะคะ

เยิ้บๆ

บี













Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 04-11-2018 21:41:19 โดย mifengbee »

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ
prologue

You know you’re in love when you can’t fall asleep because reality is finally better than your dreams.
คุณจะรู้ว่าคุณตกหลุมรัก เมื่อคุณไม่สามารถข่มตาหลับได้เพราะความจริงมันดีกว่าความฝันของคุณ
 Dr. Seuss

 





        หลังจากอาจารย์ประจำวิชาการทดสอบและการวัดจิตวิทยาปิดสไลด์และวางไมค์ เสียงจอแจของนิสิตที่กำลังเตรียมตัวเก็บข้าวของและออกจากห้องที่เหมือนโดนแรงกระแทกภายในจิตใจขั้นรุนแรง เพราะอาจารย์จะเทสต์ครั้งแรกหลังจากเปิดเทอมมาสามสัปดาห์และเรียนไปมากกว่า 12 lesson ไม่หมดรักแต่หมดแรงที่แท้จริง ยังไม่นับโปรเจ็กต์วิจัยที่จะต้องส่งก่อนมิดเทอมแต่ยังแก้บทนำไม่เสร็จ จะร้องไห้ก็ร้องไม่ออก ชีวิตนิสิตจิตวิทยาปีสามไม่ง่าย โคตรไม่ง่ายเลย

        “วันนี้เลิกเรียนกูต้องไปแคสงานนะศิ” อาโป หรือ ชโลทร หนึ่งในเพื่อนอีกสามคนพยายามคุยกับศิรัส เพื่อนตัวดีที่เอาแต่ตีป้อม ROV ทั้งที่เฌอและเมฆพยายามจะคุยด้วยตั้งแต่อาจารย์วางไมค์ แต่ก็ไม่ทันเพราะไอ้ศิเปิดเกมก่อนจะได้พูดอีก

        “ฮะ เออ ก็ไปดิ อย่าเพิ่งเรียกตอนนี้ดิวะ กูกำลังจะออลคิลละ แป๊บนึงเดี๋ยวไม่ได้ MVP”

         อาการติดเกมของศิรัสทำเอา เมฆ ฆิฆาทัศน์, เฌอ เฌอลักษณม์ เบื่อหน่ายกว่าใคร เพราะเวลาศิรัสได้เข้าโหมดตีป้อมที่ไรก็เหมือนหลุดเข้าไปในเกม ทั้งที่เล่นทีไรก็ชนะนับครั้งได้


         พรึ่บ


         “เห้ย เฌอ อย่าเพิ่งดิ จะจบเกมแล้ว” เฌอสาวสวยคนเดียวของกลุ่มแย่งมือถือจากผมไปแบบไม่สนใจว่าเพื่อนจะโดนคนในเกมอีกที่เหลือก่นด่าถึงโคตรเหง้าขนาดไหน

         “ถ้ามึงเห็นเกมดีกว่าพวกกู กูจะคืนให้ เลือกมา” สวยก็จริงแต่แมนมาก แมนกว่าพวกผมมัดสามคนรวมกันเสียอีก และผมก็กลัวเฌอเวลาโกรธมากๆ

          สายตากดดันจากเพื่อนทั้ง 3 คนทำให้ยอมจำนนทำท่าทางสงบเสงี่ยมเจียมตัวฟังเพื่อนว่าต้องการอะไรจากผมกันแน่

          “มึงฟังนะศิ พวกกูตกลงกันแล้ว ตอนที่มึงเอาแต่เล่นเกมโดยไม่ฟังเหี้ยอะไรเลย ว่าเราจะไปดูอาโปแคสต์งานวันนี้” เฌอพูดขึ้นอย่างคล้ายจะเหลืออด

           “อ้าว ทำไมเราต้องไปด้วยอะ”

           “ก็เพราะงานนี้เป็นงานใหญ่มาก กูต้องการกำลังใจจากพวกมึง” อาโปพูดด้วยสายตาตื่นเต้นและมีความหวัง

           “มันจะได้ไปแคสต์ซีรีส์ช่องพีพีมีเดียเลยนะมึง” เฌอต่อให้อย่างกับนัดกับอาโปมาแล้ว

            “หรอวะ เออดีใจด้วยนะอาโป” พูดว่าดีใจด้วย แต่ผมรู้ว่าสายตาผมว่างเปล่าปนไม่เข้าใจ มันสวนทางกับคำพูดสุดๆ
 
            “เหี้ยศิ!!”

            เฌอ และอาโป ตะโกนอย่างเหลืออดกับอาการที่ไม่ค่อยจะรู้ร้อนรู้หนาวอะไรกับใครเค้าเลยของศิรัส ส่วนเมฆก็เสียบหูฟังบ่งบอกว่าไม่อยากรับรู้ไปโดยปริยาย







          สุดท้ายทั้ง 4 คนก็มาถึงอาคารใหญ่ติดรถไฟฟ้า ราคาที่ดินที่พวกเขาเหยียบแทบประเมินราคาไม่ได้ เวลาบ่ายโมงกว่าๆ หลังจากที่กินข้าวจากที่มหา’ลัยก็มุ่งหน้ามาที่นี่อย่างไม่ได้รีบร้อนกันเท่าไหร่ เมฆยังคงเป็นสารถีคอยรับส่งเพื่อนๆ แม้ว่าทุกคนต่างก็มีรถ แต่ลงความเห็นว่าเมฆขับรถดีที่สุด และมันก็รวยสุดที่จะเติมน้ำมันทุกอาทิตย์เพื่อไปส่งเพื่อนทั้ง 3 คนทุกวัน

           เมฆนี่ดีที่สุดแล้ว  และเมฆก็ไม่ยุ่งกับผมเวลาเล่นเกมด้วย!



 
           พีพีมิเดียเป็นองค์กรเอกชนชื่อดังที่มีหุ้นในตลาดหลักทรัพย์ ทำธุรกิจสื่ออย่างครบวงจร ไม่ว่าจะเป็นการผลิตรายการโทรทัศน์, ละคร, โฆษณา, อีเวนต์คอนเสิร์ต และสื่อออนไลน์ต่างๆ อีกมากมาย ดังนั้นการได้มาร่วมงานกับบริษัทนี้ถือเป็นใบเบิกทางที่โคตรดีในวงการบันเทิงเหมือนเอาดอกกุหลาบมาปูบนพรมแดงแล้วเดินย้ำไปอย่างสบายเท้า
 
            เรากดลิฟต์ขึ้นไปที่ชั้น 24 สถานที่สำหรับการแคสติ้ง บรรยากาศโดยรอบห้องโถงขนาดใหญ่คึกคัก มีผู้เข้าคัดเลือกมากหน้าหลายตาเดินขักไขว่ ถือเอกสารและแฟ้มสำหรับใส่เรซูเม่ บางคนก็มีเพื่อนมาด้วยเหมือนพวกผมที่มารออาโป บ้างก็นั่งพิงกำแพง บ้างก็ยืน หลายคนอ่านหนังสือเล่มหนา สถานที่ตรงนี้น่าจะเป็นที่สำหรับประชุมหรือสัมมนาของบริษัท และจริงๆ ก็สามารถจัดคอนเสิร์ตได้เลยด้วยซ้ำ เสียงพูดคุย สลับกับเสียงการทักทายของเหล่าบรรดานักล่าฝันที่อยากเป็นนักแสดงของค่ายนี้ดังทั่วฮอลล์ และบอกเลยว่ามีแต่คนหน้าตาดีมากๆ ทั้งนั้น บางคนก็รู้สึกคุ้นหน้าเหมือนเห็นผ่านทีวี บางคนก็หล่อจนรู้สึกว่าพวกนี้ไปอยู่ไหนมา
 
           ศิ ศิรัส  ชื่อความหมายดีที่คุณย่าตั้งให้ แปลว่าแสงจันทร์ เพราะอยากให้เป็นคนเย็นตา สบายใจ เวลาที่ใครได้อยู่ใกล้ แม้จะไม่มีแสงจัดจ้าร้อนแรง แถมไม่ได้มีประโยชน์ให้กับพื้นโลกเหมือนแสงพระอาทิตย์ แต่ก็น่าจะทำให้คนหลงทิศในยามที่มืดมนที่สุดรู้ว่า ถึงอย่างไรก็ยังจะมีแสงจันทร์ที่สว่างไสวตรงนี้อยู่ด้วยตลอดค่ำคืน

          ชีวิตโดยปกติของผมก็ไม่มีอะไรหวือหวาหรือน่าเร้าใจมากเท่าการปั่นวิจัยทุกเทอม อดหลับอดนอน ตื่นไปพรีเซนต์ กลับมาแก้งานวนไป นี่แหละครับเรื่องน่าตื่นเต้นที่สุดในชีวิต

          แต่จริงๆ ก็มีอีกเรื่องที่เคยเกิดขึ้นเมื่อนานมาแล้วเหมือนกัน ยังจำจังหวะหัวใจที่สูบฉีดเลือดอย่างรุนแรงได้อยู่เลย






         ตอนนั้นผมอยู่ ม.4 ขณะที่แอบเข้าไปห้องน้ำของชมรมว่ายน้ำที่โรงเรียน ทั้งที่ปกติแล้วไม่ให้บุคคลภายนอกเข้า แต่มันสุดกลั้นแล้วจริงๆ ของเสียในร่างกายมันกลั่นออกมาและพร้อมระบายตามท่อปัสสาวะแล้ว  ในขณะที่กำลังปล่อยสิ่งเหล่านั้นลงชักโครก ก็กลับได้ยินเสียงหอบหายใจมาจากห้องน้ำฝั่งทางขวา มันเป็นเสียงกระเส่า และพลุ่งพล่าน จนเดากิจกรรมที่บุคคลในนั้นได้ว่าเกิดอะไรขึ้น เงี่ยหูว่ามาเป็นลมหายใจของคนๆ เดียวหรือสองคน...จนแน่ใจว่าเสียงลมหายใจเกิดจากคนๆ เดียว ไม่ใช่กิจกรรมที่มีใครลักลอบทำแบบนั้นในโรงเรียน

         ผมเองก็อดที่จะหน้าร้อนตามไปด้วยไม่ได้ ทั้งยังไม่กล้าออกจากห้องน้ำแม้ว่าจะทำธุระเสร็จแล้ว เพราะกลัวห้องข้างๆ จะรู้ว่ามีคนแอบได้ยินเสียงลมหายใจที่โคตรจะเซ็กซี่ขนาดนั้น และเมื่อเสียงหอบหายใจถี่กระชั้นมากขึ้น มันทำให้ผมขนลุกและเสียวท้องน้อยตามไปด้วย แม้จะรู้ว่าเขาคนนั้นคือผู้ชายก็ตาม และพอได้ยินเสียงเปิดประตูของห้องข้างๆ รอให้แน่ใจว่าเขาจะเดินออกจากห้องน้ำแล้ว ผมก็รีบเปิดประตูตามออกมาเพื่อโกยอากาศหายใจ เหงื่อไคลที่ไหลลงตามกรอบหน้า ผมรู้ดีกว่าไม่ใช่แค่เพราะอากาศร้อนแต่อารมณ์แตกเนื้อหนุ่มมัน ‘อยาก’ มากกว่า

         พอแอบออกจากห้องน้ำมาก็สอดส่องเข้าไปในสระว่ายน้ำ ภายในสระโล่ง ไร้ผู้คน พบเพียงรุ่นพี่ที่จบไปนานมาก จำได้ว่าผมเข้าเรียนม.1 เขาก็จบม.6 ไปได้หลายปีแล้ว แต่ที่จำได้เพราะเขากลับมาที่โรงเรียนบ่อยมากๆ ในฐานะศิษย์เก่าที่เคยเป็นทั้งประธานนักเรียน ประธานชมรมว่ายน้ำ แถมยังสอบติดโควต้าหมอตั้งแต่ภาคเรียนแรก หน้าตาก็หล่อเหล่าจนได้กล่าวขานว่าเป็นเดือนประจำโรงเรียนแม้จะไม่ได้มีการจัดตำแหน่งนี้อย่างเป็นทางการ ทั้งหล่อทั้งเก่งใครจะลืมลง ไม่นานนี่เขายังเป็นตัวแทนสมาคมศิษย์เก่าที่อายุน้อยสุดในการร่วมงานประจำปีของโรงเรียน ในช่วงสองสามปีที่ผ่านมา และวันนี้เขาคงกลับมาสอนน้องๆ ว่ายน้ำ หนึ่งในงานที่เขาอาสา...
 
         และใช่นี่คือเหตุการณ์ที่ตื่นเต้นอีกครั้งหนึ่งในชีวิตของผม ไม่ใช่เพราะทำผิดกฎของชมรมว่ายน้ำ แต่ความผิดอันใหญ่หลวงคือการได้ยินกิจกรรมส่วนตัวของรุ่นพี่คนดังคนนี้ต่างหาก

         ใครจะคิดว่าเขาจะกล้าช่วยตัวเองในห้องน้ำโรงเรียน

              -//-






 
           
       “สำหรับน้องที่จะลงสมัครแคสติ้งในวันนี้ กรุณาเตรียมเอกสารให้พร้อม และมาลงทะเบียนตรงนี้ได้เลยนะคะ”
 
       “เห้ย อาโปไปดิเค้าเรียกละ” เฌอที่ดูจะมีความสุขไม่น้อยสำหรับวันนี้ ไม่น้อยธรรมดาผมว่ามากเลยทีเดียว หญิงห้าวคนนี้อย่างไรก็ชอบผู้ชาย โดยเฉพาะผู้ชายหล่อ แม้จะมีอดีตไม่ดีกับพวกหน้าหล่อเท่าไหร่ เฌอก็ยังตัดนิสัยชอบมองคนหล่อไม่ได้หรอก
 
       “เออๆ พวกมึงรอแถวนี้นะ เค้าแค่น่าจะให้ส่งเอกสารว่ะ”
 
       “ทำไมคนเยอะจัง” ผมพูดด้วยความสงสัยระคนไม่ชอบสถานที่ที่มีคนมากมายขนาดนี้
 
       “ก็นิยายเค้าดังไง ดังมาก กูอ่านก่อนมาแคสยังชอบเลย ทั้งที่กูอ่านหนังสือเมื่อไหร่ก็หลับ ฮ่าๆ” อาโปพูดยอตัวเองน่ะว่าอ่านหนังสือ ทั้งที่ปกติเห็นหนังสือแล้วก็หลับตลอด เวลาสอบก็เป็นหน้าที่ผมและเฌอที่ต้องอ่านให้มันฟัง เพราะถ้ามันอ่านเองเมื่อไหร่จะได้ยินเสียงกรนแทน -_-

 

     “เชี่ยพี่ดิมมา”

        “มึงงง พี่ดิมมาแคสด้วยว่ะ”

        “อาคิรามาแคสแบบนี้ มึงว่าเรากลับบ้านดีป่ะ”

        “บทพระเอกเค้าได้แน่ๆ เชี่ยหล่ออะไรขนาดนี้วะ”

 


        เสียงกรี๊ดจากบรรดาคนที่มาแคสบทผู้หญิงแบบอดกลั้นไว้ไม่ได้ดังขึ้นเป็นระยะ รวมถึงคำพูดถอดใจ เมื่อเห็น “ดิม หรือ นายอาคิรา ชานยกาญจ์ธำรงค์” ว่าที่คุณหมอศัลยแพทย์และนักแสดงที่เคยมีผลงานกับพีพีมีเดียสองสามเรื่อง แต่ดังและเรตติ้งดีมาก ซึ่งหาได้น้อยในยุคทีวีดิจิตอลแบบนี้ แต่ไม่ได้เซ็นสัญญาเป็นลายลักษณ์อักษรมีแค่สัญญาใจว่าเค้าจะรับงานจากแค่ที่นี่เท่านั้น
 
        ดิม ชายหนุ่มอายุ 28 ปี รูปร่างสมส่วนด้วยความสูง 189 เซนติเมตร ผิวออกแทนไม่ใช่ขาวใสพิมพ์นิยม หน้าสไตล์ไทยมีเสน่ห์ล้นเหลือ และหุ่นชวนฝันภายใต้ร่มผ้านั่น เคยถ่ายแบบลงนิตยสารชื่อดังด้วยคอนเซ็ปต์ฮอตซัมเมอร์ที่มีแต่คนบอกว่าอากาศตรงนั้นไม่น่าร้อนเพราะพี่เค้าร้อนแรงกว่าอากาศทั้งหมดรวมกัน  ไม่พอยังมาพร้อมกับดีกรีความฉลาด ปริญญาแพทยศาสตรบัณฑิตจากมหาวิทยาลัยชื่อดังของประเทศ และกำลังเรียนต่อด้านศัลยกรรม พร้อมกับการเป็นนักแสดง กลายเป็นไอดอลให้วัยเรียนตัวจริงเสียงจริง
 
        แต่เป็นที่รู้กันว่าหมอดิมเค้าจะเลือกรับงาน โดยเฉพาะละครเพราะใช้เวลาถ่ายนาน รวมถึงบทต้องดี คุ้มค่าที่เค้าจะเจียดเวลานอนมาถ่ายซีรี่ส์ ซึ่งเรื่องนี้เค้าดันมา แสดงว่ามันต้องดีแน่ๆ น่ะสิ




         และเพราะเขาที่ทำให้ ใจผมเต้นอย่างรุนแรงเมื่อได้เห็นใบหน้าผู้ชายที่เป็นเรื่องน่าตื่นเต้นในชีวิตผม มายืนอยู่ตรงนี้แล้ว
 
           
       ทำยังไงดีเพราะผมยังไม่ลืมเสียงลมหายใจเซ็กซี่นั้นสักวินาที





------To be Continued------






ฝาก หมอดิม กับน้องศิ ด้วยนะคะ เรื่องนี้เป็นเรื่องแรกที่แต่งเลย
ผิดพลาดอะไรยังไงก็คอมเม้นท์บอกเลยนะ
ยินดีที่ทุกคนแวะเข้ามาอ่านค่ะ

   #เพียงจินตนาการ
   #หมอดิมน้องศิ

   บี

   :)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-08-2018 22:13:49 โดย mifengbee »

ออฟไลน์ Mickey199663

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +13/-0
น้องงงง น้องแอบคิดไม่ดีกับพี่เค้าเหรอลูกกก ทะลึ่งนะเรา

ออฟไลน์ rainiefonnie

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 623
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +48/-2
รอติดตามค่าาาาาาาาาา

ออฟไลน์ golove2

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4478
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +277/-6
ติดตามต่อค่ะ

 :L2: :L2:

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ
EP.01 บทนายเอก
[/size]

Just don't go forsaking yourself No one can stop you





The Intersection : ตะวันคลาดพระจันทร์

“กลิ่นดอกแก้วหอมอ่อนลอยมาแตะจมูกคราใดที่นิทรา ภามาสจะหวนย้อนอดีตไปในสถานที่ที่ไม่รู้จัก การแต่งกายที่ผิดแผกจากปัจจุบันแต่เลาว่าเคยเห็นในหนังสือเรียน คำพูดจาด้วยถ้อยวลีโบราณไม่คุ้นหู ฉากทอดตรงหน้าผ่านการแอบมองข้างบันไดนี้ ปรากฏภาพชายหญิงมีมงคลสวมหัว ก้มรับพรจากพระภิกษุดูแก่ฌาณ อาจจะเป็นพิธีวิวาห์ แต่ทำไมกันลูกตาที่ทอดมองฉากตรงหน้ากลับมีน้ำจากนัยน์ตาที่ไหลหยดลงเปื้อนผ้านุ่งสีมอที่หัวเข่าเช่นนี้ กลิ่นดอกแก้วค่อยๆ จางดึงให้เขาตื่นจากฝันกลับสู่โลกจริงที่แม้ลืมตาน้ำตาจะเปื้อนแก้มทั้งสองข้าง”

ความฝันของ “ภามาส หรือ มาส” ไม่เคยปะติดปะต่อเป็นเช่นนี้ตั้งแต่ผ่านวันเกิดปีที่ 20 เขาว่ามันประหลาดแต่ดีกว่าฝันเห็นผีหน่อย การใช้ชีวิตในกรุงเทพฯ สำหรับเด็กต่างจังหวัดปรับตัวได้มา 1 ปีแล้ว นี่ก็ร่วมเข้าปีที่ 2  การได้มาทำกิจกรรมร่วมกับต่างคณะทำให้เขาตื่นเต้น ที่น่าตกใจคือได้พบกับ “รังสิมันต์ หรือ เรย์” บุคคลที่หน้าละม้ายคล้ายกับผู้ชายที่เขาร้องไห้ให้ในฝัน นี่มันน่ากลัวกว่าผีอีกไม่ใช่หรือไง!
               
รังสิมันต์คือใคร? แล้วเขาจะฝันแบบเดียวกับเขามั้ยนะ?





ศิรัสอ่านเรื่องย่อหลังปกนิยายระหว่างรออาโปเตรียมเอกสารก่อนจะยื่นให้ทีมงาน แถมไม่กล้าสบตาใครในที่นี้สักคนเพราะมีแต่คนหล่อและสวยเกินไป เลยได้แต่หยิบตัวอย่างหนังสือจากโต๊ะลงทะเบียนสำหรับอ่านฆ่าเวลาหรือให้ผู้สมัครเตรียมตัวเพิ่มได้อ่านกัน


จากการอ่านบทนำก็รู้ว่านิยายเรื่องนี้มียอดวิวคนคลิ๊กเข้าไปอ่านในออนไลน์กว่า 4 ล้านครั้ง และตีพิมพ์เป็นหนังสือกว่า 5 ครั้ง ครั้งละหลายพันเล่ม แถมยังจำหน่ายหมดจนต้องสั่งจองล่วงหน้า ผมไม่แปลกใจที่พีพีมีเดียนำบทประพันธ์เรื่องนี้มาสร้างเป็นซีรี่ส์ ทั้งยังเป็นการเปิดมิติใหม่ของวงการซีรี่ส์วายที่หยิบนิยายกึ่งพีเรียดมาสร้างเป็นครั้งแรก ด้วยงบประมาณและการบริหารการถ่ายทำแน่นอนว่าต้องสูงกว่านิยายรักวัยใสทั่วไป แต่นั่นก็เพื่อผลกำไรมหาศาล จากในและต่างประเทศ แถมแค่เริ่มต้นยังได้คุณดิม อาคิรา ร่วมแคสเป็นพระเอก คงจะเรียกเสียงฮือฮาให้ทั้งแฟนคลับและแฟนนิยายอย่างท้วมท้น


“น้องๆ ที่แคสต์บทรังสิมันต์ เดี๋ยวเข้าห้อง B1 ด้านซ้ายมือเลยนะครับ ส่วนบทอื่นๆ รอเรียกอีกทีนะ เชิญครับ”
 

เสียงทีมงานประกาศผ่านไมค์ให้ได้ยินโดยทั่วกัน มีกลุ่มผู้ชายบางส่วนที่หน้าตาจัดว่าดีโคตรๆ กำลังทยอยเดินไปที่ห้องที่ทีมงานแจ้ง วันนี้แม้คนจะเยอะมากอาจจะร่วม 500 คน ที่ผ่านการคัดกรองจากหลายพันคน ด้วยการให้ส่งเรซูเม่และคลิปแนะนำตัวมาแล้ว คนที่ได้เข้ามาแคสติ้งในวันนี้คือล้วนแต่เป็นคนที่มีทักษะทั้งนั้น


“อาโปอีกนานใช่มั้ยกว่าจะถึงบทของมึง ขอลงไปซื้อกาแฟหน่อยได้หรือเปล่า” เมฆพูดขณะมองมาหาผมที่เป็นคอกาแฟเหมือนกันในบ่ายที่ร้อนจัดแบบนี้

“เออน่าจะอีกนานอะ ฝากซื้อด้วยสิ กูเอามัชฉะลาเต้ เพิ่มผงชาเขียว เพิ่มหวาน และเพิ่มวิป เอ้อ ถามเค้าด้วยว่ามีเจลลี่มั้ย ใส่มาด้วยนะ เงินก็ออกให้ก่อน” พูดพร้อมยิ้มตาหยี สาวๆ มาเห็นคงมองว่าน่ารักหนักหนา แต่เมฆกลับไม่ใส่ใจเพราะอาโปก็เป็นแบบนี้ทุกครั้งที่ใช้เขา อีกอย่างก็เอือมกับอาการชูการ์แอดดิทของอาโป  เพราะเมฆเป็นสายคลีน จะบอกให้ว่าผมเคยแอบเห็นหุ่นเมฆตอนเราเรียนวิชาเลือกเทนนิสปี 1 หุ่นเค้าลีนมากแทบจะไม่มีไขมันส่วนเกิน ซิกแพ็คอาจจะไม่ชัดมากแต่มันดูสุขภาพดี และเซ็กแอพพีลสูงทีเดียวแหละเพื่อนผมคนนี้ แม้ภายนอกจะดูเนิร์ด แต่เคยได้ยินมั้ยครับว่าผู้ชายเนิร์ดเซ็กส์จัด..

“เยอะ” 

เมฆพูดแค่นั้นแล้วก็เดินจากไป ผมเลยเดินตามไปพร้อมถือกระเป๋าสตางค์ลงไปด้วย

“แวะห้องน้ำแป๊บนึงได้มั้ยเมฆ ปวดฉี่อะ” เราเดินผ่านน้องน้ำก่อนจะไปกดลิฟท์ ก็เลยรู้สึกว่าปวดหน่อยๆ เข้าก่อนจะกินน้ำเพิ่มอีกรอบคงจะดีกว่า
 

“เกล เราบอกแล้วไงว่ามันคืองาน...ไม่...เกลเราคุยกันแล้วนะ เรามาแคสยังไม่ได้บทซะหน่อย...เห้อ...โอเค ตอนนี้คงคุยไม่รู้เรื่อง...แค่นี้นะ”

บทสนทนาจากห้องข้างๆ คงเป็นหนึ่งในนักแสดงที่มาแคสต์ล่ะมั้ง ทะเลาะกับแฟนหรอ ทำไมล่ะ หรือแฟนจะเป็นพวกไม่ชอบซีรี่ส์วาย แต่มันก็แค่งานนี่นา
 
ได้ยินห้องข้างๆ กดน้ำแล้วก็เปิดประตูออก เลยรอจังหวะแล้วค่อยออกจากห้องตัวเอง แต่ผมคิดผิดเพราะว่าเปิดประตูห้องน้ำก็ปะทะจังๆ กับผู้ชายที่เป็นตัวเต็งบทพระเอกในวันนี้กับท่ากอดอกเหมือนว่ารอใครซักคนออกจากห้องน้ำ แต่เอ๊ะ มันไม่มีใครนี่หว่า หรือรอผม
 
“อย่าบอกใคร”

 “.....”

เค้าพูดกับผมหรอ ก็ต้องใช่สิเพราะมีผมคนเดียวยืนตรงนี้

“เธอน่ะ ได้ยินใช่มั้ย”

 “อื้อ”

 “มันไม่ใช่ความลับหรอกเพราะตอนนี้เธอก็รู้แล้ว แค่มีผลกับงาน”

 “แฟนน่ะหรอครับ”  พอเขาพูดมาขนาดนี้มันจะแปลว่าอะไรได้นอกจากว่าเขาจะมีเจ้าของแล้ว

“ครับ มันมีผลกับงานนี้”

“อ้อ ครับ”

“ถ้าเรื่องนี้มีคนรู้ ผมจะเหมาว่ามาจากเธอนะ”

“เจอกันตอนแคสต์”

คำพูดกึ่งขอร้องแถมขู่ล่ะมั้งเนี่ย ทำไมผมต้องบอกใครด้วยไม่ใช่คนพูดไม่รู้เรื่องสักหน่อย

เจอกันตอนแคสต์อะไรเล่าไม่ได้มาแคสต์ มั่วว่ะ
 
มองสารรูปตัวเองในกระจกแค่คิดยังไม่กล้าส่งใบสมัครด้วยซ้ำ สูงไม่ถึง 175 หุ่นก็ไม่ดี เริ่มมีพุงเพราะไม่ได้ออกกำลังกาย และชอบกินหมูกระทะที่สุด ไม่พอเบเกอรี่และโกโก้นี่ขาดไม่ได้เลยต้องกินทุกวัน มีดีแค่ผิวเนียนเพราะกรรมพันธุ์ดี ทั้งที่ไม่เคยบำรุงอะไร แต่นั่นแหละรวมๆ ก็เด็กผู้ชายธรรมดาๆ ไม่ได้โดดเด่นอะไร
 
ก็แค่ศิรัสเกมเมอร์มือกากเท่านั้นแหละ








อาโปได้คิวเข้าไปแคสต์แล้ว เป็นบทเพื่อนนายเอกในยุคปัจจุบัน นับว่าเด่นอยู่เหมือนกันเพราะเป็นคนเดียวที่รู้ว่านายเอกกำลังประสบปัญหาอะไรอยู่ และเป็นคนที่รับฟังเข้าใจ รวมถึงช่วยคิดค้นวิธีที่จะไปทำความรู้จักกับพระเอกเพื่อสืบหาผู้ชายย้อนยุคในฝันอีกด้วย
 
“มึงว่าอาโปมันจะได้มั้ยวะ”

“เท่าที่ลองนั่งอ่านหนังสือ และจากที่เห็นคนมาแคสต์ แล้วก็ประสบการณ์ของมันก็อาจจะนะ”

“นี่มึงอ่านจะจบแล้วหรอเมฆ”

“อ่าฮะ ก็รออาโปมาจะสามชั่วโมงละนะ”

“ไวเหี้ยๆ เป็นกูหลับตั้งแต่ 3 หน้าแรกละ แล้วเป็นไงสนุกป่ะ”

“ดีนะ คนเขียนหาข้อมูลดีตอนย้อนอดีต ตอนปัจจุบันก็ตลกดี”

“เมฆๆ เห็นปลั๊กชาร์จแบตแถวนี้มั้ยอะ คือแบตจะหมดกำลังจะคิลแล้วด้วย”

“........”

เฌอกับเมฆหันมามองหน้าผมด้วยสายตาแบบนี้อีกแล้ว ทำอะไรผิดอ่า…








ห้อง B1

บรรยากาศการแคสติ้งผ่านไปครบทุกคน  บทพระเอกนั้นคงตัดสินใจไม่ยากเพราะตัวเต็งหลายคนมาโชว์ฝีไม้ลายมือด้านการแสดงแบบที่ทำการบ้านมาอย่างดี ส่วนบทอื่นๆ ก็ไม่น่าห่วงอะไร ขาดก็แต่บทนายเอกที่ยังไม่เจอใครมีคาแรคเตอร์ชัดเจนพอที่จะเป็นภามาสได้เลย คณะกรรมการคัดเลือกนักแสดงกำลังปรึกษาว่าจะตัดสินอย่างไร เพราะไม่อยากเลือกใครก็ได้มารับบทนี้เพราะแฟนๆ นิยายคงผิดหวังหากเลือกคนที่มีบุคลิกไม่ตรงตามบทประพันธ์

“คุณอบเชยครับ ผมว่าเราควรให้น้องๆ ที่เราคิดว่าพอจะเล่นได้มาแสดงให้ดูอีกรอบดีมั้ย เผื่อรอบที่แล้วเขาตื่นเต้น”

 “ตอบตามตรงนะคะไม่มีใครคือภามาสเลยค่ะคุณติณณ์ นักเขียนสาวถอนหายใจเล็กน้อย
"มาสต้องเป็นคนที่สดใสออกมาจากนัยน์ตา แววตาของคนที่อ่อนน้อม เจียมตน แต่กล้า และเข้มแข็ง ไม่ใช่คนมั่นใจในตัวเองแต่เป็นคนน่ารักโดยธรรมชาติ น้องๆ ที่มามีความสามารถและมีคาแรคเตอร์นะคะ แต่น้องๆ ยังไม่เข้าใจในความเป็นมาสอย่างที่ดิฉันเขียน”

“ครับผมอ่านรายละเอียดคาแรคเตอร์แล้ว แต่คนแบบนั้นผมพอจะเห็นน้องพูลล์นะครับ แถมเค้ายังมีฐานแฟนคลับเยอะด้วย เราน่าจะใช้ประโยชน์ตรงนี้ได้”

“แต่พูลล์เค้ามีความมั่นใจเต็มแบบที่ลดลงยากมากเลยค่ะ น้องเค้าแสดงดีมากเลยนะคะ แต่อบยังไม่เชื่อค่ะ เป็นไปได้มั้ยคะที่เราจะใช้นักแสดงที่ไม่เคยผ่านงานมาก่อนเพื่อลดตรงนี้ลง” อบเชยหันหน้าไปถามแอคติ้งโค้ชหรือครูกิ่งที่เป็นหนึ่งในทีมงานที่ทรงคุณวุฒิในโปรเจกต์นี้

“ครูคิดเหมือนคุณอบเชยนะคะ ครูอยากเห็นเด็กที่ค่อยๆ พัฒนา ดีซะอีกเราจะได้ปั้นเด็กใหม่ให้ค่ายด้วยไงคะ”

“อย่างนั้นเราอาจจะต้องให้เวลาในการเรียนการแสดงนะครับ อย่าลืมว่าเรามีเวลาเทรนดิ้งเด็กแค่ 2 เดือนก่อน
เปิดกล้อง” นายโปรดิวเซอร์ลุคเซอร์ออกความเห็น

“เรามีเวลาเวิร์กช้อปกันตั้งสองเดือนนะคะ อบว่าน่าจะพอ”

“ถ้าอย่างนั้น วันนี้เราจะยังไม่ประกาศคนที่ผ่านเข้ารอบบทภามาสหรอครับ?”  หัวหน้าทีมประสานการจัดงานในครั้งนี้ถามขึ้นด้วยน้ำเสียงกังวล

“อืม ฝากเปลี่ยนสคริปต์พิธีกรด้วยนะคุณธนา ขอโทษที่เกิดเรื่องแบบนี้นะ”

“เพื่องานที่ออกมาสมบูรณ์ที่สุด”


นักเขียนสาววัยสามสิบต้นๆ เจ้าของบทประพันธ์ยิ้มรับเมื่อข้อเสนอของเธอถูกตอบรับจากผู้อำนวยการสร้างที่ลงทุนซื้อลิขสิทธิ์นิยายจากเธอและให้เข้ามาเป็นหนึ่งในทีมงานทุกขั้นตอน เพราะให้เกียรติแก่เธอผู้เป็นเจ้าของและเข้าใจในเจตนางานเขียนของตนเองดีกว่าใคร
               
คนที่มาร่วมแคสติ้งในวันนี้เดินรวมกันเข้าไปที่ฮอลล์ บ้างก็เลือกนั่งตามที่นั่งที่ทีมงานจัดไว้ บ้างก็ยืนลุ้นรอบๆ ฮอลล์ ที่เอาไว้ใช้ประชุมเลยมีทั้งที่นั่งและพื้นที่ให้ยืน สำหรับการฟังผลประกาศการคัดเลือกรอบแรก ในหนึ่งคาแรคเตอร์จะมีผู้ผ่านเข้ารอบต่อไปเพียง 5 คน หรือน้อยกว่านั้นตามความเหมาะสม และจะได้เข้าไปเวิร์กช้อปกับครูสอนการแสดงให้กับนักแสดงชื่อดังของค่าย เพื่อคัดกรองคนที่จะได้รับบทนั้นๆ อีกที เป็นความเห็นชอบจากทั้งผู้กำกับ โปรดิวเซอร์ และผู้เขียนบทโทรทัศน์ ซึ่งคุณอบเชยและคุณติณณ์เห็นด้วย
               
“สำหรับบทรังสิมันต์หรือบทพระเอก 5 คนที่ได้ไปต่อนะครับ ได้แก่ น้ำมนต์  เก้า แตงโม คัตเตอร์ และดิมครับ เชิญบนเวทีเลยครับ”

เสียงปรบมือดังทั่วฮอลล์กับการคาดการณ์ที่ไม่ผิดนัก

“ต่อไปบทภูผาเพื่อนนายเอก 5 คนที่ได้ไปต่อ ได้แก่ ยิว บูม พีพี อาโป และกานต์ เชิญบนเวทีครับ”
 
เสียงไมค์ที่ดังเล็ดลอดออกมาข้างนอกทำให้เพื่อนสามคนที่ลุ้นตัวบิดร้องเฮออกมาด้วยความดีใจที่เพื่อนสนิทได้ผ่านเข้ารอบตามที่หวังไว้





“เชี่ยอาโปทำได้เว้ยยยยย” เฌอหญิงหนึ่งเดียวในกลุ่มอุทานเสียงดังกว่าใคร

“อาโปเก่งจังเลยอะ นี่จะมีเพื่อนเป็นนักแสดงแล้วหรอ” ผมก็พลอยดีใจไปด้วยนะเนี่ย

“ก็ขอให้มันผ่านเวิร์กช้อปแล้วกัน” เมฆพูดนิ่งๆ แต่ยกยิ้มมุมปากเล็กๆ

“เสร็จจากนี้เราไปกินหมูกระทะกันดีมั้ยอะ ฉลองไง”

“ไม่!!”

