┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]  (อ่าน 88760 ครั้ง)

ออฟไลน์ darinsaya

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 592
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.22]== [22/08/61]
«ตอบ #120 เมื่อ22-08-2018 22:25:33 »

มาแง้วววว :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ buathongfin

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1251
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-3
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.22]== [22/08/61]
«ตอบ #121 เมื่อ24-08-2018 08:08:45 »

นึกตามล่ะฟิน

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.22]== [22/08/61]
«ตอบ #122 เมื่อ25-08-2018 17:25:51 »

-23-



“คูมหมออออออ”

“น้องฟา!”

ผมคุกเข่าลงกับพื้น แขนอ้าออกกว้างเตรียมรอรับร่างกลมนุ่มนิ่มของเด็กผู้ชายแก้มยุ้ยที่วิ่งเข้ามาหา พอเจ้าตัวซุกหน้าอยู่กับอกแล้วก็อุ้มขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนพร้อมบ่นอย่างไม่จริงจังนัก

“ไม่เจอกันไม่กี่เดือน ทำไมหนักแบบนี้ครับเนี่ย”

“น้องไม่หนักเยย” เจ้าตัวเล็กหัวเราะคิกคัก มือดึงแก้มผมไปมา โชคดีที่เด็กๆ ยังมีแรงไม่เยอะมากนักเลยไม่ต้องฝืนทนกลั้นความเจ็บปวดไว้ในใจ “คุงหนวดหายปาย”

“คุณหมอโกนไปแล้วครับ”

“ง้า”

เจ้าเด็กตัวเล็กชื่อน้องฟาที่ผมอุ้มอยู่คือคนไข้แสนน่ารัก ซึ่งเข้ามารับการรักษาไข้หวัดกับผมเมื่อสองสามเดือนก่อน พอได้รู้จักแล้วก็ทำตัวติดผมเป็นตังเม เอามือเล่นหนวดบ้าง บีบแก้มบ้าง เรียกได้ว่าต้องหาทางเข้าใกล้ตลอดยามผมไปหา ทว่าด้วยความที่เป็นเด็กฉลาด แม้จะพูดไม่ชัดแต่กลับต่อปากต่อคำคุยกับคนอื่นได้เป็นเรื่องเป็นราว น้องเลยกลายเป็นขวัญใจของพยาบาลและหมอแทบทุกคนที่ได้รู้จัก

“แล้วเรามาได้ยังไงเนี่ย หรือไม่สบายอีกแล้วหือ” ผมแกล้งหรี่ตามองแล้ววางมือข้างที่ว่างลงแนบหน้าผากใส “คุณหมอบอกให้ดูแลตัวเองดีๆ อย่าให้คุณเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายไม่ใช่เหรอ น้องฟาต้องช่วยคุณแม่ดูแลตัวเองด้วย จำได้ไหม”

“ด้าย” น้องพยักหน้าแข็งขัน นิ้วเล็กป้อมชี้ไปด้านหลัง “แม่ แม่”

พูดไม่ทันขาดคำ ร่างบอบบางของผู้หญิงคนหนึ่งก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาเราทั้งคู่ แต่พอเห็นว่าผมกำลังอุ้มลูกชายของเธออยู่ อีกฝ่ายก็ชะลอฝีเท้าแล้วก้มลงหอบยกใหญ่

“คุณแม่นั่งก่อนครับ” ผมใช้มือข้างที่ว่างประคองเธอไปนั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนจะหันไปหาน้องฟาที่เอาแต่ยิ้มเรียกแม่ๆ ไม่ยอมหยุด “นี่เราวิ่งหนีคุณแม่มาใช่ไหมหือ”

“น้องป่าวว”

“เดี๋ยวเถอะ” ว่าแล้วก็บีบจมูกน้อยๆ ด้วยความเอ็นดู

“คุณหมอ ขอบคุณมากนะคะที่ดูแลฟาให้” คุณแม่ที่น่าจะหายเหนื่อยแล้วหันมายกมือไหว้ก่อนจะยื่นมือมาหา ทำท่าจะรับน้องไปอุ้มไว้เอง ติดอยู่ตรงที่เจ้าตัวเล็กดันเกาะติดผมเป็นตังเม ไม่ยอมปล่อยมือแม้แต่นิดเดียว

“ไม่เป็นไรครับ ให้ผมอุ้มก่อนก็ได้” ผมยิ้มบางแล้วลูบหัวน้องเบาๆ เป็นเชิงบอกให้อยู่นิ่งๆ ซึ่งเจ้าเด็กดื้อก็ยอมทำตามโดยการหมุนตัวหันไปหาคุณแม่ทั้งที่ยังนั่งตักกอดแขนผมไว้อยู่ “แล้วนี่คุณแม่พาน้องมาทำอะไรเหรอครับ หรือว่าน้องจะไม่สบายอีก”

“ซนขนาดนี้ ไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอกค่ะคุณหมอ” เธอหัวเราะเบาๆ แล้วส่ายหน้าเหนื่อยหน่าย “พอดีดิฉันมาเยี่ยมเพื่อนที่นี่แล้วเอาฟาติดมาด้วย แต่ระหว่างที่กำลังคุยกับคุณพยาบาล จู่ๆ เจ้าฟาก็ดิ้นยกใหญ่ พอปล่อยให้เดินเองเท่านั้นละ...”

ผมพยักหน้าเข้าใจ พอจะเดาเหตุการณ์ได้คร่าวๆ ดูท่าที่เจ้าตัวดิ้นจะเดินเองแล้ววิ่งหนีคุณแม่มา น่าจะเป็นเพราะหันมาเห็นตอนผมเดินผ่านเคาน์เตอร์ด้านหน้าเข้าพอดีแน่ๆ

“ว่าแต่คุณหมอเปลี่ยนไปเยอะเลยนะคะ”

“ครับ?” เปลี่ยนเหรอ...

“พอโกนหนวดแล้วดูเด็กลงเยอะเลยค่ะ ดิฉันแปลกใจมากเลยที่เจ้าฟายังจำคุณหมอได้” เธอว่าแล้วก้มลงชมลูกชายตัวเองยกใหญ่

“ลองเปลี่ยนลุคบ้างน่ะครับ” ผมยิ้มแหย จะบอกว่าจงใจเปลี่ยนด้วยตัวเองก็พูดได้ไม่เต็มปากนัก

หลังจากนั่งคุยกับคุณแม่และน้องฟาอยู่ประมาณห้านาทีพยาบาลก็เข้ามาตาม ผมบอกลาคุณแม่และน้องฟา ก่อนจะพยายามแกะตุ๊กแกออกจากตัว โชคดีที่น้องไม่ใช่เด็กดื้อ ซ้ำยังเข้าใจได้ง่าย สุดท้ายเลยจากกันได้โดยไม่มีเสียงร้องไห้ใดๆ ดังขึ้นมา

นับจากที่ได้กลับมาทำงานอีกครั้งก็ผ่านมาสองสามวันแล้ว ผมทำหน้าที่ของตัวเองเหมือนเดิม ต่างกันตรงที่ตารางดูจะสบายขึ้นเล็กน้อย ไม่ได้เข้าเวรถี่เหมือนเมื่อก่อนเนื่องจากมีแพทย์เข้ามาเพิ่ม หากไม่นับการทำงานนอกเวลาที่มักเกิดขึ้นหลายครั้งก็อาจถือได้ว่าเวลาพักผ่อนมีเยอะขึ้นพอควร

“ผมแข็งแกร่ง ไม่ร้องไห้แน่นอน!”

“โห...เก่งจังเลย”

“หมอฉีดเลย ผมฮึบอยู่”

“ครับผม ฮึบไว้นะพลทหาร”

ผมหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าที่เหมือนอยากร้องไห้เต็มแก่ของคนที่บอกว่าจะไม่ร้องไห้แน่นอน เด็กชายอายุแปดขวบที่มีจิตใจแข็งแกร่งน่านับถือ น้องน่าจะกล้ากว่าผมที่อายุเกือบสามสิบเสียอีก เห็นปากบอกทนได้ตั้งแต่เดินเข้าห้องตรวจ ทำเหมือนรู้อยู่ก่อนแล้วว่าโดนฉีดยาแน่ๆ ซึ่งพอเอาเข้าจริง...

“แง้!!”

ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร

คุณพ่อเองก็ดูทำอะไรไม่ถูกอยู่เหมือนกัน ท่าทางคงไม่ค่อยได้เลี้ยงลูก ผมเห็นแบบนั้นเลยต้องเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหา กลายเป็นหลักยึดเกาะให้ทหารกล้าซุกหน้าถูน้ำมูกกับน้ำลายใส่เสื้อตามความเคยชิน มือก็ช่วยลูบหัวลูบหลังปลอบไปด้วย

“ทอทหารอดทนเก่งมากเลย”

“แง้...ไม่เป็นทหารแล้ว”

เดี๋ยว...ตอนแรกยังบอกทอทหารอดทน สิบล้อชนต้องไม่ตายอยู่เลย

“โธ่ลูก...” ฝ่ายคุณพ่อที่มือไม้แข็ง ท่าทางน่าจะเป็นทหารจริงๆ ได้แต่พูดโธ่ลูกออกมา แล้วยืนมองผมปลอบเด็กด้วยใบหน้ากระวนกระวาย “คุณหมอครับ ลูกผมจะ...”

“ไม่เป็นไรครับ น้องแค่เจ็บเฉยๆ” ผมรีบดักทางเพราะรู้ดีว่าคนที่ไม่เคยพาเด็กมาโรงพยาบาลต้องถามแน่ๆ ว่าลูกจะเป็นอะไรหรือเปล่า ร้องไห้ลั่นห้องซะขนาดนี้

อยากบอกคุณพ่อว่ามันเป็นเรื่องปกติครับ...ที่ไม่ปกติคือผู้ใหญ่อายุเกือบสามสิบที่แค่คิดว่าจะโดนฉีดยาก็น้ำตาคลอต่างหาก

หลังจากตรวจเด็กๆ ไปอีกสามสี่คนก็ถึงเวลาเลิกงานในที่สุด ผมไม่ได้กลับบ้านในทันที แต่กะจะแวบไปดูเด็กๆ ที่สนามเด็กเล่นก่อน ซึ่งสนามเด็กเล่นที่ว่าไม่ได้อยู่ด้านนอกหรอก แต่อยู่ในตัวโรงพยาบาลนี่แหละ เป็นเหมือนกับห้องทำกิจกรรมระหว่างรอคิว เอาไว้สำหรับเด็กเล็กโดยเฉพาะ

“คูมหมอ!”

นั่นไง แม้แต่เจ้าฟาก็อยู่ที่นี่ด้วย ยังไม่ยอมกลับบ้านอีก

“ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอเรา” ผมย่อตัวลงรับเด็กตัวกลมเข้ามากอด สายตาเหลือบไปเห็นคุณแม่ของน้องทำท่าเหนื่อยๆ นั่งอยู่ไม่ไกลพอดีเลยยกมือเป็นเชิงบอกว่าจะช่วยดูให้ ซึ่งเธอก็รีบผงกหัวขอบคุณแล้วชี้ไปที่ห้องน้ำ ท่าทางคงอยากเข้านานแล้ว แต่ไม่กล้าละสายตาออกจากเด็กดื้อที่น่าจะอายุน้อยที่สุดในบริเวณนี้

“รอพ่อ” น้องฟาตอบเสียงฉะฉาน ที่่แท้ที่ยังอยู่ก็เพราะรอคุณพ่อมารับ มิน่าคุณแม่ถึงไม่ได้บังคับให้กลับบ้าน “คูมหมอๆ”

“หืม” ผมลุกขึ้นยืนเมื่อเจ้าตัวเล็กพยายามดึงแขนเสื้อให้เดินตามไปในทิศทางหนึ่ง

“หาปิชาย”

“พี่ชาย?”

“มาเยว” น้องทำหน้ายู่ยี่เมื่อเห็นผมไม่ยอมเดินตามไปเสียที

“โอเคๆ ไปก็ไป” สุดท้ายก็ได้แต่เดินตามเด็กตัวเล็กที่ยังสูงไม่ถึงเอวไปเรื่อยๆ แต่อาจเป็นเพราะสนามเด็กเล่นที่ถูกปูด้วยพื้นนิ่มๆ ทั้งห้องมันกว้างใหญ่พอควร เท้าเล็กๆ ที่ก้าวได้ทีละน้อยของน้องฟาเลยพาไปไม่ถึงจุดหมายสักที จากที่เดินตาม ผมเริ่มสงสารน้องจนต้องเปลี่ยนเป็นคุกเข่าลงแล้วตามไปช้าๆ แทน

ยัง...ยังไม่ถึงอีก

“น้องฟาครับ ให้หมออะ...”

“เดินแบบนี้เมื่อไหร่จะถึง”

“คิกๆ ปิชายยยย”

ผมเงยหน้ามองตามเสียงทุ้มต่ำของคนที่อุ้มน้องฟาขึ้นไปต่อหน้าต่อตาแล้วได้แต่อ้าปากค้าง ขายาวๆ กับใบหน้าคมคายเหมือนปลาตาย ไหนจะแววตาว่างเปล่านั่นอีก ไม่ว่าจะมองอย่างไรเขาก็คือคนที่ผมเพิ่งคุยด้วยในไลน์เมื่อเช้าชัดๆ

ไหนว่ายังอยู่ภูเก็ตไง...

“ภาม!”

“ไง” เขาทักแล้วยิ้มจาง แวบหนึ่งผมรู้สึกเหมือนได้เห็นประกายตามีชีวิตชีวาอันหาได้ยากในดวงตาคู่นั้นอีกครั้ง

“มะ...มาได้ไง” ผมกะพริบตามองด้วยความงุนงง หากใจที่ได้พักผ่อนอย่างสงบมาตลอดหลายวันกลับเต้นกระหน่ำขึ้นมาเฉยๆ เหมือนจะบอกว่าหมดเวลาพักร้อนแล้ว

แปลกใจ ไม่เข้าใจ ประหลาดใจ ทั้งหมดคือสิ่งที่ตีรวนอยู่ในอก

แต่ความรู้สึกที่ชัดเจนที่สุด...กลับเป็นความดีใจ

เราต่างมองหน้ากันอยู่นานหลายนาที จวบจนคุณแม่ของน้องฟาเข้ามารับน้องพร้อมกับคุณพ่อแล้ว ผมก็ทำได้เพียงเอ่ยลา ในขณะที่สายตาไม่อาจละออกจากใบหน้าของภามได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว

   “จำที่ผมบอกว่า ‘สิ่งนั้น’ จะมาหาคุณเองได้ไหม” เขาถามขณะย่อตัวลงนั่งด้านหน้าผม และจ้องมองมาด้วยแววตาที่ทำให้รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเหมือนทุกครั้ง



“จำที่ผมเคยบอกว่าจะช่วยตามหาในสิ่งที่คุณขาดได้ไหม”

‘จำได้’

‘อันที่จริงผมรู้แล้วว่ามันคืออะไร ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะรับไว้หรือเปล่า’

‘คืออะไร’

‘คุณกลับไปรอที่กรุงเทพก่อน เดี๋ยวสิ่งนั้นจะไปหาคุณเอง’



“ตอนนี้มันอยู่ตรงหน้าคุณแล้ว”

ผมยังคงทำได้เพียงมองหน้าเขา ปล่อยให้อีกคนดึงมือไปวางบนแก้มตัวเอง ทั้งยังเผลอไล้นิ้วไปตามกรอบหน้าคมที่ยอมรับได้เพียงในใจว่า ‘คิดถึง’ โดยไม่รู้ตัว

“ฉัน…"

“ตอนนี้ขึ้นอยู่กับคุณแล้ว...ว่าจะรับไว้หรือเปล่า” คนพูดบอกพร้อมรอยยิ้มที่ทำให้ผมตาพร่า ต้องเบือนหน้าหลบโดยอัตโนมัติ หากเขากลับไม่ยอมปล่อยให้ชักมือออก ยังคงจับให้แนบหน้าตัวเองไว้อยู่อย่างนั้น “ตอบมาก่อน”

ตอบยังไงเล่า...

ก็เพราะตอบไม่ได้นั่นแหละ ถึงได้พยายามหลบเลี่ยงอยู่แบบนี้ แล้วยังมีหน้ามากดดันกันอีกนะ ผมบ่นในใจไปนานหลายนาที แต่น่าแปลกที่ภามไม่ได้พูดซ้ำอะไรอีก เขาแค่บังคับให้ผมวางมือแนบแก้มไว้ แล้วนั่งเงียบๆ ราวกับกำลังรอคำตอบ ซึ่งถ้าไม่ตอบ ก็พร้อมจะนั่งอยู่แบบนี้จนถึงพรุ่งนี้เช้า

“ก็…" ผมเม้มปาก ในหัวครุ่นคิดหลายเรื่องจนปวดหัวไปหมด จะอ้าปากบอกว่าไม่รับก็เหมือนโกหกตัวเอง ทั้งยังพูดไม่ออกด้วย แบบนี้ยังเหลือทางเลือกอะไรให้อีก “ก็ไม่ได้...”

“…”

“ไม่...ไม่ได้ห้าม”

“…”

“ไม่ได้บอกให้ไปไหน”

ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่ผมเอาแต่มองพื้น ไม่ยอมเงยหน้าสบตาภามเลยแม้แต่นิดเดียว จนกระทั่งเขายอมปล่อยมือผมให้เป็นอิสระ ความสงสัยจึงทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมองโดยอัตโนมัติ

“ขอบคุณ” รอยยิ้มสดใสซึ่งเป็นอันตรายต่อหัวใจระดับสิบปรากฏขึ้นบนใบหน้าปลาตาย ส่งผลให้เขาดูอ่อนโยนขึ้นหลายระดับจนผมเผลอมองค้าง ไม่อาจละสายตาไปไหน ความร้อนวูบวาบไล่ขึ้นจากกลางใจ ลุกลามอย่างรวดเร็วไปตามใบหน้าและลำตัวจนเผลอทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ

และในตอนนั้นเอง...

“เย้!”

“ชู่วววว พี่ชายบอกให้เงียบๆ ไง”

“นี่ อย่าพูดสิ”

“เดี๋ยวพี่หมอก็รู้ตัวหรอก”

ไม่ทันละ...

ว่าแต่ฝูงเด็กตาแป๋วตัวขาวจั๊วะที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านข้างผมอย่างเป็นระเบียบนี่มันอะไรกัน!

“เด็กๆ...” ผมเรียกสติกลับมา ไม่อยากเชื่อว่าจะเอาแต่มองหน้าภามจนลืมสังเกตรอบด้าน ไม่รู้แม้กระทั่งว่ามีเด็กหกเจ็ดคนมานั่งจ้องตาแป๋วตั้งแต่เมื่อไหร่ “มานั่งกันตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”

“เราจะมาเล่นกับพี่ชายแหละ” น้องคนหนึ่งตอบเสียงฉะฉาน “แต่พี่ชายเอานิ้วแตะปาก แม่เคยบอกว่าเป็นสัญญาณให้เงียบไว้ เราเลยนั่งรอกันฮะ”

เมื่อได้ยินคำตอบแล้วผมก็ตวัดสายตาไปมองคนที่รู้ตัวมาโดยตลอดแบบเคืองๆ โชคดีที่ตรงจุดที่เรานั่งอยู่มีเสาบดบังสายตาของผู้ปกครองด้านนอกเอาไว้ ไม่งั้นผมคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

“พี่หมอ”

“ครับ” ผมหันไปยิ้มให้น้องผู้หญิงในชุดกระโปรงสีชมพูซึ่งอยู่ใกล้ตัวที่สุด

“พี่หมอหายโกรธพี่ชายนะคะ หนูไม่อยากให้พี่ชายเศร้า พี่ชายใจดี”

“เอ่อ...”

“พี่ชายอุ้มผมขึ้นไปบนบ้านลมด้วยฮับ”

“พี่หมออย่าโกรธพี่ชายน้า”

เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กน้อยที่ดูจะรักพี่ชายเสียเหลือเกินดังขึ้นไม่หยุด ผมพยายามบอกให้เงียบก็ไม่ฟัง เอาแต่พูดว่าให้หายโกรธพี่ชายก่อน

“โอเคๆ” ผมยกมือยอมแพ้เพราะทนสู้เสียงของเด็กน้อยไม่ไหว “ไม่โกรธแล้วครับ”

“เย้!”

ดูหน้าพี่ชายที่ว่าสิ...ยิ้มจนปากจะฉีกอยู่แล้ว น่าเตะเป็นบ้า

หลังจากจบเหตุการณ์น่าปวดหัวของคนที่บังอาจเอาเด็กๆ มาเป็นเครื่องมือ ผมก็จัดการลากคนตัวสูงออกมาพร้อมกันก่อนจะเกิดเหตุวุ่นวายไปมากกว่านี้ ไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีได้หรือเปล่าที่ผมดันไม่ได้เอารถมาเพราะขี้เกียจขับ เลยตื่นแต่เช้าติดรถมากับพ่อ กะว่าจะนั่งรถแท็กซี่กลับบ้าน ผลคือตอนนี้ได้มานั่งอยู่บนรถออดี้คันหรูของคุณชายภามเรียบร้อยแล้ว

“แล้วนี่นายอยู่ที่ไหน”

“คอนโดนั่น” ภามตอบสั้นๆ แล้วชี้นิ้วไปที่คอนโดหรู ซึ่งอยู่ห่างจากโรงพยาบาลไม่มากนัก

“โห...ใกล้ชะมัด” เทียบกับบ้านผมที่อยู่ไกลแสนไกลแล้ว... “น่าอิจฉาชะมัด”

“มาอยู่ด้วยกันไหม”

“หา…” ผมหันไปมองหน้าคนพูดซึ่งกำลังขับรถอยู่แบบงงๆ พยายามสังเกตดูว่าเขากำลังล้อเล่นอยู่หรือเปล่า แต่ภามกลับเบนหน้ามาหา มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย แสดงออกชัดเจนว่าไม่ได้โกหก

“เตียงผมกว้าง...”

“จะบ้าหรือไง” ขืนบ้าจี้ไปอยู่ด้วยจริงๆ ขึ้นมาก็เท่ากับเป็นการย้ำสถานะระหว่างเราน่ะสิ

“ผมไม่ได้กะจะให้ตอบรับตอนนี้ แค่บอกไว้เผื่ออนาคต”

ทำเป็นรู้อนาคต...

แล้วทำไมกูเสียวสันหลังวะเนี่ย




ท้องฟ้าดูมืดมิดเร็วกว่าปกติเมื่อย่างเข้าสู่ฤดูหนาวที่ไม่หนาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกรุงเทพฯ ที่เหมือนมีแค่ฤดูร้อนกับฤดูร้อนมาก ผมเคยชินไปแล้วเพราะอยู่ที่นี่มานาน แต่คนที่เดินอยู่ด้านข้างคงไม่ชินนัก เพราะตอนนี้คิ้วเข้มขมวดมุ่น กระดุมเสื้อถูกปลดออกไปแล้วสองเม็ดเพื่อระบายความร้อนนับตั้งแต่ลงมาจากรถ

“บอกแล้วให้พาไปส่งบ้านก็พอ” ผมพูดเรื่องเดิมเป็นรอบที่สอง “ยังจะพามาแวะอีก”

“ผมอยากอยู่กับคุณต่ออีกหน่อย”

ตอบมาแบบนี้จะเถียงอะไรได้...

อันที่จริงเรามาถึงหมู่บ้านของผมกันตั้งแต่เมื่อสิบนาทีก่อนแล้ว แต่ภามบอกว่าให้อยู่เป็นเพื่อนเขาก่อน เพราะยังไม่อยากกลับคอนโด สุดท้ายผมเลยบอกให้มาแวะที่สนามเด็กเล่นในหมู่บ้านซึ่งไม่มีใครอยู่เลยสักคน ห่างจากซอยบ้านมาแค่สองซอย พอถึงเวลาเขาจะได้ไม่ต้องขับรถไกลๆ มาส่งแล้วย้อนกลับไปคอนโดตัวเองอีก

“ภะ…" ผมเงียบลงกะทันหันเมื่อหันไปมองคนด้านหลังแล้วเห็นเขายืนเหม่ออยู่ด้านนอก ไม่ยอมก้าวเท้าเข้ามาด้านในสนาม ตอนแรกก็ไม่ได้อยากรบกวนเท่าไหร่นัก กะจะให้เขาเดินเข้ามาเอง แต่เมื่อจับความรู้สึกลึกๆ ในดวงตาคู่นั้นได้ ความกังวลบางอย่างก็สั่งให้ผมเดินเข้าไปกอบกุมมือใหญ่ข้างหนึ่งของเขาเอาไว้ ส่งผ่านความอบอุ่นไปให้จนอีกคนรู้สึกตัวและหันมามอง

“คุณ…" ภามกะพริบตา ท่าทางเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว

“อยากไปที่อื่นไหม”

ในฐานะของคนเป็นหมอ แม้จะไม่ได้เรียนสายจิตวิทยาหรืออะไรมาโดยตรง แต่ผมมั่นใจว่าภามน่าจะเคยมีปัญหามาก่อน เพราะนับตั้งแต่ที่เราได้เจอกันบนรถไฟ เขาก็แสดงออกชัดเจนว่าเข้าใจความคิดของผม เหมือนจะรู้ว่าถ้าปล่อยให้ผมมีความรู้สึกเบื่อหน่ายและท้อแท้กับชีวิตต่อไป มันจะส่งผลต่อสุขภาพจิตไปถึงขั้นไหน ท่าทีทุกอย่างบ่งบอกให้รู้ว่าเขาเคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว ถึงแม้ผมจะไม่รู้ว่าปัญหาของเขาคืออะไรก็ตาม

“ไม่เป็นไร” แรงบีบกระชับกลับที่มือทำให้ผมรู้สึกตัว หันไปเห็นใบหน้าผ่อนคลายของคนด้านข้างเข้าพอดี “คุณอยู่ตรงนี้แล้ว”

“ทำเป็นพูดดี” ผมเบะปากแล้วออกแรงลากให้เขาเดินตามมา ไม่อยากยืนนิ่งๆ ให้โดนแกล้งต่อแล้ว ดูรอยยิ้มนิดๆ บนหน้านั่นซะก่อน มองยังไงก็จงใจพูดแกล้งกันชัดๆ

สนามเด็กเล่นแห่งนี้เป็นสนามเด็กเล่นที่ผมเห็นมาตั้งแต่ยังเรียนอยู่ เหมือนจะเพิ่งปรับปรุงให้ดีกว่าเดิม สังเกตได้จากเครื่องเล่นที่มีเยอะขึ้นและดูใหม่ขึ้น ปกติเด็กๆ จะมาเล่นกันตอนเย็น พอฟ้าเริ่มมืดก็กลับกันหมดแล้ว เพราะผู้ปกครองคงไม่ปล่อยให้อยู่จนดึกดื่น แม้จะเป็นหมู่บ้านปิดที่มีระบบรักษาความปลอดภัยดีพอควร แต่ก็ยังไว้ใจไม่ได้อยู่ดี

“นั่นอะไร” ภามชี้นิ้วไปที่โดมรูปหัวเห็ดซึ่งมีรูอยู่รอบๆ มันเป็นเครื่องเล่นเพียงอย่างเดียวที่ผมเห็นมาตั้งแต่ยังเด็ก และไม่ได้ถูกเปลี่ยนเหมือนเครื่องเล่นอันอื่น

“เครื่องเล่นนั่นแหละ เอาไว้ให้เด็กที่โตขึ้นมาหน่อยปีนเล่นตามรู” ผมเดาเอาจากสภาพการณ์ เพราะตอนเด็กๆ ตัวเองก็ไม่เคยขึ้นไปปีนเหมือนกัน มีแต่ไปนั่งด้านใน “มานี่สิ”

จำได้ว่าเมื่อก่อนเคยอยากเข้าไปดูดาวในนั้น เพราะหัวโดมมีช่องว่างที่ส่องไปบนฟ้าได้พอดีอยู่ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีโอกาสเสียที เพราะแม่ไม่เคยปล่อยให้อยู่จนฟ้ามืดเลย

หลังจากกดไหล่ภามให้นั่งลงบนพื้นหญ้าเรียบร้อยแล้ว ผมก็นั่งลงบนพื้นข้างๆ ก่อนจะทอดสายตามองไปด้านบน เห็นเป็นรูโหว่เหมือนในความทรงจำแบบเดิมจริงๆ ต่างกันตรงที่บนท้องฟ้าไม่ได้มีดวงดาวมากมายลอยอยู่แบบที่เคยจินตนาการไว้ มีเพียงผืนฟ้าสีดำสนิทบ่งบอกให้รู้ว่าเป็นเวลากลางคืนเท่านั้น

“เป็นอะไร” คนที่โดนลากเข้ามาแบบงงๆ หันมาถาม คงเพราะเห็นผมแสดงท่าทีเสียดายออกไปโดยไม่รู้ตัว

“ตอนเด็กๆ ฉันเคยคิดว่าถ้ามานั่งในนี้แล้วมองออกไปด้านนอก เห็นท้องฟ้าที่มีดวงดาวมากมาย มันคงจะสวยและรู้สึกดีมากแน่ๆ แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่แบบนั้นน่ะสิ” ว่าแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจแบบเซ็งๆ “ตอนอยู่เกาะสวยกว่าตั้งเยอะ”

“อยู่ในเมืองมองเห็นดาวยากอยู่แล้ว”

“นั่นสินะ...”

“ตอนเด็กๆ แม่ก็ชอบพาผมกับพี่ไปเล่นที่สนามเด็กเล่นแถวบ้านเหมือนกัน” ภามทอดสายตาออกไปด้านนอก กวาดมองโดยรอบช้าๆ ในขณะที่ผมขยับตัวเข้าหา พยายามควบคุมสีหน้าไม่ให้ดูอยากรู้มากจนเกินไป

“ที่อังกฤษเหรอ”

“ใช่...แต่ผมไม่ได้กลับไปที่นั่นมานานแล้ว”

“ทำไมล่ะ”

ภามชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหน้ามาหาแล้วดึงมือผมไปจับไว้ ดวงตาว่างเปล่าทอประกายหม่นหมอง แต่เพียงแวบเดียวเท่านั้นมันก็จางหายไป จนตอนแรกผมไม่แน่ใจว่าตาฝาดหรือเปล่า

“เพราะที่นั่นไม่มีแม่แล้ว”

“…”

ผมไม่รู้เลยว่าตัวเองบีบมือเขากลับแน่นขนาดไหน จวบจนเมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาอ่อนโยนพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้า อาการปวดหนึบในใจจึงค่อยๆ จางหายไปช้าๆ

“ไม่เป็นไรหรอก แม่เลี้ยงของผมใจดีมาก เธอดูแลผมเหมือนลูกแท้ๆ คุณไม่ต้องเป็นห่วง”

แต่ก็แทนที่กันไม่ได้ใช่ไหมล่ะ...

ถึงจะยังไม่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด แต่สัญชาตญาณของผมกลับร้องเตือนว่าให้เปลี่ยนเรื่องตั้งแต่ตอนนี้ เพราะสิ่งที่เขาเคยเป็น จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของคุณแม่แท้ๆ แน่ๆ และที่สำคัญคือความอยากรู้ของผมมันไม่ได้มากเท่าความห่วงใยที่เอ่อล้นอยู่ในใจ

ถ้าต้องนึกถึงแล้วทำให้ภามรู้สึกไม่ดี...ผมยอมเป็นคนไม่รู้เรื่องต่อไปดีกว่า

“ว่าแต่นายไปโผล่ที่โรงพยาบาลได้ยังไง”

ภามเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความประหลาดใจ แต่เพียงไม่นานสีหน้างุนงงก็แปรเปลี่ยนเป็นพออกพอใจ เหมือนจะบอกว่าเข้าใจแล้วว่าทำไมผมถึงเปลี่ยนเรื่อง เห็นแล้วก็ได้แต่ฮึดฮัดโดยไม่ได้พูดอะไรออกไป ทำได้เพียงเงยหน้ามองท้องฟ้า ปล่อยให้คนหน้าด้านนั่งเล่นมือตัวเองต่อไปเงียบๆ

“เก้าบอกว่าคุณทำงานที่โรงพยาบาลนั้น แล้วจะชอบแวะไปดูเด็กๆ ก่อนกลับบ้านตลอด ผมเลยไปนั่งรอ...” คนพูดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจแล้วเล่าต่อ “ที่นั่งรอของผู้ปกครองเต็มหมดแล้ว ผมเลยคิดว่าหลังบ้านลมจะเงียบพอให้นั่งรอได้ ไม่นึกว่าเด็กคนหนึ่งจะมาเจอ แล้วยังไปชักชวนเพื่อนให้เข้ามามุงอีก”

“มิน่าถึงโดนเรียกว่าพี่ชาย” ผมหัวเราะอารมณ์ดี แค่นึกภาพภามโดนเด็กเข้าไปมุง กระโดดโลดเต้นไปมารอบตัวพร้อมถามว่าพี่ชายมาทำอะไรตรงนี้ก็ขำแล้ว

“เด็กพวกนี้เสียงดังกว่าเด็กที่เกาะ” เขาขมวดคิ้วมุ่น หน้าตาเป็นปลาตายเหมือนเดิม แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนมองเห็นความสยดสยองที่แสดงออกมารางๆ ผ่านดวงตาคู่นั้น

“ธรรมดาแหละ...เวลาร้องก็ร้องดังกว่ามาก”

นึกถึงเสียงร้องไห้ของพลทหารที่ไม่อยากเป็นทหารแล้วขึ้นมา ก็อดเอาไปเปรียบเทียบกับเสียงร้องไห้ของเจ้าตาลไม่ได้ รายนั้นเคยร้องไห้เพราะหกล้ม นั่งฮึบอยู่นานจนน่าสงสาร สุดท้ายพอเห็นภามเข้าใกล้ก็ปล่อยโฮ แต่เทียบความดังกับพลทหารที่ผมเจอเมื่อเช้าไม่ได้เลย

ก็นะ...พวกเด็กที่เกาะเล่นจริงเจ็บจริงกันจนชินแล้ว ไม่แปลกที่จะถึกทนทานกว่า

“ตอนคุณเป็นหมอ...” ภามเรียกความสนใจของผมกลับไปหาโดยการบีบนิ้วกันเบาๆ “คุณดูอ่อนโยนมาก...แล้วก็ดูโตกว่าปกติด้วย”

“นั่นชมใช่ไหม”

“…น่าจะ”

งั้นคงเป็นแอบด่าแล้วแหละ

“เด็กๆ ที่มารักษาบางคน พอรู้ว่าต้องมาโรงพยาบาลก็กลัวมากพออยู่แล้ว ฉันอยากให้พวกเขารู้ว่าหมอไม่ได้น่ากลัวแบบที่คิด สิ่งที่ควรกลัวคือเข็มฉีดยาต่างหาก...” ผมพูดตามความจริงด้วยใบหน้าเคร่งเครียด แต่ไม่รู้ทำไมภามถึงทำหน้าเหนื่อยหน่ายใส่ “นี่พูดจริงๆ นะ นายไม่รู้สึกว่ามันน่ากลัวเหรอ แค่ลองคิดว่าจะโดนจิ้มเองก็อยากร้องไห้แล้ว เพราะงั้นฉันถึงเข้าใจเด็กๆ มากไง”

“คุณนี่มัน...” เขาทำหน้าเหมือนคนพูดไม่ออก แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้าไปมาเบาๆ

“อะไรเล่า” ผมแกล้งถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ก่อนจะถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นว่าภามดูกลับมาเป็นภามคนเดิมแล้ว

ถึงสิ่งที่บอกเขาจะเป็นความจริง แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธว่าเหตุผลที่ผมพูดออกไปแบบนั้น เป็นเพราะอยากให้ภามหายเครียดมากกว่าอยากบอกความจริง

“จะว่าไป...เหมือนเก้าจะบอกว่าคุณแม่ของคุณโทรไปขอบใจเมื่อวาน”

ผมหันขวับไปมองหน้าภามเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาบอก อารมณ์ถูกเปลี่ยนแทบจะทันทีที่ได้ยินชื่อของไอ้เพื่อนเวรที่หายหน้าหายตา ไม่ยอมตอบไลน์ไม่ยอมรับโทรศัพท์ เหมือนรู้ว่าถูกคาดโทษไว้แล้ว

“ทำไมไอ้เก้ามันไม่ยอมตอบไลน์ฉัน ไอ้โซก็ด้วย พวกมันอยู่ด้วยกันที่ภูเก็ตใช่ไหม”

“ใช่” ภามพยักหน้ารับ “เก้าบอกว่าถ้ากลับอังกฤษเมื่อไหร่จะตอบ ส่วนโซบอกว่าขี้เกียจ”

ไอ้เพื่อนเลว...

ถึงแม้จะรู้สึกอยากเตะเท้าไปมา ระบายอารมณ์หัวร้อนออกไปมากมายขนาดไหน แต่เพราะภามไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเลวของพวกมัน นอกจากนั้นยังเป็นเหยื่อเหมือนกัน ท้ายที่สุดแล้วผมก็ได้แต่ท่องยุบหนอพองหนอในใจ พยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองลง

“อนาคิน”

“หา”

“อนาคิน...”

“เรียกซะยาวเชียว” ผมหันไปมองหน้าภามขำๆ จะว่าไปแล้วก็เพิ่งนึกได้ว่าเขายังไม่ยอมเรียกผมว่าเจไดเลย ทั้งที่มันสั้นกว่าอนาคินตั้งหนึ่งพยางค์ แต่จะว่าไปคำนี้ก็ไม่ได้ยินมานานแล้วเหมือนกัน ตั้งแต่วันที่เรา...

ภาพที่ได้จูบกันตอนอยู่ที่ทะเลฉายขึ้นในหัว ผมหน้าร้อนวาบ รีบเบนสายตาออกจากหน้าภามเพราะกลัวว่าเขาจะสังเกตเห็น

“คุณคิดถึงผมหรือเปล่า” คำถามนั้นดังขึ้น พร้อมกับที่ปลายนิ้วอุ่นร้อนแตะลงบนแก้มเหมือนที่เขาชอบทำตอนเรายังอยู่ด้วยกันบนเกาะ

“…”

คิดถึงเหรอ...การที่นึกถึงช่วงเวลาตอนอยู่ด้วยกันตลอดเวลามันเข้าข่ายหรือเปล่านะ

“ไม่ต้องตอบก็ได้” คนพูดเกลี่ยแก้มผมเบาๆ และมองมาด้วยแววตาที่ดูอ่อนแสงลง “แค่ฟังก็พอ”

“ฟัง…อะไร”

“ผมคิดถึงคุณ”

“…” ผมเม้มปากแน่น ใบหน้าที่ร้อนอยู่แล้วราวกับถูกดวงอาทิตย์แผดเผาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้แต่หัวใจก็ทรยศด้วยการเต้นกระหน่ำไม่สนใจคำสั่งของสมองที่บอกให้หยุดเสียที

“อนาคิน” เขาเรียกชื่อจริงของผม ขณะที่ปลายนิ้วไล่ลงมาจนถึงริมฝีปาก และเป็นเสียงเรียกนั้นเองที่สะกดผมให้นั่งนิ่งอยู่กับที่ แม้ยามใบหน้าคมคายที่ติดอยู่ในความทรงจำเคลื่อนเข้าหา “อนาคิน...”

ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดพวงแก้ม จั๊กจี้จนต้องเอียงหน้าหนีตามสัญชาตญาณ แต่มือที่แตะมุมปากกันอยู่กลับเลื่อนลงมาจับคาง บังคับให้หันกลับไปสบตาตามเดิม

“อย่าหนี...” เพียงคำพูดเดียวของเขาก็ทำให้ผมนั่งนิ่งเป็นตอไม้ได้อย่างรวดเร็ว พร้อมๆ กับที่ริมฝีปากนั้นแนบลงมาช้าๆ แตะลงเบาๆ ที่มุมปาก แล้วค่อยๆ ขยับเข้าแนบชิด กลืนกินลมหายใจของผมเหมือนกับ...

วันที่เราจูบกันเป็นครั้งแรก

ภามไม่ได้ลุกล้ำไปมากกว่านั้น เขาแค่แตะริมฝีปากลงมา กดค้างอยู่นานนับนาทีและผละออก ก่อนจะขยับใบหน้าให้จมูกโด่งนั้นฝังลงบนหน้าผาก กดริมฝีปากลงบนปลายจมูก และแช่เอาไว้ราวกับต้องการถ่ายทอดทุกความรู้สึกมาให้

“ผม...ขาดคุณไม่ได้แล้วจริงๆ”

“…”

บางที...อาจไม่ใช่แค่เขาคนเดียว



———————-



ออฟไลน์ toomild

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.23]== [25/08/61]
«ตอบ #123 เมื่อ25-08-2018 17:41:39 »

คุณหมอไม่สู้หน่อยหรอคะ ฮื่อ น้องภามคนจริงมาก รุกแรงสุด โอย นี่คนหรือไมโครเวฟคะ แล้วทำไมน้องละมุนเหลือเกิน :-[

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.23]== [25/08/61]
«ตอบ #124 เมื่อ25-08-2018 20:00:37 »

ภามรุกหนักนะ รีบอะไรปานนั้น.  :hao3:

ออฟไลน์ ♥lvl♀‘O’Deal2♥

  • หานิยายถูกใจยากจัง!
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2665
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +176/-4
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.23]== [25/08/61]
«ตอบ #125 เมื่อ25-08-2018 23:31:32 »

หวานซ้า าา า เบาหวานจะตี

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.23]== [25/08/61]
«ตอบ #126 เมื่อ26-08-2018 22:08:25 »

ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.23]== [25/08/61]
«ตอบ #127 เมื่อ01-09-2018 11:29:36 »

-24-


ยามเช้าอันแสนสดใส...

พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก ก้อนเมฆลอยล่อยเต็มท้องฟ้า แดดไม่แรงเกินไป แล้วยังมีสายลมเอื่อยๆ พัดมากระทบใบหน้าเป็นระยะ ไม่ว่าจะมองอย่างไรอากาศก็ดีจนอยากวิ่งกลับเข้าไปนอนต่อมันเสียเดี๋ยวนี้ แต่เพราะภาระหน้าที่อันหนักหนาที่รออยู่ข้างหน้า ผมเลยจำใจต้องเดินไปเปิดประตูรั้วแบบห่อเหี่ยว

วันนี้พ่อออกไปก่อนแล้ว ท่าทางคงต้องขับรถไปเอง...

“ไง”

“…” ผมเงยหน้ามองเจ้าของเสียงทักทายอันแสนคุ้นเคย แต่เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของตัวต้นเหตุที่ทำให้นอนไปได้เพียงห้าชั่วโมง อารมณ์ก็บูดขึ้นมากะทันหัน “ยังมีหน้ามาทำตาวิ้งๆ ใส่อีกเหรอ”

อันที่จริงภามก็ทำหน้าปลาตายเป็นปกตินั่นแหละ ผมแค่พาลไปเองเฉยๆ ก็ใครใช้ให้เขาดูสดใสขนาดนี้เล่า อ๋อลืมไป...ก็อีกฝ่ายดันชิ่งหลับไปก่อนผมนี่หว่า

“คุณโกรธ?”

“ไม่ได้โกรธ แต่หัวร้อน” ผมตอบกลับทันควัน ไม่ปล่อยให้ภามเข้าใจผิด

“ผมก็ไม่คิดว่าจะหลับคาโทรศัพท์...”

“แล้วชวนเล่นทำไมฟะ!”

ยิ่งพูดยิ่งของขึ้น สำหรับใครที่คิดว่าผมนอนไม่หลับเพราะนึกถึงเหตุการณ์ที่สวนสาธารณะ บอกได้เลยว่าคิดผิด เพราะสาเหตุที่ทำให้ผมหัวลุกเป็นไฟแบบนี้ เป็นเพราะไอ้บ้าภามมันชวนเล่นเกมในโทรศัพท์แล้วดันชิ่งหลับไปก่อน ปล่อยให้ผมนอนไม่หลับเพราะเอาแต่เล่นเกมอยู่คนเดียว

เมื่อคืนหลังจากที่...นั่นแหละ ภามก็พาผมไปส่งที่บ้านแล้วขับรถกลับคอนโด พอผ่านไปสักพักเขาก็โทรเข้ามา บอกว่าถึงแล้ว ไอ้เราก็ไม่ได้คิดอะไร กะจะบอกฝันดีแล้วแยกย้าย แต่ฝ่ายนั้นกลับบอกว่าไปเจอเกมใหม่มา ชวนให้เล่นด้วยกัน ผมที่กำลังเอ๋อๆ และเห็นว่ายังไม่ดึกมากนักเลยตกปากรับคำ จากสามทุ่มกลายเป็นเที่ยงคืน แล้วคนที่ชวนเสียดิบดีก็ชิ่งหลับกลางคัน เรียกยังไงก็ไม่ตื่น สัญชาตญาณเกมเมอร์ของผมยังลุกโชนไม่หาย เลยลากยาวไปยันตีสองถึงได้นอน ตื่นเช้ามาสภาพก็เป็นแบบที่เห็น

“ก็ไม่อยากให้คิดมาก” ภามตอบหน้าตาย มือเอื้อมมาดึงกระเป๋าหนังของผมไปถือไว้ให้

“คิดมาก?”

“เรื่องจูบ...”

“หยุด!” ผมยกมือห้าม ไม่รอให้เขาพูดจบประโยค “จะไปส่งใช่ไหม เร็วๆ เลย”

แค่นึกถึงความคิดตัวเองและสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานก็หน้าร้อนวูบวาบแล้ว กว่าจะสงบสติอารมณ์ได้ต้องแช่น้ำอยู่ตั้งนาน ขืนปล่อยให้เขาพูดขึ้นมาอีกรอบ ไม่เท่ากับเป็นตอกย้ำให้ผมกลับไปนึกถึงมันอีกรอบหรือไง

“ผมส่งรูปให้คุณแล้วนะ” คุณสารถีจำเป็นพูดขึ้นมาลอยๆ ระหว่างที่กำลังขับรถมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาล

ที่แท้เมื่อวานขอเมลไปก็เพราะจะส่งรูปให้นี่เอง

“โอเค...แล้วนี่นายจะไปไหนต่อน่ะ”

“ทำงาน”

“หา” ผมหันไปมองหน้าภามด้วยความแปลกใจ “มีลูกค้าเก่าติดต่อมาเหรอ”

“เปล่า”

“แล้ว...”

“ถ่ายภาพให้นิตยสารน่ะ” ภามตอบเสียงเรียบเหมือนมันไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นดีใจอะไรนัก กลับกลายเป็นผมที่ตื่นเต้นแทนเมื่อได้รับฟังสิ่งที่เขาพูด ถึงอีกฝ่ายจะเคยบอกว่าจะหยุดอยู่กับที่...เพราะ...เออเพราะผมนั่นแหละ แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะหางานได้เร็วขนาดนี้

“หางานไวมากเลยนะเนี่ย”

“อันที่จริงถูกติดต่อมาหลายรอบแล้ว แต่เพราะไม่ชอบถ่ายคนผมเลยปฏิเสธไป ครั้งนี้เขาบอกว่าเป็นภาพถ่ายคนกับธรรมชาติ เน้นเรื่องราว ผมต้องหาเงินมาเลี้ยงคุณเลยยอมรับปาก”

“เดี๋ยวๆ...เลี้ยงฉันคืออะไร”

ภามเหลือบตามามองหน้าผมแล้วโคลงหัวไปมา

“พูดไว้เผื่ออนาคต”

“ฉันก็มีอาชีพของตัวเองหรอกน่า” ผมบ่นเบาๆ แล้วทอดสายตามองไปด้านหน้า เป็นเวลาเดียวกันกับที่รถเคลื่อนเข้าไปในเขตโรงพยาบาลพอดี “ว่าแต่นายเถอะ มั่นใจเหรอว่าจะอยู่กับที่ ไม่ไปไหนจริงๆ”

คนขับรถไม่ได้ตอบอะไรในทันที แต่เขารอจนจอดรถเข้าที่เรียบร้อยแล้วถึงได้หันมาหา จ้องมองผมด้วยแววตาจริงจังเหมือนที่ชอบทำเวลาต้องการความสนใจ

“เพราะมั่นใจ ผมถึงยอมรับงานที่ไม่ค่อยชอบ ทั้งหมดก็เพื่อให้ได้อยู่ใกล้คุณ”

ผมมองหน้าภามอยู่นาน มองจนอีกฝ่ายดึงมือไปกุมไว้ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปเหมือนปกติ ยอมรับว่าในใจมีความรู้สึกยินดีอยู่ไม่น้อยยามได้ยินสิ่งที่เขาพูด แต่ผมก็ไม่ใช่คนนิสัยเสียที่จะยึดเอาแต่ความชอบของตัวเองเป็นหลัก ผมไม่อยากให้เขาเอาตัวเองมาผูกติดกับคนที่แทบไม่มีเวลาให้ ทำงานทั้งเจ็ดวันไม่มีวันหยุด บางครั้งต้องอยู่เวรไม่ได้กลับบ้านก็บ่อย

ที่เกาะกับที่นี่มันไม่เหมือนกัน ที่เกาะผมเป็นเพียงหมอเจไดของชาวบ้าน เป็นเพียงนักท่องเที่ยวที่ช่วยเหลือคนป่วยได้ในยามมีเหตุ แต่สำหรับที่นี่ ผมเป็นคุณหมอที่มีความรับผิดชอบมากมาย ไม่ได้มีเวลาว่างไปถ่ายรูปเป็นเพื่อนเขาเหมือนตอนนั้นแล้ว

“ภาม...อาชีพของฉันมันไม่ได้มีเวลามากมายนักหรอกนะ” ผมถอนหายใจ ขณะก้มหน้าลงมองมือของเราที่กอบกุมกันไว้ “ตอนนี้ฉันมั่นใจแล้วว่าการเป็นหมอคือชีวิตของฉัน เป็นสิ่งที่ยังอยากทำต่อไปแม้ว่าจะเหนื่อยขนาดไหนก็ตาม”

“…”

“นายยังมีทางเลือกอีกมาก ยังมีความฝันที่จะเดินทางไปทั่วอยู่ไม่ใช่หรือไง แล้วจะมาบังคับตัวเองให้หยุดอยู่กับที่ทำไม ฉันไม่มีเวลาไปดูแลใครหรอกนะ”

“…ที่ถูกจูบไปสองครั้งไม่ช่วยให้คุณเข้าใจอะไรมากขึ้นเลยเหรอ”

“อะ...” ไอ้...

ผมตั้งท่าจะชักมือกลับตามสัญชาตญาณ แต่แค่คิดก็ถูกคนรู้ทันบีบกระชับมือไว้แน่นกว่าเดิม กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่เขายื่นหน้าเข้ามาหา จ้องมองมาด้วยดวงตาวาวโรจน์แบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

“ตัวก็แค่นี้ แถมขี้เกียจขนาดเก้ายังอาย มีชีวิตอยู่มาเกือบสามสิบปีแล้วคุณยังคิดว่าจะดูแลใครได้อีกเหรอ”

“…” พูดขนาดนี้เอาเท้ามาทาบหน้าเลยไหม

คิดว่าภามคงรู้ว่าผมเริ่มอารมณ์บูดอีกรอบแล้ว เขาถึงได้หยุดพูดไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วเปลี่ยนมานวดมือให้เบาๆ แทน จนสุดท้ายเมื่อผมผ่อนคลาย เปลี่ยนสีหน้าให้กลายเป็นปกติ ดวงตาคู่นั้นถึงได้มองมาอีกครั้งด้วยความกดดันและเหมือนจะออดอ้อนขอร้องอยู่ในที

“ผมไม่ได้ต้องการให้คุณมาดูแล...แต่ผมอยากดูแลคุณ แค่นี้ไม่เข้าใจหรือไง”

ได้ยินแบบนี้แล้วยังจะเถียงอะไรได้อีก ผมเบือนหน้าหนี ไม่กล้าสบตาคนพูด เพราะรู้สึกเหมือนหัวใจและอารมณ์ด้านในจะล้นทะลักออกมาเสียให้ได้ แค่อยู่ใกล้ๆ ก็เหนื่อยมากพอแล้ว ยังจะมาพูดจาให้เหนื่อยกว่าเดิมอีก

“ปล่อยได้แล้ว จะไปทำงาน” ผมกระตุกมือตัวเองออกมา โดยที่ภามก็ไม่ได้ห้ามอะไร เขาแค่มองนิ่งๆ ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถแล้วเดินตามผมเข้าไปด้านในโรงพยาบาลต้อยๆ

ตอนแรกคิดว่าพอถึงประตูก็คงหันหลังกลับไปเองเลยไม่ได้ห้าม แต่นี่ผมเดินมาจนถึงแผนกตัวเองแล้วเขาก็ยังเดินตามไม่เลิก และสุดท้ายผมก็ทนไม่ไหว ต้องหันไปขมวดคิ้วถามจนได้

“เดินตามทำไม ไม่ไปทำงานเหรอ”

“ไปส่งคุณก่อน”

“ก็อยู่โรงพยาบาลแล้วไง”

“ส่งที่โต๊ะทำงาน” ภามพูดหน้าตาย ราวกับไม่ได้รับรู้เลยว่าสิ่งที่พูดออกมามันเป็นเรื่องผิดหรือประหลาดอะไร แต่เดี๋ยวก่อน...ผมยังไม่เคยเห็นใครไปส่งกันถึงโต๊ะทำงานเลยนะ

“ไปทำบ้าอะไรเล่า รีบไปทำงานเลยไป” ว่าแล้วก็ดันไหล่ของคนตัวสูงกว่าให้หมุนตัวไปทางเดิม ซึ่งเขาเองก็ทำตัวเป็นตุ๊กตา ปล่อยให้ผมหมุนไปหมุนมาโดยไม่ได้รั้งตัวไว้ให้ลำบากใจเลยสักนิด

ตอนนี้เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าโดนกวนตีนอยู่หรือเปล่า

“ตอนเย็นจะมารับ”

“รู้หรือไงว่าฉันเลิกกี่โมง”

“วันนี้คุณไม่มีเวร แต่อาจจะเลิกไม่ตรงเวลา ผมรอได้”

“ไม่…” ผมอ้าปาก ตั้งท่าจะปฏิเสธ คิดถึงขั้นจะเอาพ่อมาอ้างว่าจะกลับพร้อมกัน แต่ภามกลับหันมาหา ใช้นิ้วชี้ของตัวเองเกี่ยวนิ้วชี้ของผมไว้แล้วพูดแทรกด้วยความว่องไว

“ผมจะรอ”

“…จะ”

“…”

“จะทำอะไรก็ทำ!”

สมใจแล้วก็หยุดทำตัวเหมือนเด็กสักที...ให้ตายเถอะ รู้ว่าแพ้ก็เอาใหญ่เลยนะ

ผมหมุนตัว ดึงนิ้วกลับมาด้วย ครั้งนี้ตั้งมั่นแล้วว่าจะเดินไปให้ถึงห้องตรวจโดยไม่ยอมหันไปหาจนต้องหลงกลภามอีกรอบ แน่นอน แต่ยังไม่ทันได้ก้าวไปไหน เสียงพูดไม่ดังไม่เบาจากคนด้านหลังก็ดังขึ้นอีกรอบ

“แล้วที่บอกว่าขอดูแลล่ะ”

“นี่จงใจให้ได้ยินทั้งแผนกเลยปะเนี่ย” ผมก้าวเท้าไวๆ กลับไปหาภามแล้วยกมือปิดปากเขาไว้ ดูคนเรา ยังมีหน้ามาทำเหมือนจะยิ้มอีกนะ

“คำตอบ...”

“จะทำอะไรก็ทำ!” คำตอบเดิมถูกใช้ซ้ำอีกครั้ง พร้อมกับที่ผมรีบผลักหลังภามให้เดินออกไปจากตรงนี้ด้วยความรวดเร็ว จนกำลังจะพ้นประตูอยู่แล้วเขาถึงได้ฝืนตัวไว้แล้วหันมายิ้มอย่างพออกพอใจ

“ตอนเย็นเจอกัน” ว่าจบก็เดินล้วงกระเป๋าจากไปด้วยท่าทางเท่ๆ แบบที่ผมอยากจะเข้าไปประเคนฝ่าเท้าให้สักที พอได้คำตอบที่พอใจแล้วก็ชิ่งเลยนะ

ทิ้งกูให้เผชิญกับสายตานับสิบคู่คนเดียวเนี่ย...

“มองอะไรครับพี่แจน” ผมหันไปทักคุณพยาบาลที่เคาน์เตอร์แผนกเสียงเข้ม “ทำงานครับทำงาน”

“คิกๆ...ทำแล้วค่ะทำแล้ว” เสียงหัวเราะของบรรดาพยาบาลดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน เมื่อเห็นผมทำหน้าบูดเป็นตูดลิง เดินจ้ำเร็วๆ หนีเข้าไปอยู่ในห้องตรวจ

เอาใหญ่เลยนะพวกพี่สาวน้องสาวทั้งหลาย แซวกันตั้งแต่วันแรกที่ผมกลับมาทำงานว่าไปเจอคนถูกใจแน่ๆ เลยถึงได้ยอมโกนหนวดซึ่งไว้มานาน ใครเตือนให้เอาออกจะได้น่ารักเหมือนตอนมาทำงานแรกๆ ก็ไม่ฟัง พอมาวันนี้เห็นภามมาเกี่ยวน้งเกี่ยวนิ้ว ไหนจะคำพูดน่าคิดเหล่านั้นอีก ไม่โดนแซวไปอีกสิบปีก็แปลกแล้ว

“ไอ้บ้าภามก็ด้วย...”

พูดมาได้ไม่สนใจชาวบ้าน จงใจกวนตีนกันชัดๆ

“อะแฮ่ม!”

“พี่แจน!” ผมสะดุ้งจนตัวโยน มือยกขึ้นลูบอกเป็นการปลอบหัวใจที่สะดุ้งตามร่างกายโดยไม่รู้ตัว “เข้ามาไม่ให้ซุ่มให้เสียง ผมตกใจหมดเลย”

“พี่เคาะประตูแล้วนะคะ แต่คุณหมอนั่นแหละมัวแต่เหม่ออะไรก็ไม่รู้” พี่แจนว่าแล้วเดินหัวเราะไปจัดของด้านหลังผมตามหน้าที่

“คิดไปเรื่อยครับ”

“เอ...พี่นึกว่ากำลังคิดถึงเรื่องผู้ชายหน้าตาดีที่เพิ่งกลับไปเสียอีก รู้ไหมคะว่าน้องๆ พยาบาลกรี๊ดกันใหญ่ บอกว่าหล่ออลังการมาก”

“ผมหล่อกว่าอีก” ผมเถียงอย่างไม่ยอมแพ้ แอบเบะปากในใจเมื่อได้ยินคนชมภามอีกแล้ว ใครจะคิดว่าพี่แจนจะถึงกับชะงักกึก พร้อมหันหน้ามามองผมขึ้นๆ ลงๆ เหมือนกำลังพิจารณา

“พี่ยอมรับนะคะว่าตอนเห็นรูปคุณหมอกับหุ่นเมื่อก่อนสมัยยังเรียนอยู่มหา’ลัยนี่แซ่บมาก แต่ตอนนี้...” คุณพยาบาลทำสีหน้าลำบากใจ คล้ายกำลังครุ่นคิดว่าควรพูดอะไรออกมาเพื่อไม่ให้เป็นการทำร้ายจิตใจผมมากเกินไป “เอาเป็นว่าตอนนี้คุณหมอน่ารักแล้วกันค่ะ”

“นั่นมันคำชมแบบเสียมิได้นี่นา”

“เอาน่า...แต่ดูเหมือนคุณหมอจะมีเนื้อมีหนังขึ้นนิดหน่อยนะคะ ก่อนไปพักร้อนนี่มีแต่กระดูก จะว่าไปแล้วพวกพี่ก็คุยกันอยู่ว่าเหมือนคุณหมอจะสดใสขึ้นด้วย ไปเจออะไรดีๆ มาใช่ไหมคะ เกี่ยวกับผู้ชายคนเมื่อกี้หรือเปล่าน้า” พี่แจนยิ้มจาง ขณะที่ผมได้แต่ทำหน้างุนงงด้วยความไม่เข้าใจ

สดใสขึ้นงั้นเหรอ...

จะบอกว่าไปเจออะไรดีๆ มามันก็ใช่อยู่ ได้อยู่กับธรรมชาติแบบที่ไม่ได้สัมผัสมานาน ผมย่อมชอบมากอยู่แล้ว แต่เคยคิดว่าถ้าได้กลับมาเจอชีวิตเดิมๆ อีกครั้งก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมเสียอีก ไม่คิดว่าจะถึงขนาดมีคนสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงที่แม้แต่ผมยังไม่ทันรู้สึก

จู่ๆ ภาพใบหน้าของคนที่เพิ่งกลับไปก็โผล่ขึ้นมาในหัว...

หลอกหลอนกันเหลือเกินนะ

“ผมสดใสขึ้นก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอครับ พี่แจนไปทำงานได้แล้ว เดี๋ยวก็โดนฟ้องหรอก คนไข้รอกันเป็นแถวแล้วมั้ง” ผมรีบโบกมือไล่คุณพยาบาลช่างพูดที่เอาแต่ยิ้มกว้าง มองมาเหมือนต้องการคำตอบ

“แหม...ไม่ปฏิเสธด้วยนะเนี่ย”

“พี่แจน...”

“จ้าๆ ไปแล้ว”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อได้กลับมาอยู่คนเดียวอีกครั้ง ในหัวนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ไปเรื่อย ขณะที่มือก็พลิกเอกสารเกี่ยวกับงานอ่านไปพลางๆ ตามที่ได้คุยกับพ่อ ดูเหมือนว่าน้องระฟ้าจะเข้ามาที่โรงพยาบาลวันนี้ในช่วงเย็น ผมต้องอยู่คุยกับน้องก่อนจะส่งให้แพทย์เฉพาะทางต่อ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะกินเวลาไปมากขนาดไหน ถ้าภามมารอจริงก็อาจจะต้องรอนาน

เอาเป็นว่าส่งข้อความไปบอกก่อนแล้วกัน จะได้ไม่ต้องรู้สึกผิดทีหลัง ส่วนจะรอหรือไม่รอก็ตามใจเขา

หลังจากการทำงานเริ่มต้นขึ้น ผมก็แทบไม่มีเวลาได้พักผ่อนหรือแตะต้องโทรศัพท์อีก ทั้งวันใช้ไปกับการตรวจและกล่อมเด็กน้อยที่เข้ามารับการรักษา หรือไม่ก็ไปนั่งคุยกับคุณพ่อคุณแม่และน้องที่เป็นผู้ป่วยใน วนเวียนสับเปลี่ยนไปตามหน้าที่อยู่อย่างนี้เกือบทั้งวัน ข้าวก็ไม่ต้องหวังว่าจะได้กินพร้อมชาวบ้าน เพราะแบบนี้แหละถึงได้ลืมกินบ่อยๆ

“คุณหมอ ไปทานข้าวก่อนเถอะค่ะ เมื่อคืนเหมือนจะไม่ได้นอนด้วยใช่ไหมเนี่ย” คุณพยาบาลเอ่ยเตือนเป็นคนที่สอง คงเพราะเห็นว่าผมยังวุ่นวายไม่หยุดทั้งที่ตอนนี้เกือบสองโมงเข้าไปแล้ว ท่าทางหน้าคงไม่ไหวมากจริงๆ คนอื่นถึงได้สังเกตเห็นกันหมด

“หน้าผมแสดงออกชัดขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

“มากเลยค่ะ แต่ถ้าได้ทานข้าวต้องดีขึ้นแน่ๆ เพราะงั้นไปทานสักนิดเถอะนะคะ ยังมีเวลากว่าคนไข้ที่นัดไว้จะมา หมอนิกซ์เองก็อยู่ด้วย”

“แอนยังไม่ชินอีกเหรอ ที่เห็นผมไม่ได้กินข้าวเนี่ย” ผมแซวคนอายุเท่ากันขำๆ

“โธ่...จะชินได้ยังไงคะ คุณหมออุตส่าห์กลับมาหน้าใสกิ๊งทั้งที ไม่มีพยาบาลคนไหนอยากให้กลับไปเป็นตาลุงเหมือนเดิมหรอกค่ะ” แอนว่าแล้วหัวเราะคิกคัก “เอาเป็นว่าไปทานข้าวสักนิดเถอะค่ะ เดี๋ยวคนเอามาให้เขาจะเสียใจนะ”

“หา…”

คนเอามาให้?

“แอนไปทำงานก่อนนะคะ คุณหมอก็รีบไปได้แล้ว”

ผมได้แต่มองคนพูดเดินหัวเราะอุอิจากไปแบบงงๆ ก่อนจะเดินไปดูกระเป๋า กะว่าจะหยิบเงินไปซื้อกาแฟกินสักแก้วแทนข้าว แต่กลับต้องชะงักกึกเมื่อเห็นกล่องข้าวพลาสติกลายแมววางอยู่ด้านข้างของที่ต้องการ

‘ให้คุณ...’

ไม่ต้องสงสัยแล้วว่าจากใคร ลายมือบนกระดาษที่แปะอยู่บนหน้าแมวยึกยือปานนี้คงมีอยู่แค่คนเดียว แต่ที่น่าสงสัยคือเขาเอามาให้ตั้งแต่ตอนไหนต่างหาก คิดได้ดังนั้นผมก็คว้าโทรศัพท์มาถือไว้แล้วรีบเดินไปหาที่นั่งกินข้าว ข้อความล่าสุดถูกส่งมาจากภาม เป็นคำตอบสั้นๆ ที่บอกว่า ‘เข้าใจแล้ว’ หลังจากผมส่งข้อความไปบอกเรื่องอาจจะเลิกช้า

ว่าแต่เข้าใจแล้วนี่คือจะรอหรือไม่รอวะ...

Anakin: รอหรือไม่รอ

ผมส่งไลน์ไปถามแล้วตักมักกะโรนีคำแรกเข้าปาก ก่อนจะตามมาด้วยอีกหลายคำเมื่อรู้สึกว่ามันอร่อยผิดคาด ดูจากกล่องแล้วไม่น่าใช่ซื้อมา ก็หมายความว่าภามทำเองน่ะสิ...มันจะมันอร่อยเกินไปหรือเปล่า

ประเด็นเลยคือถ้าเขาทำเองจริงๆ แล้วมันอร่อยขนาดนี้ ทำไมตอนอยู่บนเกาะไม่ทำแต่แรกฟะ

ไม่หรอก...บางทีอาจให้ใครทำให้ก็ได้

ครืด

เสียงโทรศัพท์สั่นดังขึ้นพร้อมกับที่ผมตักมักกะโรนีคำสุดท้ายเข้าปากพอดี มันคือคำตอบสั้นๆ จากคำถามที่ส่งไปเมื่อห้านาทีที่แล้ว

asdf: รอ

asdf: อาหารเป็นยังไงบ้าง

Anakin: นายทำเองเหรอ แล้วเอามาให้ตอนไหน

asdf: ทำเอง ฝากพยาบาลไว้ตอนเที่ยง

Anakin: อ้อ…ก็พอกินได้ ยังไงก็ขอบคุณแล้วกัน

asdf: อา...ไว้เจอกัน

Anakin: เจอกัน

ผมเลียช้อนเป็นครั้งสุดท้ายแล้วทำการปิดฝากล่อง นี่ถ้ามีใครอยู่ตรงนี้แล้วรู้ว่าผมบอกภามว่าพอใช้ได้ คนคนนั้นจะต้องมองเหยียดแล้วบอกว่าตอแหลแน่นอน เพราะคงไม่มีอาหารพอใช้ได้ที่ไหนโดนเก็บกินเกลี้ยงกล่องขนาดนี้ ถ้าเลียแล้วไม่น่าเกลียดผมก็อยากจะทำอยู่หรอก ใครมันจะยอมบอกตรงๆ เล่าว่าอาหารที่นายทำมันอร่อยมาก สุดยอด ขอทุกวันเลยได้ไหม

เอาไว้ค่อยๆ ตะล่อมขอแบบไม่ให้รู้ว่าชมดีกว่า...



หลังจากนั่งทำงานและรอคอยมาทั้งวัน ในที่สุดพี่แจนก็เดินเข้ามาหาผม เป็นเวลาเดียวกันกับที่ถึงเวลาเลิกงานพอดี เธอบอกว่าน้องระฟ้าอยู่ที่ห้องพักวีไอพีแล้ว พ่อผมเพิ่งให้คนมาตาม คงกะให้ถึงเวลาเลิกงานพอดี จะได้ไปเยี่ยมได้ยาวๆ โดยไม่มีอะไรมาขัด แต่พอผมถือกระเป๋าเดินไปถึงหน้าเคาน์เตอร์ก็เห็นร่างสูงใหญ่ของคุณช่างภาพนั่งรออยู่ก่อนแล้ว

“ภาม”

“เลิกแล้วเหรอ” เขาถามพร้อมกับลุกขึ้นเดินเข้ามาหา

“เลิกแล้ว แต่เดี๋ยวต้องไปหาน้องระฟ้าก่อน” ผมตอบแล้วมองไปรอบๆ วันนี้ไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่เลยได้เลิกตามเวลา แต่ถ้าขึ้นไปเยี่ยมน้องแล้วมีอะไรฉุกเฉินก็อาจโดนเรียกไปได้ตลอดเวลาอยู่ดี “นายกลับก่อนดีกว่าไหม ฉันก็ไม่รู้ว่าจะเสร็จจริงๆ กี่โมง”

“ผมบอกแล้วว่าจะรอ” ภามพูดแค่นั้นแล้วทำท่าจะนั่งลงบนโซฟาที่เดิม แต่ผมรั้งแขนเขาไว้ก่อน

“งั้นก็ไปด้วยกัน”

ไม่ได้กลัวว่าจะรอเปื่ิอยหรืออยากอยู่ใกล้อะไรนะ ก็แค่เห็นใจคนที่คอยขับรถให้เฉยๆ หรอก

ผมพาภามขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นวีไอพี ห้องของน้องระฟ้าเป็นห้องริมสุดติดกระจก แค่เห็นชุดเก้าอี้หน้าห้องกับบรรยากาศของชั้นก็สัมผัสได้ถึงความมีฐานะแล้ว นอกจากตอนมาตรวจคนไข้ ผมยังไม่เคยได้ขึ้นมาในฐานะคนธรรมดาเลย ปกติมีแต่รีบๆ เดิน ไม่ได้สังเกตความสวยงามของชั้นที่เพิ่งปรับปรุงใหม่มากนัก

ภายในห้องวีไอพีเทียบได้กับระดับคอนโดหรู คือนอกจากจะมีห้องพักผู้ป่วยแล้วยังมีห้องรับแขก แถมด้วยห้องนอนอีกห้องไว้สำหรับญาติที่มาเฝ้าด้วย ผมหันไปกวักมือเรียกภามที่มัวแต่มองไปรอบๆ ก่อนจะเดินตรงไปที่ห้องพักผู้ป่วย ซึ่งตอนนี้มีร่างของเด็กชายคนหนึ่งกำลังนั่งเหม่ออยู่

“น้องระ” ผมส่งเสียงเรียกไม่ดังหรือเบาเกินไปนัก จนกระทั่งเด็กชายตัวขาวบนเตียงหันมามอง ใบหน้าเหม่อลอยก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นแทบจะทันที

“พี่หมอ!”

น้องระฟ้าเป็นเด็กผู้ชายหน้าตาดี ผิวอาจจะดูขาวซีดไปบ้างเพราะไม่ได้รับอนุญาตให้ตากแดดหรือเล่นกีฬาหนักๆ แต่ก็ไม่ได้ผอมแห้งหรือดูขี้โรคอะไร มองเผินๆ คงไม่มีใครคิดว่าน้องมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ แค่อาจจะดูตัวเล็กไปบ้างเท่านั้นเอง

“แล้วคุณป้าไปไหนล่ะ ทำไมปล่อยให้เราอยู่คนเดียว” ผมนั่งลงข้างเตียงน้องแล้วพยักพเยิดให้ภามไปนั่งรอบนโซฟาฝั่งตรงข้าม

“นมไปทานข้าวครับ ระบอกให้นมไปเอง” น้องพูดพร้อมรอยยิ้ม “แล้วพี่หมอไม่ต้องทำงานเหรอ เสียเวลามาหาระหรือเปล่า”

“พี่เลิกงานแล้ว ไม่เสียเวลาหรอกน่า”

“แล้วนั่น...”

“นั่นพี่ภามครับ เป็นเพื่อนพี่เอง” ผมมองเมินเมื่อเห็นภามเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม เหมือนจะไม่อยากรับว่าเป็นเพื่อนเท่าไหร่ แต่ก็ยังดีที่ไม่ได้เถียงอะไรออกมา “น้องระเป็นยังไงบ้าง แล้วมาถึงที่นี่ได้คุยกับคุณหมอแล้วใช่ไหม”

“ระไม่เป็นไรครับ จริงๆ ระบอกทุกคนแล้วว่าแค่กินยาเหมือนเดิมก็พอ แต่นมไม่เชื่อ บอกว่าระทานน้อยลง ดูอ่อนแอลงด้วย แม่ก็เลยบอกให้ระมาตรวจที่กรุงเทพฯ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน “เมื่อกี้คุณอามาตรวจระแล้วครับ”

พ่อมาเองเลยเหรอ...

“แล้วคุณอาว่ายังไงบ้าง”

“คุณอาบอกว่าพรุ่งนี้คุณหมอหัวใจจะมาคุยด้วยอีกที ถ้าต้องผ่าตัดจริงๆ ก็อยากให้ระยินยอมด้วยตัวเอง”

“แล้วคุณแม่น้อง...”

“คุณแม่บอกว่าอีกสองสามวันจะมาหาครับ แต่ระไม่ค่อยแน่ใจหรอกว่าจะมาได้หรือเปล่า” เสียงใสๆ ของน้องยังคงเป็นปกติไม่เปลี่ยนแปลง แม้ยามพูดว่าแม่อาจจะมาหาไม่ได้ แล้วก็นั่นแหละที่ทำให้ผมเป็นห่วงขึ้นมา เพราะถ้าน้องร้องเรียกหาแม่ บอกว่าต้องมาไม่อย่างนั้นจะไม่รักษา มันคงจะดีกว่าพูดเหมือนทำใจไว้แล้วหลายเท่า

“ก่อนจะผ่าตัดเราต้องมีขั้นตอนการเตรียมตัวและพูดคุยกันก่อนอยู่แล้ว จะไม่มีใครบังคับอะไรทั้งนั้น เพราะงั้นไม่ต้องเป็นห่วงนะ พี่เชื่อว่าถ้าต้องผ่าตัดจริงๆ คุณแม่จะต้องมาแน่ๆ” ผมยื่นมือไปลูบหัวเล็กเบาๆ พอเห็นน้องพยักหน้าอย่างว่าง่ายและกะพริบตาจนแพขนตายาวกระทบใบหน้าแล้วก็ยิ่งรู้สึกเอ็นดูมากขึ้นไปอีก

เด็กน่ารักแบบนี้ไม่ควรต้องเจ็บปวดเลย ไม่ว่าจะทางร่างกายหรือจิตใจก็ตาม

“ระรู้ดีว่าทุกคนคิดเอาไว้แล้วว่าระคงต้องผ่าตัด” น้องยิ้มจางก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผม “เพราะแบบนั้นถึงส่งพี่หมอมาช่วยพูด”

“รู้ทันอีก” ที่น้องพูดมาก็ไม่ผิดนัก ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อโทรมาบอกให้ผมกลับมาช่วยคุยกับน้อง ป่านนี้ผมอาจจะยังอยู่บนเกาะเหมือนเดิมก็ได้

จากที่ได้รู้จักระฟ้ามา น้องไม่ใช่เด็กขี้โวยวายอะไร แต่ค่อนข้างจะเก็บตัวอยู่พอสมควร เวลาใครสั่งไม่ใช่ว่าน้องไม่ทำตาม แต่น้องจะทำแบบเสียมิได้ อยากฉีดยาเหรอ ฉีดไปสิ อยากอธิบายเหรอ พูดไปสิ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ทุกคนต่างเป็นห่วง เพราะคงไม่มีใครอยากให้น้องรับการรักษาโดยใช้ความคิดแบบนั้น มันอันตรายต่อตัวน้องเอง

ตอนที่บอกว่าผมเป็นคนเดียวที่น้องฟัง นั่นเป็นเรื่องจริง อาจเพราะรู้เรื่องราวของน้องอยู่แล้ว หรืออาจเพราะพ่อแม่รู้จักกัน ก็ตาม แต่พอได้สนิทกันโดยแท้จริง น้องก็ยอมเล่าเรื่องราวต่างๆ และสิ่งที่ตัวเองอยากทำให้ผมฟังมากมาย ไม่ว่าจะเรื่องอนาคตหรืออะไรก็ตาม ดังนั้นทุกคนรวมถึงตัวผมเองเลยคิดว่า ถ้าผมเข้ามาช่วยพูดให้น้องยอมรับการรักษาโดยเต็มใจได้ มันจะส่งผลดีต่อทุกฝ่ายมากกว่า

“พี่หมอจะบังคับระหรือเปล่า” เด็กชายที่ยังนั่งนิ่งไม่ยอมขยับถามขึ้นมา พร้อมกับส่งแววตาคาดหวังในคำตอบมาให้ ผมได้แต่มองสบตาน้องอยู่นาน ก่อนจะตัดสินใจตอบไปตามความจริง

“อำนาจในการตัดสินใจไม่ได้อยู่ที่พี่ครับ มันอยู่ที่หมอเจ้าของไข้...แล้วก็คุณแม่ของระ”

“นั่นสินะ...” น้องระพึมพำเสียงแผ่วจนแทบจางหายไปกับสายลม

“แต่ว่า...” ผมวางมือตัวเองลงบนมือเล็ก สายตาไม่ละไปจากใบหน้าใสของเด็กชายนัยน์ตาเศร้าที่กำลังมองมาอย่างมีความหวัง “ไม่ว่าน้องระจะตัดสินใจยังไง ขอแค่พูดมาพี่เชื่อว่าทุกคนจะเข้าใจครับ ถ้ามันจำเป็นจริงๆ พวกเขาจะต้องใช้เหตุผลคุยกับระ จะไม่มีใครมาบังคับแน่นอน”

“ระ…”

“บอกพี่ได้ไหมว่าทำไมถึงไม่อยากรักษา”

น้องระหลุบตาลงต่ำ ทำสีหน้าลังเล มือเล็กๆ บีบมือผมแน่น พร้อมกับที่เริ่มมีเลือดฝาดบนแก้มขาวๆ ทั้งสองข้าง

“…ระกลัวเจ็บ”

“…”

เด็กก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยันค่ำสินะ

“ไม่แปลก...ขนาดผู้ใหญ่กลัวเจ็บยังมี”

“ภาม!” ผมหันไปถลึงตาใส่คนพูดแทรกที่กำลังยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม นอกจากนั้นอีกฝ่ายยังลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินเข้ามาประชิดเตียงด้วย

“ผู้ใหญ่...กลัวเจ็บเหรอ” น้องระทำหน้างง ตากลมโตหันไปจ้องหน้าภามเขม็งเหมือนอยากให้พูดต่อ

“เคยเห็นผู้ใหญ่ที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แค่เพราะกลัวโดนหยิกหรือเปล่า” เจ้าของใบหน้าปลาตายยังคงพูดต่อไปโดยไม่สนใจผมที่พยายามส่งซิกบอกให้หุบปาก “ยังไม่ได้หยิกนะ...แค่ตั้งท่าก็น้ำตาคลอแล้ว”

ไอ้...ไอ้....

“แค่จะโดนหยิกเองเหรอครับ”

“ใช่”

ผมยกมือกุมขมับ ตามองน้องระที่กำลังสนอกสนใจภาม สลับกับมองคนกวนตีนที่ปรับอารมณ์ในห้องจากหน้ามือเป็นหลังเท้าได้อย่างรวดเร็วโดยไม่รู้จะพูดอะไรดี เรื่องของเรื่องคือไอ้คนฉลาดมันไม่พูดชื่อไง ถ้าผมออกหน้าไปปุ๊บน้องต้องรู้แน่ว่าผู้ใหญ่ที่ว่าหมายถึงใคร

“ถ้าเขาโดนฉีดยาแบบที่ระโดนจะเป็นยังไงเหรอครับ”

“ร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือดแน่ๆ”

“…”

“งั้นถ้าเขาเป็นโรคหัวใจแล้วต้องผ่าตัด...”

“น่าจะสลบตั้งแต่ได้ยินคำว่าผ่าตัด”

“เอ่อ...”

“คิกๆ…” น้องระเริ่มหัวเราะออก สีหน้าและแววตาเป็นประกายสดใสจนผมที่มองอยู่ได้แต่ยิ้มแห้ง “ระเข้มแข็งกว่าเยอะเลย”

ในเวลานั้นเองที่ภามเบนสายตามามองหน้าผม ก่อนมุมปากของเขาจะยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม

“ใช่…นายเข้มแข็งกว่าเยอะ นี่ถ้า ‘เพื่อน’ คนนั้นของฉันมาได้ยินเข้า คงร้องไห้แงๆ เพราะเห็นเด็กอายุน้อยกว่าเป็นสิบปียังยิ้มได้ทั้งที่กำลังจะผ่าตัด”

ย้ำหนักคำว่าเพื่อนเกินไปไหม...

“ระจะพยายาม”

น้องระยิ้มได้ก็ดีแล้ว...

ว่าแต่ผมมาทำอะไรที่นี่นะ


——————————







ออฟไลน์ toomild

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.24]== [01/09/61]
«ตอบ #128 เมื่อ01-09-2018 12:00:45 »

เอ็นดูหมอจัง5555 ตาน้องภามนี่ก็แอบกวนเบาๆนะคะเนี่ย // น้องระสู้ๆ สงสารน้องมากเลยค่ะ :mew2:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.24]== [01/09/61]
«ตอบ #129 เมื่อ02-09-2018 04:47:50 »

ให้ภามช่วยกล่อมน้องระดีกว่านะ ในฐานะคนเคยป่วย ถึงจะไม่ใช่โรคเดียวกัน แต่น่าจะเข้าใจคนป่วยเหมือนกัน  :hao3:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.24]== [01/09/61]
« ตอบ #129 เมื่อ: 02-09-2018 04:47:50 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.24]== [01/09/61]
«ตอบ #130 เมื่อ02-09-2018 09:23:11 »

ไม่อ่านมานาน คิดถึงมากๆเลย
ชอบภามอ่ะ ปากกับใจตรงกันตลอดเลย

ออฟไลน์ PharS

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 588
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.24]== [01/09/61]
«ตอบ #131 เมื่อ02-09-2018 14:35:11 »

 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.24]== [01/09/61]
«ตอบ #132 เมื่อ03-09-2018 15:53:55 »

ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.24]== [01/09/61]
«ตอบ #133 เมื่อ03-09-2018 17:16:54 »

-25-



ตั้งแต่เกิดมาผมเพิ่งเคยโดนเผาแบบต่อหน้าต่อตาเป็นครั้งแรก ถึงจะไม่ได้เอ่ยชื่อก็เถอะ...

ผ่านมาหลายวันแล้วที่ผมได้แต่นั่งหน้าบูดอยู่ในห้องพักผู้ป่วยวีไอพีหลังเลิกงาน ไม่ใช่เพราะต้องมาหาน้องระทุกวัน แต่เป็นเพราะนับจากวันแรกที่ภามได้เจอน้อง อีกฝ่ายก็ได้เปลี่ยนไปทำหน้าที่แทนผมทั้งหมด แล้วอะไรคือการที่ผมต้องมานั่งกอดอกอยู่ที่โซฟา ในขณะที่เขานั่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย ฟังน้องระพูดนั่นพูดนี่ไม่หยุด

ขนาดภามไม่ค่อยพูด น้องยังทำท่าเหมือนจะชอบเขามากกว่าผมอีก ตอนนั้นกว่าผมจะสนิทกับน้องได้ก็ใช้เวลาตั้งหลายวัน แล้วดู...

“คุณหมอบอกว่าจะผ่าตัดพรุ่งนี้ครับ”

“ดีแล้ว"

นอกจากจะสนิทสนมกันได้อย่างรวดเร็ว ยังอุตส่าห์กล่อมน้องให้ยอมผ่าตัดสำเร็จด้วย หลังจากที่คุณหมอประเมินแล้วว่าการทำงานของหัวใจน้องแย่ลงจากภาวะแทรกซ้อน ยังไงก็ต้องผ่าตัดเพื่อรักษา และถึงจะไม่ได้พูดออกมาให้ฟังตรงๆ แต่ผมก็เข้าใจดีว่ามันต้องเกิดจากการที่น้องระไม่ยอมดูแลตัวเองแน่ๆ

ก็ได้แต่หวังว่าพอคุณแม่ของน้องฟังที่หมอพูดแล้วจะสนใจลูกชายมากขึ้น...

“พี่ชายกินกับระไหม”

“ไม่”

เหอะ...ขนาดชวนกินยังชวนแต่ภาม เรียกได้ว่าเขาทำหน้าที่ที่ผมตั้งใจจะทำเรียบร้อยหมด ไม่เหลือเผื่อให้แม้แต่่นิดเดียว

ถามตัวเองเป็นรอบที่สาม...นี่กูมาทำอะไรที่นี่วะเนี่ย

หลังจากที่น้องระเข้ามาอยู่ในโรงพยาบาล หากไม่มีเวรผมมักจะมาหาน้องในเวลาเลิกงานก่อนกลับบ้านทุกครั้ง ซึ่งดูเหมือนว่าภามจะอาศัยช่วงเวลาที่ว่างเข้ามาคุยเล่นเป็นเพื่อนแทบทุกวันเหมือนกัน ผมเปิดประตูเข้ามาทีไรก็มักจะเห็นเขานั่งอยู่ก่อนแล้ว พอจะกลับอีกฝ่ายก็จะเป็นคนพาไปส่ง จนตอนนี้รถผมแทบจะจอดนิ่งให้ฝุ่นเกาะเล่น เพราะภามมารับตลอดจนไม่ได้ขับมาทำงานเองเลย

“ภาม” ผมเรียกเสียงค่อยเมื่อเห็นว่าคุณป้าซึ่งเป็นแม่นมของน้องระเดินเข้ามาคุยกับน้องพอดี และเมื่อเห็นว่าเจ้าของชื่อหันมามองผมก็รีบชี้นิ้วไปที่ท้องตัวเองเป็นเชิงบอกให้เขารู้ว่าหิวแล้ว

เมื่อวานผมเข้าเวรไม่ได้นอนมาทั้งคืน แถมยังกินข้าวไปแค่มื้อเดียวคือมื้อกลางวันที่ภามเอาข้าวกล่องมาส่งให้อีก ไม่แปลกที่ตอนนี้จะอยากกลับไปพักเต็มทน

“ฉันกลับก่อน” ภามไม่พูดมาก เขาหันไปบอกน้องระสั้นๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว แล้วเข้ามาคว้าแขนผมลากให้เดินออกจากห้องแบบไม่เปิดโอกาสให้หันไปลาน้องกับคุณป้าเลยสักคำ

“บายครับ!” แว่วเสียงน้องระดังมาตามสายลม เป็นเวลาเดียวกันกับที่ประตูห้องถูกปิดลงด้วยฝีมือของคนหน้าตายซึ่งกำลังขมวดคิ้วมุ่น

ผมปิดปากฉับ ทำตัวเหมือนคนเป็นใบ้เพราะรับรู้ได้ว่าภามกำลังอยู่ในอารมณ์แบบไหน รวมถึงรู้ด้วยว่าเดี๋ยวจะโดนอะไร จวบจนขึ้นมาอยู่บนรถแล้วผมก็ทำได้เพียงนั่งกุมมือจ้องเล็บตัวเองเหมือนมันน่ามองนักหนา ทั้งที่จริงๆ แล้วก็แค่หงอล่วงหน้าเท่านั้น

“คือ…”

“รอให้ถึงก่อน”

พูดง่ายๆ คือหุบปากซะ

ไอ้เราฟังแล้วก็ได้แต่เก็บปากทันควัน นั่งสงบเสงี่ยมเรียบร้อยไปตลอดทาง แม้เขาจะพาไปที่คอนโดหรูหราซึ่งเคยชี้ให้ดูแล้วบอกว่านอนอยู่ที่นี่ ก็ยังไม่กล้าถามว่าพามาทำไม ผมเดินตามภามที่ยึดของทุกอย่างไปถือไว้เองต้อยๆ กระทั่งเขาพาขึ้นลิฟต์มาถึงชั้นบน เห็นความหรูหราของเครื่องประดับตกแต่งแล้วถึงได้เริ่มร้องอู้หูออกมาเบาๆ

ห้องของภามเป็นห้องหรูขนาดใหญ่ แค่เปิดประตูเข้ามาก็ได้กลิ่นความรวยกระจายไปทั่ว มองสำรวจคร่าวๆ แล้วพบว่ามันเป็นห้องที่มีพร้อมทุกอย่าง เทียบพื้นที่กับบ้านผมแล้วอาจจะใหญ่กว่าประมาณสองเท่า นอกจากห้องนั่งเล่นกับห้องครัวที่อยู่รวมกัน ยังมีประตูกระจกเปิดไปยังระเบียงกว้างขวางได้ด้วย เพดานห้องก็สูงสุดๆ ดูแล้วไม่อึดอัดเลยสักนิด แล้วนั่น...บันได

“โห...มีสองชั้นด้วย”

เทียบกับคอนโดไอ้โซแล้วความกว้างขวางอาจจะดูใกล้เคียงกัน แต่ผมว่าของภามมันหรูกว่าตรงที่มีบันไดขึ้นไปชั้นสองด้วยเนี่ยแหละ นี่มันไม่ต่างจากบ้านหลังโตที่อยู่สูงเสียดฟ้าเลยนี่หว่า อลังการงานสร้างไปอีก

“จะกินอะไร” คนที่วางของทุกอย่างลงบนโซฟาแล้วเดินจ้ำอ้าวไปที่ครัวเอ่ยถาม ผมที่กำลังจะเอนตัวลงนอนเล่นเลยรีบเด้งตัวขึ้นกะทันหัน พร้อมกับวิ่งตามไปนั่งลงบนเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์ครัวเพื่อเตรียมพร้อม

“อยากกินมักกะโรนีอีก”

“นานนะ”

“งั้นสปา...”

“นานพอกัน”

“เอาที่นายคิดว่าอร่อย”

“อร่อยทุกอย่าง”

“…” ผมตีหน้าตาย จ้องตาแข่งกับภามราวกับกำลังหาคนแพ้ แล้วก็นั่นแหละ... “เอาไส้กรอกกับไข่ดาวธรรมดาก็ได้”

ผู้ชนะเหยียดยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะหันไปเปิดประตูตู้เย็น เตรียมกับข้าวต่างๆ ด้วยความคล่องแคล่วจนผมได้แต่ร้องโหอยู่หลายรอบ ลืมความไม่พอใจเมื่อกี้ไปเสียสนิท

หลายวันมานี้คนที่ทำตัวเหมือนว่างแต่ไม่ว่างทำข้าวกลางวันให้ตลอด วันสองวันแรกยังมาเองอยู่ แต่หลังๆ น่าจะเริ่มยุ่งขึ้น วันไหนที่ผมไม่มีเวรก็จะส่งกล่องแมวให้ตั้งแต่เช้าตอนไปส่งที่โรงพยาบาล พอจะกินก็ไปอุ่นเอา หรือไม่บางทีผมก็กินทั้งอย่างนั้นเลย ส่วนวันที่มีเวรอย่างเมื่อวานที่ผมไม่ได้กลับบ้าน เขาก็จะเอามาให้ตอนกลางวันเหมือนเดิม ตอนภามรู้ว่าผมไม่อุ่นก่อนกิน เขายังบอกอยู่เลยว่าเพราะแบบนี้ตอนแรกถึงได้เอามาส่งให้เอง

“ไปหยิบกล่องข้าวมา” คนที่กำลังหันหลังทำอาหารออกคำสั่งเสียงเรียบ แต่ทำเอาผมขนลุกชันไปทั้งตัว เพราะเพิ่งนึกได้ว่าทำอะไรเอาไว้ ถ้าเอากล่องข้าวมาเขาก็ต้องเห็นว่า... “ไปเอามา”

“ครับผม ไปเอาเดี๋ยวนี้ครับ” ผมรับคำอย่างแข็งขัน แล้ววิ่งไปเอากล่องข้าวออกมาจากกระเป๋า เดินกลับมาอีกทีก็เห็นคุณพ่อครัวกำลังเทข้าวผัดไส้กรอกลงในจานหน้าเคาน์เตอร์พอดี

“เปิดกล่อง”

“เอ่อ...”

“ช้า” ภามขมวดคิ้ว ดึงกล่องที่ผมกอดไว้ไปเปิดออกเอง เผยให้เห็นข้าวพร้อมสเต็กไก่ที่ผมบ่นว่าอยากกินเมื่อสองวันก่อนซึ่งยังไม่ถูกแตะเลยแม้แต่นิดเดียว อย่าว่าแต่ชิมเลย...ผมเองก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าข้าวกลางวันคืออะไร “ไหนบอกว่าต่อให้กินข้าวไม่ตรงเวลาไปบ้าง แต่ก็หาเวลากินได้แน่นอนไง”

“คือ…”

พูดไม่ออก...กะแล้วว่าต้องโดนเหวี่ยงเรื่องนี้ แต่ประเด็นคือภามเป็นพวกนิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว แม้ยามดุก็ยังทำหน้าตาย ไม่ได้ตะคอกหรือพูดเสียงดังขึ้นเลยสักนิด

นั่นแหละที่น่ากลัว...

“เอาไปทิ้ง” เขาพูดสั้นๆ แล้วยื่นกล่องข้าวมาให้ผม

“แต่ว่า...” มันน่าเสียดาย อุตส่าห์ทำให้กิน “เอาไปอุ่นก็ยังกินได้นะ”

“เอาไปทิ้ง”

พอได้ยินเสียงเข้มขึ้นหนึ่งระดับของคุณพ่อครัวหน้าตาย ผมก็แทบจะบินไปที่ถังขยะ หลังจากจ้องสเต็กไก่หน้าตาน่ากินอยู่นานเกือบนาที สุดท้ายก็ต้องทำใจเททิ้งจนหมด

ผมเดินห่อเหี่ยวกลับไปนั่งบนเก้าอี้ แล้วค่อยๆ ตักข้าวผัดเข้าปากช้าๆ ตายังเผลอมองของกินที่เพิ่งเททิ้งไปเป็นระยะด้วยความเสียดาย ในขณะที่คนใจร้ายเองก็เหลือบตามองผมเป็นครั้งคราวเช่นเดียวกัน จนเมื่อเรากินข้าวกันจนหมด ภามก็ยืดตัวตรง ยกมือขึ้นกอดอกแล้วถามเสียงเรียบ

“เสียใจมากไหม”

“มาก” สเต็กไก่ที่อยากกินมาตั้งหลายวัน...

“ผมก็เสียใจมากเหมือนกัน”

ภามพูดแค่นั้นแล้วรวบจานไปล้าง ปล่อยให้ผมอ้าปากค้างอยู่ด้านหลัง จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนตัวเองทำผิดหนักมากจนไม่น่าให้อภัย เพียงแค่ลืมกินข้าวที่เขาตั้งใจทำให้ไปหนึ่งมื้อ ผมรู้ดีว่าภามเข้าใจเรื่องเวลาทำงานของหมอ เขาถึงได้ถามก่อนว่ามันถึงขั้นไม่มีเวลากินข้าวเลยไหม ตอนนั้นผมบอกไปว่าอาจจะไม่ตรงเวลาบ้าง แต่จริงๆ ก็หาเวลากินได้อยู่ เพราะแวบไปกินข้าวตอนว่างแค่ห้านาทีมันไม่ได้นานอะไร หรือถ้ามีอะไรเร่งด่วนก็ให้คุณพยาบาลมาเรียกได้ ยังไงก็หาที่นั่งกินในแผนกอยู่แล้ว

และที่สำคัญ...ดันรับปากไปแล้วว่าจะกินข้าวกลางวันให้หมดเป็นการขอบคุณที่เขาอุตส่าห์ทำข้าวมาให้

“ภาม” ผมเรียกเสียงอ่อย ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่อ่างล้างจาน จ้องมองคนหน้าตายทำความสะอาดอุปกรณ์ต่างๆ แบบหงอยๆ “แม่ฉันเคยบอกว่าเวลาที่คนใกล้ตัวทำผิดเรื่องที่ไม่ได้ร้ายแรงมาก เราควรจะให้โอกาสเขาแก้ตัวนะ”

“…”

“แม่ฉันก็เคยโกรธ เพราะพ่อลืมโทรมาบอกว่าจะไม่กลับบ้าน แต่สุดท้ายพอพ่อมาขอโทษแล้วแม่ก็ให้อภัย แม่บอกว่าถ้าพ่อรู้ตัวว่าทำผิดแล้วขอโทษอย่างจริงใจ เขาก็ควรได้รับโอกาส...ยกเว้นเรื่องนอกใจนะ อันนั้นต้องยำให้เละ” พูดติดตลกแล้วหัวเราะแห้งๆ ใส่ คนฟังก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะหันมาสนใจ ผมยิ้มค้าง ตามองตามคนขี้งอนซึ่งกำลังเดินหนีไปที่โซฟารับแขกด้วยอารมณ์พูดไม่ออกบอกไม่ถูก

โดนงอนแรงมาก...

ผมเดินเกาหัวแกรกๆ ไปนั่งลงข้างคนตัวสูงที่ยังไม่ยอมพูดอะไรออกมา เขาไม่ได้ขยับหนี ไม่ได้แสดงออกว่าไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้หันมาสนใจเช่นกัน ขนาดเอาไหล่ไปแซะจนตัวจะเกยกันอยู่แล้วยังเมินได้อีก

“คุยกันดีๆ ก่อนสิ” โอย...นี่คือง้อขั้นสุดแล้วนะ เสียงอ่อยจนไม่รู้จะอ่อยยังไงแล้วเนี่ย “ขอโทษจริงๆ”

“แล้วจะทำอีกไหม” เสียงราบเรียบที่ไม่ได้ยินมานานพูดขึ้นลอยๆ แต่ทำเอาผมหูกระดิก พยักหน้าหงึกหงักแทบจะทันที ซ้ำยังเพิ่มคำพูดให้ดูน่าเชื่อถือยิ่งขึ้นไปด้วย

“ไม่ทำแล้ว”

ภามถอนหายใจก่อนจะหันหน้ามาหาแล้วยกมือขึ้นลูบหัวผมเบาๆ สีหน้าดูอ่อนอกอ่อนใจไม่น้อย

“มัวแต่เอาพ่อแม่มาพูด ขอโทษแต่แรกก็จบแล้ว”

“ลืม…” เพิ่งรู้สึกตัวเหมือนกันว่ายังไม่ได้พูดขอโทษเลยสักครั้ง ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิด “นายอยากให้ฉันช่วยอะไรไหม เป็นการแก้ตัวอะไรแบบนี้ บอกมาได้เลย”

ด้วยความที่ดันเป็นคนดีแบบสุดๆ ผมเลยเผลอพูดอะไรออกไปแบบไม่ทันคิด มารู้สึกว่าคิดผิดก็ตอนที่คนตัวสูงข้างกายยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย บรรยากาศกดดันอึมครึมเมื่อครู่จางหายไปจนหมด เท่านี้ก็ชัดเจนแล้วว่าเขากำลังรอให้ผมพูดแบบนั้นออกไปตั้งแต่แรกแล้ว

ไอ้คนเจ้าเล่ห์...

“งั้นก็เริ่มจากสัญญามาก่อนว่าถ้ารับปากอะไรไปแล้วจะทำให้ได้”

“ได้ สัญญา” ผมพยักหน้าหงึกหงัก ถึงจะรู้ว่าโดนหลอก แต่ก็ปฏิเสธอะไรไม่ได้เพราะตัวเองทำผิดจริงๆ

“ห้ามลืมกินอาหารของผม หรือถ้าไม่มีทางเลือกจริงๆ พอรู้ตัวก็ต้องรีบบอก”

“โอเค”

“แล้วไหน...พูดมาชัดๆ อีกทีสิว่าจะทำแบบนี้อีกหรือเปล่า”

“ไม่ทำแล้วครับ”

“ดี...งั้นโทรไปบอกพ่อแม่ด้วยว่าวันนี้ไม่กลับบ้าน”

“ครับ โทรเดี๋ยวนี้เลยครับ” ผมหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมากดหาเบอร์ปลายทางตามคำสั่ง

แต่เดี๋ยวนะ...โทรบอกว่าวันนี้ไม่กลับบ้าน

“มองอะไร เมื่อกี้เพิ่งสัญญาว่าจะถ้ารับปากอะไรไปแล้วจะทำให้ได้ จำไม่ได้เหรอ” คนหน้าปลาตายถามเสียงดุ บรรยากาศดูกดดันขึ้นหนึ่งระดับ ทั้งยังหรี่ตามองเหมือนต้องการถามว่าจะโทรไม่โทรอีก

แล้วผมต้องกลัวด้วยเหรอ...

[เจได?]

“แม่ครับ วันนี้ผมไม่กลับบ้านนะ”

กลัวไม่กลัวก็กดโทรออกแล้วเรียบร้อย

[อ่าว...วันนี้ไม่มีเวรไม่ใช่เหรอ หรือว่าแลกกับเพื่อน]

“อ่า...พอดีว่าจะไปค้างคอนโดเพื่อนที่อยู่แถวโรงพยาบาลครับแม่” ผมถอนหายใจโล่งอกเมื่อคิดคำพูดได้ทันโดยไม่ต้องโกหกคนสวย ถือว่าบอกไม่หมดก็แล้วกัน “ไว้พรุ่งนี้เจอกันนะ”

[จ้า]

หลังจากแม่วางสายเรียบร้อยแล้ว ผมก็หันกลับไปจ้องหน้าภามตาปริบๆ เหมือนเดิม แต่ไม่รู้ทำไมบรรยากาศที่ควรจะดีขึ้นถึงได้ดูกดดันหนักกว่าเก่า ไหนจะหน้าปลาตายที่แสดงออกชัดเจนถึงความไม่พอใจนั่นอีก

“ก็นอนนี่แล้วไง ทำหน้าอะไรเนี่ย” ผมยิ้มขำเมื่อเริ่มตลกกับการแสดงออกของภาม...มีอย่างที่ไหน ขมวดคิ้วจนจะชนกันอยู่แล้ว ทั้งยังทำหน้าเหมือนอยากพูดออกมาเต็มแก่แต่ก็ยังไม่ยอมพูดอีก

“ผมไม่ชอบ”

“หือ”

เขาถอนหายใจ กลอกตาเหมือนกำลังคิดว่าจะพูดออกมาดีหรือเปล่า แต่สุดท้ายก็หันกลับมามองผมด้วยแววตาจริงจัง พร้อมตอบคำถามด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง

“ผมไม่ชอบคำว่าเพื่อน”

“เอ่อ...” เดี๋ยวนะ ไอ้ที่ทำท่าไม่พอใจตั้งแต่วันนั้น ตอนผมแนะนำว่าเป็นเพื่อนต่อหน้าน้องระ จนมาวันนี้ที่บอกแม่ว่ามานอนห้องเพื่อน ทั้งหมดที่ไม่พอใจ สรุปคือเพราะถูกบอกว่าเป็นเพื่อนงั้นเหรอ “ถ้าไม่ใช่เพื่อนแล้วจะให้ตอบว่าอะไร”

“…บอกว่าเป็นคนที่กำลังจีบคุณ หรือบอกว่ากำลังดูๆ กันอยู่ก็ได้”

“ก็บ้าแล้ว!” ผมโยนหมอนใส่หน้าภาม ก่อนจะกลิ้งตัวลงไปยืนอยู่ข้างโซฟาเพราะกลัวโดนเอาคืน “คำพูดน่าอายแบบนั้นใครจะกล้าพูด”

คนที่ควรจะลุกขึ้นมาเอาหมอนฟาดผมคืนทำหน้าคล้ายจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม ดวงตาเป็นประกายจับจ้องมองมาจนผมเริ่มรู้สึกเหมือนมือไม้ตัวเองมันโคตรเกะกะ อยู่ไม่ถูกที่ถูกทางไปหมด

“ไม่ปฏิเสธด้วย...”

“อะไรนะ” ผมขมวดคิ้วถาม ไม่ได้ยินว่าอีกคนพึมพำอะไร

“เปล่า...ขึ้นไปข้างบนกันเถอะ”

อะไรวะ...จู่ๆ ก็อารมณ์ดี เข้ามาจูงมือให้เดินตามไปง่ายๆ เฉยเลย แต่ที่ควรงงมากกว่าคือตัวผมเองที่เดินตามเขาไปง่ายยิ่งกว่าเนี่ยแหละ

พื้นที่บริเวณชั้นสองซึ่งหรูไม่แพ้ชั้นล่างมีประตูอยู่สองบาน ด้านหน้าเป็นชั้นหนังสือกับชุดโซฟาอีกหนึ่งชุดที่ดูแล้วสิ้นเปลืองสุดๆ ทว่าผมยังไม่ทันได้เดินเข้าไปสำรวจตามใจอยาก คนที่จูงมือกันอยู่ก็เปิดประตูพาเข้าไปในห้องด้านซ้ายเสียก่อน

“อีกห้องไม่มีคนใช้ แต่ผมคิดว่าจะเอาไว้สำหรับพี่แล้วก็เก้า คุณนอนกับผมนี่แหละ” เขาอธิบายแล้วกดเปิดไฟ พาผมเดินไปที่เตียงนอนขนาดใหญ่แล้วดันให้นั่งลง ก่อนจะเข้าไปคุ้ยอะไรไม่รู้ในตู้เสื้อผ้าสีดำตรงมุมห้อง

ห้องนอนบ้านี่กว้างโคตรๆ นอกจากจะมีเตียงกับตู้ขนาดใหญ่แล้วยังมีชุดโซฟาอีกชุดตั้งอยู่ริมกระจก ส่วนอีกฝั่งเป็นโต๊ะทำงานที่มีโน้ตบุ๊กเสียบทิ้งไว้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็มหาเศรษฐีชัดๆ

“นายอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว”

“พี่ซื้อไว้ให้นานแล้ว แต่ผมเพิ่งให้คนเข้ามาแต่งเมื่อสองสามอาทิตย์ก่อน” ภามส่งเสียงตอบมาจากหลังตู้ “ตอนแรกผมเกือบจะคืนที่นี่ให้พี่ไปแล้ว เพราะไม่ได้คิดจะมาอยู่ไทยนานๆ”

“แล้วทำไม...”

ถามยังไม่ทันจบประโยค คนตัวสูงก็ปิดประตูตู้แล้วเดินเข้ามาหาผมพร้อมของในมือ ซึ่งประกอบไปด้วยเสื้อผ้าหนึ่งชุด ผ้าเช็ดตัว แล้วก็พวกแปรงสีฟันต่างๆ

“เพราะคุณ” เขาตอบหน้าตาย

โอเค...ขอโทษที่ถาม

“งั้น...ฉันไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน” ไม่ต้องรอให้ภามตอบรับ ผมก็คว้าข้าวของทั้งหมดแล้ววิ่งเข้าไปในห้องน้ำอย่างรวดเร็ว อยู่ใกล้ๆ แล้วไม่ดีต่อใจ ยิ่งเอ๋อถามไปมากเท่าไหร่ก็โดนเล่นงานกลับมามากเท่านั้น เพราะงั้นตอนนี้รีบอาบน้ำอะไรให้เสร็จแล้วชิงหลับไปก่อนน่าจะดีที่สุด

ผมนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวเดินออกมาจากห้องน้ำ ไม่ได้รู้สึกอายอะไรเพราะตอนอยู่เกาะเราอาบน้ำโชว์พุงใส่กันทุกวันอยู่แล้ว เสื้อผ้าที่ภามคุ้ยมาให้เป็นเสื้อผ้าตัวใหญ่แต่เป็นของใหม่ แม้แต่ชั้นในก็ยังเป็นตัวใหม่เหมือนกัน คนที่เดินสวนเข้าไปอาบน้ำคงซื้อเผื่อเอาไว้ ถึงจะหลวมไปหน่อยแต่ก็ถือว่าพอใช้ได้

ปัญหาสำคัญคือพรุ่งนี้จะใส่อะไรไปทำงานมากกว่า

“ผมสั่งเสื้อผ้าไว้ให้แล้ว พรุ่งนี้เช้าเขาจะเอามาส่งตอนหกโมง”

“โห…” ผมห่อปากเป็นรูปตัวโอ เมื่อได้ยินคำพูดง่ายๆ ของคุณชายผู้ซึ่งเนรมิตได้ทุกสิ่งอย่าง “เจ๋งสุด”

“ทำหน้าทำตา” ภามส่ายหน้าหน่าย เดินตัวเปียกเข้ามาขยี้หัวผมด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะหันไปใส่เสื้อผ้าหน้าตู้

พอมองไม่เห็นปัญหาอะไรแล้ว ผมก็โดดขึ้นเตียงไปจับจองพื้นที่ฝั่งหนึ่งเอาไว้ตามความเคยชิน จะยังไงเราก็นอนด้วยกันมาตลอดอยู่แล้ว ถึงจะเว้นช่วงไปเป็นอาทิตย์ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากนัก

“พอมานอนแบบนี้แล้วก็นึกถึงตอนอยู่บนเกาะเหมือนกันนะ” ทั้งที่โดนถีบตูดชา โดนนอนเบียด ต้องแย่งพื้นที่กันอยู่บนเตียง ผมจำได้แม่นมากทีเดียว “พอกลับไปนอนคนเดียวแล้วก็เหงาๆ อยู่นิดหน่อย”

ฉิบ...พูดไม่คิดอีกแล้วกู

“งั้นก็มานอนด้วยกันสิ”

นั่นไง...ไอ้เราก็ลืมไปเลยว่าเคยมีคนพูดเผื่ออนาคตไว้แล้วว่าจะให้มาอยู่ด้วยกัน

“หลับดีกว่า” ผมตัดบทหน้าตาเฉย เตรียมพร้อมเอนตัวลงนอนราบเต็มที่ แต่เอนไปได้แค่ครึ่งเดียวก็ต้องหยุดค้างกลางอากาศ เมื่อคนที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จเอื้อมมือมาดึงแขนกันไว้ไม่ให้นอน

“เช็ดหัวให้แห้ง”

“หา...นี่ฉันสระผมด้วยเหรอ” เวร เปียกจริงๆ ด้วย

“นี่ง่วงถึงขั้นไหนเนี่ย” ภามทำหน้าหน่าย ใช้แรงที่มีมากกว่าฉุดผมให้นั่งตัวตรงพร้อมเดินมานั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง “ผมเช็ดให้ ถ้าง่วงก็หลับเลย”

“ตลก...คนบ้าที่ไหนจะหลับคาอากาศได้เล่า” ว่าไปนั่นแต่ตาเริ่มปรือ เหมือนร่างกายจะเอนเอียงไปมาอย่างไร้เรี่ยวแรงตามจังหวะการขยี้หัวของคนด้านหลังด้วย

“คนบ้าตรงนี้ไง”

“…”

“คุณ…"

“…”

“พูดยังไม่ทันขาดคำ...หึ”




ไม่รู้เป็นเพราะต้องมานอนในที่ที่ไม่คุ้นเคยหรือเปล่าผมถึงได้ตื่นเช้าผิดปกติ หันไปมองนาฬิกายังไม่หกโมงดีด้วยซ้ำ แต่ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่าคือการที่หันไปมองด้านข้างแล้วพบว่าคนที่ควรหลับอยู่หายไปแล้ว พอลองเอามือแตะที่นอนดูก็พบว่ามันยังอุ่นๆ อยู่ ท่าทางภามคงเพิ่งลุกไปไม่นาน

ผมกลิ้งลงจากเตียงแล้วเดินออกไปนอกห้อง แค่เปิดประตูก็ได้กลิ่นอาหารลอยโชยมา หอมจนแทบจะลอยตามลมไปหา ยิ่งเดินเข้าไปใกล้จนเห็นแผ่นหลังของพ่อครัว กลิ่นหอมก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก

“หอม” ว่าแล้วก็แอบยื่นหน้าไปมองอาหารในกระทะ

“ตื่นไว” คุณพ่อครัวเอียงหัวมามองเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปผัดอาหารต่อ เมื่อเห็นท่าทางทะมัดทะแมงและคล่องแคล่งของเขาในระยะประชิดแล้ว ผมก็ได้แต่มองด้วยความตื่นตาตื่นใจ

“ถามจริงเหอะ นายทำอาหารเป็นได้ไงเนี่ย”

“ผมเรียนมานิดหน่อย ที่เหลือก็เปิดสูตรแล้วทำตามเอา”

“หายากนะเนี่ยผู้ชายเรียนทำอาหาร ผู้หญิงคนไหนได้นายเป็นแฟนคงดีใจตาย” ผมชื่นชมจากใจจริง ลองคิดภาพตัวเองมีแฟนที่ทำอาหารอร่อยๆ ให้กินทุกวันดูสิ ยิ่งกว่าสวรรค์อีก

“งั้นคุณก็ต้องดีใจสิ”

“หา…”

ภามปิดเตาแล้วหมุนตัวหันหน้ามาหาในเสี้ยววินาที ก่อนมือใหญ่ข้างหนึ่งจะยื่นเข้ามาแตะเอวผมไว้อย่างถือวิสาสะ แม้แต่ดวงตาที่เคยว่างเปล่าก็เป็นประกายระยิบระยับไม่น่าไว้วางใจ

“ถ้าผมบอกว่าเพิ่งเรียนทำอาหารตอนไปภูเก็ต ก่อนที่จะมาหาคุณ แบบนั้นจะดีใจกว่าเดิมหรือเปล่า”

“…” ผมเม้มปากแน่น ได้แต่ยืนตัวแข็งเป็นหิน แม้ยามถูกรวบเอวให้ขยับเข้าไปแนบชิดร่างสูงใหญ่ของอีกคนก็ยังทำได้เพียงหลุบตาลงต่ำ ไม่ตอบคำถามอะไรทั้งสิ้น เพราะตอนนี้หน้าร้อนตัวชาไปหมดแล้ว

“แล้วถ้าบอกว่าเหตุผลที่ไปเรียนมาเป็นเพราะผมอยากดูแลคุณล่ะ” คนฉวยโอกาสก้มหน้าลงมาหา รวมกอดเอวผมไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างที่ว่างขยับมาเชยคางให้เงยขึ้นสบตาเขา “ตอบสิว่าดีใจหรือเปล่า”

ตอบได้ก็เก่งเกินคนแล้ว...

“รัด...รัดแน่นไปแล้ว” ผมพยายามใช้มือที่ไร้เรี่ยวแรงของตัวเองดันแขนเขาออกให้พ้นเอว รวมถึงพยายามเบนหน้าหนีสายตาคมที่จับจ้องมา แต่แค่คิดขยับก็แพ้แล้ว เพราะนอกจากแรงรัดเอวจะแน่นขึ้น เขายัง... “อู้!”

“พูดอะไร”

“อ่อยอิ๊!”

“หน้าตลก”

ก็เพราะแกบีบปากฉันไม่ใช่เหรอวะหา!

ภามยอมปล่อยมือจากหน้าผมแต่ยังกอดเอวไว้เหมือนเดิม คงเพราะวางแผนไว้หมดแล้ว คิดว่าถ้าทำให้ผมหัวร้อนได้จะต้องโดนถลึงตาใส่แบบนี้แน่ๆ ถึงได้ยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มแล้วยื่นหน้ามาใกล้ รอให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมองเขา เราจะได้สบตากันแบบพอดิบพอดี

“ใกล้ๆๆ ใกล้ไปละ” ผมรีบเอามือดันหน้าปลาตายที่รู้สึกจะเข้ามาใกล้มากขึ้นทุกทีออกไป ถึงจะตัวแข็งเป็นหิน ใจสั่นเป็นเจ้าเข้า แต่ก็ไม่ได้โง่ถึงขั้นไม่รู้ว่ากำลังจะโดนหลอกจูบนะ

แล้วสองครั้งก่อนหน้านี้ล่ะ...

นั่นไม่นับ!

ถามเองตอบเองในใจเรียบร้อยแล้วผมก็รีบผลักหน้าภามออกไปให้ไกลกว่าเดิม โชคดีที่ไม่โดนแกล้งมากไปกว่านั้น เพราะเจ้าตัวแค่ดึงมือผมออกจากหน้า ไม่ได้ขยับเข้ามาแบบที่นึกกลัว

“น่าเสียดาย”

“เสียดายอะไรเล่า” ครั้งนี้ผมผลักอกภามออก ซึ่งเขาก็ยอมปล่อยแต่โดยดี

แน่สิ...จะยืนป้อต่อทั้งที่ท้องผมร้องดังขนาดนี้ก็กระไรอยู่

อาหารเช้าของวันนี้คือข้าวห่อไข่ แค่เห็นหน้าตาอาการตอนภามตักใส่จานให้ ผมก็ร้องอู้หูออกมาเหมือนเช่นทุกครั้ง น่ากินสุดๆ เมื่อกี้ตอนพ่อครัวหันหลังแอบเอานิ้วจิ้มเข้าปากไปแล้วด้วย อร่อยมาก

“นายไม่คิดเบนเข็มไปทางสายพ่อครัวเหรอ” ผมตักข้าวคำแรกเข้าปากเมื่อเห็นภามนั่งลงฝั่งตรงข้ามเรียบร้อยแล้ว ที่ถามนี่คือจริงจังมาก เชื่อว่าถ้าเขาไปเอาดีทางด้านการทำอาหารต้องรุ่งแน่นอน ขนาดเพิ่งฝึกมาไม่นานนะเนี่ย

“ผมอยากทำให้คุณกินคนเดียว”

“แค่กๆ...” ผมสำลักข้าวยกใหญ่จนคนหน้าตายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามต้องยื่นแก้วน้ำมาให้ “วันนี้นายเป็นอะไรเนี่ย”

“ไม่ได้เป็นอะไร” ภามส่ายหน้าพร้อมมองผมด้วยแววตาเหมือนจะถามว่าตัวเองทำอะไรผิด

“แต่ไอ้ที่พูดกับแสดงออกวันนี้มันไม่เหมือนคนไม่เป็นอะไรเลยนะ”

“ผมก็แค่พูดตามความจริง ทำตามที่รู้สึก” ว่าจบก็ตักข้าวเข้าปากเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำราวกับเรากำลังพูดคุยเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไป และไม่ได้รับรู้เลยว่าไอ้ที่เขาบอกว่าพูดหรือทำตามความจริงและความรู้สึก มันส่งผลกระทบต่อใจผมมากขนาดไหน

“จงใจแน่ๆ”

“จงใจอะไร อ่อ...ถ้าหมายถึงเรื่องที่ทำท่าจะจูบ อันนั้นจงใจจริงๆ” คนพูดยกผ้าขึ้นเช็ดมุมปากด้วยท่าทางเป็นผู้ดี ไม่ได้มีท่าทีเขินอายหรือรู้สึกรู้สาอะไรเลยสักนิด ทั้งที่เพิ่งพูดเรื่องจูบออกมาแบบหน้าด้านๆ แท้ๆ

แล้วกูเนี่ย...หน้าร้อนไปเพื่อใคร

“อยู่กับนายแล้วหน้าฉันบางลงทุกวัน” ผมบ่นออกไปจากใจจริง ก่อนจะเลื่อนจานเปล่าออกห่าง แล้วก้มหน้าฟุบลงกับโต๊ะแบบเพลียๆ เมื่อก่อนยังเป็นคนหน้าหนาแข่งกับไอ้เก้าอยู่เลย มาตอนนี้ผมว่าคงสู้ใครไม่ไหวแล้ว อับอายแทนไปหมด

“ดีแล้วไม่ใช่เหรอ”

เออ...ดีก็ดี

หลังจากช่วยกันล้างจานเสร็จ ผมก็แยกตัวไปอาบน้ำก่อน โดยไม่ลืมถือเสื้อผ้าชุดใหม่เอี่ยมที่ภามหามาให้ขึ้นไปชั้นบนด้วย ขนาดอาบน้ำทำอะไรเรียบร้อยหมดแล้ว ยังเหลือเวลาอีกเกือบชั่วโมงกว่าจะเริ่มงาน ตัดเรื่องเวลาเดินทางไปได้เลย เพราะคอนโดนี้อยู่ใกล้โรงพยาบาลมาก ใกล้ชนิดที่ว่าผมเดินไปเองก็คงใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาที แล้วนี่นั่งรถไป ขอแค่ห้านาทีก็พอ

“ดูการ์ตูนอีกแล้ว...นี่คุณอายุเท่าไหร่กันแน่” เสียงทักจากด้านหลังดังขึ้น พร้อมๆ กับที่เจ้าของห้องทรุดตัวนั่งลงด้านข้าง “แล้วนั่งท่าอะไรของคุณ”

“อำไออ่ะ” ผมถามทั้งที่คุ้กกี้ยังคาอยู่ในปาก แค่นั่งดูการ์ตูนด้วยท่ายืดขาข้างหนึ่งแบะขาออกข้างหนึ่ง ไม่เห็นแปลกตรงไหน “ก็มันสบาย"

ในเมื่อไม่ต้องสงวนท่าทีหรือเก๊กอะไรอยู่แล้วเพราะเห็นกันมาแทบทุกมุม แบบนี้ผมยังต้องเกรงใจอะไรอีก อยากแหกแข้งแหกขาดูการ์ตูนย้อนวัยก็ทำไปเถอะ เอาไว้ถ้าโดนห้ามแล้วค่อยว่ากัน

“นับวันยิ่งทำตัวเหมือนแมวมากขึ้นทุกที”

“ทำไมล่ะ” ผมแกล้งชูคอถาม “ไม่ชอบหรือไง”

ภามหันขวับมาหรี่ตามองผมเหมือนกำลังจ้องแมวทำความผิด ทั้งยังทำหน้าเหมือนคาดโทษไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว จังหวะนี้ก็ตัวใครตัวมันละ...

ผมกดปิดทีวี เตรียมตัวลุกหนีโดยกะจะบอกว่าไปกันเถอะ เขาจะได้มองข้ามไปเหมือนทุกครั้ง

“คิดว่าหนีพ้นเหรอ” เสียงเรียบเย็นดังขึ้นพร้อมแรงกระชากที่แขนจนผมเกือบร้องจ๊าก ไม่ให้ร้องได้ไง ก็ผมโดนดึงจากด้านหลังโซฟาข้ามไปด้านหน้า

หัวกระแทก...หัวกระแทกพื้นแน่ๆ

“เจ็บบบบ” ร้องนำไปก่อนแล้วกันเผื่อจะได้รับความเห็นใจ

“นี่คุณเจ็บได้แม้แต่ในมโนเหรอ”

ผมลืมตาขึ้นมอง เห็นพื้นห่างจากหัวตัวเองอยู่หลายนิ้ว ขณะที่ขาข้างหนึ่งวางราบไปกับโซฟา ส่วนขาอีกข้างพาดอยู่บนพนักพิง สรุปคือไม่ได้หัวฟาดพื้นแบบที่คิด แต่หนักยิ่งกว่าเมื่อได้หันไปเห็นคนที่กอดตัวเองไว้ไม่ให้ตกลงไป

“ปะ...ปล่อยเลย”

สัญญาณเตือนในใจร้องรัวๆ

“ปล่อยทำไม ผมจะตอบคำถามให้คุณฟังชัดๆ”

“ใกล้...ใกล้ไป” ผมจำต้องเบนหน้าหนีเมื่ออีกฝ่ายก้มหน้าลงมาใกล้ มือทั้งสองข้างวางแปะอยู่บนอกกว้าง พยายามดันไว้ไม่ให้ก้มลงมามากไปกว่านี้ ซึ่งภามก็ทำตามนะ...แค่จมูกชนกันแล้วเท่านั้นเอง

“ชอบ”

“หยุด...” โอย…หัวใจจะหยุดเต้น

“แต่ถ้าคุณไปทำแบบนี้กับคนอื่น...”

“…”

“ผมเอาตายแน่”

เขาใช้ช่วงเวลาทีเผลอดันมือผมออกไปให้พ้้นทาง ก่อนจะกดจูบลงมาบนริมฝีปากผมแรงๆ แล้วผละออกอย่างรวดเร็ว ใบหน้าคมคายฉายชัดถึงความพอใจ แม้ยามเห็นผมทำหน้ามุ่ยใส่ก็ยังยิ้มอยู่

สรุปกูก็โดนจูบอีกจนได้...



————————-





ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.25]== [03/09/61]
«ตอบ #134 เมื่อ03-09-2018 17:46:32 »

แพ้ทางทุกที เจไดเอย   o18

ออฟไลน์ toomild

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.25]== [03/09/61]
«ตอบ #135 เมื่อ03-09-2018 19:36:47 »

น้องภามขี้ลวนลามหมอจังเลยค่ะ5555 แต่หมอแมวน่ารักขนาดนี้อ่ะเนอะ เขินนนนน :-[

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.25]== [03/09/61]
«ตอบ #136 เมื่อ04-09-2018 18:52:19 »

-26-



ชีวิตของผมในช่วงนี้ยังคงดำเนินไปแบบเรื่อยๆ เนือยๆ ไม่มีอะไรผิดแปลกไปจากเดิมมากนัก

“มาจัดของเข้าตู้เร็วๆ”

“โอเค”

ก็แค่โดนบังคับแบบงงๆ ให้เอาของใช้ส่วนหนึ่งมาทิ้งไว้ที่คอนโดหรูของคนที่เคยเป็นเพียงเพื่อนร่วมเดินทาง

“ปิดฝาข้าวแน่นๆ แล้วเอาไปใส่ไว้ในกระเป๋า เดี๋ยวก็ลืมหรอก”

“ไม่ลืมหรอกน่า”

ได้รับหน้าที่เป็นคนปิดฝาข้าวกลางวันที่เขาทำให้ทุกเช้าหากมาค้างที่นี่

“ลืมบอกคุณแม่หรือเปล่าว่าวันนี้จะมาค้างกับผม”

“บอกแล้ว”

เรื่อยๆ เนือยๆ ไม่มีอะไรผิดแปลกไปจากเดิมมากนัก...

ไม่มีก็บ้าแล้ว!

ไม่ว่าจะมองยังไงมันก็แปลก แปลกไปหมดตั้งแต่ที่เกือบอาทิตย์ก่อนผมมาค้างกับภาม โดนหลอกจูบไปหนึ่งที พอถึงเวลาเลิกงานก็โดนลากกลับไปเก็บข้าวของที่บ้านแบบงงๆ จนแม่ถามว่าจะหนีตามใครไป

มาถึงวันนี้ยังงงอยู่เลยว่าผมเก็บข้าวของมาไว้ห้องภามได้ยังไง และเหมือนจะมาค้างแบบวันเว้นวันเลยด้วยนะ ไม่รู้ว่าเขาอาศัยจังหวะที่ผมเบลอจากงานลากตัวมา หรือเป็นผมเองที่เดินตามต้อยๆ โดยไม่ต้องให้บังคับ

แต่ไม่ว่าจะทางไหนก็ไม่ดีทั้งนั้นเลยนี่หว่า...

“วันนี้น้องระจะออกจากโรงพยาบาลแล้ว นายจะไปส่งหรือเปล่า” ผมไล่เรื่องน่าปวดหัวออกไปจากสมอง ก่อนจะหันไปถามคนที่กำลังเก็บข้าวของเตรียมไปทำงาน

“กี่โมง”

“เห็นว่าจะมีคนมารับตอนบ่าย”

“เดี๋ยวแวะไป” ภามตอบแล้วสะพายกระเป๋าขึ้นบ่า เดินนำออกไปจากห้องเพื่อตรงไปขึ้นรถเหมือนทุกวัน

การผ่าตัดของน้องระฟ้าผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ถึงอย่างนั้นข้อห้ามต่างๆ ก็ยังมีมาก ทั้งยังเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังไปตลอดชีวิต หลายวันที่ผ่านมาผมกับภามยังคงไปเยี่ยมน้องอยู่เสมอ ถึงจะมีบ่นว่าปวดเนื้อปวดตัวบ้าง แต่น้องระก็ยังยิ้มได้ ไม่ได้อมทุกข์หรือร้องไห้เพราะความเจ็บ

เป็นเด็กที่เข้มแข็งมากจริงๆ...

“น้องบอกว่าอยากเจอนายก่อนกลับ กลายเป็นพี่ชายคนโปรดเฉยเลยนะ” ผมทำเหมือนพูดลอยๆ ไม่ได้คิดอะไร ทว่าในใจนึกอิจฉาอยู่ไม่น้อย เพราะเมื่อวานภามติดงาน เป็นผมที่เลิกก่อนเลยไปอยู่กับน้อง ตอนแรกเด็กน้อยก็บอกว่าจะรอพี่ชายมาก่อนอยู่หรอก แต่ไปๆ มาๆ ทนไม่ไหวตาเริ่มปรือ แต่ก็ยังไม่วายพูดย้ำว่าอยากเจอพี่ชายก่อนออกจากโรงพยาบาล

ติดเป็นตังเมยิ่งกว่าตอนที่ติดผมอีก...

“ทำหน้าเศร้าทำไม” คนขับรถเอ่ยถามระหว่างที่รถติดไฟแดง ผมเลยหันไปมองแล้วชักสีหน้าใส่ตรงๆ โดยไม่คิดปกปิด

“ฉันอิจฉานาย”

“…ผมทำอะไร”

“แย่งความรักของน้องระไปไง” ถึงจะดีใจที่เขาช่วยกล่อมน้อง ทั้งยังมาอยู่เป็นเพื่อนคุยทุกวันในแบบที่ผมทำไม่ได้ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าต้องมาแย่งทุกความสนใจไปนี่นา มาหลังๆ นี่ระฟ้าแทบไม่เห็นผมอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ “เข้ากันได้ดีเกินไปแล้ว”

“อาจเป็นเพราะเรามีอะไรบางอย่างคล้ายกัน” ภามพูดเสียงเรียบ เป็นเวลาเดียวกันกับที่รถเคลื่อนเข้าไปในเขตโรงพยาบาลพอดี

“นายเคยเป็นโรคหัวใจหรือไง”

“…”

อะไร...มองเหมือนจะด่าว่าโง่ทำไม ก็แค่ตั้งข้อสงสัยเฉยๆ ไหมล่ะ

“เอาเป็นว่าผมไม่ได้แย่งความรักของเด็กนั่นมาจากคุณ...หรือต่อให้แย่งจริงคุณก็ได้ความรักของผมไปแทนอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง” คนพูดทำหน้าตาย หันมามองหน้าผมแทบจะทันทีที่รถจอดตรงหน้าประตูทางเข้าโรงพยาบาล ซึ่งแน่นอนว่าคำพูดนั่นมันทำให้ผมปวดหัวจี๊ดๆ จนอยากชิ่งหนีไปเดี๋ยวนี้เลย

ถ้าไม่ติดว่าโดนดึงแขนไว้นะ...

“ปล่อยเลย” ผมพยายามดึงนิ้วภามออก สัญญาณเตือนภัยในร่างกายร้องลั่นไม่หยุด มันเตือนให้รู้ว่าถ้ายังหนีไม่พ้นตั้งแต่ตอนนี้ ผมจะต้องโดนเล่นงานหนักกว่าเก่าแน่ๆ

“ไม่ต้องไปรับความรักของใครมาอีกล่ะ” น้ำเสียงนั้นราบเรียบไม่ปรากฏอารมณ์ แต่กลับแฝงความกดดันเอาไว้จนเต็มเปี่ยม มีหรือที่ผมจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังออกคำสั่งทางอ้อม แล้วยังมีหน้ามายกยิ้มจางเหมือนไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกนะ “ไปได้แล้ว เดี๋ยวสาย”

“เพราะนายนั่นแหละ!”

หลังจากเอาชีวิตรอดในช่วงเช้าได้สำเร็จ ผมก็เดินเอื่อยๆ เข้าไปในโรงพยาบาล พยายามอย่างยิ่งยวดไม่ให้เผลอเหลือบตาไปเห็นสีหน้าอมยิ้มของบุคลากรทั้งหลาย ที่น่าจะเคยชินแล้วกับการเห็นผมเดินลงมาจากรถออดี้คันหรู ซึ่งมีคนขับเป็นผู้ชายตัวสูงหน้าตาดี และหากจะถามว่าพวกเขาเคยเห็นได้อย่างไร...

ดูเหมือนจะมีวันหนึ่งที่ผมเอ๋อเหรอลืมของไว้บนรถ จนภามต้องเปิดประตูลงมาแล้วเรียกเสียงไม่ดังไม่เบา...แต่ทำเอาทุกสายตาหันขวับไปมองกันหมด

 ผมนึกขอบคุณในใจที่เขาไม่ได้จอดรถแล้วเดินเข้าไปส่งถึงด้านในเหมือนวันแรกๆ เพราะถ้าเป็นแบบนั้น จนถึงวันนี้คุณชายภามอาจจะกลายเป็นที่รู้จักของคนทั้งโรงพยาบาลไปแล้วก็ได้

เอาแค่แผนกตัวเองผมก็กุมขมับแล้ว...ให้ตายเถอะ

“คุณหมอ...วันนี้น้องภามก็ไม่เข้ามาเหรอคะ ไม่เจอมาสองวันแล้วน้า”

นั่นไง...

“ไม่ต้องเลยพี่แจน” ผมหันไปมองค้อนใส่พี่แจนที่เอาแต่หัวเราะคิกคัก หาเรื่องมาแซวกันได้ทุกเช้า ไม่รู้เจ้าหน้าปลาตายนั่นกลายเป็นลูกรักของคุณพยาบาลทั้งหลายได้ยังไง เห็นใครไปคุยด้วยก็เอาแต่พยักหน้าบ้างส่ายหน้าบ้างตลอด ไม่เห็นจะพูดอะไรสักคำ

“ก็พี่ได้ยินพวกชั้นล่างพูดว่าหมอเจไดมีคนขับรถมาส่งทุกเช้าเลยนี่นา พี่ก็แค่อยากเจอบ้างเท่านั้นเอง” พี่แจนเดินตามมาพูดคุยจนผมเก็บข้าวของเสร็จแล้วก็ยังเอ่ยแซวกันไม่มีหยุด “แล้วเดี๋ยวนี้เขาไม่มานั่งรอที่แผนกเราแล้วเหรอคะ”

“เดี๋ยววันนี้หรือพรุ่งนี้ก็คงมานั่งรอที่เดิมแล้วครับ” แล้วก็ต้องตอบไปอย่างเสียมิได้ เพราะถ้ายังไม่ยอมบอกว่าอีกไม่นานอาหารตาก็จะกลับมาให้มองฟรีแล้ว พี่สาวคนนี้คงไม่ยอมแยกตัวไปทำงานเสียที “ช่วงนี้ภามไปนั่งคุยเป็นเพื่อนน้องระ พวกพี่เลยไม่ค่อยเจอ”

“น้องที่หมอวิชญ์ดูแลใช่ไหมคะ” พอเริ่มพูดเข้าเรื่องงานหรือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนไข้ พี่แจนก็เปลี่ยนน้ำเสียงและสีหน้าให้ดูจริงจังขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ใช่ครับ”

“เห็นว่าจะกลับบ้านวันนี้แล้ว คุณหมอคงห่วงน้องมาก ดีใจด้วยนะคะ”

“ขอบคุณมากครับพี่แจน”

ไม่แปลกที่คนในแผนกจะรู้ว่าผมกับน้องระสนิกสนมกัน เพราะหลายวันมานี้หากเลิกงานและปลีกตัวไปได้เมื่อไหร่ ผมมักจะขึ้นไปหาน้องที่ห้องพักอยู่เสมอ โดยไม่ลืมบอกที่อยู่ของตัวเองให้คุณพยาบาลรู้ไว้เผื่อมีอะไรฉุกเฉินจะได้มาเรียกทัน แต่ไอ้ที่ไม่คาดคิดเลยคือเรื่องที่พวกคนข้างล่างพูดกันต่างหาก ถ้ารู้ว่าสนิทและเป็นที่รักไปทั่วแล้วจะโดนจับตามองมากขนาดนี้นะ ตอนเข้ามาทำงานใหม่ๆ ผมแกล้งหยิ่งดีกว่า

ทำไงได้...นอกจากจะเป็นลูกผอ.แล้วช่วงแรกๆ ผมดันเป็นพวกสนิทกับคนง่ายอีกต่างหาก รู้จักตั้งแต่คุณยามหน้าโรงพยาบาลยันคุณป้าแม่ครัว เดินไปไหนแต่ละทีมีคนทักตลอดทาง

ก็นะ...คนมันดัง




ช่วงพักเที่ยงที่ทุกคนต่างไปหาข้าวกินกัน ผมยังคงตรวจคนไข้อยู่เหมือนเคย ไม่อาจปลีกตัวไปไหนได้เลยแม้แต่นิดเดียว มองนาฬิกาแล้วก็ได้แต่กังวลว่าน้องระจะกลับไปหรือยัง อย่างน้อยถ้าผมไปไม่ทัน ขอแค่รู้ว่าภามมาแล้วก็ยังดี แค่เห็นเราคนใดคนหนึ่งคงทำให้น้องยิ้มได้บ้าง และสุดท้ายเมื่อเข้มสั้นชี้ไปที่เลขหนึ่งผมก็ได้ออกมาจากห้องตรวจ เตรียมตัวขึ้นไปดูคนไข้ที่ตึก คราวนี้น่าจะเหลือเวลาไปกินข้าวแล้วก็แวบไปหาน้องนิดหน่อย

ผมคว้ากล่องข้าวรูปแมวมาถือเอาไว้แล้วรีบก้าวเท้ายาวๆ ไปขึ้นลิฟต์ คิดว่าถ้าน้องยังไม่ไปไหนอาจจะหาที่กินแถวนั้นเอา แต่ถ้าน้องกำลังจะไปเอาไว้ส่งน้องก่อนค่อยมากินก็ยังไม่สาย ถึงท้องจะเริ่มส่งเสียงประท้วงก็ไม่เป็นไร เพราะความเคยชินทำให้มันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

“อ่าว...มาแล้วเหรอ”

คนตัวสูงที่กำลังจะเปิดประตูเข้าไปในห้องน้องระหยุดชะงักแล้วหันมาตามเสียงทักของผม ภามเลิกคิ้วแปลกใจเล็กน้อยยามเลื่อนสายตาลงมาเห็นกล้องข้าวที่ผมอุ้มอยู่

“ยังไม่ได้กินข้าวเหรอ”

“ยัง ฉันเพิ่งตรวจคนไข้เสร็จ” ผมบอกเขาแล้วเดินเข้าไปหา ผลักประตูเดินเข้าไปด้านในพร้อมกัน เห็นน้องระในชุดไปรเวทกำลังนั่งอยู่บนรถวีลแชร์ที่มีคุณป้าแม่บ้านเป็นคนเข็นพากันมาทางนี้พอดี

“พี่ชาย พี่หมอ” น้องระยิ้มสดใส ท่าทางดูไม่เหมือนเด็กที่เพิ่งผ่าตัดมาเมื่อหลายวันก่อนเลยแม้แต่น้อย เห็นแบบนั้นแล้วผมก็ยิ้มตาม รีบเดินเข้าไปคุกเข่าลงตรงหน้าแล้วจับมือเล็กๆ ของน้องเอาไว้

“ว่าไงคนเก่ง จะกลับแล้วเหรอ”

“ครับ...คุณแม่กับคุณลุงใกล้ถึงแล้ว”

ผมพูดคุยกับน้องอีกนิดหน่อยแล้วก็ถูกไล่ด้วยสายตาให้ไปนั่งกินข้าว เห็นแบบนั้นคนที่เคยมีชนักติดหลังมาก่อนเลยได้แต่เดินไปนั่งลงบนโต๊ะแล้วเปิดฝาข้าวกินเงียบๆ ปล่อยให้คนออกคำสั่งนั่งคุยกับน้องระต่อไป จนกระทั่งผมกินข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้วประตูห้องก็เปิดออกอีกครั้ง พร้อมกับที่คุณแม่กับคุณลุงคนขับรถของน้องระเดินเข้ามา

เห็นสองแม่ลูกกอดกันแล้วผมก็ยิ้มออก อย่างน้อยท่านก็รักน้องระ ถึงจะไม่ค่อยมีเวลามาดูเท่าไหร่ แต่ถ้าอธิบายให้น้องเข้าใจได้ก็ไม่น่ามีปัญหา

ในตอนที่น้องระหันมาลาผมกับภามอีกครั้ง ผมรีบเดินเข้าไปกอดน้องไว้แล้วแอบยัดกระดาษที่จดเบอร์โทรตัวเองกับภามไปให้ เผื่อว่าวันไหนต้องการความช่วยเหลือแล้วติดต่อผมไม่ได้ก็ยังมีตัวเลือกให้ติดต่อเพิ่ม ซึ่งน้องที่เห็นแบบนั้นก็เอาแต่ยิ้มกว้าง หันมากอดผมแน่นๆ อีกครั้งก่อนจะจากไป

“เด็กคนนั้นบอกว่าจะดูแลตัวเองให้ดี...เพราะไม่ว่ายังไงก็อยากเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยกับคนอื่นๆ ไม่อยากนั่งเรียนอยู่ที่บ้านแล้ว” ภามพูดขึ้นมาลอยๆ ในระหว่างที่เราเดินออกมาจากห้องพร้อมกัน

“น้องคงเบื่อ”

พอลองนึกไปถึงตอนเด็กๆ ที่ชอบบ่นว่าขี้เกียจไปเรียนจังเลยแล้วผมก็ต้องส่ายหน้าหน่าย ความคิดพวกนั้นมันโคตรจะเป็นความคิดชั่ววูบเลย ยามได้มาทำงานจริงๆ ถึงรู้ว่าชีวิตมัธยมมันสบายขนาดไหน ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ใครๆ ก็คงอยากไป แล้วยิ่งเอามาเทียบกับเด็กอายุสิบห้าสิบหกที่อยากรักษาตัวเองให้แข็งแรง เพียงเพราะอยากเข้าไปเรียนกับคนอื่นๆ มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกขำความคิดในอดีตเหล่านั้น

“เป็นเพราะเด็กคนนั้นรู้แล้วว่าโลกใบนี้มันกว้างใหญ่ขนาดไหน” คนพูดหันมามองหน้าผมพร้อมส่งรอยยิ้มมุมปากมาให้ “ถ้าเอาแต่อยู่ในโลกของตัวเอง อะไรดีๆ อาจผ่านไปได้ง่ายๆ โดยไม่รู้เลยว่าต้องรออีกนานเท่าไหร่ถึงจะได้กลับมาพบเจออีกครั้ง”

ผมกะพริบตาปริบๆ จ้องหน้าภามโดยไม่รู้ว่าควรตอบอะไรออกไป ถึงจะเห็นด้วยกับคำพูดของเขาไม่น้อย แต่อะไรบางอย่างที่แฝงอยู่ในนั้นกลับทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ จวบจนเมื่อเห็นอีกฝ่ายขยับเข้ามาหา สติสตังที่กระจัดกระจายถึงได้กลับคืนมาอีกครั้ง

“อะ...นั่นสินะ”

“ถ้าเมื่อหลายปีก่อนตอนที่เจอกันครั้งแรกผมไม่ได้อุดอู้อยู่แต่ในโลกของตัวเอง...”

“…”

“เราคงไม่ต้องรอมาจนถึงวันนี้”

เอาอีกแล้วไง...

“ทำไมถึงพูดเรื่องพวกนี้ออกมาได้หน้าตาเฉยเนี่ย ถามจริง” ผมเลียนแบบหน้าปลาตายของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ แม้จะร้อนๆ ที่แก้มนิดหน่อยแต่ก็ยังพอรับได้ เพราะช่วงนี้โดนโจมตีบ่อยเหลือเกิน เริ่มชินแล้ว

ไม่ได้ชินกับที่โดนเต๊าะนะ...แต่ชินกับที่ต้องหน้าแดง ใจเต้นแรงตามทุกรอบเนี่ยแหละ

“ก็ผมจูบคุณอยู่”

“จะ...จูบบ้าอะไร”

“จีบไง”

“แล้วมันกลายเป็นจูบได้ไง” ขออนุญาตยกมือกุมขมับ เริ่มปวดหัวหนึบๆ แล้วตอนนี้

“โทษที...พอดีภาษาไทยไม่แข็งแรง”

“เมื่อกี้ยังแก้เองอยู่เลย!” ไม่ใช่แค่นั้น ก่อนหน้านี้ก็เคยพูดคำว่าจีบออกมาได้ถูกต้องไม่ใช่หรือไง ยังมีหน้ามาทำตาใสบอกไม่รู้เรื่องอีก ยัง...ยังไม่หยุดเลิกคิ้วทำหน้างงเหมือนไม่เข้าใจ มันน่าเตะไหมเนี่ย

“เหรอ...ไม่รู้ตัวเลย” ภามทำหน้าตายสนิท แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันดูกวนตีนเอามากๆ ถ้าไม่ติดว่าสู้ไม่ได้ผมคงกระโดดกัดหัวเขาไปแล้ว

“นายนี่มัน...”

“อย่าโมโห เดี๋ยวหน้าแก่” คนพูดขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม ใบหน้าประดับประดาไปด้วยรอยยิ้มขบขันที่ค่อยๆ เผยออกมาช้าๆ ทั้งยังมีดวงตาที่ดูอ่อนแสงลงราวกับกำลังจะหลอกล่อให้ผมไปติดกับดักของเขาอีกครั้งด้วย “จะจูบหรือจีบก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก สุดท้ายผมก็ทำกับคุณคนเดียวอยู่ดี”

ผมยืนตัวแข็งเป็นก้อนหินขณะมองไอ้บ้าที่บังอาจโน้มหน้าเข้ามาใกล้ สมองสั่งให้รีบผลักเขาออกไปโดยไวก่อนจะมีอะไรเกิดขึ้น หากแค่คิดจะยกมือก็โดนคว้าจับเอาไว้อย่างรู้ทัน คราวนี้เมื่อไม่มีมือไว้ป้องกันตัวเอง ผมเลยทำได้เพียงพูดเสียงแผ่วเพื่อเตือนสติคนตรงหน้า

“ที่นี่โรงพยา...”

ฟอด

“รู้แล้วว่าโรงพยาบาล ผมไม่จูบคุณหรอก” เขาพูดยิ้มๆ แล้วผละออกไป พร้อมกับปล่อยมือผมให้เป็นอิสระ “ไว้เจอกันตอนเย็น”

ไม่จูบ...แต่กดจมูกลงมาที่แก้มเต็มๆ เลย

ขอบคุณนะ

“กวนตีน...” ผมยืนกุมแก้มร้อนๆ ของตัวเองเอาไว้แน่น ขณะมองตามแผ่นหลังกว้างของคนกวนตีนไปจนสุดสายตา กว่าจะดึงสติกลับมาได้ก็ตอนที่มีคุณพยาบาลเดินผ่านแล้วถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า และนั่นทำให้ผมรู้ตัวว่าเมื่อกี้ไอ้คนหน้าด้านมันฉวยโอกาสกันกลางทางเดิน โชคดีแค่ไหนที่ไม่มีใครมาเห็นเข้า

การทำงานในช่วงบ่ายให้ความรู้สึกยาวนานกว่าช่วงเช้ามาก ทั้งที่มันก็มีจำนวนชั่วโมงเท่าๆ กันหากไม่นับยามที่ต้องตรวจคนไข้นอกเวลา แต่ดูเหมือนเด็กน้อยอายุไม่เกินห้าขวบคนนี้จะช่วยให้ผมเลิกงานได้ไวขึ้นหลายเท่า เพราะนอกจากจะเป็นคนไข้ตัวน้อยรายสุดท้ายของวันแล้ว อีกฝ่ายยังเอาแต่ยิ้ม ไม่ดื้อไม่ซน ไม่ขยุกขยิกเลยแม้แต่นิดเดียว

“ไหนอ้าปากให้คุณหมอดูสิครับ”

“อ้าาาาา”

“เก่งมากเลย” ผมลูบหัวน้องปีโป้ด้วยความเอ็นดู เห็นอีกฝ่ายยิ้มแฉ่งรับคำแล้วก็ต้องยิ้มตามอย่างอดไม่อยู่ “เดี๋ยวคุณหมอจะนัดอีกทีอาทิตย์หน้านะครับ เด็กดีต้องมานะรู้ไหม”

“รู้ครับ” น้องตอบเสียงฉะฉาน ปากที่ยิ้มอยู่แล้วยิ้มกว้างกว่าเดิมจนตาโค้ง คุณพ่อที่อยู่ด้านหลังเองก็ยิ้มแบบเดียวกันเป๊ะ เรียกได้ว่าสำเนาถูกต้องทุกประการ

“เรียบร้อยแล้วครับคุณพ่อ เดี๋ยวไปรับยาให้น้องแล้วก็กลับบ้านได้เลยครับ เอาไว้เจอกันอีกทีเดือนหน้า หมอคิดว่าน่าจะเป็นรอบสุดท้ายแล้ว”

“ขอบคุณครับคุณหมอ”

คุณพ่อยกมือไหว้ผมแล้วตั้งท่าจะเข้ามาอุ้มน้องปีโป้ตัวกลมออกไป แต่คราวนี้เจ้าของรอยยิ้มกว้างกลับงอแงขึ้นมากะทันหัน ตั้งท่าจะเบะปากมาแต่ไกล ผมที่เห็นแบบนั้นเลยยื่นหน้าเข้าไปหา แตะแก้มยุ้ยๆ นั่นเบาๆ

“เป็นอะไรคนเก่ง”

“คุณหมอไปด้วยกันนะ”

ผมเอียงหัวมองน้องด้วยความไม่เข้าใจ แต่เมื่อเห็นคนเก่งยื่นมือป้อมๆ เข้ามาหาคล้ายจะขอให้อุ้มก็เข้าใจในทันทีว่าเขาต้องการอะไร โชคดีจริงๆ ที่กำลังจะไปพอดี

“คุณหมอ...”

“ไม่เป็นไรครับ หมอเลิกงานพอดี” เงยหน้าขึ้นไปเห็นท่าทีเกรงอกเกรงใจของคุณพ่อ ผมก็รีบส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร พอจัดการอะไรเสร็จแล้วก็ตรงเข้าไปอุ้มเด็กตัวกลมขึ้น “หมอจะไปส่งขึ้นรถ เสร็จแล้วปีโป้ต้องไม่งอแงนะ สัญญาได้ไหม”

“สัญญาครับ”

เพราะอย่างนั้นเมื่อเราเดินออกมาด้านนอก ผมเลยจ๊ะเอ๋เข้ากับคนที่มารอพอดี พี่แจนที่กำลังจะเสิร์ฟน้ำให้ภามตั้งท่าจะหันมาทัก แต่เมื่อเห็นว่าผมไม่ได้เดินออกมาคนเดียวเธอก็เงียบไป ไอ้เราที่กำลังงงว่าพี่แจนทำหน้าแหยๆ ทำไมถึงกับสะดุ้งยามเห็นคนหน้าปลาตายหรี่ตามอง ใบหน้าราบเรียบคล้ายจะแสดงท่าทีไม่พอใจออกมาวูบหนึ่ง

“คุณหมอ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” คำถามแสดงความห่วงใยพร้อมมือที่แตะลงบนบ่าทำให้ผมเข้าใจ...

ภาพที่ผมเดินออกมาพร้อมคุณพ่อกับน้องปีโป้ที่อยู่ในอ้อมแขนคงดูแปลกพอควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เพิ่งจะฉวยโอกาสใส่กันไปเมื่อบ่าย คิดได้ดังนั้นก็เผลอเว้นระยะห่างออกมาหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว และเหมือนการกระทำนั้นจะช่วยให้คนที่นั่งอยู่อารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย เขาถึงได้คลายหน้าตึงๆ เปลี่ยนเป็นลุกขึ้นยืน เดินตรงมาหาผมแทน

“อา...นี่น้องปีโป้ เป็นคนไข้ของฉันน่ะ ส่วนนี่คุณพ่อน้องปีโป้”

ไม่เลย...ไม่ได้ร้อนรนเท่าไหร่เลย แค่บอกหมดเปลือกแบบไม่ต้องให้ถามเฉยๆ

“จะไปไหนกัน” ภามเหลือบตามองคุณพ่อของน้องแวบหนึ่ง ก่อนจะเบนกลับมามองผมแทน

“ฉันจะพาน้องไปส่ง...”

“คุณเลิกแล้วใช่ไหม งั้นก็ออกไปทีเดียวเลย” เขาพูดทีเดียวจบโดยไม่เปิดโอกาสให้ผมตอบอะไรสักคำ จากนั้นก็คว้ากระเป๋าและข้าวของไปถือไว้ให้โดยไม่ถามความเห็น

เอาเถอะ...ตอนแรกก็หนักอยู่เหมือนกัน ทั้งอุ้มน้องทั้งถือของ

สรุปคือเราเดินทางไปยังลานจอดรถพร้อมกันสี่คน โดยมีภามเดินอยู่เคียงข้างผม ส่วนคุณพ่อน้องปีโป้เดินนำอยู่นิดหน่อยเพราะต้องบอกทางไปรถ พี่แจนและคุณพยาบาลคนอื่นๆ มองตามมาแล้วก็หันไปหัวเราะคิกคัก เหมือนจะได้ยินคำว่าหึงหรืออะไรสักอย่างลอยมาตามลมด้วย แต่ผมไม่มีเวลาสนใจ เพราะนอกจากจะถูกคนข้างกายหันมามองเป็นระยะแล้ว เจ้าเด็กน้อยในอ้อมแขนยังออกแรงกอดผมแน่นกว่าเดิมอีกต่างหาก

“คุณหมอ คุณลุงหน้าตาน่ากลัวจังเลย” เสียงของน้องปีโป้ไม่ได้ทำให้ภามก้าวเดินช้าลง แม้เขาจะเหลือบมามองแล้วหรี่ตาลงเล็กน้อยเหมือนอยากเข้ามาจับเด็กกินก็ตามที

“ไม่น่ากลัวหรอกครับ ถ้าน้องปีโป้เป็นเด็กดี”

“อื้อ ปีโป้จะเป็นเด็กดีจะได้โตไวๆ” น้องฉีกยิ้มกว้างแล้วยื่นหน้าเข้ามาหอมแก้มผมดังฟอด ซ้ำยังพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้วแบบไม่สนใจสถานการณ์ “ถ้าโตแล้วปีโป้จะให้พ่อไปขอคุณหมอนะ”

คล้ายจังหวะการก้าวเดินของทุกคนจะหยุดชะงัก ไม่ใช่เพียงผมคนเดียว แต่รวมถึงคุณพ่อของน้องที่เดินนำ และคนหน้าตาน่ากลัวที่เหมือนจะแผ่รังสีฆ่าฟันออกมาหนักกว่าเดิมด้วย

“เอ่อ...”

“ปีโป้อยากให้คุณหมอไปอยู่ด้วย แต่ว่าคุณพ่อมีคุณแม่แล้ว เพราะงั้นปีโป้จะเอาคุณหมอมาเป็นภรรยาเอง”

ฉิบหายแล้วไง...

“น้องปี...”

“ไม่ได้” คราวนี้ไม่ได้มาแค่สายตา เพราะคนพูดหันหน้ามาหาผม แต่ตาจ้องเจ้าตัวเล็กที่เพิ่งขอผมแต่งงานล่วงหน้าไปเมื่อกี้เขม็ง แม้แต่คิ้วเข้มยังขมวดมุ่นจนใบหน้าปลาตายแปรเปลี่ยนเป็นยักษ์น่ากลัวไปด้วย

“อะไรไม่ได้” น้องปีโป้ถามเสียงสั่นแต่ยังไม่ยอมละสายตาออก

“เขาเป็นของฉัน”

ไอ้...ไอ้บ้านี่

ถ้าไม่ติดว่าอุ้มเด็กอยู่ผมคงยกมือขึ้นกุมขมับหรือไม่ก็วิ่งหนีไปนานแล้ว เพราะไอ้คำพูดตรงๆ นั่นมันไม่ได้เบาเลยสักนิด หน้าตาคุณพ่อกับน้องปีโป้ตอนนี้เอ๋อเหรอเต็มทน ขืนผมยังไม่รีบแยกภามออกไป เห็นทีคงมีศึกระหว่างเด็กอายุห้าขวบกับผู้ใหญ่อายุยี่สิบเจ็ดแน่

“คุณพ่อครับ...” คิดได้ดังนั้นผมก็รีบหันไปส่งสายตาให้คุณพ่อของน้องที่กำลังยืนงง พอเขาเห็นว่าผมพยักพเยิดไปที่ลูกชายก็รีบอาศัยจังหวะที่น้องยังไม่ทันตั้งตัวเดินเข้ามาอุ้มเจ้าตัวเล็กไป

“เอ่อ...ขอโทษคุณหมอกับแฟนคุณหมอด้วยนะครับ”

“ไม่เป็น...”

“อืม ไปเถอะ”

เดี๋ยวๆ ตอบแบบนั้นไม่เท่ากับเป็นการยอมรับหรือไงไอ้บ้านี่

ผมได้แต่อ้าปากค้างมองตามหลังคุณพ่อที่อุ้มน้องปีโป้เดินไปที่รถโดยไม่รู้จะพูดอะไร ทว่ายังไม่ทันได้ขยับไปไหน เสียงเล็กๆ ของเด็กที่เพิ่งตั้งสติได้ก็ตะโกนออกมาดังลั่นลานจอดรถ

“ปีโป้ไม่ยอมหรอก!!”

“ไม่ยอมเหรอ...” เสียงเย็นเยียบจากคนข้างกายทำเอาผมขนลุกซู่ เผลอก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว กะไว้แล้วว่าถ้าสบโอกาสเมื่อไหร่จะวิ่งหนีทันที แต่ก็เหมือนเดิม...โดนรู้ทันอีกแล้ว

ฟอด

ไอ้คนหน้าด้าน!

จากที่กำลังตื่นตระหนกเพราะถูกคว้าแขนไว้ คราวนี้ผมถึงกับตัวแข็งค้างเป็นครั้งที่สองของวัน เมื่อถูกคนตัวสูงกว่าโน้มลงมาหอมแก้มเต็มแรง และยังทำมันต่อหน้าต่อตาเด็กอายุห้าขวบซึ่งกำลังเกาะไหล่พ่อมองมาที่เรา

ผมอยากจะเป็นลมตายไปเลยจะได้ไม่ต้องมารับรู้เรื่องราวอะไรอีก แต่ยังไม่ทันคิดว่าควรทำยังไงต่อดี ภามกลับตรงเข้ามาโอบไหล่ พาผมเดินไปที่รถโดยไม่หันไปสนใจเจ้าของเสียงร้องไห้งอแงที่ถูกพ่อจับยัดขึ้นรถเลยแม้แต่น้อย

“ให้ตายเถอะ...” ผมไม่รู้แล้วว่าจะด่าอะไรดี ปากมันชาตามหน้าบางๆ ของตัวเองจนพูดไม่ออกไปหมดแล้วเนี่ย

ตลอดทางกลับคอนโดภามเอาแต่ขับรถเงียบๆ ไม่ได้ถามหรือพูดอะไรเลยสักคำ ผมเองก็ได้แต่เอามือกุมขมับ นึกทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เกือบมีคนต่างวัยทะเลาะกันเพราะตัวเอง แล้วก็นั่นแหละ...พาลนึกไปถึงคำพูดนั่นจนได้

‘เขาเป็นของฉัน’

ตอนนั้นเอาแต่สนใจว่าจะมีคนตีกันตายเลยได้แต่ยืนเครียด พอมาถึงตอนนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วยังอุตส่าห์วนกลับมาเล่นงานได้อีก และที่แย่ที่สุดก็คือการที่ผมไม่คิดจะปฏิเสธอะไรก็ตามที่เขาพูดออกมาเลยสักคำ ทั้งที่ขอแค่บอกไปว่าไม่มันก็จบแล้ว

ถึงภามจะไม่ยอมคุยกับผม แต่เขาก็ยังจูงมือพาเดินขึ้นคอนโดเหมือนเป็นเด็กๆ คงเพราะเห็นผมยังสติหลุด ทำหน้าเหม่อลอยไม่หาย จวบจนโดนดันให้นั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะกินข้าวแล้วถึงได้รู้ตัว เผลอยื่นมือไปคว้าแขนของคนที่ทำท่าจะเดินไปไหนไม่รู้เอาไว้โดยอัตโนมัติ

“นายเป็นอะไร”

ภามหันมามองผมด้วยสีหน้างุนงง พอเห็นว่าเขาไม่ได้แสดงอาการไม่พอใจหรืออารมณ์เสียใดๆ ออกมาแล้วผมก็ลอบถอนหายใจโล่งอก ยังคิดอยู่เลยว่าถ้าโดนงอนจะทำยังไงดี

“ไม่ได้เป็นอะไร”

“แล้วทำไมเงียบ...”

“อา…” เขาทำท่าครุ่นคิดไปพักหนึ่ง ก่อนจะเหยียดริมฝีปากออกจนกลายเป็นรอยยิ้มน่าสยดสยอง “กำลังคิดวิธีกำจัดเด็กเฉยๆ”

“เดี๋ยว...” ผมกระตุกมือคนที่ไม่เคยล้อเล่นเบาๆ ตอนนี้น่าจะแสดงท่าทางตกใจจนถึงขีดสุดออกไปแล้วแน่นอน “อย่าบอกนะว่านายคิดจะทำอะไรไม่ดีกับน้องปีโป้”

“ก็ถ้ายังมายุ่งกับคุณ...”

“ไอ้บ้า!” กับเด็กก็ไม่เว้น ผมอยากจะบ้าตายจริงๆ “นั่นมันเด็กห้าขวบนะ”

คนฟังยักไหล่ ทำท่าไม่ใส่ใจ แถมยังหน้าด้านดึงมือผมไปจับไว้แน่นอีกต่างหาก

“ถ้าไม่คิดจะมาแย่งคุณไปอีก ผมจะยอมทำเหมือนมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

“หิวข้าว!” ผมพูดเสียงดังแล้วสะบัดมือตัวเองที่เขายึดจับไว้เบาๆ “ไปเลยๆ ไปทำกับข้าว”

ขืนคุยกันนานกว่านี้ต้องมีปวดตับหนักกว่าเดิมแน่ ดีที่ภามแค่พยักหน้า ยอมปล่อยมือผมออกแล้วเดินไปเปิดประตูตู้เย็นแต่โดยดี ตับผมเลยยังปลอดภัยอยู่

เรานั่งกินข้าวด้วยกันเหมือนเดิมโดยมีภามเป็นคนทำ มีผมเป็นคนล้างจาน หลังจากนั้นเขาก็จะไปนั่งทำงาน ปล่อยให้ผมเข้าไปอาบน้ำก่อน เสร็จแล้วถึงจะตามเข้าไปอาบบ้าง นอนกดโทรศัพท์กันอยู่สิบนาทีก็ปิดไฟ เป็นแบบนี้ทุกครั้งเวลาผมมาค้างที่นี่ กลายเป็นกิจวัตรที่ดูเรียบง่าย ไม่มีอะไร แต่กลับรู้สึกว่ามีอะไรอยู่ในที

ผมอธิบายไม่ออกว่ามันหมายถึงอะไร ไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเกิดมาจากไหน อาศัยแค่ความรู้สึกดีและอบอุ่นใจ ก็ปล่อยให้มันเป็นไปโดยไม่คิดตั้งคำถาม

หากวันนี้กลับมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น...

ครืด

อาจเป็นเพราะวันนี้ผมยังหลับไม่สนิทหรืออะไรก็ไม่รู้ เสียงข้อความจากไลน์ถึงได้ดังเข้าหู จนตัดสินใจหันไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูหน้าจอ

PALM: ไอ้เจได งานเลี้ยงรุ่นวันศุกร์แรกของเดือนหน้ามึงต้องมานะเว้ย

ตอนแรกผมกะจะตอบว่าติดงานเหมือนทุกปีที่ผ่านมา แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้เจอเพื่อนมัธยมมานานขนาดไหนเลยลองคิดดูอีกที ถ้าเป็นวันศุกร์แรกของเดือนหน้าอาจจะปลีกตัวไปได้อยู่ เพราะวันก่อนหน้าและวันถัดไปไม่มีเวร แค่แวบไปทักทายเพื่อนสักชั่วโมงสองชั่วโมงแล้วค่อยกลับก็ไม่มีอะไรเสียหาย

Anakin: เออ เดี๋ยวค่ำๆ กูไป

ทั้งที่คิดว่าไม่มีอะไรเสียหาย...แต่ทำไมถึงรู้สึกว่าจะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นวะเนี่ย



—————————



ออฟไลน์ killua1a

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 138
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.26]== [04/09/61]
«ตอบ #137 เมื่อ04-09-2018 19:15:43 »

ึ5555​ ปีโป้น่ารักอ่ะ

ออฟไลน์ toomild

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.26]== [04/09/61]
«ตอบ #138 เมื่อ04-09-2018 19:40:28 »

น้องภามนี่สู้มาก กับดงกับเด็กก็ไม่ยอม5555 หมอก็มึนตลอด เอ็นดู๊ :m1:

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.26]== [04/09/61]
«ตอบ #139 เมื่อ04-09-2018 21:52:03 »

ขำน้องปีโป้


ภามใจเย็นลูก

55555

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.26]== [04/09/61]
« ตอบ #139 เมื่อ: 04-09-2018 21:52:03 »





ออฟไลน์ theindiez

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 225
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.26]== [04/09/61]
«ตอบ #140 เมื่อ05-09-2018 01:01:46 »

ตอนแรกคิดว่าภามหึงพ่อน้อง ดูตอนหลังอีกทีอ้าวหึงน้อง นั่นมันเด็ก 5 ขวบนะภามต้องใจเย็น ๆ 555

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.26]== [04/09/61]
«ตอบ #141 เมื่อ05-09-2018 04:26:54 »

หึงเด็กได้สุด ๆ เลยนะภาม  ไว้วันหน้าถ้าน้องระกับน้องปีโป้มาโรงบาลพร้อมกัน ก็แนะนำให้รู้จักกันไปเลยนะ ภามนะ  :laugh:

ออฟไลน์ pui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-3
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.26]== [04/09/61]
«ตอบ #142 เมื่อ05-09-2018 08:24:53 »

กับเด็กก็ไม่เว้นจ้าาาาาาาาาาา

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.26]== [04/09/61]
«ตอบ #143 เมื่อ06-09-2018 18:19:32 »

-27-



   ช่วงสามสี่อาทิตย์ที่ผ่านมาผมแทบจะกลายเป็นซากศพเดินได้ ทำงานล่วงเวลาแทบทุกวัน ไม่รู้ว่าทำไมเด็กๆ ไม่สบายกันเยอะนัก เพิ่งจะได้พักบ้างก็ไม่กี่วันมานี้เอง ผมไม่เคยรู้สึกขอบคุณภามมากขนาดนี้มาก่อน เพราะนอกจากจะมารับมาส่งทุกวันถ้าผมไม่มีเวรแล้ว อีกฝ่ายยังพาไปนอนคอนโดทุกครั้งที่รู้ว่าผมเหนื่อยจนอยากตื่นสาย ล่าสุดคือถึงขั้นเป็นคนโทรไปบอกแม่เองว่าผมจะนอนค้างที่คอนโดเขา ซึ่งก็ไม่รู้หรอกว่าไปคุยอีท่าไหนถึงได้เรียกกันเป็นคุณแม่กับคุณลูกไปแล้ว

“ภาม วันนี้ฉันไปงานเลี้ยงรุ่นนะ” ถึงจะไม่แน่ใจนักว่าทำไมต้องโทรบอก ทั้งๆ ที่ผมจะไปเลยหรือส่งไลน์ไปเฉยๆ ก็ได้ แต่สุดท้ายมือมันก็กดโทรศัพท์ไปเองแบบไม่มีเหตุผล

[งานเลี้ยงรุ่นเหรอ] ปลายสายพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแปลกใจ ผมได้ยินเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจรอบกายเขา คิดว่าน่าจะยุ่งอยู่เหมือนกัน เพราะได้ข่าวว่ามีนิตยสารต่างชาติมาจ้างงาน เมื่อวานยังพูดอยู่เลยว่าขี้เกียจทำ แต่เพราะเป็นคนรู้จักของพี่เลยต้องรับ

“นายว่างอยู่หรือเปล่า เอาไว้ค่อยคุยไหม”

[สำหรับคุณผมว่างตลอด]

“ไม่ต้องมาพูดดี ไม่ได้อยู่ต่อหน้าฉันไม่รู้สึกอะไรหรอกน่า” ผมกลอกตาอยู่กับตัวเอง มือก็ตักข้าวที่ภามทำให้เข้าปากไปด้วย

[พูดแบบนี้คืออยากให้ไปหาหรือเปล่า]

“ไม่! ไม่ต้องเลยนะ!” ไม่ใช่แค่สะพรึงธรรมดา แต่ผมเกือบเขวี้ยงช้อนลงพื้นไปแล้ว

เมื่ออาทิตย์ก่อนก็คุยโทรศัพท์กันแนวๆ นี้ ไม่คิดว่าไอ้บ้านั่นจะมาจริงๆ แล้วไม่ได้มาธรรมดา ลากเอาคนงานที่กองมาด้วย เพราะต้องมาอ้อนวอนช่างภาพคนดังให้กลับไปทำงาน ซึ่งคนหน้าปลาตายก็ไม่คิดสนใจ เดินเข้ามาหาผมที่ถือช้อนกินข้าวค้างไว้แล้วบอกว่า ‘ผมมาแล้ว’ หน้าตาเฉย

ผมมารู้จากภามเอาทีหลังว่าเขาก็พักกองอยู่เหมือนกัน ไม่ได้หนีงานมาหรืออะไร แต่เพราะที่นี่ไกลมากทางทีมงานเลยพยายามรั้งไว้ กลัวว่าจะกลับไปไม่ทัน กลายเป็นว่าขากลับใช้เวลาแค่ยี่สิบนาทีเพราะไอ้คนบ้ามันเหยียบมิด ได้ข่าวว่าทีมงานที่ตามมาด้วยถึงขนาดอ้วกแตกอ้วกแตน แทบจะหามส่งโรงพยาบาลกันเลยทีเดียว

แค่คิดก็ปวดหัวตุบๆ แล้ว...

[แล้วสรุปว่าคุณจะไปงานเลี้ยงรุ่นกับเพื่อนเหรอ]

“ใช่” ผมดึงสติกลับมาแล้วตอบเขาไปตามตรง “เกือบลืมเหมือนกันเพราะรับปากเพื่อนไว้ตั้งแต่เดือนก่อน ถ้ามันไม่ไลน์มาตามฉันคงเบี้ยวไปแล้วแน่ๆ”

[วันนี้ผมน่าจะเลิกช้า...]

“ไม่เป็นไร ร้านอยู่ใกล้นิดเดียว นั่งรถไปสามป้ายก็ถึงแล้ว”

ปกติถ้าภามเลิกงานช้ากว่า ผมมักจะดูแลคนไข้รอไปเรื่อยๆ อยู่แล้ว เพราะมันเป็นงานที่ไม่มีหมดมีสิ้น ตราบเท่าที่มีแรงอยู่ก็สร้างประโยชน์ได้เรื่อยๆ แต่เขาก็ไม่เคยมาช้าเกินสองทุ่ม ผมเลยเดาว่านั่นน่าจะเป็นกรอบเวลาของเขา

[คุณจะนั่งรถเมล์ไปเหรอ]

“เหอะ...ระดับนี้ แท็กซี่สิรออะไร” คนขี้เกียจอย่างผมเนี่ยเหรอจะรอรถเมล์ให้เมื่อยตูดเมื่อยขา ไม่มีทางหรอก

[ส่งโลเคชั่นร้านมาด้วย เดี๋ยวไปรับ จะกลับกี่โมง]

“น่าจะสามทุ่มกว่า แต่เดี๋ยวฉัน...”

[ไว้เจอกัน]

เผด็จการเป็นบ้า ตัดบทเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ชิ่งหนีไปเฉยเลย ผมมองโทรศัพท์ที่ถูกตัดส่ายไปหน่ายๆ ไม่ได้คิดจะโทรกลับไปเถียงอะไรให้มากความ เพราะถ้าภามยินดีมารับ มันย่อมสบายกว่าหารถกลับเองอยู่แล้ว แถมยังไม่รู้ด้วยว่าวันนี้จะโดนอะไรบ้าง เบี้ยวนัดมาได้ตั้งหลายปี ถ้าพวกมันไม่เล่นผมเละสิแปลก

การทำงานในวันนี้ผ่านไปเร็วเกินคาด อาจเพราะคนไข้บุกมาช่วงเช้ากันหมด กว่าจะหมดคิวเล่นเอาปวดหลัง ได้กินข้าวตอนบ่ายสองโมง พอช่วงบ่ายหายหมด ผมขึ้นไปตรวจเด็กๆ แค่แป๊บเดียวก็หมดเวลาแล้ว คุณพยาบาลเองก็รู้ดีว่าผมจะไปไหน ตอนเล่าให้ฟังนี่ทำหน้าตาตื่นตระหนกกันยกใหญ่ พี่แจนถึงขั้นแกล้งทำเหมือนจะร้องไห้ บอกว่าในที่สุดผมก็ยอมไปเจอเพื่อนบ้างแล้ว

“เดี๋ยวรอนุ่นมาเปลี่ยนแป๊บนึงแล้วคุณหมอติดรถไปด้วยกันนะคะ” พี่แจนหันมาบอกผมอย่างใจดี

“ผมไม่เกรงใจหรอกนะ ขอบคุณมากครับพี่แจน”

จู่ๆ ก็ไม่ต้องไปเรียกแท็กซี่ สบายจริงๆ

“แหมคุณหมอ อย่างน้อยถามสักนิดไหมคะว่าพี่จะไปแถวนั้นหรือเปล่า”

“พี่ยังไม่ชินกับความไร้มารยาทของผมอีกเหรอ” ผมหัวเราะเบาๆ ขณะยกกระเป๋าขึ้นพาดบ่า “ผมรักสบายจะตายไป ขอแค่ทำให้ตัวเองสบายขึ้น จะอะไรก็โอเคทั้งนั้นแหละครับ”

“เพราะแบบนี้เองถึงได้มีคนมารับทุกวัน คิกๆ” คนพูดหัวเราะคิกคัก ทำเอาผมหุบยิ้มแทบไม่ทัน เผลอไม่ได้เลย ต้องลากเข้าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับภามตลอด ดูเหมือนนอกจากจะกลายเป็นลูกรักของแม่ทั้งที่ไม่เคยเจอหน้ากันแล้ว เขายังกลายเป็นที่รักของคนในแผนกผมแทบทุกคนด้วย

“พอเลยๆ” ผมโบกมือไปมาเพื่อให้พี่แจนหยุดดึงออกนอกเรื่อง “ที่ไม่ถามเพราะผมจำได้อยู่หรอกน่าว่าบ้านพี่อยู่แถวนั้น”

“ค่า ไม่พูดแล้วค่ะคุณหมอ”

หลังจากนั่งรอพี่นุ่นอยู่ไม่นานนัก เธอก็เดินเฉิดฉายมาแต่ไกล พี่แจนเลยได้เวลาไปเก็บข้าวของ พาผมตรงไปที่รถเก๋งคันเล็กของเธอเพื่อเดินทางต่อไปยังร้านอาหารที่ผมนัดกับเพื่อนไว้ ตอนแรกผมคิดว่าตัวเองเลิกเร็ว อาจจะไปถึงทันเวลาหกโมงที่พวกมันนัดกันไว้ แต่ไปๆ มาๆ ก็เหมือนเดิม ทำงานลากยาวมาจบที่หกโมง กว่าจะได้ออกมาก็หกโมงครึ่งแล้ว

“โชคดีนะคะที่นัดร้านนั้น ขืนนัดไกลๆ กว่าคุณหมอจะไปถึงก็คงมืดค่ำแล้ว” พี่แจนพูดขึ้นมาเมื่อเราผ่านพ้นช่วงไฟแดงนรกมาได้

“นั่นสิครับ ตอนแรกผมยังคิดว่าวันนี้จะได้เลิกเร็วกว่านี้อยู่เลย”

“คุณหมอก็ลืมวันลืมเวลาแบบนี้ตลอดแหละ แต่ก็แปลกน้า...ขนาดทำงานจนเพลิน คนที่มานั่งรอบ่อยๆ ยังไม่เคยบ่นอะไรเลยสักคำ” คุณคนขับรถหัวเราะแซวอีกรอบ เป็นเวลาเดียวกันกับที่รถเลี้ยวเข้าไปในเขตร้านอาหารพอดี

“พาผมลากเข้าเรื่องนี้ตลอดเลย”

“ก็น้องเขาน่ารักนี่คะ”

“ไม่คุยด้วยแล้ว...ขอบคุณมากนะครับพี่แจน”

“ไว้เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ”

ผมยิ้มให้พี่แจนอีกครั้งเป็นการขอบคุณ ก่อนจะออกไปยืนอยู่ด้านนอก รอจนรถคันเล็กขับออกไปจากเขตร้านแล้วผมถึงได้หันกลับมาเดินต่อ พร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดส่งโลเคชั่นให้คุณชายด้วย

ร้านอาหารกึ่งร้านคาราโอเกะแห่งนี้เป็นร้านที่มีหลายส่วน ด้านหน้าสุดที่ผมยืนอยู่เป็นร้านอาหารทั่วไป ด้านในมีการแสดงดนตรีสด ให้อารมณ์ชิวๆ มากกว่าจะเหมือนบาร์ ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนเต้นอยู่ที่ฟลอร์เป็นจำนวนมาก ผมเดินผ่านร้านเข้าไปด้านใน ทะลุออกไปยังพื้นที่ด้านหลังซึ่งมีโดมกระจกขนาดใหญ่ตั้งอยู่สองโดม มีโดมหนึ่งว่างเปล่าไม่มีคนใช้งาน ส่วนอีกโดมปิดม่านทึบ ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ก็ยิ่งได้ยินเสียงดนตรีตึงตังดังขึ้นเรื่อยๆ

‘งานเลี้ยงรุ่นxxx’

พอเห็นป้ายหน้าโดมแล้วผมก็ได้แต่ยิ้มจาง นานแล้วที่ไม่ได้มาร่วมงาน ไม่ได้มาเจอเพื่อนเลย ทั้งๆ ที่พวกมันก็มารวมตัวกันทุกปี ไม่รู้ว่านอกจากไอ้ปาล์มที่เป็นคนชวนแล้วยังจะมีใครจำผมได้อีกหรือเปล่า

“มึง!” เสีียงตะโกนดังลั่นจากเบื้องหลังทำเอาผมสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ ยังไม่ทันรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นคนพูดก็พุ่งเข้ามากอดแน่นๆ ตามด้วยตีไหล่แรงๆ อีกสองทีจนผมเกือบร้องโอดโอย “ไอ้เจได!”

“มึง...ไอ้ปาล์ม?” ผมมองหน้าเพื่อนสนิทสมัยมัธยมด้วยความไม่แน่ใจ เพราะไม่ได้เจอมาหลายปีเลยไม่คิดว่ามันจะเปลี่ยนไปขนาดนี้ ไอ้เด็กแว่นกวนตีนหลังห้อง บัดนี้แปลงร่างเป็นคุณครูที่ดูน่าเกรงขามไปแล้ว

“กูกำลังจะโทรไปตามมึงเลย กะว่าถ้ายังไม่ยอมมาอีกจะพาพวกไปลากถึงโรงพยาบาล” มันหัวเราะฮ่าๆ แล้วทำท่าจะตีไหล่กันอีกรอบ แต่คราวนี้ผมหลบทัน “ว่าแต่มึงตัวเล็กลงปะวะ ผอมฉิบหายเลย จำได้ว่าตอนเจอกันครั้งล่าสุดช่วงมหา’ลัยมึงยังมาอวดกล้ามให้กูดูอยู่เลยไม่ใช่เหรอ”

“นี่มันตั้งกี่ปีแล้ว” สมัยที่ยังหลงตัวเองมากกว่านี้ ใครเขาก็ต้องอยากอวดกันทั้งนั้น อุตส่าห์อดทนเล่นกีฬาเหนื่อยๆ จนพุงมีกล้ามเนื้อ ได้เจอเพื่อนทั้งทีก็ต้องอวดเป็นธรรมดา ถึงตอนนั้นผมจะได้เจอไอ้ปาล์มคนเดียวเพราะมันดันมาเดินเที่ยวงานมหา’ลัยโดยบังเอิญก็เถอะ

“ช่างเหอะ เข้าไปข้างในกันดีกว่า คนอื่นต้องตกใจแน่ที่เห็นมึงมา”

ปาล์มมันดันไหล่ผมให้เดินเข้าไปด้านในห้องมืดๆ ที่มีม่านปิดโดยรอบ นั่นทำให้ผมเห็นสภาพแวดล้อมด้านในที่ไม่ได้แตกต่างอะไรกับร้านเหล้าเลยสักนิด ทั้งเสียงเพลงจากการแสดงดนตรีสดบนเวที ทั้งลานเต้นด้านหน้าที่มีฝูงชนอยู่หลายสิบ ที่ดูปกติที่สุดน่าจะเป็นโซนด้านหลังซึ่งมีเก้าอี้กับโต๊ะอยู่หลายตัว น่าจะเป็นชุดรวมพลของแต่ละกลุ่ม เอาไว้ใช้นั่งกินเหล้ากัน

“นี่มันมากันหมดรุ่นเลยหรือไงวะเนี่ย” ผมหันไปถามไอ้ปาล์ม โชคดีที่บนเวทียังไม่ได้เล่นเพลงตึงตังเสียงดังมากจนคุยกันไม่รู้เรื่องเหมือนในร้านเหล้า

“ขาดไม่กี่คนจากทั้งชั้นปี หนึ่งปีมีสักที ใครมันก็อยากมาปลดปล่อยกันทั้งนั้น กูอุตส่าห์เลือกวันที่คนว่างตรงกันมากที่สุด” ไอ้ปาล์มยักไหล่แล้วเดินนำผมไปที่โซนด้านหลัง

อันที่จริงมันก็ไม่ได้แปลกอะไรหรอกที่เพื่อนแทบทุกห้องจะมารวมตัวกัน ในเมื่อคนริเริ่มอย่างไอ้ปาล์มมันเป็นพวกทั่วถึง รู้จักเขาไปทั่วตั้งแต่ห้องหนึ่งยันห้องสิบ ผมที่อยู่ในกลุ่มและเป็นหัวโจกเองก็ไม่ได้ต่างกันนัก ด้วยความที่เป็นคนหน้าตาดีมาแต่ไหนแต่ไรคนย่อมอยากเข้าหาอยู่แล้ว พอเห็นว่าพูดคุยง่ายเลยสนิทกันเข้าไปใหญ่

นี่พูดจริง ไม่ได้หลงตัวเองเลยสักนิดเดียว

“เฮ้ยๆๆ ใครมาวะนั่น”

“ว้าว...ไอ้ปาล์มลากใครมาว้า”

“โห คุณหมอที่ไหนมางานเลี้ยงของพวกกระผมครับเนี่ย”

เสียงนกเสียงกาดังขึ้นรอบโต๊ะเหล้าซึ่งน่าจะใหญ่ที่สุดในทุกกลุ่ม มีฝูงชนนั่งอยู่เกินสิบชีวิต และตอนนี้พวกมันล้วนจ้องหน้าผมเหมือนเห็นของประหลาด ต้องรอให้ผมผลักหัวไอ้ตัวที่นั่งทำหน้าตาเกินเหตุอยู่ด้านหน้าก่อนหนึ่งทีนั่นแหละ เสียงหัวเราะเฮฮาถึงได้ดังขึ้นอีกรอบ

“ฮ่าๆ ยินดีต้อนรับครับคุณหมอออ”

“หมอเจไดมางานด้วยเฮ้ยยย”

“กระผมดีใจจนจะร้องไห้แล้วเนี่ย”

“เงียบๆ ไปเลยพวกมึง” ผมชี้หน้าคาดโทษไอ้พวกเพื่อนเวรทั้งหลาย ดูแต่ละตัว หัวโล้น หน้าโทรม ตัวโตเป็นควายกันหมดแล้ว ยังจะพูดจาเป็นเด็กหัวเกรียนเหมือนสมัยเรียนมัธยมอีก

เพื่อนผู้ชายทุกคนที่นั่งอยู่โต๊ะนี้คือกลุ่มเพื่อนสนิทของผมตั้งแต่มัธยม จำได้ว่าสมัยนั้นเวลาไปไหนมาไหนก็ไปเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ให้ความรู้สึกเท่สุดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับตัวตั้งตัวตี ผู้ได้รับการสถาปนาเป็นหัวหน้าอย่างผม แค่คิดก็อยากขำแล้ว นี่ถ้าเอารูปภาพสมัยมัธยมมาเทียบกับรูปตอนนี้ เชื่อว่าทุกคนต้องมีขำกลิ้งกันแน่นอน ดูอย่างไอ้ปาล์มเป็นตัวอย่าง

“คืนนี้ไม่เมาไม่เลิกเว้ย!!” คนที่ได้ชื่อว่าเป็นครูผู้โหดเหี้ยม ทำให้ลูกศิษย์แสบๆ กลัวมาแล้วนักต่อนัก ตอนนี้เหมือนไอ้บ้าขี้เมาที่ต้องการปลดปล่อย ถ้าไม่บอกคงไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นครูสอนสังคมฯ

“ไอ้เจได แดกๆๆ” เพื่อนที่นั่งข้างผมส่งแก้วเหล้ามาให้

“พวกมึงไม่ต้องเชียร์กูแดกเยอะนะ บอกไว้ก่อนว่าไม่ได้ผล” ผมรับแก้วมาแล้วเอ่ยดักทางเพื่อนที่จ้องมาตาเขม็ง

“ไรวะ นานๆ ทีนะมึง”

“พวกมึงลืมหรือไงว่ากูเป็นหมอ พรุ่งนี้ต้องไปทำงานอีก ไม่ว่ายังไงก็เมาค้างหรือมีกลิ่นติดไปไม่ได้” ยิ่งมีคนไข้เป็นพวกเด็กๆ แล้วผมก็ยิ่งต้องระมัดระวัง ไม่อยากให้พวกเขาเข้าใกล้แล้วบอกว่าได้กลิ่นเหล้า นอกจากพ่อแม่เด็กจะมองไม่ดีแล้ว มันยังเป็นผลเสียต่อตัวผมและคนไข้ด้วย

“เออๆ มึงผสมให้มันกินนิดๆ พอไอ้แฟรงค์ เพื่อนมึงเป็นหมอคนเดียวของรุ่นนะโว้ย” ไอ้ปาล์มที่เริ่มเมาตะโกนบอก คนอื่นๆ ที่ได้ยินเลยเออออตามไปด้วย พวกมันย่อมเข้าใจความจำเป็นของผมดี

“ว่าแต่มึงนี่เปลี่ยนเป็นคนละคนเลยนะไอ้เจได กูจำได้ว่าในคลิปประกวดเดือนอะไรสักอย่างสมัยมึงเรียนมหา’ลัยยังดูบ้าบออยู่เลยไม่ใช่เหรอวะ” เพื่อนที่นั่งอยู่ข้างไอ้ปาล์มเปิดประเด็น

“เออ เหมือนจะตัวเล็กลงด้วยปะเนี่ย ดูอ่อนแอกว่าเดิมเยอะเลยนะมึง หรืีอพอเป็นหมอแล้วเครียดจัดวะ”

“ประมาณนั้นแหละ” ผมตอบปัดๆ แบบไม่ใส่ใจ เพราะที่มันพูดมาก็ไม่ได้ต่างจากความเป็นจริงนัก

“มาๆ ปลดปล่อยเว้ย กูก็เครียดกับแปลนบ้านอยู่เหมือนกัน”

“อย่าว่าแต่มึงเลย กูนี่เพิ่งได้เลื่อนขั้นเป็นผู้จัดการเมื่ออาทิตย์ก่อน ปวดหัวฉิบหาย”

เสียงเพลงสนุกสนานจากบนเวทีเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเพลงเศร้าช้าๆ พร้อมๆ กับที่หัวข้อสนทนากลายเป็นหัวข้อเกี่ยวกับหน้าที่การงาน คนแก่ทั้งหลายเริ่มบ่นนั่นบ่นนี่กันไม่มีหยุด มือหนึ่งกระดกเหล้าเข้าปาก อีกมือลูบหน้าลูบตาเหมือนจะร้องไห้ จบลงที่คำว่าเบื่องานฉิบหายแทบทุกราย

“มึงอะ เป็นไง”

“เหนื่อย” ผมตอบสั้นๆ แล้วยกโค้กขึ้นดื่ม “เกือบแย่ไปเหมือนกัน ช่วงหมดไฟแม่งโคตรน่ากลัว”

“แล้วมึงทำไงวะ” ไอ้แฟรงค์หันมาถามด้วยความสนอดสนใจ คนอื่นๆ เองก็เหมือนกัน อาจเพราะผมเป็นหมอคนเดียวในรุ่นด้วย พวกมันถึงได้อยากรู้เรื่องราวชีวิตมากเป็นพิเศษ

“ไปติดเกาะ”

“หา…” เสียงหาแทบจะดังลั่นขึ้นแบบพร้อมเพรียงกัน หน้าแต่ละตัวโคตรฮาจนผมอยากถ่ายรูปเก็บไว้

“ก็ไปเที่ยวไง พ่อกูออกใบลาให้หนึ่งเดือน”

“โห...ไอ้เด็กเส้น”

ผมหัวเราะสะใจเมื่อนานๆ จะได้อวดหน้าที่การงานของพ่อสักที คำว่าเด็กเส้นนี่ไม่ได้ยินมานานมาก จำได้ว่าช่วยมัธยมพวกเพื่อนเข้าใจว่าบ้านผมโคตรรวย ประมาณว่ามีพ่อเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลน่าจะสบายไปทั้งชาติอะไรแบบนี้ มันเลยชอบเรียกกันว่าเด็กเส้นๆ

แต่แทนที่จะโกรธผมกลับชอบ เพราะมันไม่ใช่ความจริงไง...

รวยบ้ารวยบออะไร อยู่มหา’ลัยกินมาม่าบ่อยกว่าข้าวอีก พ่อผมเคยให้เงินเยอะๆ มาใช้ที่ไหน ขี้เหนียวสุดๆ ทำงานทำการก็หนัก ไม่มีเวลาเลยสักนิด ตรงไหนกันที่เรียกว่าสุขสบาย

“เฮ้ยๆ เด็กเก่ามึงนี่หว่า” ไอ้โอ๊ตที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผมเอ่ยทัก พร้อมกับพยักพเยิดให้มองไปที่โต๊ะอีกฝั่งซึ่งมีผู้หญิงนั่งอยู่สี่ห้าคน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่ผมรู้จัก

แต่จำชื่อไม่ได้...

“ชื่ออะไรนะ” ผมหันหน้าไปถามไอ้โอ้ต

“อะไร นี่มึงจำมิ้นไม่ได้เหรอ”

ไอ้จำได้มันก็จำได้อยู่หรอก...

“น้องมิ้นแฟนเก่ามึงไงไอ้หมอ” ไอ้ปาล์มหันหน้ามาตอบแทน “คนที่มาขอมึงคบตอนม.หกแล้วมึงก็ตอบตกลงไป จำไม่ได้หรือไง”

“นึกออกละ” พยักหน้าตอบพวกมันเสร็จแล้วผมก็เบนสายตาออกมาอย่างไม่ใส่ใจ ใช่ว่าผมเคยมีแฟนมาคนสองคนเสียเมื่อไหร่ จะให้จำได้ทุกคนคงเป็นไปไม่ได้ แล้วก็อย่างที่บอก...ผมไม่ได้จริงจังอะไรมาก ไม่ใช่ว่าไม่พยายาม แต่มันไม่ใช่จริงๆ อีกอย่างคือพวกเธอเป็นฝ่ายเข้ามาหาก่อนด้วย สำหรับผมถ้าคิดว่าอยากลองก็ตอบตกลงหมด แต่เพราะไม่เคยทำอะไรเสียหายกันอยู่แล้วเลยไม่มีปัญหาตามมา

นอกจากภามแล้วผมเคยนอนบนเตียงเดียวกันกับใครที่ไหน...เรื่องที่มากกว่านั้นนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย

“อะไรวะ ผู้หญิงมองซะขนาดนั้น มึงไม่สนใจเลยหรือไง” เพื่อนอีกคนในกลุ่มถามด้วยความแปลกใจ “หรือว่ามึงมีแฟนแล้ว”

“ยัง”

“งั้นก็มีคนที่ชอบแล้ว” ไอ้ปาล์มแสยะยิ้มถามตรงจุด

“…” ผมเงียบ ไม่ได้ตอบอะไร เพราะในใจก็ถามตัวเองอยู่เหมือนกัน

“เงียบแสดงว่าใช่ว่ะ แล้วมึงสารภาพรักไปยัง”

“…”

“มึงแม่งอ่อน...”

“ขอโทษนะ” เสียงพูดแทรกที่่เหมือนจะช่วยชีวิตผมไว้พอดีดังขึ้น พร้อมๆ กับที่เสียงรอบโต๊ะเงียบลงจนหมด เพราะทุกคนต่างพากันมองไปยังเจ้าของเสียงหวานไม่คุ้นหู

เธอคือแฟนเก่าที่ผมจำชื่อไม่ได้นั่นเอง

“มีอะไรหรือเปล่ามิ้น”

ผมเกือบหลุดขำออกมาเสียงดังเมื่อเห็นไอ้แฟรงค์เก๊กเสียงหล่อ ดีที่ยั้งไว้ทันเพราะเห็นเธอมองมาทางนี้พอดี ไม่งั้นไอ้เพื่อนขี้ม่อของผมคงขายหน้าแย่ ไม่คิดว่าผ่านมาเป็นสิบปีแล้วมันจะยังขี้ม่อไม่เปลี่ยน

“เราอยากขอคุยกับเจไดน่ะ...” สาวสวยในชุดรัดรูปพูดยิ้มๆ ท่าทางมั่นใจของเธอทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ หากยังไม่ทันได้พูดอะไรไอ้เพื่อนทั้งหลายก็พร้อมใจกันลุกพรึบ

“กูไปเต้นละ”

“กูไปแดกกับพวกไอ้โอมดีกว่า”

“กูไปสูบบุหรี่”

สารพัดคำโกหกดังออกมาอย่างต่อเนื่อง ก่อนคนเกือบยี่สิบคนจะแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ผมเผชิญหน้าอยู่กับสาวมั่นสองคน ไม่นับเพื่อนสามสี่คนที่นอนฟุบไปแล้วนะ

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเจ”

“อา” ผมพยักหน้ารับนิ่งๆ ไม่ได้มีท่าทีอะไรเมื่อเห็นเธอทรุดตัวนั่งลงด้านข้าง แม้จะเริ่มคาดเดาอะไรได้รางๆ แล้วก็ตาม

“เราได้ข่าวว่าเจเป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลxx...”

“อือใช่”

ไม่รู้ว่าคำตอบของผมมันแปลกตรงไหนเหมือนกัน หญิงสาวข้างกายถึงได้ยิ้มกว้าง มือหยิบแก้วเหล้าของผมไปผสมให้อย่างคล่องแคล่ว

“ดีจังเลยนะ ทั้งมีอนาคต ทั้งสบาย แถมยังมั่นคงมากด้วย”

“ก็...ไม่ขนาดนั้นหรอก” มีอนาคตอะไรกัน ผมเกือบท้อแท้กับชีวิตไปแล้ว แต่ก็ไม่แปลกหรอกที่คนนอกจะไม่เข้าใจ พวกเขาคงคิดว่าอาชีพหมอมีแต่ข้อดี ไม่เคยได้มาเห็นเบื้องหลังว่าเราเหนื่อยกันขนาดไหน

“นี่จ้ะ” มิ้นส่งแก้วเหล้าที่เธอผสมมาให้ ผมรับมาอย่างเสียมิได้แต่ก็ไม่ได้ยกขึ้นดื่มหรืออะไร แค่เอามาแตะปากพอให้รู้ว่าเธอผสมเหล้าลงไปเยอะขนาดไหนก็เท่านั้น นี่มันกะให้เมาชัดๆ... “ดื่มเลยจ้ะ ถ้าเจกลับไม่ไหว เดี๋ยวเราพากลับเอง”

“ไม่ได้หรอก พรุ่งนี้ต้องไปโรงพยาบาลอีก” ผมปฏิเสธโดยใช้เหตุผล มือดันแก้วออกห่างจากตัวให้ได้มากที่สุด แต่แค่ไม่กี่วินาทีมันก็กลับมาอยู่ตรงหน้าอีกครั้งด้วยฝีมือของคนข้างกายที่เหมือนจะขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

“นิดเดียวน่า ไม่เป็นไรหรอก” เธอวางมือลงบนแขนผมอย่างถือวิสาสะ “ช่วงนี้เรารู้สึกปวดๆ ตัวยังไงไม่รู้ ถ้ายังไง...เจช่วยดูให้เราหน่อยได้ไหม หรือจะกลับไปดูที่ห้องก็ได้นะ”

เหมือนจะมีคนพูดไม่รู้เรื่อง...

“ไปให้หมอเฉพาะทางตรวจเถอะ” คล้ายว่าใบหน้าสะสวยของคนฟังจะบูดเบี้ยวลงชั่วขณะหนึ่ง แต่เพียงแค่แวบเดียวเธอก็กลับมาเกาะแขนผมได้อีกครั้ง

“ไม่เป็นไรจ้ะ เจดื่มหน่อยเถอะนะ มิ้นอุตส่าห์ชงให้ทั้งที นะ...”

พอโดนคะยั้นคะยอมากเข้าผมก็เริ่มหงุดหงิดอยู่ในใจนิดหน่อย ตากวาดมองไปโดยรอบเพื่อดูว่าเมื่อไหร่เพื่อนคนอื่นจะโผล่หัวมาสักทีแต่ก็ยังไม่มีวี่แวว สุดท้ายคนข้างกายก็ยกแก้วขึ้นมาแนบติดริมฝีปาก พูดคำหวานออเซาะแสนน่ารำคาญไม่หยุด จนผมเผลอดื่มไปสองอึกก็แทบอ้วก เพราะตั้งแต่ดื่มช่วงกลับจากเกาะวันนั้นก็ไม่ได้แตะเหล้าอีกเลย ช่วงที่เพื่อนยังไม่ลุกไปก็กินแบบผสมไปเยอะแล้วด้วย นี่มาแบบเต็มปากเต็มคำ เหล้าเพียวเลยหรือเปล่าก็ไม่รู้

ครืด ครืด

“พอแล้ว” ผมรีบดันมือมิ้นออกแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้ความหงุดหงิดใจจางหายไปได้บ้าง หากยังไม่ทันกดรับ หญิงสาวข้างกายก็ทำในสิ่งที่ผมไม่คาดคิด โดยเอายื่นมือมาดึงโทรศัพท์ออกไปกดวางหน้าตาเฉย

และมันก็ทำให้เส้นความอดทนของผมขาดสะบั้นลง...

“เจ…”

“พอสักที!” ไม่รู้ว่าคำพูดของผมมันดังและแข็งกร้าวขนาดไหน แต่เมื่อประกอบกับเสียงแก้วเหล้าสองสามใบหล่นลงพื้นเพราะผมลุกขึ้นยืนอย่างฉับพลันจนโต๊ะสั่น ก็อาจเรียกได้ว่าเป็นเสียงที่ดังพอควร

ดังพอจะดึงความสนใจของทุกคนมาได้...ดังจนทำให้เสียงดนตรีและเสียงพูดคุยกลายเป็นความเงียบสงัด

“เจ…” ผู้หญิงที่เคยได้ชื่อว่าเป็นแฟนเก่าของผมยืนทำหน้าตกใจอยู่ด้านข้าง คงคาดไม่ถึงว่าจะถูกลุกขึ้นตวาดใส่ แต่นาทีนี้ผมไม่มีอารมณ์มาสนใจหน้าใครทั้งนั้น

เพราะเธอกล้าทำในสิ่งที่ผมไม่เคยคิดทำมาก่อน...

ทำไมถึงกล้าตัดสายภาม

“ผมไม่รู้ว่าคุณเข้ามาคุยกับผมเพื่ออะไร จะบอกว่าผมเคยทำให้คุณเจ็บก็ไม่น่าใช่ ในเมื่อตอนที่เราคบกันคุณก็แค่อยากควงเพราะเห็นผมหน้าตาดี ถ้าคุณชอบผมจริงอย่างที่พูดตอนมาขอเป็นแฟน คุณคงไม่ไปคบซ้อน พอโดนจับได้ก็มาขอเลิกเองเพื่อรักษาหน้า”

“…”

“ถ้าคุณเข้าหาผมอีกรอบแค่เพราะอยากมีแฟนเป็นหมอ ผมแนะนำให้ไปหาคนอื่นดีกว่า” ผมสูดหายใจเข้าจนสุดเพื่อควบคุมความหงุดหงิดในใจ “รู้ไหมว่ามันไม่ได้ทำให้ตัวเองดูดีขึ้นเลย ถ้าคุณแค่พยายามเข้าหา เพียงเพราะอยากเอาผู้ชายไปควงอวดใครๆ ว่าตัวเองมีแฟนเป็นหมอ”

“คือ...” มิ้นหน้าซีด หันซ้ายหันขวามองคนรอบข้างเลิ่กลั่ก คงไม่คิดว่าผมจะกล้าพูดตอกหน้าเธอถึงขนาดนี้

“คุณพยายามจะมอมเหล้าผม ผมไม่ว่า...แต่อย่ามากดตัดสายของคนอื่นอีก มันไร้มารยาท”

จากที่อารมณ์กำลังดีๆ เนื่องจากได้เจอเพื่อนเก่า กลับกลายเป็นถูกดูดออกไปหมดเพราะคนคนเดียว ผมไม่เคยดูถูกผู้หญิงที่เข้าหาผู้ชายก่อน แต่ผมไม่ชอบการกระทำของเธอที่พอเห็นผมไม่เล่นด้วยแล้วยังกล้าขยับข้ามขั้น พยายามให้กินเหล้าทั้งที่อธิบายเหตุผลแล้วยังไม่เท่าไหร่ แต่ถึงขนาดกดตัดสายโทรศัพท์ของคนที่โทรเข้ามานี่คงไม่ไหว

ไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นภาม เพราะต่อให้เป็นคนอื่นก็ไม่ควรทำ ถ้ามันมีเรื่องด่วนที่เกี่ยวข้องกับชีวิตจะทำยังไง

“ไอ้หมอ” เฟย์ เพื่อนผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มเดินหน้าเครียดเข้ามาหา เมื่อเห็นผมหยิบกระเป๋ามาจากเก้าอี้แล้วสะพายขึ้นบ่า เดินตรงไปหามันที่อยู่แถวทางออกพอดี

“พวกมึงสนุกต่อเลย กูกลับดีกว่า พรุ่งนี้ต้องไปทำงานด้วย” ผมตบบ่าเพื่อนเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร หันไปพยักหน้าให้ไอ้ปาล์มที่ยืนอยู่ไม่ไกลอีกทีก็เดินออกไปด้านนอก


(ต่อด้านล่าง)
.
.

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.26]== [04/09/61]
«ตอบ #144 เมื่อ06-09-2018 18:19:49 »




พออยู่ในที่ที่ไม่มีเสียงรบกวนแล้วถึงได้หยิบโทรศัพท์ออกมากดดูอีกครั้ง ภามไม่ได้โทรเข้ามาอีก แต่มีข้อความในไลน์เด้งขึ้นมาแทน

asdf: กำลังไป

ดูเหมือนการที่มิ้นถือวิสาสะกดตัดสายจะทำให้คนคนหนึ่งร้อนรนโดยไม่รู้ตัว ผมได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ เมื่อเห็นนาฬิกาที่บอกเวลาสองทุ่มครึ่ง เพราะมันยังไม่ถึงช่วงเวลาที่นัดไว้เลยด้วยซ้ำ ท่าทางอีกฝ่ายต้องเหยียบมิดแน่ๆ คิดได้ดังนั้นผมเลยเดินออกไปด้านนอน หาที่ยืนรออยู่ใต้ต้นไม้แถวลานจอดรถ

ไม่ถึงสิบนาทีรถออดี้คันหรูก็พุ่งเข้ามาจอด เจ้าของรถเปิดประตูเดินลงมาด้วยใบหน้านิ่งสงบ แต่ผมกลับมองเห็นความลนลานที่ซ่อนอยู่ใต้ท่าทีของเขา ไม่รู้ว่าทำไมการได้เห็นหน้าภามถึงทำให้อารมณ์บูดๆ ของตัวเองฟื้นฟูขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว ผมยังคงยืนอยู่ที่เดิม เฝ้ามองอีกคนยกโทรศัพท์ขึ้นกดเงียบๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาดู

asdf: อยู่ไหน

asdf: ผมมาถึงแล้ว

ภามยิ่งขมวดคิ้วมุ่นเข้าไปใหญ่ น่าจะเป็นเพราะเห็นผมอ่านแต่ไม่ตอบ คราวนี้เขากดโทรเข้ามา ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขณะกวาดสายตาไปโดยรอบ เหมือนเตรียมตัวจะวิ่งเข้าไปด้านในแล้วถ้าไม่เห็นผมเดินออกไปเสียก่อน

“เป็นอะไรหรือเปล่า” คนตัวสูงวิ่งเข้ามาหา จับตัวผมพลิกไปมาเป็นหมูปิ้ง แม้แต่น้ำเสียงก็ดูเป็นกังวลไม่น้อย

“งานเสร็จแล้วเหรอ” ผมถามกลับทั้งที่ยังจ้องหน้าภามอยู่ ในใจรู้สึกแปลกๆ เมื่อเห็นว่าคำถามแรกที่ออกจากปากเขาไม่ใช่การถามว่าทำไมตัดสาย มันทั้งทำให้อบอุ่นใจและรู้สึกผิดไปพร้อมๆ กัน

“เหลือแต่งภาพ ผมรับปากว่าจะทำให้เสร็จคืนนี้ แต่ขอออกมาก่อน” เขาพูดพลางขมวดคิ้ว เหมือนจะขัดใจที่เห็นผมไม่ตอบคำถามอยู่เหมือนกัน “เรื่องของผมช่างมันเถอะ คุณน่ะเป็นอะไรหรือเปล่า”

ช่างมันได้ยังไงเล่า...เจ้าบ้า

“ไม่เป็นไรแล้ว” ถึงจะตอบไปแบบนั้น แต่คนถามก็ยังไม่คลายสีหน้าเคร่งเครียดลง ผมเลยตัดสินใจจับมือเขาไว้ พาเดินไปที่รถ จวบจนขึ้นมาด้านบน เห็นภามสตาร์ทเครื่องแล้วถึงได้พูดออกมาช้าๆ “ฉันไม่ได้ตัดสายนาย”

“…” ภามเหลือบตามองผมเล็กน้อยโดยไม่ได้พูดอะไร เขาหันหน้ากลับไปตั้งใจขับรถเหมือนเดิม

“แฟน…”

เอี๊ยด!

แรงกระตุกของรถที่ถูกเบรกกะทันหันทำเอาผมหน้าทิ่ม โชคดีที่คาดสายทัน เกือบหัวโขกแล้วไง

“เบรกกะทันหันทำไมเนี่ย!” ผมหันไปผลักแขนภาม ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ จนแทบหลุดออกมาจากอกด้วยความตกใจ ขยันทำให้ใจเต้นแรงเหลือเกิน ไม่ด้วยคำพูดก็การกระทำที่เกือบทำให้ผมเจ็บตัวนี่แหละ

“คุณพูดให้จบ” เสียงเย็นเยียบของคนขับรถเอ่ยขึ้นโดยไม่สนใจตอบคำถามของผม เขาเอาแต่จ้องด้วยแววตาวาวโรจน์ ทำท่าเหมือนจะเข้ามาหักคอกันจนผมต้องรีบพูดให้จบ

“แฟนเก่าเข้ามาวุ่นวาย เธอเป็นคนกดตัดสายนาย”

“แฟนเก่า?”

“ใช่ ไม่มีรีเทิร์นแน่นอน คบตั้งแต่มัธยมเพราะเธอมาบอกว่าชอบ ฉันมันพวกอะไรก็ได้เลยลองดู ไม่คิดเหมือนกันว่าจะได้กลับมาเจอกันอีก นี่ก็มานั่งเบียดบังคับให้กินเหล้าแล้วยังชวนเข้าห้องด้วย...แต่ฉันไม่ได้สนใจนะ”

ไม่ได้ร้อนตัวอะไรเลย...นี่แค่พูดความจริง ไม่ชอบให้ใครเข้าใจผิดเฉยๆ

“อา…” ภามยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง ก่อนจะเริ่มออกรถอีกครั้งท่ามกลางความหวาดกลัวของผม ไม่รู้ถ้าพูดอะไรออกไปอาการจะกำเริบอีกหรือเปล่า “เล่ามาให้หมด”

“ถึงห้องก่อนเถอะ...”

“ก็ได้”

ผมแอบมองคนที่ตั้งอกตั้งใจขับรถเหมือนอยากให้ถึงคอนโดไวๆ แต่ก็ไม่ยอมขับเร็วเพราะรู้ว่าผมกลัวเป็นระยะ เห็นหน้าตานิ่งๆ กับคิ้วที่ขมวดน้อยๆ ของเขาแล้วก็ได้แต่ลอบหัวเราะอยู่ในใจ

“ทำเหมือนคนที่จับได้ว่าแฟนตัวเองไปคุยกับแฟนเก่า...” อดพึมพำกับตัวเองไม่ได้เมื่อเห็นท่่าทีของเขา “อย่างกับหึง”

“เข้าใจถูกแล้ว”

ไอ้คนหูดี...

“…”

“แล้วคุณล่ะ”

“ฉันทำไม” ผมหันไปมองหน้าภามด้วยความงุนงง ยังไม่ทันได้ใจเต้นก็โดนดึงอารมณ์กลับมาเฉยเลย

เอาเถอะ...ยังไงมันก็เป็นเรื่องดีนั่นแหละ

“ที่คุณอธิบายมามากมาย พยายามไม่ให้ผมเข้าใจผิด...”

“…”

“แบบนั้นเรียกว่าอะไร”

ไม่ดีละ...หนักกว่าเดิมอีกนี่หว่า!



———————-

ออฟไลน์ killua1a

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 138
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.27]== [06/09/61]
«ตอบ #145 เมื่อ06-09-2018 19:44:56 »

เป็นผู้หญิงแบบนี้ก็น่ารำคาญนะ​  :z6:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.27]== [06/09/61]
«ตอบ #146 เมื่อ07-09-2018 03:47:27 »

ฝากแฟรงค์รายงานกลับมาด้วย นังชะนีเป็นไงบ้าง  o12

ออฟไลน์ pui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-3
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.27]== [06/09/61]
«ตอบ #147 เมื่อ07-09-2018 12:44:12 »

 o13 o13 o13

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.27]== [06/09/61]
«ตอบ #148 เมื่อ08-09-2018 19:04:18 »

-28-

   

สี่ทุ่มแล้ว...

ผมเงยหน้าขึ้นจากนาฬิกาข้อมือ แอบนวดแขนที่ปวดเมื่อยของตัวเองเบาๆ ขณะมองไปยังประตู เผื่อว่าจะเห็นเงาร่างของคุณสารถีโผล่มาเสียที นี่ก็เริ่มไม่ไหวแล้วด้วยเพราะเข้าเวรมาตั้งแต่เมื่อวาน เท่ากับไม่ได้นอนมาสามสิบกว่าชั่วโมงแล้ว ปกติพอเลิกงานผมจะรีบกลับไปสลบ แต่เพราะเดี๋ยวนี้มีคนมารับมาส่งเลยเคยชินกับการรอมากกว่า ไม่บ่อยครั้งนักที่ภามจะมาช้า

แต่วันนี้แปลก...เพราะเขาไม่เคยช้าขนาดนี้มาก่อน อย่างมากก็แค่สองทุ่มเท่านั้น

“คุณหมอ ยังไม่กลับอีกเหรอคะ” เสียงคุณพยาบาลทำให้ผมหลุดจากภวังค์ เธอเดินเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง คงเพราะเห็นหน้าตาอ่อนล้าของผม

“จะไปแล้วครับ พรุ่งนี้เจอกันนะ”

“กลับบ้านดีๆ นะคะ”

พอคิดได้ว่าขืนยังนั่งอยู่ตรงนี้คงหลับไปโดยไม่รู้ตัวแน่ๆ ผมเลยตัดสินใจเดินลงไปด้านล่าง เข้าไปนั่งรออยู่ในร้านกาแฟที่เปิดยี่สิบสี่ชั่วโมง ตอนนี้นอกจากพนักงานก็แทบไม่มีใครเหลืออยู่เลย ผมสั่งกาแฟแล้วเอาโทรศัพท์ออกมากดส่งไลน์บอกภามว่ารออยู่ที่นี่ ข้อความขึ้นว่าอ่านแล้วแทบจะทันทีที่กดส่ง มองอยู่นานหลายนาทีจนมั่นใจว่าภามคงไม่ตอบถึงเก็บโทรศัพท์ หันมาดูดกาแฟเข้าไปอึกใหญ่แล้วฟุบลงกับโต๊ะแบบเพลียๆ

เมื่อตอนกลางวันภามทักมาบอกผมว่าวันนี้เขาน่าจะเลิกช้า อีกทั้งกองถ่ายยังอยู่ไกลพอควรด้วย ให้ผมกลับไปก่อนได้เลย จะกลับบ้านหรือกลับคอนโดก็ได้เพราะผมมีคีย์การ์ดห้องเขาอยู่แล้ว แต่ตอนนั้นด้วยความที่คิดว่ารอก็ไม่เห็นเป็นไร ยังไงก็ไม่เกินสองทุ่ม บวกกับที่ผมประเมินแล้วว่าน่าจะเหนื่อยเกินกว่าจะกลับบ้านเอง เพราะงั้นเลยบอกว่าจะรอ คุยกันไปคุยกันมาสุดท้ายภามก็บอกว่าจะรีบมาให้ไวที่สุด

แต่สี่ทุ่มนี่ดึกเกินไปหรือเปล่านะ...คงไม่ได้มีปัญหาอะไรใช่ไหม

ครืด

ผมรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เป็นภามที่ไลน์เข้ามาบอกว่ารออยู่ข้างนอก เห็นแล้วผมก็รีบคว้าแก้วกาแฟกับกระเป๋า เดินไวๆ ออกไปด้านนอกร้านเพราะไม่อยากให้เขารอนาน รถออดี้คุ้นตาจอดอยู่ด้านข้าง มีเงาร่างสูงใหญ่ของคนที่ผมกำลังรออยู่ยืนพิงประตูข้างคนขับ จ้องเขม็งมาทางนี้โดยไม่ละสายตา

หน้าเข้มมาเลย...

“เอ่อ...”

“รีบขึ้นรถ” ภามพูดแค่นั้นแล้วหมุนตัวเดินไปประจำที่ ปล่อยให้ผมเกาหัวงงๆ มองตามท่าทีน่ากลัวของเขาด้วยความไม่เข้าใจ แม้จะออกรถมาได้สักพักแล้วเขาก็ยังทำหน้ายุ่งอยู่ ดูสิ คิ้วขมวดจนไม่รู้จะขมวดยังไงแล้ว

ในระหว่างที่ยังอยู่บนรถเราไม่ได้พูดคุยกันเลย ผมเองก็เหนื่อยและเพลียมากเกินไปหน่อย จะมีสะดุ้งบ้างก็ตอนที่อีกคนเอื้อมมือมาคว้าแก้วกาแฟแล้วโยนออกไปนอกรถ ตกลงในถังขยะข้างทางได้อย่างแม่นยำนั่นแหละ

หลังจากถึงคอนโดภามแล้วผมก็รีบวิ่งเข้าไปอาบน้ำทันที เสร็จแล้วค่อยออกมากินข้าวที่คุณพ่อครัวทำให้ ปิดท้ายด้วยการเข้าไปแปรงฟันเตรียมตัวนอน หากวันนี้กลับไม่เหมือนทุกวัน ภามไม่ได้ตามผมเข้ามา เขายังนั่งอยู่ที่โซฟาด้านนอก

แล้วคนที่ไม่เคยชินกับการนอนที่นี่คนเดียวจะหลับได้ยังไง...

“ภาม…” ผมเรียกคนที่ยังนั่งนิ่งไม่ขยับเบาๆ ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ก็ยิ่งเห็นสีหน้าที่ไม่ได้ราบเรียบเหมือนปกติของเขาชัดเจนขึ้น ภามไม่ได้นั่งดูทีวี ทำงาน หรือกดโทรศัพท์อะไร เขาแค่นั่งนิ่งๆ เหมือนหุ่นยนต์ที่ดูไร้ความรู้สึกจนผมเริ่มกังวล ต้องรีบเข้าไปทรุดตัวลงด้านข้างแล้วถามด้วยความเป็นห่วง “นายเป็นอะไรหรือเปล่า”

“…เปล่า”

“งานหนักหรือไง ทำไมสภาพเป็นแบบนี้”​ มองดูแล้วเหมือนเขาจะเหนื่อยไม่แพ้ผมเลย

“ทำไมคุณไม่กลับไปก่อน” ภามพูดขึ้นมาโดยไม่ยอมหันมาหาในทีแรก แต่เมื่อก้มลงมองเห็นว่าผมเอามือวางไว้ที่หน้าขาของเขา อีกฝ่ายก็ถอนหายใจแล้วหันมาสบตากันจนได้ “ทำไมยังรออยู่อีก”

“ทีนายยังรอฉันได้เลย”

ภามทำสีหน้าอ่อนลงเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมพูด เขาจับมือผมไว้ สีหน้าดูเหมือนกำลังหนักใจกับอะไรสักอย่างเอามากๆ

“คุณจะทำให้ผมเป็นบ้าเข้าสักวัน”

“หือ”

“ต่อไปผมจะไม่ให้คุณรอนานแบบนี้อีก” เขาบีบมือกันเหมือนจะให้สัญญา และผมก็เชื่อว่าเขาจะทำได้ตามนั้นจริงๆ ถึงแม้จะคิดว่ารอบ้างก็ไม่เห็นเป็นไร แต่เมื่อเห็นสีหน้ากับท่าทางของคนที่ให้รอแล้ว เงียบไปแบบนี้อาจจะดีกว่า

“แล้ววันนี้งานหนักเหรอ เลิกดึกเชียว”

“นางแบบปัญหาเยอะ” วูบหนึ่งผมรู้สึกเหมือนเห็นภามชักสีหน้า “เพราะแบบนี้ผมถึงไม่ชอบถ่ายคน”

“ทำไมล่ะ เธอทำได้ไม่ดีหรือเข้ามาตอแยอะไร” ผมแกล้งแซวพร้อมรอยยิ้ม หากอีกคนกลับแค่มองกันนิ่งๆ โดยไม่ตอบอะไร เพียงแค่นั้นรอยยิ้มของผมก็กลายเป็นรอยยิ้มแห้งๆ แทบจะทันที “เอาจริงดิ”

“จริงๆ งานเสร็จตั้งแต่สามทุ่ม แต่เธอยังพยายามดึงดันต่อเพราะไม่พอใจ คงเพราะมีหุ้นส่วนอยู่กับบริษัทเจ้าของผลงานเลยกล้าพูด ทีมงานเอือมกันไปหลายคน จนสุดท้ายมาบอกผมว่าถ้ายอมไปดื่มต่อด้วยจะยอมให้ผ่าน”

“โห…แล้วนายทำไง”

“บอกว่าให้ไปหาคนอื่น” ภามพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ผมไม่รับค่าจ้าง และจะไม่ขอร่วมงานกับที่นี่อีก”

“สุดยอด” ผมตบมือแปะๆ ด้วยความชื่นชมจริงจัง โลกแห่งความเป็นจริงมันก็แบบนี้แหละ ในเมื่อฝ่ายนั้นใช้อำนาจทำนอกเหนือหน้าที่ได้ เขาเองก็มีสิทธิ์เลือกปฏิบัติเหมือนกัน ภามไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินแถมยังมีชื่อเสียงเอามากๆ แล้วทำไมเขาต้องยอมให้โดนกดด้วย

คนจริงสุด...ไม่เก่งจริงทำไม่ได้นะเนี่ย

“ถ้าไม่ใช่เพราะผมลืมดูเวลา เรื่องคงจบไปตั้งนานแล้ว” เขาถอนหายใจ เหมือนจะยังมีความหงุดหงิดติดค้างอยู่ ผมเลยยกมือตบไหล่กว้างดังแปะๆ แล้วฉีกยิ้มให้

“ไม่เป็นไรน่า นายก็บอกว่าจะไม่ให้รอนานแบบนี้แล้วไง”

“อา...” ภามเริ่มยิ้มออก เขายกมือขึ้นลูบแก้มผมเบาๆ แล้วจูงมือให้ลุกขึ้นเดินตามไปที่ห้องนอน “ไปนอนเถอะ ผมรู้ว่าคุณง่วง”

ผมมองใบหน้าปลาตายของคนที่ช่วยเลื่อนผ้าห่มมาคลุมให้ยิ้มๆ ช่วงเวลาที่ผ่านมาภามเริ่มแสดงออกมากขึ้นทุกวันเวลาอยู่กับผมสองคน ถึงจะไม่ได้ทิ้งนิสัยเดิมไปหรืออะไร แต่ก็ยิ้มบ่อยและชอบทำแววตาอ่อนโยนให้ใจสั่นเล่นอยู่ตลอด เหมือนมันจะกลายเป็นนิสัยส่วนหนึ่งของเขาไปแล้ว แต่เมื่อไหร่ที่ออกไปด้านนอก ไปพบเจอกับคนอื่นๆ เขาก็จะเป็นคนหน้าตายที่ไม่ยอมพูดอะไรสักคำเหมือนเดิม

ถ้าไม่นับอาการใจสั่นแปลกๆ เวลาเห็นท่าทีเหล่านั้น ผมก็ถือว่ามันเป็นเรื่องดีนั่นแหละที่เขายิ้มง่ายกว่าเดิม

“หลับตานอนได้แล้ว หาวไม่หยุดเลย” คนที่ยังนั่งนิ่งอยู่ข้างเตียงยกมือลูบหัวกันอีกรอบ ทำราวกับผมเป็นแมวจริงๆ เพราะพอเห็นผมเคลิ้ม อีกฝ่ายก็จะเลื่อนมือมาเกาคางกันทุกที แล้วผมจะว่าอะไรได้นอกจากปล่อยเลยตามเลย ก็มันสบายน้อยเสียเมื่อไหร่

“นายรีบไปอาบน้ำสิ” ผมหันไปไล่ภามแทนที่จะทำตามที่เขาบอก

“คุณนอนไปก่อน”

“ถ้านายยังเถียงอยู่ ฉันก็จะไม่ได้นอนสักทีนะ”

ภามแข่งจ้องหน้ากับผมอยู่แค่สิบวินาทีก็ยอมแพ้ เขาลูบหัวผมอีกรอบก่อนจะลุกขึ้นยืน เดินตรงไปที่ห้องน้ำโดยไม่ได้พูดอะไรอีก ความรู้สึกที่ได้เป็นผู้ชนะมันช่างหอมหวานซะจนผมเผลออมยิ้มอยู่นาน ถึงจะรู้ว่าทั้งหมดเป็นเพราะเขายอมลงให้ด้วยความเป็นห่วงแต่ก็อดดีใจไม่ได้ ลองเป็นเมื่อก่อนผมได้ตาแดงเถียงกับเขายันเช้าแน่ๆ แล้วสุดท้ายก็จะเป็นผมที่พ่ายแพ้ไปเอง

จะว่าไปแล้ว...ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่ภามยอมผมมากขนาดนี้

“นั่นนายวิ่งผ่านน้ำเหรอ” ผมอดตกใจไม่ได้เมื่อเห็นคุณชายรักสะอาดเดินออกมาจากห้องน้ำทั้งที่เวลาผ่านไปไม่ถึงห้านาที ภามเพียงแค่เหลือบตามองผมแล้วเดินไปแต่งตัว ขึ้นมานอนบนเตียงเรียบร้อยแล้วถึงยอมตอบ

“ผมไม่อยากให้คุณรอนาน” เขาเอื้อมมือไปกดปิดไฟ และทันทีที่ห้องมืดมิดลง คนตัวโตก็พลิกมาหา ดึงมือผมไปจับไว้เหมือนทุกวัน “นอนเถอะ”

ครั้งนี้ผมไม่ได้หาเรื่องเถียงอะไรอีก แค่บีบมือเขากลับ รับรู้ถึงความอบอุ่นระหว่างกันโดยไม่ต้องใช้คำพูดใดๆ แล้วค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงช้าๆ เตรียมตัวสำหรับวันต่อไปที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่ชั่วโมง แต่ก็ไม่ลืมเอ่ยถ้อยคำเดิมๆ ตามสัญชาตญาณก่อนสติจะจางหายไป

“ฝันดี”

เหมือนเสียงหัวเราะจะดังขึ้นเบาๆ พร้อมกับที่มีสัมผัสอบอุ่นอ่อนนุ่มกดลงบนหน้าผาก ผมอยากลืมตามองว่าเขาทำอะไรแต่ก็ฝืนตัวเองไว้ไม่ไหว สิ่งสุดท้ายที่ได้ยินคือเสียงตอบรับอย่างอ่อนโยน ก่อนจะไม่รับรู้เรื่องราวอะไรอีก

“ฝันดี”




วันนี้คุณชายภามออกคำสั่งให้เลิกงานตรงเวลา หรืออย่างน้อยถ้ามันจำเป็นจริงๆ ก็ต้องปลีกตัวมาให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะนอกจากเขาจะรู้ว่าผมเพลียมากเนื่องจากนอนน้อยแล้ว อีกฝ่ายยังไปรับปากแม่ผม บอกว่าจะไปหาวันนี้ด้วย ถึงหน้าตาจะดูเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่ทำไมผมจะมองไม่ออกว่าภามแอบตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย ดูจากการแต่งตัวก็รู้แล้ว

“นี่นายจะใส่ชุดนี้ไปทำงานเหรอ” ผมกวาดตามองคนตัวสูงขึ้นๆ ลงๆ อยู่หลายรอบ

“ทำไม”

“เขาจะคิดว่าเป็นช่างภาพหรือนายแบบวะเนี่ย” ปกติแค่ภามใส่เสื้อยืดไปทำงาน หน้าตาก็ทำให้เขาดูโดดเด่นอยู่แล้ว แต่วันนี้เล่นมาเป็นชุดสูท ถึงจะไม่ได้ผูกไทด์ อีกทั้งยังเป็นสูทตามสมัยปล่อยชายเสื้อไม่ได้เนี้ยบอะไร มันก็ยังไม่เหมือนช่างภาพทั่วไปอยู่ดี

“ความประทับใจแรกพบเป็นสิ่งสำคัญ เดี๋ยวตอนทำงานผมถอดเสื้อนอกออก” เขาว่าแบบนั้นแล้วถอดเสื้อออก เหมือนกับเมื่อกี้แค่ลองชุดเฉยๆ

“เกินไปอยู่ดี...”

“ไม่ต้องห่วงหรอก วันนี้ไม่มีผู้หญิง”

“ไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น!” ผมหันไปถลึงตาใส่คนหลงตัวเองแล้วเดินฉับๆ หนีออกไปด้านนอก ไม่สนใจภามที่ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ตามหลังมาอีก

ภามไปส่งผมที่โรงพยาบาลแล้วก็ขับรถไปทำงานเหมือนทุกวัน เขาเล่าให้ฟังโดยไม่ต้องถามว่าวันนี้มีงานถ่ายภาพประกอบให้หนังสือเกี่ยวกับสัตว์เล่มหนึ่ง เพราะงั้นวันนี้นอกจากถ่ายรูปคนเขียนที่เป็นผู้ชายแล้ว ก็แทบไม่ต้องอึดอัดใจถ่ายให้คนเลย เห็นว่าเป็นงานเล็กๆ ที่รับแบบถูกๆ เพราะอยากทำเองด้วย

ช่วงบ่ายตอนกินข้าวเขาไลน์มา ส่งรูปมาหนึ่งรูป เป็นภาพแมวขนฟูสีเทาตาแป๋วซึ่งน่าจะเป็นนายแบบของวันนี้ พอผมถามว่าน้องชื่ออะไร ภามที่น่าจะจ้องจออยู่ไม่ไปไหนก็ตอบกลับมาแทบจะทันที

asdf: อนาคิน

กวนตีน...

จะว่าไปแล้วภามมันเคยเรียกชื่อผมกี่ครั้งเองวะเนี่ย แล้วไม่เรียกชื่อเล่นด้วยนะ เรียกชื่อจริงแบบที่ไม่มีใครเรียกด้วย เคยถามแล้วว่าทำไมก็เอาแต่จ้องนิ่งๆ ไม่ยอมตอบ

ผมหยิบแหวนที่ห้อยคออยู่ขึ้นมาดูเล่น เหมือนว่าหลังๆ มานี้จะไม่ค่อยได้สนใจมันเท่าไหร่ ซึ่งแน่นอนว่าจนถึงบัดนี้ผมก็ยังอ่านข้อความบนนั้นไม่ออก ดูเหมือนจะเป็นคำสั้นๆ ก็จริง แต่มองยังไงก็เหมือนลวดลายธรรมดาไม่มีความหมายมากกว่า แต่ถ้าไม่มีความหมายแล้วภามจะบอกว่าตัวเองอ่านออกได้ยังไง

เอาไว้ค่อยหลอกล่อให้พูดแล้วกัน...

หลังจากทำงานจนถึงเวลาเลิก พี่แจนก็เดินเข้ามาบอกว่าภามมารอตั้งแต่สิบนาทีก่อนแล้ว อีกทั้งยังฝากให้มาย้ำว่าแม่รออยู่ด้วย ได้ยินแบบนั้นแล้วผมจะทำอะไรได้ โชคดีที่คนไข้ไม่เยอะ ไม่มีเคสต่อเนื่องอะไรมากมาย ผมเลยกลับบ้านได้ตรงเวลาเป็นครั้งแรกในรอบกี่เดือนก็ไม่รู้

“แล้วถ่ายงานเป็นไงบ้าง” ผมชวนคุยระหว่างที่เขากำลังขับรถ

“มีคุณเต็มไปหมด”

“ฉันไม่ใช่แมว!” ไอ้บ้านี่...

“สนุกดี มองไปทางไหนก็มีแต่สัตว์” ภามตอบยิ้มๆ ท่าทางผ่อนคลาย คงชอบงานแบบนี้มากกว่างานถ่ายแบบมากจริงๆ เห็นปกติทำหน้าตึงตลอดเวลาเลิกงาน จะเริ่มดีขึ้นก็ตอนถึงห้องได้พักผ่อน

ว่าแต่เลี่ยงเรื่องที่ผมปฏิเสธแบบนี้มันคือไม่ยอมรับชัดๆ เลยไม่ใช่หรือไง...

“ก็ดีแล้วที่สนุก” ในเมื่อเขาจงใจไม่เถียงต่องั้นผมก็ปล่อยไปแล้วกัน ขืนดึงเรื่องเดิมมาพูดอีก เห็นทีสุดท้ายคงได้ยอมเป็นแมว

ปกติผมกับภามไม่ใช่พวกชอบฟังเพลงกันทั้งคู่ ดันนั้นนอกจากจะชวนคุยระหว่างทาง ถ้าไม่มีเรื่องอะไรให้พูดก็จะเลือกเงียบไปเลยมากกว่า หากวันนี้ภามกลับมาแปลก เพราะพอบรรยากาศเงียบปุ๊บ เขาก็ยื่นมือไปกดเปิดวิทยุปั๊บ ทั้งยังเลือกฟังเพลงจังหวะหนักหน่วงแบบที่เจ้าตัวไม่น่าจะชอบด้วย

“นายเป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย” ผมเหลือบตามองคนขับรถเพื่อสังเกตท่าทีของเขา

“เปล่า” ปากบอกว่าเปล่า แต่เหมือนจะตื่นเต้นแบบแปลกๆ

อย่าบอกนะว่า...

“ภาม...นี่นายยังไม่เลิกตื่นเต้นที่จะได้ไปเจอพ่อแม่ฉันอีกเหรอ”

“…”

เอาจริงดิ...

ผมขำก๊ากอย่างอดไม่อยู่ ยิ่งเห็นเจ้าของใบหน้าปลาตายหันมาขมวดคิ้วใส่ก็ยิ่งขำ ลองคิดว่าคนอย่างภามกำลังตื่นเต้นกับเรื่องอะไรมากๆ จนไม่เป็นตัวของตัวเองดูสิ เอาแค่นี้ก็ขำแล้ว ทีนี้ลองบวกกับเหตุการณ์เมื่อเช้าที่ยืนเลือกเสื้อผ้าอยู่ตั้งนาน แล้วผลออกมาเป็นชุดที่ดูดีสุดๆ แต่แทนที่จะได้โชว์คนกลายเป็นได้โชว์แมวแทน โอย...ขำไม่ไหวแล้ว

“จะหัวเราะอีกนานไหม”

“โทษๆ” ผมกลั้นขำจนสะอึก มือยกขึ้นกดปิดเพลงแล้วหันไปมองคนที่ยังขมวดคิ้วไม่เลิกอีกที “ไม่ต้องเครียดขนาดนั้นหรอกน่า แล้วทำไมเปลี่ยนเสื้อล่ะ”

นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่น่าขำเอามากๆ ตอนเช้ายังใส่เสื้อเชิ้ตไปอยู่เลย แต่ตอนนี้กลายเป็นเสื้อคอวีสีดำธรรมดาแล้ว ซึ่งเอาจริงๆ ถ้าหน้าดี ต่อให้เขาใส่อะไรก็ดูดีอยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ

“ขนแมวติดเต็มไปหมด” ภามทำหน้ายุ่ง แต่น้ำเสียงกลับดูอ่อนโยนเมื่อพูดถึงแมว “พอดีมีเสื้อตัวนี้ติดอยู่บนรถเลยเอามาใส่แทน เดี๋ยวใส่เสื้อคลุมอีกตัวก็น่าจะโอเค”

“ไม่น่าเชื่อว่าจะรักสัตว์นะเนี่ย”

“เผลอเล่นด้วยเพราะพวกมันเหมือนคุณ”

“…” โอเค ไม่พูดละ

ไม่นานหลังจากนั้นภามก็ขับรถมาจอดที่หน้าบ้านผม แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ลงไปจากรถก่อนเหมือนที่ผ่านมา ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมเหมือนกำลังคุยกับตัวเองในใจ

“พ่อแม่คุณจะชอบผมหรือเปล่า”

“หา…"

เดี๋ยวๆ คำพูดเหมือนพวกลูกเขยจะมาขอฝากตัวแล้วกลัวพ่อแม่แฟนไม่ชอบนี่มันอะไรกัน

“ผมไม่ใช่คนพูดเก่ง...” น้ำเสียงที่เคยราบเรียบของภามแฝงความกังวลใจเอาไว้ชัดเจนจนผมต้องรีบทิ้งความสงสัยทั้งหมด แล้วหันมาใส่ใจกับสิ่งที่เขาพูดแทน “ไม่เคยเอาอกเอาใจผู้ใหญ่ อันที่จริงผมไม่เคยแคร์อยู่แล้วว่าใครจะคิดยังไง”

“…”

“แต่ถ้าพ่อแม่คุณไม่ชอบผม พวกเขาก็จะไม่ยกคุณให้ใช่ไหม”

หยุดเลย อย่ามาจ้องเหมือนต้องการคำตอบแบบนั้น เรายังไม่ได้เป็นอะไรกันไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมผมถึงไม่ปฏิเสธออกไปเล่า

ยัง...ยังจะไปจับมือเขาไว้อีก

“ทำตัวเหมือนปกตินั่นแหละ เป็นตัวของตัวเองดีที่สุดแล้ว”

เอ๊ะ...แล้วจะพูดเหมือนปลอบทำไมเนี่ย

“เข้าใจแล้ว” ภามยิ้มจาง เขาบีบมือผมกลับเป็นการรับคำ ก่อนจะเปิดประตูออกจากรถ พร้อมถือเสื้อคลุมตัวนอกออกไปด้วย

พอเห็นเขากลับไปเป็นคนเคร่งขรึมเหมือนเดิม ไม่ได้ดูลนลานแบบเงียบๆ เหมือนตอนแรกแล้วผมก็หัวเราะออกมาเบาๆ พูดแค่นี้ก็เปลี่ยนเป็นคนเดิมได้แล้ว จัดการง่ายจริงๆ ให้ตายเถอะ

“มาเร็ว” ผมหันไปเรียกคนที่กำลังสวมเสื้อตัวนอก พอเห็นเขาเดินกางแขนเข้ามาหา มือก็ยื่นไปจัดเสื้อให้โดยอัตโนมัติ “หล่อแล้วน่า ดูสภาพฉันอย่างกับศพยังไม่คิดมากเลย”

“ผม…”

“อะแฮ่ม!”

“เฮ้ย!”

“โห...ลูกชายคนแมนของแม่ ตกใจจนไปเกาะหลังผู้ชายเฉยเลย” เสียงหวานอารมณ์ดีของคนสวยขี้แกล้งทำเอาผมหน้าเหวอ มุดออกมาจากหลังภามแทบไม่ทัน หน้านี่แดงจนไม่รู้จะแดงยังไง

ไม่ได้เขินนะ เรียกว่าอับอายขายขี้หน้ามากกว่า

“คนสวย โผล่มาแบบนี้ผมตกใจนะ” ผมรีบเดินเข้าไปเกาะแขนแม่แล้วหัวเราะแก้เก้อ แน่นอนว่าได้รับรอยยิ้มแซวตอบกลับมาตามระเบียบ

“ลูกภาม เข้าไปข้างในกันเถอะจ้ะ”

ดูซะก่อน...เมินผมแล้วเดินเข้าไปหาลูกชายคนใหม่เฉยเลย เห็นไหมว่าไม่มีอะไรที่ภามต้องกังวลเลยแม้แต่นิดเดียว แค่เดินเข้ามาก็กลายเป็นลูกรักไปแล้ว

“นั่งก่อนนะจ๊ะ แม่กำลังจัดโต๊ะพอดีเลย ไม่ค่อยเห็นเจ้าเจไดกลับมาบ้านไวๆ” แม่ดันให้ภามนั่งลงบนเก้าอี้กินข้าวแล้วเดินไวๆ เข้าไปที่ครัว ท่าทางดูตื่นเต้นกว่าภามเสียอีก เอาเข้าไป

“เห็นไหม” ผมนั่งลงด้านข้างคนตัวสูงพลางพยักพเยิดไปทางห้องครัว

“แม่คุณน่ารัก” ภามตอบยิ้มๆ ท่าทางดูผ่อนคลายขึ้นมาก

รอไม่นานนักแม่ก็ยกน้ำแกงออกมาจากครัว ผมเดินไปตักข้าวให้ทุกคนตามหน้าที่โดยไม่ต้องรอให้โดนบ่น มีเพียงคุณชายภามที่ถูกบังคับให้นั่งนิ่ง ห้ามขยับไปช่วยทำอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว

“แล้วไม่ต้องรอคุณพ่อเหรอ...” แขกผู้ใจดีเอ่ยถามขึ้น มือยังวางอยู่บนหน้าตัก ไม่ยอมยกขึ้นจับช้อนส้อม จนผมที่กำลังจะตักข้าวเข้าปากโดนคนสวยตีมือไปหนึ่งที วางช้อนแทบไม่ทัน

“ปกติคุณพ่อของเจไดกลับดึกจ้ะ ครอบครัวนี้ไม่ค่อยได้ทานข้าวพร้อมกันหรอก ถ้าลูกภามว่างก็มาทานข้าวเป็นเพื่อนแม่บ้างนะ แม่จะได้ไม่เหงา”

“ครับ” ภามพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ใบหน้าอ่อนลงหลายส่วน และในตอนนั้นเองที่...

“ใครที่ไหนมานั่น”

“โห...ตาลุงข้างบ้านกลับไว” ผมทำหน้าประหลาดใจถึงขีดสุด ขณะหันไปมองตาแก่พุงพุ้ยในชุดทำงาน

“เดี๋ยวเถอะไอ้ลูกเวร!” ตาแก่ชี้หน้าผมคาดโทษ

“หยุดเลยทั้งคู่ เห็นไหมเนี่ยว่าเรามีแขก”

ผมกับพ่อสะบัดหน้าไปคนละทาง มีเสียงแม่บ่นงุ้งงิ้งดังประกอบเหมือนทุกครั้งที่ได้อยู่พร้อมหน้า ส่วนภามที่นั่งตัวแข็งได้แต่มองไปมองมาเหมือนไม่รู้ว่าควรทำหรือพูดอะไร

“คุณคะ รีบมานั่งเร็วเข้า” คนสวยกวักมือเรียกพ่อให้มานั่งที่โต๊ะ ซึ่งคนเกียมัวมีหรือจะไม่เชื่อฟัง เดินมานั่งอย่างรวดเร็วจนเหมือนจะบินมาอยู่แล้ว ลองถ้ายืนเก๊กต่อสิ โดนเล่นเละแน่นอน

“แล้วพ่อหนุ่มนี่ใครล่ะเนี่ย” พ่อถามขึ้นในระหว่างที่คนสวยกำลังตักข้าวให้

“สวัสดีครับ” ภามยกมือไหว้ด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ เหมือนไม่ถนัดนัก “ผมชื่อภาม กำลังชอบลูกชายคุณพ่ออยู่ครับ”

“แค่กๆ...”

“ตายจริง...เป็นคนตรงจังนะจ๊ะ คิกๆ”

เดี๋ยวก่อนคนสวย ก่อนจะหัวเราะชอบใจช่วยมาลูบหลังผมก่อนดีไหม ติดคอจะตายอยู่แล้วเนี่ย แล้วไอ้บ้าภามมันพูดอะไรออกไป จะเป็นคนตรงก็ช่วยดูสถานการณ์หน่อยดีกว่าไหม

“หืม...ชอบไอ้กากนี่เนี่ยนะ” ตาแก่เหลือบตามองผมแหยงๆ ไม่มีทีท่าไม่พอใจใดๆ เมื่อได้ยินผู้ชายมาบอกชอบลูกชายตัวเอง “มั่นใจเหรอ ดูจากหน้าตาแล้วคงหาที่ดีกว่านี้ได้ไม่ยาก ไอ้นี่มันไปเป่าหูอะไรหรือเปล่า”

“พ่อ!”

“ครับ ผมมั่นใจแล้ว”

“ภาม!”

“ลูกภามคงเหนื่อยแย่เลยนะจ๊ะ”

“แม่ก็ด้วยเหรอ...” ผมพูดเสียงอ่อย ทำไมจู่ๆ ถึงได้โดนรุมแบบนี้เนี่ย

บรรยากาศบนโต๊ะกินข้าวเต็มไปด้วยความสนุกสนาน พ่อกับแม่นั่งเผาจนผมแทบไม่มีอะไรดีเหลืออยู่เลย ส่วนภามถึงจะนั่งเงียบแต่ท่าทางตั้งใจฟังสุดๆ บางครั้งถึงขนาดยิ้มออกมาด้วย มีแค่ผมที่นั่งหงอยเหงาตักข้าวกินเงียบๆ เพราะทันทีที่ทำท่าจะขัดก็โดนกีดกันออกจากวงโคจรทุกที สุดท้ายถึงขนาดโดนไล่มาเป็นเด็กล้างจาน ส่วนพ่อแม่กับลูกคนใหม่ย้ายไปคุยกันที่โซฟารับแขก

“แล้วมันพามาถึงบ้านแบบนี้ แสดงว่าตกลงคบกันเรียบร้อยแล้วสิ”

“ยังครับคุณพ่อ”

“เออ...ไม่แปลกหรอก ไอ้ลูกนั่นมันโง่แถมยังปากหนัก จะง้างปากมันสักทียากยิ่งกว่าอะไร”

“ใช่จ้ะลูกภาม เจไดเป็นพวกปากแข็ง คงต้องอดทนหน่อยนะจ๊ะ”

“ผมได้ยินนะ!” ผมรีบตะโกนขัดเมื่อได้ยินเสียงพูดนินทาตัวเอง ปล่อยไว้ด้วยกันไม่ได้เลยนะ เดี๋ยวล้างจานเสร็จเมื่อไหร่จะทำให้วงแตกให้ได้เลยคอยดู

“จะว่าไปนี่ก็ดึกแล้วนะ พักที่นี่เลยดีกว่านะจ๊ะ ห้องเจไดออกจะกว้างขวาง”

“เรื่องนั้นต้องถาม...”

“ไม่ต้องถามแล้ว พักมันที่นี่แหละ ฉันอนุญาตใครจะทำไม” เสียงพ่อตะโกนโหวกเหวกเข้ามาอีกครั้ง เป็นเวลาเดียวกันกับที่ผมคว่ำจานใบสุดท้ายเสร็จพอดี เดินออกไปด้านนอกก็เห็นตาแก่ถอดเสื้อโชว์พุงนั่งอยู่ข้างแม่บนโซฟายาว ส่วนแขกที่กำลังจะกลายเป็นลูกรักแทนผมนั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยว

“เจได วันนี้ให้ลูกภามนอนนี่เลยนะ แล้วเราก็ไปเอาเสื้อผ้าที่พ่อใส่ไม่ได้ให้เขาด้วย” แม่ออกคำสั่งรวดเดียวจบ และไม่รอให้ผมอ้าปากเถียงก็หันไปพูดกับภามต่อ “ขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าเถอะจ้ะ ทำงานมาคงเหนื่อยแย่เลย”

ไม่เหลือพื้นที่ให้กันเลย ถามผมบ้างดีไหมเนี่ย...

แต่ถึงจะคิดอย่างนั้น ท้ายที่สุดแล้วผมก็พาภามขึ้นไปบนห้อง เดินไปหาเสื้อผ้าของพ่อมาส่งให้เขาอยู่ดี

“ห้องคุณสวย” ภามเอ่ยขึ้นมาลอยๆ ขณะกวาดสายตามองไปมองมารอบห้องของผมที่ตกแต่งเป็นโทนสีน้ำเงิน “อยู่มานานแล้วเหรอ”

“ตั้งแต่เด็กแล้ว” ผมตอบแล้วเดินไปคุ้ยหาอุปกรณ์อาบน้ำชุดใหม่ในตู้เสื้อผ้า พอเจอแล้วก็เอามาส่งให้แขก “ไปอาบน้ำก่อนไป เดี๋ยวค่อยคุยกัน”

ภามพยักหน้าแล้วทำตามโดยไม่เอ่ยอะไร รอจนเขาเดินออกมาแต่งตัวด้านนอก ผมก็เดินสวนเข้าไปอาบน้ำต่อ พอออกมาอีกครั้งก็เห็นคนตัวสูงใส่ชุดนอนลายทางของพ่อนั่งอยู่บนเตียง โชคดีที่พ่อผมมีชุดนอนตัวใหญ่ที่เคยซื้อผิดอยู่ในตู้ ไม่อย่างนั้นเขาอาจต้องอึดอัดใส่เสื้อผ้าของผมหรือพ่อที่ตัวเล็กกว่า

“หันมาสิ” คนที่นั่งรออยู่ยื่นมือมารอรับ ซึ่งผมก็ส่งผ้าเช็ดหัวให้เขาอย่างรู้งาน พร้อมกับเดินไปนั่งบนพื้นหันหลังให้ด้วย

มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่ภามเช็ดหัวให้ผม เพราะเขาทำแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว ตอนแรกอาจรู้สึกประหลาดอยู่บ้าง แต่เมื่อรับรู้ได้ถึงความสะดวกสบาย ไม่ต้องออกแรงขยี้หัวเองก็ปล่อยตัวไปตามน้ำ ไหลไปเรื่อยเปื่อย เขาบอกให้นั่งก็นั่ง อยากให้หันหัวไปทางไหนก็ทำ อย่างตอนนี้ก็เหมือนกัน

“พ่อแม่ฉันใจดีใช่ไหมล่ะ” ผมถามระหว่างที่กำลังหลับตาให้คนด้านหลังขยี้หัวให้

“ใจดี”

“บอกแล้วว่าไม่มีอะไรต้องเครียด”

ภามส่งเสียงรับคำในลำคอโดยไม่ได้พูดอะไร จนกระทั่งเช็ดจนผมแห้งแล้วเขาก็บอกให้ผมขยับขึ้นไปนอน แต่เจ้าตัวนั่งอยู่ปลายเตียง ไม่ได้ขยับมานอนด้วย

“ทำอะไร!” ผมเบิกตากว้าง เกือบจะผุดลุกขึ้นนั่งเมื่อเห็นอีกคนยกขาของผมไปวางพาดไว้บนตักตัวเองแล้วเริ่มบีบนวดให้เบาๆ ถึงมันจะรู้สึกดีขนาดไหน แต่เห็นเขาทำให้แบบนี้มันก็เกินไปหน่อย

“ผมเห็นคุณแอบนวดขาตัวเองตอนกินข้าว เมื่อยใช่ไหม” ภามออกแรงรั้งขาผมไว้ไม่ให้ผละออก แล้วเริ่มบีบนวดต่ออย่างใจเย็น

“นายเห็นด้วยเหรอ...” อุตส่าห์ไม่พูดอะไรแล้วนะ คงเป็นเพราะวันนี้ผมเดินเยอะไปหน่อยเลยปวดขานิดๆ แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไรขนาดนั้น ตื่นขึ้นมาก็หายแล้ว

“ผมมองคุณอยู่ตลอด”

“…ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้”

ทำอะไรให้กันแบบนี้...มันไม่ดีต่อใจเลยสักนิด

“ผมเต็มใจ คุณนอนเถอะ” เขาพูดแค่นั้นแล้วก้มหน้าก้มตาบีบนวดขาให้ผมต่อ ท่าทางตั้งอกตั้งใจตามนิสัยที่ไม่ชอบทำอะไรเล่นๆ ของเจ้าตัวทำให้ผมนึกถึงตอนเราอยู่บนเกาะ ภาพใบหน้าสงสัยของคนที่ไม่เคยก่อกองทรายวนเข้ามาในหัว ซ้อนทับกับภาพใบหน้าปลาตายในยามนี้ จนก่อให้เกิดความรู้สึกประหลาดขึ้นโดยไม่รู้ตัว

มันคือความอุ่นใจ...

“ขอบคุณนะ” ผมยิ้มให้ภามและมองเขาด้วยแววตาอ่อนโยนที่ไม่ได้เกิดจากความเผลอไผล ใจนึกไปถึงคำถามที่ยังไม่เคยได้เก็บมาคิดอย่างจริงจัง ทว่ากลับผนึกไว้ในใจไม่เคยลืม เพียงแค่รอวันที่จะเปิดออกดู และหาคำตอบที่ตรงกับความรู้สึกเท่านั้น

‘ที่คุณอธิบายมามากมาย พยายามไม่ให้ผมเข้าใจผิด...แบบนั้นเรียกว่าอะไร’

ถึงจะบอกว่ารอได้...

ถึงจะบอกว่าไม่เป็นไร...

แต่ที่สุดแล้ว คนทุกคนล้วนต้องการคำตอบที่แท้จริง

บางที...อาจถึงเวลาที่ผมต้องมอบความชัดเจนให้เขาแล้ว



————————



TALK : วันนี้ที่รอคอยยยยย

ออฟไลน์ toomild

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.28]== [08/09/61]
«ตอบ #149 เมื่อ08-09-2018 19:16:55 »

ภามทรีตหมอดีตลอดเลย รักมากจริงๆคนนี้ // ตอนต่อไปแล้วหรอคะที่คสพ.จะพัฒนา โอ่ย เหมือนจะล้ม :-[

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด