-29-
พ่อกับแม่ชอบบอกว่าผมเป็นพวกคิดช้า เฉื่อยชา ปากแข็ง ซึ่งมันก็เป็นความจริง เถียงอะไรไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียว แต่มีเรื่องหนึ่งที่มั่นใจคือผมเป็นพวกที่ไม่เคยทำอะไรแล้วต้องมาเสียใจในภายหลัง สำหรับคนที่บอกว่าจะให้คำตอบ คิดกับตัวเองว่าจะมอบความชัดเจนให้ใครสักคน หากมีคนมาเจาะความคิดผมดูอาจจะพูดว่า ระยะเวลาสามเดือนที่ผ่านมามันนานเกินไปสำหรับเรื่องแค่นั้น แต่เพราะระยะเวลาสามเดือนที่ผ่านมานั่นเองที่ทำให้ผมได้รับคำตอบที่ชัดเจน และมั่นใจว่ามันคือคำตอบสุดท้ายที่จะไม่เปลี่ยนแปลง ต่อเกิดอะไรขึ้นก็ตาม
สามเดือนที่ผ่านมา นับตั้งแต่วันที่ผมพาภามไปเจอพ่อกับแม่เป็นครั้งแรก เขายังคงทำตัวสม่ำเสมอไม่เคยเปลี่ยน ตอนเช้าไปส่งที่โรงพยาบาลพร้อมข้าวกล่องลายแมวที่ทำให้ผมโดนคุณพยาบาลแซวแทบทุกครั้ง ตอนกลางวันส่งไลน์ทิ้งไว้ ถ้ามีเวลาว่างผมก็จะตอบ ตอนเย็นขับรถมารับกลับคอนโด ส่วนถ้าเป็นวันศุกร์หรือไม่ก็วันเสาร์จะพากลับบ้าน แล้วตัวเองก็นอนที่นั่นด้วย ตามคำสั่งของแม่ที่บอกว่าอยู่คอนโดผมจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก กลับมาหาท่านอาทิตย์ละครั้งสองครั้งก็พอ
“อยากกินกุ้ง” ผมเลื้อยลงไปนอนแผ่อยู่กับโซฟา ขาข้างหนึ่งทิ้งไว้บนพื้น ส่วนอีกข้างพาดอยู่บนพนัก เป็นท่าทางน่าอนาถแบบที่ถ้าไม่สนิทจริงคงไม่แสดงให้ใครเห็น
“เอาไว้พรุ่งนี้”
“ได้” พรุ่งนี้ก็ได้ ไม่เรื่องมากอยู่แล้ว เพราะตอนนี้นอกจากจะอยากกินนู่นกินนี่แล้วผมยังเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวแบบสุดๆ “เมื่อยไปหมดแล้ว”
“กินข้าวเลยไหม ผมจะไปทำให้” คุณพ่อครัวหันหน้ามาถามแล้วเดินมาเก็บขาผมกลับเข้าที่ ให้นอนตัวตรงแหน่วแบบที่ควรเป็น เห็นเขาจับขาไปบีบนวดให้เหมือนทุกครั้งที่บ่นว่าเมื่อยแล้วก็ได้แต่อมยิ้ม
ทำไมถึงมาชอบคนอย่างผมได้นะ...
มองใบหน้าปลาตายนั่นแล้วก็ได้แต่หัวเราะในใจ นึกไปถึงเรื่องราวตอนอยู่บนเกาะ และนึกไปถึงตอนที่เคยตั้งคำถามมากมายกับตัวเอง ซึี่งหนึ่งในนั้นคือคำถามยามที่ผมกลับเข้ามาอยู่ในเมือง ตอนที่ใครต่อใครต่างบอกว่าผมสดใสขึ้นมาก ถึงขนาดคุยกับตัวเองอยู่หลายวันว่าทำไมถึงไม่รู้สึกเบื่อแล้ว
อันที่จริงต่อให้สถานที่เปลี่ยนไปยังไง พอเราเริ่มคุ้นชินแล้วเราก็จะเบื่ออยู่ดี แต่ผมไม่เคยเบื่อเลยเวลามีภามอยู่ข้างๆ สิ่งที่เป็นตัวแปรที่ผมตามหา...
ก็คือคนคนนี้
“ภาม” ผมเรียกคนที่กำลังบีบนวดขาให้พร้อมกับดันตัวลุกขึ้นนั่ง จับมือเขาไว้ไม่ให้นวดต่อ
“หืม”
“ไปกินข้าวข้างนอกกัน”
ภามทำหน้าตาประหลาดใจเหมือนไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าคนอย่างผมจะพูดคำนี้ออกมา นี่ก็ตกใจเหมือนกันแหละน่า ถ้าไม่ติดว่ารู้ตัวแล้วคงไม่ทำ
“ไหวเหรอ” เขายังคงถามด้วยความเป็นห่วง แต่ดวงตาเริ่มเป็นประกายวิบวับ เห็นแค่นี้ก็รู้แล้วว่าดีใจที่ได้ยิน
“ไหวดิ ไปๆ”
เพราะวันนี้เป็นวันที่ผมได้เลิกไวเป็นพิเศษ ตอนที่เราออกมาด้านนอกท้องฟ้าถึงยังไม่มืดนัก ระหว่างอยู่บนรถผมชวนภามคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้อย่างอารมณ์ดี อาจจะมีปวดเมื่อยไปบ้างแต่ก็ไม่ได้มากมาย แค่หันไปเห็นคนด้านข้างยิ้มน้อยๆ ก็มีแรงขึ้นมาแล้ว
จุดหมายปลายทางของเราคือห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ห่างจากคอนโดไปไม่มากนัก ผมไล่แผนการในวันนี้ให้ภามฟังตั้งแต่อยู่บนรถ บอกว่าเราจะเริ่มจากการไปหาอะไรกินกันก่อน เสร็จแล้วค่อยไปดูหนัง เอาแบบมีเรื่องไหนฉายตามเวลาที่จะดูก็เอาเรื่องนั้นไปเลย พอออกมาแล้วก็ไปซื้อของเข้าคอนโดสักหน่อยแล้วค่อยพากันกลับบ้าน ภามเอาแต่พยักหน้าหงึกหงัก ประกายในดวงตาสดใสมากขึ้นเรื่อยๆ จนผมแอบหน่่วงอยู่ในใจ
ตั้งแต่ทำตัวติดกันมา...คงมีแค่ครั้งนี้ที่ผมเป็นฝ่ายตอบแทนเขาบ้าง
“คุณอยากกินอะไร” คนตัวสูงที่ดึงดูดสายตาของคนรอบด้านได้เป็นแถบหันมาถาม ท่าทางเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับการถูกจ้องเลยสักนิด
“วันนี้ตามใจนาย”
“หืม…” ภามเลิกคิ้วประหลาดใจ แต่แค่แป๊บเดียวก็ฉีกยิ้ม พาผมเดินเข้าร้านอาหารนานาชาติร้านหนึ่งที่จัดอย่างหรูหราสวยงาม มีโต๊ะริมหน้าต่างซึ่งเป็นโต๊ะส่วนตัวและจัดแยกอยู่จากส่วนอื่นๆ
“ขอโต๊ะนั้นครับ” ผมหันไปบอกพนักงานที่ยืนอยู่ด้านหน้า ชี้ชัดเจนว่าต้องการโต๊ะวีไอพีซึ่งเป็นโต๊ะส่วนตัวนั่น เสร็จแล้วถึงหันไปบอกภามด้วยน้ำเสียงป๋าสุดๆ “วันนี้ฉันเลี้ยงเอง”
หลังจากไม่ได้ใช้เงินเลยสักบาทมานานหลายเดือน ในที่สุดวันนี้ผมก็จะได้ใช้เงินบ้างแล้ว แถมยังเป็นการใช้เงินเพื่อคนอื่นอีกต่างหาก ไม่เคยรู้สึกเป็นคนดีขนาดนี้มาก่อนเลย
“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” จู่ๆ ภามก็เอ่ยถามขึ้นมาระหว่างที่เรากำลังรออาหารกัน
“หือ”
“ทำตัวแปลกๆ”
“เปล่านี่” ผมยักไหล่ “ว่าแต่นายเถอะ...ฉันบอกว่าตามใจ หมายถึงให้เลือกร้านที่นายอยากกิน ไม่ใช่เลือกร้านที่ฉันบ่นว่าอยากกินไปเมื่ออาทิตย์ก่อน อีกอย่าง...ที่เลือกร้านนี้เพราะเห็นว่ามันมีกุ้งด้วยใช่ไหมเนี่ย”
“…ก็ใช่”
ว่าแล้วเชียว...
ตามใจกันไปหมดแบบนี้จะไม่ให้เหลิงได้ยังไง
ทันทีที่กับข้าวมาเสิร์ฟ ผมก็จัดการตักกุ้งคำแรกเข้าปากในทันที ต่างจากอีกคนที่ยังบรรจงกางผ้าเช็ดปาก ช้อนส้อนยังไม่ได้แตะ เห็นแบบนั้นแล้วผมก็รีบทำการตักกุ้งอีกตัวไปไว้ในจานเขา เป็นการบีบบังคับให้รีบกินทางอ้อม แต่มันกลับส่งผลให้คุณชายชะงักค้าง มองผมเหมือนมองตัวประหลาด ตาหรี่ลงเหมือนจะถามว่าไม่เป็นอะไรแน่ใช่ไหม
อะไรกัน...แค่ตักกับข้าวให้ทั้งที่ไม่เคยตัก แปลกตรงไหน
“กินเร็วๆ” ผมคะยั้นคะยอให้ภามกินข้าวจะได้เลิกมองหน้ากันเสียที บอกแล้วไงว่าหน้าไม่ได้หนาน่ะ โดนจ้องมากๆ ก็ไม่ไหวหรอกนะ
“แล้วพรุ่งนี้จะยังกินกุ้งอยู่ไหม” เขาถามตอนที่กินข้าวคำแรกหมดแล้ว
“จริงๆ กินแค่นี้ก็หายอยากแล้ว เดี๋ยวตอนไปซื้อของค่อยคิดก็ได้ว่าจะเอาอะไรบ้าง” ผมบอกแล้วตักกับข้าวให้เขาอีกหลายคำ ถึงจะมีอายบ้างที่แอบเห็นคนโต๊ะอื่นมองมายิ้มๆ ก็ไม่สนใจ เพราะพอเงยหน้าขึ้นทีไรก็เห็นสีหน้าที่ดูสดใสของคนมาด้วยทุกที
หลังจากกินข้าวอะไรเรียบร้อยแล้วผมก็พาคุณชายไปซื้อตั๋วหนัง โชคดีที่รอบใกล้สุดจะเริ่มในอีกครึ่งชั่วโมง แต่แอบหนักใจนิดหน่อยตรงที่มันดันเป็นหนังรัก แค่เห็นตัวอย่างก็รู้แล้วว่าน่าจะดราม่าสุดๆ ซึ่งก็เอาเถอะ...บางทีอาจจะได้เห็นภามในมุมที่ไม่เคยเห็นก็ได้
“ผมอยากเล่นตู้นั่น” คนตัวสูงที่เดินอยู่ข้างผมชี้นิ้วไปที่ตู้เกมยิงซอมบี้ตู้หนึ่ง ผมหันไปมองแล้วก็พยักหน้า แอบขำนิดหน่อยเมื่อเห็นท่าทีอย่างกับเด็กของเขา “เมื่อก่อนเก้าเคยเอามาให้เล่นที่บ้านแต่เป็นแผ่นเกม ผมยังไม่เคยเล่นแบบนี้มาก่อนเลย”
“นายไม่เคยมาเที่ยวห้างเหรอ”
“นานๆ ที แต่ส่วนมากมาซื้อของเฉยๆ แล้วก็กลับ”
“อ๋อ…” ผมพยักหน้าเข้าใจ หยิบเหรียญออกมาหยอดใส่ตู้เกมสำหรับสองคน “บอกไว้ก่อนเลยว่าเมื่อก่อนฉันเซียนมาก นายอาจจะอิจฉาหน่อยนะ”
“หึ” ภามหัวเราะในลำคอ “จะรอดู”
“มาเลย!”
ไอ้ตอนแรกความมั่นใจก็ยังเต็มเปี่ยมอยู่หรอก แต่ไม่คิดว่าถือปืนบ้านี่มากเข้าแล้วผมจะเริ่มแขนล้าขึ้นมา ผ่านไปไม่กี่เกมก็ไปต่อไม่ไหว โดนกินหัวไปตามระเบียบ เหลือคนที่ยังไม่เคยแตะเกมตู้มาก่อนยิงซอมบี้อยู่คนเดียว ผมยืนมองภามเล่นอยู่พักหนึ่งแล้วก็เริ่มบีบนวดแขนตัวเองขณะมองด้วยความตื่นตาตื่นใจ ไม่คิดว่าเขาจะเล่นเกมเก่งขนาดนี้
“เอ้า...วางปืนทำไม ยังไม่แพ้เลย” ผมหันไปมองหน้าคนที่วางปืนลงด้วยความงุนงง ตอนนี้หน้าจอขึ้นสถานะบอกว่าเราแพ้แล้ว แต่ต้นเหตุมาจากการที่เขายอมเองต่างหาก “ภาม...”
จากที่กำลังยืนมองด้วยความไม่เข้าใจ ผมกลับต้องเม้มปากไว้แน่นเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์แทน หลังจากที่เจ้าของชื่อเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า ยกแขนที่อ่อนแอเป็นเต้าหู้ขึ้นมาบีบนวดให้เบาๆ
“ปวดแขนแล้วทำไมไม่บอก” เขาถามพลางขมวดคิ้วมุ่นไม่ชอบใจ
“ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะปวกเปียกขนาดนี้” ผมหัวเราะเบาๆ แล้วขยับไหล่ขยุกขยิกไปมาแก้เมื่อย “ไม่เป็นไรหรอก เราเข้าโรงกันเลยดีกว่า จะถึงเวลาแล้ว”
ครั้งนี้ผมไม่ได้ดึงมือตัวเองออกหรือบอกให้ภามหยุด แต่เลือกที่จะจับแขนเขาไว้แล้วลากให้เดินไปด้วยกันโดยไม่ได้พูดอะไร ตอนแรกยังรู้สึกอับอายอยู่นิดหน่อยเพราะเหมือนจะโดนมองเยอะอยู่เหมือนกัน แต่พอหันไปเห็นคนที่ถูกจูงมือแล้วก็เหมือนเดิม
เห็นเขาทำหน้าดีใจก็โอเคแล้ว ถึงต้องเอาปูนมาฉาบให้หน้าตัวเองหนาขึ้นก็ไม่เป็นไร...
ถึงผมจะเป็นพวกเต้าหู้อ่อนแอขนาดไหน แต่ก็เคยมั่นใจว่าจิตใจของตัวเองค่อนข้างแข็งแกร่งพอสมควร เคยนะ...อย่างน้อยก็หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ เพราะหลังจากพ้นชั่วโมงไปแล้ว พอฉากดราม่ามา ผมก็กลายเป็นเต้าหู้ที่อ่อนนุ่มไปทั้งก้อน แม้แต่จิตใจก็อ่อนแอแบบไร้หนทางเยียวยาไปเลย
“ฮึก...” ยกมือขึ้นลูบเปลือกตาบวมช้ำของตัวเองแล้วได้แต่ร่ำร้องในใจ นี่กูร้องไห้ไปกี่นาทีวะเนี่ย ปวดตาแบบไม่ไหวแล้ว แล้วนั่น...ทำไมหนังมันยังไม่จบอีก
“โอเคหรือเปล่า” เสียงของคนที่นั่งอยู่บนโซฟาข้างกันเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง แต่พอผมหันไปส่ายหน้าเบะปากน้ำตาไหลพรากใส่ เขาก็หลุดยิ้มออกมา ทำเอาผมหน้าตึง ถลึงตาใส่ทั้งที่น้ำตายังไหลไม่หยุด
“เงียบไปเลย”
“หน้าแดงหมดแล้ว”
“โรงหนังมันมืด จะเห็นได้ไงไอ้บ้า” ผมว่าแล้วพยายามกลั้นเสียงสะอึกสะอื้นอยู่เงียบๆ ดีนะที่คนในโรงต่างร้องไห้กันหมด เสียงพูดคุยของเราและเสียงร้องไห้ของผมเลยกลืนไปกับเสียงโฮเหล่านั้นด้วย
“คุณนี่มัน...”
“ฮือ…"
“มานี่มา” ภามดึงแขนผมให้ขยับเข้าไปหา ก่อนจะกดหัวให้ซุกอยู่กับอกอุ่นๆ ของเขา โชคดีที่เรานั่งโซฟาบนสุดซึ่งรอบข้างไม่มีใครสักคน เลยไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครมาเห็นเข้า ผมรู้แบบนั้นเลยกอดเอวอีกคนไว้ พร้อมถูหน้าเช็ดน้ำตากับเสื้อเขายกใหญ่ ทำใจได้แล้วถึงยอมหันไปมองจอต่อทั้งที่ยังให้ภามกอดเอาไว้อยู่
นาทีนี้รู้แค่ว่ากอดแล้วรู้สึกดีก็จะกอดอยู่แบบนี้นี่ละ อย่างอื่นช่างหัวมัน
กว่าหนังจะจบก็ทำเอาผมหมดน้ำตาไปเป็นลิตร ร้องไห้หนักมากจนตาบวมไปหมด ต่างจากคนที่คอยลูบหัวปลอบซึ่งไม่มีท่าทีเศร้าสร้อยหรืออินอะไรเลย
“จิตใจนายทำด้วยอะไรเนี่ย” ผมแขวะภามตอนที่เรากำลังเดินออกจากโรงหนัง
“ผมไม่ได้ดูหนังเลย”
“เอ้า!”
“มัวแต่มองคุณ”
“…”
หยุด...หยุดเลย วันนี้เป็นวันของฉัน นายต้องทำตามแผนที่ฉันวางไว้เท่านั้น อย่ามาทำใจสั่น ไม่เอา
“หน้าแดงอีกแล้ว...” เสียงพูดขำๆ จากคนด้านข้างทำเอาผมสะดุ้งเฮือก สองมือยกขึ้นกุมแก้มร้อนๆ ของตัวเองเหมือนเด็กวัยรุ่นหัดมีความรักครั้งแรก
เดี๋ยวก่อนไอ้เจได...อีกไม่กี่วันมึงก็จะสามสิบแล้วนะ
“ไปซื้อของแล้วกลับห้องกันดีกว่า” พูดไวๆ แบบไม่มองหน้าคนนิสัยไม่ดีเสร็จแล้วผมก็เตรียมเผ่นทันที ติดอยู่ที่ว่าเขาดันคว้าแขนกันไว้ได้ ผมมองภามหวาดๆ กำลังคิดอยู่ว่าเขาจะแกล้งอะไร แต่อีกฝ่ายแค่มองแล้วเลื่อนจากแขนลงไปจับมือ จูงให้เดินตามไปพร้อมกันแทน
“เดี๋ยวคุณหาย” เขาพูดพร้อมรอยยิ้มนิดๆ เหมือนจะแอบทำตาวิบวับด้วยตอนเห็นผมไม่ว่าอะไร ยอมให้จูงมือเดินเป็นเด็กๆ แต่โดยดี
จูงกันไปจูงกันมาแบบนี้ เห็นแล้วนึกถึงตอนอยู่บนเกาะเลย...
เราเดินลงไปที่ชั้นล่างเพื่อหาของเข้าครัวเพิ่ม หลังจากที่ผมไปเปิดตู้เมื่อเช้าแล้วพบว่าวัตถุดิบทำอาหารร่อยหรอเต็มที เห็นภามบอกว่าปกติเขาจะแวะซื้อที่มินิมาร์ททั่วไปซึ่งไม่ค่อยมีของที่เป็นขนาดใหญ่มากนัก เพราะงั้นแค่สองสามอาทิตย์ก็ต้องซื้อใหม่แล้ว ผมเลยถือโอกาสนี้บอกให้เขาซื้อเป็นขนาดใหญ่ไปเลย จะได้ไม่ต้องแวะซื้อบ่อยๆ อีก
“เอาปลาแซลมอนไหม” ภามชี้ไปที่เนื้อปลาแซลมอนตัวโตที่วางขายอยู่ในตู้ ระหว่างที่เรากำลังเข็นรถที่มีของอยู่เต็มคันไปตามทางในซุปเปอร์
“เอาก็ได้นะ นายอยากกินไหม” ผมพยักหน้าสนใจ นานแล้วเหมือนกันที่ไม่ได้กินเนื้อปลาแซลมอนดิบ พูดแล้วก็หิวขึ้นมาอีกรอบเลยเนี่ย
คุณพ่อครัวได้ยินแล้วก็เดินตรงเข้าเลือกซื้อเนื้อปลาด้วยความพิถีพิถัน เขาไล่สายตามองและเลือกด้วยตัวเอง ออกปากสั่งกับพ่อค้าเป็นถ้อยคำสั้นๆ ได้ใจความ จะพยักหน้าหรือส่ายหน้าก็ตอนที่ถูกถามเท่านั้น ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น แค่แป๊บเดียวก็ได้เนื้อปลาชิ้นโตมาจนได้
“พรุ่งนี้จะทำยำแซลมอนให้กิน” ภามหันมาบอกระหว่างที่เรากำลังรอจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ ผมได้ยินดังนั้นก็ตาเป็นประกาย ท้องร้องล่วงหน้าไปก่อนแล้ว
“พูดแล้วหิวเลยเนี่ย”
ดวงตาที่เดี๋ยวนี้ไม่ได้ว่างเปล่าเหมือนเคยทอประกายอบอุ่นยามเราหันมายิ้มให้กันโดยไร้เหตุผล ผมเองก็จำไม่ได้แล้วว่าเมื่อไหร่ที่ภามเปลี่ยนไปขนาดนี้ ถึงตอนแรกจะแปลกใจเพราะเห็นเขาเป็นแค่เวลาที่อยู่กับผม แต่เมื่อรู้แล้วว่าตัวเองคิดอะไรก็ดีใจขึ้นมาเฉยๆ
แค่กับผมน่ะดีแล้ว...
“คุณภาม!”
เสียงตะโกนเรียกดังกึกก้องทำเอาผมที่กำลังเดินตรงไปที่รถพร้อมภามสะดุ้งเฮือก เกือบสะดุดอากาศตามประสาคนขวัญอ่อน โชคดีที่ได้มือแข็งแกร่งของคนข้างกายดึงแขนไว้ทัน แต่ก็แลกมากับการที่เขาทำหน้ามุ่ย หันไปมองเจ้าของเสียงด้วยความไม่พอใจเหมือนจะตำหนิที่ทำผมสะดุดอากาศ
อันที่จริงไม่ต้องก็ได้...นี่คือความกากของตัวเองล้วนๆ
“คุณภามครับ...” เจ้าของเสียงวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหา เว้นช่วงห่างจากรถเข็นของเราประมาณครึ่งเมตร “เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้น...ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะครับ”
คนแปลกหน้าโค้งตัวลงเก้าสิบองศา ผมได้แต่มองด้วยความไม่เข้าใจแต่ก็ไม่ได้พูดแทรก แค่ยืนนิ่งๆ อยู่ข้างภามรอฟังพวกเขาคุยกันเงียบๆ
“ผมไม่ได้มีปัญหาอะไร” เสียงราบเรียบของคนข้างกายทำเอาผมต้องหันไปมองแบบไม่คุ้นเคย เพราะเหมือนมันจะแฝงความเย็นชาเอาไว้นิดหน่อยด้วย
“คุณภาม...”
“คุณกรรณก็รู้ดีว่าผมเป็นพวกพูดคำไหนคำนั้น...” ภามตัดบทหน้าตาเฉยชา แม้แต่แววตาก็ว่างเปล่าไร้อารมณ์ “ในเมื่อคุณรักษาข้อตกลงระหว่างเราไว้ไม่ได้ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำงานร่วมกันอีก”
“ผมไม่คาดคิดจริงๆ ครับว่าคุณพิมพ์เธอจะกล้า...” คุณกรรณที่ภามเรียกทำหน้าตาหนักใจ
ผมว่าผมเริ่มเดาได้แล้วว่าคุณกรรณที่ว่าคือใคร ถึงภามจะไม่เคยเอ่ยชื่อให้ได้ยิน แต่คิดว่าเขาน่าจะเป็นหนึ่งในทีมงานของนิตยสารที่นางแบบเคยมีปัญหากับภามจนทำให้เขามารับผมช้าแน่ๆ เพราะนอกจากวันนั้นผมก็ไม่ได้ยินภามพูดเรื่องปัญหาอะไรให้ฟังอีก
“อืม” ภามส่งเสียงพูดแค่นั้นผมก็รู้แล้วว่าเขาไม่อยากคุยต่อ แต่เพราะไม่อยากให้มีปัญหาติดค้างอะไร ผมเลยหันไปแตะแขนเขา พยายามส่งสายตาบอกให้ใจเย็นๆ เจ้าตัวถึงได้ดูมีท่าทีอ่อนลงบ้าง
“เอ่อ...” คุณกรรณหันมาหาเหมือนเพิ่งเห็นว่าผมยืนอยู่ตรงนี้ด้วย เขาดูมีสีหน้าตกใจพอควร น่าจะเป็นเพราะเห็นผมสนิทสนมกับภาม แล้วก็เห็นเขาดูไม่เย็นชาเวลาหันมาคุยกับผม
“เจไดครับ” ผมยิ้มจางแล้วยื่นมือออกไปตามมารยาท
“ผมกรรณครับ” เขายื่นมือมาจับ แต่แค่แป๊บเดียวก็ต้องผละออกเพราะโดนแววตาคมกริบของคนหน้าปลาตายทิ่มแทง “ต้องขอโทษด้วยนะครับที่มารบกวนเวลาส่วนตัว แต่ผมอยากร่วมงานกับคุณภามอีกจริงๆ เลยอยากจะขอปรับความเข้าใจ...”
พอได้ยินสิ่งที่เขาพูด บวกกับรับรู้ถึงปัญหาแล้ว ผมก็เริ่มเห็นใจพวกเขาขึ้นมานิดหน่อย แม้จะไม่รู้ว่าทำไมถึงอยากปรับความเข้าใจกับภามขนาดนั้น แต่คิดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของช่างภาพคนนี้แน่ๆ
“ภาม…” ผมหันไปมองหน้าภาม ไม่ได้พูดอะไรให้เขายอมให้อภัยคุณกรรณ แต่ส่งสายตาบอกให้รู้ว่าคิดอะไรให้พูดออกไปตามเหตุผล อย่าเอาอารมณ์ที่มีผมเป็นตัวต้นเหตุเข้าไปเกี่ยวข้อง
คนตัวสูงที่อ่านข้อความที่ผมส่งไปหาได้หมดถอนหายใจ มือยกขึ้นลูบหัวกันเบาๆ แบบไม่เกรงใจคนมอง สุดท้ายแล้วถึงหันมาพูดกับผมด้วยสีหน้าอ่อนโยน
“คุณเอาของขึ้นรถก่อนได้ไหม”
“ได้” รับคำเรียบร้อยแล้วผมก็เข็นรถเข็นไปที่รถ เปิดฝากระโปรงหลังขึ้นเพื่อยกของเข้าไปใส่ ไม่ได้สนใจว่าสองคนนั้นจะคุยอะไรกันอีก เพราะแค่รับรู้ว่าผมมีอิทธิพลกับเขาขนาดไหนก็เพียงพอแล้ว
หลังจากปิดรถแล้วภามก็เดินเข้ามาหาพอดี เขาพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้ขึ้นรถ พอขับออกมาจากตัวห้างแล้วถึงเริ่มพูดออกมาช้าๆ เกี่ยวกับสิ่งที่เขากับคุณกรรณพูดคุยกัน
“ผมบอกเขาว่าถ้าเป็นงานถ่ายแบบไม่ขอรับอีก แต่ถ้าเป็นงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอาจจะคุยกันได้ ถือว่าเจอกันคนละครึ่งทาง”
“แล้วเขายอมไหม”
“ยอม” เขาตอบสั้นๆ แล้วเหลือบตามองผม “อันที่จริงผมไม่อยากร่วมงานด้วยอีก เพราะถึงเหตุการณ์ทั้งหมดจะเกิดจากนางแบบ แต่เขาก็ผิดที่จัดการไม่ได้”
“แล้วทำไม...”
“เพราะเขาบอกว่าผมเหมาะสมกับคุณ”
เดี๋ยวๆ เหตุผลแบบนี้ก็ได้เหรอ
“มองไม่ออกหรือไงว่าเขาพูดเพราะรู้ว่าฉันคือจุดอ่อนของนาย” ผมบ่นเบาๆ ด้วยความไม่เข้าใจ ปกติภามฉลาดจะตายไป
“มองออก แต่ฟังแล้วมันก็รื่นหูอยู่ดี”
เอาที่สบายใจเลย...
หลังกลับไปถึงหอแล้ว สิ่งแรกที่ผมทำคือการหยิบปลาแซลมอนออกมาแล้วเอาไปแช่ตู้เย็น แต่เหมือนจะน้ำลายหกหนักไปนิด คนที่เดินหิ้วของตามมาถึงได้ส่ายหน้าหน่าย เดินไปหยิบปลาออกมาแร่ให้ดูต่อหน้าต่อตา ท่าทางนี่อย่างกับเชฟกระทะเหล็กมาเอง
“นายรู้วิธีทำได้ไง” ผมถามทั้งที่ไม่ละสายตาไปจากปลาหน้าตาน่ากิน พร้อมไม่พร้อมก็หยิบน้ำจิ้มซาชิมิที่ซื้อมาด้วยเทใส่ถ้วยเรียบร้อบแล้ว
“เคยเปิดดูในเน็ตแล้วทดลองกับปลาอย่างอื่นเอา”
“ภาม...นายแม่งโคตรสุดยอด” ว่าแล้วก็ชูนิ้วโป้งให้พร้อมทำหน้าตาเลื่อมใส ได้มาอยู่กับคนทำอาหารเก่งแบบนี้คงต้องบอกว่าเป็นโชคดีของผมจริงๆ
คนฟังไม่ได้ตอบอะไร แต่ทำหน้าเหมือนจะด่าผมทางอ้อม เขาลงมือหั่นแซลม่อนเป็นชิ้นๆ เอาไปจัดใส่จานอย่างสวยงาม เสร็จแล้วก็ยกมาเสิร์ฟที่หน้าเคาน์เตอร์ ผมมองเนื้อปลาสีสมสลับขาวน้ำลายแทบหก แต่ยังห้ามใจไว้ไม่ยอมกินในทันที รอจนภามที่เพิ่งล้างมือเสร็จเดินมานั่งแล้วถึงจิ้มขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วยื่นไปตรงหน้าเขา
“ให้คุณเชฟก่อนเลย”
“ทำตัวแปลกๆ” ภามหรี่ตาไม่ไว้วางใจแต่ก็งับปลาเข้าปาก เห็นแบบนั้นผมเลยฉีกยิ้ม จิ้มกินเองบ้าง แล้วก็แทบจะตัวลอยเพราะมันอร่อยสุดๆ
“ได้กินอาหารตอนมื้อดึกนี่มันสุดยอดจริงๆ...” แล้วก็อ้วนมากด้วย ดีนะที่ผมอยู่ในช่วงควรเพิ่มน้ำหนักพอดี แม้จะคิดว่ามันคงไม่ขยับไปมากกว่านี้ก็ตาม
กว่าจะจัดการแซลม่อนหมดก็ใช้เวลาเกือบยี่สิบนาที เพราะนอกจากจะกินแล้วผมยังดูทีวีไปด้วย ตอนแรกก็นั่งกินกันสองคนอยู่หรอก แต่พอภามบอกว่าอิ่ม จะไปอาบน้ำก่อน ผมเลยถือจานไปกินหน้าทีวี เขาออกมาอีกทีในชุดนอนผมก็ล้างจานเสร็จพอดี เลยรีบผลัดเข้าไปอาบน้ำบ้าง
ไม่รู้ว่าวันนี้พลังงานเหลือเยอะเกินไปหรืออะไร ผมถึงยังไม่รู้สึกง่วงเท่าไหร่นัก มานอนกลิ้งอยู่บนเตียงกับภามแล้วก็ไม่ได้ปิดไฟกัน เขาเองก็คงเห็นผมยังไม่มีทีท่าว่าจะหลับ ถึงได้นั่งพิงหัวเตียงมองกันเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไร
“ตอนกลางวันผมแวะไปหาแม่คุณมา” ภามเริ่มเปิดประเด็นชวนคุยด้วยเรื่องที่ทำเอาผมแอบเบะปาก
“ทำคะแนนใหญ่เลยนะ”
ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ภามแอบเข้าไปหาแม่ผมตามที่ท่านเคยขอให้ไปกินข้าวเป็นเพื่อนบ่อยๆ เพราะในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา อย่างน้อยอาทิตย์ละหนึ่งครั้งนอกจากศุกร์เสาร์ที่เข้าไปนอนบ้านกันอยู่แล้ว เขาจะเข้าไปกินข้าวกลางวันเป็นเพื่อนแม่ผมตลอด เสร็จแล้วพอตกดึกก็จะเอาเรื่องที่คุยกับแม่มาเล่าให้ฟัง อย่างครั้งก่อนได้ข่าวว่าแม่เอารูปผมตอนเด็กให้ดู แน่นอนว่ามันย่อมมีรูปล่อนจ้อนปนอยู่ด้วย ไอ้บ้านี่ถึงขนาดเอาโทรศัพท์ถ่ายเก็บเอาไว้ ผมเอาไปกดลบก็บอกว่าในคอมฯ ก็มีเหมือนกัน เอาซะผมไปต่อไม่เป็นเลย
“วันนี้ผมถามคุณแม่ว่าทำไมท่านกับคุณพ่อถึงยอมรับง่ายๆ”
“หืม…” ผมหันไปมองภามด้วยความสนใจ เหมือนว่าวันนี้จะเป็นประเด็นจริงจังที่สุดเท่าที่เคยได้ฟังเขาเล่ามาแล้ว
“ท่านบอกว่าภาพตอนที่คุณหมดเรี่ยวหมดแรง หาหนทางในการเดินต่อไม่เจอมันติดตามาจนถึงทุกวันนี้” ภามหันมามองหน้าผมด้วยแววตาอ่อนแสง พร้อมกับดึงมือไปกุมไว้ที่ตักตัวเอง “ตั้งแต่นั้นมาท่านก็คุยกับคุณพ่อ บอกว่าขอแค่คุณมีความสุข ไม่ว่าอะไรก็ยอมทั้งนั้น”
“งั้นเหรอ...” ก็เพราะว่าพ่อกับแม่ของผมเป็นแบบนี้แหละ ผมถึงได้รักและเป็นห่วงพวกท่านเอามากๆ จนเลือกที่จะไปกลับบ้านไกลๆ แทนที่จะหาคอนโดใกล้ๆ โรงพยาบาลอยู่ ถ้าไม่ใช่เพราะภามเข้ามามันก็คงเป็นแบบนั้นตลอดไป
“คุณแม่บอกว่าท่านขอบคุณที่ผมทำให้คุณกลับมายิ้มและมีชีวิตชีวาได้อีกครั้ง รวมถึงขอบคุณที่ผมทำให้คุณก้าวออกจากกรอบของตัวเองได้สำเร็จ” ภามยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อย ท่าทางมีความสุขมากจนผมไม่กล้าพูดแทรก “ท่านบอกว่าถ้าไม่ใช่ผม คุณคงไม่ยอมมานอนที่คอนโดแบบนี้ แต่จะเกาะอยู่กับท่านตลอดไป”
“ตามนั้นแหละ” ผมหัวเราะอารมณ์ดีเมื่อได้ยินเรื่องที่ภามเล่า แม่เคยบอกให้ผมมาอยู่คอนโดนานมากแล้ว บอกให้ผมได้ใช้ชีวิตของตัวเองบ้าง แต่ผมไม่เคยเข้าใจความหมายของมันเลย...จนกระทั่งได้เจอภาม
อย่างที่เคยบอก...แม่คงอยากให้ผมมีใครสักคนที่จะอยู่ในพื้นที่ที่ใช้ร่วมกัน เหมือนที่แม่เลือกใช้พื้นที่ร่วมกันกับพ่อ ที่สุดแล้วผมก็ต้องมีชีวิตคู่ที่เป็นของตัวเองอยู่ดี
ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยเข้าใจว่าสิ่งที่เป็นอยู่คืออะไร ไม่เคยคิดอยากหาคำตอบว่าทำไมถึงอยู่ตรงนี้กับภาม ทำไมถึงเป็นเขาที่ยอมให้ทุกอย่าง ไม่เคยถามตัวเองด้วยซ้ำว่าการที่ยอมให้เขาไปรับไปส่งจนถึงขั้นยอมมานอนที่คอนโดด้วยมันหมายความว่ายังไง
นั่นเป็นเพราะในใจลึกๆ ผมรู้คำตอบดีอยู่แล้วแต่่ยังต้องการความแน่ใจ และระยะเวลาสามเดือนที่ผ่านมาก็คือเดดไลน์ที่ผมมอบให้ตัวเอง
ตอนนี้คำตอบทุกอย่างชัดเจนแล้ว
“ภาม…” ในที่สุดผมก็หาโอกาสประจวบเหมาะในการดำเนินแผนการของตัวเองได้เสียที หลังจากวันนี้พยายามเกริ่นเข้าเรื่อง เอาอกเอาใจเขาสารพัด
“หืม”
“ทำไมถึงทำให้กันขนาดนี้ล่ะ” ขอแค่ภามพูดออกมาทุกอย่างก็จะเสร็จสิ้น “ที่ทำดีต่อกันทุกอย่าง ทั้งที่ฉันไม่เคยชัดเจนอะไรเลย ทำไมเหรอ”
“ผมก็ทำให้คุณแบบนี้มานานแล้ว” เขาตอบแล้วค่อยๆ ดันตัวผมให้เอนลงนอน
“แล้วเพราะอะไรเล่า”
ภามมองหน้าผมแบบงงๆ เหมือนไม่เข้าใจว่าผมต้องการอะไร แต่เขาก็ยังตอบออกมาตามตรง
“เพราะผมอยากดูแลคุณ”
“แล้วทำไมนายถึงอยากดูแลฉัน” คือนี่ทอดสะพานจนหน้าบางลงทุกทีแล้วนะ ช่วยตอบให้ตรงความต้องการสักทีจะได้ไหม
“ผมเคยบอกหลายรอบแล้ว” เขาว่าแล้วยื่นมือมาขยี้หัวผม แถมยังเลื่อนผ้าห่มมาคลุมตัวให้ด้วย “นอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าไปทำงาน”
“แต่…”
“นอน”
โวะ...ทำไมทีอยากให้พูดออกมาถึงไม่พูดสักทีเนี่ย หมดกันบรรยากาศที่กูบิ้วมาในใจ
พูดออกมาสิฟะว่าชอบ แค่นายพูดว่าชอบฉันจะได้บอกว่าชอบเหมือนกัน ทีนี้ก็จะใจตรงกันแล้วไง แค่ทำใจพูดก่อนไม่ได้เพราะปากมันหนักโคตรๆ เฉยๆ
ชัดเจนน่ะชัดเจน เข้าใจไหม พยายามหลอกล่อทุกวิถีทางให้พูดออกมาแล้ว จะมาตามไม่ทันอะไรเอาตอนนี้เนี่ย
‘ที่คุณอธิบายมามากมาย พยายามไม่ให้ผมเข้าใจผิด...แบบนั้นเรียกว่าอะไร’
เพราะชอบไงเล่าถึงไม่อยากให้เข้าใจผิด
ไหนใครบอกซึน แค่ใช้เวลาคิดนิดหน่อยเอง
ทีนี้ก็เลิกด่ากันเลยนะ
————————
TALK : น้องภามขอตามไม่ทันบ้าง นานๆที ฮ่าๆ