เฌอและเมฆปฏิเสธผมแทบไม่ต้องคิด ทำไมล่ะ หมูกระทะอร่อยนะเว้ย
 

“ทางเรามีเรื่องประกาศอีกหนึ่งเรื่องนะครับ สำหรับบทของภามาสนั้น เราจะแคสติ้งกันอีกครั้งในอาทิตย์หน้า เวลาเดียวกัน เพราะทางคณะกรรมการเห็นว่าน้องๆ ที่มีวันนี้มีความสามารถแต่คาแรคเตอร์ยังเป็นภามาสไม่ได้ อยากให้กลับไปทำการบ้านมาอีกครั้ง”


เสียงอื้ออึงดังลอดจากในฮอลล์ เพราะทุกคนที่มาแคสบทนายเอกนั้นมีจำนวนมาก แต่กลับไม่มีผลการตัดสินให้ใครผ่านเข้ารอบ
ไม่อยากจะคิดว่าตอนนี้ในฮอลล์วุ่นวายขนาดไหน จะมีประท้วงมั้ย

เพื่อนสามคนมองหน้ากันแล้วเดินเข้าไปใกล้ประตูฮอลล์เสียหน่อยจะได้ยินชัดๆ ไงเล่า
 

 
คนที่มาแคสติ้งทุกคนะไม่พอใจกับคำประกาศแบบนั้นของทางทีมงาน และให้หาทางแก้ไขให้ดีกว่านี้ เพราะหลายคนเดินทางมาไกลจากต่างจังหวัด บางคนมาจากต่างประเทศ จะให้ไปๆ มาๆ แบบนี้ก็คงไม่คุ้มกับค่าเดินทาง แถมยังแบกความฝันสำหรับอาชีพนักแสดงมาไกลจนใกล้เกือบถึงฝันแล้ว แต่กลับต้องหวนกลับบ้านไปแบบมือเปล่า
 
คณะกรรมการไม่ทันคิดตั้งรับกับสถานการณ์นี้ และลืมคิดเรื่องความรู้สึกของทุกๆ คนที่เดินทางมาคัดเลือกอย่างมีความหวัง เหมือนพวกเขาดูถูกความฝันของเด็กหลายคน เลยขอประชุมหารือแนวทางเพื่อให้ไม่เกิดกระแสด้านลบกับคณะผู้จัดเองและข่าวที่จะออกไปสู่โลกโซเชียล พร้อมขอความร่วมมือจากน้องๆ ที่มาแคสติ้งอย่าเพิ่งโพสต์เรื่องนี้ออกสู่สาธารณะ แม้ว่าจะเป็นเรื่องยากมากก็ตาม
 

           




   
30 นาทีผ่านไป การประชุมก็ยังเคร่งเครียดหาข้อสรุปไม่ได้
           

ก็อกๆ

“ขออนุญาตครับ พอดีคุณอาคิราอยากขอเข้าพบครับ”

“เข้ามาสิ” คุณติณณ์ถอดแว่นสายตาออกหลังจากการประชุมยังหาข้อยุติไม่ได้

“ขอบคุณที่ให้ผมเข้ามาพบนะครับ คือ ถ้าผมจะยื่นข้อเสนอให้แคสติ้งบทภามาสอีกครั้ง ภายในวันนี้ได้มั้ย ผมว่าผมเจอคนที่น่าจะเป็นภามาสได้ในแบบที่คุณอบเชยต้องการ” ชายหนุ่มพูดด้วยสายตาจริงจัง และกล้าหาญ รั้งให้สายตาของผู้ใหญ่ในที่ประชุมตั้งใจฟังคำพูดของคุณหมอคนนี้

“คุณแน่ใจได้ยังไงว่าเค้าสมควรได้รับบทนี้คะ”  เจ้าของบทประพันธ์ถามขึ้นอย่างตรงไปตรงมา

“ถ้าคุณอบเชยกำลังหาเด็กผู้ชายที่ดูน่ารักโดยธรรมชาติ แล้วสายตาเค้าก็ใสซื่อ ไม่โกหกความรู้สึก แถมยังไม่เคยผ่านงานแสดงมาก่อน ผมว่าเค้าใช่ครับ” ว่าที่พระเอกคุณหมอตอบอย่างมั่นใจ

“เค้าเป็นใครคะ”

“ผมไม่ทราบครับ น่าจะเป็นเพื่อนจากคนที่มาแคส”
 
“แล้วคุณคิดว่าเค้าจะยอมมาแคสมั้ย” คุณติณณ์ถามขึ้น

“ผมจะพูดให้เองถ้าคุณอนุญาตให้มีการแคสอีกรอบ”

“งั้นฝากด้วยครับ”  ผู้กำกับออกปากหลังจากนั่งฟังการถกเถียงมาเป็นเวลานาน เพราะเชื่อให้พลังความจริงบางอย่างจากตัวผู้ชายคนนี้ และถ้าเป็นไปได้เขาอยากร่วมงานด้วยสักครั้ง







คณะกรรมการเดินออกมาจากห้องประชุมหลังจากมีมติให้ทำการแคสติ้งบทภามาสอีกรอบภายในวันนี้ แม้จะล่วงเลยมากว่า 2 ชั่วโมงตามกำหนดการ ซึ่งต้องแก้ปัญหาตรงนี้ด้วยการคัดเลือกเฉพาะคนที่มีคุณสมบัติเข้าข่ายเท่านั้น แต่สิ่งที่ต้องตอบคำถามกับทุกคน คือจะให้ศิรัสเข้ามาแคสติ้งในรอบนี้ด้วย

นั่นน่าจะเป็นปัญหาใหญ่มากกว่า

   
“น้องๆ ทุกคนครับ ทางผมและคณะกรรมการคนอื่นๆ คุยกันแล้วว่าจะให้มีการแคสติ้งบทมาสอีกหนึ่งรอบ น้องๆ อาจจะกลับบ้านดึกหน่อย จะโอเคกันหรือเปล่า”


“โอเค ครับ/ค่ะ”
“จัดไปครับผมมม”


ทุกคนแทบจะตอบเป็นเสียงเดียวกัน หลายคนยิ้มดีใจ สีหน้าดูมีความหวังกว่าตอนประกาศให้มาแคสใหม่ครั้งหน้า

“แต่ไม่ใช่ถูกคนที่จะได้เข้ารอบครั้งนี้นะครับ เราจะคัดเลือกสำหรับบางคนที่กรรมการเห็นว่ามีคุณสมบัติและตรงคาแรคเตอร์เท่านั้น เพื่อเป็นการประหยัดเวลา และอีกหนึ่งเรื่องสำคัญ คือ จะมีผู้เข้าร่วมคัดเลือกที่เพิ่มเข้ามาในรอบนี้ด้วย แต่น้องคนนี้ไม่ได้สมัครเข้ามาแต่แรก ทางกรรมการของเราบังเอิญไปเจอเลยอยากให้ลองมาแคสติ้งดูด้วย”

“อ้าว แบบนี้ได้ไง เด็กเส้นหรอ”
“งั้นคนที่โดนตัดสิทธิ์ออกก่อนจะรู้ได้ไงว่าเล่นดีไม่เท่าคนนี้อะ”
“ไม่โอเค”
“เด็กเส้น!”


“เอายังไงดีครับ น้องๆ เค้าดูจะไม่โอเคกันเลย”  ทีมประสานงานวิ่งมาถามคณะกรรมการที่นั่งข้างเวทีเพื่อต้องการความเห็นในการจัดการปัญหาที่ยังจบไม่ลง

อบเชยคว้าไมค์ตรงหน้าขึ้นพูด

“พี่ขอพูดในฐานะคนเขียนนิยายเรื่องนี้หน่อยนะคะ”

เสียงในฮอลล์ที่ดังระงมก่อนหน้านี้ค่อยๆ หรี่เสียงเงียบลงเหลือแค่เสียงแอร์ที่ดึงหึ่งให้ทุกคนตั้งใจฟัง

“พี่เข้าใจความคาดหวังของน้องๆ หลายคนดี ก่อนอื่นพี่ต้องขอโทษในการจัดการของทางทีมงานด้วย ทางเราคิดว่าภามาสคงจะมีอยู่ในตัวน้องๆ ไม่ใครก็ใครในที่นี้”

“พี่ใช้เวลาเขียนเรื่องนี้เกือบ 2 ปีค่ะ พี่คิด กลั่นกรอง ไตร่ตรอง รีเสิร์จหาข้อมูลเองทุกอย่าง พี่เชื่อว่าพี่เข้าใจในทุกคาแรคเตอร์ของตัวละครที่พี่ปั้นมันขึ้นมากับมือ ในตอนแรกที่อยากจะให้เปิดการคัดเลือกใหม่เพราะในที่นี้ไม่มีใครเหมือนภามาสเลยสักคน น้องๆ หลายคนเล่นดีค่ะ การแสดงยอดเยี่ยม หน้าตาหล่อเหลา รูปร่างดี แต่ไม่ใช่มาสในแบบที่พี่หล่อหลอมเขาขึ้นมา แต่พี่เชื่อว่าน้องๆ ที่ได้รับการคัดเลือกให้ผ่านไปแคสติ้งในอีกไม่กี่นาทีนี้จะโชว์ศักยภาพความเป็นภามาสออกมาให้พี่เห็น อย่างคนเข้าใจและทำการบ้านมา ส่วนเรื่องน้องอีกคนที่จะเข้าร่วมการแคสด้วยอีกครั้ง อย่าลืมนะคะว่าเค้ามีโอกาสเพียง 1 ครั้งเท่านั้น พลาดแล้วพลาดเลยไม่มีโอกาสรอบสองเหมือนน้องๆ อีกหลายคนที่มีโอกาสค่ะ”

“ขอบคุณค่ะ”

หลังจากอบเชยวางไมค์ในห้องก็ยังคงเงียบ คล้ายกับทุกคนกำลังคิดตามในสิ่งที่บุคคลสำคัญที่ทำให้มีนิยายเรื่องนี้ขึ้นมา

“เอาอย่างนี้ดีมั้ยครับ ผมเสนอให้น้องๆ ที่มาแคสบทภามาสทุกคนลงคะแนนว่าเห็นด้วยให้มีการแคสติ้งอีกหนึ่งรอบตามข้อเสนอที่ทางคณะกรรมการเสนอ กับอีกหนึ่งทางคือเปิดรับสมัครบทมาสอีกครั้งและทำการแคสติ้งใหม่ในสัปดาห์หน้า หลักการประชาธิปไตยหลายคนคงยังไม่ลืมนะครับ”

เสียงดังระงมขึ้นอีกครั้งในฮอลล์ ทางเลือกไม่ต่างอะไรกับมัดมือชก แต่เป็นหนทางเดียวที่น่าจะแก้ปัญหาตรงนี้ได้ดีที่สุด

“ทีมงานรบกวนทำอุปกรณ์ด้วยครับ ของ่ายๆ แค่ปากกา 2 ด้ามแล้วให้น้องๆ ต่อคิวสองแถวไปเขียนลงกระดาษว่าเลือกข้อ 1 หรือ 2 น่าจะใช้เวลาน้อยที่สุด” นายโปรดิวเซอร์มากฝีมืออีกคนของพีพีมีเดียจัดการแก้ปัญหาได้อย่างรวดเร็วสมเป็นมือทองอีกคนของที่นี่






15 นาทีผ่านไป นักแสดงที่มาร่วมคัดเลือกบทภามาสก็ลงคะแนนเสียงครบทั้งหมด ทีมงานใช้เวลานับอย่างถี่ถ้วนพร้อมประกาศผลให้เด็กๆ ที่มาพร้อมด้วยความหวังฟังตลอดวัน

“สำหรับผลในการลงคะแนนนะคะ ผู้ที่มาร่วมคัดเลือกบทภามาสทั้งหมด 113 คน เลือกข้อเสนอที่ 1 ด้วยคะแนน 55 คะแนนค่ะ ส่วนเลือกข้อเสนอที่ 2 ด้วยคะแนน 58 คะแนน สรุปว่าคนส่วนมากในที่นี้เลือกข้อเสนอที่ 1 นั่นคือให้มีการแคสติ้งใหม่สำหรับผู้ที่ผ่านการคัดเลือก และให้น้องศิรัสเข้าร่วมแคสติ้งด้วยครับ คณะกรรมการ”


“งั้นเรามาเริ่มกันเลยไหม” คุณติณณ์แย้มยิ้มเล็กน้อยหลังพูดประโยคนี้

แม้จะมีเสียงเสียดายและการแสดงออกถึงความไม่พอใจของผู้เข้าแข่งขันอยู่บ้าง แต่แนวทางประชาธิปไตยก็ทำให้ทุกคนต้องยอมรับในเสียงข้างมาก






30 นาทีก่อนเหตุการณ์วุ่นวาย

“ดีใจแทนอาโปว่ะ ได้ไปต่อด้วย กูนะเว้ยเห็นมันอ่านหนังสือเล่มนี้มาตั้ง 2 เดือน ทั้งที่มันเกลียดหนังสือจะตายห่า แสดงว่ามันคงอยากได้งานนี้จริงๆ”

“อาโปอาจจะขี้เกียจอ่านหนังสือ แต่กูว่ามันเป็นคนมุ่งมั่นนะ”

“แหนะ เมฆเห็นตีกันบ่อยๆ ลับหลังล่ะชมมันนะ กูจะเอาไปบอกมัน”

“เออบอกไปเถอะมันไม่เชื่อหรอก”

ขณะที่เมฆกับเฌอเถียงกันศิก็นอนเหยียดยาวบนพรมเอากระเป๋าหนุนแทนหมอนนอนกดเกมสุดฮิตที่ทำเอาไม่ได้หลับไม่ได้นอน แม้จะชนะได้น้อยครั้งก็ตาม
   
“ขอโทษนะ เธอสะดวกหรือเปล่า”
   
จู่ๆ ก็มีผู้ชายตัวสูงยักษ์ชะโงกหน้ามาในขณะที่ศิรัสกดเกมเพลิน แถมใบหน้าตอนสลับกลับเปลี่ยนที่ ตามาอยู่ตรงปาก ปากไปอยู่ที่หน้าผาก จมูกก็กลับทิศทาง ดูตลกจนศิรัสอดขำไม่ได้เพราะมันเหมือนสัตว์ชนิดหนึ่งใต้ทะเล

ปลาหมึก

“คิก”

“....”

“อะ ขอโทษครับ ไม่ได้ตั้งใจจะขำพอดีเพื่อนส่งรูปตลกๆ มาให้ดู”

รูปปลาหมึก คิกคิก

“ยังไม่รีบกลับใช่หรือเปล่า”

เราสามคนมองหน้ากันอย่างงงๆ ว่าทำไมว่าที่พระเอกถึงเดินมาถามคำถามแปลกๆ โดยที่ไม่มีการเอ่ยทำความรู้จักกัน

เราส่ายหัวและรอฟังคำถามจากร่างสูงที่ไม่คิดจะย่อลงมาหาให้แหงนหน้าขึ้นไปจนคอจะเคล็ด

“ช่วยมานั่งที่เก้าอี้ได้มั้ยครับ พอดีมีเรื่องจะขอให้ช่วย คุยกันแบบนี้ผมเมื่อยคอน่ะ”

คือควรเป็นผมที่พูดคำนั้นมั้ย….


คนตัวสูงหน้าปลาหมึก(ในจินตนาการของผม)เล่าเหตุการณ์วุ่นวายที่เกิดขึ้นให้ทั้งสามคนฟัง และเมื่อได้ยินว่าเค้าเสนอให้ผมเข้าไปแคสติ้งด้วยก็ใจตกไปที่ตาตุ่ม เห้ย มันจะไปกันใหญ่แล้ว

“เดี๋ยวๆๆ ก่อนนะครับ คือว่าผมเล่นละครไม่เป็น ไม่เคยเล่น และไม่คิดจะเล่น” คำพูดจริงจังจากน้ำเสียงที่เปล่งออกไปหลังจากได้ยินคำขอที่ชาตินี้ไม่คิดว่าตัวเองจะทำได้

“แต่ในสายตาผมคุณคือมาส”

“...”  น้ำเสียงที่จริงจังบวกกับสายตาที่มองมาอย่างขอร้อง นัยน์ตาดีดำขลับคล้ายทะเลลึกแทบจะมองไม่ออกว่าผู้ชายตรงหน้าคิดอะไร มันเลยกลัวว่าเค้าคนนี้จะมองลึกเข้าไปถึงหัวใจที่เต้นระรัว จำนวนครั้งหากวัดตอนนี้น่าจะความดันสูงจนเกินขีดจำกัดของร่างกายมนุษย์

“คือ...ว่า ผมกลัว คนอื่นๆ เค้าจะคิดยังไงผมไม่ได้มาสมัครนะ มันเหมือน เหมือนไปตัดสิทธิ์คนอื่น”

“คุณอบเชยไม่คิดว่าวันนี้คนที่มาแคสจะได้รับบทมาส ไม่งั้นผมคงไม่ต้องมาคุยกับคุณ”

“แต่ว่า…”

“ไม่อยากไปทำงานกับเพื่อนสนิทตัวเองหรอ ในบทเล่นเป็นเพื่อนกันด้วยนะ อาจจะไม่ได้ยากอย่างที่คิด”

“.....”

ศิรัสหันไปมองเพื่อนอีกสองคนอย่างขอความเห็นจากคนจนหนทาง เพราะนัยน์ตาสีดำมืดดวงนี้ดักไว้จนหาทางออกไม่เจอเอาเสียเลย

“ศิลองดูมั้ย” เฌอลักษณม์ที่นั่งฟังข้างเพื่อนสนิทเอามือตัวเองไปกุมมือขาวที่นั่งจับมือตัวเองแน่น เพราะกำลังประหม่า

“ถ้าเราเข้าไปดูตอนแคสด้วยได้หรือเปล่าครับ เขาคงไม่กล้าไปยืนตรงนั้นคนเดียว”

“ได้เดี๋ยวผมจะคุยให้”

“....”

“ทำไมต้องเป็นผมครับ เอ่อ คุณอาคิรา” การเรียกชื่อเค้ายากพอๆ กับการตัดสินใจในครั้งนี้เลยให้ตายเหอะว่ะ ใจก็เต้นแรงฉิบ

“เพราะผมรู้ดี รู้ดีว่าคุณคือมาส และมาสคือคุณ”

“...”

“แววตาคุณมันพิเศษนะศิรัส”

เสียงหัวใจมันเต้นดังเกินไปแล้ว

โอเค ก็ได้วะ









« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-08-2018 22:54:58 โดย mifengbee »

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
ตอนนี้ผมแทบลมจับอยากจะเป็นบ้าไม่รับรู้อะไรอีกเลยในชีวิต แต่ก็กลับลำไม่ทันแล้ว ตอนนี้เหมือนเรือลอยหลงทางกลางมหาสมุทรแถบสามเหลี่ยมเบอร์มิวดาร์ ที่พายุโหมกระหน่ำ ฝนตก ลมแรง และใกล้จะอับปางลงในเวลาไม่ช้า และพายุลูกนั้นคือบทโทรทัศน์ 1 ไดอะล็อกสำหรับใช้ทดสอบอยู่ในมือของผมแล้ว เป็นซีนที่ต้องย้อนยุคไปในความฝันของภามาส ภาษาก็โคตรยาก แถมต้องเข้าฉากกับพระเอกอีกด้วย มือก็สั่น เหงื่อไหลทั้งที่ในห้องเย็นเฉียบ อยากหายออกไปจากตรงนี้ แค่ไปพรีเซนต์งานหน้าห้องผมยังต้องซ้อมตั้งหลายวัน แต่นี่แสดง ทำการแสดงต่อหน้าคนใหญ่โต มืออาชีพทั้งนั้น แม้จะใจชื้นมองเห็นเพื่อนสนิทสองคนนั่งด้านหลังคณะกรรมการ แต่ก็ไม่ได้ทำให้ใจมันอยากจะสู้เอาซะเลย

จะร้องไห้แล้ว ฮือออออออออออ

“เธอ ทำไมทำหน้าแบบนั้นล่ะ จะร้องไห้หรือไง” เสียงของคนที่เพิ่งทำให้ผมยอมตกลงมาเจอสภาวะที่ยากเข็นดังขึ้นภายในห้องรับรองก่อนเดินเข้าห้องเชือด...

“เฮ้อ มันยากมากๆ เลยนะครับ มันยากมากกกก”

“ไหนมองหน้าฉันหน่อย”

โอ้ยยยย จะบ้าหรือไงใครจะไปมองได้วะ คิดว่าตัวเองหน้าตาบ้านๆ ธรรมดาหรือไง

“เร็วสิ”

“เอ่อ คะ....ครับ” ผมค่อยๆ แหงนหน้าไปสบตากับผู้ชายที่สูงกว่าเกือบ 20 เซนติเมตรที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว ขายาวของเค้าก้าวมาให้สายตาย่นระยะลงเหลือเพียงไม่กี่นิ้ว สีนัยน์ตาดำขลับเหมือนกำลังล้วงความลับที่ลึกที่สุดของผมออกมาอย่างไม่ต้องเอื้อนเอ่ย หากแต่ก็แฝงไอความอุ่นจนเกือบร้อนแทรกเข้ามา มันหลายอารมณ์และมันดึงสติให้ผมมองอยู่อย่างนั้นไม่กล้าละสายตา หรือเพราะคนๆ นี้มีอิทธิพลกับผมมานานเหลือเกิน เหมือนแรงต้านในกายมันพลันหายไปหมด

“ตาเธอสวย มันเหมือนมีดาวส่องอยู่ข้างใน” เสียงทุ้มเอื้อนเอ่ยอย่างไม่มีเกริ่นนำ สายตาแน่วแน่และอ่อนโยนสะท้อนภาพของผมที่มองตาเขาเช่นกัน ไม่รู้ว่าทำไมถึงกล้า อาจจะไม่ใช่ความกล้า แต่ถูกพลังมหาศาลของนัยน์ตาสีดำสนิทคู่นี้ดูดเข้าไปอย่างหาทางออกไม่เจอ

“ตาคุณก็สวย มืดจัง มองไม่เห็นอะไรเลย” เหมือนพร่ำเพ้อมากกว่าพูดออกไป แต่มันมาจากส่วนลึกของความคิด

ก็บอกแล้วว่าผมควบคุมอะไรไม่ได้เลย

“แค่นี้ก็น่าจะพอ”

“คะ..ครับ”

“แค่นี้ก็รู้แล้วว่าเธอคือมาส”

“อ่า ยังไงครับ”  เล่นผละออกห่างกันหลายเมตรทั้งที่เมื่อกี๊ยังยืนใกล้จนลมหายใจรดกันแท้ๆ เหมือนโดนดึงปลั๊กวายฟายตอนจะออลคิลอย่างงั้นแหละ ฮึ้ยย ไรวะ

“ภามาสพูดความจริงจากความรู้สึกเสมอ มาสไม่กล้าแต่มีความก็กล้าในตัวเอง เธอกลัวฉันแต่เธอก็มองตาฉัน”

“หรอครับ”

“เอาล่ะ ไปกันเถอะ ฉันเล่นกับคนอื่นมาแล้ว 9 คน เธอคนสุดท้าย”

“และเธอจะต้องได้บทนี้”



ทันทีที่ศิเดินเข้ามาในห้องสำหรับแคสติ้ง อบเชยก็เหมือนได้เจอคนสนิทที่ไม่ได้เจอกันนาน ท่าทางแบบนี้ แววตาเปล่งประกายคู่นั้นทำให้เธอนึกถึงคนๆ เดียวนั่นก็คือภามาสที่เธอผูกพันเหมือนลูกในไส้ เพราะเธอปั้นเขามากับมือจากห้วงความคิดและความรู้สึกของเธอ แม้ว่าเค้าจะไม่เคยมีตัวตนบนโลกความจริง แต่เธอก็รู้ว่าถ้าเค้ามีลมหายใจอาจจะมองผ่านเด็กผู้ชายที่ยืนประหม่าไม่กล้าสบตาใคร อย่างคนตรงหน้าเธอนี้ก็เป็นได้ เธอยิ้มอย่างพอใจที่สายตาของคุณหมอคนนั้นมองเห็นไม่ผิดอย่างที่เขาว่า

เพราะเราน่าจะเจอคนที่เหมาะสมกับบทนายเอกได้แล้ว



หลังจากการแคสอีกครั้งผ่านพ้นไปจากนักแสดงที่ถูกคัดเลือกให้ได้เข้ามาแคสอีกครั้งจำนวน 10 คนรวมทั้งศิด้วย

การแสดงของศิรัสแม้จะอยู่ในอาการประหม่าตอนที่ต้องเข้าฉากคนเดียว หากแต่พอได้เล่นกับอาคิรากลับลดทอนความตื่นเต้นลงไปได้จนน่าประหลาด ซีนที่คัดเลือกมาใช้ทดสอบคือฉากหนึ่งในความฝันที่ภามาสเห็นตัวเองกำลังรับใช้เจ้านายด้วยการแต่งกายตามประสาทาสที่อยู่ในเรือน แต่กระนั้นก็ต้องคอยหลบสายตาจากนายที่มักไม่รู้ตัวว่ามองทาสชายผู้นี้ด้วยแววตาเช่นไร ต่างอะไรกับมองหญิงงามที่มักจะทอดสะพานให้นายลูกเจ้าพระยาคนนี้เสมอ อารมณ์สำหรับซีนนี้ต้องมีทั้งเขินอาย และเจียมตน อีกทั้งยังต้องใช้ความกล้าแอบสบตานายตัวเองบ้างในบางที อารมณ์ซับซ้อนแต่ศิรัสกลับเล่นออกมาได้อย่างน่าเชื่อว่าเป็นทาสที่แอบรักนายที่เป็นเพศเดียวกัน ในยุคร้อยกว่าปีก่อนได้อย่างน่าเอ็นดู

การแสดงของนักแสดงหน้าใหม่กับคุณหมอว่าที่พระเอกอยู่ในสายตากรรมการ และเพื่อนที่เข้าร่วมแคสติ้ง รวมถึงทีมงาน ต่างก็ยิ้มรับกับการเข้าถึงบทบาทแม้บทสนทนาน้อยนิดแต่หลากด้วยอารมณ์ความรู้สึก ไม่ขัดสายตาว่าศิรัสจะได้เข้ารอบต่อไป







22.34 น.

“เกือบ 10 ชั่วโมงที่ใช้เวลาสำหรับการแคสติ้งหานักแสดงหลักผ่านเข้ารอบแรกนะครับ มาราธอนจริงๆ วันนี้ขอโอทีด้วยนะครับนาย” พิธีกรพูดติดตลกคล้ายสถานการณ์ที่ตึงเครียดให้พอจะได้ยิ้มออกกันบ้าง

 “สำหรับบทสุดท้ายที่เราจะประกาศผู้ผ่านเข้ารอบไปเวิร์กช้อปต่อ ในบทภามาส ได้แก่ นนนท์ บอส ตระการ พูลล์ และศิ ครับ”

พิธีกรประกาศรายชื่อคาแรคเตอร์สุดท้ายท่ามกลางเหล่าผู้เข้ารอบในบทอื่นๆ อีก ประมาณ 30 คน นับว่าร่อยหรอเหลือเกินหากเทียบกับบทอื่นๆ ไร้เสียงเชียร์ มีแค่เสียงปรบมือดังเปาะแปะจากไม่กี่คนเท่านั้น เพราะหลายคนเหนื่อยล้าทางทีมงานก็อนุญาตให้ผู้ที่ไม่ผ่านการคัดเลือกสามารถกลับบ้านได้เลย หรือใครจะอยู่รอประกาศก็ได้ แต่นั่นแหละ แทบจะไม่มีใครอยู่รอ นอกจากคนที่ได้ผ่านการคัดเลือกเพราะต้องอยู่รอฟังกำหนดการในครั้งต่อไป

บทของภามาสดูจะเป็นปัญหาใหญ่สำหรับซีรีส์เรื่องนี้ในข้อครหาเสียแล้วล่ะ







“เห้อออ เหนื่อยยยยยย กลับบ้านกันพวกมึง”

หลังฟังกำหนดการณ์ต่างๆ เสร็จก็ล่วงเลยมาเกือบสี่ทุ่ม ชโลทรและศิรัสเดินออกมาหาเพื่อนที่เหลือข้างนอกฮอลล์พร้อมบิดขี้เกียจ ตัวฑิฆาทัศน์และเฌอลักษณม์หลังจากที่ได้เข้าไปให้กำลังใจและเห็นว่าศิรัสก็ทำได้ดีเลยขอออกมารอเพื่อนที่เดินดีกว่าจะไปเกะกะทีมงาน

“ดีใจด้วยนะพวกมึงสองคนเลย มาหนึ่งได้ถึงสองว่ะ” เฌอลักษณม์ยิ้มให้เพื่อนสองด้วยอารมณ์เริงร่าเสมอ

“เออศิมึงต้องมาเล่าด้วยนะเว้ย ว่าทำไมได้เข้าไปแคส แถมได้ผ่านเข้ารอบอีก”

“เดี๋ยวค่อยคุยดีมั้ยวะ กูหิวไปหาไรกินกัน พรุ่งนี้เรียนเช้าอีก” ฑิฆาทัศน์พูดพร้อมสะพายกระเป๋าเป้และส่งกระเป๋าผ้าลายหมีแพนด้าจาก we bare bears ให้เพื่อนคนละใบ แยกออกเพราะใช้ลายเดียวกันคนละสี

ศิรัสรับกระเป๋ามาสะพายและเดินนำหน้าเพื่อนคนอื่นไปแบบไม่พูดอะไร ในใจมันมีหลายเรื่องประเดประดังเข้ามาอย่างรวดเร็ว ไม่รู้จะตั้งรับยังไงทัน จู่ๆ ก็ได้ไปแคสติ้งบทนายเอก ผ่านเข้ารอบ ต้องไปเวิร์กช้อปกับครูการแสดงชื่อดัง และตอนนี้ชีวิตคงไม่มีคำว่าสงบสุขเกิดขึ้นอีกแล้ว

“เธอ”  เสียงเรียกที่คุ้นหูและสรรพนามที่ไม่มีใครใช้กับเค้าอีกแล้วนอกจากคนๆ เดียว ที่แม้จะดีใจที่ได้กลับมาพบเจอเขาอีก แต่ตอนนี้ไม่อยากหายใจด้วยซ้ำ มันเหนื่อยไปหมด

“ครับ?”

“ดีใจที่เป็นเธอ”

“ดีใจอะไร ผมคงไม่ผ่านอีกรอบหรอก”

“...”

“ทำไมต้องเป็นผมคุณดิม แค่เริ่มก็เหนื่อยแล้ว ไม่อยากทำ” ผมพูดอย่างมีอารมณ์ถ้าไม่ใช่เพราะเค้าเสนอชื่อผมไปก็ไม่ต้องมาทนฝืนทำอะไรยากเกินตัว เกินความฝัน เกินจิตนาการของตัวเองแบบนี้ จากตอนแรกที่ดีใจที่ได้เจอ ใจสั่นที่ได้พบคนที่ชอบอีกครั้ง แต่ตอนนี้กลับไม่แน่ใจแล้วว่าควรรู้สึกแบบนั้นมั้ย

“แต่ผมอยากให้เป็นเธอ”

“ผมชื่อศิครับ ศิรัส อยากให้เรียกชื่ออะ”

“เธอเด็กกว่าผมหลายปี ไม่อยากเรียกน้อง”
“ไว้เจอกัน”

พูดทิ้งท้ายไว้แค่นั้นแล้วร่างสู่งก็เดินผ่านหน้าเขาไปพร้อมกระชับกระเป๋าเป้ยี่ห้อดังไปทางประตูลิฟต์



ชักรู้สึกงอแงไม่อยากเจอเขาอีกแล้วล่ะ
ให้ตายสิ




------To be Continued------








ตอนแรกแบบเต็มมาแล้วววว

ตอนแรกก็มาซะเครียดเลย แต่ตอนหน้าจะซีเรียสกว่านี้ 55555555

แต่อดเปรี้ยวไว้กินหวานหนาพวกเจ้า คิกคิก

บี

:)
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-08-2018 22:38:20 โดย mifengbee »

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
...

นั่น..อ่านแล้วชอบที่นายเอกไม่หลงพระเอกมากไป มีรำคาญนิดๆ เล่นตัวหน่อยๆ

ติดตามค่ะ

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ


EP.02 เด็กหมอไม่ใช่เด็กเส้น

If you will learn to begin To trust the voice within




ซีรีส์ดังเปิดแคสวันแรกโดนจวกมี “เด็กเส้น”
รายงานพิเศษ “อาทิตย์คลาดพระจันทร์” ซีรีส์ที่สาววายรอคอย ขรุขระตั้งแต่เริ่มแคสต์
“ดิม อาคิรา” ตัวเต็งพระเอก “อาทิตย์คลาดพระจันทร์”
แฟนคลับ “พูลล์” ดันเทรนด์ทวิต บทภามาสใน “อาทิตย์คลาดพระจันทร์” ต้องเป็นเขาเท่านั้น!
เปิดประวัติ “ศิรัส” โดนหาว่าเป็นเด็กเส้นรับบทภามาสใน “อาทิตย์คลาดพระจันทร์”





ไม่แปลกใจกับฟีดในเฟซบุ๊กที่เลื่อนผ่าน ทุกเว็บไซต์ข่าวชื่อดังโหมกระแสโดยเฉพาะด้านลบจากตัวผมไปต่างๆ นาๆ กดเข้าไปอ่านเนื้อข่าวไม่มีอะไรนอกจากรูปที่ถ่ายไกลๆ ขณะที่ผมนั่งหน้าห้องตอนรออาโป  เพราะผมไม่เล่นไอจี เฟซบุ๊กก็เลยแทบจะไม่มีรูปตัวเองให้นักข่าวได้เสาะหาไปลงข่าว

ข่าวเรื่องนี้ออกไปได้ยังไงน่ะหรอ ผมก็ไม่แปลกใจอีกเพราะคนที่มาแคสติ้งจำนวนไม่น้อยที่ไม่พอใจการคัดเลือกนักแสดงของคณะกรรมการ ประเด็นเลยเขาคงไม่พอใจผมที่เหมือนไปฉกเค้กที่ควรจะเป็นของเขามา และบางคนก็มีฐานแฟนคลับไม่น้อย กระแสรุนแรงในโซเชียลยุค 4.0 เป็นเรื่องที่คาดการณ์ล่วงหน้าได้ไม่ยากนัก


แย่ไปกว่าข่าวในเว็บไซต์คือคอมเมนต์ใต้ข่าว มีแต่คำตำหนิ และเหยียดหยันด้วยถ้อยคำหยาบคาย และเจ็บแสบ ทั้งที่ผมยังไม่ได้ทำอะไรให้เลย ตัวตนจริงๆ ผมก็ไม่มีใครรู้จัก แต่กลับมาโดน bully แบบนี้ ที่รู้สึกเศร้าไปกว่านั้นกลุ่มแฟนคลับที่มีจำนวนมากในทวิตเตอร์ตัดต่อรูปผมที่ถูกถ่ายจากที่ไกลๆ มองไม่ชัด แม่งโคตรดูขี้เหร่ ไปทำมีมเปรียบเทียบกับคนที่ตัวเองเชียร์ ข้ามคืนผมมีแฮทแท็กของตัวเองด้วยนะครับ #มาสกินเส้น แถมขึ้นเทรนด์ที่ 1 อีกต่างหาก ดังชั่วข้ามคืนเลยเว้ย

ชีวิตที่ผ่านมา 21 ปีของผม หมดกันแล้วความสงบเรียบง่าย ตื่นนอน ไปเรียน ทำการบ้าน กลับคอนโดมานอน เล่นเกม วนลูปอยู่แค่นั้น ไม่เคยเอาชีวิตเข้าไปพัวพันกับอะไรให้วุ่นวาย ไม่ชอบไปในที่ที่คนเยอะ ไม่ชอบสถานที่อโคจรเสียงดัง ไม่อยากถูกห้อมล้อมด้วยใครๆ และไม่อยากให้ใครรู้จักมากไปกว่าเพื่อนสนิทสามคน แต่ตอนนี้มันไม่ใช่แบบนั้นอีกต่อไป

อยากร้องไห้จัง ทำไมอาโปถึงอยากเข้าไปในวงการที่วุ่นวายแบบนี้กันนะ


ครืด ครืด
              
(MHEK)

“ฮัลโหล”

(ศิโอเคป่าววะ กูเห็นข่าวมึงเต็มไปหมด)

เมฆมักจะเป็นคนแรกที่พร้อมจะรับฟังเพื่อนเวลามีปัญหา ไม่ว่าจะเล็กใหญ่แค่ไหนทุกปัญหาเขาพร้อมจะช่วยเหลือ


เป็นเมฆที่คอยบดบังแสงแดดที่ร้อนจนแผดเผาให้พื้นโลกได้เสมอ

มีครั้งหนึ่งตอนปี 2 พิกเล็กเลิกกับพี่ทอย เดือนวิศวะที่โคตรเจ้าชู้ แต่มาจีบเพื่อนผู้หญิงสุดห้าวที่สุดในกลุ่มของเรา

พี่ทอยตามจีบเฌออยู่นานหลายเดือนกว่าเพื่อนสาวของเราจะใจอ่อน แต่คบไปได้ไม่นานโปรโมชั่นที่หนุ่มหล่อดีกรีเดือนวาดฝันให้ก็เริ่มหมดลง เฌอเริ่มจับได้ว่าการที่พี่ทอยไปเที่ยวกลางคืนแต่ละครั้งไม่เคยไม่มีสาวกลับคอนโดไปด้วย นั่นก็ยังทำให้เฌอใจเย็นนั่งคุยกับเขาดีๆ ว่ารู้ความจริงและจะขอเลิก แต่พี่ทอยดันไม่ยอมบอกว่ารักเฌออย่างนั้นอย่างนี้ ผมนะโมโหมากเลยตอนที่เฌอมานั่งเล่าเรื่องทั้งหมดให้เราฟังทั้งน้ำตา เพราะเธอเป็นผู้หญิงที่สตรองที่สุดแล้ว เหตุการณ์นี้อาจจะเป็นครั้งแรกตั้งแต่รู้จักกันที่เห็นคนที่เข้มแข็งเสมออ่อนแอไม่เป็นตัวเองได้ขนาดนี้ เมฆทนเห็นเพื่อนต้องเจ็บช้ำน้ำใจต่อไม่ได้ อีกไม่กี่วันเมฆยื่นข้อเสนอให้พี่ทอยออกไปจากชีวิตเฌอด้วยการจะขายหุ้นส่วนของตัวเองให้กับบริษัทพ่อพี่ทอย จากที่เมฆสืบรู้มาว่าบริษัทพ่อพี่ทอยอยากได้หุ้นของบริษัทพ่อเมฆเพียงแต่ว่าเครดิตบริษัทยังไม่ดีพอที่จะมีบอร์ดคนไหนขายให้ ข้อเสนอนี้เมฆต่อสายตรงไปที่พ่อของพี่ทอยด้วยตัวเองเพื่อบีบบังคับให้พ่อลูกจัดการปัญหาและเรื่องปากท้องของครอบครัว แม้แผนนี้เป็นไปได้ด้วยดี แต่นั่นก็ทำให้เฌอรู้ว่าผู้ชายที่เธอมอบความรักและความรู้สึกดีให้นั้นไม่เคยเห็นเธอมีค่ามากไปกว่าผู้หญิงที่เขานอนด้วยคืนเดียว

“ไม่รู้ว่ะเมฆ แค่ไม่ชอบที่เป็นแบบนี้ กูไม่ได้ทำอย่างที่เขาเขียน”

(งั้นมึงก็อย่าเพิ่งเครียด กูว่าเดี๋ยวทางค่ายเค้าคงมีวิธีรับมือ)

“คงงั้นมั้ง ถ้ามันวุ่นวายกับชีวิตกูมาก ก็ถอนตัวแม่ง”

(เออ เอาแบบนั้นแหละ มึงก็ไม่ได้อยากเล่นแต่แรก)

“ขอบใจนะที่โทรมา กูคิดไม่ตกเลยว่ะ ไม่ชอบที่ตัวเองเป็นแบบนี้เลย”

(ได้ยินเสียงก็รู้แล้ว ได้นอนบ้างยัง ปกติมึงไม่ตื่นเช้าขนาดนี้)


“ก็วันนี้เรียนเช้าไม่ใช่หรอวะ”

(ปกติเรียนเช้ามึงตื่นอีก 10 นาทีเข้าเรียนเหอะ)

“เออดิ ไม่ได้นอนเลยเนี่ย”

(งั้นเดี๋ยวไปรับ รอแป๊บ)

“โอเค ขับรถดีๆ”





โรงอาหารคณะจิตวิทยาโล่งตาเพราะยังไม่แปดโมงดี ที่นี่คลาสแรกจะเริ่มเวลา 8.30 และนิสิตส่วนใหญ่ก็คงจะมาใกล้ๆ เวลาเริ่มเรียน น้อยคนที่จะมากินข้าวเช้า อ่านหนังสือรอก่อนคลาสเริ่ม คงเป็นมนุษย์ในจินตนาการเพราะความจริงแค่ตื่นมาเรียนได้ก็บุญเท่าไหร่แล้ว

ชีวิตปี 3 ของผม เมฆ อาโป และเฌอวุ่นวายกับสิ่งที่เรียกว่าวิจัยไม่ใช่น้อย แม้คณะของเราจะสอนการทำวิจัยตั้งแต่ปี 2 แต่นั่นก็แปลว่าเราจะต้องผลิตงานวิจัยทุกปีต่อจากนั้นมา ซึ่งไม่ใช่เรื่องง่ายเลยสำหรับผมที่เรียนไม่ค่อยเก่งแต่ยังดีที่ขยันเลคเชอร์  และลายมือสวย แถมยังชอบวาดรูปประกอบน่ารักๆ หลายสีจะได้จำได้ง่าย แต่ผมน่ะจำไม่ได้หรอกคนที่จำได้คือเมฆต่างหาก มันนะแทบไม่เคยจดเลคเชอร์  บางทีก็แอบหลับในห้อง แต่เวลาสอบดันได้คะแนนดีบางทีก็ท็อปทรีของเซคตลอด โคตรไม่ยุติธรรมแต่มันบอกว่าที่สอบได้เพราะเลคเชอร์ ผม แถมยังตอบแทนด้วยการพาไปเลี้ยงหมูกระทะทุกครั้งหลังสอบมิดเทอมและไฟนอล บอกว่าเป็นค่าเลคเชอร์  -_-

“เมฆ มึงว่าโต๊ะข้างหลังมึงเขามองกูแปลกๆ ป่ะวะ”

หลังจากที่เดินไปซื้อข้าวมันไก่ร้านป้าภากับน้ำเปล่าแล้วมานั่งที่โต๊ะ ก็รู้สึกว่ามีคนจ้องผมอย่างไม่ปกติ เวลามีคนมาจ้องตอนกินข้าวมันจะไม่อร่อย หรือผมคิดไปเองวะ บางทีเพราะวันนี้ผมใส่คอนแท็กเลนส์แทนที่จะเป็นแว่นกรอบหนาสีดำที่จะใส่ประจำเวลามาเรียน แต่วันนี้นึกไม่อยากใส่เพราะถ้ามีคนจำได้จากในข่าวแล้วเห็นผมใส่แว่นหนาเตอะดูเนิร์ดขนาดนั้นคงโดนว่าหนักกว่าเดิม

แต่จริงๆ ผมทำอะไรก็คงจะโดนวิจารณ์อยู่แล้วแหละ


“อืม กูว่าไม่ใช่แค่โต๊ะนั้นหรอก หลายคนแล้วที่มองมึง”

“เพราะข่าวพวกนั้นแน่ๆ ทำไงดีวะ กลับคอนโดดีมั้ย กูไม่กล้าเดินไปไหนเลย” ผมกุมหน้างุดกับอกทันทีที่เมฆบอก ปกติเป็นคนรู้ตัวช้าเวลาใครมองจะไม่ค่อยรู้ตัวหรอก เด๋อๆ นั่นแหละครับ

“มึงจะกลัวอะไร”

“กลัวเพราะเขาหาว่ากูโกงไง”

“แต่มึงไม่ได้โกง กูว่ารอทางผู้ใหญ่เขาติดต่อมาดีกว่าว่าจะแก้ปัญหานี้ยังไง ถ้าไม่ทำแล้วปล่อยให้มึงลอยแพโดนด่าอยู่แบบนี้ ก็ถอนตัวซะ”

“แล้วตอนนี้กูจะทำยังไงดี”

“กินข้าวให้หมด จะได้ไปเรียน เค๊”

เมฆตักโจ๊กหมูสามย่านเจ้าเข้าปากคำสุดท้าย ก่อนจะเลิกคิ้วเสมือนถามผมว่ารออะไรทำไมไม่กินข้าวต่อ มึงก็พูดง่ายไงเมฆ มาเป็นกูสิมันลำบากใจนะเว้ย จากคนที่ไม่เป็นที่รู้จักของใคร แต่ตอนนี้กลับโดนจ้องเขม็งตลอดเวลา สูญเสียความมั่นใจจากที่แต่ก่อนมีน้อยอยู่แล้ว



ติ๊ง ติ๊ง

เสียงข้อความดังขึ้น จากเบอร์ที่ไม่ได้เมมเบอร์ไว้

“วันนี้บ่ายสามจะมีแถลงข่าว ทางผู้ใหญ่เขาอยากให้เธอร่วมแถลงข่าวด้วย เจอกันที่ตึก  D”

D ใครอะ

ทีมงานหรอ ทำไมไม่โทรมาเลยล่ะเรื่องสำคัญแบบนี้

“เมฆวันนี้จะมีแถลงข่าวว่ะ เขาให้กูไปด้วย”

“เออดี ก็ไปดิ”

“จะโดนนักข่าวถามอะไรมั้ย”

“เดี๋ยวผู้ใหญ่ก็บอกเองแหละน่า”

ผมถอนหายใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้ เออไปก็ไปวะ เป็นไงเป็นกัน

คงต้องไปถามพี่ทีมงานว่า D คือใครด้วย อย่างน้อยๆ ก็ขอบคุณที่เขาแจ้งข่าว





หลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จเพื่อนคนอื่นก็พร้อมโดดเรียนคาบบ่ายวิชาเสรีที่เราเลือกลงเรียนวิชาเดียวกันนั่นคือโยคะ วันนี้อ.วิดาคงไม่ได้สอนพวกผมฝึกบริหารการหายใจแล้วล่ะสิ เมฆขับรถจากมหาลัยมาที่ตึกสูงเสียดฟ้าหลังเดิมที่เราเพิ่งกลับไปเมื่อวาน และวันนี้ผู้คนดูจะไม่ได้คึกคักเท่า  มีแต่พนักงานออฟฟิศที่ถือเอกสารเดินขวักไขว่ และบางคนก็คุยเจรจาธุรกิจที่ร้านกาแฟ บรรยากาศดูสบายๆ ต่างกับสิ่งที่เกิดขึ้นในหัวของผมอย่างสุดขั้ว เพราะทันทีที่ก้าวเข้ามาที่นี่ในใจมันว้าวุ่น ประหม่า และกังวล กับสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้น เพราะผมไม่รู้เลยว่าควรจะต้องทำอะไร ทำยังไง ให้ผ่านพ้นจากสิ่งตรงนี้ไปได้



ครืด ครืด

เบอร์โทรเข้ามาปลิดความคิดที่ว้าวุ่นให้ต้องรับสาย

“ฮัลโหลครับ”

(น้องศิ พี่นิ้งนะลูก ประสานงานของซีรีส์นะคะ)

“ครับพี่”

(วันนี้มีงานแถลงข่าวที่ตึกตอนสามโมงนะคะ น้องศิสะดวกมาหรือเปล่า)

“ตอนนี้ผมอยู่ที่ตึกแล้วครับ”

(อ้าวหรอคะ คงมีคนโทรบอกก่อนหน้าพี่แน่เลย พี่ยุ่งๆ ขอโทษที่โทรหากะทันหันนะลูก)

“ไม่ได้โทรบอกครับพี่ มีแมสเสจมา”

(หื้ม หรอคะ ไม่ใช่โทรหรอ เค้าบอกหรือเปล่าว่าเป็นใคร)

“เปล่าครับ ลงชื่อแค่ตัว D ผมก็คิดว่าทีมงาน”

(งั้นหรอคะ เจอกันบ่ายสามที่ชั้นเดิม ห้องเดิมนะ)

“ผมต้องทำอะ…”

(ตู๊ด ตู๊ด)

“อ้าววางไปละ ยังไม่ได้ถามอะไรเลยวุ้ย”

“ทีมงานหรอวะศิ” เฌอถามขึ้นหลังจากที่เราหาที่นั่งในร้านกาแฟใต้ตึกรอเวลาได้แล้ว

“ใช่ แต่แปลกๆ อะ เพราะตอนบอกว่ามีคนส่งแมสเสจนัดมาแล้วเขาก็งงๆ เหมือนว่าปกติจะแจ้งอะไรจะต้องโทรนัด แล้วใครส่งแมสเสจให้ อยากรู้อะ แถมวางหูใส่ทั้งที่จะถามว่าต้องทำอะไรบ้าง คนยิ่งกลัวๆ อยู่”

“เออเอาน่า เดี๋ยวเขาคงบรีฟหน้างานล่ะมั้ง แล้ววันนี้เขานัดใครมาอีกป่ะนอกจากมึง” อาโปที่เดินจากการไปสั่งเครื่องดื่มมาทันฟังที่ผมคุยกับเฌอพอดีถามขึ้นอย่างนึกสงสัยเหมือนผมเช่นกัน

“อันนี้ก็ไม่รู้อีก ถ้าต้องขึ้นเวทีคนเดียวทำไงดีอะ”

“ไม่หรอกน่า อย่างน้อยก็ต้องมีผู้ใหญ่แหละ อย่าเพิ่งกังวลสิ” อาโปตบบ่าเบาๆ อย่างให้กำลังใจ เพื่อนอีกสองคนที่นั่งอยู่ด้วยก็มองด้วยสายตาส่งพลังบวกมาให้เหมือนกัน

ขอให้ผ่านไปได้ด้วยดีเถอะ






ภายในห้องก่อนเตรียมแถลงข่าว นอกจากผู้อำนวยการผลิต ผู้กำกับ โปรดิวเซอร์ ครูสอนการแสดง และคนเขียนนิยาย

ก็เห็นจะมีอีกชายหนุ่มที่นั่งร่วมหารือการแก้ปัญหาในครั้งนี้ด้วยเหมือนกัน




หลังกลับจากการแคสติ้งเมื่อวานรังสิมันต์ก็กลับไปทำหน้าที่คุณหมอต่อด้วยการอยู่เวร ER* แทนเพื่อนหมอที่ขอแลกเวรกันตอนเช้าเพราะเขาต้องมาทำภารกิจเมื่อวาน แม้จะเหนื่อยจนอยากนอนจะตายชัก แต่หน้าที่ก็สำคัญจนละไม่ได้ และเป็นอีกหนึ่งสิ่งที่คิดว่าอยากทำให้ดีที่สุดในฐานะมนุษย์ที่อยากช่วยเพื่อนมนุษย์จากสิ่งที่ร่ำเรียนมา

ระหว่างพักหาอะไรกินตอนเกือบจะเที่ยงคืนก็เห็นฟีดในเฟซบุ๊กเริ่มมีกระแสข่าวของการแคสติ้งที่เพิ่งจบไม่กี่ชั่วโมง เกลื่อนเต็มหน้าไทม์ไลน์ แม้จะเป็นนิยายเฉพาะกลุ่มแต่นี่ก็แสดงให้เห็นได้ชัดว่าเป็นนิยายที่ได้รับความนิยมจากคนจำนวนมากจริงๆ และกระแสตีกลับก็แรงพอกัน โดยเฉพาะข่าวด้านลบของศิรัสที่ถูกกล่าวหาว่าเป็นเด็กเส้น ไม่พอแค่นั้นยังโดนคำตำหนิ กล่าวหาว่าไม่เหมาะสม และถูกด่าด้วยถ้อยคำหยาบคายต่างๆ นานา  เรื่องทั้งหมดที่เกิดขึ้นเป็นเพราะผมที่อยากให้ศิรัสเข้ามาร่วมในการแคสติ้งครั้งนี้เอง

และผมควรจะเป็นคนรับผิดชอบ


แม้ว่าจะเลยเวลาที่จะคุยธุระแล้ว แต่ถึงอย่างไรก็คงต้องต่อสายตรงถึงคุณติณณ์ เพราะคิดว่ามันเป็นสิ่งที่ควรทำ ในฐานะที่ผมร่วมงานกับเขามาก็หลายครั้งและคิดว่าเขาคงไม่อยากเกิดความเสียหายกับการลงทุนมหาศาลของบริษัท ยังดีที่คุณติณณ์ไม่ใช่คนนอนเร็วโดยวิสัยเลยทำให้การพูดคุยของผมและเขาเป็นไปในทิศทางเดียวกันในการขจัดปัญหาดังกล่าวด้วยการเลือกแถลงข่าวอย่างเร็วที่สุดในวันพรุ่งนี้ อย่าถามว่าทำไมผมถึงได้โทรหาคุณติณณ์ที่เป็นถึงผู้อำนวยการฝ่ายการผลิตละครได้ เพราะเขาคือคุณอาแท้ๆ ของผมเอง แค่เราใช้คนละนามสกุลเพราะผมใช้นามสกุลคุณแม่อย่างที่คุณยายอยากดำรงณ์ตระกูลเก่าไว้ และผมก็มีน้องชายอีกคนการใช้นามสกุลใครก็ไม่มีปัญหาอะไร ที่สำคัญน้อยคนนักที่จะรู้ว่าผมและผอ.ฝ่ายผลิตละครพีพีมีเดียเป็นญาติกัน ซึ่งถ้าใครรู้ก็คงไม่ใช่ปัญหาใหญ่เพราะผลงานที่ผมทำไว้ให้กับที่นี่มันคงยืนยันความสามารถได้มากกว่าว่าผมเป็นใคร

ก่อนวางสายจากอาติณณ์ก็ไม่ลืมที่จะขอข้อมูลบางอย่างที่คิดว่าอาน่าจะหาให้ได้ไม่ยาก แต่นั่นก็ต้องแลกกับคำถามที่ตอบยากว่าจะเอาเบอร์ของเด็กคนนั้นไปทำอะไร เงียบไปอึดใจก็หาคำตอบได้

อยากขอโทษเขาที่ทำให้ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้


ออกจากเวรตอนประมาณ 8 โมง ยังดีที่คนไข้ฉุกเฉินตอนกลางคืนไม่ได้มีจำนวนมากนัก ส่วนใหญ่จะเป็นคนชราที่มีอาการของโรคประจำตัวกำเริบลูกหลานก็จะพามาโรงพยาบาลยามวิกาลเสียส่วนมาก และเคสอุบัติเหตุรถสิบล้อชนกับรถเก๋ง เป็นคนขับรถสิบล้อที่เจ็บหนักถึงขั้นกระโหลกร้าวเพราะหักหลบรถเก๋งที่ขับสวนเลนเนื่องจากหลับในเพราะเมา ทำให้รถสิบล้อหักเข้าข้างทางชนกับตอมอสะพานที่กำลังก่อสร้างรถไฟฟ้า น่าจะเป็นข่าวใหญ่วันนี้ด้วยอีกหนึ่งข่าว แต่ตอนนี้พี่คนขับปลอดภัยดีไม่ใช่เพราะพระที่แขวนหน้ารถ แต่เพราะบุคลากรการแพทย์ทุกคนที่ช่วยเหลือให้พ้นวิกฤติชีวิตครั้งนี้ และหลายครั้งคนไข้ก็ต้องจากโลกนี้ไปเพียงเพราะคนที่ไร้ความรับผิดชอบต่อเพื่อนร่วมทาง

คุณหมอสะพายเป้และเก็บของกระจุกกระจิกนิดหน่อยก่อนจะเก็บโทรศัพท์มือถือหย่อนลงเสื้อกาวน์สั้น และก็คิดได้ว่าเช้าแล้วเด็กนั่นคงตื่นแล้ว อาจจะต้องบอกเด็กคนนั้นสักหน่อยสำหรับสิ่งที่จะเกิดขึ้นในวันนี้ พิมพ์แล้วลบอยู่หลายประโยค มีทั้งขอโทษและให้กำลังใจ แต่นั่นก็ไม่ควรเพราะเราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้นเลยตัดสินใจส่งแค่กำหนดการณ์ไปให้สั้นๆ ลงท้ายชื่อย่อตัวเอง หวังว่าคงเดาไม่ยากว่าใครแต่นั่นคือสิ่งที่ผมเองที่ลืมไปว่าเด็กคนนั้นไม่ได้สนใจโลกเท่าไหร่


ครืด ครืด

(My Gale)

“ครับเกล”

(ออกเวรหรือยังคะคุณหมอ)

“ออกแล้วครับ วันนี้เหนื่อยจัง” นานๆ ทีจะได้อ้อนแฟนเช้าๆ แบบนี้ เพราะปกติผมจะเข้าเวรเช้ามากๆ และเกลยังไม่ตื่น เวลาเกลตื่นผมก็ไม่มีเวลามานั่งรับโทรศัพท์หรือตอบไลน์แฟนหรอก ส่วนใหญ่จะวุ่นวายกับการเป็นผู้ช่วยอาจารย์หมอผ่าตัดเคส เพราะการได้เข้าไปร่วมผ่าตัดบ่อยๆ มันจะทำให้ผมเข้าใจเคสต่างๆ มากขึ้น และการอยู่โรงพยาบาลรัฐฯ ทำให้ได้เจอคนไข้เคสยากและแปลก ซึ่งจะทำให้วินิจฉัยโรคเฉพาะทางที่ผมเรียนได้ดี

ส่วนอาชีพนักแสดงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ผมชอบและอยากทำมันให้ดี เพราะมันได้ฮีลลิ่งร่างกายและอารมณ์หลายๆ อย่างจากการเป็นหมอที่วันๆ เอาแต่ช่วยเหลือผู้อื่น พอมาเป็นนักแสดงมันช่วยตัวผมเองไม่ให้หมกมุ่นแต่กับตำราและการรักษา จนบางทีเกิดความเครียดเกินขีดจำกัด การได้มองเห็นตัวเองในคาแรคเตอร์อื่นๆ มันทำให้ชีวิตหลากหลายและมีสภาวะจิตที่ดีขึ้น

(งั้นดิมกลับไปนอนแล้วบ่ายๆ เรากินข้าวกันนะคะ เกลไม่ได้เจอดิมหลายวันแล้ว)

การเป็นแฟนผมมันเหมือนคบกับโทรศัพท์ เจอกันผ่านแอปพลิเคชั่น และเสียง ตัวเป็นๆ จะหยิบจะจับแทบจะน้อยโอกาสมาก เหมือนวันนี้ที่ผมไม่มีทางไปกินข้าวกับเธอได้เพราะต้องไปนั่งโต๊ะร่วมแถลงข่าวกับปัญหาที่ส่วนหนึ่งมาจากตัวเอง

“วันนี้หรอ คงไม่ได้แล้วล่ะครับ ดิมต้องไปธุระที่บริษัท ขอโท…”

(ไม่ต้องขอโทษค่ะ เกลไม่อยากได้ยิน ดิมเอาแต่ขอโทษแต่ไม่คิดจะทำให้มันดีขึ้น)

“เกล...”

(ช่างเถอะค่ะ ไว้คราวหน้าที่ไม่รู้เมื่อไหร่ก็แล้วกัน อย่าลืมกินข้าวนะคะ บายค่ะ)

หลายครั้งที่บทสนทนาของเราจะจบลงด้วยเหตุการณ์แบบนี้ แต่เพียงไม่กี่วันเกลก็จะกลับมาน่ารักสดใสเหมือนเดิม เหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ซึ่งผมรู้ดีว่ามันไม่มีทางที่จะเหมือนเดิม


คงคล้ายกับฝุ่นตะกอนที่ตกลงในน้ำ น้ำก็จะมัวขึ้นเรื่อยๆ จากที่เคยใสแวววาว ก็จะกลายเป็นขุ่นคลั่ก และสกปรก จนสุดท้ายดื่มไม่ได้และทำได้แค่เททิ้งไป… คนที่ถูกเททิ้งคือคนที่ทำให้น้ำขุ่นนั่นแหละ





14.30 น.


การเตรียมความพร้อมสำหรับงานแถลงข่าวใช้เวลาวางแผนเพียงไม่กี่ชั่วโมงหลังจากทีมงานทราบเรื่อง การดำเนินการต่างๆ ทั้งเชิญสื่อ เตรียมห้องประชุม อาหารว่าง แผนกต้อนรับ ถูกจัดการหลังจากคำสั่งของผู้อำนวยการฝ่ายผลิตได้หนังสือจากประธานบริษัทเรียบร้อย แต่สิ่งที่ยากกว่าเรื่องเหล่านี้คือถ้อยแถลงที่ทุก ๆ คน จะต้องเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการตอบคำถามนักข่าวในคำถามที่คาดไม่ถึง และจำกัดขอบเขตในการถามคำถามให้เป็นแค่ซีรีส์เรื่องนี้ไม่มีเรื่องอื่นๆ ปะปน 

คุณหมอที่ได้นอนประมาณ 4 ชั่วโมงก็หาวออกมาครั้งที่ 3 หลังถูกฝ่ายสื่อสารองค์กรซ้อมตอบคำถามของสื่อมามากกว่า 10 คำถาม ล้วนเป็นการคาดการณ์ว่าจะผุดขึ้นมาจากนักข่าวทั้งสิ้น

“กาแฟมั้ยคะคุณหมอ” กะรัต PR ฝ่ายสื่อสารองค์กรถามขึ้นหลังจากนั่งสังเกตว่าที่พระเอกที่ดูจะไปทำหน้าที่คุณหมอมาหนักเมื่อคืนเลยพักผ่อนไม่เพียงพอ

“ก็ดีครับ”

“พี่แมวจ้ะ เดี๋ยวลงไปซื้อกาแฟที่สตาร์บัคให้หน่อย เอามาให้ครบคนในห้องประชุม ลงบัญชีแผนกไว้นะเดี๋ยวกะรัตไปเคลียร์เองค่ะ”

“ค่ะคุณกะรัต”

“ขอโทษนะครับ ผมได้นอนไปไม่กี่ชั่วโมง”

“ไม่เป็นไรหรอกค่ะคุณหมอ เทางบริษัทดีใจมากกว่าที่คุณยอมรับเล่นซีรีส์เรื่องนี้” กะรัตยิ้มให้คุณหมอก่อนจะนั่งแก้สคริปต์ที่จะให้ผอ.เป็นคนกล่าวเปิดการแถลงข่าว

“ทำไมให้ผมมาซ้อมคนเดียวล่ะครับ ไม่ให้ศิรัสเขามาซ้อมด้วยหรอ”

“อ้อ พอดีเราประชุมกันแล้วว่าให้คุณดิมเป็นคนพูดคนเดียวจะดีกว่า เพราะน้องศิมือใหม่สำหรับนักข่าวเกินไปค่ะ แถมถ้าคุณดิมพูด มันก็จะดูเป็นการออกตัวปกป้อง จะได้ดูโปรโมทเป็นการตลาดในตัวได้น่ะค่ะ อันนี้ฝ่ายมาร์เก็ตติ้งเค้าเสนอมา”

“ครับ”

ว่าแต่เด็กที่ขี้กังวลแบบนั้นจะเป็นยังไงบ้างนะตอนนี้






ร้านกาแฟใต้ตึก

“ศิจะสามโมงแล้วไม่มีคนโทรตามเลยหรอวะ”  เฌอที่นั่งดูดลาเต้จนหมดแก้วถามขึ้นอย่างนึกเบื่อ เพราะนั่งรอมาจะสองชั่วโมงแล้ว แต่ทางทีมงานยังเงียบ

“นั่นสิ ลองโทรกลับไปที่เบอร์ที่เค้าโทรมามั้ย” อาโปสมทบ

“ก็ได้”  ผมเม้มปากและถอนหายใจเบาๆ ออกมาหนึ่งครั้งก่อนจะกดโทรออก แม้จะไม่อยากให้ถึงเวลาที่ต้องไปอยู่ต่อหน้าคนเยอะๆ แต่การมานั่งรอนานๆ ไม่ใช่วิสัยของผมเท่าไหร่ เล่นเกมไปแล้วตั้งหลายตาแพ้จนหงุดหงิดแล้วด้วย

“ตู้ดดด ตู้ดดด ตู้ดดด”

(สวัสดีค่า นิ้งค่า)

“เอ่อ พี่นิ้ง ผมศิเองนะครับ คือจะให้ผมขึ้นไปตอนไหนหรอ”

(ว้าย น้องศิ พี่ลืมพี่ขอโทษ ขึ้นมาเลยลูกๆ อีกสิบห้านาทีจะเริ่มแล้วจ้า มาๆๆ)

ฉิบหายละ ตอนแรกไม่อยากรอ ตอนนี้ไม่อยากขึ้นไปเลย พี่นิ้งน่าจะลืมไปเลย ;__;





ผมและเพื่อนทั้งสามคนเดินขึ้นลิฟต์มาชั้น 24 เหมือนที่มาเมื่อวาน แต่วันนี้ความรู้สึกแตกต่างไปอย่างสิ้นเชิง ห้อง B2 ขนาดเท่ากับห้อง B1 ที่ใช้สำหรับแคสติ้งเมื่อวาน มีแบ็คดรอปโลโก้บริษัทตั้งอยู่หลังโต๊ะแถลงข่าวที่มีที่นั่งประมาณ 6 ที่ได้ ตอนนี้ยังไม่มีนักข่าวได้เข้ามาในห้องนี้ก่อนจะถึงเวลา ส่วนเขาและเพื่อนๆ ก็มีทีมงานเดินอ้อมอีกฝั่งเพื่อเลี่ยงการเผชิญหน้าแบบตรงๆ

“น้องศิแล้วก็เพื่อนๆ นั่งรอตรงโซฟาข้างหลังก่อนนะคะ เดี๋ยวใกล้ถึงเวลาแล้วจะมีทีมงานไปบอกนะ”

“ครับ”

พี่ทีมงานที่รับผมจากลิฟต์พาไปเจอพี่นิ้งคนที่โทรไปนัดผมก่อนจะพาผมเดินมาหลังแบ็กดร็อป ซึ่งจัดไว้เป็นโซฟาตัวยาวสองตัวหันหน้าชนกัน พร้อมโต๊ะกลางมีน้ำและขนมวางไว้ด้วย แต่ไม่ยักจะเห็นคนที่มาแคสติ้งคนอื่นๆ แฮะ หรือเขาจะนัดผมคนเดียวหว่า ฮือ ว้าเหว่อะไรขนาดนี้ 

“ศิ มึงทำหน้าให้มันดีๆ หน่อย ทำอย่างกะปวดไส้ติ่ง” เมฆคงสังเกตผมตั้งแต่เข้ามาในห้องนี้แล้ว จะให้ทำยังไงให้มันรู้สึกดีขึ้นกว่านี้ มันไม่ใช่เรื่องง่ายนะเว้ย

“ก็มันกังวลนี่ กลัวด้วย”

เฌอที่นั่งข้างผมยิ้มให้ก่อนจะเลื่อนมือมาจับที่มือข้างนึงของผมไปไว้ที่ตักตัวเอง

“กลัวไรมีพวกกูอยู่ด้วย อย่าไปกลัวดิ ถ้ามันแย่มากมึงก็แค่ถอนตัวป่ะ ไม่อยากทำก็ไม่ต้องทำกลับไปเรียนด้วยกันเหมือนเดิมก็ได้”

อาโปและเมฆที่นั่งฝั่งตรงข้ามยักคิ้วกวนๆ ให้ผมได้ยิ้มออกมา แม้ในใจจะกังวลไม่สร่าง แต่อย่างน้อยๆ ผมจะรู้ว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นผมจะไม่ได้เผชิญเรื่องนี้อยู่คนเดียว จะมีเพื่อนคอยอยู่ข้างๆ เสมอ

เสียงจอแจจากข้างหน้าแบ็กดร็อปทำให้รู้ว่ามีสื่อมวลชนเดินเข้ามาจับจองที่นั่งที่ดีที่สุดสำหรับงานแถลงข่าวของพีพีมีเดียในครั้งนี้ ฟังจากเสียงแล้วจำนวนนักข่าวคงไม่น้อยเลยทีเดียว จากตอนแรกที่กังวลตอนนี้เป็นความเครียดที่ปิดไม่มิด เฌอกุมมือผมแน่นกว่าเดิม

อยากออกไปจากตรงนี้เร็วๆ จัง




“พี่ๆ นักข่าวเซ็ตกล้องเรียบร้อยนะคะ เราจะเริ่มงานแถลงข่าวกันเลยค่ะ”

ประตูใหญ่ที่ผมสามารถมองเห็นคนที่กำลังเดินเข้ามาได้จากมุมเล็กๆ ข้างหลังก็เห็นได้ว่ามีใครมาบ้าง

คุณติณณ์ คุณอบเชย ครูกิ่ง คุณเจี๊ยบผู้กำกับ และใครสักน่าจะเป็นฝ่ายสื่อสารองค์กร และคุณดิม… เดี๋ยวนะคุณดิมมาทำไม เกี่ยวอะไรกับการแถลงข่าววันนี้ด้วย


นี่มันชักจะยังไงๆ แล้วนะ






“สวัสดีครับพี่น้องสื่อมวลชนทุกท่าน ก่อนอื่นต้องขอบคุณก่อนเลยที่สละเวลาและให้หมายข่าวที่แจ้งอย่างกะทันหันวันนี้เป็นอีกหนึ่งหมายที่สำคัญ ขออนุญาตแนะนำบุคคลที่มาร่วมแถลงข่าวในวันนี้ คุณเจี๊ยบผู้กำกับ ครูกิ่งหลายคนคงรู้จักดี คุณอบเชยเจ้าของบทประพันธ์ และคุณพิภพกรรมการฝ่ายสื่อสารองค์กร อีกคนที่สำคัญและหลายๆ คนคงอยากสัมภาษณ์คุณหมอดิม อาคิรา ครับ”

“อย่างที่คุณติณณ์แนะนำผมไปนะครับ ผมพิภพผู้จัดการฝ่ายสื่อสารองค์กร จะเป็นคนอ่านถ้อยแถลงและจุดยืนของกระแสที่เกิดขึ้น บริษัท พีพีมีเดียกรุ๊ป จำกัด (มหาชน) ได้มีการผลิตซีรีส์เรื่องอาทิตย์คาดพระจันทร์ The Intersection จากบทประพันธ์ของคุณอบเชย ซึ่งมีการแคสติ้งและคัดเลือกผู้ผ่านเข้ารอบแรกไปเมื่อวาน โดยเฉพาะบทของภามาสเกิดการแคสติ้งรอบสองเกิดขึ้น มีผู้เข้าคัดเลือกที่ไม่ได้ลงสมัครแต่แรกเข้าร่วมด้วย และผู้เข้าคัดเลือกคนนั้นผ่านเข้ารอบแรก เนื่องจากทางกรรมการเห็นว่าบทของภามาสนั้นเป็นคาแรคเตอร์ที่ซับซ้อนหลากอารมณ์ ไม่เพียงแต่มีทักษะการแสดงที่ดีแล้ว กายภาพภายนอกนั้นก็สำคัญ จึงลงความเห็นให้เกิดวิธีการข้างต้นเพื่อให้การดำเนินการของการผลิตซีรีส์เรื่องนี้ดำเนินต่อไปได้ ทั้งนี้คณะกรรมการทั้งหมดที่เกี่ยวข้อง เห็นร่วมกันว่าผู้เข้าคัดเลือกท่านนั้นมีคุณสมบัติเพียงพอที่จะฝึกฝนและพัฒนาทักษะด้านการแสดง อีกทั้งบุคลิกภายนอก และการแสดงที่ได้รับการทดสอบ เทียบเท่ากับผู้ที่ผ่านการคัดเลือกท่านอื่นๆ และเพื่อไม่ให้เกิดความเข้าใจคลาดเคลื่อนจากทุกฝ่าย ไม่ว่าจะเป็นสื่อมวลชน ผู้ที่เข้ารับการคัดเลือกทั้งที่ผ่านและไม่ผ่านเข้ารอบ รวมถึงแฟนๆ นิยาย ทำให้เราต้องออกมาชี้แจงถึงเจตนาอันบริสุทธิ์ และให้เกียรติผู้เข้าคัดเลือกท่านนี้ที่ไม่ได้ตั้งใจลงสมัคร แต่เป็นการขอร้องจากทีมงาน ดังนั้นอยากให้ทุกท่านให้ความยุติธรรมกับเขา และนำเสนอข่าวอย่างตรงไปตรงมา ทางทีมงานและฝ่ายผลิตละคร ยืนยันเจตนาที่จะผลิตผลงานอย่างมีคุณภาพและคิดถึงผู้ชมก่อนเสมอ ขอบคุณครับ”

ผมนั่งฟังคำแถลงแล้วก็ใจเต้นตุบๆ ลุ้นว่าทางทีมงานจะใช้คำพูดแบบไหน แต่เท่าที่ฟังและหลักจิตวิทยาที่เรียนมา มันไม่ใช่แค่ชี้แจงต่อปัญหาและกระแสด้านลบที่เกิดขึ้น แต่แสดงให้เห็นถึงการแคร์คนดูและฐานคนอ่านนิยายมากพอกับปกป้องผม แถมไม่มีการเอ่ยชื่อผมอีกด้วย นั่นเป็นกลยุทธ์ที่นอกจากจะกันผมออกจากปัญหาและออกหน้ารับแทนด้วยการใช้ชื่อบริษัท ยังสร้างความสนใจให้คนอยากรู้ว่าผมเป็นใครได้อีกด้วย







มีต่อ


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-08-2018 22:58:10 โดย mifengbee »

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
“ทำไมถึงทาบทามน้องศิรัสล่ะคะ ทั้งที่น้องก็ไม่ได้มีเจตนาจะเข้าคัดเลือกแต่แรก”

“อบเชยนะคะ นักเขียน ขอตอคำถามนี้ค่ะ  ตอนแรกอบเสนอทีมงานให้มีการรับสมัครและแคสติ้งบทภามาสอีกหนึ่งรอบในสัปดาห์ถัดไป เนื่องจากน้องๆ ที่มาแคสติ้งเมื่อวานมีคาแรคเตอร์โดดเด่น แสดงดี แต่ยังทำให้อบเชื่อไม่ได้ว่าเขาจะสามารถแสดงบทของภามาสออกมาได้เหมือนในนิยาย มีคนอ่านที่คาดหวังมากมาย อบไม่สามารถทรยศต่อความคาดหวังนั้นได้ค่ะ เพราะพวกเขาคือคนที่ทำให้นิยายของอบกำลังจะมีชีวิตขึ้นมา และการที่ทางทีมงานได้เจอตัวเลือกที่หลงมารอเพื่อนที่มาแคส ก็เป็นสิ่งที่ทำให้เราควรจะลองดู เพื่อให้เกียรติผู้เข้าคัดเลือกคนอื่นๆ ที่ตั้งใจเดินทางมา และให้โอกาสสำหรับบางคนที่เราเห็นแววว่าจะพัฒนาต่อยอดไปได้ ที่สำคัญพี่ๆ สื่ออาจจะยังไม่ทราบว่าเรามีการลงประชามติตามแนวทางประชาธิปไตยกับผู้เข้าคัดเลือกก่อนที่เราจะตัดสินใจด้วยค่ะ”


“คุณติณณ์ เล่าการลงประชามติให้ฟังหน่อยครับ”

“อันนี้เป็นข้อเสนอของคุณนายโปรดิวเซอร์ เพราะน้องๆ ที่มาแคสติ้งแสดงออกมาว่ารู้สึกไม่ดีกับทางเลือกที่เราให้ ซึ่งก็เป็นสิทธิ์อันพึงทำได้ของพวกเขานะครับ ทางเราเลยให้น้องๆ เลือกข้อเสนอ นั่นคือการให้บางคนผ่านเข้ารอบ และให้น้องคนที่เราขอให้เข้าร่วมแคสติ้งด้วย กับเปิดรับสมัครบทภามาสใหม่ และทำการแคสติ้งใหม่ในสัปดาห์หน้า ผลปรากฏว่าน้องส่วนใหญ่ก็เลือกช้อยส์แรกครับ”


“แบบนี้มันเหมือนมัดมือชกเลยนะคะ”

“จริงๆ น้องคนนั้นมีโอกาสครั้งเดียวเหมือนอีกหลายคนในห้อง และถ้าเขาทำไม่ดี เขาก็แค่กลับบ้าน ไม่เหมือนหลายคนที่ได้โอกาสรอบที่ 2 นะครับ ความเสี่ยงเท่ากัน แถมความเสี่ยงที่เขารับเมื่อวานมันมีเอฟเฟ็กต์มากมายจนผมต้องตั้งโต๊ะแถลงนี่ไงครับ”


“คุณติณณ์ เล่าการลงประชามติให้ฟังหน่อยครับ”

“อันนี้เป็นข้อเสนอของคุณนายโปรดิวเซอร์ เพราะน้องๆ ที่มาแคสติ้งแสดงออกมาว่ารู้สึกไม่ดีกับทางเลือกที่เราให้ ซึ่งก็เป็นสิทธิ์อันพึงทำได้ของพวกเขานะครับ ทางเราเลยให้น้องๆ เลือกข้อเสนอ นั่นคือการให้บางคนผ่านเข้ารอบ และให้น้องคนที่เราขอให้เข้าร่วมแคสติ้งด้วย กับเปิดรับสมัครบทภามาสใหม่ และทำการแคสติ้งใหม่ในสัปดาห์หน้า ผลปรากฏว่าน้องส่วนใหญ่ก็เลือกช้อยส์แรกครับ”


“แบบนี้มันเหมือนมัดมือชกเลยนะคะ”

“จริงๆ น้องคนนั้นมีโอกาสครั้งเดียวเหมือนอีกหลายคนในห้อง และถ้าเขาทำไม่ดี เขาก็แค่กลับบ้าน ไม่เหมือนหลายคนที่ได้โอกาสรอบที่ 2 นะครับ ความเสี่ยงเท่ากัน แถมความเสี่ยงที่เขารับเมื่อวานมันมีเอฟเฟ็กต์มากมายจนผมต้องตั้งโต๊ะแถลงนี่ไงครับ”

“ถามได้มั้ยคะ ทีมงานคนไหนไปเจอน้องคนนั้นคะ”

“.....”

พอมีคำถามนี้ความเงียบก็เกิดขึ้น ใจผมหล่นไปอยู่ตาตุ่ม เพราะคนๆ นั้นคือคุณดิมยังไงเล่า แต่ถ้าเขาตอบไม่รู้จะเกิดกระแสอะไรบ้าง รู้ๆ กันอยู่ว่ามีแต่คนเชียร์ให้คุณดิมคู่กับคนที่ชื่อพูลล์ ดาราคนนั้นที่ผมไม่มีอะไรไปเทียบได้ และคงตกรอบถ้าหากมีการโหวตเกิดขึ้น

“ผมเองครับ”

เชี่ยละ

เสียงคุณดิม!!

เสียงฮือฮาเกิดขึ้นหลังจากที่คุณดิมพูดไม่กี่คำ

“จริงๆ ผมอยากรับผิดชอบกับการกระทำของผม ที่ทำให้น้องเขาเดือนร้อนมากๆ เพราะผมคิดว่าวิธีนี้น่าจะเป็นทางออกเดียวที่จะทำให้ทีมงานสามารถทำงานต่อไปได้ ผมเข้าใจและเข้าใจและเห็นความตั้งใจในการทำงานของทีมงานทุกคนดี อีกอย่างผมได้พูดคุยกับน้องเขาสั้นๆ ก่อนหน้าจะเกิดเรื่องด้วย แต่หลังจากที่อ่านนิยายหลายๆ รอบทำให้ผมจินตนาการภามาสออกมาจากการได้พูดคุยกับเขาเพียงไม่กี่คำ แม้ว่าเขาจะแสดงไม่เก่ง แต่สายตาและการสื่ออารมณ์ไม่ธรรมดาเลยทีเดียว ลองไปถามคนที่ได้ดูการแคสติ้งของเขาเมื่อวานดูสิครับ และจะเชื่อว่าผมไม่ได้พูดเกินจริง”


“งั้นแบบนี้น้องคนนั้นก็จะกลายเป็นตัวจริงเลยหรือเปล่า เพราะทุกคนดูจะพอใจน้องเขานะครับ”

“ไม่ครับ ผมในฐานะผู้กำกับนะ ผมไม่ทำงานกับคนที่ทำงานไม่ได้ และทำให้การทำงานช้าเพียงเพราะไม่มีสกิลและไม่พัฒนาตัวเอง เขาเหมาะแค่ไหนแต่ถ้าทำออกมาได้ไม่ดีตามมาตรฐานของงาน คนที่พร้อมกว่าก็ต้องได้ไป”


“วันนี้เราจะได้เจอน้องเขามั้ยคะ”

“เอาไว้วันประกาศตัวละครอย่างเป็นทางการนะครับ”

เสียงเสียดายดังมาจากพี่ๆ นักข่าวทุกสำนักที่หวังมาเอาจุดไคลแม็กซ์นั่นคือการปรากฏตัวของผู้เข้าคัดเลือกคนที่เป็นประเด็น แต่เหมือนต้องกลับไปแบบที่ได้ข่าวเหมือนๆ กันทุกสำนัก ผิดโผลหน่อยก็ตรงที่พระเอกคุณหมอมาร่วมโต๊ะแถลงข่าว แถมยังเป็นคนไปทาบทามน้องคนนั้นมาเองอีกด้วย แค่นี้ก็เขียนข่าวแซ่บกระพือไปไกลแล้ว



“แต่ถ้าเขาได้เป็นตัวจริง พี่ๆ จะได้เห็นความน่ารักของเขาเหมือนที่ผมเห็นครับ”



จู่ๆ ว่าที่พระเอกก็พูดใส่ไมค์พร้อมยิ้มที่มุมปากเล็กน้อย คล้ายอาการเขิน  เสียงวี๊ดว้ายจากนักข่าวสาวที่มีจำนวนเยอะกว่าผู้ชายในห้องนี้ เกินอาการคล้ายๆ สิ่งที่เรียกว่า “ฟิน” และ “แหม” กับสิ่งที่คุณหมอกล่าวอ้างถึงน้องศิรัส ที่ตอนนี้หมดข้อครหาว่าเป็นเด็กเส้น



แต่เป็นเด็กหมอแทน



ตอนแรกที่ว่าจะได้กลับไปแค่คำแถลงข่าว แต่นี่มีประเด็นเผ็ดๆ ไปโหมข่าวได้เป็นอาทิตย์ คุณหมอร้ายไม่เบานะ
ศิรัสนั่งบีบมือตัวเองเข้ากับมือของเฌอด้วยหัวใจที่เต้นคนละจังหวะกับก่อนจะมีการแถลงข่าว
   
“แต่ถ้าเขาได้เป็นตัวจริง พี่ๆ จะได้เห็นความน่ารักของเขาเหมือนที่ผมเห็นครับ”

ทำไมคุณดิมพูดแบบนั้นออกไป ไม่กลัวคนอื่นเขาจะเข้าใจผิดหรือไง ไหนจะโดนเขียนข่าวไม่ดีอีกแน่ๆ ไม่ใช่แค่ผมที่โดนคนเดียวแต่เขาที่ไม่เคยมีข่าวไม่ดีอาจจะต้องโดนไปด้วย ทั้งยอมรับเองว่าเป็นคนเสนอให้ผมเข้าไปแคส แถมยังมาพูดแบบนี้ออกสื่ออีก หาเรื่องเดือดร้อนเข้าตัวเองทั้งนั้น โคตรบ้า

แต่ปฏิเสธไม่ได้ไม่ใช่หรือไง ว่ามันทำให้ใจผมสั่น สั่นกว่าตอนกินกาแฟเซเว่นปั่นวิจัยข้ามคืนซะอีก ไม่เคยคิดว่าการได้กลับมาเจอเขาอีกครั้งจะเกิดความรู้สึกแบบนี้ ความรู้สึกที่อยากเข้าใกล้ เข้าไปทำความรู้สึก อยากให้รู้ว่าเขาเปลี่ยนชีวิตผมยังไง ทั้งที่เมื่อวานไม่อยากเจอแล้ว แต่นั่นแหละใจมันเหลวเพราะประโยคเดียว บ้าไม่บ้า และถ้านี่เป็นสิ่งที่เขาอยากชดเชยที่ทำให้ผมต้องผจญกับเรื่องราวที่ผ่านมาตลอดวัน


ผมว่ามันน่าจะเพียงพอที่ผมจะยกโทษให้


ก็ได้...


._.




ใจง่ายว่ะ







หลังจากทีมงานส่งนักข่าวกลับจากห้องหมดแล้ว ก็บอกให้ผมและเพื่อนเดินไปที่ห้องประชุมอีกครั้ง แต่วันนี้ดีใจชะมัดที่ไม่ต้องไปทำหน้าตาประหม่าที่ดูประหลาด เพราะขี้เหร่เป็นทุนเดิม (แม้คุณดิมจะชมว่าน่ารักให้ตัวลอย) แต่ความจริงเป็นยังไงก็เห็นๆ อยู่นี่นา ใครจะมั่นใจกับคำชมจากคนหล่อมากๆ เพียงครั้งเดียว นอกจากบินตรงไปอินชอนต่อรถไปโซลและศัลยกรรมที่คลีนิกย่านกังนัม ใช่มะ

“น้องศิ นั่งก่อนสิคะ”

เปิดประตูไปก็เจอผู้ใหญ่ที่นั่งแถลงข่าวเมื่อครู่พร้อมหน้าพร้อมตา นี่ไม่ต่างอะไรกับเมื่อวานเลยไม่ใช่หรอ เหมือนเข้าห้องปกครองเลยอะ

“เราโอเคหรือเปล่ากับคำแถลง” คุณติณณ์ถามขึ้นเองเลยหรอเนี่ย ตามหลักแล้วมันคือว่าเป็นการให้เกียรติมากกว่าให้ตัวแทนอย่างคุณพิภพพูดอีกนะ

“อ่า ครับ ขอบคุณที่วันนี้ให้ผมรอข้างหลังนะครับ”

“ฮ่าๆๆ ทำไมล่ะกลัวหรอ”

“ครับ กลัวว่าจะทำให้ทุกคนเดือดร้อน”

“พวกเราสิทำให้เธอเดือดร้อน ขอโทษด้วยนะ ผ่านวันนี้ไปได้ก็ไม่ต้องกลัวอะไรแล้ว”

“ครับคุณติณณ์ ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้ผู้ใหญ่ที่ให้เกียรติผมมากขนาดนี้

พอหันไปมองเพื่อนสามคนที่นั่งถัดไปอย่างโล่งใจ แม้จะยังกังวลกับกระแสข่าวที่จะออกไปจากวันนี้ว่ามันจะหักลบกลบข่าวเมื่อเช้าได้ไหม แต่ก็ชื่นใจไปเปราะที่อย่างน้อยผู้ใหญ่ทุกคนก็ให้เกียรติและเห็นความสำคัญของเด็กธรรมดาๆ คนนึงมากขนาดนี้ มองไปที่ทุกคนส่งแต่สายตาเอ็นดูปกเห็นใจมาให้ อยากขอบคุณจริงๆ ที่ไม่ให้ผมขึ้นไปปรากฏตัว

“ขออนุญาตนะคะคุณติณณ์” สาวสวย หุ่นเพรียว กับผมสีดำขลับ ท่าทางมั่นใจในตัวเองสูง เดินเข้ามาในห้องประชุมประตูไหนไม่รู้เพราะที่นี่มีหลายประตูเหลือเกิน ก่อนจะเข้ามานั่งตรงข้ามผม ฝั่งที่คุณดิมนั่งเยื้องไปอีกสองช่วงเก้าอี้

“เชิญเลยใบชา ถ้าอย่างนั้นขอตัวนะ ทุกคนเชิญที่ห้องทานข้าวเลยนะครับ” ผู้ใหญ่คนอื่นๆ ทยอยเดินออกจากหลังประชุม ผมและเพื่อน รวมถึงคุณดิมยกมือไหว้ตามกาลเทศะ




“พี่ใบชาจากฝ่ายวางแผนการตลาดนะคะ คืออย่างนี้พวกพี่กำลังคิดว่า น่าจะมีกระแสเรื่องคำพูดของคุณหมอดิมก่อนจบแถลงข่าว ก็เลยอยากจะเดินหมากมาร์เก็ตติ้งรุดหน้าไปเลย”

ผมและคุณดิมเผลอหันมาสบตากันอย่างกับรู้ว่าคงจะเกี่ยวกับเราแน่ๆ

“ก็เลยอยากให้น้องศิและคุณหมอดิม สองคนทำตัวสนิทสนนกันเข้าไว้น่ะค่ะ เราทำซีรี่ย์ชายชาย ฉะนั้นถ้าสร้างโมเมนต์ให้คนจิ้นตามคำพูดของคุณหมอได้ เราก็น่าชิงพื้นที่สื่อในเรื่องนี้แทนเรื่องไม่ดีได้นะคะ”
“เพราะคนจะไปสนใจกับความสัมพันธ์ของคุณดิมกับน้องศิมากกว่าข่าวเด็กเส้นที่ไม่เป็นความจริง”

“ผมโอเคถ้ามันจะช่วยได้”

เฮ้ย ไม่ถามความเห็นผมก่อนหรือไง จู่ๆ ก็จะให้ไปสนิทสนมกัน แล้วมันต้องเบอร์ไหนถึงจะเรียกว่าดูสนิท ยังไม่พร้อมที่จะต้องสนิทกับคุณดิมเพราะแค่นี้ก็ใจไม่อยู่กับร่องกับรอยเท่าไหร่แล้ว ฮือออ

“เอาอย่างนี้นะคะน้องศิ วันนี้ให้คุณหมอดิมไปส่งดีมั้ยคะ แล้วก็อัพสตอรี่ไอจีให้เห็นวับๆ แวบๆ ว่ามีใครบางคนไปส่ง ทำนองนี้”

“คือผมไม่เล่นไอจีอะครับ”

“งั้นต้องคุณหมอดิมแล้วค่ะ” พี่ใบชาพยักเพยิดไปที่คุณดิมที่ยังนั่งชั่งใจกับคำขอในการโปรโมท แม้เราจะยังไม่ได้เป็นตัวจริงทั้งคู่ แต่เป็นแผนการตลาดที่คาดเดาได้ว่าผลตอบรับจากสาววายที่ชอบโมเมนต์เปิดนิดปิดหน่อย ให้ได้จิ้นไปเองจะโหมกระแสได้แค่ไหน

“ได้ครับ"
“งั้นผมขอตัวกลับเลยได้มั้ยครับ พอดีต้องกลับไปเขียนเคสรายงานผ่าตัด”

“ทางทีมงานไม่มีอะไรแล้วค่ะ เชิญทุกคนกลับได้ตามสะดวก แต่ใช้ลิฟท์ข้างหลังนะคะ เผื่อนักข่าวยังอยู่แถวนี้” ทีมประสานงานพูดขึ้น

“เดี๋ยวนะคะ ใบชาว่ากลับทางปกติดีกว่าค่ะ เผื่อนักข่าวเขาอยากรู้ว่าน้องศิน่ารักแบบที่คุณดิมบอกมั้ย แล้วน่ารักขนาดที่ว่าคุณหมอดิมจะต้องไปส่งเลยหรอ” พี่ใบชาใช้สายตาเปล่งประกรายและน้ำเสียงที่ตื่นเต้นกับสิ่งนี้ เหมือนเห็นโอกาสให้งานที่เธอวางแผนจะบรรลุผลโดยเร็ววัน


เดี๋ยวก๊อนนนนนนนนนน ทำไมไม่มีใครถามความคิดเห็นผมเลยอะ

โอ้ยยยยยยยยยยย

ผมชักจะกลัวพี่ใบชากับการวางแผนตลอดเวลาของพี่เขาแล้วล่ะสิ


แล้วใครซวย


ผมไงงงงงงงงงงงงงงง


หัวใจอย่าเพิ่งวายตายไปก่อนนะ






ER* เป็นคำย่อที่มาจากคำว่า Emergency room ซึ่งแปลว่า “ห้องปัจจุบัน” แต่พยาบาลบางแห่งก็เรียกตามภาษาที่นิยมใช้กันในโรงพยาบาลทั่วไปว่า “ห้องฉุกเฉิน”  สามารถให้บริการแก่ผู้ป่วยฉุกเฉินได้ในทันที ไม่ว่าจะเป็นอาการป่วยฉุกเฉินจากปัญหาสุขภาพ เช่น หัวใจวาย ไตวาย หรืออุบัติเหตุ รวมถึงการตรวจโรคแบบเร่งด่วน ที่ต้องการทราบผลอย่างรวดเร็วด้วย นอกจากนี้ ที่พึงจำไว้เลยก็คือ การเข้ารับการรักษาในห้องฉุกเฉิน ไม่จำเป็นต้องรอยื่นบัตรหรือรอคิว สามารถพาผู้ป่วยเข้าไปทำการตรวจรักษาได้ทันที แต่ต้องเป็นในกรณีที่ฉุกเฉินจริงๆ เท่านั้น


ข้อมูลจาก https://www.alwaysguru.com/er-opd/












------To be Continued------



 


อยู่ก็กลายเป็นเด็กหมอเฉยเลย555555555555

ไม่ต้องงงนะลูกเดี๋ยวมันจะยิ่งกว่าเป็นเด็กหมออีก

หุหุ

เพราะจะได้เปงเมียคูมหมอ แงงๆๆ

ฝากคอมเม้นต์ด้วยนะคะ



บี



เยิ้บ

 :o8:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-08-2018 23:00:56 โดย mifengbee »

ออฟไลน์ biibbmnt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
 :katai5: :katai5: :katai5:

รอออออออออออออ

ออฟไลน์ donut4top

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 396
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
เนื้อเรื่องน่าติดตามมากค่ะ แต่อยากให้ชัดเจนในการเล่าเรื่องว่าจะเป็นสรรพนามบุรุษที่ 1 หรือ 3 กันแน่

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
ขอบคุณสำหรับคำแนะนำนะคะ จะปรับปรุงค่ะ ฝากติดตามต่อไปด้วยน้าาา



เนื้อเรื่องน่าติดตามมากค่ะ แต่อยากให้ชัดเจนในการเล่าเรื่องว่าจะเป็นสรรพนามบุรุษที่ 1 หรือ 3 กันแน่

ออฟไลน์ คุณซี

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 205
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
น้องน่ารักๆๆ อยากได้น้องศิเป็นของตัวเอง เมฆก็ดูงานดี พี่ดิมก็โอเคอยากจะเก็บเธอไว้ให้หมด

ออฟไลน์ vivierav

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
ตามมาจากทวิต เป็นกำลังใจให้น้าาาาา รีบมาต่อเบยยยยยยย

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ
EP.03 เสื้อกินมือ
[/size]

I don't cry for yesterday there’s an ordinary world




บรรยากาศภายในรถ BMW 4Series Coupe มีเพียงเสียงเพลงเปิดคลอจากวิทยุคลื่นสากลที่เล่นออโตเมติกตั้งแต่ออกสตาร์ท สงสัยเป็นความถี่ที่สารถีเขาชอบล่ะมั้ง ตั้งแต่เรานั่งบนพาหนะสี่ล้อคันนี้มาได้สักพัก ความเงียบที่ปกคลุมระหว่างเรายังไม่เจือจาง ไร้ประโยคการพูดคุยและสอบถาม ไม่มีใครเอ่ยปากแม้จะรู้สึกอึดอัดกับการกระทำที่ประดักประเดิดเช่นนี้พอตัว หากแต่เพื่องานก็อาจจะดีกับอนาคตที่เราทั้งคู่ก็ไม่แน่ใจว่าต้องทำแบบนี้ต่ออีกหรือไม่ เพราะไม่มีใครรู้ว่าทั้งผมและคุณดิมจะได้เป็นตัวจริงของซีรีส์เรื่องนี้เหมือนที่ผู้ใหญ่คาดหวังหรือเปล่า

ตอนออกจากห้องประชุม เมฆ อาโป และเฌอ ต่างก็เข้าใจวิธีการในการทำงานแบบมืออาชีพของที่นี่ดี คร้านผมจะไม่อยากทำตามเพราะไม่สนิทกับคุณดิมถึงขนาดนั่งรถไปกับเขาแค่สองคน แต่นั่นก็ดูจะเป็นกริยาที่เด็กกว่าอายุ เพราะในเมื่อตัวเองตัดสินใจจะทำงานก็ควรทำอย่างเต็มที่ตามศักยภาพ ซึ่งสิ่งสำคัญของคนทำงาน นั่นคือ การมีความรับผิดชอบต่อหน้าที่เป็นสิ่งแรกที่พึงมี แม้จะขัดต่อแรงต้านในใจตามที

“But you only need the light when it’s burning low
Only miss the sun when it starts to snow
Only know you love her when you let her go
Only know you’ve been high wh……”

“.....”

เสียงฮัมเพลงจากสารถีสำเนียงบริชติชที่ผมคิดมาตลอดว่าผู้ชายพูดภาษาอังกฤษสำเนียงฟังยากนี้เท่ที่สุด และดูคูลแม้จะไม่ต้องทำอะไรเลย คนข้างๆ นี่เขาจะเพอร์เฟ็คต์แมนไปแล้ว ลอบสังเกตว่าเขาขยับนิ้วชี้เคาะพวงมาลัยตั้งแต่เมโลดี้เพลงดังขึ้น แม้เสียงจะไม่ได้ดังมากเหมือนการขยับลูกคอเบาๆ ตามจังหวะเพลงมากกว่าร้องออกมา แต่นั่นทำให้ต้องเหลียวไปมองเขานิดนึงแม้ตั้งแต่นั่งรถมาเราจะยังไม่ได้มองหน้ากันเลยก็ตาม

“อะ ขอโทษที”

“ไม่เป็นไรครับ ก็รถคุณ”

“แต่ตอนนี้ไม่ได้มีแค่ผม”

“เอ่อ..คุณชอบเพลงนี้หรอครับ”

อาจจะเป็นจังหวะที่ดีที่เราควรสนทนากันบ้าง คงดีกว่านั่งเกร็งทั้งคนขับและคนอาศัยติดสอยห้อยตาม และถ้าผมต้องพูดแค่ประโยคขอบคุณตอนถึงที่หมาย มันคงจะกระอักระอ่วนกันไปกันใหญ่

“ก็ความหมายดีนะ เห็นคุณค่าของสิ่งที่มีคุณค่าตอนเสียมันไปแล้ว”

“....”

“แล้วเธอชอบฟังเพลงแนวไหนล่ะ” ไม่คิดว่าเขาจะถามผมกลับ เตรียมคำตอบไม่ทันเลย

“อ่ะ อ่อ จริงๆ ก็ไม่ได้ชอบเพลงแนวไหนเป็นพิเศษ ฟังตามๆ เขากับเวลาที่ยูทูบรันไปเรื่อยครับ ศิลปินไทยเดี๋ยวนี้ก็ฟังเดอะทอยครับผมว่าเค้าเจ๋งดี”

“เดอะทอยหรอ เดี๋ยวผมจะไปลองหาฟังบ้างนะ”

“อ่า ครับ”



เปาะ แปะ เปาะ แปะ

เม็ดฝนตกกระทบกระจกหน้ารถ จากเม็ดเล็กบางก็ค่อยกลายเป็นเม็ดหนาอวบอ้วน แผ่กระจายให้กระจกรถราคาแพงชุ่มช่ำด้วยสายธาราจากน้ำฝน เสียงเพลงที่จากเดิมไม่ดังตอนนี้โดนเสียงฝนกลบจนมิด คิดไว้ไม่ผิดว่าฝนจะตก เพราะเมฆตั้งเค้าตั้งแต่บ่าย และก็มาตกตอนเย็นขณะที่ทุกคนกำลังจะกลับบ้านทุกที จากตอนแรกที่รถติดอยู่แล้ว นาทีนี้คงติดกว่าเดิมจากสายฝนกระหน่ำลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตา

“เธอรีบหรือเปล่า ผมว่าฝนตกแบบนี้คงอีกนานกว่าจะถึง”

“ไม่ครับ ผมมีแค่การบ้านนิดหน่อย แต่คุณดิมน่ะสิ ต้องกลับไปทำงานต่อใช่มั้ย ส่งผมที่รถไฟฟ้าสถานีข้างหน้านี้ก็ได้นะครับ คุณดิมจะได้รีบไป”

“ไม่ด่วนหรอก เดี๋ยวผมไปส่งเธอก่อน ฝนตกแบบนี้จะไปเองได้หรอ เอาร่มมาหรือไง”

“อ่า...ไม่ได้เอามาครับ”

“งั้นก็คงต้องทนอยู่บนรถด้วยกันไปก่อน”



หลังจากได้ยินประโยคนี้ก็เลยเบนหน้ามองนอกหน้าต่าง อากาศเย็นขึ้นจากอุณหภูมิที่ลดลง สายฝนยังคงสาดกระเซ็นลงบนพื้นถนน ผู้คนริมทางจราจรต่างหลบสายน้ำก่อนจะเปียกปอน แม้จะพยายามหาสิ่งอื่นเหนี่ยวนำความคิดจากประโยคที่เขาพูดแต่มันไม่ได้ผลเลย

ทนหรอ...ใช่สินะ เป็นเขาต้องอดทนกระอักกระอ่วนใจที่ต้องมาให้คนแปลกหน้าอย่างผมอยู่บนรถ ทั้งที่ตำแหน่งนี้น่าจะเป็นคนในครอบครับหรือไม่ก็แฟน...มากกว่า

จะต้องแปลกใจอะไร ก็เราไม่ได้สนิทกันขนาดนั้น

กว่าหนึ่งชั่วโมงที่บทสนทนาเกิดขึ้นประปราย เช่น

“เธอหนาวหรือเปล่า ลดแอร์ได้นะ”

“หิวไหม มีแซนวิชอยู่ข้างหลังหยิบได้เลย”

เหมือนเขาจะพยายามชวนคุยไม่ให้ผมเบื่อ แต่มันก็เป็นคำถามที่ตอบสั้นๆ และผมเองก็ยังเก็บประโยคนั้นมาคิดอยู่ เลยไม่อยากรบกวนเขามากไปกว่านี้

กระทั่ง เจอคำถามนี้

“เธอเป็นอะไรหรือเปล่า”

“ก็ไม่นี่ครับ แค่หนาวนิดหน่อย”

“ผมหมายถึงเธอไม่พอใจอะไร”

“ก็..ก็เปล่านี่ครับ มีเรื่องอะไรที่ผมจะต้องไม่พอใจ”

“ผมรู้ว่ามันอึดอัดนะ แต่ทนหน่อยแล้วกัน เลยแยกไฟแดงนี้ไปคงไม่ติดแล้ว จะได้ไม่ต้องถอนหายใจใส่เหมือนรู้สึกแย่อีก”

“เฮ้ย ผมเปล่านะ...ครับ”  ผมไปถอนหายใจใส่เขาเมื่อไหร่กัน ยังไม่ทันได้ทำอะไรเลย ก็แค่เขาถามมาผมก็ตอบ แต่แค่ไม่ได้ถามกลับเท่านั้น มันก็ไม่ได้ผิดปกติเพราะเราก็ไม่ได้สนิทกันจนต้องพูดคุยตลอดเวลาหรือสรรหาเรื่องให้ได้คุยสร้างบรรยากาศเสียหน่อย เรื่องถอนหายใจก็ด้วย ก็รถมันติดไม่ขยับเลยก็ต้องมีหงุดหงิดกันบ้างสิ

“รถมันติดนี่ครับ ก็ต้องมีบ้าง แต่ไม่ได้ถอนหายใจใส่คุณดิมเลยซักนิด จริงๆ นะ” ผมพยายามอธิบายด้วยท่าทีจริงจังและซีเรียสสุดๆ เลย

“โอเคๆ ก็ไม่ต้องนั่งมองข้างทางทำทีว่ามันน่าสนใจขนาดนั้น เพราะผมจะคิดเอาเองได้ว่าเธอกำลังหันหลังให้ และมันเป็นท่าทีที่แสดงออกว่าไม่พอใจ” ผมลืมไปว่านี่ผมกำลังคุยกับคุณหมอ การแสดงอากัปกริยาของผมไม่ได้ยากเกินที่คุณหมอจะคาดเดาได้ว่าผมรู้สึกอย่างไร คงคล้ายกับการวินิจฉัยโรคบางอย่างที่ไม่ต้องซักถาม แค่สังเกตจากอาการ

“ครับ ผมขอโทษ” แต่ครั้งนี้ผมก็คงทำผิดจริงๆ ทั้งที่เขาก็เป็นผู้ใหญ่กว่าตั้งหลายปี ยังแสดงอาการที่เสมือนไม่มีสัมมาคารวะ ทำได้ยังไงหันหลังให้เจ้าของรถที่กำลังขับรถให้ผมนั่ง บอกตัวเองจะเป็นผู้ใหญ่แค่นี้ยังไม่ผ่านเลย

“จะยอมรับคำขอโทษ ถ้าเธอจะแวะกินข้าวกับผมสักเดี๋ยว”

“เอ่อ เดี๋ยวนะครับ ผม”

“เพราะเธอเล่นกินแซนวิชผมหมดแล้วนี่ จะให้ผมหิ้วท้องกลับโรงพยาบาลหรือไง”

“อ้าว ก็คุณดิมบอกว่ากินได้นี่” ผมก้มหน้างุดกับอกเสียงที่เปล่งออกมาแทบจะน้อยนิดเพราะว่ากินของเขาหมดจริงๆ แบบไม่เผื่อแผ่ หิวครับ ก็จะทุ่มแล้วยังไม่ได้กินอะไรเลย

“ซอยข้างหน้ามีร้านอาหารญี่ปุ่น เธอกินได้มั้ย”

“ครับ อะไรก็ได้” ยังจะกล้าถามอีกทั้งๆ ที่ตัวเองเลี้ยวรถเข้ามาแล้วแท้ๆ ทำอะไรรวดเร็วแบบนี้ตลอดเลยหรือไง คนคูล 4.0





คุณหมอวนหาที่จอดแต่เหมือนว่าจะมีรถ CRV จอดคล่อมเลนอยู่ที่หนึ่งทำให้คุณหมอไม่มีที่จอด ซึ่งนั่นหมายถึงว่าเราอาจจะต้องรอจนกว่าจะมีพนักงานมาเห็น ซึ่งเป็นไปได้ยากเพราะไม่มีใครยืนนอกร้านเลยเพราะฝนตกหนักมาก

“เดี๋ยวผมไปบอกพนักงานให้ คุณดิมรอแป๊บนึงนะครับ”

“เห้ย เดี๋ยว!!”

เสียงคุณหมอเรียกผมไว้แต่ไม่ทันแล้วแหละครับ เพราะตอนนี้ผมวิ่งฝ่าเม็ดฝนขนาดใหญ่เพราะมันกระแทกผ่านเสื้อนิสิตตัวบางโดนผิวเนื้อจนรู้สึกแสบไปหมด ขนาดระยะทางไม่กี่เมตรแต่ผมรู้สึกได้ว่าตอนนี้ตัวเองเปียกไปครึ่งตัวแล้ว พอผลักประตูร้านเข้าไป พนักงานและลูกค้าหลายคนที่กำลังรับประทานอาหารอยู่ก็หันมองผมด้วยสายตาประหลาดปนตกใจ ผมคิดไม่ออกเลยว่าหน้าตาที่ขี้เหร่อยู่แล้วตอนเปียกฝนมันจะยิ่งดูไม่ได้ขนาดไหน

แค่เงยหน้าน้ำจากไรผมก็หยดติ๋งๆๆ คงขี้เหร่สุดๆ เลยว่ะศิ

“เดี๋ยวเอาผ้าเช็ดตัวมาให้นะคะคุณลูกค้า เชิญยืนตรงนี้ก่อนค่ะ พอดีตรงนั้นมีปลั๊กไฟ”
อยู่ รถเพื่อนผมจอดไม่ได้ ยังไงรบกวนหน่อยนะครับ”

“อ่อ ค่ะ พี่กอล์ฟๆ ไปดูรถให้ลูกค้าหน่อย เขาจอดรถไม่ได้ ให้เขาเข้าไปจอดที่โรงจอดรถพนักงานก็ได้”

“ครับ ผู้จัดการ”

พนักงานที่นั่งอยู่ริมประตูร้าน กระวีกระวาดคว้าร่มขนาดใหญ่ก่อนจะออกไปโบกรถ ผมมองผ่านนอกหน้าม่านแบบญี่ปุ่นทะลุกระจกออกไป รถบีเอ็มสีดำขลับกำลังเคลื่อนเข้าที่จอดรถพนักงานของร้านที่ว่างหนึ่งที่พอดี

 แอร์ในร้านก็เย็นผมเริ่มสั่น พยายามเอาส่วนที่แห้งของเสื้อนิสิตเช็ดหน้า เพราะน้ำจากปลายผมหยดลงกรอบหน้าให้นึกรำคาญ

 “คุณลูกค้าใช้ทิชชู่ไปก่อนนะคะ สงสัยเด็กในร้านจะหาผ้าขนหนูใหม่ไม่เจอ เดี๋ยวดิฉันไปดูให้ค่ะ”

 “ขอบคุณครับ”

   



กริ๊ง

เสียงประตูหน้าร้านเปิดขึ้นพร้อมกับร่างสูงใหญ่ของสารถีที่หาที่จอดรถได้แล้ว เสื้อเชิ้ตอาร์มานี่สีกรมท่ามีหยดน้ำฝนหยดใส่ประปราย ไม่ได้เปียกปอนเหมือนผม ไงล่ะคนดีจิตอาสา เหมือนลูกหมาตกน้ำไม่มีผิด

“อะ เช็ดตัวซะเดี๋ยวไม่สบาย”

ผ้าขนหนูสีเข้มกว่าเสื้อเชิ้ตของร่างสูงถูกยื่นให้ผม อย่างที่รับมางงๆ เขาหยิบมาด้วยหรอ คนอะไรจะมีผ้าขนหนูติดรถ ถ้าไม่ค่อยไม่กลับบ้านไปนอน อ้อ ลืมว่าเขาเป็นหมออาชีพนี้คงนอนน้อยเป็นปกติ

“ขอบคุณครับ” ผมรับอย่างเกรงใจ เพราะไม่รู้ว่าถ้าใช้ของเขาแล้วเขาจะมีใช้ตอนจำเป็นหรือเปล่า ถ้าคืนนี้เขาอยู่เวรแล้วอยากอาบน้ำขึ้นมา

 “เอาไปเถอะน่า ยังไม่ได้ใช้ ซักแล้ว สะอาด”

“ไม่ได้หมายความว่ากลัวสกปรกซะหน่อย” ผมยู่ปากพูดเบาๆ กับตัวเอง คุณหมอเนี่ยเข้าใจผมผิดอีกแล้ว

ร่างสูงทอดสายตาหาโต๊ะว่างก่อนจะเดินไปนั่งมุมหนึ่งของร้านฝั่งติดกระจก น้ำฝนยังคงไหลบ่าต่อเนื่องไม่คิดว่าจะหยุดเสียเลย พายุคงเข้าแน่ๆ

“ใครใช้ให้วิ่งฝ่าฝนออกไปแบบนั้น” ขณะที่กำลังเช็ดผมที่เริ่มหมาด คำถามเสียงดุจากผู้ชายตรงหน้าก็ถามขึ้น

 “อ่า ก็ถ้าไม่ทำแบบนี้ คุณดิมก็หาที่จอดไม่ได้สักที”

 “ก็ไปหาร้านใหม่ก็ได้นี่ ไม่เห็นต้องลงทุนวิ่งตากฝนแบบนี้ เธอไม่สบายขึ้นมาจะทำยังไง”

 “ก็กินยาสิครับ ใครๆ ก็รู้”

 “.....” คุณหมอนั่งกอดอกและหันไปมองนอกหน้าต่างกับอาการเถียงคำไม่ตกฟากจากเด็กที่ห่างจากเขาเกือบ10ปี

 “ขอโทษครับ” ผมยกมือไหว้คนตรงหน้าอย่างลืมตัวที่ใช้น้ำเสียงแบบนั้นตอบคนโตกว่าตรงหน้าไป

 “เรื่อง” เสียงดุกว่าเดิมตอบกลับมา จากที่เคยกล้าดีตอนนี้เริ่มสลด คนตรงหน้าคงจะถามอย่างเป็นห่วง เพราะอาชีพที่ต้องดูแลรักษาคนไข้ทุกวัน การที่มีคนไข้เพิ่มแปลว่าเพิ่มงานให้บุคคลากรทางการแพทย์ ทั้งที่อาการป่วยจะไม่เกิดถ้าไม่ดันทุรังเอง

 “ก็ที่พูดไม่ดีกับคุณที่เป็นผู้ใหญ่กว่า”

 “ผมไม่ได้ถือเรื่องพวกนั้น แต่สิ่งที่เธอกำลังทำอยู่ มันคืออาการของคนที่ไม่รักตัวเอง เธออาจจะเป็นหวัดเพราะตากฝน แต่ผมจะรู้ได้ยังไงว่าจะไม่เป็นโรคอื่นๆ อีก หลายคนตายเพราะแค่เป็นหวัดมานักต่อนักเพราะโรคแทรกซ้อน” คุณหมอพูดประโยคยาวโดยที่แทบไม่หายใจ ด้วยน้ำเสียงและสายตาที่เอาจริงเอาจัง เหมือนโดนป๊าดุตอนออกไปเล่นน้ำฝนเมื่อผมเด็กๆ

 “ผมไม่มีโรคประจำตัวครับ ปกติแข็งแรงดี ไม่ค่อยป่วย เดี๋ยวกลับคอนโดแล้วจะกินยาก่อนนอนนะครับ”

 “เอาเถอะ ทีหลังก็อย่าเอาตัวเองไปเสี่ยงอะไรถ้าไม่จำเป็น”
 “ขอเมนูด้วยครับ” ก่อนพูดจบคุณหมอมองย้ำผมอีกทีแต่สายตาไม่ดุเท่าเดิมหลังจากที่ผมรับปากไป

เฮ้อ นี่หรอผู้ชายที่คิดว่าวันนึงอยากอยู่ใกล้ ขนาดวันนี้ได้มากินข้าวด้วยกัน ความตื่นเต้นหายหมด และอยากจะหดหัวเข้ากระดอง ไม่คิดว่าเขาจะดุขนาดนี้นี่นา เห็นเงียบๆ ไม่ค่อยพูด แต่พอได้พูดก็จัดชุดใหญ่ไฟหอไอเฟลเลยนะ โดยเฉพาะไอ้คำที่พ่นๆๆๆ เหมือนท่อนแร๊พพี่กอล์ฟ ฟัคกิ้งฮีโร่อะ จ๋อยก่อนกินข้าวไปสิมึงไอ้ศิ คิดถึงเสียงด่าของเฌอขึ้นมาเลย คำหยาบยังไม่เจ็บเท่าพูดความจริง แงง

ผมสั่งอูด้งหมูน้ำซุปมิโซะ กับกุ้งเทมปุระ และชาเขียวร้อน ส่วนคุณหมอสั่งข้าวแกงกระหรี่หมูทงคัตสึ กับไข่ออนเซ็น และซูชิแซลม่อนโรลอีกถาดใหญ่ ชาเขียวเย็น อากาศแบบนี้ยังสั่งน้ำเย็น คุณหมอต้องเป็นสัตว์เลือดเย็นแน่ๆ อยู่ในน้ำลึกได้โดยไม่เป็นอะไร ใช่ เพราะเขาคือปลาหมึกไง!  ขนาดอยู่ในรถยังเปิดแอร์ซะเย็นเฉียบถึงกระดูก ถ้าผมไม่บอกว่าหนาวขอลดแอร์เขาก็คงนั่งได้สบายๆ แบบไม่ทุกข์ร้อน

 “หนาวหรือไง ทำไมปากสั่นขนาดนั้น”

“ครับ เสื้อมันยังไม่แห้ง” ผมพูดพร้อมกระชับผ้าขนหนูผืนขนาด 2 ฟุตพันรอบคอ แต่มันไม่ค่อยช่วยอะไรเพราะผ้าก็ชื้นหลังจากใช้ซับน้ำจากเส้นผม

อยู่ๆ คุณหมอก็ลุกออกจากโต๊ะผมได้แต่มองตามงงๆ ว่าลุกไปไหน อาจจะไปเข้าห้องน้ำล่ะมั้ง

ไลน์กรุ๊ปเด้งตลอดเวลาถามว่าผมถึงหรือยังเป็นระยะ ผมก็ตอบบ้างไม่ตอบบ้าง ไม่อยากจับมือถือบ่อยใจมันเตรียมจะกดเข้าเกมตลอด ไม่อยากเล่นตอนอยู่กับคุณดิมเดี๋ยวเสียมารยาท เขาขับรถเหนื่อยๆ ผมนั่งเล่นเกมสบาย เอาจริงนอกจากเกรงใจก็กลัวหัวร้อนแล้วด่าคนในเกมออกมามากกว่า เพราะมันจะดูสถุนถ่อยโคตรๆ เพราะแต่ละคำพ่อขุนรามต้องหลั่งน้ำตาเป็นแน่

พอเฌอถามถึงแก้วิจัยบทแรก ผมก็เครียดขึ้นมา เพราะยังไม่ได้เริ่มแก้เลยตั้งแต่ส่งไปครั้งที่แล้ว ว่าจะแก้เมื่อวานก็ดันเจอมรสุมชีวิตทำเอานอนไม่หลับตลอดคืน ชีวิตช่วงนี้มันก็จะพีคๆ หน่อย

“อะ”

ผมเงยหน้าจากมือถือที่ก้มตั้งแต่ร่างสูงใหญ่เดินไป ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาเดินกลับมานั่งตรงหน้าเมื่อไหร่

 “เสื้อ ผมให้พนักงานไปเอาจากรถมาให้ ใส่สิจะได้ไม่หนาว”

ผมรับเสื้อแขนยาวมีฮู้ดสีเทายี่ห้อดังจากสุพรีมมา ก่อนจะเอ่ยคำขอบคุณที่เขาเมตตาผมขนาดนี้ คงกลัวผมจะป่วยตายไปจริงๆ

กำลังจะสวมเสื้อราคาแพงให้ตัวเองเพราะหนาวสุดๆ
 
“เดี๋ยว จะใส่ทั้งที่มีเสื้อเปียกๆ อยู่แบบนี้ได้ไง ไปถอดเสื้อออก เดี๋ยวเป็นปอดปวม”

“อ่าครับ”







แรกเริ่มที่จะสวมเสื้อตัวนี้ทับเสื้อนิสิตเปียกชื้น นั่นไม่ใช่ไม่กลัวว่าตัวเองจะเป็นหวัด แต่กลัวว่าจะต้องเอาร่างกายเปลือยเปล่าสวมเสื้อของผู้ชายที่รู้จักกันได้ไม่นาน ไม่ได้สนิทกัน และยังให้ยืมเสื้อตัวละตั้งหลายหมื่น มันจะดูแปลกๆ พิกลหรือเปล่า แต่ถ้าไม่ทำอย่างนี้ก็อาจจะโดนคุณหมอเทศน์อีกหลายกัณฑ์ ครั้นพอสวมแล้วส่องกระจกดู โอ้โหนี่มันเสื้อยักษ์ใส่หรือไง ทำไมโคร่งขนาดนี้ เมื่อก่อนไม่เคยรู้สึกว่าตัวเองตัวเล็ก ก็ดูสมส่วนไม่สูง ไม่อ้วน แต่พอมาใส่เสื้อของคนสูงเกือบสองเมตร นี่เรามันก็แค่เสาบันไดบ้านเท่านั้นเอง ชายเสื้อเลยไปถึงต้นขา แขนยาวเกินแขนจริงตั้งเท่าไหร่ ไหนจะฮู้ดดูระเกะระกะเหลือเกินเมื่ออยู่บนตัวผม เอาเป็นว่าขี้เหร่เหมือนเดิม ช่างแม่งเถอะวะ ดีกว่าใส่เสื้อเปียก

 “คุณใส่เสื้อเบอร์อะไร ทำไมมันตัวใหญ่ขนาดนี้” ผมเดินกลับมาที่โต๊ะเจอคุณหมอนั่งจ้องมือถือ อาหารก็เสิร์ฟมาครบแล้ว แต่คงต้องพับแขนเสื้อเยอะเลยกว่าจะจับตะเกียบได้

 “XL น่ะสิ”

 “ถึงว่ามันใหญ่มากๆ  แต่ก็ขอบคุณนะครับ ผมจะรีบเอามาคืน”

 “กินเถอะ ผมหิวแล้ว” คุณหมอบอกปัดพลางหักตะเกียบ ไม่ได้สนใจเท่าไหร่อย่างกับว่าเสื้อตัวละ 299 ตามตลาด ขโมยซะดีมั้ง

 “ครับ” ผมพยายามพับแขนเสื้อสองข้าง เพราะมันยาวเกินกว่าจะกินอูด้งถนัด ไม่ดีแน่ถ้ามันร่นลงมาตอนซดน้ำแกง ซูพรีมxน้ำแกง ความแพงคงจบลง

“ยื่นแขนมา”

“ฮะ เอ่อ ครับ”

“จะพับให้ไง”

ท่าทางผมคงพิลึกพิลั่นเต็มทนคุณหมอเขาเลยเวทนาช่วยพับแขนเสื้อให้เสียดิบดี รับรองว่าไม่หล่นแน่ๆ

“ขอบคุณครับ จะกินละน้าา”

  “....”

 “อ่ะ ขอโทษครับ กินเถอะครับจะเย็นหมด”






“โอกาสหน้าเชิญใหม่นะคะ”

คุณดิมเดินนำหน้าพร้อมผลักประตูออกจากร้านหลังเช็กบิลเรียบร้อยแล้ว ก่อนผมจะเดินตามหลังพร้อมยิ้มให้ผู้จัดการร้าน และแน่นอนว่ามื้อนี้เราหารกัน ใครสั่งอะไรก็จ่ายตามนั้นแหละ ก็บอกแล้วไงว่าแค่เราต้องมาทำตัวเหมือนสนิททั้งที่ไม่ได้สนิทก็กระอักกระอ่วนใจพอทนแล้ว ถ้าต้องเกิดมีคนเสนอเลี้ยงข้าวคงได้เกิดเดธแอร์อีกรอบ หารกันแหละแฟร์ๆ ดีไม่มีอะไรติดค้าง

นอกจากเสื้อราคาหลายหมื่นที่ผมต้องซักมาคืนเขาน่ะนะ


ขึ้นรถคาดเบลท์เสร็จก็ล้วงหามือถือ และเจอกับข้อความไลน์กรุ๊ปที่แจ้งเตือนเต็มหน้าจอ

เกิดอะไรขึ้นวะเนี่ย

ผมกดอ่านข้อความหลายสิบอาจจะเกือบร้อยที่แจ้งเตือน แต่ที่ไม่ได้ยินเพราะปิดการรบกวนไว้เป็นนิสัยเวลาเล่นเกม ไม่อย่างนั้นต้องคอยเลื่อนแจ้งเตือนเวลาเกมเข้าตาจนตลอด มันจะทำให้แพ้ไง

สรุปใจความที่ได้อ่านส่วนใหญ่จะได้รับจากเฉอ และความเห็นของเมฆกับอาโปประปราย เป็นการแคปเนื้อหาข่าวของวันนี้ที่มีการแถลงข่าวเกิดขึ้น แต่ที่ข่าวลงช้าเพราะพี่ๆ นักข่าวคงเจอมรสุมพายุฝนเหมือนกัน ประเด็นคือแทบจะทุกสำนักข่าวที่มาวันนี้ แตะประเด็นที่ผมไม่ใช่เด็กเส้นน้อยมาก ดันไปเล่นประเด็นที่ผมเป็นเด็กหมอแทน โอ้โหห มันยิ่งกว่าไปกันใหญ่ มันไปกันโคตรใหญ่ เพราะประโยคที่คุณหมอเขาพูดประโยคเดียวเลย ไม่พอยังมีคลิปภาพตอนที่จู่ๆ คุณเขาก็พูดขึ้นหลังจากที่ทุกคนคิดว่าการแถลงข่าวจบแล้วนี่แหละ มันเหมือนรอจังหวะที่คนไม่ได้สนใจแต่กลับมาทำให้ทุกคนสนใจได้เป็นหนึ่งเดียว ก็ยังพอเบาใจได้บ้างเพราะเนื้อข่าวที่เฌอแคปเจอร์มาจะเขียนไปในทิศทางที่บริษัทต้องการ คือ ตัดคำครหาที่ว่าผมเป็นเด็กเส้นไปได้ด้วย

แต่!! ประเด็นมันมีข้อความจากในทวิตเตอร์นี่สิ ที่เฌอแคปมาเยอะกว่าข่าวอีก
ที่สำคัญแฮทแท็กมันกลับมาอีกแล้ว


#มาสไม่ใช่เด็กเส้นแต่เป็นเด็กหมอ


เอ้าตอนแรกก็ด่าอยู่หรอก แต่พอหมอดิมเค้าพูดงี้ กูขึ้นเรือก็ได้ ไม่รู้ด้วยนะว่าเค้าจะได้เป็นตัวจริงมั้ย กูชิปไว้ก่อน5555555555555555555555555555  #มาสไม่ใช่เด็กเส้นแต่เป็นเด็กหมอ

 #มาสไม่ใช่เด็กเส้นแต่เป็นเด็กหมอ นี่มันอะไรกันนนนนนนนนนนนน ต้องกลับลำหรออออออ ดิมพูลล์ไม่ได้ไปต่อหรอ ดิมศิหรออออ ยังไม่ลงเรือโว้ยใจแข็งง แม้จะแพ้สายตาที่หมอเค้าพูดปย.นั้นก็เถอะ /ไหลตาย

*แนบรูป* ละเนี่ยยยยยยย ตอนแรกก็ไม่อะไรละ ในไอจีสตอรี่หมออะถ่ายติดแขนใครวะพับเสื้อ ข้อมือเล็กนิดเดียวแต่ไม่ใช่ข้อมือผู้หญิงแน่ ปกติหมอจะถ่ายแต่ที่รพ.ป่ะ หนอยยย ล่มเรือดิมพูลล์หรอ ดั้ยยยยยย   #มาสไม่ใช่เด็กเส้นแต่เป็นเด็กหมอ

*แนบรูป* โคตรหิว อาหารดีๆ ในรอบอาทิตย์ หิวนี่หิวข้าวหรือหิวอะไรคะพี่หมอ มากินหนูมั้ยล่ะ /บิด #มาสไม่ใช่เด็กเส้นแต่เป็นเด็กหมอ



เฮ้ย รูปนี้คือยังไง แล้วมาได้ไง ตอนไหน เพราะมันคือแขนผมชัดๆ แม้จะดูตั้งใจถ่ายอาหารตรงหน้า แต่ข้อมือขณะคีบเท็มปุระมันไม่ได้ดูเป็นจุดดร็อปของภาพเลยเหอะ ละแคปชั่นมันก็ธรรมดาๆ แต่ทำไมคนคิดไกลขนาดนี้

ชิปคืออะไร

เรือคืออะไร

ง๊งงงงงงงงงงง







ผมใช้เวลาในการอ่านข้อความอยู่นานและกำลังอึ้งกับสิ่งที่เกิดขึ้นบนโลกออนไลน์ที่ผมละไปเสี้ยวนาที แต่เกิดเรื่องมากมายจนแทบจะตามไม่ทัน ดีที่เฌอเป็นสาวโซเชียลและเชี่ยวชาญในงานแคปงานเผือก ไม่อย่างงั้นผมคงรู้ตัวอีกทีตอนตลาดวาย

“มีอะไรหรือเปล่า ทำไมขมวดคิ้วขนาดนั้น หรือปวดท้อง?”

“เอ่อ ปะ เปล่าครับ” คำถามสไตล์คุณหมอดึงสติให้กลับมา เรื่องเมื่อกี้ทำให้ลืมไปเลยว่ากำลังนั่งอยู่ข้างคนที่เป็นเรื่องเป็นราวด้วย

“คุณดิมครับ เอ่อ รูปนี้น่ะ คุณดิมถ่ายหรอ”

“อะฮะ ไหนว่าไม่เล่นไอจี”

“พอดีเพื่อนแคปมาให้ คือ ตอนนี้มีคนแคปแล้วเอาไปลงทวิตเตอร์เพียบเลย จะเป็นอะไรมั้ย กลัวมีคนเข้าใจผิด”

“ผมถ่ายกับข้าวผม ไม่เห็นจะเป็นอะไร”

“แต่มันติดมือผมด้วย”

“ใครจะรู้ว่ามือเธอล่ะ”

“อ่า นั่นสิครับ”

ผมอาจจะกังวลไป ผมคงต้องสมัครทวิตเตอร์บ้างแล้วล่ะ ไม่ได้หรอกมีแฮทแท็กประจำตัวตั้งสองวัน เดี๋ยวจะคุยกับเขาไม่รู้เรื่อง!


คุณหมอมาส่งผมที่คอนโดไม่ไกลจากมหา’ลัยมากเท่าไหร่ พ่อกับแม่ซื้อให้หลังจากที่ผมสอบติดที่นี่และคงสะดวกกว่าเดินทางไปกลับสยาม-ปากเกร็ด อีกอย่างท่านก็ทำงานด้านอสังหาฯ ด้วยกันทั้งคู่อยู่แล้ว การซื้อคอนโดใจกลางเมืองเพื่อเอาไว้เก็งกำไรในอนาคตจึงเป็นสิ่งที่น่าลงทุน ดีกว่าไปเสียค่าเช่าทุกเดือนแต่ไม่ได้อะไรกลับคืนมา นี่แหละครับพ่อแม่ผม แต่ไม่ใช่ว่าทำงานอย่างเดียวจนไม่ใส่ใจลูกนะ เพราะผมโทรหาม๊าทุกวันก่อนนอน และกลับบ้านทุกเสาร์อาทิตย์ แซลม่อนกับซูชิ หมาพันธุ์เฟรนช์บลูด็อกรอคอยการกลับไปของผมทุกวัน

“ขอบคุณครับ” ผมยกมือไหว้ก่อนจะถอดที่คาดเบลท์ออก

“แล้วก็ขับรถดีๆ นะครับ”

“ครับ ขอบคุณ”

เฮ้อ สิ้นสุดกันทีวันที่ยาวนาน






ใครว่า!!!







มีต่อ
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-08-2018 23:12:05 โดย mifengbee »

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
ครืดดด ครืดดด

[MAMA]

“ครับหม่าม๊า”

(ไงเจ้าลูกชาย จะไปเป็นนักแสดงหรือไงจ๊ะ)

“เฮ้ย!! ม๊ารู้ได้ไงอะ”

(หนอยย จะไม่รู้ได้ยังไง ข่าวเต็มฟีดเฟซบุ๊กขนาดนี้) นี่ผมลืมไปได้ยังไงว่าคุณกฤติกาเป็นสาวโซเชียลขนาดไหน เผลอๆ เก่งกว่าผมอีก

“ก็..ก็มันหลายอย่างอะม๊า ศิไม่รู้ว่าจะเริ่มยังไง”

(ก็เริ่มตั้งแต่แรก มีเวลาฟังทั้งคืนจ้า ไคลแม็กซ์เลยนะห้ามลืมเรื่องคุณหมอคูลๆ คนนั้นด้วย)

ถึงกับต้องกุมขมับก่อนเรียบเรียงทุกอย่างแล้วเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นในระหว่างสองวันนี้ให้หม่าม๊าผู้ที่ผมไม่เคยปิดบังอะไรได้เลยในชีวิต เพราะม๊าเลี้ยงผมเหมือนเราเป็นทั้งแม่ ลูก เพื่อน พี่สาว และที่สำคัญเป็นนายธนาคารของผมด้วย ซึ่งเธอมีอำนาจใหญ่คับบ้าน สถานะการเงินผมจะดีจะร้ายก็อยู่ที่ผู้กุมอำนาจคนนี้แหละ ยิ่งไปกว่านั้นม๊าจะเป็นคนที่สอนการแก้ไขปัญหา การให้ทางเลือก และชี้แนะตามประสบการณ์ของตัวเอง ซึ่งม๊าไม่เคยที่จะชี้นำให้ผมทำอย่างนั้นอย่างนี้เลยในชีวิต ม๊าให้โอกาสผมเลือกเองและทดลองเองเสมอ แม้อาจจะเป็นคนที่เรียนไม่เก่งแต่ม๊ารู้ว่าผมพยายามไม่แพ้คนอื่น แต่ให้ม๊ารู้ไม่ได้ว่าผมเล่นเกมหนักพอๆ กับอ่านหนังสือ ไม่งั้นคงต้องหาเงินจ่ายค่าน้ำค่าไฟเองแน่ๆ

“มันก็เป็นแบบนี้แหละครับคุณกฤติกา”

(ทำไมเมื่อวานไม่เห็นเล่าให้ม๊าฟัง ถึงว่าเอาแต่บอกว่าง่วงๆ คิดไว้แล้วว่าต้องมีเรื่อง)

“พยายามแก้ปัญหาเองอยู่ไง เลยอยากลองดูก่อนจะปรึกษาม๊า”

(ก็ยังดีที่ทางผู้ใหญ่เขาให้โอกาส แต่ที่ม๊าฟังลูกก็อยากลองทำนี่ครับ ใช่มั้ย)

“อื้อ ม๊าว่ายังไง แอบฟังเขาคุยกันมาเขาบอกจะถ่ายช่วงปิดเทอม แต่ก็จะยาวกินไปตลอดเทอมสองเลย”

(ถ้าลูกอยากทำก็ต้องแบ่งเวลาให้ได้ ม๊ารู้ว่าลูกกังวลเรื่องเรียน แต่ม๊าเคยบอกแล้วไง ม๊าไม่ได้อยากมีลูกที่เรียนเก่ง ม๊าอยากมีลูกที่มีความสุขกับสิ่งที่เลือก จำได้มั้ย)

“ครับ”

(ถ้าอยากทำก็ทำให้เต็มที่ อย่าให้คนที่ให้โอกาสเราผิดหวัง โดยเฉพาะคุณหมอ ม๊าเชียร์เขาถ้าลูกได้เล่นก็เล่นคู่กับเขาแหละ เริ่ดสุด)

“ม๊าา ผู้ชายกับผู้ชายนี่นะ”

(ทำไมล่ะ 2018 แล้ว คนที่เหยียดเพศอะโคตรเอ้าท์)

“แล้วป๊ารู้หรือยังเนี่ย ไม่ช็อกไปแล้วหรอที่ลูกจะเล่นซีรีส์คู่กับผู้ชาย”

(เอาให้มันได้เล่นก่อนเถอะลูกหมา พูดซะอย่างกะเค้ารับแล้ว)

“เอ้า ม๊าเปิดลำโพงหรอ ก็ว่าแล้วเสียงอู้ๆ ป๊าไม่ต้องมาล้อเลย เดี๋ยวจะดังแบบที่มีรายการไปถ่ายเปิดบ้านดาราเล้ย”
(เอ้อ เอาเล้ยยย เดี๋ยวให้ป้าวรรณทำความสะอาดบ้านรอ โอกาสที่บ้านสถาปนิกมือทองจะได้โชว์ผลงานละเว้ย)

(มือทองเมื่อ 20 ปีที่แล้วน่ะหรอคะ เลิกคุยๆ ม๊าจะไปอาบน้ำนอนละ ไว้พรุ่งนี้โทรหาใหม่นะจ๊ะคุณภามาส อิอิ)

“คร้าบบ รักป๊ากับม๊านะ”



นี่แหละครับบ้านผม เรามีกันแค่สามคนพ่อแม่ลูก และหมาอีกสองตัว รวมถึงป้าวรรณที่อยู่กับบ้านเรามานานมากๆ น่าจะก่อนผมเกิดซะอีก แม้ครอบครับผมจะเลี้ยงดูและให้คำสั่งสอนผมอย่างดีทุกอย่าง แต่ก็ไม่ใช่ว่าผมจะเป็นคนที่น่าจะเป็นความหวังของบ้านได้เท่าไหร่ ป๊าม๊าไม่เคยพูดถึงเรื่องที่ผมเรียนไม่เก่งและอยู่ระดับกลางๆ ต่างจากป๊าที่เป็นนักเรียนทุนของมหาลัยได้ไปศึกษาต่อด้านสถาปนิกที่ฝรั่งเศส ส่วนหม่าม๊าก็จบปริญญาโทด้านการบริหารการเงิน และเคยเป็นผู้ช่วยผู้อำนวยการธนาคารชื่อดังของประเทศก่อนจะออกมาทำธุรกิจด้านอสังหาพร้อมกับป๊า ตอนแต่งงานกันได้ 10 ปีแรก ตอนนั้นผมน่าจะอายุประมาณ 5 ขวบได้มั้ง แม้จะขรุขระในการเริ่มธุรกิจของตัวเองแต่ท่านสองคนก็ไม่เคยปล่อยปละละเลยยังทำหน้าที่พ่อและแม่อย่างดี กลับบ้านทุกวัน กินข้าว เล่านิทาน เล่นกับผม มารู้ตอนที่เข้า 10 ขวบ ว่าพอท่านส่งผมเข้านอนแล้วก็ต่างทำงานต่อจนดึกดื่นทุกคืน สิ่งนี้เลยเป็นสิ่งที่รบกวนจิตใจและกังวลใจกลัวว่าจะทำให้พวกท่านผิดหวัง

การได้โอกาสในเส้นทางนักแสดงครั้งนี้อาจจะเป็นโอกาสดีที่ผมจะทำให้ท่านทั้งสองที่ผมรักมาก ภูมิใจในตัวลูกชายคนนี้ก็ได้

ไป! ออก! ไป! สู้!




ออกจากห้องน้ำหลังนอนแช่น้ำอุ่นเกือบยี่สิบนาที ไม่พอเกือบหลับเพราะสบายเกินไป ได้หยุดพักร่างกายและความคิดที่วกวนจากหลายๆ เรื่องที่เผชิญในวันนี้มันก็ดีเหมือนกัน

ขณะที่เช็ดผมที่เริ่มหมาด เสียงเตือนว่ามีการขอให้รับวิดีโอคอลจากใครสักคน เลยพุ่งไปที่แมคแอร์ที่เปิดไว้ว่าจะแก้วิจัยในคืนนี้

อ้อ เฌอ นี่เอง

แต่พอรับแล้วกลับพบเพื่อนอีกสองคนนั่นก็คืออาโปและเมฆกับสภาพผมยุ่งใส่แว่นทั้งคู่ จริงๆ กลุ่มเราสายตาสั้นทั้งกลุ่ม แต่สามคนเขาเลือกที่จะใช้คอนแท็กเลนส์ประจำวันกัน ส่วนผมก็เลือกใส่แว่นเฉพาะเวลาเรียนและนั่งหน้าจอคอมพิวเตอร์นานๆ

(ช้าว่ะศิ คอลไปหาตั้งแต่สองทุ่มกว่า นี่สามทุ่มละ)

“อาบน้ำไง มีไรอ่ะ เรื่องข่าวมีอะไรอีกมั้ย”

(ยิ่งกว่าข่าวว่ะศิ กูว่ามึงต้องสมัครทวิตเตอร์แล้วแหละ) อาโปพูดพลางเลื่อนมือถือของตัวเอง และโชว์ภาพบางอย่างให้ผมดู

“มองไม่ชัดเลยอะ ภาพอะไรวะ”

(มึงก็ไปใส่แว่นสิโว้ยยยย) เฌอโวยวายขึ้นมา เออว่ะ แว่นไม่มีจะมองเห็นอะไรชัด เป็นคนตลกนะเนี่ยศิ

“เออๆ โทษๆ ใส่ละ ไหนเอามาใกล้ๆ จอหน่อย”

อาโปเอามือถือไอโฟนเอ็กซ์ที่เพิ่งถอยมาไม่กี่เดือนก่อนใกล้กล้องแมคโปรของตัวเองมากขึ้น ภาพนั้นเหมือนแอบถ่ายจากร้านอาหาร เห็นผู้ชายคนนึงที่ยืนข้างโต๊ะอาหารใส่เสื้อแขนยาวฮู้ดสีเทายี่ห้อสุพรีม

เดี๋ยวนะ..

ผู้ชายที่นั่งที่โต๊ะใส่เสื้อสีกรมท่าแขนยาวพับแขน

โอ้โหหห ชัดเลย ชัดดดดด

ประเด็นคือแคปชั่นในรูปนี่แหละ “ผู้ชายเสื้อสีกรมท่านี่เห็นแค่หลังยังรู้เลยว่าเป็นหมอดิม แต่คนที่ใส่เสื้อสุพรีมตัวใหญ่กินมือนี่คุ้นๆ นะคะ ทำไมรูปที่มีคนถ่ายได้เมื่อวานตอนงานแคสต์กับสิ่งที่เห็นมันเหมือนคนละคนเลย เนี่ยดูสิเสื้อกินมือนุมากๆ ตัวเร้กๆ เขิงงง ยืนยันว่าคุณหมอเค้ามากับใคร”

(มึงไม่ต้องอึ้ง ยังไม่หมดเพียงเท่านี้) อาโปเลื่อนรูปภาพที่ถูกแคปลงไว้ในอัลบั้ม

ภาพนี้เป็นภาพขณะคุณหมอสั่งให้ผมยื่นแขนไปตรงหน้าเพื่อที่จะพับแขนเสื้อไซส์ใหญ่ให้ผมกินข้าวได้สะดวก และมันก็เป็นการช่วยเหลือหลังจากที่คุณหมอเห็นความยุ่งยากในการจัดการเสื้อตัวโคร่งของผมเอง และมันก็ไม่สำเร็จสักที แต่นั่นแหละในรูปมันพูดไม่ได้ซักหน่อย

“เค้าพักแขนเสื้อให้กันด้วยโว้ยยยยยยยยยยยยยยฟานกานยดดากสยนไหยดาดอนดานานดานเวนำก่”

ฉิบหายมาก ฉิบหายมากๆ

ไหนคุณหมอดิมเขาบอกว่าไม่มีใครรูัไงว่ารูปที่หมอลงในไอจีมันไม่มีคนรู้ว่าเป็นผม หมอคิดผิดมากๆ เลยแหละครับ และตอนนี้เหมือนกำลังฆ่าผมให้ตายอีกรอบ ไม่รู้จะโดนด่าอะไรบ้าง ตอนแรกที่จะสมัครทวิตเตอร์ดู ตอนนี้ไม่เอาแล้วแหละ กลัวเข้าไปเห็นความเห็นไม่ดี กลัวจะต้องมานอยด์อีกรอบ

ทวิตเตอร์นี่อยู่ยากจังเลยนะครับ

(ศิ ศิ เห้ย มึงอย่าเพิ่งเครียด) เป็นเสียงเมฆที่ทำให้ผมหลุดจากภวังค์ความคิดลบที่กำลังจู่โจมให้ผมเริ่มจะรู้สึกแย่และกังวลอีกครั้ง

“แฟนคลับเขาต้องด่าอีกรอบแน่ๆ เลยอะ ทำไงดี”

(จากที่กูอ่านๆ นะเพื่อนยาก สาววายพากันดิ้นจะตายละ มีแต่คนฟิน มีส่วนน้อยนะที่ไม่พอใจ เพราะว่าเขาชิปเรือดิมพูลล์ไง)

“อะไรคือชิปอะเฌอ”

(ชิป ย่อมาจาก ชิปเปอร์ รากศัพท์น่าจะมาจากคำว่าเรือในภาษาอังกฤษมั้งกูไม่แน่ใจ ส่วนใหญ่พวกสาววายเขาจะใช้ สาววายมึงคงรู้จัก ทีนี้เขาก็จะเชียร์คู่ผู้ชายที่ตัวเองชอบ อย่างหมอดิมกับพูลล์ ก็เรียกว่าเรือ สมมติมีโมเม้นต์ก็แบบเรือกูแล่นแล้วอะไรแบบนี้ ถ้าไม่มีโมเม้นต์ชงเอง ก็แบบกูพายเองก็ได้ ทำนองนี้ เดี๋ยวมึงก็เข้าใจเองแหละ เพราะมึงกำลังจะเล่นซีรีส์วายไงจ๊ะ)

“อ่าาา งงๆ แต่ก็เข้าใจแหละมั้ง แล้วสาววายเขาลงเรือกูกับหมอดิมงี้หรอ ตอนนี้ที่จะบอก”

(เอออ เพราะรูปมึงเมื่อวานกับวันนี้แม่งคนละเรื่อง ตอนแรกพวกที่ด่ามึงก็บอกว่ามองผิดไป ทำนองนี้แหละ แต่ส่วนใหญ่ก็บอกว่ามึงน่ารักเหมือนที่หมอดิมบอกตอนงานแถลงข่าว แอร๊ยยยยยยย กูเขินอะ)

“หรอ แต่ก็มีคนด่าอยู่ดีใช่มั้ยล่ะ เขาคงไม่พอใจ อีกอย่างทำแบบนี้เหมือนมันข้ามหน้าข้ามตาคนที่ได้เข้ารอบคนอื่นเลย”

(ไม่เกี่ยวป่ะวะ เพราะก็ยังไม่ได้คัดเลือกตัวจริงซักหน่อย หมอดิมก็ยังไม่ได้เป็นพระเอกเหอะ ไม่ใช่ว่ามึงมีกระแสแบบนี้กับพี่เขามึงจะได้เล่นป่ะ พี่เจี๊ยบเขาไม่เอาคนที่เล่นไม่ได้หรอก) อาโปพูดขึ้นด้วยน้ำเสียงจริงจัง

(บวกอาโป) เมฆที่นั่งเงียบฟังมานานพูดขึ้น

(กูว่ามึงต้องเล่นไอจีแล้วแหละ แต่หลังจากนี้สักวันสองวัน เดี๋ยวจะหาว่าเกาะกระแสตรงนี้เอายอดฟอลอีก) เฌอเสนอ

“คือกูไม่เห็นความจำเป็นอะ”

(มันจำเป็นเว้ย อย่างน้อยๆ เอาไว้เป็นพื้นที่ในสื่อโซเชียลของตัวเอง มึงไม่ได้เป็น someone แล้วนะ มึงเป็น somebody ที่มีคนรู้จักแล้ว) อาโปที่เข้าใจวงการมายาอธิบายให้เข้าใจถึงอิทธิพลของโลกเสมือนที่คาบเกี่ยวโลกจริงอย่างแยกไม่ได้

“แต่กูไม่รู้จะเอาไว้ลงรูปอะไร พวกมึงก็รู้ว่ากูไม่ชอบถ่ายรูป”

(ก็นึกอยากลงค่อยลง อีกอย่างมึงเลิกคิดซักทีว่าตัวเองขี้เหร่ ถ้ามึงขี้เหร่ขนาดนั้นเขาจัดให้มึงเข้ารอบป่ะ ไปส่องกระจกดูหน้าตัวเองดีดีดิ๊ ขาวก็ขาวกว่ากู หน้าก็ใสกว่ากูที่เป็นผู้หญิง เอาอะไรมาขี้เหร่ มึงนี่พิมพ์นิยมหนุ่มน้อยหน้าใสที่สุดแล้ว)

“ก็กูขี้เหร่กว่าเมฆกับอาโป”

(โอ้ยยยยย) เพื่อนสามคนถอนหายใจออกมาพร้อมกัน ผมได้แต่ก้มหน้าแล้วยู่ปาก บ่งบอกจากความไม่เคยมั่นใจในรูปร่างหน้าตาของตัวเอง เพราะมีเพื่อนสองคนที่หน้าตาดีมากๆ ขนาบข้างตลอด เวลาลงรูปในไอจีก็จะไปโผล่ในเพจคิ้วท์บอยของมหาลัยบ่อยๆ แม้มันสองคนจะไม่ค่อยพอใจเพราะแอดมินไม่เคยมาขอ และเมฆปฏิเสธในการร่วมงานใดใดกับทางเพจเพราะไม่อยากเสียพื้นที่ส่วนตัวในมหาลัย จะมีก็แต่อาโปที่ปฏิเสธยากเพราะมีงานในวงการ เดี๋ยวจะหาว่าหยิ่ง แม้จะนึกรำคาญแอดมินอยู่หน่อยๆ

(งั้นพรุ่งนี้ไปตัดผม เลิกไว้ผมยาวๆ ปิดหน้าปิดตาซะที เดี๋ยวกูจะพาไปร้านดังที่เซเลบทำกันเลย จะได้รู้ตัวซะทีว่ามึงอะน่ารักอย่างที่หมอดิมเขาว่า เนี่ยพูดอีกกูก็เขินอีก)

“เขินอะไรเล่า เขาก็พูดเบี่ยงเบนประเด็นข่าวไปงั้นแหละ”

(แล้วมันก็ได้ผล เพราะตอนนี้มึงไม่ใช่เด็กเส้นแต่เป็นเด็กหมอ แอร๊ยยยยยยยยย กูไหลตายดีกว่า เขินโว้ยยย)

เฌอสาวห้าวของกลุ่มเอาหมอนใบใหญ่มาปิดหน้าบังอาการที่เรียกว่าอะไรนะ “ฟิน” ใช่มั้ย ของตัวเอง เพื่อนผมก็เป็นสาววายหรอเนี่ย




หลังจากพูดคุยกับพวกนั้นอีกนิดหน่อย ก็ปิดหน้าจอแมคแอร์ลง และพาตัวเองเดินไปที่เตียงอย่างลอยๆ ก่อนจะล้มตัวลง แม่งเป็นวันที่ยาวนาน ยาวนานจริงๆ ใจที่คิดว่าจะแก้งานวิจัยเลยหมดอารมณ์ทำ สมองที่ว่างเปล่าในเรื่องงานกลับคิดทบทวนเรื่องที่เกิดขึ้นวันนี้อีกครั้งอย่างถี่ถ้วน นับว่าเป็นเรื่องแปลกสำหรับผมเหมือนกัน จากคนที่ไม่เคยอยากเอาตัวเองไปวุ่นวายกับอะไร ชอบอยู่ในที่ของตัวเอง เซฟโซนของผมมีแค่บ้าน มหาลัย คอนโด และที่ที่มีเพื่อนๆ อีกสามคนอยู่ด้วย หากแต่ตอนนี้กลับเอาตัวเองเข้าไปอยูในวงล้อมของผู้คนมากมาย สองวันมานี้ผมพบเจอคนแปลกหน้าไม่ต่ำกว่า 20 คนได้มั้ง กำลังคิดหาสาเหตุว่าทำไมตัวถึงทำแบบนี้

หน้าคุณหมอดิมก็ลอยเข้ามา อาจจะใช่มั้ง….

สายตาที่เหมือนเชื่อในตัวผม อย่างที่ไม่เคยมีคนทำให้รู้สึกมาก่อน
สายตาแกมข้อร้องให้ลองค้นหาศักยภาพของตัวเองดู
สายตาที่ทำให้ผมเชื่อว่าตาผมสวยจากคำที่เขาชม

   
ถ้าไม่ใช่เขา ผมอาจจะไม่ได้มาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ พอคิดได้แบบนี้ก็ยกยิ้มอย่างที่ใจมันพองไม่น้อย

นอนคิดอะไรเพลิน ดูนาฬิกาดิจิตอลข้างหัวเตียงปาเข้าไปเกือบเที่ยงคืนเข้าแล้ว เลยหยิบรีโมทกำลังจะปิดไฟในห้อง


ติ๊ง


เสียงข้อความเข้า เป็นเสียง i massage ไม่ใช่ไลน์อย่างปกติ

“อย่าคิดมากล่ะ อีกสามวันเจอกันที่ตึก D”

ไม่ต้องหาคำตอบแล้วล่ะว่าใครกันที่ส่งข้อความมาให้ผมก่อนวันแถลงข่าว เจ้าของเสื้อยี่ห้อดังที่แขวนอยู่ที่ตู้เสื้อผ้าบิ้วท์อินในห้องแต่งตัว



เป็นเพราะเขาจริงๆ นั่นแหละ





------To be Continued------







เรารู้สึกว่าตอนนี้คุณหมอเค้าน่ารักนะ แบบว่าดูใส่ใจคนรอบข้างดี

หรือเพราะเป็นคนนี้เลยใส่ใจ อิอิ

ไม่รู้ว่าอธิบายลักษณะของศิไปชัดเจนแค่ไหน แต่สปอยด์ตอนหน้าภาพของน้องศิจะชัดเจนมากขึ้นเรื่อยๆ

ฝากให้กำลังใจนายเอกมือใหม่ของเลาโด้ย



#เพียงจินตนาการ

#หมอดิมน้องสิ



@mifengbeexx



บี
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-08-2018 23:16:07 โดย mifengbee »

ออฟไลน์ vivierav

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :o8: :o8: :o8: :o8: :o8:

เขินอะค่ะ คุณหมอซึนหรืออะไร

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ Duangjai

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1


นิยายวายใสๆ วัยกรุ๊งกริ้ง. สะอาดๆ

น่ารักดีอ่ะ.  ทั้งครอบครัวและเพื่อนพ้อง

รออ่านหมอดิม_ศิ จ้า



 :katai4:  :katai4:  :katai4:  :katai4:  :katai4:  :katai4:


ออฟไลน์ biibbmnt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ
EP.04 ความลับที่ทุกคนรู้
[/size]

I finally found you, my missing puzzle piece. I'm complete






ขับรถมาถึงโรงพยาบาลตอนประมาณสองทุ่มกว่า ยังคงมีผู้ป่วยและญาติวนเวียนเข้าออกอย่างต่อเนื่อง เป็นสิ่งปกติที่เห็นจนชินตา ผมถือเสื้อกาวน์สั้นและกระเป๋าเป้เดินตรงไปยังห้องพักแพทย์แผนกศัลยกรรม จริงๆ วันนี้ไม่ใช่เวรผมแต่ขอเข้าเวรแทนหมอตั้ม เพื่อนรุ่นพี่ที่เรียนต่อเฉพาะทางพร้อมกัน เพื่อที่เก็บเวลาเข้าเวรให้มากที่สุดก่อนที่จะต้องไปเวิร์กช็อปภายในอาทิตย์หน้าที่จะถึงนี้ มีขึ้นราววอร์ดตรวจคนไข้ที่พักฟื้นหลังผ่าตัดประมาณ 2-3 เคส ตอนประมาณ 3 ทุ่มก่อนจะให้คนไข้พักผ่อน และจากนั้นคงใช้เวลาเขียนรายงานสรุปเคสทั้งอาทิตย์ที่ผ่านมา เพื่อส่งให้กับอาจารย์หมอเจ้าของเคส

การเรียนต่อเฉพาะทางในปีแรกของผมเป็นเรื่องที่ท้าทาย โดยเฉพาะการจัดการชีวิตตัวเองให้แบ่งเวลาทำทุกอย่างได้อย่างลงตัว และต้องเป็นแบบนี้ไปอีกหลายปี ซึ่งการได้รับการคัดเลือกเป็น 1 ใน 2 คนในการเรียนต่อเฉพาะทางด้วยทุนของโรงพยาบาลนั้นไม่ใช่เรื่องง่ายเพราะการแข่งขันสูงมาก ถ้าไปเรียนด้วยทุนตัวเองคงใช้เงินมหาศาล ในตอนแรกคุณแม่ก็ไม่ได้อยากให้เรียนต่อเพราะเรื่องที่ต้องไปอยู่โรงพยาบาลชุมชนตามต่างจังหวัด และกลัวว่าจะไม่ได้เจอหน้าลูกชายนาน อีกอย่างคงกลัวผมลำบาก เพราะตอนที่ผมใช้ทุนตอนจบป.ตรี ก็เป็นโรงพยาบาลศูนย์ใกล้กรุงเทพฯ แต่ใช้ทุนเรียนเฉพาะทางจะได้ไปในที่ชุมชนที่ต้องการแพทย์เชี่ยวชาญตามจังหวัดหัวเมืองใหญ่ แต่แม่คงลืมไปว่าลูกชายคนนี้ไม่เคยกลัวความลำบาก และท่านก็เคยขอร้องให้ออกมาทำอาชีพนักแสดง แต่ผมปฏิเสธอย่างไม่ต้องคิด ทำไม่ได้หรอกครับ ผมรักในอาชีพแพทย์ เรียนมาตั้งนานใช้เงินรัฐไปตั้งเท่าไหร่ วิชาความรู้ที่เรียนมาช่วยคนได้อีกมากมาย จะให้ทิ้งเพราะกลัวเหนื่อย กลัวลำบาก คงผิดกับที่ให้ปฏิญาณไว้ในวันรับเสื้อกาวน์


   
จ้องคอมพ์เขียนเคสอยู่นาน ก็มานึกได้ว่าวันนี้ยังไม่ได้โทรหาเกลเลย ไม่รู้ตอนนี้จะนอนหรือยัง แต่ก็แปลกว่าทำไมไม่ได้รับสายจากใคร พอจับมือถือขึ้นมาเท่านั้นแหละ

แบตหมด เวรละ

ก็ว่าทำไมโทรศัพท์เงียบขนาดนี้ ปกติจะมีไลน์จากเกลมาบ้าง หรือไม่ก็ไลน์ของพี่ๆ ในโรงพยาบาลวอร์ดต่างๆ ที่เอาไว้คุยเล่นกัน

เสียบสายชาร์จและรอเปิดเครื่องไอโฟนเจ็ดพลัสสีดำ พอเจ้ามือถือได้แบตเตอรี่ก็แสดงแมสเสจแจ้งเตือนสายที่ไม่ได้รับจากเกลสิบสี่สาย และแม่อีกสองสาย ไม่พอยังมีข้อความจากไลน์ของเกลอีกหลายสิบประโยค

ผมยกมือขึ้นลูบปากอย่างเครียดๆ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในวันนี้ หลายอย่างคงสร้างความไม่เข้าใจและไม่พอใจให้กับผู้หญิงคนหนึ่งที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนของผู้ชายที่ออกตัวปกป้องผู้ชายอีกคนด้วยถ้อยคำสองแง่สองง่าม แม้อธิบายได้ว่าเป็นเรื่องงานรวมถึงสิ่งที่ต้องทำ แต่ไม่มีผู้หญิงคนไหนรับได้กับสิ่งที่ทำให้เธอต้องรู้สึกแย่ และไร้ซึ่งคำอธิบายจากผู้ชายที่เธอมอบความรักให้

ตู๊ดด ตู๊ดด ตู๊ดด

รอปลายรับอย่างใจจดจ่อ นี่ก็เกือบเที่ยงคืนกลัวว่าเกลจะเพลียจากงานจนหลับไปก่อนที่เราจะได้ทำความเข้าใจ

(ค่ะ ดิม)

“เกล แบตดิมหมดครับ”

(ค่ะ เกลพอรู้ แต่หมดนานนะคะเกือบครึ่งคืนเลย)

“ขอโทษนะ กลับจากแถลงข่าวแล้วก็รีบมาทำงานเลย เพราะต้องมีรายงานเคสส่งอาจารย์พรุ่งนี้”

(ค่ะ)

“เกลไม่เป็นแบบนี้สิครับ ดิมขอโทษจริงๆ นะ”

(ไม่อยากได้ยินคำขอโทษแล้วค่ะ เกลฟังบ่อยมาก อยากให้อธิบายเรื่องวันนี้มากกว่าแค่มันคืองาน)

“เฮ้อ คือ จริงๆ มันก็เป็นคำอธิบายเดียวที่ดิมจะให้ได้ ดิมสงสารน้องเขาที่ต้องมาเจอเรื่องแบบนี้เพราะดิม เลยทำแบบนี้เพื่อเบี่ยงประเด็นไป”

(ชมผู้ชายว่าน่ารักเนี่ยนะ จะบ้าหรอคะ)

“ถ้าผมไม่ทำแบบนั้น นักข่าวก็จะรุมทึ้งน้องมันไม่เลิก ไหนๆ ก็เล่นซีรีส์วายแล้วยังไงวันหนึ่งผมก็ต้องเจอข่าวแบบนี้อยู่ดี”

(หึ ซึ่งเกลไม่เคยเห็นด้วยและไม่เคยเข้าใจกับการที่ดิมเลือกรับงานแบบนี้)

“เกลครับ เราเคยคุยเรื่องนี้กันจริงจังแล้วนะว่าเกลจะไม่ตัดสินเรื่องงานของดิม”

(แต่เรื่องนี้มัน…)

“มันแค่งาน โอเคมั้ย ทุกอย่างที่ดิมทำมันแค่งาน ไม่มีเรื่องอื่นทั้งนั้น ดิมเห็นเขาเหมือนน้องชาย แค่นั้น”

(แต่งานนี้มันส่งผลต่อภาพลักษณ์ดิมนะคะ คนอื่นจะติดภาพว่าคุณเป็นเพศที่สามไป ไหนจะความเป็นหมอของคุณอีก)

“เรื่องนั้นไม่ต้องเป็นห่วง คนไข้เขาไม่เลือกหมอว่าเพศไหนหรอกครับ เพราะหมอทุกคนมีหน้าที่ดูแลคนไข้ อีกอย่างผอ.โรงพยาบาลและอาจารย์ทุกคนดิมคุยก่อนที่จะตัดสินใจแล้ว พวกท่านไม่ได้ว่าอะไร”

(เฮ้อ เกลยอมแพ้ค่ะ แต่ต่อไปเวลาไปทำงานเกี่ยวกับละครดิมต้องรับโทรศัพท์เกล โอเคมั้ยคะ)

“ดิมจะโทรหาเกลเองเลยดีกว่า โอเคมั้ยคะ”

(ไม่ต้องมาคะขาเลย กินข้าวหรือยังคะ)

“เรียบร้อยแล้วครับ แต่เดี๋ยวผมต้องไปช่วยแผนกฉุกเฉินหน่อย มีพยาบาลบอกว่ามีเคสด่วน”

(โอเคค่ะ เกลคิดถึงดิมนะ ดูแลตัวเองด้วย)

“ดิมก็คิดถึงเกลค่ะ ออกเวรจะไลน์บอกนะครับ”

สิ่งหนึ่งที่เกลไม่เหมือนคนอื่นคือการยอมรับและพยายามทำความเข้าใจกับผมในทุกๆ เรื่อง แม้บางเรื่องมันไม่ควรจะเข้าใจแต่เธอก็เข้าใจมาตลอดตั้งแต่เราคบกัน และมันเป็นเรื่องที่ผมรู้สึกว่าผมเห็นแก่ตัวที่ให้แต่เธอยอมรับและพยายาม แต่ตัวผมกลับไม่ได้ทำอะไรให้ความสัมพันธ์ของเราคืบหน้ามากไปกว่านี้ ป่าวประกาศบอกใครก็ไม่ได้ รู้แค่วงแคบๆ คือครอบครัวและกลุ่มเพื่อนของเราเท่านั้น เพราะหลายๆ อย่างมันส่งผลกับทั้งผมและเกลเอง อย่างงานนี้ถ้ามีใครรู้ว่าผมมีแฟนคงเป็นความลำบากในการทำงานของทีมงาน ผมหวังว่าจะได้บทดีๆ นี้ จะได้เป็นบททดสอบของตัวเองอีกขั้น ซึ่งถ้ามันเป็นไปอย่างที่หวัง จากที่ลองไปศึกษามา การจิ้นของแฟนซีรีส์มันมีอิทธิพลมากมายเกินกว่าที่จะเอาเกลเข้ามาเกี่ยวพัน การที่ต้องเห็นเกลโดนตัดสิน เปรียบเทียบ หรือแม้จะถูกสืบค้นประวัติ เป็นเรื่องที่ผมยอมไม่ได้ นี่อาจจะเป็นสิ่งเดียวที่ผมจะปกป้องเธอจากเรื่องนี้ คือ การไม่เอาเธอมาเกี่ยวข้องตั้งแต่แรก

ยังดีที่เกลไม่รู้เรื่องในทวิตเตอร์ เธอเป็นสาวลูกเจ้าของนักธุรกิจ และก็เป็นนักธุรกิจที่ไม่ได้สนใจโซเชียลมากไปกว่าการเอาไว้รับข่าวสาร ซึ่งนั่นเป็นเรื่องที่โคตรจะดี ไม่อย่างนั้นคงได้ซักผมจนขาวเรื่องภาพที่มองยังไงใครก็รู้ว่าผมไปกินข้าวกับเด็กคนนั้น จุดพีคคือจังหวะที่พับแขนเสื้อที่ผมให้เขายืมใส่ก่อนจะปอดบวม มีอย่างที่ไหนวิ่งฝ่าพายุฝนเพื่อหาที่จอดรถให้ผม ถ้าสมมติตอนวิ่งมีรถสวนมาจะทำยังไง ไหนอาจจะต้องป่วยอีก ที่สำคัญเลยเขาไม่รู้ตัวว่าเสื้อนิสิตน่ะบางแค่ไหนเวลาเปียกน้ำ ซึ่งเวลานั่งหันหน้าเข้าหากันมันทำให้ผมเห็นหมด หัวนมสีอะไร มีกล้ามมั้ย หรือมีพุง น่าเวทนาขึ้นไปอีกเพราะปากสั่นหงึกๆ เลยต้องให้พนักงานไปหยิบเสื้อแขนยาวที่ติดรถเอาไว้ไปฟิตเนสมาให้เด็กที่สั่นเหมือนเจ้าเข้าเพราะหนาว

แววตาใสตอนที่เห็นข่าวตัวเองก็ตื่นตูมจนนึกขำในใจ สงสัยไม่เล่นโซเชียลอะไรเลย เป็นคนรักสันโดษหรือไง ขนาดผมที่ไม่ค่อยมีเวลานอนแต่ยังไงก็ต้องมีสิ่งเหล่านี้ไว้ มันดีตรงที่เราทันเหตุการณ์ข่าวสาร ยิ่งการค้นพบหรืองานวิจัยที่เจ๋งๆ บางทีสำนักข่าวก็รู้ก่อนคนที่เป็นหมอเสียอีก นั่นเป็นข้อดี แต่ข้อเสียก็นะ มหาศาลเหมือนอย่างที่เด็กศิเจอเมื่อวาน

ไม่รู้ป่านนี้จะหูตกไปหรือยัง เพราะรูปที่โดนแอบถ่านว่อนทวิตเตอร์ขนาดนี้
   

“อย่าคิดมากล่ะ อีกสามวันเจอกันที่ตึก D”

สไตล์เดิม เพิ่มเติมคือให้กำลังใจเขาหน่อย จะได้มีแรงฮึดสู้ อาการหางตาตก หูหลูบ นี่ไม่ค่อยเหมาะ สีหน้าดีใจตอนเห็นของกินตรงหน้าดูท่าจะเหมาะกว่า ถึงว่ามีพุงน้อยๆ นะนั่นตัวแค่นี้







วันอาทิตย์แบบนี้ปกติผมจะใช้เวลานอน เล่นเกม กิน ทำการบ้านบ้าง นอน เล่นเกม วนไปแบบนี้เป็นวัฏจักรศิรัสอีสแฮปปี้ที่สุดเลย แต่ความหวังของผมพังทลายตั้งแต่เฌอมากดออดที่หน้าประตูตั้งแต่ 9 โมงเช้า ก่อนเวลาตื่นปกติของผมตั้งสองชั่วโมง โหจิตใจจะฆ่ากันให้ตายหรือไม่อย่างไร ไม่พอยังบังคับให้อาบน้ำแต่งตัว แล้วก็ให้ผมขับรถตัวเองไปห้างย่านเพลินจิต  เพราะขากลับเธอบอกว่าขี้เกียจวนรถมาส่งให้ผมกลับเอง เฮ้ย แบบนี้ก็ได้หรอวะ ได้แหละใครจะเถียงคุณเฌอลักษณม์ได้ล่ะ ลองเถียงสิโดนด่าย้อนอดีตถึงเรื่องที่คุณเคยทำไม่ดีไว้ตั้งแต่สมัยพระเจ้าหลุยส์ที่14

เหอะ

“ถึงแล้ว กำลังจอดรถ” เฌอโทรตามหลังจากที่ถอยรถเข้าซองได้เสี้ยววินาที อะไรจะขนาดนั้น นี่ผมยังงงอยู่เลยว่าทำไมถึงต้องนัดเจอกันที่นี่มีอะไรพิเศษ เฌอเล่นไม่บอกอะไรเลย

“ศิ” ดีที่เช้าขนาดนี้แถวนี้ยังไม่มีคนมากเท่าไหร่ เฌอตะะโกนซะดัง

“เบาๆ ก็ได้เฌอ พามาที่นี่ทำไมเนี่ย”

“เอาน่า ป่ะกินข้าวกันก่อน ค่อยว่าทีหลัง มึงหิวกูรู้นะ”

“หราาา” ผมทำหน้าใส่เฌออย่างเอือมๆ เป็นสีหน้าที่น้อยครั้งจะได้ทำ เพราะปกติเฌอจะทำใส่ผมมากกว่า

เรานั่งในร้านอาหารไทยฟิวชั่น ซึ่งเป็นร้านประจำของพวกเรามีมาหลายสาขา เวลานัดกันกินข้าวข้างนอกถ้าคิดอะไรไม่ออกก็จะมาร้านนี้ มีเมนูหลายอย่างที่พวกเราชอบและกินได้ไม่เบื่อ

“ขอเซตอาหารเช้าครับ แล้วก็ซีซ่าสลัด ชาเขียวร้อน”

“ข้าวไข่ข้นเบค่อนแฮม แกงจืดเต้าหู้ไม่ใส่กระเทียม แล้วก็น้ำเปล่าค่ะ”

“เอ้อ เดี๋ยวเมฆมาด้วยนะ”

“นี่ตกลงมีเรื่องอะไรกันอะ ทำไมต้องนัดเจอกันวันอาทิตย์ด้วย ปกติเราจะไม่ค่อยเจอกันวันนี้นี่ ที่สำคัญกูไม่รู้เรื่องก่อนด้วย ไปนัดนอกรอบใช่มั้ย”

“เออน่า เดี๋ยวเมฆมาก็รู้เอง อาโปตอนแรกก็จะมาแต่ว่านางติดงานเดินแบบไรไม่รู้”

ความไม่น่าไว้ใจเปล่งประกายออกมาจากนัยตาใสของเพื่อนผู้หญิงตัวเล็กที่วันนี้เลือกใส่เสื้อครอปแขนกุด และกางเกงผ้าเทโรทรงกระบอกขาเต่อ รองเท้าผ้าใบสีขาว แต่งตัวสวยกว่าปกตินะเนี่ย ต้องมีอะไรแน่ๆ ที่ปกติเราจะนัดเจอกันแถวสยามไม่ก็ฝั่งบ้านเมฆย่านรามอินทรา แต่นี่นัดเจอกันที่เพลินจิต มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล

นั่งกินข้าวไปไม่นานเมฆก็มาพร้อมกับสไตล์คนหล่อที่ใส่แค่เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงยีนส์ขาดๆ รองเท้าแตะแบบคาด ก็ดูหล่อกว่าผมตั้งเท่าไหร่ ยิ่งวันนี้แทบไม่มีเวลาเลือกเสื้อผ้าเลยหยิบเสื้อยืดบางลองเซียการ์สีกรมท่ากับกางเกงผ้าขากระบอกสีเทาที่สั่งผ่านอินเตอร์เน็ตมา รองเท้าก็คอนเวิร์สสีขาว แถมวันนี้ใส่แว่นด้วยเพราะเฌอไม่ให้เวลาใส่คอนแท็กเลนส์ ผมก็ไม่หวี เอาเป็นว่ารวมๆ ขี้เหร่เหมือนเดิม เพิ่มเติมคือหน้าง่วง

ใช้เวลาจัดการอาหารเช้าไม่นาน เฌอก็พาเดินออกจากห้างมาซอยใกล้ๆ ผ่านร้านรวงตามข้างทาง จนมาหยุดที่เอเวอนิวแห่งหนึ่ง ผมเคยขับรถผ่านแต่ไม่เคยเข้ามาในนี้ เฌอพาเดินเข้ามาข้างในก่อนจะขึ้นลิฟท์พาไปชั้นสอง ก็เจอกับร้านตัดผมตกแต่งสไตล์โมเดิร์น

เดี๋ยวนะ นี่หลอกผมมาตัดผมหรอ

“เห้ย ไม่เอา ไม่ตัด”

“มึงต้องตัดค่ะ มาเร็วกูโทรมาจองกว่าจะได้คิว” เฌอถูลากถูกังผมเข้ามาในร้านตัดผมสุดหรู

“เอาน่าศิ ตัดเถอะกูรำคาญผมทรงหมาพุดเดิ้ลของมึง” เมฆพูดขึ้นอย่างนึกรำคาญง ก็จะไม่ยุ่งได้ไงล่ะ เฌอให้เวลาแต่งตัวรวมกัน 10 นาที

“สวัสดีค่ะคุณเฌอที่นัดไว้ตอน 10.30 ใช่มั้ยคะ”

“ใช่ค่ะ ตัดคนนี้ค่ะพี่”

“เห้ย เฌอ ขอร้อง” ทำหน้าอ้อนวอนเฌอแต่แล้วแม่คุณก็มองไม่เห็น

“งั้นเชิญไปสระผมก่อนนะคะ เดี๋ยวช่างจะเข้ามาตอน 11 โมงนะคะ”

“เจ้าของร้านตัดเองใช่มั้ยคะ”

“ใช่ค่ะ วันนี้คุณมีนเข้าร้านค่ะ”

ผมทำท่าอิดออดก่อนเฌอจะดุนหลังให้เดินตามพี่ผู้หญิงเข้าไปในส่วนของห้องสระผม เคยได้ยินชื่อร้านนี้มาบ้างเห็นว่าส่วนใหญ่ดาราเซเลบจะมาใช้บริการกัน เจ้าของร้านไม่ค่อยได้ตัดให้ใครนอกจากคนสนิท แต่ทำไมเฌอได้คิวเจ้าของร้านมาตัดให้ผมที่โนเนมแบบนี้ได้ยังไง พี่สาวที่มาต้อนรับพาผมมาส่งที่ห้องสระผมบรรยากาศสบายๆ เตียงสระมีระยะห่างกัน มีกลิ่นหอมอ่อนๆ จากเทียนอโรม่าที่จุดรอบห้อง ต่างจากร้านทำผมทั่วๆ ไป อีกอย่างไม่มีกลิ่นน้ำยาย้อมผมฉุนๆ แบบที่อื่นด้วย ไม่แปลกใจว่าจะได้รับความนิยมจากคนที่พอมีกำลังจ่ายมากพอสมควร

เหตุผลจริงๆ ที่ไม่ค่อยยอมตัดผมไม่ใช่เพราะหวงผมหรืออะไร แต่เพราะฝังใจตอนเด็กๆ โดนครูที่โรงเรียนตอนมอต้นไถผมจนแก้ไม่ได้ เลยต้องจำใจตัดทรงสกินเฮด ปกติเป็นคนผมยาวช้าชาวบ้านเขาอยู่แล้ว ทำให้ต้องไว้ผมทรงนั้นหลายเดือนกว่าจะกลับมาเป็นทรงเหมือนคนปกติ เลยเป็นคนไม่ค่อยอยากตัดผมเพราะกลัวว่าร้านที่ตัดให้จะตัดสั้นเกินไป

ออกจากห้องสระผมก็มาเจอกับเจ้าของร้านที่กำลังเตรียมอุปกรณ์ตัดผม ที่จำได้เพราะพี่เขาลงนิตยสารกับรายการทีวีจำพวกแรงบันดาลใจบ่อยๆ อีกอย่างเขาก็หล่อด้วยไง
   
“วันนี้อยากตัดทรงอะไรเอ่ย คิดมาหรือยัง”

“เอ่อ ไม่เลยครับ”

“พี่มีนคะ ตัดแบบที่ให้เพื่อนเฌอหล่อๆ น่ะค่ะ”

“อะไรเจ้าเฌอ พี่งงตั้งแต่เราให้แม่โทรหาพี่แล้วนะ ปกติเข้าร้านตัดผมกับเค้าที่ไหน”

“ก็ไม่ได้ตัดเองไงคะ ฮี่ๆ เอาน่าๆ ตัดให้เพื่อนเฌอหน่อย มันกำลังจะได้เล่นซีรีส์ของพีพี”

“พีพีมีเดีย?”

“ยังไม่ได้เล่นซะหน่อยเฌอ ไม่รู้จะผ่านหรือเปล่า” ผมยู่ปากปรามเฌอที่ชักจะอวดอ้างเกินจริงไปหน่อย

“งั้นเดี๋ยวพี่จะทำให้เขาเลือกเราดีมั้ย ทรงหน้าแบบนี้ตัดทรงไหนก็ได้ เดี๋ยวทำสีด้วยนะ”

“อ่าครับ”

เอาก็เอาวะ เชื่อในฝีมือช่างชื่อดังในประเทศหน่อยแล้วกัน


กว่าสามชั่วโมงในขั้นตอนการทำผม เริ่มจากตัด ซึ่งตอนนี้ก็ยังมองไม่ออกว่าจะเป็นทรงอะไร รู้แต่ว่าสั้นกว่าเดิม แต่ไม่ได้สั้นมาก เพราะผมไม่อยากโชว์หู คิดมาตลอดว่าตัวเองหูกาง ซึ่งพี่ช่างเขาก็บอกว่าคิดไปเอง ก็ผมไม่มั่นใจนี่ เขาก็ยังดีที่รับฟังความเห็น เลยพยายามตัดให้ด้านหน้ามีผมเยอะหน่อยแต่สไลด์ด้านข้างให้รับกับกรอบหน้ามากขึ้น ขั้นตอนการลงสีนี่ใช้เวลานานที่สุด อีกอย่างผมไม่รู้ด้วยว่าสีอะไร มีลงไฮไลท์อะไรของเขาไม่รู้ ตอนทำเขาไม่ได้ขออนุญาตแต่เหมือนบอกให้รู้ เอาเลยครับ ผมของผมไม่ใช่ของผมอีกต่อไป ตามสบ๊ายยยย

เสียงไดร์เป่าผมทำให้รู้ว่าถึงขั้นตอนสุดท้ายของกรรมวิธีอันยาวนาน ผมแอบสัปหงกเพราะมันนานซะเหลือเกินพี่จ๋า พี่ช่างใช้เจลสำหรับเซตผมให้นิดหน่อยก่อนมันจะออกมาเป็นทรงที่เขาคิดวางแผนไว้ แต่ผมยังไม่เห็นไม่ชัดหรอกครับ เลยขอให้พี่เขาหยิบแว่นที่ถูกถอดตั้งแต่สระผมมาใส่จะได้เห็นหน้าตัวเอง ใจก็กลัวว่ามันจะเด๋อ แต่อีกใจก็คาดหวังให้ออกมาแตกต่างในทางที่ดีขึ้น

“เป็นยังไงบ้าง ชอบมั้ย”

“เอ่อ พี่ทำไรกับผม”

“ทำไมล่ะไม่ชอบหรอ” พี่ช่างถามดูแต่น้ำเสียงเขาดูมั่นใจว่าไม่มีทางที่ผมจะไม่ชอบ ซึ่งนั่นก็จริง ผมว่าผมชอบมากกกก

“ป่าวครับ ผมแค่คิดว่าตัวเองไม่เคยเหมาะกับอะไรแบบนี้”

“ก็มั่นใจสิ” ช่างตัดผมชื่อดังบอกพร้อมยิ้มบางๆ ให้ผมก่อนจะเดินไปเก็บอุปกรณ์



“เชี่ยยยยยยยย ศิ หล่อมาก น่ารักด้วย”

“ดีกว่าทรงพุดเดิ้ลของมึงเยอะเลย”

“กูก็ว่าแบบนั้น”


ผมส่องกระจกพินิจพิจารณาบุคลิกของตัวเองที่เปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ศิคนก่อนหน้าที่จะเดินเข้ามาที่นี่ทรงผมยาวปรกหน้าปรกตาไม่เป็นทรง ไม่มั่นใจในตัวเอง  ตอนนี้กลับถูกรังสรรค์จากปลายกรรไกรและความชำนาญของช่างทำให้มันออกมาเป็นทรงอันเดอร์คัตไถข้างออกเล็กน้อย ด้านหน้าสไลด์ให้รับกรอบหน้าทรงรูปไข่ เซตแหวกข้างหน้าเล็กน้อย เหมือนที่เห็นนายแบบเกาหลีเขาทำกันเยอะช่วงนี้ สีบลอนด์น้ำตาลอ่อนทำให้ลุคดูเด็กกว่าเดิมทั้งที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองจะหน้าเด็กขนาดนี้

   “เดี๋ยวพี่ขอถ่ายรูปลงไอจีร้านหน่อยนะคะ” พี่พนักงานต้อนรับคนเดิมเดินมาบอกผมที่กำลังส่องกระจกอย่างหยุดทึ่งในลุคตัวเองไม่ได้

“เอ่อ จะดีหรอครับ ผมไม่รู้จะทำหน้ายังไง”

“ยิ้มแล้วยืนเฉยๆ ก็พอค่ะ ถอดแว่นออกด้วยนะคะ รีแล็กซ์หน่อยค่ะไม่ต้องเกร็งนะ” ทำยังไงก็คนมันไม่เคยถ่ายอะพี่

“โอเคค่า ขอบคุณมากๆ เลยค่ะคุณลูกค้า สีผมนี้คุณกานต์คิดใหม่เลยนะคะยังไม่เคยลองกับใคร คุณลูกค้าเป็นคนแรก”

“หรอครับ”

“ใช่ค่ะ เข้ากับคุณลูกค้ามาก น่ารักมากค่ะ”

“ขอบคุณครับ” ผมได้แต่ยิ้มรับคำชมเขินๆ ไม่รู้จะทำหน้ายังไง เฌอและเมฆก็เบะปากใส่กับอาการเห่อทรงผมของผมพอตัวเหมือนกัน



   
ออกจากร้านตัดผมมาจ่ายค่าเสียหายไปไม่แพงอย่างที่คิด ไม่ใช่เพราะพี่เจ้าของร้านรู้จักกับครอบครัวเฌอเพราะเป็นญาติทางแม่ (ผมเพิ่งรู้ไม่กี่นาทีที่ผ่านมา) แต่เพราะราคาปกติก็เท่านี้ อย่างที่เคยอ่านบทสัมภาษณ์พี่เขาเลยแฮะ จำได้ลางๆ ว่า มีดารามาตัดร้านเยอะๆ ข้อดีคือเราแทบไม่ต้องโปรโมทร้านเลย การจะคิดราคาแพงมันเหมือนเอาเปรียบลูกค้า ดาราเขาก็ต้องทำงานแลกเงิน เซเลบเขาก็ต้องทำงาน ต่างคนต่างทำหน้าที่และหน้าที่ของเราคือทำให้เขาดูดี ไม่ใช่แค่ดารา แต่หมายถึงลูกค้าทุกคนที่มาใช้บริการ จะได้รับการบริการอย่างเสมอกัน ราคาเท่ากัน

ความคิดแบบนี้ล่ะมั้งที่เขาเป็นช่างตัดผมมือต้นๆ ของประเทศ เจ๋งโคตร



“แหม่ ตอนให้ตัดทีแรกล่ะอิดออด”

ดันไหล่เฌออย่างเขินๆ ที่แซะตั้งแต่ออกจากร้าน

“ก็กลัวเด๋อนี่ ไม่ได้หล่อเหมือนเมฆนะเว้ย”

“ไม่ต้องมาโยนให้กู มึงมันไม่เคยเห็นความดีของตัวเอง”

“กูบวกเมฆ เลิกซะทีกับการไม่พอใจในตัวเองเนี่ย บ้านก็รวย หน้าก็ดี แต่เรียนห่วยไปหน่อยแค่นั้น”

“เฌอ เกือบดีละ”

“ถ้ามึงเลิกตีป้อมเดี๋ยวเกรดก็ขึ้นเองอะ”

“น่าๆๆๆ ไปเดินดูน้ำหอมกัน เนี่ยเห็นในเว็บรุ่นที่มึงอยากได้มาละ เร้ววววว”

ผมเบี่ยงเบนประเด็นก่อนที่เพื่อนสองคนจะรุมด่าผมมากไปกว่านี้







วันจันทร์ที่ทุกคนไม่อยากให้มาถึง คลาสเช้าสำหรับวิชาเลือกการจัดการความเครียดในองค์กร เป็นวิชาที่น่าสนใจจนทำให้นิสิตหลายคนเอนตัวฟุบลงกับโต๊ะแลคเชอร์ ทั้งที่ทั้งคลาสมีอยู่ไม่ถึง 60 คน ช่างกล้าเสียจริงพวกเจ้า ยังดีทีอ.ปวีณามัยใจดีแค่ตอนสอนเท่านั้นแหละ เหอะๆ ตอนสอบเหมือนสวมวิญญาณศาสตราจารย์แอมบริดจ์

ที่น่ากังวลใจกว่าการเรียนวันนี้คือนัดหมายจากพี่นิ้งประสานงานของซีรีส์คนเดิมโทรมาบอกให้ผมเข้าบริษัทประมาณ 5 โมงเย็น เนื่องจากจะเริ่มทำการเวิร์กช็อปวันนี้วันแรก ตอนแรกก็ตื่นเต้น แต่ไม่มากเท่าไหร่ เพราะมีแมสเสจปริศนาที่ไม่ปริศนาอีกต่อไปสำหรับผมส่งมาบอกล่วงหน้าตั้งสามวัน เลยไม่ลืมติดเสื้อฮู้ดแขนยาวยี่ห้อดังมาคืนคุณหมอด้วย บอกเลยว่าเทน้ำยาปรับผ้านุ่มเยอะมากๆ กลัวจะทำให้เสื้อเขาเหม็นอับ
   
การเรียนคลาสเช้าบ่ายต่อเนื่องยาวๆ ทำให้ร่างกาย  ยม อาโปสอนมา เป็นภาษาเหนือแปลว่า เหี่ยว คล้ายๆ กับหมดแรง แก๊งค์เราเลยชอบใช้คำนี้มันอธิบายสภาพหลังเลิกเรียนทั้งวันได้ดีกว่าคำอื่น ไหนจะการบ้านที่ต้องส่งก่อนศุกร์นี้ผ่านเมล์อาจาร์ปวีนมัย กับหัวข้อ “เขียนถ้อยแถลงสำหรับลดข้อขัดแข้งภายในแผนก ระบุข้อขัดแย้ง สาเหตุ และวิธีการแก้ไข เรียบเรียงเป็นคำแถลงการณ์สำหรับหนังสือเวียน”  กูจะบ้าาาาาา อาจารย์ไม่ปราณีเลยเหอะ

“ศิป่ะ เดี๋ยวไม่ทัน รีบเหอะสี่โมงละ เดี๋ยวบีทีเอสคนเยอะ”

“เฮ้ออ เหนื่อยจังอาโป ขอเอนหลังแป๊บได้ป่ะ”

“มะเหงกเหอะ มึงเอนเท่ากับมึงหลับ เร็ว”

“เจอกันพรุ่งนี้นะเมฆ เฌอ” ผมคว้ากระเป๋าอย่างจำใจและลากเมฆกับอาโปเสียงอ่อย

“เดี๋ยวๆ เลิกกี่ทุ่มอะ” เฌอถามขึ้นตอนที่ผมกับอาโปกำลังเตรียมสะพายกระเป๋าเป้ วันนี้ไม่ได้ใช้ถุงผ้าแล้วเพราะต้องเอาชุดไปเปลี่ยนตอนเวิร์กช็อป อาโปผู้มีประสบการณ์บอกมา

“สามหรือสี่นี่แหละมั้ง”

“งั้นคอลกันก่อนนะจ๊ะ งานกลุ่มจะแก้ไม่ทันแล้ว”

“เฌอออออออออ” อาโปโอดครวญกับเฌอที่ห่วงการเรียนพอๆ กับเมฆแบบไม่ปราณีปราศัยกันเลย

“เออ เดี๋ยวจะทำล่วงหน้ากับเมฆก่อน แต่ยังไงก็ต้องมาช่วยกัน งานกลุ่มไม่ใช่….”

“ทำสังฆทาน” ผม อาโป และเมฆ พูดขึ้นพร้อมๆ กัน

“เออนั่นแหละ”

   
นี่คือวลีพิฆาตของเฌอเลย เคยมีครั้งหนึ่งอาจารย์สุ่มจับกลุ่มให้ทำรายงานการวิจัยจิตวิทยาทางสังคม เฌอถูกสุ่มให้ไปอยู่กลุ่มผู้หญิงที่เป็นผู้หญิ๊งผู้หญิงซึ่งเฌอเคยบอกว่าไม่ถูกโฉลกด้วย แต่ต้องไปทำงานลงพื้นที่เก็บข้อมูล ซึ่งพวกเธอเหล่านั้นก็บ่นระงม จนไปๆ มาๆ เฌอกลายเป็นคนทำงานคนเดียว พอมีการรายงานความคืนหน้าระหว่างทำงาน เฌอพูดถึงปัญหาในการดำเนินงานเหมือนระบายความในใจ พีคที่สุดคือเฌอขอทำงานชิ้นนี้คนเดียวและขอทำใหม่ด้วยหัวข้อใหม่เพราะเฌอไม่อยากทำงานแบบ ทำสังฆทานทำคนเดียวแต่ได้อนิสงส์ทั้งกลุ่ม ทั้งห้องเงียบกริบกระทั่งอาจารย์ เพื่อนร่วมกลุ่มต้องขอเวลานอกและขอโทษเฌอที่ให้ทำงานคนเดียว สรุปอาจารย์หักคะแนนคนอื่นในกลุ่มยกเว้นเฌอ ไม่เช่นนั้นก็ต้องทำงานใหม่ทั้งหมดด้วยหัวข้อใหม่เหมือนเฌอถ้าจะแยกกลุ่ม

โคตรคนจริง นี่แหละเฌอเพื่อนโผ๊มมม







บรรยากาศการเวิร์กช็อปเริ่มต้นขึ้นเมื่อผู้ผ่านเข้ารอบทุกคนได้รับป้ายชื่อของตัวเอง พร้อมวงเล็บบทที่จะได้รับใต้ชื่อ บรรยากาศห้องกว้าง โล่ง มีกระจกเป็นผนังเกินครึ่ง เหมือนที่เคยเห็นในทีวี แน่นขนัดไปด้วยผู้ผ่านเข้ารอบสำหรับซีรีส์เรื่องนี้เกิน 50 ชีวิต แบ่งเป็นบทต่างๆ มีผู้ผ่านเข้ารอบไม่เท่ากันแล้วแต่ความเห็นชอบของกรรมการ ห้องลักษณะนี้เป็นที่สำหรับการซ้อมเต้น ซ้อมการแสดง และใช้เวิร์กช็อปกิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะเด็กเทรนด์ของพีพีมีเดียจะได้ใช้ห้องนี้ ส่วนห้องซ้อมอื่นๆ จะเป็นนักแสดงที่มีชื่อเสียงใช้กัน คนละชั้น นั่นแหละ

“สวัสดีจ้ะเด็กๆ ครูกิ่งนะคะ แล้วนี่มีครูเอ้ ครูต้น ครูน้ำหนึ่ง จะมาเป็นคุณครูสำหรับการเวิร์กช็อปตลอด 5 วันนี้”

“เห้ยย 5 วัน”
“5 วันเองหรอ”
“น้อยจังอะ”


ครูกิ่งที่ผมเคยเจอยังไม่ทันแจ้งอะไรต่างๆ มากมายก็เกิดเสียงจอแจจากทุกคนที่นั่งในห้องนี้ ราวกับไม่อยากเชื่อว่ากระบวนการเวิร์กช็อปสำหรับคัดเลือกนักแสดงที่จะเป็นตัวจริงในซีรีส์จะใช้เวลาแค่ 5 วัน

“เด็กๆ ใจเย็นๆ ก่อนนะครับ ฟังครูก่อน” ครูต้นใช้น้ำเสียงเรียบๆ แต่ดังและฟังชัด จนทุกคนหยุดการใช้เสียง เหมือนครูปกครองดุเลย คนนี้ต้องน่ากลัวแน่ๆ

“ขอบคุณครูต้นค่ะ เรื่องนี้เป็นสิ่งที่คณะกรรมการและครูประเมินกันมาแล้วว่าภายใน 5 วัน จะดึงศักยภาพของเด็กที่พร้อม ที่จะได้เป็นตัวจริงของนักแสดงเรื่องนี้”

   “ฉะนั้น หน้าที่ของทุกคนจะต้องตั้งใจ ฝึกฝน และพัฒนาตัวเองให้ครูเห็น ในวันสุดท้ายของการเวิร์กช็อปจะมีคณะกรรมการคนอื่นๆ เข้าร่วมประเมินครั้งสุดท้าย และทุกๆ วันครูทั้ง 4 จะประเมินพวกเราทุกคนด้วย” ครูน้ำหนึ่งพูดขึ้น

“ครูอยากให้ทุกคนตั้งใจให้มากที่สุด อย่าลืมความฝันว่ามาที่นี่ทำไม โอเคมั้ยคะ” ครูเอ้ที่ดูใจดีที่สุดพูดพร้อมยิ้มให้พวกเราอยากจริงใจ

“ค้าบบบบบ/ค่าาาาาาา”



   
“เอาล่ะ บทเรียนแรกในวันนี้ครูอยากให้ทุกคนจำชื่อเพื่อนที่ร่วมเล่นบทเดียวกับเราให้ได้ จับกลุ่มกันเร็วๆ นั่งแยกเป็นกรุ๊ป เอ้าเร็ว เด็กๆ” สิ้นเสียงครูกิ่งทุกคนต่างมองหาคนที่เขียนวงเล็บใต้ชื่อเหมือนกัน

ตอนแรกที่นั่งกระจัดกระจายเลยได้วิ่งหาเพื่อนที่มีชื่อวงเล็บเดียวกับผม บอกเลยว่าวุ่นวายมากๆ แต่โชคดีที่ได้ยินคนนึงยืนแล้วยกมือเรียกชื่อบทภามาส อ่ะ คนนั้นไงที่ชื่อพูลล์
   
“ภามาสตรงนี้ครับ” พอได้มายืนใกล้ๆ เขาก็รู้เลยว่าทำไมถึงมีแฟนคลับเขาด่าผมขนาดนี้ นอกจากจะหน้าตาดีจัดแล้ว ยังเป็นคนที่หล่อและสวยในคนเดียวกัน คือ หน้าหวานยิ้มทีก็น่ารักมากๆ เลย

“รังสิมันต์ตรงนี้” ผู้ชายที่ตัวโตพอๆ กับคุณดิมยืนยกมือท่ามกลางความวุ่นวาย ก่อนจะมีผู้ชายหน้าตาดีจัดอีกสี่คนค่อยๆ เดินเข้ามา ภาพมันเหมือนฉากในซีรีส์เกาหลีที่พระเอกเดินออกมาในซีนแรกพร้อมกันเลยอะ โคตรเท่เหอะ

อะ นั่นคุณดิม เราสบตากันเล็กน้อย ยังไม่ทันยังได้ส่งสัญญาณทักทายเขาก็หลบสายตาไปซะก่อน อ่า เราไม่ได้สนิทกัน

อย่าลืมสิศิ






กลุ่มของคุณดิมและผมนั่งใกล้กัน เรียกได้ว่าตอนนี้ผมนั่งหันหลังให้เขาอยู่ คือ ถ้าหันหน้าไปก็ชนเขาเต็มๆ แอบตื่นเต้นเหมือนกัน พอคิดถึงวันที่ฝนตกกับแมสเสจปริศนานั่นใจมันก็เต้นเร็วขึ้นแบบดื้อๆ ไม่เคยอยากคิดเข้าข้างตัวเองแต่ก็แอบดีใจที่เขาเอ็นดูผมล่ะมั้งนะ

“เป็นหวัดหรือเปล่าวันนั้น” เสียงกระซิบจากคนด้านหลังก็ถามขึ้นอย่างที่กะจะให้ได้ยินสองคน

“เปล่าครับ” ผมกระซิบตอบกลับไป

“ดีแล้ว”

“ผมเอาเสื้อมาคืนคุณด้วย” บอกเจตจำนงอย่างตั้งใจของตัวเอง

“เลิกแล้วค่อยว่ากัน”

“ครับ”

ได้ลอบยิ้มกับตัวเอง นี่เรากำลังทำอะไรกันอยู่ เหมือนมีความผิดเสียมากมายกะอิแค่จะคืนเสื้อ คุณดิมก็ถามตามประสาความเป็นนายแพทย์ ไม่ได้มีอะไรมากไปกว่านั้นเลยศิ



เลิกยิ้มได้แล้ว

   








มีต่อ







   



« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-08-2018 23:33:35 โดย mifengbee »

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
“เอาล่ะ จับกลุ่มเสร็จแล้ว ครูจะให้ทักทายกันในกลุ่ม และผลัดกันเล่าเรื่องที่น่าตื่นเต้นที่สุดของตัวเอง แล้วเลือกตัวแทนกลุ่มเพื่อเล่าให้ครูและเพื่อนๆ คนอื่นฟัง เริ่มเลยครับ”

นะนนท์ (อ่านจากป้ายชื่อ) เริ่มทักทายเพื่อนในกลุ่มก่อน ประกอบไปด้วย พูลล์, บอส, ตระการ, และผม ก่อนจะไล่เวียนตามลำดับไปทีละคน สายตาคนอื่นๆ ที่มองผมไม่เป็นมิตรแบบปิดไม่มิด ยกเว้นพูลล์ที่ยิ้มให้ผมตั้งแต่เจอหน้ากันตอนรวมกลุ่ม ความรู้สึกอึดอัดเริ่มเกาะกินภายในใจอีกครั้งแต่ผมจะพยายามไม่แสดงมันออกมา

ทุกคนเล่าเรื่องที่น่าตื่นเต้นของตัวเองได้อย่างน่าฟัง จนมาถึงคิวผมที่ต้องบรรเลงเรื่องที่เตรียมไว้แล้ว แต่ก็ต้องเปลี่ยนใจเพราะประสบการณ์ไปดิสนี่ย์แลนด์ที่แคลิฟอเนียร์ตอนม.5 ลดความน่าตื่นเต้นลงเพราะเวลาที่นานมากจนจำความรู้สึกตอนนั้นไม่ค่อยได้แล้ว แต่เรื่องหนึ่งที่ไม่เคยลดเมื่อนึกถึงเลยคงจะมีเรื่องเดียว เอาวะ เรื่องนี้คงไม่ได้ถูกเลือกจากเพื่อนคนที่เหลือหรอก

“เราอยู่มอสี่ ตอนนั้นน่าจะเลิกเรียนแล้วห้องน้ำในอาคารปิดหมด เลยต้องไปแอบเข้าห้องน้ำของชมรมว่ายน้ำ ซึ่งปกติไม่ให้คนนอกเข้า ตอนเข้าไปก็ไม่รู้ว่ามีคนอยู่ในห้องข้างๆ ก็เลยทำธุระของตัวเองไป จนได้ยินเสียงเปิดน้ำจากห้องอาบน้ำ ตอนแรกเราก็กลัวคิดว่าไม่ใช่เสียงคน แล้วจู่ๆ ก็เสียงหอบหายใจจากห้องข้างๆ คือมันเป็นเสียงแบบว่าหอบหายใจเหมือนทำอะไรด้วยตัวเอง ตอนแรกก็คิดว่าเป็นฉากรักอิโรติกของรุ่นพี่ แต่...แต่ว่าไม่น่าใช่เพราะฟังดูแล้วเป็นเสียงคนเดียว เลยคิดว่า เอ่อ...เขาน่าจะช่วยตัวเอง เราก็เลยอยู่ในห้องน้ำนานมากรอจนกว่าเขาจะออกไปแล้วค่อยออกไป” ทุกคนในกลุ่มเงียบฟังและแสดงอาการลุ้น และโล่งอกที่ผมไม่ได้เจอผี แต่กลับยิ้มเขินอย่างปิดไม่มิดพอรู้ว่าเป็นเรื่องความต้องการแบบผู้ชายๆ

“แล้วรู้มั้ยว่าใครอะ” บอสเป็นคนถามขึ้น

“อ่า ก็เป็นรุ่นพี่ที่จบไปนานมากๆ แล้วอะ เขามาสอนว่ายน้ำ แต่ว่าอย่าไปบอกใครนะ เราไม่เคยเล่าให้ใครฟังเลย แต่ว่าคิดเรื่องที่ตื่นเต้นไม่ออก” ผมก้มหน้าพร้อมบีบมือตัวเองอย่างกังวล ไม่รู้คิดถูกหรือผิดที่ทำอย่างนี้

“ฮ่าๆ” เสียงหัวเราะจากสี่คนดังขึ้นแล้วก็อมยิ้มให้ผม พูลล์ยกมือลูบคออย่างอายๆ

เออมันน่าอายเว้ย แล้วคนที่น่าอายเขาก็นั่งอยู่ที่นี่ด้วย

“เรื่องหลงป่าตอนเข้าค่ายของเราด๋อยไปเลยว่ะ ของนายเจ๋งกว่าจริงๆ” ตระการที่นั่งเงียบอยู่นานเอ่ยขึ้น

“โหวตมั้ยว่าของใครจะได้ไปเล่า”

“ใครให้เรื่องของศิบ้าง” พูลล์คนเดิมขอเสียงโหวตจากทุกคน แถมส่งสัญญาณสายตาให้เพื่อนคนอื่นอีก

ไม่นะ ม่ายยยยยยยยยยยยย

พรึ่บ!

เชี่ยยยยยยยยยยยย ตายแน่ เรื่องคุณดิวจะต้องออกสู่สาธารณะหรอวะ โอ้ยไม่น่าเลยไอ้ศิ อุตส่าห์เก็บเป็นความลับได้ตั้งหลายปีจะมาโป๊ะแตกวันนี้ น้ำตาจะไหลแล้ว


และแล้วเรื่องเซ็กซี่ของคุณดิมก็ออกสู่สาธารณชน เป็นที่ฮือฮาของคนทั้งห้องรวมถึงคุณครูด้วย ทั้งที่ผมไม่ได้เล่าสนุก ยังคงประหม่าเมื่อต้องอยู่ท่ามกลางคนเยอะๆ แต่ครูทั้งสี่คนก็บอกว่าเป็นการเลือกเรื่องมาเล่าที่ดี มีจังหวะในการนำเสนอ มีจุดไคลแม็กซ์ แต่ยังต้องพัฒนาอารมณ์และน้ำเสียงของผู้เล่าให้น่าติดตามกว่านี้ ก่อนจะได้รับเสียงปรบมือดังจากทั้งห้อง รวมถึงคุณดิมด้วย โล่งอกดีมั้ยที่เขาจำไม่ได้ว่านั่นเป็นเรื่องของเขา ซึ่งดีแล้วดีโคตรๆ ถ้าเขารู้ผมคงไม่รู้ว่าจะมองหน้าเขายังไงอีก

   
“เอาล่ะ เด็กๆ ก่อนจะกลับบ้านกันนะคะ พี่ใบชา ฝ่ายการตลาดเขาอยากจะคุยอะไรกับพวกเราหน่อย”

“เชิญค่ะ”

อ่า พี่ใบชาจอมวางแผนคนดีคนเดิมมม ฮึ้มมม

“สวัสดีค่ะน้องๆ พี่ใบชานะคะ วันนี้เป็นยังไงเวิร์กชอปวันแรก สนุกหรือเปล่า”

“สนุกครับบบ สนุกค่าาา”

“เรื่องที่พี่จะแจ้งก็ไม่มีอะไรมาก น้องๆ ทุกคนคงมีไอจี ทวิตเตอร์ เฟซบุ๊ก กันเนอะ ซีรีส์ของเราเป็นซีรีส์วาย ฉะนั้นการสร้างโมเม้นต์หรือความสัมพันธ์ขณะเวิร์กชอปให้ฟอลโลวเวอร์ของเราได้เห็นความเคลื่อนไหว พี่คิดว่าจะยิ่งทำให้ตัวซีรีส์ได้รับการพูดถึงนะคะ อยากให้น้องๆ ทำอย่างเป็นธรรมชาติ อันนี้ไม่ใช่เป็นแผนการตลาด พี่พูดตรงๆ เลยแล้วกัน มันจะดีต่อตัวน้องๆ สำหรับคนที่ได้ไปต่อ ก็อาจจะขยายกลุ่มไปมีแฟนคลับ ส่วนคนที่ไม่ได้ไปต่อก็จะมีคนรู้จักมากขึ้นจากกระแสของซีรีส์นี้ สู้ๆ กับเวิร์กชอปนะคะ”

พี่ใบชาพูดจบก็แจกยิ้มให้พวกเราอย่างใจดี แต่ผมรู้ว่ามันมีอะไรแอบแฝงอยู่ในรอยยิ้มนั้น เพราะผมตกเป็นเหยื่อการตลาดของพี่ใบชามาแล้วไง!! #มาสไม่ใช่เด็กเส้นแต่เป็นเด็กหมอ ยังมีคนพูดถึงอยู่เลยจนทุกวันนี้ และตอนนี้ผมมีทวิตเตอร์แล้วแหละแต่เป็นแอ็คหลุม (ศัพท์นี้เฌอสอนมา) เอาไว้ส่องแท็กอย่างเดียวเลย



สี่ทุ่มสิบห้าคุณครูอนุญาตให้ทุกคนกลับบ้าน รวมถึงฝากการบ้านให้ไปท่องบทคนละสามบรรทัด พรุ่งนี้จะเรียนการฝึกพูดและการใช้น้ำเสียง รวมถึงคลาสบล็อกกิ้งด้วย

เอาตรงๆ แค่วันนี้วันเดียวร่างกายผมก็ยมแบบที่ไม่รู้จะยมอย่างไรแล้วครับคุณผู้โช้มมมม หลังจากกิจกรรมแนะนำตัวและเล่าเรื่องน่าอาย (ชื่อที่ผมตั้งเอง) พวกเราก็โดนให้ฝึกสมาธิและพัฒนาอารมณ์เบื้องต้น จากการจับคู่และพูดคุยกันผ่านสายตาโดยไม่ผ่านคำพูด ผมคู่กับพูลล์ การแสดงอารมณ์ของพูลล์ดีมากๆ เขาสื่อสารออกมาได้อย่างชัดเจน จนผู้รู้ว่าเขากำลังเศร้าอยู่เป็นอาการเศร้าที่ไม่ใช่การร้องไห้ แต่เป็นการต้องการหาคนปรับทุกข์ ส่วนผมแสดงอาการดีใจ เป็นการดีใจที่จะได้กลับบ้านหลังจากคลาสวันนี้ พอครูมาถามเราสองคนก็ตอบอย่างตรงกัน เป็นคู่เดียวที่ทำได้อย่างที่ครูต้องการ เก่งเนาะเราเนี่ยตัวแค่นี้

ผมกับพูลล์เข้ากันดีกว่าที่คิดไว้ และเขาก็เป็นคนมีน้ำใจมากๆ พูลล์เรียนการแสดงมามากกว่าผม แน่ล่ะเขาเคยเล่ยซีนี่ส์มาบ้างแล้ว เลยอธิบายการแสดงอารมณ์และวิธีการที่ดีให้ ผมเลยแสดงออกมาได้ แนวโน้มเราจะได้เป็นมิตรมากกว่าศัตรูล่ะมั้ง

“ศิ เราขอไอจีหน่อยสิ” พูลล์เดินมาสะกิดผมในห้องน้ำ ที่กำลังล้างหน้าล้างตาเตรียมกลับคอนโด

“อ่อ เรายังไม่ได้สมัครเลย”

“เออศิมึงลืมใช่มั้ยเนี่ย บอกให้สมัครตั้งแต่เมื่อวันก่อนละ” อาโปพูดด้วยเสียงเหวี่ยงๆ

“แหะๆ เออยังอะ”

“งั้นเดี๋ยววันนี้เราสมัครแล้วจะฟอลไปนะ” หันไปพูดกับผู้ชายหน้าหวานที่มัดผมจุกด้วยยางสีเหลือง คนอะไรทำอะไรก็น่ารักแฮะ

“งั้นขอไลน์ไว้ สมัครแล้วเราจะส่งชื่อแอคเคาท์นไปให้”

“อื้อ เอาสิ” ผมและอาโปแลกไลน์กับพูลล์ด้วยบรรยากาศเป็นธรรมชาติที่สุด เขาเป็นคนที่มีบรรยากาศรอบตัวดีมากๆ เลย ไม่แปลกที่ใครก็อยากเข้าหา

   “งั้นเรากลับก่อนนะ พรุ่งนี้เจอกันนะศิ อาโป”

“บ๊าย บาย”  โบกมือลาเพื่อนใหม่เฟรนด์ลี่ต่างจากความคิดก่อนจะมาเวิร์กชอปโดยสิ้นเชิง จริงๆ ก็กับทุกคนที่จะต้องเจอวันนี้ แต่พอผมออกไปเล่าเรื่องน่าอายนั่นทุกคนก็ใช้สายตามองผมต่างออกไป ไม่ใช่การหยั่งเชิง หรือเหยียด แต่เป็นสายตาที่พร้อมจะทำความรู้จักกับผมมากขึ้น อีกอย่างวันนี้ก็มีมาทักทายผมนอกจากคนในกลุ่มตั้งสามคนแหนะ น่าดีใจใช่มั้ยล่ะ


“กลับแท็กซี่กันศิ ขี้เกียจเดินขึ้นไปขึ้นรถไฟฟ้า” ทั้งที่จริงก็ไม่ได้ไกลเลย แต่เราสองคนเหนื่อยจนเกินจะทำอะไรนอกจากนั่งเฉยๆ ให้พี่แท็กซี่ขับไปส่งที่คอนโด

ปรี๊น

บีเอ็มสีดำขลับกับป้ายทะเบียนที่จำขึ้นใจบีบแตรใส่ ไม่ต้องเดาเลยคนในรถจะเป็นใคร คุณดิมไงจะใครล่ะ

“ขึ้นรถสิ” คุณดิมลดกระจกฝั่งคนขับก่อนจะเรียกผมและอาโปที่กำลังจะก้าวออกจากอาณาบริเวณบริษัท

“อ่า ไม่เป็นไรครับ”

“เร็วสิ รถคันหลังเค้าจะออก”

“เอาไง” ผมหันไปถามอาโป

“เร็วน่า” คุณดิมเร่ง

“เออไปก็ไป” อาโปผลักให้ผมไปนั่งข้างคนขับ ผมเลยต้องรีบเปิดแล้วปิดประตูรถคันคันหรูอย่างช่วยไม่ได้ เสียงแตรจากรถข้างหลังก็กดดันจัง

“ขอบคุณครับคุณดิม”  ผมยกมือไหว้ขอบคุณหลังจากที่คาดเบลท์แล้ว

“ไม่เป็นไร”

“อาโปบ้านอยู่ไหน”

“อ่อ แยกสามย่านครับ”

“งั้นเดี๋ยวไปส่งอาโปก่อนแล้วไปส่งเธอ”

“ครับ”

ความสงสัยในคำสรรพนามระหว่างผมกับอาโปที่คุณเขาเรียกมันดูแปล่งๆ ทำไมเรียกผมว่าเธอแต่เรียกอาโปว่าอาโป ทั้งๆ ที่ผมกับอาโปเป็นเพื่อนกัน เอ๊ะ คุณหมอเขาสับสนกับอะไรพวกนี้หรอ

พออาโปลงจากรถคุณดิมไป ผมไม่รอช้ารีบถามถึงความสงสัยทันที

“ทำไมคุณดิมไม่เรียกอาโปว่าเธอ แต่เรียกอาโปว่าอาโป แต่ทำไมเรียกผมว่าเธอ”

“....”

“....”

คุณหมอเงียบ ผมเลยเงียบตาม เพราะไม่ได้รับคำตอบ

“ก็ตอนแรกผมไม่รู้จักชื่อเธอ ก็เลยเรียกเธอ”

“แต่ตอนนี้รู้แล้วนี่ครับ”

“มันชินไปแล้ว หรือเธออยากให้ฉันเรียกอะไร  น้องศิ?”

“อ่ะ มะ ไม่ใช่ๆ เรียกชื่อเฉยๆ ก็ได้”

“งั้นเอาไว้สนิทกันค่อยเรียก”

“อ่า..ครับ”

งั้นแปลว่าเขาสนิทกับอาโปมากกว่าผมหรือไง

อะไรวะ


รถหรูจอดเทียบที่จอดหน้าคอนโด ผมปลดเบลท์คาดออก ก่อนจะยื่นถุงเสื้อฮู้ดที่วันนี้ตั้งใจอย่างแรงกล้าว่าจะเอาไปคืน แต่เหมือนมันวนกลับมาที่จุดที่มันจากไปเมื่อเช้าเลยแฮะ เดินทางหลายต่อจังนะเจ้าฮู้ดสองหมื่น

“นี่ครับเสื้อผมเอามาคืน ขอบคุณที่ให้ยืมครับ”

“เอาไว้ด้านหลังเลย”

จังหวะที่สารถีร่างสูงเอี้ยวตัวจะพยายามเคลียร์ของหลังรถที่ค่อนข้างเยอะ แต่วางเป็นระเบียบดี ผมก็จะหันไปวางถุงเสื้อตามที่คุณดิมบอก ใบหน้าของเราก็ลดระยะเข้ามาใกล้กันอย่างไม่ควรจะเป็น สายตาจากนัยน์ตาเรียวสวยสีนิลดำขลับสะท้อนใบหน้าเหว๋อๆ ของผมอย่างเด่นชัด เสมือนทุกอย่างรอบตัวหยุดลงแค่ได้มองดวงตาคู่นี้ มันดึงดูดรัดตรึงให้ขยับไปไหนไม่ได้ ถ้าหากเขาสั่งให้ผมหยุดหายใจก็คงทำตามอย่างไม่ขัดขืน

“อ่ะ ขอโทษที” เป็นเขาที่หลบสายตาทำให้พันธะทุกอย่างพลันสลายลงไปต่อหน้าต่อตา ซึ่งนั่นดีกับตัวผม ไม่อย่างนั้นคงได้หยุดหายใจ…

“ผมขอตัวนะครับ ขอบคุณที่มาส่ง”

กำลังจะเอี้ยวตัวเปิดประตูรถ เสียงเรียกจากคนที่ผมเอ่ยลากลับดังขึ้น “เดี๋ยวสิ”

“ตัดผมแล้วจำแทบไม่ได้เลยนะ”

“มันดีหรือไม่ดีครับ” ผมไม่รู้ว่าเขาใช้สายตาแบบไหนตอนพูดประโยคนี้ ได้แต่ก้มหน้างุดถามคำถามกัลอย่างกล้าๆ กลัวๆ

“ดีสิ”

“....”

“น่ารักดี”



คนไม่สนิทกันเขาชมกันว่าน่ารักหรอวะ


งงเว้ย


-//-








------To be Continued------





ชื่อตอนเต็มๆ ความลับที่ทุกคนรู้แต่หมอไม่รู้5555555555555555555555555

หมอที่ว่าซึนก็ยังแพ้ความน่ารักของน้องงงงงงงงงงงง ตัดผมใหม่แล้วยิ่งน้องงงงงง

โอ้ยยยยยย เบื่อความซึนของหมอเนาะ

เดี๋ยวจำความหลังของตัวเองได้ก๊อนนนน

555555555555555555

ไว้เจอกันอาทิตย์หน้าเด้อ





#เพียงจินตนาการ

#หมอดิมน้องสิ



@mifengbeexx




บี
 :hao6: :hao6: :hao6: :hao6:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-08-2018 23:38:12 โดย mifengbee »

ออฟไลน์ biibbmnt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0

ออฟไลน์ vivierav

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รอนะค้าาา เป็นกำลังใจให้เด้อ

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ
EP.05 หมอป่วยขอคนช่วยดูแล

I never knew you were the someone waiting for me
'Cause we were just kids when we fell in love






เข้าวันที่สี่ของการเวิร์กชอป บอกเลยว่าทุกคนต่างมีสีหน้าที่เหนื่อยล้า ใต้ตาหลายคนดำคล้ำผลพ่วงมาจากพักผ่อนน้อย เพราะนอกจากการมาเวิร์กชอป ทุกคนยังคงมีหน้าที่หลักที่ต้องทำ บางคนยังเป็นนักศึกษา บางคนมีธุรกิจส่วนตัว บางคนกำลังรอเรียนต่อ บางคนก็ทำงานในวงการ และบางคนก็เป็นหมอ…

คนหลังน่าจะอาการหนักสุด เพิ่งมารู้จากปากของเขาเมื่อวาน ขณะล้อมวงพักเบรคกินขนมที่ทางทีมงานจัดมาให้ว่าหลังจบเวิร์กชอปคุณหมอจะต้องกลับไปเข้าเวรต่อจนเช้า และเข้าเวรอีกทีตอนหลังเวิร์กชอปของวันถัดไป ซึ่งจริงๆ กินเวลาเวรของคนอื่นไปถึง 2 ชั่วโมง ทำให้หลังจากนี้จะต้องไปชดใช้เวรกรรมให้คนอื่นทดแทน พอมานั่งนับจำนวนชั่วโมงนอนก็คิดว่าไม่น่าจะดูอ่อนเพลียขนาดนี้ แต่ร่างสูงสภาพอิดโรยบอกต่ออีกว่าจะต้องเข้าเรียนอีกตอนบ่าย อื้อหือ ไม่แปลกใจเลยทำไมสภาพคุณหมอดูอ่อนล้าเต็มที ทำได้แค่ลอบสังเกตสีหน้าท่าทางเจ้าของร่างสูงหน้าคมที่ตอนนี้ใต้ตาดำกว่าก้นหม้อ กลัวว่าจะต้องเรียกกู้ภัยมาส่งหมอไปโรงหมอแทน

พาร์ทหลังของการเวิร์กชอปวันนี้ คือ การแสดงออกทางอารมณ์ที่เกิดจากความขัดแย้งและซับซ้อนกว่าสิ่งที่เคยเรียนไป คนดูแลบทเรียนนี้คือครูต้นสุดโหด แต่เป็นคุณครูที่อธิบายการแสดงออกได้ดีที่สุดเลย มีการไกด์ให้เห็นภาพทำให้เราเข้าใจว่าควรแสดงสีหน้าอย่างไร การกลั่นอารมณ์ตัวเอง แม้กระทั่งจังหวะการพูดเวลาที่ตกอยู่ห้วงอารมณ์นั้น ส่วนไดอะล็อกที่ได้นำมาฝึกวันนี้มากจากซีรี่ส์วายชื่อดัง ฉากปะทะคารมณ์ของสามตัวแสดง นั่นคือ พระเอกที่หลงรักนายเอกและพยายามผลักไสแฟนเก่าต่อหน้าผู้ชายที่ตัวเองเลือก อารมณ์ทั้งโกรธปนเศร้าของสามคน นับเป็นซีนที่ยากมากเพราะฉากจริงจะมีฝนตกลงมาด้วย แต่ครูต้นแค่อยากให้แสดงอารมณ์ความโกรธปนเสียใจออกมาให้ได้มากที่สุด ไม่ถึงกับต้องสร้างฝนเทียม

“เอาล่ะ เด็กๆ ในเมื่อเรามีผู้หญิงน้อย ผู้ชายบางคนต้องเล่นเป็นผู้หญิงแทนนะ แต่อารมณ์ไม่ต่างกัน หรือจะสมมติเป็นรักสามเศร้าของผู้ชายสามคนก็ได้”

“วู้วววว วู้วววว” เสียงโฮ่แซวจากปากผู้ชายรอบห้องซ้อมการแสดง

 “เอาล่ะๆ เริ่มจับกลุ่มกันเลย พวกบทพระเอกต้องจับคู่นายเอกนะ อย่าลืมตำแหน่งตัวเอง”

“ศิๆ มาจับคู่กัน พี่ดิมๆ มาเร็วฮะ” ผู้ชายสัญลักษณ์ของความร่าเริง ที่วันนี้มัดจุกด้วยยางสีเหลืองเหมือนเคยคว้าแขนผมและผู้ชายร่างสูงที่ยืนหาวรอบที่สามสิบ ก่อนจะผลุบนั่งลงเป็นกลุ่มก่อนใครเพื่อน ผมนี่หน้าเหว๋อหน่อยๆ ไม่คิดว่าจะต้องมาเข้ากลุ่มกับคุณดิม...ตั้งแต่เวิร์กชอปมา 3 วันเข้าวันที่ 4 ก็คือวันนี้ มีวันแรกเท่านั้นที่ได้คุยกันบ้าง เพราะหลังจากที่หมอพูดคำนั้นผมก็ไม่กล้าสู้หน้าสู้สายตาเขาอีกเลย

“ตัดผมแล้วจำแทบไม่ได้เลยนะ”
“ดีสิ”
“น่ารักดี”



คุณดิมไม่มีทางรู้หรอกว่าคำพูดแค่ไม่กี่คำจะมีอิทธิพลกับผมมากแค่ไหน มันเพิ่มพูนความรู้สึกหลายอย่างให้พองโต ชัดเจน แม้จะพยายามปฏิเสธมาโดยตลอดก็ตามที ได้แต่เตือนตัวเองว่าคงไม่มีทางเกิดขึ้นอีกก็แค่อารมณ์เผลอไผลจากการใกล้ชิดเกินควรก็เท่านั้น

“แค่ก แค่ก อ่ะ ขอโทษที” ร่างสูงที่นั่งถัดจากพูลล์ไอแห้งๆ สงสัยคงมีอาการเจ็บคอแล้ว

“พี่ดิมไม่สบายหรือเปล่าครับ ทำไมหน้าซีดจัง” ผู้ชายที่สดใสกระทั่งเสื้อผ้าที่เลือกใส่ เสื้อสีเหลืองมัสตาร์ดเข้ากับบุคลิกที่น่ารักของเขาที่สุด และความเป็นห่วงเป็นใยของเพื่อนที่แสดงออกก็น่ารักมากจริงๆ

“เจ็บคอนิดหน่อย ไม่เป็นไร เรามาเริ่มซ้อมกันดีมั้ย” คุณหมอยกน้ำเปล่าที่ถือติดตัวเสมอจิบเพื่อลดอาการระคายคอ ก่อนจะใช้สายตาคมๆ นั่นมองผมอย่างตั้งใจ แต่นั่นแหละอย่างที่รู้ว่าผมพยายามหลบหน้าเขามาตลอดหลายวัน แต่วันนี้ดูจะทำไม่ได้เสียแล้ว
   
“...”

“งั้นเรามาแบ่งบทกันดีมั้ยศิ ศิอยากเล่นเป็นใคร”

“เรากับพูลล์คงต้องเลือกใครซักคนใช่มั้ย เราเป็นแฟนพระเอกก็ได้นะ”

“อืมมม แต่เราว่าศิเล่นเป็นนายเอกเถอะ เผื่อได้เล่นจริงๆ อะ” เจ้าของร่างสมส่วนพูดพร้อมโน้มตัวมาใกล้ และยิ้มเหมือนล้อเลียนผมกับผู้ชายที่นั่งอ่านบทอยู่

“ใช่ที่ไหนเล่า”



ครูต้นให้เวลาเราซ้อมครึ่งชั่วโมงก่อนจะเริ่มบททดสอบตามความสมัครใจ หลายๆ กลุ่มผลัดกันแสดงอย่างไม่มีใครอิดออด ครูทุกคนย้ำเสมอว่าคุณสมบัติของนักแสดงที่ดีคือสปิริต ฉะนั้นพวกเราทุกคนในที่นี้เลยพยายามแสดงออกถึงสปิริตให้มากที่สุด ผมจับตาดูกลุ่มของอาโปมากที่สุดเพราะรู้ว่าอาโปหวังในการถูกคัดเลือกเป็นตัวจริงมากๆ และที่ผ่านมาอาโปก็ทำได้อย่างดีเสมอจนครูชมในทักษะและการพัฒนาที่เห็นได้ทุกวัน ส่วนตัวผมหลังจากซ้อมกับคุณหมอที่หายใจแรงผิดปกติข้างๆ ก็ดูน่าจะไม่มีอะไรต้องกังวล เพราะคุณดิมกับพูลล์ส่งอารมณ์มาให้ดีมาก กลับกลายเป็นว่าผมเสียอีกที่ดูจะเป็นตัวถ่วงของทีมยังไงไม่รู้

“เธอไม่พอใจอะไรผมหรือเปล่า”

“...”

“นี่เธอ”

ร่างสูงใหญ่ที่ดูจะอุณหภูมิร่างกายสูงขึ้นจนแผ่กระจายออกมาจากตัวจนผมที่นั่งข้างๆ รู้สึกได้ ถามขึ้นอย่างไม่มีปี่มีขลุ่ย ทำได้แค่นิ่งทั้งที่ใจนั้นเต้นระรัวเพราะไม่กล้าสู้หน้าคนๆ นี้จริงๆ กลัวว่าจะเผยความรู้สึกบางอย่างทีที่ไม่ควรแสดงออกให้เขารับรู้ว่าดีใจแค่ไหนกับคำชมไม่กี่คำ

ห้ามเด็ดขาดเลยศิ

“ป่าวครับ ไม่มีอะไร”
“คุณดิมไม่สบายหรือเปล่า ทำไมตัวร้อนจัง” การพยายามเลี่ยงประเด็นการพูดคุยเรื่องนี้น่าจะดีที่สุด

“อืม สงสัยจะใช่แล้วแหละ”

“หมอก็ป่วยเป็นด้วย” ผมเย้า

“หมอก็คน คนที่ดีแต่ดูแลคนอื่น แต่ไม่เคยดูแลตัวเอง” คนข้างๆ พูดพร้อมเหยียดยิ้มให้ตัวเอง

“มากลุ่มสุดท้าย คุณหมอ พูลล์ ศิ” เสียงครูต้นทำให้บทสนทนาที่ไม่ได้ลื่นไหลหยุดลง อย่างที่ผมรู้สึกขอบคุณจริงๆ

เริ่มการแสดง พูลล์และคุณดิมเผชิญหน้ากัน ส่วนผมยืนอยู่หลังร่างสูงใหญ่ในฐานะมือที่สามขี้ขลาด การเผชิญหน้าของตัวละครทั้งสามตัวที่มีความสัมพันธ์อันยุ่งเหยิง เพื่อให้การเล่นอย่างไหลลื่นครูเลยอยากให้พวกเราใช้ชื่อตัวเองเพื่อจะได้อินมายิ่งขึ้น



“พี่ดิมเลือกมันใช่มั้ย” พูลล์พยายามที่จะเข้ามาใกล้ตัวผมแต่ถูกคนตัวใหญ่กว่าขวางทางเอาไว้
   
“พูลล์อย่าทำอย่างนี้ เราจบกันไปแล้ว”

“จบสิวะ เพราะพี่นอกใจไปหามันไง แน่จริงมึงเอาหน้าหนาๆ ของมึงออกมาดิ มุดหลังแฟนคนอื่นอยู่ได้” พูลล์ชี้หน้าและพูดออกมาด้วยอารมณ์เกรี้ยวกราด สายตาอาฆาตที่แสดงออกมาอย่างน่ากลัว

“เฮ้ย อย่าให้พูดไม่รู้เรื่องนะพูลล์ อย่าหาว่าพี่ไม่เตือน” คุณดิมชี้หน้าพูลล์ด้วยอารมณ์เหลืออด สายตาที่บอกเลยว่าใครมาได้เห็นต้องถอยกรูเพราะรู้แน่ว่าผู้ชายคนนี้ไม่ได้พูดเล่นๆ

“หึ พี่รู้ตัวป่ะว่าตัวเองเป็นยังไงตอนอยู่กับเขา พี่ดูมีความสุข พี่ดูรักและห่วงใย เหมือนที่เคยทำกับผมทุกอย่าง! ทุกอย่างที่คนอย่างมึงแย่งไป!” พูลล์ย่างก้าวเข้ามาเหมือนจะทำร้ายผม อารมณ์ผมตอนนี้ไม่ต่างจากเมียน้อยที่ไปแย่งสามีคนอื่นมา พาลคิดถึงชีวิตจริงของตัวเองที่คิดไม่ซื่อกับผู้ชายที่หลบหลังเขาอยู่ตรงนี้ ทั้งที่รู้ว่าเขามีเจ้าของและไม่มีทางที่จะคิดเป็นอื่นกับผมได้ก็ยังหน้าไม่อายที่จะรู้สึก

“หยุด มึงหยุดนะ!” คุณดิมผลักพูลล์จนล้มลง ด้วยอารมณ์ที่รุนแรงเพิ่มขึ้น ความรู้สึกของตัวละครที่ผมได้รับขาดสะบั้น การถูกตราหน้าว่าเป็นคนแย่งคนรักของคนอื่นทั้งที่ตัวเองก็ไม่ได้รับรู้ความสัมพันธ์ของเขามาก่อนมันก็แย่พอตัว แต่การต้องมาถูกด่าทอด้วยถ้อยคำรุนแรงก็หมดความอดทน อดทนที่เห็นคนที่ตัวเองรักทำร้ายคนๆ หนึ่งที่ไม่ได้ทำอะไรผิดไม่ได้

“พี่ดิมพอเถอะ พอ!” จู่ๆ น้ำตาผมก็ไหลออกมาทั้งที่ในบทไม่มีถึงขนาดนี้

“ฮึก พี่แม่งโกหก ทำไมต้องโกหก ไปทำร้ายเขาทำไม เขาทำอะไรผิด คนผิดอยู่นี่ ศิเอง ฮือ ศิผิดเองที่ไปรักคนแบบพี่”

“ศิ..” คุณดิมมีท่าทีตกใจที่เห็นผมร้องไห้ แต่ก็นั่นแหละมันไหลออกมาเอง

พูดจบก็ต้องหันไปประคองพูลล์ที่ล้มอยู่ที่พื้น

“ขอโทษ ขอโทษนะ” พูดขอโทษพลางจับแขนเล็กที่ถูกร่างสูงใหญ่กว่าผลักกระเด็น เพื่อจะช่วยพยุงให้ลุกขึ้น

พลั่ก

พูลล์ผลักผมเต็มแรงจนล้มลง คุณดิมกำลังจะมาช่วย และผมต้องตบคุณดิมแบบเฉียดๆ ด้วยอาการผิดหวังในตัวผู้ชายคนนี้อย่างที่สุด

เพี๊ยะ

“ออกไปจากชีวิตศิ ออกไป!!”  แล้วก็เดินไปด้วยอาการเสียใจ

เสียงปรบมือดังจากรอบห้อง พร้อมเสียงโห่ร้องจากเพื่อนๆ ที่นั่งดู รวมถึงคุณครูที่ยกยิ้มให้ พวกเราสามคนจับมือกันพร้อมโค้งรับการแสดงความชื่นชม

ผมเอาหลังมือเช็ดน้ำตาลวกๆ แล้วก็รู้สึกว่ามีมือหนายกขึ้นมาลูบหัวผมสีใหม่เบาๆ อย่างไม่นึกฝัน คล้ายจะปลอบประโลมอารมณ์ที่เข้าถึงบทบาทให้คลายความรู้สึกลง แต่เหตุการณ์นั้นก็เกิดเพียงเสี้ยววิ แต่เป็นเสี้ยววิที่ทำให้ใจกระตุกจากการกระทำที่อ่อนโยนจากคนที่ไม่คาดหวัง

“วันนี้ทุกคนทำดีมากๆ ครูดีใจที่เห็นพัฒนาการของทุกคนเลย” ทุกคนในห้องนั่งฟังครูต้นพูดอย่างตั้งใจ เป็นการสรุปปิดท้ายกิจกรรมแบบที่ทำทุกวัน เพื่อแจ้งว่าในวันพรุ่งนี้เราจะต้องทำอะไรกันบ้าง

“ศิ ร้องไห้ทำไม บอกครูได้มั้ย”

“คะ..ครับ” ครูต้นถามขึ้นขัดความคิดที่ยังโดนตรึงอยู่กับสัมผัสแผ่วเบานั้น

“อ่อ สงสารพูลล์ครับ”

“ทำไมถึงสงสารล่ะ”

“ก็แค่คิดว่าทำไมพูลล์ต้องเป็นคนโดนกระทำจากความเห็นแก่ตัวของคนสองคน เขาไม่ได้ผิดอะไร เลยเสียใจแทนพูลล์มั้งครับ”

“Exactly! การเข้าใจในอารมณ์ของตัวละครที่เราสวมบทบาท รวมถึงการเข้าใจอารมณ์ของตัวละครอื่นที่เราเข้าฉากด้วย จะทำให้เกิดการแสดงที่เป็นธรรมชาติ และแสดงออกมาอย่างคนที่เข้าใจโลกเข้าใจธรรมชาติของมนุษย์ รัก โลภ โกรธ หลง เสียใจ หมดหวัง แยกแยะและทำออกมาให้ชัดเจนอย่างที่ตัวละครเป็นคนๆ เดียวกับเรา”

“วันนี้เธอทำดีมากศิรัส รวมถึงคนอื่นๆ ที่ครูไม่เอ่ยชื่อด้วย ครูภูมิใจในตัวพวกเธอมาก” ทุกคนยิ้มเป็นปลื้มกับคำชมคำแรกที่ได้จากครูต้น ปกติครูจะไม่ค่อยชมแต่จะให้คำแนะนำ วันนี้ถือว่าพวกเราสอบผ่านที่ได้รับคำชมจากครูต้นได้




ครูทุกคนให้แยกย้ายกลับบ้านได้ ผมและอาโปก็มุ่งหน้าไปลานจอดรถ เราแยกกันเพราะได้ที่จอดคนละชั้น พวกเราเห็นความจำเป็นของรถส่วนตัว แม้จะไม่ชอบขับรถเองเท่าไหร่ อีกอย่างถนนเส้นนี้รถติดมาก แต่ก็อย่างที่ทราบสภาพวันแรกหลังเสร็จสิ้นกิจกรรม ร่างกายก็ยมเกินกว่าจะพาตัวเองขึ้นบีทีเอสกลับ หรือจะใช้บริการแท็กซี่ในเวลาดึกดื่นคนเดียว เลยเลือกขับรถตัวเองมาดีกว่า

มินิคูเปอร์สีเหลืองสดจอดข้าง BMW 4Series Coupe ทะเบียนคุ้นตา คงจะเป็นคุณหมอที่มาจอดเทียบทีหลัง เพราะตอนแรกที่ผมจอดข้างเป็นเบนซ์สีขาว อะไรมันจะบังเอิญขนาดนั้นวะ ใช้สายตาสอดส่องหาเจ้าของรถ ก็พบว่ากระโปรงด้านหลังเปิดอยู่ อาจจะกำลังเก็บของ เลี่ยงยากที่จะไม่เผชิญหน้าแล้วสินะ เพราะผมก็ต้องเก็บของหลังรถเช่นเดียวกัน พอเดินไปถึงก็เห็นร่างสูงสวมเสื้อยืดสีขาวของ CK กำลังนั่งหลับตาพิงกระโปรงรถที่เปิดไว้อยู่ ดูท่าอาการป่วยของคุณหมอจะทวีความรุนแรงขึ้นถึงขนาดมานั่งหลับแบบนี้

“คุณดิมครับ”

“หืม”

“อ่า โอเคหรือเปล่า” เขาไม่ได้หลับแฮะ สีปากและสีหน้าของคุณหมอแดงระเรื่อ พิษไข้คงเล่นงานคนที่แข็งแรงอย่างเต็มที่แล้ว

“ปวดหัวนิดหน่อย สงสัยไข้จะขึ้น” คุณหมอเอาหลังมือเช็กอุณหภูมิร่างกายผ่านหน้าผากและลำคอของตัวเอง มันไม่น่าจะไข้ขึ้นธรรมดาน่าจะไข้สูงเลยล่ะมั้งเนี่ย

“เข้าไปนั่งในรถดีมั้ยอะ ตรงนี้อบอ้าว” คุณหมอพยักหน้ารับก่อนจะปิดกระโปรงรถ และเดินมาเปิดประตูข้างคนขับก่อนจะพาตัวเองเข้าไปนั่ง ผมได้แต่เดินตามและมองการกระทำที่ดูพร้อมจะวูบหลับได้ตลอดเวลา

“คุณกินยาหรือยังครับ”

“กินแล้วล่ะ เลยดูง่วงขนาดนี้ไง” ร่างสูงที่เคยแข็งแรงตอบเสียงเอื่อยก่อนจะยกมือนวดขมับตัวเอง

“เธอพอจะมีทิชชู่เปียกหรือเปล่า ขอใช้เช็ดตัวหน่อยสิ”

“อ่า ไม่มีครับ เดี๋ยวผมวิ่งออกไปซื้อเซเว่นให้ รอแป๊บนึงนะ”

“ไม่ต้องๆ ไม่เป็นไร”

“ศิ!” เสียงสดใสของพูลล์ที่ผมเริ่มจะชินหูดังขึ้น คนตัวเท่าผมกำลังวิ่งมาอย่างหน้าตั้ง

“ยังไม่กลับหรอ”

“อื้อ ก็กำลังแล้ว เอ้อ พูลล์พอจะมีผ้าเย็นหรือว่าทิชชูเปียกมั้ย คุณดิมเขาไม่สบายน่ะ”

“เฮ้ย มีๆ” คนน่ารักและโอ้อวดว่ากระเป๋าตัวเองมีทุกอย่าง กำลังรื้อกระเป๋าเป้โดราเอม่อนก่อนจะยื่นผ้าเย็นซองสีชมพูให้คุณหมอ

“พี่ดิมโอเคหรือเปล่า ทำไมอาการดูแย่กว่าตอนอยู่ในห้องอีก อะนี่น้ำครับ” พูลล์ยื่นน้ำแร่ไม่เย็นให้คุณหมอที่นั่งบนเบาะรถฝั่งคนขับที่เปิดประตูไว้ตามไปด้วย

“ขอบคุณครับ”

“นี่แล้วจะขับรถกลับไหวหรอ สภาพแบบนี้ มีเข้าเวรต่อมั้ยเนี่ย” น้ำเสียงสดใสดูจะห่วงใยเพื่อนรุ่นพี่ในวงการพอตัว จริงๆ พูลล์ก็เป็นคนที่เอื้อเฟื้อต่อเพื่อนทุกคนอย่างเป็นนิสัยอยู่แล้ว

“มีครับ อาจจะจอดรถไว้นี่ พรุ่งนี้ค่อยมาเอา เดี๋ยวไปแท็กซี่ได้”

“ได้ไงพี่หมอ เอางี้มั้ย ศิไปส่งพี่หมอสิ” ใบหน้าใสหันมามองคนที่ตัวเองเสนอชื่อ

“อะ...อ้าว” เหว๋อสิครับ ไม่คิดว่าโบนัสจะลงที่ตัวเอง เหอะๆ

“ก็บ้านเราไกลกว่าโรงพยาบาลพี่หมอคนละโยชน์เลย ศิแหละไปส่งพี่เขาหน่อยน่า”

“แต่ว่า…”

“ไม่เป็นไรไม่รบกวนหรอก กลับกันเถอะพวกเราน่ะ ดึกแล้วจะอันตราย ผมไม่เป็นไร ผมเป็นหมอนะ แค่กๆ” เสียงทุ้มกว่าปกติของคุณดิมปนกับเสียงไอทำให้ต้องกลับใจ แอบรู้สึกผิดที่ดูเหมือนปฏิเสธเขาทั้งที่เขาก็เคยอาสาไปส่งที่คอนโดตั้งสองครั้ง

“เดี๋ยวผมไปส่งครับ มีของอะไรที่คุณต้องใช้บ้าง”

“มาๆ เดี๋ยวเราช่วยขน” พูลล์ที่ออกเสนอตัวมีอาการร่าเริงสุดๆ หลังจากที่ผมรับปากว่าจะไปส่งร่างสูงที่นั่งกุมขมับเพราะอาการปวดหัวที่คงจะทวีขึ้น ไวรัสคงเล่นงานเขาหนักจริงๆ ควรพาไปเข้าเวรให้เร็วที่สุดดูท่าจะดี จะได้มีพยาบาลดูแล สงสัยวันนี้คุณหมอคงต้องงดดูแลคนอื่น

“ขับรถดีๆ น้าาา” เสียงสดใสร่ำลาก่อนจะโบกมือให้จนมินิคูเปอร์คันโปรดของผมเลี้ยวจนสุดทางออก


เจ้ากี้เจ้าการนักนะ เจ้าพูลล์




ติ๊ง!

เสียงแจ้งเตือนจากมือถือขณะที่รถยังไม่เลี้ยวออกจากตึกดี เลยรีบปิดเสียงเพราะกลัวจะรบกวนการนอนของคนที่หายใจถี่อยู่เบาะข้างคนขับ แต่เจ้ากรรมมือดันไปเลื่อนเปิดซะนี่ เป็นสตอรี่ไอจีของพูลล์ที่แท็กชื่อผมกับคุณดิม! วิดีโอรถสีเหลืองสดกำลังเลี้ยวออกจากตึก

@thesimoonnie
เป็นคุณหมอก็ป่วยได้แต่มีคนไปส่ง งิงิ
@dim.akira

พูลล์ ว้อยยยยยยยยยยยย




ไม่ต้องสงสัยเลยว่ากระแสในทวิตเตอร์มันจะพุ่งทะยานขึ้นน่านน้ำเมืองชิปเปอร์แค่ไหน

ในช่วงแรกที่พี่ใบชามาขอความร่วมมือในการใช้พื้นที่สื่อของตัวเองให้เป็นประโยชน์ หลายคนที่พอจะมีฟอลโลเวอร์เป็นฐานทุนเดิม พอลงรูปหรือไอจีสตอรี่ก็จะมีคนแคปไปลงทวิตเตอร์พร้อมติดแท็กซีรี่ส์ ไม่ก็มีการจิ้นคนนั้นกับคนนี้เป็นแฮทแท็กต่อท้าย และ #มาสไม่ใช่เด็กเส้นแต่เป็นเด็กหมอ ก็ยังคงมีการพูดถึงอยู่ตลอดเวลาที่ผมเข้าไปส่อง มีบ้างที่มือลั่นกดหัวใจแต่คงไม่มีใครสังเกตว่าเป็นผมหรอกเพราะใช้รูปตัวละครในเกมเป็นโปรไฟล์ อีกอย่างชื่อแอคเคาทน์ก็ไม่เหมือนไอจีตั้งมั่วๆ จะได้ไม่มีคนจำได้  ที่สุดแล้วนั้นการจิ้นมันเลยเถิดมาเป็นชื่อจริงของคุณดิมกับผมแทนแฮทแท็กยาวนั่นแล้ว #ดิมศิ จั๊กจี้หน่อยๆ นะ

มันค่อยๆ โหมกระพือเพราะเพื่อนที่เวิร์กชอปหลายคนชอบจับสังเกตทั้งผมและคุณดิม หลังจากวันแรกก็มีโดนแซวบ้างเพราะแฮทแท็กเด็กหมออะไรนั่น แต่แล้วเหมือนโดนล่มเรือโดยผมเองที่แทบไม่ได้คุยกับคุณดิมเลย กิจกรรมกลุ่มก็ไม่ได้อยู่ด้วยกัน รูปหรือสตอรี่หลายๆ คนอาจจะมีติดผมบ้าง ติดคุณดิมบ้าง เหมือนกำลังโดนจับตามอง แต่แล้วก็ไม่มีสิ่งที่เรียกว่าโมเมนต์ให้คนได้จินตนาการต่อเลย จนนี่แหละวันนี้ เจ้าพูลล์ตัวดียื่นไม้พายให้เหล่าคนขี้ชิปคนได้จิ้นต่อ ตัวผมมันไม่เท่าไหร่ กังวลก็แต่คนที่ป่วยไม่สบาย ซึ่งตอนนี้น่าจะหลับไปแล้วจะไม่ชอบใจเอา จิ้นในซีรี่ส์เป็นแค่งาน จิ้นในชีวิตจริงอาจจะไม่เหมาะ

ก็เขามีแฟนเป็นตัวเป็นตนแล้วนี่


อีกเรื่องคือศิคนนี้มีไอจีกับเขาแล้ว ไม่โดนด่าว่าหลังเขาแล้วน้าาา เพิ่งสมัครแอคเค้านท์ไปไม่กี่วันก่อน ยอดฟอลโลเวอร์เพิ่มขึ้นทุกวัน เฌอเป็นคนสอนผมเล่นพร้อมด่าไปด้วยกับอาการสองจิตสองใจในการเลือกชื่อแอคเค้านท์ ชื่อที่ไม่มีคนใช้ก็ไม่ชอบ ชื่อที่เฌอคิดให้ก็ไม่เอา เลยจบลงที่ชื่อที่เมฆคิดให้ นั่นคือ @thesimoonnie เพราะชื่อจริงผมแปลว่าพระจันทร์ และมูนนี่ก็น่ารักดี ผมก็เลยเออออไม่อย่างนั้นเฌอคงกินหัวผมเป็นแน่

รูปแรกที่ลงเป็นรูปที่เฌอแอบถ่ายวันที่ตัดผมเสร็จ เราแวะกินไอติมก่อนกลับ ไม่เคยรู้เลยว่าใช้สายตามองของกินแบบนั้น ลูกไอติมสามสีน่ารักเรียงบนโคนจับ และผมก็ยิ้มให้กับไอติมที่กำลังจะถูกกลืนลงพุงน้อยๆ ของตัวเอง เป็นรูปที่เฌอบอกน่ารักดีก็เลยลงรูปนี้เอาฤกษ์เอาชัย คนที่ฟอลก็นี่แหละเดอะแก๊งทั้งสามคน คนไลก์ก็นี่แหละเฌอ เมฆ และอาโป และไม่ลืมที่จะบอกชื่อแอคเค้านท์ให้พูลล์รู้คนแรก เท่านั้นแหละ พูลล์ก็แคปไอจีผมลงสตอรี่แล้วบอกให้คนอื่นไปฟอล วันเดียวยอดฟอลโลเวอร์ขึ้นสองพันกว่าคน โอ้โห นี่แหละนะพลังของเซเลบบิตี้ คนตามในไอจีพูลล์ตั้ง 2 แสนกว่าแหนะ ห่างจากผม 20 เท่า ฮ่าๆ



ระยะทางจากบริษัทถึงโรงพยาบาลของคุณหมอจริงๆ ไม่ได้ไกลมาก แต่ว่ารถติดพอสมควร ครับ รถติดเวลาสี่ทุ่มหากจะใช้เส้นทางที่ไปคอนโดผมก็จะต้องไปกลับรถไกลพอสมควร แสดงว่าคุณดิมจะต้องใช้เวลาอยู่บนถนนเวลากลับจากเวิร์กชอปนานเหมือนกัน ใช้ชีวิตสมบุกสมบันจริงๆ 

ใบหน้าคมระเรื่อด้วยเลือดฝาด ทำให้หน้าและปากเขาแดงขึ้นมากเพราะพิษไข้ ซึ่งเขาหลับตาลงตั้งแต่ออกรถ และขออนุญาตผมปรับเบาะเพื่อให้นอนสบายขึ้น เลยยกผ้าห่มลายหมีวีบาร์แบร์ส์ให้ยืมห่มป้องกันอากาศเย็นจากแอร์ หลังจากนั้นเขาก็ภาพตัดไม่รับรู้อะไรอีก ลมหายใจสม่ำเสมอและเผลอไอบ้างในบางที

“คุณดิมครับ” ผมพยายามเรียกคนที่หลับสนิทเพราะตอนนี้มาถึงภายในโรงพยาบาลแล้วแต่ไม่รู้จะต้องไปตึกไหนต่อ

“....” 

“คุณดิม” เหมือนจะไม่รู้สึกตัว หรือเขาจะช็อกไปแล้วหรือเปล่าวะเนี่ย

“คุณดิม คุณดิม ตื่นครับ!” ผมใช้เสียงที่ดังขึ้น พร้อมกับแตะที่แขนเขาเบาๆ

“....”

“คุณๆ นี่ตื่นเถอะครับ ทำไงดีวะ ลงไปเรียกคนมาช่วยดีมั้ยเนี่ย” รำพึงกับตัวเองเพราะเริ่มกว่าว่าเขาจะช็อกไปจริงๆ

หมับ มือใหญ่ที่อุ่นร้อนจับลงบนข้อมือเล็กกว่าที่ใช้ปลุกคนป่วยเมื่อสักครู่

“อื้อ ได้ยินแล้ว แต่มันลืมตาไม่ขึ้น”

“เฮ้ออ โล่งหน่อย คิดว่าคุณดิมช็อกไปแล้ว ผมตกใจหมด”
“ถึงโรงพยาบาลแล้ว ต้องไปอาคารไหนครับ”

ร่างสูงค่อยๆ ปรับเบาะและปรับสายตาให้รับแสง พร้อมคลายมืออุ่นจนร้อนที่จับข้อมือผมออกช้าๆ ก่อนจะมองว่าตัวเองอยู่ส่วนไหนของโลกใบนี้

“เดี๋ยวเลี้ยวซ้าย ตรงไปที่อาคารผู้ป่วยใน ลานจอดรถจะอยู่ข้างหน้าเลย”

“ครับ คุณเป็นไงบ้าง ไหวหรือเปล่า”

“ท่าจะแย่ อยากได้ยาสักเข็ม ปวดหัวสุดๆ” คนป่วยตอบด้วยเสียงที่ดูจะแหบขึ้นกว่าเดิม แต่บอกก่อนว่าหาเค้าความเซ็กซี่ไม่ได้เลย น่าสงสารมากกว่าที่เสียงเท่ๆ กลายเป็นเสียงเป็ดไปแล้ว

“ถึงแล้วครับ เดี๋ยวผมถือของไปส่ง”
“ผมต้องเรียกรถเข็นมั้ยเนี่ย คุณเดินไหวหรือเปล่า”

“ได้น่า” อะ ได้ก็ได้


กวาดสัมภาระทุกอย่างของคุณหมอใส่สองมือ แต่คนป่วยก็ยังดื้อจะถือเอง แค่พาตัวเองเดินลงจากรถเข้าตึกยังดูงงๆ สะบัดหัวไล่ความมึนตั้งหลายที ทำมาเก่งจะถือของหนักๆ คิดว่าตัวเองเป็นเดอะฮัคส์หรือไงทั้งที่เป็นแค่ปลาหมึกป่วยๆ
   
พี่พยาบาลที่กำลังเข้าเวรพอเห็นสภาพคุณหมอสุดหล่อของเธอดูอ่อนเปลี้ยเพลียแรงก็ตะโกนสั่งบุรุษพยาบาลให้เอารถเข็นมารับคุณหมอ ก่อนจะเคลื่อนย้ายไปที่แผนกฉุกเฉินเพื่อให้คุณหมอที่เข้าเวรได้ตรวจอาการของคนป่วย ตอนแรกผมไม่รู้จะเอาตัวเองไปอยู่ตรงไหนเลยได้แต่เดินตามพวกเขามา พร้อมหอบหิ้วสัมภาระที่โคตรหนักตามไปด้วย ไม่กล้าวางหรอกถ้าหายมาจะทำยังไง กระเป๋าบาลองเซียก้าไม่ใช่ถูกๆ

“ไข้หวัดนะครับพี่ 39.5 เลยนะ ไปทำอะไรมาครับ”  คุณหมอเจ้าของไข้ซึ่งน่าจะเด็กกว่าคุณดิวที่โดนวินิฉัยอาการอยู่

“สงสัยช่วงนี้ไม่ค่อยได้นอน”
“ฉีดยากับขอน้ำเกลือซักขวดนะ วันนี้หมอคงต้องราวด์คนเดียวแล้วไหวหรือเปล่า”
   
“สบายพี่ วันนี้มีเอ็กเทิร์นหลายคน”

“ขอบคุณนะ”


หลังจากฉีดยาและเจาะสายน้ำเกลือคุณหมอที่ตอนนี้เป็นคนป่วยเต็มรูปแบบก็โดนเข็นเข้าไปในห้องพักแพทย์ ที่มีทั้งเตียงและห้องน้ำส่วนตัว บุรุษพยาบาลช่วยพยุงคุณหมอให้นอนบนเตียงก่อนจะออกจากห้องไป ผมเงียบพร้อมของพะรุงพะรังยืนอยู่หน้าห้อง ยังคิดว่าตัวเองมาทำอะไรที่นี่ วิญญาณหลุดออกจากร่างตั้งแต่พี่พยาบาลเจาะสายน้ำเกลือที่แขนข้างขวาแล้วใจจะวาย อาการกลัวเข็มมันไม่เคยหายไปจากใจ ฮือ

“อ้าว ยังไม่กลับหรอ”

“อ่า ผมไม่รู้ว่าจะเอาของพวกนี้ไปวางที่ไหน กลัวหายอะ” 

“หึหึ” คุณหมอยิ้มเมื่อมองเห็นสภาพของผมตอนนี้ มือข้างขวาถือเสื้อกาวน์ มือซ้ายยกกระเป๋ารองเท้า ส่วนหลังก็สะพายกระเป๋าเป้ พ่วงกับกระเป๋าโน้ตบุ๊กสะพายข้างอีก บอกแล้วว่ามันดูเกะกะมากๆ

“เอาไปวางที่โต๊ะก็ได้”  เลยเดินเข้าห้องพักแพทย์ที่ดูสะอาดและมีกลิ่นของความเป็นโรงพยาบาลอ่อนๆ แม้ที่นี่จะเป็นโรงพยาบาลรัฐแต่ก็นับว่ามีสวัสดิการสำหรับหมอดีเหมือนกัน

“ปกติไม่ได้มาอยู่หรอกห้องนี้ ต้องเป็นระดับอาจารย์หมอที่มีเคสผ่าตัดนานๆ” เหมือนคนป่วยจะอ่านใจผมออกว่ากำลังพินิจสถานที่นี้อยู่

“อ้าว งั้นปกติที่คุณเข้าเวรไปอยู่ที่ไหนหรอครับ”

“ข้างๆ ห้องพยาบาลที่เดินผ่านมานั่นแหละ”

“ห้ะ แคบๆ นั่นหรอครับ” ผมแอบตกใจเพราะมันไม่ได้กว้างแถมเห็นมีโต๊ะหลายตัว แสดงว่าต้องอยู่กันหลายคน

“ใช่ อยู่กลางคืนก็จะได้ใช้บ้าง แต่กลางวันไม่ค่อยได้เข้าไปหรอก ส่วนมากก็ต้องตรวจคนไข้ทั้งวัน”

“....”

“ทำไมทำหน้าแบบนี้” ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าทำหน้ายังไง แต่ว่าไม่อยากจะเชื่อเลยที่อาชีพที่ต้องช่วยเหลือคนอื่นจะมีคุณภาพชีวิตที่เหนื่อยขนาดนี้

“ป่าวครับ แค่กำลังคิดตาม ถ้าผมเรียนจบแล้วมาทำงานในโรงพยาบาลจะเป็นแบบคุณมั้ย”

คุณหมอยกยิ้มแต่ทว่าอ่อนแรงคล้ายกับพลังงานที่เหลืออยู่กำลังจะหมดลง

เดี๋ยวนะ ทำงาน งาน การบ้าน!!

“เห้ยทำงาน! ตายห่าการบ้านอ.ปวีณามัยยังไม่เสร็จ” ฉิบหายแล้ว คืนนี้ไม่ต้องนอนล่ะมึงไอ้ศิ ยกนาฬิกาขึ้นมาดูโอ้โห ห้าทุ่ม แล้วต้องส่งก่อนแปดโมงวันศุกร์ one night miracle จงบังเกิดกับตัวข้าเถิด

“ผมขอตัวกลับก่อนนะครับ การบ้านยังไม่เสร็จเลย”

“กลับเถอะ ขอบคุณมากนะ” คุณหมอยิ้มให้อีกแล้ว วันนี้ยิ้มบ่อยจัง เสือยิ้มยากเวลาป่วยจะยิ้มมากกว่าปกติหรือไง

“ไม่เป็นไรครับ ว่าแต่คุณอยู่คนเดียวได้ใช่มั้ย” ผมถามออกไปอย่างลืมตัวว่านี่คือโรงพยาบาลคงไม่มีพยาบาลกล้าปล่อยให้บุคลากรคนสำคัญเป็นอะไรไป

“อ่า นี่โรงพยาบาล เด๋ออีกละ” ยกมือเกาหัวอย่างที่ไม่รู้ว่าจะเอาไปวางไว้ตรงไหนเพราะปล่อยโป๊ะตูมใหญ่
“งั้นผมกลับก่อนนะครับ เอ่อ หายไวๆ นะ”

"เดี๋ยว"
"วันนั้นถ้าผมทำเธอไม่สบายใจ ขอโทษด้วย"

"ครับ?"

"รู้สึกแปลกๆ ที่ผู้ชายชมว่าน่ารักสินะ"

"ก็มั้ง..." เป็นอีกครั้งที่คุณหมอแปลเจตนาของผมผิด แต่ก็ดีแล้วแหละ อย่าให้เขารู้เลยความจริงเป็นยังไง เพราะมันไม่ควรจริงๆ

"คิดซะว่าผู้ใหญ่ชมเด็กแล้วกัน แล้วก็ไม่ต้องหลบหน้ากันอีก"

"ครับ"

"กลับเถอะ ขับรถดีๆ ล่ะ"

ยกมือไหว้คนป่วยที่อาวุโสกว่าก่อนจะปิดประตูและปิดไฟตามที่คุณหมอขอ พร้อมออกมาด้วยความรู้สึกที่ใจโหวงๆ ยังไงพิกล

เขาไม่ได้รู้สึกอะไรเลย จริงๆ มันก็เป็นเรื่องปกติแล้ว

แต่ที่ผิดปกติคือผมเองที่คาดหวังในสิ่งที่รู้อยู่แล้วว่าเป็นไปไม่ได้



ไม่รู้จะเก็บใจที่มอดมิดกลับไปจุดไฟให้ปั่นงานคืนนี้ยังไงได้

เฮ้อ















มีต่อ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-08-2018 23:48:44 โดย mifengbee »

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
ภายในห้องพักแพทย์ที่มีแสงไฟจากด้านนอกส่องผ่านช่องว่างเข้ามา ทำให้ห้องที่ปิดไฟไม่ได้มืดสนิทนัก ยังคงมองเห็นบรรยากาศรอบห้องพักแพทย์อาวุโสที่ตอนนี้เขาได้ใช้แม้จะยังไม่อาวุโสก็ตาม นายแพทย์อาคิราแปรสภาพเป็นคนไข้ยังนอนไม่หลับเสียทีเดียวเพราะปกติเวลานี้คือเวลางาน นาฬิการ่างกายพลิกผลันอาการหลับยากก็อาจจะเกิดขึ้นได้ แต่ที่ไม่ปกติคือภาพของเด็กผมน้ำตาลอ่อนคนนั้นยังฉายวนอยู่ในหัว ตั้งแต่วันที่ได้ไปส่งที่คอนโดครั้งที่สอง เหตุการณ์คล้ายอุบัติเหตุทางความรู้สึกส่งผลต่อต่อตัวเขาอย่างหาสาเหตุไม่พบ ไม่รู้จะวินิจฉัยอาการของตัวเองอย่างไร ไหนจะไอ้การพลั้งปากชมทรงผมใหม่ว่าน่ารักนั่นอีก ผิดปกติอย่างที่เกลว่า นี่แหละที่กังวลมากๆ ว่าสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นเพราะอะไร รู้แค่ปัจจัยเดียวที่ส่งผลคือแววตาใสซื่อของใบหน้าขาวเนียนไร้ที่ติ และรอยยิ้มที่มีให้ทุกคนยกเว้นนายแพทย์อาคิราคนนี้ กลายเป็นอากาศที่ถูกลืมอย่างไม่รู้เหตุผล ได้แต่เดาว่าการถูกผู้ชายที่ไม่ได้สนิทกันชมว่าน่ารักคงจะสร้างความตระหนกให้เด็กคนนั้นเหมือนกัน ถ้าวันนี้ผมไม่ป่วยขนาดที่ขับรถกลับไม่ได้ก็คงได้กลายเป็นอากาศในสายตาเด็กคนนี้ต่อไป

เด็กนั่นทำให้ผมรู้สึกแบบนั้น รู้จักกันแต่เหมือนไม่รู้จักกัน แสดงออกว่ารู้สึกอะไรก็ไม่ได้คงทำให้ตื่นกลัวกว่าเก่า หูตกทุกครั้งที่เผลอมาสบตากัน คงจะหวาดระแวงสินะ หวังว่าหลังจากวันนี้คงไม่ต้องหลบหน้าหลบตากันอีกก็เป็นพอ

เหตุผลที่ผมเลือกจะบอกเขาคงหนักแน่นพอให้เราเป็นปกติต่อกัน

ทั้งที่จริงๆ


ความผิดปกติเกิดขึ้นกับหัวใจของผมหนักกว่าไวรัสที่เกาะกินร่างกายผมตอนนี้เสียอีก







“วู้วววว เด็กหมอมาแล้วว่ะ”
“เป็นไรกันอะไปส่งโรง’บาล”
“พยาบาลจำเป็นไงคะ”
“พยาบาลฉีดยาคุณหมอหรือเปล่า”
“วู้วว”


วันสุดท้ายของการก้าวเข้าห้องเวิร์กชอปเสียงโห่ร้องแซงแซ่ดังระงมต้อนรับทันที คำแซวชวนให้คิดไปไหนต่อไหนออกมาจากปากเพื่อนผู้ชายในห้องนี้ ดีที่คุณครูกับคุณดิมยังไม่มา เอาใหญ่เลยนะ ฮึ้ย!

ดูก็รู้ใครเป็นหัวหน้าฝีพาย ผู้ชายมัดจุกสองข้างด้วยยางสีเดิม ที่วันนี้ใส่เสื้อโอเวอร์ไซส์สีชมพู ลายการ์ตูนซิมซันกำลังกินไอติม

เจ้าพูลล์!!

“เลิกพูดเหอะน่า ก็แค่ไปส่งโรงพยาบาลโว้ยยย”

“แหนะ ละทำไมได้ไปส่ง” บอสที่อยู่กลุ่มภามาสเหมือนกันพูดด้วยสีหน้าแกมหยอก

“ก็จอดรถใกล้กัน พูลล์เนี่ยตัวดีเลย”

“อะๆๆ อย่ามาโยนให้เรา ก็เห็นสีหน้ากับท่าทางศิดูเป็นห่วงเขาขนาดนั้น เดินวนรอบรถพี่หมออยู่ได้” เจ้าของเรื่องแก้ตัวอย่างที่คิดเอาเองโคตรๆ

“ไม่ใช่ซะหน่อย พอๆๆ เลย หยุดพูดได้แล้ว!”

“เขินอะเขิน” คัตเตอร์ที่อยู่กลุ่มรังสิมันต์พูดขึ้นพร้อมชี้นิ้วกิ้วๆ มาให้ด้วย คนพวกนี้ชักกำเริบเสิบสาน!

แม้จะพยายามตัดบทเพื่อนที่มารอเวิร์กช้อปก่อนเวลาบางส่วนยังล้อไม่เลิก และคงไม่เลิกจนกว่าครูจะมา เฮ้อ เอาเลยสหาย

ระยะเวลา 5 วันที่พวกเรา 50 ชีวิตที่ต้องทำกิจกรรมร่วมกัน ใช้เวลาด้วยกันวันละ 6 ชั่วโมงเป็นอย่างต่ำ ทำให้เกิดความสัมพันธ์ดีกว่าที่คิดไว้ บทเรียนบางอย่างทำให้เกิดการเรียนรู้ที่จะเข้าใจและปรับตัวให้เข้ากับคนแปลกหน้า บางบทเรียนทำให้เราเห็นอกเห็นใจและยอมรับเพื่อนในห้องมากขึ้น แม้จะไม่ได้สนิทกันทุกคนแต่ก็จำชื่อได้ จำหน้าตาได้ จำบุคลิกท่าทางได้ เป็นประสบการณ์ดีในชีวิตอย่างหนึ่งที่เคยเกิดขึ้นกับคนที่เข้าสังคมยากแบบผม แม้ว่าผลตัดสินวันนี้อาจจะมีบางคนที่ผิดหวัง หรือบางคนได้ดั่งใจ แต่สิ่งหนึ่งที่จะไม่เปลี่ยนไปคือความรู้สึกถึงมิตรภาพระหว่างเพื่อนได้ก่อขึ้นในใจและจดจำไปตลอด

มีพี่ทีมงานแจ้งพวกเราว่าจะต้องย้ายไปที่ห้อง B2 ซึ่งจะเป็นห้องที่ดูทางการกว่านี้ เสียงโหวกเหวกก่อนหน้าก็เงียบลงขนัด ไปถึงก็เจอคุณครูทั้ง 4 คน รวมถึงผู้ใหญ่คนอื่นๆ ก็อยู่ด้วย ทั้งคุณติณณ์ คุณอบเชย คุณเจี๊ยบ คุณนาย พี่นิ้ง และพี่ใบชา เป็นการนั่งบนเก้าอี้ลักษณะครึ่งวงกลม และพวกเราทั้งหมดก็นั่งที่พื้นเป็นระเบียบ

ผมใช้สายตาสอดส่ายเพื่อหาคนที่ยังไม่เห็น หรืออาจจะป่วยมากจนไม่สามารถมาวันสำคัญได้ เป็นอย่างนั้นคงน่าเสียดายเพราะเขาเป็นอีกคนที่ตั้งใจมาก และเกิดอาการวูบโหวงในใจคล้ายเป็นกังวลว่าเขาจะอาการไม่ดีขึ้นหรือทรุดหนักกว่าเดิม

เสียงประตูเปิดก่อนที่จะเริ่มมีการประกาศอะไร ร่างสูงคุ้นตาในชุดเสื้อแขนยาวฮู้ดซูพรีมคุ้นตา กับกางเกงยี่ห้อเดียวกันสีเดียวกัน รองเท้าอะดิดาสรุ่นลิมิเต็ด เดินเข้ามาในห้องพร้อมยกมือไหว้ผู้ใหญ่อย่างขออนุญาต ใบหน้าถูกคาดด้วยมาส์กสีเขียว แขนเสื้อที่ถลกสูงข้างหนึ่งทำให้มองเห็นผ้าก็อตที่พันเข็มสายน้ำเกลือไว้ ดึงสายน้ำเกลือออกเลยหรือไงกัน นี่ไม่ได้เรียกสปิริตนี่เรียกว่าไม่ห่วงตัวเอง เอาคำเขาที่เคยว่าผมมาใช้ว่าเขาคืนเลย เหอะ!
   
“มองขนาดนี้เรียกเขามานั่งด้วยเลย” อาโปที่นั่งข้างๆ กระซิบ

“มองอะไรเปล่าเว้ย”

“อย่ามา ไปส่งเขาเมื่อคืนไม่เห็นบอกเพื่อนซักคำ ถ้าไม่เห็นในสตอรี่พูลล์ก็ไม่รู้”

“มันฉุกละหุกน่าไม่มีอะไรหรอก เขาไม่สบายมึงก็เห็น” ตอบเสียงอ้อมแอ้มไม่เต็มปากเรื่องที่ไม่ได้บอก จะเอาเวลาไปบอกตอนไหนกลับถึงคอนโดก็รีบปั่นการบ้านอ.ปวีณามัย ได้นอนตอนเกือบตีสี่ ดีที่เรียน 10 โมง ไม่งั้นก็คงไม่สภาพไม่ต่างจากซอมบี้ ถ้าเพื่อนรู้ว่าผมลืมการบ้านโดนบ่นอีก มีเพื่อนหรือพ่อแม่ก็ไม่รู้

“จ้ะๆ” อาโปตอบอย่างประชดประชันเล็กๆ แต่สายตาแกมหยอกเย้านั่นมันอะไร คิดว่าจะมีอะไรระหว่างผมกับเขาหรือไง ตอนนี้ก็ยังไม่สนิทกันเลยเถอะ




“วันนี้เป็นวันสุดท้ายของการเวิร์กช้อป กิจกรรมไม่มีอะไรมากแค่อยากให้ทุกคนออกมาพูดความรู้สึกของตนเอง ก่อนและหลังการได้เข้าร่วมเวิร์กช้อป สิ่งนี้จะเป็นบททดสอบสุดท้ายที่จะแสดงให้เห็นถึงทัศนคติที่ทุกคนมีต่อการแสดง และการซื่อสัตย์ต่อตัวละครที่ตัวเองเลือกรับบท ครูอย่างให้ทุกคนพูดออกมาจากใจจริง จากความรู้สึกเนื้อแท้ของตนเอง สั้นๆ ไม่ต้องยาวมาก” ครูน้ำหนึ่งพูดก่อนจะยิ้มให้พวกเรา และนี่คือบททดสอบครั้งสุดท้ายที่เหมือนจะง่ายแต่สำหรับผมยากที่สุดเลย…


“สวัสดีค่ะ หนูชื่อปลานะคะ เลือกรับบทใบเฟิร์นค่ะ ความรู้สึกหนูก่อนที่จะมาเวิร์กช้อป คิดแค่ว่าอยากมีผลงานในวงการ อยากมีชื่อเสียง ถ้าได้ทำงานกับที่นี่คงดีมากๆ แม้ตัวบทจะไม่ได้โดดเด่นอะไรมากเพราะเป็นซีรีส์วาย ชะนีน้อยอย่างหนูคงไม่ได้รับความสนใจ แต่พอมาได้เวิร์กช้อปครูทุกคนทำให้หนูมองเห็นคุณค่าของทุกตัวละครที่ปรากฏในเรื่อง และมองเห็นคุณค่าของตัวเองมากกว่าที่เคย ที่สำคัญการเป็นนักแสดงไม่ใช่การเอาตัวเองเป็นศูนย์กลางแต่คือการถือว่าตัวเองเป็นองค์ประกอบที่จะหล่อหลอมให้ละครสมบูรณ์ขึ้นค่ะ” 

เสียงปรบมือดังขึ้นหลังจากน้องปลาพูดจบ น้องยังเป็นเด็กมอปลายอยู่เลย หน้าตาน่ารักและร่าเริง ในตอนแรกไม่ค่อยสุงสิงกับใครแต่กิจกรรมหลายอย่างทำให้นิสัยที่น่ารักของเธอปรากฏต่อสายตาคุณครูและเพื่อนๆ ยิ่งทัศนคติที่โตกว่าเด็กทั่วไปอาจจะทำให้เธอได้รับโอกาสนี้ก็เป็นได้

ลำดับการออกไปพูดไล่เรียงมาเรื่อยๆ จนถึงแถวของผม ถึงคิวอาโปต้องออกไปพูดก่อน

“สวัสดีครับ ผมอาโป เลือกรับบทภูผา ผมเป็นอีกคนที่ใฝ่ฝันจะทำงานในวงการนี้ เหตุผลคืออยากพิสูจน์ตัวเองหลายๆ ด้าน โดยเฉพาะอยากแสดงให้ครอบครัวเห็นถึงความสามารถที่จะดูแลตัวเองได้อย่างที่ท่านไม่ต้องเป็นกังวล เพราะครอบครัวผมจะย้ายไปอยู่ที่ซิดนีย์และผมไม่อยากไป เพราะบ้านผมคือที่นี่ครับ ขณะที่เวิร์กช้อป คิดเสมอว่าจะต้องทำอย่างเต็มความสามารถ และทำให้ดีตามกำลังตัวเอง มีคำพูดหนึ่งที่ครูน้ำหนึ่งพูดและผมรู้สึกกระทบใจมากๆ คือ เมื่อวันหนึ่งเราได้รับความรักของคนที่ไม่หวังผลตอบแทนอะไร สิ่งหนึ่งที่เราควรแสดงออกว่าเรารู้สึกซาบซึ้งคือการรักษาความรักของเขาเอาไว้อย่างดี ไม่ว่าจะเกิดอะไรขึ้นก็ตาม หน้าพ่อกับแม่ก็ลอยเข้ามาเลย แม้วันนี้ผลคือผมไม่ได้ไปต่อ แต่ผมจะกล้าไปบอกพ่อกับแม่ว่าสิ่งที่ผมทำมันอาจจะไม่เป็นอย่างหวัง แต่ผมก้าวข้ามความผิดหวังได้เพราะความเชื่อใจของพ่อแม่ที่มีให้ผมเสมอ และจะตอบแทนพวกท่านด้วยการไม่ยอมแพ้ครับ ขอบคุณครับ”

นี่แหละจุดมุ่งหมายที่แท้จริงของเพื่อนที่มีความตั้งใจอย่างแนวแน่เสมอ อาโปรู้ว่าต้องย้ายไปซิดนีย์ตั้งแต่ปี 2 ซึ่งตัวอาโปเองไม่อยากไปจากเมืองไทย เลยพยายามทำงานหลายๆ อยากให้ที่บ้านเห็นว่าดูแลตัวเองได้อย่างไม่ต้องกังวล และอาชีพนี้ก็ทำเงินได้ดีพอกับที่บ้านให้ หรืออาจจะมากกว่า ปัจจัยเรื่องเงินดูไม่ใช่ปัญหาใหญ่ อาโปได้รับการเลี้ยงดูดีมากๆ เป็นคุณหนูเลยก็ว่าได้ ฉะนั้น การเลือกที่จะอยู่คนเดียวห่างจากพ่อแม่หลายพันกิโลเมตรก็คงต้องแสดงให้ท่านเห็น อาโปทำได้ดีกว่าผมแน่ๆ

เอาล่ะ ตามึงแล้วศิ หายใจเข้าหายใจออก ทำตัวปกติไม่มีอะไรเหมือนคุยกับเพื่อน ฟู่!

“สวัสดีครับ ศิรัส มีคนเลือกให้รับบทภามาสครับ” เสียงหัวเราะเบาๆ จากทั้งเพื่อนและผู้ใหญ่ดังขึ้นกับความจริงที่มาเล่าอีกทีก็กลายเป็นเรื่องขำขันไป

“ผมไม่เคยเข้าใจในวงการนี้ ไม่รู้ว่าเขาทำงานกันอย่างไร กระทั่งไม่รู้แม้แต่การแสดงคืออะไร ที่สำคัญไม่เคยคิดว่าวันหนึ่งจะมายืนอยู่ตรงนี้ แต่ก็มายืนแล้ว เหมือนเป็นการจำยอมแต่จริงๆ แล้วไม่ใช่เลยรู้ตัวเองว่าสมัครใจอยากลองทำอะไรใหม่ๆ ในชีวิต อยากเป็นคนที่พ่อแม่ภูมิใจได้ อยากเป็นเพื่อนที่พึงพาให้เพื่อนได้ อยากเป็นมนุษย์คนหนึ่งที่ดีขึ้น การเลือกเส้นทางนี้รู้แก่ใจว่าจะมีชีวิตแบบศิคนเดิมไม่แล้วนะ แต่เพื่อตัดตัวเองออกจากการเป็นศิคนเดิมเลยพยายามเรียนรู้และซึมซับสิ่งที่ครูทุกคนสอน มาเวิร์กชอปวันแรกๆ รู้สึกอิจฉาที่หลายคนมีความฝันและกำลังเดินตามความฝัน ผมไม่เคยรู้เลยว่าชีวิตนี้จะทำอะไรต่อถ้าเรียนจบ การได้มาอยู่ท่ามกลางคนที่มีความฝันมีแรงผลักดันในชีวิตที่แตกต่างกัน ทำให้ตัวผมเองต้องพัฒนาอะไรบางอย่างและสิ่งหนึ่งที่คิดว่าแน่ใจมาก คืออยากเป็นนักแสดงที่ดี เป็นนักแสดงที่อยู่ในบทบาทอะไรใครดูก็เชื่อ อยากเป็นคนๆ นั้นครับ”

เสียงปรบมือดังขึ้นเหมือนทุกคน รอยยิ้มของเพื่อนๆ ที่ส่งมาให้ ต่างจากวันแรกที่ได้เข้ามาอยู่ร่วมกัน ศิคนเดิมที่ไร้ตัวตน เริ่มมีแสงในตัวเองที่พอจะมีคนมองเห็นบ้างแล้ว ความภูมิใจในตัวเองอย่างไม่เคยปรากฏขึ้นทำให้ใจมันพองโตอย่างรู้สึกอิ่มเอม

“คนสุดท้าย หมอดิมค่ะ ไหวมั้ยคะ พอจะพูดได้หรือเปล่า” ครูน้ำหนึ่งถามคุณดิมเมื่อเดินมาถึงข้างหน้า

คุณดิมถอดมาส์กออกทำให้เห็นสีหน้าที่ยังดูอิดโรยแต่ดีกว่าเมื่อวานที่ไม่แดงเป็นมะเขือเทศแล้ว พิษไข้คงทุเลาลง

“ได้ครับ แต่เสียงอาจจะเบาหน่อย”

“เชิญค่ะ”

“ผมอาคิรา ดิม เลือกบทรังสิมันต์ครับ อาชีพการเป็นนักแสดงสำหรับผมเป็นสิ่งพิเศษมากๆ เพราะมันช่วยเยียวยาร่างกาย จิตใจ และความรู้สึก มันทำให้ละทิ้งจากความตึงเครียดของงานหลักได้ดี การได้สวมบทบาทเป็นคนนั้นคนนี้ทำให้เรามองเห็นตัวเองในมุมอื่นที่เราไม่เคยคิดว่าจะเป็นได้ การมาเวิร์กช้อปตลอด 5 วัน ผมได้รับพลังจากคุณครู จากเพื่อนๆ น้องๆ ทุกคน มันทำให้รู้สึกว่าเรานี่ก็แก่เหมือนกันนะ จำได้ว่าเวิร์กช้อปทุกครั้งก็เจอแต่คนที่เด็กกว่า โดยเฉพาะครั้งนี้ห่างจากน้องที่เด็กสุดเกือบ20ปี แต่นั่นแหละครับ พลังของเด็กๆ หรือวัยรุ่นมันสดใสเสมอ ทำให้ได้เจอมุมมองความสบายใจ และหลุดออกจากความคิดอย่างผู้ใหญ่ได้สักพักก็ดีเหมือนกัน และดีใจที่ได้เจอทุกคนครับ”

ประโยคสุดท้ายสายตาคมมองมาที่ผมจนแอบสะดุ้งว่าทำไมเขาถึงทำอย่างนั้น ไม่เคยเดาความรู้สึกจากนัยน์ตาสีดำมืดนั้นได้สักครั้ง



“คงถึงเวลาที่จะต้องประกาศอย่างเป็นทางการว่าใครจะได้ถูกคัดเลือกเป็นนักแสดงหลักของซีรีส์อาทิตย์คลาดพระจันทร์แล้วนะคะ”  พี่นิ้งประสานงานรับหน้าที่สำคัญนี้

หลังจากจบการพูดความรู้สึกของผู้เข้าคัดเลือกทุกคน ผู้ใหญ่ก็เดินออกจากห้องไปก่อนจะกลับเข้ามาหลังจากนั้นเกือบ 1 ชั่วโมง คงประชุมหารือกันเพื่อเลือกคนที่เหมาะสม และตอนนี้ก็ถึงเวลาแล้ว


รังสิมันต์ (พระเอก)           รับบทโดย   อาคิรา (ดิม)
ภามาส (นายเอก)            รับบทโดย   ศิรัส (ศิ)
ภูผา (เพื่อนนายเอก)        รับบทโดย   อาโป (ชโลทร)
หมอกฟ้า (เพื่อนพระเอก)  รับบทโดย   อธิรัช (ปาล์ม)
พายัพ (เพื่อนพระเอก)      รับบทโดย   นภัทร (ภัทร)
ใบเฟิร์น (เพื่อนนายเอก)      รับบทโดย   ศศิธร (ปลา)
มิว                               รับบทโดย   กรกนก (นก)
ดุจดาว                          รับบทโดย   ปาลิดา (พะพาย)
กรกรรณ (ประธานค่าย)     รับบทโดย   นิรัช (นิว)
แทนไท                         รับบทโดย   ภาคิน (เงิน)

หลังจากประกาศผลทุกคนต่างเข้าแสดงความดีใจให้เพื่อนที่ได้รับบทเป็นตัวจริง คนที่ไม่ได้แทบจะไม่มีใครแสดงอาการเสียใจ ทั้งที่คงเสียใจ แต่ความยินดีกับคนที่เหมาะสมคงจะมากกว่า ซึ่งเป็นมิตรภาพที่เกิดขึ้นในระยะเวลาสั้นๆ แต่ส่งผลอย่างเด่นชัด เป็นภาพความสวยงามท่ามกลางการแข่งขันและแย่งชิง


นับจากนี้ชีวิตจะเปลี่ยนไปจริงๆ แล้วนะ

ศิ…








------To be Continued------


ตัวละครเยอะนิดนึงแต่ว่าไม่ต้องจำหมดจะโผล่มาแค่ไม่กี่คนอิอิ
เจอกันตอนหน้านะคะะ เยิ้บๆๆๆ


#เพียงจินตนาการ
#หมอดิมน้องสิ

@mifengbeexx

บี

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 01-08-2018 23:52:48 โดย mifengbee »

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
แจ้งเรื่องสำคัญนะคะ

บีขอเปลี่ยนชื่อเรื่อง เพราะดันไปฟังเพลง Day 1 ◑ ของ Honne แล้วชอบมากกกก
จนได้ inspied มาตั้งชื่อเรื่อง เพราะจริงๆ แล้วไม่ได้ชอบชื่อเดิมเท่าไหร่
555555555555 แต่ชื่อนี้ชอบแล้วนะคะ งื้อ

แต่ความหายของชื่อและแกนเรื่องยังเกี่ยวกับพระอาทิตย์และพระจันทร์เหมือนเดิมเลย

you'll alway be my day 1 นะคะ อิอิ

ฝากติดตามด้วยยยยยยยยย


เยิ้บบบบบบบ กรุบ

ออฟไลน์ LomaPakpao

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-1
รอเธอ..มานานแสนนาน..ทรมาณจริงๆ  :katai1:  :ling3:  :mew6:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด