You are my day 1◑ : กาลครั้งที่รักคุณ
EP.14 โลกคู่ขนาน
[/size]
Flowers always make it better
But this time I’ve gone too far
เช้าวันที่ขมุกขมัวเพราะฝนตกอีกแล้ว อะไรนักหนาก็ไม่รู้ อีกสิบนาทีต้องออกไปเรียนแต่ว่าฝนกระหน่ำแบบนี้จะให้ไปได้ยังไงนะ ส่วนตัวผมน่ะโดดเรียนได้อยู่แล้ว แต่คุณหมอที่นั่งจิบกาแฟตรงหน้านี่สิ เห็นว่ามีตามเคสผ่าตัดเมื่อวันก่อนตั้งแต่หกโมงเช้า
เมื่อคืนกว่าจะได้กลับมานอนที่คอนโดตัวเองก็เกือบทะเลาะกันที่ลานจอดรถ เพราะคนพี่จะให้ผมไปนอนที่เพนเฮ้าส์ของเค้าอย่างเดียว แถมบอกให้ไปเก็บของย้ายไปอยู่เลยจะได้ไม่ต้องขับรถไปๆ มาๆ เอาแต่ใจเหมือนกันนะคนนี้ ก็เลยสู้ขาดใจเพราะเรื่องของเรามันเพิ่งเริ่มและป๊าหม่าผมก็ยังไม่รู้เรื่องนี้ เกิดวันดีคืนดีพวกท่านมาหาที่คอนโดแล้วไม่มีใครอยู่ทำไงล่ะ โดนหักเงินเดือนและหักมรดกแน่นอน แต่บอกเหตุคนแก่ขี้งอแงว่ายังอยากมีสเปซของตัวเอง เอาไว้ทำการบ้าน และอ่านหนังสือ ไว้วันไหนไม่มีเรียนก็จะสลับไปอยู่คอนโดเขา พื้นฐานที่เป็นคนตามใจอยู่แล้วก็เลยยอม
ที่สำคัญเมื่อคืนได้นอนแบบนอนจริงๆ ไม่มีล่วงเกิน ทั้งที่พี่ดิมน่ะถ้ามีโอกาสก็คงไม่ปล่อยไปหรอก แต่ผมยังระบม อีกอย่างวันนี้ก็เรียนด้วย ทางนั้นก็เลยยอมนอนกอดเฉยๆ และมันรู้สึกดีมากๆ ที่อ้อมกอดนี้เป็นของผมอย่างเต็มภาคภูมิแล้ว ไม่ต้องคอยระแสดระวัง ไม่คลุมเรือ ไม่เบลอๆ เหมือนหมอกตอนเช้าหลังฝนตกอีกแล้ว
อ้อ เรื่องชาวเน็ต พี่ดิมบอกไม่ต้องกังวลแอดมินเพจใต้ถุนวงการบันเทิงเป็นเพื่อนของเพื่อนพี่ดิมเอง ผมนี่ผงะเลย เพราะจากที่เคยเข้าไปตามอ่านคิดว่าแอดมินน่าจะเป็นเพื่อนสาวไม่ก็ผู้หญิงแรงๆ แต่ดันเป็นเพื่อนของเพื่อนพี่ดิมนี่นะ พอซอกแซกมากๆ เขาก็ยอมรับว่าเป็นคนบอกให้แอดมินโพสต์เอง เพราะอยากเปิดตัว??????????
อะไรของเขาวะ แล้วไม่ถามกันเลย??
ตอนแรกก็นึกโมโหนั่นแหละ ตีหน้าอกหนาๆ ที่เปลือยต่อหน้าตอนตื่นเมื่อเช้าไปที แต่เขาให้เหตุผลว่าเรื่องแบบนี้ในบ้านเรามันต้องค่อยๆ เป็น ค่อยๆ ไป อีกอย่างก็จะได้สร้างกระแสก่อนซีรี่ส์ออนไปในตัว ซึ่งเป็นกระแสจริงๆ อะนะไม่ได้โดนใครปั่นมันขึ้นมา
“พี่อยากคบกับศิแบบไม่ต้องปิดบังใคร”
“...”
“พี่และศิอยู่ในที่สว่าง มันไม่ง่ายที่เราจะทำอะไรตามใจ โดยไม่สนความคาดหวังของสังคม”
“แต่…”
“อย่างน้อยๆ ก็แฟนคลับที่เค้าติดตามเรามาตลอด”
“ศิว่ามันเร็วไปอะ จริงๆ กลัวเรื่องงานพี่ดิมมากกว่า”
“หึ ไม่ต้องห่วงพี่ น้องนะที่เสียหาย เป็นของพี่แล้วอยากอยู่แบบหลบๆ ซ่อนๆ หรอ”
“มะ ไม่ งั้นหลังจากนี้เราจะทำยังไง”
“ปล่อยให้คนคิดว่ามันมีอะไรไปเรื่อยๆ เพราะคนคิดว่าคู่จิ้นมันคาบขนานกับคู่จริงอยู่แล้ว แต่เราเป็นคู่จริงในคราบคู่จิ้นไง”
“อย่างนี้มันไม่เหมือนหลอกคนอื่นหรอ”
“หลอกตรงไหนพี่รักศิจริงๆ ศิก็รักพี่จริง ใช่มั้ย”
“อื้อ ถามไรตอนนี้วะ”
“หึ นั่นแหละ เราก็ใช้ชีวิตปกติส่วนเรื่องจริงจิ้นให้เขาไปคิดเอาเอง”
“ที่ทำงานก็ต้องทำแบบนี้หรอ”
“อ่าฮะ จะได้เนียนๆ”
“พี่ดิมว่าไงศิก็ว่างั้นแหละ แต่เตือนเลยนะห้ามรุ่มร่ามเกินไปเวลาอยู่ข้างนอก”
“หึ ครับ”เคลียร์เรื่องนี้กันจบต่างคนเลยต่างจัดการตัวเองเพื่อไปทำหน้าที่ ไม่มีมาอ่อยอิ่งเพราะพากันตื่นสายแล้วเสียเวลามาคุยกันเรื่องนี้อีก ไม่คุยไม่ได้พี่อายและพี่แนน AR ที่ดูแลผมกับพี่ดิมโทรเป็นมิสคอลตั้งแต่เมื่อคืน เราสองคนไม่รับซะด้วยเพราะนอนเร็วเพลียทั้งคู่ ก็เลยจำเป็นต้องคุยกันให้จบๆ ก่อนจะแยกย้าย เหมือนพี่ดิมจะแวะไปบริษัทช่วงบ่าย แล้วกลับมาเข้าเวรต่อบวกกับชั่วโมงที่ออกไป คงกลับดึกแหละคุณหมอวันนี้
“ศิออกไปพร้อมพี่เลยมั้ย” ร่างสูงกระดกกาแฟยกสุดท้ายก่อนจะใช้ทิชชู่เช็ดปากลวกๆ แล้วคว้าข้าวของต่างๆ มาถือ
“แต่พี่ดิมจะสายเพราะต้องวนไปส่งศิที่มอนะ”
“ไม่เป็นไรแค่นี้เอง ทำให้มากกว่านี้ก็ทำได้”
“มาหยอดอะไรเวลานี้”
“งั้นก็ไปครับ”
สะพายกระเป๋าผ้าสีเหลืองลายหมีสามตัว หนีบร่มพับไปด้วย เผื่อไปถึงคณะจะต้องวิ่งฝ่าฝนลงไป รถพี่ดิมยังสะอาดเหมือนเดิม สะอาดกว่ารถผมที่มีชีวิตที่ยุ่งน้อยกว่าเขามาก
“พี่ดิมหยิบข้าวกล่องลงมาด้วยมั้ยอะ”
“ครับ ไม่ลืมหรอก ข้าวศิมีค่ายิ่งกว่าทองอีก”
“เพราะศิทำให้?”
“เพราะพี่ไม่อยากกินข้าวเซเว่น”
“ฮ่าๆๆ พี่ดิมตบมุกเป็นด้วย” มือใหญ่ลูบหัวผมเบาๆ แล้วไม่ได้เอามือออกไป หากแต่เลื่อนมากุมมือผมไว้ มือเขาอุ่นในขณะที่ถ้าผมอยู่ในที่เย็นๆ แล้วตัวจะเย็นไปหมด
“พี่ดิมจำวันที่ศิขึ้นรถพี่ดิมวันแรกได้มั้ย”
“ ได้ดิครับ”
“ศิเกร็งมากเลยนะ พี่ดิมหน้านิ่งมาก รถก็ติด ฝนก็ตก เหมือนถ้าศิพูดอะไรไปจะโดนด่าอะ”
“ฮ่าๆ นี่คิดแบบนั้นหรอ” เขายกมือที่กุมไปจูบอย่างนึกเอ็นดูล่ะมั้ง แต่จริงๆ คือแทะโลม แต่มันน่ารักดี
“แล้วพี่ดิมรู้สึกยังไงวันนั้น”
“ก็อึดอัดนิดหน่อย แต่กลัวว่าศิจะอึดอัดมากกว่าเพราะรถมันติดมากแล้วต้องอยู่กับคนแปลกหน้าเป็นชั่วโมง อีกอย่างศิดูกลัวมากๆ พี่น่ากลัวหรอ”
“อื้อ พี่ดิมดูดุ”
“แล้วดุจริงมั้ย”
“พอรู้จักแล้วพี่ดิมใจดีอะ แค่พูดน้อย”
“หรองั้นคืนนี้เอาใหม่ จะได้รู้ว่าเป็นคนดุจริง”
“เฮ้ยย ลามก” พูดจบก็จูบหลังมือผมอยู่นั่น เหมือนคิดได้ก็ยกมาจูบอะ บ้าบอ ผมเนี่ยเขินจนบ้าบอละ
“มาแล้วหรออิตัวดี” เฌอนั่งกอดอกในคลาสเรียนรวมที่ตอนนี้เรานั่งอยู่บนยอดดอยห้องสโลป ทั้งที่ปกติจะนั่งกลางๆ แต่พอเฌอทักแบบนี้ก็รู้เลยว่ามีเรื่องต้องโดนซักจนขาว
“อะ อะไร”
“เหอะ แฮทแท็กในทวิตเตอร์กระฉ่อนขนาดนั้น มือถือกูเกือบไหม้เมื่อคืน เพราะตามเสือกเรื่องเพื่อนตัวเอง แต่มันกลับเงียบกริบ กกกับผู้ชาย”
“เดี๋ยวนะ เรื่องอะไรกันวะเฌอ แฮทแท็กเมะซันเคะเย่วอะไรนั่นหรอ”
“ค่ะ นี่มึงอย่าบอกว่ามึงไม่รู้” อาโปที่นั่งถัดไปจากเฌอ และเมฆนั่งถัดจากอาโปที่ตอนนี้เสียบหูฟัง ทั้งที่มันไม่ได้ฟังเพลงหรอก ผมรู้ กำลังฟังเพื่อนเถียงกันนี่แหละ
“ห้ะ คือศิไปกินข้าวกับใครอะ”
“กูจะบ้าตาย นี่มึงถ่ายซีรี่ส์ด้วยกันจริงป่ะอิโป”
“พี่หมอดิม?”
เฌอหันหน้ามาสบตาอย่างซักไซ้ แน่นอนล่ะเพราะเธอก็อยากฟังอยากปากผมเอง
พนักหน้ายอมรับ “อื้อ กูเองแหละ”
“นั่นไง ทำไมตอนกูเดาข้อสอบทำไมไม่ออกแบบนี้” เฌอตบเข่าดังฉาดทีนึง ดีที่คนในห้องสโลปเยอะเสียงตบเข่าเลยไม่ได้ดังกลบเสียงพูดคุยเท่าไหร่
“แต่ตอนกูเข้าไปดูในแท็กไม่เห็นมีใครแปะรูปเลยอะ”
“ก็เค้ารู้กันไงโว้ยยยยยย อิโป อิควัย”
“นั่งดีๆ โป เดี๋ยวก็หัวทิ่ม” เมฆกดไหล่ของอาโปให้ลงไปนั่งที่เก้าอี้ เพราะตอนนี้อาโปโน้มตัวมาหาเฌอจนหน้าจะทิ่มอยู่แล้ว
“แล้วคือยังไง เค้าเคลียร์กับเมียแล้ว?” เฌอหยักเพยิดหน้ามาซักกันต่อ
“อื้อ เค้าบอกจบด้วยดี เหมือนว่าแฟนเก่าพี่เกลก็กลับมาพอดี”
“ต่อๆ”
“พี่เกลก็กลับไปคุยกับแฟนเก่าเหมือนกันตอนที่ห่างกับพี่ดิม” พูดไปก็พลางหยิบชีทกับอุปกรณ์เรียนวางบนโต๊ะไปด้วย
“โป๊ะเชะจังวะ”
“อืม มันเลยง่ายกว่าที่คิด”
“ไม่งั้นมึงก็คงร้องไห้ที่ห้องไม่มาเรียนหรอกวันนี้”
“แล้วนี่เค้ามาส่ง?” เมฆถามขึ้นด้วยท่าทีสบายๆ
“อื้อ”
“ค้างด้วยกัน?” อันนี้เป็นเฌอถาม
“กะ ก็ อื้อ”
“ติดกระดุมอีกเม็ดดีกว่ารอยที่หน้าอกมึงชัดมาก” เมฆพูดทั้งที่พลิกชีทไปมา เหมือนเป็นเรื่องไม่ซีเรียส
“กูกำลังจะทัก ใจคอไม่ดีเลย แม่ง หน้าร้อนไปหมด นี่กูแค่จินตนาการนะ” ผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มที่ดูกร้านโลกทั้งที่จริงๆ ไม่เก่งเรื่องพวกนี้หรอก แค่ปากเก่งน่ะ
“มึงก็ตาดีนะเมฆ” เป็นอาโปที่พูดพลางกอดอกเหมือนจะติดไม่พอใจคนนั่งข้างๆ ที่ช่างสังเกตหน้าอกผม
“อืม ไฝเล็กๆ ที่หลังคอมึงกูก็เห็น”
“อู้วววว” ผมกับเฌอมองหน้ากันยิ้มๆ กับความสัมพันธ์คลุมเครือของเมฆและอาโป มันไม่พูดเราก็ไม่ถามเพราะเพื่อนกันอยู่ด้วยกันตลอด วันหนึ่งก็จะไม่อยากปิดกันเอง รอให้สองคนพร้อมดีกว่า
พี่ดิมไลน์มาอีกทีตอนเกือบบ่ายโมง บอกว่าเพิ่งได้กินข้าว แถมถ่ายกล่องข้าวที่เกลี้ยงเหมือนล้างให้ดูอย่างชื่นใจด้วย เอาจริงๆ ผมทำอาหารไม่ได้ดีมากขนาดนั้นหรอกครับ ทำได้แค่เมนูง่ายๆ พวกอาหารเช้า อาหารฝรั่งอะไรพวกนี้ ถ้าเป็นอาหารไทยยากๆ นี่ต้องพักไปก่อนเลย เท่าที่ศึกษามาจากยูทูปนะ อาหารไทยนี่ปรุงยากสุดแล้วอะ บางเมนูอย่างต้มยำกุ้งต้องมีห้ารส คือ เปรี้ยว เผ็ด เค็ม หวาน และขม รสถึงจะกลมกล่อม แต่ถ้าเป็นอาหารฝรั่งอย่างสปาเก็ตตี้นี่แค่เค็มๆ มันๆ ก็ใช้ได้แล้ว แต่อาจจะต้องฝึกฝีมือเพราะดูท่าคุณหมอเขาชอบกินอาหารไทยกับอาหารญี่ปุ่น
ไม่ได้เตรียมตัวเป็นแม่ศรีเรือนนะ แต่ว่าอะไรที่เราคิดว่าเป็นสเน่ห์ในตัวเอง ก็ต้องยิ่งรู้จักบริหารไม่ใช่หรอรู้หรอกว่าพี่ดิมใช้สายตาแบบไหนมองผมเวลาทำกับข้าว อยากละลายลงกับพื้น แต่ทำเป็นไม่สนใจแล้วให้เขาหลงสเน่ห์ให้ตายไปเลย ครั้งแรกที่รู้น่ะไม่ได้ตั้งใจ แต่ครั้งล่าสุดเนี่ยตั้งใจ…และครั้งต่อๆ ไปจะตั้งใจมากๆ หุหุ
“มึงว่าเพื่อนเราอาการเป็นไง”
“หลงผัว”
“พูดอีกก็ถูกอีกอาโป”
“พูดไม่เพราะ” เสียงเมฆพูดขึ้นเลยได้เงยหน้าขึ้นมองเพื่อนๆ ที่นั่งล้อมวงใต้โต๊ะคณะซึ่งเป็นโต๊ะประจำคุยเรื่องวิจัยกลุ่ม แต่ก็ไม่วายโดนแขวะที่ยิ้มกับมือถือ
อาโปจี๊จ๊ะในลำคออย่างไม่พอใจนัก แต่ก็กลับไปพยักหน้ากับเฌอแบบรู้กัน แถมยังทำปากคว่ำใส่อีก ทำมาเป็นนะ อย่าให้มีคนที่รักบ้างแล้วกัน
“มาเลยค่ะคุยโปรเจ็กต์ต่อ”
“เออก่อนคุย กูกับศิต้องไปออกกองต่างจังหวัดประมาณอาทิตย์นึงนะ ถ่ายยาวแล้วจบเลย”
“ทำไมเพิ่งบอก” เมฆเสียงเย็นขึ้นทันที ทั้งที่เมื่อกี้ยังอารมณ์ดีดูดจูปาจุ๊บอยู่เลย
“ก็กำลังบอกไง” อาโปตอบเสียงปกติได้ยังไงนะ
“เออๆ แล้วไปเมื่อไหร่”
“อาทิตย์หน้าใช่ป่ะวะศิ”
“ใช่ๆ วันอังคารอะ กลับจันทร์หน้าเลย ถ้าเฌอมีอะไรให้ช่วยก็คงต้องคุยกันผ่านไลน์นะ”
“เรื่องนั้นไม่มีปัญหาหรอก กูว่าคนที่มีปัญหาอะไม่ใช่กูละหนึ่ง”
ผมเห็นด้วย เพราะตอนนี้เมฆใส่หูฟังแล้วเปิดเพลงดังมาก เหมือนเด็กที่โดนขัดใจแล้วก็ไม่ฟังเสียงบ่นของแม่อะ แต่คนที่ทำให้มันเป็นงี้กลับนั่งกัดเลย์ห่อที่สองอย่างไม่สะทกสะท้าน เอาดีๆ เวลาเมฆโกรธไม่สนุกเลย คนที่เงียบอยู่แล้ว เงียบกว่าเดิม เหมือนคุยกับก้อนหินอะ แต่เชื่อว่าอาโปจะมีวิธีรับมือล่ะมั้ง ดูจากการยื่นเลย์แบ่งให้ ไม่ใช่สิ ป้อนเลย เออง้อกันสมกับเป็นสองคนนี้ดี
เวลาล่วงเลยมาจนเกือบสี่โมงเย็น เราย้ายไปนั่งห้องสมุดเพื่อหาข้อมูลรวบรวมให้มากที่สุดเพราะผมและอาโปจะไม่ได้อยู่ช่วยตั้งอาทิตย์ คงทำได้แค่ช่วยพิมพ์เอกสารประกอบการวิจัย ซึ่งส่วนอื่นๆ เฌอและเมฆจะต้องประสานงาน โดยเฉพาะหาโรงพยาบาลที่จะสามารถให้เราเข้าไปเก็บตัวอย่างงานวิจัยได้ อันนี้คือเรื่องสิ่งแวดล้อมภายนอกที่มีผลต่อการรักษาคนไข้แผนกจิตเวช ที่สำคัญต้องเป็นโรงพยาบาลรัฐ จะบ้าตายมันเครียดตรงนี้ อาโปเสนอให้ลองคุยกับพี่ดิมแต่ผมไม่อยากไปเพิ่มงานให้เขา เอาไว้มันตวนตัวจริงๆ ก่อนแล้วกัน
ตกเย็นพี่ดิมโทรมาเล่าเรื่องที่เข้าไปคุยที่บริษัท เขาบอกตามความจริงว่าไปกินข้าวกับผม แต่ไม่มีอะไรมากกว่านั้น เพจนั้นคงคิดไปไกลอีก (ทั้งที่ตัวเองให้โพสต์ เหอะ) ทางบริษัทก็ไม่ได้ว่าอะไร ที่สำคัญพี่ใบชาบอกว่าดีแล้วเสียอีกเพราะมีกระแสตั้งแต่ซีรี่ส์ยังไม่ออน คนเป็นหมอมองขาดกว่ามาร์เก็ตติ้งอีกว่ะ
สรุปเราก็คงต้องเล่นบทคู่จิ้นในคราบคู่จริงไปเรื่อยๆ
ตราบใดที่ยังไม่มีใครจับได้ล่ะมั้ง
วันสุดสัปดาห์ที่ผมรอคอยมาถึงแล้วโว้ยยยยยยย เพราะจะได้กลับไปนอนกอดแมวขี้อ้อนสักที ควงเวรเป็นบ้าเป็นหลังมาห้าวันติด เพราะอาทิตย์หน้าจะต้องไปถ่ายซีรี่ส์ที่ต่างจังหวัดอีกตั้งอาทิตย์ นอนรวมกันอาทิตย์นี้ประมาณ 15 ชั่วโมงถึงหรือเปล่าไม่แน่ใจ เจ้าตัวเล็กน่ะเป็นห่วงจะตายแล้ว เทียวขับรถเอาข้าวมาส่งตอนเย็น บางวันก็มานั่งกินข้าวที่โรงพยาบาลด้วยกัน ติว่าตาคล้ำ ติว่าหนวดขึ้น อย่างงั้นอย่างงี้ แค่พูดคำว่าคิดถึงยังไม่ทำเลย ดูความฟอร์มของเขา แต่มันน่ารักนะชอบหมดแหละ
ครืดดด ครืดดด
เช็ดมือที่เพิ่งล้างเลือดและสิ่งสกปรกต่างๆ หลังยืนผ่าตัดร่วมห้าชั่วโมงกับอาจารย์หมอเสร็จ ขอให้เป็นคนตัวเล็กเถอะ อยากอ้อนใจจะขาด รีบรับทั้งที่ไม่ดูชื่อด้วยซ้ำ
“ครับผม”
(เสียงหวานจังวะเพื่อนกู)
เสียงห้าวทักทายแบบนี้จนต้องกลับมาดูชื่อคนโทรเข้าให้ชัดๆ
[NAWIN]
“มีไรไอ้วิน ร้อยวันพันปีไม่เห็นติดต่อเพื่อนฝูง”
(ลงมากรุงเทพครับผม อยากเจอเพื่อครับผม)
“วันนี้ไม่ได้นะเว้ย กูควงเวรห้าวันติดแล้ว จะตาย”
(จะตายหรืออยากกลับไปกกเมีย)
“เสือกอีกละ”
(ไม่เสือกจะรู้หรอครับว่าเพื่อนเลิกกับหญิงแล้วมีคนดามใจเรียบร้อย)
“แล้วยังไงครับ อิจฉาหรอ”
(ไม่อิจฉาหรอกครับ เป็นโสดให้คนเสียดายเล่นดีกว่าครับ)
“ควาย ฮ่าๆๆ เจอที่ไหน ต้องบอกน้องมันก่อน”
(พามาด้วยเลยๆๆๆๆ อยากเจออออ) น้ำเสียงมันน่าถีบจริงๆ
“เออๆ เดี๋ยวบอก ไม่เฟิร์มนะเว้ย กูง่วง”
(อย่ามาเพิ่งอ่อนแรงครับ ตอนสอบเฉพาะทางมึงไม่นอนห้าวันยังไม่ตาย)
“ครับเหี้ยวิน แค่นี้นะครับผม จะโทรบอกเมียครับ”
(ครับๆ เจอกันครับ)
@X bar
บรรยากาศกึ่งผับกึ่งร้านอาหาร ตกแต่งสไตล์โกธิคย่านรามอินทรา เป็นร้านประจำของผมและเพื่อนสมัยเรียนป.ตรี วันนี้นาวาพี่ชายฝาแฝดนาวิน รวมถึงพายุ และไม้เมือง นัดมาที่นี่ เพราะเราทั้ง 5 คนไม่ค่อยได้เจอกันเท่าไหร่ ต่างคนต่างยุ่งกับภาระหน้าที่ของตัวเองที่ต้องรับผิดชอบ อย่างไอ้นาวาที่เมียเพิ่งคลอดลูกก็โดนเมียให้เป็นยามเฝ้าลูกทุกคืน มันก็บ่นผ่านไอจีสตอรี่พร้อมถ่ายรูปหน้าโทรมๆ ของตัวเองลงทุกวัน ส่วนนาวินที่ยังครองความโสดและยังคงนิสัยหว่านสเน่ห์ให้หญิงทั่วเมืองเชียงใหม่ ที่มันไปลงทุนทำโฮสต์เทลและร้านอาหารที่นั่น ส่วนพายุสืบต่อกิจการของพ่อคือการเป็นหมอฟันประจำคลีนิกที่ใหญ่ที่สุดที่อยุธยา และไม้เมืองที่กำลังจะเป็นดร.ด้านรัฐศาสตร์และคงจะผันตัวไปเป็นอาจารย์ในมหาลัยดังๆ ซักที่
อย่าแปลกใจว่าทำไมเพื่อนอีก 5 คนไม่มีใครเป็นหมอเหมือนผม เพราะเราสนิทกันมาตั้งแต่มัธยม เอ็นทรานส์ (โคตรลุง) เข้ามหาลัยเดียวกัน ดันฟลุ๊คติดที่เดียวกันหมดเลยคบกันยืดยาวทุกวันนี้ ทั้งที่ไอ้พายุบอกว่าจะเลิกคบเพราะชอบชวนมันไปกินเหล้าเวลามันสอบ ผมก็สอบนะแต่ตอนนั้นเกเรไม่แคร์ห่าไรเลย เที่ยวยับ ก่อนจะมารับกรรมก็ตอนเอ็กซ์เทิร์นปี 6 และตอนไปใช้ทุนนั่นแหละ ไม่มีวันไหนไม่โดนด่า กว่าจะได้เกียรตินิยมมานี่ไม่ได้ง่าย ดีที่หล่อและฉลาดด้วย ฮ่าๆๆๆ
“ไง พระเอก กูรอมึงจนจะหมดเวลาเที่ยว เมียตามให้ไปดูลูกแล้ว” นาวาแขวะทันทีที่ผมนั่งลงบนเก้าอี้นวมตัวใหญ่ โซนที่เรานั่งค่อนข้างส่วนตัวและเป็นโต๊ะสำหรับแขกวีไอพี อภิสิทธิ์จากไอ้นาวาที่พ่อตาเป็นเจ้าของร้าน
“ได้เมียเพราะกูลากมานั่งร้านนี้ยังจะปากดีใส่”
“แฮะ ขอโทษค้าบบ ผู้มีพระคุณ เดี๋ยวจะเอาพานพุ่มมากราบตีนนะคร้าบบ”
“กวนตีน”
“ไหนน้องอะครับ มาด้วยมั้ยๆ” ไอ้หน้าวินตัวดี คอยืดยาวเหมือนยีราฟเหลียวซ้ายแลขวามองหาคนที่มาด้วย
ครับ สรุปศิมาด้วย บอกอยากมาเจอเพื่อนผม ตอนแรกคิดว่าจะกลัวซะอีกที่ต้องมาเจอสังคมของผม แต่พอให้ดูเฟซไอ้นาวินน้องมันขำกับมุกห้าบาทสิบบาทจนอยากมาเจอตัวจริง ผมนี่ขมวดคิ้วเลย ไม่ใช่เพราะหวงนะ แต่เพราะไม่อยากให้น้องมาเจอคนจัญไรแบบไอ้วิน กลัวจะคิดว่าผมเป็นพวกเดียวกับมันไปด้วย ทั้งที่ก็เป็นแหละแค่มีชั้นเชิงกว่า
“แวะเข้าห้องน้ำ เดี๋ยวคงออกมา”
“โถ่ ทำไมปล่อยให้น้องไปคนเดียวล่ะครับ เดี๋ยวกูไปรับมั้ย” อยากเอาตีนถีบอกมันจริงๆ
“ไม่ต้องสะเอะ มาละ”
ผู้ชายตัวเล็กวันนี้สวมเสื้อยืดสีขาว สวมทับด้วยเสื้อยีนส์บาลองเซียก้าพอดีตัว กางเกงเดฟขายาวสีดำ และรองเท้าเปิดส้นกุซชี่ ตอนแรกจะให้ใส่หมวกเพราะไม่อยากให้ใครเห็นหรือจำได้เท่าไหร่ แต่ศิน่ะดื้อ บอกมันไม่เข้ากับชุดที่เขาเลือก ก็เลยตามเลย
“สะ สวัสดีครับ พี่ๆ”
“....”
เพื่อนผมทั้งสี่คนจู่ๆ ก็มองหน้ากันแบบเลิกลัก จะยิ้มก็ไม่ยิ้ม จะทักน้องมันก็ไม่ทัก ไม้เมืองยกแก้วขึ้นดื่มจนหมด ไอ้พายุก็มองไปที่เวทีข้างล่างอย่างหาจุดสนใจ นาวายิ้มแห้งๆ มาให้ คงมีแค่ไอ้นาวินที่ยิ้มแบบแบ่งรับแบ่งสู้ส่งมา
ลืมไปว่าไม่ได้บอกก่อนว่าคนใหม่ที่มาดามใจเป็น ‘ผู้ชาย’
ทำไมคราวนี้มึงเสือกไม่สุดวะเพื่อน
“นี่น้องศิ” มองหน้าน้องแล้วก็ไม่รู้จะบอกว่าเป็นสถานะอะไรกัน จะบอกว่าแฟนก็ยังไม่ได้ขออย่างเป็นทางการ จะบอกว่าเมียก็ดูจะไม่ให้เกียรติน้องเกินไป เอาเป็นว่าบอกแค่ชื่อไว้ก่อนแล้วกัน พวกมันรู้กันอยู่แล้ว
“คะ ครับ ยินดีที่ได้รู้จักครับ เอ่อ น้องศิ” เป็นไอ้นาวินที่ทักทายกลับ ส่วนเพื่อนคนอื่นก็ยกยิ้มแห้งๆ มาให้
สีหน้าน้องตอนนี้ไม่สู้ดีเลย ผมผิดเองที่คิดว่าเพื่อนๆ จะสืบจนรู้แล้วว่าคนใหม่ของผมเป็นใครและเป็นเพศอะไร แต่เกมพลิกที่คิดว่าเพื่อนตัวเองขี้เสือกได้กว่านี้
“ศิจะกลับมั้ย” เอื้อมมือไปจับมือที่นั่งกุมไว้ที่หน้าตักตัวเองแน่น ถามอย่างเป็นห่วง แต่น้องส่ายหัวแทนคำตอบ แต่ผมไม่ไหวว่ะ พาน้องกลับคงดีกว่า
ไม่คิดจะโทษเพื่อนที่ทำใจยอมรับกับความเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของตัวเองไม่ได้ แค่คาดหวังมากเกินไปว่าเพื่อนคงจะเข้าใจถ้าวันนี้ผมจะเลือกน้องให้ยืนอยู่ข้างๆ ในฐานะคนรัก แต่นั่นแหละ เพื่อนมันไม่ได้รับกันไปหมดเสียทุกเรื่องหรอก ผมเองที่ทำให้เพื่อนผิดหวัง
“ถ้ามึงไม่โอเค งั้นกูกลับก่อนนะ ไว้ค่อยนัดเจอกันใหม่” ดึงข้อมือเล็กให้ลุกขึ้นและกำลังจะก้าวขาออกจากตรงนี้
“เฮ้ยๆๆๆ ใจเย็นๆ ก่อนพระเอก” ไอ้นาวา
“เอออ ใจร้อนจังว้าาา” ไอ้ไม้เมือง
“แผนไอ้นาวิน” ไอ้พายุ
“ไอ้คนหัวฆวย!” แม่งสุดจะทนกับความพิเรนทร์ที่เล่นเป็นเด็กๆ ของมัน ไอ้เพื่อนชั่ว
“น่าาา ก็อยากจะรู้นี่ครับว่าเพื่อนจะทำไง ไม่เคยเห็นเพื่อน...เอ่อ คบผู้ชาย...น่ารัก” ไอ้ผู้ชายเจ้าชู้ส่งสายตากระลิ้มกระเรี่ยมาให้ศิที่หลบอยู่หลังผม
“คนอย่างมึงนี่นะ” นั่งลงโซฟาแล้วกระดกโค้กจนหมดแก้ว ครับ วันนี้กินโค้กเพราะไม่ไหวทั้งเพลียทั้งเหนื่อย เดี๋ยวจะพาเด็กกลับไม่ไหวด้วย
“น้องศิทำไมมาคบกับคนอย่างมันอะครับ” นาวินถามตามประสาคนขี้เสือกก่อนเลย
“นั่นดิ” ไอ้นาวาพี่มันสมทบ
สองพี่น้องรักษ์ยมมหาประลัยไปที่ไหนบรรลัยที่นั่นพอๆ กับโคนัน
“อ่า กะ ก็เล่นซีรี่ส์ด้วยกัน แล้วก็ยังไม่ได้แบบคบกัน”
“ห้ะ!” เพื่อนสี่คนห้ะพร้อมกัน ไอ้พายุก็เอาด้วย ปกติจะเงียบๆ วันนี้คงโดนนาวินเป่าหูมาเยอะ
“เออยังไม่ได้ขอแบบเป็นทางการเว้ย!” ตะหวาดใส่พวกแม่งไปที อะไรจะอยากรู้อยากเห็นขนาดนั้น ศิจู่ๆ ก็ซื่อขึ้นมาตอบทุกคำถามที่มันถามสิน่า
“คุณกากขนาดนี้เลยหรออาคิรา” นาวา
“ผมเสียใจว่ะที่นับถือ” ไม้เมือง
“คนที่เคยเป็นลูกพี่สิ้นลายไปตอนไหน” พายุ
“งั้นพี่ขอคบน้องศิแซงคิวมันเลยนะครับ” นาวิน
“ไอ้เพื่อนเหี้ยยย!” ผมใช้คำหยาบต่อหน้าน้องครั้งแรกเลยมั้ง แม่งอย่าสุดจะทน เพื่อนที่เคยกวนตีนเมื่อ 10 กว่าปีที่แล้ว โตจนหมาเลียตูดไม่ถึงก็ยังกวนตีนไม่เปลี่ยน ศิลูบมือผมเบาๆ ก่อนจะหัวเราะออกมา จนเพื่อนๆ คนอื่นก็หัวเราะตาม ทีนี้เลยกลายเป็นเรื่องตลกเพราะผมกากที่ไม่ขอน้องเป็นแฟนเสียที
ยังไม่ถึงฤกษ์ ไม่มีใครรู้หรอกว่าผมคิดไว้แล้ว เรื่องแบบนี้ : )
มีต่อ