END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: END【you are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ】Special - Day1-3 (4/11/61)  (อ่าน 186212 ครั้ง)

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
ตอนประกาศรายชื่อ  อันใหนคือ ภูผา คะ ?  พายัพหรอ ?  เสียดายจังอาโปไม่ได้ไปไฟนอลวอร์กกับ ศิ  :hao5: :hao5:

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
ตอนประกาศรายชื่อ  อันใหนคือ ภูผา คะ ?  พายัพหรอ ?  เสียดายจังอาโปไม่ได้ไปไฟนอลวอร์กกับ ศิ  :hao5: :hao5:


edit แล้วนะ จริงๆ อาโปเข้ารอบค่ะ ฮืออออออ พิมพ์ตกไปป

ยังไงฝากติดตามด้วยค่าา

ขอบคุณที่ชี้เป้าความพลาดอันใหญ่หลวง TT

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
You are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ
EP.06 ตะวันคลาดพระจันทร์

I'm not going to wait until you're done
Pretending you don't need anyone






พระอาทิตย์สัญลักษณ์แห่งทิวากาล      
พระจันทร์สัญลักษณ์แห่งราตรีกาล
พระอาทิตย์มาพร้อมกับความสว่างไสว   
พระจันทร์มาพร้อมกับความมืดมิด
พระอาทิตย์เป็นแหล่งกำเนิดทุกสรรพสิ่ง   
พระจันทร์ทำได้แค่อาศัยพลังจากแสงพระอาทิตย์
พระอาทิตย์เจ้าแห่งดาว         
พระจันทร์ดาวเคราะห์ไร้ราคา

◑◑◑◑◑◑◑◑◑◑◑◑◑

แม้พระอาทิตย์จะร้อนแรงแผดเผา แต่ก็ทำประโยชน์ต่อมวลมนุษย์คณานับ
แต่พระจันทร์ที่เยือกเย็นทำได้แค่ส่องแสงนวลในบางวัน
พระจันทร์มิอาจทัดเทียมพระอาทิตย์ฉันใด พระอาทิตย์ก็ยิ่งอยากครอบครองพระจันทร์ฉันนั้น
หากแต่กฎธรรมชาติยากนักจะหักหาญ….


เฉกเช่นนายกับไพร่ แม้พระพุทธเจ้าหลวงจะทรงประกาศเลิกไพร่ เลิกทาส แต่กระนั้นก็มีไพร่อีกไม่น้อยยอมเป็นไพร่ดีกว่าออกไปตระเวนไม่มีที่คุ้มกะลาหัว

บ้านภิรมยาพร เจ้าของเป็นถึงพระประพันธวงศ์เธอ พระองค์เจ้าไกรสุนทรเทวา กรมหมื่นพิชญศรภิรมยาพร มีลูกชายเพียงคนเดียวคือ หม่อมเจ้า พันแสง ต้นราชสกุล ภิมรมยาพร เกิดกับนางเพียง ภิรมยาพร หญิงชาวบ้านจากเมืองพิษณุโลก ยศของเจ้าพันแสงจึงได้เป็นเพียงท่านชาย แต่กระนั้นก็มิได้ให้ท่านเป็นคนเจ้ายศเจ้าอย่าง กลับอัธยาศัยดีแก่ทุกคน โดยเฉพาะบ่าวไพร่ในบ้าน ยิ่งหลวงท่านเลิกทาสท่านชายยิ่งเห็นทุกคนเป็นเสมือนครอบครัว

โสม ลูกทาสในเรือนเบี้ยเป็นเพื่อนเล่นของท่านชายมาตั้งแต่สมัยไว้จุก จนห่างไกลกันเมื่อหลายสิบปีก่อนเพราะต้องไปศึกษาที่อังกฤษ เมื่อกลับมาท่านชายพันแสงรูปโฉมงดงามเหมือนในนิราศของพระสุนทรโวหารยิ่ง โสมเทียวรับใช้และคอยติดตามนายผู้นี้อย่างถวายชีวิต แม้ท่านชายจะเสนอให้ไปทำงานช่วยท่านที่กระทรวง เพราะเห็นว่าเป็นคนอ่านหนังสือออกดี เขียนก็ได้ จะได้ช่วยตรวจทานงานท่าน แต่ไอ้โสมมิกล้าเอื้อมอาจ ทั้งกลัวว่ามีงานทำเป็นไทจะโดนระเห็จออกจากบ้านไป

นับวันบ่าวชายอย่างโสมจะดูอ่อนช้อยเข้าไปทุกวัน พันแสงไม่เคยรู้ว่าโสมถนัดงานเรือนพอกับงานหนังสือ กับข้าวกับปลาทุกมื้อถูกคิดค้นจากบ่าวหนุ่มผู้นี้ ทั้งกรองมาลัย พับหัวบัว เจ้าคนนี้ก็ทำได้เสียหมด นับเป็นศิษย์รักคุณแม่ที่คอยถ่ายทอดวิชาจนหมดเปลือก มิได้เห็นว่ามันเป็นชายฤาหญิง

เมื่อพันแสงยังไม่มีเมียบ่าวชายก็จะรับหน้าที่แต่งองค์ทรงเครื่องให้ทุกเมื่อเชื่อวัน และตกเป็นหน้าที่ของโสมอย่างเสียมิได้ ความใกล้ชิดจากการเอ็นดูบ่าวคนนี้ ท่านชายพันแสงมิได้รู้เลยว่าใช้สายตาแบบใดมองบ่าวผู้ซื่อสัตย์ ตัวบ่าวเองก็มิเคยปฏิเสธผลักไส เลยเถิดไปหลายขั้นจนต้องเนื้อตัว หลายครั้งเข้าก็เผลอแสดงกลางแจ้ง จนมีบ่าวหลายคนไปบอกคุณนายของบ้าน

พิธีดูตัวหานายหญิงของบ้านคนต่อไปจึงเริ่มต้นขึ้นอย่างท่านชายเองก็ขัดมิได้ บ่าวคนสนิทก็ดูจะถูกคุณแม่ใช้งานจนไม่ได้พบกันแม้จะอยู่รั้วบ้านเดียวกัน จนได้เจอหญิงที่ควรคู่จะเป็นคู่หมายของท่านชาย ภาระของการแสดงความเป็นสุภาพบุรุษอย่างคำนึงถึงหน้าตาทางบ้าน ก็ต้องเทียวรับส่งมล.กิ่งนภา อย่างจำใจ

คุณนายของบ้านดับไฟเสียต้นลม เจรจากับบ่าวที่สุดแสนจะเอ็นดูให้ออกไปใช้ชีวิตแบบคนเป็นไทเสีย พร้อมให้เงินอีกหลายบาท กำชับหากจงรักภักดีกับท่านชายแท้แล้วอย่าทำให้ท่านต้องพบเจอกับคำครหาใดๆ บ่าวหนุ่มใจสลายกับการต้องจากลานายสุดที่รักโดยไร้คำอำลา จัดข้าวของออกจากบ้านเสียเย็นวันนั้นก่อนท่านชายจะกลับ แล้วลงเรือออกจากพระนคร กลับบ้านไปพักใจที่สุพรรณบุรี

หลังจากรู้ว่าบ่าวคนสนิทจากไปอย่างไม่ลา ท่านชายก็หัวเสียไม่น้อย ทั้งเสียใจที่คิดว่าใจทั้งสองตรงกันแล้ว แต่นั่นแหละหนาเรื่องที่เป็นไปมิได้อย่างที่สุด ทำได้เพียงคำนึงถึงชายผู้อยู่ในหัวใจทุกครั้งที่ต้องทำตามหน้าที่ลูกผู้ชายต่อคู่หมาย

งานแต่งงานใหญ่โต ลูกท่านกรมหมื่นมีแขกเหรื่อมากมาย พิธีดำเนินไปอย่างราบรื่น จนกระทั่งท่านราชครูแก่ฌาณสวมมงคล โสมที่รู้ข่าวจากทาสในเรือนก็รีบมาจากเมืองสุพรรณฯ เพื่อแสดงความยินดีกับนาย แต่ก็ได้แค่ร้องไห้อย่างพรั่งพรู น้ำตาที่ไหลไม่ได้ดีใจ แต่เสียใจที่ทำได้แค่นั่งมองภาพที่มีแต่ความสุขผ่านชานบันได น้ำตาหยดแล้วหยดเล่าเปื้อนเสื้อผ้าทาสสีมอจนชุ่มไปหมด


ความฝันภามาสมักจะหยุดที่ตรงนี้เสมอ ตั้งแต่อายุครบ 20 ปีบริบูรณ์ ภาพเดิมๆ ฉายซ้ำเปลี่ยนฉากไปมาจนเขาลำดับเรื่องได้คร่าวๆ ผู้ชายหน้าตาละม้ายคล้ายตัวเองศักดินาต่ำต้อยหลงรักชายอีกคนที่สูงส่งเกินเอื้อม หากเป็นเรื่องจริงคงเป็นโศกนาฏกรรมทางความรักที่หนักหนา เพราะเมื่อหลายร้อยปีความรักต่อสภาพเพศเดียวกันนับว่าเป็นเรื่องแปลกประหลาดน่าดู

ความสงสัยต่อความฝันทำให้นักศึกษาเอกประวัติศาสตร์อย่างภามาสค้นหาร่องรอยอดีตเพื่อค้นต้นตอของความฝันนี้ เริ่มจากปรึกษาดุจดาวเพื่อนคณะเดียวกันที่มีเซนต์จากการสืบทอดของตระกูล ดุจดาวบอกภามาสจะได้เจอคนที่ไม่เจอมานานมาก และจะได้เข้าใจทุกอย่าง

จนกระทั่งได้พบเจอผู้ชายในฝันที่เค้าโครงหน้าเหมือนกับหม่อมเจ้าพันแสงในยุคศตวรรษที่ 21 เขาคือผู้ชายหนึ่งในคณะสถาปัตย์ที่จะไปทำค่ายอาสาแถบชายแดน กรกรรณประธานค่ายรุ่นพี่จากคณะเดียวกันบอกว่าเขาไปแลกเปลี่ยนที่ต่างประเทศช่วงปี 3-4 ทำให้ไม่แปลกที่ไม่เคยพบรังสิมันต์ หรือ เรย์

การออกค่ายทำให้ภามาสพยายามสืบเสาะและเข้าหารังสิมันต์ กลับโดนเข้าใจผิดว่าเป็นการจีบรุ่นพี่ และโดนรังสิมันต์ปฏิเสธด้วยการบอกว่ามีคนรักแล้ว แต่กระนั้นภามาสก็เป็นคนน่าเอ็นดูคล้ายน้องชาย กลับจากค่ายก็ไม่อาจทำให้รังสิมันต์ผลักไสเด็กผู้ชายคนนี้ได้ ทั้งยังเค้นถามสาเหตุที่แท้จริงของการเข้าหา

ภามาสแน่ใจว่ารังสิมันต์ไม่รู้จักและไม่เคยเห็นเขาจากที่ไหนมาก่อน การสืบหาความฝันพิศวงดูท่าจะกลายเป็นหมัน แต่พักหลังรังสิมันต์ก็ดีกับภามาสมากขึ้น ภาพซ้อนจากเรื่องราวในนิทราส่งผลต่อความรู้สึกของภามาสที่รุนแรงต่อรังสิมันต์ นับวันยิ่งอยากอยู่ใกล้ อยากให้ตามใจ อยากได้ร้อยยิ้มยากจากผู้ชายคนนั้น แต่ต้องถอยกรูเพราะมิวแฟนสาวของรังสิมันต์

เรื่องราวเสมือนกระจกสะท้อนอดีตมาถึงปัจจุบัน หากแต่แตกต่างตรงที่รังสิมันต์ไม่เคยคิดอะไรกับภามาสคนนี้แม้แต่น้อย

รังสิมันต์เริ่มรู้สึกแปลกประหลาดเมื่อเด็กที่เคยป้วนเปี้ยนจู่ๆ ก็หายไปจากชีวิตจนใบเฟิร์นและแทนไท เข้าหาภามาสอย่างที่เจ้าตัวไม่รู้เรื่อง ภูผาเพื่อนสนิทภามาสที่เคยเชียร์เขากลับเพิกเฉย นั่นทำให้เขานั่งชำแหละความรู้สึกตนเองอย่างรอบด้าน แม้จะแน่ใจในความรู้สึกแต่ยังยากกับการยอมรับว่าตัวเองเป็นเช่นนั้น และความรู้สึกผิดต่อแฟนสาวที่ซื่อสัตย์กับเขามาเสมอ

หมอกฟ้าและพายัพเพื่อนสนิทรังสิมันต์เห็นแฟนสาวที่แสนดีของเพื่อนสนิทเดินควงกับผู้ชายคราวพ่ออย่างออเซาะ เส้นความรักขาดผึงภายในเสี้ยวนาที มิวซึ่งไม่ยอมเสียผู้ชายที่ดีที่สุดในชีวิตไปก็เดินเกมดับไฟเสียแต่ต้นลม เข้าหาภามาสโดยบอกว่าตนท้องและรังสิมันต์ก็หนีไป การอ่านเกมว่าผู้ชายที่เคยมองเธอด้วยสายตาแบบนั้นเพียงคนเดียวมอบให้เด็กผู้ชายหน้าซื่อคนนี้ การหักกระดูกเบอร์แข็งกว่าคงทำให้เธอได้ผู้ชายที่ดีที่สุดในชีวิตคืน

ภามาสผู้ซื่อสัตย์และรักความยุติธรรมระเบิดความจริงของการเข้าหา พร้อมความรู้สึกต่อรังสิมันต์ รวมถึงการผลักไสให้ผู้ชายคนนี้ออกไปจากชีวิต เจ้าตัวงงงันกับสิ่งที่ได้ยิน แต่จะตามไปอธิบายก็สายไปเสียแล้ว ภามาสหนีไปซัมเมอร์ที่ต่างประเทศ อย่างที่เขาไม่สามารถล่วงรู้ได้ว่าที่ใด หัวใจของเขาก็เหมือนจะจากไปด้วย

แล้วพระจันทร์ก็หายไปในเงามืดอย่างที่พระอาทิตย์ตามหาไม่ได้ เพราะฝืนกฎธรรมชาติไม่ได้….


ก่อนพระราชครูจะเจิมหน้าผากเจ้าบ่าว ก็เอ่ยถามในสิ่งที่เหมือนเจาะเข้าไปในก้นบึ้งของหัวใจท่านชาย ว่าแน่ใจแล้วหรือที่จักทำเช่นนี้ พิธีวิวาห์หยุดลงเพราะพระราชครูมิสามารถทำพิธีให้เสร็จสมบูรณ์ได้เนื่องจากฝนตกห่าใหญ่ หม่อมเจ้าพันแสงลงจากเรือนทั้งที่ฝนตกหนักเพียงเพราะรู้จากบ่าวในเรือนว่าโสมมา

ท่านชายออกตามหาบ่าวเจ้าของหัวใจไปทั่ว จนเจอร่างบอบบางกว่าชายสั่นงกงั่นใต้ต้นโพธิ์ ก่อนจะสวมกอดและพร่ำคำว่าคะนึงหาขนาดไหน พาบ่าวกลับเรือนหลังฝนห่าใหญ่หยุดอย่างน่าฉงน ท่านราชครูเรียกให้ทั้งสองเข้าพบก่อนเอ่ยว่า

กรรมที่ทำร่วมกันมามันไม่ได้หมดเท่านี้มันจะผูกมัดเจ้าสองต่อไปไม่สิ้นสุด


ดุจดาวได้รับการขอให้ช่วยเหลืออีกครั้งจากผู้ชายแปลกหน้าอย่างรังสิมันต์ เธอตกใจกับการที่ดวงชะตาของภามาสและรังสิมันต์ผูกพันกันขนาดแยกไม่ออก จนพาไปพบกับคุณปู่เธอให้ช่วยหาทาง ไม่มีพิธีทางไสยศาสตร์ มีแต่การให้แสดงออกถึงความจริงใจต่อความรู้สึก ยอมรับการพลัดพราก ยอมรับความเจ็บปวด และยอมเป็นฝ่ายรออย่างไม่ร้อนรน สิ่งที่ตามหาจะกลับมา

เทอมสุดท้ายของการเรียนปี 4 ภามาสใช้ชีวิตเหมือนนักศึกษาทั่วไป หากแต่มีผู้ชายอย่างรังสิมันต์ตามจีบอย่างรุกเร้า ขอให้ลืมเรื่องราวที่เคยเกิดขึ้น ขอให้เริ่มใหม่ ขอให้ให้โอกาส ภามาสแม้จะทราบว่าตนเคยมีใจให้รังสิมันต์เพียงใด แต่กลัวการกลับไปรักพระอาทิตย์ที่ร้อนแรงอีก กลัวโดนแผดเผาจนไหม้เป็นจุณ กลัวจะโดนทิ้งขว้างยามพลบค่ำให้อยู่ลำพัง แต่นานวันเข้าสุดท้ายก็แพ้ให้กับแสงที่ส่งมาถึงเขาเสมอแม้จะมืดมิดเพียงไหน แพ้เสมอให้กับ “หัวใจ” ของพระอาทิตย์

อยู่ไกลเพียงใดวันหนึ่งก็จะกลับมาพบเจอกันร่ำไป
จงรู้ไว้ยามพรากจากจะมีอีกคนรอเจ้าอยู่เสมอ
ต่างต้องพึ่งพากัน เกื้อหนุนกัน คนนึงร้อน คนนึงเย็น
คาบขนานกัน คลาดกัน แต่ไม่จากกัน




----------



สองเดือนหลังจากผ่านการเวิร์กชอปทุกเสาร์อาทิตย์ รวมแล้วกว่า 8 สัปดาห์ที่คนสิบคนต้องพบเจอหน้ากันตลอด ส่วนนักแสดงรุ่นพี่ที่เข้าร่วมการแสดงด้วยก็ผลัดเปลี่ยนหมุนเวียนมาเข้าร่วมเวิร์กชอปอย่างเป็นกันเอง รวมถึงการถ่ายทอดมุมมองการเป็นนักแสดงและการใช้ชีวิตอยู่ในวงการมายาท่ามกลางความกดดันและความคาดหวังหลายอย่าง ทุกท่านเป็นนักแสดงมากฝีมือได้รับรางวัลมากมาย มีแต่ความปรารถนาดีให้รุ่นน้องคราวหลานทุกๆ คน มันเป็นความจริงใจที่สัมผัสได้ว่าเราได้ถูกต้อนรับสู่ครอบครัวใหญ่อย่างวงการมายาแห่งนี้

สิ่งหนึ่งที่จะลืมบอกไม่ได้เลย คือ พูลล์ได้เข้ามารับบทหมอกฟ้าแทนปาล์มที่ถอนตัว เพราะเขาต้องเลือกการได้รับทุนจากมหาวิทยาลัยชื่อดังระดับโลกให้เข้าไปศึกษาต่อด้านวิทยาศาสตร์ที่นั่น นี่คือสิ่งที่ทำให้ผมรู้อีกอย่างหนึ่งว่าคนที่อยากเข้ามาเล่นซีรี่ส์เรื่องนี้มีแต่คนที่โปรไฟล์ไม่ธรรมดาทั้งนั้น ผมรู้สึกอุ่นใจมากๆ ที่พูลล์ได้เข้ามารับบทนี้ด้วย เพราะเราเข้ากันดีเหมือนเห็นตัวเองสะท้อนออกมาจากอีกคน แต่สิ่งที่พูลล์มีมากกว่าผมคือความสดใสและช่างเจรจา เข้ากับทุกคนได้ง่ายไปเสียหมด มันทำให้การทำงานราบรื่นและไม่เครียดจนเกินไป ขืนมีแค่ผมกับอาโปนะ คงจะต้องโดนบังคับอ่านบทและไม่ให้เล่น ROV ตอนพักแน่ๆ แต่ถ้าเป็นพูลล์เราจะแอบไปกินไอติมใต้ตึกกันเวลาพัก ฮี่ๆ

นอกจากนี้สองเดือนที่ผ่านมามันยังเป็นเรื่องหนักหนาสำหรับคนที่กำลังเรียนอยู่ เพราะมีแต่คนหอบหิ้วคอมพิวเตอร์มาเวิร์กชอปด้วย ปั่นโปรเจ็คต์สิครับรออะไร ใช้เวลาทุกนาทีมีค่าเสมอ ไม่อย่างนั้นอาจจะเสียสองวันไปกับการต้องเข้าเวิร์กชอปและงานไม่เดิน ไม่พอจะต้องอ่านหนังสือเพื่อสอบไฟนอลทั้งๆ ที่ยังอ่านหนังสือทำวิจัยไม่เสร็จ โอ้ว มาย จีซัส อยากจะเผาตัวเองให้ร้อนตลอดเวลาจะได้มีไฟทำทุกอย่างที่อยู่ตรงหน้าให้ผ่านพ้นไปได้
   
แต่สิ่งดีๆ ที่เกิดขึ้น คือ การที่มีคุณหมอหนึ่งเดียวในการเวิร์กชอปครั้งนี้ให้คำปรึกษาในการทำวิจัยเรื่องจิตวิทยาอปกติ ซึ่งดีที่คุณหมอเขาสนใจเรื่องนี้อยู่บ้างเลยแนะนำเท็กส์ให้เยอะ เลี่ยงไม่ได้ที่จะต้องขอคำปรึกษาและใกล้ชิดกัน

“คุณดิม พอดีผมเขียนบทที่สองงานวิจัยที่เกี่ยวข้องเสร็จแล้ว อยากให้อ่านว่ามีตรงไหนที่ผมแปลจากเท็กซ์ไม่เข้าใจหรือเปล่า” หลังจากใช้เวลาหลายวันในการรวบรวมข้อมูลจนหัวฟูก็ต้องกลับมาหาที่พึ่งเดียวตอนนี้ของตัวเอง

“อืม เอาสิ” คุณหมอที่นั่งเล่นมือถือเช็กโซเชียลของตัวเองตอบอย่างสบายๆ ก่อนจะตามมาด้วยประโยคนี้ “แต่ผมว่าก่อนที่จะเริ่มดูการบ้านเธอ มานั่งคุยกันหน่อย”

“เอาสิครับ มีอะไรหรอ”

“จะสองเดือนแล้วที่เจอหน้ากันทุกอาทิตย์ เธอเอาการบ้านมาปรึกษา ทำกิจกรรมด้วยกัน” สายตาคมที่มองตรง
มาอย่างมีความหมายบางอย่างทำให้ผมที่ตั้งใจฟังใจกระตุกอย่างง่ายๆ

“.....”

“ไม่รู้สึกแปลกหรือไงที่เรายังแทนตัวเองกันแบบนี้”

“อ๋อ แบบไหนอะ ผมก็เรียกคุณดิมว่าคุณดิมมาตลอด อีกอย่างคุณดิมก็เรียกผมว่าเธอเองนี่นา”

“งั้นต่อจากนี้ พี่จะแทนตัวเองว่าพี่ ศิก็แทนตัวเองว่าศิ”

“.....” ช็อกอยู่ครับ ช็อก
   
“ทำไมล่ะ หรือเราไม่ได้สนิทกัน?”

เจอคำถามนี้ถึงกับไปไม่เป็น ไม่รู้ด้วยซ้ำสิ่งที่เป็นอยู่เรียกสนิทหรือเปล่า แต่เขาก็เป็นเพียงไม่กี่คนที่ผมจะเลือกปรึกษาเวลามีปัญหา นอกเหนือจากอาโปและพูลล์ เพราะเราต้องเวิร์กชอปเข้าคู่กันมากที่สุด แหงล่ะเราต้องเล่นคู่กันนี่นา แต่พอมาเจอคำถามแบบนี้ก็ไม่รู้จะตอบยังไงถ้าตอบว่าสนิทจะเข้าข้างตัวเองไปหรือเปล่าวะ

“ก็...เรียกพี่หมอแบบนี้ไม่ได้หรอครับ”

“ไม่ พี่เฉยๆ ไม่ก็พี่ดิม”

“อ้าวทำไมล่ะ คนอื่นเขาก็เรียกพี่หมอกัน”

“อยากเลิกเป็นหมอบ้าง แค่กับศิก็ยังดี”

“...”

“นะ…”

จบสิ้นสิ่งที่ต้านทานมาตลอด คำขอร้องจากปากผู้ชายที่สมบูรณ์แบบ มาขอให้ไอ้ศิทำเรื่องแค่นี้ให้ ทำไมจะไม่ได้ล่ะครับ พี่ดิม!!

“อื้อ พี่ดิม…”


และหลังจากนั้นเราก็สนิทกันมากขึ้นอย่างที่ไม่ใช่แค่สถานะ แต่คือการกระทำ



หลังจากที่ประกาศผลการคัดเลือกนักแสดงอย่างเป็นทางการ แฮทแท็กของซีรีส์ก็ได้รับการพูดถึงอย่างล้นหลามอีกครั้งทั้งในทวิตเตอร์และเฟซบุ๊ก จำได้ว่าวันนั้นยอดคนติดแฮทแท็กเป็นล้าน พอเข้าไปอ่านก็มีทั้งที่ชื่นชอบและไม่ถูกใจใครหลายคน ซึ่งคนๆ นั้นก็เป็นผมซะเยอะ ทำใจไว้แล้วว่าจะต้องมีเหตุการณ์แบบนี้ แต่ภูมิต้านทานผมเยอะแล้วแหละเลยไม่ค่อยเก็บเอามาคิดอะไรให้มันบั่นทอน ตัดสินใจเลือกเส้นทางชีวิตตรงนี้แล้วคงต้องทำอย่างเต็มความสามารถนั่นแหละครับ

แต่ก็มีไม่น้อยที่ให้กำลังใจผม และตอนนี้ผมก็มีทวิตเตอร์ออฟฟิเชียลของตัวเองแล้วด้วย เพราะพี่ใบชาบอกว่าเอาไว้ติดต่อกับแฟนคลับ ตอนแรกก็ไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีแฟนคลับกับเขาเหมือนกัน พอสมัครวันแรกเพื่อนนักแสดงทุกคนก็ช่วยโปรโมททำให้มีคนฟอลโลวผมมาเยอะมากจนงงว่าผมก็ฮอตเหมือนกันหรอเนี่ย อีกอย่างเพิ่งรู้อีกนั่นแหละว่าตัวเองก็มี “บ้านแฟนคลับ” กับเขาเหมือนกัน ที่สำคัญมี “บ้านคู่” อาโปบอกแบบนั้น เป็นบ้านของ พี่ดิมกับผมเอง

เออเขินเลยแฮะ


“ศิ มึงปิดบังอะไรพวกกูป่ะ” เสียงผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มถามขึ้น กลางวงม้าหินหน้าคณะที่เรากำลังนั่งกินขนมรอเรียนคลาสสุดท้ายก่อนสอบไฟนอล

“อะ..อะไร ปิดบังอะไร”

“อาโปมึงอะต้องเห็นอะไรแน่ๆ ใช่มะ” ตาใสๆ หรี่ลงอย่างจับผิดเพื่อนอีกคนที่นั่งข้างผม

อาโปเลือกที่จะไม่ตอบแต่ยกยิ้มอย่างมีเลสนัย ก่อนจะกดมือถือยุกยิกแล้วยื่นให้เฌอดู

“เชี่ยยยยยยยยยยย” เฌอดูอะไรบางอย่างแล้วมองหน้าผมด้วยสีหน้าตกใจ

“เห้ยอะไรอะ มีอะไร ไหนเอามาดูบ้าง” ไวเท่าเซลล์นำประสาท ผมคว้าไอโฟนเอ็กซ์จากคนตัวเล็กที่ดูเหมือนจะอึ้งไป
แล้ว

สิ่งที่เห็นคือภาพผมกับพี่ดิมกำลังคุยเรื่องงานวิจัยกันอยู่ แต่ผมนั่งเอาคางวางที่เก้าอี้ในห้องเวิร์กชอป ส่วนพี่ดิมนั่ง
เอาหลังพิงกำแพง แล้วเราสบตากันเขายิ้มให้ผม ซึ่งเป็นรอยยิ้มที่หาได้ยาก เพื่อนที่เรียนด้วยกันจะรู้ดี เอาตรงๆ ก็ไม่รู้ตัวว่าเขายิ้มให้ขนาดนั้นเหมือนกัน ตอนนั้นรู้สึกจะเหนื่อยจนพักสายตาไปแต่ปากก็ยังคุยกับเขาอยู่ สรุปคือโดนอาโปเพื่อนตัวดีแอบถ่ายมาซะได้ ทำไมไม่บอกจะได้ขอให้ส่งให้!

“หึ นี่สนิทกันขนาดนั้นแล้ว?” เมฆยิ้มมุมปากหลังจากที่ได้ดูรูปนี้แล้วเหมือนกัน

“กะ ก็บอกแล้วไงว่าพี่เขาช่วยทำวิจัย ไม่งั้นกูตายไปแล้ว”

“แหนะ เดี๋ยวนี้มีพงมีพี่นะ” อาโปแซวสมทบ

“อ้าว ก็ทุกคนก็เรียกพี่มั้ย อาโปอย่ามาจับผิดสิวะ”

“ก็ป่าววว แต่คนอื่นเรียกพี่เค้าว่าพี่หมอ แต่มึงเรียกพี่ดิม แปลกๆ ป่ะ”

“กะ ก็ กู ไม่รู้เว้ยย”

จะให้บอกได้ยังไงว่าเขาไม่อยากให้เรียกว่าพี่หมอเพราะอยากหยุดเป็นหมอบ้าง แค่กับเราก็ยังดี -//-

“มึงชอบเค้าหรอศิ” เฌอที่หายตะลึงงันแล้วพูดขึ้น ให้ได้เสียวสันหลังวาบ

“เชี่ย จะ จะบ้าหรอวะ ป่าวนะเว้ย กะ ก็แค่สนิทกันมากกว่าเดิม”

“แต่มึงหน้าแดง”

“ก็แดดมันร้อน กูตัวแดงง่ายพวกมึงก็รู้”

เพื่อนสามคนนั่งมองผมเขม็งอย่างจับผิดกับอาการลุกลี้ลุกลน จะให้รู้ได้ยังไงว่าใจเต้นแค่ไหนกับคำถามของเฌอที่จี้ใจดำเหลือเกิน อีกอย่างก็ไม่เคยเล่าให้เพื่อนสามคนฟังว่าเขาเป็นหนึ่งในเรื่องที่น่าตื่นเต้นสำหรับผมมานานมากแล้ว แม้อาโปจะรู้จากการเวิร์กชอปเมื่อสองเดือนก่อน แต่ไม่รู้ว่าเขาคนนั้นเป็นใคร และความลับนี้คงต้องตายไปกับผม โดยที่พี่ดิมไม่รู้ว่าผมรู้เห็นการกระทำอันน่าอายของเขาคนเดียว

“มึงเคยบอกกูว่าเขามีแฟนแล้ว” เมฆพูดขึ้นตอนเคี้ยวป๊อกกี้รสช็อกโกแลตไปด้วย

“ใช่ไง กูจะไปชอบเค้าได้ไง พวกมึงหนิ” 

นั่นสินะ เขามีแฟนอยู่เป็นตัวเป็นตน อย่าไปรู้สึกดีมากไปกว่าความใจดีสำหรับการช่วยเหลือ เพราะเขาเป็นคนที่เอื้อเฟื้อต่อคนอื่นเป็นปกติ

ไม่ได้พิเศษแค่เรา

คนที่พิเศษคือคนที่กุมหัวใจเขาต่างหาก



“อย่าให้รูปนี้หลุดนะอาโป เดี๋ยวพี่ดิมเค้าจะเดือดร้อน”

“เออๆ ไม่หลุดหรอก แต่เดี๋ยวกูแกล้งๆ ส่งให้มึงเผื่ออยากได้งี้” อาโปยังส่งสายตาล้อเลียนไม่เลิก ผิดกับเมฆที่เหมือนจับอาการบางอย่างที่ผิดเพี้ยนไปอย่างรวดเร็วของผมได้ เลยมองอย่างเข้าใจ และเป็นห่วงเสมอ

เพราะเมฆรู้ว่าผมอ่อนไหวแค่ไหน ไม่ได้เข้มแข็ง แต่แสร้งทำเป็นปกติเก่งกว่าใคร

   
“มึงกูว่าไม่ทันละ”

เฌอยกไอโฟน8 ของตัวเองขึ้นให้เพื่อนๆ รอบโต๊ะดู เป็นภาพเดียวกับที่อาโปถ่ายได้ คือผมกับพี่ดิม แต่ความแตกต่างคือมันชัดมาก คุณภาพจากกล้องระดับเทพ พอเห็นชื่อแอคเคาท์นที่ลงรูปก็อยากจะร้องไห้เป็นภาษาตุรกี ออฟฟิเชียลของซีรีส์ลงเอง ไม่ต้องกลัวว่าจะมีคนเห็นเพราะตอนนี้เห็นกันทั้งประเทศ ไอ้ตัวผมน่ะไม่เท่าไหร่ แต่พี่ดิมนี่สิจะเป็นยังไง กลัวจะโดนเข้าใจผิด


รีบร้อนเข้าไลน์เพื่อจะส่งภาพเจ้าปัญหาไปหาคุณหมอที่คงจะเข้าเวรเช้าอยู่

[thesisi] พี่ดิม
[thesisi] ส่งรูปภาพแล้ว
[thesisi] จะเป็นไรมั้ย

[akiradim] it’s okay why? A r serious?
พี่ดิมเคยบอกว่าถ้ารีบจะพิมพ์เป็นภาษาอังกฤษเพราะมันไม่ต้องกด shift

[thesisi]  ก็แฟนพี่ไง

[akiradim] don’t worry she always understood me

Akiradim calling

“กูไปคุยโทรศัพท์แป๊บนะ เดี๋ยวมา”
   
“แหนะคุยกับใครทำไมต้องออกไปคุยไกล” อาโปยังหาเรื่องจับผิดไม่เลือก ซึ่งจริงๆ ก็จับผิดถูกจุด

“ยุ่งน่า”

   

“ครับพี่ดิม”

(พี่ว่างละ ไม่ต้องกังวลหรอก)

“อ่า ครับ”

(เค้าเข้าใจว่ามันคืองาน ต่อไปเราก็ต้องทำแบบนี้อยู่แล้วไม่ใช่หรอ)

“....”

(ยิ่งซีรีส์ออนคงโดนเยอะกว่านี้ ไม่ต้องห่วงพี่ ห่วงตัวเองเถอะ)

“ผมไม่เป็นไรอยู่แล้ว ไม่มีพันธะเหมือนพี่นี่”

(ก็จะหาแฟนยากเอา)

“ผมออกจะน่ารักเดี๋ยวก็มีคนมาจีบแหละ โถ่ว”

(หึ เลิกเรียนแล้วหรือไง)

“ยังครับ กำลังรอเรียน แต่พอพี่โทรมาก็เลยเดินออกมาคุย เดี๋ยวเพื่อนล้อ”

(ล้อว่า)

“ก็ล้อจากรูปนั้นไง”

(ก็แค่มอง ตลกดีศิตอนนั้น ตาก็จะนอนปากก็จะถามงาน หึ)

“ฮ่าๆ พี่ดิมไปทำงานเถอะน่า ศิจะไปเรียนละ”

(ครับ ตั้งใจเรียนล่ะ)



แค่ได้ยินว่าทุกอย่างมันเกิดขึ้นเพราะเรื่องงานก็ใจหวิวไปเท่าไหร่ ไม่ใช่ว่าสิ่งที่พี่ดิมทำมันไม่ได้แสดงถึงความจริงใจให้กัน หากแต่ทว่ามันหมายถึงกำแพงที่สูงใหญ่ที่เขามีให้กับผม กำแพงของการเป็นเพียงเพื่อนรุ่นน้องร่วมงานกันเท่านั้น

ซึ่งก็เป็นสิ่งที่ถูกต้องที่สุดแล้วล่ะ ฉะนั้นผมก็ควรมีกำแพงของผมเช่นกัน จะพยายามไม่ก้าวข้ามกำแพงของตัวเองเพื่อไปเจอกำแพงที่สูงกว่า

และในชีวิตนี้คงไม่มีวันทลายได้







มีต่อ





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-08-2018 22:03:18 โดย mifengbee »

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
วันฟิตติ้งเดินทางมาถึง เป็นอีกหนึ่งวันที่วุ่นวายแต่เช้าตรู่ อาโปขับรถมารับผมที่คอนโดเพราะรู้ว่าถ้าผมไปเองคงถึงสตูเลยเวลานัดเพราะมัวแต่ตีป้อม ROV หลังจากสอบไฟนอลผ่านพ้นไปสำหรับเทอมแรก และวันนี้ก็จะได้เริ่มทำงานอย่างเต็มตัว แต่จริงๆ ก็รู้ตัวอยู่แล้วว่าผมต้องตื่นมาทำงาน เมื่อคืนเลยไม่ได้เล่นเกมจนดึกดื่นเหมือนที่อาโปเป็นห่วง

ศิ เปลี่ยนไปแล้วน้าาา

บอกแล้วไงจะกลายเป็นศิที่มีความรับผิดชอบมากขึ้น โตขึ้น และไม่ให้ใครเป็นห่วงอีกแล้ว ผมรู้เสมอว่าเพื่อนทั้งสามคนหวังดีกับผมพอกับคนในครอบครัว และผมไม่เคยนึกรำคาญหรือไม่อยากรับสิ่งเหล่านี้เลย จริงๆ ผมชอบให้เพื่อนใส่ใจและดุผม มากกว่าเงียบใส่เวลาทำอะไรไม่ถูกต้อง นั่นแปลว่าพวกเขาหมดความอดทนกับการเป็นคนดื้อรั้นของผมเต็มที

อาโปยังแปลกใจที่ผมอาบน้ำแต่งตัวเตรียมของเรียบร้อยก่อนที่อาโปจะมาถึงเสียอีก เหลือแค่ปิดไฟห้องก็ออกไปทำงานกันได้

“ไม่น่าเชื่อ”

“ทำไมเล่า ก็บอกแล้วว่าไปเองได้ ไม่เชื่อ”

“ก็ปกติสอบเสร็จมึงเล่นเกมถึงเช้าตลอดนี่หว่า”

“ศิคนเดิมตายไปแล้วเว้ย เนี่ยก็ต้องมาส่งกูอีก”

“ใครว่า กลับเอง เพราะกูมีนัดแล้ว”

“เอ้า ได้ไง ละนัดกับใคร”

“ไม่บอก”
“ไปขึ้นรถ เดี๋ยวสาย”

เดี๋ยวนี้เพื่อนๆ ชักจะมีความลับกันใหญ่ เหมือนจะมีแต่ผมคนเดียวที่ชอบโดนชำแหละความห้ามมีความลับ มีเรื่องทุกข์ใจอะไรก็โดนคั้นให้พูดหมด แต่ทั้งเมฆ อาโป และเฌอ ดูจะมีเรื่องที่ผมไม่รู้ ไอ้พวกนี้! เออผมก็มี ได้ แลกกัน!!




@Studio Z


“หมอยกแขนทางขวาขึ้นนิดนึงครับ ตั้งไม้เท้าให้ได้องศาด้วยครับ ครับ อย่างนั้นแหละ”

ช่างภาพชื่อดังที่มาถ่ายฟิตติ้งให้เราวันนี้บอกคุณหมอในการจัดท่าทางให้ดูเป็นหนุ่มในยุคร้อยกว่าปีก่อน ชุดราชปะแตนเต็มยศกับหมวกท่านขุน ทำให้ร่างสูงหน้าไทยดูเหมาะกับบทท่านชายพันแสงอย่างหาใครเทียบไม่ได้

“เดี๋ยวให้น้องอีกคนเข้าเฟรมได้เลยนะ”

“ไปค่ะน้องศิ” พี่ทีมงานบอกผมว่าถึงคิวตัวเองแล้ว

“ครับๆ”

ท่านชายพันแสงนั่งบนเก้าอี้โบราณลวดลายแปลกตา มีโต๊ะกลมทรงจีนแกะสลักอย่างวิจิตร สูงระดับเอวตั้งขนาบทางซ้ายมือ ก่อนที่ช่างภาพจะจัดให้ตัวผมนั่งพื้นทางขวามือ ใกล้กับรองเท้าคัดชูสีดำขัดมัน รูปแบบการแต่งกายของชายในราชสำนักสมัยรัชกาลที่ 5 โดยการแต่งกายที่ผมสวมใส่คือชุดบ่าวเสื้อสีอิฐกับนุ่งโจงกระเบนสีเดียวกันในท่านั่งพับเพียบ ประสานมือไว้หน้าตัก โน้มตัวลงเล็กน้อย ในลักษณะที่เจียมตัวสมกับเป็นทาสในเรือนท่าน

“โอเคดีครับ น้องที่นั่งข้างล่างเดี๋ยวยิ้มนิดนึงนะ นิดเดียวพอ โอเคดี”

“ทีนี้ท่านชายมองบ่าวมันหน่อย มองแบบคนที่มีใจรักต่อบ่าว อะดีครับ ยกยิ้มนิดนึง โอเคสวยมาก เดี๋ยวเปลี่ยนชุดได้เลย”


“สวยมากเลยศิมาดูสิ พี่หมอด้วย”

พูลล์ที่ดูตื่นเต้นกับรูปภาพที่แสดงอยู่บนหน้าจอแมคขนาดหลายสิบนิ้ว รูปภาพที่ช่างภาพชื่อดังอย่างที่ก้อง ธนา ที่เลือกรับงาน จะรับแค่งานที่คอนเซ็ปต์แปลกใหม่หรือไม่ก็ได้ท้าทายความสามารถเท่านั้น เพราะส่วนใหญ่จะทำงานอยู่ต่างประเทศ การเดินทางมารับงานถ่ายฟิตติ้งให้ซีรีส์เรื่องนี้รับรองว่าสวยอย่างหาที่ติแทบไม่ได้ แสง เงา การจัดวางองค์ประกอบ การท่าทางและสีหน้าของนักแสดง  รูปภาพลักษณะการย้อนอดีตแบบนี้ยิ่งเป็นงานถนัดของพี่เขา แทบจะไม่ต้องรีทัชสามารถนำไปใช้โปรโมทได้เลยด้วยซ้ำไป

“พี่ชอบรูปนี้”

พี่ดิมที่มายืนอยู่หลังผมเมื่อไหร่ไม่รู้ โน้มตัวลงมาใช้เม้าส์เลื่อนรูปไปยังรูปที่เจ้าตัวชื่นชอบ ซึ่งจริงๆ ผมก็ชอบรูปนี้มากเหมือนกัน

ช็อตสุดท้ายที่พี่ก้องถ่าย หม่อมเจ้าพันแสงมองบ่าวที่ตนมอบหัวใจให้ด้วยความรู้สึกทั้งรัก ทั้งใคร่ และเอ็นดู อย่างปิดไม่มิด  พี่ดิมถ่ายทอดความรู้สึกผ่านสายตาได้ดีเหมือนมองคนรักจริงๆ ในขณะที่ผมก็ก้มมองต่ำหากแต่ยังเห็นว่ายิ้มอย่างเขินอายจนปิดไม่ได้ เชื่อเลยว่าถ้าภาพนี้เกิดขึ้นในสมัย 200 ปีที่แล้วคงโดนประณามทั่งพระนคร

พี่ก้องทำให้ท่านชายพันแสงและโสมเหมือนทะลุมิติออกมาจากสมัยก่อนได้อย่างมีชีวิตชีวาจริงๆ




“น้องศินี่ผิวดีจังเลยนะคะเนี่ย เนียนเหมือนก้นเด็กเลย”  พี่ดาด้าช่างแต่งหน้าสาวประเภทสองที่ถ้าไม่บอกว่าเป็นกะเทยผมก็มองไม่ออกเลย เพราะสวยเหมือนผู้หญิงจริงๆ

“ขอบคุณครับพี่ดาด้า” ผมยกมือไหว้หลังจากรับคำชมตามมารยาทที่ควรจะทำ

“อุ้ยๆ ไม่ต้องไหว้ค่ะลูก มารยาทดีด้วยนะคะเนี่ย”

“อย่าไปชมมันมากครับ เดี๋ยวมันเหลิง” อาโปที่นั่งทำผมเสร็จแล้วพูดดักคอพี่ๆ ขึ้น

ผมยู่ปากใส่อาโปที่มักจะหยิกแกมหยอกผมเสมอ แต่ทุกคนรู้ดีเพราะเราเป็นเพื่อนสนิทกัน

“แต่ผมว่าพี่ดาด้าพูดถูกนะ ผมนี่อิจฉาผิวน้องศิมากเลย” ภัทรหรือนภัทร รับบทพายัพเพื่อนสนิทรังสิมันต์ เดินเข้ามาในห้องแต่งตัวหลังจากที่เปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จพร้อมถ่ายฟิตติ้งแล้ว

ผมไม่ได้สนิทกับพี่ภัทรมากนัก รู้แค่เขาอายุมากกว่าผม และเป็นคนที่หน้าตาหล่อจัดอีกคนหนึ่ง ยิ่งพอประกาศผลการแคสอย่างเป็นทางการหลายคนถึงกับบอกว่าพี่เขาไปอยู่ไหนมา หล่อขนาดนี้ทำไมไม่เข้าวงการก่อนหน้านี้  รูปร่างสมส่วน สูง แต่น้อยกว่าพี่ดิม ผิวขาวพิมพ์นิยม และเป็นผู้ชายที่แฟชั่นนิสต้าตามยุคทีเดียว ที่สำคัญนัยน์ตาสีน้ำตาลเข้ม ชวนฝัน ถ้าใครได้จ้องตรงๆ คงมีระทวย

“อ่า ขอบคุณครับพี่ภัทร”

“ใช้อะไรบอกพี่บ้างสิ”

“ฮ่าๆ เอาจริงๆ ไม่มีสกินแคร์อะไรแปลกๆ เลย ก็ล้างหน้าให้สะอาดแค่นั้นเอง”

“โอ้ยยย น้องศิยิ่งพูดพี่ยิ่งอิจฉานะคะ พี่นะดูแลยิ่งกว่าลูกอีกผิวหน้าเนี่ย นวดหน้าก็แล้ว สครับก็แล้ว ยังกระด้างกว่าส่วนที่แย่ที่สุดของหนูอีกลูก” พี่ลูกหมู ช่างทำผมชายหัวใจหญิงที่กำลังม้วนผมให้น้องปลาพูดอย่างน้อยอกน้อยใจ แต่น้ำเสียงดูประชดประชันชีวิต

คนที่อยู่ห้องต่างหัวเราะให้กับท่าทางตลกของพี่ดาด้าและพี่ป๊อปที่สร้างสีสันให้กับวันที่งานยาวนานแบบนี้ วงการนี้คงขาดสีสันน่าดูถ้าไม่มีทรัพยากรคุณภาพแบบพวกพี่ๆ

“ขอโทษนะครับ พอดีผมติดกระดุมเสื้อข้างหลังไม่ได้ ขอยืมตัวศิไปติดให้ได้มั้ย”

คุณหมอเข้ามาในห้องแบบไม่มีปี่มีขลุ่ย ก่อนจะพูดขึ้นด้วยเสียงที่ไม่ได้ดังมาก แต่เพราะร่างสูงใหญ่ทำให้เขาเป็นจุดเด่นเสมอไม่ว่าจะไปยืนอยู่ตรงไหน

“เดี๋ยวให้พี่ติ๊ดตี่ติดให้ก็ได้นะคะคุณหมอ”
“ติ๊ดตี่มาดูแลคุณหมอค่ะลูกเร็ว โอกาสมาแล้ว”  พี่ดาด้าตะโกนเรียกคอสตูมที่เด็กกว่าแต่แต่งตัวสมเป็นคอสตูมของกองซีรี่ส์ที่วาย จะบอยก็ไม่บอย จะสาวก็ไม่สาว เป็นลุคยูนิเซ็กส์น่ารักๆ แม้ตัวพี่ติ๊ดตี่จะสูงใหญ่แค่ไหนก็ตาม

“ค่าา คุณแม่ ลูกรีบมาแล้ว”

“อ่า ไม่เป็นไรครับ พอดีจะให้ศิช่วยทำอะไรบางอย่างด้วย”

“เดี๋ยวติ๊ดตี่ช่วยได้ทุกอย่างเลยค่ะหมอ” พี่ดิมหน้าเจื่อน ผมไม่รู้ว่าพี่เขาต้องการให้ช่วยเรื่องอะไรเพิ่มอีกนอกจากจะให้ช่วยติดกระดุมหลังเสื้อ แต่ถ้าให้คอสตูมช่วยไม่ได้อาจจะเป็นเรื่องที่เขาคงไม่สะดวกใจ

“เดี๋ยว ผมช่วยเองก็ได้ครับพี่ๆ”

ผมมองหน้าคุณหมอของทุกคนในห้อง แต่ไม่ยักจะสังเกตเห็นอาเจื่อนเหมือนเมื่อสักครุ่ เหลือเพียงรอยยิ้มจางๆ บนใบหน้าหล่อเหล่า กับทรงผมที่ถูกเปลี่ยนให้ทันสมัยเข้ายุคลุคโอป้าเกาหลี ให้สมกับเป็นรังสิมันต์แทนหม่อมเจ้าพันแสง

   
   
“พี่ดิมมีอะไรหรือเปล่า คงไม่ใช่แค่เรียกมาติดกระดุมใช่มั้ย” ปากก็ถามไปแต่มือก็พลางติดกระดุมให้พี่ดิมไปด้วย เสื้อผู้ชายแบรนด์ไทยจากห้องเสื้อชื่อดังเป็นคอลเล็กชั่นยูนิเซ็กส์ที่พอมาอยู่บนตัวผู้ร่างสูงใหญ่สมส่วน มันทำให้เชิ้ตสีเรียบดูสง่าขึ้นอย่างบอกไม่ถูก

“มองอะไร”

“พี่รู้ได้ไงว่าศิมอง มีตาหลังหรอ”

“หัดยอกย้อน”

“ป่าวซะหน่อย ก็ศิยันอยู่ข้างหลังพี่ พี่หันหลังให้ศิ รู้ว่าศิมองมันไม่แปลกหรือไงเล่า”

พี่ดิมหันหน้ามาก่อนจะยิ้มให้ ทั้งที่ผมยังติดกระดุมให้เขาไม่ถึงรังดุมสุดท้ายเลย

“ก็เวลามีคนแอบมอง คนเรามักจะรู้สึกได้เสมอ”

“ผมติดกระดุมให้พี่ก็ต้องมองพี่เป็นธรรมดา” ผมยังเถียงว่าไม่ได้ลอบสังเกตแผ่นหลังกว้าง

“มองกระดุม หรือมองหลังพี่ หื้ม” มือใหญ่ยีผมสีเข้มขึ้นเพราะเพิ่งไปเปลี่ยนสีผมให้เข้ากับบทบาท ด้วยความรู้สึกมันเขี้ยวมากกว่าอยากทำโทษ
   
“ถึงว่าเวลามีคนแอบมองเรา ถึงไม่รู้ตัว”

“หื้อ ใครครับ?”

“ก็ไอ้ภัทรไง”

“เดี๋ยวนะ เค้าก็อาจจะมองทั่วไปมะ แล้วพี่รู้ได้ไงอะ”

“ก็พี่มองเราตลอด”

“....”  สายตาของร่างสูงที่พูดประโยคนี้อ่านไม่ออกว่าพูดด้วยอารมณ์ความรู้สึกแบบไหน หรือมีนัยยะทางความหมายอะไร อาจจะแค่แกล้งผมให้ตกใจเล่นไปเท่านั้น แต่บอกไว้เลยว่าผมแกล้งทำเป็นไม่รู้สึกกับคำพูดของผู้ชายตรงหน้าไม่ได้จริงๆ

“คือ....พี่หมายถึง ก็เราอยู่ด้วยกันตลอดถูกมั้ย ก็ต้องมองเห็นศิตลอดสิ”

“อ๋อ คงไม่หรอกมั้ง พี่ดิมอาจจะมองผิด เค้าไม่น่าจะชอบผู้ชาย”

“หึ เดี๋ยวนี้เค้าไม่มองแล้วเพศอะไร”
“ยิ่ง…”

“ยิ่งอะไรพี่ดิม หยุดมองแบบนี้เลย!” 

คุณหมอที่แสนดีของทุกคน ใครจะรู้ว่าแท้จริงแล้วจะเป็นคนขี้แกล้ง โดยเฉพาะแกล้งผมเนี่ยแหละ สายตาที่มองกระลิ้มกระเหลี่ยอย่างผู้ชายที่ผ่านผู้หญิงมาไม่น้อย แน่ล่ะหล่อขนาดนี้ตอนเรียนคงฮอตสุดๆ ไม่สิ ตอนนี้ก็ฮอตอยู่

“ฮ่าๆ ก็เราน่ะไม่รู้อะไรเอาซะเลย”

“ไม่รู้อะไรเล่า”  อดจะกระเง้ากระงอดร่างสูงตรงหน้าไม่ได้ที่เอาแต่เย้าแหย่ให้หงุดหงิดใจ รู้อะไรก็ไม่พูดไม่บอก ชอบให้หาคำตอบเองตลอด ทั้งที่จริงๆ บอกมาเลยก็จบแล้ว

ท่าเยอะ!!





คนตัวเล็กเดินออกจากห้องเปลี่ยนเสื้อผ้า ก่อนที่ร่างสูงจะเดินตามออกมาด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม ทั้งที่ปกติไม่ค่อยจะแสดงออกทางอารมณ์เท่าไหร่เวลาอยู่ในห้องเรียนด้วยกัน ยกเว้นการอยู่กับเด็กตัวเล็กที่แสนจะร่าเริง และยิ้มตลอดเวลาคนนั้น เขาคนนี้ตกหลุมความสดใสเข้าเต็มเปา โดยเฉพาะแววตาที่ใสซื่อและมักแสดงออกถึงจริงใจต่อทุกคนเสมอ แต่คนที่จะได้รับมากกว่าใครคือคุณหมอคนเดียวในทีมนักแสดง ในตอนแรกเขาก็คิดว่าคงเพราะงานวิจัยที่เด็กนั่นตั้งใจเสียเต็มประดา แต่ไปๆ มาๆ กลับสนิทกันเกินกว่าที่จะเป็นแค่ปรึกษางานวิจัย ไม่รู้ว่าสองคนเขาจะรู้ตัวมั้ย แต่คนในกอง พี่ๆ ทีมงาน และครู เห็นการกระทำที่ประเจิดประเจ้อนั่นอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน

ในสายตาผู้ชายที่วันนี้รู้สึกดีกับผู้ชายด้วยกัน กลับไม่ได้รู้สึกคัดค้านความรู้สึกนี้ที่เกิดขึ้นในใจ

แต่คุณหมอคงยังยอมรับไม่ได้แน่ เพราะผมเห็นกำแพงที่เขาพยายามปั้นแล้วรื้อถอนอยู่หลายครั้งจากสายตาที่มองคนตัวจ้อย และการกระทำที่แสดงออกอัตโนมัติ หลายครั้งก็พลั้งมือ หลายทีก็พลั้งเผลอ

ก่อนที่คุณหมอจะทลายกำแพงตัวเอง ผมคงต้องทลายกำแพงเด็กหน้าใสคนนั้นให้ผมก้ามข้ามไปก่อน





------To be Continued------



ตอนนี้สั้นนิดใช่มะ55555555

ความสัมพันธ์ของหมอกับน้องเริ่มเดินหน้าแล้วนะ

แต่เริ่มแบบมีคู่แข่งเลย ถ้าหมอไม่รีบก็จะมีคนเร็วกว่านะคะ

อิอิ





ฝากกดกำลังจัยตั่งต่าง

แฮทแท็กใหม่เด้อ



#youaremyday1

#กาลครั้งหนึ่งที่รักคุณ



@mifengbeexx



บี


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-08-2018 22:09:12 โดย mifengbee »

ออฟไลน์ LomaPakpao

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-1

ออฟไลน์ LomaPakpao

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-1
ติดตามค่ะ ʕ•ﻌ•ʔʕ•ﻌ•ʔʕ•ﻌ•ʔʕ•ﻌ•ʔʕ•ﻌ•ʔʕ•ﻌ•ʔ

ออฟไลน์ LomaPakpao

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-1

ออฟไลน์ เพียงเพื่อน

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 175
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +8/-1
จะเชียร์พี่ดิม ก็เชียรืไม่เต็มที่ ว่ากันตรงๆก็สงสารแฟนนางอยู่  :hao5:

ออฟไลน์ uyong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
รอ ร๊อ รอ พี่ดิมน้องศิ  :mew2:
แอบหวั่นใจในตัวพูลล์ไม่รู้สิหรือเราคิดไปเอง :really2:

ออฟไลน์ LomaPakpao

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-1
 :sad4:  :o12: งอแงได้ไหม~
เสพติดเรื่องนี้

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
You are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ
EP07 : เป็นเด็กต้อง safe sex
[/size]

I came along
I wrote a song for you
And all the things you do







“ไว้เจอกันวันแถลงข่าวนะพูลล์” โบกมือบ๊ายบายคนตัวเท่ากันที่ตอนนี้นับเป็นเพื่อนสนิทอีกคน เราสนิทกันมากขึ้นเพราะคุยไลน์กันตลอด พูลล์จะชอบแคปทวิตตลกๆ ที่จิ้นพวกเราในซีรีส์มาให้พูดคุยขำขันเหมือนคนบ้าที่หัวเราะกับจอมือถือ เลยทำให้เราแลกเปลี่ยนเรื่องราวในชีวิตนอกเหนือจากซีรีส์กัน กลายเป็นมีคู่หูคนใหม่ที่ชอบชวนกันไปทำแต่เรื่องบ้าบอ

“นานไป๊! วันนี้ไปไหนต่อป่าว ไปเดทกัน”

“เดี๋ยวววว เดทไรเล่า”  ผมยังไม่ชินกับไอ้การขี้เล่นของพูลล์ที่ชอบพูดคำชวนคิดลึกไปไกลของเขาเท่าไหร่นัก

“ฮ่าๆๆๆ ล้อเล่น ไปกินข้าวเดินเล่นกัน”
“ไหนๆ อาโปก็ลอยแพศิแล้วนิ”

“เออโดนทิ้งอะ ตอนไปรับก็ไปรับอย่างดีเหอะ” มองขวางเพื่อนตัวดีที่มีความลับ ถามว่าจะไปไหนก็ไม่บอกมันชักจะยังไง

“อะไร ก็มีธุระ ไปกับพูลล์แหละดีละ ฝากมันด้วยนะพูลล์” อาโปหันไปยิ้มกว้างให้กับพูลล์อย่างรู้กัน

“สบ๊ายย เดี๋ยวไปส่งถึงคอนโดเลย”




@ห้าง S

“ช่วงนี้ศิสนิทกับพี่หมอเนอะ” คนพูดกำลังเคี้ยวซูชิโรลในปากอย่างเอร็ดอร่อย ทั้งที่ก่อนหน้านี้พูดถึงเรื่องถ่ายฟิตติ้งวันนี้อยู่แท้ๆ

“อ้าวก็เวิร์กชอปต้องเข้าฉากกับพี่เค้าบ่อยนี่นา แปลกหรอ”

“ก็ไม่เชิง แค่ศิอาจจะไม่รู้ตัวว่าเวลาอยู่กับพี่หมอ ศิเป็นยังไง”

“แล้วเป็นไง?” เอียงหน้าถามอย่างสงสัย

“ก็เหมือนกระต่ายตัวเล็กๆ ขี้อ้อน ขี้เขิน ชอบตะแง้วๆ พี่เค้าอะ เราก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่มันเหมือนเด็กอ้อนผู้ใหญ่ตลอดเวลา”

“บ้า เราทำแบบนั้นหรอ…”  แทบไม่รู้ตัวว่าเผลอแสดงกิริยาแบบนั้นออกไป

“พี่หมอก็นะ เหมือนหมียักษ์ใจดีที่ตามใจกระต่ายที่สุดเลย” คนพูดเคี้ยวเท็มปุระไปด้วยอีก
“พูดน้อยกับทุกคนแต่คุยกับศิเยอะกว่าใคร”
“ถึงบอกว่าสนิทนี่ไง”

“ก็ไม่มีอะไรนี่ เราก็แค่เห็นว่าพี่ดิมเป็นผู้ใหญ่กว่า อีกอย่างเค้าชอบดุด้วย ก็เลยทำตัวให้เด็กๆ ไว้จะได้ไม่โดนดุไง” ไม่เคยทำกับพ่อแม่หรือไง ทำแบบนี้พ่อแม่ก็จะตามใจจากที่ดุก็หายเลย

“หรออออ พี่ภัทร กับพี่นิวก็โตกว่าไม่เห็นศิจะไปอ้อน” พูลล์ทำหน้าตาจับผิดเต็มที่

“กะ ก็ไม่สนิท”

“อะๆ เอาเถอะ ไม่มีอะไรก็ไม่มีเนอะ ดีละจะได้ทำงานง่ายๆ ฮี่ๆ”

แม้ปากของพูลล์จะบอกแบบนั้นแต่เชื่อได้เลยว่าสายตาที่ยังเจือความสงสัยไว้เต็มประดานั้นจะยังคงจับจ้องผมกับพี่ดิมต่อไปแน่นอน เจ้าพูลล์ไม่ปล่อยง่ายๆ หรอก

บอกตามตรงว่าไม่เคยรู้ตัวว่าดูสนิทกับพี่ดิมจนคนรอบข้างทักขนาดนี้ ก็คิดว่าทำตัวปกติเหมือนทำกับทุกคน แค่โมเมนต์ของเราได้อยู่ด้วยกันบ่อย ไหนต้องซ้อมบท เข้าฉาก และฝึกทักษะหลายๆ อย่างด้วยกัน ไม่แปลกไม่ใช่หรือไงที่ตัวจะติดกัน

คิดมากน่า

ถึงอย่างนั้นก็แอบเขินอยู่หน่อยๆ กับคำเปรียบเทียบที่พูลล์ใช้เรียก

หมียักษ์กับกระต่าย

แม้จะเป็นเพียงจินตนาการของพูลล์แต่มันทำให้หัวใจดวงน้อยๆ ของผมพองโตขึ้นมาอย่างน่าอาย ทั้งที่มันไม่ควรเกิดขึ้นด้วยซ้ำ อาการดีใจกับสิ่งเล็กน้อยกับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับร่างสูงมักโผล่มาในห้วงความคิดเสมอ แม้จะคอยปัดป้องให้เขาอยู่นอกกำแพงของตัวเองแค่ไหน หากแต่เป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะผลักไสความรู้สึกตัวเองที่ค่อยๆ เพิ่มพูนอย่างห้ามไม่ได้

คงทำได้แค่นี้ แค่คิดและมีเขาไว้ในจินตนาการของตัวเองคนเดียว



ครืด ครืด

“ไม่รับหรอพูลล์”

“ไม่อะ ไม่อยากรับ”


ติ๊ง ติ๊ง

“เฮ้ย ซวยละ” พูลล์ดูกระสับกระส่ายหลังจากที่อ่านเมสเสจบางอย่างที่มีคนส่งมาให้ เหมือนมองหาใครบางคนอยู่รอบๆ ร้านอาหารที่เรานั่งกันอยู่

“มีอะไรอะ”

“อิ่มยังศิ ไปกันเถอะ”

“หื้อ ทำไมล่ะ มีอะไรหรือเปล่า”

“มีคนที่เราไม่อยากเจออยู่ที่นี่”
“เดี๋ยวเล่าให้ฟัง ไปเถอะนะ”

ท่าทางดูร้อนรนทำให้ผมรีบเคี้ยวหมูชาชูคำสุดท้ายและดูดชาเขียวตามลงไป ดีที่ไม่ติดคอ

“ก็ได้ๆ”

คนที่ร้อนรนรีบเดินไปจ่ายเงินที่เคานเตอร์อย่างรวดเร็วก่อนจะคว้าแขนผมเดินไปยังลานจอดรถที่เขาจอดไว้

ปึก!

ยังไม่ทันไปถึงลานจอดรถดีพูลล์ก็พาผมเดินมาชนผู้ชายร่างสูงใหญ่ ในชุดสูทสีกรมท่าดูภูมิฐาน ใส่แว่นกรอบดำมาดคุณชายคนนึง

“Shit!”

“ทำไมพูดคำหยาบอีกแล้ว หื้ม น้องพูลล์”

อ้าวรู้จักกันหรอ

“เกี่ยวไรกับคุณ”

“พูลล์รู้จัก…”

“สวัสดีครับน้องศิ พี่ชื่อภีมนะ เป็น..”

“หยุดเลย! พี่มาทำไมเนี่ย” คนข้างผมชี้หน้าคนตัวสูงที่มาปรากฏตัวแบบสร้างความไม่พอใจให้เพื่อนผมเท่าไหร่ จากตอนแรกที่ดูกระสับกระส่ายกลายร่างเป็นแมวขี้หงุดหงิดไปเสียแล้ว

“พี่เคยบอกว่าไง ห้ามไม่รับสายพี่ไงครับ”

“ก็ไม่ว่างป่ะ สรุปมีไร”

“มารับ”

ผมว่าความสัมพันธ์ของคนตรงหน้าชักแปล่งๆ ได้กลิ่นความไม่ใช่พี่น้องธรรมดา

“ไม่ได้ วันนี้ต้องไปส่งศิที่คอนโด”

“เดี๋ยวพี่ไปส่งเราทั้งคู่นั่นแหละ” รอยยิ้มใจดีส่งมาให้ผมอย่างเป็นมิตร จริงๆ ผู้ชายตรงหน้ามีเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้ละสายตาไม่ได้เลย ตัวสูงใหญ่ สมาร์ท ผิวสีขาวเหลือง ดวงตาชั้นเดียวแต่ทว่าหางตาคมกริบ คงมีเชื้อจีนปกในสายเลือด ไหนจะกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ทำให้รู้สึกสะอาดนี่อีก


“ศิ พูลล์ มีอะไรกันหรือเปล่า”


“พี่หมอ! /พี่ดิม!” คำเรียกเหมือนอุทานของผมและพูลล์ที่การเห็นคุณหมอสุดหล่อมายืนข้างหลังพวกเราตอนไหนไม่รู้ โผล่มาอย่างกับผีในหนัง ที่แปลกใจกว่านั้นคือคุณหมอมีเวลามาเดินห้างด้วยว่ะ ทำไมไม่เอาเวลาไปนอน

“ตกใจอะไรกัน”

“ก็พี่เล่นโผล่มาไม่ให้ซุ่มให้เสียงนี่” พูลล์ตอบแทนใจผมที่ยังตกใจไม่หาย

“แล้วสรุปมีอะไรให้พี่ช่วยหรือเปล่า” คุณหมอมองไปยังผู้ชายอีกคนที่สูงพอกัน แต่คนละสไตล์กันเลย คนที่เพิ่งมาถึงคงไปเปลี่ยนชุดก่อนจะมาเดินห้างล่ะมั้ง เพราะมันดูสบายๆ คนละลุคกับเมื่อเช้าสุดๆ เสื้อยืดพอลล์สมิธ กับกางเกงยีนส์ขาดเข่า และรองเท้าผ้าใบฟีล่าสีขาว สวมหมวกบางลองเซียก้าสีดำ ดูทันสมัยและทำให้ดูเด็กกว่าอายุมากโข

“ปะ เปล่าครับพี่หมอ เอ่อ นี่พี่ภีม เป็นพี่ชายของพูลล์เอง”

“หึ” ร่างสูงในชุดสูทยกยิ้มมุมปากหลังจากการแนะนำของพูลล์

“ผมดิมครับ”

“ครับคุณดิม วันนี้ได้เจอตัวจริงซะที” พี่ภีมพูดประโยคชวนสงสัยเหมือนว่ารู้จักพี่ดิมมาก่อนซะอย่างงั้น
“พูลล์เล่าเรื่องคุณให้ฟังน่ะครับ”

อ๋อ

“อ่อครับ ไปเล่าอะไรล่ะเจ้าพูลล์”

“ไม่มีอะไรเหอะก็ทั่วไป”

“แล้วสรุปว่ายังไง มีอะไรกัน” พี่ดิมถามขึ้นหลังจากรอคำตอบมานาน

“ผมมารับน้องพูลล์กลับบ้าน แต่คนแถวนี้ไม่รับโทรศัพท์ก็เลยมารอที่นี่ แต่ก็จะหนีกลับไปอีก”

“ไม่! พูลล์ไม่กลับกับพี่ พูลล์จะไปส่งศิก่อน อีกอย่างเอารถมาถ้ากลับด้วยแล้วรถจะเอาไว้ไหน”

“เดี๋ยวให้ลุงสมมาเอาให้”

“เหอะ คิดอะไรง่ายไปหมด” ผมไม่เคยเห็นพูลล์ในอารมณ์แบบนี้มาก่อน ปกติจะร่าเริง สดใส แต่ตอนนี้หงุดหงิดไปซะหมด เหตุผลน่าจะมาจากผู้ชายตี๋โอป้าคนนี้

“งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่งศิเอง พูลล์กลับไปกับพี่ชายเถอะ”

“พี่หมอ ไม่เอาาา!” เสียงพูลล์หง่อยไปซะอย่างนั้น นี่มันผิดแผนไปหมดเลย

“กลับกับ พี่ชาย นั่นแหละ” น้ำเสียงดุปนมากับประโยคนี้ชัดเจน เลยได้พูลล์เลยพยักหน้ารับเบาๆ อย่างจำยอม

“งั้นพูลล์ก็กลับกับพี่ได้แล้วใช่มั้ยครับ”

“ฮึ้ยยย!” พูลล์มองพี่ภีมตาขวางอย่างไม่สบอารมณ์ที่ร่างสูงใหญ่ก็ได้ตัวช่วยให้พาเด็กที่หงุดหงิดคนนี้กลับไปด้วยได้

“งั้นผมขอตัว ป่ะศิ”

“งั้นไว้เจอกันนะพูลล์”
“เดี๋ยวเราถึงคอนโดแล้วโทรหานะ”

“อื้อ ขอโทษนะศิ พอดีคนแถวนี้เป็นบ้าอะ กลับดีๆ นะ”

เราสองคนโบกมือลากัน ผมมองคนตัวเท่ากันในชุดเสื้อเชิ้ตสีพีชตัวโคร่ง ปลดกระดุกสามเม็ดเผยให้เห็นแผงอกขาวๆ กับกางเกงยีนส์เดฟขาดเล็กน้อย สะพายกระเป๋าผ้าสีขาวลายซิมซัน เดินสะบัดหน้าหนีผู้ชายที่พยายามหนีมาก่อนหน้านี้แต่ไม่ทัน ไม่รู้ว่าทำไมพูลล์ถึงอยากหนีพี่ภีมนัก แต่คนที่ฉุนเฉียวทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ก็คงเพราะคนนั้นสำคัญอยู่เหมือนกันสินะ

“พี่ดิมมาที่นี่ได้ไง”

“ขับรถมาสิ”

“กวนอะ”

“ฮ่าๆ พี่ก็มาซื้อของเข้าคอนโดนิดหน่อย”
“เราเถอะไปเป็นก้างเขาทำไม”

“ก้าง? ก้างอะไรอะ” 

คุณหมอขยับปีกหมวกไปไว้ด้านหลัง เผยให้เห็นใบหน้าคมเข้มใต้ตามีรอยดำจางๆ คงได้พักผ่อนดีกว่าหลายวัน

“เอาเป็นว่าคนของเค้ามาตามกลับบ้าน เราก็ไม่ควรไปยุ่ง”

พอผมคิดตามคำที่คุณหมอบอกและปฏิกิริยาของทั้งสองคนที่แม้พูลล์จะดูไม่ชอบใจมากๆ ที่พี่ภีมมารับถึงห้าง แต่ความรู้สึกบางอย่างมันบอกว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนมีความผูกพัน แต่วันนี้คงมีผิดใจอะไรบางอย่าง ชาวบ้านอาจจะเรียก งอน

ผมยิ้มรับเมื่อคิดได้

“แล้วแฟนพี่ไม่มาซื้อของด้วยหรือไง”

“เค้าก็อยู่บ้านเค้าสิ”

“อ่าฮะ แล้วนี่ซื้อเสร็จหรือยังอะ”

“ยังไม่เริ่ม จะไปเดินด้วยหรือรอแถวนี้”

“จริงๆ ศิกลับเองก็ได้นะ จะได้ไม่ลำบากพี่ดิมไปส่ง เผื่อพี่...”

“รับปากแล้วก็ต้องทำ” พูดยังไม่ทันจบคุณหมอเขาก็โพล่งสัจจะออกมา

“สรุปคือจะไปส่งให้ได้ว่างั้น”

พี่ดิมพยักหน้า

“งั้นไปซื้อของด้วยก็ได้”

รับอาสาเข็นรถให้พี่ดิมรอบซุปเปอร์ขนาดใหญ่มาประมาณครึ่งชั่วโมง ทำให้เห็นด้านคุณพ่อบ้านในตัวผู้ชายร่างยักษ์คนนี้ โดยเฉพาะการเปรียบเทียบราคาสินค้าที่ไม่ได้ใช้ประจำว่าอันไหนคุ้มกว่าและน่าซื้อกว่ากัน ที่สำคัญรู้อีกอย่างว่าการเป็นหมอไม่ได้ทำให้เขารักสุขภาพเท่าที่ควร ตุนอาหารแช่แข็งเต็มรถเข็น ผมทำได้แค่ปรามๆ ว่าควรซื้ออาหารสดไปไว้บ้าง เขาก็อิดออดว่าไม่ค่อยได้ทำอาหาร แต่สุดท้ายก็รับปากว่าจะซื้อกับข้าวใต้คอนโดกินบ่อยกว่าเดิม แต่กระนั้นคุณหมอกลับปฏิเสธอาหารที่มีน้ำตาลเยอะๆ เช่น พวกน้ำอัดลม นมเปรี้ยว หรือน้ำผลไม้กล่อง เขาให้ความรู้ว่าพวกนี้ไร้ประโยชน์อย่าไปเชื่อคำโฆษณา และพาผมเข็นรถไปซื้อผลไม้หลายชนิดแทน ในมุมที่ไม่รักสุขภาพก็ยังรักสุขภาพอยู่ หมอก็คือหมอ

ความโรคจิตของผมคือแอบจำว่าคุณหมอเขาใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายอะไรบ้าง ซึ่งก็ไม่รู้จะจำไปทำไมด้วย แต่มันอยากรู้นี่._.


“อะไรทำไมมองพี่แบบนั้น”

“อะ เอ่อ เปล่าซะหน่อย” พี่ดิมพาผมเข็นรถมาโซนของใช้ผู้ชาย เลยเถิดมาถึงเชลฟ์ถุงยางและอุปกรณ์สำหรับเมคเลิฟ

“Safe sex ไง แปลกหรอ”

“ปะ เปล่า ยังไม่ทันพูดอะไรเลย”

“เขินนิ หูแดงจัง” มือใหญ่จะเอื้อมมือมาจับหูของผมที่มันคงแดงอย่างที่เขาว่าจริงๆ ถ้าไม่เขินก็รู้สึกประดักประเดิดเต็มทนที่ต้องมามองดูผู้ชายเลือกถุงยางเนี่ย

“เฮ้ย เปล่าซะหน่อย” 

“หึ”

นี่ก็สายตาขี้เสือกไปมองอีกว่าเขาขนาดเท่าไหร่ ใช้แบบไหน แม้จะอายุ 21 แล้วแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีประสบการณ์เรื่องพวกนี้เยอะเมื่อไหร่

ล่าสุดคงกับแฟนเก่าสมัยมัธยม…

จำได้ว่าวันนั้นกลับบ้านด้วยกันที่นานๆ ทีจะได้ทำแบบนี้ เพราะเราคบกันแบบไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำ เขาเป็นถึงนักบาสสุดฮอตของโรงเรียน เลยเปิดเผยไม่ได้ว่าคบกับผู้ชาย โดยเฉพาะผู้ชายแบบผม ผู้ชายที่มีเพื่อนสนิทไม่กี่คน ใครก็คงจำไม่ได้ว่าเรียนที่นี่ เราเลยต้องแอบนัดเจอกันหลังเลิกเรียนพิเศษ ฝนก็กระหน่ำลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตาเขาเลยอาสาพาไปส่งที่หอไม่ไกลจากที่เรียนพิเศษ แต่ขอแวะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่หอตัวเองก่อน นั่นนำมาซึ่งการหอมแก้มครั้งแรก จูบแรก และเซ็กซ์ครั้งแรก ที่เต็มไปด้วยความความสุขสมและโหยหากันและกัน เป็นจุดเริ่มต้นของครั้งที่สองสามและอีกหลายครั้ง มันดีมาตลอดจนก่อนเรียนจบเราก็ห่างกันไปเพราะวุ่นวายกับการเตรียมแอดมิดชั่น ไม่ได้บอกเลิก แต่ก็ไม่มีใครพยายามติดต่อกันอีก ตัวผมเองก็เฮิร์ตอยู่พักใหญ่แต่บอกใครไม่ได้ ความรู้สึกก็ค่อยๆ จางหายไปตามกาลเวลาที่เปลี่ยนผ่าน แต่ยังจำเขาคนนั้นในหัวใจได้ดี หากทว่าไม่ขอกลับไป ให้มันเป็นความทรงจำที่ดีแบบนี้แหละดีแล้ว

“วัยแบบพี่ยังต้องป้องกัน เราก็อย่าห้าวล่ะ” คำพูดชวนปวดหัวและไม่สำนึกกับการกระทำของตัวเองฉุดผมออกจากอดีตที่เหมือนจะดีแต่ก็ไม่ดี

“ไม่คุยกับพี่ดิมละ แม่ง”

ผมเข็นรถหนีไปทางอื่นโดยไม่อยากสนใจคำพูดคำจาของคุณหมอที่เริ่มจะออกลายตัวตนที่แท้จริงมาแล้ว ไม่รู้คนอื่นโดนเหมือนที่ผมมั้ย แต่ผมโดนทุกทาง ฮึ้ย




ซ่าส์ ซ่าส์

ก้าวออกมาจากตัวห้างไปยังลานจอดรถ ก็ได้ยินเสียงฝนกระหน่ำอย่างรุนแรง ไม่พอลมยังกรรโชกอีกต่างหาก นี่มันอะไรกันใกล้จะหน้าหนาวแล้วฝนยังจะตกอีก เมืองไทยนี่มันเอาแน่อะไรกับอากาศไม่ได้เลยจริงๆ และผมจะเจอเหตุการณ์ฝนตกหนักอะไรบ่อยขนาดนี้

“พี่ดิมจะขับรถกลับได้หรอ ศิว่าฝนตกหนักมากเลยอะ”

“งั้นไปกินข้าวกับพี่ก่อนรอฝนซา”

“งืม ครับ”




“จะมีคนถ่ายรูปเราไปลงทวิตอีกป่ะ” ผมถามแถมเย้าพี่ดิมที่กำลังสั่งอาหารแนวอิตาเลี่ยนที่เขาเป็นคนเลือก แต่ผมปฏิเสธเพราะเพิ่งกินอิ่มไม่นาน

“โดนแอบถ่ายกับพี่ไม่ดีหรือไง”

“ฮ่าๆๆ ป่าวๆ ก็เราเป็นคู่จิ้นกันนี่เนอะ ขนลุกว่ะ”

“ว่ะเหวะอีกละนะ เด็กแค่นี้”

“ขอโทษครับผม เป็นหมอพ่วงครูสอนมารยาทป่ะครับ”

“เดี๋ยวเป็นครูสอนอย่างอื่นด้วย” พี่ดิมวาดมือใหญ่ลูบหัวผม เป็นการลูบเบาๆ แถมมองด้วยสายตามีเลศนัย ไม่พอยังยกยิ้มที่มุมปากอีก ไม่น่าไว้ใจ ไม่น่าไว้ใจสุดๆ จะแกล้งอะไรอีก

“สะ สอนอะไร จะแกล้งอะไรศิอีก”

“เดี๋ยวก็รู้ เอาไอติมมั้ย พี่กินคนเดียวมันแปลกๆ”

“เขินหรอ” ผมเย้าคนที่เพิ่งทำให้ผมแกล้งใจเต้นแรง

“เดี๋ยวเถอะ สตรอว์เบอรี่นะ”

“ครับผม”

และอีกสิ่งหนึ่งที่น่าดีใจคือพี่ดิมจำได้ว่าผมชอบกินไอติมรสสตรอว์เบอรี่



ผ่านไปร่วมชั่วโมงออกมาจากตัวห้างฝนก็ยังตกหนักไม่ลดแรงลงแต่อย่างใด สุดท้ายแล้วพี่ดิมเลยตัดสินใจขับรถฝ่าฝนอย่างระมัดระวัง เม็ดฝนขนาดใหญ่โปรยปรายสู่พื้นดิน กระทบกระจกหนาของรถยุโรปทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นลดลงไปกว่าครึ่ง ที่ปัดน้ำฝนทำงานเป็นระวิง แต่สารถีก็ดูใจเย็นเหมือนความเย็นที่แผ่ปกคลุมรอบรถโดยไม่ต้องลดอุณหภูมิภายในห้องโดยสารสุดหรูนี้

“ศิ”

“ครับ”

“จะเป็นอะไรมั้ยถ้าจะแวะคอนโดพี่ก่อน”

“ทำไมล่ะครับ” ผมเอียงคอถามอย่างสงสัย ทั้งที่จริงๆ ก็ไม่รู้หรอกว่าคอนโดคนข้างๆ อยู่ที่ไหน แต่ที่รู้คือคอนโดผมอยู่ห่างจากตรงนี้ไปไม่กี่ไฟแดง แต่แค่ต้องไปวนรถกลับไกลหน่อยเท่านั้น

“ฝนมันตกแรงมากพี่มองไม่ค่อยเห็นทาง อีกอย่างรถมันติดมากเลย เดี๋ยวฝนซาแล้วพี่ออกมาส่ง”
“แต่ถ้าศิไม่โอเคพี่ขอจอดข้างหน้าก่อนได้มั้ย”

“ปะ ป่าวครับ ไม่ได้ไม่โอเค ปะ ไปคอนโดพี่ดิมก่อนก็ได้” แม้จะรู้สึกกระอักกระอ่วนใจนิดหน่อยที่คิดว่าต้องไปคอนโดของผู้ชายที่ตัวเองคิดไม่ซื่อ แต่เพื่อความปลอดภัยของตัวเราเอง และเพื่อนร่วมถนน ก็เอาแบบนั้นก็ได้



เนอะ




ก้าวแรกที่สัมผัสห้องชุดเพนท์เฮ้าส์ชั้นบนสุดของคอนโดสุดหรู หลายครั้งที่เคยผ่าน แต่ไม่คิดว่าจะหรูหราขนาดนี้ โทนสีขาว เทา และครีม คือเฉดสีหลักของห้องนี้ กลิ่นสะอาดลอยเตะเข้ามาในจมูก ภาพเบื้องหน้าคือห้องรับแขกจัดเป็นระเบียบ ซ้ายมือคือห้องครัวขนาดใหญ่ที่ดูสะอาดสะอ้านเหมือนไม่เคยใช้มาก่อน ขวามือคือบันไดไปสู่ชั้นสองซึ่งน่าจะเป็นห้องส่วนตัวของคุณหมอ ภายนอกระเบียงที่มองเห็นไกลๆ เป็นสระว่ายน้ำส่วนตัว มีมุมไว้สำหรับนั่งมองวิวข้างนอก แต่ตอนนี้ไม่ควรออกไปสัมผัสกับละอองฝนที่ยังไม่ลดละ

“ตามสบายนะ เดี๋ยวพี่ไปหาอะไรอุ่นๆ มาให้”

“ครับ”
“พี่ดิม อยู่คนเดียวจริงๆ หรอ”

“ทำไม คิดว่ามีใครอยู่หรือไง”

“ก็ ห้องมันกว้างมากกก ไม่กลัวผีหลอกหรอ”

“ผีกับพี่น่ะเพื่อนกัน ไม่รู้หรือไง” ร่างสูงพูดไปด้วยพร้อมจัดข้าวของที่วางบนโต๊ะตัวสูงยาวภายในห้องครัวไปด้วย
“เป็นหมอเลิกกลัวผีตั้งแต่ผ่าอาจารย์ใหญ่แล้ว” น้ำเสียงสบายๆ ที่นานครั้งคนตรงหน้ามักจะพลั้งเผลอเวลาเล่าเรื่องบางอย่างที่ไม่มีเรื่องซีเรียสปะปน มันยิ่งทำให้รู้สึกว่าเราสองคนสนิทกันจริงๆ สนิทกันจนถึงมายืนอยู่บนคอนโดของเขาได้

“เหอะ นั่นสิ ผีอะต้องกลัวพี่มากกว่า”

“แต่อะไรก็ไม่น่ากลัวเท่าผีไม่มัวนะ”

“โหดร้ายว่ะ”

“พี่พยาบาลชอบพูด พี่จำมาทั้งนั้น”

“หราาา”  ไม่จริงหรอกที่คนกล้าเลือกถุงยางต่อหน้าคนอื่นจะไม่รู้จักคำผวนพวกนี้ ขนาดผมยังรู้เลย

ผีมารักฉันเธอ เนี่ยยิ่งรู้ดี

อิอิ


23.10 น.

กว่าค่อนคืนที่สายฝนยังโปรยปรายด้วยกำลังแรงเท่าเดิมไม่ลดละ เจ้าของเพ้นท์เฮ้าส์เดินวนไปส่องที่ริมระเบียงหลายครั้งหลายคราก็ได้แต่ส่ายหน้ากลับมาเหมือนเดิม โกโก้อุ่นที่พี่ดิมชงมาให้ตอนนี้หมดไปเหลือเศษสีน้ำตาลเข้มใต้ก้นแก้วมัคลายแซลลี่สุดน่ารัก ผมเอ่ยปากแซวกับความมุ้งมิ้งที่มีแก้วน้ำลายน่ารักนี้อยู่บนคอนโดหนุ่มโฉด คุณหมอรีบปัดป้องว่าได้เป็นของขวัญจากคนไข้เด็กขณะราวด์วอร์ดเด็กนั่นเอง เลยได้แต่เออออยอมเชื่อ ตอนแรกก็แปลกใจว่าทำไมวันนี้เขาดูชิลขนาดที่ว่าไปเดินช้อปปิ้งที่ห้างได้ เลยได้คำตอบว่าวันนี้หยุด 1 วันหลังจากเข้าเวรติดต่อกันมาเป็นเดือน

หลายชั่วโมงที่เราติดแหง็กอยู่ด้วยกันนอกจากจะได้เห็นกิจวัตรเล็กๆ น้อยๆ ของคุณหมอแล้วก็ยังเห็นเขาในลุคที่ดูธรรมชาติที่สุด เสื้อยืดย้วยๆ กับกางเกงขายาวสีมอ ใส่สบายแต่ดูท่าจะราคาไม่สบาย ลุคคุณหมอสวมแว่นทรงกลมสมัยนิยมกรอบสีดำนี่ถ้าใครได้มาเห็นคนอยากกระชากหัวใจตัวเองให้ไปเลยแบบฟรีๆ เพราะผมก็อยากทำแบบนั้นเหมือนกัน แต่โทษทีที่ไม่มีใครได้เห็นนอกจากผมตอนนี้

“เฮ้ย พี่ดิม”

“หื้ม มีอะไร ตกใจอะไรขนาดนั้น”

พี่ดิมเงยหน้าจากหนังสือเล่มเล็กในมือ ผมที่ยังไม่แห้งดีทำให้ไม่เป็นทรงเหมือนเคย ขายาวที่พาดกับโซฟาตัวเล็กไว้เหยียดขา ถูกรบกวนด้วยเสียงดังฉุดสมาธิที่ก่อนหน้านี้อยู่กับตัวเอง จะไม่ให้เสียงดังได้ยังไงในเมื่อสิ่งที่คิดไว้เป็นจริงซะแล้ว

#เด็กหมอไม่ใช่เด็กเส้น is back!!!

“มีคนถ่ายรูปเราไปลงทวิตเตอร์อีกแล้วอะสิ พี่!!”

“เดี๋ยวใจเย็นๆ”

“เย็นได้ที่ไหน นี่มันรูปตอนพี่เลือกถุงยาง!!”

“Damn it!”



เออซวยมั้ยล่ะ







มีต่อ




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-08-2018 22:23:54 โดย mifengbee »

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
บอกตรงๆ ใจพี่บางมากกับเหตุการณ์นี้ ลงมาหลายเรือแต่ไม่คิดเลยจะมาเจอโมเม้นต์ที่เขาพากันมาเลือกถุงยาง ใจพรี่ ช่วยด้วยคุณตำหนวดดดด คูมหมอจาเอาลูกชั้ลไปทำชำเราาาาาาาาา #อย่าทำเบานะ #เด็กหมอไม่ใช่เด็กเส้น #หมอดิมน้องศิ

รูปที่ถูกแอบถ่ายคือตอนที่พี่ดิมถือถุงยางในมือ กับมืออีกข้างจะเอื้อมมาจับหูผมตอนที่ล้อว่ามันแดง มันดูเหมือน เอ่อ คู่รักหยอกเอินปนเขินอายกับการต้องมาเลือกของใช้สำหรับใช้ร่วมกัน…
นอกจากนี้ยังมีรูปในร้านอาหารขณะที่พี่ดิมยกมือลูบผมของผม ลานจอดรถขณะที่ผมช่วยขนของลงจากรถเข็นใส่ท้ายรถบีเอ็ม

บอกตรงๆ ว่าคืนนี้แฮทแท็กคงขึ้นไทยเทรนด์อีก!!!

“เค้าอาจจะเลิกงานละไปเดทกันต่องี้แกรรรรรรรรรรรร นี่ซีรี่ส์ยังไม่เปิดกล้องเลยนะโว้ยยยยยยยยยยย ทำไมกูฟินขนาดนี้ /ขออ๊อกซิเจน #เด็กหมอไม่ใช่เด็กเส้น #หมอดิมน้องศิ”

“ไม่เคยคิดว่าพี่หมอเค้าจะแบบหื่นอะมึงงงงงงงง พาน้องไปเลือกถุงยางเลยอ่อวะ อิเหี้ยเกินไปป่ะ น้องศิรู้กกกกกก ยังเด็กอยู่เรยยยยยยยยย /แอบไปนอนใต้เตียง #เด็กหมอไม่ใช่เด็กเส้น #หมอดิมน้องศิ”

“กูว่าหมอเยสดุอะ #เด็กหมอไม่ใช่เด็กเส้น #หมอดิมน้องศิ”

โอ้โหหหหหหหหห อันนี้พีคสุดตั้งแต่แอบเข้าไปส่องในทวิต หวังว่าพี่ดิมคงจะไม่เห็น แต่คนรีทวิตโคตรเยอะพันกว่าในสิบนาที ฮืออออออออ


ดุอะไรยังไม่โดน!!!


“หึหึ”

“ขำอะไรพี่”

“ก็ขำศินั่นแหละ นั่งหน้านิ่วคิ้วขมวดเชียว”

“ก็คนเข้าใจผิดไปไหนต่อไหน เพราะความสัปดนของพี่แท้ๆ”

“ขอโทษๆ เดี๋ยวแก้ข่าวให้ น้องเสียหายจะแย่ละ”


ติ๊ง


อย่าเพิ่งเข้าใจผิด ผมแค่แกล้งน้องมันเล่นเฉยๆ คนแอบถ่ายน่าจะถ่ายเป็นคลิปนะครับจะได้ชัดๆ @thesimoonie


วิเดียวคนรีตั้งหลายร้อย

พลังชิปเปอร์นี่รุนแรงจริงๆ นะครับ กลัวแล้วนะ

“ยังไปแขวะเขาอีก”
“เดี๋ยวถ้าเขามีคลิปขึ้นมาซวยไม่พัก”

Reply จริงๆ มีคลิปด้วยค่ะแต่มันจะเกินงามไปหน่อยเลยลงรูป คุณหมออยากให้ลงคลิปหรอคะ ช้อยจัดให้ค่ะ


ไอ้เหี้ยยยยยยยยยยยยยยยยย


“พี่ดิม!!!”


มึงงงงงงงงงงงงงงงงงงง


ไม่ไหวแล้วขอหยาบใส่ในใจก็ยังดี นี่ผมต้องโดนเรื่องแบบนี้เพราะเขากี่ครั้งแล้วไม่อยากนับ แต่ครั้งนี้มันสุดจริงๆ คนอื่นจะคิดไปไกลถึงดาวพลูโตเนปจูนก็ไม่ว่า แต่ถ้ามันหลุดไปถึงนักข่าว จะพาลเดือดร้อนไปถึงผู้ใหญ่ในบริษัท ไหนจะพ่อแม่ผม ครอบครัวเขา ที่สำคัญแฟนเขาอีก

โกรธจริงๆ ได้มั้ยวะ

มีสิทธิ์มั้ย

“...”

“ศิ..”

“....”

“ไม่คิดว่าเค้าจะมีจริงๆ”
“เดี๋ยวพี่ดีเอ็มไปให้เค้าลบ”

ผู้ชายร่างสูงเดินจากโซฟามุมห้องมาหาผมที่นั่งโซฟากลางห้องหน้าทีวีขนาดใหญ่ที่เปิดไว้แต่ไม่มีใครดู ตอนแรกที่นั่งหันข้างให้ตอนนี้เลยหันหลังให้รู้ไปเลยว่าโคตรไม่ชอบใจที่เขาทำสิ่งที่ไม่น่าทำเลย รู้แหละว่าปกติเขาจะล้อเล่นกับแฟนคลับหรือคนที่ติดตามเป็นปกติ โดยส่วนมากจะคีพคาแร็กเตอร์ดุๆ หน่อย แฟนคลับก็จะกล้าๆ กลัวๆ เวลารีพลายคุยกับเขา หากแต่ทว่าไม่ใช่ทุกคนที่จะกลัวนี่น่า อย่างน้อยก็มีแฟนคลับคนนี้ที่กล้าเล่นกับคำยุยงของตัวต้นเหตุ

“พี่ขอโทษนะ”

“อื้ม”

“นี่โกรธจริงๆ หรอ”

โซฟาตัวยาวฝั่งด้านหลังของผมยวบลงอย่างที่รู้ว่าคนตัวโตขยับจากที่เดิมมานั่งตรงนี้แทน มือใหญ่หนาสัมผัสหัวไหล่มนเบาๆ แล้วลูบด้วยสัมผัสอ่อนโยนคล้อยตามคำขอโทษที่เอ่ยก่อนหน้านี้

“แฟนพี่คงไม่มาดักตบผมหรอกนะ”

“คิดไปถึงไหนเนี่ย เค้าไม่ใช่คนแบบนั้น”

“ครับๆ พี่ไปอธิบายกับผู้ใหญ่ด้วย ถ้าเรื่องไปถึงหูนักข่าวแย่แน่คุณอาคิรา”

“นักข่าวคงไม่กล้ามาสัมภาษณ์พี่ที่โรงพยาบาลหรอกจริงมั้ย”
“ไม่ต้องกลัว”

“เฮ้อ” หันหน้ามาปะทะคนพูดพร้อมถอนหายใจอย่างสุดปลงเพราะวิธีแก้ต่างของคุณหมอที่ผมไม่สามารถย้อนแย้งได้เลยว่ามันทำไม่ได้จริง ความฉลาดเป็นกรดของเขายังคงใช้งานได้ดีกับทุกเรื่อง

“ทีนี้ก็เลิกกังวลได้แล้ว”
“มากังวลเถอะว่าวันนี้ศิจะกลับคอนโดยังไงดี”

นั่นสิ พายุฝนที่โหมกระหน่ำตั้งแต่ย่ำค่ำยังไม่หยุดหรือซาให้ได้ใจชื้นพอที่คนแถวนี้จะขับรถไปส่งหรือนั่งแท็กซี่กลับเองได้เลย


“นอนที่นี่ได้มั้ย”


“ห้ะ”

“ศิน่ะ พอนอนที่นี่ได้มั้ย”

นี่มันเป็นคำชวนหรือคำขอกันแน่ ใจเต้นไม่เป็นจังหวะเลย เพราะสายตาอ่อนโยนยังไม่แปรเปลี่ยนจากเมื่อครู่คงสถิตย์อยู่ในดวงตาสีนิลที่ครั้งนี้ยอมให้ได้อ่านออกบ้างว่าเขารู้สึกอยากขอโทษกับเรื่องวุ่นวายที่เกิดขึ้น

“ศิมากกว่าที่ควรถามว่าศินอนที่นี่ได้มั้ย ไม่ใช่พี่มาถามว่าศินอนได้หรือเปล่า พี่เป็นเจ้าของห้องนะ”

“ก็กลัวมันจะคับแคบไป”

“ขี้อวด! รำอะ”

คุณหมอยกยิ้มมุมปากแบบคนเหนือ น่าจะไปอยู่เชียงรายนะ -*-



สาบานว่านี่คือเสื้อผ้าคนปกติไม่ใช่ของยักษ์ เสื้อยืดแบรนด์ดังอย่าง CK ไซซ์ xl สำหรับคนเอเชียคือขนาดเล็กสุดที่เจ้าของผ้าผ่อนพวกนี้ เห็นว่าซื้อมาผิดไซซ์ใส่ไม่ได้แต่ยังไม่ได้เอาไปให้ใครเลยกลายมาเป็นชุดยืมให้ผมที่แคระกว่าเขาตั้งกี่เซ็น ปกติใส่เสื้อไซซ์ m ก็รู้สึกพอดีตัวไม่เล็กไม่ใหญ่ไป หากแต่ทว่าตอนนี้เสื้อยืดคอกว้างก้มที่เห็นหัวนม เอียงไปทางไหนคอเสื้อก็ตกไหล่เผยให้เห็นหัวไหล่เกลี้ยงเกลามีปานสีชมพูเล็กรูปดอกจิกทางซ้าย ส่วนกางเกงไม่ต้องพูดถึงต้องใส่บ็อกเวอร์สีเทาสั้นจู๋เห็นว่าเป็นของขวัญวันเกิดจากเพื่อนพิเรนทร์ซื้อมาหยอกเล่น ถ้าสมมติคุณหมอใส่คงรัดเป้าตึงจน -*-



คุณหมอนั่งพิงหมอนใบใหญ่บนเตียงคิงไซซ์มองเด็กผู้ชายที่ส่องกระจกในห้องแต่งตัวบิ้วท์อินครั้งแล้วครั้งเล่า หมุนซ้ายหมุนขวาราวกลับไม่มั่นใจในตัวเองกับชุดที่ผมจัดหาไปให้ยืมใส่นอนคืนนี้ เสื้อยืดตัวเขื่องกลายเป็นเสื้อโอเวอร์ไซซ์แขนยาวเลยข้อศอก กับกางเกงบ็อกเซอร์ที่โผล่เลยชายเสื้อมานิดหน่อยเผยให้เห็นขาขาวเรียวยาวไร้เส้นขนให้รกตาเฉกเช่นชายที่โตเป็นหนุ่มเต็มตัว ผมที่มัดจุกทรงน้ำพุรับกับใบหน้าสดเนียนใสราวกับเด็กทั้งที่คงใช้โฟมล้างหน้ายี่ห้อเดียวกับผมหมาดๆ แต่ทำไมดูสดใสราวกับตบเซรั่มของลาแมร์

“พี่ดิมมีน้ำยาล้างคอนแท็กเลนส์มั้ยครับ”

“อะ อ่อ มะ มีๆ อยู่ในตู้ใต้อ่างล้างหน้าในห้องน้ำ”

“ครับผม ขอใช้หน่อยนะ”

“หยิบเลย”

เสียงตกร่องมีพิรุธเผยออกมาอย่างถูกขัดจังหวะการเชยชมบางสิ่งที่ดึงดูดความสนใจ ซึ่งจะเป็นใครไปได้นอกจากเด็กที่กำลังเดินออกจากห้องน้ำอย่างระมัดระวังหลังถอดคอนแท็กเลนส์แล้ว จังหวะการก้าวขาแต่ละทีมันทำให้กางเกงขาสั้นมากแถมยังกว้างขนาดเห็นขาอ่อนด้านในอย่างไม่ตั้งใจ ไหนจะเสื้อคอกว้างตกไหล่เห็นช่วงต้นคอขาวและไหล่มนสีขาวอมชมพูดูสุขภาพดี

เขาจะรู้ตัวมั้ยที่ทำอยู่นี่


อ่อยกันชัดๆ


“ฮ้าวววว พี่ดิมจะให้ศินอนตรงไหน โซฟาข้างนอกก็ได้นะ” ร่างเล็กขยี้ตาเดินมายืนข้างเตียงใหญ่ฝั่งที่ผมนอน พร้อมกับหาวอย่างเต็มที่เป็นสัญญาณว่าง่วงเต็มทนแล้ว

“ขึ้นมาสิ”

“หื้อออ จะให้นอนบนเตียงหรอ”

“ใครจะให้แขกไปนอนโซฟา ห้องนอนอีกห้องพี่ทำเป็นห้องหนังสือแล้ว”

“แต่ว่า..”

“มาเถอะน่า” จัดการดึงแขนเล็กแต่ดูท่าจะแรงเกินไปเพราะไม่คิดว่าจะตัวเล็กขนาดดึงเบาๆ แล้วปลิวลงบนตักได้ง่ายดายขนาดนี้ เลยได้เผลอสบตาคู่สวยเปล่งประกายคล้ายมีดาวระยิบระยับยามค่ำคืน ขนตายาวรับกับดวงตากลมโตที่ตอนนี้เบิกตาโพล่งราวกับกระต่ายตกใจหนักหนา

“พี่เล่นอะไรเนี่ย” ร่างเล็กบนตักเหวใส่อย่างไม่สบอารมณ์แม้จะแอบเห็นว่าหูทั้งสองข้างแดงเป็นลูกตำลึงสุก

“ผอมเอ้ย ดึงแค่นี้ก็ขาอ่อน”

“คนบ้าอะไรแรงโคตรเยอะ ดูด้วยข้อมือน้องเป็นรอยเนี่ย” คนที่ตะแงวๆ ยกข้อมือเล็กที่มีรอบแดงเป็นปื้ดสองสามรอยให้ดู

“บอบบางจริงๆ คุณหนู” มันเขี้ยวเลยบีบปากช่างต่อว่าไปที

“อื้ออ่อเอย” (ปล่อยเลย)

ปล่อยให้คนตัวเล็กเดินไปนอนอีกฝั่งที่ว่างอยู่ ที่ไร้ซึ่งอาการประหม่าของคนที่ต้องนอนด้วยกันครั้งแรก มีแต่ความง่วงงุนพอหัวถึงหมอนก็เหมือนภาพตัดไปเลย

คนที่ลำบากคงมีแค่ผมคนเดียว

ฝันดีกระต่ายแสบ





------To be Continued------




หรือพี่หมอจะเยสดุ5555555555555555555
งื้อเขียนอะไรลงปัยยยย
อยากได้คอมเม้นท์ หนุบหนับ

เยิ้บ



บี <3

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-08-2018 22:28:25 โดย mifengbee »

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
กำลังตกใจกับความลับ น้องศิเคยมีแฟน!!!!

ออฟไลน์ LomaPakpao

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-1
เง้ยยยยยย.
มีแฟนได้งุยอ่ะ
ตกใจเลย
รรร..ร

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
เหยยยยย ดุไม่ดุเราสงสัย55555
นี่อะไร เรือแล่นไวมากกกกกก ขอเราโดดลงเรือด้วยค่ะ

ออฟไลน์ kokoro

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +138/-2
น่ารักดีค่ะ
ค่อยๆสนิทกันไปแบบไม่รู้ตัวแต่ว่ากลัวในความสัมพันธ์เหลือเกิน
คนพี่ก็ยังมีแฟน เห้อออ
ขอมาม่าน้อยๆนะคะ 555

ออฟไลน์ uyong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 362
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
ถ้าอิพี่ถ่ายรูปน้องลงigอีกจะฟินนนนนนมากกกกกกกกก :mew3: :mew3:

ออฟไลน์ monoo

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1957
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +101/-4

ออฟไลน์ vivierav

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
น้องศิเคยมีแฟนว่าช็อคแล้ว
หมอพาน้องไปเลือกถุงยางช็อคกว่า
อิหมออออออออออ
อย่าทำน้องงงงงงงงง

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
You are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ
EP08 : ข้าวกล่องของน้อง
[/size]

I won big the day that I came across you
‘Cause when you’re with me, I don’t feel blue






6.50 น.

เสียงกุกกักเล็กน้อยก็ทำให้เจ้าของเพ้นท์เฮ้าส์ตื่นได้โดยไม่ต้องพึ่งนาฬิกาปลุก ปกตินอนห้องนี้คนเดียวเสียงรบกวนอื่นแทบไม่มีนอกจากเสียงปลุกของมือถือที่ตั้งไว้เพื่อเตือนให้ไปเข้าเวร แต่วันนี้มีเสียงบางอย่างดังมาจากด้านล่าง พอลืมตาสู้แสงที่ลอดผ่านผ้าม่านสีเทาก็มองไม่เห็นคนที่นอนอยู่ข้างกันเมื่อคืน

นี่คงเป็นต้นเหตุของเสียงที่ว่า

ภาพผู้ชายตัวเล็กใช้หนังยางมัดเสื้อไหล่ตกของตัวเองทั้งสองข้างเพื่อให้มันไม่รำคาญในการขยับตัว อีกทั้งผมจุกเมื่อคืนที่ไม่ได้แกะออกทำให้กลายเป็นคนสามจุกไปเสีย น่าจะกำลังง่วนกับการทำอะไรบางอย่างในครัวที่ตัวผมแทบไม่ได้ใช้ นอกจากเข้ามาเวฟอาหาร หรือชงกาแฟ

“ทำอะไรแต่เช้า” ผมหาวหวอดเพราะนี่ยังไม่ใช่เวลาตื่นปกติ เข้าเวรเช้าก็จริงแต่จากคอนโดไปโรงพยาบาลใช้เวลาไม่นาน เพราะเดินทางสวนคนอื่นเลยกะเวลาตื่นตอนเจ็ดโมงสิบห้า แต่วันนี้ตื่นก่อนตั้ง 45 นาที

“อ้าวพี่ดิมตื่นเร็วจัง”

“ไม่ได้จะตื่นเร็วแต่มีคนทำเสียงดัง”

“เฮ้ย จริงหรอครับ ผมขอโทษนะ คือพยายามหาหม้ออะ”

“ไม่เป็นไร ตื่นง่ายอยู่แล้ว”

“แล้วนี่เราจะทำอะไร พังครัวพี่หรือไง”

“ใช่! จะพังแล้ว เพราะหาอะไรไม่เจอซักอย่าง เรียกว่าครัวได้ยังไงเนี่ย ตะหลิวก็ไม่มี มีดก็ไม่มี เครื่องปรุงก็มีแค่ซอสกับน้ำตาล”

ก่อนที่เด็กสามจุกจะบ่นผมไปกว่านี้ เลยเดินผ่านคนตัวเล็กไปเปิดประตูเก็บของใช้สำหรับห้องครัว ที่ทำแบบนี้เพราะปกติผมไม่ทำอาหารไงเอามาวางไว้ก็เกะกะ เลยให้แม่บ้านที่นานๆ จะขอให้ทำอาหารให้ ซึ่งใช้แล้วเขาก็จะล้างเก็บไว้ในห้องข้างๆ ใกล้ห้องซักล้างแทน

“มาดูสิจะใช้อะไรบ้าง โวยวายจริง”

“อ้าว มีแล้วทำไมเอามาไว้นี่ล่ะ นึกว่าจะไม่ได้กินข้าวละ” ดูเรื่องกินเป็นเรื่องใหญ่ของคนตรงหน้า

“จะทำอะไรให้พี่กินครับน้องศิ”

“น้องเนิ้งอะไร”
“ง่ายๆ แกงจืดเต้าหู้หมูสับกับไข่เจียวแล้วก็ข้าวสวย เหมาะมากกับอาหารเช้า” ตัวเล็กพูดขณะขนอุปกรณ์ที่ตัวเองต้องใช้มาวางที่เคานเตอร์ในครัว

“ปกติพี่ไม่ค่อยกินข้าวเช้า แต่วันนี้จะลองชิมฝีมือก็ได้”

“บอกไว้ก่อนชมได้แต่ห้ามติ”
“เตือนแล้วนะ” ใช้นิ้วชี้เรียวชี้หน้าผมด้วยใบหน้าอมยิ้ม เพราะเขากำลังเล่นเป็นเชฟหม่อมป้อมจากมาสเตอร์เชฟไทยแลนด์น่ะสิ ถ้าหม่อมมีสามจุกยูริคงเถียงไฟแลบกว่าเดิม

“หึ ครับๆ พี่ไปอาบน้ำก่อนนะ มีเข้าเวร 8.30”

“อื้อ จะรีบเร่งมือเลยครับ” ตะเบ๊ะใส่เหมือนผมเป็นเจ้านายกับพ่อครัวซะนี่ เด็กแสบ


น้ำอุณหภูมิห้องจากฝักบัวชโลมร่างกายตั้งแต่หัวจรดปลายเท้า ความเย็นของมันกำลังช่วยให้ระลึกความทรงจำที่เกิดขึ้นในห้องนี้เมื่อคืน เป็นเรื่องที่ยังคงวนอยู่ในหัว และสัมผัสนั้นยังอุ่นแผ่เต็มหน้าอก

เข้าวันใหม่มาได้ชั่วโมงแล้ว ซึ่งแน่นอนคนข้างๆ หลับไปนานแล้ว ส่วนตัวผมยังคงข่มตาหลับไม่ได้เลยอ่านหนังสือนิยายเล่มใหม่แต่เป็นเรื่องเก่าอมตะของทางฝั่งยุโรป แต่นั่นแหละสมาธิไม่ได้จดจ่ออยู่กับความรักของหญิงชาวบ้านกับองครักษ์เจ้าชาย หากแต่ทว่าใบหน้ายามหลับของแขกคนพิเศษนี้กลับดูน่าหลงใหลกว่าภาษากวีชื่อดัง

ดวงหน้าสดใสรับกับแสงโคมไฟสีเหลืองส้มดูผ่องอำไพ แพขนตายาวรับกับพวงแก้มขาวอมชมพูอย่างดูตั้งใจ ทรงจมูกเรียวเล็กเชิดปลายทรงหยดน้ำที่หลายคนอยากได้มาครอบครอบ ริมฝีปากสีแดงสดตามลักษณะคนผิวดี เรียกได้ว่าเป็นส่วนผสมอย่างละนิดละหน่อยพอมารวมกับคนที่สดใสและสว่างไสวเหมือนดวงจันทร์วันข้างขึ้น เลยน่ามองจนละสายตาไม่ได้

“อื้อ หม่าม๊ามาปิดไฟให้หน่อยดิ”

คนถูกมองพูดอย่างละเมอคงเพราะแสงจากโคมไฟฝั่งผมแยงตารบกวนการนอนหลับสบายของเขา

“ปิดให้แล้วนอนซะ”

ไฟล์ทบังคับทำให้ต้องวางหนังสือ ถอดแว่นตา แล้วเอนตัวลงนอนลงทั้งที่ยังไม่ง่วงดี หัวสัมผัสกับหมอนใบโตได้ไม่นานกำลังจะคล้อยหลับตา คนข้างๆ ก็เขยิบเข้ามาใกล้ เหมือนซุกหาไออุ่น คงหนาวเพราะฝั่งเขานอนแอร์ลงพอดี ซึ่งทางเลือกง่ายๆ ก็แค่กดรีโมตแอร์แล้วเพิ่มอุณหภูมิ แต่ตัวผมเองไม่ยักจะเลือกทำแบบนั้น แต่ให้คนตัวเล็กซุกที่อกและโอบไหล่บางไว้อย่างจะบังความเย็นให้


แปลกใจตัวเองที่เลือกทำแบบนั้น

คงเพราะแสงไฟ

คงเพราะเสียงฝนที่ยังไม่ซา

และคงเพราะใจที่มันห้ามตัวเองไม่ได้


และหวังว่าพระจันทร์จะไม่เอาความลับนี้ไปบอกเขา




หลังจากหุงข้าว และทอดไข่เจียวสูตรกรอบสะท้านครัวคุณหมอแล้ว ก็ตั้งน้ำจะทำน้ำซุประหว่างรอน้ำเดือดเลยได้คิดถึงเหตุการณ์ที่ชวนอมยิ้มเมื่อคืน

ผมรู้สึกว่ามีอะไรหนักๆ มาทับที่พุง เลยทำให้หายใจไม่ทั่วท้อง ในตอนแรกคิดว่าโดนผีอำไม่กล้าลืมตาได้แต่พยายามสวดมนต์ในบทที่นึกออก ภาวนาให้สิ่งลี้ลับหายไปซักที จนกระทั่งได้ยินเสียงลมหายใจหนักๆ ใกล้หูพ่นลมหายใจออกมาเลยทำให้นึกขึ้นได้ว่าไม่ได้นอนอยู่ห้องตัวเองนี่หว่า ค่อยๆ ลืมตามาดูให้ชัดว่าตัวเองนั้นนอนอยู่ในท่าประหลาดอะไร

ปรากฏภาพที่เห็นในความมืดสลัว คือ คุณหมอใช้ลำแขนให้พาดที่เอวในขณะที่ผมหันหลังให้ ผ้าห่มกองอยู่ระดับเอว แต่ไม่หนาวเพราะความร้อนจากแผ่นอกของผู้ชายตัวโตทำให้อุ่นมากกว่าผ้าห่มอีก ทำไมถึงมานอนในลักษณะนี้ได้ก็ไม่รู้


นี่พี่ดิมกำลังนอนกอดผมอยู่ชัดๆ

ใจเต้นไม่เป็นระส่ำเหมือนจะพุ่งออกจากอกเมื่อรู้แน่ชัดว่าสิ่งที่เห็นไม่ใช่อย่างที่คิด แผ่นอกกว้างกำลังกระเพื่อมตามแรงลมหายใจเข้าออก ท่อนแขนใหญ่ที่โอบตัวผมไว้มิดทั้งยังแน่นราวกับผมหนาวหนักหนา ทั้งที่ตอนนี้ร้อนไปทั้งตัวและความรู้สึก ลมหายสม่ำเสมอเป่ารดหูและต้นคอจนรู้สึกวาบหวามอย่างบอกไม่ถูก จะให้ข่มตาหลับต่อคงทำไม่ได้ หรือจะขยับตัวออกจากอ้อมกอดที่รัดแน่นนี้ก็กลัวคนตัวโตจะตื่น เลยได้แต่นอนนิ่งๆ ฟังเสียงลมหายใจที่ยังคงเซ็กซี่เสมอมา ค่อยๆ กล่อมให้หลับไปอีกที

รู้ตัวอีกทีตอนโทรศัพท์แจ้งเตือนว่าแบตจะหมดดังขึ้นเป็นเสียงเบาๆ แต่คนที่กึ่งหลับกึ่งตื่นตั้งแต่รู้ตัวว่าโดนกอดทำให้ได้ยินเสียงนี้ชัดเจน เลยเอื้อมมือคว้ามือถือบนโต๊ะข้างหัวเตียงเห็นว่านี่ก็หกโมงครึ่งพอดีเลยได้ทีพยายามเอาตัวเองออกจากอ้อมแขนแกร่งที่รัดจนร้อนตลอดคืน

ลอบมองผู้ชายที่กอดผมตลอดคืนด้วยความรู้สึกเคอะเขินอย่างอธิบายไม่ถูก

อยู่ๆ ทำไมเราถึง กอดกันได้ ไม่แน่ใจ


รู้แค่ใบหน้าที่ดูดีแม้ในยามหลับยังคงชวนให้มองอย่างไม่อยากละสายตา คิ้วหนาคมขมวดเข้าหากันเล็กน้อยอย่างกับฝันเรื่องอะไรอยู่ เลยใช้นิ้วชี้ของตัวเองจรดลงกลางหว่างคิ้วเผื่อปมในฝันจะคลายเป็นดี จมูกโด่งเป็นสันที่พ่นลมหายใจรดต้นคอเมื่อคืนรับกับปากกระจับสีธรรมชาติ หนวดเคราเริ่มขึ้นเป็นตอเล็กใต้คาง ดีแล้วที่ดวงตาสีนิลมืดสนิทไม่มีโอกาสได้เห็นว่าผมใช้สายตาอย่างไรมองเขาในตอนนี้ ไม่งั้นคงควานหาได้หมดว่าผมรู้สึกอย่างไร

ให้มันเป็นความลับของผมกับพระอาทิตย์ตอนเช้าที่สาดแสงอุ่นๆ นี่ก็พอ



“ขอบคุณที่ให้นอนที่คอนโดนะครับ”
“อะ นี่แทนคำขอบคุณ”

“อะไรหื้ม”

ผมส่งถุงผ้าขนาดเล็กที่หาเจอในห้องเก็บอุปกรณ์ครัว เลยเอามาใส่กล่องข้าวที่ตั้งใจทำให้คุณหมอได้เอาไว้ทานตอนพักกลางวัน ถือเป็นความปรารถนาดีที่ไม่อยากให้เขาต้องไปกินข้าวเซเว่นหรืออาหารตามสั่งที่ต้องรอนานๆ เวลาเที่ยง

“ข้าวกล่องไง พี่ดิมจะได้ไม่ต้องไปต่อแถวซื้อข้าว”

“แล้วรู้ได้ไงว่าพี่ไปต่อแถวซื้อข้าว พี่ฝากพี่พยายบาลซื้อ”

“เอาเป็นว่าพี่จะได้ไม่ต้องรอข้าวแล้วกัน หิวจะได้กินเลย โอเค๊”
“ขอบคุณที่มาส่งนะครับ ส่วนเสื้อผ้าพี่ผมจะซักแล้วเอาไปคืน”

“อ้าวหอบมาด้วยทำไม เดี๋ยวแม่บ้านก็มาซักให้”

“ไม่เอาหรอก ขอนอนห้องเค้า ยืมเสื้อเค้าใส่ ยังจะให้คนอื่นซักให้อีก ไม่ได้เป็นง่อยนะ”

“นี่ว่าพี่เป็นง่อยใช่ป่ะ”

“เฮ้ย เปล่าๆ ก็พี่ไม่มีเวลาเข้าใจน่า ศิไปแล้วนะ ไว้เจอกันนะครับ” ผมยกมือไหว้สารถีที่แต่งตัวเต็มยศด้วยเสื้อเชิ้ตสีอ่อนและกางเกงสแล็กสีเข้ม เซ็ตผมเล็กน้อย พร้อมเครื่องแบบประจำตัวคล้องสเต็ทห้อยไว้หลังรถ

“ไปดีมาดีนะน้องศิ” คนตัวโตยกมือเท่าใบพายยีหัวผมเล่นอีกแล้ว แต่ทานโทษที่มันไม่ยุ่งเพราะไม่ได้สระสองวัน ฮ่าๆ

“น้องอะไรเล่า ไปละ ขับรถดีๆ นะคุณหมอ”

นึกแปลกใจว่าตัวเองทำไมได้อาศัยรถหรูคันนี้มาส่งที่คอนโดบ่อยจริง

ไม่ดีต่อหัวใจเลยจริงๆ นะ

พอคิดย้อนไปถึงเหตุการณ์เมื่อคืนแก้มมันก็อุ่นร้อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ แม้ว่าตัวของคนต้นเหตุจะไม่รู้เรื่องราวอะไรด้วยว่าเมื่อคืนร่างกายของเรามีปฏิสัมพันธ์ในลักษณะที่ไม่ปกติ อย่างน้อยก็ไม่ปกติกับเพื่อนร่วมงานที่สนิทกันระดับหนึ่ง แต่ก็ไม่ควรเลยเถิดถึงขั้นไปนอนคอนโดด้วยกัน และกอดกันกลมขนาดนั้น…




พักกลางวันโดยปกติของหมอที่โรงพยาบาลรัฐไม่ใช่เวลาเที่ยง แต่เป็นเวลาที่คนไข้น้อยพอที่จะดอดไปกินข้าวสัก 10 หรือ 15 นาที ซึ่งพี่พยาบาลจะอาสาไปซื้อข้าวมาให้ตั้งแต่เที่ยงเพราะไม่อย่างนั้นข้าวก็หมดและได้กินข้าวแช่แข็งเซเว่น แต่วันนี้ต่างจากวันอื่นๆ จนหัวหน้าพยาบาลนึกแปลกใจว่าทำไมคุณหมอดิมไม่วานให้ไปซื้อข้าว จนได้รับคำตอบว่ามีข้าวกล่องมาเอง พยาบาลอาวุโสเบิกตาโพลงใส่เพราะนึกว่าฟังผิด คุณหมอที่ไม่เคยทำอาหารมาทานเองแต่วันนี้มีข้าวกล่องติดไม้ติดมือมาด้วย สงสัยมีคนส่งปิ่นโตส่วนตัว

“มีใครทำให้หรอคะหมอ”

คุณหมอยิ้มรับแต่ไม่ตอบคำถามของหัวหน้าพยาบาลเพราะรู้ว่าหยั่งเชิงในคำตอบว่าอยากได้แบบไหน แน่นอนว่าหัวหน้าพยาบาลคนนี้รู้ดีว่าผมมีแฟนแล้ว เพราะเคยขอให้ไปรับเกลมารอที่ห้องพักส่วนตัวของผมที่นานครั้งจะได้เข้าไปใช้ ส่วนใหญ่ก็จะพักรวมกับคนอื่นๆ หรือไม่พักในห้องตรวจเวลาที่ไม่มีคนไข้แทน แต่นั่นแหละเธอก็ไม่มีทางรู้ได้ว่าเกลทำอาหารไม่เป็น

เมนูข้าวไข่ข้นแฮม ปลาแซลม่อนทอด และสลัดผักผลไม้ ถูกจัดอย่างดีในกล่องข้าวที่แบ่งสรรเป็นสัดส่วน บอกตามตรงว่าไม่เคยรู้ว่าห้องตัวเองมีกล่องลักษณะนี้ด้วย สงสัยเป็นคุณแม่ที่ซื้อมาไว้ให้ใช้ อย่างที่ไม่รู้เอาเสียเลยว่าลูกไม่มีเวลากระทั่งกินข้าวเช้า ยังไงก็นึกขอบคุณที่กล่องใบนี้ทำให้ผมมีข้าวกลางวันดีๆ กินเหมือนคนอื่นเขาบ้าง ยกยิ้มอย่างหุบไม่ได้เมื่อนึกถึงหน้าเด็กสามจุกที่เวลาตั้งอกตั้งใจทำอะไรแล้วดูมีเสน่ห์อย่างบอกไม่ถูก ตัวเล็กๆ ในผ้ากันเปื้อนสีน้ำตาลอ่อนหมุนซ้ายหมุนขวาในครัวที่ไม่ค่อยได้ใช้ วันนี้กลับมีชีวิตชีวาเพราะเด็กที่เคยเข้าใจว่าไม่สนโลก แต่ได้มารับรู้ก็วันนี้ว่าไม่ใช่เขาไม่สนใจโลก แต่เขาเลือกโลกของเขาเอง การทำอาหารคงเป็นโลกอีกใบของเขาที่ผมได้เห็น

อร่อย

เป็นอาหารสุขภาพที่มีรสชาติกลมกล่อม โดยเฉพาะสลัดผักผลไม้ที่คนตัวเล็กประยุกต์เอาผลไม้ที่ผมขนซื้อจากซุปเปอร์มาเก็ตเมื่อวานมาผสมเข้ากันดีกับร็อกเก็ตสลัด น้ำสลัดนี่ก็เหมือนกันไม่น่าเชื่อว่าจะทำเอง เป็นรสชาติแปลกใหม่ดีไม่เหมือนซื้อมาจากที่ไหน

โลกใบนี้ของเขามันช่างน่ารักและน่าสนใจจริงๆ เป็นอีกด้านที่ทำให้ผู้ชายร่างบางดูน่าทนุถนอมเหลือเกิน ยิ่งตอนกอดแล้วตัวเหลือนิดเดียวหรือเพราะผมตัวใหญ่เกินไปไม่รู้ เหมือนกอดผู้หญิงตัวเล็กอย่างไงอย่างงั้น แค่กล้ามเนื้อยังคงความเป็นชายวัยแตกหนุ่มอยู่ ดีแล้วแหละที่เขาไม่รู้ว่าเมื่อคืนผมล่วงเกินอะไรไป ให้มันเป็นความลับเหมือนที่ผมนั่งยิ้มกับข้าวกล่องใบนี้ดีแล้ว….










หญิงสาวผู้มีกุญแจห้องเพ้นท์เฮาส์สุุดหรูนับเป็นหนึ่งในสามคนที่เจ้าของห้องไว้ใจยกกุญแจให้ไขเข้ามาพื้นที่ส่วนตัวของเขาได้ทุกเวลา รองจะคุณแม่

เกล กัญญกาญจน์ เลิศวิบูลย์กิจวาณิชย์ ลูกสาวเจ้าสัวเจ้าของท่าเรือขนาดใหญ่แถบชายฝั่งตะวันออกและอ่าวไทย รวมถึงธุรกิจส่งออกอาหารแช่แข็งแต่แบ่งสันปันส่วนให้ลูกชายคนเล็กดูแล ส่วนลูกสาวคนโตที่เก่งด้านบริหารเลยสานต่องานจากพ่อดูแลธุรกิจใหญ่คือโลจิสติกส์ระหว่างประเทศ เธอคนนี้เพียบพร้อมไปด้วยทรัพย์สมบัติ รูปสมบัติ และคุณสมบัติ สมบูรณ์แบบและเธอก็คิดว่าเจอผู้ชายที่ศีลเสมอกันอย่างคุณหมออาคิราที่เธอรักและพร้อมจะใช้ชีวิตกับผู้ชายคนนี้ รอเพียงโอกาสและเวลาเหมาะสม

แกร๊ก

กลิ่นสะอาดสม่ำเสมอของห้องชุดสุดหรูนี้เป็นกลิ่นที่เธอจำได้ดี แม้จะไม่ค่อยได้มาบ่อยนักเนื่องจากส่วนใหญ่งานเธอจะต้องไปต่างจังหวัดเสียส่วนมาก วันนี้ว่างและพรุ่งนี้ก็มีงานช่วงบ่ายเลยกะว่าจะมาเซอร์ไพรส์ผู้ชายที่เธอคิดถึง และไม่ได้เห็นหน้ามาเป็นเดือน ด้วยการโชว์ทักษะทำอาหารที่แอบไปฝึกมาให้เขาได้ตกใจเล่น

“กลิ่นอาหาร”
“จากในครัว?”

เธอแอบแปลกใจเล็กน้อยที่ได้กลิ่นอาหารจากในห้องครัว เธอรู้ดีว่าแฟนหนุ่มไม่มีทางตื่นเพื่อมาทำอาหารเช้ากินก่อนไปทำงานแน่นอน

“หรือหิว คงเวฟข้าวล่ะมั้ง”

หากแต่ภาพที่เธอหันหลังเจอในซิงค์อ่างล้างจานคืออุปกรณ์ทำครัวที่ถูกล้างทำความสะอาดอย่างดี และวางคว่ำไว้รอสะเด็ดน้ำก่อนเก็บเข้าที่ ถ้าเป็นแม่บ้านมาทำให้ก็คงไม่ใช่ โดยปกติแม่บ้านมักจะมาวันเสาร์หรือไม่ก็อาทิตย์ และจะทำงานเรียบร้อยหมดทุกอย่างไม่ใช่วางไว้ให้เจ้าของบ้านมาเก็บต่อแบบนี้ ถ้าไม่ใช่แม่บ้านแล้วใคร?

หญิงสาวรู้สึกหวาดหวั่นขึ้นในอก หัวใจเต้นแรง ในสมองวาดภาพจินตนาการไปในสิ่งที่เธอไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าจะถูกกระทำจากผู้ชายที่เธอคิดว่าซื่อสัตย์ คือ การนอกใจแล้วพาใครขึ้นมาที่นี่

“ไม่จริงหรอก ดิมไม่มีทางทำแบบนี้” เธอพึมพำกับตัวเองราวภาวนาให้สิ่งที่เธอคิดไม่ใช่ความจริง ให้เป็นเพียงเรื่องเข้าใจผิด

แต่ความเป็นผู้หญิงช่างสังเกตก็ดันมาพบว่ามียางผูกผมสีน้ำเงินวางอยู่ข้างอ่างล้างหน้า และมีเส้นผมพันอยู่โดยรอบ ยางรัดผมของผู้หญิงมาอยู่ในห้องน้ำภายในห้องนอนของแฟนเธอได้ยังไง การไม่ได้ตั้งใจจะมาเจอเรื่องสะเทือนใจ ทำให้อัตราการเต้นของหัวใจค่อยๆ พุ่งทะยานขึ้น ยิ่งเมื่อเธอหันไปพบแปรงสีฟันที่เพิ่งถูกแกะใช้วางอยู่ข้างๆ แก้วที่ใส่แปรงสีฟันของแฟนหนุ่มและของเธอ… นั่นแปลว่าคนๆ นี้จะต้องค้างกับแฟนของเธอจนเช้าถึงได้ใช้แปรงนี้ทำความสะอาดก่อนจะออกไป

กัญญกาญจน์กุมอกข้างซ้ายที่มันเต้นแรงจนรู้สึกเจ็บ พยายามโกยอากาศหายใจเข้าปอดอย่างช้าๆ และมีสติ มือสองข้างชื้นเหงื่อจนชุ่ม ขาที่เริ่มหมดแรงหาที่พักพิงก่อนจะหย่อนตัวลงนั่งบนพื้นห้องน้ำที่แห้งสนิท เธอประมวลสิ่งที่คิดกับตัวเองแล้วมันหนักหนาเหลือเกินที่ผู้หญิงคนหนึ่งจะรับไหว น้ำตาที่กลั้นไว้ตั้งแต่เห็นยางรัดผมสตรีที่ไม่เคยมีในห้องนี้แม้แต่ของตัวเองยังไม่วางระเกะระกะ ทำนบสุดท้ายที่สุดทนก็พรั่งพรูออกมาอย่างห้ามไม่ได้ เธอรู้ว่าตัวเองไม่ได้เป็นผู้หญิงที่เพอร์เฟ็กต์ แต่เธอก็ทำเต็มที่ในฐานะแฟนคนหนึ่งจะทำได้ แต่คงสู้ไม่ได้กับเสน่ห์ปลายจวักที่ผู้ชายคนไหนเห็นก็หลงอย่างเจ้าของยางมัดผมเส้นนี้

ความผิดหวังและเสียใจประเดประดังเข้ามาอย่างท่วมท้น แผนที่จะทำอาหารเซอร์ไพรส์เลยต้องพับเก็บไปเพราะไม่มีแก่ใจทำอะไรทั้งนั้น เลยได้แค่รอให้ถึงเวลาที่ผู้ชายเจ้าของห้องกลับมา

อยากได้คำอธิบายแม้มันจะชัดเจนอยู่แล้ว
อยากให้เขารั้งเธอแม้ไม่รู้ว่าจะมีอะไรพอรั้งเขาได้มั้ย
อยากบอกรักคำสุดท้ายให้ฟังแม้ไม่รู้อีกฝ่ายจะยังรู้สึกเหมือนเดิมหรือไม่





19.15 น.

ไฟในห้องเพ้นท์เฮ้าส์สว่างขึ้นหลังจากคุณหมอเสียบคีย์การ์ดลงกับที่ของมัน หากแต่สิ่งที่แปลกไปคือประตูระเบียงเปิดอ้าทำให้ลมเย็นจากข้างนอกปะทะหน้าเจ้าของห้องอย่างจัง เมื่อเช้าไม่ได้เปิดไว้นี่ หรือศิมาเปิดแล้วลืมปิด ก่อนออกจากห้องก็ตรวจดูแล้วว่าไม่ได้ลืมปิดอะไร แต่ก็ดีเหมือนกันอากาศเย็นๆ ลมโกรกก่อนฝนตกก็ทำให้รู้สึกผ่อนคลายไม่น้อย

“ดิมคะ”

“เฮ้ย!”

“ตกใจอะไรคะ เกลเอง”

เกลในชุดเสื้อเชิ้ตสีขาวตัวโคร่งกับกางเกงขาสั้นเสมอต้นขา กำลังเดินลงจากบันไดชั้นสอง ด้วยท่าทางที่….แปลก เกลไม่เคยใส่กางเกงขาสั้นขนาดนี้แม้แต่ตอนที่เรานอนด้วยกัน เกลไม่เคยมีท่าทางและแววตาเช่นนี้แม้ว่าผมจะขอในเรื่องอย่างว่า และเกลไม่เคยมาหาผมโดยที่ไม่บอกล่วงหน้า การมาเซอร์ไพรส์ของเกลครั้งนี้ทำผมรู้สึกแปลกไปทั้งหัวใจ

“เกลกลับจากระยองเมื่อไหร่ ทำไมไม่เห็นบอกดิมเลย”

“เมื่อเช้าค่ะ คิดถึงก็เลยมาหาดิมที่นี่ เซอร์ไพรส์มั้ยคะ” เธอเดินมากอดพร้อมกับเอามือเรียวลูบแผ่นหลังของผมไปด้วย

“มากๆ กินอะไรมายังครับ หิวมากเลย เดี๋ยวสั่งอะไรมากินนะ”

“เกลน่าจะทำกับข้าวเป็นนะคะ จะได้ทำให้ดิมทาน” เกลคลายอ้อมกอดออกก่อนจะคล้องแขนสองข้างที่ต้นคอผมอย่างออดอ้อน แปลกจริงๆ เกลไม่เคยประเจิดประเจ้ออย่างนี้ เธอจะสงวนท่าทีอย่างมีกิริยาเสมอ

“หื้ม อยู่ๆ ทำไมอยากทำอาหาร ไหนว่าไม่ชอบให้ตัวเหม็นกลิ่นอาหารไงครับ”

“จะได้เป็นแม่บ้านเต็มตัวไงคะ ไม่ดีหรอ”

“ดีครับดี” วันนี้เกลอ้อนเก่งเหลือเกิน การไม่ได้เจอหน้าแฟนสาวนานแล้วมาพบเจอเธอด้วยกิริยาเช่นนี้ก็ทำให้อารมณ์ดีขึ้น ทุเลาจากความเครียดของงานวันนี้ไปปลิดทิ้ง

“เกลอาบน้ำให้นะคะ”

“ครับ”

จุ๊บ น้อยครั้งเต็มทีที่เกลจะเป็นคนเริ่มจูบผมก่อน ส่วนมากเป็นผมอ้อนให้เธอทำด้วยซ้ำ วันนี้เกลแปลกไปจริงๆ แปลกชนิดที่ผมตั้งรับกับอาการอ่อยเรี่ยราดนี้ไม่ทัน



เสียงหอบหายใจสองคนผสานกับภายในห้องอุณหภูมิแตะ 20 องศา หากแต่ทว่ามันดันร้อนฉ่าด้วยแรงอารมณ์ของชายหญิงที่พากันขับขานเพลงรักที่ร้างหายไปนานนับเดือน ความโหยหาในรสสัมผัสของกันและกันกินเวลาเกือบค่อนคืน แม้จะไม่ได้กินอาหารเย็นแต่ความอิ่มเอมจากรสรักที่ผลัดกันปอดป้อน ก็คลายความหิวโหยได้ดีพอกับอาหารรสเลิศ คำรักที่ออดอ้อนจากหญิงสาวทำชายหนุ่มร่างกายกำยำไม่ยั้งมือและไม่ยั้งแรงที่แสดงออกผ่านภาษากายว่าเขาเองก็รู้สึกเช่นนั้นเหมือนกัน

“อะ รักเกลมั้ย อื้อ มั้ยคะ”

“ฮะ ฮื้ม”

“ดิมคะ”

“ฮื้มมม”

“อีกนิดนะคนดี”

แรงขยับถี่กระชั้นอย่างรุนแรงโหมใส่ร่างกายบอบบางของหญิงสาวรวดเร็ว เป็นสัญญาณว่าร่างแกร่งจะถึงฝั่งฝันรอบที่สาม แต่เจ้าของร่างบางถึงฝั่งไปนับไม่ถ้วน คนควบคุมเกมรักอันร้อนแรงโน้มตัวลงมาจูบขณะที่ร่างกายหลั่งสสารความเป็นชายในเกราะป้องกัน มัดกล้ามแน่นกระตุกตามแรงอารมณ์ที่พุ่งทะยานจนร่างบางที่รับความรู้สึกอย่างท้วมท้นต้องกอดคอร่างหนาเอาไว้

“แฮ่ก แฮ่ก แฮ่ก”

จุ๊บ

เสร็จสมในกิจกรรมที่คลายความเครียดและสร้างความสุข การจูบที่หน้าผากเป็นการปลอบประโลมการกระทำที่รุนแรงต่อหญิงสาวได้ดีพอๆ กับกอดหลังมีเซ็กซ์ คุณหมอผู้ที่เข้าใจในอนาโตมี่และจิตใจมนุษย์มักจะทำให้แฟนสาวพอใจเสมอเมื่อมีบทรักร่วมกัน

หากแต่ทว่าคราวนี้เธอไม่ได้ยินทำบอกรักตอบเหมือนทุกที นั่นแปลว่าสิ่งที่เธอไม่อยากให้เกิดขึ้นกับความสัมพันธ์มันเกิดขึ้นแล้ว

ความกังวลใจนี้ไม่มีทางหายไปจากใจของเธอ แม้จะอยากรู้ความจริงจากปากชายที่เธอรักมากแค่ไหนแต่หัวใจที่เหมือนโดนบีบด้วยฝ่ามือใหญ่เพิ่งกอบกุมเธอเมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้ว กำลังบีบคั้นเธออย่างไม่ปรานีด้วยการแบ่งใจให้ใครบางคนที่ตัวเธอเองก็ไม่รู้จะกู้คืนความรักได้อย่างไร จึงหลับตาให้ดูคล้ายอาการเพลียจากการโดนสูบพลังงาน พร้อมหันหลังให้ชายคนรักที่ยังวอแวกับร่างกายของเธอให้เขาหยุดเสียหากไม่ได้หวังให้เธอเป็นผู้หญิงคนสุดท้ายในชีวิตอีกแล้ว









มีต่อ

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-08-2018 22:41:07 โดย mifengbee »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
หนังยางรัดผมเส้นไม่คุ้นตาบนขอมือของเกลทำให้ผมแปลกใจ เพราะโดยปกติเกลไม่ค่อยมัดผล มักจะสยายเส้นผมสลวยสีดำขลับมากกว่าจะมัดให้เสียทรง เลยนึกถึงใครบางคนที่ชอบมัดผมจุกให้ผมข้างหน้าในเวลาสบายๆ สองคืนติดกันมานี้เตียงหลังใหญ่ของผมถูกใช้โดยคนสองคนที่ต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่เดี๋ยวนะทำไมผมต้องเอาคนสองคนมาเปรียบเทียบกันด้วย มันไม่แฟร์กับผู้หญิงที่นอนเปลือยกายอยู่ข้างผมตรงนี้ แต่ผมกลับคิดถึงผู้ชายอีกคนที่เพิ่งลุกจากเตียงนี้ไปไม่ถึง 24 ชั่วโมง

ความสับสนภายในใจทำให้ต้องลุกไปอาบน้ำอีกครั้ง

ชีวิตที่ต้องเลือกระหว่างคุณธรรมและความรู้สึกใหม่ที่เกิดขึ้น

ผู้ชายร่างเล็กที่ทำให้ผมมองตามทุกการกระทำ อยู่ด้วยทำให้ลดภาวะความเป็นผู้ใหญ่ลง ยิ้มง่ายกว่าเดิม และอยากรู้จักให้มากกว่านี้ แรงต้านภายในใจกำจัดให้เขาเป็นเพียงน้องชายที่กล้าต่อกรกับพี่ชายตัวยักษ์อย่างผม ทั้งที่จริงๆ เด็กคนนั้นปีนข้ามกำแพงสูงมาในฐานะคนที่รู้สึกพิเศษเมื่อไหร่ก็ไม่รู้

หญิงสาวผู้มอบความรักอย่างซื่อสัตย์และหวังดี เข้าใจ ให้เกียรติ ยอมรับ และรับฟังทุกคำขอร้องให้เข้าใจการเป็นตัวผม เธอไม่ได้เป็นเพียงแฟนแต่เป็นทั้งเพื่อนคู่คิดและที่ปรึกษาในยามที่สับสน ความสัมพันธ์ของเราแม้ไม่ได้ราบเรียบดีงามแต่ก็ปรับเปลี่ยนเพื่อกันมาได้นานถึงสองปี จนกระทั่งวันนี้ผมรู้ตัวดีว่ายังรักเธอไม่แปรเปลี่ยน

แต่หัวใจมันไม่ได้เต้นจังหวะแบบนี้กับเธอคนเดียวอีกต่อไปแล้ว

ถ้าจะผิดคงเป็นผมที่ใจมันไม่แข็งแรงพอที่จะกล้ายอมรับอย่างห้าวหาญเหมือนกับวันที่เดินเข้าไปจีบเธอกลางงานเลี้ยงรุ่นของมหาวิทยาลัย

สายน้ำเย็นเฉียบไม่ได้ช่วยให้ความคิดที่วกวนในหัวคลายความว้าวุ่นลง ยังรั้งให้คิดมากเท่าตัว ด้วยวุฒิภาวะทางความคิดที่โตมากพอจะไม่ตัดสินใจอย่างนึกคึกคะนองทำตามใจตัวเอง ความรักที่ฟูมฟักด้วยมือของเธอและผมกำลังจะพังลงด้วยน้ำมือของผมเอง การทำให้ผู้หญิงคนนี้เสียใจเป็นเรื่องสุดท้ายที่ผมอยากให้เกิดขึ้น

พันผ้าขนหนูให้พออยู่ติดสะโพกหลังจากอาบน้ำเสร็จ เลยมาหยุดยืนหน้าอ่างล้างหน้า พลันสายตาก็มองเห็นแปรงสามอันวางเรียงในแก้วใบใส แปรงที่ปกติจะมีเพียงสอง ทว่าตอนนี้มันเพิ่มจากคนที่เพิ่งกลับไปเมื่อเช้า ผมถึงกับกุมขมับทั้งที่หน้ายังเปียกชื้น ความแปลกประหลาดของอากัปกิริยาที่เกลทำในวันนี้มันเป็นคำตอบทุกอย่างว่าเธอรับรู้ความผิดปกติที่เกิดขึ้นในเพ้นท์เฮ้าส์หลังนี้ได้ดี เลยเลือกที่จะทำเช่นนี้เพียงเพื่อพิสูจน์ใจว่าผมมีเธอคนเดียวหรือกำลังมีใครอีกคน การกระทำของผู้หญิงที่ไม่มั่นใจในตัวผู้ชายที่เธอรัก จึงอยากวัดด้วยร่างกายและอารมณ์ผ่านวิธีการเดียวที่เธอจะนึกออก

นี่มึงทำอะไรลงไปดิม!
โคตรเห็นแก่ตัวเลย


กว่าผมจะรู้ตัวว่าทำอะไรลงไปให้ผู้หญิงตัวเล็กๆ คนนี้หวาดระแวง และตั้งคำถามต่อความสัมพันธ์ของเราจนถึงขนาดลุกมาทำให้สิ่งที่ไม่เป็นตัวเองขนาดนี้

สวมเสื้อยืดตัวใหญ่ของตัวเองให้แฟนสาวก่อนจะตะกองกอดเธอเข้าสู่อ้อมแขน พรุ่งนี้คงต้องพูดคุยเกี่ยวกับสถานการณ์ที่พาลให้เธอเข้าใจผิด และขอให้เธอยกโทษกับความเผลอไผลใจง่ายที่คงทำให้เธอเสียใจแม้จะไม่ได้เอ่ยออกมาก็ตาม





รุ่งเช้าผมตื่นไม่ทันผู้หญิงที่นอนข้างกันเมื่อคืน กระวีกระวาดคิดว่าเธอกลับไปทั้งที่ยังเข้าใจผิดแบบนั้น วิ่งจากชั้นสองลงมาที่ห้องรับแขกเห็นเธอนั่งจิบกาแฟด้วยชุดที่เรียบร้อยกว่าเมื่อวาน

“เกล!”

“ตะโกนทำไมคะ”

“คิดว่าเกลกลับไปแล้ว ดิม..มีเรื่องจะคุยด้วย”

เดินเข้าไปหย่อนตัวลงนั่งโซฟาตัวยาวข้างเธอ พร้อมกับขยับแว่นตาที่ควานหาอย่างรวดเร็ว เมื่อสัมผัสบนที่นอนแล้วไม่พบร่างบอบบางนอนอยู่ เพื่อให้มองเห็นใบหน้าเนียนใสราวอ่อนกว่าวัย และใต้ตาคล้ำย้ำชัดว่าเธอพักผ่อนน้อยจากกิจกรรมเมื่อคืน

“...”

“ดิมรู้ว่าเกลรู้ว่าดิมพาคนมานอนที่นี่”

“....” เธอเบือนหน้าแล้วหลบสายตาเมื่อผมพูดประโยคแรกออกไป

“แต่ดิมอธิบายได้ มันเป็นเรื่องสุดวิสัย เค้ากลับคอนโดไม่ได้ เลยต้องนอนที่นี่”

“เค้า?”

“ครับ ผู้ชาย เด็กที่ผมจะเล่นซีรีส์ด้วย”

“เกลไม่เคยรู้เลยนะคะว่าดิมสนิทกับเค้าขนาดให้ขึ้นคอนโด แถมให้เข้าไปถึงห้องนอน” เกลพูดด้วยน้ำเสียงแข็งกร้าวตามอารมณ์ที่มารับรู้ว่าผมจงใจปิดบังเรื่องที่เธอย้ำแล้วว่าควรบอก

“ดิมไม่รู้จะให้น้องมันไปนอนที่ไหน”

“โซฟาตั้งหลายตัว ผู้ชายนอนตรงไหนไม่เห็นยากนี่คะ แต่ทำไมต้องเตียงที่เป็นที่..ที่ของเรา” ผู้หญิงตรงหน้าร่างกายสั่นเทิ้มมือที่กุมกันมั่นเริ่มจับแน่นขึ้น แววตาสั่นไหวตรงข้ามกับน้ำเสียงที่กลั้นไม่ให้สั่นและประคองไม่ให้ตัวเองร้องไห้

“เกล..”
“ดิมขอโทษนะ ขอโทษ” ผมกุมมือเล็กของข้างที่สั่นเทาไว้หวังจะคลายความเสียใจให้ แต่อย่างไรก็คงไม่ทันเพราะเธอเสียใจในสิ่งที่ผมไม่ไตร่ตรองก่อนทำ

“ฮึก..ดิมไม่เคยเป็นแบบนี้ ขนาดเพื่อนดิมยังไม่เคยพามาที่นี่”
“แต่ ฮึก เด็กคนนี้ เค้าทำให้ดิมเปลี่ยนไปรู้ตัวหรือเปล่า ฮือ”  ทำนบน้ำตาของคนตรงหน้าพังทลายไม่มีอะไรมากั้นความเสียใจที่ตอนนี้กลายเป็นฟูมฟายไปแล้ว ทำยังไงที่จะทำให้เธอปลดแอกจากสิ่งเลวร้ายที่ผมทำได้

“ไม่เกล ดิมจะไม่ให้เค้ามาที่นี่อีก ดิมขอโทษนะ”
“เราจะเป็นแค่เพื่อนร่วมงานกัน นะเกล”
“เชื่อดิมนะครับ”

“ดิมรักเกลนะ”

กำแพงที่ก่อไว้สูงมาก เด็กตัวเล็กเท่าหน้าอกยังปืนป่ายข้ามมันมาได้ ซึ่งจริงๆ แล้วไม่ใช่เลย เขาไม่ได้ปืนข้ามมา แต่ผมเป็นคนรื้อกำแพงตัวเองและข้ามไปหาเขาต่างหาก ความรู้สึกผิดท้วมท้นต่อผู้หญิงคนรักมีมากเท่าไหร่ ยิ่งกับเด็กคนที่ไม่รู้เรื่องอะไรก็มากเท่าทวีคูณ ไม่รู้ตัวว่าตัวเองไปวาดความหวังหรือแสดงการกระทำให้คนตัวเล็กเข้าใจผิดไปมากน้อยแค่ไหน จะบอกว่าไม่ตั้งใจก็ดูจะเลวมากกว่าเดิม เพราะทั้งตั้งใจและรู้สึกไปกับสิ่งที่ทำ

แต่ตอนนี้ต้องถอยออกมา ถอยออกจากกำแพงเดิม แล้วก่อร่างสร้างกำแพงใหม่ให้สูงชันและหนาแน่น เพื่อกันตัวเองไม่ให้ออกไปทำอะไรแบบที่ผ่านมา

ทำในสิ่งที่ใจคิด แต่ผิดต่อทุกคน






หนึ่งอาทิตย์ต่อมา

Intersection The series official tweet : Official Profile มาแล้วนะคะ เลือกเลยค่ะว่าจะขึ้นเรือไหน อิอิ #แอดมินบัวผัน

“โปสเตอร์สวยมากอะ รูปตอนย้อนยุคคือดีย์ เริสสสสสสสสสสสสสสส #IntersectionTheSeries”

“ฉากตอนคุณพันแสงงาบนายโสมในห้องมาเลยจ้า ฮืออออ รีบถ่ายเถอะค่า อยากดูแล้ววว #IntersectionTheSeries”

“นี่มีใครสังเกตป่ะ โปรไฟล์ของคุณหมอกับน้องศิ เค้าเรียนโรงเรียนเดียวกันอะ เฮ้ย ชายล้วนที่นี่เค้าโตมาเพื่อได้กันหรอ #IntersectionTheSeries”
Reply : เจอกันที่โรงเรียน ได้กันที่งานบอล เปิดตัวตอนเล่นซีรีส์ /คิดไปเองๆ55555555555555555555

ชะตาเค้าลิขิตไว้แล้วว่าจะต้องมาเจอกัน ฟ้าดินแยกเราเท่าไรไม่ขาด พบชาติพรากเราห่างกันไม่ได้ ผิดเรื่องๆ #หมอดิมน้องศิ #IntersectionTheSeries


คุณหมอกำลังกินข้าวกล่องเซเว่นกับกาแฟเซเว่นเพิ่มพลังงานด้วยโซเดียมและคาเฟอีนก่อนเข้าเวรดึกวันนี้ เลื่อนทวิตเตอร์หลังจากในกรุ๊ปไลน์ซีรี่ส์บอกว่ารูปภาพโปรไฟล์และภาพโปสเตอร์โปรโมทออกมาแล้ว ซึ่งผมเห็นแล้วก็ยอมรับว่าสวยจริงๆ งานเนี้ยบมาก ความพิเศษของภาพชุดนี้นอกจากจะมีรายละเอียดคาแร็คเตอร์ที่ทุกคนได้รับแล้ว ก็แนบประวัติส่วนตัวของแต่ละคนมาให้ด้วย เนื่องจากหลายคนเป็นนักแสดงหน้าใหม่ ความน่าสนใจคือผมไม่ยักรู้วมาก่อนว่าศิเรียนโรงเรียนเดียวกับผม คงเป็นรุ่นน้องที่ห่างกันหลายปี และแน่นอนว่าผมรู้อยู่แล้ว ใครจะจำเด็กที่วิ่งออกจากสระว่ายน้ำในวันที่ตัวเองทำเรื่องหน้าอายนั้นไม่ได้วะ แถมยังกล้าเอามาเล่าต่อหน้าคนเยอะๆ หึ นี่ยังไม่ได้สะสางเลย ไว้ก่อนแล้วกันไม่ได้สำคัญอะไร

บอกตามตรงหลังจากเกิดเรื่องวันนั้นก็ไม่ได้ติดต่อกับเด็กหน้าใสอีกเลย แม้เขาจะโทรมาหาผมสองครั้งว่าจะเอาชุดมาคืนให้ แต่ผมปฏิเสธการเจอทุกรูปแบบ ไม่ว่าจะให้เขาไปหาที่คอนโด หรือให้มาเจอที่โรงพยาบาล กับเหตุผลห่วยๆ ที่ว่า ผมยุ่งจนไม่รู้ว่าจะว่างตอนไหน ทั้งที่จริงๆ ก็ไม่ได้ยุ่งขนาดที่ปลีกตัวไปรับของแค่นั้นไม่ได้ แต่ยังไม่พร้อมไปเผชิญหน้ากับเด็กไร้เดียงสาไม่รู้อิโหน่อิเหน่เรื่องดราม่าชีวิตผม แม้เขาจะบอกไม่เป็นไรที่ผมปฏิเสธแต่น้ำเสียงหงอยๆ นั่นก็ทำให้หัวใจผมรู้สึกแย่อยู่เหมือนกัน

ศิคนอ้วน @thesi_moonie
ฝากด้วยนะครับ ><
quote tweet Intersection The series official

Reply to @thesi_moonie  ได้ครับ เพื่อนพระเอกคนนี้ยินดี อิอิ

Reply to @napat_patt 55555555555 อะไรของพี่ภัทรเนี่ย เจอกันวันบวงสรวงงับ

Reply to @thesi_moonie งับตรงไหนดี

Reply to @napat_patt  ….. ไปเล่นตรงนู้นเบย

Reply to @thesi_moonie เล่นตรงหนายเดดดด



เมนชั่นจากแฟนคลับให้ผมเข้าไปเห็นการสนทนานี้เต็มกล่องแจ้งเตือน ศิไปสนิทกับภัทรเมื่อไหร่ผมไม่รู้ แต่วันนี้รู้แล้วว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่พัฒนาขึ้น และเดาว่าเป็นการเดินเกมจากฝั่งนายคนนั้น แต่ไม่คิดว่าจะโจ่งแจ้งและรุกคืบขนาดนี้ เหล่าสาววายที่อยากให้เกิดโมเมนต์ทั้งในชีวิตจริงและซีรีส์ การหยอกล้อและเล่นตามคาแร็คเตอร์ตัวละครในโซเชียลก็ทำให้ฟินและกรีดร้องกันยกใหญ่

ได้ เล่นกับเขาหน่อยแล้วกัน

Reply to @thesi_moonie @napat_patt เล่นตรงที่เพื่อนพระเอกเค้าเล่นกัน :)


ในเมื่อเพื่อนพระเอกเขาไม่รู้ว่าควรจะไปอยู่ตรงไหน ก็แค่ชี้ทางออกให้ว่าที่ที่อยู่ตอนนี้ไม่ใช่ที่ที่สมควรอยู่ แม้เขาจะอยากอยู่มาก ทั้งในชีวิตจริง และในซีรีส์ ผู้ชายน่ะมองกันออกและศิก็ยังเด็กมากที่จะรู้ทัน

หวงตามบทบาทคงไม่ผิดหรอกมั้ง






กรี๊ดดดดดดดดดดด

“ศิ!! อิศิ!!!” เฌอกรีดร้องใส่หูผมที่นั่งอยู่ข้างกัน สรรพนามผมเปลี่ยนจากไอ้มาเป็นอีเมื่อไหร่ไม่รู้ งงหน่อยๆ แต่ตามนั้นแหละ แล้วแต่แม่คุณเขา

“อะไร เบาๆ เดี๋ยวข้างห้องก็เรียกนิติมาด่าหรอก”

“อิเหี้ยๆๆ กูฟินอะ”

“ฟินอะไร?” ตอบไปด้วยเสียงหน่ายๆ กับอาการโอเวอร์แอ็คติ้ง คนยิ่งตั้งใจเล่นเกมอยู่

“เช็กแจ้งเตือนทวิตจ้า” สายตาของเฌอที่จ้องมือถือเหมือนเป็นทุ่งลาเวนเดอร์ที่มีม้าโพนี่และคิตตี้วิ่งอยู่ เป็นอะไรวะ

ไถมือถือของตัวเองที่ตั้งแจ้งเตือนเอาไว้เฉพาะคนที่ฟอล ไม่อย่างงั้นโทรศัพท์คงเจ๊งกับโนติที่เด้งตลอดเวลา

“เชี่ย!” อุทานอย่างตกใจสุดขีด พี่ดิมผู้ไม่เคยทวิตอะไรนอกจากรีข้อมูลข่าวสาร แต่วันนี้เมนชั่นตอบผมและพี่ภัทรคุยกัน ในเชิง

หวง!

แม้จะไม่ได้เห็นหน้าค่าตากันมาเป็นอาทิตย์ แต่ข้อความประโยคสั้นๆ ความหมายกำกวมแต่บริบทชัดเจน ก็ทำผมหน้าเห่อร้อนขึ้นมาอย่างห้ามไม่อยู่ การที่หายหน้าหายตาไปทำผมรู้สึกเหงาปากอยู่เหมือนกัน สองสามเดือนที่ผ่านมานี้เราเจอกันแทบจะทุกวัน เพิ่งมาห่างก็อาทิตย์ที่เตรียมเปิดกล้องนี่แหละ มาทีก็ทำใจกระเพื้อมเชียว หนอยยยยยยย คุณหมอ

“แหม อิศิทำมาเขิน”

“ขง เขินอะไร”

“แล้วมึงยิ้มทำไม”

“ก็ กะ กูขำ! พี่เค้าปกติเล่นทวิตที่ไหนล่ะ”

“หรอจ๊ะ คุณศิรัส” น้ำเสียงเชิงประชดของเฌอทำให้ผมทำหน้าไม่ถูกเอาซะเลย เพราะไม่รู้จะปฏิเสธยังไงอีก
“ มึงเขินเหอะ กูรู้จักมึงมากี่ปีจะไม่รู้เชียวหรอว่าเพื่อนตัวเองเวลาพูดถึงพี่หมอ พูดในความรู้สึกแบบไหน”

“....”

“มึงชอบเค้าใช่มั้ย”

“บ้า กะ กูไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนั้น”

“มึงโกหกใครก็ได้นะศิ แต่ไม่ใช่กับกู” เฌอที่เปรียบเสมือนแม่อีกคนของผมพูดตามที่เธอบอก ว่าไม่มีอะไรที่ผมปิดเฌอได้

“แต่เค้าเป็นผู้ชาย”

“มึงก็เคยคบผู้ชาย”

“กูหมายถึงเค้าเป็นผู้ชาย ที่ชอบผู้หญิงไม่มีท่าทีว่าจะชอบผู้ชายเลย”

“แล้วเค้ามีท่าทีแบบไหนตอนอยู่กับมึง หมายถึงตอนที่มึงไปนอนกับเค้า”

“เฌอ! รู้ได้ไง” ผมตกใจจริงๆ กับเรื่องนี้ เพราะไม่ได้ปริปากบอกใครเลย ไม่อยากให้พี่เขารู้สึกหนักใจ ถ้ามีคนรู้เขาอาจจะถูกมองไปในทางที่ไม่ดีก็ได้

“รูปมึงที่ไปซื้อถุงยางกับพี่เค้าเต็มทวิตเตอร์”

“แต่พี่เค้าขอให้ลบแล้ว”

“เหอะ โลกโซเชียลลบไปก็ไม่มีวันหมด”
“อีกอย่างวันนั้นมึงบอกกูว่าจะกลับบ้าน แต่มึงรู้มั้ยตอนกูโทรหามึงกูอยู่หน้าห้องมึงและห้องล็อก เกือบเชื่อแล้วถ้าแม่มึงไม่ลงรูปว่าไปดินเนอร์วันครบรอบแต่งงานกับพ่อมึง แต่ในรูปไม่มีมึง”
“ยังไม่ทันเป็นดาราเลยนะ หัดกลับกลอกแล้วนะ”

“แล้วทำไมถึงคิดว่ากูไปนอนกับเค้าล่ะ” ผมพูดเสียงอ่อยอย่างยอมรับผิด

“พี่ดิมอัพสตอรี่ไอจีข้าวกล่องตอนเที่ยง กูจำได้ว่าเมนูโปรดที่มึงชอบทำ เป๊ะ! ถ้าไม่ได้ไปนอนกับเค้า มึงก็ต้องเอาไปให้เค้าที่โรงพยาบาล คนที่นอนตื่นเที่ยงอย่างมึงอะนะจะตื่นมาทำอาหารตอนเช้าแล้วเอาไปส่งเค้า ซึ่งถ้ามึงทำแบบนั้นจริงๆ กูก็จะด่าว่ามึงแรด!”

“เออ! ก็วันนั้นฝนตกทั้งคืนพี่เค้าขับรถไปส่งไม่ได้ ตอนแรกจะไปรอฝนซาที่คอนโดพี่เค้าแต่ว่ามันไม่หยุดเลย ก็เลยได้ค้างอะ” เหมือนมานั่งสารภาพในศาลชั้นต้นกับอัยการที่ซักฟอกจะเปื่อย

“แล้ว”

“ก็นอนเตียงเดียวกัน ตอนแรกจะนอนโซฟาแต่พี่เค้าไม่ยอม กูง่วงก็เลยนอนด้วยกัน”

“เค้ามีปฏิกิริยายังไง”

“หมายถึง…”

“เค้ามองมึงแบบไหน อึดอัดมั้ยที่มีผู้ชายนอนด้วย”

“เอ่อออ กะ ก็ ไม่ มั้ง” เฌอหรี่ตาอย่างจับได้ว่าผมกำลังจะโกหก เพราะพูดกะกุกตะกักทั้งที่พยายามห้ามตัวเองแล้ว

“เออ!! เค้ากอดกู”

“นี่ไง!!” เฌอตบเข่าดังฉาดเหมือนอิช้อยในละคร
“แปลว่าเขาเค้าไม่ได้รังเกียจมึง”

“ก็ไม่ได้แปลว่าเค้าจะชอบกู”

“มึงก็ทำให้เค้าชอบสิวะ”

“แต่เค้ามีแฟนแล้ว”

“มึงเคยได้ยินมะ ชอบเค้าไม่ได้ชอบแฟนเค้า”

“โคตรบาป!!!”

“ศิ มึงไม่ได้ชอบใครมากี่ปีแล้วตั้งแต่เลิกกับแฟนนักบาสในความลับอะไรของมึง ก็สู้สิวะ ลองดู ไม่แข่งยิ่งแพ้เคยได้ยินป่ะ”
“นี่แล้วกูรู้มาอีกว่าเค้าระหองระแหงกับแฟนเค้าจะตาย”

“ไปรู้ได้ไงอีก” เรื่องชาวบ้านนี่ขอให้บอกเฌอ รู้ทุกเรื่องยกเว้นเรื่องตัวเองจริงๆ

“กูใครอย่าลืมว่าพี่ชินเป็นบก.โต๊ะบันเทิง” เฌอพูดถึงพี่ชินพี่ชายในคราบพี่สาวที่นั่งเป็นบรรณาธิการสำนักข่าวชื่อดังของประเทศ แต่ข่าวเรื่องคุณหมอมีแฟนไม่เคยหลุดออกมาเพราะเขาวางตัวดีและไม่ควรถูกแฉ

“ศิมึงมั่นใจในตัวเองหน่อย คนนี้กูเชียร์!!”

ความหนักใจมาตกที่คนต้องลงแข่งชิงชัยในศึกที่รู้อยู่แล้วว่าตัวเองต้องแพ้ตั้งแต่ยังไม่ลงแข่ง ผู้ชายที่ซื่อสัตย์ จริงใจ จริงจัง อย่างพี่ดิมคงไม่มองผู้ชายเด๋อๆ ด๋าๆ แถมไม่มีอะไรพิเศษพอให้เค้าชายตามองมากกว่าเพื่อนร่วมงานเลย มากสุดคงเป็นน้องชายที่น่าแกล้งเท่านั้น

และถึงแม้ผมจะชอบเค้าอย่างที่เฌอพูดแต่กรอบที่ขีดขึ้นจำกัดตัวเองทำให้มันยากขึ้นเท่าตัว

แต่รู้เลยว่าแค่สัมผัสเดียวจากคืนนั้นผมก็พร้อมที่จะทำลายกรอบที่ขีดไว้ด้วยลิควิดเพนเทลซักร้อยแท่ง!!










------To be Continued------



ตอนนี้อารมณ์ดริฟท์ไปดริฟท์มาก แต่ตอนนี้ดริฟท์กว่านี้มาก!!

เกลียดหมอกด 1
สงสารหมอกด 2
ทีมหอมหัวน้องศิ กด 1 2 3 ก็ได้5555555555555

ขอเม้นท์หน่อยดั้ยมั่ยดั้ยยยยย

แจกันวันอังคารหน้าแน้ /เสียงชูแจ

ถ้าไม่มาอนุญาตหยิกได้แต่อย่าแรงมากน้องเจ้บ





บี

#youaremyday1











« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-08-2018 22:51:45 โดย mifengbee »

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
You are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ
EP09 : sins
[/size]

Don't stop loving 'til the morning, don't stop loving 'til the morning






กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด

“ถ้าอยากพบกับนักแสดงจากซีรีส์ขอเสียงดังกว่านี้ได้มั้ย!”

กรี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดด

งานแถลงข่าวที่จัดอย่างยิ่งใหญ่บริเวณหน้าห้างสรรพสินค้าใจกลางกรุงเทพมหานคร เวลาเย็นย่ำบรรยากาศดีเลยทำให้เหล่าแฟนคลับที่ขนทัพมาเชียร์ดาราที่ตัวเองชื่นชอบเต็มลานกว้างแห่งนี้ ป้ายไฟ ลูกโป่ง ดอกไม้ รวมถึงเสื้อทีมสัญลักษณ์ของการเป็นแฟนคลับจัดเต็มแบบไม่มีบ้านไหนยอมกัน ขนาดที่เมื่อเช้าบวงสรวงเปิดกล้องอย่างเป็นทางการกับสภาพอากาศที่ร้อนระอุแต่พอตกเย็นมาทุกคนก็ยังครึกครื้นและดูไม่มีท่าทีเหนื่อยเลย นี่แหละพลังแฟนคลับที่ทำได้ทุกอย่างเพื่อซัพพอร์ตศิลปินที่ตัวเองรักอย่างไม่เคยเหน็ดเหนื่อย

“พบกับนักแสดงจากอินเตอร์เซคชั่นเดอะซีรีส์ หรือ ตะวันคลาดพระจันทร์ได้เลยครับ!!”

นักแสดงหน้าใหม่ และนักแสดงคุ้นหน้าทั้ง 10  ชีวิตออกจากหลังเวทีเพื่อปรากฏตัวในอีเวนท์แรกของซีรีส์วายจากค่ายชื่อดัง ที่ต้องฝ่าฝันและแย่งชิงกว่าจะได้คว้าบทและนำแสดงในเรื่องนี้ กระแสการตอบรับเป็นที่น่าพอใจสำหรับผู้ใหญ่ที่ลงทุนและลงแรง นักแสดงหน้าใหม่ได้รับการต้อนรับดีจากทีมงานทุกส่วนที่ได้ร่วมงานด้วย รวมถึงแฟนคลับที่เปิดใจยอมรับ โดยเฉพาะศิรัสที่โดนกระแสข่าวโจมตีอย่างหนักในช่วงแรก แต่ด้วยคาแร็คเตอร์น่ารักพิมพ์นิยมนายเอกซีรีส์วาย ทำให้ความสดใสและจริงใจแผ่ไปถึงคนอื่นแบบไม่รู้ตัว ทำให้ใครต่อใครก็เอ็นดู เรียกลูก เรียกน้องกันหมด

งานแถลงข่าวได้รับความสนใจจากสื่อมวลชนแม้จะยังไม่มีกระทั่งเทลเลอร์ให้ได้ชม แต่ทุกสำนักก็พร้อมใจให้พื้นที่สื่อตรงนี้อย่างไม่ต้องร่อนหมายเชิญ กล้องหลายร้อยจับจ้องไปที่ภาพบนเวทีทุกการเคลื่อนไหว ทั้งกล้องจากสำนักข่าวและกล้องจากเหล่าแฟนคลับสายช่างภาพ พร้อมรังสรรค์ภาพศิลปินที่ตัวเองรักออกมาสวยงามด้วยการกดชัตเตอร์ที่หัวใจ





“ไงเรา หมดแรงล่ะสิ”

“อื้อ ไม่ไหวอะ พี่ภัทรทำไมยังยิ้มได้อีก ศิจะหลับแล้วเวอร์” ผมพูดขณะเอาทั้งตัวพิงเก้าอี้ในห้องแต่งตัว หลังจากงานแถลงข่าวจบ แต่เดี๋ยวต้องออกไปเจอแฟนคลับ พี่อายว่าแบบนี้ อ้อ พี่อายคือ AR ที่มาเป็นคนดูแลผมกับพี่ดิม พูลล์ แล้วก็อาโป เพราะเรายังไม่มีผู้จัดการส่วนตัว เลยให้พี่อายมาดูแลชั่วคราวไปก่อน

“แล้วจะออกไปเจอแฟนๆ ไหวหรอเนี่ย หื้ม”

“อย่าหื้มดิพี่ภัทร มันแบบศิเป็นเด็กน้อย”

“เอ้า อะไรวะเนี่ย ฮ่าๆ”

“เออน่า ไหวแหละ เราเหนื่อยเค้าก็เหนื่อย พี่อายบอกเค้ามารอเจอตั้งแต่เช้ามาก่อนเราอีก เราดิสบายกว่าตั้งเยอะไม่ไหวได้หรอ”

“หึ เคยได้ยินมั้ย รอยยิ้มของศิลปินมักจะหายไปเมื่อหันหลังให้เวที”
“แต่พี่ว่าคนอย่างศิคงไม่ใช่ศิลปินที่เห็นแฟนคลับเป็นแค่นั้นหรอกใช่มั้ย”

“เอาตรงๆ ผมไม่รู้เลยว่าแฟนคลับเป็นยังไง รู้แค่ว่าเค้าเมตตาเรามากๆ เลยนะ ไม่รู้จักกัน ไม่ใช่ญาติ พี่น้อง เพื่อน แต่ทำให้เราตั้งหลายอย่าง โคตรเสียสละเลย ความรักของพวกเค้ามันยิ่งใหญ่อะ”

“ศิจะเป็นดาราที่มีคนรักเยอะกว่านี้อีก ถ้าเลิกทำหน้าตาวิตกตอนคนเยอะ ๆ”

“เฮ้ย ศิทำหรอ ตอนไหนวะพี่” ผมตกใจที่ไม่รู้ตัวเลยว่าไปทำหน้าตาแบบนั้นตอนไหน

“ตอนอยู่บนเวที always”

“ฉิบ รูปต้องออกไปทุเรศแน่ๆ แล้วพี่เห็นได้ไง”

“ก็พี่มองศิตลอดเวลา”

“อ่า เฮ้ย หรอ แล้วทำไมไม่เตือนอะ โหเนี่ยพรุ่งนี้ลงข่าวด้วย” เอามือลูบหน้า คิดสภาพหน้าตาเห่ยๆ ลงในเว็บข่าว และทวิตเตอร์ กูจะบ้าตายยยยยยยยยยยยย

พยายามไม่คิดประโยคที่เขาพูดกับผมสองรอบแล้ว ไม่อยากคิดว่ามันจะมีอะไร เพราะสายตาพี่ภัทรบอกชัดมากๆ ว่ามีอะไร




“ศิ!!”

“เฌอ! เมฆ!”

“อะนี่ ยินดีด้วยนะมึง” เฌอวันนี้ใส่เสื้อเปิดไหล่สีน้ำเงินเข้มกับกางเกงยีนส์สีขาว และรองเท้าส้นสูง valentino นับว่าแปลกตาที่สุดตั้งแต่รู้จักกันมา ไหนจะแต่งหน้าเนี้ยบกว่าทุกวัน ที่สำคัญผมลอนที่รวบมัดต่ำ ดูผู้ดีสุดๆ ต่างจากเฌอสาวห้าวในชุดนิสิตพลีทยาว รองเท้าผ้าใบ ส่วนเมฆวันนี้มาในสูทสีเทาเข้มลายตาราง และเสื้อเชิ้ตสีดำไม่ติดกระดุมซักสามเม็ดได้มั้ง ฮอตปรอทแตก เสมือนเป็นเซเลบบิตี้ในงานคนนึง

“สวยว่ะวันนี้ เมฆก็หล่อสัสรัสเซีย”

“อะแน่นอน มาเป็นแขกวีไอพีทั้งที อาโปล่ะ” เฌอวิ๊งค์ตาใส่ผมทีนึงที่โดนชม ส่วนเมฆก็ยกยิ้มมุมปาก แต่สายตามองหาใครอยู่ น่าจะเป็นอาโป

“อ่อ ออกไปหาแฟนคลับอะ เดี๋ยวก็เข้ามา เนี่ยเดี๋ยวกูก็ออกไปละ”

“เออเว้ย เอาหน่อยมีแฟนคลับกับเค้าด้วย กูคิดว่ามีแต่แอนตี้แฟน ฮ่าๆ” เฌอล้อปมเก่าๆ

“แล้ว..” เฌอมองไปที่ผู้ชายที่นั่งข้างผมเมื่อครู่นี้

“เออนี่พี่ภัทร ที่เล่นเป็นเพื่อนที่ดิมอะ นี่เฌอแล้วก็เมฆเพื่อนศิเองครับ”

“กูรู้ละแต่อยากให้มึงแนะนำเฉยๆ อิอิ” เฉอกระซิบ แหม่ทำมาเป็นเห็นผู้ชายหล่อไม่ได้เลยนะ

“หวัดดีครับ ยินดีที่ได้รู้จักเพื่อนน้องศิอีกสองคนนะครับ” พี่ภัทรยิ้มละลายไปให้เฌอ เพื่อนตัวดีที่ตอนนี้เข้าขั้นเพ้อเต็มขั้นแล้ว ตาหวานๆ ของพี่ภัทรน่ะเกินต้านทาน แต่สำหรับผมแล้ว ความรู้สึกมันไม่ได้เกิดกับใครก็ได้ แม้จะหล่อทะลุจักรวาลแอสการ์ดก็เถอะ

“น้องศิลูก มา ออกไปเจอแฟนคลับกัน ภัทรเดี๋ยวรอแนนมาเรียกนะจ๊ะ” พี่อายเรียกเสียงดังจากหน้าประตูห้องแต่งตัว ก่อนจะมีผู้ชายร่างสูงคุ้นเคยจะแทรกตัวสวนเข้ามา ใช่พี่ดิมตัวดีนั่นแหละ และดีที่หายหัวด้วย วันนี้ทั้งวันคุยกันไม่กี่ประโยคเองมั้ง เพราะอะไรผมก็ยังงงอยู่ ไม่ใช่ว่างานยุ่งขนาดนั้นแต่เขาพยายามหลบหน้าหลบตาน่ะสิ

เหมือนไม่อยากจะสนิทกันเหมือนเดิม




ผมเดินออกมาบริเวณลานหน้าห้างที่เพิ่งเสร็จกิจกรรมทางการไปสักครู่ มีคนกลุ่มใหญ่มากๆ ยืนล้อมวงเป็นระเบียบเหมือนรอคอยการมาของใคร

“เอ้า มาละจ้าา น้องศิจ้าเด็กๆ”

“กรี๊ดดดดดดดดดดดด”

“ชู่ววว เบาหน่อยลูกเดี๋ยวยามมาไล่ กลั้นไว้นะคะ อะมาเลยถ่ายรูปพูดคุยพี่ให้ 15 นาทีนะ”

ผมไม่อยากเชื่อสายตาว่าผู้คนที่ยืนอยู่ตรงหน้านี้เค้าจะมารอผม มารอตั้งแต่เช้าจนตอนนี้เกือบจะสามทุ่ม แต่สายตาและรอยยิ้มที่ส่งมาให้มันชัดเจนเหลือเกินว่าเขาดีใจกับการปรากฏตัวของเด็กผู้ชายโนเนมและไม่มีอะไรพิเศษ แต่ตอนนี้ผมรู้สึกเป็นคนพิเศษจริงๆ ไม่คิดว่าวันหนึ่งตัวเองจะได้รับเกียรติมายืนตรงนี้

“มึ้งงงงงง น้องน่ารักอะ เขินใหญ่เลย”
“โอ้ยกูจะตายแล้วววว”
“ศิลูก โพสต์หน่อยค่ะ พี่จะถ่ายรูป”


“เอ่อ ทำแบบไหนอะครับ ผมทำไม่เก่ง” ยกมือเกาต้นคอแบบเขิน เอาจริงๆ ตอนนี้มันเขินกว่าตอนที่อยู่บนเวทีแล้วคนข้างล่างเยอะกว่านี้อีกอะ

“อิเหี้ยๆๆๆ น้องแบบน้องงงงงงงงงงงงงงงง”
“ไว้ไปให้คุณหมอสอนนะคะ เค้าเก่ง”
“อร๊ายยยยยยยยยยยยย”
“ขี้ชงอะ ฮ่าๆๆๆๆ”


บรรยากาศมันเป็นกันเองมากๆ ทั้งเราไม่รู้จักกันเลย แต่ทำไมเหมือนสนิทกันมานานแล้ว ตอนแรกที่เขินๆ ก็เริ่มจะรู้ว่าจะเอามือไปไว้ตรงไหนแล้วล่ะ แต่มันก็ยังเขินอยู่ดี -//-

“นี่พี่ให้นะคะ เป็นขนมจากฮ่องกง ซื้อมาฝาก”
“ขอบคุณนะครับ ไม่เห็นต้องลำบากเลย”

“เห็นศิชอบพี่ซื้อให้นะคะ”
“ฝากให้คุณพ่อคุณแม่นะคะชาจากจีนค่ะ”
“เสื้อแซลม่อนกับซูชินะคะ”
“นี่กริซลี่ เดี๋ยวคราวหน้าจะทยอยเอามาให้ครบแก๊ง”


การยกมือไหว้และคำขอบคุณมันจะทดแทนในสิ่งที่พวกพี่ๆ เค้าทำได้ยังไงนะ คิดไม่ออกเลย ผมยิ้มกว้างอย่างที่ไม่รู้ว่ายิ้มให้ใคร แต่ผมยิ้ม ยิ้มให้กับความรักและกำลังใจที่ส่งมาให้ ผมได้รับแล้วมันจะเป็นสิ่งย้ำเตือนให้ผมทำทุกอย่างให้ดีที่สุดเพื่อตอบแทนนะ

นี่สินะ ความรู้สึกที่เรียกว่า ตื้นตัน





“โห ศิได้ของเยอะจัง จะแบกกลับยังไงเนี่ย” พูลล์ที่ดูจะตื่นเต้นกับกองของขวัญของฝากจากแฟนคลับที่เรียกว่ามหึมา เยอะสุดน่าจะเป็นขนมและอาหารการกิน กะขุนให้อ้วนแน่ๆ

ได้! จะกินให้หมดนี่ภายในสองวัน

“เอารถมาแต่ว่าจอดอยู่อีกห้างอะ เดี๋ยวยืมรถเข็นในซุปเปอร์ขนไปได้อยู่มั้ง”

“เดี๋ยวพี่ช่วย ป่ะ” พี่ภัทรเสนอตัวช่วย รู้สึกว่าวันนี้จะได้คุยกับพี่เขาบ่อยจริงๆ เหมือนรอบๆ ตัวผมมีพี่ภัทรอยู่ด้วยตลอดเลย ทั้งที่ก่อนหน้าเราไม่ได้สนิทกันขนาดนี้นี่นา การที่เขาทักไลน์มาคุยด้วยเรื่อยๆ ก็อาจจะทำให้สนิทกันขึ้นล่ะมั้ง ผมก็กล้าที่จะคุยกับทุกคนไม่เกร็งแล้วล่ะ

แต่จริงๆ หวังให้คนที่บอกว่าสนิทกันออกตัวช่วยมากกว่า

ไม่เป็นไรหรอก

“ครับ ขอบคุณนะพี่ ใจดีจัง”

“ไม่เป็นไรน่า ตัวก็ผอมแค่เนี่ย จะขนไปยังไงเราสองคน”

“แหม่ จะบอกว่าตัวเองตัวใหญ่หุ่นดี เกทับกันนี่หว่า” พูลล์พูดอย่างหมั่นไส้เล็กๆ

“ก็สูงกว่าพูลล์เกือบ 15 เซนฯ ป่ะ”

“พี่ภัทร!! แม่ง!!!”







เสียงหัวเราะและหยอกล้อของผู้ชายสามคนในบรรยากาศสบายๆ อยู่ในสายตาผมมาสักพัก แม้จะทำเป็นไม่สนใจเก็บข้าวของที่บรรดาแฟนคลับนำมาให้ แต่หูและสายตาก็ลอบสังเกตสิ่งที่เกิดขึ้นอยู่ตลอด

และมันก็ทำให้คนอย่างผม

หงุดหงิด

ที่หมาตัวใหญ่วอแวกับกระต่ายอย่างมีชั้นเชิง

ทั้งที่ตรงนั้นมันควรเป็นของผมแท้ๆ

“เฮ้อ”

“พี่หมอไหวป่าวพี่” อาโปที่จัดของข้างๆ กันถามออกมา ลืมตัวว่าไม่ได้อยู่มุมนี้คนเดียว

“ไหวๆ พี่แค่คิดว่าจะกินขนมพวกนี้หมดได้ยังไงน่ะ”

“เอาไปให้ไอ้ศิดิ มันอะตัวแดกขนม เอ้ย กินขนม” อาโปพยักเพยิดหน้าไปทางเด็กผู้ชายที่วันนี้ใส่สูทสีดำ เสื้อข้างในสีเหลืองมัสตาร์ด กางเกงเต่อขากระบอกเห็นข้อเท้าเล็กและตาตุ่มสีชมพู พูดคุยอย่างเป็นธรรมชาติกับผู้ชายตัวโตในชุดทางการกว่าปกติ และหล่อมากเท่าตัว กำลังช่วยขนของลงรถเข็นของห้าง เห็นว่าจะอาสาไปส่งถึงรถ หึ

“แค่ของศิ คงกินได้ถึงเดือนหน้า”
“เดี๋ยวพี่เอาไปแจกเด็กๆ วอร์ดเด็กแล้วกัน”

“เอ่อ พี่หมอ ผมถามอะไรหน่อยสิ”

“มีอะไรหรอ”

“เสื้อยืดสีเทาของ fendi กับกางเกงบ็อกเซอร์สีน้ำเงิน พี่รู้มั้ยว่าของใคร ผมเห็นไอ้ศิแขวนไว้หลังรถมันเป็นอาทิตย์ละ”

“....”

“เอ่อ คือผมเห็นพี่สนิทกับมันน่ะช่วงนี้ ผมถามแล้วมันไม่ยอมบอก”

“เค้าไม่บอกพี่ก็ไม่รู้หรอก”

ทำไมจะจำไม่ได้ว่านั่นคือชุดของตัวเองที่ให้คนติดฝนยืมใส่นอนในคืนที่ยังจดจำในหัวได้ดี ยังคงฉายชัดในหัวทุกวันที่กลับคอนโด ว่าความน่ารักของเขาทำให้หัวใจดวงนี้เกือบทรยศต่อคนรักที่ซื่อสัตย์ของตัวเอง จนต้องยับยั้งชั่งใจและไม่ควรเข้าใกล้ให้เขาพลอยเจ็บ

เหมือนที่ผมเจ็บอยู่ตอนนี้
เจ็บที่ต้องเห็นเขาสนิทกับคนอื่น
เจ็บที่ตัวเองทำได้แค่นี้


“หรอครับ”
“เดี๋ยวนี้มันหัดมีความลับ”

ผมยิ้มให้กับอาโปที่บ่นเพื่อนสนิทตัวเอง แล้วตั้งหน้าตั้งตาเก็บของให้เร็วขึ้นจะได้ออกไปจากตรงนี้เสียที



“พี่ดิม!” เสียงห้าวที่คุ้นหูเรียกผมในลานจอดรถ ท่าทางกระหืดกระหอบหิ้วถุงกระดาษใบโตมาด้วย

“แฮ่กๆ คิดว่าพี่กลับไปแล้ว”

“ยังขนของไม่เสร็จน่ะ แล้วรู้ได้ไงว่าพี่จอดรถไว้ที่นี่” อาคารจอดรถของห้างที่ใช้แถลงข่าวมันไกลจากห้างที่คนตัวเล็กจอดรถพอสมควร เม็ดเหงื่อที่ผุดขึ้นบริเวณหน้าผากเนียนบ่งบอกให้รู้ว่าเขาที่วิ่งมาตลอดทาง

“ถามพี่อายน่ะสิ ก็ไลน์มาแล้วพี่ไม่อ่านเลย”
“นี่ครับเสื้อกับกางเกง ศิเอามาคืน”

“อื้ม” ผมรับของจากคนตรงหน้า ปลายนิ้วเผลอไปสัมผัสกับข้อนิ้วเล็กๆ นั่น แค่นี้เองทำไมใจมันเต้นแรงนัก

คิดถึง

เป็นคำเดียวที่จะอธิบายความรู้สึกตอนนี้ได้ ขณะสบตากับดวงตาเล็กระยิบระยับแค่เสี้ยววิ แต่มันเนิ่นนาน อ้อยอิ่ง อยากให้ยืดเวลาออกไปกว่านี้หน่อย แต่ก็คงไม่ได้

“พี่ดิมเข้าเวรหรือเปล่าคืนนี้”

“ไม่ล่ะ พี่เข้าพรุ่งนี้”
“เดี๋ยวพี่กลับแล้วนะ”

“อ่อ..ครับ”
“ขับรถดีๆ นะ”

แม้จะหันหลังเดินออกมาก่อน แต่ความรู้สึกของผมยังอยู่ตรงนั้น อยู่กับเด็กที่มีสายตาเคลือบแคลงและสงสัยในตัวผม คงกำลังโทษตัวเองว่าทำความผิดอะไรที่ทำให้ผมเป็นแบบนี้ คนขี้กังวลคงจะคิดมากในความผิดปกติที่เกิดขึ้น แต่เชื่อเถอะผมไม่ได้สบายใจที่ทำแบบนี้ ถ้าไม่ทำก็ไม่รู้จะห้ามตัวเองไม่ให้ถลำความรู้สึกต่อเด็กที่มีอิทธิพลต่อหัวใจอย่างไร







“ศิทะเลาะกับพี่ดิมหรอ” พูลล์ถามขึ้นขณะกินข้าวกล่องอาหารกองวันนี้ เป็นฟู๊ดซัพพอร์ตจากแฟนคลับผมและพี่ดิม แบบบ้านคู่อะไรทำนองนี้ มื้อนี้แม่ครัวเลยไม่ต้องเหนื่อย อีกอย่างอาหารเยอะจนเหลือเลยก็ว่าได้ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ได้ทำให้ความรู้สึกในใจของผมดีขึ้น เพราะคนที่เป็นเจ้าของอาหารพวกนี้ครึ่งหนึ่งยังพยายามหลบหน้าหลบตาและพูดคุยกับผมน้อยเหลือเกิน ยังไม่รู้ว่าไปทำอะไรให้เขาไม่พอใจ

“ไม่รู้เหมือนกัน”

“อ้าว ก็ไม่เห็นคุยกันเลย วันนั้นหลังจากเจอพี่เค้าที่ห้างแล้วมีอะไรอีกมั้ย”

“ก็...ไม่มีอะไร เราก็ยังงงๆ อยู่เหมือนกัน”

“ศิ..บอกเราได้นะ” พูลล์ยกมือขึ้นมาลูบหัวผมเบาๆ บอกเลยจังหวะนี้อยากร้องไห้ให้รู้แล้วรู้รอด กับความอึดอัดที่เกิดขึ้น พยายามจะเข้าไปถามไปพูดคุยแต่พี่เขาก็หลบหน้าตลอด เข้าฉากด้วยกันก็เหมือนทำตามหน้าที่ไม่มีมากกว่านั้น จนทีมงานหลายคนสังเกตเห็นและแยกเก้าอี้แต่งตัวให้ผมและพี่ดิมไปคนละที่

ทั้งที่เราไม่ได้ทะเลาะกัน

ทั้งที่ก่อนหน้านี้มันก็ดี

แต่ตอนนี้มันไม่ใช่เลย

“ไว้เลิกกองแล้วเราติดรถพูลล์ไปลงคอนโดนะ”

“อื้อ”

วันนี้ผมไม่ได้เอารถมาเพราะแบตรถหมดตอนไหนก็ไม่รู้ อีกอย่างวันนี้ไม่มีซีนของอาโปพอที่จะให้มันไปส่ง เราเริ่มเปิดกล้องมาได้ประมาณเกือบเดือนได้แล้ว ถ่ายไปหลายซีน ส่วนใหญ่จะเป็นซีนในยุคปัจจุบันเพราะต้องเก็บฉากเหล่านี้ให้หมด ก่อนจะไปถ่ายฉากย้อนอดีตที่ต่างจังหวัด และแพลนก็อีกไม่กี่วีค ทุกวันนี้เลยเร่งถ่ายคิวของผมและพี่ดิมให้หมดก่อนเพราะพี่เขาจะให้คิวได้แค่วันพุธถึงวันเสาร์ ฉะนั้นตลอด 4 วันในระยะเกือบเดือนที่ผ่านมันโคตรจะอึดอัดเลย

“เอาป่ะ” พี่ภัทรยื่นซองบุหรี่ให้ผมก่อนจะนั่งลงข้างๆ ม้าหินใต้ต้นหูกวางขนาดใหญ่ ขณะพักกองรอเซตฉากซีนตอนเย็น โลเคชั่นคือมหาลัยเอกชนย่านชานเมือง บรรยากาศขณะปิดเทอมก็ไม่ได้เงียบเสียทีเดียว ยังมีนักศึกษามามหาลัยทำกิจกรรมอยู่ตลอด รวมถึงกองถ่ายขนาดใหญ่ที่มาขอใช้พื้นที่ด้วย

“ก็ดีพี่”

“ดูดด้วย?”

“ก็เคยลอง ไม่ได้แย่ เครียดๆ ก็มีบ้าง”

“แสดงว่าตอนนี้เครียด?”

ผมจุดบุหรี่สัญชาติเกาหลีก่อนพ่นควันสีเทาหม่นปนกับอากาศข้างหน้า การเผาไหม้ที่ผ่านทรวงอกมันทำให้ลมหายใจสม่ำเสมอ สมองโล่งชั่วขณะมาโฟกัสกลิ่นมิ้นท์เย็นๆ ที่ติดอยู่ในลมหายใจแทน

“อื้อ อาจจะ”

ร่างสูงข้างๆ เอาแขนใหญ่พาดบนพนักม้าหินด้วยท่าทีสบายๆ แต่หากคนอื่นมาเห็นคงเป็นท่าทางขี้หวงของผู้ชายคนหนึ่ง

“เพราะหมอ?”

“...”

“ใช่สินะ”
“พี่ไม่ชอบที่ศิเป็นแบบนี้นะ คนอื่นก็ไม่สบายใจ พี่ทีมงานเค้าเป็นห่วง”

“ศิไม่รู้จะทำยังไง มันอึดอัด” ผมสูดควันบุหรี่อีกครั้งจนสุดปอด และพ่นออกสู่อากาศอีกครั้ง แต่มันไม่ได้โล่งอย่างที่หลอกตัวเองหรอก มันยังอึดอัดเท่าเดิม เหมือนก่อนหน้านี้ นิโคตินอัดแท่งไม่ได้ช่วยอะไรเพราะใจผมยังโหว่งอยู่เลย

“ก็ทำเหมือนเดิม ช่วงนี้ศิไม่ยิ้มเลยรู้ตัวมั้ยเนี่ย” ผมสายหน้า ก่อนจะเขี่ยเศษเถ้าบุหรี่ลงบนดิน
“ในเมื่อศิทำอะไรไม่ได้ ก็ไม่ต้องทำ ทำหน้าที่ของตัวเองให้ดี”
“แล้วก็เลิกมองหาเค้าซะที หงุดหงิด”

“มองหาอะไรเล่า พี่ภัทรก็มั่ว”

“เหอะ เคยบอกแล้วว่ามองตลอด แต่ศิก็มองมันตลอด” พี่ภัทรดับแท่งนิโคตินของตัวเองบนที่สำหรับทิ้งบุหรี่ แล้วหันหน้ามาหาผม เพื่อคว้าข้อมือที่ผมกำลังจะดูดบุหรี่อีกรอบ แล้วเอามวนบุหรี่ทิ้งที่เดียวกัน

“อ้าวพี่”

“หวังว่าจะไม่เห็นศิมาสูบบุหรี่อีกนะ”

จุ้บ

พี่ภัทรจูบบนนิ้วชี้ที่ยังมีกลิ่นบุหรี่ติดอยู่ ผมที่ไม่ทันคิดว่าเขาจะทำเหว๋อก็แดกไปเลย โคตรสตั๊นท์กับการกระทำของผู้ชายที่หล่อเหลือร้ายคนนี้ ใจเต้นเลยพี่ภัทรแม่ง!!

“พี่ภัทร!!!! @&$&$$)%*(#_+@)#*”

ด่าไม่ทันอีกวิ่งเร็วกว่ายูเซนโบลต์ละมั้ง*

ทำไมจะไม่รู้ว่าพี่ภัทรเข้าหาผมในทำนองไหน แต่ตัวผมก็มีพื้นที่ให้เขาเป็นเพียงพี่ชายที่น่ารักมากคนนึงเท่านั้น ท่าทางรวมถึงการกระทำเมื่อครู่คนอื่นอาจจะมองว่ามันเป็นการหยอกเอินของผู้ชายที่สนิทกัน แต่แน่นอนผมรู้ว่าพี่ภัทรหวังมากกว่านั้น เรื่องนี้ค่อยว่ากัน เอาเรื่องคนที่เป็นค้อนหนักในใจผมก่อน


เพราะถ้าเป็นแบบนี้ก็เอาวะ ในเมื่อเขาทำเหมือนกับไม่อยากรู้จักผม ผมก็ทำเป็นรู้จักเขามาเป็นชาติแล้วก็ได้!!

ได้!! จะเล่นแบบนี้ใช่มั้ย

ได้!!





มีต่อ




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-08-2018 23:04:17 โดย mifengbee »

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
“พี่ดิมอย่าหนีนะเว้ย ห้ามขยับตัวเลย ไม่อย่างนั้นจะบอกให้หมดว่าคนที่ช่วยตัวเองในห้องน้ำโรงเรียน คือ พี่!!”

พ่นทุกอย่างออกหมดทีเดียวอย่างรวดเร็ว พอพูดจบก็หายใจโกยอากาศเข้าปอดรัวๆ เพราะทำใจตั้งแต่เย็นนี่ก็ปาเข้าไปสี่ทุ่ม พอเลิกกองก็อาศัยจังหวะที่ทุกคนเตรียมตัวกลับแอบตามผู้ชายร่างสูงในชุดลำลอง กำลังเปิดประตูรถตัวเอง ไหนๆ ก็ไม่มีอะไรจะเสียแล้ว ก็เอาเรื่องนี้มาขู่ซะเลย จะได้รู้ๆ กันไปว่าจะหลบหน้ากันอีกหรือเปล่า ไม่ก็บอกมาว่าทำอะไรผิดจะได้ขอโทษ ไม่ใช่เอาแต่เมินใส่กันแบบนี้

ใจดีสู้เสือหน่อยมึง!

“....”

“อะ เออ นั่นแหละ ถ้าพี่ยังเมินใส่ศิแบบนี้ จะบอกให้หมดเลย!”

“หึ เด็ก”

“เออก็คิดได้แบบเด็กๆ นี่แหละ จะไปทำตัวแบบผู้ใหญ่ที่หลบหน้ากันทำไม” ผมประชดทั้งที่ใจนะ กลัวเอามากๆ กลัวจะได้เห็นสายตาว่างเปล่าจากผู้ชายตรงหน้า เหมือนตอนที่เอาเสื้อผ้าไปคืนเขานั่นแหละ มันเหมือนว่าก่อนหน้านี้สำหรับเราสองคนไม่เคยเกิดอะไรขึ้นแบบนั้น ซึ่งมันรู้สึกแย่จริงๆ

“อย่าทำแบบนี้เลยศิ”

“หึ รังเกียจกันมากเลยหรอ แค่หันหน้ามาคุยกันยังทำไม่ได้!”

ผู้ชายร่างสูงหันหน้าเข้าหาตัวรถที่จอดอยู่ ล้วงกระเป๋ากางเกงและก้มหน้าถอนหายใจอย่างไม่สบอารมณ์ ก่อนจะหันตัวกลับมาหาผมที่ก็ไม่สบอารมณ์เหมือนกัน

“คิดหรอว่าพี่ไม่รู้ว่าเรื่องนั้นเป็นตัวพี่ ในเมื่อพี่เห็นศิวิ่งออกจากสระว่ายน้ำวันนั้น”

“ห้ะ!!!”

“ศิรัส อังคณานิพัฒน์พล รุ่น 114”


“พี่ดิมรู้..”

คนตัวใหญ่มีสีหน้าหน้าจริงจังแปะอยู่ ก้าวย่างเข้ามาใกล้ผมมากขึ้นเรื่อยๆ

“เด็กผู้ชายในชุดลูกเสือรีบวิ่งออกจากห้องน้ำของชมรมว่ายน้ำในเย็นวันพฤหัส ทั้งที่ไม่ได้เป็นสมาชิกชมรม”

ผมยกมือปิดปากตัวเองอยากไม่อยากเชื่อว่าพี่เขาจะจำรายละเอียดได้ขนาดนี้ แสดงว่าวันนั้นวิชาพลางตัวลูกเสือของผมไม่เนียนเลย แม่ง

“กล้ามากนะที่เอาเรื่องของพี่ไปเล่าให้คนอื่นฟังตั้งเยอะ” ใบหน้าของพี่ดิมเคลื่อนเข้ามาใกล้มากกว่าเดิม แถมสายตาตอนนี้ยังดุโคตรๆ เหมือนจะกินหัวผมได้อยู่แล้ว

“แต่ศิไม่เคยบอกว่าเป็นพี่..”
“กะ ก็ คิดว่าพี่ไม่รู้ ศิไม่มีเรื่องอะไรที่มันน่าตื่นเต้น ก็เลย...”

“เลยเอาเรื่องน่าอายของคนอื่นไปเล่างั้นสิ หึ”

“พี่ดิม ศิ…” กลายเป็นว่าทำไมผมเป็นคนผิดวะเนี่ย ทั้งที่จะเอาเรื่องนี้มาให้เขาจนตรอกแท้ๆ น้ำเสียงที่ดูโกรธทำเอาผมจะร้องไห้รอมร่อ

“....” เขาเอาหน้าออกไปแล้วก็ถอนหายใจเบาๆ ก่อนจะหันไปเปิดประตูรถ ผมคิดว่าเขาจะขับรถแล้วออกไปเลย แต่เหมือนกำลังหาอะไรบางอย่างบนคอนโซลรถ ก่อนจะถือสิ่งที่หาเจอแล้วเดินมาหาผมที่ยังยืนที่เดิมไม่ได้ขยับตัวไปไหน

“ของศิใช่มั้ย” คนตัวโตยื่นยางรัดผมสีน้ำเงินเข้มมาให้ ซึ่งแน่นอนมันเป็นของผมเอง แสดงว่าลืมไว้ที่ห้องพี่เขาหรอ ถึงว่าหาไม่เจอ

“อื้อ พี่ดิม ศิขอโทษนะที่คิดจะแบล็กเมล์พี่” ผมรู้สึกผิดที่คิดน้อยไป แม้มันจะไม่ใช่เรื่องร้ายแรงแต่ยังไงก็ไม่ควร แค่เอาเรื่องนี้ไปเล่าต่อหน้าคนตั้งเยอะก็แย่พอตัวแล้ว งี่เง่าฉิบหายเลย

“ช่างเถอะ”

“ก็พี่ดิมไม่คุยกับศิ ไม่มองหน้า ศิทำอะไรผิดหรอ ทำไมพี่ดิมเป็นแบบนี้” ความอึดอัดที่เกาะกินใจมาเกือบเดือนมันกำลังจะสิ้นสุดลง รวมถึงความอดกลั้นที่พยายามทำเป็นไม่อ่อนแอ ไม่เป็นไร ค่อยๆ พังทลายลง เพราะที่ผ่านมามันยากเหลือเกินที่ต้องยอมรับว่าตัวเองไม่สำคัญกับเขาขนาดนั้น

“ถ้าศิทำอะไรไม่ดี ศิขอโทษนะ แต่พี่ดิมอย่าเป็นแบบนี้ได้มั้ย” ยอมรับว่าตอนพูดไม่ได้มองหน้าผู้ชายตรงหน้าเลยแม่แต่นิดเดียว ไม่กล้าสบตากลัวจะเจอสายตาที่หมางเมินกัน กำมือที่ชื้นเหงื่อของตัวเอง ในขณะที่มันชาจี๊ดขึ้นเป็นสัญญาณว่าน้ำตามันกำลังจะร่วงหล่น

หมับ

“พี่ขอโทษ ศิ ขอโทษนะ”

เขากอดผม

“ฮึก ศิไม่รู้เลยว่าศิทำอะไร ทำให้พี่ดิมโกรธเรื่องอะไร ไม่รู้เลย ฮึก”

“ชู่ว ไม่ร้องนะครับ พี่ไม่ได้โกรธสิ พี่มันแย่เอง”

เขากระชับอ้อมกอดแน่นขึ้นพร้อมลูบหัวผมไปด้วย เลยได้กอดตอบเขาแน่นขึ้น แน่นมากๆ เพราะกลัวเขาจะคลายอ้อมกอดนี้ไป เพิ่งรู้ว่ามากกว่าความอึดอัดใจ

คือผมคิดถึงพี่ดิมเหลือเกิน

“ฮึก…”

“หยุดร้องนะคนเก่ง พี่จะไม่ทำแบบนี้แล้ว” น้ำตาผมเปียกเสื้อยืดราคาแพงของเขากระจายเป็นวงกว้าง แต่ผมก็เลิกหยุดร้องไห้ไม่ได้ซะที

“ไหนดูดิ๊ ทำไมขี้แยจังวะ” เขาคลายอ้อมกอดแต่ผมยื้อไว้

“อื้อ ไม่เอาไม่ปล่อย” แต่เขาก็พยายามแกะมือผมออกได้อยู่ดี ก่อนจะจับมือข้างซ้ายของผมมาวางที่ใบหน้าคมคาย

เราสองคนสบตากันราวกับพูดคุยกันผ่านดวงตา เป็นภาษาที่ใช้ทั้งความรู้สึก และหัวใจสื่อสาร เป็นคำพูดหลายล้านคำที่พูดออกไปไม่ได้ แม้จะอยากพูดมากแค่ไหน แต่คิดว่าเราเข้าใจกัน…

พี่ดิมใช้มืออีกข้างเช็ดน้ำตาที่ตอนนี้กำลังจะหยุดไหล เพราะสายตาที่ผมอ่านเขาออกเป็นครั้งแรก เหมือนกับเป็นคำปลอบประโลมที่ดีชะงัก

“อย่าร้องไห้เพราะพี่อีก พี่ไม่มีค่าขนาดที่ศิจะมาเสียน้ำตาให้”
“พี่แค่คนเห็นแก่ตัว พี่ไม่ได้อยากทำแบบที่ผ่านมา แต่พี่กลัว”

“....”

“กลัวว่าจะทำให้ศิเสียใจ”

“ใช่ ศิเสียใจ” ลูบมือบนใบหน้าคมอย่างช้าๆ ช่วงเวลานี้เหมือนได้รับแสงแดดอุ่นๆ ตอนเช้า อบอุ่น ละมุน และให้เวลาทุกชีวิตได้เริ่มต้นใหม่ เหมือนความรู้สึกของเราที่ถูกซ่อมแซมอย่างช้าๆ โดยมือของเราสองคน

ผมไม่ลืมหรอกว่าผมไม่มีสิทธิ์อะไรในตัวเขาเลย แต่ขอได้มั้ย

แค่วันนี้
ให้ผมได้บอกเขาในใจว่าคิดถึงก็ยังดี


“พี่รู้ และพี่ขี้ขลาดที่กลัวตัวเองเสียใจ พี่ทำเพื่อปกป้องตัวเอง โดยไม่คิดถึงความรู้สึกศิเลย”

“อื้อ งั้นก็อย่าทำแบบนี้อีก ศิไม่รู้ว่าเหตุผลคืออะไร แต่พี่ดิมอย่าเมินกันแบบนี้ มันรู้สึกแย่ เหมือนพี่ดิมรังเกียจ”

“โถ่ เด็กน้อย” ร่างสูงกดจมูกลงกับฝ่ามือของผมอย่างแผ่วเบา

“ถ้าพอมีเวลา”

“คืนนี้พี่จะอธิบายให้ฟังนะครับ”

“อื้อ” โผกอดคนตรงหน้าอีกรอบ ก่อนที่มือใหญ่จะจูงข้อมือผมเดินไปที่รถหรู สงสัยวันนี้พูลล์คงไม่ได้ไปส่งผมแล้วล่ะ จะบอกว่าตัวเองใจง่ายก็ได้ที่เขาพูดแค่นี้ก็หายโกรธ ทำไงได้ในเมื่อเขามีอิทธิพลกับความรู้สึกมากขนาดนี้ แม้จะผิดบาปก็ตามที

“อ้อ แล้วศิก็อธิบายที่ไอ้ภัทรมันจูบมือเธอด้วย”

“พี่ดิมเห็นด้วยหร..”

“พี่มองศิตลอด”





@คอนโด

เหมือนว่าผมเอาเสื้อผ้ามาคืนเขาเพื่อที่จะใส่กลับเข้าไป เสื้อตัวโตยานและเหี่ยวบนตัวของผม ได้แต่ทำใจเพราะทำยังไงก็ต้องใส่ นี่วันนี้อัพเกรดด้วยการใส่แว่นไปด้วย เด๋อในเด๋อ

ตอนโทรไปบอกพูลล์ว่าจะกลับเองโดนโวยวายใส่ยกใหญ่ว่าจะกลับยังไง เพราะโลเคชั่นวันนี้ ถ้าไม่มีรถส่วนตัวก็ลำบากหน่อย เพราะรถโดยสารสาธารณะแถวนี้หาลำบากมากๆ ความทุ่งรังสิตล่ะนะ แต่พอบอกว่าพี่ดิมไปส่งก็โดนซักยกใหญ่ว่าเกิดอะไรยังไง เลยบอกว่ายังเล่าไม่ได้เพราะยังไม่รู้เหมือนกัน พอพูดประโยคนี้คนที่กำลังตั้งใจขับรถถึงกับหันมามอง อ้าวก็จริงๆ ยังไม่เคลียร์อะไรเลย รอฟังอธิบายจากคนที่กำลังอาบน้ำอยู่เหมือนกัน

ร่างสูงออกจากห้องน้ำพันผ้าขนหนูที่สะโพกอย่างหมิ่นเหม่ เดินออกมาอย่างไม่รู้สึกรู้สาว่ามีผมนั่งอยู่ตรงนี้ ในมือยังใช้ผ้าขนหนูผืนเล็กเช็ดผมที่ไม่แห้ง ก่อนจะมองมาแขกอย่างผมที่นั่งอยู่บนเก้าอี้โต๊ะทำงานในห้องนอนของเขา หยดน้ำที่เกาะอยู่บนแผ่นอกประปรายกระทบกับไฟดาวไลท์ เหมือนพี่ดิมเรืองแสงได้อย่างไงอย่างงั้น นี่กูอยู่กับเทวดาหรือเปล่าวะ

“มองอะไรขนาดนั้น”

“ฮะ เฮ้ย เปล่าซะหน่อย”

“ก็เห็นอยู่”

“เออมอง ก็ใส่มาให้มองไม่ใช่หรอ”

“หึ เดี๋ยวนี้รู้เรื่องแล้วนี่” คนกึ่งเปลือยตอบและเดินเข้าห้องแต่งตัวบิ้วท์อิน ดี! จะได้มีสติคุยด้วยหน่อย ไม่งั้นมองแต่ซิกแพ็คเขาแน่ๆ แงง หม่าม๊า ศิ ไม่ได้ทะลึ่งนะ

“พี่กับไอ้ภัทรใครหุ่นดีกว่ากัน” เสียงห้าวตะโกนจากในห้องมา

“เอ่อ..ขอคิดก่อน”

“ทำไมคิดนานวะฮะ” ร่างสูงที่ออกมาจากห้องแต่งตัวในสภาพไม่ต่างจากเดิมเท่าไหร่ เพราะเสื้อไม่ใส่ ใส่แค่กางเกงนอนขายาว กับผ้าขนหนูพาดบ่าเท่านั้น จงใจชัดๆ

“ก็กำลังพิจารณา พี่ภัทรเค้าก็มีซิกแพ็คเหมือนกัน แถมขาวด้วยเหอะ” ผ้าขนหนูผิดเล็กถูกโดยมาคลุมหัวทั้งที่ยังอธิบายไม่จบเลย กำลังจะบอกว่าหัวนมสีชมพูไม่ใช่สีช็อกโกแลตแบบคนแถวนี้

“สนิทกันจนน่ารำคาญ”
“นี่แค่หลอกถามนะ แต่ไม่คิดว่าจะเห็นหุ่นมันจริงๆ แม่ง”

ดึงผ้าเช็ดตัวกลิ่นสะอาดออกจากหัวจุกทรงน้ำพุ แล้วปาคืนคนที่ปามาได้ “อ้าว ก็ตอนแต่งตัวพี่ภัทรชอบถอดเสื้อแล้วเปลี่ยนข้างนอกเลย”

“แล้วศิล่ะทำแบบนั้นมั้ย”

“บ้าหรอ หุ่นแบบนี้ใครจะกล้าถอด”

“ดีแล้ว ต่อไปนี้ย้ายมาแต่งตัวห้องเดียวกับพี่ เดี๋ยวบอกพี่ติ๊ดตี่ให้”

“อ่า ตามนั้นก็ได้”

“เรื่องมันจูบมืออธิบายมา”

“เอ่อ อ่า ก็ไม่รู้ อยู่ๆ เค้าก็จูบ”

“ไม่เคลียร์”

“ก็ไม่รู้ จริงๆ แค่เครียดๆ” คนตัวสูงหย่อนตัวนั่งลงบนเตียง มันทำให้มองเห็นซิกแพ็คชัดเข้าไปอีก
“ก็เรื่องพี่นั่นแหละเขาให้บุหรี่ก็เลยดูด พอหมดมวนเค้าก็ทำแบบนั้น”

เพี๊ยะ

“โอ้ย” มือหนาฟาดลงเหม่งเต็มๆ เจ็บจี๊ดเลย

 “เป็นเด็กเป็นเล็กดูดบุหรี่ทำไม”

“แล้วพี่อะ เห็นนะว่ามีแฟนคลับคนสวยเอาขนมมาให้ที่กองทุกวัน”

“ก็แค่แฟนคลับ”

“คนอื่นเค้าคิดว่าพี่สนิทหมดแล้ว เห็นคุยถ่ายรูปอะไรด้วยนี่”

“เซอร์วิสไง”

“....”

“....”

อยู่ๆ ก็มีช่วงเดธแอร์ที่เราทั้งสองคนต่างรู้ว่าเกิดจากอะไร สายตาเราที่สบตากันบ่งบอกว่าความหมายของทุกประโยคที่พูดออกไปคือการ หึงหวง ทั้งที่ความสัมพันธ์ระดับเราไม่ควร เพราะมันไม่ใช่วิสัยเพื่อนร่วมงานหรือพี่น้อง และเราต่างรู้ดีว่ามันไม่ควร

“มานั่งที่เตียงสิ” อ่าคงถึงเวลาที่เราควรจะคุยกันจริงจัง

“เช็ดผมให้หน่อย” แป่ว สรุปใช้กันเฉย

นั่งชันเข่าให้สูงกว่าคนตัวยักษ์บนเตียง ส่วนเขานั่งขัดสมาธิ จริงๆ เขาน่าจะมีไดร์แห้งเร็วกว่าเยอะเลย

“พี่ดิมมีไดร์มั้ยจะได้แห้งเร็วๆ”

“ไม่เอาศิมือเบาทำแบบนี้สบายกว่า”

“ได้ทีใช้เลยนะ”
.
.
.
“ศิ”

“หื้ม”

เขาคว้าข้อมมือที่กำลังง่วนเช็ดผมที่หมาดขึ้น และจะใช้แรงไม่มากดึงผมไปนั่งลงบนตัก ง่ายดายเหมือนตักข้าวเข้าปาก แต่ผมนี่สิตกใจจนทำหน้าเหว๋อมากๆ แถมตอนนี้ที่ได้นั่งลงบนตักแกร่งแล้วใจเต้นรัวตึกๆ จนมันจะทะลุออกมาจากอก

“เกลรู้ว่ามีคนมานอนที่ห้องคืนนั้น เค้ามาหาพี่หลังจากที่ศิกลับไปแล้ว”
“เค้าเสียใจคิดว่าพี่มีคนอื่น”

“....”

“พี่เลยบอกกับเค้าว่าจะไม่ให้ใครมาที่นี่อีก”
“แล้วพี่ก็บอกกับตัวเองว่าจะไม่เข้าใกล้ศิ เพราะพี่กลัวใจตัวเอง”

ตั้งแต่เริ่มอธิบายที่ดิมก็กอดผมไว้ในอ้อมอกที่เปลือยเปล่า สัมผัสถึงอัตราการเต้นของหัวที่ชัดเจน และตอนนี้อ้อมกอดพี่ดิมเริ่มรัดผมแน่นขึ้นเรื่อยๆ ร่างกายกำยำของเขาทำให้ผมกลายเป็นแค่ลูกแมวตัวเล็กๆ ที่อยู่ในอ้อมกอดราชสีห์ หนีไปไหนไม่ได้ ต้องทนฟังเรื่องที่ทั้งผมและเขาทำผิดต่อผู้หญิงหนึ่งคน

“แล้วพี่ก็กลัวว่าจะทำให้ศิเสียใจ”
“พี่ทำให้ศิรู้สึก พี่รู้ เพราะพี่ก็รู้สึก”


“อื้อ ศิรู้สึก มากๆ” เอาคางเกยบนแขนที่โอบกอดผมอยู่ในอก และเพิ่มแรงกอดตอบผู้ชายที่ตอนนี้กำลังแสดงความอ่อนแอให้ผมเห็น

“แต่มันผิด ศิรู้”

“ศิ…พี่ผิดเองที่เอาศิเข้ามาเกี่ยว มันเป็นความเห็นแก่ตัวของพี่เอง” เขากอดผมแน่นขึ้นอย่างรู้สึกได้ และไหล่หนากำลังสั่น ผู้ชายที่เคยแสดงว่าเข้มแข็งที่สุดคนนึง คอยดูแลและช่วยเหลือคนอื่นอย่างไม่เคยเหน็ดเหนื่อย แต่ต้องมาเจอปัญหาในชีวิตและกำลังหลั่งน้ำตาเพราะความอึดอัด และสับสนกับสิ่งที่เกิดขึ้น ซึ่งถ้าต้องเลือก จริงๆ เขาไม่ต้องเลือกเลยเพราะผมเองที่เข้ามาผิดที่ผิดเวลา จนทำให้มันยุ่งเหยิงขนาดนี้

ถึงเวลาที่ผมจะต้องเดินออกมาจากความหนักใจของเขา เพื่อกลับมาดูแลหัวใจตัวเองที่ตอนนี้กำลังจะแตกสลายตามใครอีกคน

“งั้นเราอย่าทำให้มันยากไปกว่านี้เลยเนอะ” เป็นประโยคที่กลั้นใจพูดเหลือเกิน ไม่ตรงกับความคิด ไม่ตรงกับความรู้สึก แต่มันตรงกับความถูกต้อง ทั้งที่ dark side ในหัวอยากกอดเขา อยากทำหลายๆ อย่างร่วมกับเขา อยากมีเขาอย่างนี้ในชีวิต แต่ light side กลับต้องปล่อยมือจากเขาไปอย่างเต็มใจ

“ศิ ไม่”

“ศิอยากเห็นแก่ตัว อยากมีพี่ดิมอยู่แบบนี้ แต่เรากำลังทำร้ายคนที่ทำแต่เรื่องถูกต้องมาโดยตลอด”

“ศิจะมองพี่ว่าเลวยังไงก็ได้ แต่พี่อยากมีศิอยู่แบบนี้”

“อยู่กับพี่ดิมได้มั้ยครับ”

“....”

เจ้าของอ้อมกอดแข็งแรง ดึงผมให้เผชิญหน้ากับเขาในท่าที่ล่อแหลม แถมขาเจ้ากรรมดันโอบกอดรอบเอวของเขาไว้ พร้อมกับแขนที่โอบไหล่กว้างไว้ ก่อนจะพูดประโยคนี้ออกมาให้อยากรู้สึกทรยศต่อสิ่งที่ควรทำเสียจริง

“...”

“ยังไงถ่ายซีรี่ส์เราก็เจอกันอยู่แล้ว”

“แต่ความรู้สึกมันไม่เหมือนเดิม!” พี่ดิมเริ่มเสียงดัง แต่ผมจะไม่ใจอ่อนแม้จริงๆ แล้วมันไม่เคยแข็งแต่แรก

“ก็กลับไปทำให้มันเหมือนเดิม เหมือนที่ตอนนี้เราเป็นแค่พี่น้องกันไม่มีอะไรมากกว่านี้”

ร่างสูงคลายอ้อมกอดเล็กน้อยๆ ยกแขนที่พาดบ่าของเขาลงและจับข้อมือเล็กๆ กอบกุมไว้ที่มือเดียว

“ศิแน่ใจใช่มั้ยว่าจะทำแบบนี้”

“เราต้องทำครับ” มองตาสีดำสนิทที่ตอนนี้วูบไหวไม่เหมือนเดิม ความมั่นใจและไม่เปิดให้อ่านความหมายหายไป รอยช้ำสีแดงจากการหลั่งน้ำตายังคงเด่นชัด ยกมือเช็ดคราบนั้นอย่างแผ่วเบา ทั้งที่หัวใจของตัวเองยังไม่หยุดร้องไห้เลยด้วยซ้ำ

ร่างสูงที่อ่อนแรงเอาหัวพาดบนไหล่ของผมราวกับจะหาที่พักพิงกับความเหนื่อยล้าที่ตัวเองต้องเผชิญ พอมาคิดดูคนที่คิดมากกว่าผมคือคนที่ตอนนี้ไม่เหลือเค้าของผู้ชายเพอร์เฟ็กต์เลยสักนิด เป็นแค่ผู้ชายที่ต้องรบรากับความรู้สึกตัวเองและความถูกต้อง

“ไม่เคยคิดว่าศิจะดื้อขนาดนี้เลย”  เสียงอู้อี้จากซอกคอพูดขึ้น

“เรามาทำข้อตกลงกัน”

คนตัวโตที่งอแงมากๆ ยกหัวออกจากบ่าอย่างยากลำบาก มามองหน้าผมด้วยสายตาที่อ้อนวอน

“1.เราเป็นแค่พี่น้องร่วมงาน”
“2.ลืมเรื่องวันนี้”

“แค่สองข้อพี่ก็ทำไม่ได้แล้ว”

“ต้องได้ 3.ทำทุกอย่างตามหน้าที่”

“ใจร้ายว่ะ โคตร”

“หรือจะทำแบบที่พี่ดิมทำ ไม่คุย ไม่สนใจ ไม่แคร์ ทำตามหน้าที่ เอามั้ย”

“Shit!!”

“ข้อตกลงเริ่มพรุ่งนี้”

“งั้นคืนนี้…”

ใบหน้าคมกำลังไล่ต้อนผม สายตาที่เคยอ่อนโยนตอนนี้กลับกลายเป็นเจ้าเล่ห์และบอกความปรารถนาของตัวเองชัดเจน ผมรู้ว่าเขาจะทำอะไรเพราะไม่ใช่แค่เขาต้องการ แต่มันเป็นความต้องการของเรา ทว่ามันจะมากเกินจนผูกมัดให้เราดิ้นออกจากวังวนอุบาทว์นี้ไม่ได้ แต่จะคัดค้านต่อเสียงเรียกร้องของร่างกายและหัวใจก็เกินจะทานไหว

“May i kiss you now”

“Just kiss”


ร่างสูงผลักผมนอนลงบนเตียงอย่างแผ่วเบา สายตาของเขาจับจ้องที่ผมอย่างไม่วางตา ก่อนจะเคลื่อนใบหน้าหล่อเหลาเข้ามาใกล้จนไม่เหลือพื้นที่ให้อะไรแทรกได้ ริมฝีปากประกบเข้ากับปากสีอ่อนของผมอย่างอ้อยอิง คล้ายกับอยากให้เวลามันเดินช้ากว่านี้ ความชำนาญและช่ำชองในปฏิกิริยาร่างกายมนุษย์ของคุณหมอทำผมเปิดปากรับทุกรสสัมผัสของเขาอย่างรวดเร็ว ตอนนี้ไม่ได้เป็นแค่ kiss แต่มันคือ deep kiss ริมฝีปากของเราเริ่มบดเบียดด้วยแรงอารมณ์ที่เพิ่มขึ้น ผมก็เช่นกันการจูบตอบแบบเด็กๆ ถูกนำมาใช้ และเผลอส่งลิ้นให้เขางับเล่น เสียงลมหายใจที่รุนแรงทำสติเริ่มกระเจิง น้ำใสๆ เปรอะเปื้อนริมฝีปากของผม และเขาก็ใช้ส่วนที่เลียได้จัดการทุกหยาดหยด ราวกับว่ามันเป็นน้ำหวานที่ราดบนขนม รับรู้ว่ามันจะไม่ใช่แค่ที่ปากเพราะคุณหมอเล่นเลื่อนใบหน้าลงไปงับที่ต้นคอให้รู้สึกเจ็บๆ คันๆ

“อ๊ะ”

“I want more” มือใหญ่เริ่มเลื้อยเข้าไปในเสื้อนอนตัวใหญ่ของเขาเอง แล้วลูบไล่แผ่นหลังของผมที่ตอนนี้แทบไม่ติดเตียง

“มะ ไม่ครับ”

เสียงของผมขาดห้วงเพราะเขาละจากซอกคอแล้วกลับมาจูบใหม่อีกครั้ง คราวนี้รู้เลยว่ามันรุนแรงกว่าเดิม เพราะปากบนและปากล่างโดนเค้าขบเบาๆ รวมถึงยังสำรวจฟันผมแทบทุกซี่ราวกับกลายร่างเป็นทันตแพทย์ชั่วขณะ ลิ้นของเราเกี่ยวกันยุ่งเหยิงลมหายใจปนเปกันจนแยกไม่ออกว่าของใคร ความรู้สึกตอนนี้เหมือนได้กินมาชเมลโล่เผาไฟหอมๆ ที่แคมป์ตอนไปเที่ยวต่างประเทศ เพราะผมยังจำรสสัมผัสนุ่มนิ่มและหอมละมุนของมันได้อยู่เลย ตอนนี้อยากงับมาชเมลโล่และกัดมันทีละน้อยเพราะกลัวหมด

ความร้อนจากร่างกายของผู้ชายที่กำลังกระสันแผ่ออกมาอย่างคุกรุ่น แม้จะอยู่ในห้องอุณหภูมิต่ำ เพราะพี่ดิมถอดเสื้อ มัดกล้ามที่แข็งแรงกำลังเกร็งและแสดงให้เห็นถึงความต้องการที่เด่นชัด

และถ้าไม่ห้ามเขาต้องนี้ ผมก็คงห้ามไม่ได้ รวมถึงห้ามตัวเองไม่ได้เหมือนกัน

“ฮะ พี่ดิมพอเถอะ แฮ่ก”

“Damn!” ร่างสูงสบถหยาบจากการขัดอารมณ์ของผมเอง

“เราอย่าทำให้มันยากกว่านี้เลย”

“...”

“นะครับ”

“หึ จูบลาสินะ”

เสียงลมหายใจของเราดังขนาบไปกับเสียงเครื่องปรับอากาศ ไม่มีใครพูดอะไรนอกจากเฝ้ามองใบหน้าราวกับจะจดจำทุกอย่างในค่ำคืนนี้ไว้ให้มากที่สุด ชัดเจนที่สุด และตราตรึงมากที่สุด มือใหญ่ของเขาดึงหนังยางที่มัดผมออก ก่อนจะลูบเส้นผมเล็กนุ่มอย่างเบามือ ราวกับกลัวว่าทำแรงกว่านี้มันจะขาดติดมือไป ความอ่อนโยนของเขาเหมือนคนละคนกับเมื่อครู่นี้

แต่จะโหมดไหนถ้าเป็นเขาผมก็โอเคทั้งนั้น


“กอดกันมั้ย”

ผู้ชายตรงหน้าพุ่งตัวมากอดผมไว้อย่างรวดเร็ว เรากอดกันแนบแน่นอย่างที่รู้ดีแก่ใจว่ามันจะเป็นครั้งสุดท้ายที่ได้ทำ อ้อมกอดที่เคยอบอุ่นในวันที่ฝนกระหน่ำตก ไม่เปลี่ยนไปในวันที่อากาศร้อน อาจจะอุ่นขึ้นด้วยซ้ำเพราะเนื้อของเขาแนบตัวผมที่ถูกกอดจนจมอก ความผิดบาปที่เราก่อขึ้นกำลังจะสิ้นสุดลงไปพร้อมกับหัวใจที่เพิ่งเริ่มอยากจะเริ่มใหม่

เหมือนเห็นภาพตัวเองสะท้อนจากซีรีส์ที่อ่านซ้ำแล้วซ้ำเล่า

ถ้าต้องคลาดจากพระอาทิตย์ดวงนี้

พระจันทร์อย่างผมจะเอาพลังไหนมาส่องแสง

ก็คงต้องอยู่ให้ได้ด้วยตัวเองแม้จะมืดมนก็ตาม





ฝันดี

แล้วเจอกันนะพระอาทิตย์ของผม






------To be Continued------





แงงงงง เค้าจูบกันแล้ววว แม้จะรู้สึกผิดบาปก็ตาม งื้ออ

อย่าตีเลาาา ตอนนี้หนักหน่วงกว่านี้ เย่

55555555555555

เจอกันอังคารหน้างับ

เยิ้บ

บี

@mifengbeexx

#youaremyday1





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-08-2018 23:11:16 โดย mifengbee »

ออฟไลน์ kong6336

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 416
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +38/-0
สงสารน้องงงงงงง :o12:

จะรักกันก็ไม่ได้เพราะพี่ดิมมีแฟนอยู่แล้ว

เชียร์พี่ภัทรแทนได้ไหมเนี๊ยยย

ออฟไลน์ vivierav

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 5
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รอนะคะะะ :katai1: :katai1:

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
You are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ
EP.10 cigarettes after sex
[/size]

When your fingers walked in my hand
Next day, nothing on my phone
But I can still smell you on my clothes






“นุ่นๆ บอกทีมเซตฉากต่อไปเลย...พี่เจี๊ยบครับ ซีน 6 นี่พี่เจี๊ยบจะบรีฟเองหรือให้ผมบรีฟครับ”

“นายเอาเลย พี่ขอไปสูบบุหรี่แป๊บ ฝากบอกหมอมาหาพี่หน่อย”

“ครับพี่”


ผู้กำกับมือทองที่หลายคนอยากร่วมงานด้วย ไม่ใช่แค่กำกับละครดี แต่แกทำงานเนี๊ยบแล้วก็อารมณ์ดี ไม่ดุ แต่จะสอนมากกว่า ผมเปลี่ยนชุดเข้าฉากต่อไปซึ่งเป็นชุดลำลองเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น เป็นฉากที่ภามาสมาหารังสิมันต์ที่หอ และเอาขนมมาฝากอีก เพราะอยากจะขอคุยเรื่องประหลาดๆ ด้วย แต่ตอนนี้รังสิมันต์คิดว่าภามาสตามจีบตัวเองซึ่งเป็นช่วงที่เขารู้สึกว่าเด็กรุ่นน้องคนนี้มันน่ารักดี เลยให้เข้ามาในพื้นที่ส่วนตัวที่น้อยคนจะได้ก้าวเข้ามา แต่ตอนนี้แหละที่มันเผลอใจมากไปหน่อยเลยทำรุ่มร่ามกับน้องด้วยการเผลอจูบตอนนั้นมันผล็อยหลับ หลังจากกินขนมที่ตัวเองซื้อมาฝากคนมาหาจนหมด ความเอ็นดูที่ว่าทำให้จุ๊บอย่างตั้งใจ แต่มันก็เลยเถิดไปเป็นจูบ และคนถูกจูบดันตื่นมาจูบตอบนี่แหละ!

“ป๋า มีไรหรือเปล่าครับ”

“เอาป่ะ” คนอาวุโสส่งซองบุหรี่สีเขียวยี่ห้อนอกมาให้ผม

“ไม่ดีกว่าครับ เดี๋ยวเค้าเหม็น”

“หึ ถือว่าทำการบ้าน”

“แล้วรู้ได้ไงว่ากูจะให้มึงจูบจริง ไอ้ลูกหมา” สรรพนามแบบคนคุ้นเคยถูกนำมาใช้เวลาที่พี่เจี๊ยบหรือคนในกองจะเรียกป๋า อยากคุยอะไรที่มันสบายๆ แต่เวลาทำงานป๋าก็จะเรียกทุกคนด้วยชื่อ ยกเว้นเรียกศิและพูลล์ว่าไอ้ตัวเล็กที่1 และไอ้ตัวเล็กที่2 เพราะสองคนนี้ดันเป็นผู้ชายที่ตัวเล็กและป่วนสุด ยิ่งกว่าน้องใบเฟิร์นที่เด็กสุดในกองซะอีก

“เอ้า ผมก็คิดว่าจะได้จูบจริงนะเนี่ย”

“เออ กูไม่ทำอะไรหลอกคนดู เล่นก็ให้มันจริงไปเลย”

“หึหึ ดีครับ” ลอบยิ้มมุมปากอย่างคนรู้กัน พี่เจี๊ยบเป็นผู้กำกับเจนสนาม ทำไมจะมองไม่ออกกับความสัมพันธ์ลับๆ ของพระเอกนายเอกที่ตัวเองคอนโทรลอยู่

“เอาให้เนียนนะ เดี๋ยวกูเสียผู้ใหญ่หมด”

“ครับป๋า”
“จะเล่นให้เนียนกว่าหน้าเค้กป้าต้อยอีก”




“ตอน 12 ซีน 6 เทค 1”

ฉับ

เสียงสเลทดังขึ้นเป็นสัญญาณของการแสดงฉากง่ายๆ นี้สำหรับผม แต่มันดูจะยากเหลือเกินสำหรับคนที่เข้าฉากด้วย สายตาตื่นปนประหม่า พยายามนอนนิ่งๆ แต่ผิวหนังตากระตุกยิบๆๆ เป็นอาการของคนไม่สามารถข่มตาให้หลับอย่างธรรมชาติได้

“คัต!”

“ตัวเล็กหนึ่ง เคยแกล้งหลับมั้ยเนี่ย”

“โหป๋า ศิตื่นเต้นอะ”

“ใช้มุมกล้องจะตื่นเต้นทำไม”

“ฮื้อออ เอาใหม่นะ ขอโทษทุกคนนะครับ”

ผมมองหน้าป๋าแล้วก้มหน้าลอบยิ้มกับตัวเอง เพราะอีกคนที่งอแงไม่รู้ชะตากรรมว่าจะต้อง “เล่นจริง จูบจริง” ยังคิดว่าใช้มุมกล้องอยู่ ขนาดนี้ยังตื่นเต้นจนทำใจเล่นไม่ได้




“ศิ นอนคว่ำหน้าลงกับโซฟานะ ให้หน้ามันตกขอบนิดนึง หมอจะได้ทำเหมือนจูบได้”

“ครับ”

“อะบล็อกกิ้งเลย”

พี่นายโปรดิวเซอร์บรีฟซีนนี้ด้วยตัวเอง ตัวผมไม่ต้องอะไรมาก แค่นั่งมองเด็กที่เผลอหลับ ก่อนจะไถตัวมาหาน้องมันเรื่อยๆ จากที่นั่งบนโซฟาอีกตัว ก็เขยิบมานั่งพื้นเพื่อพาใบหน้าตัวเองเข้าใกล้คนหลับให้มากที่สุด ก่อนจะจุ๊บแบบใช้มุมกล้อง แล้วคัต และเปลี่ยนมุมกล้องอีกฝั่ง เพื่อให้เห็นคนที่ตื่นแล้วจูบผมตอบอย่างชัดเจน (แต่ใช้มุมกล้อง)

“หมอมองศิจากโซฟาตัวเล็กข้างๆ นี้ก่อน มองน้องมันซัก 5 วิ มองเหมือนจะแดกอะเข้าใจป่ะ”

“หึ ครับ ไม่ยาก” สบสายตาคนที่ต้องเข้าฉากด้วยกัน ทว่าดวงตาคู่สวยก็พลันหลบสายตา เป็นแบบนี้เสมอหลังจากเราทำข้อตกลงบ้าๆ นั่นกัน คนตัวเล็กจะไม่ยอมอยู่กับผมตามลำพัง ยกเว้นซ้อมบทก่อนเข้าฉากและไม่มีอะไรนอกเหนือจากการซ้อมบทจริงๆ ผมพยายามจะไม่ทำให้น้องอึดอัดแต่ว่ามันยากจริงๆ กับความรู้สึกที่วกวนอยู่ในใจ เข้าใจแล้วตอนที่ตัวเองทำเมินอีกคนแล้วเขารู้สึกยังไง แม้น้องจะไม่ได้เมินเฉยแต่เราก็ไม่ได้คุยกันแบบ “สนิท” เหมือนเดิมได้อีก สกินชิพที่เคยทำไม่ต้องพูดถึงทำได้แค่หน้าฉากถ่ายซีรี่ส์เท่านั้น

นี่ก็สองอาทิตย์ผ่านมาแล้วที่ผมต้องอดทนทำเรื่องพวกนี้

เมื่อไหร่จะได้ยกกองไปถ่ายต่างจังหวัดนะ

เผื่อบรรยากาศมันจะพาให้น้องใจอ่อนกับผมบ้าง





“ตอน 12 ซีน 6 เทค 2”

ฉับ

ใบหน้าเนียนใสหลับตาสนิทกว่าเทคแรก เวลาเขาหลับมันเหมือนก้อนสายไหมสีขาวกลมๆ ที่อยู่บนไม้เสียบ ถ้าเข้าไปแตะต้องก็กลัวจะละลายคามือ แต่ก็ชวนงับเบาๆ แล้วกลืนรสหวานปร่าลงท้องจริงๆ พวงแก้มย้วยที่แนบกับพื้นโซฟาเป็นภาพที่น่าเอ็นดูเหมือนเด็ก 6 ขวบกำลังหลับใหลก็ไม่ปาน

ก็บอกแล้วว่าซีนนี้สำหรับผมมันไม่ยากเลย แค่สวมวิญญาณของนายอาคิราแทนรังสิมันต์เท่านั้นเอง เพราะสองคนนี้แทบจะเหมือนกันแต่ติดตรงที่รังสิมันต์จะติดปากไว แต่พูดอะไรตามที่คิด สวนผมพูดก่อนคิด แต่ไม่ได้พูดทุกอย่างที่คิด มันเลยมีปัญญาแค่มองผู้ชายตรงหน้าด้วยสายตาของอาคิราผ่านรังสิมันต์อยู่นี่ไง

หลังจากที่ตื่นเต้นเสียเต็มประดาแต่ตอนนี้กลับเข้าถึงบทบาทด้วยการแสดงที่เหมือนหลับจริงๆ ลมหายใจสม่ำเสมอหลังจากได้พักเมื่อครู่ และได้รับการย้ำความมั่นใจจากโปรดิวเซอร์เรื่องมุมกล้องที่จะพยายามทำให้มันออกมาเหมือนจูบจริงมากที่สุด เคลื่อนใบหน้าของตัวเองเข้าชิดจนปลายจมูกโด่งของผมจรดกับปลายจมูกรั้นของอีกคน เอียงใบหน้ารับกับองศาปากเล็กสีชมพูก่อนจะแตะมันเบาๆ หนังตาของคนที่เสมือนหลับกระตุกเล็กน้อยแต่กล้องไม่น่าจะจับได้ เพราะป๋าไม่สั่งคัต ย่ามใจเลยบดริมฝีปากของตัวเองให้แนบกันขึ้นมากขึ้น และมากขึ้น จนลมหายใจของเราประสานกับเป็นหนึ่งเดียว

“คัต!”
“โอเค ย้ายมุมกล้องเลย ให้เร็วเดี๋ยวต่ออารมณ์ไม่ติด”

สิ้นเสียงป๋าคนตัวเล็กก็กระเด้งตัวจากโซฟาตัวนุ่มทันที อาการตื่นๆ แสดงออกมาอย่างชัดเจน เหมือนกระต่ายที่นอนหลับแล้วลูกมะพร้าวตกลงมาบนพื้นเสียงดังสนั่น เพียงแต่ว่ากระต่ายตัวนี้ไม่ตะโกนบอกใครๆ ว่าฟ้าถล่ม หากแต่ใบหน้าขาวขึ้นสีระเรื่อ แต่กัดปากล่างตัวเองอย่างคนเขินปนตระหนก เหมือนเขาสตั๊นท์กับสิ่งที่เกิดขึ้นนอกเหนือจากการบรีฟแต่ผู้กำกับไม่สั่งคัต คนตัวเล็กเลยพูดท้วงอะไรไม่ได้ สายตาพลันเหลือบมาเจอผมแล้วเหมือนสะดุ้งเล็กน้อย

“ป๋า เดี๋ยวศิมา แป๊บนึงนะ”

“เฮ้ย จะไปไหนจะถ่ายแล้ว”

“ขอสองนาที”

คนตัวเล็กวิ่งหายไปจากฉาก 2 นาทีอย่างที่เจ้าตัวว่าจริงๆ แต่อาการตื่นตระหนกแสดงออกด้วยการใช้นิ้วเล็กๆ จับชายเสื้อของตัวเอง ไรผมชื้นเหงื่อเม็ดเล็กแต้มหน้าผาก ทั้งใบหน้าและหูเลือดลมคงวิ่งพล่านถึงได้กลายเป็นสีชมพูทั่วขนาดนั้น

ทำไมน่ารักเอ็นดูขนาดนี้

อยากฟัด


แต่เดี๋ยวก็ได้ฟัดแล้ว หึ


“มา ตัวเล็กพร้อมยัง”

“อื้อ ครับ”

คนโดนเรียกกลับมานั่งในมุมเดิมของตัวเอง ส่วนผมที่ยังไม่ได้ขยับไปไหนก็มองตามการกระทำของคนที่ไม่ยอมมองหน้ากันซักวิเดียว

“ศิ พี่ถามหน่อยสิ”

“...”

“ตอนที่เราแอบดูพี่ในห้องน้ำวันนั้น รู้สึกยังไง”

“เฮ้ย มาถามอะไรตอนนี้อะ เป็นบ้าหรอ” ศิเหวใส่ผมด้วยเสียงกระซิบ คงเพราะกลัวคนอื่นได้ยิน เนื่องจากพี่ๆ ทีมงานจัดแสงจัดกล้อง และวนดูเทปเพื่อให้เรานั่งตำแหน่งเดิมให้มากที่สุด

“แล้วรู้สึกยังไง”

“ไม่รู้สึกอะไรทั้งนั้นแหละ รู้สึกอยากออกไปจากตรงนั้น คนวิตถาร”

“หรอ”
“คิดว่าจะรู้สึกอะไรซะอีก”

“ทำไมต้องรู้สึกด้วย”

“ก็จำรายละเอียดซะแม่นได้ตั้งหลายปี ก็คิดว่ารู้สึกอะไร”

“บะ บ้า ก็แค่จำได้ป่ะ พอเลยเลิกคุย”

“งั้นก็เอาเท่าที่จำได้มาเล่นฉากต่อไป”

“ไม่จำเป็นเหอะ”

“รอดู”



“อะมาๆ ไฟพร้อม กล้องพร้อม เสียงพร้อม”

“พรึ่บ”




ตอนพี่นายบรีฟมันไม่ใช่แบบนี้เลยซักนิด มุมกล้องที่บอกจะปรับเพื่อไม่ให้ดูหลอกตาคนจนเกินไป แต่ไม่ใช้การจูบจริงเหมือนที่ร่างสูงประกบปากลงมาแบบนั้น ตกใจเหมือนกันแต่คิดว่าถ้าตัวเองจะขอหยุดกลางคันก็จะยิ่งทำให้คนอื่นทำงานช้าไปใหญ่ อีกอย่างป๋าเห็นเต็มตาแน่ๆ ผ่านจอมอนิเตอร์แต่ดันไม่สั่งคัต ผมก็แค่นักแสดงใหม่จะกล้าหยุดเล่นได้ยังไง

2 นาทีที่หายไปไม่ได้ใช้ทำอะไรเลยนอกจากกอบโกยอากาศหายใจเข้าปอดหลังเสียงคัตของป๋า เหมือนเสียงระฆังสั่นตอนมวยจบยก ขณะที่ผมกำลังเพลี่ยงพล้ำคู่ต่อสู้ที่ไม่สมฐานะจะแข่งกันแต่แรก เขาที่เป็นมวยเปรียบ เจนสนามกว่า และล้มคู่ต่อสู้มานักต่อนัก ส่วนผมเป็นแค่มวยวัด ขึ้นสังเวียนชกนับครั้งได้ ไม่มีประสบการณ์มากพอจะไปต่อกรใครเขา

ยิ่งเป็นเขาผมยิ่งแพ้

“ตอนที่เราแอบดูพี่ในห้องน้ำวันนั้น รู้สึกยังไง”
“ก็จำรายละเอียดซะแม่นได้ตั้งหลายปี ก็คิดว่ารู้สึกอะไร”



ใครจะไปกล้าบอกว่ารู้สึกกับเหตุการณ์ตอนนั้นขนาดไหน เปลี่ยนชีวิตตัวเองมากมายเพียงใด แค่นี้ผมก็ทำลายข้อตกลงที่ตัวเองเป็นคนตั้งไปหลายครั้ง จูบที่ผ่านการแสดงมันปลุกอะไรหลายๆ อย่างในตัวเองอย่างพลั่งพรู ที่บอกว่าทนได้ ที่บอกว่าทำได้ มันไม่จริงเลยซักนิด จิตวิทยาการหลอกตัวเองลองเอามาใช้แล้วมันไม่ได้ผลเลย เพราะยังคิดถึงครั้งสุดท้ายที่นอนกอดกันได้อย่างเต็มหัวใจ

พอป๋าสั่งเดินกล้อง

ผมที่นอนอยู่บนโซฟาตัวเดิม พยายามข่มตาหลับให้ดูเป็นธรรมชาติมากที่สุด แม้ก้อนเนื้อในหน้าอกจะเต้นรัวเหมือนกลองที่โดนตีด้วยจังหวะซุมบ้า กล้องที่เพิ่มจาก 3 เป็น 5 ตัวจับหลายมุมมากขึ้น ทั้ง close-up และมุมกว้าง มันยิ่งกดดันมากขึ้นกว่าเดิมหลายเท่า แล้วถ้าอีตาคนข้างหน้าจูบจริงอีกก็คงต้องขอให้หยุดถ่ายจริงๆ ไม่งั้นอาจจะตายก่อนได้

แต่ไม่ทันแล้วเพราะลมหายใจของคนที่นั่งจ้องหน้าตามบทมาสักพักก่อนจะเคลื่อนใบหน้าตัวเองเข้ามาใกล้ จนลมหายใจของเขารดรินที่ปลายจมูกและริมฝีปากของผมอย่างชัดเจน ก่อนที่ปากหนาจะค่อยๆ บรรจงแตะที่ริมฝีปากผม ก่อนเขาจะทำมากกว่าแค่เอาปากแตะกัน คือเริ่มบดเบียดเข้าหา จริงๆ ในบทผมจะต้องลืมตาขึ้นอย่างตกใจแต่ไม่ถอนริมฝีปากออก พร้อมกับจูบตอบกลับไป แต่นี่แค่ลืมตาขึ้นมองก็เล่นต่อไม่ได้แล้ว

“คัต!”

“ป๋า ทำไมจูบจริงอะ ไหนบอกจะใช้มุมกล้อง” ต้องของอแงนิดนึงเพราะมันเลยเถิดจากที่คุยกันไว้มากๆ เพราะฉากนี้จะไม่ใช่แค่เอาปากแตะกัน แต่ต้องเป็นจูบที่ลึกซึ้งพอตัว

“ก็เมื่อกี้เห็นเอ็งเล่นได้ แถมซีนมันก็ดีอารมณ์ก็ดี กลัวมันไม่ต่อเนื่อง คนดูไม่โง่นะเว้ย”

“...”

“แต่ถ้าจะให้ใช้มุมกล้องก็ได้ เดี๋ยวถ่ายฉากเมื่อกี้ใหม่ ถ้าเอ็งไม่โอเค”

“อ่า..งั้นขอทำใจก่อนได้มั้ย มีเวลามั้ยครับ”

“เออ ให้ 5 รวมกับเมื่อกี้อีก 2 เป็น 7 แล้วนะเว้ย ให้ไว”

“ครับ”

ป๋าเจี๊ยบเดินออกจากฉากไปรวมถึงพี่ๆ คนอื่นที่เดินไปหาน้ำหาท่ากินระหว่างรอผมทำอารมณ์ พี่นายเดินดุ่มเข้ามาหา ส่วนพี่ดิมที่ยังคงนั่งที่เดิม แค่ร่างสูงทำท่าสบายๆ ด้วยการเหยียดขาและอมยิ้มมุมปากแบบกวนสุดๆ

“ไงเรา”

“ต้องเล่นจริงๆ หรอพี่นาย”

“ก็ป๋าว่างั้น เราไม่โอหรอ”

“ก็เปล่า แค่มันตั้งตัวไม่ทัน ถ้าบอกก่อนก็จะได้เตรียมใจ” ก้มหน้ากุมมือตัวเองด้วยอยากสร้างความมั่นใจให้ก่อขึ้นในใจ เพราะมันเป็นเรื่องยากที่จะทำใจจูบกับผู้ชายที่รู้อยู่แก่ใจว่าชอบเขามากขนาดไหน จูบยังไงให้ไม่กลับไปรู้สึกมากขนาดที่ต้องแหกกฏทั้งที่อุตส่าห์ทำมาได้ตั้งนาน

“งั้นก็เตรียมใจซะ เพราะเมื่อกี้มันดีมาก หมอทำอารมณ์โคตรดี”
“เอางี้เช็กมอนิเตอร์ดูมั้ย เผื่อว่าจะช่วยตัดสินใจได้”

“ครับ”

“หมอมาสิ”

ร่างสูงที่ทำท่าเหมือนไม่ได้ฟังแต่ได้ยินแน่ๆ ว่าผมคุยกับพี่นายว่าอะไร ลุกจากพื้นแล้วเดินมาที่จอมอนิเตอร์ก่อนจะยืนข้างผม แต่นั่นแหละเราไม่ควรยืนใกล้กันเกิน 1 เมตร เลยเขยิบไปเพื่อที่จะหย่อนตัวลงนั่งเก้าอี้ข้างพี่ทอยผู้ช่วยผู้กำกับ

ฉากที่ผมแสดงแค่หลับตาให้เสมือนว่าหลับจริงๆ เลยไม่มีทางเห็นว่าคนตัวโตมองตัวด้วยสายตาแบบไหน พี่ดิมเหมือนมีรังสิมันต์อยู่ในตัว สายตาของเขากล้าๆ กลัวๆ ไม่มีความมั่นใจในตัวเอง เพราะยังรับความรู้สึกของตัวเองที่เกิดขึ้นกับผู้ชายที่มาตามตื้อทุกวันไม่ได้ แม้จะปฏิเสธความคิดแต่กลับหลอกหัวใจตัวเองไม่ได้ สายตาลังเลที่จะลองจูบผู้ชายตรงหน้ามีทั้งความประหม่า และความกลัว แต่ทว่าก็กล้าพอที่ทำตามคำเรียกร้องของตัวเอง ริมฝีปากที่สั่นน้อยๆ เผยอขึ้นก่อนจะประทับลงที่ริมฝีปากของผมอย่างแผ่วเบา ก่อนที่เจ้าตัวจะหลับตารับสัมผัสนั้นเช่นกัน

ไม่แปลกใจที่ทำไมป๋าถึงบอกว่ามันดีมากๆ เพราะมันดีจริงๆ คนอะไรจะเก็บรายละเอียดของอารมณ์ตัวละครได้ดีขนาดนี้ ความประหม่า กลัว แต่ห้าวหาญพอที่จะ “ลอง” ทดสอบหัวใจตัวเอง พี่ดิมเก็บได้ทุกเม็ด ถ้าบอกว่าเขาเล่นละครมาแล้วซัก 10 ปีก็น่าเชื่อ ซึ่งพอได้มาเห็นกับตาก็ทำใจให้เซตฉากถ่ายใหม่ตั้งแต่แรกไม่ได้ มันเหมือนดูถูกความตั้งใจของทุกคน โดยเฉพาะพี่ดิม

“ดูจบแล้วเป็นไง”

“สวยอย่างที่ป๋าบอกจริงๆ”

“แล้วยังอยากให้ใช้มุมกล้องมั้ย พี่ให้เราตัดสินใจนะ เพราะนี่ก็งานเรา ทุกคนมีสิทธิ์พึงพอใจกับงานของตัวเอง”

“ไม่ล่ะครับ เหลืออีกกี่นาที”

“2”

“งั้นพี่ดิม ไปซ้อมกัน”

ลากแขนผู้ชายที่ยืนกอดอกออกมาจากจอมอนิเตอร์ ก่อนจะพาเขาไปที่ห้องเปลี่ยนเสื้อแคบๆ หลังฉาก เพื่อตกลงอะไรบางอย่าง

“ลากพี่เข้ามาแบบนี้จะทำอะไรไม่ดีกับพี่ป่ะเนี่ย”

“จูบศิเหมือนที่พี่ดิมจูบวันนั้น”

“เฮ้ย!”

“ที่พี่ถามว่าศิรู้สึกอะไรเมื่อสิบปีก่อน มันแค่วูบวาบตามประสานวัยรุ่น แต่คืนนั้นรู้แล้วว่าการแสดงออกว่าเรารู้สึกกับใครมากๆ เป็นยังไง”

“...”

“เอาความรู้สึกของอาคิรามาใส่ในตัวรังสิมันต์ได้มั้ย”
“ไม่งั้นภามาสคงทำให้ศิรัสผ่านฉากนี้ไปไม่ได้”


มือใหญ่สากเล็กน้อยลูบลงบนใบหน้าของผมอย่างนุ่มนวลและแผ่วเบา ราวกับว่ากลัวมันบุบสลาย ทั้งที่ตอนนี้เราทั้งสองคนรู้ดีว่ากำแพงที่พากันก่อ ฉาบ และเทปูน มันพังทลายไม่มีชิ้นดี

“ครับ”




พรึ่บ

“แอ็คชั่น!”

ทันทีที่ริมฝีปากของคนที่ใช้ลมหายใจปลุกอารมณ์ให้กระเจิงมาหลายวินาทีก็ได้สัมผัสกับความนุ่มนวลที่เคยเจอ เหมือนภาพแฟลชแบ็คที่ฉายย้อนกลับไปคืนที่เกิดจูบแรกของเรา เมื่อคนตัวโตลงน้ำหนักมากขึ้นก็ถึงเวลาที่ผมจะต้องเปิดดวงตาด้วยอากัปกิริยาตกใจเล็กน้อย และก็เริ่มจูบตอบไปอย่างไร้เดียงสา ซึ่งมันเป็นจูบปกติเพราะไม่ได้เก่งมากประสบการณ์เหมือนคนนำเกมตอนนี้ เสียงของริมฝีปากที่ประกบกันดังเล็ดลอดผ่านไวเลสเป็นแน่ ซึ่งมันคงน่าอายมากๆ แต่นั่นแหละหยุดตอนนี้ก็คงต้องเล่นกันใหม่หมด

เราสองคนเหมือนลืมบรรยากาศรอบข้างว่ามีสายตาหลายสิบคู่กำลังมองเราอยู่ ความเงียบสงัดในห้องเล็กๆ เสมือนจำลองให้เราสองคนที่อยู่ท่ามกลางทุ่งดอกไม้หลากสี หอมหวน ชวนให้หลงใหล และติดกับอย่างหาทางออกไม่เจอ ร่างสูงใช้มือประคองหน้าของเราไว้ก่อนจะกดจูบหนักๆ ครั้งสุดท้ายแล้วค่อยๆ เคลื่อนใบหน้าออกอย่างอ้อยอิ่ง ราวกับว่าได้กินอาหารรสโปรดแล้วไม่อยากให้มันหมด และเขาจะกดจูบลงที่หน้าผากผมด้วยความอ่อนโยนทั้งหมดที่มี เราสบตากันอย่างมีความหมาย

 รังสิมันต์รับรู้ความรู้สึกของภามาสผ่านสัมผัสนี้

ไม่ต่างจากที่ศิรัสก็โหยหาสัมผัสของอาคิราเหลือเกิน

“คัต”
“สุดยอด!”

“วุ้วว”
“เก่งเว้ย”

เสียงปรบมือและเสียงโห่ร้องดังมากจากที่งานทุกภาคส่วน ไม่แม้แต่แม่ครัวที่ชะเง้อหน้ามองอยู่ที่ประตูไกลๆ จะไม่อายได้หรอ เลยเอาหน้ามุดกับแขนเสื้อคนตัวโตที่ยิ้มรับคำชมอย่างหน้าบาน ไม่พอเลียริมฝีปากลวกๆ ให้ผมเห็นอีก แม่งยิ่งเขินไปกันใหญ่ หน้าร้อนไปหมดเลย ไม่เคยคิดว่าการจูบต่อหน้าคนมากๆ แม้จะเป็นแค่การแสดง (ที่ออกมาจากความรู้สึกจริง) จะสร้างความเขินก้อนมหึมาได้ขนาดนี้ อยากมุดดินหนีสุดๆ

“พี่ไม่ได้แอ็คติ้งนะ”
“พี่คือพี่”

“อื้อ ศิก็คือศิ”


เสียงอู้อี้ที่ได้ยินแค่เราสองคนมันดังชัดเจนท่ามกลางบรรยากาศวุ่นวายของการเซตฉากต่อไป เป็นสิ่งยืนยันว่ากฏห่าเหวต่างๆ ที่พยายามทำกันมาตั้งมากมายแตกสลายเป็นผุยผง เหลือเพียงโมเลกุลเล็กปลิวว่อนในอากาศ ก่อนที่จะถูกพัดหายไปกับสายลม แต่กระนั้นเราก็ยังรู้ว่ามันยังคงอยู่ สัมผัสมันได้อยู่ และเป็นความจริงทางวิทยาศาสตร์ที่เราปฏิเสธไม่ได้ว่าถึงอย่างไรมันก็เกิดขึ้นจริง

และเราก็พร้อมทำผิดกันอีกครั้งอย่างรู้อยู่แก่ใจ





มีต่อ





« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-08-2018 23:23:14 โดย mifengbee »

ออฟไลน์ mifengbee

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 139
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-0
@เพ้นท์เฮ้าส์

ถ่านที่ไม่เคยมอดเวลาได้เติมเชื้อเพลิงเล็กน้อยมันก็ลุกโชนขึ้นเป็นเปลวไฟร้อนแรงเจิดจรัสได้อีกครั้ง หากทว่าคราวนี้แทบไม่มีใครพยายามมอดกองไฟนี้อีก มีแต่จะเติมเชื้อเพลิงให้ลุกโชติช่วงและประคองไม่ให้มันดับไปอีก

จุ๊บ

“อื้อ พี่ดิม ปล่อยก่อน”

“ก็คิดถึง”

ผู้ชายตัวใหญ่ผิวแทนขึ้นกว่าเดิมนิดหน่อยเพราะออกกองถ่ายงานกลางแดด กำลังกอดผมบนตักกว้างและจูบย้ำซ้ำแล้วซ้ำอีกที่หลังคอ กกหู และแก้ม พร่ำเพ้อพูดว่าคิดถึงเป็นสิบครั้งได้ กลับมาอยู่ที่คอนโดเขาอีกครั้งหลังจากถ่ายซีนสุดท้ายของวันนี้ ซึ่งเขาหาโอกาสล่อลวงผมมาที่นี่ตั้งแต่วันที่ถ่ายฉากจูบ แต่พยายามปฏิเสธตลอดเพราะอยากขอเวลาคิดอะไรหลายๆ อย่าง และพยายามยอมรับว่าการกระทำที่ใจอยากไม่ต่างจากเป็น “ชู้” แต่นั่นแหละความดีแพ้ความเลวเสมอ

“หอมจัง” เขายังไม่หยุดที่จะเอาจมูกโด่งๆ สำรวจต้นคอผม

“หอมอะไรศิยังไม่ได้อาบน้ำเลย มีแต่กลิ่นปิ้งย่างเหอะ”

พยายามเอียงตัวหลบแล้วแต่ว่าอย่างที่รู้

เขา = เสือ

ผม = แมว

“คิดถึงพี่มั้ย”

“เจอกันอยู่ทุกวันนี่นะ”

“คิดถึงพี่มั้ยครับ” เขาใช้มือหนาประคองใบหน้าให้หันไปสบตาสีนิลสีเดิมที่ตอนนี้มีแต่แววตาที่ซุกซน พยายามจะไล่ต้อนให้ผมตอบคำถามแบบที่เขารู้อยู่แล้ว

จุ๊บ

“คิดถึงครับ”

สองสายตาประสานกันก่อนจะค่อยๆ เอียงหน้ารับสัมผัสจากริมฝีปากของกันและกัน คุณหมอไล่ต้อนผมด้วยรสจูบที่เคยปรนเปรอให้ ลมหายใจเริ่มประสานเป็นท่วงทำนองเดียวกันอย่างช้าๆ ก่อนที่ริมฝีปากหนาจะรุกมากขึ้นจนผมต้องพ่นลมหายใจออกทางปากตอนที่เขาเริ่มใช้ลิ้น และเขาก็จัดเจนพอที่จะทำให้ผมเปิดปากให้เขาสำรวจทุกซอกทุกมุมภายในพื้นที่เล็กๆ มุมปากเปรอะเปื้อนไปด้วยน้ำใสๆ และเขาก็จัดการมันทุกหยาดหยด

“ฮะ แฮ่ก”

มือใหญ่จับแขนผมคล้องคอเขาก่อนจะลูบเอวเล็กให้หันไปนั่งค่อมเขาในท่าที่ล่อแหลม ไม่พอยังใช้มือสากเลิกเสื้อฮาวายขึ้นก่อนจะสอดมือเข้าไปแล้วลูบวนบริเวณเอวและแผ่นหลังก่อนจะไล้มาที่หลุมสะดือ ผมถึงกับสะดุ้งเพราะมันรู้สึกเสียวพิกล เขาถอนจูบเพราะแรงกระตุกเมื่อกี๊ก่อนจะจูบใหม่ด้วยการยกยิ้มมุมปากอย่างคนหาของเล่นใหม่เจอ ปลายนิ้วเรียวหมุนวนรอบฐานสะดือและมันทำให้ผมสะดุ้งหลายรอบก่อนเขาจะถอนจูบที่ยาวนานออก เสียงลมหายใจหนักที่ผสานกันอยู่ตอนนี้มันตอบคำถามเราทั้งคู่ได้ดีว่าจะเกิดอะไรต่อ

ร่างสูงค่อยๆ ถอดกระดุมเสื้อของผม ในขณะเดียวผมก็แกะกระดุมเสื้อเชิ้ตมูจิของเขา เราสบตากันทว่าผมต้องหลบสายตาคมที่มันอ่านออกอย่างชัดเจนว่าเขาคิดเลยเถิดไปถึงขั้นไหน เสื้อของพี่ดิมถูกปลดออกจากร่างกายที่แน่นไปด้วยมัดกล้ามแต่เขาหยุดมือตั้งแต่ปลดกระดุมเสื้อผมถึงเม็ดที่สาม พอเสื้อเขาตกลงพื้น จู่ๆ ก็พรวดพลาดจูบผมอีกครั้งอย่างร้อนแรงกว่าเดิม คราวนี้รับรู้ได้เลยว่าเขา

เอาจริง

ริมฝีปากร้อนซุกไซ้ลงมาตามลำคอ ตอหนวดเล็กๆ ของเขาทิ่มผิวเนื้อผมจนต้องส่งเสียง ไม่ช้าลิ้นร้อนก็ถูกใช้งานอีกครั้ง เขาขบเม้มจนคิดว่าน่าจะเกิดรอยบางๆ เลยดันไหล่เขาออกนิดนึง

“มันจะเป็นรอยนะครับ”

“มีวิธีทำให้หายเร็วๆ พี่เป็นหมอนะ”

จบประโยคเขาจัดการเม้มหลายจุดที่ไหปลาร้า เนินอก ก่อนที่เขาจะถดตัวออก ตอนแรกผมคิดว่าเขาน่าจะพอแล้วแต่ไม่เลย ปากอันเดิมกำลังเม้มตุ่มไตที่หน้าอกผ่านเสื้อฮาวายตัวบาง ก่อนจะใช้ลิ้นร้อนๆ เลียรอบฐานอย่างชำนาญและกัดเบาๆ

“อ๊ะ”

เสื้อฮาวายสีฟ้าอ่อนเปียกชุ่มไปด้วยน้ำลายของคนที่ยังไม่คิดจะปลดมันออก  เหมือนรอคำขอร้องจากผมอย่างไงอย่างงั้น

หึ

วางแผนไว้แล้วสินะ

“ฮื้อ พี่ดิม เสื้อมันเปียกมันหมดแล้วนะครับ ฮะ อื้อ”

“พี่ควรทำยังไงดีครับ ช่วยบอกหน่อย”

“ถะ ถอด ถะ เถอะ ฮ้า”  ยังพูดไม่จบร่างสูงก็จัดการแหวกเสื้อให้กว้างขึ้นก่อนจะนำผิวริมฝีปากมาสัมผัสผิวที่หน้าอกอีกครั้ง ซึ่งมันรู้สึกเสียวกว่าเดิมเพราะเป็นเนื้อแนบเนื้อเสียแล้ว ไม่รู้ว่าจะบรรยายความรู้สึกอะไรก่อน มันตีกันสับสนเหมือนมีมดเดินอยู่ในท้องซักแสนตัวได้

ไม่ช้าเสื้อที่คนมือใหญ่พยายามปลดกระดุมก็โดนดึงจนกระดุมกระเด็นไปไหนไม่รู้ และตอนนี้ท่อนบนของเราก็เปลือยเปล่าต่อหน้ากันครั้งแรก อย่าหาเวลาอายกันเลยมีหน้าที่แค่กลั้นเสียงน่าอายเท่านั้น

ตอนนี้รู้สึกคิดผิดที่ใส่กางเกงยีนส์เดฟแนบขาเพราะมันทำคนถอดเริ่มหงุดหงิด แต่ผมกลับขำกับความพยายามของเขา จริงๆ ออกปากให้ผมถอดเองน่าจะง่ายกว่าแต่คนตัวโตไม่ยอมเอ่ยปาก แต่สุดท้ายผมก็ได้ลุกไปยืนต่อหน้าให้เขาลอกคราบตามใจ

“ทีนี้เราก็ช่วยพี่บ้าง”

มือเล็กเงอะงะไม่แน่ใจว่าจะใช้วิธีไหนปลดกระดุมกางเกงยีนส์สีซีดที่ตอนนี้เป้าตึงขึ้นอย่างเห็นได้ชัด สิ่งที่อยู่ภายใต้ยีนส์ราคาแพงคงตื่นเต็มที่ ขนาดไม่ได้มองหน้าเขายังรู้เลยว่าเขากำลังยิ้มเยาะที่ผมเงอะงะเหมือนเป็นเซ็กซ์ครั้งแรก ปลดตะขอและรูดซิปลง ก่อนจะโอบรอบตัวเขาเพื่อปลดกางเกงลงจากสะโพก ที่สำคัญไอ้สิ่งที่คิดว่ามันตื่นมันตื่นกว่าที่คิด หน้าเริ่มเห่อร้อนกับสิ่งลามกที่คิดในหัว

กางเกงยีนส์ยังไม่หลุดจากขาคนตัวสูงดี เขารวบตัวผมก่อนจะผลักลงโซฟาตัวเดิม และสลัดกางเกงให้พ้นตัว ก่อนจะเข้ามาจูบอย่างหิวกระหาย เสมือนการที่ผมปลดกางเกงให้ส่งผลต่อความอดทนของพี่ดิมเหลือเกิน ไม่พอก้านนิ้วยาวของเขายังคอยสะกิดตุ่มที่หน้าอก และอีกมือก็ลูบไล้สะดือและท้องน้อยให้ส่งเสียงน่าอายในลำคอ ยังไม่ทันได้หายใจ มือที่เมื่อกี๊วนที่สะดือก็เลื้อยเข้าไปใต้ calvin klein ของผมก่อนจะลูบคลำสิ่งที่นอนนิ่งให้มันตื่นตามของเขาไป คนลามกยังจับมือผมไปลูบของเขาทั้งที่ปากยังทำงานดีจนน่าตี เพราะหน้าอกคงพร้อยไปด้วยรอยคิสมาส์กเขาเต็มไปหมด

“รู้ใช่มั้ยว่าจะเกิดอะไรต่อ”

ผมพยักหน้ารับ

“ถ้าจะหยุดให้พี่หยุดตอนนี้”

“...”

“เพราะต่อจากนี้พี่จะไม่หยุด”

พี่ดิมพูดจบประโยคก็สบตาผมรอการตัดสินใจทั้งที่รู้อยู่แล้วว่าเรามาไกลเกินกว่าจะหยุด แต่สิ่งที่เขาทำมันคือการให้เกียรติผม  และอยากให้เรื่องที่จะเกิดขึ้นเกิดจากความพร้อมใจของเราทั้งคู่ ไม่ใช่อารมณ์ชี้นำ แม้ว่าใจจะรู้ดีว่าไม่ควรแต่บางทีชีวิตเราก็แค่อยากเลือกทำในสิ่งที่รู้ว่าผิดแต่มันถูกใจแค่นั้น

ผมไม่ตอบรับอะไรแต่ใช้แขนโอบรอบคอแล้วจูบเบาๆ ที่ริมฝีปากหนา และนี่แหละเป็นตัวเร่งปฏิกิริยาของผู้ชายตัวโต เขาดึง ck ตัวน้อยออกก่อนจะจัดการกับอามาร์นี่สีดำของตัวเอง เนื้อตัวเปลือยเปล่าของเราทั้งคู่มันกระตุ้นความรู้สึกปั่นป่วนจากภายในให้สูบฉีด สายตาคมสำรวจร่างกายของผมเหมือนพยายามสแกนทุกรูขุมขน เลยบิดขาปกปิดส่วนที่แข็งขืนเพราะแรงอารมณ์ แต่มือใหญ่กลับแยกมันออก

คนตัวโตลงไปนั่งคุกเข่ากับพื้นอย่างที่ผมรู้ว่าเขาจะทำอะไร พยายามเบียดขาตัวเองเขาหากันเพราะไม่อยากให้เขาทำแบบนั้น ผมคงหัวใจวายตายไปก่อน

“ไม่นะครับ ไม่ทำตรงนั้น”

“พี่อยากทำให้”

จบประโยคคุณหมอที่รู้ดีกว่าการเมคเลิฟด้วยวิธีนี้จะทำให้คู่ของตัวเองรู้สึกดีแค่ไหน มันไม่ใช่แค่ออรัล แต่มันคือการวางใจและยินยอมที่จะถูกปรนเปรอด้วยส่วนที่อ่อนไหวและส่วนที่นิ่มนวลที่สุด แค่เขาครอบครองสิ่งนั้นด้วยปากเสียงครางน่าอายก็ออกจากลำคอทันที

“อื้อออ พะ พี่ ดิม”
“อะ อย่า”

แม้จะรู้ว่าห้ามเขาไม่ทันแต่ก็ไม่อยากให้เขาหย่ามใจกลืนกินจนเหมือนเป็นสิ่งที่เขาควรลิ้มลองนัก เพราะมันไม่ใช่อาหารไง อิพี่ดิมนี่กะจะให้ผมเสร็จคาปากเขาหรือไง ดูดเหมือนมันจะให้มันหลุดเขาไปในคอเขาอย่างนั้น มือเล็กลูบผมของผู้ชายที่โยกขึ้นลงจนผมนี่ตัวไม่ติดโซฟา ก่อนจะพยายามดันหน้าเขาออก แต่นั่นแหละไม่มีทางที่ร่างสูงจะยอม

“อ๊ะ ฮ่า จะออกแล้วครับ ฮะ อ๊ะ”

ของเหลวสีขุ่นพุ่งออกมาเลอะปากของผู้ชายผิวแทน ซึ่งมันมีจำนวนเยอะจนเปรอะไปถึงหน้าอกเขา ก็แน่ล่ะสิช่วงนี้ถ่ายซีรี่ส์แค่เวลานอนยังน้อยเอาเวลาไหนไปปล่อยออก คนตรงหน้าเลียขอบปากที่เปื้อนน้ำแถมมองด้วยสายตาที่เหนือชั้น

“หึ”

“ขำอะไรครับ”

“รู้มั้ยศิตอนนี้เซ็กซี่เป็นบ้า”

“...”

“ตัวขาวๆ เลอะน้ำขาวๆ เต็มตัวไปหมด”

“หยุดลามกเลย”

“พี่ว่าเราเลยคำนั้นมาเยอะแล้วนะ”

“Shut up!”

“And fuck me? I want to hear that word”

“Stop your fucking sassy words!”

“Okay i’m ready to fuck you”

จบประโยคภาษาอังกฤษสำเนียงบริชติชที่โคตรล่อแหลม เขาก็ไล่จูบผมตั้งแต่ข้อเท้า แม้จะผมจะชักเท้าหนี แต่ไม่ทันหรอก จนเลยเถิดมาถึงลำคอ มือซนคอยปาดคราบน้ำรักไปป้ายที่ตรงช่องทางอุ่น ลูบวนและส่งก้านนิ้วแข็งค่อยๆ ล่วงล้ำเข้าไป และนั่นทำให้ผมขมวดคิ้วเพราะเจ็บ แต่เขารับรู้ได้เลยพยายามจูบหนักๆ เบี่ยงเบนความสนใจ มือข้างที่ว่างก็พยายามปลุกเร้าตุ่มที่หน้าอก พอเผลอนิ้วที่สองก็เข้าไปได้ง่ายกว่าเดิม ตามมาด้วยนิ้วที่สามที่ทำเอาจุกเสียดเหมือนกัน กลั้นเสียงที่บอกว่าตัวเองเจ็บแล้ว แต่คนด้านบนก็รับรู้ได้อยู่ดี

“เจ็บมั้ยครับ” ตอบไม่ได้เลยแค่พยักหน้ากลับไป

“พักก่อนมั้ย” ผมส่ายหน้าอีกครั้ง

“...”

“แค่ทำให้เร็วขึ้นน่าจะช่วย” พอร่างสูงได้ยินอย่างนั้นนิ้วที่ยาวที่สุดก็กำลังควานหาบางอย่างจนมัน…

“อ๊ะ”

“เจอแล้ว”

“ตรงนี้หรอที่ให้ทำเร็วๆ”

“ทำไมพูดมากอะ”

“หึ”

เหมือนเจอกล่องสมบัติพอจับจุดได้เขาละการเล้าโลมแล้วโฟกัสการที่ทำให้ผมตัวกระตุกเพราะสะกิดต่อมสร้างความรู้สึกเสียวตรงนั้นอย่างเอาเป็นเอาตาย

“อ๊ะ ฮ่ะ ไม่เอา อ๊ะ นิ้วแล้ว”

“หื้ม”

“เอานิ้วออก อ๊ะ อื้อ”

“แล้วทำยังไงต่อครับ”

“เข้ามาเถอะ คะ ครับ” ไม่รู้ว่าทำหน้าตาแบบไหน ถ้าเห็นตัวเองในกระจกคงด่าตัวเองว่า slut ได้อย่างไม่ขัดใจเลย เซ็กซ์ทำให้คนเปลี่ยนไปได้เยอะจริงๆ ทั้งผมทั้งเขา จากเป็นปลาหมึกตอนนี้เป็นเสือซะงั้น ส่วนผมจากเป็นกระต่ายก็กลายเป็นแมวขี้ยั่ว

คนตัวโตถอนนิ้วก่อนแล้วยกตัวผมที่อ่อนปวกเปียกเป็นวาสลีนโดนความร้อน เข้าไปในห้องนอนของเขาที่ชั้นสอง การขึ้นบันไดด้วยการอุ้มผู้ชายที่ไม่ได้ตัวเล็กเบาหวิวได้นี่เขาต้องแข็งแรงขนาดไหน พอหลังสัมผัสกับเตียงเท่านั้นแหละพี่ดิมจัดการสวมถุงยางให้ตัวเองด้วยความเร็วแสง

สารหล่อลื่นจากถุงยางทำให้ส่วนแข็งขืนมากของเขาที่พยายามเข้ามาให้ตัวของผมไม่ได้ยากเท่าคิดไว้ อาจจะเพราะการเล้าโลมที่หนักหน่วง แถมมีน้ำหล่อลื่นของผมผสม แต่ความพยายามของเขาไปได้แค่ครึ่งทางเพราะจู่ๆ ส่วนนั้นก็เหมือนจะขยายตัวขึ้นอีก และพี่ดิมคงรู้ว่าผมเริ่มเจ็บเลยหยุดสอดใส่แล้วเอนตัวลงมากอดผมอีกครั้ง

“ศิ อย่าเพิ่งรัดพี่สิครับ”

“ศิเปล่า”

“ถ้าพี่เสร็จตั้งแต่ยังไม่ได้ขยับมันจะดูน่าอายมั้ย”

“อื้อ งั้นเข้ามาเถอะ”

“...”

“เพราะศิก็ไม่อยากอายที่ต้องเสร็จตั้งแต่พี่ยังไม่ขยับ”

พี่ดิมพยายามดันส่วนนั้นเข้ามาในตัวผมทั้งที่ยังกอดผมอยู่ในอ้อมกอด มันเสียวมากจนต้องกอดเขาแน่นและอ้าขากว้างขึ้นไปอีกเพื่อให้ตัวตนของพี่ดิมเข้ามาให้สุดทาง คนตัวโตจูบไปมั่วซั่ว ฟังจากเสียงลมหายใจก็รู้ว่าเขาอยากไปต่อเต็มที่แต่กลัวผมเจ็บ เลยประคองหน้าเขาแล้วจูบซับที่หน้าผากพร้อมยิ้มให้อยากบอกว่าไม่ต้องกังวล แม้ในใจจะกลัวพลังความแข็งแรงที่เขาจะใส่เต็มที่เมื่อผมพร้อม

ร่างสูงค่อยๆ ขยับร่างกาย จับหัวเข่าของผมเพื่อยั้งแรงตัวเอง ก่อนที่จะกระแทกรุนแรงขึ้น เสียงครางที่โคตรเซ็กซี่ทำผมเสียวสะท้านไปหมด ไม่รู้จะรู้สึกอะไรก่อน ใครจะไปคิดว่าจะกำลังเมคเลิฟกับผู้ชายที่ตัวเองไม่เคยจินตนาการว่าจะมาถึงตอนนี้ ตอนที่ตัวตนของเราผสานกันแนบแน่น สัมผัสกันอย่างลึกซึ้ง มากกว่าเซ็กซ์เต็มไปด้วยความรู้สึกรัก ที่อบอวลเต็มห้องใหญ่นี่ อุณหภูมิเย็นจัดก็ไม่เท่าความร้อนแรงของผู้ชายตรงหน้า เหงื่อที่ผุดจากกิจกรรมใช้แรงทำให้เขาดูเซ็กแอพพีลสูงกว่าที่เคย และผมไม่อยากให้ใครเห็นภาพของเขาตอนนี้เลย ให้ตายสิ ฮอตฉิบหาย

เสียงเนื้อกระทบกันอย่างรุนแรง พี่ดิมถอนแท่งร้อนออกก่อนจะพยุงตัวผมให้หันหลัง และเข้ามาอีกครั้ง ท่านี้มันลึกกว่าเมื่อกี๊อีกมากๆ

“อ๊ะ ฮ่า ลึก ไปแล้วครับ”
“บะ เบาหน่อยครับ”

“ก็อย่าตอดพี่แรงสิ”

เขาเหมือนหูดับฟังอะไรไม่ได้ความอีกเพราะแรงกระแทกกระทั้นมันรุนแรงและรวดเร็ว จนผมร้องไม่เป็นภาษาและหวังว่าผนังเพ้นท์เฮ้าส์แพงจะหนาพอที่จะไม่ทำให้เสียงผมหลุดออกไปให้ได้อับอายคนอื่น

พี่ดิมพลิกตัวผมให้กับมาท่ามาตรฐานอีกครั้ง ซึ่งคราวนี้เขารีบร้อนเหมือนจะถึงจุดของเขาแล้ว ในขณะที่ผมถึงไปสองรอบตอนที่เร่งความเร็วเมื่อครู่ เสียงครางต่ำจากปากคนตัวโต และการซอยถี่แบบไม่หยุดพักทำผมใจจะวาย

“อีกรอบมั้ยครับคนดี อ๊ะ”
“พร้อมกันนะ”

“ฮื้อ อ๊ะ อ่า”

“แฮ่ก อ่าา”

แรงกระตุกสองสามทีของพี่ดิมเป็นสัญญาณว่าเขาถึงจุดหมาย แต่ร่างสูงยังไม่ยอมถอนกายออก ความอุ่นร้อนของน้ำรักรู้สึกผ่านถุงยางแบบบางมาก คนตัวโตล้มตัวมาซุกไซ้ที่ลำคอและหน้าอก เหมือนแมวเชื่องๆ ที่กำลังอ้อนเอาอะไรซักอย่าง ผมเลยกอดแมวตัวโตที่แกนกายเขายังไม่ยอมสงบลง

“อยากทำอีกรอบหรอ หื้อ คุณแมว”

“ครับ เจ้าของแมว แต่ถุงยางหมด”

“สดก็ได้” ผมยกยิ้ม

เท่านั้นแหละพี่ดิมกระวีกระวาดถอดถุงยางทิ้งข้างเตียงและต่อรอบสอง สาม ทันที

แมวในร่างเสือมันพร้อมงับเหยื่อที่ใจอ่อนเสมอ

บอกตามตรงการจะลุกออกมาจากเตียงที่มีคนตัวขาวๆ นิ่มๆ ที่นอนหลับพริ้มในอ้อมกอดนี่ไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ถ้าไม่ลุกมาทำอะไรซักอย่างคงอดใจไม่ไหวทำรักต่ออีกรอบ ทั้งที่อีกคนง่วงและเพลียจนหลับไปในรอบที่สาม ควันบุหรี่สีเทากลืนไปกับท้องฟ้าสีดำสนิทในเวลาตีสองกว่า ดวงดาวกระจายเต็มท้องฟ้าและเห็นเด่นชัดมากกว่าตอนดึก ลมเย็นพัดเอื่อยๆ ไม่แรงนักทำให้รู้สึกสงบลงได้บ้าง แต่ไอ้เจ้าที่อยู่ใต้ผ้าขนหนูที่พันลวกๆ ก็ยังไม่สงบอยู่ดี ยอมรับว่าเป็นคนที่มีอารมณ์ทางเพศค่อนข้างสูง แต่จะระบายออกด้วยตัวเอง

และ

เกล

ไม่ใช่ว่าไม่รู้ไอ้สิ่งที่ทำลงไปจะผูกมัดตัวเองให้ดิ้นจากศิไม่หลุด และทำให้ความสัมพันธ์ของเราสามคนยุ่งเหยิงไปมากกว่านี้ แต่เชื่อเถอะถ้าคุณได้ใช้เวลาอยู่กับเด็กคนนี้ จะไม่มีซักวินาทีที่ไม่อยากครอบครองเขา ไม่อยากสัมผัสเขา ไม่อยากให้เขาเป็นของตัวเองแค่คนเดียว คุณไม่มีทางปฏิเสธได้เลย แม้จะรู้ว่าตัวเองต้องทำเลวต่อคนรักมากแค่ไหนก็ตาม

หมับ

“ตื่นมาไม่เจอ” เสียงอู้อี้จากคนที่เดินมากอดด้วยเนื้อตัวที่เปลือยเปล่า โดยคลุมตัวเองด้วยผ้านวมสีเทาเหมือนมาชเมลโล่เดินได้

“พี่ออกมาสูบบุหรี่” ดับบุหรี่แล้วโยนทิ้ง ก่อนหันไปจัดผ้านวมให้พันตัวเขามิดชิด แล้วดึงมาชเมลโล่ที่ตอนนี้ผมฟู แก้มชมพู เข้ามากอดเต็มอก

“ไม่เห็นเคยสูบ หรือว่าเครียดหรอ”
“คิดผิดที่ทำหรอครับ”

“ป่าว ป่าวเลย หยุดความคิดนี้ไว้เลย”

“แล้วสูบทำไม” ผมกระชับอ้อมกอดขึ้น ก่อนจะกดจูบที่หน้าผากมน

“มันไม่ลง”

“หื้อ”

“นอนกอดศิทั้งอย่างนั้นมันไม่ลง” ส่งสายตาไปมองสิ่งที่ยังแข็งขืนได้ร่มผ้า

“หื้อออ พี่ดิมมม” คนในอ้อมแขนมุดหน้าลงกับอกอย่างเขินสุดขีด หูแดงไปหมด ที่เห็นเจ้านั้นเด่ชี้หน้าเขาผ่านผ้าขนหนูบางๆ

“อยู่ตรงนี้ซักพักนะ”
“ง่วงก็หลับได้เลย พี่จะพาไปนอน”

“อื้อ”

“ถ้าไปนอนที่เตียงพี่กลัวจะอดใจไม่ไหว”
“เดี๋ยวศิจะเจ็บ”

เรากอดกันท่ามกลางหมู่ดาวและสายลมที่พัดผ่าน พระจันทร์ในวันข้างขึ้นสวยหมดจด ไม่ต่างจากพระจันทร์ของผมที่แม้จะอ่อนแรง แต่ก็ยังส่องแสงเจิดจรัสท่ามกลางความมืดมิดเสมอ







----------To be continued-----------



ป่ะ เข้าคุกกันเถอะพวกเรา5555555555555555555555555555
ไหนใครบอกหมอดิมเยสดุนะ
มาเอารางวัลไปเรย5555555555555

แตงเปงแตกทีแท้ทรู แตกแบบตั้งใจ แตกแบบมั่ยแค มั่ยรัยเรยยย

แงงงงงงงงงงง #อยากเปงเมียหมอดิม กด 1 #อยากเปงเมียหมอดิม กด 2 #อยากเปงเมียหมอดิม กด 99 สาธุบุนโยเรเพราะมั่ยสวยเท่าน้องศิก็เหนื่อยหน่อย

แหล่งตะโกนเอาไว้บอกว่าพวกเทออยากมีผัวเปงคัย อย่าลืม

@mifengbeexx

#youaremyday1


บีอยากเปงเมียหมอดิม :hao7:




« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 02-08-2018 23:30:04 โดย mifengbee »

ออฟไลน์ Mofa_l

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
หมอดิมไม่อ่อนโยนต่อใจชุ้นเลยยยย :haun1: อยากจิเป็นศิ!!!  :ling1:

ออฟไลน์ biibbmnt

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 22
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
จะบ้าตายยยยยยยยยยยยยยย
 :o12: :o12: :o12: :o12:

ออฟไลน์ vwiwiw

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 1
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
 :fire: :m31: :m16:

เมื่อไหร่ep11จะมาค่ะ
รออยู่นะคะ พลีสสสส

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด