┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]  (อ่าน 94391 ครั้ง)

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.28]== [08/09/61]
«ตอบ #150 เมื่อ08-09-2018 20:32:00 »

ไม่รอดแล้ว อนาคิน  o18

ออฟไลน์ killua1a

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.28]== [08/09/61]
«ตอบ #151 เมื่อ08-09-2018 21:13:06 »

ครอบครัวหมอเจไดน่ารัก :o8:

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.28]== [08/09/61]
«ตอบ #152 เมื่อ08-09-2018 22:17:51 »

ภามเธอเป็นคนอบอุ่นรู้ตัวใช่ไหม
โคตรใส่ใจคนรอบข้าง โดยเฉพาะเจได

คืออิจฉาเจได
ดีเหลือเกินภาม รักนายจัง :)

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.28]== [08/09/61]
«ตอบ #153 เมื่อ10-09-2018 18:19:16 »

-29-



พ่อกับแม่ชอบบอกว่าผมเป็นพวกคิดช้า เฉื่อยชา ปากแข็ง ซึ่งมันก็เป็นความจริง เถียงอะไรไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียว แต่มีเรื่องหนึ่งที่มั่นใจคือผมเป็นพวกที่ไม่เคยทำอะไรแล้วต้องมาเสียใจในภายหลัง สำหรับคนที่บอกว่าจะให้คำตอบ คิดกับตัวเองว่าจะมอบความชัดเจนให้ใครสักคน หากมีคนมาเจาะความคิดผมดูอาจจะพูดว่า ระยะเวลาสามเดือนที่ผ่านมามันนานเกินไปสำหรับเรื่องแค่นั้น แต่เพราะระยะเวลาสามเดือนที่ผ่านมานั่นเองที่ทำให้ผมได้รับคำตอบที่ชัดเจน และมั่นใจว่ามันคือคำตอบสุดท้ายที่จะไม่เปลี่ยนแปลง ต่อเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

สามเดือนที่ผ่านมา นับตั้งแต่วันที่ผมพาภามไปเจอพ่อกับแม่เป็นครั้งแรก เขายังคงทำตัวสม่ำเสมอไม่เคยเปลี่ยน ตอนเช้าไปส่งที่โรงพยาบาลพร้อมข้าวกล่องลายแมวที่ทำให้ผมโดนคุณพยาบาลแซวแทบทุกครั้ง ตอนกลางวันส่งไลน์ทิ้งไว้ ถ้ามีเวลาว่างผมก็จะตอบ ตอนเย็นขับรถมารับกลับคอนโด ส่วนถ้าเป็นวันศุกร์หรือไม่ก็วันเสาร์จะพากลับบ้าน แล้วตัวเองก็นอนที่นั่นด้วย ตามคำสั่งของแม่ที่บอกว่าอยู่คอนโดผมจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก กลับมาหาท่านอาทิตย์ละครั้งสองครั้งก็พอ

“อยากกินกุ้ง” ผมเลื้อยลงไปนอนแผ่อยู่กับโซฟา ขาข้างหนึ่งทิ้งไว้บนพื้น ส่วนอีกข้างพาดอยู่บนพนัก เป็นท่าทางน่าอนาถแบบที่ถ้าไม่สนิทจริงคงไม่แสดงให้ใครเห็น

“เอาไว้พรุ่งนี้”

“ได้” พรุ่งนี้ก็ได้ ไม่เรื่องมากอยู่แล้ว เพราะตอนนี้นอกจากจะอยากกินนู่นกินนี่แล้วผมยังเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวแบบสุดๆ “เมื่อยไปหมดแล้ว”

“กินข้าวเลยไหม ผมจะไปทำให้” คุณพ่อครัวหันหน้ามาถามแล้วเดินมาเก็บขาผมกลับเข้าที่ ให้นอนตัวตรงแหน่วแบบที่ควรเป็น เห็นเขาจับขาไปบีบนวดให้เหมือนทุกครั้งที่บ่นว่าเมื่อยแล้วก็ได้แต่อมยิ้ม

ทำไมถึงมาชอบคนอย่างผมได้นะ...

มองใบหน้าปลาตายนั่นแล้วก็ได้แต่หัวเราะในใจ นึกไปถึงเรื่องราวตอนอยู่บนเกาะ และนึกไปถึงตอนที่เคยตั้งคำถามมากมายกับตัวเอง ซึี่งหนึ่งในนั้นคือคำถามยามที่ผมกลับเข้ามาอยู่ในเมือง ตอนที่ใครต่อใครต่างบอกว่าผมสดใสขึ้นมาก ถึงขนาดคุยกับตัวเองอยู่หลายวันว่าทำไมถึงไม่รู้สึกเบื่อแล้ว

   อันที่จริงต่อให้สถานที่เปลี่ยนไปยังไง พอเราเริ่มคุ้นชินแล้วเราก็จะเบื่ออยู่ดี แต่ผมไม่เคยเบื่อเลยเวลามีภามอยู่ข้างๆ สิ่งที่เป็นตัวแปรที่ผมตามหา...

   ก็คือคนคนนี้

   “ภาม” ผมเรียกคนที่กำลังบีบนวดขาให้พร้อมกับดันตัวลุกขึ้นนั่ง จับมือเขาไว้ไม่ให้นวดต่อ

“หืม”

“ไปกินข้าวข้างนอกกัน”

ภามทำหน้าตาประหลาดใจเหมือนไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าคนอย่างผมจะพูดคำนี้ออกมา นี่ก็ตกใจเหมือนกันแหละน่า ถ้าไม่ติดว่ารู้ตัวแล้วคงไม่ทำ

“ไหวเหรอ” เขายังคงถามด้วยความเป็นห่วง แต่ดวงตาเริ่มเป็นประกายวิบวับ เห็นแค่นี้ก็รู้แล้วว่าดีใจที่ได้ยิน

“ไหวดิ ไปๆ”

เพราะวันนี้เป็นวันที่ผมได้เลิกไวเป็นพิเศษ ตอนที่เราออกมาด้านนอกท้องฟ้าถึงยังไม่มืดนัก ระหว่างอยู่บนรถผมชวนภามคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้อย่างอารมณ์ดี อาจจะมีปวดเมื่อยไปบ้างแต่ก็ไม่ได้มากมาย แค่หันไปเห็นคนด้านข้างยิ้มน้อยๆ ก็มีแรงขึ้นมาแล้ว

จุดหมายปลายทางของเราคือห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ห่างจากคอนโดไปไม่มากนัก ผมไล่แผนการในวันนี้ให้ภามฟังตั้งแต่อยู่บนรถ บอกว่าเราจะเริ่มจากการไปหาอะไรกินกันก่อน เสร็จแล้วค่อยไปดูหนัง เอาแบบมีเรื่องไหนฉายตามเวลาที่จะดูก็เอาเรื่องนั้นไปเลย พอออกมาแล้วก็ไปซื้อของเข้าคอนโดสักหน่อยแล้วค่อยพากันกลับบ้าน ภามเอาแต่พยักหน้าหงึกหงัก ประกายในดวงตาสดใสมากขึ้นเรื่อยๆ จนผมแอบหน่่วงอยู่ในใจ

ตั้งแต่ทำตัวติดกันมา...คงมีแค่ครั้งนี้ที่ผมเป็นฝ่ายตอบแทนเขาบ้าง

“คุณอยากกินอะไร” คนตัวสูงที่ดึงดูดสายตาของคนรอบด้านได้เป็นแถบหันมาถาม ท่าทางเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับการถูกจ้องเลยสักนิด

“วันนี้ตามใจนาย”

“หืม…” ภามเลิกคิ้วประหลาดใจ แต่แค่แป๊บเดียวก็ฉีกยิ้ม พาผมเดินเข้าร้านอาหารนานาชาติร้านหนึ่งที่จัดอย่างหรูหราสวยงาม มีโต๊ะริมหน้าต่างซึ่งเป็นโต๊ะส่วนตัวและจัดแยกอยู่จากส่วนอื่นๆ

“ขอโต๊ะนั้นครับ” ผมหันไปบอกพนักงานที่ยืนอยู่ด้านหน้า ชี้ชัดเจนว่าต้องการโต๊ะวีไอพีซึ่งเป็นโต๊ะส่วนตัวนั่น เสร็จแล้วถึงหันไปบอกภามด้วยน้ำเสียงป๋าสุดๆ “วันนี้ฉันเลี้ยงเอง”

หลังจากไม่ได้ใช้เงินเลยสักบาทมานานหลายเดือน ในที่สุดวันนี้ผมก็จะได้ใช้เงินบ้างแล้ว แถมยังเป็นการใช้เงินเพื่อคนอื่นอีกต่างหาก ไม่เคยรู้สึกเป็นคนดีขนาดนี้มาก่อนเลย

“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” จู่ๆ ภามก็เอ่ยถามขึ้นมาระหว่างที่เรากำลังรออาหารกัน

“หือ”

“ทำตัวแปลกๆ”

“เปล่านี่” ผมยักไหล่ “ว่าแต่นายเถอะ...ฉันบอกว่าตามใจ หมายถึงให้เลือกร้านที่นายอยากกิน ไม่ใช่เลือกร้านที่ฉันบ่นว่าอยากกินไปเมื่ออาทิตย์ก่อน อีกอย่าง...ที่เลือกร้านนี้เพราะเห็นว่ามันมีกุ้งด้วยใช่ไหมเนี่ย”

“…ก็ใช่”

ว่าแล้วเชียว...

ตามใจกันไปหมดแบบนี้จะไม่ให้เหลิงได้ยังไง

ทันทีที่กับข้าวมาเสิร์ฟ ผมก็จัดการตักกุ้งคำแรกเข้าปากในทันที ต่างจากอีกคนที่ยังบรรจงกางผ้าเช็ดปาก ช้อนส้อนยังไม่ได้แตะ เห็นแบบนั้นแล้วผมก็รีบทำการตักกุ้งอีกตัวไปไว้ในจานเขา เป็นการบีบบังคับให้รีบกินทางอ้อม แต่มันกลับส่งผลให้คุณชายชะงักค้าง มองผมเหมือนมองตัวประหลาด ตาหรี่ลงเหมือนจะถามว่าไม่เป็นอะไรแน่ใช่ไหม

อะไรกัน...แค่ตักกับข้าวให้ทั้งที่ไม่เคยตัก แปลกตรงไหน

“กินเร็วๆ” ผมคะยั้นคะยอให้ภามกินข้าวจะได้เลิกมองหน้ากันเสียที บอกแล้วไงว่าหน้าไม่ได้หนาน่ะ โดนจ้องมากๆ ก็ไม่ไหวหรอกนะ

“แล้วพรุ่งนี้จะยังกินกุ้งอยู่ไหม” เขาถามตอนที่กินข้าวคำแรกหมดแล้ว

“จริงๆ กินแค่นี้ก็หายอยากแล้ว เดี๋ยวตอนไปซื้อของค่อยคิดก็ได้ว่าจะเอาอะไรบ้าง” ผมบอกแล้วตักกับข้าวให้เขาอีกหลายคำ ถึงจะมีอายบ้างที่แอบเห็นคนโต๊ะอื่นมองมายิ้มๆ ก็ไม่สนใจ เพราะพอเงยหน้าขึ้นทีไรก็เห็นสีหน้าที่ดูสดใสของคนมาด้วยทุกที

หลังจากกินข้าวอะไรเรียบร้อยแล้วผมก็พาคุณชายไปซื้อตั๋วหนัง โชคดีที่รอบใกล้สุดจะเริ่มในอีกครึ่งชั่วโมง แต่แอบหนักใจนิดหน่อยตรงที่มันดันเป็นหนังรัก แค่เห็นตัวอย่างก็รู้แล้วว่าน่าจะดราม่าสุดๆ ซึ่งก็เอาเถอะ...บางทีอาจจะได้เห็นภามในมุมที่ไม่เคยเห็นก็ได้

“ผมอยากเล่นตู้นั่น” คนตัวสูงที่เดินอยู่ข้างผมชี้นิ้วไปที่ตู้เกมยิงซอมบี้ตู้หนึ่ง ผมหันไปมองแล้วก็พยักหน้า แอบขำนิดหน่อยเมื่อเห็นท่าทีอย่างกับเด็กของเขา “เมื่อก่อนเก้าเคยเอามาให้เล่นที่บ้านแต่เป็นแผ่นเกม ผมยังไม่เคยเล่นแบบนี้มาก่อนเลย”

“นายไม่เคยมาเที่ยวห้างเหรอ”

“นานๆ ที แต่ส่วนมากมาซื้อของเฉยๆ แล้วก็กลับ”

“อ๋อ…” ผมพยักหน้าเข้าใจ หยิบเหรียญออกมาหยอดใส่ตู้เกมสำหรับสองคน “บอกไว้ก่อนเลยว่าเมื่อก่อนฉันเซียนมาก นายอาจจะอิจฉาหน่อยนะ”

“หึ” ภามหัวเราะในลำคอ “จะรอดู”

“มาเลย!”

ไอ้ตอนแรกความมั่นใจก็ยังเต็มเปี่ยมอยู่หรอก แต่ไม่คิดว่าถือปืนบ้านี่มากเข้าแล้วผมจะเริ่มแขนล้าขึ้นมา ผ่านไปไม่กี่เกมก็ไปต่อไม่ไหว โดนกินหัวไปตามระเบียบ เหลือคนที่ยังไม่เคยแตะเกมตู้มาก่อนยิงซอมบี้อยู่คนเดียว ผมยืนมองภามเล่นอยู่พักหนึ่งแล้วก็เริ่มบีบนวดแขนตัวเองขณะมองด้วยความตื่นตาตื่นใจ ไม่คิดว่าเขาจะเล่นเกมเก่งขนาดนี้

“เอ้า...วางปืนทำไม ยังไม่แพ้เลย” ผมหันไปมองหน้าคนที่วางปืนลงด้วยความงุนงง ตอนนี้หน้าจอขึ้นสถานะบอกว่าเราแพ้แล้ว แต่ต้นเหตุมาจากการที่เขายอมเองต่างหาก “ภาม...”

จากที่กำลังยืนมองด้วยความไม่เข้าใจ ผมกลับต้องเม้มปากไว้แน่นเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์แทน หลังจากที่เจ้าของชื่อเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า ยกแขนที่อ่อนแอเป็นเต้าหู้ขึ้นมาบีบนวดให้เบาๆ

“ปวดแขนแล้วทำไมไม่บอก” เขาถามพลางขมวดคิ้วมุ่นไม่ชอบใจ

“ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะปวกเปียกขนาดนี้” ผมหัวเราะเบาๆ แล้วขยับไหล่ขยุกขยิกไปมาแก้เมื่อย “ไม่เป็นไรหรอก เราเข้าโรงกันเลยดีกว่า จะถึงเวลาแล้ว”

ครั้งนี้ผมไม่ได้ดึงมือตัวเองออกหรือบอกให้ภามหยุด แต่เลือกที่จะจับแขนเขาไว้แล้วลากให้เดินไปด้วยกันโดยไม่ได้พูดอะไร ตอนแรกยังรู้สึกอับอายอยู่นิดหน่อยเพราะเหมือนจะโดนมองเยอะอยู่เหมือนกัน แต่พอหันไปเห็นคนที่ถูกจูงมือแล้วก็เหมือนเดิม

เห็นเขาทำหน้าดีใจก็โอเคแล้ว ถึงต้องเอาปูนมาฉาบให้หน้าตัวเองหนาขึ้นก็ไม่เป็นไร...

ถึงผมจะเป็นพวกเต้าหู้อ่อนแอขนาดไหน แต่ก็เคยมั่นใจว่าจิตใจของตัวเองค่อนข้างแข็งแกร่งพอสมควร เคยนะ...อย่างน้อยก็หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ เพราะหลังจากพ้นชั่วโมงไปแล้ว พอฉากดราม่ามา ผมก็กลายเป็นเต้าหู้ที่อ่อนนุ่มไปทั้งก้อน แม้แต่จิตใจก็อ่อนแอแบบไร้หนทางเยียวยาไปเลย

“ฮึก...” ยกมือขึ้นลูบเปลือกตาบวมช้ำของตัวเองแล้วได้แต่ร่ำร้องในใจ นี่กูร้องไห้ไปกี่นาทีวะเนี่ย ปวดตาแบบไม่ไหวแล้ว แล้วนั่น...ทำไมหนังมันยังไม่จบอีก

“โอเคหรือเปล่า” เสียงของคนที่นั่งอยู่บนโซฟาข้างกันเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง แต่พอผมหันไปส่ายหน้าเบะปากน้ำตาไหลพรากใส่ เขาก็หลุดยิ้มออกมา ทำเอาผมหน้าตึง ถลึงตาใส่ทั้งที่น้ำตายังไหลไม่หยุด

“เงียบไปเลย”

“หน้าแดงหมดแล้ว”

“โรงหนังมันมืด จะเห็นได้ไงไอ้บ้า” ผมว่าแล้วพยายามกลั้นเสียงสะอึกสะอื้นอยู่เงียบๆ ดีนะที่คนในโรงต่างร้องไห้กันหมด เสียงพูดคุยของเราและเสียงร้องไห้ของผมเลยกลืนไปกับเสียงโฮเหล่านั้นด้วย

“คุณนี่มัน...”

“ฮือ…"

“มานี่มา” ภามดึงแขนผมให้ขยับเข้าไปหา ก่อนจะกดหัวให้ซุกอยู่กับอกอุ่นๆ ของเขา โชคดีที่เรานั่งโซฟาบนสุดซึ่งรอบข้างไม่มีใครสักคน เลยไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครมาเห็นเข้า ผมรู้แบบนั้นเลยกอดเอวอีกคนไว้ พร้อมถูหน้าเช็ดน้ำตากับเสื้อเขายกใหญ่ ทำใจได้แล้วถึงยอมหันไปมองจอต่อทั้งที่ยังให้ภามกอดเอาไว้อยู่

นาทีนี้รู้แค่ว่ากอดแล้วรู้สึกดีก็จะกอดอยู่แบบนี้นี่ละ อย่างอื่นช่างหัวมัน

กว่าหนังจะจบก็ทำเอาผมหมดน้ำตาไปเป็นลิตร ร้องไห้หนักมากจนตาบวมไปหมด ต่างจากคนที่คอยลูบหัวปลอบซึ่งไม่มีท่าทีเศร้าสร้อยหรืออินอะไรเลย

“จิตใจนายทำด้วยอะไรเนี่ย” ผมแขวะภามตอนที่เรากำลังเดินออกจากโรงหนัง

“ผมไม่ได้ดูหนังเลย”

“เอ้า!”

“มัวแต่มองคุณ”

“…”

หยุด...หยุดเลย วันนี้เป็นวันของฉัน นายต้องทำตามแผนที่ฉันวางไว้เท่านั้น อย่ามาทำใจสั่น ไม่เอา

“หน้าแดงอีกแล้ว...” เสียงพูดขำๆ จากคนด้านข้างทำเอาผมสะดุ้งเฮือก สองมือยกขึ้นกุมแก้มร้อนๆ ของตัวเองเหมือนเด็กวัยรุ่นหัดมีความรักครั้งแรก

เดี๋ยวก่อนไอ้เจได...อีกไม่กี่วันมึงก็จะสามสิบแล้วนะ

“ไปซื้อของแล้วกลับห้องกันดีกว่า” พูดไวๆ แบบไม่มองหน้าคนนิสัยไม่ดีเสร็จแล้วผมก็เตรียมเผ่นทันที ติดอยู่ที่ว่าเขาดันคว้าแขนกันไว้ได้ ผมมองภามหวาดๆ กำลังคิดอยู่ว่าเขาจะแกล้งอะไร แต่อีกฝ่ายแค่มองแล้วเลื่อนจากแขนลงไปจับมือ จูงให้เดินตามไปพร้อมกันแทน

“เดี๋ยวคุณหาย” เขาพูดพร้อมรอยยิ้มนิดๆ เหมือนจะแอบทำตาวิบวับด้วยตอนเห็นผมไม่ว่าอะไร ยอมให้จูงมือเดินเป็นเด็กๆ แต่โดยดี

จูงกันไปจูงกันมาแบบนี้ เห็นแล้วนึกถึงตอนอยู่บนเกาะเลย...

เราเดินลงไปที่ชั้นล่างเพื่อหาของเข้าครัวเพิ่ม หลังจากที่ผมไปเปิดตู้เมื่อเช้าแล้วพบว่าวัตถุดิบทำอาหารร่อยหรอเต็มที เห็นภามบอกว่าปกติเขาจะแวะซื้อที่มินิมาร์ททั่วไปซึ่งไม่ค่อยมีของที่เป็นขนาดใหญ่มากนัก เพราะงั้นแค่สองสามอาทิตย์ก็ต้องซื้อใหม่แล้ว ผมเลยถือโอกาสนี้บอกให้เขาซื้อเป็นขนาดใหญ่ไปเลย จะได้ไม่ต้องแวะซื้อบ่อยๆ อีก

“เอาปลาแซลมอนไหม” ภามชี้ไปที่เนื้อปลาแซลมอนตัวโตที่วางขายอยู่ในตู้ ระหว่างที่เรากำลังเข็นรถที่มีของอยู่เต็มคันไปตามทางในซุปเปอร์

“เอาก็ได้นะ นายอยากกินไหม” ผมพยักหน้าสนใจ นานแล้วเหมือนกันที่ไม่ได้กินเนื้อปลาแซลมอนดิบ พูดแล้วก็หิวขึ้นมาอีกรอบเลยเนี่ย

คุณพ่อครัวได้ยินแล้วก็เดินตรงเข้าเลือกซื้อเนื้อปลาด้วยความพิถีพิถัน เขาไล่สายตามองและเลือกด้วยตัวเอง ออกปากสั่งกับพ่อค้าเป็นถ้อยคำสั้นๆ ได้ใจความ จะพยักหน้าหรือส่ายหน้าก็ตอนที่ถูกถามเท่านั้น ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น แค่แป๊บเดียวก็ได้เนื้อปลาชิ้นโตมาจนได้

“พรุ่งนี้จะทำยำแซลมอนให้กิน” ภามหันมาบอกระหว่างที่เรากำลังรอจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ ผมได้ยินดังนั้นก็ตาเป็นประกาย ท้องร้องล่วงหน้าไปก่อนแล้ว

“พูดแล้วหิวเลยเนี่ย”

ดวงตาที่เดี๋ยวนี้ไม่ได้ว่างเปล่าเหมือนเคยทอประกายอบอุ่นยามเราหันมายิ้มให้กันโดยไร้เหตุผล ผมเองก็จำไม่ได้แล้วว่าเมื่อไหร่ที่ภามเปลี่ยนไปขนาดนี้ ถึงตอนแรกจะแปลกใจเพราะเห็นเขาเป็นแค่เวลาที่อยู่กับผม แต่เมื่อรู้แล้วว่าตัวเองคิดอะไรก็ดีใจขึ้นมาเฉยๆ

แค่กับผมน่ะดีแล้ว...

“คุณภาม!”

เสียงตะโกนเรียกดังกึกก้องทำเอาผมที่กำลังเดินตรงไปที่รถพร้อมภามสะดุ้งเฮือก เกือบสะดุดอากาศตามประสาคนขวัญอ่อน โชคดีที่ได้มือแข็งแกร่งของคนข้างกายดึงแขนไว้ทัน แต่ก็แลกมากับการที่เขาทำหน้ามุ่ย หันไปมองเจ้าของเสียงด้วยความไม่พอใจเหมือนจะตำหนิที่ทำผมสะดุดอากาศ

อันที่จริงไม่ต้องก็ได้...นี่คือความกากของตัวเองล้วนๆ

“คุณภามครับ...” เจ้าของเสียงวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหา เว้นช่วงห่างจากรถเข็นของเราประมาณครึ่งเมตร “เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้น...ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะครับ”

คนแปลกหน้าโค้งตัวลงเก้าสิบองศา ผมได้แต่มองด้วยความไม่เข้าใจแต่ก็ไม่ได้พูดแทรก แค่ยืนนิ่งๆ อยู่ข้างภามรอฟังพวกเขาคุยกันเงียบๆ

“ผมไม่ได้มีปัญหาอะไร” เสียงราบเรียบของคนข้างกายทำเอาผมต้องหันไปมองแบบไม่คุ้นเคย เพราะเหมือนมันจะแฝงความเย็นชาเอาไว้นิดหน่อยด้วย

“คุณภาม...”

“คุณกรรณก็รู้ดีว่าผมเป็นพวกพูดคำไหนคำนั้น...” ภามตัดบทหน้าตาเฉยชา แม้แต่แววตาก็ว่างเปล่าไร้อารมณ์ “ในเมื่อคุณรักษาข้อตกลงระหว่างเราไว้ไม่ได้ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำงานร่วมกันอีก”

“ผมไม่คาดคิดจริงๆ ครับว่าคุณพิมพ์เธอจะกล้า...” คุณกรรณที่ภามเรียกทำหน้าตาหนักใจ

ผมว่าผมเริ่มเดาได้แล้วว่าคุณกรรณที่ว่าคือใคร ถึงภามจะไม่เคยเอ่ยชื่อให้ได้ยิน แต่คิดว่าเขาน่าจะเป็นหนึ่งในทีมงานของนิตยสารที่นางแบบเคยมีปัญหากับภามจนทำให้เขามารับผมช้าแน่ๆ เพราะนอกจากวันนั้นผมก็ไม่ได้ยินภามพูดเรื่องปัญหาอะไรให้ฟังอีก

“อืม” ภามส่งเสียงพูดแค่นั้นผมก็รู้แล้วว่าเขาไม่อยากคุยต่อ แต่เพราะไม่อยากให้มีปัญหาติดค้างอะไร ผมเลยหันไปแตะแขนเขา พยายามส่งสายตาบอกให้ใจเย็นๆ เจ้าตัวถึงได้ดูมีท่าทีอ่อนลงบ้าง

“เอ่อ...” คุณกรรณหันมาหาเหมือนเพิ่งเห็นว่าผมยืนอยู่ตรงนี้ด้วย เขาดูมีสีหน้าตกใจพอควร น่าจะเป็นเพราะเห็นผมสนิทสนมกับภาม แล้วก็เห็นเขาดูไม่เย็นชาเวลาหันมาคุยกับผม

“เจไดครับ” ผมยิ้มจางแล้วยื่นมือออกไปตามมารยาท

“ผมกรรณครับ” เขายื่นมือมาจับ แต่แค่แป๊บเดียวก็ต้องผละออกเพราะโดนแววตาคมกริบของคนหน้าปลาตายทิ่มแทง “ต้องขอโทษด้วยนะครับที่มารบกวนเวลาส่วนตัว แต่ผมอยากร่วมงานกับคุณภามอีกจริงๆ เลยอยากจะขอปรับความเข้าใจ...”

พอได้ยินสิ่งที่เขาพูด บวกกับรับรู้ถึงปัญหาแล้ว ผมก็เริ่มเห็นใจพวกเขาขึ้นมานิดหน่อย แม้จะไม่รู้ว่าทำไมถึงอยากปรับความเข้าใจกับภามขนาดนั้น แต่คิดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของช่างภาพคนนี้แน่ๆ

“ภาม…” ผมหันไปมองหน้าภาม ไม่ได้พูดอะไรให้เขายอมให้อภัยคุณกรรณ แต่ส่งสายตาบอกให้รู้ว่าคิดอะไรให้พูดออกไปตามเหตุผล อย่าเอาอารมณ์ที่มีผมเป็นตัวต้นเหตุเข้าไปเกี่ยวข้อง

คนตัวสูงที่อ่านข้อความที่ผมส่งไปหาได้หมดถอนหายใจ มือยกขึ้นลูบหัวกันเบาๆ แบบไม่เกรงใจคนมอง สุดท้ายแล้วถึงหันมาพูดกับผมด้วยสีหน้าอ่อนโยน

“คุณเอาของขึ้นรถก่อนได้ไหม”

“ได้” รับคำเรียบร้อยแล้วผมก็เข็นรถเข็นไปที่รถ เปิดฝากระโปรงหลังขึ้นเพื่อยกของเข้าไปใส่ ไม่ได้สนใจว่าสองคนนั้นจะคุยอะไรกันอีก เพราะแค่รับรู้ว่าผมมีอิทธิพลกับเขาขนาดไหนก็เพียงพอแล้ว

หลังจากปิดรถแล้วภามก็เดินเข้ามาหาพอดี เขาพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้ขึ้นรถ พอขับออกมาจากตัวห้างแล้วถึงเริ่มพูดออกมาช้าๆ เกี่ยวกับสิ่งที่เขากับคุณกรรณพูดคุยกัน

“ผมบอกเขาว่าถ้าเป็นงานถ่ายแบบไม่ขอรับอีก แต่ถ้าเป็นงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอาจจะคุยกันได้ ถือว่าเจอกันคนละครึ่งทาง”

“แล้วเขายอมไหม”

“ยอม” เขาตอบสั้นๆ แล้วเหลือบตามองผม “อันที่จริงผมไม่อยากร่วมงานด้วยอีก เพราะถึงเหตุการณ์ทั้งหมดจะเกิดจากนางแบบ แต่เขาก็ผิดที่จัดการไม่ได้”

“แล้วทำไม...”

“เพราะเขาบอกว่าผมเหมาะสมกับคุณ”

เดี๋ยวๆ เหตุผลแบบนี้ก็ได้เหรอ

“มองไม่ออกหรือไงว่าเขาพูดเพราะรู้ว่าฉันคือจุดอ่อนของนาย” ผมบ่นเบาๆ ด้วยความไม่เข้าใจ ปกติภามฉลาดจะตายไป

“มองออก แต่ฟังแล้วมันก็รื่นหูอยู่ดี”

เอาที่สบายใจเลย...

หลังกลับไปถึงหอแล้ว สิ่งแรกที่ผมทำคือการหยิบปลาแซลมอนออกมาแล้วเอาไปแช่ตู้เย็น แต่เหมือนจะน้ำลายหกหนักไปนิด คนที่เดินหิ้วของตามมาถึงได้ส่ายหน้าหน่าย เดินไปหยิบปลาออกมาแร่ให้ดูต่อหน้าต่อตา ท่าทางนี่อย่างกับเชฟกระทะเหล็กมาเอง

“นายรู้วิธีทำได้ไง” ผมถามทั้งที่ไม่ละสายตาไปจากปลาหน้าตาน่ากิน พร้อมไม่พร้อมก็หยิบน้ำจิ้มซาชิมิที่ซื้อมาด้วยเทใส่ถ้วยเรียบร้อบแล้ว

“เคยเปิดดูในเน็ตแล้วทดลองกับปลาอย่างอื่นเอา”

“ภาม...นายแม่งโคตรสุดยอด” ว่าแล้วก็ชูนิ้วโป้งให้พร้อมทำหน้าตาเลื่อมใส ได้มาอยู่กับคนทำอาหารเก่งแบบนี้คงต้องบอกว่าเป็นโชคดีของผมจริงๆ

คนฟังไม่ได้ตอบอะไร แต่ทำหน้าเหมือนจะด่าผมทางอ้อม เขาลงมือหั่นแซลม่อนเป็นชิ้นๆ เอาไปจัดใส่จานอย่างสวยงาม เสร็จแล้วก็ยกมาเสิร์ฟที่หน้าเคาน์เตอร์ ผมมองเนื้อปลาสีสมสลับขาวน้ำลายแทบหก แต่ยังห้ามใจไว้ไม่ยอมกินในทันที รอจนภามที่เพิ่งล้างมือเสร็จเดินมานั่งแล้วถึงจิ้มขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วยื่นไปตรงหน้าเขา

“ให้คุณเชฟก่อนเลย”

“ทำตัวแปลกๆ” ภามหรี่ตาไม่ไว้วางใจแต่ก็งับปลาเข้าปาก เห็นแบบนั้นผมเลยฉีกยิ้ม จิ้มกินเองบ้าง แล้วก็แทบจะตัวลอยเพราะมันอร่อยสุดๆ

“ได้กินอาหารตอนมื้อดึกนี่มันสุดยอดจริงๆ...” แล้วก็อ้วนมากด้วย ดีนะที่ผมอยู่ในช่วงควรเพิ่มน้ำหนักพอดี แม้จะคิดว่ามันคงไม่ขยับไปมากกว่านี้ก็ตาม

กว่าจะจัดการแซลม่อนหมดก็ใช้เวลาเกือบยี่สิบนาที เพราะนอกจากจะกินแล้วผมยังดูทีวีไปด้วย ตอนแรกก็นั่งกินกันสองคนอยู่หรอก แต่พอภามบอกว่าอิ่ม จะไปอาบน้ำก่อน ผมเลยถือจานไปกินหน้าทีวี เขาออกมาอีกทีในชุดนอนผมก็ล้างจานเสร็จพอดี เลยรีบผลัดเข้าไปอาบน้ำบ้าง

ไม่รู้ว่าวันนี้พลังงานเหลือเยอะเกินไปหรืออะไร ผมถึงยังไม่รู้สึกง่วงเท่าไหร่นัก มานอนกลิ้งอยู่บนเตียงกับภามแล้วก็ไม่ได้ปิดไฟกัน เขาเองก็คงเห็นผมยังไม่มีทีท่าว่าจะหลับ ถึงได้นั่งพิงหัวเตียงมองกันเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไร

“ตอนกลางวันผมแวะไปหาแม่คุณมา” ภามเริ่มเปิดประเด็นชวนคุยด้วยเรื่องที่ทำเอาผมแอบเบะปาก

“ทำคะแนนใหญ่เลยนะ”

ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ภามแอบเข้าไปหาแม่ผมตามที่ท่านเคยขอให้ไปกินข้าวเป็นเพื่อนบ่อยๆ เพราะในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา อย่างน้อยอาทิตย์ละหนึ่งครั้งนอกจากศุกร์เสาร์ที่เข้าไปนอนบ้านกันอยู่แล้ว เขาจะเข้าไปกินข้าวกลางวันเป็นเพื่อนแม่ผมตลอด เสร็จแล้วพอตกดึกก็จะเอาเรื่องที่คุยกับแม่มาเล่าให้ฟัง อย่างครั้งก่อนได้ข่าวว่าแม่เอารูปผมตอนเด็กให้ดู แน่นอนว่ามันย่อมมีรูปล่อนจ้อนปนอยู่ด้วย ไอ้บ้านี่ถึงขนาดเอาโทรศัพท์ถ่ายเก็บเอาไว้ ผมเอาไปกดลบก็บอกว่าในคอมฯ ก็มีเหมือนกัน เอาซะผมไปต่อไม่เป็นเลย

“วันนี้ผมถามคุณแม่ว่าทำไมท่านกับคุณพ่อถึงยอมรับง่ายๆ”

“หืม…” ผมหันไปมองภามด้วยความสนใจ เหมือนว่าวันนี้จะเป็นประเด็นจริงจังที่สุดเท่าที่เคยได้ฟังเขาเล่ามาแล้ว

“ท่านบอกว่าภาพตอนที่คุณหมดเรี่ยวหมดแรง หาหนทางในการเดินต่อไม่เจอมันติดตามาจนถึงทุกวันนี้” ภามหันมามองหน้าผมด้วยแววตาอ่อนแสง พร้อมกับดึงมือไปกุมไว้ที่ตักตัวเอง “ตั้งแต่นั้นมาท่านก็คุยกับคุณพ่อ บอกว่าขอแค่คุณมีความสุข ไม่ว่าอะไรก็ยอมทั้งนั้น”

“งั้นเหรอ...” ก็เพราะว่าพ่อกับแม่ของผมเป็นแบบนี้แหละ ผมถึงได้รักและเป็นห่วงพวกท่านเอามากๆ จนเลือกที่จะไปกลับบ้านไกลๆ แทนที่จะหาคอนโดใกล้ๆ โรงพยาบาลอยู่ ถ้าไม่ใช่เพราะภามเข้ามามันก็คงเป็นแบบนั้นตลอดไป

“คุณแม่บอกว่าท่านขอบคุณที่ผมทำให้คุณกลับมายิ้มและมีชีวิตชีวาได้อีกครั้ง รวมถึงขอบคุณที่ผมทำให้คุณก้าวออกจากกรอบของตัวเองได้สำเร็จ” ภามยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อย ท่าทางมีความสุขมากจนผมไม่กล้าพูดแทรก “ท่านบอกว่าถ้าไม่ใช่ผม คุณคงไม่ยอมมานอนที่คอนโดแบบนี้ แต่จะเกาะอยู่กับท่านตลอดไป”

“ตามนั้นแหละ” ผมหัวเราะอารมณ์ดีเมื่อได้ยินเรื่องที่ภามเล่า แม่เคยบอกให้ผมมาอยู่คอนโดนานมากแล้ว บอกให้ผมได้ใช้ชีวิตของตัวเองบ้าง แต่ผมไม่เคยเข้าใจความหมายของมันเลย...จนกระทั่งได้เจอภาม

อย่างที่เคยบอก...แม่คงอยากให้ผมมีใครสักคนที่จะอยู่ในพื้นที่ที่ใช้ร่วมกัน เหมือนที่แม่เลือกใช้พื้นที่ร่วมกันกับพ่อ ที่สุดแล้วผมก็ต้องมีชีวิตคู่ที่เป็นของตัวเองอยู่ดี

ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยเข้าใจว่าสิ่งที่เป็นอยู่คืออะไร ไม่เคยคิดอยากหาคำตอบว่าทำไมถึงอยู่ตรงนี้กับภาม ทำไมถึงเป็นเขาที่ยอมให้ทุกอย่าง ไม่เคยถามตัวเองด้วยซ้ำว่าการที่ยอมให้เขาไปรับไปส่งจนถึงขั้นยอมมานอนที่คอนโดด้วยมันหมายความว่ายังไง

นั่นเป็นเพราะในใจลึกๆ ผมรู้คำตอบดีอยู่แล้วแต่่ยังต้องการความแน่ใจ และระยะเวลาสามเดือนที่ผ่านมาก็คือเดดไลน์ที่ผมมอบให้ตัวเอง

ตอนนี้คำตอบทุกอย่างชัดเจนแล้ว

“ภาม…” ในที่สุดผมก็หาโอกาสประจวบเหมาะในการดำเนินแผนการของตัวเองได้เสียที หลังจากวันนี้พยายามเกริ่นเข้าเรื่อง เอาอกเอาใจเขาสารพัด

“หืม”

“ทำไมถึงทำให้กันขนาดนี้ล่ะ” ขอแค่ภามพูดออกมาทุกอย่างก็จะเสร็จสิ้น “ที่ทำดีต่อกันทุกอย่าง ทั้งที่ฉันไม่เคยชัดเจนอะไรเลย ทำไมเหรอ”

“ผมก็ทำให้คุณแบบนี้มานานแล้ว” เขาตอบแล้วค่อยๆ ดันตัวผมให้เอนลงนอน

“แล้วเพราะอะไรเล่า”

ภามมองหน้าผมแบบงงๆ เหมือนไม่เข้าใจว่าผมต้องการอะไร แต่เขาก็ยังตอบออกมาตามตรง

“เพราะผมอยากดูแลคุณ”

“แล้วทำไมนายถึงอยากดูแลฉัน” คือนี่ทอดสะพานจนหน้าบางลงทุกทีแล้วนะ ช่วยตอบให้ตรงความต้องการสักทีจะได้ไหม

“ผมเคยบอกหลายรอบแล้ว” เขาว่าแล้วยื่นมือมาขยี้หัวผม แถมยังเลื่อนผ้าห่มมาคลุมตัวให้ด้วย “นอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าไปทำงาน”

“แต่…”

“นอน”

   โวะ...ทำไมทีอยากให้พูดออกมาถึงไม่พูดสักทีเนี่ย หมดกันบรรยากาศที่กูบิ้วมาในใจ

   พูดออกมาสิฟะว่าชอบ แค่นายพูดว่าชอบฉันจะได้บอกว่าชอบเหมือนกัน ทีนี้ก็จะใจตรงกันแล้วไง แค่ทำใจพูดก่อนไม่ได้เพราะปากมันหนักโคตรๆ เฉยๆ

   ชัดเจนน่ะชัดเจน เข้าใจไหม พยายามหลอกล่อทุกวิถีทางให้พูดออกมาแล้ว จะมาตามไม่ทันอะไรเอาตอนนี้เนี่ย

‘ที่คุณอธิบายมามากมาย พยายามไม่ให้ผมเข้าใจผิด...แบบนั้นเรียกว่าอะไร’

   เพราะชอบไงเล่าถึงไม่อยากให้เข้าใจผิด

   ไหนใครบอกซึน แค่ใช้เวลาคิดนิดหน่อยเอง

   ทีนี้ก็เลิกด่ากันเลยนะ   



————————



TALK : น้องภามขอตามไม่ทันบ้าง นานๆที ฮ่าๆ

ออฟไลน์ killua1a

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.29]== [10/09/61]
«ตอบ #154 เมื่อ10-09-2018 19:13:41 »

ึบอกรักไปเลยภามเอ้ย​ มีแฟนแบบภามนี่มันดีจริงๆ​ เอาใจทำให้ทุกอย่าง​  :katai2-1:

ออฟไลน์ toomild

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.29]== [10/09/61]
«ตอบ #155 เมื่อ10-09-2018 19:16:58 »

ปากหนักจริงๆตาคนนี้เนี่ย อยากจับมาบีบปากให้ร้อง5555 เอ็นดู :mew1:

ออฟไลน์ pui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2178
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-3
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.29]== [10/09/61]
«ตอบ #156 เมื่อ10-09-2018 20:40:19 »

ภามละมุนมากกกกกก
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.29]== [10/09/61]
«ตอบ #157 เมื่อ10-09-2018 23:12:16 »

น้องภาม อบอุ่นอีกแล้ววววววว

รักน้องภามค่ะ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.29]== [10/09/61]
«ตอบ #158 เมื่อ12-09-2018 03:07:22 »

นี่มันมีอะไรที่ไม่ชัดเจนอีกเหรอเนี่ย  :hao4:

ออฟไลน์ สีหราช

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 320
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +200/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.29]== [10/09/61]
«ตอบ #159 เมื่อ12-09-2018 16:34:52 »

 :pig4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.29]== [10/09/61]
« ตอบ #159 เมื่อ: 12-09-2018 16:34:52 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.29]== [10/09/61]
«ตอบ #160 เมื่อ12-09-2018 19:28:20 »

-30-



คงต้องยอมรับว่าการซุบซิบนินทาเป็นสิ่งที่มีอยู่ในทุกสังคม ตั้งแต่ในโรงเรียน ในมหา’ลัย ตามสถานที่ต่างๆ หรือแม้แต่ในโรงพยาบาลเองก็เหมือนกัน ตอนอยู่มัธยมผมถูกมองว่าเป็นหัวโจกของกลุ่มเด็กเกเร ถึงจะไม่เคยไปต่อยตีกับใคร แต่ก็เป็นเด็กหลังห้องที่โดนหมั่นไส้จากหลายกลุ่ม เรื่องโดนนินทานี่สารพัดจะโดน เพราะนอกจากจะหน้าตาดีแล้วผมยังเรียนเก่งสุดๆ โชคดีที่เป็นคนอัธยาศัยดี พอเข้าไปตีสนิทกับคนอื่นๆ ได้มันเลยพัฒนาจากกลุ่มที่ไม่ชอบขี้หน้ากัน กลายเป็นเพื่อนนอกกลุ่มแทน

พอมาถึงระดับมหา’ลัย ความเกรียนเริ่มจางหายไป เนื่องจากตั้งใจสอบจนติดแพทย์ เรียนหนักมันตั้งแต่ปีหนึ่ง บวกกับได้มาเจอพวกเก่งๆ เหมือนกันเลยต้องพยายามมากกว่าเดิม ดีที่ตอนเข้าไปได้รับเลือกให้ไปประกวดเดือน สุดท้ายเลยจับพลัดจับผลูได้เพื่อนสนิทนอกคณะมาสองคน และน่าจะเป็นเพื่อนมหา’ลัยเพียงสองคนที่ยังคงสนิทและพูดคุยอยู่จนถึงปัจจุบัน ช่วงนี้จะดีหน่อยเพราะนอกจากโดนนินทาด้วยความชื่นชมเรื่องหน้าตาดีกับเรียนเก่งก็ไม่มีอะไรมากมาย

อ่อ...ไม่นับที่เคยโดนเพื่อนในคณะมองแรงเพราะได้คะแนนเป็นที่หนึ่งทุกรอบนะ

ส่วนในโรงพยาบาล...อันที่จริงผมเป็นพวกรู้จักคนไปทั่ว อย่างที่บอกว่าตั้งแต่คุณยามหน้าโรงพยาบาล ไม่ว่าจะกี่กะก็รู้จักกันหมด แม่ครัวนี่นานๆ จะได้เจอทีเพราะเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยไปกินแต่ก็ยังจำชื่อกันได้ ไม่ต้องพูดถึงบุคลากรในโรงพยาบาลคนอื่นๆ อย่างพวกคุณพยาบาลหรือคุณหมอด้วยกันเลย

และนั่นแหละประเด็น...

“พี่ได้ข่าวว่าคุณหมอมีแฟนแล้วเหรอคะ โธ่...เสียใจแย่เลยเนี่ย”

“หมอเจได! ทำไมทิ้งสมาคมหมอโสดไปง่ายๆ งี้ล่ะ”

“หมอเจไดพาแฟนมาแนะนำให้รู้จักบ้างสิคะ”

ระดับคนโตๆ กันแล้วในโรงพยาบาล ซุบซิบลับหลังอะไรไม่รู้จัก ถามกันต่อหน้าแบบแมนๆ เลย นี่ตั้งแต่เช้ามาผมโดนถามไปแล้วประมาณยี่สิบรอบถ้วนจากบุคคลไม่ซ้ำหน้า คงเพราะวันนี้ภามเดินเข้าไปส่งถึงแผนกแล้วจอดรถไว้ที่ชั้นล่าง ตอนเดินเข้าตึกเลยต้องเดินจากชั้นล่างสุดไปขึ้นลิฟต์

เป็นคนดังนี่มันลำบากจริงๆ...

หลายวันมานี้ผมทำตัวชัดเจนกับภามมากขึ้น ยังคงพยายามทำให้เขาพูดออกมาว่าชอบอยู่เหมือนเดิม แต่ไม่รู้จู่ๆ เจ้าบ้านั้นสมองช้าขึ้นมาหรือยังไงถึงได้ตามไม่ทัน ไม่รู้สักทีว่าผมต้องการอะไร จนผมคิดว่ายังไงก็ต้องพูดก่อน แต่ว่า...

‘ภาม’

‘หืม’

‘คือฉันชะ....’

‘…’

‘ชอบ...ชอบรูปที่นายถ่ายให้ดูมากเลย โคตรเจ๋ง’

ไม่ว่าจะพยายามพูดอีกสักกี่รอบ ไม่พ้นต้องโยงไปเรื่องอื่นตลอด หน้าที่บางอยู่แล้วเหมือนจะบางลงเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ได้พูดคุยกัน แค่มองตาเขา เห็นว่าเขากำลังมองกลับด้วยแววตาแบบไหน ผมก็ตัวสั่นใจสั่นไปหมดจนไม่กล้าพูดอะไรต่อแล้ว นับประสาอะไรกับการสารภาพรักที่ยากโคตรๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน

“คิดอะไรอยู่เหรอคะคุณหมอ” พี่ต๊ะ พยาบาลวัยกลางคนที่ยังสวยไม่สร่างทักขึ้นระหว่างที่เข้ามาส่งเอกสารให้ผม

“คิดเรื่อยเปื่อยครับพี่ต๊ะ”

“แหม...พี่ก็คิดว่าคุณหมอกำลังคิดถึงใคร”

“ผมจะคิดถึงใครกันล่ะครับ” ว่าไปนั่น แต่มีหรือผมจะไม่รู้ว่าเธอหมายถึงใคร

“ก็แบบ...พ่อหนุ่มหน้าตาดีที่มารับมาส่งบ่อยๆ ไงคะ”

นั่นไง...

“พี่ต๊ะก็พูดไป จะว่าไปแล้วเหมือนเมื่อเช้าผมเห็นพี่ลงมาจากรถเก๋งของใครน้า...”

“ตายจริง พี่ไม่คุยกับคุณหมอแล้วค่ะ”

หลังแซวกันพอหอมปากหอมคอคุณพยาบาลคนสวยก็เดินออกไป ทิ้งให้ผมนั่งหัวเราะอยู่เพียงลำพัง เห็นสวยๆ แบบนี้แต่จริงๆ แล้วพี่ต๊ะแกยังไม่มีแฟนหรอก ครั้งหนึ่งเคยประกาศต่อหน้าคนไข้ที่เข้าไปจีบเลยว่าชอบคนเด็กกว่า ทำเอาคนไข้ไปไม่เป็น ถึงอย่างนั้นก็ยังเทียวมาหา มาขายขนมจีบอยู่นานหลายปี ล่าสุดพี่แจนบอกผมว่าพี่ต๊ะใจอ่อน ยอมให้มารับมาส่งแล้ว

เพราะงั้นที่พูดไปนั่นไม่ได้เห็นจริงหรอก ผมก็พูดไปเรื่อยเฉยๆ แต่เห็นทีคงเป็นเรื่องจริงแน่ๆ เธอถึงได้หน้าแดงแล้วรีบเดินออกไปแบบนั้น

ก๊อก ก๊อก

“คุณหมอคะ มีคนรออยู่ด้านนอกค่ะ”

“ขอบคุณครับพี่แจน” ผมพยักหน้าให้พี่แจนแล้วหันกลับมาเก็บของ คิดว่าคนที่รออยู่น่าจะเป็นภามเหมือนทุกวัน แต่เมื่อเดินออกไปกลับต้องเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความงุนงง เพราะคนที่ยืนรอผมอยู่ไม่ใช่คนที่คิดเอาไว้

“ไง”

“พ่อ?” ตาแก่ในชุดสูทดูดีมาทำอะไรตรงนี้

ผมเผลอทำหน้าแหยงเมื่อเห็นว่าพ่ออยู่ในชุดเต็มยศ แถมผมเผ้ายังเรียบตึงดูดี เห็นแต่งตัวแบบนี้เมื่อไหร่ไม่ชินตาทุกที แล้วยิ่งหันไปเจอท่าทีเกร็งๆ ของคุณพยาบาลกับคนอื่นๆ ผมยิ่งไม่โอเคเข้าไปใหญ่

อยากจะให้ทุกคนไปเห็นตัวจริงของคุณผู้อำนวยการคนนี้เหลือเกิน

“วันนี้แกกลับบ้านพร้อมฉัน” พ่อเอ่ยด้วยท่าทีสุขุม ในขณะที่ผมพยายามกลั้นขำจนไหล่สั่นไปหมด “แม่แกบอกว่าวันนี้จะทำปิ้งย่างกินกัน”

“งั้นเดี๋ยวผมบอกภามก่อน” ผมเดินเข้าไปหาพ่อพร้อมควักโทรศัพท์ขึ้นมา ตั้งท่าจะกดโทร

“ไม่ต้อง ฉันบอกแล้วว่าให้ไปเจอกันที่บ้านเลย เห็นว่าวันนี้เลิกช้าอยู่แล้วด้วย”

ดูซะก่อนว่าภามพัฒนาไวขนาดไหน ล่าสุดมีช่องทางการคุยแบบส่วนตัวกับพ่อผมเรียบร้อยแล้ว เห็นว่าถ้าว่างจะพากันไปตีกอล์ฟด้วย คงไม่ต้องบอกนะว่าพ่อกับแม่ถูกใจลูกชายคนใหม่มากขนาดไหน

“โอเค” รับคำเสร็จแล้วผมก็เดินตามหลังพ่อออกไปขึ้นรถ โดยไม่ลืมส่งไลน์ไปบอกภามว่าไว้เจอกันที่บ้านตามความเคยชิน รู้สึกแปลกๆ อยู่เหมือนกันที่วันนี้ไม่ได้กลับบ้านพร้อมเขา หลังตัวติดกันมานานหลายเดือน

“อะไร กลับบ้านกับฉันมันแย่ขนาดนั้นเลยหรือไงไอ้ลูกบ้า” คนขับรถที่หน้าตาเหมือนลุงข้างบ้านพูดขึ้นมาแล้วปลายตามองผมแบบจิกกัด

“คิดมากนะเรา วัยทองแล้วใช่ไหมลุง” ผมย้อนแบบไม่ยอมแพ้

เราเริ่มเถียงกันไปตลอดทางจนถึงบ้านแล้วก็ยังเถียงอยู่ จะหยุดงุ้งงิ้งกันได้ก็ตอนที่คนสวยเดินออกมา คงเพราะได้ยินเสียงรถนานแล้วแต่ไม่มีใครเข้าไปข้างในเสียที

“ว่าแล้วเชียว...หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะสองพ่อลูก!”

“หึ!” พ่อกับผมสะบัดหน้าไปคนละทาง ยังเถียงไม่จบเลยว่าบอลทีมไหนเก่งกว่า ต้องโทษพ่อนั่นแหละที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด ดูก็ไม่ได้ดูกับใครเขาเพราะไม่มีเวลากันทั้งคู่ ยังอุตส่าห์เอามาเป็นประเด็นเถียงได้ตั้งแต่มัธยมยันปัจจุบัน

“หยุดทำหน้าตึงกันแล้วมาช่วยแม่เตรียมของเร็วเข้า เดี๋ยวลูกภามมาก่อนจะทำยังไง ทำงานมาเหนื่อยๆ ด้วย” คนสวยบ่นกระปอดกระแปดไม่พอ ยังก้าวเดินเข้ามาลากผมกับพ่อผู้ซึ่งเพิ่งกลับมาเหมือนกันเข้าไปในบ้าน ปากก็พูดไม่มีหยุดว่าอยากให้ภามมาถึงแล้วได้กินข้าวเลย ไม่ใช่ต้องมารอนั่นรอนี่อีก

เดี๋ยวนะครับแม่...ได้ข่าวว่าผมก็เพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ เหมือนกัน

บ้านผมไม่ได้ใหญ่โตถึงขนาดมีสระว่ายน้ำอะไร ก็แค่มีสวนเต็มรูปแบบ มีน้ำตกจำลอง มีบ่อปลาที่คนสวยหวงเอามากๆ ยังไม่นับบรรดาพืชพันธุ์ต่างๆ ที่พ่อไปสรรหามาอีก อันนี้ไม่ได้อวดนะ พูดให้รู้เฉยๆ ว่าบ้านไม่ได้ใหญ่ แต่พื้นที่นอกบ้านที่จะใช้จัดงานอะไรนี่เยอะมาก

ทันทีที่เดินไปดูพื้นที่หลังบ้านซึ่งกำลังจะกลายเป็นที่ทานอาหาร ผมก็ต้องเบิกตากว้าง ไม่ใช่เพราะแม่จัดการเปิดไฟสว่างทั่วหรือเอาพัดลมอะไรมาวางพร้อม แต่เพราะปริมาณอาหารต่างหาก...

เยอะแยะขนาดนี้ ไม่ว่าจะดูยังไงมันก็เหมือนจะมีคนกินสิบคนมากกว่าสี่คนนะ

“แม่ทำเลี้ยงคนทั้งซอยเหรอครับ” ผมหันไปกอดคนสวยแล้วเอาหัวถูไถบ่าเล็กอย่างออดอ้อน ไม่สนใจพ่อที่กำลังยกจานชามออกไปด้านนอกและหันหน้ามามองแรงใส่

“เลี้ยงไม่กี่คนนี่แหละจ้ะ แต่มีโอกาสพิเศษนิดหน่อย” ท่านหัวเราะคิกคักถูกใจในเรื่องที่ผมไม่เข้าใจ แต่แค่แป๊บเดียวก็หันมาบีบแก้มผมเบาๆ อย่างคนรู้ทัน “ไม่ต้องอู้เลย ไปช่วยพ่อยกของเร็วเข้า เดี๋ยวลูกภามของแม่มาแล้วต้องรออีก”

“ผมก็ลูกแม่นะ...”

“ลูกคนเก่าจะสู้ลูกคนใหม่ได้ยังไง”

“ผมสู้ภามไม่ได้ตรงไหน”

“จะให้แม่พูดจริงๆ เหรอ...”

ไม่ดีกว่า...ดูจากสีหน้าเหยียดหยามของผู้ให้กำเนิดแล้วหมดกำลังใจ

ผมแกล้งทำทีเป็นงอนแล้วเดินตึงตังเข้าไปยกของด้านใน แต่แกล้งได้แค่แป๊บเดียว พอคนสวยเอาน้ำมาให้ดื่มก็กลับไปดี๊ด๊าเหมือนเดิม หลังออกไปจัดการข้าวของเรียบร้อยหมดแล้ว ภามก็ทักไลน์มาบอกว่าอาจจะมาถึงช้าหน่อย ให้กินไปก่อนได้เลย

“แม่ว่ารอก่อนดีกว่า” คนสวยว่าแบบนั้นแล้ว ผู้ตามอย่างผมกับพ่อจะทำอะไรได้นอกจากเข้าไปนั่งดูทีวีรอ แล้วก็เถียงนั่นเถียงนี่กันต่อเหมือนเดิม

“เจได” จู่ๆ คนที่ทำทีเล่นทีจริงมาตลอดก็เรียกเสียงจริงจัง ผมที่กำลังนั่งแทะข้าวโพดแก้หิวเลยหยุดชะงัก ต้องหันไปมองหน้าพ่อด้วยความจริงจังตามไปด้วย “ไปคุยกันหน่อยไหม”

พ่อเดินนำผมออกไปนอกบ้าน ไม่ลืมหันไปบอกแม่ที่อยู่ในครัวว่าจะไปเดินเล่นกัน ซึ่งท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร เหมือนจะรู้และเข้าใจเรื่องราวอยู่แล้ว เราเดินออกจากบ้าน ตรงไปตามถนนยามค่ำคืนโดยไม่ได้พูดอะไรกันในทีแรก จนกระทั่งเดินมาถึงสนามเด็กเล่นคุ้นตา พ่อถึงได้เดินไปนั่งลงบนชิงช้าแล้วเริ่มพูดออกมา

“มานั่งสิ”

ผมเดินไปนั่งบนชิงช้าข้างพ่อ ตาทอดมองไปยังโดมรูปหัวเห็ดนิ่งงัน นึกไปถึงความทรงจำครั้งล่าสุดที่ได้เข้าไปนั่งมองฟ้ากับใครบางคนแล้วก็ร้อนวูบวาบไปทั้งหน้า จนต้องหาทางออกด้วยการหันไปคุยกับพ่อที่กำลังเงยหน้ามองท้องฟ้าอยู่เงียบๆ

“พ่อมีอะไรจะคุยกับผมใช่ไหม”

“ไม่มีแล้วจะเรียกออกมาหรือไง”

ดูคนเรา...แล้วแบบนี้จะให้ญาติดีกันถึงสองนาทีได้ยังไง

“พ่อจะพูดอะไรก็พูดมาเลย ขืนให้ลูกชายคนใหม่ของแม่รอ เดี๋ยวได้โดนไล่ไปนอนนอกบ้านกันทั้งคู่หรอก” ผมพูดความจริงหนึ่งส่วน แขวะคนที่ได้กลายเป็นลูกรักอีกหนึ่งส่วน ซึ่งดูเหมือนตาแก่ด้านข้างผมเองก็คิดแบบเดียวกัน ถึงได้ทำปากเบะเป็นสระอิซะขนาดนั้น

“เด็กนั่นบอกฉันว่าแกคือสิ่งที่เขาตามหา”

“…” เดี๋ยวพ่อ...เปิดประเด็นงี้เลยเหรอ

“การที่ใครคนหนึ่งกล้าบอกว่าใครอีกคนคือสิ่งที่เขาตามหา มันไม่ใช่แค่เรื่องเล่นๆ แล้วนะ” พ่อไม่ได้หันมามองหน้าผม แต่น้ำเสียงที่พูดแสดงออกชัดเจนว่าเข้าสู่ช่วงจริงจังแล้ว และจะไม่มีการล้อเล่นเกิดขึ้นอีกจนกว่าจะคุยกันรู้เรื่อง “อีกสองวันแกก็จะสามสิบแล้วนะเจได จะทำอะไรก็คิดให้รอบคอบ”

อีกสองวันเหรอ...ลืมไปเลยว่าตัวเองเกิดวันที่เท่าไหร่ หลายปีมานี้แทบไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำ

“พ่อรับได้เหรอ...” ผมถามขึ้นมาลอยๆ เหมือนไม่ได้ซีเรียสอะไร แต่จริงๆ แอบเครียดอยู่นิดหน่อย ถึงจะได้ฟังคำตอบจากที่ภามเคยเล่าไปแล้วรอบหนึ่ง แต่ถ้าได้ฟังจากปากเองคงให้ความรู้สึกอีกแบบ

“รับได้อะไร ที่มีผู้ชายมาชอบแก หรือที่แกชอบผู้ชาย”

“ก็...ทั้งสองอย่าง”

“อายุปูนนี้แล้ว ในเมื่อหาเมียไม่ได้จะมีผัวก็ไม่แปลกหรอก” พ่อเหลือบตามองผมแล้วทำหน้าเหยียดหยามใส่ ไม่ได้เหยียดเรื่องผู้ชายหรืออะไรหรอก แต่เหยียดเรื่องอายุต่างหาก ได้ข่าวว่าแก่กว่าผมอีกเถอะนะ

“พ่อแก่กว่าผมกี่รอบ อย่ามาพูดเลย”

“เออ! นิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้เลยนะเรื่องอายุเนี่ย”

“พ่อก็เหมือนกันแหละ”

เราสองพ่อลูกมองหน้ากันแล้วก็หัวเราะออกมา นานแล้วที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันสองคน พูดคุยเรื่องทั่วไป มองท้องฟ้าด้วยกัน ปกติถ้าไม่ใช่เรื่องงานก็ทะเลาะกันให้แม่ห้ามตลอด ผมเกือบจะลืมไปแล้วเหมือนกันว่าตอนเด็กๆ ที่ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย ได้ไปเที่ยวกับพ่อแม่นานๆ ครั้งมันมีความสุขขนาดไหน

ตั้งแต่จำความได้พ่อของผมก็ทำงานเป็นหมอมาโดยตลอด แต่ละวันต้องตื่นเช้าไปโรงพยาบาล กลับบ้านทีมืดค่ำ บางครั้งก็ไม่ได้กลับเพราะต้องเข้าเวร ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่เคยเหงา ไม่เคยรู้สึกว่าขาดอะไรเลย ผมชื่นชมพ่อมาก มองพ่อเป็นฮีโร่มาโดยตลอด และนั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ผมอยากเป็นหมอ ซึ่งมันคือเหตุผลที่ไม่เคยบอกใครมาก่อน

“ทำไมฉันถึงตั้งชื่อแกว่าเจไดวะ”

“ผมจะรู้พ่อไหมเนี่ย” จำได้ว่าเคยถามอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ว่ายังไงพ่อก็ไม่ยอมบอก หาเรื่องกวนกันได้ตลอดจนหมดอารมณ์ถามไปแล้ว

“แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเอาชื่อเท่ๆ อย่างนั้นมาตั้งให้ลูกกากๆ แบบนี้” พ่อว่าแล้วส่ายหน้าหน่าย เหมือนผิดหวังมากจริงๆ ที่มอบชื่ออันทรงเกียรติให้ผม

“อย่าบอกนะว่าตั้งชื่อนี้ให้เพราะมันเท่เฉยๆ...”

“ถ้าไม่ใช่เหตุผลนั้นแล้วจะเป็นอะไรได้อีก”

โอเคเลย...คำถามที่ติดค้างในใจมานาน สุดท้ายคำตอบคือเพราะมันเท่

อันที่จริงผมก็ควรชินอยู่หรอก เพราะตั้งแต่เด็กพ่อก็เป็นแบบนี้แหละ เวลาไปเที่ยวด้วยกันทีไร ถ้าไม่หาเรื่องแกล้งสิแปลก แทนที่นานๆ ได้มาเที่ยวกับลูกแล้วจะอ่อนโยนตามใจนู่นนี่นั่น ไม่เลย...พ่อบอกว่าเกิดเป็นลูกผู้ชายต้องแข็งแกร่ง

ไงล่ะ...โตมาอ่อนแอเป็นเต้าหู้

“พ่อคงไม่ได้เรียกผมมาคุยเพื่อเปลี่ยนสถานที่ทะเลาะกันเฉยๆ หรอกใช่ไหม” ผมหันไปถามพ่ออีกรอบ คราวนี้คนฟังร้องเออออกมาทันที ทำท่าเหมือนจะลืมไปแล้วว่าตอนแรกจะพูดอะไร

“เพราะแกนั่นแหละเปลี่ยนเรื่อง”

“อย่ามาโทษผม”

“ตอบมาสั้นๆ ก็พอ ขี้เกียจเถียงด้วยแล้ว” ตาแก่โบกมือไปมาแล้วลุกขึ้นยืน เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม “แน่ใจแล้วใช่ไหมที่เลือกคนนี้”

ตอนแรกผมคิดจะกวนกลับไปเหมือนปกติ แต่เมื่อเห็นแววตาเจือความห่วงใยของพ่อ ปากก็หยุดชะงักแทบจะทันที เหมือนจับสัญญาณได้ว่าท่านกำลังจริงจังอยู่ และถ้าผมตอบแบบเล่นๆ กลับไป พ่ออาจจะคิดว่าผมไม่ได้คิดอะไรกับภามมากไปกว่าที่เป็นอยู่

ซึ่งผมไม่ต้องการแบบนั้น...

“แน่ใจครับ”

ความรู้สึกที่ผมมีให้ภามมันชัดเจนอยู่แล้ว เพียงแค่ยังไม่ได้เปิดใจพูดออกไปเท่านั้นเอง

“เออ ต้องชัดเจนแบบนี้สิวะ” พ่อยื่นมือมาตบบ่าผมแล้วพูดด้วยความพออกพอใจ บรรยากาศเคร่งเครียดจางหายไปจนหมด เหลือแค่ความเป็นกันเองและสบายๆ เหมือนเก่า

 ผมเห็นแบบนั้นเลยลุกขึ้นยืน คิดว่าป่านนี้ภามน่าจะถึงบ้านแล้วเลยหยิบโทรศัพท์ออกมา แต่ยังไม่ทันได้กดดูก็ได้ยินเสียงแซวเล่นของพ่อดังขึ้นก่อน

“ชอบเขามากสิท่า...หรือว่ารักไปแล้วกันแน่”

“ชอบเชิบไร มั่ว” ว่าแล้วก็ยักไหล่ไม่แคร์ให้หนึ่งที “อย่างผมเหรอจะชอบคนแบบนั้น ไม่มีทางซะหรอก ฝันไปเถอะ พ่ออย่ามาหาจุดอ่อน”

“ปากดีนะแก”

“พูดความจริงล้วนๆ” ผมหัวเราะฮ่าๆ ใส่หน้าพ่อ ท่านเองก็คงรู้อยู่แล้วว่าผมล้อเล่นเลยทำหน้าเหนื่อยใจตอบกลับมา

“ไม่เคยหวั่นไหวเลย”

“ไม่เคย”

“ไม่มีทางรักเลยว่างั้น”

“ไม่มีทาง”

“แล้ว...” คนที่กำลังทำท่าจะพูดอะไรออกมาชะงักค้างไปกะทันหัน ผมเองเลยชะงักตามไปด้วย แต่เพราะพ่อไม่พูดอะไรออกมาสักทีเลยเลิกสนใจ ก้มหน้ามองโทรศัพท์ในมือแทน

เอ้า...ภามไลน์มาตั้งแต่เมื่อหนึ่งนาทีก่อน

asdf: ถึงแล้ว แต่เห็นคุณคุยกับพ่ออยู่ที่สนามพอดี ผมรอที่รถนะ

เดี๋ยวนะ...

เหมือนจะเริ่มจับเค้าลางบางอย่างได้

ผมหันไปด้านหลังด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะต้องเบิกตากว้าง เมื่อพบว่าคนตัวสูงที่เพิ่งส่งไลน์มาหายืนอยู่ห่างไปประมาณสามก้าว ใบหน้าคมราบเรียบไร้ความรู้สึก หากดวงตาว่างเปล่าคู่นั้นกลับดูเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด

ท่าทางแบบนี้...อย่าบอกนะว่าได้ยินที่ผมพูดเล่นกับพ่อ

“เดี๋ยว...”

ยังไม่ทันพูดจบประโยค ภามก็หมุนตัวเดินกลับไปขึ้นรถแล้วขับออกไปต่อหน้าต่อตาผม ไม่เปิดโอกาสให้พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว

กลางดึกที่เงียบสงัด ผมเพิ่งหัวเราะเฮฮากับพ่อไปเมื่อสองนาทีก่อน แต่มานาทีนี้ผมถูกคนที่ตัวเองชอบงอนเรียบร้อยแล้ว กลายเป็นความเอ๋อแดกที่เข้ามาแทนที่ พร้อมๆ กับความหัวร้อนต่อโชคชะตาที่ดันพาให้ภามเดินเข้ามาได้ยินตอนผมคุยเล่นกับพ่อทั้งที่ยังหันหลัง จนเขามองไม่ออกว่าสิ่งที่พูดคือเรื่องจริงหรือเรื่องล้อเล่น

“เหมือนจะมีคนเข้าใจผิดนะ...” ตาแก่ที่ยืนอยู่ข้างผมยกมือเกาหัวแกรกๆ “ท่าทางน่าจะคิดไปแล้วว่าที่ฉันยิ้มเฮฮาเป็นเพราะดีใจที่แกบอกว่าไม่ได้ชอบ”

“รู้แล้ว”

“ไม่เคยหวั่นไหว”

“รู้...”

“ไม่มีทางรัก”

“รักสิ!” ผมตะโกนออกมาอย่างเหลืออด ก่อนจะเข้าไปเขย่าตัวพ่อแรงๆ เพื่อระบายอารมณ์ “เนี่ยชอบไปแล้ว รักไปแล้วด้วยมั้ง แล้วทำไมต้องมาได้ยินเอาตอนนี้ด้วยเนี่ย ความผิดพ่อแน่ๆ เลย พ่อนั่นแหละ!”

“เอ้า! มาโทษฉันเฉยเลย ก็แกดันพูดเล่นได้เวลาเองนี่หว่า”

“ไม่คุยกับพ่อแล้ว” ว่าแล้วก็สะบัดหน้าหนี เตรียมตัววิ่งไปเรียกแท็กซี่โดยด่วน แต่พอวิ่งมาถึงหน้าสวนสาธารณะเท่านั้นแหละ ผมก็ต้องรีบวิ่งกลับไปที่เดิมอีกครั้งพร้อมกับจับแขนพ่อไว้แล้วมองด้วยแววตาดุดัน

“อะไรของแก”

“ถ้าภามงอนผมไม่เลิก พ่อเตรียมตัวโดนแม่งอนต่อได้เลย เพราะผมจะฟ้องว่าพ่อคือตัวต้นเหตุ”

“ไอ้เจได!”

ผมไม่สนใจเสียงที่ตะโกนตามหลังมา สองเท้ารีบวิ่งไปหน้าหมู่บ้าน ถึงจะไกลก็คงต้องยอม เพราะเวลานี้ต้องรีบไปแก้ไขความเข้าใจผิดโดยด่วน สองมือกดส่งข้อความในไลน์พร้อมโทรไปหลายรอบแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับ เหมือนจะปิดโทรศัพท์ไปแล้วด้วย

โอย...มองยังไงก็โดนโกรธแล้วแน่ๆ

“แฮ่ก…” กว่าจะวิ่งมาถึงหน้าหมู่บ้านได้ผมก็หอบกินจนลุงยามที่เข้ากะอยู่เดินมาหาด้วยความเป็นห่วง

“คุณหมอ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

“ไม่เป็นไรครับ แต่ลุงช่วยเรียกแท็กซี่ให้ผมที ด่วนๆ เลย” โชคดีจริงๆ ที่ตีสนิทลุงยามไว้

“ได้ครับได้ รถคงเสียสินะครับถึงไม่ขับออกมา” ลุงแกพยักหน้าหงึกหงักเข้าใจแล้วเดินออกไปเรียกแท็กซี่ให้ ขณะที่ผมได้แต่ทำหน้าเหมือนปลาขาดออกซิเจนอยู่ด้านหลัง

แล้วทำไมกูไม่กลับไปขับรถที่บ้านออกมาวะเนี่ย!

กว่าจะคิดได้ก็สายไปเสียแล้ว แถมตอนนี้ยังไม่ใช่เวลามาคิดนู่นคิดนี่อีก สิ่งที่ผมควรทำในยามนี้คือการรีบเร่งไปหาภามให้ไวที่สุดก่อนที่สถานการณ์จะเลวร้ายยิ่งขึ้นไปอีก

“ไปคอนโดxxxด่วนๆ เลยครับพี่”

“โอเค คาดสายเลยไอ้น้อง!” คุณพี่แท็กซี่ที่หน้าตาเกินวัยไปมากตอบรับด้วยความกระตือรือร้น เหมือนจะอยากขับรถไวอยู่แล้วแต่กลัวลูกค้ารับไม่ได้ พอผมบอกให้ซิ่งเท่านั้นแหละ ท่าทางมาเต็มมาก

นาทีนี้ผมไม่ได้สนใจความเร็วที่รถวิ่งเลย เพราะจิตใจเอาแต่พะว้าพะวงอยู่กับจุดหมายปลายทาง แถมโทรศัพท์ยังติดต่อไม่ได้ด้วย ภามไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ถ้าเขาถึงขนาดไม่รับโทรศัพท์หรือไม่ฟังสิ่งที่ผมพูดเลยมันย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้ว

บางทีภามอาจจะถึงขีดสุด...

ผมสะบัดหัวไล่ความคิดด้านลบออกไปพร้อมกับก้าวเท้าออกจากรถ วิ่งตรงไปที่ลิฟต์ทั้งที่เหนื่อยจนแทบบ้า โชคดีที่ตอนออกจากบ้านพกกระเป๋าสตางค์ที่มีคีย์การ์ดห้องเขาติดตัวอยู่ด้วยไม่งั้นคงแย่กว่านี้ ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องแบบลนลาน หากห้องที่มืดสนิท ไม่มีแสงไฟเลยสักนิดกลับทำให้ใจหนักอึ้งขึ้นมากะทันหัน

ไม่รู้ว่าตัวเองไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน แต่ผมรู้แค่ว่าต้องวิ่งไปรอบห้องเพื่อตามหาภามให้เจอ บางทีเขาอาจจะโกรธ ไม่พอใจ เลยหาที่สงบๆ นั่งหลบมุมอยู่โดยไม่เปิดไฟ คิดได้ดังนั้นผมเลยวิ่งต่อ ค้นทุกซอกทุกมุมของคอนโดไม่เว้นแม้แต่ในห้องน้ำ

ไม่เจอ...

ไม่เจอเลย...

"เริ่มไม่ตลกแล้วนะภาม ออกมาเดี๋ยวนี้” ผมทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างหมดเรี่ยวแรง นั่งรออยู่แบบนั้นเผื่อว่าอีกเดี๋ยวภามจะกลับมา แต่รอแล้วรอเล่าก็ยังไร้วี่แวว

หรือเขาจะถึงขีดสุดแล้วจริงๆ...

เพราะผมไม่ยอมชัดเจนใช่ไหม เพราะผมเอาแต่อาย เอาแต่อยากรักษาหน้า ไม่ยอมเป็นฝ่ายพูดออกไปก่อนตามตรง ทั้งที่หัวใจมีคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้ว ทั้งหมดเป็นเพราะผมไม่ยอมบอกเขาสักทีว่ารู้สึกยังไง พอมาได้ยินว่าไม่เคยคิดจะรัก ไม่เคยแม้แต่จะหวั่นไหวเขาถึงได้ทำหน้าแบบนั้น...

ถ้าผมเป็นภามแล้วมาได้ยินสิ่งที่ตัวเองพูด ผมคงปวดใจจนไม่อยากรับรู้อะไรอีก

ทั้งหมดเป็นความผิดของผมเอง

เพราะผมช้าเอง...

“กลับมาก่อนนะ สัญญาว่าครั้งนี้จะพูดตรงๆ แล้ว” จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนขอบตาร้อนขึ้นมากะทันหัน เพียงแค่ได้คิดว่าเขาอดทนกับผมมามากมายขนาดไหน

พอลองมองย้อนกลับไปแล้ว นอกจากทำให้เขาเหนื่อยกว่าเดิม ผมก็แทบไม่เคยทำอะไรเพื่อภามเลย มีแค่เขาที่เป็นฝ่ายดูแล ถึงปากจะบอกว่าไม่เป็นไรแต่ผมรู้ดีว่าเขาเองก็เหนื่อย ทั้งตื่นเช้ากว่ามาทำข้าวเช้ากับข้าวกลางวันให้ ไหนจะต้องขับรถไปส่งที่โรงพยาบาล แล้วเดินทางไปทำงานต่อตามสถานที่ต่างๆ ที่บางครั้งก็ไกลลิบอีก พอตกเย็นยังต้องรีบมารับเพราะไม่อยากให้รอนาน กลับมาคอนโดแล้วต้องไปนั่งที่โต๊ะเพื่อทำงานต่อจนดึกดื่น และถึงจะเข้านอนพร้อมกันทุกวัน แต่ใช่ว่าผมไม่รู้ว่าพอตัวเองหลับไปแล้วเขายังลุกขึ้นมานั่งทำงานต่อ

เป็นผมที่เอาแต่นึกถึงตัวเอง รู้สึกว่าทุกอย่างก็ดีอยู่แล้วเลยขี้เกียจมองหาคำตอบ และพอมีความกล้าขึ้นมา พอได้คำตอบที่ต้องการแล้วยังเล่นตัว ไม่ยอมบอกเขาไปตามตรงเพราะไม่รู้สึกว่าต้องรีบอะไร อยากให้เขาเป็นคนพูดก่อนจะได้ไม่เสียหน้า ทั้งที่จริงๆ แล้วมีแค่ภามที่ให้ความชัดเจนกับผมอยู่ฝ่ายเดียว แต่ผมกลับไม่เคยให้ความชัดเจนกับเขาเลยสักครั้ง

ไม่แปลกเลยถ้าภามจะหนีไป แต่ว่าขอเถอะ...อย่างน้อยขอแค่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน

ครืด ครืด

ผมรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดู คาดหวังให้เป็นคนที่คิดเอาไว้ แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อมันเป็นสายจากแม่

“ครับแม่”

[เจได อยู่ไหนน่ะลูก มีคนมาหา...]

“มีคนมาเหรอครับ” ผมผุดลุกจากโซฟา รีบวิ่งเร็วๆ ไปที่ประตูห้อง “ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้”

[เดี๋ยว...]

ถึงจะรู้สึกล้าขนาดไหน แต่ผมก็ยังใช้แรงทั้งหมดที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองมีวิ่งไปที่ลิฟต์ ตรงออกไปเรียกแท็กซี่หน้าคอนโดซึ่งจอดเรียงรายกันเป็นแถว

ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงผมก็กลับมาถึงบ้าน สองเท้าที่ปวกเปียกไปหมดยังคงถูกบังคับให้วิ่งเข้าไปด้านในด้วยความรวดเร็ว หากกวาดตาไปทางไหนก็ยังพบเพียงความว่างเปล่า ผมเลยรีบเดินไปที่ครัว เห็นพ่อกับแม่กำลังล้างมือกันอยู่

“แม่ครับ!”

“เจได มาแล้วเหรอ” แม่หันมาหาผมแล้วยิ้มกว้าง “ไปไหนมาน่ะเรา ปล่อยให้แขกรอนานได้ยังไง รีบไปปิ้งหมูเถอะไป เดี๋ยวพ่อกับแม่ล้างผักเสร็จจะตามออกไป”

“อยู่ข้างนอกเหรอครับ” ผมถามไวๆ แล้วรีบวิ่งไปที่สวนหลังบ้านซึ่งเราตั้งใจใช้เป็นที่ทานอาหารกันในคืนนี้ โดยไม่ได้ฟังคำถามที่ดังตามหลังมาของแม่

“แล้วลูกภาม...”

เอาล่ะ...พอเจอภาม ผมจะพูดออกไปเลยว่ารู้สึกยังไงกับเขา

ทีนี้ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น ภามจะยอมฟังผมอธิบาย แล้วเราก็จะแก้ไขความเข้าใจผิดทั้งหมดได้ในที่สุด

ผมเกือบจะเก็บรอยยิ้มเอาไว้ไม่อยู่เมื่อเปิดประตูออกไปยังสวนหลังบ้าน คำพูดที่ท่องเตรียมไว้ตั้งแต่อยู่บนแท็กซี่เองก็กำลังจะหลุดออกมาจากปากอยู่แล้ว หากไม่ใช่ว่า...

“หยุดกินก่อน เพื่อนมึงมาแล้ว”

“ไม่ต้องสนใจมันหรอก ดันมาช้าเอง ช่วยไม่ได้”

บนโต๊ะกินข้าวข้างสวนที่ควรจะมีภามนั่งอยู่ ยามนี้คนที่มองหากลับไม่มี แต่ถูกแทนที่ด้วยผู้ชายตาดุที่หน้าเหมือนภามอย่างกับแกะ และไอ้กระต่ายหน้าตากวนตีนอีกตัว

“พี่ภู...ดูไอ้เจไดดิ หน้าแม่งบูดเหมือนปวดขี้เลย ตลกว่ะ”

ซวยซ้ำซวยซ้อน...

นอกจากจะโดนงอนแล้ว ไอ้กระต่ายที่มีความผิดปกติทางสมองยังมาบุกบ้านเอาตอนนี้อีก



——————————

TALK: สมน้ำหน้าาาาาาาา (เพื่อนรักโผล่มาได้ถูกจังหวะจริงงงง)

ออฟไลน์ toomild

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.30]== [12/09/61]
«ตอบ #161 เมื่อ12-09-2018 19:38:13 »

คุณชช.อย่าแกล้งน้องแมว แถมสงสารภามด้วย โอยยยยย อย่าให้ภามหายไปนานนะคะ :sad4:

ออฟไลน์ killua1a

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.30]== [12/09/61]
«ตอบ #162 เมื่อ12-09-2018 19:49:18 »

ภามหนีเตลิดไปไหนแล้วเนี่ยยยยยยยย​

ออฟไลน์ ●GreenTEA●

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 684
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.30]== [12/09/61]
«ตอบ #163 เมื่อ12-09-2018 19:51:07 »

รีบง้อด่วนๆเลย

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.30]== [12/09/61]
«ตอบ #164 เมื่อ12-09-2018 20:41:09 »

ภามหาย แจ้ง จส.100 ด่วน  :katai1:

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.30]== [12/09/61]
«ตอบ #165 เมื่อ13-09-2018 07:09:07 »

ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2054
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.30]== [12/09/61]
«ตอบ #166 เมื่อ13-09-2018 13:22:36 »

ภามไปไหนลูก ไม่เอาไม่งอนเจไดนะ

ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.30]== [12/09/61]
«ตอบ #167 เมื่อ13-09-2018 16:21:23 »

ตอนบอกว่าแน่ใจดันไม่ได้ยิน ทำไมต้องมาได้ยินตอนเล่นมุกกับตาแก่ข้างบ้านด้วย  :m20:

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.30]== [12/09/61]
«ตอบ #168 เมื่อ14-09-2018 17:19:40 »

-31-



“อาการเป็นไงบ้างพี่ภู”

“ศพ”

“โห...หนักเอาการนะเนี่ย สมน้ำหน้า”

“ถ้าจะด่ากูก็กลับไปเลยไป” ผมหันไปทำหน้าตึงใส่ไอ้เพื่อนเลวที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ เกลียดน้ำเสียงเยาะเย้ยของมันฉิบหาย ถ้าไม่ติดว่าแฟนมันนั่งทำหน้าดุอยู่ด้านข้าง ผมคงกระโดดเข้าไปตีกับไอ้เก้าแล้ว

ผ่านมานานหลายปี ไอ้เวรนี่ยังหน้าตาเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน กวนตีนยังไงก็ยังกวนตีนอยู่อย่างนั้น สถานะเลขาของคุณภูริ เดรค เจ้าของธุรกิจยักษ์ใหญ่ที่อังกฤษไม่ได้ช่วยให้มันดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเลยสักนิด ทั้งที่อายุก็เท่ากันกับผมแท้ๆ ไม่รู้ว่าพี่ชายภามยอมคว้ามันมาอยู่ข้างกายได้ยังไง

จะว่าไปแล้วกูก็ไม่ได้ต่างจากมันเลยนี่หว่า...

“จู่ๆ ก็ทำหน้าเศร้าเฉยเลย เป็นโรคเปล่าวะมึงเนี่ย” มันหันมาถามผมที่นั่งกอดกองผ้าห่มอยู่บนพื้น เพราะเตียงยกให้พี่ภูไปแล้วตั้งแต่แรก

“โรคอะไรล่ะ” พอจิตใจห่อเหี่ยวเลยหมดอารมณ์เถียงไปด้วย ผมเอนตัวลงนอนบนฟูก ไม่สนใจไอ้เก้าที่ห้อยหัวลงมาจากเตียง พยายามพูดจากวนตีนไม่หยุด

“เครียดขนาดนั้นเลยเหรอวะ”

“ถ้าพี่ภูหนีมึงไป มึงจะเครียดไหมล่ะ”

“เครียดทำไม ยังไงกูก็ต้องหาทางตามไปลากกลับมาอยู่แล้ว”

มึงก็พูดง่ายสิ ใจตรงกันไปแล้วนี่หว่า แต่ผมเนี่ย...นอกจากจะยังไม่ได้สารภาพความรู้สึกของตัวเองแล้วดันทำเขาเข้าใจผิดอีก แบบนี้จะไปตามหาตัวได้จากที่ไหน โทรศัพท์ก็ติดต่อไม่ได้ด้วย

“มึงรู้ไหมว่าภามอยู่ไหน” ผมหันไปถามมันด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง แต่ไอ้เก้ากลับส่ายหน้าทันควัน ทำลายความหวังของผมในพริบตาเดียว

“ไม่รู้ พี่ภูลองโทรเองแล้วยังติดต่อไม่ได้เลย”

ขนาดพี่ภูยังติดต่อไม่ได้แล้วนับประสาอะไรกับผมกัน ภามยิ่งเป็นพวกชอบเดินทางอยู่ด้วย ถ้าเขาออกนอกประเทศไป ไม่คิดจะกลับมาอีกเลยผมจะตามหาเจอได้ยังไง รอไอ้เก้ามาบอกเหรอ...ตายพอดี ล่าสุดมันยังบ่นที่ภามหายไปครึ่งปีอยู่เลย เลิกหวังพึ่งดีกว่า

“แล้วมึงมาค้างบ้านกูได้ไง ไม่ต้องทำงานเหรอ” กับไอ้เก้ายังพอเข้าใจได้ แต่พี่ภูมานอนค้างด้วยนี่บอกตรงๆ ว่าผมทำตัวไม่ถูก เขาคือเจ้าของบริษัทที่มีชื่อเสียงเอามากๆ เลยนะ ถึงจะเปิดตัวไปนานแล้วว่าคบกับผู้ชายด้วยกัน มันก็ไม่ได้ทำให้ชื่อเสียงลดลงแต่อย่างใด ล่าสุดไอ้เก้าบอกว่ายังมีคนมาเสนอตัวให้อยู่เลย

“พรุ่งนี้กูกับพี่ภูจะบินกลับอังกฤษแล้ว เห็นแม่มึงชวนมากินข้าว เลยว่าจะถือโอกาสมาทักทายแล้วก็พาพี่ภูมาเจอภามด้วย ใครจะคิดว่า...”

“หยุดพูดเลย” ผมรีบยกมือห้ามไม่ให้พูดต่อ เห็นท่าทางเหมือนจะเยาะเย้ยของมันแล้วผมยิ่งหัวเสีย มองแค่แวบเดียวก็รู้แล้วว่ามันเดาออกหมดว่าเรื่องราวเป็นมายังไง “กูยังไม่ได้คิดบัญชีเรื่องที่มึงหลอกให้กูไปเจอกับภาม แล้วยังหลอกให้พวกกูไปติดเกาะเลยนะ”

“ไม่ดีหรือไง” มันเลิกคิ้วถามหน้าตากวนตีน “ชีวิตมึงจะได้มีสีสัน แถมได้แฟน...ไม่ดิ หนีไปแล้วนี่หว่า”

“ไอ้เก้า!”

“สมน้ำหน้าคนปากหนัก กูเคยบอกมึงแล้วว่าจุดหมายมีไว้พุ่งชน ชักช้าเองเป็นไงล่ะ” ได้ทีมันเลยสั่งสอนผมต่อเป็นชุด คนที่นั่งกดโน้ตบุ๊กอยู่ด้านข้างก็เอาแต่เงียบ ไม่มีทีท่าว่าจะช่วยกันเลย เพราะแบบนี้ไงไอ้เก้ามันถึงได้เกรียนไม่เปลี่ยน

“ถ้าไม่ช่วยก็ไม่ต้องพูดเลย”

นี่ถ้าไม่ติดว่าแม่บอกให้เก้ากับพี่ภูค้างที่นี่เพราะมันดึกแล้วนะ ผมคงไล่มันไปนอนโรงแรมแต่แรก ไม่ยอมให้มายึดเตียงกันอยู่แบบนี้หรอก แถมพรุ่งนี้ยังต้องไปทำงานอีก ติดต่อภามก็ติดต่อไม่ได้ ปวดหัวไปหมดแล้วเนี่ย

“อันที่จริงถ้ามันไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรู้สึกของภามแล้วก็ไม่ใช่เพราะพี่ภู กูคงปล่อยให้มึงงมเข็มในมหาสมุทรต่อนั่นแหละ” เสียงเนือยๆ จากคนบนเตียงทำให้ผมกลับมามีความหวังอีกครั้ง ลองถ้าพูดแบบนี้แสดงว่าต้องมีวิธีแน่ คิดได้ดังนั้นผมก็รีบผุดลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปที่มันทันที

“มึงรู้ใช่ไหมว่าภามอยู่ไหน บอกมาเร็วๆ”

“ไม่รู้”

“ไอ้…”

“ก้อน” คนที่นั่งเงียบมาตลอดปลายตามองเพื่อนผมด้วยแววตาห้ามปราม เพียงเท่านั้นไอ้เก้าที่ถูกเรียกว่าก้อนก็หุบปากฉับ แถมยังทำหน้าเบะหนักมาอีกต่างหาก

“ขอแกล้งมันอีกหน่อยไม่ได้เหรอ พี่ไม่รู้หรอกว่าไอ้เจไดมันปากหนักขนาดไหน สมควรแกล้งให้ร้องไห้แงๆ แล้วค่อยช่วยมากกว่า”

“มากเกินพอแล้ว รีบลงไปจัดการก่อนที่ผู้ใหญ่จะนอน” พี่ภูออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา ถึงอย่างนั้นผมก็ยังสัมผัสถึงความอ่อนโยนและอ่อนอกอ่อนใจในนั้นได้อย่างชัดเจน

คงเป็นเพราะเขาเหมือนภามมาก...ผมถึงพอจะอ่านอารมณ์บนใบหน้านั้นได้บ้าง

“ก็ได้” ไอ้เก้ารับคำเสียงบูดแล้วกลิ้งลงจากเตียง วิ่งเหยาะๆ ออกจากห้องไป

พอไม่มีเพื่อนผมเป็นตัวกลางแล้ว บรรยากาศในห้องก็กลับมาเงียบสงบและกดดันเหมือนเดิม พี่ภูยังคงแผ่ความรู้สึกกดดันไม่น่าเข้าใกล้ออกมาได้อย่างสม่ำเสมอ แม้ผมจะไม่ค่อยได้เจอเขา แต่ก็ยังจำความรู้สึกพวกนี้ได้ดี เราแทบไม่ได้คุยกันเลยเพราะมีไอ้เก้าเป็นตัวกลางตลอด แล้วมันก็ไม่ได้มาเจอผมบ่อยๆ ด้วย ดังนั้นจะบอกว่าอยู่กับพี่แกสองคนแล้วผมอึดอัดอยู่หน่อยๆ ก็คงไม่เกินจริงนัก

“เอ่อ...พี่ภูสบายดีนะครับ” ผมทักทายเสียงอ่อย ตอนไอ้เก้าไปอาบน้ำก็มัวแต่นอนคิดมากเลยไม่ได้สนใจจะทัก แต่พอเห็นเขาทำเหมือนมีเรื่องจะคุยด้วยเลยต้องทักก่อนจนได้

“อืม”

ตอบสั้นเหมือนภามตอนแรกๆ เลย

“คือเรื่องภาม ผม...”

“คงรบกวนไว้เยอะสินะ”

“ครับ?” จากที่กำลังจะสารภาพผิด ผมกลับต้องหยุดทุกคำพูดไว้แล้วเงยหน้ามองเขาด้วยความไม่เข้าใจ พี่ภูไม่ได้เปลี่ยนแปลงสีหน้า ยังคงดูดุดันเย็นชาเหมือนเคย หากดวงตาคู่นั้นกลับไม่ได้ดูเฉยชาไปด้วยยามพูดถึงน้องชายตัวเอง

“เด็กคนนั้นใช้เวลานานหลายปีกว่าจะกลับมาใช้ชีวิตอย่างคนทั่วไปได้อีกครั้ง ตอนที่เขามาเอ่ยปากเอง บอกว่าอยากเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโดยไม่ต้องมีคนตาม ฉันทั้งดีใจและกังวลไปพร้อมๆ กัน กลัวสารพัดว่าจะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นหรือเปล่า แต่ภามก็โตเกินกว่าจะเอาชีวิตมายึดติดไว้กับพี่ชายคนนี้แล้ว”

“…”

“ดังนั้นตอนที่เขาโทรมาบอกว่าเจอสิ่งที่ตามหาแล้ว ฉันถึงได้ดีใจมาก” เขาหันมามองหน้าผม จ้องลึกเข้ามาในดวงตา เหมือนต้องการสะกดให้นิ่งฟัง “ถ้านายไม่ได้คิดตรงกันกับเด็กคนนั้นก็ปล่อยเขาไปแบบนี้เถอะ”

“ผม…”

“เรียบร้อย!” เสียงพูดแทรกจากนอกประตูทำให้บรรยากาศกดดันระหว่างผมกับพี่ภูจางหายไป พร้อมๆ กับที่คำตอบซึ่งอยู่ในใจผมยังคงค้างคาอยู่อย่างนั้น ไม่ได้พูดออกไปให้เขารับรู้ จวบจนเราปิดไฟเข้านอนกันแล้ว ผมก็ยังทำได้เพียงนอนนิ่งคิดเรื่องราวทุกอย่างเงียบๆ ยันดึกดื่น

ไม่เป็นไร...พรุ่งนี้ค่อยบอกพี่เขาก็ได้ว่าผมเองก็คิดแบบเดียวกันกับภาม ขืนพูดต่อหน้าไอ้เก้าคงโดนล้อตาย




ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาในตอนเช้าตามความเคยชิน แต่ก็ยังผิดจากเวลาปกติไปเกือบยี่สิบนาที วินาทีนั้นเองที่ผมรู้ตัวว่าเคยชินกับการถูกปลุกมากกว่าตื่นเองไปแล้ว เราอยู่ด้วยกันทุกวันมานานหลายเดือน เขาคอยปลุกผมในยามเช้าของทุกๆ วัน ถ้าไม่ยอมตื่นก็จะอุ้มเข้าไปไว้ในอ่างอาบน้ำ แต่วันนี้กลับเงียบสงบ...

เดี๋ยวก่อนนะ แล้วไอ้เก้ากับพี่ภูที่ควรนอนอยู่บนเตียงหายไปไหน

“แม่! แม่ครับ!”

“วิ่งตึงตังอะไรกันเด็กคนนี้” คุณนายที่กำลังยืนรดน้ำต้นไม้อยู่นอกบ้านหันมาขมวดคิ้วไม่พอใจใส่ แต่เหมือนท่านจะสังเกตเห็นใบหน้าซีดเซียวไม่โอเคเอามากๆ ของผม ถึงได้ทิ้งสายยางลงพื้นแล้วเดินเข้ามาหา “เจได เป็นอะไรหรือเปล่าลูก”

“แม่ครับ ไอ้เก้ากับพี่ภูไปไหนแล้ว” ผมรีบละล่ำละลักถาม ใจหายวาบขึ้นมากะทันหัน แล้วก็แทบจะล้มลงไปกองอยู่กับพื้นเมื่อได้ยินคำตอบ

“ไปสนามบินกันแล้วจ้ะ เพิ่งออกไปเมื่อสิบยี่สิบนาทีก่อนนี่เอง...เจได เป็นอะไรลูก!”

ไม่ทันอีกแล้วเหรอ

ทำไมไม่เข็ดสักทีวะ เมื่อวานก็ทีหนึ่งแล้ว มาวันนี้ยังจะกลัวเสียหน้า ไม่กล้าพูดต่อหน้าไอ้เก้าอีก แล้วเป็นไงล่ะ...พังหมดไม่เหลืออะไรเลยสักอย่าง

“แม่ครับ” ผมกอดแม่แล้วเม้มปากแน่น “ทำไมเวลาผมตั้งใจจะทำอะไรถึงไม่เคยทันเลย เพราะผมเป็นพวกคิดช้า มัวแต่รักษาหน้าเหรอครับแม่”

“หมดสภาพเลยนะเรา” ผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุดในชีวิตพึมพำเสียงแผ่ว มือบอบบางลูบหัวผมเบาๆ ราวกับจะปลอบประโลม “ไหนบอกแม่สิว่าเราคิดอะไรอยู่”

“ผมมันโง่ที่ทำอะไรช้าไปหมด”

“…”

“เวลามีโอกาสก็ไม่ยอมพูด”

“…”

“มีแค่เขาที่พยายามอยู่คนเดียว”

“แสดงว่าถึงตาลูกแล้วสิ”

ผมเงยหน้ามองแม่แล้วกะพริบตาปริบๆ ความร้อนที่ขอบตาจางหายไปพร้อมกับที่โดนเขกหน้าผากเบาๆ หนึ่งทีราวกับต้องการเตือนสติ ใบหน้าของท่านยังคงอ่อนโยนเหมือนทุกครั้ง แม้เสียงที่พูดออกมาจะดูเหมือนกำลังตำหนิมากขนาดไหนก็ตาม

“ตาผม...”

“ถ้าบอกว่าตลอดมามีแค่เขาที่เป็นฝ่ายพยายาม งั้นตอนนี้ก็ถึงตาลูกพยายามบ้างแล้วไม่ใช่เหรอ”

“…”

“อุตส่าห์เจอสิ่งที่ขาดหายไปแล้ว ถ้าไม่สู้ให้ถึงที่สุดก็เสียชื่อหมอเจไดตายเลย” ท่านยิ้มจางแล้วลูบแก้มผมเบาๆ เพียงเท่านั้นหนทางที่มืดมิดของผมก็ดูราวกับจะมีแสงสว่างเล็ดลอดเข้ามาทีละน้อย

“วันนี้ผมต้องไปทำงาน...”

“ถ้าครั้งนี้ลูกพยายามจนไปทัน...เพื่อนสนิทที่เป็นห่วงลูกมากๆ คนนั้นต้องมีของรางวัลให้แน่ๆ” แม่ส่ายหน้าเมื่อผมทำท่าจะถามต่อ เพราะเรื่องที่ท่านพูดออกมาไม่เกี่ยวข้องกับการทำงานของผมเลย ถึงอย่างนั้นผมก็ยังเชื่อว่าแม่ต้องมีเหตุผล

“ผมรักแม่นะครับ”

“ไปตามลูกเขยกลับมาหาแม่ให้ได้นะ”

หลังโผเข้ากอดท่านอีกครั้งแล้ว ผมก็รีบวิ่งขึ้นไปเก็บข้าวของด้านบน ไม่สนใจแม้แต่จะอาบน้ำ แค่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วคว้ากุญแจรถที่ไม่ได้ขับมานานลงไปด้วย เมอซิเดสคันโปรดยังคงดูดีและไม่ทำให้ผิดหวังแม้ผมจะทิ้งมันมานานหลายเดือนก็ตาม

ตลอดทางผมกดโทรศัพท์หาไอ้เก้าแค่รอบเดียว มันรับโทรศัพท์แล้วพูดแค่ว่าเครื่องออกกี่โมงก่อนจะวางสายไป เพียงแค่นั้นผมก็เข้าใจในทันทีว่าทุกอย่างมันวางแผนเอาไว้หมดแล้ว ถ้าผมไม่ไป เอาแต่หดหู่ ผมก็จะไม่ได้รับความช่วยเหลืออะไรทั้งนั้น แต่ถ้าผมพยายาม อย่างน้อยก็เริ่มจากการพยายามไปหามันให้ทัน พยายามไปพูดสิ่งที่คิดให้พี่ภูฟัง บางทีผมอาจได้รับความช่วยเหลือจากพวกเขาก็ได้

“ไอ้เก้า!” ผมตะโกนเรียกเสียงดัง ไม่สนใจสายตาของใครทั้งนั้น เพราะเห็นไอ้เก้ากับพี่ภูที่อยู่ท่ามกลางพี่การ์ดลุกจากที่นั่ง แค่มองดูก็รู้ว่ากำลังจะไปแล้วแน่ๆ

“หือ...ไม่คิดว่าจะมานะเนี่ย” ไอ้เก้าที่เดินฝ่ากลุ่มพี่ชุดดำออกมาทักทายผมพร้อมรอยยิ้ม ในมือถือกระดาษใบหนึ่งไว้และกำลังโบกสะบัดมันไปมา “คิดว่าเจ้านี่จะไร้ประโยชน์ซะแล้ว”

“ไม่ต้องพูดมากเลยมึงน่ะ”

“ไม่พูดก็ไม่พูด” มันยักไหล่ไม่แคร์ ก่อนจะเดินหัวเราะฮ่าๆ กลับไปหาคนหน้าดุที่ยืนรออยู่ “มีอะไรจะคุยกับพี่ภูใช่ไหม ให้กูออกไปก่อนหรือเปล่า”

“ไม่ต้อง” ผมตอบทันควัน และทันได้เห็นสีหน้าแปลกใจน้อยๆ ของทั้งไอ้เก้าและพี่ภูพอดี ถึงแม้จะแค่แวบเดียวก็ตาม

“พูดมาสิ” คนหน้าดุที่ทำให้ผมนึกถึงภามมากขึ้นทุกทีเอ่ยเสียงเรียบ ใบหน้าคมคายดุดันยังคงไร้อารมณ์ หากท่าทางที่ดูราวกับพร้อมรับฟังทุกเรื่องของเขาทำให้ผมใจชื้นขึ้นไม่น้อย

“ผมปล่อยภามไปไม่ได้ครับ”

“…”

“เพราะผมเองก็คิดแบบเดียวกันกับเขา”

แค่พูดมันออกไป...ไม่ต้องสนใจว่าใครจะมองอยู่ หรือใครจะเอาไปแซวทีหลัง สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่สายตาของคนเหล่านั้น แต่เป็นความรู้สึกระหว่างผมกับภามที่ผมมองข้ามมาโดยตลอด

“งั้นเหรอ” พี่ภูจ้องหน้าผมเงียบๆ พักหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็พยักหน้าให้เก้า แล้วหันหลังเดินนำไปโดยไม่พูดอะไรเพิ่มเติมอีก เหลือเพียงไอ้เพื่อนตัวดีของผมที่ทำหน้าตาแปลกใจเดินจ้ำเข้ามาหา

“เกินคาดว่ะ” มันตบบ่าผมเบาๆ แล้วส่งกระดาษที่ถือมาให้ “ที่เหลือก็ความสามารถมึงละ”

“ขอบใจ”

“แล้วก็...ภามยังไม่ได้ออกจากประเทศ นี่คือเรื่องที่พี่ภูจะบอก ถ้ามึงให้คำตอบที่เขาพอใจ” น้ำเสียงของไอ้เก้าดูจริงจังขึ้นเล็กน้อย แม้ท่าทางจะกวนตีนเหมือนเดิม แต่มันคงดูออกว่าผมเครียดมากจนเล่นด้วยไม่ลง “ต้องเข้าใจนะว่ามึงดันทำน้องเขาเสียใจ จะให้บอกง่ายๆ ก็เกินไป ครั้งนี้ถ้ายังปากแข็งทำภามหนีไปอีก ระวังพี่เขาเอาตัวคืน กูช่วยไม่ได้แล้วนะ”

“รู้แล้วน่า” ผมพยักหน้าแล้วยิ้มให้เก้าอีกรอบ ต่อให้ไม่พูดออกมาผมก็รู้ว่ามันคอยช่วยเหลืออยู่ตลอด อย่างที่มาถึงแล้วพี่ภูยังรออยู่แบบนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้เก้ามีหรือนักธุรกิจแบบเขาจะยังอยู่ที่นี่ คนระดับนั้นไม่มีทางต้องมานั่งรอเวลาขึ้นเครื่องอยู่แล้ว

หลังยืนส่งจนพวกนั้นเดินจากไปหมดแล้ว ผมถึงได้เปิดกระดาษที่ไอ้เก้าส่งให้ดู ด้านในเป็นข้อความสั้นๆ ไม่กี่ประโยค ใจความสำคัญบอกว่าให้ผมลาหยุดได้ห้าวัน แต่พอหมดเวลาแล้วต้องมาเข้าเวรชดเชยเวลาทั้งหมด หมายความว่าผมต้องทำงานหนักกว่าเดิม นอนน้อยกว่าเดิม แต่ไม่เป็นไร...

ถ้าเคลียร์กับภามได้ ต่อให้ต้องทำงานหนักกว่านี้อีกกี่เท่าก็ไม่เป็นไร

ตอนนี้ปากดีทำเท่ไปก่อน ถึงเวลาจะตายขึ้นมาค่อยไปอ้อนวอนให้เขาบีบนวดให้แล้วกัน

จะว่าไปแล้วที่กระดาษเอสี่ธรรมดาๆ นี่มีความสำคัญ คงไม่ใช่แค่เพราะเนื้อหาที่ถูกเขียนจากปากกาลูกลื่นธรรมดาซึ่งเป็นลายมือของไอ้เก้าหรอก แต่มันจะมีผลได้ก็เพราะลายเซ็นของพ่อผมที่อยู่มุมล่างต่างหาก ที่เมื่อวานมันออกจากห้องไปหาพ่อแม่ผม ที่แท้ก็เพื่อไปขออนุญาตจากท่านนี่เอง

“แผนสูงไม่เปลี่ยน...” แต่ก็ต้องขอบคุณล่ะนะ เพราะนอกจากกระดาษแผ่นนั้นแล้วมันยังยัดตั๋วเครื่องบินที่มีโพสต์อิทอันเล็กๆ ติดไว้ให้ผมก่อนจะไปด้วย

‘กูแอบซื้อให้ จดจำบุญคุณครั้งนี้ไว้ซะ’

สมเป็นมันจริงๆ...

ผมส่ายหน้าหน่าย ทั้งขอบคุณและหน่ายใจกับความเจ้าเล่ห์เหลือร้ายของมัน ทว่าเมื่อได้เห็นชื่อจังหวัดปลายทาง ผมก็ทดบุญคุณของมันเอาไว้ในใจทันที

เพราะตอนนี้ผมรู้แล้วว่าภามอยู่ที่ไหน...

ยังมีเวลาอีกพักใหญ่ก่อนเครื่องจะออก ผมไม่ได้ขับรถกลับบ้าน แต่ให้แม่ช่วยเตรียมข้าวของแล้วให้พี่ยามเอามาส่งที่สนามบิน ฝากรถขับกลับไปแบบไม่หวงของ เพราะพี่ยามคนนี้ไว้ใจได้อยู่แล้ว เห็นกันมานานและช่วยเหลือกันมาโดยตลอด

“โชคดีนะครับคุณหมอ”

“ขอบคุณครับพี่” ผมโบกมือลาพี่ยามแล้วสะพายเป้ขึ้นบ่า กำลังใจที่จางหายกลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้งเพราะเริ่มมองเห็นจุดหมายปลายทาง ยิ่งรู้ว่าเขาหายไปอยู่ไหนผมก็ยิ่งยิ้มกว้าง

ภามไม่ได้หนี...แต่กลับไปที่เดิม

ตลอดเวลาที่อยู่บนเครื่องบิน ผมเอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่คิดจะหลับหรือรู้สึกง่วงเลยสักนิด ระยะห่างที่น้อยลงเรื่อยๆ บ่งบอกให้รู้ว่าอีกไม่นานผมก็จะได้เจอเขาอีกครั้ง และจะได้แก้ไขความเข้าใจผิดทั้งหมด ทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ผมจะตื่นขึ้นมาเจอภามเหมือนทุกเช้า จะไม่ต้องหงอยแค่เพราะไม่ได้เจอกันวันเดียวแบบนี้อีก

คราวนี้จะจับไว้ให้แน่น ไม่มีทางปล่อยไปไหนแล้ว

เวลาผ่านไปนานกี่ชั่วโมงก็ไม่รู้ในความเป็นจริง หากความรู้สึกผมเหมือนยาวนานนับปี เมื่อต้องนั่งนับเข็มวินาทีอยู่ทุกชั่วขณะ จิตใจพะว้าพะวงถึงเรื่องราวของเขาไม่มีหยุด

ทันทีที่ลงจากเครื่องบิน ผมก็รีบพุ่งตรงออกไปด้านนอกทันที ท้องฟ้าที่ไม่ค่อยมีแสงแดดและสายลมที่พัดโชยความหนาวเย็นมาหาทำให้รู้สึกเหมือนได้กลับไปยังช่วงเวลาที่เคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก ถึงแม้ฤดูและเวลาจะเปลี่ยนแปลงไป แต่บรรยากาศและความร่มเย็นที่สัมผัสได้เพียงแค่นึกถึงนั้นยังคงเดิมไม่มีเปลี่ยน

ผมเรียกรถแท็กซี่แล้วมุ่งตรงไปยังหาดที่เคยมาเมื่อหลายเดือนก่อน ใช้เวลาไม่นานนักภาพหาดทรายสีขาวสะอาดตาและทะเลสีครามสดใสก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ผมยิ้มกว้างจนไม่รู้จะกว้างยังไง คิดถึงจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ ตอนทำงานอยู่กรุงเทพฯ อาจมีนึกถึงบ้างบางเวลา แต่เมื่อได้กลับมาถึงรู้ว่าคิดถึงมากมายขนาดไหน

ไม่ใช่แค่เด็กๆ ไม่ใช่แค่ชาวบ้าน ไม่ใช่แค่บรรยากาศ แต่เป็นเพราะที่นี่มีความทรงจำมากมายระหว่างผมกับภามแฝงอยู่ มันถึงได้สำคัญและเป็นที่จดจำมากถึงขนาดนี้

“จอดตรงนี้เลยครับพี่” ผมชี้นิ้วไปริมหาด ตรงจุดที่มีเรือสปีดโบ๊ทจอดอยู่ หลังจ่ายเงินเรียบร้อยแล้วก็แบกเป้ลงไป เดินตรงเข้าไปหาคุณลุงที่ดูท่าทางน่าจะเป็นคนดูแลเรือแถบนี้

ครั้งก่อนที่ผมกับภามเข้าไปในเกาะ เราไม่ได้เดินมาจนถึงจุดนี้ เพราะไปเจอคุณลุงที่เป็นคนของไอ้เก้าเข้าเสียก่อน แต่ตอนขับรถผ่านผมมองหาดูแล้วไม่เจอเรือสักลำ เลยให้พี่แท็กซี่ขับมาจอดตรงจุดที่มีเรือจอดอยู่แน่ๆ แทน

“ลุงครับ”

“ว่าไงไอ้หนุ่ม” คุณลุงที่กำลังก้มหน้าก้มตาจดบันทึกอะไรบางอย่างกับโต๊ะไม้ตัวเล็กๆ เงยหน้ามองผมด้วยท่าทีดุดัน

“คือผมอยากให้พาไปที่เกาะนี้หน่อยครับ” ผมพูดแล้วยื่นแผนที่เกาะซึ่งภามเคยส่งให้เมื่อนานมาแล้วไปให้ลุงแกดู

“เอ้า...เกาะของนายไม่ใช่เรอะ”

“หือ…” คราวนี้ผมถึงกับชะงักไปนาน เหมือนจะเริ่มคาดเดาอะไรได้ลางๆ “หรือว่าท่าเรือนี้...”

“ก็ของนายน่ะสิ ว่าแต่คุณเป็นเพื่อนนายเรอะ”

จำได้ว่าตอนนั้นลุงคนขับเรือก็เคยพูดว่าพี่ภูกับไอ้เก้าเป็นคนออกทุนทำธุรกิจให้เหมือนกัน แต่อะไรมันจะบังเอิญขนาดนี้วะเนี่ย จะขยายแวดวงธุรกิจของตัวเองมากเกินไปไหม รวยจนไม่รู้จะรวยยังไงแล้ว

“คือผม...เป็นเพื่อนเก้าน่ะครับ” ผมยิ้มแหยแล้้วตอบไปตามความจริง ซึ่งดูเหมือนมันจะได้ผลพอควร เพราะพอได้ยินชื่อไอ้เก้า ลุงแกก็เปลี่ยนท่าทีใหม่ จากที่ดูดุดันกลายเป็นอารมณ์ดีแทบจะทันที

“เพื่อนคุณเก้านี่เอง จะเข้าไปเกาะส่วนตัวหรือครับ”

“ใช่ครับ”

“ไปพรุ่งนี้ได้ไหมครับคุณ อีกเดี๋ยวจะมีทัวร์มาลงสองกลุ่ม เขาเหมาเรือผมไว้หมดเลย ถ้าเข้าเกาะคงใช้เวลานานพอควร กลับมารับแขกไม่ทันแน่ๆ”

“งั้นเหรอ” คิดว่าจะได้เจอกันวันนี้เสียอีก แต่ทำไงได้... “งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าผมมาใหม่ก็ได้ครับ”

“ว่าแต่มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ เข้าเกาะติดๆ กันเลย เมื่อเช้าน้องชายนายก็เพิ่งเข้าเกาะไปเหมือนกัน หรือจะมีงานเลี้ยงอะไร” ลุงแกพูดแล้วย่นคิ้วสงสัย แต่หัวสมองผมไม่รับรู้อะไรตั้งแต่ได้ยินคำว่าน้องชายนายก็เพิ่งเข้าเกาะไปแล้ว

ภามอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย...

“ไม่ได้มีงานอะไรหรอกครับ ผมแค่กลับมาเยี่ยมน่ะ” ผมรีบดึงสติกลับมาตอบคุณลุง ทั้งที่ปากกำลังยิ้มกว้าง ควบคุมอารมณ์และสีหน้าของตัวเองไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว

“งั้นพรุ่งนี้ผมจะเตรียมเรือไว้ให้นะ”

“ขอบคุณมากครับลุง”

หลังยกมือไหว้ร่ำลาคุณลุงเรียบร้อยแล้ว ผมก็แบกกระเป๋าเดินขึ้นหาดเพื่อไปตามหาที่พักอย่างมีความสุข ใจจริงอยากจะหาวิธีเข้าเกาะตั้งแต่ตอนนี้ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไงดี มองๆ ดูแล้วแถบนี้น่าจะมีเรือเจ้าเดียวด้วย และถึงมีเจ้าอื่นก็คงไม่ยอมเข้าเขตเกาะส่วนตัวแน่ๆ

ไม่เป็นไร...พรุ่งนี้ผมจะออกแต่เช้า ไปนั่งรอคุณลุงที่ท่าเรือ ถ้ามีคนขับเมื่อไหร่ก็จะรีบออกทันที ไม่ปล่อยให้ภามรอนานแน่ๆ

โรงแรมที่ผมเลือกมาพักเป็นโรงแรมเดียวกันกับที่เคยมาพักกับภาม ถึงจะไม่ได้นอนห้องเดิมแล้ว แต่บรรยากาศและข้าวของต่างๆ ก็เหมือนกันมากจนอดทำให้นึกถึงตอนนั้นไม่ได้ ยิ่งเห็นก็ยิ่งคิดถึงเขาเข้าไปใหญ่ จนสุดท้ายทำได้เพียงล้มตัวลงนอนบนเตียง กางแขนกางขาให้เต็มพื้นที่ จะได้ไม่รู้สึกว่าข้างกายว่างเปล่ามากเกินไป แม้มันจะไม่ได้ช่วยเท่าไหร่ก็ตาม

ผมไม่ได้ออกไปหาอะไรกินเลยสักนิด ทั้งยังไม่รู้สึกอยากอาหารเลยด้วย รู้สึกตัวอีกทีก็นอนว่างมาจนถึงสองทุ่ม ท้องฟ้าด้านนอกเปลี่ยนเป็นสีมืดครึ้ม แสงไฟจากตลาดด้านนอกระเบียงทำให้รู้สึกเหงายิ่งขึ้นไปอีก เพราะแค่มองก็คิดถึงความทรงจำที่มีร่วมกับภามอีกแล้ว

แยกกันแค่วันเดียวยังทำเหมือนจะตาย คงอาการหนักมากจริงๆ แต่จะโทษผมก็ไม่ได้หรอก เพราะภามต่างหากที่เป็นต้นเหตุ ทำให้ผมเสพติดการมีอยู่ของเขามากขนาดนี้

ครืด ครืด

“โหล”

[โอ้...ยังโทรได้อยู่ แสดงว่าข้ามเกาะไม่ได้สินะ] เสียงพูดด้วยความประหลาดใจแบบเสแสร้งของปลายสายทำเอาอารมณ์ผมบูดขึ้นมากะทันหัน

“ถึงอังกฤษแล้วก็โทรมากวนตีนกูเลยหรือไง”

[โทรมาถามความคืบหน้าเฉยๆ เอง] มันว่าแล้วหัวเราะฮ่าๆ แบบไม่สนใจอารมณ์ของผมเลยสักนิด จะว่าชินก็ชิน แต่ก็ยังหมั่นไส้อยู่เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน

“ไม่ต้องลีลา โทรมาแบบนี้มึงมีอะไรแน่ๆ” เป็นเพื่อนกันมานับสิบปี คนอย่างมันไม่เคยโทรมาเฉยๆ แบบไม่มีจุดมุ่งหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาแบบนี้ เพราะงั้นมันต้องคิดอยากทำอะไรสักอย่างอยู่แน่นอน

[มองโลกในแง่ร้ายจริงๆ กูไม่มีอะไรจะคุยกับมึงหรอก แต่อีกคนน่ะมี] หลังจากมันพูดจบ เสียงกุกกักก็ดังขึ้นเหมือนโทรศัพท์กำลังถูกเปลี่ยนมือ ผมเผลอผุดลุกขึ้นนั่งโดยอัตโนมัติเมื่อเริ่มรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมา ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะให้ใครมาคุยด้วย แต่แล้ว... [ฮัลโหล]

สำเนียงอังกฤษแท้แบบนี้...

“สวัสดีครับ”

[เจไดใช่ไหม พ่อชื่อออสตินนะ เป็นพ่อของภามน่ะ]

ให้ตายเถอะ...มันเล่นเอาพ่อภามมาคุยเลยเหรอวะ

“คะ...ครับคุณพ่อ” ผมพูดเสียงตะกุกตะกัก ไม่รู้เพราะตื่นเต้นที่ได้คุยกับผู้ใหญ่ หรือเพราะตื่นเต้นที่ได้คุยกับพ่อของคนที่ตัวเองชอบแล้วยังเพิ่งทำเขาเจ็บไปด้วย

[ไม่ต้องเกร็งหรอก พ่อแค่มีอะไรจะคุยด้วยนิดหน่อยน่ะ] ท่านพูดอย่างใจดีเหมือนต้องการให้ผมใจเย็นลง ไม่ได้มีความกดดันใดๆ ในน้ำเสียงเลยแม้แต่น้อย

“ครับ”

[จริงๆ ภูไม่เห็นด้วยที่พ่อจะเอาเรื่องนี้มาบอก เพราะคิดว่าภามควรเป็นคนบอกเราเองมากกว่า แต่ไม่รู้ทำไมพ่อถึงรู้สึกว่าควรบอกเราเอาไว้ จะว่าเป็นลางสังหรณ์ของคนเป็นพ่อก็ได้มั้ง]

“คุณพ่อ...หมายถึงเรื่องอะไรเหรอครับ”

[ภามเคยเล่าเรื่องในวัยเด็กให้ฟังไหม...เรื่องแม่แท้ๆ ของเขา]

แม่แท้ๆ งั้นเหรอ...

“ไม่ครับ ไม่เคยเลย” ถึงจะสังเกตเห็นมาตลอดว่าภามมีอะไรในใจ แต่ผมก็ไม่เคยคิดถาม เพราะกลัวว่ามันจะส่งผลกระทบต่อเขา ทำให้เกิดอะไรที่คาดไม่ถึงขึ้นมา

[คงเป็นเพราะเขาอยากทิ้งมันเอาไว้เบื้องหลัง...] คุณพ่อถอนหายใจเบาๆ น้ำเสียงดูเจ็บปวดจนผมสัมผัสได้แม้จะไม่เห็นหน้า [ต่อให้ตอนนี้ภามอาการดีขึ้นมากขนาดไหน แต่โรคที่เขาเป็นมันไม่มีวันหาย ทำได้เพียงดูแลรักษาให้อาการดีขึ้น และอย่าให้เรื่องราวที่กระทบกระเทือนจิตใจตามกลับมาหลอกหลอนจนกลับไปมีอาการอีกครั้งเท่านั้น]

“โรค...โรคเหรอครับ”

[ภามเป็นโรคซึมเศร้ามานานหลายปี ตั้งแต่ที่เกิดเหตุการณ์ไม่น่าจดจำนั่นขึ้นเขาก็ไม่ยอมคุยกับใคร เอาแต่หมกตัวเองอยู่ในห้องนานนับสิบปี จนกระทั่งเมื่อเจ็ดแปดปีก่อนที่อาการดีขึ้นมากจนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ]

“เหตุการณ์ที่ว่านั่น...”

[เป็นเรื่องเกี่ยวกับแม่แท้ๆ ของภาม...]

ผมกำมือเย็นเฉียบของตัวเองเอาไว้แน่น ไม่กล้าแม้แต่จะกะพริบตาตอนที่ได้ฟังเรื่องราวมากมายเหล่านั้น กระทั่งยามที่คุณพ่อวางสายไปแล้ว ผมก็ยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ดวงตาทั้งสองข้างร้อนผ่าว แสบไปหมดจนต้องยกมือขึ้นขยี้เพื่อควบคุมอารมณ์ให้เข้าที่อีกครั้ง

ถ้าผมรู้สักนิด...

ถ้าผมรู้ว่าเขาเป็นอะไร...

ผมจะไม่มีวันยอมให้เขาต้องเจ็บปวดแบบนี้เด็ดขาด

แหวนที่ห้อยคออยู่ตลอดถูกหยิบขึ้นมาดูอีกครั้ง ทว่าคราวนี้ผมไม่ได้จ้องมองมันเพราะไม่มีอะไรทำ แต่เลือกจ้องมองมัน เพื่อหาความหมายที่ซ่อนอยู่ภายใน

เรื่องราวที่ซ้อนทับกัน...

คำพูดทีี่เขาเคยบอก...

   ‘ตั้งใจมองสิ’

ทั้งหมดไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ภามไม่ได้รู้ความหมายเพราะเขาอ่านมันออก

ตัวอักษรที่สลักอยู่บนแหวน แท้จริงแล้วเป็นเพียงถ้อยคำเรียบง่าย...เพื่อบอกให้รู้ว่าเจ้าของคือใคร

มันอ่านว่า...

‘ภาม’

เขารู้ความหมาย...เพราะเขาคือคนที่มอบแหวนวงนี้ให้กับผม



——————————

 

แจ้งข่าว... อนาคินจะเปิดจองประมาณมกราคมค่ะ ออกกับสำนักพิมพ์ฟาไฉ มี2เล่มจบ + Box ตอนพิเศษในเล่ม 9 ตอน รอนานหน่อยแต่คุ้มค่ากับการรอแน่นอนค่ะ

ส่วนช่วงพย. เราจะมี Re-print ไนโตรเจนนะคะ
ติดตามข่าวสารต่างๆ ได้ที่ เพจ Chesshire. หรือทวิตเตอร์ @Chesshire04

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.31]== [14/09/61]
«ตอบ #169 เมื่อ14-09-2018 17:56:10 »

พรุ่งนี้ก็ได้เจอแล้ว  :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.31]== [14/09/61]
« ตอบ #169 เมื่อ: 14-09-2018 17:56:10 »





ออฟไลน์ toomild

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.31]== [14/09/61]
«ตอบ #170 เมื่อ14-09-2018 18:37:51 »

สงสารรรรรรร ต่อจากนี้เจไดก็ดูแลภามให้ดีนะคะ อย่าปากหนักเลย :hao5:

ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 224
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.31]== [14/09/61]
«ตอบ #171 เมื่อ14-09-2018 19:07:22 »

คุณหมอสู้ๆ อุตส่าห์ชื่อเจไดอย่างเท่แล้ว ห้ามกากอีกนา

ออฟไลน์ killua1a

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.31]== [14/09/61]
«ตอบ #172 เมื่อ14-09-2018 19:39:53 »

ง้อให้สำเร็จนะเจได  :กอด1:

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2590
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.31]== [14/09/61]
«ตอบ #173 เมื่อ14-09-2018 20:10:03 »

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.31]== [14/09/61]
«ตอบ #174 เมื่อ15-09-2018 11:32:02 »

พยายามเข้า

ออฟไลน์ ●GreenTEA●

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 684
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.31]== [14/09/61]
«ตอบ #175 เมื่อ15-09-2018 11:48:59 »

สู้ๆนะเจได

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.31]== [14/09/61]
«ตอบ #176 เมื่อ15-09-2018 21:45:40 »

-32-


‘ภามเห็นเหตุการณ์ตอนที่แม่แท้ๆ ของเขาถูกโจรทำร้ายจนเสียชีวิตต่อหน้าต่อตา เขาผูกติดตัวเองไว้กับความทรงจำอันแสนเลวร้ายมานานหลายปี ไม่พูดคุยกับใคร ไม่เล่าให้ใครฟัง ตอนที่อาการดีขึ้นจนอาหมอของเขาบอกว่าไม่ต้องพบจิตแพทย์ทุกอาทิตย์แล้ว เด็กคนนั้นตัดสินใจบอกครอบครัวว่าตัวเองจะเดินทางท่องเที่ยวไปรอบโลก นั่นมันก็ผ่านมาเจ็ดแปดปีแล้วล่ะนะ ภามเองก็โตขึ้นมากทีเดียว ถึงอย่างนั้นพ่อก็ยังเป็นห่วงเขาไม่เคยเปลี่ยน’

‘…’

‘ทุกครั้งที่พ่อถามว่าไปเที่ยวเป็นยังไงบ้าง เขาจะตอบแค่ว่าสวยดี หรือไม่ก็อากาศดี สั้นๆ ง่ายๆ แต่หมายความว่าไม่ได้พบเจออะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ จนกระทั่งครั้งล่าสุด...’

‘ครั้งล่าสุดเหรอครับ’

‘ใช่ ครั้งล่าสุดที่ได้ไปเที่ยวเกาะแห่งหนึ่งในประเทศไทย ภามเป็นฝ่ายโทรมาที่บ้านเองทั้งที่ไม่เคยทำ เขาพูดว่าเจอแล้วด้วยน้ำเสียงที่มีชีวิตชีวามากที่สุดเท่าที่พ่อเคยได้ยินมา เรารู้ไหมว่าเขาหมายถึงอะไร’

‘หมายถึง...ผม’

‘ใช่แล้ว พ่อกังวลมาตลอด ไม่รู้ว่าเราจะคิดแบบเดียวกันกับภามหรือเปล่า จนภูบอกว่าจะไปฟังคำตอบด้วยตัวเอง พอกลับมาแล้วพ่อถึงได้รู้ว่าเราคิดยังไง’

‘แต่ภามไม่ยอมคุยกับผม...’

‘เชื่อเถอะว่าถ้าเจอสิ่งที่ตามหาแล้ว ภามจะไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ แน่ เขาอาจแค่ต้องการเวลาตั้งต้นใหม่ เพราะเหมือนจะเข้าใจอะไรผิดไปสินะ ถ้าเราอดทนรออีกสักนิด พ่อเชื่อว่าภามต้องกลับมา จะหาว่าเห็นแก่ตัวก็ได้ แต่ช่วยรอให้เขากลับมาหน่อยได้หรือเปล่า’

‘ไม่ได้หรอกครับ’

‘…’

‘เพราะครั้งนี้ผมจะเป็นคนไปหาเขาเอง’



อาหมอที่ภามเคยพูดถึงแล้วผมนึกสงสัยในเวลานั้น ที่แท้คือจิตแพทย์ที่คอยดูแลเขามาโดยตลอด และที่ภามพูดเหมือนเข้าใจผมตั้งแต่ทีแรก เป็นเพราะเขาผ่านเหตุการณ์ที่แย่ยิ่งกว่ามาแล้ว

มาถึงตอนนี้ผมแน่ใจแล้วว่าการเจอกันของเรามันไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างเรา ทั้งการได้กลับมาเจอกันอีกครั้งในรอบหลายปี การได้ไปเที่ยวด้วยกัน ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ทุกอย่างถูกกำหนดไว้หมดแล้ว เขาเข้ามาในชีวิตผม...เพราะเราต่างเป็นสิ่งที่ขาดหายไปของกันและกันตั้งแต่แรก

“แล้วเขาจะคิดมากหรือเปล่า...” ผมผุดลุกขึ้นยืน เริ่มรู้สึกตื่นตระหนกเมื่อไม่อาจห้ามความคิดในแง่ร้ายของตัวเองได้

แต่ถ้าเขาน่าเป็นห่วงจริงๆ...พี่ภูจะยอมกลับไปง่ายๆ เหรอ

ไม่สิ...

‘เจได พ่อ...ไม่สิ...พวกเราฝากภามด้วยนะ’

ที่พี่ภูกับไอ้เก้ายอมกลับไปก่อน ที่พวกเขาจากไปโดยไม่รอพบภาม มันเป็นเพราะผมให้คำตอบกับเขาไปแล้วว่าจะดูแลภามเอง และเรื่องราวทั้งหมดมันก็เป็นเรื่องราวระหว่างเราสองคน

หมายความว่าพวกเขาไว้ใจผม...

โทรศัพท์ที่วางนิ่งอยู่ข้างเตียงถูกหยิบขึ้นมากดอย่างรวดเร็ว ผมภาวนาในใจเป็นร้อยรอบ ขอร้องให้ความบังเอิญมีอยู่จริงสักครั้ง ถึงจะใจชื้นขึ้นมาหน่อยเมื่อได้ยินเสียงรอสาย แต่ก็ยังวางใจไม่ได้อยู่ดี

[เฮ้ย! เอ็งรู้ได้ไงเนี่ยว่าข้ากำลังเข้าฝั่ง โทรมาได้จังหวะฉิบ]

“ไม้!” ผมผุดลุกขึ้นยืนด้วยความดีใจ ไม่เคยคิดขอบคุณความบังเอิญมากเท่านี้มาก่อน ถ้าโทรไวกว่านี้คงติดต่อกันไม่ได้ไปแล้ว “เพิ่งมาถึงเกาะเหรอ กลับตอนไหน”

[เพิ่งถึงเลยเนี่ย ข้ามาทำธุระให้ลุงเหม กลับพรุ่งนี้เช้า]

“ทำธุระนานไหม”

[ไม่นาน แค่ไปฝากเงินแป๊บเดียว เอ็งมีอะไรหรือเปล่า ดูลนๆ นะ] ไม้พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังตามไปด้วยยามเห็นว่าผมพูดจาไม่เหมือนปกติ

“ทำธุระเสร็จแล้วมาเจอกันหน่อย เดี๋ยวรอที่ล็อบบี้โรงแรมxxx”

[หา...นี่เอ็งอยู่ที่นี่เหรอ!] ปลายสายบ่นอะไรไม่รู้อีกสองสามประโยค ก่อนจะบอกว่าเอาไว้เจอกัน แล้วก็วางสายไปอย่างรวดเร็ว ท่าทางคงจะเร่งไปทำธุระให้เสร็จ ดูก็รู้ว่าอยากมาเจอผมขนาดไหน แต่คงไม่ได้อยากมาเจอเพราะคิดถึงอะไรหรอก น่าจะอยากเผือกมากกว่า

หลังจากจัดข้าวจัดของเรียบร้อยหมดแล้ว ผมก็คว้าข้าวของจำเป็นสองสามอย่างเดินออกไปจากห้อง กะจะไปรอไม้ด้านล่าง เผื่อว่าเขามาไวจะได้ไม่ต้องรอจนเสียเวลากันไปหมด เพราะตอนนี้คนที่รีบมากกว่าอาจไม่ใช่ไม้ แต่เป็นผมเอง

ล็อบบี้ของโรงแรมไม่ได้ใหญ่โตอะไรนัก แต่ก็มีพื้นที่นั่งพักอยู่สองสามจุด ผมเดินตรงไปนั่งบนเก้าอี้ติดกระจก คอยมองสอดส่องออกไปด้านนอกตลอดเวลา เผื่อว่าไม้มาแล้วจะได้รีบคุยกันให้รู้เรื่อง นั่งรออยู่อย่างนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง ร่างเล็กของเพื่อนที่ไม่ได้เจอมาหลายเดือนก็วิ่งไวๆ เข้ามาด้านใน สายตาส่ายไปมาเหมือนกำลังมองหาใคร และเมื่อเห็นผมโบกมือให้เขาก็รีบวิ่งเข้ามาหาทันที

“ไปคุยข้างบนเถอะ” ผมรีบพูดก่อนที่เขาจะยิงคำถามมาให้แล้วเดินนำไม้ไปที่ลิฟต์ เห็นสีหน้าอยากรู้อยากเห็นนั่นแล้วก็คาดเดาได้เลยว่าขึ้นไปถึงห้องคงโดนซักฟอกจนขาวสะอาดแน่นอน

ไม้มองไปรอบห้องด้วยท่าทีตื่นตาตื่นใจ เขาบอกว่าไม่เคยนอนโรงแรมแพงๆ ปกติจะมีหอพักรายวันเจ้าประจำเก็บห้องไว้ให้ทุกครั้งที่เข้าเมืองอยู่แล้ว นอนได้คืนสองคืนก็เดินทางกลับเข้าเกาะ เพราะงั้นถึงได้ดูตื่นเต้นสุดๆ ตอนผมบอกให้นอนที่นี่ด้วยกันเลยก็ได้

“เอ็งมานั่งนี่เลยไอ้หมอ” แขกผู้ไร้ความอดทนลากแขนผมให้เดินไปนั่งลงบนโซฟาข้างระเบียง ก่อนจะรีบนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

“คุยบนเตียงก็ได้นะ”

“ไม่ดีหรอก คนมีผัวแล้วจะมานั่งคุยกับผู้ชายคนอื่นบนเตียงได้ยังไง” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ส่ายหน้า “โดยเฉพาะเมียนายน้อย เดี๋ยวข้าก็หัวกุดหรอก”

เอาที่สบายใจ...

เพิ่งรู้ตัวเหมือนกันว่าไม่ได้รู้สึกแสลงหูกับไอ้คำว่าผัวๆ เมียๆ มากเท่าไหร่นัก

“เมื่อวานภามได้ไปที่เกาะหรือเปล่า” ผมถามเข้าเรื่องอย่างรวดเร็ว ไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่า แต่เมื่อได้เห็นสีหน้างุนงงของไม้ก็อดใจเสียไม่ได้ “ไม่เหรอ...”

“ไม่ใช่ไม่ได้มา แต่ไม่รู้” ไม้ยกมือเกาหัวแกรกๆ “ปกติเวลานายกับคุณเก้าเข้ามาที่เกาะก็ขับเรือไปจอดหน้าบ้านเลย ไม่ได้มาจอดตรงท่าเรือประมงของพวกข้า ถ้าไม่ใช่ว่ามีคนไปหาหรือพวกเขามาหาเองก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าใครเข้าใครออก”

จริงด้วย...บางทีภามอาจจะให้เรือไปจอดที่อื่นเพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขามาก็ได้

“ค่อยยังชั่วหน่อย...”

“ทีนี้เล่าให้ข้าฟังได้หรือยังว่ามีเรื่องอะไร ทำไมคุณหมออย่างเอ็งถึงมีเวลามาที่นี่” พอถึงคราวจริงจัง ไม้ก็เก็บท่าทีเฮฮาของตัวเองไว้ได้อย่างแนบเนียน เขาขมวดคิ้วมุ่น มองหน้าผมเหมือนต้องการคำตอบ แต่แววตากลับบ่งบอกชัดเจนว่ายินดีช่วยเหลือทุกอย่าง

“ภามเข้าใจฉันผิดเลยหนีมา” ผมรวบรัดคำตอบให้กระชับที่สุด แต่เหมือนมันจะกระชับไปหน่อยคนฟังถึงได้อ้าปากหวอ ทำหน้างงเหมือนจับต้นชนปลายไม่ถูก “คือ...ภามมาได้ยินตอนฉันพูดเล่นกับพ่อ เขาเลยเข้าใจผิด ขับรถหนีไปไหนไม่รู้ ติดต่อไม่ได้ตั้งแต่เมื่อวาน”

“เอ็งเลยคิดว่านายน้อยมาที่นี่?”

“ใช่”

“แล้วถ้า...” ไม้ทำหน้าลำบากใจ เหมือนไม่กล้าถามต่อเพราะกลัวว่ามันจะเป็นการทำลายความหวังของผม แต่ต่อให้ไม่พูดออกมา ผมก็เข้าใจอยู่ดีว่าเขาหมายถึงอะไร

แล้วถ้าภามไม่ได้มาที่นี่จะทำยังไง...

“ภามต้องอยู่ที่นี่แน่ๆ” ความมั่นใจไม่รู้ที่มานี้ไม่ได้เกิดจากท่ีผมเชื่อไอ้เก้า ไม่ได้เกิดจากที่คุณลุงคนขับเรือบอก แต่มันเกิดจากความรู้สึกลึกๆ ที่เคยปฏิเสธมาโดยตลอดและเพิ่งจะยอมรับได้เมื่อไม่นานมานี้

ความรู้สึกของผมบอกว่าภามต้องอยู่ที่นี่แน่นอน

“เข้าใจแล้ว เดี๋ยวข้าจะพาเอ็งเข้าเกาะเอง” ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด แต่ไม้ก็ยังเสนอตัวช่วยอย่างใจกว้าง และมันทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาก

ต่อให้คุณลุงคนนั้นรับปากไว้แล้วว่าตอนเช้าจะพาไปส่ง แต่เพราะไม่คุ้นเคยผมถึงเกรงใจพอควร ต่อให้อยากเข้าเกาะไวขนาดไหนก็คงไม่กล้าเร่งรัดอะไรมาก เพราะงั้นถึงเลือกโทรหาไม้ เผื่อว่าเขาจะเข้ามาที่นี่พอดี และถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจะ...

“เราเข้าเกาะกันเลยได้ไหม”

ตอนนี้จิตใจมันกระวนกระวายยังไงไม่รู้ ผมเป็นห่วงภาม อยากไปหาเขาเดี๋ยวนี้ ไม่อยากรอไปจนถึงตอนเช้าแล้ว

“เดี๋ยวๆ ไอ้หมอ เอ็งใจเย็นก่อน” ไม้ลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงเข้ามาหาผม มือยกขึ้นนวดไหล่ให้เหมือนต้องการช่วยให้ผ่อนคลาย แต่ในเวลานี้มันไม่ช่วยอะไรเลย

“ไม่ได้เหรอ”

“ไอ้ได้น่ะมันได้ แต่เอ็งอย่าลืมว่าเกาะเรามันไกล แล้วออกเดินทางตอนฟ้ามืดแบบนี้แถมยังไปกันแค่สองคน ยังไงก็อันตราย”

“นั่นสินะ” ลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปเลย ปกติพวกเรือที่พาเข้าเกาะเขาไม่ได้ขับไปไกลขนาดนั้น อีกอย่างคือพวกเขาล้วนมีอุปกรณ์เตรียมการต่างๆ พร้อม ไม่ใช่เรือแบบที่พวกชาวบ้านใช้ หรือต่อให้ไม้เอาเรือของคุณไฟมาก็ยังลำบากอยู่ดี ไหนจะสภาพอากาศที่ไม่รู้ว่าเป็นยังไงอีก

“เอางี้ดีกว่า” คนที่ยืนนวดไหล่ให้ผมอยู่หยุดมือ “ไปเดินเล่นข้างนอกกัน อยู่แบบนี้ต่อไปเอ็งประสาทเสียแน่”

เพราะไม่อาจเถียงอะไรได้เลยแม้แต่คำเดียว สุดท้ายผมเลยทำได้เพียงคว้ากระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์มาถือไว้ แล้วเดินตามไม้ออกไปด้านนอกแบบห่อเหี่ยว ถึงคนข้างกายจะร่าเริงสดใสขนาดไหนก็ไม่อาจทำให้ผมอารมณ์ดีตามไปด้วยได้ ตอนนี้ในหัวมีแต่ภาพคนหน้าตายขี้งอนที่รออยู่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี นอกจากรอให้ตอนเช้ามาถึงแล้วออกเรือไปพร้อมกับไม้

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า พรุ่งนี้ตีห้าเราออกเรือกันเลย พระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้นเอ็งก็ได้เจอนายน้อยแล้ว เชื่อข้าดิ” คนที่เดินอยู่ด้านข้างหันมาปลอบใจ ผมฟังแล้วก็ยกนาฬิกาขึ้นมาดู นับเวลาในใจเหมือนเด็กๆ

“อีกตั้งเจ็ดชั่วโมง”

“ยิ่งนับมันก็ยิ่งนานสิวะ” ไม้ทำหน้าตาเหมือนไม่ได้ดั่งใจ ทั้งยังเข้ามาถอดนาฬิกาผมออกอย่างถือวาสาสะ “เก็บไว้เลย ไม่ต้องมองนาฬิกาแล้ว เดี๋ยวก็จิตตกหรอก”

พอห่อเหี่ยวจนไม่รู้จะพูดอะไรเลยได้แต่เอานาฬิกายัดใส่กระเป๋ากางเกงเงียบๆ แล้วเงยหน้าสนใจบรรยากาศริมหาดแทน ภาพนักท่องเที่ยวที่เดินกันให้วุ่นทำให้รู้สึกคุ้นตาอยู่ไม่น้อย ยิ่งยามได้เห็นบรรดาร้านขายของกิน ร้านเล่นเกมต่างๆ นานา ภาพความทรงจำเก่าๆ ก็ยิ่งเด่นชัด

“เอ็งนี่มาได้จังหวะจริงๆ ช่วงปลายเดือนแบบนี้มีตลาด...เฮ้ย!” คนพูดลนลาน หันซ้ายหันขวาเหมือนคนกลัวความผิดแล้วรีบเดินเข้ามายืนบังผมไว้ “เอ็งทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ทำไมเนี่ย!”

ผมส่ายหน้าดิก ไม่ยอมตอบคำถาม เพราะกลัวว่าถ้าได้พูดไปแล้วจะยิ่งคิดถึงภาม ตอนที่เราเข้ามาในเมืองสมัยอยู่บนเกาะ เขากับผมก็พากันมาเดินเที่ยวแบบนี้ แล้วมันก็ตรงกับช่วงตลาดปลายเดือนแบบพอดิบพอดี คราวนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนเลยเห็นแต่ภาพเราสองคนเดินหาของกินกันให้วุ่นไปหมด

มีแต่ความทรงจำเต็มไปหมดเลย...

“พอๆ ยิ่งพาเดินยิ่งตาแดง เดี๋ยวคนอื่นก็เข้าใจว่าข้ารังแกเอ็งพอดี” ไม้บ่นงุ้งงิ้งอย่างหัวเสียแล้วลากผมให้เดินทะลุตลาดไปที่หาดแทน เขาดันให้ผมนั่งลงกับผืนทราย ก่อนจะทรุดตัวลงด้านข้าง “ดีขึ้นยัง”

“ลมเย็นดี แต่ว่า...”

ตรงนี้ก็เคยมานั่งกับภามเหมือนกัน...

“ฉิบ...ทำไมเหมือนอาการหนักกว่าเก่าอีกวะ”

จำได้ว่าวันนั้นฟ้าก็มืดแบบนี้ มองเห็นดาวแบบนี้ ทะเลเป็นแบบนี้ ทุกอย่างเหมือนกันไปหมด แตกต่างกันเพียงแค่ตอนนี้คนที่นั่งอยู่ข้างผมไม่ใช่เขา

ไม่รู้เหมือนกันว่าผมนั่งเหม่ออยู่แบบนั้นนานแค่ไหน ลืมกระทั่งว่าข้างกายมีไม้นั่งอยู่ด้วย ถึงจะได้ยินเสียงเขาพูดคุยอะไรบางอย่างในโทรศัพท์ แต่ก็ไม่มีอารมณ์หันไปสนใจ ทั้งที่ปกติคงหันไปเผือกด้วยแล้วแท้ๆ

คนเราเวลาหดหู่มันน่ากลัวจริงๆ นั่นแหละ

แล้วภามล่ะ...เขาจะเป็นอะไรหรือเปล่า

“ไอ้หมอ” เสียงเรียกพร้อมแรงสะกิดจากคนด้านข้างทำให้ผมรู้สึกตัว ไม้ส่งโทรศัพท์มาให้แล้วพยักพเยิดเป็นเชิงบอกให้เอามันแนบหู ผมที่ไม่ค่อยมีสติอยู่แล้วเลยรับมาทำตามแบบมึนๆ

“ครับ”

[คุณหมอ]

“คุณไฟ?” ถึงจะไม่ได้ยินเสียงมาพักใหญ่แล้ว แต่ผมยังจำเสียงของคุณไฟได้ดี และมั่นใจมากว่าปลายสายคือเขา

[ไม้บอกผมว่าคุณต้องการความช่วยเหลือ]

“อา…” ผมหันไปมองไม้งงๆ ก่อนริมฝีปากจะผุดรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อยเมื่อจับเค้าลางบางอย่างได้ “ไม่มีใครช่วยอะไรผมได้หรอกครับ ว่าแต่คุณไฟเถอะ...ไม่คิดเลยว่าจะยังติดต่อกับไม้อยู่”

[ผมเองก็แปลกใจเหมือนกันครับที่เขาโทรมาหาก่อน ปกติต้องบังคับถึงจะ...]

“ถ้าไม่คิดจะช่วยอะไรก็วางสายไปเลยไป!” น้ำเสียงเจือความหัวร้อนจากคนที่นั่งกอดอกอยู่ข้างผมดังขึ้น พร้อมๆ กับที่เจ้าตัวทำหน้าบูด หรี่ตาลงเหมือนกำลังนับหนึ่งถึงสิบในใจ คาดว่าถ้ายังไม่ยอมหยุดคุยเรื่องนี้ เห็นทีไม้คงเข้ามายึดโทรศัพท์คืนไปแน่

[เหมือนจะมีคนหัวร้อนแล้ว งั้นคุณช่วยคุยกับคนคนหนึ่งหน่อยนะครับ อาจช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่ก็หวังว่าจะทำให้สบายใจขึ้นบ้าง]

“ผม…”

[คุณหมอ!]

“น้องลม!” ผมฉีกยิ้มกว้างเมื่อได้ยินเสียงเล็กๆ ที่ดังมาจากฝั่งนั้น ถึงจะเปลี่ยนไปนิดหน่อย ดูร่าเริงสดใสมากขึ้น แต่ก็ยังมีเค้าโครงของน้องลมอยู่มาก

[คุณพ่อบอกว่าคุณหมอไม่สบาย]

“หมอไม่ได้...” ไม่สิ...ถ้านับอาการทางใจที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็คงไม่สบายจริงๆ นั่นแหละ “ครับ หมอไม่สบายนิดหน่อย”

[คุณหมอเป็นอะไรเหรอครับ]

“หืม...ดูเหมือนจะมีเด็กพูดเก่งขึ้นนะเนี่ย” เมื่อก่อนเอาแต่เงียบ ถามคำตอบคำแท้ๆ เดี๋ยวนี้เสียงร่าเริงมาเชียว “หมอแค่ไม่สบายใจนิดหน่อยครับผม”

[ลมก็เคยไม่สบายใจครับ]

“แล้วตอนนั้นน้องลมเป็นอะไรเหรอ”

[ลมคิดถึงพี่ไม้] น้องเอ่ยเสียงใส ติดจะหงอยอยู่หน่อยๆ [คุณหมอไม่สบายใจเพราะคิดถึงใครอยู่เหมือนกันใช่ไหมครับ]

ไม่สบายเพราะคิดถึงใครงั้นเหรอ...

“ครับ” ผมยิ้มจาง ตอบโดยไม่คิดปิดบัง “หมอไม่สบายเพราะคิดถึงคนคนหนึ่งน่ะ น้องลมพอมีทางช่วยไหม”

ใครมาได้ยินอาจจะหาว่าผมบ้าก็ได้ ที่ถามหาหนทางแก้ไขความคิดถึงของตัวเองจากเด็กอายุไม่กี่ขวบ แถมยังเป็นการถามแบบจริงจัง ไม่ได้พูดเล่นด้วย แต่หากคนคนนั้นได้มาเผชิญกับความรู้สึกแบบเดียวกันกับที่ผมเป็นอยู่ พวกเขาคงเข้าใจได้ในที่สุดว่าเวลาที่คนเราไม่สบายใจ ไม่ว่าจะต้องขอความช่วยเหลือจากใคร ขอแค่มันช่วยได้บ้าง จะอะไรก็ไม่สำคัญทั้งนั้น

[ไปหาสิครับ]

“ไปหา...”

[ลมก็จะไปหาพี่ไม้เหมือนกัน คุณหมอก็รีบไปหาพี่ชายนะ] เสียงเจื้อยแจ้วของน้องทำให้ผมอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ [คุณพ่อบอกว่ารออีกนิดเดียวก็จะได้เจอแล้ว เพราะงั้นต้องอดทนไว้นะ]

อดทนไว้เหรอ...

“ครับ พี่หมอจะอดทนนะ จะไม่ยอมแพ้น้องลมเด็ดขาดเลย”

ขนาดเด็กชายตัวเล็กๆ ยังอดทนมาได้ตั้งหลายเดือน แล้วกับผมที่ไม่ได้เจอหน้าเขามาแค่วันเดียวจะยอมแพ้ได้ยังไง ถึงจะรู้ว่ามันเทียบกันแทบไม่ได้ แต่อย่างน้อยสิ่งที่น้องลมพูดมาก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาก ในเมื่อเป็นคนทำให้เขาหายไปเองแล้วจะมาคร่ำครวญให้ได้อะไร ต่อให้ร้องไห้อยู่ตรงนี้ก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดีเพราะเขาไม่ได้มาเห็นด้วย

ผมต้องไปหาภาม...ไปแก้ไขความเข้าใจผิดทั้งหมด ต้องไปขอโทษเขาด้วยตัวเอง และสิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ก็คือการอดทน ขนาดเขายังอดทนกับผมมาได้ตั้งนาน แล้วอีกแค่ไม่กี่ชั่วโมง ทำไมผมจะอดทนบ้างไม่ได้

“ขอบคุณมากนะไม้” ผมยื่นโทรศัพท์ไปให้ไม้แล้วยิ้มขอบคุณเขา ถ้าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายโทรไปหาน้องลม ให้เด็กอายุไม่กี่ขวบช่วยทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น ผมคงยังนั่งหงอยไม่เลิกแน่

“เออ แล้วเอ็งดีขึ้นหรือยัง”

“ดีขึ้นแล้ว”

ภามต้องไม่ชอบแน่ถ้ารู้ว่าผมงอแงเวลาที่ไม่ได้อยู่กับเขา เอาไว้ให้ได้เจอกันก่อนแล้วค่อยทำตัวเปื่อยเหมือนเดิมก็ยังไม่สาย แต่เวลานี้ต้องตั้งหน้าตั้งตารอเวลาไปก่อน ห้ามทำให้เขาเป็นห่วงเด็ดขาด

“แล้วเอ็งจะทำอะไรต่อ” ไม้ถามขึ้นเมื่อเห็นผมลุกขึ้นยืนปัดกางเกงที่เลอะทรายออก

“ไปหาอะไรกินแล้วขึ้นไปนอนกันเถอะ แป๊บเดียวก็เช้าแล้ว”

“ต้องแบบนี้สิถึงจะสมเป็นเอ็ง”

เราสองคนลุกขึ้นเดินกลับไปที่ตลาด ตามหาอาหารที่จะซื้อกลับไปกินบนห้อง ผมเดินซื้อนั่นซื้อนี่ตามที่อยากกินแล้วถือไว้จนเต็มสองมือ พอเริ่มคิดได้ความหิวที่สั่งสมมาตั้งแต่เช้าก็ตีรวนเข้ามาจนท้องร้องโครกครากไม่หยุด ขืนไปเจอภามในสภาพนี้คงโดนเขาตีแน่ๆ

ทั้งที่ตอนนี้ก็ดึกมากแล้วแต่ร้านค้าและร้านรถเข็นต่างๆ กลับยังเปิดไฟสว่างไสว แม้แต่นักท่องเที่ยวก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลยแม้แต่น้อย ผมกับไม้หันมามองหน้ากันเมื่อก้มลงมองข้าวของในมือแล้วพบว่ามันเยอะมากจนไม่รู้จะกินหมดหรือเปล่า

“กลับเลยไหม” เขาถาม

“กลับเลยก็ได้” เมื่อตกลงกันได้แล้วเราก็พากันเดินตัดผู้คนไปอีกทางเพื่อกลับไปที่โรงแรม หากยังไม่ทันได้ก้าวพ้นตัวตลาด เสียงพูดคุยกระซิบกระซาบจากทางด้านหลังก็ดังขึ้นเรื่อยๆ จนผมต้องหันกลับไปมองเหตุการณ์

“มีใครไม่รู้มาจอดเรือที่หาด ส่งเสียงโหวกเหวกดังมาถึงตลาดเลย”

“รีบกลับกันดีกว่า ฉันเริ่มกลัวแล้ว”

ผมมองผู้หญิงสองคนที่เดินผ่านหน้าไปด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนจะตัดสินใจเดินกลับไปทางเดิม แหวกฝูงชนที่ยืนมุงอะไรกันอยู่ไม่รู้เข้าไปด้านใน

“หมอ! มีใครเป็นหมอไหมครับ!”

“ช่วยด้วย ช่วยด้วยครับ!”

เสียงโหวกเหวกดังขึ้นพร้อมกับที่ผมมองเห็นร่างเปียกโชกของชายสองคนวิ่งจากหาดเข้ามาในตลาด บรรดานักท่องเที่ยวที่ยืนดูอยู่ต่างพากันตื่นตระหนก คงเป็นเพราะหนึ่งในนั้นมีเลือดอาบหน้า ทั้งสองส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือไม่หยุด ผมเองก็ตกใจไม่แพ้คนอื่น แต่พอเห็นหน้าตาเหมือนจะร้องไห้ของพวกเขาผมก็รีบดึงสติกลับมา ยัดถุงอาหารในมือทั้งหมดไปให้ไม้แล้ววิ่งเข้าไปหาชายสองคนนั้น

“ผมเป็นหมอครับ”

“คุณหมอ! ช่วย...ช่วยเพื่อนผมด้วยครับ” ชายคนที่เลือดอาบหน้าร้องห่มร้องไห้เสียงดัง ฟังจากที่เขาพูดแล้วดูเหมือนจะมีคนบาดเจ็บหนักนอกจากเขาอีก ถึงได้ดูไม่สนใจบาดแผลบนศีรษะเลยสักนิด

“เพื่อนคุณอยู่ไหนครับ”

ทั้งคู่วิ่งนำผมไปที่หาด ตรงไปที่เรือส่วนตัวขนาดเล็กคล้ายเรือของคุณไฟซึ่งจอดอยู่ในทะเล โดยมีไม้และนักท่องเที่ยวอีกสามสี่คนวิ่งตามมาด้วย ผมวิ่งลุยทะเลแบบไม่สนใจว่าตัวจะเปียกเพียงใด ก่อนจะรีบปีนขึ้นไปบนเรือ มองหาคนเจ็บจนทั่วแล้วจึงพบว่ามีชายคนหนึ่งนอนหงายอยู่บนพื้น ข้างกายมีผู้ชายตาแดงก่ำคนหนึ่งกำลังกดมือลงบนท้องของเขา

“โดนอะไรมา” ผมถามอย่างมีสติขณะพุ่งเข้าไปดูคนเจ็บ

“ดะ...โดนแทงครับ” 

“ไม้!”

“ว่าไงไอ้หมอ!” ไม้ตะโกนออกมาจากนอกเรือ คงเห็นว่าคนอยู่เยอะเลยไม่อยากเข้ามาเพิ่มอีก

“โทรเรียกรถพยาบาลกับตำรวจด่วนเลย”

“ได้”

“คุณ ไปเอาผ้าสะอาดมาหน่อย” ผมหันไปสั่งคนด้านหลัง ก่อนจะวางมือทับลงบนมืออันสั่นเทาของคนที่ทำท่าคล้ายจะร้องไห้อยู่ด้านข้าง “กดแผลแน่นๆ แล้วอดทนไว้ก่อน”

หลังจากได้ผ้าสะอาดมาแล้วผมก็เปลี่ยนเป็นคนกดปากแผลของคนเจ็บเอาไว้เอง คนที่น่าจะนั่งหลังแข็งมาตลอดถึงกับทรุดลงไปนั่งพับเพียบอย่างหมดแรง ทั้งยังปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมาจนดูน่าสงสาร

“ใจเย็นๆ ครับ เขาไม่เป็นไรหรอก” ผมพูดปลอบทั้งที่ยังกดผ้าลงบนบาดแผลอยู่ จากที่สำรวจดูผ่านๆ เหมือนจะไม่โดนจุดสำคัญอะไรแล้วแผลก็ไม่ได้ใหญ่มากด้วย แต่คงเพราะอยู่อย่างนี้มานานเกินไปคนเจ็บเลยหมดสติ

รถพยาบาลมาถึงในเวลาไม่นานหลังจากนั้น ผมช่วยดูแลคนเจ็บตั้งแต่อยู่บนเรือ ยันถูกขนย้ายไปบนรถที่มีอุปกรณ์ครบครันแล้วก็ยังช่วยจัดการต่อ กระทั่งถึงหน้าห้องฉุกเฉินแล้วจึงปล่อยให้เป็นหน้าที่แพทย์ ไม่นานหลังจากนั้นไม้ก็ตามมาทัน เขาวิ่งหน้าตาเข้ามาหาผมพร้อมกับเพื่อนคนอื่นๆ ที่ไม่เป็นอะไรของคนเจ็บ

“คุณหมอ ขอบคุณมากนะครับ ขอบคุณมากจริงๆ” ผู้ชายที่วิ่งขึ้นมาบนหาดพร้อมคนหัวแตกซึ่งมาถึงโรงพยาบาลก่อนแล้วเอ่ยซ้ำไปซ้ำมา ด้านข้างมีชายตัวเล็กที่คอยดูแลคนเจ็บก่อนผมไปถึงยืนตาแดงอยู่ด้วย

“ไม่เป็นไรครับ” ผมยิ้มให้ทั้งคู่แล้วนั่งลงบนเก้าอี้หน้าห้องฉุกเฉิน

“คุณหมอมาเที่ยวเหรอครับ” เขาชวนคุยขณะนั่งลงด้านข้าง “อ้อ...ผมชื่อบาสครับ ส่วนเจ้านี่ชื่อพิณ ไอ้ที่อยู่ในห้องฉุกเฉินนั่นชื่อกัน”

“ผมเจไดครับ ส่วนนี่ไม้” คนด้านข้างผมที่นั่งกินลูกชิ้นอยู่ยื่นหน้าไปผงกหัวให้นิดหน่อยก่อนจะกลับไปพิงพนักเหมือนเดิม

“อา...ครับ”

“ที่คุณถาม...ผมไม่ได้มาเที่ยวหรอกครับ มาตามหาคนน่ะ” ผมตอบตามความจริงแล้วยิ้มนิดๆ อดคิดถึงภามขึ้นมาอีกรอบไม่ได้

“คนสำคัญสินะครับ” พิณพูดแทรกขึ้นมาบ้าง เขายืนอยู่ด้านหน้าผม สีหน้าดูดีขึ้นจนแทบเป็นปกติแล้ว “คุณยิ้มตอนที่พูดถึงเขา”

คำพูดของพิณทำให้ผมสะกิดใจจนต้องเงยหน้าขึ้นมอง และเมื่อได้เห็นสีหน้าของชายที่น่าจะอายุน้อยกว่าพอควร ผมก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเขารู้ได้อย่างไร

ดูท่าทางคนที่อยู่ในห้องฉุกเฉินนั่นน่าจะอยู่ในสถานะเดียวกันกับภามสินะ...

“ครับ คนสำคัญ” สำคัญมากด้วย

เรานั่งเงียบกันอยู่พักใหญ่ ไม่มีใครพูดอะไรออกมา มีเพียงเสียงกินของไม้ และตามด้วยเสียงกินของผมหลังจากทนหิวไม่ไหว จะรักษาภาพพจน์ก็คงต้องท้องร้องไปอีกนาน เพราะงั้นไม่ทนดีกว่า

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” ไม้พูดขึ้นมาหลังจากที่น่าจะกินอิ่มแล้ว เขาส่งถุงขนมครกมาให้ผม จากนั้นหันไปถามพิณที่ยืนพิงผนังอยู่ “ทำไมเขาถึงโดนแทงได้”

“พวกเรามาเที่ยวกันหกคนครับ” พิณเริ่มพูดช้าๆ ดวงตาดูหวาดกลัวขึ้นมาเหมือนกำลังนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “มีเราสองคน พี่กันที่อยู่ในห้องฉุกเฉิน พี่กิตที่หัวแตก แล้วก็ฟิวส์กับฟาร์มที่ไปให้ปากคำกับตำรวจ”

“จริงๆ เรามีกำหนดกลับเข้าฝั่งกันพรุ่งนี้น่ะครับ” บาสพูดขึ้นแทนเมื่อเห็นพิณยกมือเช็ดน้ำตาป้อยๆ “แต่เพราะที่บ้านไอ้กันมันมีปัญหาเลยตัดสินใจขับเรือเข้าฝั่งกันเลย ไม่คิดว่าจะมีโจรขับเรือสองลำมาดัก พวกมันต้อนเราไปที่เกาะแห่งหนึ่ง เสร็จแล้วก็ขึ้นเรือมาขโมยของ ตอนแรกเรายอมเพราะพวกมันมีอาวุธแล้วยังมาเยอะกว่า แต่พอมันจะแตะไอ้พิณ ไอ้กันมันเลยเข้าไปขวางจนโดนแทงไปหนึ่งที”

“แล้วตอนนี้พวกมัน...”

“ไม่ทราบเหมือนกันครับ แต่ก่อนที่จะหนีไปพร้อมของมีค่าบนเรือ ผมเห็นพวกมันวิ่งเข้าไปในเกาะ”

ผมหันไปมองหน้าพิณที่ยังตาแดงก่ำแล้วก็เข้าใจเรื่องราว เด็กคนนี้หน้าตาดีมากแถมยังตัวเล็กนิดเดียว บนเรือแสงไม่ได้สว่างอะไรมากมายแถมยังเป็นเวลากลางคืน ไม่แปลกที่พวกโจรโรคจิตจะคิดว่าเป็นผู้หญิง

“เหตุการณ์เหมือนที่ไอ้คุณไฟนั่นเคยเจอเลยนะไอ้หมอ” ไม้พึมพำแล้วยกมือเกาหัว ผมเองก็พยักหน้าตามไปด้วย เหตุการณ์เหมือนกันมากจริงๆ นั่นแหละ

“ตอนนั้นคุณไฟก็เคยเตือนเหมือนกันให้ระวัง” ผมยังคิดอยู่เลยว่าถ้ามันมาเจอพวกชาวบ้านที่เกาะเข้าคงแย่ พวกเขาไม่มีอะไรไปสู้ ไหนจะบ้านนายที่ดูจากภายนอกแล้วเหมือนจะมีของมีค่าเยอะแยะอีก

“ไอ้คุณไฟมันแจ้งตำรวจตั้งแต่มาถึงฝั่ง แต่ข้าไม่เห็นจะได้ข่าวคราวอะไรเพิ่ม น่าจะยังจับไม่ได้ คงเป็นโจรกลุ่มเดียวกัน...เดี๋ยวนะ” คนพูดหันหน้ามาสบตากับผม พร้อมๆ กับที่เราลุกขึ้นยืนพร้อมกัน

“พวกคุณเป็นอะไรหรือ...”

“เกาะที่พวกนายว่ามันคือเกาะไหน!”​ ผมพุ่งเข้าไปจับไหล่บาสแล้วเขย่าถามอย่างร้อนรน ความหวาดกลัวเกิดขึ้นในใจอย่างฉับพลันจนหายใจแทบไม่ออก “ตอบมาเร็วเข้า!”

“ผะ...ผมไม่แน่ใจ”

“ผมเห็นบ้านหลังใหญ่อยู่บนเกาะครับ” พิณพูดแทรกด้วยน้ำเสียงสั่นเทา แต่คำพูดของเขากลับทำให้ผมหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ “เหมือนจะมีสระว่ายน้ำอยู่ข้างหน้า แล้วก็มีชิงช้าผูกอยู่กับต้นไม้”

ให้ตายเถอะ...

“พิณ รีบไปบอกตำรวจให้ตามไปที่เกาะนั้นด่วนเลย เข้าใจหรือเปล่า” ผมออกคำสั่งสั้นๆ พอเห็นเขาพยักหน้าแล้วก็รีบวิ่งออกไปจากโรงพยาบาลพร้อมไม้

ไม่เคย...ผมไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวขนาดนี้มาก่อน

แม้สองมือจะเย็นเยียบขนาดไหน หรือสองขาจะปวดร้าวเพียงใด ผมก็ไม่ได้รู้สึกอยากหยุดพักเลยแม้แต่วินาทีเดียว หัวใจที่เต้นอย่างรุนแรงในอกปวดร้าวจนแทบระเบิด เจ็บยิ่งกว่าตอนที่คิดถึงภามหลายเท่า

ผมต้องไปหาภาม...ต้องไปหาเขาเดี๋ยวนี้

ความรู้สึกที่เกิดขึ้นทั้งหมด ความรู้สึกที่อยากพุ่งเข้าไปหา ความคิดถึงที่เกิดขึ้นเพียงแค่ไม่ได้เจอหน้า ทั้งหมดมันไม่ใช่เพราะได้ฟังเรื่องราวในอดีตของภาม

ผมไม่ได้เจ็บปวดเพราะความเวทนา

ไม่ได้อยากเจอจนแทบบ้าเพราะว่าเหงา

ไม่ได้รู้สึกเหมือนใจจะหยุดเต้นเพราะสงสาร

แต่ทั้งหมดมันคือความห่วงใย

ความห่วงใย...ของคนที่รักกัน


—————————


TALK : ต้องหั่นเพราะตอนต่อไปจะยาวค่ะ พรุ่งนี้เจอกันน

ออฟไลน์ toomild

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 183
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.32]== [15/09/61]
«ตอบ #177 เมื่อ15-09-2018 22:12:18 »

แอบกลัวขึ้นมาเลยค่ะ ขอให้เค้าเจอกันแบบปลอดภัยทั้งคู่ด้วยนะคะ;-; // เขินดีเลย์กับคู่ไฟไม้สุด รอเล่มไม่ไหวแล้วค่ะ555 สู้ๆนะคะ♡

ออฟไลน์ ●GreenTEA●

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 684
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.32]== [15/09/61]
«ตอบ #178 เมื่อ15-09-2018 22:31:05 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ killua1a

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 131
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.32]== [15/09/61]
«ตอบ #179 เมื่อ15-09-2018 23:47:48 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด