You are my day 1◑│กาลครั้งที่รักคุณ
EP07 : เป็นเด็กต้อง safe sex
[/size]
I came along
I wrote a song for you
And all the things you do
“ไว้เจอกันวันแถลงข่าวนะพูลล์” โบกมือบ๊ายบายคนตัวเท่ากันที่ตอนนี้นับเป็นเพื่อนสนิทอีกคน เราสนิทกันมากขึ้นเพราะคุยไลน์กันตลอด พูลล์จะชอบแคปทวิตตลกๆ ที่จิ้นพวกเราในซีรีส์มาให้พูดคุยขำขันเหมือนคนบ้าที่หัวเราะกับจอมือถือ เลยทำให้เราแลกเปลี่ยนเรื่องราวในชีวิตนอกเหนือจากซีรีส์กัน กลายเป็นมีคู่หูคนใหม่ที่ชอบชวนกันไปทำแต่เรื่องบ้าบอ
“นานไป๊! วันนี้ไปไหนต่อป่าว ไปเดทกัน”
“เดี๋ยวววว เดทไรเล่า” ผมยังไม่ชินกับไอ้การขี้เล่นของพูลล์ที่ชอบพูดคำชวนคิดลึกไปไกลของเขาเท่าไหร่นัก
“ฮ่าๆๆๆ ล้อเล่น ไปกินข้าวเดินเล่นกัน”
“ไหนๆ อาโปก็ลอยแพศิแล้วนิ”
“เออโดนทิ้งอะ ตอนไปรับก็ไปรับอย่างดีเหอะ” มองขวางเพื่อนตัวดีที่มีความลับ ถามว่าจะไปไหนก็ไม่บอกมันชักจะยังไง
“อะไร ก็มีธุระ ไปกับพูลล์แหละดีละ ฝากมันด้วยนะพูลล์” อาโปหันไปยิ้มกว้างให้กับพูลล์อย่างรู้กัน
“สบ๊ายย เดี๋ยวไปส่งถึงคอนโดเลย”
@ห้าง S
“ช่วงนี้ศิสนิทกับพี่หมอเนอะ” คนพูดกำลังเคี้ยวซูชิโรลในปากอย่างเอร็ดอร่อย ทั้งที่ก่อนหน้านี้พูดถึงเรื่องถ่ายฟิตติ้งวันนี้อยู่แท้ๆ
“อ้าวก็เวิร์กชอปต้องเข้าฉากกับพี่เค้าบ่อยนี่นา แปลกหรอ”
“ก็ไม่เชิง แค่ศิอาจจะไม่รู้ตัวว่าเวลาอยู่กับพี่หมอ ศิเป็นยังไง”
“แล้วเป็นไง?” เอียงหน้าถามอย่างสงสัย
“ก็เหมือนกระต่ายตัวเล็กๆ ขี้อ้อน ขี้เขิน ชอบตะแง้วๆ พี่เค้าอะ เราก็ไม่รู้จะอธิบายยังไง แต่มันเหมือนเด็กอ้อนผู้ใหญ่ตลอดเวลา”
“บ้า เราทำแบบนั้นหรอ…” แทบไม่รู้ตัวว่าเผลอแสดงกิริยาแบบนั้นออกไป
“พี่หมอก็นะ เหมือนหมียักษ์ใจดีที่ตามใจกระต่ายที่สุดเลย” คนพูดเคี้ยวเท็มปุระไปด้วยอีก
“พูดน้อยกับทุกคนแต่คุยกับศิเยอะกว่าใคร”
“ถึงบอกว่าสนิทนี่ไง”
“ก็ไม่มีอะไรนี่ เราก็แค่เห็นว่าพี่ดิมเป็นผู้ใหญ่กว่า อีกอย่างเค้าชอบดุด้วย ก็เลยทำตัวให้เด็กๆ ไว้จะได้ไม่โดนดุไง” ไม่เคยทำกับพ่อแม่หรือไง ทำแบบนี้พ่อแม่ก็จะตามใจจากที่ดุก็หายเลย
“หรออออ พี่ภัทร กับพี่นิวก็โตกว่าไม่เห็นศิจะไปอ้อน” พูลล์ทำหน้าตาจับผิดเต็มที่
“กะ ก็ไม่สนิท”
“อะๆ เอาเถอะ ไม่มีอะไรก็ไม่มีเนอะ ดีละจะได้ทำงานง่ายๆ ฮี่ๆ”
แม้ปากของพูลล์จะบอกแบบนั้นแต่เชื่อได้เลยว่าสายตาที่ยังเจือความสงสัยไว้เต็มประดานั้นจะยังคงจับจ้องผมกับพี่ดิมต่อไปแน่นอน เจ้าพูลล์ไม่ปล่อยง่ายๆ หรอก
บอกตามตรงว่าไม่เคยรู้ตัวว่าดูสนิทกับพี่ดิมจนคนรอบข้างทักขนาดนี้ ก็คิดว่าทำตัวปกติเหมือนทำกับทุกคน แค่โมเมนต์ของเราได้อยู่ด้วยกันบ่อย ไหนต้องซ้อมบท เข้าฉาก และฝึกทักษะหลายๆ อย่างด้วยกัน ไม่แปลกไม่ใช่หรือไงที่ตัวจะติดกัน
คิดมากน่า
ถึงอย่างนั้นก็แอบเขินอยู่หน่อยๆ กับคำเปรียบเทียบที่พูลล์ใช้เรียก
หมียักษ์กับกระต่าย
แม้จะเป็นเพียงจินตนาการของพูลล์แต่มันทำให้หัวใจดวงน้อยๆ ของผมพองโตขึ้นมาอย่างน่าอาย ทั้งที่มันไม่ควรเกิดขึ้นด้วยซ้ำ อาการดีใจกับสิ่งเล็กน้อยกับเรื่องที่เกี่ยวข้องกับร่างสูงมักโผล่มาในห้วงความคิดเสมอ แม้จะคอยปัดป้องให้เขาอยู่นอกกำแพงของตัวเองแค่ไหน หากแต่เป็นเรื่องยากเหลือเกินที่จะผลักไสความรู้สึกตัวเองที่ค่อยๆ เพิ่มพูนอย่างห้ามไม่ได้
คงทำได้แค่นี้ แค่คิดและมีเขาไว้ในจินตนาการของตัวเองคนเดียวครืด ครืด“ไม่รับหรอพูลล์”
“ไม่อะ ไม่อยากรับ”
ติ๊ง ติ๊ง“เฮ้ย ซวยละ” พูลล์ดูกระสับกระส่ายหลังจากที่อ่านเมสเสจบางอย่างที่มีคนส่งมาให้ เหมือนมองหาใครบางคนอยู่รอบๆ ร้านอาหารที่เรานั่งกันอยู่
“มีอะไรอะ”
“อิ่มยังศิ ไปกันเถอะ”
“หื้อ ทำไมล่ะ มีอะไรหรือเปล่า”
“มีคนที่เราไม่อยากเจออยู่ที่นี่”
“เดี๋ยวเล่าให้ฟัง ไปเถอะนะ”
ท่าทางดูร้อนรนทำให้ผมรีบเคี้ยวหมูชาชูคำสุดท้ายและดูดชาเขียวตามลงไป ดีที่ไม่ติดคอ
“ก็ได้ๆ”
คนที่ร้อนรนรีบเดินไปจ่ายเงินที่เคานเตอร์อย่างรวดเร็วก่อนจะคว้าแขนผมเดินไปยังลานจอดรถที่เขาจอดไว้
ปึก!
ยังไม่ทันไปถึงลานจอดรถดีพูลล์ก็พาผมเดินมาชนผู้ชายร่างสูงใหญ่ ในชุดสูทสีกรมท่าดูภูมิฐาน ใส่แว่นกรอบดำมาดคุณชายคนนึง
“Shit!”
“ทำไมพูดคำหยาบอีกแล้ว หื้ม น้องพูลล์”
อ้าวรู้จักกันหรอ
“เกี่ยวไรกับคุณ”
“พูลล์รู้จัก…”
“สวัสดีครับน้องศิ พี่ชื่อภีมนะ เป็น..”
“หยุดเลย! พี่มาทำไมเนี่ย” คนข้างผมชี้หน้าคนตัวสูงที่มาปรากฏตัวแบบสร้างความไม่พอใจให้เพื่อนผมเท่าไหร่ จากตอนแรกที่ดูกระสับกระส่ายกลายร่างเป็นแมวขี้หงุดหงิดไปเสียแล้ว
“พี่เคยบอกว่าไง ห้ามไม่รับสายพี่ไงครับ”
“ก็ไม่ว่างป่ะ สรุปมีไร”
“มารับ”
ผมว่าความสัมพันธ์ของคนตรงหน้าชักแปล่งๆ ได้กลิ่นความไม่ใช่พี่น้องธรรมดา
“ไม่ได้ วันนี้ต้องไปส่งศิที่คอนโด”
“เดี๋ยวพี่ไปส่งเราทั้งคู่นั่นแหละ” รอยยิ้มใจดีส่งมาให้ผมอย่างเป็นมิตร จริงๆ ผู้ชายตรงหน้ามีเสน่ห์บางอย่างที่ทำให้ละสายตาไม่ได้เลย ตัวสูงใหญ่ สมาร์ท ผิวสีขาวเหลือง ดวงตาชั้นเดียวแต่ทว่าหางตาคมกริบ คงมีเชื้อจีนปกในสายเลือด ไหนจะกลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ทำให้รู้สึกสะอาดนี่อีก
“ศิ พูลล์ มีอะไรกันหรือเปล่า”“พี่หมอ! /พี่ดิม!” คำเรียกเหมือนอุทานของผมและพูลล์ที่การเห็นคุณหมอสุดหล่อมายืนข้างหลังพวกเราตอนไหนไม่รู้ โผล่มาอย่างกับผีในหนัง ที่แปลกใจกว่านั้นคือคุณหมอมีเวลามาเดินห้างด้วยว่ะ ทำไมไม่เอาเวลาไปนอน
“ตกใจอะไรกัน”
“ก็พี่เล่นโผล่มาไม่ให้ซุ่มให้เสียงนี่” พูลล์ตอบแทนใจผมที่ยังตกใจไม่หาย
“แล้วสรุปมีอะไรให้พี่ช่วยหรือเปล่า” คุณหมอมองไปยังผู้ชายอีกคนที่สูงพอกัน แต่คนละสไตล์กันเลย คนที่เพิ่งมาถึงคงไปเปลี่ยนชุดก่อนจะมาเดินห้างล่ะมั้ง เพราะมันดูสบายๆ คนละลุคกับเมื่อเช้าสุดๆ เสื้อยืดพอลล์สมิธ กับกางเกงยีนส์ขาดเข่า และรองเท้าผ้าใบฟีล่าสีขาว สวมหมวกบางลองเซียก้าสีดำ ดูทันสมัยและทำให้ดูเด็กกว่าอายุมากโข
“ปะ เปล่าครับพี่หมอ เอ่อ นี่พี่ภีม เป็นพี่ชายของพูลล์เอง”
“หึ” ร่างสูงในชุดสูทยกยิ้มมุมปากหลังจากการแนะนำของพูลล์
“ผมดิมครับ”
“ครับคุณดิม วันนี้ได้เจอตัวจริงซะที” พี่ภีมพูดประโยคชวนสงสัยเหมือนว่ารู้จักพี่ดิมมาก่อนซะอย่างงั้น
“พูลล์เล่าเรื่องคุณให้ฟังน่ะครับ”
อ๋อ
“อ่อครับ ไปเล่าอะไรล่ะเจ้าพูลล์”
“ไม่มีอะไรเหอะก็ทั่วไป”
“แล้วสรุปว่ายังไง มีอะไรกัน” พี่ดิมถามขึ้นหลังจากรอคำตอบมานาน
“ผมมารับน้องพูลล์กลับบ้าน แต่คนแถวนี้ไม่รับโทรศัพท์ก็เลยมารอที่นี่ แต่ก็จะหนีกลับไปอีก”
“ไม่! พูลล์ไม่กลับกับพี่ พูลล์จะไปส่งศิก่อน อีกอย่างเอารถมาถ้ากลับด้วยแล้วรถจะเอาไว้ไหน”
“เดี๋ยวให้ลุงสมมาเอาให้”
“เหอะ คิดอะไรง่ายไปหมด” ผมไม่เคยเห็นพูลล์ในอารมณ์แบบนี้มาก่อน ปกติจะร่าเริง สดใส แต่ตอนนี้หงุดหงิดไปซะหมด เหตุผลน่าจะมาจากผู้ชายตี๋โอป้าคนนี้
“งั้นเดี๋ยวพี่ไปส่งศิเอง พูลล์กลับไปกับพี่ชายเถอะ”
“พี่หมอ ไม่เอาาา!” เสียงพูลล์หง่อยไปซะอย่างนั้น นี่มันผิดแผนไปหมดเลย
“กลับกับ พี่ชาย นั่นแหละ” น้ำเสียงดุปนมากับประโยคนี้ชัดเจน เลยได้พูลล์เลยพยักหน้ารับเบาๆ อย่างจำยอม
“งั้นพูลล์ก็กลับกับพี่ได้แล้วใช่มั้ยครับ”
“ฮึ้ยยย!” พูลล์มองพี่ภีมตาขวางอย่างไม่สบอารมณ์ที่ร่างสูงใหญ่ก็ได้ตัวช่วยให้พาเด็กที่หงุดหงิดคนนี้กลับไปด้วยได้
“งั้นผมขอตัว ป่ะศิ”
“งั้นไว้เจอกันนะพูลล์”
“เดี๋ยวเราถึงคอนโดแล้วโทรหานะ”
“อื้อ ขอโทษนะศิ พอดีคนแถวนี้เป็นบ้าอะ กลับดีๆ นะ”
เราสองคนโบกมือลากัน ผมมองคนตัวเท่ากันในชุดเสื้อเชิ้ตสีพีชตัวโคร่ง ปลดกระดุกสามเม็ดเผยให้เห็นแผงอกขาวๆ กับกางเกงยีนส์เดฟขาดเล็กน้อย สะพายกระเป๋าผ้าสีขาวลายซิมซัน เดินสะบัดหน้าหนีผู้ชายที่พยายามหนีมาก่อนหน้านี้แต่ไม่ทัน ไม่รู้ว่าทำไมพูลล์ถึงอยากหนีพี่ภีมนัก แต่คนที่ฉุนเฉียวทั้งที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ก็คงเพราะคนนั้นสำคัญอยู่เหมือนกันสินะ
“พี่ดิมมาที่นี่ได้ไง”
“ขับรถมาสิ”
“กวนอะ”
“ฮ่าๆ พี่ก็มาซื้อของเข้าคอนโดนิดหน่อย”
“เราเถอะไปเป็นก้างเขาทำไม”
“ก้าง? ก้างอะไรอะ”
คุณหมอขยับปีกหมวกไปไว้ด้านหลัง เผยให้เห็นใบหน้าคมเข้มใต้ตามีรอยดำจางๆ คงได้พักผ่อนดีกว่าหลายวัน
“เอาเป็นว่าคนของเค้ามาตามกลับบ้าน เราก็ไม่ควรไปยุ่ง”
พอผมคิดตามคำที่คุณหมอบอกและปฏิกิริยาของทั้งสองคนที่แม้พูลล์จะดูไม่ชอบใจมากๆ ที่พี่ภีมมารับถึงห้าง แต่ความรู้สึกบางอย่างมันบอกว่าความสัมพันธ์ของทั้งสองคนมีความผูกพัน แต่วันนี้คงมีผิดใจอะไรบางอย่าง ชาวบ้านอาจจะเรียก งอน
ผมยิ้มรับเมื่อคิดได้
“แล้วแฟนพี่ไม่มาซื้อของด้วยหรือไง”
“เค้าก็อยู่บ้านเค้าสิ”
“อ่าฮะ แล้วนี่ซื้อเสร็จหรือยังอะ”
“ยังไม่เริ่ม จะไปเดินด้วยหรือรอแถวนี้”
“จริงๆ ศิกลับเองก็ได้นะ จะได้ไม่ลำบากพี่ดิมไปส่ง เผื่อพี่...”
“รับปากแล้วก็ต้องทำ” พูดยังไม่ทันจบคุณหมอเขาก็โพล่งสัจจะออกมา
“สรุปคือจะไปส่งให้ได้ว่างั้น”
พี่ดิมพยักหน้า
“งั้นไปซื้อของด้วยก็ได้”
รับอาสาเข็นรถให้พี่ดิมรอบซุปเปอร์ขนาดใหญ่มาประมาณครึ่งชั่วโมง ทำให้เห็นด้านคุณพ่อบ้านในตัวผู้ชายร่างยักษ์คนนี้ โดยเฉพาะการเปรียบเทียบราคาสินค้าที่ไม่ได้ใช้ประจำว่าอันไหนคุ้มกว่าและน่าซื้อกว่ากัน ที่สำคัญรู้อีกอย่างว่าการเป็นหมอไม่ได้ทำให้เขารักสุขภาพเท่าที่ควร ตุนอาหารแช่แข็งเต็มรถเข็น ผมทำได้แค่ปรามๆ ว่าควรซื้ออาหารสดไปไว้บ้าง เขาก็อิดออดว่าไม่ค่อยได้ทำอาหาร แต่สุดท้ายก็รับปากว่าจะซื้อกับข้าวใต้คอนโดกินบ่อยกว่าเดิม แต่กระนั้นคุณหมอกลับปฏิเสธอาหารที่มีน้ำตาลเยอะๆ เช่น พวกน้ำอัดลม นมเปรี้ยว หรือน้ำผลไม้กล่อง เขาให้ความรู้ว่าพวกนี้ไร้ประโยชน์อย่าไปเชื่อคำโฆษณา และพาผมเข็นรถไปซื้อผลไม้หลายชนิดแทน ในมุมที่ไม่รักสุขภาพก็ยังรักสุขภาพอยู่ หมอก็คือหมอ
ความโรคจิตของผมคือแอบจำว่าคุณหมอเขาใช้ผลิตภัณฑ์ดูแลร่างกายอะไรบ้าง ซึ่งก็ไม่รู้จะจำไปทำไมด้วย แต่มันอยากรู้นี่._.
“อะไรทำไมมองพี่แบบนั้น”
“อะ เอ่อ เปล่าซะหน่อย” พี่ดิมพาผมเข็นรถมาโซนของใช้ผู้ชาย เลยเถิดมาถึงเชลฟ์ถุงยางและอุปกรณ์สำหรับเมคเลิฟ
“Safe sex ไง แปลกหรอ”
“ปะ เปล่า ยังไม่ทันพูดอะไรเลย”
“เขินนิ หูแดงจัง” มือใหญ่จะเอื้อมมือมาจับหูของผมที่มันคงแดงอย่างที่เขาว่าจริงๆ ถ้าไม่เขินก็รู้สึกประดักประเดิดเต็มทนที่ต้องมามองดูผู้ชายเลือกถุงยางเนี่ย
“เฮ้ย เปล่าซะหน่อย”
“หึ”
นี่ก็สายตาขี้เสือกไปมองอีกว่าเขาขนาดเท่าไหร่ ใช้แบบไหน แม้จะอายุ 21 แล้วแต่ก็ไม่ใช่ว่าจะมีประสบการณ์เรื่องพวกนี้เยอะเมื่อไหร่
ล่าสุดคงกับแฟนเก่าสมัยมัธยม…
จำได้ว่าวันนั้นกลับบ้านด้วยกันที่นานๆ ทีจะได้ทำแบบนี้ เพราะเราคบกันแบบไม่มีใครรู้ด้วยซ้ำ เขาเป็นถึงนักบาสสุดฮอตของโรงเรียน เลยเปิดเผยไม่ได้ว่าคบกับผู้ชาย โดยเฉพาะผู้ชายแบบผม ผู้ชายที่มีเพื่อนสนิทไม่กี่คน ใครก็คงจำไม่ได้ว่าเรียนที่นี่ เราเลยต้องแอบนัดเจอกันหลังเลิกเรียนพิเศษ ฝนก็กระหน่ำลงมาแบบไม่ลืมหูลืมตาเขาเลยอาสาพาไปส่งที่หอไม่ไกลจากที่เรียนพิเศษ แต่ขอแวะไปเปลี่ยนเสื้อผ้าที่หอตัวเองก่อน นั่นนำมาซึ่งการหอมแก้มครั้งแรก จูบแรก และเซ็กซ์ครั้งแรก ที่เต็มไปด้วยความความสุขสมและโหยหากันและกัน เป็นจุดเริ่มต้นของครั้งที่สองสามและอีกหลายครั้ง มันดีมาตลอดจนก่อนเรียนจบเราก็ห่างกันไปเพราะวุ่นวายกับการเตรียมแอดมิดชั่น ไม่ได้บอกเลิก แต่ก็ไม่มีใครพยายามติดต่อกันอีก ตัวผมเองก็เฮิร์ตอยู่พักใหญ่แต่บอกใครไม่ได้ ความรู้สึกก็ค่อยๆ จางหายไปตามกาลเวลาที่เปลี่ยนผ่าน แต่ยังจำเขาคนนั้นในหัวใจได้ดี หากทว่าไม่ขอกลับไป ให้มันเป็นความทรงจำที่ดีแบบนี้แหละดีแล้ว
“วัยแบบพี่ยังต้องป้องกัน เราก็อย่าห้าวล่ะ” คำพูดชวนปวดหัวและไม่สำนึกกับการกระทำของตัวเองฉุดผมออกจากอดีตที่เหมือนจะดีแต่ก็ไม่ดี
“ไม่คุยกับพี่ดิมละ แม่ง”
ผมเข็นรถหนีไปทางอื่นโดยไม่อยากสนใจคำพูดคำจาของคุณหมอที่เริ่มจะออกลายตัวตนที่แท้จริงมาแล้ว ไม่รู้คนอื่นโดนเหมือนที่ผมมั้ย แต่ผมโดนทุกทาง ฮึ้ย
ซ่าส์ ซ่าส์ก้าวออกมาจากตัวห้างไปยังลานจอดรถ ก็ได้ยินเสียงฝนกระหน่ำอย่างรุนแรง ไม่พอลมยังกรรโชกอีกต่างหาก นี่มันอะไรกันใกล้จะหน้าหนาวแล้วฝนยังจะตกอีก เมืองไทยนี่มันเอาแน่อะไรกับอากาศไม่ได้เลยจริงๆ และผมจะเจอเหตุการณ์ฝนตกหนักอะไรบ่อยขนาดนี้
“พี่ดิมจะขับรถกลับได้หรอ ศิว่าฝนตกหนักมากเลยอะ”
“งั้นไปกินข้าวกับพี่ก่อนรอฝนซา”
“งืม ครับ”
“จะมีคนถ่ายรูปเราไปลงทวิตอีกป่ะ” ผมถามแถมเย้าพี่ดิมที่กำลังสั่งอาหารแนวอิตาเลี่ยนที่เขาเป็นคนเลือก แต่ผมปฏิเสธเพราะเพิ่งกินอิ่มไม่นาน
“โดนแอบถ่ายกับพี่ไม่ดีหรือไง”
“ฮ่าๆๆ ป่าวๆ ก็เราเป็นคู่จิ้นกันนี่เนอะ ขนลุกว่ะ”
“ว่ะเหวะอีกละนะ เด็กแค่นี้”
“ขอโทษครับผม เป็นหมอพ่วงครูสอนมารยาทป่ะครับ”
“เดี๋ยวเป็นครูสอนอย่างอื่นด้วย” พี่ดิมวาดมือใหญ่ลูบหัวผม เป็นการลูบเบาๆ แถมมองด้วยสายตามีเลศนัย ไม่พอยังยกยิ้มที่มุมปากอีก ไม่น่าไว้ใจ ไม่น่าไว้ใจสุดๆ จะแกล้งอะไรอีก
“สะ สอนอะไร จะแกล้งอะไรศิอีก”
“เดี๋ยวก็รู้ เอาไอติมมั้ย พี่กินคนเดียวมันแปลกๆ”
“เขินหรอ” ผมเย้าคนที่เพิ่งทำให้ผมแกล้งใจเต้นแรง
“เดี๋ยวเถอะ สตรอว์เบอรี่นะ”
“ครับผม”
และอีกสิ่งหนึ่งที่น่าดีใจคือพี่ดิมจำได้ว่าผมชอบกินไอติมรสสตรอว์เบอรี่ผ่านไปร่วมชั่วโมงออกมาจากตัวห้างฝนก็ยังตกหนักไม่ลดแรงลงแต่อย่างใด สุดท้ายแล้วพี่ดิมเลยตัดสินใจขับรถฝ่าฝนอย่างระมัดระวัง เม็ดฝนขนาดใหญ่โปรยปรายสู่พื้นดิน กระทบกระจกหนาของรถยุโรปทำให้ทัศนวิสัยในการมองเห็นลดลงไปกว่าครึ่ง ที่ปัดน้ำฝนทำงานเป็นระวิง แต่สารถีก็ดูใจเย็นเหมือนความเย็นที่แผ่ปกคลุมรอบรถโดยไม่ต้องลดอุณหภูมิภายในห้องโดยสารสุดหรูนี้
“ศิ”
“ครับ”
“จะเป็นอะไรมั้ยถ้าจะแวะคอนโดพี่ก่อน”
“ทำไมล่ะครับ” ผมเอียงคอถามอย่างสงสัย ทั้งที่จริงๆ ก็ไม่รู้หรอกว่าคอนโดคนข้างๆ อยู่ที่ไหน แต่ที่รู้คือคอนโดผมอยู่ห่างจากตรงนี้ไปไม่กี่ไฟแดง แต่แค่ต้องไปวนรถกลับไกลหน่อยเท่านั้น
“ฝนมันตกแรงมากพี่มองไม่ค่อยเห็นทาง อีกอย่างรถมันติดมากเลย เดี๋ยวฝนซาแล้วพี่ออกมาส่ง”
“แต่ถ้าศิไม่โอเคพี่ขอจอดข้างหน้าก่อนได้มั้ย”
“ปะ ป่าวครับ ไม่ได้ไม่โอเค ปะ ไปคอนโดพี่ดิมก่อนก็ได้” แม้จะรู้สึกกระอักกระอ่วนใจนิดหน่อยที่คิดว่าต้องไปคอนโดของผู้ชายที่ตัวเองคิดไม่ซื่อ แต่เพื่อความปลอดภัยของตัวเราเอง และเพื่อนร่วมถนน ก็เอาแบบนั้นก็ได้
เนอะก้าวแรกที่สัมผัสห้องชุดเพนท์เฮ้าส์ชั้นบนสุดของคอนโดสุดหรู หลายครั้งที่เคยผ่าน แต่ไม่คิดว่าจะหรูหราขนาดนี้ โทนสีขาว เทา และครีม คือเฉดสีหลักของห้องนี้ กลิ่นสะอาดลอยเตะเข้ามาในจมูก ภาพเบื้องหน้าคือห้องรับแขกจัดเป็นระเบียบ ซ้ายมือคือห้องครัวขนาดใหญ่ที่ดูสะอาดสะอ้านเหมือนไม่เคยใช้มาก่อน ขวามือคือบันไดไปสู่ชั้นสองซึ่งน่าจะเป็นห้องส่วนตัวของคุณหมอ ภายนอกระเบียงที่มองเห็นไกลๆ เป็นสระว่ายน้ำส่วนตัว มีมุมไว้สำหรับนั่งมองวิวข้างนอก แต่ตอนนี้ไม่ควรออกไปสัมผัสกับละอองฝนที่ยังไม่ลดละ
“ตามสบายนะ เดี๋ยวพี่ไปหาอะไรอุ่นๆ มาให้”
“ครับ”
“พี่ดิม อยู่คนเดียวจริงๆ หรอ”
“ทำไม คิดว่ามีใครอยู่หรือไง”
“ก็ ห้องมันกว้างมากกก ไม่กลัวผีหลอกหรอ”
“ผีกับพี่น่ะเพื่อนกัน ไม่รู้หรือไง” ร่างสูงพูดไปด้วยพร้อมจัดข้าวของที่วางบนโต๊ะตัวสูงยาวภายในห้องครัวไปด้วย
“เป็นหมอเลิกกลัวผีตั้งแต่ผ่าอาจารย์ใหญ่แล้ว” น้ำเสียงสบายๆ ที่นานครั้งคนตรงหน้ามักจะพลั้งเผลอเวลาเล่าเรื่องบางอย่างที่ไม่มีเรื่องซีเรียสปะปน มันยิ่งทำให้รู้สึกว่าเราสองคนสนิทกันจริงๆ สนิทกันจนถึงมายืนอยู่บนคอนโดของเขาได้
“เหอะ นั่นสิ ผีอะต้องกลัวพี่มากกว่า”
“แต่อะไรก็ไม่น่ากลัวเท่าผีไม่มัวนะ”
“โหดร้ายว่ะ”
“พี่พยาบาลชอบพูด พี่จำมาทั้งนั้น”
“หราาา” ไม่จริงหรอกที่คนกล้าเลือกถุงยางต่อหน้าคนอื่นจะไม่รู้จักคำผวนพวกนี้ ขนาดผมยังรู้เลย
ผีมารักฉันเธอ เนี่ยยิ่งรู้ดีอิอิ
23.10 น.
กว่าค่อนคืนที่สายฝนยังโปรยปรายด้วยกำลังแรงเท่าเดิมไม่ลดละ เจ้าของเพ้นท์เฮ้าส์เดินวนไปส่องที่ริมระเบียงหลายครั้งหลายคราก็ได้แต่ส่ายหน้ากลับมาเหมือนเดิม โกโก้อุ่นที่พี่ดิมชงมาให้ตอนนี้หมดไปเหลือเศษสีน้ำตาลเข้มใต้ก้นแก้วมัคลายแซลลี่สุดน่ารัก ผมเอ่ยปากแซวกับความมุ้งมิ้งที่มีแก้วน้ำลายน่ารักนี้อยู่บนคอนโดหนุ่มโฉด คุณหมอรีบปัดป้องว่าได้เป็นของขวัญจากคนไข้เด็กขณะราวด์วอร์ดเด็กนั่นเอง เลยได้แต่เออออยอมเชื่อ ตอนแรกก็แปลกใจว่าทำไมวันนี้เขาดูชิลขนาดที่ว่าไปเดินช้อปปิ้งที่ห้างได้ เลยได้คำตอบว่าวันนี้หยุด 1 วันหลังจากเข้าเวรติดต่อกันมาเป็นเดือน
หลายชั่วโมงที่เราติดแหง็กอยู่ด้วยกันนอกจากจะได้เห็นกิจวัตรเล็กๆ น้อยๆ ของคุณหมอแล้วก็ยังเห็นเขาในลุคที่ดูธรรมชาติที่สุด เสื้อยืดย้วยๆ กับกางเกงขายาวสีมอ ใส่สบายแต่ดูท่าจะราคาไม่สบาย ลุคคุณหมอสวมแว่นทรงกลมสมัยนิยมกรอบสีดำนี่ถ้าใครได้มาเห็นคนอยากกระชากหัวใจตัวเองให้ไปเลยแบบฟรีๆ เพราะผมก็อยากทำแบบนั้นเหมือนกัน แต่โทษทีที่ไม่มีใครได้เห็นนอกจากผมตอนนี้
“เฮ้ย พี่ดิม”
“หื้ม มีอะไร ตกใจอะไรขนาดนั้น”
พี่ดิมเงยหน้าจากหนังสือเล่มเล็กในมือ ผมที่ยังไม่แห้งดีทำให้ไม่เป็นทรงเหมือนเคย ขายาวที่พาดกับโซฟาตัวเล็กไว้เหยียดขา ถูกรบกวนด้วยเสียงดังฉุดสมาธิที่ก่อนหน้านี้อยู่กับตัวเอง จะไม่ให้เสียงดังได้ยังไงในเมื่อสิ่งที่คิดไว้เป็นจริงซะแล้ว
#เด็กหมอไม่ใช่เด็กเส้น is back!!!
“มีคนถ่ายรูปเราไปลงทวิตเตอร์อีกแล้วอะสิ พี่!!”
“เดี๋ยวใจเย็นๆ”
“เย็นได้ที่ไหน นี่มันรูปตอนพี่เลือกถุงยาง!!”
“Damn it!”
เออซวยมั้ยล่ะมีต่อ