พิมพ์หน้านี้ - ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: CHESS. ที่ 06-04-2018 15:46:09

หัวข้อ: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 06-04-2018 15:46:09
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

--------------------------------------------------


►ANAKIN  อนาคิน◄

“หนึ่งภาพถ่ายคือหนึ่งเรื่องราวที่ผมจะเก็บเอาไว้ในความทรงจำ”

"นาย..."

“ และจากวันนี้ ผมจะเก็บบันทึกเรื่องราวของคุณทุกวัน…”

"..."

“จนกว่าคุณจะคิดตรงกันกับผม”



Fan Page: Chesshire. (https://www.facebook.com/Chesshire04/)
Twitter: @Chesshire04 (https://twitter.com/Chesshire04)


.
.

นิยายของเรา
Oxygen ออกซิเจน #โซโล่กีล์ (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=56726.0)
Nitrogen ไนโตรเจน #คุณภูชายเก้า (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=59678.0)
ANAKIN อนาคิน #ภามเจได (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=66695.0)
3KINGS ตอน จักรพรรดิ #สามคิง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=61835.0)
3KINGS ตอน ประมุข #สามคิง (http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=68472.0)

.
.
.
.

หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[0]== [06/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 06-04-2018 15:49:29
-0-


คนที่รู้สึกเหมือนมีอะไรขาดหายไป

ส่วนใหญ่มักจะตั้งตารอโดยไม่รู้ตัว

คนบางคนตั้งใจแทบตายกลับไร้ซึ่งเงา

เฝ้ารอชั่วชีวิตกลับไร้วี่แวว

แต่กับบางคนที่รู้ว่าขาด หากไม่เคยคิดหากลับได้มาครอบครองอย่างง่ายดาย

ก่อนเคยคิดว่าโชคดี

ทว่าเมื่อถึงวันหนึ่ง ‘ผม’ ก็เข้าใจ

มันไม่ใช่เพราะไม่คิดหาจึงได้มา

แต่เป็นเพราะ ‘เขา’ ช่วยพยายามในส่วนที่ขาด

‘เรา’ ถึงได้มีกันจวบจนทุกวันนี้



ทำไมคนเราถึงร่าเริงได้ขนาดนั้น...

ผมมองภาพเด็กผู้ชายสองคนในชุดนักศึกษาหัวเราะใส่กันเสียงดังแบบไม่สนใจโลกด้วยแววตาเฉื่อยชา ถึงแม้จะตั้งคำถามกับตัวเองในใจ แต่ก็ไม่ได้รู้สึกสนใจอะไรนัก เด็กสองคนนั้นไม่ได้หน้าตาดี และต่อให้หน้าตาดี หรือต่อให้ผมชอบผู้ชาย ณ ตอนนี้ก็ไม่มีอะไรทำให้ผมสนใจได้มากเท่าหนังตาตัวเอง

อา...จะปิดอีกแล้ว

“มึงดูตาลุงนั่นดิ”

เสียงที่ดังเข้าหูไม่ได้ทำให้ผมสะกิดใจอะไรในวินาทีแรก แต่แล้วเมื่อประโยคต่อไปดังตามมา ผมเลยจำเป็นต้องฝืนถ่างหนังตาที่ใกล้จะปิดเต็มทีออกเพื่อหันไปมองเจ้าของเสียง

“จ้องพวกเราใหญ่เลย เฒ่าหัวงูเปล่าวะ”

ภาพที่เห็นคือเด็กสองคนที่ทำตัวน่ารำคาญมาโดยตลอดกำลังทำตัวน่ารำคาญมากขึ้นโดยการหันมานินทาผมระยะเผาขน

“ไม่มั้ง ใส่เสื้อกาวน์ด้วย ไม่ใช่หมอเหรอวะ”

“หมอห่าไรหนวดเฟิ้มขนาดนั้น โทรมฉิบหาย บอกว่าเป็นคนไร้บ้านยังน่าเชื่อกว่าเลย”

อดคิ้วกระตุกหน่อยๆ ไม่ได้เมื่อได้ยินคำนินทาเหมือนเกลียดกันมาสิบชาติ แต่ผมก็ยังทำหน้าง่วงอ้าปากหาวไม่สนใจต่อไป ใจคิดเพียงว่าเมื่อไหร่กาแฟที่สั่งจะได้เสียที ผมจะได้ไสหัวไปจากตรงนี้ ไม่ต้องโดนสายตาหลายคู่จับจ้องเหมือนเป็นตัวสกปรก

“ไอ้ห่านี่...ไปว่าเขาอย่างนั้น เดี๋ยวเขาได้ยินก็มีเรื่องหรอก”

เออ...รู้ตัวสักที

“ไม่ได้ยินหรอกน่า”

โทษนะน้อง...พี่ไม่ได้หูหนวก

“ไม่ได้ยินก็ไม่ควรนินทาโว้ย ไปเร็วๆ เลย เดี๋ยวก็โดนพี่ที่กองประกวดแดกหัวหรอก”

อ๋อ...ที่แท้ก็เด็กปีหนึ่ง ว่าแต่หน้าแบบนั้นได้ประกวดกับเขาด้วยเหรอวะน่ะ

ผมส่ายหน้าเบาๆ ด้วยความอ่อนใจ ได้แต่หวังว่าน้องคณะตัวเองจะไม่ส่งคนหน้าตาแบบไอ้เด็กนั่นไปทำให้คณะอับอายขายขี้หน้า เห็นแบบนี้ผมก็เคยเป็นเดือนคณะมาก่อนนะ ถึงไอ้เด็กนั่นจะด่าแบบนั้น แต่ตำแหน่งรองเดือนมหา’ลัยน่าจะการันตีได้พอสมควรว่าผมเคยดูดีขนาดไหน

อืม...เคย

มองสภาพตัวเองในกระจกของร้านกาแฟแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจยาวเหยียด

หัวฟูๆ กับหนวดเคราเฟิ้มเพราะขี้เกียจโกนนี่คงปิดบังความดูดีของผมไปจนหมดแล้ว ไหนจะขอบตาดำเหมือนหมีแพนด้านี่อีก แล้วอะไรคือท้องแบนๆ นุ่มนิ่มกับแขนที่ไร้ซึ่งกล้ามเนื้อ หมดสภาพเดือนคณะที่เคยขึ้นไปถอดเสื้อโชว์หุ่นฟิตปั๋งบนเวทีเสียสนิท ตอนนี้สภาพใกล้เคียงกับเต้าหู้ยี้เต็มทน จับตรงไหนก็อ่อนนุ่มปวกเปียก ทุเรศตัวเองก็ทุเรศ แต่จะให้ลุกขึ้นออกกำลังกายก็ขี้เกียจ

“คุณหมอเจไดคะ กาแฟได้แล้วค่ะ”

“ขอบคุณครับ”

ผมจะเอาเวลาที่ไหนไปออกกำลังกายกัน ในเมื่อชีวิตติดอยู่กับโรงพยาบาลแบบนี้ ถามว่ามีใครบังคับหรือเปล่าก็ไม่ ทุกอย่างผมเลือกเองทั้งนั้น คิดแล้วก็เครียด เครียดแล้วก็ต้องดูดกาแฟให้หายง่วง

‘หมอเจได’ คือชื่อที่ใครหลายๆ คนใช้เรียกผม จำได้ว่าตอนจบใหม่ๆ แล้วได้เข้ามาทำงาน ได้มีห้องตรวจเป็นของตัวเองครั้งแรก ผมดีใจจนเนื้อเต้น เพราะในที่สุดก็ทำตามความฝันของตัวเองสำเร็จ ผมทุ่มเทให้กับการรักษาคนไข้จนลืมเรื่องอื่นๆ ไปจนหมด ทั้งเลิกเที่ยว เลิกออกกำลังกาย เลิกมันหมดทุกอย่าง ชีวิตผูกติดอยู่กับงานที่ตัวเองเลือกเพียงอย่างเดียว

แล้วตอนนี้เหรอ...

‘นายแพทย์อนาคิน’

ตามองป้ายชื่อประจำตัวด้วยความว่างเปล่า เพิ่งนึกได้เมื่อผ่านมาสามสี่ปีหลังทำงานว่าตัวเองแทบไม่เหลืออะไรเลยในชีวิต ไฟที่มีให้การทำงานในตอนแรกมอดดับไปตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ ผมยังคงตั้งใจรักษาคนไข้ ยังคงฝืนยิ้มไม่ให้คนไข้กลัวนักแม้หน้าตาโทรมๆ นี่จะไม่เอื้อเท่าไหร่ ผมเคยคิดว่าแค่ทำงานเลี้ยงครอบครัวให้พ่อแม่ภูมิใจก็พอ อย่างอื่นช่างหัวมัน ผมไม่ได้ต้องการอะไรเสียหน่อย

แต่สุดท้าย...อะไรบางอย่างก็ยังขาดหายไปอยู่ดี

ผมตอบไม่ได้ว่ามันคืออะไร ไม่รู้ด้วยซ้ำว่าไอ้สิ่งที่หายไปมันจำเป็นกับตัวเองตรงไหน แล้วก็นั่นแหละ...ช่างหัวมันเหมือนเคย คิดแล้วก็เหนื่อยจนต้องก้มหน้าลงเพื่อพักสายตา แต่เมื่อเห็นรายชื่อคนไข้ในความดูแลที่ยาวเป็นแถบ แทนที่จะดีขึ้นกลับกลายเป็นแย่ลงซะงั้น

อยากย้อนกลับไปตอนเรียนมหาลัย...ไม่สิ...ต้องบอกว่าตอนมัธยม อย่างน้อยชีวิตก็ไม่ต้องรับผิดชอบอะไรมากมายขนาดนี้

จะว่าไปไอ้เด็กสองคนนั้นที่นินทาผม...

เพิ่งจะนึกออกว่ามันใส่ไทด์ของคณะแพทย์...

หึ...

จบมหา’ลัยเมื่อไหร่ เดี๋ยวมึงรู้เลย!










“เจอกันพรุ่งนี้นะคะคุณหมอ”

ไม่เจอได้ไหม...

“เจอกันครับ”

ผมฉีกยิ้มให้คุณพยาบาลพอเป็นพิธีแม้ไม่รู้ว่าเธอจะเห็นหรือเปล่า จากนั้นก็รีบสะพายกระเป๋าประจำตัวแล้วเดินออกมาอย่างรวดเร็ว สิ่งที่ผมต้องการมากที่สุดในตอนนี้คือเตียงนอน และอะไรก็ไม่สำคัญเท่าการเดินไปขึ้นรถโดยไม่ต้องโดนเรียกตัวกะทันหัน

นั่นไง! ขอแค่ได้ออกประตูนั้นไปก็จะไม่มีอะไรมาฉุดรั้งผมไว้ได้อีก...

มือที่กำสายสะพายกระเป๋ากำแน่นขึ้น ขณะที่มืออีกข้างดึงปีกหมวกให้ปิดใบหน้ามากกว่าเดิมโดยตั้งใจ ผมรีบสาวเท้าเดินให้ไวขึ้น อีกนิดเดียว...

“คุณหมอเจไดครับ”

“…”

“คุณหมอครับคุณหมอ” เสียงเรียกจากด้านหลังทำให้รอยยิ้มที่เกือบจะมีเลือนหายไปกลางอากาศ

ผมหยุดเท้าทั้งสองข้างก่อนจะถอนหายใจยาวๆ หนึ่งครั้งแล้วหันกลับไปมองคนเรียก บุรุษพยาบาลคนหนึ่งเดินเข้ามาหาพร้อมรอยยิ้ม ถ้าจำไม่ผิดหมอนี่น่าจะชื่อตูน ตาม ตาน อะไรสักอย่าง ผมเคยคุยด้วยอยู่ไม่กี่ครั้ง และดูเหมือนแต่ละครั้งจะไม่ใช่เรื่องดีเท่าไหร่นัก

“ว่าไงครับ”

“ท่านผอ.ฝากบอกว่าวันนี้จะกลับไปทานข้าวด้วยนะครับ”

“…”

“ผมขอตัวนะครับ” นายตูนตานตามอะไรสักอย่างยกมือไหว้ผมอย่างสุภาพ จากนั้นก็หันหลังเดินจากไปในทันที ทิ้งให้ผมยืนทำหน้าตายอยู่คนเดียวที่ด้านหลัง

สังหรณ์ใจยังไงไม่รู้...

นอกจากตอนเข้ามาทำงานใหม่ๆ ที่เคยโดนเรียกไปคุยด้วยและบอกให้ตั้งใจทำงาน คนคนนั้นก็ไม่เคยเรียกผมไปคุยเป็นการส่วนตัวอีกเลย ถึงจะบอกว่าจะกลับไปกินข้าวด้วย แต่สำหรับ ‘พ่อลูก’ ที่ไม่ได้กินข้าวพร้อมหน้ากันมาสามปีมันก็ออกจะแปลกไปหน่อย ยิ่งให้คนมาบอกเหมือนจะให้ผมรอกินข้าวด้วยแบบนี้ยิ่งแปลกเข้าไปใหญ่ ต้องมีเรื่องอะไรสักอย่างแน่...

ช่างเถอะ เดี๋ยวก็คงได้รู้เอง

เมอซิเดสสีดำคันโปรดที่เคยดีใจนักหนาตอนได้ซื้อด้วยน้ำพักน้ำแรงของตัวเองไม่ได้ทำให้ผมตื่นเต้นอีกแล้ว วินาทีนี้อยากจะหายตัวกลับไปอยู่ที่บ้านแล้วนอนหลับแบบไม่ต้องตื่นขึ้นมาอีกเลย อย่างน้อยก็ขอให้ดวงตาช้ำๆ นี่ดีขึ้นสักนิดก็ยังดี

ถนนที่คุ้นเคย...

สองข้างทางที่คุ้นเคย...

ร้านค้าที่คุ้นเคย...

ทำไมชีวิตคนเราถึงต้องติดอยู่กับอะไรที่ซ้ำซากจำเจแบบนี้นะ

เลือกเองไม่ใช่เหรอ

เออ...รู้แล้วน่า ย้ำตัวเองจัง

รถก็ยังติดเหมือนเคย...

นั่นไง เลขหนึ่งร้อยยี่สิบสีแดงขึ้นมาอีกแล้ว

ระหว่างที่รถติดไฟแดงอยู่คันหน้าสุด ผมทอดสายตามองไปรอบๆ ด้วยความเบื่อหน่าย มองทั้งเสาไฟต้นเดิม ต้นไม้ต้นเดิม ทางม้าลายที่เดิม ตึกหลังเดิม พยายามมองหาอยู่นานว่ามีอะไรที่ไม่ใช่สิ่งเดิมๆ บ้าง คำตอบคือ...ไม่มี

ส่วนคนพวกนี้แม้หน้าตาจะไม่เหมือนเดิม แต่เพราะผมไม่เคยจำหน้าได้อยู่แล้ว คำกำจัดความว่า ‘เดิมๆ’ เลยถูกใช้กับพวกเขาเช่นกัน

เมื่อไหร่จะไฟเขียวเสียที...

69

68

67

66

65

64…

ทันทีที่ละสายตาออกจากตัวเลขสีแดง ผมถูกร่มคันหนึ่งดึงดูดสายตาไปจนหมด...

มันเป็นร่มสีดำที่ดูตัดกับท้องฟ้าสีสว่างในเวลานี้โดยสิ้นเชิง อดคิดไม่ได้ว่าคนถือคงกลัวแดดน่าดูถึงได้เอาร่มมากางในเวลาข้ามถนนแบบนี้ แต่แล้วความคิดก็ต้องเปลี่ยนไปเมื่อไล่สายตาลงมาแล้วพบว่าเขาเป็นผู้ชาย...

61

60…

วินาทีนั้นผมเผลอจ้องมอง ‘เจ้าของความแตกต่าง’ นั่นโดยไม่รู้ตัว และในตอนนั้นเองที่ผมถูกดูดเข้าไปในห้วงอวกาศสีดำสนิทไร้ก้นบึ้ง...ยามเมื่อดวงตาสีดำสนิทบนใบหน้าสมบูรณ์แบบหันมาสบกันพอดี

หกสิบวินาทีที่ผมถูกดึงเข้าไป...

และหกสิบวินาทีที่ผมหาทางออกไม่เจอ...

เช่นเดียวกับที่เคยเป็นเมื่อหลายปีก่อน


————————-




หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[0]== [06/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 06-04-2018 16:05:59
หมดกัน หมอเจไดของคนแก่ ไมหมดไฟเสียแล้วล่ะ  :z3:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[0]== [06/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: คุณจัตวา ที่ 06-04-2018 16:07:34
 :o8:ภาษาสวยจังดลย
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[0]== [06/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Guitar. ที่ 06-04-2018 19:07:43
ใครเน้ออ ที่ทำให้คุณหมอสนใจได้ขนาดนี้ :hao3: :hao3: :hao3: :hao3:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[0]== [06/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 06-04-2018 20:17:59
ใครกันนะ?
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[0]== [06/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Margarita ที่ 07-04-2018 13:24:45
น้องภามมมม :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[0]== [06/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 07-04-2018 17:44:23
ปูเสื่อรอค่า  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[0]== [06/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ma-prang ที่ 07-04-2018 18:39:02
เดี๋ยวนะ ภามนี่คือคนเดียวกับที่เราคิดใช่มั้ยยยยยย นุ้งภามมมมม
รออ่านเลยค่า  :m3:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[0]== [06/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Fallinlove ที่ 07-04-2018 21:32:23
ภามเจได มาแล้ว   :m3:
หรือว่าเจได จะตกหลุมรักน้องภามตั้งแต่โดนกอดรัดฟัดเหวี่ยงเมื่อครั้งโน้นนนนน
เหมือนตั้งแต่พี่ภูน้องเก้าจะได้สมหวังในรักไปแล้ว อีกนานเลยกว่าภามกับเจไดจะมาพบกันอีก
หวังว่าจะมีน้องเก้ากับโซมารับเชิญให้หายคิดถึงนะคะ จะได้ครบแกงค์ ><
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[0]== [06/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 07-04-2018 21:47:54
มารออ่าน
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[0]== [06/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: no.fourth ที่ 08-04-2018 09:49:57
มารออ่าน :katai5:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[0]== [06/04/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 12-05-2018 19:21:12
-1-



ผมมั่นใจว่าตัวเองฉลาดและมีความจำเป็นเลิศ...

บอกไว้ก่อนว่าไม่ได้ติดนิสัยหน้าด้านหลงตัวเองมาจากใคร แม้จะมีเพื่อนสนิทประเภทนั้นอยู่คนหนึ่งก็ตาม และด้วยความที่ผมฉลาดแถมยังมีความจำเป็นเลิศ มันเลยทำให้ผมค่อนข้างจะจดจำคนที่สำคัญกับตัวเองได้แม่นยำ และหากให้พูดถึงคนสำคัญแล้ว ผมขอแบ่งออกเป็นสองประเภท

หนึ่งคือประเภทสำคัญกับชีวิต ประมาณว่าเคยทำอะไรดีๆ ให้หรือผมรู้สึกดีๆ ด้วย เช่น พ่อ แม่ พี่ น้อง เพื่อนสนิท อะไรแบบนั้น ส่วนอีกประเภทคือจำฝังใจ ฝังใจแบบลืมไม่ลง คนประเภทนี้ผมนึกออกอยู่แค่คนเดียว เคยเจอเมื่อนานมาแล้ว คิดว่าน่าจะหกเจ็ดปีได้มั้ง เราเจอกันแค่ครั้งเดียว ไม่สิ...

ถ้านับเมื่อสามสี่ชั่วโมงก่อนด้วยก็เจอกันสองครั้งแล้ว

ครั้งแรกผมเจอเขาเพราะไปงานวันเกิดเพื่อนสนิทชื่อเก้าที่บ้านมัน ตอนนั้นผมกำลังดีใจที่เจอเพื่อนซึ่งห่างหายกันไปนาน แต่ในระหว่างที่แกล้งมันแล้วกำลังจะวิ่งหนี ผมดันไปสบตากับใครคนหนึ่งที่ยืนอยู่ไม่ไกลเข้าอย่างจัง

‘ภาม! จับตัวมันไว้’

ดวงตาคู่นั้นตรึงขาของผมให้หยุดอยู่กับที่ มันลุ่มลึกและว่างเปล่าในแบบที่ผมไม่เคยเห็น รู้ตัวอีกทีก็ถูกรวบตัวเข้าไปกอด ดิ้นเท่าไหร่ก็ไม่หลุด จวบจนเมื่อใครคนหนึ่งกระซิบบอกให้ปล่อยเขาถึงยอมปล่อย ผมวิ่งหนีแบบไม่คิดชีวิต ครั้งนี้ไม่ใช่เพราะกลัวเพื่อนไล่ทันแต่เป็นเพราะขายขี้หน้า!

กูเล่นกล้ามมาตั้งนาน มึงตัวผอมนิดเดียว ถึงจะสูงกว่าแต่ก็ไม่ควรสู้แรงไหวปะวะ!

อย่าว่าแต่ดิ้นไม่หลุดเลย เกิดมาผมไม่เคยโดนผู้ชายกอดแบบนั้นมาก่อน แล้วอย่างนี้จะให้เฉยอยู่ได้ยังไง คนชื่อ ‘ภาม’ ถูกบันทึกไว้ในความทรงจำว่าเป็นตัวอันตรายอันดับหนึ่งในทันที

จะว่าไปทั้งหน้าตาทั้งหุ่นที่เห็นเมื่อวาน...ทำไมพัฒนาไปในทิศทางตรงข้ามกับกูนักวะ!

แค่มองผ่านๆ ยังรู้เลยว่าคนที่ผมเจอเมื่อวานมันตัวสูงและหุ่นดีขนาดไหน แล้วลองย้อนกลับมามองตัวเอง เอาแค่ความตุ้ยนุ้ยของพุงก็แพ้ขาดแล้ว เมื่อก่อนผมมีกล้ามอยู่บ้างยังสู้เขาที่ตัวผอมแห้งไม่ไหว คราวนี้ไม่ตอบสืบเลยว่าถ้าโคจรกลับมาเจอกันอีกจะเป็นยังไง

ก๊อก ก๊อก

“เจได มากินข้าวได้แล้วลูก คุณพ่อมาแล้วนะ”

เวร...จากที่ว่าจะนอนให้เต็มที่ กลายเป็นคิดแต่เรื่องเจ้านั่นจนไม่ได้นอนซะงั้น

“เจได...”

“ครับแม่” ผมตะโกนตอบแม่เสียงยานคาง ขาก้าวเดินไปที่ประตูแบบอืดอาดยืดยาด แล้วก็ได้เห็นสีหน้าเหนื่อยหน่ายของคุณแม่คนสวยตามคาด

“จะสามสิบแล้วนะเรา ยังทำตัวเป็นเด็กไปได้” คนสวยบ่นเบาๆ แต่ก็ยอมลูบหัวผมที่เอาหน้าเข้าไปซุกที่ซอกคอท่านแบบอ้อนๆ

“อย่าย้ำนักสิ ผมยังไม่อยากแก่นะ” ถึงมันจะเป็นความจริงที่อายุใกล้จะถึงเลขสามเต็มทีแล้วก็เถอะ

“ไม่ต้องกลัวแล้วมั้ง สภาพเราก็สี่สิบเข้าไปแล้ว” คนสวยพลิกหน้าผมไปมาเหมือนเป็นลูกหมาลูกแมวแล้วบ่นต่อ “ดูสิ...แม่บอกให้โกนหนวดโกนเคราให้เรียบร้อย คนไข้ไม่คิดว่าเราเป็นโจรบ้างหรือไงเนี่ย”

“ผมไม่มีเวลานี่นา กลับมาบ้านหัวถึงหมอนก็อยากนอนจะแย่แล้ว”

“เรานี่ไม่เหมือนหนูเก้าเลย เมื่ออาทิตย์ก่อนเพิ่งเอาของฝากมาให้แม่ รายนั้นสะอาดสะอ้านหน้าตาน่าเอ็นดูไม่ต่างจากตอนปีหนึ่งเลยสักนิด”

“แม่อย่าพูดถึงมันนะ!” ผมหน้าตึงเมื่อได้ยินชื่อไอ้เพื่อนเวร หนอย...มึงหายไปตั้งหลายเดือน ของฝากก็ไม่มีให้ แถมยังมาแย่งชิงความรักแม่กูไปหมดเลยนะ ไม่เข้าใจเลยจริงๆ ว่าไอ้กระต่ายจิตใจผิดปกติอย่างนั้นทำไมใครๆ ถึงได้รัก หมั่นไส้เว้ย!

“ตายแล้วเจได! ทำไมเรียกเพื่อนว่ามัน หนูเก้าน่ารักจะตาย” คนสวยที่เริ่มกลายเป็นแม่มดยื่นมือมาบีบปากผมแรงๆ เป็นการทำโทษเหมือนตอนเด็กๆ นี่ไง...ดูซะก่อนว่าไอ้เก้ามันน่าหมั่นไส้ขนาดไหน มันทำให้ผมโดนทำโทษอีกแล้ว “แม่ไม่คุยด้วยแล้ว รีบๆ ลงมาทานข้าวเดี๋ยวนี้เลย อย่าปล่อยให้คุณพ่อรอนาน”

จะว่าไปพอได้ยินแม่พูดถึงไอ้เก้าขึ้นมาแล้วอดคิดถึงมันไม่ได้ ถึงจะปากร้ายแกล้งกันเป็นบ้าเป็นบอมาหลายปี แต่ผมกับมันรวมถึงเพื่อนอีกคนที่ชื่อโซโล่ก็เป็นเพื่อนสนิทกันมาตลอดตั้งแต่ปีหนึ่ง ไอ้สองคนนั้นมันเรียนคณะเดียวกัน ขณะที่ผมเรียนคณะแพทย์อยู่คนเดียว ปกติก็แทบไม่ได้เจอกันอยู่แล้ว คิดว่าพอจบจะได้เจอก็ยังไม่ได้เจออีก เพราะกว่าจะไปใช้ทุน ไปเรียนต่อสารพัด ได้เจอกันปีละครั้งสองครั้งก็ถือว่าเก่งแล้ว ที่สำคัญคือพวกมันมีแฟนตั้งแต่อยู่มหา’ลัย พอเรียนจบคนหนึ่งเลยไปทำงานอยู่อังกฤษ อีกคนไปอยู่ภูเก็ต ทิ้งให้ผมเหงาๆ เป็นคนไม่มีใครอยู่คนเดียว พูดแล้วเครียด...

ในฐานะที่เคยเป็นรองเดือนมหา’ลัย ผมย่อมมีผู้หญิงมากหน้าหลายตาเข้ามาหาในช่วงนั้น แล้วก็ยอมรับแบบแมนๆ เลยว่าผมเคยมีแฟนมาไม่น้อยกว่าห้าคน...แต่ไปไม่รอดสักคน พอเริ่มหมดช่วงสีสัน ต้องมาจริงจังกับชีวิตแทน รู้ตัวอีกทีก็เลิกสนใจเรื่องแบบนั้นไปแล้ว

บางทีก็อดคิดไม่ได้ว่า ‘อะไรที่ขาดหายไป’ ของผมมันอาจจะหมายถึงคนข้างกายหรือเปล่านะ แต่โตมาจนจะสามสิบอยู่แล้วยังไม่เห็นเจอคนถูกใจเสียที แถมผมยังขี้เกียจเกินกว่าจะไปตามหาอีก เพราะงั้น...ช่างหัวมันเถอะ

“อยู่แบบนี้ก็สบายใจดีอยู่แล้ว”

เหรอ...

“ช่างหัวมัน”

เหรอ...

“ช่างแม่งงงงง”

ไม่จริงใจเลยให้ตายเถอะ...

ผมขยี้หัวยุ่งๆ ของตัวเองแรงๆ เพื่อเรียกสติ วินาทีนี้คงต้องช่างมันไปก่อนจริงๆ เพราะขืนไปช้ากว่านี้นอกจากจะโดนแม่ตีปากแล้วท่าทางจะโดนพ่อเตะเข้าให้ด้วย ขืนไอ้เพื่อนสองตัวรู้ว่าไอ้เจไดอายุเกือบสามสิบคนนี้ยังโดนพ่อแม่ลงโทษเหมือนเด็กสิบขวบอยู่ พวกมันต้องล้อผมไปอีกสิบปีแน่ เชื่อเถอะ

“ไม่ลงมากินพรุ่งนี้เลยล่ะ”

“ลงมาก็ดีแล้วน่า...แล้วนี่พ่อช่วยรักษามาดผู้อำนวยการโรงพยาบาลคนดังหน่อยจะได้ไหม” ผมชักสีหน้าใส่คนเป็นพ่อที่นั่งอยู่หัวโต๊ะ เห็นที่โรงพยาบาลหัวเรียบหน้ายิ้มแต่งตัวเนี้ยบ ลองมาดูที่บ้านก่อนเถอะ ทั้งหัวฟู ตาโบ๋ แถมยังใส่กางเกงตัวเดียวเดินไปเดินมารอบบ้าน ไม่เกรงใจพุงย้วยๆ เลยตาลุงเอ๊ย!

“ฉันยังเป็นแค่ที่บ้าน แต่แกนี่เคยคิดจะรักษาหน้าบ้างไหม ทั้งที่บ้านทั้งที่โรงพยาบาลเหมือนกันหมด” ตาลุงเอาตะเกียบชี้หน้าผมแล้วบ่นจนสำลัก ลำบากคนสวยต้องหยิบแก้วน้ำส่งไปให้

“พ่ออย่าบ่นมากน่า บอกมาตรงๆ เลยดีกว่าว่ามีเรื่องอะไร” พูดง่ายๆ คือเข้าเรื่องเถอะก่อนจะตีกันตาย

“เจได...”

“หยุดเลย” ผมยกมือทำรูปกากบาทจนคนที่กำลังจะพูดติดสถานะมึนงงไปชั่วขณะ “อย่ามาทำหน้าตาจริงจังทั้งที่นั่งพุงย้อยอยู่ได้ปะ ไม่มีความเข้าเลยลุง”

“ไอ้เจได!”

“หยุดเลยทั้งพ่อทั้งลูก ให้แม่ได้กินข้าวพร้อมหน้าพร้อมตากับครอบครัวโดยไม่ทะเลาะกันสักวันจะได้ไหมเนี่ย”

ผมกับพ่อสะบัดหน้าไปคนละทาง แต่ก็ยังยอมเงียบตามคำประกาศิตของผู้เป็นใหญ่ที่สุดในบ้าน เราใช้เวลากินข้าวด้วยกันนานพอสมควรโดยมีคนสวยคอยหาเรื่องมาชวนคุย แม้ส่วนใหญ่จะหนีไม่พ้นเรื่องงานที่โรงพยาบาลก็ตาม จวบจนกินข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้วพ่อถึงได้หันไปหยิบเอกสารอะไรสักอย่างส่งมาให้

“อ่ะ”

เมื่อถึงเวลาจริงจังผมก็ไม่เล่นลิ้นอะไรอีก มือยื่นไปรับเอกสารที่พ่อส่งมาให้แต่โดยดี แต่ก่อนจะได้อ่านรายละเอียดสายตาดันไปโฟกัสอยู่ที่หัวข้อด้านบนจนทำให้ต้องขมวดคิ้วอยู่นาน

“ลากิจส่วนตัว…”

“ใช่” พ่อรับคำง่ายๆ

“เดี๋ยวนะ” อ่านๆ ดูแล้วนี่มันชื่อกูไม่ใช่เรอะ

“ฉันจะเนรเทศแก” คนแก่พูดออกมาง่ายๆ แล้วยกมือเกาหัวแกรกๆ “เห็นแล้วรำคาญลูกตา ไปอยู่ไกลๆ สักเดือนเถอะ”

“ผมไม่ได้มีกิจอะไรจะลานะ!” ผมเสียงดังด้วยความลืมตัว อยากจะพุ่งตัวไปเขย่าตาแก่แรงๆ สักรอบ แต่หางตาเหลือบไปเห็นคนสวยขมวดคิ้วเลยได้แต่นั่งลงแล้วพูดเสียงค่อย “พ่อทำงี้ได้ไงเนี่ย”

“อย่าทำเป็นพูดไปหน่อยเลยไอ้ลูกหมาสกปรก”

โอ้โหพูดมาได้...แคะขี้ตาตัวเองก่อนไหม

“แกสะสมวันลาไว้จนเต็มแล้ว ถ้าเอาไปบวกกับวันลากิจที่ฉันให้ก็พักได้ตั้งสองเดือน เอาไปใช้ให้มันหมดๆ ไปเถอะ”

“แบบนี้มันไม่สมเหตุสมผลเลยไม่ใช่หรือไง” ผมขมวดคิ้วมองหน้าพ่อด้วยความไม่เข้าใจ ถึงจะมีฐานะเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาล แต่พ่อไม่เคยใช้อำนาจในทางที่ผิดแน่ๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับการมาบังคับหมอที่ไม่อยากหยุดงานให้หยุดงานแบบนี้เนี่ย

“คุณคะ เลิกกวนลูกแล้วพูดความจริงสักที” คนสวยตีแขนตาลุงแรงๆ หนึ่งที สาบานได้ว่าผมเห็นตาลุงแอบเบะปาก

“ผมไม่ได้กวน”

“คุณ…”

“แค่ให้มันพักงานไปค้นหาอะไรดีๆ ในชีวิตบ้าง ที่พูดก็ชัดแล้วไม่ใช่หรือไง” พ่อพูดแค่นั้นแล้วลุกหนีเดินขึ้นไปชั้นบน

เขาก็เป็นแบบนี้มาตลอดนั่นล่ะ...ห่วงแทบตายยังไงถ้าไม่เข้าตาจนจริงๆ ไม่มีทางยอมพูดออกมาตรงๆ ไอ้เก้าเคยบอกผมว่ามันเป็นลักษณะนิสัยของคน ‘ซึน’ ผมไม่ค่อยเข้าใจหรอกว่ามันหมายถึงอะไรแต่ดูเหมือนครั้งนี้พ่อจะซึนอีกแล้ว

“พ่อของลูกนี่นะ...” แม่ถอนหายใจหน่ายเหมือนจะเหนื่อยใจกับพ่อ กำลังจะพยักหน้าเห็นด้วยอยู่แล้วถ้าไม่ติดว่าวินาทีถัดมาท่านหันมามองผมด้วยแววตาแบบเดียวกัน

“ทำไมมองผมแบบนั้นล่ะ”

“กำลังคิดว่าพ่อลูกคู่นี้ยิ่งแก่ยิ่งเหมือนกันน่ะสิ”

“ผมยังไม่ได้ทำอะไรเลยนะคนสวย” มาปรักปรำกันแบบนี้ได้ไง

“หยุดเถียงแล้วมานั่งคุยกับแม่ก่อนจะได้ไปนอน”

สีหน้าจริงจังแบบที่ไม่ได้เห็นบ่อยนักจากคนใจดีทำให้ผมหงอลงเล็กน้อย ลองเป็นแบบนี้ขืนกวนตีนอะไรอีกได้โดนตีหน้าแหกแน่

“แม่รู้ใช่ไหมว่าทำไมพ่อถึงทำแบบนั้น” ผมเริ่มเปิดบทสนทนาก่อน

“ลูกก็รู้ดีว่าพ่อรักลูกมากขนาดไหน” คนสวยดึงมือผมไปกุมไว้ที่ตัก แววตาอ่อนโยนจ้องมองมาเหมือนจะบอกให้ผมหุบปากที่กำลังหาวก่อนจะโดนฟาด “หยุดทำนิสัยเหมือนพ่อสักที”

“ทำอะไร”

“อยากเดินขึ้นห้องใช่ไหมตอนนี้”

ผมไม่ตอบคำตอบเพราะมันเป็นจริงตามที่แม่ว่า ผมกับพ่อเหมือนกันตรงที่เราไม่ชอบเรื่องกดดันแล้วก็ไม่ชอบอธิบาย เวลาใครมาทำหน้าจริงจังใส่ถ้าไม่ใช่เรื่องงานขอเลือกเดินหนีดีกว่า จะว่ายังไงดี...แค่ต้องรับมือกับอะไรต่อมิอะไรตอนทำงานเรื่องปวดหัวก็มีมากอยู่แล้ว หากต้องเจียดความเครียดไปใช้กับเรื่องอื่นอีกคงเป็นบ้าตายเข้าสักวัน

“ถึงพ่อจะบอกให้บังคับลูกแค่นั้นพอ ไม่ต้องอธิบายอะไรให้มากความ แต่แม่รู้ดีว่าคนขี้เกียจอย่างเจไดไม่มีทางคิดหาคำตอบของเหตุผลที่พ่อทำแบบนั้นแน่”

รู้จริง...

“อย่าคิดว่าพ่อกับแม่ไม่รู้เรื่องที่ลูกเบื่อหน่ายกับชีวิตจนทำตัวเหมือนหุ่นยนต์มากขึ้นทุกวัน”

“แต่เวลาผมอยู่กับแม่...”

“ไม่ว่าจะเวลาไหนแม่ก็ไม่อยากลูกเป็นแบบนั้น”

ผมถอนหายใจยาวเหยียดเมื่อโดนรู้ทันไปหมด ถ้าให้เดาเรื่องที่แม่รู้ว่าผมทำตัวยังไงตอนอยู่ข้างนอกกับคนอื่นที่ไม่ใช่ครอบครัวคงมาจากพ่อนั่นล่ะ

“ลองถ้าแม่ไม่มาพูดเราคงใช้เวลาเกือบสองเดือนที่พ่อให้หมกตัวอยู่แต่ในบ้านแน่ จริงไหม” แม่ส่ายหน้าหน่ายขณะยกมือขึ้นลูบหัวผมแบบที่ชอบทำตอนเด็กๆ “เจได...ลูกยังไม่สามสิบเต็มเลยนะ อย่าเอาแต่คิดว่าช่างมันไปหมดทุกเรื่องสิ”

“ผมหมดไฟแล้ว” ผมยอมรับเสียงค่อย “มันเหมือนชีวิตนี้ไม่มีอะไรน่าตื่นเต้นเหลืออยู่เลย แต่ว่า...ที่ผมตั้งใจทำงานรักษาคนไข้อยู่มันก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอครับแม่”

“ในฐานะของแพทย์สิ่งที่สำคัญที่สุดคือชีวิตของคนไข้ เรื่องนั้นแม่ไม่เถียง แต่ในฐานะของคนเป็นพ่อเป็นแม่สิ่งที่สำคัญที่สุดสำหรับพวกเราคือชีวิตของลูกนะ”

“ชีวิต...”

“แม่ไม่ได้หมายถึงการที่ลูกมีชีวิตอยู่บนโลกใบนี้เพียงอย่างเดียว... พ่อแม่ลูกหรือครอบครัว มันไม่ใช่แค่หมอกับคนไข้นะเจได”

“แล้ว...”

แม่คงสังเกตเห็นความสับสนในดวงตาของผม ท่านถึงได้หัวเราะออกมาเบาๆ เหมือนคิดไว้อยู่แล้ว

“ถ้าลูกยังไม่รู้ความหมายที่แท้จริงของคำว่าชีวิต ลองออกไปตามหามันดูบ้างดีไหม บางทีอาจจะได้เจอกับอะไรที่คาดไม่ถึงก็ได้นะ” คนตรงหน้าส่งยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยน “แม่รู้ดีว่าชีวิตลูกผูกติดอยู่กับคำว่าอยากเป็นหมอมาตั้งแต่เด็กเหมือนกันกับพ่อของลูก คราวนี้ลองใช้เวลาที่มีไปหาคำตอบดูเถอะว่าชีวิตของลูกอยากทำแค่นี้จริงๆ หรือเปล่า ไปทำอะไรก็ได้ที่ใจอยากทำ ไปไหนก็ได้ที่ใจพาไป...เสร็จแล้วค่อยกลับมา”

“…”

“เชื่อเถอะว่าลูกต้องได้คำตอบแน่”

ผมเดินกลับขึ้นห้องด้วยสติที่ไม่ได้อยู่กับเนื้อกับตัวเท่าไหร่ คงเพราะจิตใจยังพะวงถึงเรื่องที่แม่พูดให้ฟังไม่เลิก งงเหมือนกันที่ตัวเองตอบคำถามง่ายๆ อย่างคำถามที่ว่าชีวิตคืออะไรไม่ได้ ผมรู้ดีว่าตัวเองเข้าขั้นอาการหนัก หนักจนถึงจุดที่คิดว่าทุกวันนี้มีหน้าที่แค่อยู่ไปวันๆ ก็พอแล้ว มันไม่มีเรื่องราวอะไรเรียกร้องความสนใจได้มากมายเหมือนสมัยเรียนที่มีเพื่อนอยู่รอบตัว ไม่มีใครชวนไปไหนมาไหนเวลาเบื่อ

เพื่อนสนิทของผมต่างมีชีวิตเป็นของตัวเอง และพวกมันก็มีความสุข

ผมก็มีชีวิตของตัวเอง แต่แปลกที่มันน่าเบื่อหน่าย

เราต่างกันตรงไหนนะ

ครืด ครืด

เสียงโทรศัพท์ที่ดังขึ้นขัดความคิดทำให้ผมได้สติ มือรีบคว้ามันมามองชื่อคนโทรเข้าที่โชว์อยู่บนหน้าจอแบบเหม่อๆ

“ว่า”

[แม่มึงโทรมาบอกให้กูช่วยไล่มึงออกจากบ้าน]

เสียงอารมณ์ดีจากปลายสายทำให้เส้นเลือดที่สมองผมเต้นตุบๆ ด้วยความฉุนเฉียว

“ไม่ต้องมาซ้ำเติมกู”

[ไม่ซ้ำเติมได้ไง นี่กูลากไอ้โซมาด้วยนะเนี่ย มึงไล่มันหน่อยดิไอ้โซ] ไอ้เพื่อนเวรทำเสียงกวนตีนใส่ผมแล้วเงียบหายไปเหมือนกำลังตีกับใครอยู่ ไม่นานนักเสียงทุ้มของเพื่อนสนิทอีกคนก็ดังขึ้นมาจากในสาย [ออกจากบ้านไปได้แล้ว]

“นี่มึงเป็นลูกไอ้เก้าหรือเปล่าเนี่ย เชื่อฟังมันจังวะ แล้วนี่ไปอยู่ด้วยกันได้ไง”

อย่างที่บอกว่าพวกมันสองคนแยกกันอยู่คนละที่ ไอ้เก้ามันอยู่อังกฤษกับแฟนมัน ส่วนไอ้โซเทียวไปเทียวมาหลายที่แต่โดยมากจะอยู่ภูเก็ตกับแฟนเหมือนกัน มีแค่หมาหัวเน่าอย่างผมที่ยังติดหนึบอยู่ในกรุงเทพฯ แล้วทำไมวันนี้พวกมันถึงไปสุมหัวกันได้

 [กูกลับมาพักผ่อนที่ไทยเลยนั่งเครื่องมาหาไอ้โซ] ไอ้เก้าแย่งโทรศัพท์กลับไปพูด เหมือนผมจะได้ยินเสียงหมาโซบ่นพึมพำบอกว่าเอาแต่ใจอยู่ไม่ไกลนัก

แหม...พวกมึงก็เอาแต่ใจทั้งคู่นั่นล่ะ

“ไม่มาเยี่ยมกูบ้างหรือไง”

[กูไปแล้วแต่มึงทำงาน แม่มึงบ่นให้ฟังใหญ่ว่าลูกชายหัวแก้วหัวแหวนทำท่าทางคล้ายหุ่นยนต์มากขึ้นทุกวัน ได้ข่าวว่ากล้ามหายเคราเฟิ้มลงพุงเลยไม่ใช่เหรอ ตลกว่ะ]

“ถ้าจะโทรมาตอกย้ำกูก็วางไปเลย”

[อะไรวะ...ไอ้เจไดคนเก่าหายไปไหนแล้วเนี่ย ไม่สนุกเลย น่าเบื่อ]

บอกตรงๆ ว่าตอนนี้จำแทบไม่ได้แล้วด้วยซ้ำว่าเจไดคนเดิมเป็นยังไง ผมรู้แค่ไอ้เก้ายังคงเป็นคนไม่ปกติที่มีความคิดความอ่านไม่เหมือนชาวบ้านตั้งแต่เจอกันตอนปีหนึ่งจวบจนมาถึงทุกวันนี้ ส่วนไอ้โซก็ยังชอบทำหน้าง่วงเหมือนเดิม ต้องถามว่าทำไมพวกมันถึงไม่เปลี่ยนไปเลยสักนิดมากกว่า

“ที่มึงโทรมานี่ต้องการอะไรกันแน่” ผมถามออกไปตรงๆ มั่นใจว่าคนอย่างมันคงไม่ได้คิดโทรมากวนตีนเล่นแบบที่ทำอยู่หรอก เพราะถ้าจะทำแบบนั้นมันจะไม่โทรมาในเวลาที่รู้ว่าผมต้องการพักผ่อนอย่างตอนนี้แน่

[มันเป็นห่วงมึง...ไอ้เหี้ยโซ เอาโทรศัพท์มา!]

เสียงอึนๆ ของไอ้โซทำให้ผมยิ้มออก ท่าทางมันคงแอบแย่งโทรศัพท์ไปตอนที่ไอ้เก้าไม่ทันระวังตัว

“กูไม่เป็นไร”

[ฟังจากที่แม่มึงบอกแล้วไม่น่าใช่]

ผมได้ยินเสียงไอ้เก้าโวยวายอีกสองสามประโยคก่อนจะเงียบหายไป ดูท่าคงมีใครหาอะไรไปอุดปากมันได้เสียที

“แม่กูบอกอะไรพวกมึง”

[ไม่ต้องรู้หรอก...แล้วนี่จะไปหรือเปล่า]

“ไปไหน”

[ไปผจญภัยไง]

“พูดเป็นการ์ตูนเลยนะมึง” ผมหัวเราะ สมองโล่งขึ้นนิดหน่อยเมื่อได้คุยกับเพื่อน

[ขนาดเสียงหัวเราะยังไม่เหมือนคนแล้ว รู้ตัวไหม]

มันขนาดนั้นเลยเหรอวะ...

“ไม่รู้ดิ...มันเหนื่อยๆ ว่ะ” พอได้พูดว่าเหนื่อยแล้วก็เหนื่อยขึ้นมาจริงๆ เลย ผมหลับตาลงทั้งที่ยังถือโทรศัพท์คาหูอยู่ เพิ่งรู้ว่าตาสองข้างล้าขนาดไหนก็ตอนนี้เอง “ถ้าเป็นมึง...จะไปไหมวะ”

[…ถ้ากีตาร์ไปกูก็ไป]

“ลืมไปเลยว่ามึงตัวติดพี่กีล์” กีตาร์หรือพี่กีล์คือแฟนสุดรักสุดหวงของมัน ผมลืมไปเลยว่าไอ้นี่มันตัวติดกับพี่เขาเป็นปาท่องโก๋

[ไปเถอะ...]

“ไอ้โซ...”

[ถ้าพลาดโอกาสไปแล้วมึงอาจจะเสียใจทีหลังก็ได้นะ]

“…”

[อย่าให้...เติมเงินมือถือให้กูด้วย!]

จะบ้าตาย...กูกำลังจะอินอยู่แล้วเชียว เสียงตะโกนของไอ้คนผิดปกติดันขัดอารมณ์ไปหมด ขนาดไอ้โซยังถอนหายใจด้วยความหัวเสียเลยคิดดู

[เอาเป็นว่าถ้าอาทิตย์หน้าไปหาแล้วยังเจอมึงอยู่ที่บ้าน ไอ้เก้ามันบอกว่ามันจะเตะตูดมึงให้ช้ำเลย]

ขู่น่ากลัวฉิบหายเลยไอ้เพื่อนเวร!












หลังจากคิดไม่ตกอยู่หลายวัน สุดท้ายผมเลยตัดสินใจทำตามคำแนะนำของทุกคนโดยการจัดเสื้อผ้าใส่กระเป๋าแล้ววางทิ้งไว้ตรงมุมห้อง ทุกวันพอกลับจากโรงพยาบาลผมจะใช้เวลาประมาณครึ่งชั่วโมงนั่งจ้องมันนิ่งๆ เพื่อถามใจตัวเองว่าจะเอาแบบนี้จริงๆ ใช่ไหม และในเมื่อคำตอบไม่ได้เปลี่ยนไป...

วันหยุดวันแรกในรอบหลายปี คุณหมอเจไดยืนอยู่ที่ชานชาลาและกำลังรอรถไฟซึ่งไม่เคยนั่งมาก่อนเลยสักครั้งในชีวิต

ได้โปรดอย่าถามหาจุดหมายปลายทาง บอกตรงๆ ว่าในหัวตอนนี้ไม่มีอะไรอยู่เลยนอกจากตัวขี้เกียจ...ขี้เกียจจนต้องคิดว่าที่ทำอยู่นี่เอาจริงแน่นะ เปลี่ยนใจกลับบ้านตอนนี้เลยดีกว่าไหม

“ดอกไม้ไหมคะ”

“ไม่เอา...ไปตรงอื่นไป สกปรกจริง”

ผมหันหลังไปมองโดยอัตโนมัติเมื่อได้ยินประโยคสนทนาไม่พึงประสงค์ดังขึ้นไม่ไกลนัก นั่นไง...เด็กตัวนิดเดียวจริงๆ ด้วย ถึงเธอจะดูมอมแมมแต่ก็ไม่ได้สกปรกถึงขนาดต้องไล่ไปเสียหน่อย คนเรานี่นะ

“น้อง พี่เอาห้าดอก” ผมกวักมือเรียกเด็กขายดอกไม้จนน้องรีบวิ่งมาหา รอยยิ้มกว้างบนใบหน้าของเด็กที่ไม่เคยรู้จักทำเอาผมรู้สึกแปลกๆ ในใจ ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมเด็กตัวเล็กแค่นี้ถึงต้องมาเจออะไรแบบนี้ด้วย

ถึงจะกลายเป็นคนหมดไฟจนเกือบจะเฉื่อยชาไปแล้ว แต่ผมก็ยังเป็นผู้ชายใจดีแถมยังสปอร์ตสุดๆ อยู่เถอะขอบอก โดยเฉพาะกับเด็กนี่ไม่ได้เลย วิญญาณคุณหมอเจไดเข้าสิงร่างทันที

“เท่าไหร่คะ” ผมถามน้อง

“ห้าสิบบาทค่ะ”

“อืม...พี่ให้หนึ่งร้อยแล้วน้องเก็บไว้ดีไหม”

“ถ้างั้นพี่เอาไปสิบดอกนะคะ” น้องยิ้มกว้างด้วยความดีใจ แต่ผมส่ายหน้าแล้วหยิบดอกไม้มาแค่ห้าดอก

“พี่ให้ค่ะ เอาแค่นี้พอ”

“ไม่...ไม่ได้นะคะ” ใบหน้าเล็กๆ ส่ายไปมาจนเส้นผมกระจัดกระจาย ผมมองด้วยความงุนงง หรือว่าน้องกลัวว่าจะเป็นการเอาเปรียบลูกค้านะ “ถ้าดอกไม้ไม่หมดคุณแม่ไม่ให้กินข้าวแน่เลยค่ะ พี่ชายเอาไปสิบดอกได้ไหมคะ”

“…”

ดอกไม้สิบดอกถูกยัดเข้ามาในมือก่อนเธอจะวิ่งหายไปด้วยความรวดเร็ว ผมมองตามแผ่นหลังเล็กๆ ไปจนลับสายตา ในวินาทีนั้นเองที่เพิ่งได้เห็นภาพผู้คนมากมายที่กำลังรอรถไฟ บางคนนั่งบีบนวดขาตัวเองอย่างอ่อนล้า บางคนนั่งขายของชิ้นเล็กๆ ที่มีราคาไม่กี่บาท บางคนใส่เสื้อผ้ามอซอนั่งขอเศษเงิน ในชีวิตของคนที่ไม่เคยลำบากมาก่อน ผมคาดเดาไม่ถูกเลยว่าพวกเขารู้สึกยังไง ทว่ายังไม่ทันได้ครุ่นคิดถึงเหตุผลอะไรต่างๆ ให้มากไปกว่านั้น รถไฟก็เข้ามาจอดเทียบชานชาลาพอดิบพอดี

เอาเถอะ บางทีขากลับผมอาจจะได้รู้ว่าอะไรกันแน่ที่ติดค้างอยู่ในใจยามมองภาพเหล่านี้...

ผมทิ้งทุกอย่างไว้เบื้องหลังและก้าวเท้าขึ้นรถไฟตามประสาคนไม่ค่อยคิดเยอะและไม่อยากคิดเยอะ รถไฟที่ผมนั่งเป็นรถไฟชั้นสองซึ่งไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามีจุดหมายปลายทางอยู่ที่ไหน ตอนที่ให้แม่จัดการเรื่องตั๋วให้ก็ลืมถาม ขนาดตอนขึ้นมาบนขบวนยังไม่หันไปมองป้ายเลย

ใจคิดแค่...ช่างมันเถอะ

พอเหมาที่มันก็ดีแบบนี้ล่ะนะ นั่งคนเดียวไม่มีใครมาเกะกะสายตาหรือชวนคุยให้รำคาญ ใจจริงผมอยากให้เขามาปูเตียงให้เลยด้วยซ้ำจะได้นอนยาว แต่ไม่รู้ว่าฟ้าสว่างแบบนี้เขาจะปูให้ไหม เอาไว้พนักงานเดินมาใกล้ๆ แล้วค่อยถามละกัน

ผมนั่งมองออกไปนอกหน้าต่างตลอดระยะทางตั้งแต่รถไฟยังไม่ออกจนตอนนี้ทิวทัศน์เริ่มมีแต่ต้นไม้แล้วก็ยังมองอยู่ เพิ่งรู้ตัวว่านอกจากจะเป็นคนขี้เกียจแล้วตัวเองยังเป็นคนเรื่องมากด้วย เพราะพอไม่ได้เอนตัวลงนอนเหมือนปกติผมกลับนอนไม่หลับซะงั้น สงสัยจะเคยชินกับการนั่งทำงานมากเกินไป ถ้าไม่ได้เอนหลังคงไม่หลับแน่

จะว่าไปก็ไม่ได้พักเลยนะนี่นะ...เรียนจบแล้วใช้ทุน ใช้ทุนแล้วกลับไปเรียนต่อ จากนั้นก็ทำงานอย่างเดียวจนไม่มีเวลาไปไหนมาไหน คงเพราะเห็นพ่อทำงานไม่มีวันหยุดผมเลยเลือกไม่หยุดเหมือนกันแม้จะเป็นวันสำคัญตามโอกาสต่างๆ ดังนั้นนอกจากสมัยมัธยมที่ไปเที่ยวเตร่กับเพื่อนแทบทุกอาทิตย์ หลังจากนั้นมาผมแทบไม่เคยได้ไปเที่ยวไหนอีกเลย

“นั่งคิดถึงเรื่องเก่าๆ เป็นคนแก่เลยกู”

จะว่าไปพอนึกถึงเรื่องเก่าๆ...

ผมถอดสร้อยที่สวมอยู่ออกจากคอแล้วยกขึ้นดูในระดับสายตา จำได้ว่าเมื่อก่อนมันเคยเป็นจี้รูปใบไม้แต่ตอนนี้ถูกแทนที่ด้วยแหวนเงินสลักลวดลายสวยงามวงหนึ่ง ผมได้แหวนวงนี้มาตอนทำกิจกรรมกับเพื่อนที่มหา’ลัย มันเป็นกิจกรรมระหว่างหมอกับผู้ป่วย ที่สำคัญคือมันไม่ได้จำกัดแค่ในประเทศ เราติดต่อกันผ่านทางโครงการของโรงพยาบาลและสถานฟื้นฟูต่างๆ ทั่วโลก ผู้ที่ต้องการเข้าร่วมจะได้รับอีเมลของคนไข้หรือหมอที่ได้จับคู่ด้วย จากนั้นก็จะคุยกันผ่านทางนั้น เป็นเหมือนกิจกรรมช่วยเหลือผู้ป่วยรูปแบบหนึ่ง

คนไข้ของผมป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามานานเป็นสิบปี ผมใช้เวลาเกือบสองปีในการโต้ตอบกับเขาจนได้รับข้อมูลสำคัญหลายอย่าง ดูเหมือนเขาจะได้รับความกระทบกระเทือนทางจิตใจอย่างหนักในช่วงที่ยังเป็นเด็กจนกลายเป็นคนเก็บตัว ถึงจะไม่เคยเจอหน้ากันแต่แค่เห็นลักษณะการพิมพ์ของคนคนนั้นผมก็รู้แล้วว่าอีกฝ่ายเป็นคนยังไง ถ้าให้เดาตัวจริงต้องเย็นชามากแน่ เพียงแต่...หลังจากนั้นสองสามปีจู่ๆ เขาก็ส่งเมลมาบอกผมว่าตัวเองอาการดีขึ้นแล้วและกำลังจะออกเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโลก ผมทั้งดีใจและเศร้าใจในเวลาเดียวกันเมื่อรับรู้ว่าถึงเวลาต้องแยกจากเพื่อนทางไกลคนนี้แล้ว เราตกลงกันว่าจะแลกของขวัญกันก่อนจะแยกย้ายกันไป แล้วหลังจากนั้นผมก็ได้รับแหวนวงนี้มา

แหวนเงินแกะสลักเป็นลวดลายของตัวอักษรหน้าตาประหลาดที่ดูแล้วคงราคาแพงสุดๆ... อยากรู้เหมือนกันว่ามันอ่านว่าอะไร แต่ที่่แน่ๆ คงไม่ใช่ชื่อผมแน่ เพราะเราไม่เคยบอกชื่อกัน

กึก

ผมเบิกตาเล็กน้อยด้วยความตกใจเมื่อสร้อยในมือล่วงหล่นลงพื้นแถมยังกลิ้งไปไกลเพราะรถไฟกระตุก ดีที่หยุดอยู่แค่ตรงทางเดิน ไม่ทะลุไปที่เบาะคนขึ้น เห็นแบบนั้นผมเลยรีบลุกขึ้นเดินไปหยิบสร้อยขึ้นมาจากพื้นแล้วสวมเข้าคอไม่ให้มันหลุดมืออีก แต่ในวินาทีที่กำลังจะลุกขึ้นยืนหลังก้มลงไปเก็บของนั่นเอง...

รองเท้าของใครบางคนที่หยุดอยู่ตรงหน้าทำให้ผมรู้ตัวว่าน่าจะขวางทางเขาอยู่

“โทษทีครับ...”

เสียงที่มีคล้ายจะขาดหายไปเมื่อได้เงยหน้ามองคนตัวสูงเบื้องหน้าเต็มตา สิ่งที่ดึงดูดสายตาผมไว้ได้ไม่ใช่ใบหน้าหล่อเหลาคมคายหรือหุ่นน่าอิจฉาของเขา แต่เป็นดวงตาคู่คมสีดำสนิทเหมือนห้วงอวกาศไร้ก้นบึ้งคู่นั้น...

ผมถอนหายใจหน่ายขณะจ้องมองไอ้บ้าตรงหน้าด้วยความหงุดหงิด

เหอะ...

กูเริ่มเกลียดทฤษฎีโลกกลมก็ตอนนี้ล่ะ



————————


หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[1]== [12/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 12-05-2018 19:48:30
คุณหมอมาแล้ววววว คิดถึงจังเลยค่ะ ออกไปใช้ชีวิตให้เต็มที่เลยนะคุณหมอเจได :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[1]== [12/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: hoihak ที่ 13-05-2018 14:11:13
น่าร้ากกกกกกกกกกกกกกก เจอกันแล้ววววววววว
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[1]== [12/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ma-prang ที่ 13-05-2018 15:38:07
ทำไงดี อ่านไปแล้วเราหุบยิ้มไม่ได้เลย บ้าจริง  :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[1]== [12/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 13-05-2018 18:02:02
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[1]== [12/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 14-05-2018 02:33:37
ใช่คนนั้นของหมอเจไดใช่ปะ ใช่ไหม ๆ  :m12:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[1]== [12/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 14-05-2018 09:13:45
อาจจะเป็นคนๆนั้นรึเปล่า
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[1]== [12/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: fullfinale ที่ 14-05-2018 11:39:11
กริสสสส รออออออ
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[1]== [12/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: WaterProof ที่ 14-05-2018 16:16:14
รอค่ะ คิดถึงทุกคนเลยยยยยย :impress2:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[2]== [17/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 17-05-2018 18:25:44
-2-


มันเป็นสถานการณ์ที่น่ากระอักกระอ่วนใจสุดๆ สำหรับคนที่ไม่ได้รู้จักสนิทสนม แต่เผอิญเคยเจอหน้าเลยต้องนั่งลงเพื่อพูดคุยตามมารยาท ประเด็นคือทั้งผมและเขาต่างไม่มีใครพูดอะไรออกมาเสียที และถ้าถามว่าจุดเริ่มต้นมาจากอะไร

เรายืนมองหน้ากันอยู่เกือบสองนาที...

มันเหมือนกับว่าถ้าใครหลบตาก่อนคนนั้นจะเป็นฝ่ายพ่ายแพ้ แล้วคงไม่ต้องเดานะว่าใครแพ้ เป็นผมเองที่ต้องหาวิธีแก้ไขความหน้าแหกของตัวเองด้วยการเชื้อเชิญคนชนะให้นั่งลงคุยกัน

“ไง ไม่เจอกันนานเลยนะ นั่งคุยกันก่อนสิ”

ห่วยแตก...

เป็นการเชิญชวนที่ห่วยแตกหนักมาก ไม่รู้ตอนนั้นไปเอาความมั่นหน้ามาจากไหนว่าเขาจะจำผมได้เหมือนกับที่ผมจำเขาได้ โชคดีที่คนตรงหน้าไม่ได้กระทืบเศษหน้าที่แตกยับของผมซ้ำอีกรอบ เพราะเขาแค่พยักหน้าแล้วนั่งลง

แล้วไงต่อ...

ผมชวนคุยไม่ถูกหรอกนะ นอกจากพูดคุยกับคนไข้แล้วแทบไม่ได้คุยกับคนรู้จักคนอื่นๆ เลย จะให้ถามว่าอาการเป็นไงบ้างก็ไม่น่าใช่ แต่จะให้นั่งเงียบอยู่แบบนี้มันก็ไม่ใช่อีก

“นาย...เอ่อ...หุ่นดีขึ้นนะ”

ไอ้เจได! ไอ้บ้าเอ๊ย! มีใครที่ไหนเขาทักกันแบบนี้บ้างวะ ถ้าเขามองว่าตัวเองกำลังโดยเต๊าะขึ้นมาจะทำไง ผมยกมือกุมขมับเมื่อรู้สึกเหมือนจะปวดหัวหนึบๆ ก่อนจะแอบเหลือบมองคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามแบบหวาดๆ ดีที่สีหน้าทื่อๆ ของเจ้าตัวไม่ได้เปลี่ยนไปเท่าไหร่ เนิ่นนานกว่าเขาจะพยักหน้าหนึ่งครั้งแล้วเอ่ยออกมา

“ขอบคุณ”

กูไม่ได้ตั้งใจชมไหมล่ะ...

ถึงจะไม่อยากยอมรับก็คงต้องยอมรับว่าผู้ชายตรงหน้าเป็นผู้ชายที่น่าจะเกิดมาพร้อมพรจากพระเจ้า เขาเป็นผู้ชายที่ดูดีมากถึงมากที่สุด ตาหูคอจมูกปากเหมือนถูกบรรจงปั้นขึ้นมาอย่างดี ทั้งยังเป็นส่วนผสมระหว่างตะวันตกและตะวันออกที่ทำให้ดูรู้ว่าเป็นลูกครึ่งแม้จะมีผมและตาสีดำสนิท ไหนจะส่วนที่น่าอิจฉาที่สุด...หุ่นที่ครั้งหนึ่งผมก็เคยมีนั่นอีก เอาแค่ส่วนสูงก็แพ้ขาดแบบต่อไม่ติดแล้วเถอะ ไม่ต้องตอกย้ำกันนักก็ได้

“คุณ...มองผม” เสียงทุ้มต่ำแหบนิดๆ เหมือนคนไม่ค่อยพูดของเขาทำให้ผมแปลกใจไม่น้อย ตอนแรกแค่บอกขอบคุณสั้นๆ ยังไม่ได้สังเกตเท่าไหร่ แต่พอมาเป็นประโยคแบบนี้แล้วมันเห็นชัดพอควรเลย อีกอย่าง...แม่งทำให้ดูมีเสน่ห์ขึ้นด้วย นี่นายจะได้รับพรมากไปแล้วนะ

“นายก็มองฉันเหมือนกัน” ผมรีบกระแอมเมื่อรู้สึกเหมือนเสียงตัวเองห้วนไปนิด แต่ที่พูดไปนั่นไม่ได้โกหกหรอกนะ เขาก็มองผมอยู่เหมือนกัน แถมยังมองแบบไม่ละสายตา สีหน้าไม่เปลี่ยนเลยแม้แต่นิดเดียว

ให้ตายเถอะ...ผมเกลียดดวงตาคู่นั้นชะมัด อ่านไม่ออกเลยว่าคิดอะไรอยู่

“อืม” ตอบสั้นๆ แล้วกลับไปนั่งนิ่งเหมือนเดิม

ปวดหัว...ตามปกติถ้ามันไม่มีอะไรทำเขาต้องขอตัวกลับที่นั่งของตัวเองกันไม่ใช่หรือไง

“…นายชื่ออะไรนะ” ผมชวนคุย

“ภาม”

เออ จริงๆ รู้อยู่แล้ว จำแม่นไม่ลืมเชียวล่ะ

“อ่า...ฉันชื่อเจได เราเคยเจอกันเมื่อหลายปีก่อนจำได้ไหม”

“จำได้”

“นายดูแข็งแรงขึ้นจากตอนนั้นเยอะเลยนะ” เรื่องนี้ผมพูดจริง เพราะตอนนั้นเขาผอมมากแถมยังดูอ่อนแอขี้โรค ถ้าไม่ติดว่าตัวเองโดนกักตัวไว้ได้จนดิ้นไม่หลุดผมคงคิดว่าเจ้าตัวไม่มีเรี่ยวมีแรงจะทำอะไรเลยด้วยซ้ำ

“ผมออกกำลังกาย” เขาตอบสั้นๆ เหมือนเดิม แต่เหมือนคราวนี้จะจับสังเกตได้ว่าผมไม่คิดชวนคุยต่อแล้วเลยพูดเพิ่มขึ้นมาอีกประโยค “คุณก็ดู...”

“…” พูดให้ถูกนะเอ็ง

“เปลี่ยนไป”

“ไม่ค่อยมีเวลาดูแลตัวเองน่ะ” ผมยักไหล่ไม่แคร์

“รอ”

“หา…”  เดี๋ยวๆ บอกให้รอคำเดียวแล้วลุกขึ้นเลยแบบนี้ก็ได้เหรอ

ตอนแรกผมคิดว่าภามจะเดินกลับไปที่ที่ของตัวเองซึ่งผมก็ไม่รู้หรอกว่าอยู่ตรงไหน แต่แล้วเมื่อเห็นเขาเดินไปค้นกระเป๋าที่อยู่ตรงเบาะด้านข้างพอดีผมเลยแทบกลอกตามองบน...เสือกนั่งใกล้กันอีกให้ตายเถอะ หลังจากนั่งกระดิกเท้ารออยู่ไม่นานนักคนที่ดูแล้วเด็กกว่าผมแน่ๆ ก็เดินกลับมานั่งพร้อมกับส่งของที่ทำให้ผมคิ้วกระตุกมาให้

“ที่...โกนหนวด?”

“อืม”

“…”

“…”

“เอ่อ...” คือไม่คิดจะอธิบายอะไรเพิ่มเลยหรือไง ผมถอนหายใจเมื่อพบว่าคนตรงหน้ายังคงนั่งจ้องหน้ากันตาไม่กะพริบ ทั้งยังไม่มีทีท่าว่าจะอธิบายอะไรต่อด้วย “แล้วยังไงต่อ”

“ให้”

“ให้ฉันทำไม”

“ผมไม่ต้องใช้” เขาบอก “แต่คุณต้องใช้”

“พูดง่ายๆ คือนายอยากให้ฉันโกนหนวดออกว่างั้น”

“คุณดูโทรม”

ตอบไม่ตรงคำถามเฟ้ย!

“มีหนวดก็ไม่เห็นเป็นไร โกนไปเดี๋ยวมันก็ขึ้นมาอีก” เพราะแบบนั้นเลยขี้เกียจโกนไงเล่า อีกอย่าง...เวลาเด็กๆ เห็นหนวดแล้วจะกลัวจนอยากรีบรักษาให้หายกันแทบทุกราย นั่นมันเรื่องดีนะบอกเลย

“คุณไม่เข้ากับมัน”

“ยังไง ฉันไม่เท่เหมือนคนอื่นๆ เหรอ” ไม่เคยดูหนังฝรั่งหรือไง เวลาพระเอกไว้หนวดเท่จะตายชัก ยอมรับก็ได้ว่านอกจากจะขี้เกียจแล้วผมยังอยากลองไว้ดูเผื่อจะเอาความแมนมาทดแทนกล้ามเนื้อที่หายไปได้บ้าง

“สกปรก” ภามพูดสั้นๆ แต่ทำเอาตีนผมกระตุกตาม

“นายว่าฉันเหรอ”

“คุณดูสกปรก”

“…”

“เมื่อก่อนคุณดูดีกว่านี้”

ยัง...ยังไม่เลิก

สาบานได้ว่าถ้าไอ้บ้านี่ไม่ได้แรงเยอะกว่าและตัวใหญ่กว่าผมจะฆ่ามันให้ตายคารถไฟ เสร็จแล้วจะโยนศพออกนอกรถให้หายแค้นด้วย โชคร้ายตรงที่มันทั้งแรงเยอะกว่าและตัวใหญ่กว่านี่แหละเลยทำได้แค่คิด

“จะให้โกนบนรถไฟเนี่ยนะ” ผมลองถามแล้วก็ได้รับความเงียบเป็นคำตอบ แต่แววตาที่จ้องมองกลับมาบ่งบอกชัดเจนว่าเจ้านั่นตอบว่าอะไร “แล้วทำไมฉันต้องทำตามที่นายพูดด้วย”

“ผมไม่รู้”

คำตอบของภามทำให้ผมขมวดคิ้ว ดวงตาไร้ก้นบึ้งคู่นั้นยังคงมองสบมาโดยไม่ละสายตา ผมแอบหงุดหงิดอยู่ในใจเมื่อยังคงอ่านความรู้สึกของเขาไม่ออก ว่ากันว่าดวงตาคือส่วนที่แสดงอารมณ์ออกมาได้ชัดเจนที่่สุด หลายครั้งที่ผมรู้จักนิสัยของคนไข้ได้มากขึ้นจากการสังเกตดวงตาของพวกเขา โดยเฉพาะเด็กๆ ที่สามารถมองออกได้อย่างชัดเจน หรือต่อให้โตมาแล้วปกปิดเก่งเพียงใดก็ควรมีช่วงเวลาที่สั่นไหวหรือปรากฏคลื่นอารมณ์เล็กๆ ให้เห็นบ้าง แต่มันไม่ใช่กับผู้ชายคนนี้

ดวงตาของเขาว่างเปล่า...ว่างเปล่าแบบที่ไม่มีอะไรอยู่เลยจริงๆ หรือไม่ก็เพราะเขาปกปิดมันได้เก่งจนแม้แต่หมอที่เจอคนมามากมายอย่างผมยังมองไม่ออก

แต่ก็...ช่างมันเถอะ

“เอาแบบนี้แล้วกัน ถ้าหลังจากลงรถไฟไปแล้วนายยังมีโอกาสได้เจอฉันอยู่อีก ถึงตอนนั้นฉันจะยอมโกนหนวดตามที่นายต้องการ โอเคไหม”

ว่าไปนั่นเพราะรู้ว่ายังไงก็ไม่มีทางเจอ... อย่าหาว่าอย่างงั้นอย่างงี้เลยนะ แค่ผมยอมหาเรื่องมาต่อรองเป็นการรักษาน้ำใจก็ดีถมไปแล้วบอกเลย ผมกอดอกจ้องหน้าภามแล้วเลิกคิ้วเป็นเชิงท้าทาย

“อืม” ฝ่ายคนโดนท้าแค่พยักหน้าครั้งเดียวแล้วกลับไปเงียบเหมือนเดิม

“งั้นเอาคืนไป” ผมส่งอุปกรณ์โกนหนวดคืนให้เขา “เจอกันอีกเมื่อไหร่ปาใส่หน้าฉันได้เลย”

แน่นอนว่าไม่มีทางได้ปาแน่ ทฤษฎีโลกกลมนั่นมันใช้ได้ผลแค่ครั้งเดียวเท่านั้นล่ะ ลาขาด









รถไฟเดินทางไปถึงจุดหมายในช่วงดึก ณ เวลานี้ท้องฟ้ามืดมิด มองนาฬิกาแล้วบอกเวลาเที่ยงคืน ผมไม่ได้หันไปบอกลาหรือพูดอะไรกับภามอีกในตอนที่เราลงจากรถแม้จะรู้ว่าเขามองผมอยู่ จะว่ายังไงดี...มันเป็นความรู้สึกลึกๆ ที่ร้องเตือนว่าขืนเรายังยุ่งเกี่ยวกันไปมากกว่านี้จะต้องมีเรื่องวุ่นวายตามมาแน่ๆ เพราะงั้นผมเลยเลือกเดินออกจากสถานีโดยไม่เหลียวหลังไปมองเขาอีกเลย

“ไปโรงแรมที่ใกล้ที่สุดครับ” ผมบอกคนขับแท็กซี่ในทันทีที่ขึ้นมานั่งบนรถ คุณลุงอายุน่าจะเกินสี่สิบสะดุ้งนิดหน่อยตอนเราสบตากัน แต่แค่วูบเดียวก็พยักหน้าหงึกหงักแบบหวาดๆ แล้วรีบออกรถ

เดี๋ยวๆ ผมน่ากลัวขนาดนั้นเลยเหรอลุง

ผมนั่งพิงเบาะรถขณะมองออกไปนอกหน้าต่าง ตาเริ่มปรือๆ จวนจะหลับอีกรอบแม้จะนอนบนรถไฟมาเกือบห้าชั่วโมงแล้วก็ตาม เผลอแวบเดียวคุณลุงก็มาส่งถึงหน้าโรงแรมเล็กๆ แห่งหนึ่งไม่ไกลนัก ผมจ่ายเงินเรียบร้อยก่อนจะลากกระเป๋าเดินเข้าโรงแรม เห็นพนักงานผงะแล้วได้แต่ถอนหายใจ

คนที่นี่เขาไม่เคยเห็นผู้ชายมีหนวดกันหรือไง ตกใจอยู่ได้

“ขอเปิดห้องหนึ่งคืนครับ”

“ขอโทษนะคะคุณลูกค้า ตอนนี้โรงแรมเราห้องเต็มหมดเลยค่ะ”

“อ่า...แล้วแถวๆ นี้พอจะมีโรงแรมอื่นอีกไหมครับ หรือแค่ที่พักธรรมดาก็ได้”

อะไรจะซวยขนาดนี้วะ จะบอกว่าเป็นช่วงเที่ยวดูแล้วคงไม่ใช่ เพราะขนาดรถไฟที่ผมนั่งคนยังไม่เต็มเลยด้วยซ้ำ

“บริเวณนี้มีโรงแรมใกล้ๆ อีกสองแห่งค่ะ ถ้ายังไงทางเราจะเรียกรถให้นะคะ”

ผมพยักหน้าพร้อมทั้งบอกขอบคุณก่อนจะเดินตามพนักงานชายคนหนึ่งออกไปด้านนอกเพื่อขึ้นรถ คุณอาแท็กซี่ทำท่าทางสะดุ้งเหมือนคนอื่นๆ เมื่อสบตากับผม แต่อาจเป็นเพราะโดนสะดุ้งใส่มาแล้วหลายรอบเลยเริ่มชิน เขาพาผมมาส่งที่โรงแรมแห่งหนึ่งติดชายหาดซึ่งน่าจะเป็นโรงแรมห้าดาว จากนั้นก็ปล่อยนายเจไดเอาไว้คนเดียว

เอาเถอะ ขอแค่ให้มีห้องสักคืน...

“ขอโทษด้วยนะคะ ตอนนี้ห้องพักของเราเต็มทุกประเภทเลยค่ะ ดิฉันโทรไปเช็คที่โรงแรมข้างเคียงอีกแห่งให้แล้ว ดูเหมือนทางนั้นก็เต็มเหมือนกันค่ะ”

ซวยอะไรขนาดนี้... ทำไมแม่จองตั๋วรถไฟให้ผมแล้วไม่จองโรงแรมให้ด้วยนะ ถึงจะเข้าใจว่าอยากให้ดื่มด่ำกับบรรยากาศของการนั่งรถไฟมากกว่านั่งเครื่องบิน แต่เรื่องที่พักนี่มันเรื่องใหญ่นะคนสวย

“แล้วที่พักอื่นๆ แถวนี้ไม่มีเลยเหรอครับ”

“ถ้าเป็นโรงแรมที่ใกล้ที่สุด นอกจากโรงแรมที่คุณลูกค้าบอกว่าไปมาแล้ว อีกที่ก็ห่างไปเกือบห้าสิบกิโลค่ะ ส่วนพวกรีสอร์ทหรือที่พักอื่นๆ ทางเราไม่มีข้อมูลติดต่อจริงๆ ต้องขอโทษด้วยนะคะ”

นั่นหมายความว่าถ้าไม่อยากถ่อไปไกลอีกห้าสิบกิโล ผมต้องไปวัดดวงหาที่พักอย่างอื่นเอาเองสินะ

ในขณะที่ผมกำลังคิดไม่ตกว่าควรทำอย่างไรดี จู่ๆ คุณพนักงานกลับทำตาโตทั้งยังหน้าแดงจนดูน่าขัน แต่เพราะไม่มีอารมณ์ใส่ใจกับใครเท่าไหร่นักผมเลยได้แต่บอกลาเธอตามมารยาท

“ขอบคุณมากครับ” ผมก้มหัวเล็กน้อยแล้วหันหลังเพื่อเดินออกไปตายเอาดาบหน้า แต่กลับต้องชะงักค้างเมื่อได้เห็นเหตุผลที่ทำเอาคุณผู้หญิงด้านหลังออกอาการหน้าแดง

ทำไมไอ้หล่อนี่มันมายืนอยู่ตรงนี้ได้!

เรากลับสู่สภาวะเหมือนตอนที่เจอกันวินาทีแรกบนรถไฟ...นั่นคือการยืนจ้องหน้ากันนานเกือบสองนาที แต่คราวนี้ผมเกือบร้องไชโยออกมาเมื่อภามเป็นฝ่ายละสายตาออกก่อน หากยังไม่ทันได้ดีใจ ร่างสูงจนน่าหมั่นไส้ของเขากลับเดินเอื่อยๆ ไปที่เคาน์เตอร์แล้วพูดออกมาแค่คำเดียว

“เช็คอิน”

แพ้...แพ้อีกแล้ว

ผมมองแผ่นหลังกว้างของคนที่เข้าไปเช็คอินกับพนักงานสาวด้วยอารมณ์พูดไม่ออกบอกไม่ถูก นาทีนี้ง่วงนอนเต็มทนจนต้องกะพริบตาถี่ๆ ผมเห็นภามรับคีย์การ์ดมาจากพนักงานก่อนจะหันกลับมาหาแล้วจ้องหน้ากันเหมือนเดิม

อะไร...จะสื่ออะไร

ถ้าจะชวนนอนด้วยก็รีบชวนเลย ตามมารยาทเห็นคนรู้จักลำบากมันต้องทำแบบนั้นไม่ใช่หรือไง ผมพยายามทำตาโตๆ เพื่อสื่อความหมายโดยไม่ยอมพูดอะไรออกไปแม้แต่คำเดียว ถ้าทำแบบนั้นมันก็เหมือนแพ้ซ้ำแพ้ซ้อนไม่ใช่หรือไง แล้วจะให้ไปขอความช่วยเหลือโดยบอกว่าขออาศัยห้องอยู่ด้วยสักคืนได้ไหมมันก็แปลกๆ หรือเปล่า

ในระหว่างที่กำลังคิดว่าจะทำยังไง จู่ๆ คนที่ยืนจ้องผมนิ่งๆ มาโดยตลอดกลับหมุนตัวหันหลัง ทำท่าจะเดินไปขึ้นลิฟต์โดยไม่สนใจกันอีก ผมสะดุ้งจนเผลอคว้าแขนเขาไว้โดยอัตโนมัติ ภามหันกลับมาก็จริงแต่คราวนี้เขาจ้องมือผมนิ่งจนต้องรีบปล่อยออก

“คือว่า...ฉันง่วงมาก”

“…”

“แล้วเผอิญไม่ได้จองที่พักไว้”

“…”

ช่วยอย่าเงียบใส่จะได้ไหม อย่างน้อยจะตอบปฏิเสธหรืออะไรก็ทำสักอย่างสิ ผมขมวดคิ้วด้วยความหงุดหงิดเล็กๆ ก่อนจะตัดสินใจหมุนตัวเพื่อเดินออกไปจากโรงแรม ในเมื่อหาที่พักไม่ได้ก็ไปนอนมันริมหาดนั่นล่ะ ไม่เห็นยาก

เดี๋ยวๆ...นี่เดินจะถึงประตูอยู่แล้วนะ ไม่คิดจะรั้งไว้หน่อยหรือไง

ผมหมุนตัวกลับไป กะว่าจะด่าไล่หลังไอ้คนไม่มีน้ำใจตอนที่มันไม่รู้ตัว

“ไอ้…” คำด่าที่คิดไว้แทบจะกลืนลงคอเกือบไม่ทัน เมื่อใบหน้าคมคายเหมือนปลาตายของภามยังปรากฏอยู่ตรงหน้า ผมเอนหัวมองไปด้านหลังเขา มั่นใจว่ายังไงก็เดินมาถึงประตูแล้วแน่ๆ หมายความว่า...เดินตามมาเหรอ “นายเดินตามฉันมาทำไม”

“…คุณบอกว่าง่วง ไม่ได้จองที่พักไว้”

“แล้ว...” ชวนสิ ชวนกูสิ

“…”

“นายนอนคนเดียวใช่ไหม”

เนิ่นนานกว่าภามจะกะพริบตา เขาพยักหน้าหนึ่งครั้งเป็นคำตอบและเงียบไปอีก ผมยืนนิ่งอย่างอดทนเพื่อรอให้คนตรงหน้าชวนขึ้นไปนอนเสียที แต่ยัง...ยังนิ่งอยู่ ดูแล้วไม่น่าได้รับคำตอบใดๆ ต่อให้ยืนจ้องกันอีกเป็นชั่วโมงก็ตาม ผมอยากถามเหลือเกินว่าที่ยืนอยู่นี่คนแน่ใช่ไหม ถ้าไม่ใช่ว่ามันหล่อเกินมนุษย์คงน่ากลัวพิลึก

โอเค...ยอมแพ้

“ขอนอนด้วยได้ไหม” สาบานได้ว่าเสียงไม่ได้อ่อยด้วยความอับอาย อย่างน้อยก็ไม่ได้ตั้งใจแน่ๆ ล่ะ

“อืม” เขาตอบแล้วเดินนำไปที่ลิฟต์ ผมได้แต่ลากกระเป๋าตามไปหงอยๆ ในฐานะของผู้แพ้ ที่แท้ที่เดินตามหลังมาจ้องหน้ากันมันเหมือนเป็นการขู่ให้ยอมแพ้ชัดๆ ถึงจะไม่ได้พูดมากอะไรแต่กวนตีนใช่ย่อยนะเจ้านี่น่ะ

ห้องพักของภามเป็นห้องพักธรรมดาห้องหนึ่ง ผิดจากที่ผมคิดลิบลับ เพราะพี่ชายของเขาซึ่งเป็นแฟนไอ้เก้าเพื่อนผมเป็นคนมีฐานะ เรียกว่าเป็นมหาเศรษฐีก็คงไม่ผิด ตอนแรกเลยคิดว่าเข้ามาแล้วจะเจอห้องสวีทสุดหรูราคาแพงระยับของโรงแรมเสียอีก ถึงจะเสียดายไม่น้อยแต่ตอนนี้ขอแค่มีเตียงก็พอแล้ว

“ฉันขอนอนข้างซ้ายนะ” ผมหันไปบอกเจ้าของห้องตามมารยาท แล้วก็ตามคาด...เขานิ่งสนิท แค่จ้องมานิ่งๆ เหมือนเคย ใครสักคนเคยบอกว่าการเงียบคือการตอบรับ ดังนั้นผมถือว่าเขาอนุญาตแล้วกัน คิดได้ดังนั้นผมเลยตั้งท่าจะล้มตัวลงนอน อีกนิดเดียว...อีกนิดเดียวหัวก็จะถึงหมอนแล้ว

แล้วทำไมมันไม่ถึงสักทีวะ

“สกปรก” คนที่ดึงแขนผมไม่ให้ล้มตัวลงนอนเอ่ยเสียงเรียบ เขากระตุกมือทีเดียวผมก็แทบปลิวเป็นกระดาษกระเด็นออกไปอยู่นอกอาณาเขตที่นอน “ไปอาบน้ำ”

ภามยัดผ้าขนหนูผืนหนึ่งใส่มือผมพร้อมอุปกรณ์อาบน้ำที่ไม่รู้ว่าหยิบมาตอนไหน ก่อนเขาจะดันหลังผมให้พุ่งตรงไปที่ห้องน้ำ หากสิ่งที่เลวร้ายยิ่งกว่าถูกบังคับให้อาบน้ำคือผมดันลื่นพรมเช็ดเท้าจนตูดกระแทกพื้น สัญชาตญาณร้องเตือนให้จับขอบอ่างล้างหน้าไว้อย่างรวดเร็ว แต่มันไม่ทัน...ตูดผมวางแหมะอยู่บนพื้นเรียบร้อยแล้ว

“อ๊ากกกกกกกกก”

ผมร้องเสียงดังเพื่อระบายความเจ็บพร้อมกับที่น้ำตาหยดแหมะลงบนพื้นดังติ๋งๆ ถ้าเป็นคนธรรมดาคงไม่โอเวอร์ขนาดนี้ แต่เพราะผมเป็นพวก ‘เจ็บนิดเดียวถึงตาย’ หรือง่ายๆ คือเป็นพวกเกลียดความเจ็บปวดทุกรูปแบบ อารมณ์เลยอ่อนไหวง่ายแม้จะแค่ตูดกระแทกพื้นจนชาเฉยๆ ก็ตาม

การอาบน้ำเป็นไปอย่างยากลำบากเมื่อน้ำตายังไม่ยอมหยุดไหลง่ายๆ เจ็บตูดก็เจ็บ แปรงฟันก็ต้องแปรง ภาพตอนนี้คงดูน่าอนาถมากแน่ๆ กว่าจะพันผ้าออกมานอกห้องได้ผมใช้เวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง ถึงจะหยุดร้องไปแล้วแต่ขอบตาช้ำๆ กับเสียงร้องตอนอยู่ด้านในคงทำให้คนด้านนอกตกใจไม่น้อย เพราะทันทีที่ผมออกมาเขาก็จ้องหน้ากันเหมือนรออยู่ก่อนแล้ว

“ลื่นล้ม” ผมบอกโดยไม่ต้องรอให้ถาม แต่ไม่คิดอธิบายว่าสำหรับคนอื่นตูดกระแทกพื้นแบบเมื่อกี้คือธรรมดามาก อันที่จริงเขาคงไม่ร้องกันด้วยซ้ำ ขืนบอกไปแบบนั้นคงเสียหน้าแย่ ใครเขาจะมาเชื่อถือหมอที่โดนอะไรนิดอะไรหน่อยเป็นร้องไห้แต่กลับบอกคนไข้ว่าคุณพยาบาลทำแผลไม่เจ็บเล่า จริงๆ คือถ้าเป็นหมอคงร้องจ๊ากตั้งแต่สำลีแตะโดนเนื้อแล้ว

“อ่อ”

ไอ้บ้านี่ก็ไม่คิดถามไถ่ตามมารยาทอะไรเลยสักนิด เดินดุ่มๆ เข้าห้องน้ำเสียอย่างนั้น แต่ก็ดีเหมือนกัน...ผมจะได้มีเวลาทายาให้เรียบร้อย

หลังคิดได้ว่าควรทำอะไรก่อนผมเลยเดินไปหยิบเสื้อมาใส่ มีเพียงกางเกงที่ยังไม่ได้ใส่เพราะต้องรอทายาก่อน โชคดีที่เป็นคนขี้กลัวแบบแอบๆ เลยพกยาสามัญประจำบ้านติดตัวไว้ตลอด และยาทาแก้ช้ำก็เป็นหนึ่งในนั้น ปัญหาคือ...ทำไมยามันเหลือนิดเดียววะเนี่ย แล้วถ้าปวดทั่วตูดควรทาตรงไหน...จะลองจิ้มก็ไม่ได้อีกกลัวเจ็บ เพราะงั้นเหลือแค่ทางเลือกเดียว

โอเค...มีเสียงน้ำแสดงว่ายังอาบน้ำอยู่ น่าจะมีเวลาอีกสักพัก

ผมถกผ้าขนหนูที่พันเอวทิ้งไปแล้วหันหลังให้กระจก รอยช้ำที่ก้นทั้งสองข้างแทบทำให้น้ำตาไหลออกมาอีกรอบ มองยาที่มีอยู่แค่ปลายนิ้วก้อยแล้วหดหู่จนไม่รู้จะป้ายลงตรงไหนดี สุดท้ายผมเลยตัดสินใจป้ายยาตรงจุดที่คิดว่าช้ำมากที่สุด

อีกนิดเดียว...แตะเบาๆ ไม่เจ็บหรอก อีกนิด...อีกนิด

“เหี้ย!” สมาธิทั้งหมดที่มีแทบจะจางหายไปพร้อมเสียงร้องของตัวเองยามหันไปเห็นว่ามีใครบางคนกำลังมองมา

เอาล่ะ...อย่ากระโตกกระตาก ผู้ชายโป๊ใส่หน้ากันเป็นเรื่องปกติ แค่เปลือยท่อนล่างนิดเดียวไม่มีปัญหาหรอก

“มายืนตรงนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่” ผมถามเสียงนิ่งเหมือนไม่คิดอะไร ทั้งที่ในใจตะโกนหยาบคายด้วยความอับอายดังลั่น

“ตั้งแต่...” ใบหน้าไร้อารมณ์ของเขาฉายแววสับสนขึ้นวูบหนึ่งเหมือนนึกคำไม่ออก ผมรีบยกมือยั้งไว้ ลองถ้าคนหน้าปลาตายคิดหนักขนาดนี้ มันต้องไม่ใช่คำตอบที่ดีแน่ๆ

“คือ...พอดีฉันล้มในห้องน้ำแรงไปหน่อยเลยต้องทายา แล้วกระจกในห้องน้ำมันไม่ใหญ่พอจะมองเห็นว่าต้องทาตรงไหนน่ะ เนี่ย...มียาอยู่นิดเดียว ทาผิดจุดไปแย่เลยว่าไหม” เป็นการอธิบายอาการของตัวเองที่ทุเรศสุดๆ แถมยังเผลอยกนิ้วโชว์ยาที่ยังติดอยู่ตรงปลายนิ้วให้ดูด้วย

“ทาสิ”

“อะไรนะ”

“…” ภามไม่ตอบอะไร เขามองไปที่นิ้วของผมเป็นการย้ำคำพูด

“โอเค งั้นนายหันหลังไปสิ ไม่ก็กลับเข้าห้องน้ำไปอีกรอบ”

ครั้งนี้ไม่ใช่แค่เงียบ แต่คนกวนตีนหน้าตายยังอุตส่าห์เดินไปนั่งลงบนเตียงแล้วจ้องหน้าผมตาแป๋ว...เออ ไม่แป๋ว ตามันไม่มีแววอะไรเลยนี่หว่า

“ถึงเราจะเป็นผู้ชายเหมือนกัน แต่แค่เจอหน้ากันไม่กี่ครั้งแล้วจะมาแก้ผ้าใส่หน้ากันเลยเนี่ย มันออกจะแปลกไปหน่อยนะ” ผมพยายามเอาเหตุผลมาพูด แม้ในความเป็นจริงจะแก้ผ้าให้เห็นไปแล้วก็ตาม

“ผมไม่ถือ”

แต่ฉันถือ

“เอิ่ม...”

“อันที่จริง...” ภามพูดด้วยเสียงโมโนโทนของเขาขณะกวาดตามองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า “ตอนนี้คุณก็กำลังทำอยู่”

“…”

ปกติผมควรจะไม่เข้าใจสิ่งที่เขาพูด มันแย่ตรงที่ดันเข้าใจทุกอย่างเลยนี่ล่ะ มานึกออกก็ตอนนี้ว่าตัวเองยังไม่ได้ใส่กางเกง ทั้งยังโชว์อะไรต่อมิอะไรให้คนในห้องดูมานานแล้วด้วย

“โทษที ลืม” ผมพูดเสียงนิ่ง เลียนแบบความเป็นโมโนโทนจากเขา ก่อนจะเดินไปคว้ากางเกงมาใส่เงียบๆ หากมองจากภายนอกผมคงเป็นคนที่ควบคุมสถานการณ์ได้อย่างดีเยี่ยม แต่ถ้าเจาะเข้ามาในใจตอนนี้จะรู้เลยว่าแอบกรีดร้องไปแล้วเป็นรอบที่หนึ่งพันพอดิบพอดี

“ไม่ทายาแล้วเหรอ”

ยังกล้าถาม...จะกัดไม่ปล่อยเลยใช่ไหมวะเนี่ย

“อันที่จริงมันก็ไม่ได้เจ็บอะไรมาก นอนเลยดีกว่า จะตีสองอยู่แล้ว” ผมตัดใจป้ายยาทิ้งกับกางเกงตัวเองแล้วเดินไปล้มตัวลงนอน คราวนี้ไม่มีใครมาขัดขวางอะไรอีก พอหัวถึงหมอนอารมณ์อับอายขายขี้หน้าหรืออารมณ์อื่นใดล้วนหายไปหมด เพราะสิ่งที่เข้ามาแทนที่มีเพียงความง่วงนอนจนถึงขีดสุด ผมจะถือว่าเรื่องที่ตัวเองไปแอ่นตูดโชว์ศัตรูหมายเลขหนึ่งไม่เคยเกิดขึ้นแล้วกัน

เออใช่...นึกสงสัยมาตั้งนานว่าทำไมพอเป็นเรื่องของเจ้านี่แล้วผมถึงควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้เลย แถมยังเหมือนจะไม่ได้เฉื่อยชาหรือเอาแต่คิดว่าช่างหัวมันแบบที่เป็นยามอยู่กับคนอื่นในเวลาปกติอีก ที่แท้ก็เพราะเป็นศัตรูนี่เอง...ใช่...ต้องใช่แน่ๆ

แล้วทำไมทั้งที่คิดว่าใช่แน่ๆ แต่ใจถึงบอกว่าไม่ใช่นะ

ช่างมันเถอะ...

ผมไม่รู้ว่าตัวเองหลับไปตั้งแต่ตอนไหน แต่ที่แน่ๆ คือตอนนี้ผมกำลังฝันอยู่แน่นอน ในสถานที่ที่มืดมิดไม่มีอะไรอยู่เลยแบบนี้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรมันก็คือความฝัน และเพราะรู้แบบนั้นผมเลยตั้งท่าจะหยิกตัวเองให้ตื่น บอกตรงๆ ว่าการได้อยู่ตัวคนเดียวในที่แบบนี้มันไม่ใช่เรื่องน่ายินดีหรอกนะ เพราะนอกจากจะมืดแล้วยังน่ากลัวว่าจะมีอะไรโผล่มาอีกด้วย

“ฮึก…”

หยุดเลยไอ้เจได หยุดทำตัวเป็นคนขี้เสือกเหมือนเพื่อนมึงเดี๋ยวนี้

“ฮือ…”

ยังอีก...ไอ้ขาไม่รักดีแม่งก้าวไปหาต้นตอของเสียงเฉยเลย

“ช่วย...ฮึก...ช่วยด้วย”

ผมไม่รู้ว่าทำไมถึงได้เดินตามเสียงร้องไห้นั้นไปทั้งที่รู้ตัวอยู่แล้วว่าที่นี่ไม่ใช่ความจริง บางทีอาจเป็นเพราะเสียงร้องไห้นั้นมันน่าสงสารเกินทน หรือเพราะมันเป็นเสียงของเด็กที่ผมแพ้ทางสุดๆ แต่สุดท้ายผมก็มายืนอยู่ตรงนี้แล้ว...ด้านหลังของเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ที่กำลังเอาหน้าซุกเข่าร้องไห้สะอึกสะอื้นอยู่

“นี่…” ถ้ายื่นมือไปแตะไหล่แบบในหนังจะหันมาทำตาโบ๋ใส่ไหมวะ

โชคดีที่ในระหว่างที่ผมกำลังคิดเด็กชายตัวน้อยหันกลับมาหาพอดี ผมถอนหายใจโล่งอกเมื่อพบว่าหน้าตาเขาไม่ได้มีอะไรผิดปกติ

“พี่ครับ ผมหนาวมากเลย”

“อ่า…" ยังไงดีวะเนี่ย สวมบทคุณหมอแบบตอนคุยกับเด็กๆ แล้วกัน “งั้นมาอยู่ใกล้ๆ พี่สิจะได้ไม่หนาว”

ผมทรุดตัวลงขัดสมาธิแล้วตบตักตัวเองเบาๆ ซึ่งน้องเขาก็พยักหน้าหงึกหงักแล้วขยับมานั่งลงตรงกลางแต่โดยดี เด็กน้อยดึงมือผมให้กอดตัวเองไว้แล้วหัวเราะออกมาเบาๆ

“อุ่นแล้ว”

“อือ” อดลูบหัวคนในอ้อมแขนไม่ได้เมื่อเห็นท่าทางน่าเอ็นดูของเขา จะว่าไปหัวดำๆ กับตาดำๆ คู่นี้มันคุ้นดีนะ แต่จะแปลกอะไรในเมื่อคนไทยส่วนใหญ่ก็มีผมกับตาสีนี้อยู่แล้ว

เดี๋ยว...สีผมกับตาอาจจะใช่ แต่ใบหน้าหล่อแต่เด็กแถมยังเป็นลูกครึ่งแบบนี้ผมรู้จักอยู่แค่คนเดียว

“พี่…”

“…”

“คุณ...”

“เฮ้ย!”

ภาพเหตุการณ์ในความฝันถูกแทนที่ด้วยความเป็นจริง ใบหน้าของเด็กผู้ชายตัวเล็กๆ ถูกแทนที่ด้วยผู้ใหญ่ตัวโตๆ ที่ลอกตาหูคอจมูกปากมาจากกันแบบเป๊ะๆ และที่สำคัญคือเขากำลังมองผมด้วยใบหน้าปลาตายจากด้านข้าง

“คุณฝัน”

“ฝันร้ายเหรอ ขอบใจนะ” แต่จริงๆ ก็ไม่ได้ฝันร้ายนี่หว่า หรือการฝันถึงเจ้านี่ตอนเด็กจะเป็นฝันร้าย

“ฝันดี...”

“แล้ว...” ปลุกทำไมล่ะ ผมเกือบจะขมวดคิ้วอยู่แล้วถ้าไม่ใช่ว่าได้ยินประโยคต่อไปเสียก่อน

“ฝันดีจนหัวเราะไม่หยุด ผมนอนไม่หลับ”

ฉิบหาย...

“โทษที” ผมบอกเสียงอ่อยแล้วรีบลุกขึ้นนั่ง ไม่ใช่ว่าไร้จิตสำนึกจนไม่รู้ว่าห้องนี้เป็นของใคร อุตส่าห์แบ่งห้องแบ่งเตียงให้นอนแล้วยังต้องนอนไม่หลับอีก เป็นผมคงโมโหจนระเบิดไปแล้ว

“อืม”

ตามมารยาทต้องบอกว่าไม่เป็นไร เออลืม...ตรรกะธรรมดาใช้กับไอ้หน้าปลาตายไม่ได้ผล

“งั้นนายนอนเลย ฉันรอนายหลับก่อนแล้วค่อยหลับต่อ” ผมพยายามทำตัวแมนๆ ด้วยการยื่นข้อเสนอที่เป็นประโยชน์ต่อเขาให้ แต่ภามกลับนั่งนิ่งไม่หือไม่อือ เนิ่นนานกว่าเจ้าของร่างสูงใหญ่จะก้าวเท้าลงจากเตียงและตรงไปที่กระเป๋าของตัวเอง

จากที่กำลังจะลุกตามไปดูว่าเขากำลังทำอะไรผมกลับต้องชะงักเมื่อบางสิ่งถูกปาใส่ตัว ถึงมันจะไม่เจ็บอะไรแต่พอโดนปาของใส่แบบนี้มันก็น่าตกใจอยู่เหมือนกัน โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ไม่ได้สนิทสนม ผมเกือบจะอ้าปากตำหนิอยู่แล้วหากไม่ได้ยินเจ้าตัวพูดแทรกขึ้นมาก่อน

“คุณบอกให้ปาใส่หน้า แต่ผมว่ามันไม่ใช่สิ่งที่สมควรทำ”

ผมกวาดสายตามองครีมกับที่โกนหนวดซึ่งถูกโยนมาเมื่อครู่อย่างพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ไม่รู้ว่าตอนนี้ควรจะหัวเราะให้กับความซื่อของอีกฝ่าย หรือควรจะกระโดดถีบใบหน้าหล่อเหลานั่นข้อหากวนตีนก่อนดี

“นายเลยปาใส่ตัวแทน?”

“อืม”

อืม….อืม&$^&(@&(#^(@

“ฉันไม่!...”

“ถ้าคุณไม่ทำตามสัญญา ผมจะโยนข้าวของของคุณออกนอกระเบียง”

ไอ้คนเลว!

ผมคว้าอุปกรณ์สองอย่างไว้ในมือแล้วลุกขึ้นยืน ตามองหน้าภามอย่างเคียดแค้น...ก่อนจะเดินเข้าห้องน้ำไป

เออ...แพ้มันหมดทุกเรื่อง พ้นวันนี้ไปแล้วขอให้อย่าได้พบได้เจอกันอีกเลยเถอะ สาธุ!


————————-



TALK: อยู่กับน้องภามหัวร้อนจนลืมเบื่อชีวิตแล้วคุณเจได ฮา
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[2]== [17/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 17-05-2018 18:41:30
เขินจนจะเป็นบ้าเลยค่ะ น้องภามค่าตัวแพงมากลูก555 ส่วนคุณหมอก็ไปโชว์ก้นให้เขาเฉยเลย ตลก :laugh:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[2]== [17/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 17-05-2018 19:06:52
คุณหมอจะถอดรูปโจรออกแล้ว เย่! :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[2]== [17/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 17-05-2018 19:13:29
แพ้อีกแล้ว เจได  o18
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[2]== [17/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Babelilong ที่ 17-05-2018 19:22:29
 :katai5: :katai2-1: :katai5: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[2]== [17/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Naamtaan22 ที่ 17-05-2018 20:22:32
คิดถึงคุณหมอเจไดกับน้องภามมากกก เห็นชื่อเรื่องครั้งแรกแล้วงงอยู่พักใหญ่ พออ่านบทนำจบนี่กรี๊ดทันที ในที่สุดเซ็ตนี้ก็ครบคนสักทีถึงชื่อเรื่องจะไม่ค่อยเข้าพวกแต่เราก็เข้าใจได้555+
เจไดก็โวยวายหัวร้อนได้ตลอดส่วนภามก็นิ่งสยบทุกความเคลื่อนไหว อ่านแล้วคิดถึงพี่ภู สมกับเป็นพี่น้องกันจริงๆ  รอตอนต่อไปค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[2]== [17/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 18-05-2018 02:00:30
555 เจอของดีเข้าไปแพ้เลยสิพ่อหนุ่ม
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[2]== [17/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 18-05-2018 10:45:49
คุณหมอเจได :)
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[2]== [17/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: mayyiyi ที่ 19-05-2018 10:12:03
แพ้ทางสินะคุณหมอ :hao6:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[2]== [17/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Margarita ที่ 21-05-2018 18:11:26
 :ling3: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[2]== [17/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 21-05-2018 19:39:20
-3-


ไม่ชินเลย...

หน้าขาวๆ โล่งโจ้งซึ่งไม่ได้เห็นมานาน พอผนวกรวมกับความเหลวของไขมันที่พุงกับใต้ท้องแขนแล้ว ผมกลายเป็นคนที่ดูเหยาะแหยะสุดๆ แต่ถ้าเอาเฉพาะหน้า หากไม่นับขอบตาดำๆ แถมยังช้ำหนักมากของตัวเองคงพอเรียกได้ว่าหล่อเหมือนเดิม ค่อยสมกับเป็นรองเดือนมหา’ลัยหน่อย

“พอใจยัง” เมื่อส่องหน้าตัวเองเรียบร้อยแล้วผมเลยหันไปหาตัวต้นเรื่องที่ทำให้ผมต้องโกนหนวดที่เลี้ยงไว้มานานออก ดูเหมือนภามจะมองหน้าผมอยู่ก่อนแล้ว พอหันไปหาเขาเลยพยักหน้าให้หนึ่งครั้งแล้วตอบเป็นเสียงโมโนโทน

“อืม”

“นี่ ขออะไรอย่างได้มะ” ผมเดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าคนพูด “จะบอกว่าเอาแต่ใจก็ได้ แต่ฉันโคตรเกลียดคำว่าอืมเลย ถ้าไม่ได้จะกวนตีนกันช่วยหยุดพูดทีได้ไหม”

คำว่าอืมเป็นคำที่ผมกับเพื่อนชอบใช้เวลาจะกวนตีนกัน ไอ้เก้ากับไอ้โซมันรู้ว่าผมไม่ชอบเลยเอามาล้ออยู่บ่อยๆ ขนาดเป็นเพื่อนเวลาได้ยินยังหงุดหงิดใจจนบางครั้งนึกอยากโมโหออกมาเสียด้วยซ้ำ พอมาได้ยินคนอื่นพูดใส่บ่อยๆ ผมเลยไม่ค่อยชอบเท่าไหร่ มันทำให้หัวร้อน

“ถ้าไม่ใช่ว่าเรารู้จักกันแล้วฉันคงเดินหนี แต่เพราะเราหลีกเลี่ยงกันไม่ได้ เพราะงั้นเพื่อความสบายของเราทั้งคู่ นายช่วยเลี่ยงคำนั้นได้ไหม”

“ทำไม” เขาเอียงหัวน้อยๆ เป็นเชิงถาม หากเป็นเมื่อก่อนผมคงคิดว่ากำลังโดนกวนตีน แต่ดูจากที่ได้พูดคุยกันมา เจ้านี่น่าจะอยากถามจริงๆ มากกว่า

“มันเหมือนตอบแบบไม่เต็มใจตอบน่ะ หรือไม่ก็เหมือนคนที่ชอบทำตัวหยิ่งๆ ไม่อยากคุยด้วย บางคนเวลาได้ยินแบบนั้นเขาจะไม่ค่อยชอบนะ” นั่นรวมถึงตัวผมเองด้วย

“คุณไม่ชอบให้ผมพูด”

“ใช่ ฉันจะใช้คำนั้นเวลาโมโหหรือเอาไว้ตัดบทกับคนที่ไม่อยากคุย ถ้านายไม่ได้หมายความแบบนั้นอย่าใช้ดีกว่า”

“เข้าใจแล้ว”

“ดีๆ”

เออ...ว่านอนสอนง่ายดี ถึงมันจะพูดคำว่าอืมให้ผมหัวร้อนไปแล้วเกือบสิบรอบก็ตาม

“ผมจะเอาไว้ใช้เวลาโมโหหรืออยากตัดบทกับคนที่ไม่อยากคุย

“อ่า…” ผมยกมือเกาหัวแกรกๆ เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าที่พูดนี่ควรไหม ทำไมรู้สึกเหมือนเรื่องยุ่งยากจะตามมายังไงก็ไม่รู้ “แล้วนี่ไม่นอนต่อแล้วเหรอ”

“เจ็ดโมงแล้ว”

“จริงดิ” นี่ผมไม่รู้ตัวเลยนะว่าเจ็ดโมงแล้ว คิดว่าตอนตื่นขึ้นมาเพราะโดนปลุกเพิ่งจะตีสามตีสี่ด้วยซ้ำ

“คุณใช้เวลาอยู่ในห้องน้ำสองชั่วโมง”

เออว่ะ...เพิ่งนึกออกตอนนี้เองว่าใช้เวลาอยู่ในนั้นนานขนาดไหน มิน่าถึงเมื่อยขานิดๆ ตอนเดินออกมา

“ฉันไม่ได้โกนหนวดมานานนี่” ผมตอบทั้งหน้าตึง แม้ความจริงจะโกนเสร็จตั้งแต่สิบห้านาทีแรกแล้ว แต่ใช้เวลาพิจารณาหน้าตัวเองอยู่นานก็ตาม ทำไงได้ล่ะ...ไม่ได้เห็นหน้าชัดๆ มาตั้งนาน แต่ก็ไม่ได้ตั้งใจให้มันนานขนาดนั้นสักหน่อย ไม่ได้ตั้งใจน่ะเข้าใจไหม

“ประหลาด” จู่ๆ คนหน้าตายก็พูดขึ้นมาลอยๆ ผมเลยรีบหันขวับไปมองเพราะรู้ดีว่าเขาหมายถึงใคร

“อะไรประหลาด”

“คุณแสดงอารมณ์ได้เยอะมาก”​ เขาบอกแล้วเอียงคอเหมือนสงสัย

“ฉันน่ะไม่ประหลาด นายต่างหากที่ประหลาด ไม่มีอารมณ์อะไรเลย เคยยิ้มบ้างไหมเนี่ย” ผมพูดออกไปตามความเป็นจริง หากสิ่งที่คาดไม่ถึงคือใบหน้าผงะค้างไปของภาม เขาทำให้ผมรู้สึกเหมือนตัวเองพูดอะไรผิดไปทั้งที่สีหน้าของเจ้าตัวไม่ได้เปลี่ยนไปเลยแม้แต่นิดเดียว

แล้วทำไมผมถึงไปอ่านความรู้สึกลึกๆ ของมันออกได้วะเนี่ย ไหนจะความรู้สึกผิดนี่อีก

“พี่บอกว่าเราจะยิ้มเวลามีความสุข”

“แล้วเวลาอยู่กับพี่นายหรืออยู่กับเก้านายเคยยิ้มบ้างไหม” ผมลองถาม

“เคย” เขาพยักหน้าส่วนผมถอนหายใจโล่งอก เอาวะ...อย่างน้อยมันก็ยิ้มเป็น

“ที่นายชอบจ้องโดยไม่พูดอะไรนี่ ถามจริงๆ เถอะว่าต้องการอะไร” ผมเหลือบตามองคนพูดไม่เก่ง มาถึงตอนนี้เริ่มเดาออกลางๆ ว่าเหตุผลของการที่เขาเอาแต่จ้องผมอาจเป็นเพราะต้องการพูดอะไรบางอย่าง แต่เพราะไม่รู้จะพูดยังไงถึงทำได้แค่จ้องนิ่งๆ ดูจากท่าทีในตอนนี้แล้วยิ่งช่วยย้ำความมั่นใจเข้าไปใหญ่

“ผม...พยายามคิด” ภามพูดช้าๆ แล้วนิ่งไปอีก ผมเริ่มจับทางได้เลยยอมปล่อยให้เขานั่งคิดต่อไปโดยไม่เอ่ยแทรก “คิดว่าควรพูดยังไง”

“ปกติเวลาอยู่กับพี่นายก็เป็นแบบนี้เหรอ”

“เปล่า” เขาส่ายหน้า “เวลาพูดกับพี่หรือเก้าผมพูดอะไรก็ได้ ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนโกรธ”

หา...

“หมายความว่าที่นายจ้องฉันนิ่งๆ นานๆ เป็นเพราะนายพยายามคิดคำพูดที่จะไม่ทำให้ฉันโกรธงั้นเหรอ” ผมแทบจะกุมขมับเมื่อเห็นภามพยักหน้าหงึกหงักเป็นคำตอบ

“เมื่อวานคุณก็ทำเหมือนโกรธตอนที่ผมพูดแบบลืมคิด”

“ตอนไหน”

“ตอนที่บอกว่าจะโยนของออกไปข้างนอก”

ที่แท้ไอ้ประโยคน่าฆ่าทิ้งนั่นมันเกิดขึ้นเพราะเขาลืมหยุดคิดคำพูดเหรอเนี่ย แต่เดี๋ยวนะ...อายุตั้งยี่สิบกว่าแล้ว ทำไมถึงยังต้องหยุดคิดอะไรนานๆ อีก ผมขมวดคิ้วด้วยความสงสัยก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปสำรวจเจ้าของหน้าปลาตายใกล้ๆ เขาเองก็จ้องมองกลับมานิ่งๆ โดยไม่คิดหลบ ซึ่งถือเป็นเรื่องดีสำหรับการสำรวจอาการเป็นอย่างยิ่ง

“นายก็ดูไม่ได้มีความผิดปกติอะไรนะ หรือเป็นโรคทางจิตเวช” ผมกะพริบตาปริบๆ เมื่อไม่เห็นความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้านั้น “ทำไมนายถึงต้องใช้เวลาคิดก่อนจะพูดนานๆ ด้วย”

“ผม...ไม่ค่อยได้คุยกับใคร ถึงจะเที่ยวไปทั่วแต่ก็ไม่ได้พูดกับใครเลย”

“แล้วแบบนั้นจะสนุกเหรอ” ได้ยินคำตอบแล้วผมอดแนะนำไม่ได้ ดูๆ ไปแล้วเจ้านี่ก็น่าสงสารอยู่เหมือนกันนะ ท่าทางเหมือนเด็กเลย “รู้ไหมว่าเที่ยวคนเดียวสบายกว่าก็จริง แต่ถ้านายอยู่กับมันนานเกินไปจะเหงาเอานะ ลองหาเพื่อนเที่ยวดูบ้างสิ เผื่อมันจะสร้างประสบการณ์ที่แตกต่างให้ นายอาจจะชอบมากกว่าแบบเดิมก็ได้”

ผมไม่รู้ว่าพื้นฐานครอบครัวของแฟนไอ้เก้าเป็นอย่างไร ไม่รู้ว่าภามต้องเจออะไรมาหรือโดดเดี่ยวขนาดไหน แต่ดูจากอาการที่เขาเป็นแล้วมันน่าเป็นห่วงพอควรเลย ในฐานะของแพทย์แล้วผมอดรู้สึกแย่ไม่ได้ ถ้าแค่ไม่สบายหรือเป็นอะไรที่เกี่ยวข้องกับร่างกายคงง่ายกว่านี้เยอะ แต่ถ้าเขาเป็นอะไรที่เกี่ยวกับจิตใจขึ้นมาจริงๆ ผมคงไม่รู้จะช่วยยังไง

“ไม่มีใครอยากเที่ยวกับผมหรอก”

“บ้าเหรอ ต้องมีสิ” ผมตบไหล่ภามเบาๆ แล้วพูดต่อ “เอางี้...ต่อจากนี้นายพูดกับฉันตามสบายเลย ถ้าพูดไม่ถูกหรือไม่ดีฉันจะบอกจะสอนเอง เหมือนตอนนายพูดคำว่าอืม แบบนี้โอเคไหม”

“คุณพูดเหมือนเราจะได้อยู่ด้วยกันต่อ”

ฉิบ...ลืม

“อะ...เออ...หมายถึงถ้าได้เจอกันอีกไง” จู่ๆ ก็เริ่มเหงื่อแตกเมื่อรับรู้ได้ถึงสัญญาณบางอย่าง

“คุณบอกว่าให้หาเพื่อนเที่ยว...”

“…” เอาละ

“เพื่อนคนนั้น...เป็นคุณได้ไหม”

ถ้าเป็นผู้หญิงคงได้มีกรีดร้องจนสลบไปข้างเมื่อได้ยินคำพูดเหล่านั้น แต่เผอิญว่าผมเป็นผู้ชาย ทั้งยังโดนพูดประโยคดังกล่าวใส่ด้วยน้ำเสียงโมโนโทน ในใจตอนนี้เลยมีเพียงคำว่าฉิบหายๆๆๆ ดังซ้ำไปซ้ำมาไม่หยุด

“เพราะไม่อยากให้พี่เป็นห่วงผมถึงพยายามยิ้มและบอกว่าตัวเองมีความสุขต่อหน้าเขา” ภามเริ่มพูดออกมา เขาไม่ได้รั้งตัวผมไว้ แต่กลับใช้ดวงตาคู่นั้นสะกดกันได้จนอยู่หมัด “อันที่จริงผมยังไม่เข้าใจด้วยซ้ำว่าความสุขคืออะไร”

ดูเหมือนพอผมบอกให้เขาพูดโดยไม่ต้องคิดนานๆ ภามก็ทำตามนั้นจริงๆ เขาพูดประโยคยาวๆ ออกมาได้ แม้จะดูลังเลกับการพูดบางคำอยู่

“ผมแค่รู้สึกว่าถ้าอยู่ใกล้คุณบางทีผมอาจจะได้รับคำตอบ”

“หา…”

“คุณตลก ดูปัญญาอ่อน”

“เดี๋ยวๆ อันนี้จะไม่คิดมากเกินไปละ”

“แต่กลับเหมือนซุกซ่อนอารมณ์ลบๆ อะไรไว้อยู่”

“…” ผมได้แต่เงียบเมื่อเขาพูดตรงจุด เป็นครั้งแรกที่ผมมองเห็นดวงตาว่างเปล่าคู่นั้นเปล่งแสงเหมือนกำลังพยายามตีความหมายท่าทางของผมอยู่

“ถ้าเราไปด้วยกัน บางทีผมอาจเจอคำตอบของตัวเอง ส่วนคุณก็อาจเจอหนหางแก้ไขความรู้สึกที่เป็นอยู่”

“นายกำลังหว่านล้อมฉัน?”

“ใช่”

“งั้นลองบอกมาสิว่าฉันรู้สึกอะไร” ผมกอดอกมองใบหน้าปลาตายของเขาอย่างท้าทาย หากคนตรงข้ามกลับพูดออกมาได้โดยไม่หยุดคิด

“ผมไม่รู้ว่าคุณรู้สึกอะไร แต่รู้แค่ว่าความรู้สึกของคุณ ถ้าไม่ได้รับการแก้ไขมันอาจจะหมายถึงชีวิต”

“รู้ดีจังนะ”

“มองตาผม...แล้วคุณจะเข้าใจ”

แม้จะไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงทำตามคำพูดนั้นอย่างง่ายดาย แต่ผมก็ยังเลือกจ้องมองดวงตาสีดำขลับไร้คลื่นอารมณ์คู่นั้นนิ่งงัน เป็นเวลานานหลายนาทีที่ผมไม่พบว่ามันแปรเปลี่ยนไปเลยสักนิด หากความว่างเปล่านั้นเอง...ที่หมายถึงคำตอบ

เขารู้...เพราะตัวเองเคยผ่านมันมาแล้ว








สองเดือนคือระยะเวลาที่เราจะอยู่ด้วยกัน

สองเดือนก่อนที่ผมจะกลับไปใช้ชีวิตในแบบเดิมๆ และสองเดือนก่อนที่เขาจะเดินทางไปท่องเที่ยวต่อในประเทศอื่น จะว่านานก็นาน จะว่าไวก็ไว นั่นขึ้นอยู่กับว่าเราจะเลือกอยู่ร่วมกันแบบไหน และผมหวังว่าความรู้สึกของตัวเองจะคิดว่ามันนานไปจนถึงวันสุดท้าย เพราะเมื่อไหร่ที่คิดว่าไวขึ้นมา เมื่อนั้นความฉิบหายจะบังเกิดแน่

แต่เรื่องนั้นช่างหัวมันไปก่อน เพราะตอนนี้...เรากำลังเถียงกัน

“นายวางแผนเดินทางมาเที่ยวไทยไม่ใช่หรือไง ทำไมไม่มีโปรแกรมอะไรเลยล่ะ” ผมขมวดคิ้วจ้องหน้าภามขณะที่เรากำลังยืนแบกกระเป๋ากันอยู่ตรงจุดที่รถของโรงแรมพามาส่ง จำได้ว่าผมบอกให้พามาส่งนอกเขตโรงแรมตรงที่ไปไหนมาไหนได้สะดวก แต่ทำไมถูกเอามาทิ้งไว้ตรงริมหาดที่ไม่มีใครเลยสักคนก็ไม่รู้

“ผมวางแผนแค่ว่าจะไปประเทศอะไรต่อ ไม่ได้คิดว่าต้องไปที่ไหนในประเทศนั้น” เขาตอบกลับเสียงเรียบ ไม่เสียเวลายืนคิดนานๆ อีกแล้วหลังจากคุยกันไปเมื่อเช้า ซึ่งบอกตรงๆ ว่า...ความกวนตีนแบบซื่อๆ นั่นทำให้ผมนึกอยากขอให้เขากลับไปเป็นเหมือนเดิมอยู่หลายรอบเลยทีเดียว

“แล้วปกติเวลาไปประเทศอื่นทำไง”

“ไปตายเอาดาบหน้า”

“ไหนว่าไม่ถนัดภาษาไทยไง!” มาเป็นสำนวนเลยเนี่ย แล้วมาอธิบายให้ผมฟังว่าตัวเองพูดจาไม่เหมาะกับสถานการณ์อยู่บ่อยครั้งเป็นเพราะไม่ค่อยได้ใช้ภาษาไทย พอผมถามว่าแล้วทำไมพูดชัดก็บอกแค่ว่าแม่ที่เป็นคนไทยสอน แล้วเก้าก็ชอบพูดไทยด้วย แต่หลังๆ มาเวลาคอลกันเก้ามักอยู่กับพี่ชายตัวเอง ภาษาที่ใช้หลักๆ เลยกลายเป็นภาษาอังกฤษตามไปด้วย เจ้าหนุ่มลูกครึ่งไทยอังกฤษคนนี้เลยไม่ค่อยได้ใช้ภาษาไทยอีก

“เคยได้ยินคำยากๆ บางคำแล้วจำได้” เขาบอกง่ายๆ แล้วยักไหล่ “แค่ผมพูดชัดเข้าใจง่ายก็ดีแล้ว”

“ก็ได้ๆ” พอขี้เกียจเถียงผมเลยได้แต่ถอนหายใจ “แล้วจะเอายังไงดี ไม่รู้จะไปไหนเนี่ย”

 “ไปตามลม”

“หา…”

ยังไม่ทันได้สงสัยอะไรมือใหญ่ๆ ที่ผมเคยนึกสงสัยว่าจะแรงเยอะเหมือนเมื่อก่อนหรือเปล่าก็คว้าหมับเข้าที่ข้อมือผมแล้วออกแรงลากให้เดินตามอย่างรวดเร็ว ภามลากผมให้เดินไปตามหาดจนถึงจุดพักจุดหนึ่งที่มีเก้าอี้นั่ง แต่เพราะขาของเขายาวกว่า...นิดหน่อย ผมเลยต้องจ้ำตามจนหอบไปหมด เพิ่งรู้ว่าร่างกายตัวเองอ่อนแอขนาดไหนหลังจากเลิกออกกำลังกายก็วันนี้เอง

“นายพาฉันมาที่ไหนน่ะ” ผมนั่งลงตามแล้วหันไปหาคนด้านข้างที่ไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยเลยสักนิด

“ไม่รู้เหมือนกัน”

“เอ้า! แล้วที่ลากให้วิ่งมานี่คือต้องเหนื่อยฟรีเหรอ”

“คิดซะว่าออกกำลัง เผื่อกล้ามเนื้อจะเพิ่มขึ้นบ้าง” ภามตอบหน้าตาเฉย แต่ทำเอาผมอยากยกเท้าขึ้นมาถีบ

ไม่ได้ๆ...เราเป็นคนบอกเองให้พูดออกมาตรงๆ แบบไม่ต้องคิดมาก

“ถ้านายไม่บอกว่าตัวเองมีปัญหาเรื่องการพูด ฉันคงคิดว่าไปติดนิสัยไอ้เก้ามา” ผมบ่นตามความจริง ไอ้เก้ามันยิ่งนิสัยประหลาดๆ อยู่ คิดอะไรก็ไม่เหมือนชาวบ้าน ที่สำคัญคือมันเป็นพวกตรงไปตรงมาจนน่ากระทืบ จะว่าไปภามก็รู้จักมันมานานหลายปีแล้ว หรือจะไปติดมันมาจริงๆ วะ ผมหับขวับไปมองเขาแล้วหรี่ตาจับผิด “อย่าบอกนะว่าเอาลักษณะภายนอกมาจากพี่ชาย แต่ไปเอานิสัยไอ้เก้ามาผสมด้วยน่ะ”

“ไม่แน่ใจ” บางทีก็ตอบตรงไปตรงมาเหลือเกิน

“แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว”

“แต่คุณลืมไปอย่าง” ภามมองผมด้วยดวงตานิ่งๆ ของเขา

“ลืมอะไร”

“ไม่ว่าจะเหมือนใคร...แต่ผมก็คือผมอยู่ดี”

เรามองหน้ากันอยู่นานจนได้ยินเสียงเรือแล่นเข้ามาใกล้ ผมมองตามแผ่นหลังกว้างของคนที่ลุกขึ้นยืนมองออกไปยังเรือลำนั้นนิ่งงัน อดนึกถึงประโยคที่เขาพูดออกมาอยู่ในใจไม่ได้

ผมก็คือผมงั้นเหรอ...

“มาเร็วเข้า” ภามหันมาคว้าข้อมือผมแล้วทำท่าจะดึงให้เดินตามอีกครั้ง แต่คราวนี้ผมรั้งแขนตัวเองไว้จนเขาหันมามองด้วยสีหน้าปลาตายแบบที่ผมเริ่มมองออกว่ามันหมายถึงเจ้าตัวกำลังสงสัย

“ฉันไม่เคยลืมสักหน่อย” เพราะงั้นอย่ามาพูดให้รู้สึกผิดนะ จำได้แม่นเลยล่ะว่าตอนเจอกันครั้งแรกมาดหมายให้คนคนนี้เป็นถึงศัตรูอันดับหนึ่ง เป็นสิ่งมีชีวิตที่ไม่อยากยุ่งเกี่ยว แต่ตอนนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว...เปลี่ยนเป็นเพื่อนร่วมเดินทางแบบงงๆ แทน

ผมแกะมือภามออกแล้วเป็นฝ่ายคว้าแขนเขาก้าวเดินอาดๆ ไปด้านหน้าแทน นาทีไม่รู้หรอกว่าอีกฝ่ายกำลังทำหน้าแบบไหนและไม่อยากรู้ด้วย แต่พอเดินมาสักพักถึงได้รู้ตัว ผมตบหน้าผากตัวเองแบบเนือยๆ ขณะหันกลับไปจ้องมองคนที่เดินตามอยู่ด้านหลัง

“ว่าแต่...นายจะไปไหนนะ”

สายตาที่จ้องมองแขนของเขาเองซึ่งโดนผมจับอยู่ค่อยๆ เงยขึ้นมาสบกันช้าๆ ผมแอบหงุดหงิดอยู่ในใจเมื่อพบว่าดวงตาคู่นั้นมีอิทธิพลกับตัวเองจนทำให้เผลอมองค้างได้ทุกครั้ง

“ไปที่เรือ”

“ไปทำอะไรที่เรือ” จากที่เห็นไกลๆ เรือลำนั้นน่าจะเป็นเรือสปีดโบ๊ทที่กำลังมุ่งตรงมาที่ขอบฝั่งด้วยความรวดเร็ว

“เดี๋ยวก็รู้เอง”

เหมือนภามจะไม่พอใจเมื่อเห็นผมเดินตามแบบเนือยๆ เพราะเริ่มเหนื่อย ไอ้ถึกเลยจัดการหันกลับมาลากแขนผมเหมือนเดิมให้วิ่งตามเขาไปในทิศทางที่เรือจะเข้ามาจอดเทียบหาด เออดี...ดึงกันไปดึงกันมาอย่างกับกำลังเล่นเครื่องเล่น

เรือที่เพิ่งเข้ามาจอดเทียบหาดเป็นเรือสปีดโบ๊ทขนาดเล็กนั่งได้ไม่กี่คน บนเรือมีคุณลุงคนหนึ่งกำลังเก็บข้าวของทำท่าจะเดินลงมาจากเรือ ผมยืนงงอยู่ข้างภามที่กำลังจ้องเรือเหมือนกำลังวางแผนอะไรบางอย่างอยู่ เห็นสายตาที่จ้องแบบตาไม่กะพริบของเขาแล้วผมแอบเสียวสันหลังหวาดๆ รู้สึกเหมือนจะได้เป็นผู้สมรู้ร่วมคิดของพวกผู้ร้ายที่จะทำความผิดยังไงก็ไม่รู้

“นี่...บอกทีว่านายไม่ได้คิดจะขโมยเรือ” ผมกระซิบกระซาบถามเสียงเครียด แต่ภามกลับหันมามองด้วยสีหน้านิ่งๆ เหมือนจะถามว่านี่มึงบ้าหรือเปล่า

เออดี...อ่านหน้ามันออกด้้วยกู

“คุณเป็นหมอจริงๆ ใช่ไหม”

“ถามงี้หมายความว่าไง”

“ผมรู้จักหมอหลายคน ยังไม่เคยเห็นใครเหมือนคุณเลย” เขาว่าแล้วแบกกระเป๋าขึ้นพาดบ่าอีกครั้งเมื่อคุณลุงบนเรือก้าวเท้าลงมาพอดี แต่ผมรีบรั้งแขนเขาไว้แน่น มาทำให้สงสัยแล้วจะจากไปแบบนี้ได้ไง ยอมก็ไม่ใช่ผมแล้ว

“ไม่เหมือนยังไง”

ภามถอนหายใจแล้วหันหน้ากลับมา ก่อนจะพูดประโยคที่ทำให้ผมหัวแทบไหม้

“ไม่มีหมอคนไหนบ้าบอเหมือนคุณ”

“ไอ้!…”

“คุณภู!”

ผมอ้าปากค้างเมื่อได้ยินเสียงคนพูดตัดหน้า จากที่คิดจะด่าต้องพับปากเก็บไว้ก่อนแล้วหันไปมองคนมาใหม่แทน คุณลุงที่เพิ่งลงมาจากเรือคือผู้ที่วิ่งเข้ามาหาเรา เขาดูชะงักไปเล็กน้อยเมื่อเข้ามาใกล้ คงเพราะสังเกตเห็นแล้วว่าคนข้างผมไม่ใช่คุณภูแบบที่เขาเรียกในตอนแรก

“น้องชายคุณภูเหรอครับ” คุณลุงมองหน้าแวบเดียวก็ยิ้มออก บ่งบอกได้ชัดเจนทีเดียวว่าภามกับพี่ชายดูเหมือนกันมากขนาดไหน

“ใช่...คุณรู้จักพี่ผมเหรอ”

เวร ผมคิดว่าภามก็รู้จักลุงแกอยู่ก่อนแล้วเสียอีก

“คุณภูกับคุณเก้าเคยมาเที่ยวด้วยกันแถวนี้แล้วช่วยออกเงินทุนให้พวกลุงทำธุรกิจเรือสปีดโบ๊ทในตอนที่พวกเรากำลังลำบากน่ะครับ ทุกคนที่นี่เลยนับถือพวกแกมาก” คุณลุงยิ้มกว้างแล้วเดินเข้ามาใกล้กว่าเดิม “แล้วนี่พวกคุณจะข้ามเกาะกันหรือเปล่าครับ ให้ลุงไปส่งไหม”

ผมหันหน้าไปมองภามเพื่อรอฟังคำตอบแม้จะรู้สึกแปลกๆ เมื่อได้ยินคนพูดถึงไอ้เก้าในแง่ดีก็ตาม ลองคิดจะทำอะไรสักอย่างแบบนี้ ผมว่ามันไม่น่าช่วยลุงแกฟรีๆ หรอก คงจะได้ส่วนแบ่งไม่น้อยแน่ๆ

“ผมอยากไปที่นี่” ภามยื่นโทรศัพท์ส่งให้ลุงดู แกมองแค่แวบเดียวแล้วรีบส่งคืนเหมือนกลัวทำหล่น

“สบายมากครับ ขึ้นเรือได้เลย”

เออดี...บทจะง่ายก็ง่ายเหลือเกิน

บอกตามตรงว่าการนั่งสปีดโบ๊ทไม่ใช่เรื่องสนุก โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับผมซึ่งเป็นคุณหมอผู้แบกกล้ามเนื้ออ่อนนุ่มไว้กับตัว เรี่ยวแรงไม่ค่อยจะมี แถมยังไม่ได้ออกกำลังกายมานานเกินห้าปี อาการผะอืดผะอมแล่นพล่านจากท้องขึ้นมาถึงลำคอทั้งที่เรือเพิ่งออกตัวมาได้เพียงสิบนาที ผมพยายามขยับตัวให้สบายขึ้นเผื่ออาการที่มีจะจางหายไป แต่ดูเหมือนจะไม่ได้ผล

“คุณ…”

“อะ...อะไร” ผมถามเสียงสั่นเมื่อได้ยินเสียงเรียกจากคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

“เงยหน้าสิ”

“จะอ้วก”

“เงย”

หรือว่าเงยหน้าแล้วจะรู้สึกดีขึ้น อาจเป็นไปได้ คนที่เดินทางมาหลายที่อย่างภามน่าจะรู้ดี เมื่อสรุปได้ดังนั้นผมเลยพยายามยกหัวหนักๆ ของตัวเองขึ้นช้าๆ และในช่วงเวลานั้นเองที่...

แชะ!

“…”

นี่มึงไม่ได้ห่วงกู แต่จะหลอกให้เงยหน้าถ่ายรูปเหรอ ไอ้....

“หน้าตาตลก”

“หะ…อุบ!” ฉิบ...อ้วกจะพุ่ง

“มองออกไปไกลๆ อย่าก้มหน้า” เสียงเรียบๆ ที่เหมือนจะออกคำสั่งอยู่หน่อยๆ ดังขึ้นพร้อมกับที่ผมถูกเชยคางให้เงยหน้า ไม่รู้ว่าภามลุกขึ้นจากที่นั่งจนมาหยุดอยู่ตรงหน้ากันตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่กล้องที่เขาใช้ถ่ายผมเมื่อกี้ห้อยอยู่ที่คอเจ้าตัวเรียบร้อยแล้ว

“นายยืนได้ไง”

ท่ามกลางกระแสน้ำกับแรงกระแทกยามเรือขับเคลื่อนแบบนี้ เขากลับยืนนิ่งได้โดยไม่เซ ทั้งยังไม่มีทีท่าว่าจะปวดหัวเหมือนผมเลยสักนิด เห็นแล้วอิจฉาชะมัด

“บอกให้มองไปไกลๆ” ภามนั่งลงข้างผมโดยไม่ตอบคำถาม พอหันไปมองเขาก็ใช้มือเย็นๆ ของตัวเองดันแก้มผมให้หันกลับไปที่เดิม

“นี่ถึงขั้นจับหน้ากันได้แล้วเหรอ” ผมแกล้งถามเล่นๆ เพราะไม่ได้ถืออะไรมากมายอยู่แล้ว

“สิวไม่ขึ้นหรอก”

“จะบอกว่าตัวเองสะอาดว่างั้น”

“เปล่า แต่หน้าคุณ...”

กึก!

เสียงเรือกระทบคลื่นทำให้ผมไม่ได้ยินคำพูดสุดท้ายของภาม แต่ขอโทษเถอะ...ผมอ่านปากมันออก

หน้าคุณด้าน...

“นาย...อุบ!” ตั้งท่าจะด่าไอ้อ้วกในคอนี่ก็ตีตื้นขึ้นมาอยู่ได้ นี่ไปจับมือเป็นเพื่อนกับมันแล้วใช่ไหมถามจริง ช่วยเหลือกันดีเหลือเกิน

ครั้งนี้ผมท่าทางจะอาการหนักจริงจัง ปวดหัวจี๊ดจนเกือบทนไม่ไหว หากไม่ใช่ว่าคนกวนตีนด้านข้างยื่นมือมาเอาชูชีพแบบสวมหัวออกให้แล้วดึงเข้าไปนั่งพิงตัวเขาไว้เสียก่อน พอมีหลักพิงแบบสบายๆ แล้วอาการปวดหัวก็เริ่มดีขึ้นตามลำดับ ผมพิงแขนพิงไหล่ภามไว้ทั้งตัวแบบไม่เกรงอกเกรงใจ ทั้งยังเทน้ำหนักไปหาเต็มที่ด้วย

“ถ้าตกน้ำขึ้นมาฉันตายแน่” ผมพึมพำเบาๆ

“คุณว่ายน้ำไม่เป็นเหรอ”

“เป็น แต่สภาพนี้ว่ายไม่ไหว” เชื่อว่าถ้าตกน้ำจริงผมคงสลบเหมือดเป็นลำดับแรก “ถ้าจมฉันจะลากนายลงไปด้วย”

“ผมช่วยคุณอยู่แล้ว”

“อย่ามาทำซึ้ง ช่วยให้ตายไวขึ้นก็บอกมาเถอะ”

เหอะ...เหลือบมองหน้าทีเดียวก็รู้แล้ว อย่ามาทำเหมือนพระเอกหนังไปหน่อยเลย หมั่นไส้

“จะถึงแล้วครับ” เสียงสวรรค์จากคุณลุงที่กำลังขับเรือทำให้ผมใจชื้นขึ้นเป็นกอง ถึงขนาดลืมความอยากอ้วกแล้วกลับมานั่งตัวตรงเพื่อรักษาภาพพจน์ที่เหลือน้อยนิดได้เลยทีเดียว

หลังจากนั้นไม่นานนักเรือก็เข้าจอดเทียบหาดในที่สุด ผมขอบคุณคุณลุงแล้วเดินลงจากเรือด้วยความรู้สึกปลอดโปร่งและสดใสแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ด้านหลังมีภามแบกกระเป๋าของตัวเองเดินตามมา เขาแอบดูเหมือนช่างภาพมืออาชีพอยู่ไม่น้อยในยามที่่ถือกล้องยกขึ้นถ่ายภาพบรรยากาศโดยรอบ แต่ผมไม่มีทางชมออกไปแน่นอน เดี๋ยวเหลิง

“ขอบคุณ”

“อะไร” ผมหันไปถามเสียงเขียว

“เห็นทำหน้าเหมือนชื่นชมผมอยู่” ไอ้คนหลงตัวเองตอบหน้าตายชนิดที่คิ้วปากและตาไม่กระดิกเลยสักองศา

“มั่วละ” มีสัมผัสพิเศษหรือไงถึงได้อ่านใจกันออก ผมหันหน้าหนีแล้วเดินขึ้นไปบนหาดแทน ขืนยืนอยู่กลางทะเลนานกว่านี้คงได้ล้มแน่

จะว่าไปแล้วทำไมกูถึงใส่เสื้อผ้าแบบนี้มาวะเนี้ย เสื้อแขนยาวกางเกงขายาวแถมยังใส่รองเท้าผ้าใบ อ๋อ...เพราะไม่คิดว่าต้องมาลุยทะเลไง โดนลากมา คิดได้ดังนั้นเลยหันไปตวัดตามองไอ้ตัวต้นเหตุอีกที แต่ใครจะไปรู้ว่าเจ้านั่นกำลังถือกล้องเล็งมาทางผมพอดี

แชะ!

“คิดว่าอยู่ในสวนสัตว์หรือไง”

“ก็เหมือนอยู่” เขาตอบสั้นๆ แล้วกดถ่ายภาพอีกรอบ

“นายกลับไปเป็นคนคิดมากเหมือนเดิมได้ไหม” คราวนี้ผมอดถามไม่ได้ ไม่สนความรู้สึกมันแล้ว เพราะมั่นใจว่าคำตอบจะต้อง...

“ไม่ได้”

ต้องเป็นแบบนี้ไง...

ผมมองเมินคนที่กำลังทำตัวเป็นช่างภาพมืออาชีพแล้วหันกลับมาสนใจบรรยากาศโดยรอบแทน น่าแปลกที่เกาะแห่งนี้เป็นเกาะที่ไม่มีผู้คนอยู่เลย ทั้งยังไม่มีวี่แววของที่อยู่อาศัยใดๆ ให้ได้เห็น อาจเป็นเพราะสิ่งเหล่านั้นตั้งอยู่อีกฝั่งของเกาะหรือเปล่าผมก็ไม่แน่ใจ แต่ธรรมชาติและทรัพยากรที่ดูสมบูรณ์สวยงามบ่งบอกชัดเจนว่าคงไม่ค่อยมีใครมาเที่ยวบนเกาะนัก

“นายเอาที่อยู่เกาะนี้มาจากไหนกันแน่” ผมหันกลับไปถามภามที่เดินตามอยู่ด้านหลัง เขาชะงักไปเล็กน้อยแต่ก็ยอมละสายตาออกจากกล้องแล้วเงยหน้าขึ้นตอบผม

“จากเก้า”

ความซวย...ความซวยกำลังมา แค่พูดถึงชื่อเพื่อนเวรผมก็ได้กลิ่นไม่น่าไว้วางใจลอยโชยมาแล้ว

“นาย...คงได้ที่อยู่ของเกาะนี้มาแต่แรกแล้วใช่ไหม”

“เปล่า เก้าส่งให้เมื่อคืน”

“นายคงไม่ได้เล่าเรื่องฉัน...”

“ผมบอกว่าเจอคุณ แล้วเก้าก็บอกให้มาที่นี่”

ให้มันได้อย่างนี้สิ ผมโคตรไม่ไว้ใจเลยเถอะ อย่าบอกนะว่ามันล่อให้มาติดเกาะร้างที่ไม่มีคนกับไอ้บ้าที่สนใจแต่กล้องถ่ายรูปจริงๆ น่ะ ว่าแต่ทำไมคิดไปคิดมาเริ่มกลับมาผะอืดผะอมเหมือนเดิมแล้ววะ

“นั่นคน” เสียงพูดเบาๆ ของภามทำให้ผมได้สติอีกครั้ง

ตรงจุดที่อยู่ไกลจากเราพอสมควรมีเด็กสองคนวิ่งเล่นอยู่ ผมถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นทั้งคู่ใส่เสื้อผ้าปกติ แม้จะดูเก่าไปหน่อยแต่ก็ไม่ได้ใช้ใบตองมาห่อตัวแบบที่คิด แบบนี้คงพอยืนยันได้ว่าพวกเราไม่ได้โดนไอ้เก้าหลอกให้มาติดเกาะร้าง ค่อยยังชั่วหน่อย

“ภะ...ภาม”

ผมหันไปเกาะแขนคนที่เดินมาอยู่ข้างๆ แน่น เขาคงรับรู้ได้ว่าเสียงผมสั่นแบบแปลกๆ เลยไม่ได้กวนตีนอะไรเหมือนปกติ แค่เอามือมาเชยคางผมให้เงยหน้ามอง

แต่เดี๋ยว...

อย่าทำแบบนั้น...

“อย่า!…อุบ…โอ้กกกก!!”

“…”

อาการที่สะสมมาตั้งแต่ตอนนั่งเรือมาแสดงผลเอาก็ตอนนี้เอง และมันจะไม่มีปัญหาอะไรเลยสักนิด ถ้าหากผมอ้วกลงบนพื้นหรือที่อื่นที่ไม่ใช่...หน้าภาม

นะ...นี่มันข้ามขั้นนางเอกอ้วกใส่พระเอกตอนเมาไปอีกขั้นเลยนะ ปกติเขาต้องอ้วกให้เลอะชุดกันไม่ใช่เหรอวะ ทำไมกูข้ามขั้นไปอ้วกใส่หน้าคนอื่นจนไหลลงมาตามตัวงี้อะ ดีแค่ไหนแล้วที่เขายืดแขนออกไปด้านข้างจนกล้องที่ถืออยู่ไม่เลอะไปด้วย

“ภะ...ภาม” ผมเรียกคนตัวเลอะเสียงสั่น พยายามอย่างยิ่งยวดที่จะหาหนทางแก้ไข แต่แล้วเมื่อได้มองสบดวงตาว่างเปล่าที่คล้ายจะมีประกายเพลิงลุกโชนจากภาพในจินตนาการของตัวเอง ขาสองข้างคล้ายจะก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว

“…”

“ไม่ได้ตั้งใจนะ”

“อืม” กลับไปพูดว่าอืมแสดงว่าโมโหอยู่ใช่ไหม ฉิบหายแล้วไง

“ขอโทษจริงๆ”

“ไม่เป็นไร”

“ไม่เป็นไรก็หยุดก้าวเข้ามาหาฉันดีไหม...ละ...แล้วนายวางกล้องลงพื้นทำไม แพงไม่ใช่เหรอ เดี๋ยวทรายเข้านะ” ผมรัวพูดจนหมดมาด สองมือยกขึ้นเป็นเชิงบอกยอมแพ้ แต่ขายังก้าวหนีไม่หยุด เช่นเดียวกันกับที่อีกฝ่ายเดินตามมาเรื่อยๆ

“ไม่เป็นไร”

“ภาม...นาย...” ผมหยุดเท้าแล้วสบตาภาม เราจ้องกันเหมือนกำลังรอคอยว่าใครจะหมดความอดทนก่อน

“อยู่นิ่งๆ”

คงไม่ต้องถามนะว่าใครหมดก่อน...

ผมกะพริบตาทีเดียวแล้วกลับหลังหันวิ่งหนีแบบไม่คิดชีวิต ไม่ต้องหันกลับไปมองก็รู้ว่าคนที่อยู่ด้านหลังต้องกำลังวิ่งตามมาแน่นอน

“อย่าตามมาสิโว๊ยยยยย!”

ไม่มีเสียงตอบรับจากคนวิ่งไล่ รู้ตัวอีกทีแขนของผมก็ถูกพันธนาการไว้ด้วยมือใหญ่แข็งแรงของคนที่มีช่วงขายาวกว่า ผมมองภามด้วยความหวาดกลัว ในใจพูดว่าไม่นะซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายรอบ และเขาก็ทำ...ในสิ่งที่ทำให้ผมต้องเบิกตากว้างจนสติแทบหลุด

แผละ...

ไม่ใช่เพราะรอยยิ้มเหยียดๆ...แต่เพราะมันดึงผมเข้าไปกอด!

“พอ...พอแล้ว” ผมสะอิดสะเอียนจนแทบกลั้นใจตายเมื่อรับรู้ได้ถึงความสกปรกบนเสื้อผ้า

“ยังไม่พอ”

วินาทีต่อมาหลังจากที่ได้ยินคำนั้น ผมมองไม่เห็นอะไรอีกต่อไป...เพราะมันจับหน้าผมกดลงกับไหล่ตัวเองจนกลิ่นคาวลอยฟุ้ง!

ผมบอกแล้วว่าภามก็คือภาม

คือคนบ้าที่พัฒนามาจากพี่ชายตัวเองกับไอ้เก้าเพื่อนผมอีกขั้น

เลวร้ายกว่าเดิมอีก!

ไอ้*&*&^#$@($!


—————————-




TALK: มีความสุขมากที่เห็นเจไดโดนแกล้ง ตอนต่อไปจะไปติดเกาะกันแล้ววว


หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[3]==[P.2]== [21/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 21-05-2018 20:01:15
แค่นึกถาพตามที่เจไดบอกก็ปวดหัวแล้วค่ะ แต่ตลกตรงที่ไปอ้วกใส่หน้าภาม ขำไม่ไหวแล้ว5555555
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[3]==[P.2]== [21/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 22-05-2018 02:12:31
กรรมมันติดจรวด ตามมาติด ๆ เลยเจได  :katai1:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[3]==[P.2]== [21/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 22-05-2018 04:55:41
คุณหมอแพ้เด็ก
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[3]==[P.2]== [21/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: LadySaiKim ที่ 22-05-2018 12:27:50
เก้าแผลงศรไปอีกกก :m20:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[3]==[P.2]== [21/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: mayyiyi ที่ 22-05-2018 19:34:07
หนักกว่าเก้าก็เจไดนี่แหละ
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[3]==[P.2]== [21/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 23-05-2018 09:53:16
ภามน้องพี่ภูนี่เอง โอ้ยยยยยนี่อ่านมาเพิ่งเข้าใจ 555
ตลกตัวเองชะมัด  คิดอยู่ว่าภามนี่ใคร 5555+
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[3]==[P.2]== [21/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 23-05-2018 11:20:34
5555555555
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[3]==[P.2]== [21/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 24-05-2018 00:44:15
คิดนานมากภามไหน เหมือนคนจะรู้จักกันดี ตอนเห็นชื่อเก้า ชัดเลยน้องพี่ภู
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[3]==[P.2]== [21/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 24-05-2018 10:48:38
โดนจับซุกอ้วกซะแล้วคุณหมอ :laugh:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[3]==[P.2]== [21/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 25-05-2018 13:48:54
คงเป็นทริปเที่ยวที่วุ่นน่าดูเลยค่ะ


คิดถึงภามจังเลย ชอบตัวละครตัวนี้ค่ะ ตั้งแต่เรื่องของเก้าแล้ว


ดีใจที่ภามกลับมา อีก
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[3]==[P.2]== [21/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 28-05-2018 21:19:44
-4-


เละเทะไปทั้งตัวตั้งแต่หัวจรดเท้า...สาบานได้ว่าถ้ามีโอกาสผมจะจับภามโยนลงทะเล เสร็จแล้วจะภาวนาขอให้โดนปลาหมึกกินหัวด้วย แต่ตอนนี้ขออาบน้ำก่อนเถอะได้โปรด เหม็นเน่าและสกปรกไปหมดทั้งตัวแล้ว

“อีกไกลไหม” ผมถามเด็กผู้ชายสองคนที่เดินนำอยู่ด้านหน้า

“ไม่ไกลจ้ะ จะถึงแล้ว”

พูดแบบนี้มาสามรอบแล้วนะหนู...

หลังจากผ่านเหตุการณ์...น่าขยะแขยงนั่นไป ผมกับภามก็เดินเข้าไปหาเด็กสองคนที่เล่นกันอยู่แล้วถามเกี่ยวกับเกาะนี้ ถึงช่วงแรกทั้งคู่จะดูหวาดกลัวกับความเละเทะของพวกเราพอควร แต่พอบอกว่าเป็นนักท่องเที่ยวก็ดีใจกันยกใหญ่ ทั้งยังอาสาจะพาไปหาพวกผู้ใหญ่ในหมู่บ้าน แต่เราเดินกันมาเกือบครึ่งชั่วโมงแล้วผมยังไม่เห็นวี่แววของบ้านสักหลัง นี่ขนาดน้องบอกว่าใช้ทางลัดแล้วนะ

“นั่นบ้านพวกหนู” เด็กๆ ชี้ไปที่บ้านหลังหนึ่งไม่ไกลนัก มันเป็นบ้านไม้หลังไม่ใหญ่โต แต่ก็น่าจะพอดีหากอยู่กันแบบพ่อแม่ลูกสามสี่คน

ผมแทบจะเก็บรอยยิ้มไว้ไม่ไหวเมื่อได้เจอคนสักที ตอนแรกอยากจะลงไปล้างตัวในทะเลเสียด้วยซ้ำ แต่กลัวว่าจะเป็นการทำลายธรรมชาติเลยต้องแบกตัวเหม็นๆ มาถึงที่นี่ เช่นเดียวกันกับภามที่ตั้งแต่เกิดเรื่องยันตอนนี้ยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ

เหอะ...ใช่ว่าอยากคุยด้วยเสียหน่อย

“แม่ๆ พวกพี่เขาเป็นนักท่องเที่ยวแหละ” เจ้าแตงซึ่งเป็นพี่คนโตรีบวิ่งเข้าไปเล่าเรื่องของพวกผมให้หญิงวัยกลางคนที่นั่งอยู่หน้าบ้านไม้ฟัง ผมเห็นเธอเบิกตากว้างด้วยความตกใจก่อนจะรีบลุกขึ้นเดินมาหาเรา

นั่นไง...พอเข้ามาเห็นกันใกล้ๆ แล้วชะงักจนเกือบจะเดินถอยหลังอยู่แล้ว

“เอ่อ...พวกหนูเป็นนักท่องเที่ยวเหรอจ๊ะ”

“ใช่ครับคุณน้า พอดีผมเมาเรือเลยอ้วกเลอะเทอะไปหมด ต้องขอโทษด้วยนะครับ” ผมอธิบายเรียกคะแนนความสงสาร คงต้องบอกว่าโชคดีที่โกนหนวดไปหมดจนหน้ากลับมาใสเหมือนเดิมแล้ว ไม่อย่างนั้นเธอคงไม่ทำหน้าเห็นใจผมแบบนี้แน่ แค่คิดว่าเป็นตัวเองตอนมีหนวดก็...เออนั่นแหละ

“งั้นพวกหนูเข้ามาอาบน้ำในบ้านน้าก่อนนะจ๊ะ แล้วเดี๋ยวน้าพาไปหานาย”

นายเหรอ...

ผมสะบัดหัวไล่ความสงสัยออกไป ยังไงตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือการอาบน้ำ เรื่องอื่นเอาไว้ว่ากันทีหลัง

“นี่ผ้านุ่งจ้ะ” คุณน้าส่งผ้าขาวม้าให้ผมสองผืนก่อนจะหันหลังเดินออกไป ทิ้งให้เรายืนอยู่ในสถานที่ที่เรียกว่าห้องน้ำกันสองคน

ห้องน้ำที่ว่าคือลานโล่งๆ ยื่นออกมาจากหลังบ้านซึ่งมีไม้กั้นวางเป็นห้องได้ห้องหนึ่ง แต่ด้านบนปลอดโปร่งโล่งสบาย มีท้องฟ้าเป็นสักขีพยานในการแก้ผ้า ต้องขอบพระคุณอย่างยิ่งที่มีผ้านุ่งให้

“อย่าบอกนะว่านุ่งผ้าขาวม้าไม่เป็น” ผมหันไปมองภามหลังจากถอดเสื้อผ้าจนเหลือแค่ผ้าขาวม้าเรียบร้อยแล้ว ถึงจะอับอายหน่อยๆ เมื่อนึกถึงเรื่องทายาเมื่อวานแต่ก็ไม่ได้แสดงอาการอะไรออกไป

“ทำยังไง” คนนุ่งเองไม่เป็นขมวดคิ้วมุ่น ทำเหมือนจะเอาผ้าไปพันแบบผ้าขนหนูปกติ แต่มันสั้นเกินกว่าจะทำแบบนั้นได้

“เอาขาเข้าไปก่อน” ถือว่าแก้ตัวเรื่องที่อ้วกใส่หรอกนะ “มานี่เดี๋ยวทำให้ดู”

ผมเดินเข้าไปติดตัวภามหลังจากเขาทำตามที่บอกเรียบร้อยแล้ว จากนั้นจึงสอนลูกคุณหนูพันผ้าขาวม้าแบบง่ายๆ เจ้าตัวดูแล้วทำตามเพียงรอบเดียวก็ทำได้ เมื่อเรียบร้อยแล้วเขาถึงถอดเสื้อออก

“คอจะหักไหม” ภามถามเป็นเสียงโมโนโทนเหมือนเคย คงหมายถึงเรื่องที่ผมสะบัดหน้าหนีเมื่อกี้

“ไม่หัก”

ไม่อยากจะบอกเลยว่ากูสะบัดหน้าหนีเพราะหมั่นไส้หุ่นมึงเนี่ย ลอนเป็นลอน กล้ามเป็นกล้าม มันไม่ได้ดูหนาอะไรขนาดนั้น แต่เป็นหุ่นแบบที่พอดีและดูดีเอามากๆ พอผนวกกับความขาวความสูงของมันเข้าไป แล้วยังไม่ได้นับรวมหน้าตานะ... กูอิจฉาตาร้อนไปหมดแล้วเนี่ย

ก้มลงมองดูตัวเอง...

ฮือ ก้อนเนื้อย้วยๆ นุ่มนิ่มนี่มันอะไรกัน ตอนไม่มีใครให้เปรียบเทียบผมยังรู้สึกเฉยๆ เนือยๆ เพิ่งรู้ว่าพอมีตัวเปรียบเทียบแล้วมันจะรู้สึกแย่ขนาดนี้

“ถ้าเศร้าขนาดนั้นทำไมไม่ออกกำลังกาย” คนรู้ทันบวกขี้เสือกระยะเริ่มต้นถามขึ้นมาลอยๆ ขณะที่กำลังยกมือสระหัวตัวเอง ผมเบะปากมองแบบไม่เกรงใจก่อนจะตอบกลับเสียงเรียบตามความจริง

“ขี้เกียจ”

“…”

ถึงจะรู้ว่าหน้าตานิ่งๆ ของอีกฝ่ายกำลังแสดงออกเหมือนจะบอกว่าสมควร แต่ผมก็เลือกที่จะไม่สนใจแล้วหันกลับมาขัดถูร่างกายอย่างขะมักเขม้นแทน กว่าจะใช้เวลาในการอาบน้ำอาบท่ากับซักเสื้อผ้าเสร็จก็กินเวลาไปนานเกือบครึ่งชั่วโมง คราวนี้ผมเปลี่ยนไปใส่ชุดที่เหมาะสมกับการมาเที่ยวโดยการใส่เสื้อยืดกับกางเกงขาสั้น ปิดท้ายด้วยรองเท้าแตะกากๆ หนึ่งคู่เป็นอันเสร็จเรียบร้อย แต่เมื่อหันไปมองคนด้านข้าง...

มันก็ใส่แค่เสื้อเชิ้ตแขนสั้นกางเกงขาสั้นแล้วก็รองเท้าแตะเหมือนกัน ทำไมถึงดูดีนักวะ...

เพราะกล้อง ต้องเป็นเพราะกล้องท่าทางแพงระยับนั่นแน่ๆ ที่ทำให้ดูดีขึ้นหลายเท่า

“นี่…" ผมสะกิดแขนภามระหว่างที่เรากำลังเก็บของอยู่ในตัวบ้าน “ขอลองสะพายกล้องหน่อยดิ”

อันที่จริงถ้าเขาจะหวงแล้วไม่ให้ผมก็ไม่ได้คิดมากอะไรหรอกนะ แค่ลองขอดูเผื่อได้ ผมยักไหล่นิดหน่อยก่อนจะหมุนตัวหันกลับไปเก็บของเมื่อเห็นภามจ้องมองมานิ่งๆ โดยไม่ขยับตัวแม้แต่น้อย เห็นแบบนี้แสดงว่าคงไม่ได้นั่นแหละ

“ระวังด้วย” เสียงพูดในระยะประชิดดังขึ้นพร้อมกับที่เจ้าของเสียงเอาสายสะพายกล้องคล้องหัวผมจากทางด้านหลัง ระยะที่ใกล้เกินความจำเป็นทำให้รู้สึกแปลกๆ จนต้องผละหนี ผมรีบหันหน้ากลับไปหาโดยไม่ลืมใช้มือประคองตัวกล้องไว้อย่างระมัดระวัง

“ไม่งกอย่างที่คิดนี่นา”

“…ผมไม่ใช่คุณ”

เลว มันน่าแกล้งเหวี่ยงให้กล้องฟาดกำแพงดูสักที แต่คิดไปคิดมาไม่เอาดีกว่า กลัวต้องรับผิดชอบ ผมซื้อคืนไม่ไหวแน่ หรือถ้าไหวก็คงหมดตัวแบบไม่เหลือสักบาทเดียว

“ขอดูกระจกแป๊บ” ผมเมินเรื่องที่เขาพูดแล้วเดินไปที่หน้ากระจกบานใหญ่ โอ้โห...

“กล้องดูหมดราคาไปเลย”

“นั่นปากเหรอ!”

ไม่ต้องมาพูดแทนใจ รู้ตัวอยู่แล้วเฟ้ย

ผมรีบเอากล้องออกจากคอแล้วยื่นคืนให้ภามถือไว้เหมือนเดิม เห็นแล้วหงุดหงิดตา ไม่เข้าใจว่าของอย่างนี้มันจะเท่ไม่เท่อยู่ที่อะไรกันแน่ แต่คงไม่ใช่หน้าตาหรอก ไม่งั้นผมคงเท่ไปแล้ว

“ไปเถอะ” เหมือนคนที่ยืนกอดอกรออยู่จะเริ่มทนความอืดอาดของผมไม่ไหว เขาถึงได้หันมาคว้ากระเป๋าผมไปถือไว้เองแล้วใช้มือที่ว่างดึงแขนให้เดินตามออกไปด้านนอก

เออดี...เจอกันไม่ถึงอาทิตย์ทั้งจับมือ ทั้งจับหน้า ทั้งกอด ทั้งอาบน้ำด้วยกัน หนักสุดคือเห็นตูดกันแล้ว

ถ้าบอกว่าผมเริ่มชินกันการลากกันไปลากกันมาแล้วจะแปลกไหมเนี่ย

“มากันแล้วเหรอจ๊ะ ตามมาเลยหนู” คุณน้าที่ยืนรออยู่กับเด็กผู้ชายสองคนยิ้มให้เราก่อนจะเดินนำไปในทิศทางหนึ่ง ผมอาศัยจังหวะที่แกกำลังคุยกับลูกคนโตหันไปกระซิบถามเจ้าตาลที่เดินอยู่ด้านข้าง

“นายคือใครเหรอ”

“เจ้าของเกาะไงจ๊ะ” ตาลตอบอย่างใสซื่อ แต่ทำเอาผมชะงักไปครู่หนึ่ง รู้สึกว่าพวกเกาะส่วนตัวที่มีเจ้าของเป็นตัวเป็นตนเขาต้องขออนุญาตก่อนเข้าเกาะไม่ใช่เหรอ แบบนี้จะเป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย

“ไม่เป็นไรหรอก” คนที่เดินอยู่อีกด้านพูดขึ้นมาลอยๆ

“มั่นใจเหรอ” ผมหันไปมองภามที่กำลังแบกกระเป๋าตัวเองไว้ใบหนึ่ง ทั้งยังต้องถือกระเป๋าผมไว้อีกใบ ดูแล้วสงสารอยู่หน่อยๆ แต่ถามว่าทำอะไรไหม ไม่ดีกว่า...ปวดแขนจะตายอยู่แล้วเนี่ย อีกอย่างคือเขาทำเหมือนถือถุงพลาสติกเข้าเซเว่นอยู่ชัดๆ ไม่เห็นมีทีท่าว่าจะหนักหรือลำบากอะไรเลย เพราะงั้นคิดซะว่าไม่เป็นไรแล้วกัน

“ถ้าเข้าเกาะไม่ได้เก้าคงไม่บอกให้มา” ภามพูดแค่นั้นแล้วกลับไปเงียบเหมือนเดิม ผมเลยต้องเม้มปากเงียบตามไปด้วย

หลังจากเดินมาประมาณห้านาทีผมก็เริ่มมองเห็นบ้านไม้และกระท่อมหลายหลังตั้งกระจัดกระจายอยู่ทั่วบริเวณ มีบางหลังที่มีผู้หญิงนั่งทำงานอะไรบางอย่างอยู่นอกบ้าน พวกเธอเงยหน้ามองเราเหมือนมองตัวประหลาด ทำเอาผมเกร็งปนหวาดๆ จนเผลอขยับเข้าใกล้ตอไม้ด้านข้างโดยตั้งใจ ยิ่งเข้าใกล้ทะเลมากเท่าไหร่คนก็ยิ่งมีเยอะมากขึ้นเท่านั้น และในวินาทีที่เราโผล่ออกมาจากป่า ผมแทบจะร้องโอ้โหออกมาด้วยความตกใจกับภาพตรงหน้า

เรือประมงหลายลำจอดเรียงรายอยู่ริมหาดโดยมีชาวบ้านผู้ชายหลายคนกำลังลำเลียงของลงมาจากเรืออย่างเป็นระบบ ในขณะที่มีพวกผู้หญิงบางส่วนช่วยกันแยกประเภทและจัดเรียงปลาอยู่ด้านล่าง พวกเขาร้องเพลงที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อนและหัวเราะเฮฮากันอย่างสนุกสนาน

ทั้งที่งานดูหนักหนาขนาดนั้น...ทำไมถึงมีความสุขกันจังนะ

“นั่นพวกคนในหมู่บ้านจ้ะพี่” เจ้าตาลยังทำหน้าที่เป็นไกด์ที่ดีคอยแนะนำสิ่งต่างๆ ให้ผมเข้าใจอย่างต่อเนื่อง ผมลูบหัวน้องเบาๆ เป็นเชิงขอบคุณ ก่อนจะหันกลับไปจ้องมองบรรยากาศรอบด้านต่อ

“พวกเขา...ยิ้มทุกคนเลย” ภามที่ยืนอยู่ข้างกันพึมพำออกมาเบาๆ โดยไม่ละสายตาออกจากภาพตรงหน้า

ดูเหมือนจะไม่ได้มีผมเพียงคนเดียวที่สงสัยและแปลกใจกับภาพที่เห็น เพราะยามนี้เจ้าของใบหน้าปลาตายคล้ายจะแสดงอาการงุนงงและไม่เข้าใจออกมาอย่างเห็นได้ชัดไม่ต่างจากผมเลย

“ยัยนวล พี่เหมอยู่่แถวนี้ไหม” คุณน้าซึ่งผมเพิ่งรู้จากตาลว่าชื่อต้อยเดินเข้าไปสะกิดไหล่ถามผู้หญิงคนหนึ่งซึ่งยืนหันหลังให้เราอยู่ เธอกำลังทำท่าจะอ้าปากตอบอยู่แล้วหากไม่ใช่เพราะหันมาเห็นผมกับภามแล้วเปลี่ยนไปยืนบิดไปบิดมาเสียก่อน

“นะ...นั่นใครน่ะพี่ต้อย”

“นักท่องเที่ยวน่ะสิ”

“นักท่องเที่ยว!” เสียงตะโกนของนวลทำให้ผมแอบสะดุ้งเบาๆ ทั้งยังช่วยเรียกสายตาจากผู้คนรอบด้านมาได้จนหมด การทำงานอย่างต่อเนื่องและเสียงร้องเพลงหยุดชะงักเหมือนมีใครมากดหยุดเวลาเอาไว้ พวกผู้ชายบนเรือและพวกผู้หญิงที่แยกปลาอยู่ต่างหันมามองพวกเราอย่างพร้อมเพรียงโดยมิได้นัดหมาย

เอาแล้วไงทีนี้...

“พูดอะไรของเอ็งอีนวล จะมีนักท่องเที่ยวได้ยังไงวะ!” ผู้ชายคนหนึ่งจากบนเรือตะโกนถามเสียงติดขบขัน เรียกเสียงหัวเราะจากคนอื่นๆ ตามไปด้วย

“แต่พี่ต้อยบอกว่าพวกเขาเป็นนักท่องเที่ยวนะ” นวลเถียงทั้งที่เสียงไม่แน่ใจเลยสักนิด

“ข้าว่าพวกมันหลงมามากกว่า ใครจะมาเที่ยวเกาะนี้วะ”

“ไอ้หนู พวกเอ็งจะไปเกาะอะไรกัน ถ้าไม่ไกลมากเดี๋ยวข้าไปส่ง”

“ไม่เอาน่า ให้พวกมันพักที่นี่สักวันสองวันก็ได้”

“มันจะอยู่ได้เหรอวะ ดูผิวพรรณมันสิ ขาวอย่างกับกระดาษ”

“ข้าว่า...”

จากเสียงพูดทีละคนเริ่มกลายเป็นเสียงดังถกเถียงกันเซ็งแซ่ ผมหันไปมองหน้าภามแบบงงๆ อยากปรึกษาว่าจะเอายังไง แต่เห็นหน้านิ่งๆ ของเขาแล้วคงไม่ได้รับคำตอบเลยได้แต่หันกลับมามองภาพความวุ่นวายตรงหน้าเหมือนเดิม

“หยุดได้แล้ว!” เสียงที่ดูมีอำนาจที่สุดดังมาจากชายวัยกลางคนท่าทางใจดีผู้หนึ่ง เขาโบกมือไล่ให้คนอื่นๆ หันกลับไปทำงาน ก่อนจะเดินเข้ามาหาพวกผมที่ยืนอยู่ด้านหลังน้าต้อย วูบหนึ่งผมเห็นเขาชะงักไปเหมือนจะตกใจ แต่แล้วก็เปลี่ยนท่าทีกลับได้อย่างรวดเร็ว

“พี่เหม แตงกับตาลมันพากันไปเล่นหลังเกาะแล้วไปเจอพ่อหนุ่มสองคนนี้เข้า เห็นว่าเป็นนักท่องเที่ยวฉันเลยจะพาไปหานายเสียหน่อย ว่าแต่นายอยู่ไหมล่ะพี่”

“นายออกจากเกาะไปตั้งแต่อาทิตย์ก่อนแล้วนังต้อย เอ็งไม่รู้ก็ไม่แปลกหรอก ข้ายังรู้เพราะไปหาแล้วไม่เจอใครอยู่ที่บ้านนาย ตอนขึ้นฝั่งเลยโทรไปถามกลายเป็นว่าบินไปที่อื่นแล้ว” ลุงเหมส่ายหน้าเหมือนอยากจะบ่นอยู่หน่อยๆ แต่ใบหน้าของแกกลับเต็มไปด้วยความเคารพต่อคนที่พูดถึง

เดี๋ยวนะ...หมายความว่าตอนนี้นายไม่อยู่บนเกาะ อย่างงี้พวกผมจะอยู่ต่อได้เหรอวะเนี่ย

“แล้วเอายังไงกับพ่อหนุ่มสองคนนี้ดีล่ะพี่” น้าต้อยหันมามองพวกเราด้วยความเป็นห่วง ผมกำลังจะอ้าปากบอกว่าเราจะกลับกันอยู่แล้ว แต่กลับโดนมือใหญ่ของคนด้านข้างยื่นมาปิดปากเข้าเสียก่อน

“พวกผมอยากอยู่ที่นี่”

เดี๋ยวภาม...กูไปตกลงกับมึงตอนไหน

“อยู่ที่นี่ไม่ได้สบายหรอกนะไอ้หนุ่ม” ลุงเหมยิ้มน้อยๆ เหมือนจะถูกใจขณะกล่าวต่อ “ถ้าไม่นับเรือที่จะเข้าฝั่งวันนี้ เอ็งต้องรอจนถึงเดือนหน้าถึงจะได้กลับออกไปนะ เรือที่หาดไม่มีใครกล้าเข้ามาที่เกาะหรอก มันเป็นเกาะส่วนตัว ต้องขออนุญาตก่อน”

ทำไมผมไม่รู้เรื่องนี้มาก่อนเลยวะ หมายความว่าถ้าเราไม่กลับตั้งแต่ตอนนี้ก็ต้องติดแหงกอยู่บนนี้ไปอีกเดือนเลยว่างั้น แล้วทำไมคุณลุงที่มาส่งเราที่นี่ถึงกล้ามาล่ะ

“ภาม…” ผมยิ้มแห้งแล้วดึงแขนคนตัวสูงข้างกายให้หันหลังมาคุยกัน “ถึงเขาจะอนุญาตให้อยู่ต่อแต่เราจะไม่ได้ออกไปไหนเลยนะ ฉันว่ากลับขึ้นฝั่งแล้วไปที่อื่นแทนดีกว่าไหม”

“อยู่ที่นี่เถอะ” เขาตอบคำเดิมและทำท่าจะตอบแค่นั้น แต่คงเห็นผมขมวดคิ้วไม่พอใจเลยพูดต่ออีกประโยค “พวกเขามีความสุข...ผมอยากรู้ว่าทำไม”

“คนเราจะมีความสุขมันแปลกตรงไหน”

“แล้วทำไมคุณไม่มีล่ะ” ภามถามกลับทันควัน และคำถามนั้นทำเอาผมชะงักอยู่นาน สุดท้ายได้แต่ถอนหายใจแล้วพยักหน้าเงียบๆ เพราะเถียงไม่ออก

“แล้วแต่นายละกัน”

ตั้งแต่ที่เริ่มกลายเป็นพวกเฉื่อยชา ดูเหมือนสกิลปากดีของผมจะจางหายไปไม่มากก็น้อย กลายเป็นว่าหลายครั้งมักยอมอ่อนข้อและทำตามคำพูดคนอื่นง่ายๆ หากตัวเองเถียงไม่ออก อันนี้ไม่นับเรื่องอยากเอาชนะภามนะ ผมแยกแยะออกว่าเรื่องไหนจริงจังเรื่องไหนไม่จริงจัง ไม่รู้เหมือนกันว่ามันคือข้อดีหรือข้อเสีย ได้แต่หวังว่าการตัดสินใจยอมภามในครั้งนี้จะไม่ทำให้ต้องมานั่งเสียใจในภายหลัง

“ถ้างั้นวันนี้ตอนเข้าฝั่งข้าจะไปถามนายให้แล้วกัน ถ้านายอนุญาตพวกเอ็งก็อยู่ได้ แต่ถ้าไม่อนุญาตข้าจะมารับไปส่งที่ฝั่งอีกรอบ ระหว่างนี้เอ็งอยู่ที่บ้านนังต้อยไปก่อนแล้วกัน” ลุงเหมยิ้มให้พวกผมเล็กน้อย ก่อนจะเดินกลับไปที่เรือซึ่งพวกคนอื่นๆ กำลังขนของกัน

ผมได้แต่มองตามด้วยความสงสัย ไม่เข้าใจว่าทำไมต้องเข้าฝั่งก่อนถึงจะถามนายได้ แต่เพราะเจ้าแตงกับเจ้าตาลเดินเข้ามาดึงมือผมให้เดินตามแม่ตัวเองไปทางเดิม ผมเลยหมดโอกาสถามลุงเหมไปโดยสิ้นเชิง เอาเถอะ...เดี๋ยวถึงบ้านแล้วค่อยถามน้าต้อยแกอีกที

“เดี๋ยวพวกหนูนอนห้องเจ้าตาลนะ เดี๋ยวให้มันไปนอนกับพี่ชาย” คุณน้าหันมาบอกพวกเราอย่างใจกว้างในทันทีที่เดินกลับมาถึงบ้าน ตอนแรกผมเกรงใจและกลัวสองพี่น้องจะทะเลาะกันอยู่ไม่น้อย แต่เมื่อเห็นเด็กสองคนกอดคอกันพยักหน้าโดยไม่มีปัญหาอะไรเลยได้แต่พยักหน้าตาม

“ขอบคุณมากนะครับ”

“ไม่เป็นไรเลยจ้ะ ทำตัวตามสบายเลยนะ เอาไว้พี่เหมกลับมาแล้วค่อยมาคิดกันอีกทีว่าจะเอายังไงกับเรื่องที่อยู่พวกหนูดี”

“คุณน้าครับ...” ผมเรียกแกด้วยน้ำเสียงไม่แน่ใจนักจนน้าต้อยที่กำลังจะเดินขึ้นบ้านต้องหันกลับมามอง “ทำไมลุงเหมต้องไปโทรถามที่ฝั่งด้วยล่ะครับ โทรที่นี่ไม่ได้เหรอ”

“อ๋อ...เป็นเพราะว่าที่นี่ไม่สัญญาณโทรศัพท์จ้ะ ส่วนไฟฟ้าพวกเราจะเริ่มใช้กันก็หลังหกโมงเย็น ไม่เชิงว่าห้ามหรอกนะ แต่มันเป็นเหมือนความเคยชินที่จะใช้แค่เท่าที่จำเป็นกัน...”

“พี่จะไปไหนจ๊ะ”

“หนูจะไปไหนจ๊ะ”

“จะไปไหน”

เสียงประสานจากเด็กๆ คุณน้าและภามทำให้ผมที่เผลอหมุนตัวเดินกลับหลังรู้สึกตัว โอเค...ใช่ว่าผมเป็นพวกรักความสะดวกสบายอะไรขนาดนั้น ก็แค่ตอนทำงานอยู่ในเมืองสิ่งที่ทำให้ผมรู้สึกดีที่สุดคือการได้นอนแบบสบายๆ ไม่มีอะไรมารบกวน และจะเหมือนสรวงสวรรค์ยิ่งขึ้นไปอีกหากได้นอนในห้องแอร์เย็นๆ กับเตียงนุ่มๆ แต่นี่คือไม่มีสักอย่างเลยไง คนรักเตียงนอนและแอร์ยิ่งชีพก็ต้องลังเลบ้างสิ

“ไปเร็วสิจ๊ะ หนูจะพาไปดูห้อง”

ผมยิ้มแหยแล้วปล่อยตัวให้เดินเนือยๆ ตามหลังแตงไปโดยมีเจ้าตาลจูงมือเหมือนกลัวนักโทษหลบหนี แต่ไม่ต้องห่วงหรอก...ผมจะหนีได้ยังไงกันในเมื่อของทุกอย่างอยู่กับภามหมดเลย ต่อให้ฉวยโอกาสวิ่งไปกระชากข้าวของมาก็ใช่ว่าจะสู้แรงได้ เผลอๆ โดนกระชากกลับทีเดียวผมได้ลงไปกองอยู่ที่พื้นแน่

ห้องนอนชั่วคราวของผมกับภามเป็นห้องเล็กๆ ซึ่งอยู่มุมในสุดของบ้าน หากอยู่คนเดียวก็คงไม่ได้อึดอัดอะไรนัก แต่พอคิดว่าต้องอยู่ร่วมกับผู้ชายตัวสูงเป็นเปรตอีกคน...เอาเถอะ สำรวจห้องต่อดีกว่า

ภายในห้องไม่ได้มีของประดับตกแต่งอะไรมาก มีเพียงฟูกนอน มุ้ง ตู้เสื้อผ้าทำจากไม้ แล้วก็โต๊ะเขียนหนังสือตัวเล็กอีกหนึ่งตัว หน้าต่างเพียงบานเดียวในห้องเปิดอ้ารับลมทะเลจากด้านนอกจนแทบไม่ต้องอาศัยพัดลมตัวเล็กที่ตั้งทิ้งไว้มุมห้อง

“แม่บอกให้พวกพี่เก็บข้าวของให้เรียบร้อยตามสบาย ถ้าหิวแล้วมาบอกพวกหนูนะจ๊ะ”

“ขอบใจมาก” ผมลูบหัวเจ้าตาลด้วยความเอ็นดู พร้อมกับหันไปยิ้มให้พี่ชายอย่างแตงที่ยืนเกาะประตูอยู่ เท่านั้นทั้งคู่ก็ฉีกยิ้มกว้างแล้วรีบวิ่งออกไปโดยไม่ลืมปิดประตูให้ ทิ้งผมกับภามไว้ตามลำพังในห้อง

“นายคิดจะทำอะไรระหว่างที่อยู่บนเกาะ” ผมชวนคุยระหว่างที่รื้อข้าวของออกจากกระเป๋า ส่วนภามกำลังเช็ดกล้องในมืออย่างทะนุถนอม

“ถ่ายรูป”

“ถ่ายรูปอย่างเดียวเนี่ยนะ...ฉันว่าอาทิตย์เดียวก็เดินถ่ายทั่วแล้วมั้ง”

“…ไม่จริงหรอก” เสียงเช็ดกล้องที่เงียบหายไปทำให้ผมต้องเงยหน้าและหันไปสบตากับคนที่จ้องมองมาอยู่ก่อนแล้ว “ต่อให้เป็นสถานที่เดียวกัน แต่รูปที่ถ่ายออกมาไม่มีวันเหมือนกันแน่”

“อา...ฉันไม่เคยเล่นกล้อง ไม่รู้หรอกว่ามันต่างกันยังไง” สำหรับผมภาพถ่ายจากสถานที่เดียวกันล้วนไม่มีความแตกต่าง ต่อให้ถ่ายคนละเวลา คนถ่ายคนละคนอย่างไรก็ไม่เคยนึกสนใจ รู้แค่ว่าเป็นที่ไหนก็เพียงพอ บางทีอาจเป็นเพราะตัวเองไม่มีความสนใจต่อสิ่งสวยงามที่เป็นศิลปะไม่ว่าจะแขนงใดๆ ก็ตามมั้ง

“มันก็เหมือนเวลาคุณถ่ายภาพคนคนเดิมในอารมณ์ที่แตกต่าง เพราะงั้นทั้งสองภาพถึงได้แตกต่างกันโดยสิ้นเชิง” เขาอธิบายด้วยน้ำเสียงโมโนโทน “ผมไม่เบื่อที่ได้ถ่ายรูปธรรมชาติในแต่ละวัน อากาศที่เปลี่ยนแปลง เวลาที่เปลี่ยนแปลง ทุกอย่างทำให้ภาพถ่ายแตกต่างไปจากเดิม”

“แล้วนายไม่ถ่ายภาพคนเหรอ”

“คนเป็นองค์ประกอบของธรรมชาติ”

ผมเผลอขมวดคิ้วเมื่อฟังแล้วเริ่มปวดหัว ไม่รู้เพราะคนตรงหน้าไม่พูดออกมาทีเดียวให้จบ หรือเพราะสมองไม่ต้องการรับอะไรที่เป็นวิชาการเพิ่มเข้าไปอีกแล้ว

“ของ่ายๆ ฉันโง่”

“ถ้าคนโง่หมายถึงคนที่มีรอยหยักในสมองน้อย นั่นไม่น่าหมายถึงคุณที่เป็นหมอ”

“แค่เปรียบเทียบ...” ชักเริ่มสงสัยแล้วว่ามันกวนตีนหรือซื่อบื้อกันแน่

“ผมไม่ชอบถ่ายรูปแบบที่ต้องคอยบังคับบงการ ไม่ชอบเวลาคนมองกล้องแบบตั้งใจมองจนไม่เป็นธรรมชาติ”

“อ๋อ…” ที่แท้ก็หมายถึงตัวเองไม่ชอบถ่ายรูปแบบที่ต้องมีนายแบบนางแบบว่างั้น ถ้าจะถ่ายคนคือต้องถ่ายแบบเป็นธรรมชาติ ไม่มีคนมาบังคับ เออ...บอกแค่นี้ก็จบแล้ว

“ผมไม่ชอบถ่ายคน...แต่ก็ถ่ายคุณไปแล้ว” ภามสำทับมาอีกประโยค แต่ทำผมถลึงตาใส่แทบจะทันที

“ไอ้รูปตอนฉันทำหน้าเอ๋อๆ เนี่ยนะ”

“คุณเป็นคนแรกที่ผมถ่ายตอนมองกล้อง” เขาพูดเสียงเรียบ

“ควรจะภูมิใจไหมเนี่ย หลอกให้มองกล้องแล้วกดถ่ายหน้ากันตอนน่าเกลียดๆ ดูยังไงก็แกล้งกันชัดๆ” นี่ยังไม่นับเวลาที่ผมหันหลังหรือไม่รู้ตัวอีกนะ ไม่รู้ว่าแอบถ่ายตอนทำท่าทางทุเรศๆ อะไรไปบ้างหรือเปล่า

“คุณไม่ได้น่าเกลียด”

“…”

“โกนหนวดแล้ว ไม่น่าเกลียดแล้ว”

“นี่จะบอกว่าตอนแรกฉันน่าเกลียดเหรอ” ผมเลิกคิ้วถาม เท้ากระดิกยิกๆ คล้ายอยากกระทืบคน

“…”

“การเงียบมันคือการตอบรับนะ”

“…”

ไอ้...ไอ้คนกวนตีน

ผมหมุนตัวกลับไปนั่งหันหลังจัดกระเป๋าเหมือนเดิมเมื่อไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรต่อ จะว่าโมโหมันก็ใช่ แต่พอลองนั่งย้อนนึกถึงเวลาคนอื่นมาเจอผมในสภาพหนวดเฟิ้มแล้วมันก็...สงสัยตอนนั้นคงดูไม่ได้จริงๆ สายหนวดคงไม่ใช่ทางเรา คิดได้แบบนี้แล้วจะไปเถียงไปด่าอะไรได้อีก

“แล้วคุณล่ะ”

“อะไร” ผมหันไปมองอีกรอบเมื่อจู่ๆ คนที่อยู่ด้านหลังก็ถามขึ้นมาลอยๆ แบบไม่มีหัวข้อเรื่อง

“จะทำอะไรระหว่างที่อยู่บนเกาะ” ภามวางกล้องในมือลงบนผ้าผืนหนึ่ง ก่อนจะหันมานั่งจ้องผมนิ่งๆ ท่าทีที่ดูจริงจังราวกับต้องการรู้คำตอบที่แท้จริงทำให้ผมนึกอยากกวนตีนอยู่ในใจ แต่คิดไปคิดมาแล้วไม่เอาดีกว่า

การแพ้ซ้ำๆ ทำให้คนขี้เกียจอย่างผมเริ่มไม่อยากเอาชนะแล้ว

“นอน” ตอบไปตามความจริงแล้วแอบหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นคิ้วเข้มของอีกฝ่ายขมวดเล็กน้อยทั้งที่หน้านิ่งเป็นปลาตายอยู่ “การพักผ่อนสำหรับฉันคือการได้นอนนิ่งๆ ทั้งวัน ถึงจะผิดแผนไปหน่อยตรงที่ไม่มีเตียงนุ่มๆ กับแอร์เย็นๆ ก็ไม่เป็นไร”

“วางแผนไว้ตั้งแต่แรกแล้วเหรอ”

“เปล่า...ตอนอยู่บนรถไฟยังคิดอยู่เลยว่าจะเอายังไงกับชีวิตดี แต่สุดท้ายก็คงหนีไม่พ้นการหาที่สงบๆ นอนนิ่งๆ รอหมดเวลาพักแล้วกลับไปทำงานตามเดิมหรอก”

“เสียเวลาโดยเปล่าประโยชน์” ดูเหมือนภามจะไม่เข้าใจตรรกะของผม เพราะความไม่พอใจจางๆ แผ่ออกมาจากร่างของเขาจนสัมผัสได้ชัดเจนทีเดียว

“สำหรับหมอโลกแคบแบบฉัน มันไม่ได้มีทางเลือกมากนักหรอกนะ” ผมพูดออกไปแบบสบายๆ “ถ้ามีเวลาว่างขอแค่ได้นอนก็สุขใจจะแย่แล้ว”

“คุณไม่เข้าใจที่ผมบอกตอนอยู่บนรถไฟเหรอ” เขาจ้องมองผมด้วยใบหน้าปลาตายที่ดูจริงจังกว่าปกติพอควร “ถ้าคุณไม่หาหนทางแก้ไขความรู้สึกแย่ๆ ในใจนั่น สักวันคุณต้องไม่เหลือความเป็นตัวเองแน่”

“…”

“คุณมีทางเลือก แต่คุณไม่เดินเข้าไปคว้ามันเองต่างหาก เอาแต่นั่งรอแบบนี้มันไม่ช่วยอะไรหรอกนะ”

“ทำไมต้องจริงจังขนาดนั้น...” ผมเผลอพูดออกไปงงๆ เมื่อจับน้ำเสียงที่ดูดุดันขึ้นหนึ่งระดับของเขาได้

“ถ้าคุณบอกว่าตอนเป็นหมอไม่มีเวลา แล้วทำไมไม่ใช้เวลาที่มีตอนนี้ให้เป็นประโยชน์”

“เอ่อ...”

“สองเดือนที่เราอยู่ด้วยกัน ถ้าคุณนอนนานเกินแปดชั่วโมงผมจะเอากล้องฟาดหัวคุณ”

“เดี๋ยวๆ อันนี้เริ่มเป็นหนังสยองขวัญละนะ”

ในขณะที่ผมกำลังกะพริบตาปริบๆ มองคนหัวร้อนหน้าตายด้วยความงุนงง สัญชาตญาณในกายกลับร้องเตือนดังลั่นว่าฉิบหายแล้วรัวๆ เพราะหน้าตาของภามบ่งบอกชัดเจนว่าเอาจริง คราวนี้ถึงกล้องจะแพงแสนแพงหรือรักแสนรักยังไง แต่มันต้องกลายเป็นอาวุธที่คนตรงหน้าใช้ฆาตกรรมผมจริงๆ แน่

“พูดจริง”

ยังมีหน้ามาย้ำอีก

“รู้ตั้งแต่ปาที่โกนหนวดใส่แล้ว!” ผมตอบด้วยความหัวเสียขณะถอนหายใจออกแรงๆ เพื่อบรรเทาความหงุดหงิด

“เก้าบอกว่าคุณดื้อยิ่งกว่าพี่ผมอีก”

“อย่างมันมีหน้ามาว่าฉันด้วยเหรอ”

ไอ้เก้า...ไอ้เพื่อนเลว ถ้ากูเรียกดื้องั้นมึงก็ไร้ทางเยียวยาแล้ว

“สมแล้วที่เป็นเพื่อนกัน” ภามพูดด้วยน้ำเสียงปกติเหมือนต้องการให้ได้ยินทั้งที่รูปประโยคควรเป็นการกระซิบกระซาบกับตัวเองคนเดียวมากกว่า

“คนที่ดูดนิสัยมันมาด้วยอย่างนายมีสิทธิ์พูดด้วยเหรอ”

“อย่างน้อยผมก็ไม่ดื้อเหมือนคุณ”

“ไม่เชื่อ”

ผมแลบลิ้นใส่ภามแล้วหันหลังกลับมาจัดของเหมือนเดิม คราวนี้ไม่คิดจะหันกลับไปแล้วด้วย ต่อให้ได้ยินเสียงเขาพูดว่าทำตัวเหมือนเป็นเด็กอยู่ด้านหลังก็ไม่คิดสนใจ บางทีก็นึกเกลียดนิสัยมีมารยาทของตัวเองที่ต้องสบตาผู้พูดตลอดเวลาอยู่เหมือนกัน ไม่งั้นผมคงไม่ต้องหันไปเจอหน้าตาจริงจังของคนด้านหลังจนนำมาสู่ความซวยซ้ำซวยซ้อนซวยซ่อนเงื่อนอย่างนี้

ที่น่าสงสัยหนักสุดคือทำไมผมถึงยอมเชื่อฟังมันเนี่ยแหละ!


—————————
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[4]==[P.2]== [28/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 28-05-2018 21:41:43
ที่หนักสุดไม่น่าใช่โชว์ก้นให้กันนะคะคุณหมอ น่าจะเป็นอ้วกใส่หน้าเค้ามากกว่าค่ะ5555555 // ทำไมตอนนี้น่ารักมากเลยล่ะคะ มันมีบางครั้งที่แบบดูจริงจังแต่บางครั้งก็น่ารักน่าหยิกทั้งคู่เลย เจไดอย่าโดนภามเอากล้องฟาดหัวนะคะ :hao7:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[4]==[P.2]== [28/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 28-05-2018 22:20:46
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[4]==[P.2]== [28/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 29-05-2018 01:27:20
นายเจ้าของเกาะที่ใครเอ่ย ดีหรือร้าย  :hao3:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[4]==[P.2]== [28/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Fallinlove ที่ 29-05-2018 10:38:41
น่ารัก > < 
คู่นี้เข้ากั๊นเข้ากัน
คิดถึงน้องเก้าจัง ผู้วางแผนอยู่เบื้องหลังสินะ 555
นายคือใครเนี่ย อยากรู้แล้ว
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[4]==[P.2]== [28/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 30-05-2018 11:40:15
ขอบคุณคร่า
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[4]==[P.2]== [28/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 01-06-2018 18:26:32
-5-


“นายอนุญาตให้อยู่ที่นี่ได้”

“เย้!”

“ขอบคุณมากครับ” ผมตอบลุงเหมพร้อมรอยยิ้ม ด้านข้างคือภามที่พยักหน้าเงียบๆ ไม่มีทีท่าแปลกใจ ส่วนที่ร้องไชโยกันยกใหญ่คือแตงกับตาลที่ดูจะอยากได้เพื่อนใหม่เสียเหลือเกิน

“ถ้ายังไงเอ็งจะพักกันที่บ้านนังต้อยเหมือนเดิมก็ได้นะ”

“ใช่จ้ะ พักกับน้าก็ได้” น้าต้อยยิ้มรับคำด้วยความเต็มใจ

“ผมไม่ค่อยอยากรบกวนเลยครับ ไม่ทราบว่าพอจะมีบ้านหลังอื่นแถวนี้อีกไหม หลังเล็กๆ แค่เอาไว้เก็บของกับนอนได้ก็โอเคแล้ว” ที่สำคัญคือขอให้ไม่ต้องนอนกับไอ้บ้าหน้าปลาตายนี่ก็พอ แยกมุ้งให้ก็ยังดี

“แบบนั้นเห็นทีจะต้องสร้างใหม่นะ” ลุงเหมทำหน้าครุ่นคิดแล้วหันมาตอบผม “ปกติคนที่นี่สร้างบ้านสร้างกระท่อมกันเองทั้งนั้น เรามีไม้ มีอุปกรณ์ พ่อหนุ่มอยากลองทำเองไหมล่ะ”

“ไม่…”

“พวกผมจะทำเอง”

“งั้นก็ดีเลย เดี๋ยวลุงจะไปดูที่ให้ว่าตรงไหนพอจะลงบ้านได้ ส่วนถ้าต้องไหนต้องการความช่วยเหลือก็บอกไอ้พวกผู้ชายได้ทุกคนเลยนะ”

“เดี๋ยว...” ผมอ้าปากค้างมองลุงเหมเดินจากไปด้วยความงุนงง ก่อนจะตวัดสายตาไปมองไอ้ตัวต้นเหตุที่ไปบอกเขาว่าเราจะสร้างบ้านกันเอง “สร้างบ้านนะไม่ใช่ก่อทราย แล้วพวกไฟฟ้าอะไรพวกนี้จะทำยังไง”

“ไม่ได้คิดจะใช้อยู่แล้ว” ภามยักไหล่ตอบหน้าตาย “ที่นี่แทบไม่ต้องใช้พัดลมด้วยซ้ำ”

“แล้วแสงไฟ...”

“ตะเกียง”

“แค่คิดก็ปวดหัวแล้ว” ผมกุมขมับ อยากจะล้มตัวลงไปนอนแดดิ้นอยู่ที่พื้น ติดอยู่ตรงที่มีน้าต้อยนั่งอยู่ด้วยเลยทำไม่ได้

“มาอยู่เกาะแบบนี้ต้องใช้ชีวิตให้คุ้ม ทิ้งวิถีคนเมืองไปเถอะ”

“นายพูดเหมือนง่าย”

มันไม่ใช่แค่คนเมืองเดินทางมาอยู่เกาะธรรมดา แต่ผมคือคนเมืองโลกแคบชีวิตติดอยู่ที่โรงพยาบาลกับเตียงนอน ได้ไปเที่ยวในรอบห้าปีก็ตื่นตาตื่นใจพออยู่แล้ว นี่ถึงขนาดข้ามขั้นมากลายเป็นชาวเกาะอย่างแท้จริง แถมยังจะให้ไปก่อสร้างบ้านทั้งที่ร่างกายเหมือนเต้าหู้ไร้เรี่ยวแรง ไม่ใช่ว่าจะดูถูกตัวเองหรอกนะ ผมแค่รู้สมรรถภาพทางกายเป็นอย่างดีเท่านั้นเอง

ขอสิบนาทีพอ...สลบแน่นอน

“ไม่ยากหรอก” ภามจ้องตาผมนิ่งเหมือนจะส่งผ่านความมั่นใจมาให้

“นายเคยทำมาก่อนเหรอ” ถ้าตอบว่าเคยจะตกใจมาก ครอบครัวมหาเศรษฐีอย่างเจ้านี่น่ะเหรอจะเคยทำงานหนักประเภทแบกหามสร้างบ้าน

แล้วก็ตามคาด...ภามส่ายหน้าแทบจะทันที

“ไม่เคย แต่รู้ว่าต้องทำยังไง”

“โคตรไม่น่าไว้ใจเลยเถอะ” ผมกลอกตาใส่เขา

“เชื่อผมสิ”

ไม่...ไม่ต้องมาจ้องเลย

ดวงตาว่างเปล่าที่มองมานิ่งเหมือนพยายามจะสื่อความหมายถึงอะไรบางอย่างเกือบทำให้ผมหลงกลอยู่แล้ว หากไม่ใช่ว่าเขาพูดประโยคต่อไปออกมาอย่างซื่อตรงเสียก่อน

“ผมมั่วเก่ง”

“ไม่ต้องบอกความจริงก็เกือบเท่อยู่แล้วนะ”

“หึ”

“เดี๋ยว...นั่นขำเหรอ” ผมมองหน้าภามแบบเหวอๆ เมื่อได้ยินเสียงหึดังออกมาจากปากเขา คือคนเราสามารถทำเหมือนจะขำทั้งที่หน้าตายได้ขนาดนี้เลยจริงดิ แล้วยังมีหน้ามามองเหมือนจะถามว่าแปลกตรงไหนด้วยนะ

“คุณตลก”

“แบบนั้นมันไม่ได้เรียกว่าขำ”

“แล้วต้องแบบไหน” ภามเอียงคอถามเหมือนนึกสนุก ผมจับสังเกตจากหน้าปลาตายกับน้ำเสียงของเขาได้ ถึงจะไม่ได้เปลี่ยนไปมากแต่ความกวนตีนที่ได้สัมผัสมาอย่างต่อเนื่องในช่วงนี้ก็พอจะช่วยให้คนขี้สังเกตอย่างผมแยกแยะอารมณ์ของเขาออกได้บ้าง มันเหมือนเวลาผมตรวจคนไข้เด็กแล้วต้องเดาใจตลอดว่าพวกเขาอยู่ในอารมณ์ไหน ต้องการอะไร และจะร้องไห้เมื่อไหร่นั่นแหละ

“ต้องเริ่มจากยิ้มก่อน” เล่นมาก็เล่นกลับ ผมตอบตามความจริงแล้วขยับตัวแบบเนียนๆ เข้าไปหาอีกฝ่าย “ฉันจำได้ว่าตอนวันเกิดไอ้เก้าเมื่อหกเจ็ดปีก่อนที่เราเจอกันครั้งแรก นายยังไม่หน้าตายขนาดนี้เลยนะ”

“พี่บอกว่ายิ่งโตผมก็ยิ่งยิ้มยากขึ้นเรื่อยๆ ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม”

“เพราะไม่มีเวลาอยู่ด้วยกันเหมือนแต่ก่อนหรือเปล่า ได้ข่าวว่าพี่นายทำงานตัวเป็นเกลียวตั้งแต่เรียนจบ ไอ้เก้าเองก็ช่วยงานเขาด้วยไม่ใช่เหรอ” ผมสันนิษฐานไปเรื่อยจนมานั่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าภามได้สำเร็จ แม้เจ้าตัวจะดูสงสัยแต่ก็ไม่ได้ขยับหนีหรือหลบสายตาแต่อย่างใด

“คงใช่...เพราะหลังจากเรียนจบผมก็ออกเดินทางเลย ไม่ค่อยได้มีเวลาอยู่กับพวกนั้นนานๆ แต่เก้าบอกว่าผมยิ้มและหัวเราะกับพวกเขาแบบกลวงๆ มันเป็นเพราะผมยังหาสิ่งที่เป็นของตัวเองไม่เจอ”

“งั้นมาเริ่มจากฝึกยิ้มเป็นไง”

“แบบนั้นจะต่างอะไรกับยิ้มหรือหัวเราะแบบกลวงๆ”

“ต่างตรงที่ฉันสนุกไง” ไม่ต้องรอให้สงสัยมากไปกว่านี้ผมก็รีบยกมือขึ้นทำตามสิ่งที่คิดไว้ทันที

“…เจ็บ!"

“เสียงดังเป็นด้วย” ผมเหยียดยิ้มมองคนที่โดนหยิกแก้มยกขึ้นเป็นรอยยิ้มอย่างสะอกสะใจ ใบหน้าปลาตายของเขาพอประกอบกับรอยยิ้มปลอมๆ ที่โดนผมสร้างขึ้นแบบนี้ ดูแล้วโคตรน่าขำ ยังไม่นับคิ้วเข้มที่ขมวดแน่นเหมือนกำลังอดทนกับความเจ็บนั่นอีกนะ....สะใจสุดๆ

ในเมื่อไม่ถือตัวกันดีนัก งั้นต่อไปจะแตะนั่นแตะนี่เตะนั่นเตะนี่ก็คงไม่ต้องเกรงใจอีกต่อไปแล้ว ผมจะหยิกให้แก้มเขียวไปเลย

“เล่นแบบนี้เหรอ”

“เฮ้ย...เดี๋ยว!” ผมร้องลั่นเมื่อภามใช้เวลาแค่สามวินาทีในการดึงมือผมออกจากใบหน้าที่เริ่มกลายเป็นสีแดงของเขา ไอ้บ้าแรงเยอะมันใช้มือเดียวรวบแขนผมไว้ ในขณะที่มืออีกข้างทำท่าจะยื่นมาบิดแก้มคืน “ไม่เอานะ...ภาม...ภาม!”

“ถ้าแก้มเขียวแล้วจะหยุด”

“อย่านะ!” แม้จะถูกรวมมือไว้แต่ผมก็พยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อที่จะยกมือขึ้นมากันไว้ รั้งไปรั้งมาจนเริ่มเจ็บแขนแล้วเบะปากนั่นแหละถึงตัดสินใจพูดความจริงออกไปแบบทนไม่ไหว “ฉันกลัว”

ทุกสิ่งหยุดชะงักเมื่อผมพูดออกไปด้วยน้ำเสียงหวาดกลัวของแท้ ถึงจะน่าอับอายขนาดไหนที่ต้องเปิดเผยความลับของตัวเองให้คนอื่นรู้ แต่วินาทีนี้ขอแค่ไม่โดนหยิกแก้มเขียวหรือโดนกำแขนแน่นจนช้ำก็พอ

“ผมไม่ได้จะทำร้ายคุณ” ภามขมวดคิ้วแล้วพูดทั้งที่ยังไม่ปล่อยมือ

“ฉันไม่ได้กลัวนาย” ผมบอกความจริงพร้อมทั้งขยับตัวถอยหลังเล็กน้อยให้มือของเขาอยู่ห่างจากหน้าตัวเองให้ได้มากที่สุด “ฉันกลัวเจ็บ”

“…มันไม่ได้เจ็บขนาดนั้น”

“สำหรับฉันแค่หยิกเฉยๆ ก็จะร้องไห้แล้ว” ไม่นับในฝันที่คิดจะหยิกตัวเองให้ตื่นนะ อันนั้นพอตื่นขึ้นมามันก็ไม่รู้สึกอะไรแล้วเลยไม่นับ

“กลัวมากขนาดนั้นเลย?” เหมือนคนพูดจะเริ่มรู้สึกตัวว่าเขากำแขนผมไว้แน่นขนาดไหน มือใหญ่ๆ นั่นถึงได้คลายออกเล็กน้อยแต่ก็ยังไม่ได้ปล่อยให้เป็นอิสระ

“มากขนาดนั้นแหละ...ความเจ็บปวดไม่ว่าจะมากหรือน้อยสำหรับฉันมันคือเจ็บเหมือนกันหมด”

“แล้วเวลาฉีดยาหรือรักษาคนไข้ทำยังไง”

“ไม่เห็นมีปัญหาอะไร อันนั้นคนไข้เจ็บ ฉันไม่ได้เจ็บสักหน่อย” ผมถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นว่าภามหมดอารมณ์จะเอาคืนแล้ว

“…”

“ปล่อยมือได้แล้วก่อนที่นายจะเผลอกำแขนฉันแน่นจนกระดูกหัก”

“มิน่าตอนบอกว่าล้มในห้องน้ำถึงได้ร้องลั่น แถมยังพยายามทายาแล้วทำหน้าตาเหมือนจะโดนเชือด” จู่ๆ เขาก็พึมพำออกมาเสียงเบา แต่เล่นเอาผมเบิกตาโตด้วยความตกใจ สรุปมันทั้งได้ยินทั้งเห็นหมดเลยเหรอวะน่ะ

โอย...ชีวิต หมดแล้วภาพพจน์ที่สั่งสมมา

“รู้แล้วก็ปล่อยมือเถอะนะ” ผมเมินเศษหน้าที่แตกกระจายอยู่ที่พื้น แล้วหันมาให้ความสนใจต่อการแกะมือเหล็กที่จับกุมข้อมือของตัวเองอยู่แทน

“แต่คุณหยิกแก้มผม”

“ฉันแค่ช่วยให้นายรู้ว่าเวลายิ้มต้องเริ่มยังไงเฉยๆ” แก้ตัวน้ำขุ่นๆ และพยายามแกะมือของเขาออกต่อไป

“ถ้าคุณหมายถึงการยกมุมปากขึ้นแบบที่พยายามทำ เรื่องนั้นผมรู้อยู่แล้ว”

“งั้นเอาคืนวิธีอื่นได้ไหม ไม่เอาเจ็บๆ นะ ฉันกลัว” เมื่อวิธีขอให้เลิกล้มความตั้งใจไม่ได้ผลก็ต้องใช้วิธีประนีประนอมแทน ผมหยุดพยายามแงะมือภามออกเมื่อรู้ว่ามันไร้ประโยชน์หากเขาไม่ยอมปล่อยด้วยตัวเอง ก่อนจะเงยหน้าขึ้นจ้องดวงตาว่างเปล่าคู่นั้นเพื่อส่งผ่านความจริงใจไปให้ “เอาเป็นว่าฉันจะช่วยนายสร้างบ้านแต่โดยดีเป็นไง”

“เรื่องนั้นคุณต้องทำอยู่แล้ว เพราะถ้าไม่ทำคุณจะได้นอนกลางป่า”

วางแผนไว้พร้อม...เลวร้ายที่สุด

“แล้วจะให้ทำยังไง” ผมถามเสียงอ่อย นาทีนี้เขาพูดอะไรมาคงต้องรับปากไปก่อน ไม่งั้นได้โดนหยิกแก้มจนร้องไห้โฮหมดสิ้นมาดดีๆ ที่เหลือเพียงน้อยนิดแน่

“ข้าว”

“หา”

“อยากกินไข่เจียว”

“เดี๋ยว...”

“จะทำไม่ทำ” ภามถามด้วยน้ำเสียงราบเรียบไม่ต่างจากเดิม แต่ทำไมผมรู้สึกเสียวสันหลังวาบๆ จนเผลอขยับตัวถอยหลังก็ไม่รู้ และท่าทางของพวกเราคงไม่อาจเรียกได้ว่าปกตินัก เมื่อคนหนึ่งกึ่งนั่งกึ่งนอนอยู่บนพื้น มีเพียงแขนที่ใช้รับน้ำหนักไม่ให้ทิ้งตัวลงไปนอนราบ ส่วนอีกคนคร่อมตามอยู่ด้านบน แม้จะไม่ได้ใกล้กันมากแต่ก็ไม่ใช่ท่าทางที่ควรทำกับคนรู้จักธรรมดาแน่นอน

มันจะไม่มีอะไรเลยถ้าไม่ใช่...

“ตามสบายเลยนะจ๊ะ น้าไม่กวนแล้วดีกว่า คิกๆ”

น้าต้อยนั่งดูอยู่...ตั้งแต่แรก

ผมหันกลับไปมองหน้าภามที่ไม่ได้มีท่าทีเดือดเนื้อร้อนใจอะไรเลยแม้แต่นิดเดียวแล้วได้แต่ถลึงตาใส่ ก่อนจะพยายามผลักไหล่ไอ้คนดื้อด้านที่จะเอาคืนให้ได้ออกไปให้ไกลจากตัวเอง

“โดนเข้าใจผิดหมดแล้ว ถอยไปเลยนะ”

“ไข่เจียว”

“…”

“ไข่เจียว”

“ก้มลงไปกินเลยมะ” ก่อนจะรู้ตัวว่าพลาดกวนตีนผิดคนก็ตอนที่เห็นดวงตาว่างเปล่าคู่นั้นเลื่อนลงมองต่ำตามที่ผมว่าจริงๆ แต่ประเด็นคือมันไม่ได้มองของตัวเองไง “มองอะไร!”

“จะให้กินจริงๆ เหรอ”

“…”

“ถอดกางเกงสิ”

“จะไปทอดไข่ให้เดี๋ยวนี้เลยครับ” ผมกลิ้งตัวออกจากการกักขังของภามได้อย่างง่ายดายเมื่อเขาไม่ได้รั้งไว้ บางทีอาจเป็นเพราะได้รับคำตอบที่ตัวเองต้องการแล้ว แต่กูเนี่ยจะบ้าตาย ขอมอบตำแหน่งสิ่งมีชีวิตที่ต่อกรยากที่สุดในโลกให้คนคนนี้เลย กวนตีนหน้าตายยิ่งกว่าไอ้โซเพื่อนผมอีก

เอาเถอะ...ในเมื่อรับปากมาแล้วก็คงต้องทำ ไม่งั้นโดนลากไปเอาคืนต่อแน่

ห้องครัวของบ้านหลังนี้คือบริเวณใต้ถุนบ้าน ผมเดินไปขออนุญาตน้าต้อยที่นั่งหัวเราะคิกคักอยู่หน้าบ้านก่อน ท่านถามแค่ว่าอยากให้ช่วยไหม ด้วยความมั่นใจในฝีมือตัวเองผมเลยตอบไปว่าทำเองได้ แต่พอมาเห็นสภาพครัวเต็มๆ แล้ว...

เตาถ่าน...

“ไข่ไหม้จะมาโทษกันไม่ได้นะ”

ต่อให้เก่งยังไง ถ้าต้องมาจุดไฟจุดถ่านเป็นครั้งแรกต้องมีไหม้กันบ้างแหละวะ เพราะฉะนั้นไข่ดำนิดๆ นี่ไม่ใช่ความผิดผมเลยนะ

“หิวแล้ว” เสียงเนือยๆ แบบคนไร้วิญญาณดังขึ้นข้างใบหูในระยะเผาขน ทำเอาขนคอผมลุกชันจนเกือบทำไข่คว่ำลงพื้นระหว่างเทลงจาน

“อย่ามาแบบไม่ให้ซุ่มให้เสียงได้ไหมเนี่ย”

“หน้าตลก”

มันคือการปฏิเสธกันทางอ้อมถูกไหม

“เอานี่ไป” ผมยื่นจานข้าวให้ภาม เรียกได้ว่ายื่นแบบประชิดถึงเนื้อถึงตัว ถ้าเป็นคนปกติตามสัญชาตญาณคงยกมือขึ้นมารับไปแล้ว แต่เพราะคนคนนี้ไม่ปกติเขาถึงได้ก้มลงมองทั้งหน้าตาย

“ไข่เจียว...ไหม้”

“กินๆ ไปเถอะน่า”

“เป็นหมอแต่บอกให้ผมกินไข่เจียวไหม้”

ผมกลอกตามองภาม ก่อนจะถอนหายใจแรงๆ ใส่หน้าเขา ใจจริงอยากจะเอาจานข้าวคว่ำใส่หัวอยู่เหมือนกัน ถ้าไม่ติดว่ากลัวโดนเอาคืนแบบเจ็บๆ นะ คิดแล้วก็อยากจะบ้าตายที่ดันไปบอกความลับให้เขารู้ ทั้งที่อุตส่าห์ปิดบังมาได้ตั้งนาน แม้แต่เพื่อนสนิทยังไม่มีใครรู้เลย

“นานๆ ทีไม่เป็นไรหรอก ครั้งต่อไปจะไม่ให้ไหม้อีก โอเคยัง”

“ครั้งต่อไป” คนพูดรับจานข้าวไปแต่โดยดี

เออ...กูพลาดเอง

“กินไปเลย ฉันจะไปอาบน้ำนอนแล้ว” ผมตัดบทแล้วตั้งท่าจะเดินกลับขึ้นบ้าน แต่ยังไม่ทันได้ก้าวเท้าภามก็รั้งแขนผมเอาไว้ก่อน เขาไม่พูดอะไรแม้กระทั่งตอนที่ลากกันไปนั่งลงบนเก้าอี้ตัวยาวที่ทำจากไม้ไผ่ ไม่ห่างจากส่วนที่ทำกับข้าวนัก หลังจากนั้นข้าวช้อนหนึ่งจึงถูกยื่นมาตรงหน้าผม

“คุณยังไม่ได้กินข้าวเย็น”

“ขอบคุณที่ห่วง แต่ปกติฉันก็ไม่ค่อยได้กินอยู่แล้ว” อันนี้เรื่องจริง บางครั้งก็ทำงานหนักจนลืม หรือบางครั้งถ้าอยู่บ้านก็เอาเวลาไปนอนมากกว่า ไม่แปลกที่ผมจะลืมกินข้าวเย็นอยู่บ่อยๆ

“ทำไมหมอชอบบอกให้คนไข้กินอาหารให้ครบห้าหมู่หรือกินอาหารให้ตรงเวลาทั้งๆ ที่ตัวเองก็ไม่ยอมทำ” ใบหน้าของคนถามแลดูสงสัยปนหงุดหงิดอยู่นิดหน่อย ผมเลยยักไหล่แล้วตอบกลับไปตามความจริง

“คนไข้มาหาหมอเพราะไม่สบาย หมอก็ต้องแนะนำในสิ่งที่ถูกสิ”

ภามขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อได้ยิน ผมลอบยิ้มอยู่ในใจ ไม่รู้เจ้าหน้าปลาตายจะรู้ตัวไหมว่าตัวเองเริ่มแสดงออกทางสีหน้ามากขึ้นแล้ว ถึงจะแค่ขมวดคิ้วหรือหรี่ตานิดๆ หน่อยๆ ก็เถอะ

“กินเข้าไป”

“นายก็กินไปดิ ฉันจะไปอาบน้ำนอนแล้ว”

“ฟ้าเพิ่งจะมืดเนี่ยนะ” เขาถามทั้งที่ยังไม่ละความพยายามในการเอาช้อนยัดปากผม

“ง่วงแล้ว”

“จะกินดีๆ หรือจะให้ยัด ช้อนบาดปากผมไม่รับผิดชอบนะ”

คนเลว! ทำไมต้องเอาความเจ็บปวดมาขู่กันด้วย ได้แต่คิดอย่างแค้นเคืองก่อนจะงับข้าวกับไข่ไหม้ๆ เข้ามาในปากแต่โดยดี แหม...ห่วงกูจังเนอะ จงใจเลือกไข่ส่วนที่ไหม้ล้วนๆ ให้เนี่ย แล้วยังมีหน้ามาทำหน้าตาเหมือนพออกพอใจใส่อีก

กว่าจะจัดการอาหารการกินกันเรียบร้อยก็ปาเข้าไปเกือบครึ่งชั่วโมง ผมกลับขึ้นบ้านเพื่อหยิบข้าวของเตรียมตัวไปอาบน้ำ ใจนึกถึงแต่เตียงนอนจนไม่รู้ตัวเลยว่าในขณะที่กำลังอาบน้ำอยู่มีไอ้บ้าคนหนึ่งมันเปิดประตูเข้ามาแบบไม่บอกไม่กล่าว กำลังคิดอยู่เลยว่าขันหายไปไหน หันไปมองอีกทีก็เห็นคนตัวสูงแก้ผ้าโชว์หุ่นน่าอิจฉายืนมองอยู่ก่อนแล้ว

“เข้ามาได้ไงเนี่ย”

“คุณไม่ได้ล็อกกลอน” เขาตอบหน้าตาย

“อยู่บ้านไม่ค่อยล็อกเลยชินมั้ง” ผมตอบแบบสบายๆ เหมือนไม่ได้คิดอะไร ทั้งที่ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ ต้องขอบคุณใช่ไหมที่ต่างฝ่ายต่างใส่ผ้าขาวม้ากันทั้งคู่ ขืนโป๊อาบน้ำเหมือนตอนอยู่บ้าน เจ้านี่คงเห็นอะไรต่อมิอะไรของผมจนหมด

ลืมไป...มันเห็นหมดแล้ว

“ผมเห็นคุณอาบนานแล้วเลยลองมาดู พอรู้ว่าไม่ได้ล็อกก็เข้ามาเลย”

“มีมารยาทสุดๆ”

“ขอบคุณ”

กูประชด

ปกติเวลาก่อนนอนผมมักจะหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดูหนึ่งครั้งเพื่อตอบข้อความของบรรดาเพื่อนที่ขยันหาเรื่องมาคุยกันทุกวัน หลังจากนั้นก็จะปิดเครื่องแล้วหลับไป มาตอบอีกรอบคือก่อนจะนอนของวันถัดไป ทำไปทำมาจนเริ่มเป็นเหมือนวงจรชีวิตของตัวเองที่ถ้าขาดไปจะรู้สึกไม่ชิน แต่ในเมื่อบนเกาะนี้ไม่มีแม้แต่สัญญาณโทรศัพท์ โทรศัพท์ไร้ประโยชน์ของผมเลยถูกโยนทิ้งไว้ในกระเป๋าเสื้อผ้าไปในที่สุด

ฟูกนอนสามฟุตครึ่งทำให้ผมกับภามต้องนอนเบียดกันอย่างช่วยไม่ได้ โชคดีที่ภามใช้เวลาอยู่เกือบสองชั่วโมงในการนั่งเช็คกล้องของเขา นั่นหมายความว่าถ้าผมสามารถหลับก่อนได้ ต่อให้ต้องเบียดกันก็คงไม่ลำบากใจมากนัก แต่โชคร้าย...โชคร้ายที่คนรักการนอนยิ่งชีพอย่างผมดันนอนไม่หลับขึ้นมาเป็นครั้งแรกในรอบหลายปี

“คุณนอนไม่หลับ” คนที่กำลังคลานเข้ามาในมุ้งเอ่ยขึ้นเสียงเรียบ ผมที่กำลังหันหน้าเข้าหาผนังห้องเลยได้แต่พลิกตัวกลับไปนอนหงายแล้วตอบตามตรง

“ใช่ คงเพราะไม่ได้นอนกับคนอื่นมานานมั้ง”

“ผมก็เหมือนกัน เจ็ดปีแล้วมั้ง”

“หือ” ผมขยับตัวนอนตะแคงข้างหันไปทางภามอย่างสนอกสนใจ เป็นจังหวะเดียวกับที่เขาล้มตัวลงนอนพอดี “นายเคยนอนกับคนอื่นด้วยเหรอ”

“ถ้าหมายถึงนอนในความหมายว่านอนจริงๆ...เคย”

“หมายความว่าถ้านอนในความหมายไม่จริงนายไม่เคยเหรอ”

สาบานได้ว่าผมเห็นภามเหลือบตามองกันเหมือนอยากจะด่าทั้งที่ยังนอนหงายอยู่ และสิ่งนั้นทำให้ผมหัวเราะออกมาเหมือนคนบ้า หัวเราะจนเกือบจะสำลักลมหายใจตัวเอง แม้อีกฝ่ายจะหมุนตัวมานอนตะแคงมองกันกลับแบบตรงๆ ก็ไม่สนใจ

“จะหัวเราะอีกนานไหม” ภามถามเสียงเรียบ แต่ผมจับความหงุดหงิดในน้ำเสียงนั้นได้ จากที่กำลังหัวเราะอย่างสนุกสนานเลยต้องกลั้นไว้ เหลือแค่ปากที่กำลังยิ้มกว้างแทน

“โทษทีๆ”

“…”

“พูดต่อสิ นายบอกว่าไม่ได้นอนกับใครมาเจ็ดปีแล้วเหรอ” ผมพยายามเปลี่ยนเรื่องเผื่อเขาจะหยุดทำท่าเหมือนอยากเข้ามาบีบคอกันเสียที ซึ่งภามก็เปลี่ยนเรื่องตามง่ายๆ คล้ายไม่อยากจะคุยเรื่องเดิมอยู่แล้ว

“มีช่วงหนึ่งเก้ากับพี่เคยเข้ามานอนกับผม นั่นเป็นครั้งแรกในรอบสิบปีที่ผมได้นอนในห้องที่มีคนอื่นอยู่ด้วย”

เจ็ดปีก่อน...น่าจะเป็นช่วงที่ไอ้เก้ามันบินไปหาแฟนที่อังกฤษมั้ง ผมไม่ได้รู้ดีเท่าไอ้โซเพราะไม่ค่อยมีเวลาคุยกับเพื่อนมากเท่าไหร่ รู้แค่เรื่องที่มันไปชอบใครคนหนึ่งเข้าจนต้องรีบเรียนให้จบแล้วบินตามไปหาเขาที่อังกฤษ มารู้เรื่องอีกทีก็ตอนที่เป็นแฟนกันแล้ว

“แล้วทำไมมันถึงไปนอนห้องนายล่ะ”

“เห็นว่าแอร์เสีย”

“อ๋อ”

“หลังจากนั้นผมก็ไม่ได้นอนกับใครเลย แต่อันที่จริง...ถึงตอนนั้นจะนอนห้องเดียวกัน แต่ผมก็นอนแยกเตียง”

“นายจะบอกว่า...”

“นี่เป็นครั้งแรกที่ผมนอนร่วมเตียงกับคนอื่น”

ผมไม่รู้จะพูดอะไรเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาบอก เริ่มรู้สึกว่าตัวเองคิดผิดที่หันมานอนตะแคงข้างมองหน้ากันเอาก็ตอนนี้ คงเพราะฟูกมันเล็กเราถึงได้อยู่ใกล้ชิดกันมากเกินความจำเป็น ผมนึกขอบคุณที่ภามปิดไฟไปตั้งแต่ก่อนล้มตัวลงนอน ไม่งั้นเขาคงมองเห็นใบหน้าสับสนของผมเข้าแน่ๆ

“คุณสั่น”

เวร...ลืมไปเลยว่าถ้าผมเห็นเขาชัด เขาก็ต้องเห็นผมชัดเหมือนกัน

“หยุด”

“คุณดูสับสน”

“ไม่ต้องพูด”

“นี่เป็นครั้งแรกที่คุณนอนร่วมเตียงกับคนอื่นเหมือนกัน”

“หยุดพูดนะ!”

“ทำไมคุณถึงขำที่ผมไม่เคยนอนในความหมายไม่จริงกับคนอื่น ทั้งที่คุณก็ไม่เคยเหมือนกัน” น้ำเสียงโมโนโทนในครั้งนี้ดูเหมือนจะมีความงุนงงปนมาด้วย แต่ผมไม่รู้สึกดีใจเลยสักนิดที่สังเกตเห็นมัน เพราะตอนนี้อับอายขายขี้หน้าจนไม่อยากพูดอะไรแล้ว

“ฉันจะนอน”

“ตอบคำถามก่อน” คำพูดดังขึ้นพร้อมกับฝ่ามือหยาบกร้านที่ยื่นมาจับแขนกันไว้ไม่ให้พลิกตัวหนี

“ก็แค่ลืมนึกถึงตัวเองไง” ผมกัดฟันตอบแล้วดึงแขนตัวเองออกมา “ไม่เคยขำเพื่อนเวลามันทำอะไรน่าอายแล้วลืมนึกว่าตัวเองก็เคยทำหรือไง”

ไม่บอกแล้วใครจะเชื่อ คุณหมอเจไดที่สมัยเรียนเคยมีแฟนมาแล้วหลายคนยังซิง แม้แต่นอนร่วมเตียงกับผู้หญิงยังไม่เคย ตอนเรียนเวลาเพื่อนถามยังมีโกหกบ้าง แถมผมยังเนียนเกินกว่าจะโดนจับได้ แต่พอมาเป็นเวลานี้ อายุที่มากขึ้นกับเหตุผลหลายๆ อย่างทำให้โกหกไม่ออก ถ้าเนียนไม่พูดไปก็จบแล้ว แต่ดันมีพวกฉลาดช่างสังเกตจ้องจับผิดอยู่เลยโป๊ะแตก

“ไม่เคย” ภามตอบง่ายๆ จนผมเกือบจะอ้าปากด่าอยู่แล้ว หากไม่ได้มองเห็นแววตาว่างเปล่าท่ามกลางความมืดมิดคู่นั้นเข้าเสียก่อน “เพื่อนคนเดียวของผมคือเก้า”

เพื่อนคนเดียว...

“…ฉันไง”

“…”

“ฉันเป็นเพื่อนร่วมเดินทางของนายไม่ใช่หรือไง มันก็เพื่อนเหมือนกันนั่นแหละ”

ไม่รู้เหมือนกันว่าอะไรดลใจให้พูดออกไปแบบนั้น บางทีอาจเป็นเพราะความเศร้าที่ปะปนอยู่ในน้ำเสียงของเขา หรืออาจเป็นเพราะดวงตาที่จ้องมองมานิ่งงันเหมือนจะบอกอะไรบางอย่าง แม้จะไม่รู้ว่าเขาต้องพบเจอกับอะไรมาบ้าง แต่หากคำพูดเหล่านั้นช่วยให้คนหน้าตายคนนี้รู้สึกดีขึ้นได้สักนิดก็คงดี...

และดวงตาว่างเปล่าที่ดูราวกับมีชีวิตขึ้นมาวูบหนึ่งคือสิ่งที่บ่งบอกว่าผมทำถูกแล้ว

“คุณคิดว่าผมจะตามหาเจอไหม” ใช้เวลาอยู่นานหลายนาทีกว่าภามจะพูดประโยคนี้ขึ้นมา ผมไม่รู้ว่าทำไมคนตรงไปตรงมาอย่างเขาถึงเปลี่ยนเรื่องเอง แต่ก็ไม่คิดถามอะไรในเมื่อมันเป็นความต้องการของเจ้าตัว

“ตามหาอะไร ความสุขที่นายบอกน่ะเหรอ”

“ใช่”

“เจอสิ” ผมพูดจากใจพร้อมส่งยิ้มจางไปให้ “นายบอกว่าตัวเองไม่รู้ความหมายของมันด้วยซ้ำ แต่ก็ยังตามหาไม่เคยย่อท้อ ต่างจากฉันที่เอาแต่นั่งรอใช้ชีวิตไปวันๆ ท้ังที่รู้ว่าตัวเองยังขาดอะไรบางอย่างไป ต้องให้พ่อกับแม่บังคับถึงได้ออกเดินทางมาจนถึงที่นี่ เพราะงั้นความพยายามของนายต้องได้รับการตอบแทนแน่”

“งั้นเหรอ” น้ำเสียงราบเรียบหากแฝงความโดดเดี่ยวเอาไว้หลายส่วนทำให้ผมต้องขมวดคิ้วมุ่น ใช้เวลาเนิ่นนานกว่าผมจะตัดสินใจได้ว่าควรพูดอะไรต่อ

“เอาแบบนั้นก็ได้”

“…” ภามกะพริบตาปริบๆ เป็นเชิงสงสัย เขานิ่งเงียบไม่ตอบอะไรเหมือนกำลังรอให้ผมพูดต่อ แต่ต้องเข้าใจหน่อยนะว่าคำพูดเป็นนายเรา พูดไปแล้วเอาคืนไม่ได้ เพราะงั้นขอคิดอีกแป๊บ

“เรามาช่วยกันตามหาไง” ผมยกมือเกาหัวแล้วหลบสายตาด้วยความลำบากใจ เกือบจะเปลี่ยนใจไม่พูดออกไปแล้ว หากไม่โดนคนข้างกายดันหน้าให้หันกลับไปสบตากันเหมือนเดิมเสียก่อน

“เราต่างออกเดินทางเพื่อตามหาอะไรบางอย่าง” เขาเป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อนเมื่อผมเงียบไปนาน “เรามาช่วยกันตามหาได้ไหม ผมจะตามหาความหมายของคำว่าความสุข...ความสุขที่เป็นของตัวเอง”

“ส่วนฉันจะตามหาความหมายของชีวิต หาหนทางแก้ไขความรู้สึกแย่ๆ ที่เป็นอยู่” ผมเสริมต่อโดยไม่รู้ตัว ราวกับถูกดวงตาคู่นั้นดึงดูดให้หลงทางเข้าไปด้านในจนหาทางออกไม่เจอ

“คนขี้เกียจอย่างคุณไม่ทำหรอก”

“นี่!” บรรยากาศกำลังดีๆ อยู่แล้วเชียว ไอ้บ้านี่ดันเปลี่ยนมันให้กลับจากหน้ามือเป็นหลังตีนซะงั้น

“ถ้าเหนื่อยมาก...คุณจะอยู่เฉยๆ รอให้คำตอบเหล่านั้นมันวิ่งเข้ามาหาเองเหมือนเดิมก็ได้” ภามส่ายหน้าแล้วใช้นิ้วแข็งๆ ของตัวเองกดทับลงบนริมฝีปากของผมไม่ให้พูดอะไรต่อ ท่าทีที่ไม่เคยได้รับจากใครทำให้ผมเผลอกลั้นหายใจและเบิกตากว้างโดยไม่รู้ตัว “ผมจะช่วยเอง”

“…”

“ผมจะช่วยพยายาม...ในส่วนที่คุณขาด”

“ฉัน…” ความร้อนที่แล่นเข้าสู่ร่างกายผ่านปลายนิ้วซึ่งกำลังสัมผัสริมฝีปากของผมอยู่ทำให้เลือดในกายสูบฉีดจนใจเต้นแรง ผมยกมือกุมอกแล้วบอกตัวเองว่าทุกสิ่งมันเกิดขึ้นเพราะอากาศร้อนๆ หนาวๆ ท้ายที่สุดเมื่อใจปฏิเสธข้อกล่าวหาที่ถูกมอบให้ ร่างกายที่ยังพอควบคุมได้เลยพลิกตัวหมุนไปอีกทางเพื่อหลบเลี่ยงทุกสิ่ง “ฉันจะนอนแล้ว”

ไม่ดีเลย...ความรู้สึกแปลกๆ พวกนี้

“ฝันดี”

ผมเม้มปากแน่นเพื่อไม่ให้เผลอส่งเสียงตอบกลับไปว่าฝันดี เพราะหากพูดอะไรออกไปตอนนี้เขาต้องจับได้แน่ๆ ว่าเสียงของผมสั่นเทาอยู่ ถึงเวลานั้นคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

เวลาผ่านไปนานขนาดไหนก็ไม่รู้ แต่เมื่อผมพลิกตัวกลับไปดูด้านหลังเพราะนอนไม่หลับ ก็พบว่าภามหลับตานอนนิ่งไปก่อนแล้ว สายตาที่เคยชินกับความมืดและระยะที่ใกล้เกินจำเป็น เมื่อผนวกรวมเข้ากับแสงจันทร์จากด้านนอกที่ส่องผ่านมาทางหน้าต่าง มันทำให้ผมสามารถมองเห็นรายละเอียดบนใบหน้านั้นได้อย่างชัดเจน

ทั้งที่เวลาตื่นดูกวนตีนหน้าตายขนาดนั้น เวลานอนคนคนนี้กลับดูเหมือนเด็กตัวเล็กๆ ที่ซุกซ่อนบางอย่างเอาไว้ในใจ

“เปล่านะ!” มือที่กำลังจะยื่นไปสัมผัสแก้มขาวๆ นั่นชะงักกึก ผมเผลอพูดแก้ตัวเมื่อเห็นเปลือกตาของอีกฝ่ายขยับขยุกขยิก คิดว่ายังไงก็ต้องตื่นมาเห็นว่าแก้มตัวเองกำลังจะถูกรุกรานแน่ แต่เปล่า...เขาแค่ทำหน้ายุ่ง ขยับตัวไปมาแล้วนิ่งไปเหมือนเดิม

ให้ตายเถอะ...ใจแทบหล่นลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม

เมื่อแน่ใจแล้วว่านอนโดยหันมาทางนี้คงไม่ปลอดภัยแน่ ผมจึงหมุนตัวกลับไปนอนหันหน้าเข้าหากำแพงเหมือนเดิมแล้วนับแกะในใจ ยังไงคราวนี้ก็ต้องหลับให้ได้ หากสัมผัสแปลกประหลาดที่แนบชิดอยู่ที่ขากลับดึงเอาความง่วงที่เริ่มคืบคลานออกไปจนหมด

ยิ่งขยับมากเท่าไหร่...สัมผัสประหลาดก็ยิ่งแนบชิดตัวมากขึ้นเท่านั้น

ผมกลั้นหายใจก่อนจะพลิกตัวหันไปมองแล้วก็ได้พบความจริง...

“ภะ...ภาม...”

มันถีบผม!

นอกจากกวนตีนหน้าตายแล้วมึงยังนอนดิ้นหน้าตายอีกเหรอหา!!!


———————-



หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[5]==[P.2]== [01/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 01-06-2018 19:14:41
ตอนสุดท้ายนึกว่าจะกอดจากข้างหลังอะไรอย่างงี้ ทำไมน้องภามถึงทำกับเจไดแบบนี้ล่ะคะ555555
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[5]==[P.2]== [01/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 02-06-2018 03:43:53
ท่าทางไม่น่าเป็นคนนอนดิ้นเลยนะภาม  :hao3:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[5]==[P.2]== [01/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 02-06-2018 08:16:50
ภามแกทำอะไร 555555


คิดถึงช่วงตอนภามอยู่อังกฤษ ด้วยความไม่คุยกับคนแปลกหน้า เก็บตัวเงียบ จนเก้าเข้ามาภามเริ่มเปิดใจมากขึ้น เปลี่ยนไปในทางที่ดีขึ้น แถมกวนตีนอีกต่างหาก5555 เจ้าเก้าสอนมาใช่ไหม? ^^
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[5]==[P.2]== [01/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: พิศตะวัน ที่ 02-06-2018 15:33:03
 :katai5: :katai5:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[5]==[P.2]== [01/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: uyong ที่ 02-06-2018 16:30:25
ตอนท้ายถือว่าพีคุ :m20: :laugh: :a5:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[5]==[P.2]== [01/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 02-06-2018 21:42:31
ลุกขึ้นไปกระชากเลย
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[5]==[P.2]== [01/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 10-06-2018 16:05:51
-6-


“หมอเจได ทำไมเดินแปลกๆ แบบนั้นล่ะจ๊ะ”

“พี่หมอเดินแปลกจริงๆ ด้วยแม่”

“อย่าไปแซวเขาสิเจ้าแตง”

ไม่ทันแล้วครับคุณน้า...คุณน้าเริ่มคนแรกเลย

“ไหวหรือเปล่า” คนที่เป็นต้นเหตุของเรื่องหันมาถามผมด้วยใบหน้าไร้อารมณ์ของตัวเอง เห็นแล้วอยากจะผลักให้ตูดกระแทกบันไดแล้วเตะซ้ำอีกที เผื่อจะเข้าใจว่าผมรู้สึกยังไง

เมื่อคืนไอ้คนนอนดิ้นมันเตะผมจนน่วมไปทั้งตัว ไอ้เรามันก็คนดี เห็นแก่ที่วันก่อนทำเขานอนไม่หลับเลยพยายามอดทน ทนไปทนมามันดันมาถีบตูดผม! ทั้งยังถีบซ้ำจุดเดิมที่เพิ่งกระแทกพื้นจนบอบช้ำมา ผมต้องนอนกัดผ้าห่มร้องไห้กระซิกๆ อยู่คนเดียวเกือบชั่วโมง ไม่ต้องบอกก็น่าจะรู้นะว่ามันทรมานขนาดไหน

“ไม่ไหว” เดินลงบันไดแล้วน้ำตาจะไหล ผมเบะปากแล้วหันไปเกาะภามแน่นเพราะไม่อยากเดินต่อแล้ว “เกิดเป็นคนใจเสาะมันลำบากชะมัด”

“ว่าตัวเองก็ได้ด้วย”

“ฉันแค่ยอมรับความจริง” ตอแหลไปนั่น...ที่กล้ายอมรับเพราะเห็นว่าอีกฝ่ายรู้อยู่แล้วต่างหาก

“จะกินข้างบนหรือเปล่า ผมจะไปเอาข้าวมาให้”

“ลงไปเลยดีกว่า เดี๋ยวยังไงก็ต้องลงอยู่ดี”

“แล้วจะลงยังไง จะบอกให้ทนเดินลงไปคุณก็คงไม่ทำ” ภามเอียงหัวเหมือนจะสงสัย ก่อนสายตาจะเบนไปมองมือผมที่เกาะแขนเขาไว้อยู่

“พาลงไปหน่อย”

“พาลงไป?”

“ขี่หลังไง” ผมขมวดคิ้วตอบแล้วอ้าแขนออกกว้างเป็นการย้ำ คล้ายวูบหนึ่งมองเห็นสีหน้าเหนื่อยหน่ายของคนตรงหน้า หากไม่กี่วินาทีต่อมาเขาก็แค่ถอนหายใจแล้วขยับเข้ามาใกล้โดยไม่ได้หันหลังให้ผมขี่แบบที่คิด

“นี่ถ้าคุณเจ็บเท้าผมคงต้องอุ้มเดินไปไหนมาไหนทั้งวันเลยใช่ไหม” เสียงโมโนโทนดังขึ้นเหมือนจะบ่น และในทันทีที่พูดจบร่างสูงของคนแรงเยอะก็ย่อตัวลงช้อนตัวผมขึ้นอุ้มอย่างรวดเร็วจนไม่มีเวลาให้ตั้งตัว

ผมแทบไม่รู้ด้วยซ้ำว่าเขาอุ้มลงมาจากบันไดแล้วปล่อยลงพื้นตั้งแต่เมื่อไหร่ เพราะตอนที่ได้สติก็เห็นแผ่นหลังกว้างเดินนำไปนั่งลงบนแคร่ไม้ร่วมกับน้าต้อยและเด็กๆ ที่กำลังหัวเราะคิกคักอยู่ก่อนแล้ว

เดี๋ยวนะ...

ภามอุ้มผม..อุ้ม!?

เออ...อุ้มตัวลอยเลยด้วย!!

ศักดิ์ศรีของกูอยู่ไหน หรือหายไปตั้งแต่เปิดตูดโชว์มันแล้ว ทำไมเหตุการณ์เลวร้ายต่างๆ ถึงได้ประดังประเดเข้ามานักวะเนี่ย

“พี่หมอๆ มากินข้าวเร็ว”

ผมกระแอมแล้วยิ้มจางให้เจ้าแตงที่หันมาเรียกโดยทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น แม้ยามเดินไปนั่งลงข้างภามก็ยังนิ่งเหมือนลืมไปแล้วว่าเมื่อครู่เขาทำอะไรไว้

“คู่รักคู่นี้น่ารักจริงๆ เลย” น้าต้อยหัวเราะคิกคักแล้วตักกับข้าวให้ผมยกใหญ่ เดี๋ยวๆ น้าเข้าใจผิดไปไกลแล้วครับ ผมยิ้มแห้งแล้วหันไปหา ตั้งใจจะแก้ไขความเข้าใจผิดก่อนจะเลยเถิดไปไกล

“ผมกับภามเราไม่…”

“ไม่ต้องปิดบังหรอกจ้ะ น้าเข้าใจ”

“แต่ผม...”

“ทานเยอะๆ นะจ๊ะ”

พอตั้งท่าจะอ้าปากอธิบายน้าแกก็พูดแทรกขึ้นมาทุกทีไป ผมถอนหายใจแล้วเหลือบตาไปมองคนด้านข้างที่ไม่คิดจะช่วยแก้ต่างเลยสักนิด ดี...อยากให้เขาเข้าใจผิดก็เชิญ ช่างมัน ผมไม่ได้เดือดร้อนอะไรอยู่แล้ว

“นายว่าคุณน้าเขาแกล้งหรือเขาไม่ได้ตั้งใจจริงๆ” ผมแอบกระซิบถามภามระหว่างที่น้าต้อยหันไปคุยกับลูกตัวเอง งงเหมือนกันที่เห็นน้าแกไม่ฟังอะไรเลย หรือว่าน้าต้อยจะเป็นคนประเภทที่เห็นผู้ชายเป็นแฟนกันแล้วมันฟินแบบที่เพื่อนสมัยเรียนของผมเป็น

“ปล่อยให้เขาคิดไปเถอะ” คนไม่เดือดเนื้อร้อนใจกับอะไรสักอย่างตอบกลับเนือยๆ ทั้งยังชักชวนเปลี่ยนเรื่องด้วยการยื่นกับข้าวในจานมาให้ดู “อันนี้อะไร”

“กินเข้าไปแล้วเหรอ” ผมแสร้งทำหน้านิ่งทั้งที่ในใจเหยียดยิ้มสมใจ ในที่สุดก็หาโอกาสแกล้งคืนได้

“รสแปลกๆ”

“นายคงไม่ชิน มันเป็นเนื้องู” หน้าตามึนๆ ของผมคงดูน่าเชื่อถือไม่น้อย เพราะแม้คนฟังจะไม่ได้เปลี่ยนสีหน้า แต่อาการแข็งค้างไปทั้งตัวนั่นก็บ่งบอกได้เป็นอย่างดีว่าสิ่งที่พูดไปได้ผลเพียงใด “ชาวบ้านบนเกาะเขากินแบบนี้กันเป็นปกติแหละ”

“…”

“นายเป็นอะไรหรือเปล่า...อุบ!” ผมแทบกลั้นหัวเราะไว้ไม่ไหวเมื่อได้ยื่นหน้าไปมองคนหน้าตายชัดๆ “หน้า...หน้านายเขียวว่ะ ฮ่าๆ”

สุดท้ายได้แต่ระเบิดอารมณ์ออกมาด้วยการขำจนตัวงอ ภามคงรู้แล้วว่าตัวเองโดนหลอก ใบหน้าราบเรียบที่เปลี่ยนเป็นสีเขียวจนดูน่าขันถึงได้เปลี่ยนแปลงไปทีละน้อยจนกลายเป็นปกติ ดวงตาว่างเปล่าจ้องผมนิ่งโดยไม่พูดอะไรแม้แต่คำเดียว แต่ผมกลับอ่านออกว่าเขากำลังด่าอยู่ในใจ

“เห็นแก่ที่คุณขำ” เขาพูดแบบนั้นแล้วตักข้าวกินต่อ แต่กลายเป็นผมเองที่ต้องงุนงงเพราะไม่เข้าใจว่าจะสื่ออะไร

“ฉันขำแล้วทำไม”

“เห็นปกติชอบทำหน้าเหมือนโลกจะแตก ถึงจะดูเหมือนบ่นอะไรอยู่ในใจตลอดเวลาก็เถอะ”

อารมณ์ดีๆ ที่ได้แกล้งคืนกลายเป็นถูกดูดหายไปจนหมดเมื่อพบว่าคนคนนี้มองผมออกจนทะลุจริงๆ อาจเพราะสะสมความเบื่อหน่ายมานานจนเกินไปเลย หน้าตาเบื่อโลกนี่เลยช่วยปกปิดอะไรในใจไว้ได้มากพอสมควร และถึงจะไม่อยากยอมรับก็คงต้องยอมรับ...ว่าจริงๆ แล้วผมไม่เคยบ่นอะไรในใจมากมายมาก่อนจนได้เจอภามเนี่ยแหละ ปกติภายนอกเฉื่อยชายังไงภายในก็เป็นแบบนั้น แต่พอเจอคนบ้าหน้าปลาตาย กลายเป็นต้องเก็บความหัวร้อนไว้ในใจและพยายามไม่เผยมันออกมาแทน

“ก็ดีกว่านายที่เอาแต่ทำหน้าเป็นปลาตายแล้วกัน” ผมหันไปแขวะหนึ่งที ในเมื่อรู้ทันหมดแล้วก็ช่างหัวมันแล้วกัน จะปล่อยอารมณ์ใส่ให้ยับเลยคอยดู

“ปลาตาย...หน้ายังไง” ภามหันหน้ามาถามแบบงงๆ

ลืมสนิทเลยว่าผมเรียกเขาแบบนั้นแค่ในใจ ไม่เคยพูดออกไปให้ได้ยิน

“ก็ปลาตายไง ไม่เคยเห็นเหรอ”

“แล้วมันหน้ายังไง”

“ไม่เคยวาดรูปปลาตายตอนเด็กๆ หรือไง” ผมมองภามกลับด้วยแววตางุนงงยิ่งกว่า “นี่นายเติบโตมายังไงถึงไม่เคยวาดรูปปลาตาย”

“…”

“มองงั้นคืออะไร”

“ไม่เข้าใจว่าคุณเป็นหมอได้ยังไง” เขาถามด้วยหน้าตานิ่งๆ ที่ผมรู้สึกว่ามันกวนตีนจนอยากจะต่อยให้หน้าหงาย ติดตรงที่สู้ไม่ได้เลยทำได้เพียงขมวดคิ้วมุ่นอย่างเดียว “บอกแล้วว่าปัญญาอ่อน”

“ที่พูดมาคือรู้อยู่แล้วใช่ไหมว่ามันเป็นคำด่า”

“รู้”

“หมายความว่าตั้งใจด่าฉันเหรอ”

“ใช่”

“ทนไม่ไหวแล้ว ขอบีบคอทีเหอะวะ!” ผมวางจานข้าวแล้วพุ่งเข้าหาภามท่ามกลางเสียงหวีดร้องด้วยความตกใจของน้าต้อยกับเสียงหัวเราะของเด็กๆ ที่คิดว่าเรากำลังเล่นกัน ลำคอขาวๆ ซึ่งเป็นจุดมุ่งหมายถูกมือผมกอบกุมไว้แล้ว แต่เพราะไอ้บ้าภามมันแรงเยอะแถมยังตั้งสติได้เร็วจนน่ากลัว แค่สามวินาทีผมก็ถูกพลิกตัวลงนอนอยู่บนแคร่ไม้โดยมีอีกฝ่ายคร่อมอยู่ด้านบน

“จะทำร้ายผม คิดดีแล้วใช่ไหม”

“ทำไม...” จากที่กำลังจะถามกลับกลายเป็นเริ่มหน้าซีดเมื่อนึกได้ว่าคนตรงหน้ามันรู้ความลับของผมแล้วนี่หว่า “เดี๋ยว...คุยกันดีๆ ก่อน”

ไอ้หน้าปลาตายส่งเสียงหึออกมาจากลำคอเบาๆ เหมือนจะอารมณ์ดีที่เห็นผมทำหน้าตาหวาดกลัว แต่กลับไม่คิดผละออกหรือหันไปสนใจคนรอบด้านที่จงใจเงียบโดยเจตนาเลยสักนิด

อาการแบบนี้มัน...มันกำลังจะเอาคืนผมแน่ๆ!

“อย่านะภะ...!”

“ตายแล้ว!” น้าต้อยอุทานด้วยน้ำเสียงตื่นตระหนก แต่ผมไม่มีอารมณ์หันไปสนใจ เมื่อความเจ็บปวดแล่นพล่านจากส่วนล่างลามขึ้นมายังส่วนบนได้อย่างรวดเร็ว

เจ็บ...เจ็บจนจะร้องไห้ แต่กลัวเสียมาดเพราะมีคนอื่นอยู่ด้วย

“ถ้าคุณร้องไห้ผมจะปลอบเอง”

แล้วมึงจะทำให้กูร้องไห้ทำไมล่ะโว้ยยยยย

ผมคิดว่าหน้าตัวเองในเวลานี้คงบิดเบี้ยวเต็มทน ปากสั่นหน้าชาไปหมดแล้วเพราะต้องอดทนฝืนกลั้นความเจ็บปวดเอาไว้

“ปะ...ปล่อย”

“ไม่ร้องเหรอ” ภามเอียงหัวคล้ายจะสงสัย แต่ยังไม่ปล่อยมือที่กำลังทำร้ายผมอยู่ออก

“ปล่อย...” ผมเบะปาก ใกล้ร้องไห้เต็มทน “ปล่อยตูดกูเถอะ”

คือกูเจ็บจนจะพูดไม่ออกอยู่แล้วนะ...



บาดแผลแห่งความอัปยศอดสูยังคงตามติดผมเป็นเงาตามตัว ถึงอย่างนั้นเมื่อต้องออกไปดูที่ปลูกบ้านซึ่งลุงเหมหาไว้ให้ ผมก็ยังลุกขึ้นอย่างง่ายดายโดยไม่อิดออด แม้จะมีสายตาแปลกๆ ของน้าต้อยมองตามหลังอยู่ตลอดก็ไม่คิดสนใจ ดูท่าเหตุการณ์ตอนกินข้าวคงฝังลึกลงในความทรงจำของน้าเรียบร้อยแล้ว เวลามองผมกับภามอยู่ด้วยกันถึงได้หัวเราะคิกคักทุกที

บรรยากาศระหว่างผมกับภามยังคงเงียบสงบ ไม่มีพายุอารมณ์โหมใส่กันแบบที่คิด ฝั่งเขาคงไม่มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว แต่ผมที่เป็นผู้ถูกกระทำขอยอมรับตามตรงว่า...กลัว กลัวมันจะนึกคึกมาจับตูดให้ปวดเล่นอีกรอบเนี่ยแหละ!

ผมให้ภามอุ้มขึ้นลงบันไดบ้านโดยไม่มีทีท่าเขินอายอะไรอีก มันกลายเป็นความเคยชินเมื่อไม่อาจปฏิเสธความช่วยเหลือ ให้เลือกระหว่างเสียศักดิ์ศรีโดนผู้ชายอุ้ม กับทนปวดตูดแล้วเดินขึ้นลงเอง บอกเลยว่าความใจเสาะของผมมันเกินระดับไปไกล ดังนั้นต้องเลือกข้อแรกอยู่แล้ว

“ลุงให้คนช่วยเอาพวกอุปกรณ์ที่มีมาวางกองให้แล้ว อยากจะทำอะไรก็ตามใจพวกเอ็งเลย” ลุงเหมพยักพเยิดไปทางกองไม้ที่วางสุมกันอยู่ด้านข้าง นอกจากนั้นยังมีพวกบันได ตะปู และอื่นๆ อีกมากมาย เห็นแล้วผมปวดหัวจนอยากจะล้มลงไปนอนกับพื้นให้รู้แล้วรู้รอด แต่เหมือนคนที่ยืนอยู่ด้านข้างจะรู้ทันถึงได้คว้าแขนกันไว้แน่น

“แล้วทีนี้จะเอายังไง” ผมเริ่มเอ่ยปากถามตัวต้นเรื่องหลังจากที่ลุงเหมเดินจากไปแล้วและเหลือเพียงเราสองคน

“ลงมือทำสิ”

“พูดง่ายเชียว เอาเถอะ...จะให้ทำอะไรก็บอกแล้วกัน” ไม้ใหญ่ๆ แผ่นหนึ่งถูกวางแนบลงกับพื้นก่อนผมจะขึ้นไปนั่งเท้าคางมองภามอยู่บนนั้น แม้จะบอกว่ามาสร้างบ้านแต่เจ้าตัวก็ยังไม่ยอมทิ้งกล้องไว้ที่ห้อง ดันทุรังถือมาที่นี่โดยไม่มีที่ให้วาง แล้วสุดท้ายต้องวางไว้ไหนล่ะ

“ฝากหน่อย”

ตอบ...บนหัวผมนี่ไง

ผมหยิบกล้องที่ถูกหย่อนลงบนหัวตัวเองลงมาวางไว้ที่ตักอย่างระมัดระวัง กลัวเหลือเกินว่าจะเผลอทำตกจนเจ้าของมันมาแหกอกเข้า เมื่อหาที่วางให้ของราคาแพงเรียบร้อยแล้วผมเลยเงยหน้าขึ้นมองแผ่นหลังกว้างของคนที่กำลังยืนมองข้าวของอย่างพิจารณาอีกครั้ง

จุดที่ลุงเหมให้พวกเรามาสร้างบ้าน จริงๆ แล้วไม่ได้เป็นพื้นที่เปล่าๆ โล่งๆ แต่เป็นเหมือนบ้านที่กำลังอยู่ระหว่างก่อสร้างแล้วถูกทิ้งไว้กลางคัน มีการขึ้นโครงต่างๆ ด้วยไม้เรียบร้อยแล้ว ทั้งยังมีการต่อท่อน้ำปะปาไว้แล้วด้วย เห็นลุงแกบอกว่าเคยมีคนบนเกาะจะแยกตัวออกมาสร้างครอบครัว เลยกะจะทำบ้านขึ้นมาใหม่ แต่พอเมียหนีไปบ้านหลังนี้เลยถูกทิ้งจนมีสภาพอย่างที่เห็น

“ผมจะทำกระท่อม คุณโอเคใช่ไหม” ภามที่ยืนเงียบอยู่นานหันหน้ามาถาม

“รู้จักคำว่ากระท่อมด้วยเหรอ” ผมแกล้งทำตาโตใส่ ก่อนจะโคลงหัวไปมาอย่างอารมณ์ดีเมื่อเห็นเขาแอบถอนหายใจ “แบบไหนก็ได้ ทำไปเถอะ”

หลังจากนั่งมองอยู่นานสองนาน ผมพบว่าภามเป็นลูกคุณหนูที่ติดดินเอามากๆ เขาใช้เวลามองและตรวจสอบโครงสร้างเก่าอยู่เพียงครู่เดียวก็สามารถเริ่มงานได้ทันที กางเกงราคาแพงที่ใส่อยู่เลอะเทอะไปหมดยามเมื่อเจ้าตัวนั่งลงบนดินเพื่อต่อไม้โดยไม่กลัวเลอะ ส่วนเสื้อเหรอ...

แขวนอยู่บนหัวผมนี่ไง

เพราะงั้นถึงบอกว่าเขาติดดินมากๆ นอกจากจะทำทุกอย่างได้อย่างคล่องแคล่วแล้วยังถอดเสื้ออวดหุ่นที่ผมนึกอิจฉาให้ดูเล่นอีกต่างหาก โชคดีที่แถวนี้มีต้นไม้เยอะเลยบังแดดไปได้หลายส่วน ไม่งั้นผิวขาวๆ นั่นคงไหม้แน่ๆ

กล้องถ่ายรูปที่อยู่ในมือแลดูจะเป็นสิ่งเดียวที่มีประโยชน์ต่อผมในเวลานี้ เป็นเพราะภามไม่ได้เรียกให้เข้าไปช่วยเสียทีผมเลยไม่รู้ว่าต้องทำอะไร ครั้นจะอาสาไปช่วยเองก็โดนมองแบบกดดันเป็นเชิงบอกให้นั่งเฝ้ากล้องเขาไว้ดีๆ อีก แบบนี้จะกล้าเสนอหน้าไปถ่วงได้ยังไง

“ภาม เงยหน้าหน่อย” ผมร้องเรียกคนที่กำลังตั้งใจทำงาน ขณะที่สายตาจับจ้องเขาผ่านทางหลังกล้องราคาแพง เพียงครู่เดียวคนตรงหน้าก็เงยหน้ามองแล้วหันมาหา

แชะ!

“ทำไมทีเผลอยังดูดีได้อีกวะ” ด่าคนในภาพแล้วตั้งท่าจะกดลบรูปด้วยความหมั่นไส้ แต่ความดูดีมันดันแยงตาจนกดไม่ลง สุดท้ายได้แต่ร้องจิ๊จ๊ะในลำคออย่างขัดใจแล้วปรับกลับไปหน้าถ่ายรูปเหมือนเดิม

“บ่นอะไร” ไอ้คนดูดีผิดมนุษย์หันมาถามผมโดยไม่ได้ว่าอะไรเรื่องที่เอากล้องมาเล่น

“ไม่มีอะไร” ว่าแล้วก็ก้มหน้าก้มตาลงดูรูปต่อ ภามคงขี้เกียจคุยกับผมเหมือนกัน เขาถึงไม่ได้พูดอะไรขึ้นมาอีก แต่ยังมีเสียงตอกตะปูดังขึ้นเป็นระยะ แสดงให้เห็นว่าเขาหันกลับไปให้ความสนใจกับการสร้างบ้านแล้ว

จากที่เคยคิดว่าจะแค่แกล้งก้มลงมองภาพเพื่อตัดบท กลับกลายเป็นผมดันไปสนใจรูปถ่ายในกล้องเข้าจริงๆ เสียอย่างนั้น ทั้งแสง สี องค์ประกอบของภาพ ขนาดคนไม่เล่นกล้องอย่างผมยังรู้เลยว่ามันสวยงามขนาดไหน แต่เมื่อได้ไล่กลับไปดูรูปเก่าๆ ผมกลับต้องขมวดคิ้วมุ่น เมื่อพบว่ามันไม่มีภาพคนอยู่เลยแม้แต่ภาพเดียว อย่างมากก็แค่รูปวิวที่มีฝูงชนจำนวนมากติดอยู่เท่านั้น ดูท่าเรื่องที่เคยบอกว่าผมเป็นคนแรกที่เขาถ่ายโดยตั้งใจคงจะเป็นเรื่องจริง

เหอะ...ไม่เห็นมีอะไรน่าดีใจ

“เอาเสื้อผมคลุมกล้องไว้แล้วมาช่วยกันหน่อย”

ในที่สุดก็ร้องขอความช่วยเหลือเสียที ผมทำตามที่ภามบอกแล้วลุกขึ้นบิดขี้เกียจหลังนั่งมานานจนเมื่อยไปหมด ใจจริงนึกอยากถอดเสื้อออกอยู่เหมือนกัน เวลายกแขนหรือทำอะไรมันจะได้สะดวก แต่พอมองสภาพตัวเองแล้ว...ไม่มีทางที่ผมจะเหงื่อโซกแล้วดูดีแบบมันแน่ๆ เพราะงั้นใส่เสื้อเนี่ยแหละดีแล้ว

“ถือไหวหรือเปล่า” ภามส่งไม้แผ่นใหญ่ที่ต่อเรียบร้อยแล้วมาให้ แต่ก็ยังไม่วายรั้งมือไว้เหมือนกลัวว่าผมจะถือไม่ไหว

“ไหวดิ”

“งั้นถือไว้ดีๆ เดี๋ยวผมบอกแล้วส่งมา”

“ครับ เจ้านาย” ผมแอบตัวเซเมื่อภามปล่อยมือแล้วส่งไม้แผ่นใหญ่มาให้ถือคนเดียว เข้าใจแล้วว่าทำไมเขาถึงถามก่อนว่าไหวหรือเปล่า หนักฉิบหาย

“หึ”

“บอกว่าไหวไง”

“ผมยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ”

“ก็หน้าตานายมันบอกว่ากำลังดูถูกกันอยู่ชัดๆ” อีกอย่างคือเสียงหัวเราะในลำคอนั่น ไม่ได้หูหนวกเถอะ

“ทำตัวเป็นแมวไปได้” ภามหยุดมือที่กำลังทำงานแล้วหันมาส่ายหน้าหน่ายใส่ผม “พยายามทำตัวให้ดูน่ากลัว แต่ทำยังไงก็ไม่น่ากลัว”

“อย่าเอาฉันไปเปรียบเทียบกับแมวนะ เดี๋ยวโดน” ผมขมวดคิ้วขู่ ลองทำหน้าเท่ๆ ให้ดูน่ากลัวแบบที่เคยทำเมื่อก่อน แต่เหมือนจะไม่ได้ผล เพราะโดนมองกลับแบบเหยียดหยามหนักมากจนอยากเอาหัวโขกกำแพงตาย

“แรงยกไม้ยังไม่มี จะทำอะไรผมได้” ภามถามด้วยน้ำเสียงติดจะท้าทายและดูถูก ทำเอาคนโดนสบประมาทอย่างผมต้องเถียงกลับหน้าตั้งทั้งที่ไม่รู้หรอกว่ายกไหวหรือเปล่า

“ใครไม่มีแรงยกวะ”

“งั้นยกสิ”

“แป๊บดิ”

ทำไมไอ้ไม้บ้านี่มันหนักจังวะ

“…รออยู่”

“…”

ผมกัดริมฝีปากอย่างอดทน ขณะที่พยายามเรียกแรงทั้งหมดของร่างกายมาใช้เพื่อยกไม้แผ่นใหญ่ขึ้น แต่เหมือนผมจะดูถูกความอ่อนแอของตัวเองมากเกินไปนิด จากที่คิดว่าจะยกไปวางพาดบนโครงให้ถึงที่ กลับกลายเป็นเกือบจะล้มตอนยกถึงเอวจนภามต้องเข้ามาช่วยเอาออกไป

“ผมจะไม่พูดอะไร” เขาพูดแค่นั้นแล้วหันหน้ากลับไป แต่ผมสาบานได้ว่าเห็นมุมปากมันยกขึ้นเป็นรอยยิ้มเหยียด ถึงจะนิดเดียวก็เถอะ

“นั่นนายยิ้มเหรอ!”

“ผม?” ภามกะพริบตา ดูเหมือนเขาจะงุนงงอยู่พอสมควรแม้สีหน้าจะไม่เปลี่ยน ผ่านไปสักพักถึงได้ยกปลายนิ้วขึ้นแตะที่ริมฝีปากของตัวเองเบาๆ เหมือนจะถามผมซ้ำว่าเมื่อกี้เขายิ้มเหรอ

“เมื่อกี้นายยิ้มจริงๆ” ผมพยักหน้ายืนยัน

“ผม...เพิ่งเคยยิ้มโดยที่ไม่รู้ตัว”

“ตลกดีเหมือนกัน จะยิ้มจากใจทั้งทีดันยิ้มแบบไม่มีเหตุผล” จู่ๆ นึกอยากยิ้มก็ยิ้มออกมาซะงั้น ผมยังไม่ได้ทำอะไรให้เลยนะ “ฉันคิดว่านายต้องเจอคนที่ถูกใจสักคนถึงจะยอมแสดงอารมณ์อะไรสักอย่างออกมาเสียอีก”

“ยิ้มไม่มีิเหตุผล...คนที่ถูกใจ”

“เอาเป็นว่ายิ้มได้แล้วก็ยิ้มบ่อยๆ ละกัน เผื่อฉันจะยอมเลิกเรียกนายว่าไอ้หน้าปลาตายในใจ” ผมหัวเราะอารมณ์ดี ก่อนจะหันไปช่วยยกไอ้ไม้หนักๆ ที่ภามถือไว้ขึ้น ตั้งใจจะช่วยเอาไปวางแนบกับโครงบ้าน “ทำงานๆ”

“…”

“ภาม…” เพราะลำพังแค่แรงตัวเองคงไม่อาจยกมันขึ้นได้ ผมเลยจำเป็นต้องหันไปหาคนด้านข้างที่ยังยื่นนิ่งไม่ขยับ ทั้งยังมองหน้ากันนิ่งค้างเหมือนกำลังคิดอะไรบางอย่าง “นายมองหน้าฉันทำไม”

เขายังคงเงียบไม่ตอบ ผมเลยลองเอียงหัวไปมา ปรากฎว่าดวงตาว่างเปล่าคู่นั้นเบนสายตาตามเหมือนกับว่าเจ้าตัวกำลังคิดอะไรที่เกี่ยวข้องกับผมอยู่ และแม้เจไดคนนี้จะเป็นคนไม่แคร์โลกเพียงใด แต่พอโดนจ้องกันมากๆ เข้ามันคงไม่แปลกหากผมจะรู้สึกประหม่าจนเผลอหลบสายตา

“แบบนี้นี่เอง” ภามพูดขึ้นมาลอยๆ แล้วละสายตาออก หันกลับไปช่วยผมยกไม้เหมือนเดิม

“อะไรของนาย”

ความเงียบครอบคลุมไปทั่วบริเวณอีกครั้งเมื่อภามไม่ยอมพูดอะไรเพื่อไขข้อข้องใจให้ผมเลย ผมลองถามอีกรอบสองรอบ เมื่อแน่ใจแล้วว่าเขาไม่ตอบแน่ๆ เลยยอมแพ้แล้วหันไปช่วยงานเหมือนเดิม ใจคิดแค่ว่าช่างมันเถอะ

“เดี๋ยวผมทำเอง คุณลองไปดูว่าพอจะทำอะไรอย่างอื่นได้บ้าง”

นั่นมันไล่กันชัดๆ...

ดูเหมือนภามจะเล็งเห็นถึงความไร้ประโยชน์ของผมแล้ว เขาถึงได้ไล่ให้ไปทำอย่างอื่น ผมหมุนตัวเดินไปนั่งลงบนไม้ที่เดิม พร้อมกับเอากล้องและเสื้อของเจ้าตัวมาถือไว้แบบตอนแรก แต่มองไปมองมาก็ยังหาไม่เจอว่ามีอะไรที่พอจะทำได้บ้าง หลังนั่งโง่อยู่นานผมเลยตัดสินใจลุกขึ้นยืนในที่สุด

“เดี๋ยวมาแป๊บนะ”

“อา”

ผมรีบเดินตรงไปในทิศทางที่คิดไว้โดยไม่ลืมถือเสื้อกับกล้องสุดที่รักของภามติดมาด้วย จุดที่ภามสร้างบ้านอยู่เป็นจุดที่อยู่ห่างไกลจากตัวบ้านของคนอื่นๆ พอสมควร แต่ก็ไม่ได้มากมายถึงขนาดต้องเดินจนเหนื่อย ใช้เวลาไม่นานนักผมก็กลับมาถึงบ้านน้าต้อย เวลานี้คนอื่นๆ น่าจะไปรวมกันอยู่ที่หาด เห็นน้าแกบอกว่าต้องไปช่วยคัดปลา แตงกับตาลคงตามติดไปด้วย ตัวบ้านถึงได้เงียบขนาดนี้

“อยู่ไหนวะ” กระเป๋าเดินทางใบกลางที่พกพาสะดวกกลายเป็นอุปสรรคเมื่อผมคุ้ยหาของที่ต้องการไม่เจอเสียที ถึงตอนจัดกระเป๋าจะไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนัก นึกถึงอะไรก็จับยัดลงมา แต่ผมมั่นใจว่าสิ่งที่กำลังหาอยู่ต้องเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่พกมาด้วยแน่นอน

อยู่ก้นกระเป๋าจริงๆ ด้วย...

หลังจากหยิบของทุกอย่างจนครบ ผมก็รีบเดินกลับไปหาภามในทันที ปรากฎว่าเขานั่งพักอยู่ก่อนแล้ว ดูเหมือนกำลังเหม่อมองผลงานตัวเองอย่างตั้งใจ ถึงระยะเวลาเพียงไม่กี่ชั่วโมงยังไม่อาจทำให้กระท่อมที่เขาบอกเสร็จสมบูรณ์ได้ แต่ก็มองดูเป็นรูปเป็นร่างมากกว่าเดิมพอสมควร

“หันมาดิ” ผมจัดเตรียมอุปกรณ์ ก่อนจะส่งเสียงเรียกให้คนที่กำลังเหม่อหันมาหา พอเงยหน้าขึ้นมาเห็นเขาขมวดคิ้วไม่เข้าใจเลยพูดซ้ำไปอีกรอบ “หันมาตรงๆ”

ภามไม่ได้ตอบอะไรแต่ก็ยอมหมุนตัวมาหา เขาก้มลงมองอุปกรณ์ในมือผมอย่างพิจารณา และในวินาทีถัดมา คล้ายดวงตาว่างเปล่าคู่นั้นจะเบิกกว้างขึ้นเล็กน้อย เมื่อผมเอาผ้าชุบน้ำในมือแตะลงบนโหนกแก้มของเขา

“ทำอะไร” ฝ่ามือหยาบกร้านแข็งแรงกำข้อมือผมไว้แน่นจนเผลอนิ่วหน้าเพราะความเจ็บ ผมไม่เข้าใจว่าทำไมภามถึงทำสีหน้าสับสนออกมาแบบนั้น แต่ก็เลือกที่จะตอบกลับไปตามตรง

“เช็ดหน้าให้นายไง”

“…”

“ปล่อยมือก่อนได้ไหม ฉันเจ็บ อีกนิดเดียวจะร้องไห้แล้วเนี่ย”

เขาปล่อยมือผมราวกับต้องของร้อน คล้ายจะแสดงอาการตกใจและรู้สึกผิดออกมาอยู่ในที

“ผมไม่ได้ตั้งใจ”

“อย่าคิดมากเลย” ผมโบกมือไปมา “ฉันเป็นพวกใจเสาะ ลืมแล้วเหรอ ถ้าเป็นคนทั่วไปโดนจับแค่นั้นไม่เจ็บหรอก”

“แต่คุณเจ็บ”

“หยุดเถียงแล้วนั่งนิ่งๆ” ขืนยังปล่อยให้พูดต่ออีกคงโต้กันไปมาจนกว่าจะมีใครยอมแพ้ ผมกลับไปตั้งสมาธิอยู่กับการเช็ดหน้าเช็ดตาให้คนที่เหงื่อท่วมตัวแทน ถึงจะรู้สึกแปลกๆ อยู่นิดหน่อยเมื่อโดนจ้องหน้าตาไม่กะพริบ แต่ผมก็ไม่ได้พูดอะไรออกไป

“คุณ...กลับไปเอาผ้ากับขันน้ำมาเช็ดหน้าให้ผมเหรอ”

“ใช่” ผมตอบตามตรง “นายบอกให้ฉันหาอะไรทำ แต่ฉันไม่รู้ว่าต้องทำอะไร เลยเลือกทำในสิ่งที่ทำได้ นี่ก็เหมือนเช็ดตัวให้คนไข้ที่เป็นเด็กเลยเนี่ย...อ๊ะ!”

“…”

“นายยิ้มอีกแล้ว!” ผ้าเช็ดหน้าในมือถูกโยนลงขันน้ำอย่างรวดเร็ว ขณะที่ผมเบิกตามองใบหน้าของคนแอบยิ้มที่กลับไปทำหน้าตายเหมือนเดิมแล้วอย่างตกใจ “วันนี้นายยิ้มสองรอบแล้วนะเนี่ย เหลือเชื่อ”

“เช็ดตัวให้ด้วยสิ” ภามเปลี่ยนสีหน้าได้ไวยิ่งกว่ากิ้งก่าเปลี่ยนสี เขาทำราวกับเมื่อครู่ไม่ได้เกิดอะไรขึ้น ผมว่าครั้งนี้เขาต้องรู้ตัวแน่ๆ เลยว่าเผลอยิ้มออกมา ถึงได้ทำเป็นเปลี่ยนเรื่องแบบนี้

“เห็นแก่ที่นายเหนื่อยทำบ้านของเราหรอกนะ” ผมพูดพึมพำแล้วบิดผ้าอีกฝืนขึ้นมาเช็ดตัวให้เขาต่อ แม้จะมีเบะปากบ้างตอนที่ลากมือผ่านหน้าท้องเป็นลอนน่าอิจฉา แต่การเช็ดตัวก็ผ่านไปได้อย่างราบรื่น จวบจนเมื่อเงยหน้าขึ้นมาอีกครั้ง ผมถึงได้พบว่าคนที่นั่งนิ่งให้เช็ดตัวกำลังมองมาก่อนแล้วด้วยแววตาที่ดู...ไม่ได้ว่างเปล่าเหมือนทุกที

ความเปลี่ยนแปลงเล็กๆ น้อยๆ ทำให้หัวใจเต้นแรงขึ้นโดยไม่รู้ตัว ผมบอกตัวเองว่าเป็นเพราะตื่นเต้นที่ได้เห็นเขาแสดงอารมณ์ หากความรู้สึกลึกๆ กลับบอกว่าไม่ใช่

“คุณพูดว่า...บ้านของเรา”

“ก็ต้องบ้านของเราดิ” ผมเก็บความรู้สึกแปลกๆ ในใจลงไปแล้วตอบเขา “ฉันกับนายจะอยู่ที่นี่ด้วยกัน มันก็ต้องเป็นบ้านของเรา...หรือนายคิดจะฮุบบ้านไว้คนเดียว”

“เปล่า” ดวงตาคู่นั้นทอประกายเจิดจ้า “บ้านของเรา... ถูกแล้ว”

อะไรของมันวะ

ผมกะพริบตาเมื่อไม่แน่ใจนักว่าแสงอาทิตย์มันส่องลงมาพอดีจนสะท้อนเข้าไปในดวงตาคู่นั้นหรืออะไร แต่เพียงแค่เอียงหัวไปบังแสง แววตาของเขาก็กลับไปดูว่างเปล่าเหมือนเดิมแล้ว

มีแค่ความรู้สึก...ที่บอกให้รู้ว่าคนตรงหน้าผมดูเปลี่ยนไปเล็กน้อย

“คุณแค่จะเช็ดตัวซับเหงื่อให้ผม หรือจะถูหาหวยกันแน่”

ที่คิดเมื่อกี้ ลืมๆ มันไปเถอะนะ

“เห็นหนังหนาๆ คิดว่าต้องออกแรงเยอะๆ” ผมตอบกลับแล้วเอาผ้าหย่อนลงขันน้ำ “เสร็จแล้ว”

“คิดว่าจะได้เลขก่อนเสร็จ”

“สามห้าแปด สามตัวตรงแน่นอน...เดี๋ยวนะ นายรู้จักหวยด้วยเหรอ” จากที่ไม่ได้เอะใจอะไรกลายเป็นผมเริ่มกวาดตามองภามอย่างพิจารณา ไหนบอกไม่ถนัดภาษาไทยไง ทำไมมันรู้เยอะนัก

“เก้าเล่น”

โอเค...งั้นเข้าใจละ

“อย่าไปเชื่อถืออะไรมันนักเลย ไอ้เก้าน่ะ” ผมเตือนด้วยความหวังดีอย่างอดไม่ได้ “ปวดหัวเปล่าๆ"

“ถ้าไม่ให้เชื่อเก้า แล้วผมเชื่อคุณแทนได้หรือเปล่า”

“ฉันก็ต้องน่าเชื่อถือกว่ามันอยู่แล้ว”

บอกเลยว่าผมพูดจาน่าเชื่อถือกว่ามันหลายเท่า อย่างน้อยก็ไม่เคยไปหลอกใครให้มาติดเกาะแน่ๆ

“ถ้าอย่างนั้น...ต่อไปผมจะเชื่อคุณ”

“เชื่อฉันไม่มีผิดหวังอยู่แล้ว”

“งั้นเหรอ...” ภามเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะเผยรอยยิ้มที่มุมปากออกมาให้ผมเห็นจังๆ โดยไม่ปิดบัง

ผมกะพริบตาปริบๆ เมื่อโดนโจมตีอย่างหนักจนตาแทบพร่า แม้ยามนี้รอยยิ้มหายากบนใบหน้าปลาตายจะค่อยๆ จางหายไปแล้ว หากมันกลับยังส่งผลกระทบต่อเป็นระลอกคลื่น ผมหลุบตาลงต่ำโดยไร้เหตุผล แล้วทำใจกล้ายื่นมือไปตบไหล่กว้างของเขาดังแปะๆ

“แน่นอนดิ ไปทำงานต่อได้แล้ว”

“ผมจะเชื่อคุณ”

.

.

เอ่อ...

นี่กูกับมึงคุยเรื่องเดียวกันอยู่แน่นะ


———————

หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[6]==[P.2]== [10/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 10-06-2018 16:35:52
น้องภามแอคแทคแรงมากค่ะ คุณหมอจะทนไหวหรอคะเนี่ย เขินแทน :hao7:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[6]==[P.2]== [10/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 10-06-2018 18:09:28
358  จดๆ  :katai4:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[6]==[P.2]== [10/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ma-prang ที่ 10-06-2018 18:22:52
อยู่ๆเราก็คิดขึ้นมาว่าเจไดกลัวเจ็บมากๆงี้ใช่มั้ย แล้วถ้าถึงเวลา...กันขึ้นมาไม่ร้องไห้น้ำตาแตกเลยเหรอออ
เป็นแค่ความสงสัย 5555


น้องงงงงง เริ่มรู้สึกอะไรแล้วใช่มั้ยยยย ฮือ รักค่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[6]==[P.2]== [10/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ashbyipcet ที่ 11-06-2018 00:19:23
อิตาหมอเมื่อไหร่จะถอดรูปเนี่ยย
จากอดีตเดือนแพทย์มาเป็นอิตาลุงอ้วนพุงย้วยๆเนี่ย  :angry2:
ส่วนน้องภามทำไมน้องน่าเอ็นดูขนาดนี้ช่วยทำให้อิตาลุงหมอกลับมาเป็นพี่หมอได้ไหมลูกกก  :hao7:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[6]==[P.2]== [10/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 11-06-2018 01:00:30
อยู่ๆ ก็ได้ลูก 1ea สินะ
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[6]==[P.2]== [10/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: mayyiyi ที่ 11-06-2018 23:03:41
 :katai2-1:  ใต้ความนิ่งๆแต่ไม่นิ้ง
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[6]==[P.2]== [10/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Margarita ที่ 13-06-2018 15:59:45
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[6]==[P.2]== [10/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 14-06-2018 17:54:44
-7-


“เลี้ยงต้อนรับเหรอครับ”

ผมเลิกคิ้วถามน้าต้อยด้วยความงุนงงปนประหลาดใจ ลำพังเรื่องเลี้ยงต้อนรับอาจไม่น่าแปลกนัก แต่ที่แปลกคือดันมาได้รับคำชวนในยามที่ตะวันตกดิน ทั้งยังจะจัดงานเดี๋ยวนี้เลยด้วยนี่สิ

“ใช่จ้ะ” น้าต้อยตอบแล้วยิ้มกว้าง “พวกหนูแต่งตัวเรียบร้อยแล้วตามน้าไปที่หาดนะ เดี๋ยวน้ากับแตงแล้วก็ตาลจะไปรอที่นั่น”

“อา...ครับ”

ผมกับภามหันมามองหน้ากันโดยอัตโนมัติหลังจากน้าต้อยเดินออกไปแล้ว เขาก็คงคิดว่ามันแปลกเหมือนกันถึงได้ขมวดคิ้วแบบนั้น เหตุการณ์ทั้งหมดเริ่มจากการที่ผมกับภามกลับมาจากไปสร้างบ้าน กว่าเราจะอาบน้ำแต่งตัวกันเสร็จฟ้าก็เริ่มมืดแล้ว ตอนที่กำลังคิดว่าจะกินอะไรอยู่นั่นเอง จู่ๆ น้าต้อยก็เดินมาบอกว่าชาวบ้านที่นี่จะจัดงานเลี้ยงต้อนรับให้เรา ทั้งที่มันผ่านมาหลายวันแล้วนับจากพวกผมมาที่นี่

“ไปเถอะ จะได้บอกพวกเขาเลยว่าเราจะย้ายไปอยู่บ้านใหม่พรุ่งนี้” ภามหยิบกล้องที่วางอยู่บนโต๊ะมาถือไว้แล้วลุกขึ้นยืน ผมเลยจำต้องลุกแล้วเดินตามไปอย่างเสียมิได้

ตลอดระยะเวลาสี่ห้าวันที่ผ่านมา เราทั้งคู่ต่างใช้เวลาไปกับการสร้างและซ่อมแซมกระท่อมกันจนเสร็จเรียบร้อยแล้ว ถึงแม้จะไม่ได้อลังการอะไรมากมายเพราะใช้เวลาแค่ไม่นานและทำแค่พออาศัยอยู่ได้ แต่มันก็น่าภูมิใจอยู่ไม่น้อยเมื่อคิดว่าจะได้อยู่ในบ้าน...หมายถึงในกระท่อมที่สร้างขึ้นเอง

ถึงผมจะไม่ได้ช่วยอะไรเท่าไหร่ แต่แค่คอยเช็ดเหงื่อ หาน้ำหาข้าวให้กินก็ถือว่าช่วยแล้วนะ ภามต้องพออกพอใจแน่นอน ไม่งั้นเขาไม่จ้องผมตลอดแล้วบอกให้เช็ดตรงนู้นตรงนี้เพิ่มหรอก

“เดินแบบนั้นอยากโดนยุงกัดหรือไง” คนที่เดินนำอยู่ด้านหน้าหันกลับมาหรี่ตามองผม “หรือเพราะมืดแล้วคนแก่เลยมองอะไรไม่ค่อยเห็น”

ดูปากคนเรา...มันน่าจับเย็บไหมล่ะ

“รู้ตัวว่าขายาวก็ก้าวช้าๆ ไม่ได้หรือไง...” ผมบอกทั้งหน้าบูดแล้วลดเสียงลงเล็กน้อยเพราะอยากบ่นคนเดียว “เด็กกว่าแค่สองสามปีทำเป็นพูด”

ขืนได้ยินต้องกัดกลับแน่นอนแบบไม่ต้องสงสัย ดังนั้นอยู่เงียบๆ คนเดียวดีกว่า

หลังจากผมพูดไปแบบนั้นภามก็ไม่ได้ตอบอะไรอีก แต่เขาลดความเร็วลงจนมาเดินอืดอาดอยู่ข้างกันจริงๆ ผมแอบเหล่ตามองคนที่ขมวดคิ้วมุ่นเหมือนไม่ถนัดกับการเดินช้าๆ แล้วอยากจะขำออกมาดังๆ

ชีวิตแบบสโลว์ไลฟ์มันคือที่สุดเลยนะ เดี๋ยวชินแล้วจะติดใจ

“นายว่าทำไมเขาถึงมาจัดงานเลี้ยงต้อนรับเราตอนนี้” ผมชวนคุย ก่อนจะเงยหน้ามองท้องฟ้าที่มืดมิดจนมองแทบไม่เห็นทาง “แถมยังไม่บอกล่วงหน้าอีก”

“ไม่รู้เหมือนกัน”

“เอาเถอะ...ถ้ามีอะไรเกิดขึ้นฉันจะปกป้องนายเอง”

ภามชะงักเท้ากะทันหันจนผมตกใจตามไปด้วย เกือบจะสะดุดรากไม้หน้าทิ่มดินหมดหล่อแล้วไง โชคดีที่คนข้างกายรั้งแขนไว้ได้ทันเลยไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ขอบคุณนะที่ทำให้เกือบหน้าคว่ำและช่วยให้หน้าไม่คว่ำในเวลาเดียวกัน

“คุณ...จะปกป้องผม” แววตาว่างเปล่าท่ามกลางความมืดมิดทำให้ผมเผลอขมวดคิ้วและยื่นหน้าเข้าไปมองโดยไม่รู้ตัว ไม่แน่ใจนักว่าเป็นเพราะความมืดเลยทำให้เห็นว่ามันแปลกไป หรือเป็นเพราะผมคิดไปเองกันแน่

“ทำไมล่ะ ฉันโตกว่าก็ต้องปกป้องนายอยู่แล้วสิ”

เกิดเป็นอะไรไปแล้วพี่ชายกับพี่สะใภ้เขามาแหกอกผมทำไง

“อา…"

“ไปได้แล้ว ตอนแรกรีบไม่ใช่หรือไง” ผมดึงแขนตัวเองออกมาจากการจับกุม แล้วเป็นฝ่ายดึงข้อมือภามให้เดินตามไปด้านหน้าแทน น่าแปลกที่คราวนี้เขาไม่ได้พูดอะไรเลย ทั้งยังไม่ได้พยายามเดินให้ไวกว่าเดิมด้วย กลับกัน...ผมรู้สึกเหมือนเขาเดินช้าลงยังไงไม่รู้

ช่างเถอะ...

“นั่นไง มีกองไฟ!...” เสียงที่ดูตื่นเต้นจนเกินเหตุทำให้ผมต้องกระแอมออกมาเบาๆ เพื่อควบคุมตัวเอง ก่อนจะหันไปพูดกับเขาใหม่อีกรอบ “มีกองไฟด้วย”

“…ไม่ทันแล้ว” ภามส่ายหน้าหน่าย คล้ายจะบอกว่าที่ผมสร้างภาพเมื่อกี้ไร้ประโยชน์มากๆ เพราะเขามองออกจนทะลุแล้ว “เข้าไปกันเถอะ”

ผมแอบถอนหายใจแล้วมองตามแผ่นหลังกว้างไปแบบเคืองๆ แต่แล้วเมื่อก้าวเข้าไปในบริเวณหาดได้ไม่ทันไรก็โดนภาพบรรยากาศโดยรอบดึงดูดความสนใจไปจนหมด ทั้งแสงไฟที่เกิดขึ้นจากกองไฟหลายกอง ทั้งผู้คนที่นั่งล้อมวงปิ้งอาหารอะไรสักอย่างอยู่ แถมยังร้องเพลงกันอย่างสนุกสนาน เมื่อประกอบเข้ากับอากาศเย็นๆ กับกลิ่นและเสียงคลื่นกระทบฝั่งของทะเล ทุกอย่างทำให้ภาพบรรยากาศในยามนี้ดูสดชื่นจนผมลืมความสงสัยไปจนหมดสิ้น

“ไอ้หนู!” คุณลุงคนหนึ่งตะโกนเรียกผมกับภามที่ยืนนิ่งอยู่จนคนอื่นๆ มองตามกันมาทั้งแถบ

“มาวงนี้เร็วพวกเอ็ง”

“มาวงนี้ดีกว่า โตๆ กันแล้วต้องมาวงเหล้าสิวะ”

“พวกมันยังไม่ได้กินอะไรเลย ให้ไปหาอะไรกินก่อนไป”

เสียงโหวกเหวกของบรรดาคนที่แย่งกันพูดอย่างเฮฮาทำเอาผมเผลอขยับเข้าใกล้ภามโดยไม่รู้ตัว จวบจนเมื่อโดนคะยั้นคะยอมากเข้า คนข้างกายถึงได้ดึงแขนผมให้นั่งลงบนขอนไม้ของกองไฟที่อยู่ใกล้เราที่สุด เล่นเอาทั้งวงร้องเฮกันยกใหญ่

“เอ้า! กินปลากันให้อิ่ม เสร็จแล้วจะได้มาซัดเหล้ากัน”

“ไอ้ดำ มึงอย่าไปเร่งมันสิวะ”

“มึงก็อยากให้มันแดกเหมือนกันนั่นแหละไอ้ไม้”

ผมกะพริบตาปริบๆ ขณะรับปลาย่างมาถือไว้ในมือ คนชื่อไม้กับดำดูแล้วน่าจะอายุน้อยกว่าผมเสียอีก แต่กลับซดเหล้ากันเป็นบ้าเป็นหลังเหมือนกลัวว่าจะไม่มีพรุ่งนี้ ต่างจากคนอื่นๆ ในวงที่ดูจะใช้เวลาไปกับการพูดคุยเฮฮามากกว่าโดยสิ้นเชิง คงเป็นเพราะช่วงอายุที่แตกต่างมั้ง

“กินยังไง” คนที่นั่งถือไม้ปลาย่างอยู่ข้างผมหันมาถามงงๆ ท่าทางคงไม่เคยเจอภูมิปัญญาชาวบ้านแบบนี้มาก่อน

“แทะแบบนี้เลย” ผมสาธิตให้ดูแล้วพยักพเยิดให้ภามทำตาม เขาขมวดคิ้วนิดหน่อย แต่ก็ยังยอมทำ ผมเกือบจะขำออกมาแล้วด้วยซ้ำเมื่อเห็นหน้าตาประหลาดๆ เหมือนไม่แน่ใจของเขาทั้งที่แค่เอาปลาไปแตะปากเท่านั้น “ระวังก้างนะ”

ภามใช้เวลาไปกับการกินปลาย่างแบบยากลำบากอยู่นานหลายนาที จนผมกินหมดไปสองตัวแล้วเขายังไม่ได้กลับด้านเลยด้วยซ้ำ มองแล้วทั้งสงสารทั้งขำ ลองนึกภาพคนกินไม่เป็นและพยายามแทะสุดๆ แต่กลับทำหน้าตายดูสิ แค่คิดก็ตลกแล้ว

“ทำไมถึงต้องก่อกองไฟหลายๆ กอง” เขาถามขึ้นมาในระหว่างที่วางไม้ซึ่งเหลือแต่ซากปลาลงบนพื้น

“ไม่รู้เหมือนกัน” ถึงจำนวนคนจะมีมากพอสมควร แต่ผมคิดว่าถ้าเขาจะอยู่รวมกันก็คงได้ น่าแปลกเหมือนกันที่แยกกันไปคนละมุมแบบนี้ “น่าจะแยกตามกลุ่มมั้ง”

ดูเหมือนแต่ละวงจะมีลักษณะเฉพาะของตัวเองชัดเจน อย่างกลุ่มที่น้าต้อยนั่งอยู่จะเป็นพวกผู้หญิงกับเด็ก ส่วนใหญ่ทำอาหารกันกินเสียมากกว่า ต่างจากกลุ่มที่ผมนั่งซึ่งเป็นพวกวัยรุ่นกับวัยกลางคน คงไม่ต้องบอกนะว่าส่วนใหญ่นั่งทำอะไร...

กินเหล้ารัวๆ

“ฉันว่าเขาไม่ได้เลี้ยงต้อนรับเราหรอก น่าจะหาเรื่องกินเหล้ามากกว่า” ผมกระซิบกระซาบให้ภามได้ยินอยู่สองคน ซึ่งเขาก็พยักหน้าเห็นด้วยโดยไม่เถียงอะไร

คิดว่าจะเลี้ยงต้อนรับประมาณว่าจัดงานอะไรให้เหมือนที่เคยพบเจอตอนอยู่กรุงเทพฯ ที่ไหนได้...มองภาพคนมาชุมนุมกันเวลากลางคืนแบบนี้ ดูยังไงก็หาเรื่องรวมพลกินเหล้าชัดๆ

“พวกนายกินเหล้ากันบ่อยไหม” ผมหันไปถามไม้ที่นั่งอยู่ข้างกายและกำลังเมาได้ที่แทน ไหนๆ ก็สงสัยแล้วคงต้องถามคนในนี่แหละได้คำตอบแน่นอน เว้นแต่ว่าเขาจะคุยไม่รู้เรื่องเพราะเมาเกินไปนะ อันนั้นน่าจะต้องยอมแพ้

“ไม่บ่อย” โชคดีที่ไม้ยังพอคุยรู้เรื่อง ไม่เหมือนดำที่แทบจะลงไปนอนแนบกับพื้นทรายแล้ว “ถึงเวลามีคนเข้าฝั่งแล้วจะขนเหล้ากลับมาด้วยตลอด แต่พวกเราจะเก็บไว้กินเวลามีโอกาสฉลองอะไรมากกว่า นี่ถ้าไอ้ดำมันไม่พูดเรื่องเลี้ยงต้อนรับพวกเอ็งขึ้นมา พวกข้าก็คงไม่ได้กินแบบนี้หรอก”

ที่แท้ตัวต้นเหตุก็อยู่ตรงนี้...

“พวกเอ็งเห็นกองไฟนั้นไหม” เขาชี้ไปที่กองไฟที่มีพวกผู้หญิงกับเด็กนั่งล้อมวงอยู่ “พวกผู้หญิงกับเด็กจะมากินข้าวกัน พอเสร็จแล้วก็จะกลับไปก่อน”

“อ๋อ…”

“ส่วนวงที่พวกหัวหน้านั่งกันมักจะคุยเรื่องงานระหว่างกิน” หัวหน้าที่เขาว่าคือลุงเหมที่ล้อมวงอยู่กับพวกผู้ชายมีอายุคนอื่นๆ “เดี๋ยวเรียบร้อยแล้วก็มานั่งกินเหล้ากับเราเองแหละ เอ้า...กินซะ”

ผมรับขวดเหล้ามาถือไว้ในมืออย่างเสียมิได้ จะปฏิเสธก็คงไม่ดีอีก สุดท้ายเลยได้แต่ส่งแก้วใบหนึ่งไปให้ภามแล้วเทเหล้าให้เขาพร้อมกับกระซิบถามเพื่อความมั่นใจ

“นายกินเหล้าได้หรือเปล่า”

“คุณมากกว่าที่น่าเป็นห่วง” ประโยคตอบกลับของเขาทำเอาผมหน้าหงิก ทว่ายามหันไปมองกลับต้องชะงัก เมื่อพบว่าผู้พูดไม่ได้กำลังกวนตีนแบบที่คิด เพราะหน้าตาเขาดูจริงจังกว่าทุกครั้ง

“มะ...มาห่วงอะไรฉันเล่า” ผมรีบหันหน้าหนีแล้วยกเหล้าเข้าปากแก้เก้อ ลืมไปเสียสนิทว่าไม่ได้กินมานานจนแทบจะลืมเลือนรสฝาดๆ ของมันไปแล้ว “แค่ก...แค่ก”

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

“มะ...แค่ก...เป็น เป็นแล้ว” ความรู้สึกคันคอจนทรมานทำให้เผลอเบ้หน้า ผมคว้าแขนคนที่เข้ามาช่วยลูบหลังไว้แน่น กว่าจะรู้สึกดีขึ้นก็ตอนที่เขาส่งขวดน้ำเปล่าให้กระดกเข้าปากเพื่อล้างรสฝืดเฝื่อนออกไปจากคอ ไม่คิดเลยว่าแค่หยุดกินไปนานแล้วกลับมากินอีกครั้งมันจะทรมานขนาดนี้

“คุณไม่ต้องรักษามาดอะไรแล้วเหรอ”

“หมายถึงอะไร” ผมเงยหน้ามองภามด้วยความงุนงงไม่เข้าใจทั้งที่ยังจับแขนเขาไว้เป็นหลักยึดอยู่

“เห็นช่วงแรกชอบทำท่าทีขึงขังรักษามาด แต่ตอนนี้พูดออกมาตรงๆ แล้ว แถมยังแสดงออกมากด้วย”

จะบอกว่าเมื่อก่อนผมชอบเก๊กใช่ไหมล่ะ ก็นั่นแหละ...ตามนั้นเลย ไม่มีอะไรจะเถียง

“ไม่รู้จะเก๊กไปทำไม เห็นตับไตไส้พุงกันหมดแล้ว” ตอบตามความจริงแล้วยกน้ำเปล่าขึ้นดื่มอีกรอบพลางขยับตัวนั่งดีๆ และไม่ลืมปล่อยมือออก ผมเห็นภามมองแขนตัวเองที่โดนผมจับเมื่อครู่ด้วยแววตาแปลกๆ อยู่นานจนต้องอธิบายออกไป “เวลาเจ็บหรือทรมานแล้วได้หลักยึดจับมันทำให้รู้สึกดีขึ้น ฉันไม่เอาโรคอะไรไปติดนายผ่านทางการสัมผัสหรอกน่า มองจนแขนตัวเองจะทะลุอยู่แล้วมั้ง”

“เพราะแบบนั้นคุณถึงชอบจับตัวผมบ่อยๆ...”

“ใช่ รู้แล้วก็เตรียมตัวไว้เลย”

“เข้าใจแล้ว”

เดี๋ยวๆ เข้าใจอะไร แค่พูดเล่นเองนะ

ภามหันหน้ากลับไปมองกองไฟแล้วยกกล้องขึ้นมาเหมือนจะเป็นการตัดบทแบบกลายๆ ผมเลยได้แต่หุบปากฉับแล้วมองไปรอบด้านอย่างสำรวจแทน ดูเหมือนพวกผู้หญิงกับเด็กจะเริ่มทยอยเดินกลับกันแล้ว มีหลายคนที่หันมาสบตาผมพอดีแล้วส่งยิ้มให้อย่างเป็นกันเอง แตกต่างจากตอนที่เจอกันวันแรกแล้วทำหน้าเหมือนเห็นผีโดยสิ้นเชิง สงสัยจะเริ่มคุ้นหน้าคุ้นตากันแล้วมั้ง

แชะ!

“ไหนว่าไม่ถ่ายรูปคนตรงๆ ไง” ผมแขวะคนที่เพิ่งแอบถ่ายกันตอนไม่ทันได้ตั้งตัว ก่อนจะยื่นหน้าเข้าไปดูรูปอย่างสนอกสนใจเมื่อเห็นภามยื่นกล้องมาให้

“ทุกอย่างมีข้อยกเว้น”

“จะบอกว่าฉันเป็นข้อยกเว้นว่างั้น...โห หน้าโคตรเหวอเลยว่ะ” ไอ้คนในจอนั่นมันใครกัน ทำหน้าเอ๋อเหมือนพวกนอนไม่พอ แถมใต้ตายังดำจนน่ากลัว ถ้าไม่ติดว่าหน้าดีเป็นปกติอยู่แล้วนี่ดับเลยนะ

“ใช่”

อะไรใช่...

ผมเงยหน้าขึ้นมองคนตอบด้วยความงุนงง สมองประมวลผลอยู่พักใหญ่กว่าจะรู้ว่าก่อนหน้านี้เผลอพูดอะไรออกไป เราสบตากันอยู่นานจนผมเริ่มไม่แน่ใจว่ามันนานเกินความจำเป็นหรือเปล่า แต่สุดท้ายก็เลือกเป็นฝ่ายหลบสายตาก่อนเหมือนทุกครั้ง

“แล้วตั้งแต่พรุ่งนี้เราจะทำอะไรกันดี” หนทางกำจัดบรรยากาศกระอักกระอ่วนคงมีเพียงการเปลี่ยนเรื่องเท่านั้น ผมพยายามทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วหันไปถามเขาด้วยสีหน้าที่ถูกบังคับให้เรียบเฉย

“ผมว่าจะไปถ่ายรูป”

“อา…”

“ไอ้ไม้ ตีดังๆ หน่อยสิวะ!”

เสียงตะโกนโหวกเหวกของคนอื่นๆ ปลุกผมให้ตื่นจากภวังค์ ภาพที่เห็นคือบรรดาชาวบ้านที่ยังเหลืออยู่ต่างออกมาเต้นรำกันด้วยท่าทางเมามาย โดยมีไม้เอาถังอะไรบางอย่างมาตีให้จังหวะอยู่ไม่ไกล เสียงร้องเพลงของพวกชาวบ้านที่กำลังเมาได้ที่ดังสนั่นจนผมอดสงสัยไม่ได้ว่าพวกผู้หญิงกับเด็กๆ จะนอนหลับกันได้ยังไง

ดูนั่น...เต้นไปล้มไป ตลกฉิบหาย

“เฮ้ยๆ ไอ้ดำ เดี๋ยวตัวก็ไหม้หรอกไอ้เวร!”

ผมหัวเราะออกมาเสียงดังเมื่อเห็นดำถูกดึงตัวไว้ได้ทันก่อนที่จะล้มทับกองไฟ ภาพความวุ่นวายท่ามกลางเสียงร้องเพลงและลมเย็นๆ ทำให้จิตใจปลอดโปร่งแบบที่ไม่ได้เป็นมานาน ผมหันไปมองคนด้านข้างที่กำลังยกกล้องถ่ายรูปบรรยากาศโดยรอบอยู่ ก่อนจะแอบยิ้มจางเมื่อเห็นว่าแววตาว่างเปล่าที่อยู่หลังเลนส์กล้องกำลังเปร่งประกายแบบที่เจ้าของอาจไม่รู้ตัวด้วยซ้ำ

“หยุดถ่ายก่อน”

ภามลดกล้องลงก่อนจะหันมามองผมด้วยความงุนงง แต่ไม่รอให้เขาพูดอะไร ผมก็เป็นฝ่ายพยักพเยิดให้เขามองไปในทิศทางที่อยู่ตรงข้ามกับกลุ่มชาวบ้านที่เต้นรำกันอยู่

“เต่า?”

“มาเถอะ” ผมลุกขึ้นแล้วเดินไปในทิศทางที่เห็นสัตว์ตัวที่ว่านอนหงายท้อง ไม่นานนักภามก็เดินมาทรุดตัวลงนั่งยองๆ ข้างๆ กัน เขามองเต่าหงายท้องเหมือนเห็นของแปลก คิ้วขมวดมุ่นจนเกือบจะผูกโบว์ได้อยู่แล้ว “ไม่เคยเห็นเต่าเหรอ”

“ไม่เคยสนใจมากกว่า” ภามตอบ “ทำไมคุณถึงมองเห็นมัน”

“ไม่แปลกหรอก” ไม่ต้องรอให้ถามอะไรต่อ ผมก็เป็นฝ่ายบังคับจับมือใหญ่ของเขาไว้ แล้วดันมันให้เขี่ยกระดองเต่าที่หงายท้องให้กลับไปพลิกคว่ำเหมือนเดิม “คนเรามักจะเห็นในสิ่งที่อยากเห็น อะไรที่ไม่ได้สนใจ ต่อให้อยู่ตรงหน้าบางทียังไม่เห็นด้วยซ้ำ”

“คุณ...สนใจสัตว์เหรอ”

ผมหันขวับไปมองหน้าภาม ตากะพริบปริบๆ แบบไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้ยินคำถามเมื่อครู่ดังออกมาจากปากของผู้ชายอายุขนาดนี้ แต่พอเห็นหน้างงๆ จริงจังของเขาแล้วผมกลับมองไม่เห็นวี่แววของความกวนตีนอยู่เลย

“ฮ่าๆ” สุดท้ายก็ขำออกมาจนได้

“ขำอะไร”

“ขำคำถามนายไง” ขำจนน้ำตาจะไหล ผมหัวเราะต่ออีกแป๊บนึงจนรู้สึกตัวว่าโดนจ้องตาไม่กะพริบถึงได้ยกมือยอมแพ้แล้วอธิบายต่อ “ฉันแค่เปรียบเปรย จะว่ายังไงดี...มันเป็นเพราะฉันเป็นพวกขี้สังเกตแถมยังขี้กังวลเกินเหตุมั้ง สายตามันเลยมองแล้วสนใจอะไรต่ออะไรไปทั่ว”

ภามพยักหน้าเหมือนจะเข้าใจ เขามองตามเต่าตัวเล็กที่ค่อยๆ เดินอย่างอืดอาดไปที่ทะเล จวบจนเมื่อมันหายไปแล้ว ดวงตาคมคู่นั้นถึงได้เบนกลับมามองผมอีกครั้ง

“จริงของคุณ เพราะแบบนั้นใครหลายคนถึงได้บอกว่าผมไม่สนใจพวกเขา”

“ใครหลายคนที่ว่า...แฟนนายเหรอ” ผมถามอย่างสนใจ

“เปล่า คนรอบตัวน่ะ” เขาเอียงหัวเล็กน้อยเหมือนกำลังคิด ขณะที่เหม่อมองไปยังทิศทางที่เต่าตัวนั้นเพิ่งเดินผ่านไป “ช่วงหลังๆ เก้าก็เคยบอกว่าผมไม่สนใจ เอาแต่ถ่ายรูป อาหมอก็เคยบอกเหมือนกันว่าเดี๋ยวนี้ผมไม่คุยด้วย”

อาหมอ...ถามได้หรือเปล่าวะว่าใคร

อย่าเพิ่งดีกว่า

“คงเพราะนายเจอสิ่งที่ชอบอย่างการถ่ายรูปแล้วเลยลืมสนใจคนรอบข้างไปบ้าง ไม่แปลกหรอก”

“ผมเห็นและสนใจแต่สิ่งที่ชอบ...”

“เรื่องปกติของคนทั่วไปน่า ไม่ต้องคิดมากหรอก” ผมตบไหล่ภามแปะๆ แล้วลุกขึ้นยืน “ในฐานะของแพทย์ ฉันต้องสนใจและสังเกตอะไรต่อมิอะไรมากกว่าคนทั่วไปอยู่แล้ว มันเลยติดตัวจนเป็นนิสัยเท่านั้นเอง”

“แล้วถ้า...”

ผมชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวเดินกลับไปทางเดิม เมื่อแขนข้างหนึ่งถูกพันธนาการไว้ด้วยมือใหญ่อบอุ่นของคนด้านหลัง

“แล้วถ้าผมเห็นคนคนหนึ่งอยู่ในสายตาตลอดเวลาเพียงคนเดียว แบบนั้นมันหมายความว่ายังไง” แววตาสับสนและไม่มั่นใจของอีกฝ่ายทำให้ผมเผลอจ้องอยู่นาน จนกระทั่งภามพูดขึ้นมาอีกประโยค ผมถึงได้สติกลับมาอีกครั้ง “หมายความว่าเขาพิเศษหรือเปล่า”

“นายไปรู้สึกแบบนั้นกับใครเข้าหรือไง” ผมถามติดตลกทั้งที่ปากไม่ได้ยิ้มตามไปด้วย ลองมาโดนจ้องด้วยแววตาจริงจังกันขนาดนี้ ใครจะทำเป็นเล่นออก

“ยังหรอก” เขาส่ายหน้า “แต่คิดว่าคงอีกไม่นาน”

อีกไม่นานอะไร...

อีกไม่นานจะรู้สึก หรืออีกไม่นานคนคนนั้นจะอยู่ในสายตาเพียงคนเดียว

แล้วทำไมกูต้องขี้เสือก

“งั้นมั้ง” ผมยักไหล่ตอบ ทำท่าเหมือนไม่คิดอะไร ทั้งที่รู้สึกแปลกๆ กับแววตาของเขาไม่น้อย

“…”

“ถ้าเป็นแบบที่นายว่า ก็คงแปลเป็นอย่างอื่นไม่ได้ นอกจากเขาพิเศษกว่าใครไม่ใช่หรือไง”

เมื่อไม่ได้รับคำตอบหรือคำถามอะไรอีก ผมเลยหันหน้าแล้วเดินกลับไปทางเดิม ครั้งนี้ภามไม่ได้รั้งเอาไว้ แต่กลับเดินตามมาเงียบๆ จวบจนนั่งลงที่เดิมแล้วก็ยังไม่ได้พูดอะไร

ตอนนี้พวกชาวบ้านที่เต้นรำและร้องเพลงกันอยู่เริ่มสลบเหมือดกันไปหมดแล้ว เหลือแค่บางคนที่ยังนั่งจับกลุ่มคุยกันหรือกินเหล้าอยู่ ผมเห็นซากศพของดำนอนคว่ำหน้าคลุกทรายอยู่ห่างไปประมาณสิบก้าว ส่วนไม้ยืนถือขวดเหล้าโบกไม้โบกมือให้อยู่ไม่ไกลและกำลังจะเดินเข้ามาหา

ตอนแรกคิดว่าไม่เมา...ที่ไหนได้

“พวกเองงงงงงง แดกๆๆๆ” นั่งลงข้างผมแล้วยังปัดมือไม้สะเปะสะปะจนเกือบฟาดหน้า โชคดีที่ภามดึงตัวผมหลบทันแล้วช่วยลุกขึ้นเปลี่ยนที่ไปอยู่ตรงกลางแทนก่อน

มีคนดูแลมันดีแบบนี้เอง...

เดี๋ยวนะ ได้ข่าวผมบอกว่าจะดูแลเขาไม่ใช่เหรอ

“โทษทีๆ ว่าแต่ผัวเมียดูแลกันดีจังนา” ไม้หัวเราะเฮฮา คำพูดคำจาคล้ายยังมีสติ แค่ไม่ได้เกรงอกเกรงใจกันแล้วเพราะฤทธิ์เหล้า

“เราไม่ใช่...”

“เอาน่าๆ ข้าเข้าใจ ชาวบ้านเขารู้กันหมดแล้วว่าพวกเอ็งมาฮัน...ฮันอะไรวะ”

“ฮันนีมูน”

“นี่!” ผมหันไปตีแขนคนด้านข้าง โดนเข้าใจผิดไม่พอยังไปช่วยตอบให้มันเข้าใจมากกว่าเดิมอีกนะ

“เออใช่...ฮันนีมูนๆ”

“คือ…”

“แล้วเอ็งจะย้ายไปอยู่บ้านใหม่กันเมื่อไหร่ล่ะ ให้ข้าไปช่วยสร้างไหม”

ทำไมเวลาจะอธิบายต้องโดนขัดทุกทีเลยวะ ตั้งแต่น้าต้อยแล้ว เอาเป็นว่าช่างมันแล้วกัน ปล่อยให้พวกเขาคิดกันไปเถอะ ถ้าไม้บอกว่ารู้กันไปทั่วแล้ว ผมไปนั่งอธิบายทีละบ้านก็คงไม่ได้อยู่ดี

จะว่าไปผมยังไม่ได้บอกน้าต้อยกับลุงเหมเลยว่าจะย้ายไปพรุ่งนี้ แต่เดี๋ยวตอนเช้าค่อยบอกก็คงไม่เป็นไร

“สร้างเสร็จแล้ว ว่าจะย้ายไปพรุ่งนี้” ผมเป็นคนหันไปตอบไม้เองเมื่อภามยังคงนั่งเงียบไม่สนใจโลก

“เออดี ผัวเมียก็ต้องอยู่ด้วยกันสองคนสิวะ”

“…อา” เถียงไปแล้วได้อะไร ยอมตอบไปให้เปลี่ยนเรื่องน่าจะดีกว่า

“ว่าแต่ทำไมเอ็งถึงมาเที่ยวที่นี่กันล่ะ เกาะห่างไกลแบบนี้ไปรู้จักได้ยังไง” ไม้เอียงหัวถาม ตาฉ่ำปรือเต็มทีเหมือนพร้อมจะหลับได้ทุกเมื่อ แต่น่าแปลกก็ตรงที่มันยังคุยรู้เรื่องอยู่ ท่าทางคงเป็นคนคอแข็งลำดับต้นๆ ของหมู่บ้าน

“มีคนแนะนำมาอีกทีน่ะ”

“แปลก...” เขาพึมพำเบาๆ แต่แล้วจู่ๆ กลับหันขวับไปจ้องหน้าภามตาไม่กะพริบ “จะว่าไป...เอ็งหน้าตาคุ้นๆ เนอะ”

ผมหันไปเลิกคิ้วเป็นเชิงถามภามว่ารู้จักอีกฝ่ายไหม แต่เขาส่ายหน้าโดยไม่เสียเวลาคิด ทั้งยังหันกลับไปตอบด้วยตัวเองอีกต่างหาก

“คุณจำคนผิดแล้ว”

“อะ...เออ” ไม้บ่นอะไรสักอย่างกับตัวเองอุบอิบเสียงเบาจนผมไม่ได้ยิน แล้วสักพักเขาก็เงยหน้าขึ้นมาถามต่อ “แล้วพวกเอ็งจะอยู่กันนานไหม”

“ก็...คงเดือนเดียวมั้ง” ผมตอบด้วยความไม่มั่นใจนัก แต่อย่างต่ำก็ต้องรอจนกว่าเรือจะเข้าฝั่งอีกรอบอยู่แล้ว

“น่าเสียดายนะ...นายอุตส่าห์อนุญาตให้อยู่ทั้งที”

“ปกตินายไม่อนุญาตเหรอ”

“อา...ก็มันเป็นเกาะส่วนตัวนี่หว่า ใครจะเข้ามาอยู่ง่ายๆ ได้ยังไง”

“แล้วนายที่ว่านี่เขาเป็นเจ้าของเกาะเลยเหรอ ถ้างั้นทำไมพวกชาวบ้านอยู่ที่นี่ได้ล่ะ” ตอนแรกผมกะว่าจะหาจังหวะเหมาะๆ ถามน้าต้อยหรือลุงเหม แต่ในเมื่อมีคนเมาที่ตอบทุกอย่างตามความจริงอยู่ตรงนี้แล้วก็ต้องใช้ประโยชน์ให้เต็มที่เสียหน่อย

“พวกข้าอยู่มานานแล้ว” ไม้โบกมือไปมา ตัวเริ่มเอียงแต่ก็ยังไม่หยุดดื่มเหล้าในขวด “ปู่ย่าเราย้ายมาจากที่อื่น บังเอิญมาเจอที่นี่เข้าแล้วคิดว่าเป็นเกาะร้างเลยลงหลักปักฐาน เพิ่งมารู้ทีหลังว่ามันเป็นเกาะมีเจ้าของ ตอนเขามาปรากฎตัวให้ดู ลุงๆ ป้าๆ แทบจะเป็นลมกัน เพราะคิดว่าต้องไปหาที่อยู่ใหม่แล้ว”

“แสดงว่านายให้อยู่ที่นี่ต่อได้ใช่ไหม” ผมถามด้วยความประหลาดใจ ไม่คิดว่าจะยังมีคนใจดีขนาดนั้นเหลืออยู่อีก

“ใช่ นายให้เราอยู่ที่นี่ แต่ต้องทำมาหากิน ห้ามใช้ชีวิตอยู่ไปวันๆ เด็ดขาด”

เพราะแบบนั้นทุกคนถึงได้ดูเคารพนายมาก...

“แล้วนายเขาไม่ได้อยู่ที่นี่ด้วยเหรอ”

“นานๆ จะมาทีน่ะ เอ็งยังไม่เคยเห็นบ้านนายใช่ไหม ถ้าเห็นแล้วจะตกใจ เอาไว้ว่างๆ ลองไปดูสิ ให้ไอ้แตงไอ้ตาลมันพาไปก็ได้”

พอได้ยินแบบนั้นผมเลยพยักหน้ารับคำ เป็นเวลาเดียวกับที่ไม้ทำท่าจะไม่ไหว เริ่มพูดจาไม่รู้เรื่องแล้วเอนตัวลงนอนแนบไปกับพื้นในที่สุด

“ปล่อยให้นอนกันแบบนี้จะไม่เป็นไรเหรอ” ภามที่นั่งเงียบฟังมานานเอ่ยถามขึ้นลอยๆ ขณะกวาดสายตามองภาพโดยรอบ

ดูเหมือนตอนนี้จะมีแค่เราสองคนที่ยังมีสติอยู่ ส่วนคนอื่นๆ เมาพับหลับคาหาดไปแล้วเรียบร้อย ผมจะบอกว่าไม่เป็นไรก็พูดได้ไม่เต็มปาก เพราะการปล่อยให้คนมานอนตากลมตากยุงแบบนี้คงไม่ใช่เรื่องที่ถูกต้องและสมควรนัก แต่พอคิดว่าต้องแบกกลับไปทีละคน...

“ปล่อยไว้เถอะ พวกเขาคงชินกันแล้ว” ถ้าพวกผู้หญิงกลับไปโดยไม่ห่วงอะไรก็คงไม่เป็นไรมั้ง

“งั้นกลับเถอะ คุณเริ่มตัวสั่นแล้ว” ภามลุกขึ้นยืนแล้วดึงแขนผมให้ลุกตามไปด้วย พอโดนทักก็เริ่มหนาวขึ้นมาจริงๆ ท่าทางตัวผมคงสั่นอย่างที่เขาว่า อากาศริมทะเลตอนกลางคืนหนาวน้อยเสียเมื่อไหร่

“ขี้สังเกตเหมือนกันนี่” ผมพูดยิ้มๆ แล้วเอาไหล่แซะภามเป็นเชิงแซว ไม่คิดเหมือนกันว่ามันจะทำให้อีกฝ่ายชะงักไป ทำเอาผมยิ้มค้าง เกือบเกาหัวแก้เก้ออยู่แล้วหากเขาไม่พูดขึ้นมาก่อน

“เพิ่งรู้เหมือนกัน”

อะไรของเขา...

“ไปๆ รีบไป หนาวจะตายแล้วเนี่ย” ครั้งนี้ผมยกมือกอดตัวเองเพื่อบอกให้รู้ว่าหนาวจริงจังแล้วก้าวเท้าเดินนำไปด้านหน้าก่อน แต่พอเห็นภามไม่เดินตามมาเสียทีเลยต้องกลับไปดึงแขนเขาลากให้เดินตาม “เหมือนเราจะเดินกันแบบปกติไม่ได้เลยเนอะ ต้องลากกันไปลากกันมาตลอด”

เรียกได้ว่าลากกันจนชิน เดี๋ยวผลัดกันชะงัก เดี๋ยวผลัดกันมึน ถือว่าเท่าเทียมแล้วกัน

“นั่นสินะ” เขาพูดแค่นั้นแล้วเงียบไป ก่อนผมจะสัมผัสได้ถึงความอบอุ่นที่ฝ่ามือ เมื่ออีกฝ่ายใช้มือใหญ่ๆ ของตัวเองวางทางลงมาบนมือผมที่จับแขนเขาอยู่ “มือคุณเย็นมาก”

“ตัวนายก็อุ่นมาก” เพราะแบบนั้นผมเลยเกาะไม่ปล่อยไง ทำไมลมทะเลทำอะไรคนคนนี้ไม่ได้เลย งงใจ “เออนี่...”

“…”

“ขอกอดแขนหน่อยดิ ไม่ไหวละ” ผมอาศัยจังหวะที่คนตัวโตกว่าทำหน้างงดึงแขนเขามากอดไว้แน่น ความอบอุ่นแผ่ซ่าน ไปทั่วร่างจนรู้สึกดีขึ้นไม่น้อย ผมไม่รู้ว่าภามทำหน้ายังไงเพราะจุดที่เราเดินอยู่ตอนนี้มันมืดมาก แต่ถ้าเขาไม่ได้สะบัดแขนออกหรือพูดปฏิเสธออกมาก็แสดงว่าไม่เป็นไรมั้ง

“…”

“ขอบใจนะ” เป็นครั้งแรกที่ผมพูดขอบคุณออกมาจากใจ ทั้งยังยกยิ้มให้แม้เขาจะมองไม่เห็นก็ตาม

เราเดินกลับบ้านกันด้วยความเงียบเชียบ ไม่มีใครพูดอะไรออกมาตลอดทาง จวบจนหัวถึงหมอนแล้วเราก็ยังไม่ได้คุยอะไรกันสักคำ ทั้งยังหันหน้าไปคนละทางตามที่ควรเป็น

ผมหลับตาลงแล้วภาวนา

ขอให้คืนนี้เขานอนหลับฝันดี ขอให้คืนนี้ไม่มีฝันร้าย

ฝันดีแล้วก็อย่าถีบฉันอีกนะ

มันเจ็บ...


—————————

หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[7]==[P.3]== [14/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: aeecd ที่ 14-06-2018 18:32:36
สงสัยว่าเป็นเกาะของใคร คุ้นๆนะหรือคิดไปเองหว่า :ruready
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[7]==[P.3]== [14/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 14-06-2018 18:49:45
น้องภามรู้แล้วแน่เลยว่าตัวเองเริ่มชอบเจไดแล้ว เดี๋ยวก็จะได้ไปอยู่บ้านของเรากันแล้ว เย่ๆ // สู้ๆนะคะ :mew1:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[7]==[P.3]== [14/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Fallinlove ที่ 14-06-2018 20:39:32
นายคือใครน้อ คุณป๋าน้องเก้าหรือเปล่า
แต่ยังไง นายต้องเกี่ยวข้องกับน้องเก้าทางใดทางหนึ่งแน่ ๆ
ก็น้องเก้าแนะนำมานี่เนอะ แล้วทำไมไม้ถึงคุ้นหน้าภามล่ะเนี่ย
ภามเริ่มรู้สึกอะไร ๆ กับคุณหมอเจไดแล้ว รวดเร็วทันใจดีจัง > <
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[7]==[P.3]== [14/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 14-06-2018 22:14:22
ภามลูก หนูจะมีความรักแหละ อิอิ

หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[7]==[P.3]== [14/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: MSeraph ที่ 15-06-2018 00:14:20
ภามลูกกกกทเริ่มพัฒนาแล้ววว
เจไดทำไมเริ่มน่ารัก นิสัยน่ารักเหมือนกันทั้งกลุ่มเลย
แต่ว่า เอาพี่หมอสุดหล่อรองเดือนกลับมาได้มั้ยยยยย
ตอนนี้กลางเป็นตัวนิ่มลงพุงแล้วอะ ฮืออเมียดายหุ่นพี่หมออ
ภามเริ่มรู้ตัวแล้วว ดีจัง น้องยิ้มได้บ่อยๆแล้ว
เริ่มแสดงออกมากขึ้นแล้ว ฮือออ
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[7]==[P.3]== [14/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 15-06-2018 01:59:36
กลัวโดนภามถีบ ก่อนนอนมัดขาภามไว้ก่อนแล้วกัน  :hao3:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[7]==[P.3]== [14/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 15-06-2018 12:50:44
ทำไมหมออ่อยแรงงี้อะ
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[7]==[P.3]== [14/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Margarita ที่ 20-06-2018 09:46:11
อ้อยยยยย
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[7]==[P.3]== [14/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 20-06-2018 21:08:36
-8-


“ภาม แบกกระเป๋าให้หน่อยได้ไหม”

“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า”

ผมไม่ได้ตอบในทันที แต่ลองหมุนแขนตัวเองไปมาดูก่อนเป็นลำดับแรก แล้วก็ตามคาด...

“ปวดแขน” เวลาอยู่เฉยๆ ไม่ค่อยรู้สึกอะไร แต่พอขยับเท่านั้นชัดเจนเลย เหมือนเมื่อคืนผมจะนอนตะแคงผิดท่าไปหน่อยหรืออาจจะทับแขนนานเกินไปนิด ตื่นเช้ามาถึงได้ปวดไปหมดแบบนี้

“ฝากหน่อย” คำพูดสั้นๆ มาพร้อมกับน้ำหนักของสิ่งที่ถูกสวมลงบนคอ ผมก้มลงมองกล้องสุดรักสุดหวงของคนตัวสูง ก่อนจะลอบยิ้มเมื่อเห็นเขาหันไปยกกระเป๋าขึ้น ทั้งของตัวเองและของผม

เมื่อเช้าผมกับภามไปบอกน้าต้อยเรียบร้อยแล้วว่าเราจะย้ายไปอยู่บ้านใหม่ด้วยกันวันนี้ เพราะงั้นเลยตื่นมาเก็บข้าวเก็บของเตรียมย้ายที่นอนกันไวกว่าปกติ นอกจากระเป๋าทั้งสองใบที่เราเอามาแล้ว น้าต้อยยังช่วยหาฟูกนอนกับของใช้จำเป็นหลายอย่างเตรียมไว้ให้ด้วย ตอนแรกผมคิดว่าขนกันรอบเดียวน่าจะหมด แต่แขนดันมาเดี้ยงจนต้องพึ่งภามคนเดียว ท่าทางคงต้องขนสองรอบแน่ๆ

“นายถือกระเป๋าอย่างเดียวไปก่อน เดี๋ยวฉันถือพวกของใช้ไปให้ แล้วเราค่อยกลับมาขนฟูกกับมุ้งอีกรอบ” ผมหันไปบอกเขาแล้วยกขันน้ำกับกองผ้าที่น้าต้อยยกให้ขึ้น

“คุณไม่ต้องถือก็ได้ เดี๋ยวผมถือเอง”

“ไม่เป็นไรหรอก แค่นี้เอง”

ดูเหมือนวันเวลาที่ผ่านไปจะทำให้ผมกับภามญาติดีกันมากขึ้นทีละน้อย แม้จะรู้สึกแปลกๆ กับการเปลี่ยนแปลง แต่ผมก็ยังมองว่ามันเป็นเรื่องดี จำได้ว่าสมัยเรียนผมก็เคยมีเพื่อนคนหนึ่งที่เหม็นขี้หน้ากันมาก่อน แต่พอได้ลองทำงานด้วยกันกลับจูนกันติดซะงั้น หลังจากนั้นก็เป็นเพื่อนกันมาโดยตลอด

แต่มันมีอะไรแหม่งๆ ระหว่างผมกับภามนี่ดิ...

ทำไมรู้สึกเหมือนระหว่างผมกับภามและระหว่างผมกับเพื่อนคนอื่นมันไม่เหมือนกันยังไงก็ไม่รู้

“คุณ…” สัมผัสอุ่นร้อนจากมือกร้านที่แนบลงบนหน้าผากทำให้ผมรู้สึกตัว ไม่รู้เลยว่าหยุดเดินไปตั้งแต่เมื่อไหร่ “เป็นอะไรหรือเปล่า”

“เปล่า” รีบปฏิเสธจนตัวเองยังคิดว่าน่าสงสัย “คิดอะไรเพลินไปหน่อย”

“เหม่อบ่อยแบบนี้คงได้หัวทิ่มพื้นเข้าสักวัน”

“เอาน่า...ทีหลังจะระวัง โอเคไหม”

เห็นว่าทำหน้าตาเป็นห่วงหรอกนะเลยไม่กวนตีนกลับ

บ้าน...หมายถึงกระท่อมที่ภามบอกว่าสร้างขึ้นมามั่วๆ ดูดีกว่าที่คิด ดูดีมากจนผมไม่คิดว่าเขามั่ว ถึงจะไม่ได้สวยงามอะไร แต่ก็กันแดดกันฝนได้จริงๆ เนื่องจากโครงบ้านที่มีอยู่ก่อนแล้วไม่ได้ใหญ่นัก สภาพที่ออกมาเลยกลายเป็นกระท่อมหลังเล็กๆ ซึ่งมีห้องเดียว เทียบกับห้องเจ้าตาลแล้วถือว่าใหญ่กว่าประมาณสองเท่า มีพื้นที่ให้กลิ้งไปกลิ้งมามากพอควร อีกทั้งภามยังไปขอกลอนประตูจากลุงเหมมาได้ด้วย ทีนี้คงไม่ต้องห่วงแล้วหากจะทิ้งของไว้ในบ้าน

“นี่ห้องน้ำจริงๆ ใช่ไหม” ผมยืนเกาหัวมองสภาพห้องน้ำที่อยู่นอกตัวบ้านด้วยความเครียด ถึงจะต่อท่อหรือมีโถส้วมอะไรอยู่แล้วตั้งแต่ต้น แต่จะให้อาบน้ำหรือทำธุระส่วนตัวในห้องน้ำที่ใช้ผ้าใบยึดกับเสาไม้ทำเป็นกำแพงสี่ด้านมันก็ออกจะเกินไปหน่อย หนักกว่าห้องน้ำบ้านน้าต้อยอีก

“แค่นี้ก็พอแล้ว” ภามกอดอกมองผลงานตัวเองด้วยใบหน้าเรียบเฉย แต่ผมคิดว่าเขาคงภูมิใจอยู่ไม่น้อย ดูจากท่ายืนเก๊กๆ นั่นน่ะนะ

“เอาเถอะ...” โชคดีที่ตัวเองเป็นพวกยอมรับอะไรได้ง่ายๆ “ฉันไปนอนดีกว่า”

“…อา”

อา...อาแปลว่าโอเคใช่ไหม

ปากบอกว่าอาแล้วมึงจะรั้งแขนกูไว้ทำไมหา!

“ปล่อยเลย” ผมสะบัดแขนไปมาเป็นเชิงบอกให้เขาปล่อยมือออก คราวนี้ภามไม่ได้บีบข้อมือผมจนเจ็บเหมือนครั้งก่อน แต่เขาก็ยังจับไว้แน่นไม่มีทีท่าว่าจะปล่อยเหมือนเดิม

“ผมจะไปถ่ายรูป”

“ก็ไปดิ” ใครห้ามเนี่ย

“คุณต้องไปด้วยกัน”

“เดี๋ยว...”

โอเค ผมยอมรับว่าตัวเองเสพติดการนอน ต่อให้เมื่อคืนนอนไปแปดหรืออาจจะเก้าชั่วโมงแล้วก็ยังง่วงอยู่ ส่วนหนึ่งเป็นผลมาจากความขี้เกียจล้วนๆ ซึ่งมันก็ไม่ใช่เรื่องดีจริงๆ นั่นแหละ

แต่มึงไม่ต้องอุ้มกูพาดบ่าก็ได้โว๊ยยยยยยย!

“ปล่อยเดี๋ยวนี้เลยภาม!” ผมทุบแผ่นหลังของคนตัวสูงที่บังอาจอุ้มกันจนตัวลอยแรงๆ เพื่อให้เขาปล่อย แต่ภามมันเป็นพวกหนังเหนียว จะทุบจะตีเท่าไหร่ก็ยังทำเหมือนไม่รู้สึกรู้สา กลายเป็นผมที่หมดแรงห้อยหัวลงแนบไปกับแผ่นหลังของเขาซะงั้น

“ไม่หนักหรอก”

ใครถาม...

“ไม่กลัวใครมาเห็นหรือไง”

“เขาคิดว่าเราเป็นผัวเมียกันอยู่แล้ว” พูดออกมาด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยแบบนั้น ทำได้ยังไงวะเนี่ย

“โอย….” ผมรู้สึกเหมือนอาหารจะไหลลงมาจุกอยู่ที่คอหอย ไม่รู้เพราะกลับหัวนานเกินไปหรือเพราะเส้นทางที่เขาเดินมันขรุขระเหลือเกิน ไอ้เราที่เหมือนเป็นกระสอบทรายซึ่งโดนแบกไว้เลยได้รับผลกระทบเต็มๆ

“ทำไมถึงไม่โวยวาย”

เอ้า...ไม่โวยวายก็ไม่ดีอีก จะเอายังไงเนี่ย

“เพิ่งรู้ว่าเวลาไม่ต้องเดินเองมันสบายขนาดนี้” ประชดไปหนึ่งดอก แม้จะปนความจริงไปส่วนหนึ่งก็ตาม จะว่ายังไงดี...คือผมเป็นพวกขี้เกียจระยะสุดท้าย ยอมรับแบบหน้าด้านๆ เลยว่าเวลาไม่ต้องเดินเองมันรู้สึกสบายโคคตรๆ แต่ถ้าต้องหัวทิ่มนานๆ คงไม่ไหวหรอกนะ “เปลี่ยนท่าหน่อยได้ไหม จะอ้วกแล้ว”

หากเป็นคนปกติคงวางผมลงแล้วอาจจะแถมคำด่าหยาบคายมาหนึ่งถึงสองคำ ข้อหาที่ไม่ยอมสำนึกถึงความขี้เกียจของตัวเองแล้วยังร้องขอให้เปลี่ยนท่า แต่นี่ไม่ใช่คนปกติไง...ภามเองจำได้ไหม

“ให้ตายเหอะ ตัวฉันมันเบาเหมือนนุ่นหรือไงวะ” ผมกอดอกทำหน้าบึ้งตึงอยู่ในอ้อมแขนของไอ้คนกวนตีนหน้าตายที่บังอาจช้อนตัวกันขึ้นอุ้มในท่าเจ้าสาว ได้โปรดอย่ามโนว่ามันเป็นโมเมนท์เขินอาย เพราะสถานการณ์ตอนนี้ย่ำแย่และไร้ซึ่งความโรแมนติกเป็นอย่างยิ่ง

สิ่งมีชีวิตที่ชื่อภามเริ่มต้นจากการวางตัวผมลงบนพื้น จากนั้นเอากล้องที่ตัวเองแขวนคอไว้มาคล้องคอกันเหมือนเห็นผมเป็นหุ่นโดยไม่ถามความเห็น สุดท้ายจึงช้อนตัวผมขึ้นอุ้มตามคำขอกึ่งประชดโดยไม่พูดหรือแสดงสีหน้าอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว

“เบาเหมือนเต้าหู้”

อย่ามาแย่งคำด่าตัวเองของฉันนะ!

ช่างหัวภาพพจน์แม่ง ยังไงก็ร่อยหรออยู่แล้ว ในเมื่ออยากอุ้มกันนักก็อุ้มไปเลย

“ถ้านายปล่อยเมื่อไหร่ฉันจะไม่เดินไปไหนทั้งนั้น พามาแล้วก็พาไปให้สุดแล้วกัน” พูดแบบหัวเสียหน่อยๆ แต่กลับได้รับแววตาขบขันจางๆ มองกลับมา ผมถลึงตามองหน้าภามแล้วขยับตัวขยุกขยิกให้เขารู้สึกหนักกว่าเดิมโดยตั้งใจ

“หลายปีมานี้คุณได้กินข้าวบ้างหรือเปล่า ทำไมตัวเล็กขนาดนี้” ภามถามต่อแบบไม่รู้สึกรู้สา

“ไม่ใช่ว่านายตัวโตเกินไปหรือไง”

“ก็คงใช่ แต่เมื่อก่อนคุณดูมีเนื้อมีหนังมากกว่านี้ อย่างน้อยก็ดูแข็งแรงกว่าเก้าหลายเท่า”

“เดี๋ยวนี้ฉันก็ยังสู้มันได้เถอะ” ผมเถียงแบบไม่ยอมแพ้

ในกลุ่มเพื่อนสนิทที่มีกันอยู่สามคน มีแค่ไอ้โซที่ตัวสูงกว่าใครเพื่อนเพราะมันมีเชื้อต่างชาติ ส่วนผมกับไอ้เก้าตัวพอๆ กัน ต่างกันแค่เวลานั้นผมเข้าฟิตเนส เล่นกล้ามท้องและกล้ามแขนจนดูถึกกว่ามันพอสมควร แต่พอมาทำงาน เลิกออกกำลังกาย กล้ามอะไรต่างๆ ที่สะสมมาก็เริ่มจางหายไปตามเวลา แถมยังชอบนอนมากกว่าชอบกินข้าว ไม่แปลกที่ผมจะดูตัวเล็กลง ถึงอย่างนั้นก็น่าจะตัวพอๆ กับไอ้เก้านั่นแหละ

“สู้ไม่ได้หรอก”

“ทำไมจะ...”

“ปกติเก้าก็แรงเยอะอยู่แล้ว แถมตอนนี้คุณยังตัวเล็กกว่าอีก สู้ไปก็มีแต่แพ้”

โอ้โห...มีความดูถูกดูแคลน

ผมดิ้นหนักๆ กะจะให้ภามปล่อยให้ได้เพื่อพิสูจน์ว่าตัวเองไม่ได้ตัวเล็กแรงน้อยอะไรขนาดนั้น หากยิ่งดิ้นกลับยิ่งรู้สึกเหมือนโดนรัดแน่นขึ้น พร้อมกับที่คนตัวสูงเริ่มออกตัววิ่งไปด้านหน้าจนผมต้องคว้าจับไหล่เขาไว้แน่น

เฮ้ย...นี่ถึงขนาดอุ้มคนวิ่งได้เลยเหรอวะ เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่ามันถึกเกินไปหรือผมเบาเป็นเต้าหู้จริงๆ กันแน่

“ไม่เหนื่อยเลยเหรอ” ผมอดถามไม่ได้เมื่อเห็นว่าเริ่มมีเหงื่อไหลลงตามกรอบหน้าคม แต่อีกฝ่ายกลับไม่บ่นหรือหอบหายใจหนักหน่วงเลยแม้แต่นิดเดียว

“ปกติก็วิ่งวันละหลายกิโลอยู่แล้ว”

เมื่อเห็นภามว่าแบบนั้นผมเลยขยับตัวให้เข้าที่เข้าทางกว่าเดิม สบายมากจนตาเริ่มปรือ ถ้าไม่ติดว่าต้องตั้งสมาธิอยู่กับการประคองกล้องคงเผลอหลับไปแล้ว ก็อย่างที่บอกนั่นแหละ...ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นข้อดีหรือข้อเสียที่มีนิสัยยอมรับอะไรได้ง่ายดายเหลือเกิน

จะว่าไปตอนแรกผมยังเขม่นภามเพราะเมื่อก่อนเคยโดนกอดแล้วสู้แรงเขาไม่ได้อยู่เลยนี่นะ เดี๋ยวนี้ไม่ยักรู้สึกแบบนั้น ทั้งที่โดนมากกว่าเมื่อก่อนเสียอีก เอาจริงๆ ก็เพิ่งค้นพบเหมือนกันว่าเวลามีคนทำอะไรแทนมันสบายสุดๆ รู้แบบนี้แล้วจะคิดมากไปทำไมอีก ศักดิ์ศรีไม่ได้ทำให้กินอิ่มนอนหลับ ช่างมันเลยแล้วกัน

“สบายมากไหม”

“มาก” ผมตอบโดยไม่ต้องคิด ก่อนจะแอบยกยิ้มมองภามแบบคนเหนือกว่า “เริ่มเมื่อยแล้วอะดิ”

“ผมทนได้”

ขืนตอบแบบนั้นแล้วทำหน้าตาน่าสงสารหน่อยคงเรียกความสนใจจากแม่ยกได้เป็นแถบ น่าเสียดายที่คนพูดทำหน้าปลาตายไม่เปลี่ยนแปลง ดูจริงจังมากจนผมเริ่มรู้สึกผิดนิดหน่อย

“ปล่อยลงเถอะ”

“คุณบอกว่าจะไม่เดิน”

“เดินแล้วน่า” ผมถอนหายใจแล้วหย่อนขาลงพื้นเมื่อภามหยุดเดิน แต่เมื่อเห็นเขาเอื้อมมือมาจะเอากล้องคืน ผมเลยรีบหมุนตัวหนีแล้วเดินนำไปด้านหน้า “ยึดชั่วคราว ข้อหาพาไปไม่ถึงจุดหมาย”

“หึ…”

“หึอะไร”

“ขำคนปากแข็ง” เสียงจากคนด้านหลังดังขึ้นทั้งที่ยังไม่ได้เดินตามมา แต่คำพูดของเขาทำให้ผมหยุดชะงัก

“ปากแข็งอะไร”

อย่ามาทำเหมือนรู้ทันไปหน่อยเลย ผมไม่ได้ดูออกง่ายขนาดนั้นสักหน่อย

“อยากช่วยผมบ้างก็บอกมาเถอะ” เขาว่าแล้วก้าวเท้าเข้ามาใกล้ ในขณะที่ผมทำได้เพียงควบคุมสีหน้าไม่ให้เผลอแสดงท่าทีอะไรออกไป

“พูดอะไรของนาย”

“หน้าตาไม่ได้น่าเชื่อถือเลย...คุณหมอ” รอยยิ้มเหยียดกับเสียงกระซิบติดใบหูทำเอาใบหน้าผมร้อนผ่าวด้วยความอับอาย

“เอาคืนไปเลย” ผมเอาสายกล้องออกจากคอ ก่อนจะผลักมันคืนไปให้เจ้าของถือเอง เมื่อเรียบร้อยแล้วถึงหันกลับไปเดินต่อแบบฉุนเฉียว

ก็แค่ไม่อยากติดหนี้เท่านั้นแหละ ไม่ได้อยากจะช่วยอะไรสักหน่อย









จุดหมายปลายทางที่ภามพาผมมาคือบนเนินเขาซึ่งอยู่กลางเกาะ พวกชาวบ้านบอกว่าด้านบนมีศาลาเล็กๆ ที่นายเคยสั่งให้คนสร้างไว้ชมวิวด้วย ตอนเห็นสิ่งปลูกสร้างที่ว่าเป็นครั้งแรก ผมแทบจะร้องออกมาด้วยความยินดี ไม่นึกว่าจะเมื่อยและเหนื่อยมากขนาดนี้ กับอีแค่เดินขึ้นเขาที่ดูแล้วไม่ได้สูงอะไรนัก

เรื่องนี้สอนให้รู้ว่า...อย่าด่วนเชื่ออะไรในสิ่งที่ตาเห็น มิฉะนั้นจะเสียใจในภายหลัง

เกาะที่เราอยู่เป็นเกาะขนาดกลาง ไม่ได้ใหญ่โตอะไรมากมายสำหรับเกาะส่วนตัว แต่ก็ไม่อาจเรียกได้ว่าเล็ก น้าต้อยบอกว่าพื้นที่ที่พวกเราอาศัยอยู่และเป็นพื้นที่ที่ใช้จอดเรือประมงคือด้านข้างเกาะ ส่วนจุดที่ผมกับภามมาถึงตอนแรกคือทิศตรงกันข้าม ซึ่งหากนับจริงๆ แล้วมันคือด้านข้างเหมือนกัน แต่ทุกคนต่างเรียกว่าหลังเกาะเพราะเป็นทิศที่อยู่ตรงข้ามกับที่อยู่อาศัยซึ่งถูกมองว่าเป็นด้านหน้า

“น้าต้อยบอกว่าถ้าขึ้นมาบนนี้จะเห็นบ้านนายด้วยใช่ไหม” ผมหันไปถามภามที่กำลังเดินสำรวจรอบเขาอยู่ ในขณะที่ตัวเองนั่งกอดอกอยู่ในศาลาเพราะเริ่มรู้สึกหนาวแปลกๆ

“ใช่ นั่นไง” เขาตอบแล้วชี้ไปในทิศทางหนึ่ง ผมเลยรีบเดินออกไปแล้วมองตรงไปยังจุดนั้น

“โห...สวยโคตร”

สิ่งก่อสร้างที่ผมมองอยู่ไม่อาจเรียกได้ว่าบ้านธรรมดา เพราะมันใหญ่โตแถมยังดูสวยงามราวกับคฤหาสน์ เป็นบ้านปูนเปลือยสไตล์โมเดิร์นของแท้ ทั้งยังมีพื้นที่ของสระว่ายน้ำยื่นออกไปในทะเลอีก ถ้าตอนมาถึงเด็กๆ พาผมเดินอ้อมไปอีกทาง ไม่ได้ตัดเข้าป่าแบบที่ทำตอนแรก เราคงได้เดินผ่านบ้านหลังนี้ตั้งแต่วันนั้นแล้ว

“คุณชอบเหรอ” คนที่ยืนมองอยู่ข้างผมทำสีหน้าคล้ายกำลังมองบ้านธรรมดาหลังหนึ่ง ผมเห็นแล้วนึกอยากเบะปากอยู่ไม่น้อย ใช่สิ...พ่อคนรวยล้นฟ้า คงอยู่บ้านใหญ่โตแบบนี้จนชินแล้วสิท่า

“ใครจะไม่ชอบบ้างล่ะ อยากเข้าไปดูด้านในชะมัด” ได้แต่บ่นพึมพำแล้วมองอย่างเสียดาย บ้านของนายเจ้าของเกาะ ใครจะเข้าไปได้ถ้าเขาไม่อนุญาต

“จะเข้าไปไหม”

“อะไรนะ” ผมหันไปมองภามแล้วทำหน้างง เหมือนจะได้ยินไม่ชัดว่าเขาพูดอะไร

“จะเข้าไปดูไหม” อีกฝ่ายย้ำด้วยประโยคเดิม แต่เล่นเอาผมเสียวสันหลังวาบเพราะดูท่าแล้วคนพูดคงเอาจริง

“จะบ้าหรือไง”

“ทำไม”

“ยังจะถามว่าทำไมอีก แงะเข้าบ้านคนอื่นมันผิดกฏหมาย ไม่รู้หรือไง”

อะไร...มองหน้ากันเหมือนเอือมระอาทำไม

“เอาเถอะ ไปนั่งรอในศาลาไป” ภามพูดแค่นั้นแล้วหมุนตัวกลับไปสำรวจรอบๆ ต่อ ซึ่งผมก็ยอมทำตามคำพูดนั้นแต่โดยดี เพราะนอกจากจะขี้เกียจเถียงแล้วผมยังหนาวมากขึ้นเรื่อยๆ ด้วย

ไม่รู้ทำไมวันนี้ไม่มีแดดเลย แถมอากาศยังเย็นผิดปกติอีกต่างหาก ผมคิดสงสัยแล้วได้แต่ยกขาขึ้นมากอด ทว่ายังไม่ทันได้มองออกไปด้านนอกอะไรบางอย่างก็เข้ามาบดบังสายตาเอาไว้จนมิด

“ทำอะไร” ผมดึงเสื้อแขนยาวออกจากหัวตัวเอง ก่อนจะเงยหน้ามองเจ้าของมันที่ตอนนี้สวมเพียงเสื้อคอวีธรรมดาตัวหนึ่ง

“คุณใส่เถอะ ผมไม่หนาว”

“ก็ได้”

หึ...เห็นว่าหวังดี ถือว่าใส่ไม่ให้เสียน้ำใจแล้วกัน ว่าแต่ตอบเร็วไปจนน่าสงสัยหรือเปล่าวะ

“จะยิ้มก็ยิ้ม กลั้นจนหน้าเหมือนกบ”

“ไปถ่ายรูปเลยไป” ผมผลักแขนภามเป็นเชิงไล่ รอจนอีกฝ่ายหันไปแล้วถึงได้รีบกางเสื้อในมือออกแล้วสอดแขนเข้าไปอย่างรวดเร็ว ขนาดตัวที่แตกต่างทำให้แขนเสื้อยาวจนปิดมือ อีกทั้งไหล่เสื้อยังตกลงมาเกือบคืบ แต่ผมถือว่านั่นเป็นเรื่องดี เพราะมันทำให้รู้สึกอุ่นมากขึ้นไปอีก

แชะ!

วอทเดอะ...

ผมเงยหน้าทั้งปากหวอ เป็นจังหวะเดียวกับที่เสียงแชะดังขึ้นอีกครั้งแบบพอดิบพอดี

“ทำหน้าตลก” คนที่เพิ่งลดกล้องลงเพื่อสบตากับผมพูดทั้งหน้าปลาตาย หากดวงตาคู่นั้นกลับปรากฎแววขำขันอยู่ในที ผมชักจะรู้สึกว่าเขาแสดงอารมณ์เยอะเกินไปแล้วเหมือนกัน แต่จะบอกให้กลับไปทำหน้าปลาตายเหมือนเดิมก็คงไม่ได้ผล คำตอบคงไม่ต่างจากคราวที่ผมบอกให้กลับไปพูดน้อยเท่าไหร่นัก

“ถ่ายให้เมมเต็มแบตหมดไปเลยนะ”

“ผมมีหลายอัน”

เบื่อคนรวย...ก็ว่าทำไมถึงไม่เดือดร้อนที่บ้านใหม่ไม่มีไฟฟ้า คนที่ใช้กล้องตลอดอย่างเขาต้องมีกลัวแบตหมดบ้างละ ที่แท้ก็มีหลายอันนี่เอง เมื่อขี้เกียจเถียงผมเลยหันกลับมาซุกตัวในเสื้อตัวใหญ่เหมือนเดิมและไม่ได้พูดอะไรอีก ดีที่ภามเองก็หันกลับไปสนใจถ่ายภาพทิวทัศน์รอบๆ เหมือนกันเลยไม่ได้เถียงกันต่อ

พื้นที่บนเขาแห่งนี้ไม่ได้กว้างใหญ่นัก แต่ถ้าขึ้นมาคนสองคนก็ไม่ได้อึดอัดอะไร บริเวณโดยรอบศาลามีต้นไม้ปกคลุม หากก็ยังมีจุดที่เปิดโปร่งสามารถมองเห็นท้องฟ้าและทัศนียภาพด้านล่างได้อย่างชัดเจน ผมเพิ่งสังเกตเห็นว่าทางที่มีบ้านของนายตั้งอยู่ดูคล้ายกับมีคนทำเส้นทางไว้เพื่อให้เดินขึ้นมาด้านบนและลงไปด้านล่างได้สะดวก ถึงจะไม่เห็นต้นทาง แต่พื้นดินที่ดูลาดลงไปด้านล่างเป็นทางยาวก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนพออยู่แล้ว

‘คนรักของนายชอบขึ้นไปนั่งเล่นบนเขา พอนายรู้เข้าเลยสั่งให้พวกไอ้ดำขึ้นไปสร้างศาลาไว้ให้ น่ารักมากเลยใช่ไหมล่ะจ๊ะ’

ผมลอบยิ้มเมื่อนึกถึงคำพูดของน้าต้อย ดูท่านายคงรักแฟนน่าดูถึงได้ทำให้ขนาดนี้ จำได้ว่าตอนผมมีแฟน แม้แต่ซื้อของให้ยังไม่เคยด้วยซ้ำ โดนบอกเลิกก็บ่อย ส่วนใหญ่พูดเป็นเสียงเดียวกันว่าผมไม่แคร์พวกเธอ ไม่สนใจ ไม่ดูแล ไม่อะไรสักอย่าง ตอนนั้นผมก็ไม่เข้าใจนักหรอก แต่พอโตมาถึงได้รู้...

ตัวผมเองคงไม่เหมาะจะดูแลใคร

นอกจากไม่มีเวลาแล้วยังขี้เกียจ ถ้าจะมีความรักจริงๆ ขอเป็นฝ่ายถูกดูแลดีกว่า เป็นไปได้ขอแบบก้าวเข้าบ้านแล้วช่วยถอดเสื้อผ้า อุ้มไปอาบน้ำ เสร็จแล้วอุ้มกลับมานอนที่เตียงเลยยิ่งดี แต่ผู้หญิงที่ไหนจะมาอุ้มผู้ชายได้กัน

ขณะที่กำลังนึกอะไรเพลินๆ จนเกือบจะหลับ จู่ๆ สัมผัสจั๊กจี้ก็แทรกเข้ามาในความคิดพร้อมกับความคันยุบยิบที่คาง แต่ไปๆ มาๆ กลับรู้สึกดีจนเผลอหลับตาลงอย่างเคลิบเคลิ้ม

อือ...ซ้ายหน่อย

บอกว่าซ้ายไง...

ไม่ได้ดั่งใจเลย ขยับหน้าเองก็ได้

อา...สบาย

“แมว”

ผมปรือตามองเมื่อได้ยินเสียงพูดของใครสักคนที่รู้สึกเหมือนจะอยู่ใกล้จนไม่น่าเป็นแค่ฝัน และทันทีที่เห็นภาพตรงหน้าชัดเจน ความง่วงงุนผสมกับความสบายอกสบายใจก็ถูกแทนที่ด้วยความตกใจจนถึงขีดสุดอย่างรวดเร็ว

“ภาม!”

“…” ไม่ตอบแต่ทำหน้าเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม เยอะไปละ แสดงออกเยอะไปละ

“เป็นโรคหรือไงถึงต้องเดินกลับมาหากันทุกห้านาทีเนี่ยหา!” ผมแขวะอย่างหัวเสีย ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าหน้าตัวเองตอนนี้จะต้องแดงก่ำยิ่งกว่ามะเขือเทศแน่นอน

“ก็เห็นมองเหมือนอยากให้เดินกลับมาหา” เขาตอบหน้าตาย

“ฉันไม่ได้มองนายสักหน่อย”

“คุณมองตามทุกฝีก้าวเลย ไม่รู้ตัวเหรอ”

ทันทีที่เห็นใบหน้าอ่านยากไม่มีวี่แววของการล้อเล่น ผมเริ่มเกิดความสงสัยขึ้นในใจ หรือว่าจะเผลอมองตามจริงๆ ตอนคิดอะไรเรื่อยเปื่อย

“ไม่รู้” ทำเป็นไม่รู้เรื่องไว้ก่อนแล้วกัน “ไปถ่ายรูปต่อเถอะ”

“ผมถ่ายวิวเยอะแล้ว”

“งั้นจะกลับเลยไหม” ผมลุกขึ้นยืนปัดกางเกงไปมา ถึงที่นี่จะสวยขนาดไหน แต่อากาศหนาวแบบนี้ก็ไม่ไหวเหมือนกัน เอาไว้วันหลังเตรียมเสื้อผ้ามาดีๆ ค่อยมาใหม่ดีกว่า...ถ้าไม่ขี้เกียจนะ

“อย่าเพิ่ง”

“หือ…” ยังไม่ทันได้ถามอะไรต่อ คนหน้าปลาตายก็ดึงแขนผมแล้วลากให้เดินตามออกไปนอกศาลา ท่ามกลางความงงและความเอ๋อ ผมได้แต่เดินตามเป็นหุ่นยนต์ กระทั่งถูกจัดท่าให้ไปยืนอยู่ริมเขาแล้วถึงได้รู้สึกตัว “ทำอะไรเนี่ย”

ด้านหลังเป็นวิวท้องฟ้ากับทะเล ด้านหน้าคือคนตัวสูงซึ่งกำลังยกกล้องถ่ายรูปขึ้น

แชะ!

“ทำท่าดีๆ หน่อย” ช่างภาพเผด็จการลดกล้องลงเล็กน้อยก่อนจะขมวดคิ้วฉับเป็นเชิงสั่ง

“เดี๋ยวๆ ฉันเกี่ยวอะไรด้วยเนี่ย” ผมเกือบเผลอถอยหลังเมื่อเห็นอีกฝ่ายเดินมาประชิดตัวแล้วจัดท่าจัดทางให้ “ไม่ถ่ายคนไม่ใช่เหรอ”

“คุณเคยถามไปแล้ว”

ทุกอย่างมีข้อยกเว้น...

คำตอบที่เพิ่งได้รับมาเมื่อวานทำเอารู้สึกแปลกๆ จนเผลอเม้มปากแน่น อยากจะด่าตัวเองที่ดันไปถามซ้ำจนต้องนึกถึงก็ไม่ทันแล้ว คราวนี้กลายเป็นหุ่นของแท้ให้เขาจับทำนั่นทำนี่ได้ตามอัธยาศัย จวบจนเมื่อมือข้างหนึ่งแตะลงบนแก้ม ผมถึงได้สะดุ้งแล้วเงยหน้าขึ้นมองผู้กระทำโดยอัตโนมัติ

“เงยหน้า” ภามพูดแค่นั้นแล้วเงียบไป หากยังไม่ยอมละมือหรือสายตาออก กลายเป็นผมที่ต้องทำลายบรรยากาศอันน่ากระอักกระอ่วนใจด้วยการดันมือของเขาออกเบาๆ แล้วพูดเสียงค่อย

“รู้แล้ว”

ไม่รู้ว่าเวลาผ่านไปนานขนาดไหนกับการถ่ายรูปที่ดูจะกินเวลาและกินแรงมากกว่าปกติหลายเท่า ทั้งที่ตัวเองทำแค่มองไปมองมาหรือเหลือบไปมองกล้องบ้างบางโอกาส แต่ผมกลับรู้สึกเหนื่อยเหลือเกิน ตอนแรกผมคิดว่าน่าจะเหนื่อยเพราะยังนั่งพักได้ไม่นานแล้วต้องลุกขึ้นมายืนต่อ แต่ตอนนี้...

ไม่แน่ใจแล้วว่าเหนื่อยที่ต้องยืน หรือเหนื่อยที่ต้องควบคุมอารมณ์และหัวใจบ้าบอที่เต้นแรงไม่เลิกเสียทีกันแน่

“พี่หมอออออออออออออ”

ผมสะดุ้งจนตัวโยนเมื่อได้ยินเสียงเรียกอันคุ้นเคยดังขึ้นแต่ไกล พร้อมกันนั้นปรากฎร่างเล็กของเด็กฟันหลอสองคนวิ่งดุ๊กดิ๊กขึ้นเขามาหาจากทิศทางหนึ่ง ผมเกือบหลุดขำเมื่อเห็นภามขยับตัวหลบเด็กน้อยเหมือนกลัวว่าพวกเขาจะวิ่งชนกล้องที่ตัวเองถืออยู่ ทว่าเมื่อเห็นสีหน้าแตกตื่นของเด็กที่โกหกไม่เป็น ความเคร่งเครียดก็เข้าครอบคลุมไปทั่วบริเวณในทันที

“หายใจก่อน” ผมลูบหลังตาลที่ดูจะหอบมากกว่าพี่ชายเบาๆ รอจนอาการดีขึ้นแล้วถึงพยักหน้าให้พูดต่อได้

"แม่...แม่บอกให้มาตามพี่หมอ มีคนไม่สบายอยู่ข้างล่างจ้ะ”

“คนในหมู่บ้านเหรอ เขาเป็นอะไร”

“ไม่ใช่ในหมู่บ้าน เขามาจากทะเล” แตงพูดแทรกแล้วอธิบายแทนน้องชายที่ยังเหนื่อย “พี่ไม้ไปเจอตอนออกเรือแล้วเห็นเขาทำท่าจะจมน้ำ พอช่วยขึ้นมาได้ก็เอาแต่พูดว่ายังมีคนอยู่ในทะเล พี่ดำเอาเรือออกไปหาแล้วจ้ะ แต่แม่บอกให้หนูมาตามพี่หมอ เผื่อจะช่วยอะไรพวกเขาได้”

ผมรีบหันไปมองหน้าภามโดยอัตโนมัติ เห็นเขาพยักหน้าให้แล้วถึงหันกลับมาพูดกับเด็กๆ อีกรอบ

“เดี๋ยวพี่ลงไปก่อน พักอยู่บนนี้ให้หายเหนื่อยแล้วค่อยตามลงไป แตงดูน้องด้วย”

“จ้ะ”

การลงจากเขาไม่ได้ยากลำบากอะไรมากมายนัก แต่สำหรับผมมันดูน่ากลัวว่าตอนขึ้นมามากพอควร เกลียดตัวเองเหมือนกันที่เป็นพวกใจเสาะหวาดกลัวกระทั่งความสูง ถึงจะไม่ได้มากมายแต่ก็เสียววูบๆ อยู่ในใจจนต้องพยายามข่มกลั้นไว้ โชคดีที่คนข้างกายคอยช่วยพยุงและเดินนำ เวลาเห็นโขดหินหรือทางชันมากเขาจะลงไปคอยรับอยู่ด้านล่าง ฝ่ามือใหญ่อบอุ่นช่วยให้รู้สึกดีขึ้นอย่างน่าประหลาด แต่ผมไม่มีเวลามาสนใจอาการแปลกๆ ของตัวเองในยามนี้

ในที่สุดเราก็ลงมาถึงตีนเขาจนได้ ผมกับภามรีบวิ่งไปที่หาดด้วยความเร็วเท่าที่แรงยังเหลืออยู่ ภาพบรรดาชาวบ้านยืนมุงแล้วพูดคุยกันเซ็งแซ่ไม่ได้แตกต่างจากที่ผมจินตนาการไว้นัก

“หลบหน่อยครับ” ผมส่งเสียงบอกฝูงชนแล้วเดินแหวกเข้าไปในวงพร้อมกับภาม ดูเหมือนผู้มาเยือนจะไม่ได้หมดสติจากการจมน้ำแบบที่คิด หรือไม่ก็มีใครช่วยเอาไว้แล้ว สิ่งที่ผมเห็นตอนนี้คือภาพผู้หญิงร่างบอบบางคนหนึ่งกอดเด็กชายอายุราวห้าหกขวบไว้แน่น ทั้งคู่มีสภาพเหมือนกันคือเปียกไปหมดทั้งเนื้อทั้งตัว

“ไอ้หมอ” ไม้เดินเข้าแตะไหล่ผม “เอ็งไปช่วยเด็กที ผู้หญิงคนนั้นไม่ยอมให้ใครเข้าใกล้เลย เด็กมันเลือดออกจะหมดตัวอยู่แล้ว”

จะว่าไปดูเหมือนจะมีเลือดออกจริงๆ ด้วย หยดเป็นทางมาเชียว แต่เพราะผู้หญิงคนนั้นกอดเด็กไว้กลม ผมเลยมองไม่เห็นว่าเขาบาดเจ็บตรงไหนกันแน่

“คุณครับ” ผมเดินเข้าไปคุกเข่าลงข้างเธอ เห็นใบหน้าสะสวยที่ดูท่าคงอายุไม่มากเท่าไหร่นักแล้วได้แต่พยายามพูดอย่างใจเย็น “ผมเป็นหมอครับ ขอดูแผลน้องก่อนได้ไหม”

แววตาประหลาดของคนตรงหน้าทำเอาผมหน้าชา ยิ้มจนปากจะฉีกอยู่แล้วก็ยังไม่ได้รับความเชื่อถือ น้องร้องไห้จนจะเป็นจะตายอยู่แล้วไม่สนหน่อยหรือไง

“คุณมากันสองคนใช่ไหมครับ” ผมพยายามชวนคุยต่อเผื่อเธอจะสบายใจขึ้น แต่ก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะได้รับคำตอบ สุดท้ายเลยต้องหันไปหาไม้แทน

“ตอนแรกมีผู้ชายจมน้ำ ข้ากับไอ้ดำช่วยพาเข้ามาที่เกาะ พอช่วยจนฟื้นแล้วเลยพาไปพักที่บ้าน แต่เจ้านั่นเอาแต่บ่นเรื่องลูกชายตัวเอง พวกข้าเลยออกเรือไปตามเจอสองคนนี้เข้า ใครจะคิดว่าแม่นางคนนี้จะโดดเรือหนีตาย คงคิดว่าพวกข้าจะทำร้ายมั้ง แต่ประเด็นคือดันทิ้งเด็กไว้บนเรือ กว่าจะลากมาได้แทบลมจับ”

“แล้วทำไมเด็กถึงเลือดไหลได้”

“ก็หล่อนผลักเด็กจนล้มน่ะสิ พอขึ้นฝั่งมาเด็กมันจะวิ่งไปหา คงตกใจแล้วอยากเอาตัวรอดเลยผลักเด็กจนขาเหยียบเปลือกหอยเข้าเต็มๆ แต่พอคนมามุงดันดึงเข้าไปกอดแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นซะงั้น ตอนแรกยังไม่เห็นร้องไห้อะไรเลย” ไม้พูดถึงตรงนี้แล้วขมวดคิ้วเหมือนจะหัวเสียอยู่หน่อยๆ “คนเมืองสร้างภาพเก่งกันจังวะ”

เดี๋ยวๆ คนที่เอ็งคุยด้วยก็คนเมืองนะ

ผมถอนหายใจยามแล้วหันไปมองหน้าภาม ลองได้ยินไม้พูดแบบนี้ ท่าทางผู้หญิงตรงหน้าคงไม่ได้ดีเด่อะไร ดังนั้น...

“ภาม...ช่วยหน่อยได้ไหม”

ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ จากคนที่ยืนอยู่ด้านหลัง แต่เขาตอบด้วยการกระทำโดยการก้าวเท้ามาข้างผมแล้วโน้มตัวลงดึงเด็กน้อยคนนั้นออกมาจากอ้อมกอดของหญิงสาวได้อย่างง่ายดาย

ผมมองสบดวงตาฉ่ำน้ำของเธอแล้วยิ้มจาง

“ผมจะดูแลเด็กเองครับ”

นี่มันหมอเจไดผู้รักเด็กนะ อย่ามาแสดงละครใส่เลยจะดีกว่า ผมเจอผู้ปกครองของเด็กๆ มาเป็นร้อยรูปแบบแล้ว มีหรือจะไม่รู้ว่าคนที่เป็นห่วงเด็กจริงๆ เขาแสดงออกกันแบบไหน

ได้แต่หวังว่าผู้มาใหม่ทั้งสามจะไม่เข้ามาทำลายชีวิตอันสงบสุขของผมบนเกาะนี้...

เพราะแค่ภามคนเดียวผมก็จะเป็นบ้าตายอยู่แล้ว


—————————-

 

หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[8]==[P.3]== [20/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 20-06-2018 21:37:29
ไม่รู้จะหวีดอะไรก่อนเลยล่ะค่ะ แรกๆมาซอฟต์มากกกกก น่ารักไปหมดเลย ยิ้มจนแก้มจะแตกแล้วค่ะ แต่ตอนสุดท้ายคุณหมอจะออกโรงแล้ว ตื่นเต้นนน // สู้ๆนะคะคุณชช. รอค้าบ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[8]==[P.3]== [20/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 21-06-2018 01:36:25
ความสงบคงไม่อยู่ใกล้เจไดแล้วล่ะ  :katai3:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[8]==[P.3]== [20/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 21-06-2018 02:56:00
ขำในความขี้เกียจ
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[8]==[P.3]== [20/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 21-06-2018 10:14:45
เจ้าของเกาะนี่ใครกันน้าาาา
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[8]==[P.3]== [20/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 21-06-2018 12:32:25
ทำเป็นเนียนถ่ายรูปเขาอ่ะ น้องภามน่ารัก

หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[8]==[P.3]== [20/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Margarita ที่ 23-06-2018 07:30:25
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[8]==[P.3]== [20/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 24-06-2018 17:30:13
-9-


ผมจัดการทำแผลให้เด็กชายตัวน้อยอย่างดีที่สุดเท่าที่อุปกรณ์เอื้ออำนวย โชคดีที่พวกชาวบ้านมีอุปกรณ์ทำแผลและยารักษาโรคเบื้องต้นอยู่บนเกาะบ้าง อะไรๆ เลยไม่แย่นัก อีกอย่างคือแผลไม่ได้ลึกถึงขนาดที่น่าเป็นห่วง แต่ผมก็ยังกำชับให้พ่อของเด็กดูแลอย่างใกล้ชิดและย้ำไม่ให้เขาเดินในช่วงที่ยังไม่หายดี

“ขอบคุณมากครับหมอ” ชายร่างสูงใหญ่ผิวเข้มหน้าตาคมคายในแบบฉบับคนไทยแท้ส่งยิ้มจางมาให้ ก่อนจะละสายตาไปจับจ้องเด็กชายในอ้อมแขนตัวเองด้วยความเป็นห่วง

“ไม่เป็นไรครับ” ผมเก็บอุปกรณ์ใส่กล่องแล้วขยับถอยหลังเล็กน้อยไปอยู่ข้างภาม

ตอนนี้เรานั่งอยู่ในกระท่อมหลังเล็กซึ่งมีอยู่ห้องเดียวไม่แตกต่างจากกระท่อมที่ผมกับภามสร้างขึ้นมานัก เหตุผลที่สองพ่อลูกได้มาพักอยู่ที่นี่เป็นเพราะกระท่อมของไม้อยู่ใกล้จุดเกิดเหตุมากที่สุด อีกทั้งเขายังอาศัยอยู่เพียงลำพัง แม้เจ้าของบ้านจะไม่เต็มใจแต่ก็ขัดคำสั่งลุงเหมไม่ได้ ตอนนี้คงกำลังหัวร้อนอยู่ข้างนอกเพราะถูกสั่งให้ไปหาข้าวหาน้ำให้แขก

“ผมกับลูกมาเที่ยวกันตามลำพัง...” ชายตรงหน้าที่บอกว่าตัวเองชื่อไฟเริ่มพูดออกมาช้าๆ หลังจากเราเงียบกันไปนาน

ดีเหมือนกัน ไม่ต้องรอให้ถามก็เล่าเองเลย

“แล้วผู้หญิงคนนั้น...” ผมเรียบๆ เคียงๆ ถามโดยพยายามรักษาสีหน้าไม่ให้แสดงออกถึงความอยากรู้อยากเห็นมากเกินไป

“เป็นพี่เลี้ยงของเจ้าลมครับ” คุณไฟอธิบายด้วยน้ำเสียงเข้มขึ้นเล็กน้อย “เธออ้อนวอนแล้วขอตามติดมาด้วย อ้างเหตุผลว่าลมจะร้องไห้ถ้าเธอไม่อยู่ พอเห็นลูกไม่พูดอะไรผมเลยคิดว่าจริง ใครจะคิดว่าพอเจอเหตุการณ์คับขัน อีกฝ่ายจะกล้าแม้กระทั่งผลักผมลงน้ำ”

“คุณไปเจออะไรมากันแน่”

“ผมโดนเรือสองลำขนาบข้างบังคับให้แล่นออกนอกเส้นทาง พอใกล้จะหนีพ้นเครื่องยนต์ดันมีปัญหาจนโดนตามทัน คงเห็นว่าผมใช้เรือส่วนตัวเลยคิดจะมาปล้น มันบอกให้ปลาผลักผมลงน้ำแล้วจะไม่ทำอะไร และเธอก็ทำจริงๆ ทั้งที่เพิ่งเสนอตัวให้ผมแท้ๆ ตอนแรกผมไม่ได้โกรธพราะคิดว่าคงกลัว แต่พอลูกยอมสารภาพกับผมว่าปลาปฏิบัติตัวกับเขายังไง ผมถึงได้เข้าใจนิสัยที่แท้จริงของเธอ...ลมคงกลัวมากเลยไม่ยอมบอกพ่อใช่ไหมลูก” ท้ายประโยคคุณไฟก้มลงพูดกับน้องลมที่กอดเขาไว้แน่นอย่างอ่อนโยน

ดูท่าเขาคงโมโหผู้หญิงชื่อปลาคนนั้นมากพอควร มิน่าเธอถึงได้พยายามเอาหน้าด้วยการทำเหมือนจะปกป้องน้องลมทั้งที่รู้ว่าพวกชาวบ้านตั้งใจเข้ามาช่วย คงกลัวเจ้านายอยู่แถวนั้นแล้วจะมาเห็นเข้าละมั้ง

“ผมเพิ่งทราบว่าแถวนี้มีโจรด้วย” ผมขมวดคิ้วพูดด้วยสีหน้าเคร่งเครียด จากที่ไม้บอกดูเหมือนจุดที่พวกเขาไปเจอเรือของคุณไฟจะไม่ได้อยู่ห่างจากเกาะเท่าไหร่นัก ถ้าพวกมันมาเจอเกาะเข้าแล้วรู้ว่าที่นี่มีแค่พวกชาวบ้าน ถึงตอนนั้นต้องแย่แน่

“ต้องระวังหน่อยนะ ผมเห็นที่นี่มีคนแก่กับเด็กเยอะด้วย” คุณไฟพูดด้วยความเป็นห่วง

“ขอบคุณครับ แล้วนี่คุณจะเอายังไงต่อ เย็นมากแล้วด้วย”

“เมื่อกี้ตอนลุงเหมเข้ามา ท่านบอกให้ผมกับลูกพักอยู่ที่นี่ก่อน มีข่าวว่าฝนจะตกหนักต่อเนื่องหลายวัน ไม่รู้ว่าจะเอาเรือออกไปส่งได้เมื่อไหร่”

ได้ฟังเขาพูดแล้วผมเพิ่งนึกได้ว่านอกจากบ้านของนายแล้วยังมีบ้านลุงเหมอีกหลังที่มีโทรทัศน์เอาไว้ติดตามข่าวสาว โชคดีแล้วที่มี ไม่งั้นถ้าต้องเอาเรือออกไปไกลๆ แล้วฝนตกหนักขึ้นมา ถึงตอนนั้นคงเป็นอันตรายต่อทุกคน เพราะใช่ว่าภูมิปัญญาในการดูฟ้าฝนของชาวบ้านจะใช้ได้เสมอไป

“แล้วลุงบอกหรือเปล่าครับว่าให้คุณอยู่กับใคร” ผมถามแล้วมองน้องลมด้วยความเป็นห่วง เพราะตั้งแต่ทำแผลเสร็จอีกฝ่ายยังไม่ยอมเอาหน้าออกจากอกผู้เป็นพ่อเลย

“เห็นว่าจะให้ผมอยู่ที่บ้านหลังนี้นะครับ ท่านบอกว่ามีแค่ที่นี่ที่ว่าง เพราะบ้านของน้าผู้หญิงที่ชื่อต้อยคงต้องให้ปลาไปอยู่”

“ใครบอกจะให้อยู่ไม่ทราบ...”

เอาว่ะ...เจ้าของบ้านมา

ผมขยับไปชิดภามที่นั่งเงียบเหมือนไร้ตัวตนอีกนิด เพราะคาดว่าในไม่ช้าอาจเกิดศึก เพราะตอนนี้ไม้เดินถือถาดอาหารเข้ามาด้านในแล้ว ร่างโปร่งเหลือบตามองคุณไฟแบบไม่พอใจนิดหน่อย ก่อนจะทรุดตัวลงนั่งแล้วดันถาดไปให้สองพ่อลูก

“กินแล้วไปหาที่นอนที่อื่น”

โอ้โห...ใจร้ายโคตรๆ

“หน้าตาก็ดี ทำไมถึงได้ใจร้ายนัก” คุณพ่อคนเก่งเถียงทันควัน คล้ายในดวงตาปรากฎวี่แววของความถูกอกถูกใจซึ่งปิดไม่มิด ผมมองเห็นเพื่อนตัวขาวผิดวิสัยชาวเกาะทำหน้าตึง ขณะเงยหน้ามองคนพูดด้วยความหัวร้อน

“หุบปากแล้วกินๆ ไปซะ”

ผมกะพริบตาปริบๆ มองภาพตรงหน้าด้วยความอยากรู้อยากเห็น ก่อนจะทนไม่ไหวจนต้องหันไปกระซิบกระซาบกับคนข้างกายเบาๆ

“ระหว่างสองคนนั้นต้องมีอะไรสักอย่างแน่เลย”

“ผมได้ยินคนพูด...” ภามเกริ่นเบาๆ ดวงตาวาววับเมื่อเห็นท่าทางอยากเสือกจนเกินงามของผม แต่นาทีนี้อยากรู้จนไม่สนใจอะไรแล้ว “เพื่อนคุณเป็นคนผายปอดและช่วยชีวิตผู้ชายคนนั้น”

ได้ยินดังนั้นผมเลยร้องอ๋อในใจเบาๆ แต่ก็ยังงงไม่หาย ช่วยชีวิตเขาไว้แล้วทำไมต้องตั้งแง่ไม่ชอบขี้หน้าเสียชัดเจน หรือจะมีอะไรยิ่งกว่านั้นกันนะ แล้วก็อีกเรื่อง...

“ทำไมนายไม่เรียกชื่อใครเลย” เพิ่งรู้ตัวตอนนี้ว่าไม่เคยได้ยินภามเรียกชื่อใครเลยสักคน แม้แต่ชื่อผมผมยังไม่เคยได้ยินเลยด้วยซ้ำ

“ผมจำไม่ได้” เขาตอบง่ายๆ “หรือบางทีก็ไม่คิดจะจำ”

“ฉันอยู่กรณีไหนเนี่ย” ผมพูดติดตลก เกือบจะหัวเราะออกมาแล้วหากไม่ได้ยินคำตอบแสนจริงจัง

“ไม่ใช่ทั้งสองกรณี”

ในขณะที่บรรยากาศแปลกๆ ระหว่างผมกับภามกำลังจะเกิดขึ้น บรรยากาศระหว่างคนอีกคู่ก็ถึงขีดสุดของอารมณ์เข้าพอดิบพอดี เมื่อเพื่อนคนใหม่ของผมประกาศก้องด้วยสีหน้ามืดครึ้ม

“ยังไงกูก็ไม่ให้มึงอยู่ที่นี่เด็ดขาด!”

“เป็นเด็กเป็นเล็ก พูดจากับผู้ใหญ่ดีๆ หน่อย” คุณไฟเตือนด้วยสีหน้ายิ้มแย้มไม่เปลี่ยน ไม่เหมือนคนที่เพิ่งผ่านเหตุการณ์อันตรายมาเลยสักนิด แล้วก็ไม่ได้ดูหัวเสียที่ถูกเด็กพูดจาไม่ดีใส่ด้วย

“ทำไมจะพูดไม่ได้ เป็นพ่อก็ไม่ใช่”

“แต่อาจจะได้เป็นอย่างอื่นนะ”

“มึง!”

“ที่โกรธเพราะฉันจูบนายสินะ”

เดี๋ยวๆ มีจูบด้วยเหรอวะ

“หุบปากเดี๋ยวนี้!” ไม้ชี้หน้าคุณไฟ ใบหน้าบูดบึ้งแดงก่ำ ถ้าไม่เขินมากก็คงโกรธสุดๆ

“คุณ…” แรงสะกิดจากคนด้านข้างทำให้ผมรู้สึกตัว

“อะไรเหรอ”

หนังกำลังสนุกเลย สงสัยทั้งคู่คงลืมไปแล้วว่ามีผมกับภามนั่งหัวโด่อยู่ตรงนี้ด้วย

“เด็กนิ่งเกินไป” คำพูดสั้นๆ แต่แฝงความจริงจังเอาไว้หลายส่วนของภามทำให้ผมเครียดตามไปด้วย เมื่อหันไปมองถึงได้พบว่าน้องลมที่อยู่ในอ้อมกอดของคุณพ่อดูนิ่งผิดปกติจริงๆ

“คุณไฟครับ ส่งน้องมาให้ผมที” ผมหันไปหาคุณไฟแล้วพูดโดยไม่อ้อมค้อม ทำเอาการสนทนาของทั้งคู่หยุดชะงักตามไปด้วย เขาก้มลงมองลูกชายตัวเองแล้วส่งน้องมาให้ผมแต่โดยดี ซึ่งดูเหมือนเจ้าตัวเล็กจะยังไม่ได้หลับไป เพราะเขาสะดุ้งเหมือนหวาดกลัว หากเมื่อหันมาเห็นผมที่ส่งยิ้มให้ก็ยอมโผเข้ามากอดไว้แต่โดยดี

โชคดีที่ตอนทำแผลตีสนิทไว้แล้ว...

“เจ็บแผลอยู่ไหมเด็กดี” ระหว่างที่กำลังสำรวจความปกติของร่างกายเล็กๆ ในอ้อมกอด ผมชวนน้องคุยอย่างเป็นกันเองเพื่อไม่ให้เขากลัว

“ไม่ครับ” น้องตอบสั้นๆ แล้วซุกหน้าเข้าหาอกผม

“น้องไม่สบายครับ ไข้ขึ้น” ผมเงยหน้าบอกคุณไฟที่นั่งหน้าเครียดอยู่ ข้างๆ กันคือไม้ที่มองเด็กตัวเล็กในอ้อมแขนผมอย่างเป็นห่วงเป็นใยไม่แพ้กัน

“ผมจะไปเอาผ้ากับขันน้ำมาให้” เจ้าของบ้านเอ่ยแล้วลุกขึ้นเดินออกไปโดยไม่ต้องรอให้ผมร้องขอ คงต้องบอกว่ายังดีที่เกลียดพ่อเด็กแค่คนเดียว

ผมวางน้องลงบนฟูกนอนของไม้ซึ่งภามเป็นคนหันไปจัดการให้ เด็กชายตัวเล็กทำท่าทางหวาดกลัวเมื่อถูกปล่อยออกจากอ้อมแขน แต่เมื่อคุณไฟขยับไปนั่งลูบหัวอยู่ข้างๆ แล้วเขาก็ยอมสงบและหลับตาลง

“ผมว่าอาการของน้องไม่ใช่ธรรมดาแล้วนะครับ” เมื่อมั่นใจว่าลมหลับไปแล้วผมเลยเงยหน้ามองคุณไฟอย่างตรงไปตรงมา “ผมเจอเด็กมาหลายประเภท และมั่นใจได้ว่าอาการที่ลมเป็นอยู่ไม่ใช่อาการของเด็กมีความสุขทั่วไปแน่ๆ เขากลัวทุกคนที่เข้าใกล้นอกจากคนคุ้นเคย อย่าหาว่ากล่าวหาเพิ่มเลยนะ...แต่ผมคิดว่าคุณพี่เลี้ยงคนนั้นน่าจะทำอะไรนอกเหนือหน้าที่แน่ๆ”

“ผมจะจัดการให้เรียบร้อย”

เมื่อได้ยินแบบนั้นผมเลยพยักหน้าแล้วหันมาสนใจคนที่กำลังหลับแทน อันที่จริงเรื่องภายในครอบครัวของเขาผมไม่อยากจะยุ่งนักอยู่แล้ว แต่อาการของเด็กไม่ใช่เรื่องที่จะละเลยได้ โดยเฉพาะสำหรับหมออย่างผม

โชคดีที่พวกชาวบ้านเคยไปซื้อยาน้ำสำหรับเด็กมาเก็บไว้ตามคำแนะนำของแฟนนาย น้องลมเลยมียาให้กินหลังอาหาร ผมจับน้องเช็ดตัวพร้อมบอกวิธีการดูแลอย่างถูกต้องให้คุณไฟกับไม้รู้ เสร็จแล้วจึงดึงแขนภามให้เดินตามออกมาด้านนอก เหตุผลแรกที่ไม่อยู่ต่อเป็นเพราะผมอยากให้พวกเขาอยู่ด้วยกันตามลำพัง เผื่อไม้โวยวายไล่คนพ่อออกมาด้านนอกผมจะได้ไม่มีส่วนรู้เห็น เหตุผลที่สองคือผมเริ่มหิวแล้ว และเหตุผลสุดท้าย...ผมสงสารคนข้างๆ กลัวเหลือเกินว่าน้ำลายเขาจะบูด

“ไม่มีใครแล้ว” ผมเอาไหล่แซะแขนภามเป็นเชิงแซว “ทีนี้ก็พูดได้แล้วมั้ง”

“ผมไม่รู้จะพูดอะไร”

ผมเข้าใจตั้งแต่แรกแล้วว่าเขาเป็นพวกไม่ชอบพูด ถึงจะพูดมากและกวนตีนจนน่าเตะเวลาเราอยู่ด้วยกันสองคน แต่เมื่อไหร่ที่มีคนอื่นอยู่ด้วยภามจะกลายเป็นหุ่นยนต์ไร้ปากไปในทันที เอาเถอะ...ผมก็ไม่ได้ลำบากอะไรเมื่อต้องทำหน้าที่เป็นปากแทนเขาอยู่แล้ว

เราเดินกันไปเรื่อยๆ จวบจนถึงบ้านน้าต้อย เจ้าตาลวิ่งมาหาผมแล้วบอกว่าเอาข้าวไปวางไว้หน้าบ้านใหม่ให้เรียบร้อยแล้ว หลังจากพูดคุยกับเด็กๆ อีกสองสามประโยคผมเลยขอกลับไปพักผ่อนเพราะเริ่มเหนื่อยจากการเดินทาง ใช้เวลาไม่นานนักผมกับภามก็กลับมาถึงบ้านใหม่ซึ่งจะได้นอนจริงๆ เป็นคืนแรกในที่สุด

สภาพข้าวของซึ่งถูกจัดเรียบร้อยแล้วตั้งแต่ก่อนเราขึ้นเขาทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาหลายส่วน ลองคิดว่าถ้ากลับมาเหนื่อยๆ แล้วต้องจัดของต่อคงหมดเรี่ยวหมดแรงไม่เป็นอันทำอะไร ผมเดินไปคว้าข้าวของเตรียมอาบน้ำ เมื่อสำรวจอะไรต่อมิอะไรเรียบร้อยแล้วถึงเดินออกไปพร้อมอุปกรณ์ในมือ และไม่ต้องสงสัย...เราอาบน้ำพร้อมกันเหมือนเคย

“คุณทำหน้าเหมือนสงสัยอะไร” จู่ๆ ภามก็พูดออกมาแบบไม่มีปี่มีขลุ่ยระหว่างที่กำลังล้างฟองสบู่ออกจากตัว ผมถอนหายใจเพราะรู้ตัวดีว่ากำลังทำหน้าแบบนั้นอยู่จริงๆ

“ฉันสงสัยว่าทำไมตัวเองถึงชินกับอะไรแบบนี้ได้เร็วนัก”

“ดีแล้ว”

ดีก็ดี...

พอได้มาอยู่บ้านที่เป็นบ้านของตัวเองจริงๆ แล้ว ผมอดรู้สึกไม่ได้ว่ามันผ่อนคลายมากกว่าปกติ แม้ตอนอยู่บ้านน้าต้อยเราจะได้อยู่ในห้องส่วนตัวด้วยกัน แต่มันก็ไม่ได้ให้ความรู้สึกแบบนี้ บางทีอาจเป็นเพราะเราไม่ต้องเกรงใจเจ้าของบ้านที่ให้อยู่ฟรีๆ แล้ว

ผมดึงผ้าที่ใช้ขยี้หัวจนแห้งออก ก่อนจะหยิบสร้อยคอที่ใส่ติดตัวจนชินขึ้นมาสวมไว้ตามปกติ มันเป็นความเคยชินที่เวลาอาบน้ำผมมักจะถอดสร้อยวางไว้ด้านนอกเนื่องจากไม่อยากให้มันโดนน้ำมาก เพราะถึงจะไม่รู้วิธีการดูแลที่ถูกต้อง แต่ก็คิดไว้แล้วว่าจะพยายามเก็บรักษาเอาไว้ให้ที่สุดเท่าที่พอจะทำได้

“อ่านว่าอะไรกันแน่” แทบทุกครั้งหลังอาบน้ำและสวมสร้อยเรียบร้อยแล้ว ผมมักจะหยิบแหวนที่ห้อยไว้กับสร้อยขึ้นมามองอยู่เสมอ ความสงสัยที่มีต่อมันคงไม่มีวันจางหายไปหากยังไม่ได้รับคำตอบเสียที ตัวอักษรประหลาดที่ไม่เคยพบเห็น...ขนาดลองขี้โกงโดยการใช้กูเกิลยังไม่รู้เลยว่าหมายถึงอะไร

บางทีผมอาจไม่มีวันรู้คำตอบ...จนกว่าจะได้เจอกับเจ้าของมัน

“ลองส่งเมลไปดีไหมนะ” ไม่สิ...จำได้ว่าเคยส่งไปแล้วครั้งหนึ่ง ตอนนั้นผมเป็นห่วงเรื่องอาการของเขาเลยส่งเมลไปเผื่อจะได้รับคำตอบ อย่างน้อยแค่บอกว่าสบายดีก็พอ แต่รอจนผ่านไปนานนับปีก็ยังไม่ได้อะไรตอบกลับมา ผมเลยคิดว่าบางทีเขาอาจท่องเที่ยวไปทั่วจนลืมรหัสเข้าเมลไปแล้ว

เอาเถอะ...ถ้าเที่ยวไปทั่วจริงๆ สักวันอาจได้เจอกันโดยบังเอิญก็ได้

“คุณทำอะไร” คนที่นั่งเงียบอยู่ด้านหลังจนผมแทบลืมไปแล้วว่ามีตัวตนทักขึ้นด้วยเสียงที่ไม่ดังนัก แต่ทำเอาผมสะดุ้งจนเผลอปล่อยมือออกจากแหวน โชคดีที่คล้องคอไว้แล้วมันเลยไม่หล่นกระทบพื้น

แค่ตอนเจอเขาแล้วแหวนหล่นเป็นครั้งแรกนับจากได้มา ผมก็เงิบมากพออยู่แล้ว กว่าจะมั่นใจว่าไม่มีรอยถลอกต้องนั่งลูบอยู่ตั้งนาน ขืนหล่นอีกรอบแล้วมีรอยขึ้นมาคงใจสลายแน่ ผมขี้หวงมากนะบอกเลย โดยเฉพาะกับของแพงๆ อย่างนี้ด้วยแล้ว

“ใส่สร้อยอยู่” ผมตอบตามตรงแล้วคลานเข้าไปในมุ้ง น่าแปลกที่วันนี้ภามเข้ามารออยู่ด้านในก่อน ปกติกว่าเขาจะเข้ามาต้องนั่งเช็คอะไรในกล้องอยู่ตั้งนานสองนาน

“สร้อยที่คุณทำหล่นบนรถไฟ?”

“ใช่”

“ผมขอดูหน่อยได้ไหม” ภามถามเสียงเรียบ ตาจ้องสร้อยที่ผมใส่ไว้ด้านในเสื้อเขม็ง ตอนแรกก็เกือบถอดออกไปให้ดูแล้วแหละ แต่พอเห็นหน้าตาจดจ่อเหมือนกำลังสงสัยอะไรบางอย่างของเขา ผมเลยเปลี่ยนใจฉีกยิ้มให้แทน

“ไม่ให้”

เพียงเท่านั้นดวงตาว่างเปล่าก็เลื่อนขึ้นมามองหน้าผมในทันที ครู่หนึ่งผมรู้สึกเหมือนเห็นดวงตาของเขาดูดุขึ้น มองไปแล้วคล้ายๆ กับพี่ชายของเจ้าตัวที่ผมเคยได้เจออยู่ไม่กี่ครั้ง รายนั้นชอบทำหน้าดุตลอดเวลาแบบนี้เป๊ะเลย แต่กับภามมันกลับปรากฎขึ้นเพียงแค่วูบเดียวแล้วจางหายไปไม่เหลือร่องรอย พร้อมกับที่เขากระทำในสิ่งที่ผมไม่เคยคาดคิดมาก่อนโดยการ...ล้มตัวลงนอนหันหลังให้

เดี๋ยวๆ คิดว่าจะพุ่งเข้ามาขู่ทำร้ายร่างกายแล้วฉกออกไปดูเองเสียอีก

“อย่าบอกนะว่างอน” ผมถามทั้งหน้าเหวอ ไม่อยากจะเชื่อว่าจะได้รับท่าทีแบบนี้ตอบกลับมา แล้วนั่นอะไร...อะไรคือการขยับตัวหนีออกห่างทั้งที่ยังหันหลังอยู่

เอาจริงดิ...

“อย่าทำตัวเหมือนเด็กน่า” ผมที่นั่งชันเข่าอยู่ใช้เท้าเขี่ยตูดภามเบาๆ แบบไม่เกรงใจ ถือซะว่าสนิทกันแล้วทำอะไรก็ได้ “หันมาเร็ว”

เด็ก...โคตรเด็ก

ให้ตายเหอะ...เป็นหมอเด็กมาตั้งนาน ผมยังไม่เคยโดนเด็กงอนใส่แบบนี้เลยนะ ตอนไว้หนวดมีแต่เด็กกลัว หรือถ้าไม่กลัวก็จะเข้ามาออดอ้อนขอเล่นหนวดดึงหนวดกันสนุกสนาน แต่ไอ้ท่าทีนอนหันหลังงอน เหตุผลเพราะไม่ได้ของที่ต้องการแบบนี้ไม่เคยเจอมาก่อนเลยสักครั้ง

แล้วประเด็นคืออะไรล่ะ....ถ้าไม่ใช่ว่าผมแพ้เด็ก!

“โอเค...ฉันแค่ล้อเล่นน่า” ผมพูดอย่างยอมแพ้ พร้อมทั้งถอดสร้อยมากำไว้ในมือแล้วยื่นไปให้เด็กโข่งตัวเท่ารถถังที่กำลังหมุนตัวหันกลับมาหา ใบหน้าของภามยังคงเหมือนปลาตายไม่เปลี่ยนแปลง หากดวงตาว่างเปล่ากลับวาววับสมใจ

อะ...ไอ้บ้านี่มันแกล้งผม

“คุณนี่เหมือนแมวจริงๆ”

“แมวบ้าอะไร” จากที่เป็นฝ่ายแกล้งกลับกลายเป็นฝ่ายหงุดหงิดเสียเอง เมื่อไอ้บ้าตรงหน้าดันมือผมออกเหมือนไม่อยากดูแหวนแล้ว

“พอเจ้าของไม่สนใจก็เข้ามาคลอเคลีย” เขาพูดหน้าตาเฉยแล้วยื่นมือมาบีบปากที่กำลังจะอ้าด่าของผมไม่ให้พูดต่อ “ขี้อ้อน”

ภาพเหตุการณ์ตอนอยู่บนเขาที่เผลอปล่อยให้อีกฝ่ายเกาคางจนเคลิ้มลอยเข้ามาในหัว คราวนี้ผมอับอายจนหน้าแดงก่ำ ต่อมควบคุมอารมณ์ใกล้ระเบิดเต็มที ขืนยังโดนทำให้ขายหน้ามากไปกว่านี้ ผมต้องโดดกัดคอคนตรงหน้าแน่ๆ

“เงียบไปเลย...แล้วเนี่ยจะดูไม่ดู” ว่าแล้วเขย่ามือเป็นเชิงบอกให้รับไปเสียที ผมเห็นภามยกมุมปากเล็กน้อยเหมือนจะยิ้ม ก่อนเขาจะเลื่อนสายตาไปมองสร้อยที่ผมถือไว้ คงเพราะเผลอทำท่าจะเขวี้ยงใส่คนกวนตีนเมื่อกี้แหวนเลยล่วงออกมาอยู่นอกฝ่ามือ และในวินาทีนั้นเอง...ที่ผมได้เห็นสีหน้าแปลกใจของเขาเป็นครั้งแรก

ภามไม่ได้อ้าปากค้างหรืออะไร แต่เพราะปกติมีสีหน้าเป็นปลาตายไร้อารมณ์ พอเกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อยอย่างการเบิกตาขึ้นแเพียงนิดหน่อยผมเลยสังเกตเห็นได้อย่างชัดเจน

ทำไมต้องตกใจ...

“ไม่เอาไปดูเหรอ” ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยขณะยื่นสร้อยไปให้ใกล้กว่าเดิม แต่ตอนนี้นอกจากจะไม่รับไว้แล้ว เขายังเบือนสายตากลับมาจ้องหน้าผม ดวงตาว่างเปล่าคู่นั้นเปล่งประกายล้อแสงตะเกียงซึ่งเป็นแสงสว่างเพียงหนึ่งเดียวในห้อง ใช้เวลาอยู่นานเกือบนาที กว่าภามจะยื่นมือออกมาดันมือผมกลับ

“ไม่จำเป็นแล้ว”

ไม่จำเป็นอะไร...

แม้ใจนึกอยากถามต่อเพียงใด แต่เมื่อสัมผัสได้ถึงอารมณ์แปลกๆ ที่ซ่อนอยู่ภายใต้ใบหน้าเรียบเฉยนั้น ผมจึงเลือกเงียบปากแล้วล้มตัวลงนอนเงียบๆ

ดวงตาว่างเปล่าที่ดูไม่เหมือนเดิมคู่นั้น...ขืนจ้องนอนกว่านี้ต้องเป็นปัญหาแน่









ตอนแรกที่ได้เข้ามาอยู่ที่เกาะนี้ ผมไม่เคยนึกสงสัยเลยว่าพวกชาวบ้านจะมองคนนอกยังไง คงต้องบอกว่าตัวเองโชคดีจริงๆ ที่ปฏิบัติตัวดี กระทั่งภามที่ไม่ได้มีมนุษยสัมพันธ์ที่ดีนักพวกเขาก็ไม่ได้แสดงท่าทีไม่ชอบอะไร พวกชาวบ้านไม่ได้รังเกียจคนนอก เห็นได้จากตอนแรกที่พวกผมบอกว่าเป็นนักท่องเที่ยวแล้วตื่นเต้นกันยกใหญ่ ขอเพียงแค่ไม่สร้างปัญหาให้ก็พอ

ในขณะเดียวกัน หากผู้เข้ามาพักอาศัยเป็นพวกที่ปฏิบัติตัวไม่ดี พวกชาวบ้านเองก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่พวกเขาจะมองอย่างกดดันและไม่พอใจชัดเจน ถ้าเป็นคนปกติคงรู้สึกรู้สาอะไรบ้าง แต่ผมคงต้องบอกว่าเธอคนนี้ไม่ปกติเป็นอย่างยิ่ง...

“คุณไฟคะ ปลาไม่ได้ตั้งใจจะทำแบบนั้นจริงๆ นะคะ ปลาแค่กลัว...” เสียงอ่อนหวานเรียบร้อยของเธอคงทำให้ใครต่อใครเชื่อถือได้ไม่ยาก หากไม่ใช่ว่าไปเผลอเหวี่ยงเรื่องที่นอนกับน้าต้อยเอาไว้น่ะนะ

ตั้งแต่ผมกับภามเดินมาถึงหาด เราได้ยินเสียงของแม่สาวน้อยคนนั้นพูดจ้อไม่หยุดปาก ส่วนใหญ่หนีไม่พ้นเรื่องที่ทำไว้กับคุณไฟ เธอคงยังไม่รู้ว่าน้องลมเล่าให้เขาฟังหมดแล้วว่าโดนทำอะไรมาบ้าง ขนาดผมที่ไปตรวจอาการน้องตอนเช้ายังตกใจที่ได้ยิน น้องบอกว่าเธอทั้งหยิก ทั้งตี ด่าทอสารพัด พอคุณไฟมาถึงได้เปลี่ยนท่าที

งงใจผู้หญิงคนนี้...ดูละครมากไปไหมเนี่ย

“ไม้!” ผมตะโกนเรียกคนที่กำลังอุ้มน้องลมเหวี่ยงไปเหวี่ยงมา เจ้าตัวหันขวับมามอง พอเห็นว่าเป็นผมเรียกถึงได้ตีหน้าขึงขังเหมือนอยากแสดงออกว่าไม่สนใจน้องแล้วเดินเข้ามาหา ตลกดีเหมือนกัน

“ไงไอ้หมอ” ไม้ว่าแล้วทำท่าจะปล่อยน้องลงพื้น แต่เหมือนจะนึกได้ว่าคนที่กำลังอุ้มเจ็บเท้าอยู่ เขาถึงได้ใช้เท้าลากเก้าอี้มานั่งลงฝั่งตรงข้ามแล้ววางน้องลมไว้บนตักแทน

“ตอนนี้อากาศเย็นๆ เดี๋ยวฝนก็ตกแล้ว ทำไมเอาน้องออกมาล่ะ” ตอนผมไปตรวจเมื่อเช้าถึงน้องจะอาการดีขึ้นแล้วแต่ก็ยังต้องกินยาอยู่ อุตส่าห์ย้ำกับทั้งพ่อและเจ้าของบ้านไว้แล้วแท้ๆ ไม่รู้ทำไมยังพาออกมาอีก

“อย่ามาว่าข้านะ ถ้าไม่ใช่เพราะนังผู้หญิงน่ารำคาญนั่นมาป่วนจนเจ้าเด็กนี่หนีพ่อตัวเองมาตามติดข้าแจ ข้าคงไม่เอามันออกมาทำงานด้วยหรอก” เขาพูดเหมือนจะหัวเสียอยู่หน่อยๆ ขณะที่พยายามดึงลูกลิงออกจากตัว

ผมถอนหายใจแล้วมองไปริมหาด เห็นคุณไฟกำลังยืนคุยกับปลาด้วยสีหน้าน่ากลัว นอกจากนั้นในเวลานี้ท้องฟ้ายังเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเข้มแล้วด้วย ดูท่าอีกไม่นานฝนคงเทลงมายกใหญ่ พวกชาวบ้านพากันเก็บข้าวเก็บของเดินกลับกันแล้ว เหลืออยู่แค่ไม่กี่คนที่ยังนั่งคุยกันอยู่

“น้องลมครับ” ผมสะกิดไหล่เล็กของคนที่กำลังกอดไม้ไว้แน่น แอบรู้สึกแย่ไม่น้อยเมื่อพบว่าน้องเป็นเด็กพูดน้อยเอามากๆ ทั้งยังชอบทำหน้าเศร้าๆ คงเป็นผลพวงมาจากหลายสิ่ง “ยังรู้สึกไม่สบายอยู่ไหมหืม...”

“ไม่เป็นไรแล้วครับ” น้องส่ายหน้าดุ๊กดิ๊ก ก่อนจะขยับดวงตากลมโตมองผมทีมองไม้ที สุดท้ายพอผมยื่นมือไปหา น้องถึงได้ผละออกแล้วโผมากอดผมไว้แทน

“โอย...เมื่อยฉิบหาย” คนโผงผางสะบัดแขนตัวเองไปมา คล้ายจะส่งแววตาขอบอกขอบใจให้ผมอยู่ในที “กูอุ้มมาเป็นชั่วโมง กระดูกจะหักอยู่แล้ว จะปล่อยให้นั่งเองก็ไม่ยอมด้วยนะ”

ผมเผลอขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกเหมือนน้องลมกอดตัวเองไว้แน่นขึ้น อันที่จริงไม้เป็นคนตรงไปตรงมา ที่เขาพูดคงเพราะรู้สึกแบบนั้นจริงๆ อีกฝ่ายยิ่งตัวเล็กอยู่แล้วด้วย ต้องมาอุ้มเด็กอายุเท่านี้นานๆ คงไม่แปลกหากจะเมื่อย แต่ไม่รู้ว่าน้องจะเข้าใจเหมือนที่ผมเข้าใจหรือเปล่า

กันเอาไว้ก่อนดีกว่า...

“ภาม” ผมหันไปด้านหาคนด้านข้างที่ทำตัวเป็นหุ่นเหมือนเคย เขายกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงถาม ก่อนจะพยักหน้าเข้าใจอย่างรวดเร็วเมื่อเห็นผมก้มลงมองน้อง

“มานี่”

เดี๋ยวๆ เรียกแบบนั้นเด็กจะอยากไปหาไหมเล่า

“น้องลม” แผ่นหลังเล็กสั่นสะท้านเล็กน้อย แต่เด็กน้อยเข้าใจง่ายก็ยังยอมแงะตัวเองออกมาแล้วมองไปทางภามแบบหวาดๆ ซึ่งแน่นอนว่าคนหน้าตายอย่างเขาไม่มีทางยิ้มให้เด็กอยู่แล้ว มีเพียงแค่มือสองข้างที่ยื่นออกมารอรับเท่านั้น และแม้น้องลมจะมองอย่างหวาดระแวงนานเพียงใด เขาก็ยังไม่ขยับมือไปไหน

แล้วภามก็ทำให้ผมแปลกใจ...ด้วยคำพูดที่คล้ายจะเข้าและไม่เข้ากับสถานการณ์อยู่ในที

“ไม่เป็นไร”

เพียงแค่ถ้อยคำนั้น เด็กน้อยที่หวาดกลัวคนนอกก็โผเข้าไปหาคนพูดแทบจะทันที ผมได้ยินเสียงสะอื้นดังขึ้นขณะที่น้องซุกหน้าลงกับอกภาม เขาไม่ได้ทำอะไรนอกไปจากกอดแผ่นหลังเล็กไว้ ไม่แม้แต่จะเปลี่ยนสีหน้า เพียงแค่จ้องมองมาที่ผมแล้วพยักหน้าให้เล็กน้อย

“ไม้ มาด้วยกันหน่อย” ผมหันไปพูดกับไม้เมื่อได้สติ ก่อนจะรีบลุกขึ้นยืนเดินนำเขาให้ออกห่างจากจุดที่ภามนั่งกอดน้องลมอยู่

“มีอะไรวะไอ้หมอ” คนด้านหลังเอ่ยรั้งผมไว้เมื่อเราเดินมาอยู่ริมหาด ห่างจากจุดเดิมพอควรแล้ว “มึงจะพูดเรื่องเด็กนั่นหรือเปล่า”

“ใช่”

“ถ้าจะแนะนำอะไรก็เอาไปบอกพ่อมันไม่ดีกว่าหรือวะ มาบอกข้าแล้วได้อะไร” ไม้เกาหัวแกรกๆ ท่าทางหงุดหงิดไม่น้อยเมื่อพูดถึงพ่อน้องลม

“ตอนไปกิินข้าวผมได้ยินน้าต้อยบอกว่าเขาจะอยู่ที่นี่จนกว่าจะมั่นใจว่าพายุฝนสงบไม่ใช่เหรอ ถ้าอย่างนั้นก็ต้องกินเวลาหลายวันแน่ นายต้องอยู่กับน้องลมอีกหลายวัน รับรู้เอาไว้บ้างก็ดีเหมือนกัน”

ไม้ชักสีหน้า บ่งบอกชัดเจนว่าเขาเองก็รู้เรื่องที่คุณไฟต้องอยู่ต่อ แต่ดูท่าคงไม่อยากต้อนรับนัก ถึงได้แสดงท่าทีแบบนี้ออกมา

“นี่เรื่องของน้องลม ไม่ใช่คุณไฟ” ผมรีบย้ำ ไม่อยากให้เขาโมโหจนไม่ยอมฟังต่อ โชคดีที่พอได้ยินชื่อน้องลมแล้วไม้เลยทำสีหน้าอ่อนลงเล็กน้อย ดูก็รู้ว่าคงเอ็นดูเด็กไม่ต่างกัน

“แล้วมีอะไรล่ะ”

“ไม้ก็ได้ยินว่าน้องโดนทำร้ายมา ผมคิดว่าที่น้องไม่ค่อยพูดและพยายามเกาะติดคนอื่นตลอดเป็นเพราะกลัว”

“เพราะแบบนั้นเลยไม่ยอมเข้าหาคนที่ไม่ไว้ใจสินะ”

“ใช่ และที่สำคัญคืออาการแบบนั้นมันน่าเป็นห่วง น้องอาจจะกลายเป็นเด็กเก็บตัวและส่งผลกระทบต่อจิตใจได้ ทางที่ดีอย่าพูดจาอะไรให้น้องรู้สึกแย่ดีกว่า ฉันรู้ว่านายแค่พูดแบบตรงไปตรงมาไม่คิดร้าย แต่เด็กเขาไม่ได้เข้าใจด้วยเสมอไปหรอกนะ”

อาการของน้องลมไม่ใช่เพียงแค่อาการขั้นต้น แต่ก็ยังไม่ได้ถึงขั้นหนักหนา หากปล่อยไว้นานกว่านี้ผมแน่ใจว่าน้องต้องมีปัญหาเกี่ยวกับจิตใจแน่นอน ถึงเวลานั้นคนที่รู้สึกผิดคงเป็นทุกคนที่อยู่รอบข้างเขา ไม่เว้นแม้แต่ตัวไม้เอง

“มันแย่ขนาดนั้นเลยเหรอ” คนฟังหน้าซีด ปากเม้มจนเป็นเส้นตรง แต่ผมกลับยิ้มเมื่อเห็นท่าทีของเขา ลองแบบนี้แสดงว่าคงเป็นห่วงน้องมากจริงๆ

“อย่าเพิ่งเครียดเลย แค่พูดกับน้องดีๆ พยายามอย่าให้กลัวหรือพูดอะไรกระทบจิตใจเขาก็พอ”

“เข้าใจแล้ว” ไม้พยักหน้าหงึกหงัก

เราพากันเดินกลับไปหาภามที่อุ้มน้องลมอยู่ เขากะพริบตาปริบๆ ใบหน้าไม่แสดงอารมณ์ แต่คิ้วกลับขมวดเล็กน้อยยามมองมาที่ผม

อะไร...มองแบบนั้นคืออะไร

“โทษทีๆ ข้าลืมไปว่าไม่ควรแตะตัวเมียเอ็ง” ไม้รีบยกมือที่แตะไหล่ผมอยู่ออกแล้วยิ้มแห้ง ซึ่งภามก็ไม่ได้ปฏิเสธอะไร ในทางกลับกัน...เขาพยักหน้า ดูพออกพอใจจนยอมคลายคิ้วที่ขมวดออก

“ดี”

เดี๋ยวๆ ดีอะไรของมึง!


—————————-


TALK : ความสงบสุขยังคงอยู่ค่ะ ปรบมือต้อนรับตัวประกอบ ในส่วนของคุณไฟน้อมลมกับไม้ที่ชื่อคล้องกันนั้น คาดว่าจะเป็นคู่ที่จะเขียนเป็นตอนสองตอนจบในภายหลังค่า
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 24-06-2018 17:55:56
โอยยยยยย เขินจนหน้าจะไหม้เลยค่ะ คู่ใหม่ก็ดีงาม คู่น้องภามก็เริ่ดไม่หยุด เขินๆๆๆๆ รอนะคะ สู้ๆค่าา :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: loveview ที่ 24-06-2018 17:57:54
เมีย?!!!
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 24-06-2018 18:48:43
นี่กำลังงงว่า ไม้คือใคร อ่อคนที่ช่วยคุณไฟนี่เอง ไม้นายจะมาเป็นคู่ใหม่ของเรื่องนี้ โอ้ยยยยดีใจ อิอิอิอิ 


ภามเป็นคนให้สร้อยคอหมอเจไดแน่ๆ 
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: aeecd ที่ 24-06-2018 19:14:29
โอ้วววว คู่ใหม่ๆ :hao7:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 24-06-2018 22:48:42
ใจก็ยังอยากอ่านภาม กับ หมอเจได แล้วทำไม ไม้กับคุณไฟก็น่าสนใจไม่น้อย
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 25-06-2018 00:44:23
ครอบครัวใหม่ที่กำลังจะเริ่ม ไฟ ไม้ ลม เข้ากันดีแท้หนอ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Margarita ที่ 26-06-2018 08:34:54
 :L1:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 26-06-2018 14:20:23
55555555555555

ดี


หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: aommyga40 ที่ 26-06-2018 14:25:47
 :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: aommyga40 ที่ 29-06-2018 18:18:06
 :mew1:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 10-08-2018 11:54:54
-10-


วันนี้นับเป็นวันที่สองแล้วตั้งแต่ที่ฝนตกลงมาจนทุกคนต้องหลบอยู่ในบ้านของตัวเอง คงยกเว้นแค่ผมกับภามที่ดันมาติดอยู่ที่กระท่อมของไม้ หลังจากเราพากันมาดูอาการน้องลมตอนเช้า ไม่ใช่สิ...นอกจากผมกับภาม ยังมีหญิงสาวไม่ได้รับเชิญอีกคนอยู่ที่นี่ด้วย คุณไฟบอกผมว่าถ้าร้ายใส่ตั้งแต่ตอนนี้ เห็นทีปลาคงหนีไปก่อน ดังนั้นอีกฝ่ายเลยแกล้งให้อภัย ทำเพียงกีดกันไม่ให้ปลาเข้าใกล้น้องลม แต่เมื่อไหร่ที่เข้าเกาะ เขาบอกผมว่าปลาต้องเจอดีแน่นอน

เอาเถอะ เรื่องในครอบครัวผมไม่อยากยุ่ง

“คุณ...ทานไหมคะ”

แต่เรื่องนี้เนี่ย...

หากใครมาได้ยินเข้าคงคิดว่าปลากำลังเอาอกเอาใจคุณไฟเต็มที่ แต่ถ้าได้มานั่งอยู่กับผมตอนนี้ ทุกคนจะต้องกลอกตาแรงๆ เหมือนกันชัวร์ เพราะคนที่ปลากำลังยิ้มหวานและพยายามดันขนมให้กินไม่ใช่คุณไฟซึ่งกำลังอุ้มน้องลมอยู่...แต่เป็นภามต่างหาก

“เอาจริงดิ” ผมพึมพำแล้วยกมือตบหน้าผากตัวเองแบบหน่ายๆ จะว่าขำมันก็ขำ แต่สงสารมากกว่า

ไม่ได้สงสารภามนะ...สงสารปลา

เจ้าของใบหน้าปลาตายไม่แม้แต่จะเหลือบตาไปมองคนที่พูดด้วย เขาเอาแต่มองไปทางหน้าต่างซึ่งถูกปิดสนิท ไม่ได้เปิดอ้าเหมือนปกติ ผมไม่รู้ว่าภามกำลังคิดอะไรอยู่ แต่ดูเหมือนเขาจะอยากอยู่เงียบๆ คนเดียวมากกว่าหันมาพูดคุยกับคนอื่น ถึงอย่างนั้นแววตาว่างเปล่าที่ดูประหลาดไปกลับทำให้ผมยิ้มไม่ออก

“ภาม” ไม่รู้อะไรดลใจให้ผมเอื้อมมือไปแตะฝ่ามือเย็นเฉียบของเขา คราวนี้ภามไม่ได้เมินเหมือนตอนทำกับปลา แต่เขาหันหน้ากลับมาหาผมช้าๆ สีหน้าและแววตาเปลี่ยนกลับไปเป็นเหมือนเดิมแล้ว หากสิ่งที่เปลี่ยนไปคือฝ่ามือที่พลิกหงายขึ้นเพื่อจับมือผมกลับ

“ไม่เป็นไร”

ไม่เชื่อ...

“อะแฮ่ม!” เสียงกระแอมจากคนที่ตอนแรกนอนหลับตาอยู่บนฟูกทำให้ผมรู้สึกตัวและดึงมือที่ถูกจับกุมไว้เมื่อครู่ออกมาทันควัน ไม้ยกมือเหมือนจะขอโทษทั้งที่ปากกำลังยิ้ม “โทษๆ ไม่ได้อยากขัดนะ แต่แม่นั่นมองพวกเอ็งตาจะถลนอยู่แล้ว”

ผมหันไปมองปลาแล้วแทบจะหลุดหัวเราะออกมา เพราะตอนนี้เธอเบิกตากว้างจนแทบถลนออกมาตามที่ไม้พูดจริงๆ แต่เมื่อรู้ตัวว่าถูกมองก็รีบเก็บอาการแล้วทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น

ไม่ทันแล้วแม่คุณ...

จะว่าไปก็น่าสนุกอยู่นะ ดูแววตาไม่ยอมแพ้ของเธอสิ

“ฉันง่วง” ผมหันไปทำตาปรือใส่หน้าภามแบบจงใจ ขณะที่สายตาสอดส่องเหมือนพยายามมองหาที่นอน ติดอยู่ตรงที่ตอนนี้บนฟูกมีคุณไฟกับน้องลมนั่งอยู่ ทั้งยังมีไม้นอนเอนกายอยู่ก่อนแล้ว แน่นอนว่ามันย่อมไม่เหลือที่ตรงไหนของฟูกให้นอนได้อีก...ซึ่งผมก็รู้อยู่แล้วแหละ

ฝ่ามือใหญ่ของคนไม่ชอบพูดมากยื่นเข้ามาหา ก่อนเขาจะออกแรงไม่มากนักเพื่อดันหัวผมให้นอนลงบนตักตัวเอง ผมแอบขำเมื่อเห็นปลาทำหน้าตกอกตกใจหนักกว่าเดิม รู้สึกสบายใจขึ้นมากจนเผลอขยับตัวขยุกขยิกเพื่อจัดท่า เมื่อสบายตัวแล้วก็เริ่มง่วง จากที่คิดว่าจะแกล้งคน กลับกลายเป็นง่วงจริงๆ ตามที่พูดเสียอย่างนั้น

ยิ่งถูกลูบหัวแบบนี้...เป็นใครจะทนไหวกัน

“ไหนบอกว่าไม่ให้นอนเกินแปดชั่วโมงไง” ผมชวนภามคุยโดยไม่สนใจปลาอีก ตอนนี้รู้สึกหนักที่หนังตาทั้งสองข้างจนแทบไม่ได้ยินเสียงคุณไฟที่กำลังคุยกับไม้อยู่ด้วยซ้ำ ลองเป็นแบบนี้อีกไม่นานต้องหลับแน่

“ผมเปลี่ยนใจแล้ว”

สัมผัสของฝ่ามือที่ลูบหัวจางหายไปช้าๆ ก่อนจะกลายเป็นความรู้สึกจั๊กจี้ที่คางแทน ผมส่งเสียงอืออาเมื่อโดนกวน แต่ก็นั่นแหละ...ไปๆ มาๆ กลายเป็นรู้สึกสบายจนต้องเอียงหน้าเข้าหาอีกแล้ว

ในช่วงเวลาที่กำลังจะเข้าสู่โลกแห่งความฝัน ผมรู้สึกเหมือนได้ยินเสียงแหลมสูงของใครสักคนพูดอะไรบางอย่าง แล้วก็มีคนตะคอกกลับด้วยเสียงดังไม่แพ้กัน มันน่ารำคาญมากเสียจนต้องย่นคิิ้วด้วยความไม่พอใจ

“เงียบ” เสียงออกคำสั่งสั้นๆ ซึ่งเป็นเพียงเสียงเดียวที่ผมจับใจความได้ดังขึ้น พร้อมๆ กับที่เสียงงุ้งงิ้งน่ารำคาญหยุดชะงักลง แล้วหลังจากนั้นก็ไม่มีเสียงใดดังรบกวนการนอนของผมอีกเลย

ฝนตกแล้วสบายจังเลยนะ...ชักชอบฤดูฝนแล้วสิ










วันนี้ฝนไม่ได้ตกนานเท่าเมื่อวานที่กินเวลาตั้งแต่เช้ายันเย็น ถึงอย่างนั้นท้องฟ้าก็ยังมืดครึ้มไม่มีทีท่าว่าแดดจะออกเลยแม้แต่น้อย ผมออกมาเดินเล่นด้านนอกเมื่อตื่นขึ้นมาแล้วพบว่าฝนหยุดตกพอดี แน่นอนว่าภามตามติดมาด้วยเหมือนเป็นเงาตามตัว แต่เห็นแก่ที่เขาสละตักให้นอนอยู่นานสองนาน ผมเลยคิดว่าจะหยุดกวนตีนและหยุดหาเรื่องก่อนสักวันสองวัน

“ถ่ายอะไรน่ะ” ผมเดินไปนั่งยองๆ ข้างช่างภาพติดกล้องซึ่งกำลังจับจ้องไปที่ผืนทรายและชะงักค้างอยู่อย่างนั้นนานนับนาทีโดยไม่ยอมหันมาตอบ จนกระทั่งลูกปูตัวเล็กๆ ผุดขึ้นมาจากกองทราย เสียงกดชัตเตอร์ถึงได้ดังขึ้นพร้อมกับคำตอบ

“ปู”

“แล้วนาย..."

“ทำอะไรเหรอคะ”

ลืมไปเลยว่ามีตัวแถม...

ผมถอนหายใจเหนื่อยหน่ายขณะชันตัวลุกขึ้นยืน แม่นางคนนี้ไม่ยอมแพ้เลยจริงๆ ถึงขนาดทิ้งโอกาสออดอ้อนเจ้านายให้หายโกรธเพื่อมาเดินตามผู้ชายคนอื่น ไม่รู้ว่าท่าทีที่ผมแสดงกับภามในกระท่อมไม่ช่วยให้เธอคิดได้บ้างเลยหรือไง

เอาเถอะ...แล้วแต่เลย

คิดได้แบบนั้นผมเลยตั้งท่าจะเดินไปที่อื่น หากข้อมือกลับถูกรั้งไว้โดยคนด้านหลังซึ่งหยุดถ่ายปูแล้วลุกขึ้นตามมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

“จะไปไหน”

“อา…” ผมพูดอะไรไม่ออกเมื่อรู้สึกคันยุบยิบที่ใจ ได้แต่บอกตัวเองว่าถ้าเป็นผู้หญิงคนอื่นมาทำแบบปลาผมคงไม่รู้สึกรำคาญและหงุดหงิดมากเท่านี้ แต่เพราะเป็นปลาซึ่งทำตัวไม่ดีกับเด็กน้อยตัวเล็กๆ ผมถึงได้อยากจะเหวี่ยงเธอออกไปให้ห่าง

นั่นแหละ...ต้องเป็นแบบนั้นแน่ๆ ไม่อย่างนั้นผมคงไม่ขมวดคิ้วจนหน้าย่นยามเห็นมือข้างหนึ่งของเธอกำลังจะแตะแขนภาม และคงไม่เผลอดึงแขนอีกฝ่ายให้ขยับเข้ามาหาตัวเองเพื่อไม่ให้มือเล็กๆ ของเธอโดนตัวเขา

ผมรักเด็ก เพราะรักเด็กถึงได้เกลียดคนที่ทำร้ายเด็กสุดๆ ใช่...นั่นแหละเหตุผล

“คุณปลามีอะไรหรือเปล่าครับ” เมื่อตอบคำถามในใจตัวเองได้แล้ว ผมเลยเดินไปยืนอยู่หน้าปลา บังภามเอาไว้ด้านหลัง ไม่ว่าอย่างไรก็คงจะยอมให้เธอมายุ่งกับเพื่อนร่วมเดินทางของผมไม่ได้

“เอ่อ...ปลาก็แค่อยากคุยด้วยน่ะค่ะ” เธอยิ้มหวาน แต่คนช่างสังเกตอย่างผมมีหรือจะมองไม่เห็นความไม่พอใจที่เผลอแสดงออกมาอยู่ครู่หนึ่ง ก็นะ...ใครๆ ก็ชอบคนหน้าตาดี ถ้าผมไม่ได้ดูเหมือนเต้าหู้นุ่มนิ่มขี้โรคขนาดนี้เธอต้องมีลังเลบ้างละ เพราะความหล่อของเราสูสีกัน

“อา...แต่ผมว่าคุณปลากลับไปพักดีกว่านะครับ เดี๋ยวจะไม่สบาย”

“แล้วคุณไม่กลัวตัวเองไม่สบายเหรอคะ”

“กลัวสิครับ แต่ผมไม่อยากปล่อยให้ภามเดินถ่ายรูปคนเดียว” ผมยิ้มอย่างนึกสนุกแล้วเกาะแขนอุ่นๆ ที่อยากเอากลับไปซุกนอนไว้ เพียงเท่านั้นคุณเธอก็กัดฟันกรอดในทันที หากยามหันไปมองภามกลับเปลี่ยนสีหน้าได้ไวยิ่งกว่ากิ้งก่าเปลี่ยนสี

“คุณชอบถ่ายรูปเหรอคะ ยังไงรบกวนถ่ายให้ปลาทีได้ไหมคะ”

พลาดแล้ว...

“พูดเลย” ผมแซะไหล่ภามแล้วกระซิบบอกเขาเบาๆ ไม่ลืมพยักหน้าสำทับอีกทีเมื่อเห็นอีกฝ่ายก้มลงมองเป็นเชิงถามว่าแน่ใจเหรอ

“คุณ...”

“ไม่”

สั้น ง่าย ได้ใจความ

คิดอยู่แล้วว่าเขาต้องตอบอะไรกลับไปแบบเจ็บแสบ แต่เพิ่งรู้วันนี้เองว่าคำว่า ‘ไม่’ คำเดียวมันมีพลังทำลายล้างมากขนาดไหน ดูหน้าปลาเหวอไปเลย เอาเข้าจริงผมคิดว่าปลายังเด็กอยู่เลยนะ อายุน่าจะพ้นวัยมหา’ลัยมาไม่นาน คุณไฟบอกว่าเธอเป็นหลานสาวของคนงานในบ้าน เห็นว่าเรียนเกี่ยวกับเด็กมาโดยตรง มีใบประกอบวิชาชีพพร้อม เขาถึงไว้ใจยอมให้ดูแลน้องลม

ไม่คิดว่าจะกล้าทำร้ายเด็ก แถมยังจ้องจะจับพ่อเด็ก หนักสุดคือคิดจะเปลี่ยนใจมาจับคนข้างกายผมแทนเนี่ยแหละ

“ไปกันเถอะ” ผมหัวเราะเบาๆ แล้วดึงแขนภามให้เดินออกมาจากตรงนั้น ปลาคงอับอายมากอยู่เหมือนกันถึงได้หมุนตัวรีบเดินจากไป ไม่ตามมาเกาะแกะพวกเราอีก

บรรยากาศเย็นๆ จากฝนที่เพิ่งตก ทั้งยังมีลมทะเลสำทับทำให้ผมรู้สึกอารมณ์ดีมากเป็นพิเศษ แม้จะหนาวอยู่บ้าง แต่ก็ยังชอบมากกว่าอากาศร้อนๆ เวลาเหนียวหรือรู้สึกไม่สบายตัวผมจะหงุดหงิดง่ายเป็นพิเศษ จำได้ว่าตอนทำงานที่โรงพยาบาลแรกๆ เคยถอดกาวน์ ถือกระเป๋าสตางค์เดินออกไปนอกโรงพยาบาลเพื่อหาอะไรกินท่ามกลางอากาศร้อนๆ ในเวลาเที่ยงตรงของวันจันทร์ แค่แดดก็จะเป็นลมตายอยู่แล้ว มาเจอฝูงชนเบียดเสียดซ้ำเข้าอีก วันนั้นผมยอมเดินกลับโดยไม่ได้ซื้ออะไรไปเลยแม้แต่อย่างเดียว

“คิดอะไรอยู่” เสียงทักราบเรียบทำให้หลุดออกจากภวังค์ได้อย่างง่ายดายเหมือนเช่นทุกครั้ง ผมอดขมวดคิ้วไม่ได้เมื่อรู้สึกเหมือนตัวเองจะแคร์ภามมากเกินไปหน่อย จะเมินยังไม่เคยเลยสักครั้ง

“นึกถึงอากาศในเมือง” ถึงอย่างนั้นก็ยังเลือกตอบไปตามตรงอยู่ดี

“ยิ้มหน่อย”

ปากฉีกยิ้มตามคำบอกโดยอัตโนมัติ รู้ตัวอีกทีก็ถูกกล้องส่องหน้าแล้วกดชัตเตอร์ไปแล้ว

แชะ!

“หันข้าง ไม่ต้องมองกล้อง”

หมุนตัวตามโดยไม่ถามอะไร

แชะ!

เนี่ย...ก็เป็นซะอย่างนี้

ก่นด่าตัวเองในใจเรียบร้อยแล้วถึงได้สติกลับมา ผมเดินเข้าไปทำหน้าตึงใส่กล้อง หน้ายื่นเข้าไปจนชิดเลนส์ซึ่งเจ้าของถือแนบใบหน้าตัวเองอยู่ ก่อนจะทำตาโตๆ ใส่ ไม่คาดคิดว่าจะ...

แชะ!

“ต้องขอบคุณไหมที่ไม่เปิดแฟลช” ผมถามทั้งที่ยังรักษาสีหน้าให้ดูไม่พอใจอยู่

“ทำหน้าอะไร...ผมระวังอยู่แล้ว ไม่ทำคุณตาบอดหรอก” ว่าแล้วก็ใช้มือใหญ่ๆ ของตัวเองยื่นมาลูบหัวผมเหมือนจะปลอบทั้งที่หน้ายังเป็นปลาตายไม่เปลี่ยนแปลง โคตรของความไม่เข้ากันสุดๆ

“ไม่ต้องมาหลอกเล่นหัวเลย”

“ไม่ได้หลอก ขนคุณนุ่ม”

“เดี๋ยวนะ...ขน?”

แน่นอนว่าผมเป็นผู้ชายทั่วไปที่มีขนเป็นปกติ อาจจะบางจนถูกเพื่อนบอกว่าเป็นผิวจิ้งจกบ่อยๆ แต่ก็ไม่ได้ประหลาดถึงขั้นมีขนใดๆ ขึ้นอยู่บนหัวเหมือนที่ถูกกล่าวหา หากสัมผัสที่กำลังลูบหัวกันอยู่ไม่เลิกนั้นกลับบ่งบอกได้ชัดเจนว่าเขาหมายถึงอะไร

ผม = ขน

ดูเหมือนจะถูกมองเป็นสัตว์ไปแล้ว...

“เหมือนแมว” ภามยังคงพูดออกมาอย่างต่อเนื่องโดยไม่สนใจสีหน้าของคนโดนกระทำอย่างผมเลยแม้แต่น้อย

ถึงจะเผลอให้เกาคางไปสองที แอบเอาหน้าถูมือไปสองที หรือแม้แต่ยอมให้ลูบหัวอยู่อย่างตอนนี้สอง...สองหรือสามทีนี่ละ แต่ผมก็ยังเป็นคนอยู่เถอะ ไม่ใช่แมว

“เอามือออกไปเลย” เมื่อตั้งสติได้แล้วผมเลยปัดมือภามออกเบาๆ ยังคงไม่กล้าลงแรงเยอะเพราะกลัวโดนเอาคืน

หลังจากรู้จักกันมาสักพัก ผมคิดว่าเขาน่าจะเป็นพวกไม่ยอมคน และจะไม่ยอมแบบกระทำออกมาให้เห็น เป็นประเภทพูดน้อยต่อยหนัก เพราะงั้นเวลาจะทำอะไรคงต้องคิดดีๆ ขืนทำให้เจ็บคงมีแต่โดนเอาคืน ไม่ว่าจะด้วยวิธีไหนก็ไม่น่าลองทั้งนั้น ยิ่งเป็นผมด้วยแล้ว ไม่รู้ทำถึงคิดว่าเจ้าบ้านี่ต้องเอาคืนเป็นสองเท่า

“ไปนั่งเล่นกันไหม”

“นั่งเล่น?” ผมหันไปมองคนพูดด้วยความแปลกใจ ไม่คิดว่าภามจะชวนไปทำอะไรแบบนั้นมาก่อน อีกอย่าง... “อากาศแบบนี้เนี่ยนะ”

ถึงฝนจะหยุดตกไปแล้ว แต่ท้องฟ้าก็ยังขมุกขมัวไม่มีทีท่าว่าจะสว่างขึ้น ขืนเดินไปไกลๆ แล้วฝนตกขึ้นมาคงเปียกแบบไม่ต้องสงสัย และสิ่งที่น่าเป็นห่วงมากที่สุดก็คือกล้องราคาแพงที่เขาคล้องคออยู่

“คุณชอบอากาศแบบนี้ไม่ใช่เหรอ”

“รู้…” ได้ยังไง

เกือบกลืนประโยคที่อยากถามลงไปไม่ทันแล้วไง หากพูดออกไปแล้วได้รับคำตอบที่ไม่คาดคิดตอกกลับมา คงมีแค่ผมคนเดียวที่ทำตัวไม่ถูก ช่วงนี้เขาชอบแสดงท่าทีแปลกๆ อยู่ด้วย

“มาเถอะ” ภามดันหลังผมให้เดินตามไปข้างหน้า เราออกห่างจากบริเวณที่อยู่อาศัยของพวกชาวบ้านมากขึ้นเรื่อยๆ จนสุดท้ายเขาก็หยุดเท้าลงเมื่อมองกลับไปแล้วพบเพียงรอยเท้าสองคู่ที่เดินเคียงข้างกันมาเป็นทางยาว

ด้านหน้าคือท้องฟ้ามืดครึ้มตัดกับขอบทะเลไกลสุดสายตา ด้านหลังคือป่าไม้แน่นขนัดจนมองแทบไม่เห็นอะไรด้านใน ทว่าจุดที่ช่างภาพข้างกายผมเลือกนั่งลง กลับเป็นบริเวณหาดทรายขาวซึ่งมีคลื่นน้ำทะเลพัดมากระทบ จากที่คิดว่าจะโดนฝนจนเปียกคงไม่ต้องกังวลแล้ว เพราะเขาเล่นนั่งนิ่งปล่อยให้น้ำทะเลไหลมาหาจนกางเกงเปียกชุ่มไปทั้งตัวอย่างจงใจ

“ทำไมนั่งตรงนี้” ผมขมวดคิ้วไม่เข้าใจ ขยับถอยไปด้านหลังเล็กน้อยแล้วค่อยนั่งลงเพื่อไม่ให้เปียกไปด้วย

“มานี่สิ” ภามหันมาเรียก แต่เมื่อเห็นผมไม่ขยับ เขาเลยถอนหายใจ ก่อนจะถอยหลังมาอยู่ข้างกัน “รู้ไหมทำไมคนชอบมาทะเล”

“ก็ต้องเพราะอยากเล่นน้ำทะเลสิ” ถามอะไรแปลกๆ

“คิดตื้น” เขาว่าแล้วผลักหัวผมเบาๆ เกลียดตัวเองจริงๆ ที่ไม่ได้รู้สึกแย่เวลาถูกเล่นหัว

“แล้วเพราะอะไร”

“ไม่รู้เหมือนกัน”

“…” ขนาดคิดคำด่าในใจยังคิดไม่ออกเลย ให้ตายเถอะ

“แต่สำหรับผม เวลาที่ร่างกายได้สัมผัสธรรมชาติกับอากาศบริสุทธิ์ มันทำให้ลืมเรื่องราวร้ายๆ ไปได้ชั่วขณะ” ดวงตาที่จับจ้องไปยังท้องฟ้ามืดครึ้มยังคงว่างเปล่าดั่งเช่นทุกครั้ง มันไม่ได้สะท้อนภาพของสิ่งใดอยู่ในนั้นเลยนอกจากความเงียบสงบ

ผมหงุดหงิด...ที่ตัวเองยังคงรู้สึกราวกับถูกดูดเข้าไปในดวงตาคู่นั้นอยู่เหมือนเดิมไม่ต่างจากครั้งแรกที่เราเจอกัน และหงุดหงิด...ที่จู่ๆ ก็ขยับกายไปด้านหน้า ปล่อยให้ร่างกายได้สัมผัสกับน้ำทะเลทั้งที่ไม่อยากเปียก แค่เพียงเพราะได้ฟังคำพูดประโยคหนึ่ง

“เย็น” จากที่ว่าจะทำเท่ กลับต้องพูดออกมาด้วยความตกใจเมื่อได้สัมผัสน้ำทะเลเย็นเฉียบผิดคาดไปไกล

“หึ”

หัวเราะแบบนี้คือรู้อยู่แล้วแน่ๆ

“มานี่เลย” ผมหันไปดึงแขนคนด้านหลังให้ขยับมานั่งข้างกัน ลำพังเรี่ยวแรงของตัวเองคงไม่สามารถเคลื่อนรูปปั้นอย่างภามได้ ดีที่เจ้าตัวยอมขยับมาหาอย่างว่าง่ายโดยไม่คิดขัด รอบกายเรามีเพียงความเงียบเมื่อไม่มีใครพูดอะไรออกมา เพียงปล่อยให้กายท่อนล่างโดนน้ำทะเลอยู่แบบนั้น

ผมหลับตาลงเพื่อซึมซับบรรยากาศดีๆ อดคิดตามคำพูดที่เขาบอกไม่ได้

เวลาร่างกายได้สัมผัสธรรมชาติกับอากาศบริสุทธิ์ มันทำให้ลืมเรื่องราวร้ายๆ ไปได้ชั่วขณะ

คงจะจริง...

ผมเคยถามตัวเองว่า ถ้าเกิดไม่ได้เป็นหมอตามที่คิดฝันไว้ในวัยเด็ก ไม่ได้เป็นนายแพทย์อนาคินอย่างที่เป็นทุกวันนี้ ชีวิตของผมจะเป็นอย่างไร คนที่กลัวความเจ็บปวดจนไม่อยากเล่นกีฬา ใช้เวลาสองปีเพื่อคิดว่าจะลองเสี่ยงเข้าฟิตเนสไปเล่นกล้ามดีไหม หากไม่ใช่หมอแล้วจะอยากทำอะไร

คำตอบคือว่างเปล่า...คิดอะไรไม่ออกแม้แต่อย่างเดียว

“ภาม ตอนเด็กๆ นายเคยฝันอยากเป็นอะไรไหม” ความคิดไม่ตกถูกกลั่นกรองออกมาเป็นคำถาม ไม่รู้เหมือนกันว่าตัวเองคาดหวังจะได้รับคำตอบแบบไหน แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนคนอายุน้อยกว่าข้างกายน่าจะรู้อะไรมากกว่าที่คิด เผลอๆ อาจจะรู้มากกว่าผมเสียอีก

“ผมจำไม่ได้”

ถอนคำพูด...ขอถอนคำพูด

“เอ่อ...งั้นถ้าโตขึ้นมาหน่อยล่ะ” อยากจะยกมือปาดเหงื่อเหลือเกิน ถ้าไม่ติดว่าอากาศมันเย็นจนไม่มีเหงื่อไหลออกมาสักหยดละก็นะ

“อยากเป็นนักเดินทางมั้ง” ภามตอบเสียงเรียบ

“นายเรียนจบอะไรมา” ผมถามคำถามที่ติดค้างอยู่ในใจมาโดยตลอด มีโอกาสถามหลายครั้งแล้วลืมทุกที มานึกออกก็ตอนนี้

“ภาษาไทยเรียกว่า...นิเทศ”

“ไม่แปลกใจเลย”

“แล้วคุณล่ะ”

“ฉันก็เรียนหมอไง...” จากที่คิดว่าจะตอบแค่นั้น ไม่รู้เพราะอะไรยามหันไปสบตาเขาผมถึงได้พูดต่อ “ฉันอยากเป็นหมอมาตั้งแต่เด็ก เป็นเป้าหมายและความฝันเพียงอย่างเดียวมาโดยตลอด ยังคิดอยู่เลยว่าถ้าไม่ได้เป็นหมอแล้วจะเป็นอะไร”

ฝ่ามืออุ่นร้อนที่วางทับลงมาไหล่ ให้ความรู้สึกเหมือนกำลังถูกปลอบโดยไร้คำพูด ทั้งที่สิ่งที่พูดไปไม่มีอะไรบ่งบอกว่าผมกำลังเสียใจหรือกังวลอยู่เลยสักนิด เจไดคนนี้ควบคุมสีหน้าและน้ำเสียงได้ดีมาตลอด แม้จะหลุดไปบ้างตอนอยู่กับภาม แต่ผมก็มั่นใจว่ายังไม่เคยแสดงความรู้สึกอะไรน่าเป็นห่วงให้เขาเห็น

แล้วทำไม...ทำไมถึงได้ทำเหมือนรู้ทันไปหมด ตั้งแต่ที่เจอกันบนรถไฟจนถึงตอนนี้

“มันไม่ได้สำคัญที่ถ้าไม่ใช่หมอแล้วจะเป็นอะไร คุณควรคิดว่าต้องทำยังไงถึงจะมีเป้าหมายต่อมากกว่า” เสียงพูดด้วยความเข้าอกเข้าใจปนหงุดหงิดหน่อยๆ ทำเอาผมเหวอไปชั่วขณะ “บอกแล้วใช่ไหมว่าต้องหาวิธีแก้ไขความรู้สึกที่เป็นอยู่ มันคือเรื่องเดียวกันนั่นละ”

“อะ…”

“ลองพูดสิ่งที่อยากทำมาสิ อะไรเล็กๆ น้อยๆ ก็ได้”

ผมโคลงหัวไปมาแล้วพยายามนึกตามคำพูดของเขา อะไรที่อยากทำงั้นเหรอ ถ้าเอาที่นึกออกตอนนี้ก็คงเป็น...

“นอน”

“…”

“มองแบบนั้นทำไมเล่า ก็ตอนนี้คิดออกแค่นี้” ไม่ได้โกหกสักหน่อย แค่คิดว่าอยากทำอะไรมันก็ว่างเปล่าไปหมดแล้ว ไม่ได้ตั้งใจกวนตีนเลยสักนิด มองเหมือนจะเข้ามาฆ่ากันงั้นแหละ “กลัวนะเนี่ย”

“…ผมอยากตีคุณจริงๆ”

“ห้ามนะ!” อดถลึงตาขู่ไม่ได้เมื่อเห็นภามจ้องมองมาเหมือนอยากจะทำแบบนั้นจริงๆ แม้จะรู้ว่ามันไม่ได้ช่วยอะไรเลยก็ตาม

จากตอนแรกที่เข้าสู่ช่วงเครียดกันแบบไร้เหตุผล จู่ๆ ก็เหมือนบรรยากาศเปลี่ยนไปเป็นคนละขั้ว ผมได้แต่ถอนหายใจเพราะทำอะไรไม่ได้ ในขณะที่ภามเงียบไปเหมือนกำลังคิดอะไรอยู่ จวบจนท้ายที่สุด...ในตอนที่ผมกำลังจะชวนเขากลับ ภามก็พูดออกมาช้าๆ จนผมที่กำลังจะลุกขึ้นต้องนั่งลงเหมือนเดิม

“ผมชอบดูภาพธรรมชาติจากในคอมฯ ตอนนั้นไม่รู้ว่าความรู้สึกที่มีคืออะไร รู้เพียงว่าเวลามองพวกมัน ผมรู้สึกสบายใจ...สบายใจทั้งที่ไม่ได้ไปจริงๆ เลยด้วยซ้ำ บางทีอาจเป็นเพราะชีวิตของตัวเองตลอดมามันมืดมนมากจนมองแทบไม่เห็นแสงสว่าง แค่สิ่งเล็กๆ น้อยๆ ก็ทำให้สบายใจได้แล้ว”

“แล้วทำไมนายไม่ไปล่ะ” ผมหันไปถามอย่างสนอกสนใจ นี่เป็นครั้งแรกเลยที่ได้ยินภามพูดถึงเรื่องของตัวเอง แม้จะไม่รู้ว่าทำไมถึงไม่อยากถามเรื่องอดีตของเขาก่อน แต่ใจผมกลับบอกว่าทำถูกแล้ว ให้เขาพูดออกมาเองอาจจะดีกว่า

“ตอนนั้นผมยังไม่รู้เลยว่าอยากทำอะไร ไม่เคยคิดว่าอยากไปด้วยซ้ำ” ภามกะพริบตา ดวงตาคู่นั้นทอประกายอ่อนแสงลงเล็กน้อยยามพูดประโยคถัดไป “เก้ากับพี่เป็นคนบอกให้ผมลองตั้งเป้าหมาย ให้ลองคิดว่าอยากทำอะไรดู หลังจากผ่านไปสักพัก ผมถึงได้รู้ว่าการเดินทางคือคำตอบ”

“งั้นก็ดีแล้วนี่”

“แต่มันยังไม่ใช่คำตอบทั้งหมด” น้ำเสียงจริงจังของเขาทำให้ผมเผลอเม้มปากโดยไม่รู้ตัว ยิ่งเมื่อถูกหันมามองด้วยแววตาและสีหน้าที่สื่อความหมายบางอย่าง ผมยิ่งทำอะไรไม่ถูกเข้าไปใหญ่ “ผมเคยอิจฉาพี่ที่มีเก้าอยู่ข้างกาย...”

“นี่นาย...นายเคยชอบเก้าเหรอ!”

“…” ภามทำสีหน้าปลาตาย “ถ้าพูดจาไม่เข้าหูอีกที คุณเจ็บตัวแน่”

“เอ้า...” อะไรล่ะ เป็นใครก็ต้องเข้าใจแบบนั้น...รึเปล่า

“ผมแค่อิจฉาที่พี่มีเก้าอยู่ด้วยแล้วดูมีความสุข เพราะงั้นเลยคิดมาตลอดว่าถ้าตัวเองมีบ้างก็คงจะมีความสุขเหมือนกัน มันไม่ได้หมายความว่าผมชอบเก้าเสียหน่อย”

“รู้แล้วๆ หยุดทำท่าเหมือนจะฟาดกันสักทีเถอะน่า” เห็นไหมเนี่ยว่ากลัวขนาดไหน ถ้าไม่ติดว่าอยากเผือกต่อคงลุกหนีไปแล้วแน่ๆ

“ไม่แปลกใจเลยที่เป็นเพื่อนกันได้ ผมถามจริงๆ เถอะ จะสามสิบอยู่แล้วทำไมพวกคุณถึงนิสัยเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนเลย” เขาขมวดคิ้วเหมือนจะจริงจังแล้วพูดคำที่ทำให้ผมอยากเอาหัวโขกกำแพงตาย “เหมือนเด็ก”

“ฉันไม่เปลี่ยนที่ไหนเล่า นอกจากนายแล้วฉันก็...”

ผมกัดริมฝีปากไว้เมื่อเกือบเผลอพูดอะไรออกไปตามที่ใจคิด จะให้พูดได้ยังไงว่าตัวเองเป็นแบบนี้ตั้งแต่ที่ได้เจอเขา ขืนพูดออกไปแบบนั้นไม่เท่ากับเป็นการบอกว่า...

“ผมพิเศษเหรอ”

“คิดไปเอง!”

“ตอบไวแสดงว่าโกหก” ดวงตาว่างเปล่าคล้ายมีประกายระยิบระยับ ดูน่ามองจนเผลอจ้องค้างอยู่นาน กว่าจะรู้ตัวก็พบว่าริมฝีปากเรียบเป็นเส้นตรงนั้นยกขึ้นเล็กน้อยจนกลายเป็นรอยยิ้มมุมปากไปแล้ว

“อะแฮ่ม...” ผมกระแอมเรียกสติแล้วรีบหันหน้าหนีเพราะไม่อยากขายหน้าไปมากกว่านี้ “แล้วคิดไว้ยังว่าจบทริปนี้แล้วจะไปไหนต่อ”

ดูเหมือนภามจะรู้ว่าผมจงใจเปลี่ยนเรื่อง แต่เขาก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแค่หันหน้ากลับไปมองท้องฟ้าแล้วตอบออกมา

“ยังไม่ได้คิด เพราะบางทีถ้าเจอสิ่งที่ทำให้อยากหยุดลงหลักปักฐานอยู่ที่ไหนสักที่ ผมอาจจะไม่ไปไหนแล้ว”

“อ้อ…”

หลังจากไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อ เราต่างก็จมอยู่ในภวังค์ของตัวเอง ผมไม่รู้ว่าภามกำลังคิดอะไร แต่ตัวเองกลับนึกถึงเรื่องที่เขาพูดออกมาก่อนหน้านี้

อยากทำอะไรนะ...นอกจากนอนแล้วยังอยากทำอะไรอีก

“คุณได้แหวนวงนั้นมายังไงเหรอ” คำถามที่ไม่คาดคิดดังขึ้นจากปากของคนที่เงียบไปนาน ผมหันหน้าไปมองเขาด้วยความงุนงง แต่ก็ยังควักแหวนออกมาจากใต้เสื้อเพื่อพิศมอง

“มีคนให้มา”

“…”

“เขาเป็นเพื่อนทางไกลของฉันเอง ไม่ได้ติดต่อกันมานานแล้ว ไม่รู้ว่าตอนนี้เป็นยังไงบ้าง” ผมลูบแหวนในมือเบาๆ สัมผัสได้ถึงความละเอียดอ่อนจากการแกะสลักที่คงไม่ใช่ฝีมือของช่างทั่วไป “สมัยยังเรียนอยู่ฉันเคยทำโครงการร่วมกับมหา’ลัย ให้นักศึกษาแพทย์พูดคุยกับคนไข้ที่อยู่คนละซีกโลก จนวันหนึ่งคนคนนั้นบอกว่าเขาจะเดินทางไปเที่ยวรอบโลก คงไม่ได้ตอบอีเมลบ่อยๆ อีก เราเลยตกลงแลกของขวัญกันเพื่อเก็บไว้เป็นที่ระลึก แล้วเขาก็ส่งแหวนนี่มาให้ แต่จนถึงตอนนี้ฉันยังอ่านข้อความบนแหวนไม่ออกเลย”

“ตั้งใจมองสิ”

“นายพูดเหมือนตัวเองอ่านออก”

“…” มุมปากที่ยกขึ้นเล็กน้อยคือคำตอบของคำถาม

“จริงดิ!” ผมเบิกตากว้างด้วยความตื่นเต้น เคยให้เพื่อนและใครหลายคนช่วยกันอ่านแล้วก็ยังไม่พบคำตอบ อย่าบอกนะว่าคนข้างกายผมอ่านออกจริงๆ “บอกหน่อยสิว่ามันสลักไว้ว่าอะไร”

“คุณต้องหาคำตอบเอง” ภามส่ายหน้า ชัดเจนว่ายังไงก็ไม่มีทางบอกแน่ๆ

“โธ่…” จากที่ตื่นเต้นกลับต้องถอนหายใจแบบเซ็งๆ แล้วห่อไหล่ลงอย่างหดหู่ “ไอ้บ้านั่นจะรู้ไหมว่าฉันต้องทนเก็บความสงสัยไว้นานกี่ปี มาเจอคนที่อ่านออกแล้วยังไม่ยอมบอกอีก ของที่ให้ไปก็ไม่รู้จะเก็บรักษาไว้หรือเปล่า บางทีอาจจะไม่สนใจ เผลอๆ โยนของของฉันทิ้งไปแล้วมั้ง”

“ไม่มีทาง”

“มั่นใจจังนะ” ผมหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นภามเถียงทันควัน เขาจะไปรู้อะไร ไม่ใช่ว่าคนทั้งสองฝ่ายจะต้องคิดแบบเดียวกันเสียหน่อย บางทีคนคนนั้นอาจจะไม่ได้คิดว่าของที่ผมให้เป็นสิ่งสำคัญก็ได้

“ถ้าเขาไม่สนใจ คุณคงไม่ได้แหวนวงนั้นมา”

จะว่าไปก็...

“จริงของนาย” ลืมไปเลยว่านี่มันของแพง คงเป็นอย่างที่ภามพูด เจ้านั่นต้องคิดว่าผมเป็นเพื่อนบ้างแหละ ไม่อย่างนั้นคงไม่ให้ของแบบนี้มา “ถ้าได้เจอต้องขอโทษสักหน่อย เผลอมองในแง่ลบไปเยอะเลย”

ภามจ้องหน้าผมนิ่งก่อนจะส่ายหน้าหน่าย นั่นเป็นครั้งแรกที่ผมเห็นเขาถอนหายใจออกมาโดยไม่คิดปิดบัง

“บื้อจริงๆ เลย”

“อะไรนะ” ผมขมวดคิ้ว เมื่อกี้เสียงคลื่นกระทบฝั่งพอดี ไม่ได้ยินเลยว่าพูดอะไร

“เปล่า”

“ก็เห็นอยู่ชัดๆ ว่าพูด ยังจะมาตอแหลอีก” อดบ่นพึมพำเบาๆ ไม่ได้ คิดว่าอีกฝ่ายก็คงไม่ได้ยินเหมือนกัน แต่ผมลืมไปเลยว่าภามมันผิดปกติ

“จำได้ไหมว่าผมพูดว่าอะไร” เจ้าของเสียงหรี่ตาลงแล้วจ้องมองมาด้วยแววตาว่างเปล่าที่ดูเข้มขึ้นเล็กน้อย

“อะ...อะไรเหรอ”

‘ถ้าพูดจาไม่เข้าหูอีกที คุณเจ็บตัวแน่’

ฉิบหาย...

ก็ไม่คิดว่าจะได้ยินนี่หว่า ทำไมต้องมาหูดีเอาตอนนี้ด้วยวะเนี่ย

“อยู่นิ่งๆ” คำสั่งสั้นห้วนได้ผลชะงัก เมื่อร่างกายผมแข็งค้างไปแล้ว ไม่รู้ว่าเพราะกลัวคำสั่งของเขา หรือเพราะใบหน้าคมคายที่เคลื่อนเข้ามาใกล้โดยเจตนา ลมหายใจคล้ายจะฉุดกระชากไป พร้อมๆ กับที่หัวใจ...

งับ...

หัวใจยังไม่ทันได้เต้นแรง

“โอ๊ย!” ผมกุมหูตัวเองไว้แล้วจ้องมองใบหน้าปลาตายด้วยแววตาโกรธเคืองทั้งที่น้ำตาคลอเบ้า

“ถ้าพูดจาไม่เข้าหูอีกที คุณเจ็บตัวคูณสองแน่” รอยยิ้มร้ายปรากฎขึ้นบนริมฝีปากบางเฉียบอย่างหาได้ยาก ไหนบอกไม่รู้จักความสุขไงวะ แล้วรอยยิ้มสะอกสะใจ มีความสุขเสียเต็มประดาของมึงคืออะไรหา!

ไอ้บ้าภามมันกัดหูผม!


———————————



TALK : อนาคินก็จะเป็นแนวเรื่อยเปื่อย แฮปปี้ ชีวิตดี โดยเต๊าะไปวันๆ พัฒนาความสัมพันธ์ของหมอแก่กับช่างภาพหน้าตายไปเรื่อยๆ ประมาณนี้ค่ะ เวลาเขียนนี่ผ่อนคลายมาก อยากจะไปเที่ยว ฮือออ อีกพักใหญ่ก็จะออกจากเกาะ(ตอนยี่สิบนู่น) ไปผจญชีวิตในเมือง หวังว่าจะชอบความชิวๆ ลมพัดเย็นดีนี้น้า
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 10-08-2018 11:55:17
-11-



“พ่อหมอหน้าตาดูสดใสขึ้นหรือเปล่าจ๊ะ”

“จริงเหรอครับน้าต้อย” ผมหันไปยิ้มแฉ่งให้น้าต้อย มือยกขึ้นจับหน้าจับตาตัวเองด้วยความตื่นเต้น

ตอนแรกคิดว่าหลังจากโกนหนวดออกไปแล้ว ถึงจะมีสภาพดีขึ้นบ้าง แต่ความโทรมบนใบหน้าก็คงรักษาไม่ได้ง่ายๆ โชคดีที่ความโทรมแปรผันตรงกับน้ำหนัก พองานยุ่ง ไม่ดูแลตัวเอง กลายเป็นไม่ค่อยได้กินอะไรไปด้วยน้ำหนักเลยลดลง นอกจากกล้ามที่หายไปจนทำให้ดูตัวเล็กลงก็ไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปมากนัก เพราะถ้าผมโทรมแล้วกินเยอะจนอ้วนขึ้นมา ถึงเวลานั้นคงลำบากกว่านี้หลายเท่า

หลายวันมานี้ผมตื่นเช้าตามภามไปวิ่งออกกำลังต่อเนื่องมาสักพักแล้ว พอได้ยินคนมาทักว่าดูสดใสขึ้นย่อมต้องดีใจเป็นธรรมดา สัญญาเลยว่าถ้ากลับไปทำงานต่อรอบนี้จะไม่ปล่อยให้โทรมเหมือนเดิมแน่...ถ้าทำได้นะ

“จริงสิจ๊ะ ดูมีน้ำมีนวลขึ้น เวลายืนกับพ่อหนุ่มแล้วเหมาะสมกันมากเลย”

“…”

เอาความตื่นเต้นดีใจเมื่อกี้คืนมาทันไหม

“ไปเถอะ” ภามสะกิดแขนผมแล้วผงกหัวให้น้าต้อย ไม่รอให้ได้รับคำตอบเขาก็ดึงแขนให้เดินตามไปทางหาดในทันที ท่าทางเจ้าตัวคงรู้ว่าผมอารมณ์บูดอยู่ ถึงได้หันมาปลอบด้วยน้ำเสียงที่ไร้ซึ่งความจริงใจ “คุณดูสดใสขึ้นจริงๆ”

ถ้าผมอารมณ์ดีเมื่อไหร่เขาจะเฉยๆ แต่ถ้าผมอารมณ์เสียปุ๊บ อีกฝ่ายจะอารมณ์ดีปั๊บ เป็นคนกวนตีนสุดๆ เลยว่าไหม

“เหอะ...ตอนแรกที่ฉันดูเหมือนเต้าหู้ นั่นเพราะไม่มีเวลาออกกำลังกายหรอก” ถ้ามีเวลาเหมือนเดิม มีหรือจะยอมแพ้หุ่นฟิตๆ นั่น หมั่นไส้จริงๆ เลย

“ต่อให้ออกกำลังคุณก็ยังเหมือนเต้าหู้อยู่ดี”

“เอ๊ะ!”

“ตัวขาวๆ เนื้อนุ่มนิ่มแบบนี้ไม่ดีตรงไหน” เขาหันมาเอียงคอถามหน้าตาเฉย

“แล้วตรงไหนที่ว่าดีเล่า เนื้อนุ่มนิ่มมันหมายความว่าเริ่มมีไขมันส่วนเกินไม่ใช่หรือไง” ผมชักสีหน้าแล้วสาวเท้ายาวๆ พยายามเดินนำไปด้านหน้า แต่แค่แวบเดียวคนด้านหลังก็ตามมาทันเพราะมีช่วงขาที่ยาวกว่า

“หมายความว่าผิวเนียนนุ่มน่ากัดต่างหาก”

“พะ...พูดแบบนั้นออกมาได้ยังไง” จากที่กำลังเร่งฝีเท้า กลับกลายเป็นต้องหยุดชะงักกะทันหัน ผมกุมหูตัวเองแล้วเบิกตากว้างมองคนเลวที่พูดถ้อยคำเหล่านั้นออกมาหน้าตาเฉยด้วยความตกใจ หวาดกลัวว่าเขาจะเข้ามากัดหูกันอีก

“เป็นอะไร” ภามยื่นมือมาหา แต่ผมรีบก้าวถอยหลัง

“อย่าเข้ามาใกล้นะ จำไม่ได้หรือไงว่าทำอะไรเอาไว้”

กว่าความเจ็บปวดจะหายไป ผมนั่งเม้มปากอดทนอดกลั้นน้ำตาคลออยู่ตั้งนาน แต่ไอ้ตัวต้นเหตุกลับทำหน้าตาเฉยชาเหมือนไม่รู้ว่าตัวเองทำอะไรผิด สุดท้ายแค่ยื่นมือมาลูบหัวกันเหมือนจะปลอบ และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือผมต้องมานั่งเกลียดตัวเองอยู่ตั้งนานเพราะดันไม่กล้าเอาคืน ทั้งยังไม่โกรธเลยสักนิด ตื่นเช้ามาแบบงงๆ เพราะโดนปลุกให้ไปวิ่งยังเดินตามเขาต้อยๆ ออกไปเฉยเลย

“จำได้ รู้ว่าโกรธ แต่ไม่รู้ว่าต้องทำยังไง” ภามตอบด้วยเสียงโมโนโทนตามปกติ หากสิ่งที่ผิดปกติไปคือใบหน้าที่ดูสับสนยามก้มลงมองมือตัวเอง “ลูบหัวแล้วไม่หายเหรอ”

หยุดทำท่าทางเหมือนเด็กแบบนั้นนะ

ยัง...ยังอีก

“ขอโทษ” ผมถอนหายใจขณะเอ่ยออกไปด้วยน้ำเสียงท้อแท้ สุดท้ายก็แพ้จนได้ “พูดว่าขอโทษแบบจริงใจ”

คนฟังกะพริบตาช้าๆ ท่าทางดูแปลกใจชัดเจน แต่ครู่เดียวก็เปลี่ยนเป็นขบขันเหมือนคนที่จับทางได้ ผมเผลอกลอกตาก่อนจะรีบเดินต่อเพราะไม่อยากเสียหน้าไปมากกว่านี้ แต่เดินได้เพียงก้าวเดียวแขนก็ถูกดึงให้หมุนตัวกลับไปหาคนด้านหลังด้วยเรี่ยวแรงที่ไม่ได้มากเกินไปจนทำให้เจ็บ

“ขอโทษ”

“…”

เสียงที่ไม่ได้เป็นโมโนโทนเหมือนปกติทำให้ผมนิ่งค้างอยู่นาน ไม่รู้ว่าเราสบตากันแล้วเงียบไปเป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้ว แต่แววตาที่ดูจริงจังคู่นั้นตรึงผมให้หยุดอยู่กับที่ ไม่กล้าขยับแม้จะถูกปลายนิ้วของอีกคนแตะลงเบาๆ ที่ใบหูซึ่งถูกกัดไปเมื่อหลายวันก่อน

“ปะ...ไปเถอะ” สุดท้ายก็เป็นผมที่ปัดทุกความรู้สึกแปลกๆ ออกแล้วหมุนตัวเดินต่อ ครั้งนี้ไม่ได้ถูกรั้งไว้อีก แต่ได้ยินเสียงฝีมือก้าวตามมาจากทางด้านหลังติดๆ

อันตรายจริงๆ...

บริเวณหาดในวันนี้ครึกครื้น อาจเพราะเป็นวันแรกในรอบสัปดาห์ที่ฝนไม่ตก ทุกคนเลยกลับมาทำงานออกเรือหาปลาได้ตามปกติ แต่ตอนนี้ยังเช้าอยู่ พวกผู้หญิงคงยังจัดการงานบ้านไม่เสร็จเลยไม่ได้มาอยู่แถวนี้ มีเพียงผู้ชายหลายคนที่กำลังเตรียมเรือออกไปหาปลา เห็นแบบนั้นแล้วผมก็รีบสาวเท้าเข้าไปหาคุณไฟที่ยืนอุ้มน้องลมอยู่ โดยไม่ลืมแกล้งทำตัวเนียนๆ เดินเข้าไปหา

“สวัสดีครับ!” เสียงทักอย่างกะทันหันคงทำให้เด็กชายตัวน้อยตกใจพอควร จากที่กำลังเอาหน้าพาดบ่าคุณพ่อ ถึงได้สะดุ้งหันมามองผมตาโต

“คุณหมอ...พี่ชายก็มาด้วย” รอยยิ้มเล็กๆ กับเสียงหัวเราะเบาๆ ทำให้ผมยิ้มออก หลายวันมานี้พอเราสนิทกันมากขึ้น อีกทั้งคุณไฟยังไม่ให้ปลาเข้าใกล้ กลายเป็นว่าน้องลมอาการดีขึ้นหลายส่วน แม้จะน่าเป็นห่วงอยู่แต่ก็ไม่ได้ทำหน้าซึมๆ เหมือนเดิมแล้ว

ส่วนเวลาที่ยิ้มกว้างและพูดมากที่สุดก็คงจะเป็นตอนที่...

“ไอ้หนู!”

“หัวหน้า!” เด็กตัวเล็กหันหน้าไปหาเจ้าของเสียงก่อนจะโผเข้าหาจนคุณพ่อที่อุ้มอยู่ตัวแทบเซ ไม้อุ้มน้องลมแล้วยกขึ้นสูงพร้อมส่งยิ้มกว้างไปให้ เพียงเท่านั้นเด็กน้อยก็หัวเราะคิกคักแล้วกอดหัวหน้าของตนเอาไว้แน่น

ดูเหมือนน้องจะติดเจ้าไม้เข้าให้แล้ว

“รีบไปขึ้นเรือเถอะ ข้ากับไอ้ดำจะไปส่ง” ไม้หันมาบอกเราแล้วเดินนำไปขึ้นเรือก่อน ตามด้วยคุณไฟที่เดินตามไปต้อยๆ ปิดท้ายด้วยปลาซึ่งตอนนี้...

หญิงสาวที่เคยสวยถูกมัดมือมัดเท้าไว้แน่นหนา หน้าตาหมดสภาพดูแทบไม่ได้ ตอนผมเห็นเมื่อวานยังตกใจ แต่น้าต้อยบอกว่าคุณไฟเป็นคนจัดการเอง เห็นว่ากลัวถึงเกาะแล้วอีกฝ่ายจะรู้ตัวทันหนีไปก่อน เลยจับมัดไว้ตั้งแต่เมื่อคืน ตอนนี้ชาวบ้านช่วยแบกไปขึ้นเรือเรียบร้อยแล้ว

“เอากระเป๋าสตางค์มาแล้วใช่ไหม” ผมหันไปถามคนข้างกายอีกครั้งเพื่อความแน่ใจ ภามพยักหน้า จากนั้นเราจึงเดินไปขึ้นเรือพร้อมกัน

คุณไฟบอกพวกชาวบ้านว่าถ้าฝนหยุดตก ออกเรือได้เมื่อไหร่เขาคงไปเลย เพราะต้องกลับไปทำงานแล้ว ที่สำคัญคืออยากเอาตัวปลากลับไปรับโทษด้วย หลังปรึกษากันและฟังข่าวคราวอะไรเรียบร้อย ลุงเหมเลยสั่งให้ไม้กับดำพาพ่อลูกกับพี่เลี้ยงไปส่งที่ฝั่งในวันนี้ แล้วให้อยู่จัดการธุระในเมืองให้วันสองวัน ผมที่ได้ยินพอดีเลยขอติดเรือเข้าฝั่งด้วย จะว่าเบื่อก็คงใช่ แต่ก็ยังอยากอยู่ที่นี่ต่อ เพราะเริ่มคุ้นเคยกับชาวบ้านจนอยากเห็นวิถีชีวิตของพวกเขามากกว่านี้แล้ว สุดท้ายเมื่อคุยกับภาม เราเลยตัดสินใจจะเข้าเมืองไปเที่ยวสักหน่อย เสร็จแล้วค่อยกลับมาพร้อมไม้ ทำตามแผนที่เคยคิดว่าจะอยู่บนเกาะให้ครบหนึ่งเดือนเช่นเดิม

เรือที่ใช้บรรจุผู้โดยสารถึงเจ็ดคนเป็นเรือยอร์ชส่วนตัวขนาดเล็กของคุณไฟ ซึ่งพวกชาวบ้านช่วยกันซ่อมให้เรียบร้อยแล้ว คุณไฟถึงขนาดบอกว่าจะยกเรือลำนี้ให้ เพราะคงไม่ได้มาที่นี่บ่อยนัก เถียงกันไปเถียงกันมา สุดท้ายลุงเหมเลยบอกว่าจะช่วยดูแลให้ แต่ถ้าเมื่อไหร่ที่มาเที่ยวอีก จะให้คนไปขับให้แน่นอน ไม่ต้องให้คุณไฟขับมาเองแบบตอนแรก

ดำรับหน้าที่เป็นคนขับ ชายผิวคล้ำแลดูตื่นเต้นไม่น้อย คงเพราะปกติได้ขับแต่เรือประมงของเกาะ ไม่ได้แตะเรือหรูแบบนี้มากนัก ส่วนคุณไฟกับไม้พาน้องลมไปนั่งเล่นตากลมอยู่หน้าเรือ มีเพียงผมกับภามที่นั่งอยู่ในห้องเป็นเพื่อนดำ อ้อ...มีปลาที่นั่งตัวสั่นอยู่ท้ายเรือซึ่งถูกล็อกไว้กับเบาะอย่างเดียวดายอีกคน

“ดำอย่าลืมนะว่ามีเด็กอยู่หน้าเรือ” ผมรีบเอ่ยเตือนเมื่อเห็นท่าทางอยากลองของเสียเต็มประดาของคนขับ ไม่รู้ว่าเอ่ยตรงใจหรือยังไงอีกฝ่ายถึงได้สะดุ้งจนตัวโยนแล้วหันมาหัวเราะใส่

“ไม่ลืมหรอกน่าไอ้หมอ” คนขี้อ้างหันขวับกลับไป ก่อนจะออกเรือช้าๆ เพื่อให้คนอื่นๆ ตั้งตัวทัน แต่มีหรือผมจะไม่รู้ว่ามันเป็นเพียงข้ออ้าง ลองถ้าไม่บอกสิ ต้องมีคนกลิ้งตกเรือแน่นอน

ด้วยความเร็วที่ไม่มากนัก บวกกับระยะทางที่ไกลพอควร ทำให้เราต้องใช้เวลาอยู่บนเรือนานกว่าที่คิด โชคดีที่ไม้เอาน้ำกับของว่างขึ้นมาไว้บนเรือก่อนแล้ว พอหิวผมก็แค่หันไปบอกคนข้างกายที่นั่งอยู่ข้างลังเสบียง รอเขายื่นของที่ต้องการมาให้ สบายเสียยิ่งกว่าสบาย

“ดำ” ผมเรียกคนขับเรือที่ดูสนุกสนานไม่เลิกแม้จะขับมาสักระยะแล้ว

“ว่าไง”

“ทำไมคนที่เกาะถึงได้เข้าฝั่งแค่เดือนละครั้งล่ะ เป็นข้อตกลงกันเองเหรอ” เริ่มจากถามเรื่องนี้ก่อนเลยแล้วกัน จริงๆ ผมก็สงสัยมาสักพักแล้ว แต่คิดว่าพวกชาวบ้านอาจจะไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยวกับเรื่องในเมืองมากนัก ถึงได้สร้างข้อตกลงร่วมกันแบบนั้น ซึ่งเอาเข้าจริงก็แปลกนะ...ข้าวของเครื่องใช้ก็ต้องซื้อ ไหนจะบรรดาขยะอีก แต่ถ้าบอกว่าซื้อมาตุนไว้ทีเดียวเยอะๆ ก็เป็นไปได้อยู่มั้ง

“หา...เอ็งพูดเรื่องอะไร”

“…” ระหว่างที่กำลังขบคิด กลับเป็นผมเสียเองที่ต้องงง เมื่อได้ยินสิ่งที่ดำพูดออกมา

“ใครบอกเอ็งว่าต้องรอเป็นเดือน รอเป็นเดือนแล้วพวกข้าจะอยู่ยังไง จะเอาอะไรแดกเล่า พ่อค้ามันไม่ได้มาเอาของเองถึงเกาะหรอกนะ”

ผมหันไปสบตาภามแทบจะทันทีที่ดำพูดจบ ใบหน้าปลาตายไม่มีวี่แววของความสงสัย เหมือนเจ้าตัวไม่ได้สนใจอยู่แล้ว ต่างจากผมที่กำลังงงโดยสิ้นเชิง ถ้าเป็นอย่างที่ดำพูด แสดงว่าลุงเหมโกหกงั้นเหรอ แล้วลุงเหมจะทำแบบนั้นไปเพื่ออะไร

“ลุงเหมโกหกเราไปทำไม” ตอนแรกผมคิดจะถามดำไปตรงๆ แต่คิดไปคิดมาอีกฝ่ายคงไม่รู้เรื่องด้วยถึงได้พูดออกมา เห็นแบบนั้นเลยหันมากระซิบคุยกับภามสองคนแทน

“โดนสั่งไว้”

“หา” ผมหัวไปขมวดคิ้วใส่ภาม “นายรู้ได้ไง”

“…”

“เอาเหอะ” ไม่ตอบแบบนี้ก็ไม่รู้จะถามอะไรต่อแล้ว ผมก็ไม่ใช่พวกเซ้าซี้กับเรื่องเล็กๆ น้อยๆ เท่าไหร่ “ที่นายเดาก็ถูก บางทีอาจมีคนสั่งไว้ ถึงจะไม่รู้ว่ายังไง แต่ฉันว่าไอ้เก้าต้องมีส่วนรู้เห็นแน่ๆ”

มันยิ่งขี้แกล้งและกวนตีนอยู่ ต้องมีส่วนร่วมไม่ทางใดก็ทางหนึ่งแน่นอน ผมฟันธง ว่าแต่...พ่อคุณจะจ้องกันอีกนานไหม แล้วไม่ได้จ้องธรรมดาด้วยนะ จ้องอย่างกับผมทำอะไรผิด

“แล้วนี่เป็นไร ลืมหยิบปากมาเหรอ” ผมอดกัดไม่ได้ เมื่อพบว่ายังถูกจ้องไม่เลิก หากคราวนี้เขาไม่ได้เงียบรับคำแล้ว แต่ตอกกลับมาอย่างรวดเร็วตามประสาคนกวนตีน

“ดูเหมือนคุณจะหยิบปากมาเกินมากกว่า”

“นายด่าฉันพูดมากเหรอ”

“เปล่า ก็แค่ยังพูดไม่หยุดเลยตั้งแต่เช้า”

นั่นแหละคือด่าโว้ย จะบอกว่าเปล่าเพื่อ

ผมถอนหายใจแรงๆ ระบายอารมณ์ ไม่อยากหันไปคุยกับเขาให้ปวดหัวแล้ว แต่เพราะยังมีเรื่องที่ต้องตัดสินใจร่วมกัน ท้ายที่สุดเลยต้องหันไปชวนคุยอีกรอบ

“แล้วจะเอายังไง”

“หมายถึง?”

“ถ้าเป็นอย่างที่ดำว่า เรือจะออกตอนไหนก็ได้ เราก็ไม่ต้องติดอยู่บนเกาะเป็นเดือนแล้วไง นายอยากไปที่อื่นหรือเปล่า” ถึงจะไม่เข้าใจว่าทำไมต้องถามภามเหมือนจะให้เขาตัดสินใจไปหมด แต่ผมคิดว่าตัวเองเป็นพวกอะไรก็ได้อยู่แล้ว ดังนั้นถึงจะรู้สึกแปลกอยู่หน่อยๆ ก็ไม่ได้สนใจอะไรนัก

“คุณอยากไปไหนหรือเปล่า”

“ไม่มีจุดหมายเลย” ผมตอบตามตรง ยังไงที่มาเกาะนี้ก็เพราะตามเขามาตั้งแต่แรกอยู่แล้วด้วย

“งั้นอยู่ต่อให้ครบเดือนไหม”

“เป็นครั้งแรกที่ได้ยินนายออกความเห็นเลยนะเนี่ย” ดูท่าภามคงจะติดใจเกาะแล้วแน่ๆ เพราะปกติเวลามีคนมาถามอะไรเขามักเงียบ นอกเหนือจากเรื่องสร้างบ้านแล้วก็แทบไม่ได้ออกความเห็นเลย หลังจากนั้นมีแค่ผมคนเดียวที่คอยตอบคำถามหรือตัดสินใจมาโดยตลอด

“คุณได้กลับเข้าไปในเมืองเมื่อไหร่จะเข้าใจเอง”

เราไม่ได้พูดอะไรกันอีก เพราะหลังจากที่ภามพูดออกมา เขาก็หันออกไปมองนอกหน้าต่างเรือในทันที ราวกับไม่อยากพูดอะไรแล้ว ผมที่หน้าไม่หนาเท่าไหร่เลยได้แต่เก็บความสงสัยไว้ในใจแล้วบอกว่าช่างมัน ก่อนจะมองออกไปด้านนอกบ้างเพื่อลบคำสบประมาทที่บอกว่าตัวเองพูดมาก

ในที่สุดก็เดินทางมาถึงฝั่งในช่วงเที่ยง สิ่งแรกที่ผมทำเมื่อเท้าเหยียบพื้นคือกวาดสายตาไปรอบด้าน เผื่อว่าจะเห็นคุณลุงที่เคยพาเราไปส่ง จะได้ถามเรื่องที่คาใจว่าทำไมถึงกล้าพาเราไปส่งที่เกาะเสียที แต่ก็ต้องคว้าน้ำเหลวเมื่อไม่มีวี่แววของเรือสปีดโบ๊ทอยู่เลย

มีอีกทาง...

ผมหยิบโทรศัพท์ที่ไม่ได้ใช้เลยขึ้นมา ไม่แปลกใจเท่าไหร่เมื่อไม่เห็นสายที่ไม่ได้รับเลยแม้แต่สายเดียว เพียงแต่ข้อความในไลน์เด้งไปอยู่ที่ 999+ เรียบร้อยแล้ว ผมไม่เสียเวลากดเข้าไปอ่าน แต่กดโทรไปหาไอ้คนเลวตัวต้นเรื่องในทันที ทว่ากดย้ำอยู่หลายครั้งก็ยังไม่มีวี่แววว่ามันจะรับสาย ไอ้โซก็เหมือนกัน

ไม่ใช่ว่าพวกมันไม่ว่างหรอก แต่เพราะรู้ทันมากกว่าเลยไม่รับสาย ผมกดเข้าไปในไลน์ ทิ้งข้อความก่นด่าเพื่อนเลวสองตัวในแชทกลุ่มสามคนประมาณห้าหกบรรทัด เรียบร้อยแล้วจึงเก็บโทรศัพท์เข้าที่แล้วหันไปมองพวกคุณไฟที่เพิ่งพากันลงมาจากเรือ

“ไอ้เก้ามันไม่รับสายฉัน” ผมบ่นให้เงาตามตัวฟัง นับวันยิ่งเคยชินกับการถูกเดินตามขึ้นทุกที “ถ้าเป็นนายโทรมันจะรับไหม”

“รับ”

โห...มั่นอกมั่นใจ โคตรของความสองมาตราฐาน อันที่จริงถึงไม่รับภามก็โทรหาพี่ภู พี่ชายตัวเองได้อยู่แล้ว รายนั้นไม่ว่ายังไงก็ต้องตามตัวไอ้เก้าให้มาคุยได้แน่ๆ แต่ประเด็นคือ...

“บอกทีว่านายหยิบโทรศัพท์มา”

“ไม่ได้เอามา”

ผิดไปจากที่คิดที่ไหนเล่า!

“มีคนมา” ภามพูดขึ้นมาลอยๆ ขณะมองไปทางด้านหลัง ทำให้ผมต้องหันไปมองด้วย คนมาใหม่เป็นผู้ชายสามสี่คน เหมือนจะเป็นลูกน้องของคุณไฟซึ่งเขาเคยบอกว่าจะให้มาเอาตัวปลาไป ไม่ต้องพูดพร่ำทำเพลงอะไรหนึ่งในนั้นก็อุ้มปลาแบกขึ้นบ่าแล้วพาตัวไปอย่างรวดเร็ว ก่อนคนที่เหลือจะเดินนำเขาไปนอกหาด เพื่อขึ้นรถคันหนึ่งซึ่งจอดรออยู่ก่อนแล้ว

“ไอ้หมอ!” ไม้โบกไม้โบกมือทั้งที่อุ้มน้องลมอยู่ ผมเลยเดินไปหาโดยมีภามตามไปด้วย ที่ตรงนั้นมีคุณไฟยืนรออยู่ก่อนแล้ว ส่วนคนของเขายืนประจำที่พร้อมขึ้นรถตลอดเวลา

“ขอบคุณมากนะครับคุณหมอ สำหรับทุกอย่างเลย”

“ไม่เป็นไรครับคุณไฟ” ผมยิ้มแล้วหันไปทักทายเด็กน้อยที่เกาะไม้ไว้แน่นไม่ยอมปล่อยแทน “น้องลมดูแลตัวเองดีๆ นะครับ เอาไว้เจอกันใหม่นะ”

“ครับ” น้องพยักหน้าแล้วยิ้มสดใส ไม่มีทีท่าว่าจะดื้อเลยแม้แต่น้อยยามคุณไฟยื่นมือมาอุ้มไปขึ้นรถ ผมอดแปลกใจไม่ได้เมื่อเห็นพวกเขาไม่ได้หันไปร่ำลาไม้ แต่พอเห็นใบหน้ายิ้มแย้มของคนที่โบกมือให้อยู่ด้านข้าง...ดูท่าคงลากันไปตั้งแต่เมื่อคืนแล้วแน่ๆ

ท้ายที่สุดเมื่อรถของคุณไฟออกไปแล้ว ก็เหลือเพียงเราสามคน ไม่นับดำที่บอกว่าจะนอนอยู่บนเรือ จนถึงบัดนี้ก็ยังไม่ลงมา ตอนแรกผมนึกห่วงอยู่หน่อยๆ แต่เมื่อเห็นความหรูหราในเรือแล้วก็...เป็นผมก็นอนได้วะ

“งั้นเดี๋ยวข้าจะแยกไปทำธุระให้ลุงเลยแล้วกัน มาเจอกันที่นี่พรุ่งนี้เจ็ดโมงเช้านะ”

“โอเค” ผมพยักหน้ารับคำ แล้วปล่อยให้ไม้เดินไปก่อน ส่วนตัวเองหันกลับมาหาคนไม่มีปากอีกที “แล้วเราจะเอายังไงกันดี”

“หาที่พัก”

“โอเค”

เราเดินไปหาที่พักกันแบบเงียบๆ ไม่มีใครกวนตีนใครก่อน เป็นบรรยากาศแบบที่นานๆ จะรู้สึกสักที ทว่าเมื่อเดินข้ามถนนมาที่ฝั่งตัวเมือง ผมกลับต้องชะงักไปพักใหญ่ ภาพของความวุ่นวายที่ไม่ได้เห็นมานานทำเอารู้สึกแปลกๆ อยู่ไม่น้อย ผู้คนที่เดินไปมาขวักไขว่ รถหลายคันที่แล่นสวนกันไปมา หรือแม้แต่ร้านอาหารหรือร้านค้าเต็มสองข้างทางที่เพิ่งรู้สึกว่ามันดูไม่สบายตาเอาเสียเลย

จู่ๆ ความรู้สึกเบื่อหน่ายก็ตีวนเข้ามาในใจ...

จะว่าไปแล้วมันก็น่าแปลก...ตอนที่ผมอยู่ในเมือง เดินทางกลับบ้านด้วยถนนเส้นเดิมๆ ทำกิจวัตรประจำวันแบบเดิมๆ ผมรู้สึกเบื่อจนต้องมองหาความแตกต่าง ตอนอยู่บนเกาะเองก็เหมือนกัน พอไม่มีอะไรให้ทำก็เบื่อ แต่มันกลับเป็นความเบื่อคนละแบบกัน ผมยังคงยิ้มเมื่อได้พูดคุยกับพวกชาวบ้าน ยังคงตื่นเต้นเมื่อพวกเขาพูดอะไรแปลกๆ ให้ฟัง แต่ถ้าอยู่ไปนานๆ มันกลายเป็นความเคยชิน แบบนั้นก็ต้องเบื่ออยู่ดีเหมือนยามอยู่ในเมืองไม่ใช่หรือไง

ถึงอย่างนั้น...ก็ยังรู้สึกเหมือนมันแตกต่างกันอยู่ดี อะไรบางอย่างบอกผมว่าถ้าอยู่บนเกาะต่อไปแบบนี้ ผมจะไม่เบื่อเหมือนยามอยู่ในเมืองแน่นอน

ตัวแปรคืออะไรกันนะ...

“ถ้าคุณได้ใช้ชีวิตอยู่ท่ามกลางธรรมชาติสักระยะ เวลากลับเข้ามาในเมือง คุณจะเห็นความแตกต่างของมัน” เสียงเนือยๆ ของคนหน้าปลาตายพูดขึ้นมาลอยๆ ก่อนเขาจะหันมาสบตาผมแล้วถามคำถามเดียวกันกับตอนที่อยู่บนเรือ “คุณจะอยู่ต่อให้ครบเดือนไหม”

เมื่อได้กวาดสายตามองไปรอบด้านอีกครั้ง สุดท้ายผมก็ตอบออกไปตามความรู้สึก

“อยู่”

อย่างน้อย...ก็ขอให้คำตอบชัดเจนกว่านี้อีกสักนิด

น่าแปลก...ทั้งที่ช่วงนี้เป็นช่วงโลว์ซีซั่น ฝนตกแทบจะวันเว้นวัน แต่หาดนี้ก็ยังได้รับความสนใจไม่น้อย เห็นได้จากบรรดานักท่องเที่ยวที่พากันใส่ชุดว่ายน้ำเดินล่อนไปล่อนมา หรือแม้แต่ร้านค้าที่เปิดขายของกันอย่างคึกคัก ผมได้ยินไม้บอกว่าตอนค่ำแถวนี้จะมีตลาดด้วย ถ้าไม่ง่วงมากเกินไปน่าจะได้ออกมาเดินเที่ยว

โรงแรมที่ผมกับภามเลือกเป็นโรงแรมสี่ดาว อยู่ไม่ไกลจากหาด ดูแล้ววุ่นวายน้อยที่สุดหากนับจากบรรดาที่พักที่เดินผ่านมาทั้งหมด เราเอาของไปฝากไว้แล้วเดินตัวปลิวออกมาด้านนอก เนื่องจากยังไม่ถึงเวลาเช็คอิน โชคดีที่วันนี้ไม่ได้มีแดดมากนัก ไม่งั้นผมคงทำใจออกมาไม่ไหว แค่เจอไอแดดเข้าไปก็จะเป็นลมแล้ว ถึงจะรู้สึกว่าตัวเองอ่อนแอลงทุกวัน แต่ยอมรับความจริงในใจเงียบๆ และหลีกเลี่ยงมันก็ยังดีกว่าเป็นลมไปกลางคันเพราะฝืน

“นายอยากไปไหน”

“แล้วแต่คุณ”

เอาเถอะ...ตัดสินใจแทนจนชินแล้ว

ดูจากสภาพการณ์ จะให้ไปเล่นน้ำทะเลหรือไปเดินริมหาดคงไม่ไหว เราอยู่บนเกาะเห็นน้ำที่ใสสะอาดและสวยกว่าตรงนี้หลายเท่าอยู่แล้ว เพราะงั้นน้ำที่มีสิ่งปนเปื้อนในบริเวณนี้เลยไม่ได้ดูน่าเล่นเลยสักนิด ผมยกมือเกาหัวด้วยไม่รู้เหมือนกันว่าจะไปไหน ที่คิดไว้ก็มีแค่ตลาดตอนค่ำ แล้วก็ไปซื้อข้าวของเครื่องใช้ที่จำเป็นอีกนิดหน่อย แต่นอกเหนือจากนั้นไม่รู้เลยว่าจะทำอะไร

“งั้นไปซื้อของแล้วไปนั่งรอที่ล็อบบี้โรงแรมไหม อีกชั่วโมงเดียวก็เข้าห้องพักได้แล้ว”

“ได้” ภามพยักหน้าแล้วเดินตามผมเป็นลูกเป็ด ซึ่งแน่นอนว่าความดูดีของเจ้าตัวทำให้ใครต่อใครจ้องมองมาเหมือนมองของประหลาด แต่ที่แย่ยิ่งกว่าคือพอสายตาเหล่านั้นเบนมาเห็นผมที่เดินนำ พวกเขาล้วนหันไปซุบซิบกันด้วยความเขินอาย โดยเฉพาะกลุ่มเด็กมหา’ลัยตรงนั้น ซึ่งดูท่าทางน่าจะเป็นสาววายทั้งกลุ่ม

ขนาดแค่เดินตามนะ ไม่อยากจะคิดเลยว่าถ้ามีจับไม้จับมือจะ...

“ระวัง”

ผมสะดุ้งเมื่อถูกขัดจังหวะความคิดด้วยฝ่ามือร้อนๆ ของคนด้านหลังที่รั้งต้นแขนกันไว้แล้วดึงเข้าหาตัวจนหน้าเกือบกระแทกอกแข็งๆ นั่น แต่เพราะเข้าใจว่าเมื่อกี้ตัวเองเหม่อจนเกือบเดินออกนอกถนน ผมเลยหันไปผงกหัวขอบคุณเขา

“ขอบใจ”

“มานี่” ว่าแล้วคนที่เพิ่งช่วยชีวิตกันไว้ก็ดันผมเข้าไปเดินด้านใน ส่วนตัวเองเดินอยู่ด้านนอกติดถนน กลายเป็นเราเดินควบคู่กันแล้ว ไม่ได้เดินนำกับเดินตามเหมือนตอนแรก ซึ่งผมก็ไม่ได้คิดอะไรมาก จนกระทั่งในเวลาที่กำลังจะเดินผ่านกลุ่มสาวๆ ที่จ้องกันตาเป็นมันเหล่านั้น...

“ฉันบอกแล้วว่าเขางอนกัน”

“คนตัวสูงหล่ออ่า”

“เหมาะสมกันสุดๆ เขาเป็นแฟนกันจริงๆ ด้วยอะแก”

นั่นไง...

“รีบไปเถอะ” ผมขยับเข้าไปใกล้ภามแล้วกระซิบกระซาบบอกเขา ใครจะไปคิดว่าคนตัวสูงจะโน้มหน้าลงมาหาเหมือนให้พูดใหม่เพราะไม่ได้ยิน เล่นเอาเสียงกรีดร้องจากสาวๆ ดังขึ้นหนึ่งระดับ ผมไม่เสียเวลาพูดใหม่ แต่รีบดึงแขนเขาให้เดินไวๆ ไปด้านหน้าอย่างรวดเร็ว

ผู้หญิงสมัยนี้น่ากลัวเป็นบ้า...

ซุปเปอร์ซึ่งอยู่ฝั่งตรงข้ามกับโรงแรมคือจุดหมายปลายทางที่ผมเลือก เราแยกย้ายกันเดินไปหาข้าวของที่ตัวเองต้องการ ผมพุ่งตรงไปที่โซนขนมเป็นลำดับแรก ก่อนจะเลือกมาหลายอย่าง ไม่ได้คำนึงถึงน้ำหนักหรือระดับน้ำตาลหากกินมันเข้าไปเลยแม้แต่น้อย คิดว่าอยากกินอะไรก็หยิบมาหมด กะว่ายังไงก็จะซื้อไปฝากเด็กๆ บนเกาะอยู่แล้วด้วย กินกันนานๆ ทีคงไม่เป็นไร

หลังจากหยิบของใส่ตะกร้าจนเต็ม ผมเลยเดินไปหาภามที่เห็นอยู่ไกลๆ รายนั้นไม่ได้ถือตะกร้า ในมือมีแค่ของชิ้นเล็กๆ อยู่เพียงสองสามชิ้น พอเห็นเขาเริ่มหยิบชิ้นใหม่ ผมเลยยื่นตะกร้าไปให้หย่อนของลงมา

“ที่โกนหนวด...”

เดี๋ยวนะ ซื้อไปทำไมเยอะแยะวะเนี่ย

“เผื่อเอาไว้” เขาว่าแบบนั้นแล้วเอาตะกร้าไปถือไว้เอง

สรุปสุดท้ายภามก็เป็นคนจ่ายเงินทั้งหมด โดยที่เกินครึ่งเป็นของที่ผมเลือกซื้อ ซึ่งถามว่ารู้สึกอะไรไหม ตอบได้เลยว่าไม่ เพราะจงใจไม่หยิบกระเป๋าสตางค์มาอยู่แล้ว ต้องโทษที่เขาเป็นคนดีมากเกินไปต่างหาก

“เสี่ยสายเปย์นี่นา” ผมเอาไหล่แซะภามแบบที่ชอบทำบ่อยๆ แล้วหัวเราะเมื่อเขาหันมาขมวดคิ้วมอง

“คงใช่”

“โห...ยอมรับด้วย”

“เฉพาะกับคุณ”

“…”

“ก้มหน้าทำไม...แล้วนั่นจะเดินไปไหน”

จากที่เป็นฝ่ายเริ่มแกล้งก่อน ลงท้ายทีไรต้องโดนกลับตลอด ผมยกมือยอมแพ้แล้วรีบเดินหนีไอ้บ้าด้านหลัง แม้จะรู้ว่าต่อให้หนียังไงก็หนีไม่พ้นก็ตาม ขายาวเป็นเปรตแบบนั้น ต่อให้วิ่งก็คงโดนตามได้ง่ายๆ แต่ตอนนี้...

ขอแค่ไม่เห็นหน้ากันก็พอ เพราะจู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนจะระเบิดเฉยเลย

หลังจากกลับไปถึงโรงแรมโดยใช้เวลาในการเดินเพียงห้านาที ผมลองเข้าไปถามพนักงานเรื่องขอเข้าห้องก่อนเวลา ซึ่งเขาก็ตกลงให้เข้าห้องก่อนได้ ทั้งยังอุตส่าห์อัปเกรดห้องให้หรูขึ้นในราคาเท่าเดิมด้วย

สุดท้ายเราก็ได้มานั่งเอ๋ออยู่ในห้อง...

นั่งเอ๋อ...พร้อมกับกลีบกุหลาบรูปหัวใจบนเตียง ผ้าเช็ดตัวที่พับเป็นหงส์คู่ และที่พีคสุดคือห้องอาบน้ำแบบซีทรูที่ผมสำรวจดูแล้วพบว่าไม่มีม่านบังหรืออะไรเลย เรียกได้ว่าโป๊เปลือยเห็นหมดเปลือก ถ้าอยากปิดคงต้องเอาผ้ามาขึงเอง

“อย่าบอกนะว่าแม้กระทั่งพนักงานโรงแรมก็เป็นสาววาย” ผมอดบ่นพึมพำไม่ได้

คำว่าสาววายนี่ได้ยินมาตั้งแต่สมัยอยู่มัธยม เหมือนเพื่อนจะอธิบายว่ามันคือผู้หญิงที่ชอบเห็นผู้ชายรักกันเองหรืออะไรสักอย่าง ซึ่งผมก็ไม่ได้สนใจตอนมันอธิบายนัก มันบอกว่าในกลุ่มไม่มีคนหน้าตาดีคนอื่นให้เอามาจับคู่กับผม ตอนนั้นเลยรอดไป แต่พอขึ้นมหา’ลัย ผมเห็นเพื่อนอย่างไอ้โซได้ขึ้นเพจ ถูกจับคู่กับพี่กีล์ซึ่งโตกว่าสามปี แล้วสุดท้ายดันได้รักกันจริงๆ คบกันมาตั้งแต่มันอยู่ปีหนึ่งจนตอนนี้อายุเท่าผมแล้วก็ยังรักกันดี ไหนจะคู่ไอ้เก้าอีก เห็นแบบนั้นก็อดคิดในใจไม่ได้

ดูเหมือนความรักจะไม่ได้เกี่ยวกับเพศเลย...

“คิดอะไร” แรงสะกิดเบาๆ ที่ข้างแก้มทำให้ผมรู้สึกตัว ก่อนจะหันไปมองหน้าคนถามซึ่งนั่งอยู่ด้านข้าง

“เรื่อยเปื่อยน่ะ” ผมตอบไปแบบนั้น แต่เหมือนอีกคนจะไม่เชื่อ เขาถึงได้จ้องค้างไม่ยอมหันไปไหน แล้วก็เป็นผมเองที่ต้องยอมแพ้ “แค่นึกถึงเรื่องความรักระหว่างเพศเดียวกัน”

“…ความรัก?”

“จำได้ว่าตอนเด็กๆ ฉันมักจะเห็นเพื่อนผู้ชายเข้าไปแกล้งพวกที่ชอบเพศเดียวกันตลอด ทั้งยังต่อว่าด้วยถ้อยคำต่างๆ นานา ตอนนั้นฉันยังไม่เข้าใจเลยว่ามันคืออะไร น่าจะต้องขอบใจตัวเองที่โง่ตามเพื่อนไม่ทัน แต่ที่ได้ยินบ่อยที่สุดน่าจะเป็นเรื่องความรักของคนกลุ่มนี้ไม่มีความแน่นอน เป็นความรักประเดี๋ยวประด๋าว” ในช่วงเวลาที่พูด ผมยกยิ้มจางอยู่ตลอดเวลายามนึกถึงอดีต น่าแปลกที่จำหน้าตาพวกเพื่อนที่พูดถ้อยคำเหล่านั้นไม่ได้แล้ว แต่กลับจำคำพูดไม่น่าฟังพวกนั้นได้แม่นยำและชัดเจนราวกับมีคนพูดอยู่ข้างหู “พอมามองย้อนกลับไป เห็นเพื่อนตัวเองกับคนรักอยู่ด้วยกันมาเป็นสิบปีแล้วก็ยังรักกันดีอยู่ ฉันเลยคิดว่าความรักไม่ได้เกี่ยวกับเพศเลย”

เพราะไม่รู้ว่าควรพูดอะไรต่อ อีกทั้งภามยังนั่งเงียบไม่มีทีท่าว่าจะตอบ ผมเลยยักไหล่ก่อนจะเอนตัวนอนลงบนเตียง ทับกองกลีบกุหลาบไปทั้งแบบนั้น

“เมื่อปีก่อน...ผมได้รับเชิญให้ไปร่วมงานแต่งงานเล็กๆ ของเพื่อนพ่อคนหนึ่ง” ภามพูดออกมาช้าๆ ขณะเอนกายลงนอนด้านข้าง “พวกเขาทั้งคู่ยิ้มตลอดเวลา ดวงตาเป็นประกายเหมือนเฝ้ารอวันนี้มานานแสนนาน ไม่รู้ทำไมเวลาที่ได้ยินถ้อยคำสัญญาสาบานว่าจะไม่ทิ้งกันไปไหน ผมถึงได้เชื่อหมดใจว่าพวกเขาจะไม่มีวันทิ้งกันจริงๆ”

“…”

“อาจเพราะเวลาของคนทั้งคู่ไม่ได้เหลือเยอะนักถ้าเทียบกับพวกเรา ผมเลยคิดว่าเขาคงจะอยู่ด้วยกันจนวันสุดท้าย”

“นายบอกว่า...เพื่อนพ่อเหรอ”

“ใช่ เพื่อนพ่ออายุหกสิบ คนรักของเขาอายุห้าสิบแปด” เสียงหัวเราะหึดังขึ้นเบาๆ เมื่อคนพูดเห็นผมผุดลุกขึ้นนั่งแล้วหันไปมองหน้าเขาด้วยความตกใจ “และเขาทั้งคู่เป็นผู้ชาย”

“…”

“ผมอาจยังไม่เข้าใจว่าความรักคืออะไร แต่มีเรื่องหนึ่งที่มั่นใจคือมันเป็นสิ่งสวยงาม...” ดวงตาว่างเปล่าคู่นั้นเบือนมาสบ สะกดไว้ให้จ้องมองกลับโดยไม่อาจละสายตา “ไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใครก็ตาม”



—————————

 



หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 10-08-2018 11:55:38
-12-


“อ่า…”

“คุณหน้าแดง เป็นอะไรหรือเปล่า” ภามเอียงหัว มองมาเหมือนกำลังสำรวจและพยายามทำความเข้าใจกับท่าทีที่ผมแสดงออกไป ขนาดไม่ต้องส่องกระจกยังรู้เลยว่าหน้าตาจะต้องเหวอมากแน่ๆ บวกกับความร้อนที่ข้างแก้มแล้วยิ่งเข้าไปใหญ่

ให้ตายเหอะ...เขาก็พูดธรรมดา มึงเป็นบ้าอะไรเนี่ยไอ้เจได

“เปล่า” ผมโบกมือไปมาแล้วหันหน้าหนี ก่อนจะเอนกายลงนอนบนเตียงนุ่มเพื่อตัดบท

ความรักคือสิ่งสวยงามไม่ว่าจะเกิดขึ้นกับใครงั้นเหรอ...

ไม่อยากเชื่อว่าจะได้ยินประโยคนี้จากคนที่ดูไร้ประสบการณ์โดยสิ้นเชิง

“คุณชอบเปลี่ยนเรื่องเวลาไม่อยากตอบคำถาม” คนด้านข้างยังคงกัดไม่ปล่อย “นิสัยเหมือนเด็กเวลาทำผิดแล้วไม่ยอมรับผิด”

“ไม่ใช่สักหน่อย” ผมขมวดคิ้วมุ่น ไม่รู้จะอธิบายยังไง เพราะขนาดตัวเองยังไม่รู้เลยว่าเป็นอะไร บางทีก็เกลียดความอยากรู้ต้องรู้ของไอ้บ้านี่เหลือเกิน ซึ่งตอนนี้ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่ามันอยากรู้จริงๆ หรืออยากกวนตีนกันแน่

แต่ตอนนี้ไม่ไหวละ ขี้เกียจสงสัย เปลือกตาเหมือนจะปิดยังไงไม่รู้

“จะนอนเหรอ”

“อื้อ...” เพราะแกนั่นแหละทำให้ฉันง่วง

“นอนเถอะ”

ในช่วงเวลาที่รู้สึกคล้ายสติกำลังจะหายไป ผมมองเห็นใบหน้าสมบูรณ์แบบของใครคนหนึ่งในระยะประชิด ขณะที่กำลังคิดว่าเขาจะทำอะไร อีกฝ่ายกลับออกแรงลากแขนทั้งสองข้างของผมเหมือนกำลังลากศพ เพื่อเอาไปวางแหมะไว้บนหมอนแทนที่จะห้อยเท้าอยู่บนพื้น ผมส่งเสียงอืออาเป็นเชิงขอบใจ ก่อนจะพลิกกายหาท่าสบายเพื่อนอนหลับอย่างจริงจัง

คราวนี้จะไม่มีอะไรมารบกวน...

เสียงกิน...เสียงกินอาหารแบบผู้ดีนั่นมันอะไรกัน

ผมรู้สึกเหมือนได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ลอยตรงเข้ามาในโพรงจมูก จนประสาทสัมผัสที่ใกล้จางหายถูกกระตุ้นให้ทำงานอีกครั้ง แถมท้องยังร้องโครกครากเสียงดังแบบไม่อายใคร โอเค...ไม่นอนก็ไม่นอน

ต้นกำเนิดเสียงคือร่างสูงใหญ่ของคุณชายภามที่นั่งไขว่ห้างกินมาม่าอยู่บนโต๊ะติดประตูระเบียง ตอนซื้อของอยู่ในร้าน นอกจากที่โกนหนวดกับของอีกสองสามชิ้น ผมเห็นเขาหยิบมาม่ามาใส่ตะกร้าแค่กระป๋องเดียว ยังคิดในใจอยู่เลยว่าทำไมไม่ซื้อของกินอย่างอื่นด้วย แต่มาถึงตอนนี้ผมเข้าใจแล้ว...

นอกจากหอมแล้วยังล่อคนขี้เซาให้ตื่นได้ด้วย

“ยอมแพ้แล้วเหรอ” คนนิสัยไม่ดีเอ่ยถาม เสียงโมโนโทนติดจะขบขันอยู่นิดหน่อย ผมฟังแล้วได้แต่ทำหน้าตึง ลุกขึ้นนั่งโดยไม่คิดจัดหัวฟูๆ ของตัวเองให้เข้าที่

“ส่งมานี่เลย” ว่าแล้วยื่นมือออกไปหา กะให้เขาส่งมาให้ จะได้รีบกินให้หมดแล้วนอนต่อ แต่ภามกลับส่ายหน้า คิ้วเข้มขมวดเล็กน้อยเหมือนกำลังตำหนิผมอยู่

“มานั่งกินดีๆ”

เบื่อพวกคุณชายจริงโว้ย

แล้วถามว่าทำอะไรได้ไหม...ได้ไม่ได้ก็มานั่งจ๋อมอยู่บนโต๊ะฝั่งตรงข้ามเรียบร้อยแล้ว

“กินได้ยัง” ผมถามเสียงเนือย ง่วงก็ง่วง หิวก็หิว โชคดีที่ครั้งนี้ภามไม่ได้ขัดขวางอะไรอีก เขายื่นถ้วยมาม่ามาให้ แล้วกลับไปนั่งกอดอกมองด้วยท่าทางน่าหมั่นไส้เหมือนเดิม

กว่าจะรู้ตัวว่ากินหมดจนไม่เหลือแม้แต่น้ำสักหยด ก็ตอนที่ได้เงยหน้ามองเจ้าของมาม่าซึ่งน่าจะได้กินไปเพียงคำเดียว ผมยิ้มแหย ลืมตัวไปเสียสนิท แล้วยังมีหน้าส่งถ้วยเปล่าไปให้เขาด้วยนะ

“ไม่เหลือสักหยด” ภามก้มลงมองกระป๋องแล้วพลิกถ้วยคว่ำลงเป็นการพิสูจน์ ซึ่งมันก็ไม่ได้ต่างจากที่เขาพูดนัก เพราะไม่เหลือสักหยดจริงๆ

“หิวนี่นา”

“ตอนอยู่บนเรือก็กิน”

“กินไปนิดเดียวเอง”

“คุณนี่เหมือนแมวจริงๆ” คนตัวสูงส่ายหน้าหน่าย “ไปนอนเถอะ”

“นายไม่ห้ามฉันเหรอ” ผมเบิกตากว้างมองภามด้วยความแปลกใจ ตอนแรกคิดว่าเขาจะต่อว่าเรื่องกินแล้วนอน หรือไม่ก็หาเรื่องมาบีบบังคับ หลอกล่อไม่ให้นอนเหมือนตอนเอาอาหารมาล่อเสียอีก

“ถ้ายังไม่รีบไปนอนจะหาเรื่องห้าม”

เพียงเท่านั้นผมก็รีบโดดขึ้นไปนอนบนเตียงทันที จริงๆ กินแล้วเอนตัวลงนอนมันไม่ใช่เรื่องดีหรอก แต่ถือว่าที่นั่งคุยเมื่อกี้คือพักแล้วละกัน ผมหลับตาปี๋ แกล้งทำเหมือนหลับแบบจริงจัง รอบนี้ไม่มีใครพูดอะไรขึ้นมาอีก ดูเหมือนภามจะยอมให้ผมหลับแล้ว คิดได้แบบนั้นความง่วงก็กลับมาอย่างรวดเร็ว ผมหลับตาลงแล้วปล่อยให้สติล่องลอยไปในที่สุด

ครืด ครืด

โอเค...ไม่นอนก็ไม่นอน

“…ใคร”

[เจได]

ผมรีบผุดลุกขึ้นนั่งอย่างรวดเร็วเมื่อได้ยินเสียงของคนที่ตัวเองลืมไปเสียสนิทว่าควรโทรหา หากเวลานี้คงไม่ใช่เวลาที่น่าถามคำถามนัก เพราะน้ำเสียงของคนสวยแลดูตึงเครียดไม่น้อย

“แม่ มีอะไรหรือเปล่าครับ”

ปกติแม่ผมไม่ใช่คนที่ชอบโทรศัพท์มาหาเท่าไหร่ นอกจากจะมีเรื่องด่วนจริงๆ แม้แต่ตอนที่ผมไปใช้ทุนแม่ยังไม่เคยโทรมาสักสาย มีแต่ตัวเองที่โทรไป ท่านบอกว่าไม่อยากรบกวนเวลาผมทำอะไรอยู่ แต่ถ้าโทรมาขอให้รู้เอาไว้ว่าต้องเป็นเรื่องสำคัญจริงๆ เพราะแบบนั้นตอนขึ้นเกาะมาถึงไม่มีสายที่ไม่ได้รับจากแม่เลยสักสาย

[แม่คิดว่าจะติดต่อลูกไม่ได้เสียอีก]

“เหมือนแม่รู้เลยว่าผมไปอยู่เกาะมา” ผมหัวเราะเบาๆ แล้วพูดต่อ “วันนี้เข้าฝั่งพอดีครับ นี่ก็กะจะโทรหาคนสวยอยู่เลย”

อันที่จริงคือลืมไปแล้ว...

[ยังจะกล้าโกหกแม่อีกนะเจ้าลูกคนนี้]

“แล้วนี่แม่มีอะไรหรือเปล่าครับ”

[เดี๋ยวมืดๆ แล้วรอพ่อเขากลับมาคุยกับเราเองดีกว่า แม่แค่โทรมาลองดูว่าจะติดต่อได้ไหม]

“วันนี้ติดต่อได้แน่นอน ผมจะกลับเข้าเกาะพรุ่งนี้เช้า”

[จ้ะ เที่ยวให้สนุกเถอะ แม่จะให้พ่อโทรไปอีกที]

“ครับผม”

หลังจากกดวางโทรศัพท์เรียบร้อยแล้วผมก็ได้แต่นั่งนิ่งนึกถึงเรื่องที่พ่ออยากคุยด้วย รายนั้นไม่เคยติดต่อผมก่อนเลยสักครั้ง ถ้าถึงขั้นให้คนสวยโทรมาเช็คก่อนแบบนี้คงเป็นเรื่องสำคัญแน่ แต่แม่ผมเป็นคนประเภทที่ถ้าบอกว่าไม่พูดก็คือไม่พูด บอกว่าไว้ก่อนคือไว้ก่อน เพราะงั้นต่อให้ออดอ้อนยังไง ถ้าท่านว่าจะรอพ่อก็คือต้องรอเท่านั้น

“มีอะไรหรือเปล่า” เสียงเนิบๆ จากคนที่ยังนั่งอยู่บนโซฟาตัวเดิมเอ่ยทักขึ้นมา คงเพราะเห็นผมรับโทรศัพท์แล้วนิ่งไปนาน

“ไม่มีอะไร แม่ฉันแค่โทรมาบอกว่าพ่ออยากคุยด้วยน่ะ เดี๋ยวดึกๆ คงโทรมาอีกที”

ภามพยักหน้า ไม่ได้ถามอะไรมากไปกว่านั้น เขายกกาแฟที่ซื้อมาขึ้นดื่มด้วยท่าทางมีมาด พอได้มาเห็นอีกฝ่ายในลุคแบบนี้แล้วผมอดอิจฉาหน่อยๆ ไม่ได้ เป็นคนประเภทที่ไม่ว่าจะทำอะไรก็ดูดีนี่มันน่าหมั่นไส้ชะมัด

อาจเพราะถูกรบกวนหลายรอบจนรู้สึกว่าขืนพยายามหลับต้องมีเรื่องน่าปวดหัวอะไรเกิดขึ้นอีกแน่ ผมเลยตัดสินใจเปิดทีวีดูการ์ตูนฆ่าเวลา เพราะมันทำให้นึกถึงสมัยเด็กๆ ที่เอะอะต้องดูการ์ตูนตลอด จะว่าไปก็คงหลังจากสอบเข้าแพทย์มั้งที่ผมแทบไม่ได้เปิดทีวีอีกเลย นานเท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ที่ไม่ได้ผ่อนคลายแบบนี้

“คุณเป็นหมออะไรเหรอ” จู่ๆ คนที่ย้ายตัวมานอนพิงเตียงข้างผมก็ถามขึ้นมาลอยๆ ทำเอาเปลี่ยนอารมณ์แทบไม่ทัน จากที่กำลังหัวเราะการ์ตูนเกือบจะสำลักน้ำลายตัวเอง

“ถ้าภาษาชาวบ้านก็หมอเด็ก”

“อา…” ภามพยักหน้าเข้าใจ “ปกติหมอเด็กเขาต้องทำตัวเหมือนเด็กแบบนี้ไหม”

“…นี่ด่าเหรอ” ผมมองหน้าภามด้วยแววตาว่างเปล่า เห็นได้ชัดว่าคำตอบคืออะไร แต่เขาก็ยังส่ายหน้าแล้วอธิบายต่อ

“ไม่ได้ด่านะ แค่รู้สึกเหมือนคุณยังเป็นเด็ก เลยสงสัยว่าหมอเด็กเขาต้องทำตัวเด็กเหมือนคุณไหม”

“สรุปนายจะว่าฉันเหมือนแมวหรือเหมือนเด็กกันแน่”

เดี๋ยว...นี่ถามประชด คุณท่านจะทำหน้าคิดหนักเพื่ออะไร

“แมว”

“…”

“…”

ผมถอนหายใจเมื่อพบว่าภามยังคงจ้องหน้ากันเหมือนจะให้ตอบคำถามของเขาให้ได้ ประมาณว่าถ้าแกไม่ตอบฉันก็จะจ้องแกอยู่แบบนี้ อะไรประมาณนั้น

“ฉันก็แค่ร่าเริงผิดปกติไปบ้างเพราะไม่ได้พักผ่อนมานาน”

“ผมเห็นคุณยิ้มตลอดเวลาตอนที่คุยกับเด็ก”

คงหมายถึงน้องลม

“ฉันชอบเด็ก ถึงได้เลือกเรียนเฉพาะทางด้านนี้ แต่พอถึงเวลาทำงานจริงมันไม่ใช่ว่าเราจะได้เล่นกับพวกเขาไง บางทีเด็กเจ็บป่วยมาหา ร้องไห้ไม่หยุด จากที่ดีใจเพราะจะได้เล่นด้วย มันเลยกลายเป็นปวดใจตามเพราะเห็นพวกเขาไม่สบายจนต้องมาหาหมอถึงโรงพยาบาล” ผมไม่ได้สนุกเลยสักนิดเวลาที่เห็นเด็กๆ ที่โรงพยาบาล เพราะถ้าได้เจอ นั่นหมายความว่าพวกเขาเจ็บป่วยอีกแล้ว แบบนั้นใครจะดีใจหรือสนุกได้ลง เห็นพวกเขาร้องไห้แล้วผมก็เศร้าใจไปด้วย

“เหมือนเวลาผมทำงาน” ภามพูดแทรกขึ้นมา “ผมชอบถ่ายรูป ชอบธรรมชาติ แต่บางครั้งเวลาคนสั่งงานเข้ามาแล้วรีเควสว่าจะเอาภาพแบบนั้นแบบนี้ ผมต้องทำตามจนไม่มีอิสระในการถ่ายแบบที่ชอบเลย ถ้าไม่ได้กำหนดชัดเจนว่าไม่รับถ่ายภาพคนคงจะลำบากกว่านี้”

“นายทำงานด้วยเหรอ”

“รับบ้างบางเวลา ส่วนใหญ่จะเป็นลูกค้ากลุ่มเดิมๆ ทำพวกโปรโมทการท่องเที่ยวหรือเอารูปลงหนังสืออะไรพวกนั้น”

“ดีนะ ได้เที่ยวตามที่ใจอยากแล้วยังได้ทำงานไปด้วย” ถึงจะพูดไปแบบนั้น แต่ผมเชื่อว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายหรอก เขาจะต้องมีชื่อเสียงพอสมควรแน่นอน ลูกค้าถึงได้ตามติดขนาดนี้แม้จะไม่ได้อยู่เป็นที่เป็นทาง “แล้วนายไม่ได้กลับบ้านไปหาพี่บ้างเลยเหรอ”

“นานๆ ที” เขาตอบแล้วทำหน้าครุ่นคิด “อันที่จริงผมมีคอนโดของตัวเอง ปกติถ้ากลับไปก็ชอบขลุกอยู่คอนโดเพื่อทำงานหรือส่งงานมากกว่า”

“มิน่าไอ้เก้ามันถึงได้บ่นนักบ่นหนาว่านายไม่ยอมกลับบ้าน”

ตอนนั้นผมทำงาน ไม่ได้คุยไลน์อะไรกับมัน แต่พอมาอ่านย้อนหลังแล้วพบว่าไอ้เก้าบ่นเรื่องภามยาวเป็นสิบบรรทัดให้ไอ้โซฟัง มันบอกว่าตัวเองต้องคอยรองรับอารมณ์แฟนที่หงุดหงิดแบบเงียบๆ เพราะน้องชายไม่ยอมกลับไปหา มีครั้งหนึ่งถึงขั้นไปดักรอที่คอนโดตอนได้ยินว่าภามจะกลับอังกฤษ กลับกลายเป็นอีกฝ่ายลงเครื่องปุ๊บนั่งรถไปนอนโรงแรมปั๊บ เพราะวันถัดไปจะบินต่อเลย ทำเอาคนเจ้าเล่ห์อย่างไอ้เก้าหัวลุกเป็นไฟ จนผมอยากจะถามเหลือเกินว่า...

มึงถ่ายทอดนิสัยให้น้องผัวเองไม่ใช่เรอะ

ตอนนั้นไอ้โซสมน้ำหน้ามันเผื่อผมไปหลายประโยค จนกระทั่งไอ้เพื่อนเวรมันจับได้ว่าผมแอบอ่านนั่นแหละ เล่นซะปิดโทรศัพท์หนีแทบไม่ทัน

“แล้วนายไม่คิดถึงพี่ชายบ้างเหรอ ถึงไม่ค่อยกลับไปเยี่ยม” ผมถามอย่างอดไม่ได้ ดูแล้วพี่ชายภามน่าจะรักและห่วงน้องชายตัวเองมาก ซึ่งผมคิดว่าภามเองก็คงไม่ต่างกัน สังเกตเอาจากแววตาและน้ำเสียงยามพูดถึงพี่ตัวเองก็รู้แล้ว

“พี่ไม่ค่อยอยากให้ผมเดินทางไกล ถ้าไปเจอบ่อยๆ คงโดนโน้มน้าวจนต้องเปลี่ยนใจไปทำงานกับพี่แทนแน่ๆ” เขาตอบแล้วถอนหายใจเหมือนจะคิดหนัก ดูท่าก็คงอยากเจอพี่ แต่ก็อยากเดินทางด้วย

“เข้าใจเลย” ผมตบบ่าภามด้วยความเข้าใจ “ก็เอาแบบนี้ดิ นายก็...”

ผมพูดนู่นพูดนี่นำเสนอวิธีการให้ภามสารพัด จากชั่วโมงเริ่มกลายเป็นหลายชั่วโมง พูดจนคอแห้งแล้วแห้งอีก คุยกันยันท้องฟ้ามืดมิดผมถึงได้รู้ตัวว่าอีกฝ่ายแทบจะพูดออกมาแบบนับคำได้ มิน่าทำไมเหนื่อยนัก...

ระหว่างที่กำลังเตรียมตัวลงไปเดินตลาดริมทะเล ผมเห็นภามนั่งดูกล้องอย่างตั้งใจ ดูท่าอีกฝ่ายคงพกไปถ่ายรูปด้วย แล้วลองก้มหน้าดูสภาพตัวเอง...นอกจากจะใส่รองเท้าแตะแล้วผมยังไม่ได้ถืออะไรสักอย่าง คิดได้ดังนั้นเลยคว้ากระเป๋าสตางค์ที่ไม่ใช่ของตัวเองมาถือไว้ให้ โดยไม่ลืมหันไปฉีกยิ้มใส่เจ้าของ

“เดี๋ยวดูแลเงินให้เอง”

ภามมองหน้าผมแล้วลุกขึ้นยืน มองนิ่งอยู่อย่างนั้นจนผมเริ่มรู้สึกเหมือนเหงือกแห้ง แต่แล้วเขาก็พยักหน้าเป็นอันตกลงจนได้ หึ...นอกจากจะไม่ต้องใช้เงินตัวเอง เจ้าของเงินยังอนุญาตให้ใช้เงินเขาได้ตามสะดวกด้วย คงไม่มีอะไรสบายได้เท่านี้แล้ว

ตลาดกลางคืนเป็นตลาดที่มีลักษณะคล้ายๆ กับงานวัดในรูปแบบหนึ่งเลยก็ว่าได้ ทั้งสองข้างทางติดถนนเต็มไปด้วยร้านขายของมากมาย ทั้งที่เป็นร้านในตัวตึกอยู่แล้วและร้านตามรถเข็นที่เอามาตั้งขายของ มีนักท่องเที่ยวเดินผ่านไปผ่านมาเป็นจำนวนมาก โดยเฉพาะชาวต่างชาติที่ดูคล้ายจะสนใจพวกร้านทำกิจกรรมกันสุดๆ กระทั่งร้านสาวน้อยตกน้ำยังมี

จะว่าไปแล้วก็น่าให้ภามไปลองเล่นดู เห็นจ้องตาไม่กะพริบ สงสัยไม่เคยเห็นมาก่อน

“ถ้าอยากกินอะไรบอกได้เลยนะ เดี๋ยวป๋าเลี้ยงเอง” ผมหันไปบอกเขาพร้อมตบกระเป๋ากางเกงตัวเองดังแปะๆ ก่อนจะหัวเราะออกมาเสียงดังเมื่อเห็นแววตาเหมือนอยากจะด่าของอีกคน

“กินไม่เป็นสักอย่าง” ภามว่าแล้วกวาดสายตาไปรอบๆ

“งั้นเริ่มจากนี่ก่อนเลย” ผมคว้าแขนคนข้างกาย ลากจูงให้ข้ามถนนไปหยุดอยู่หน้าร้านค้าจากรถเข็นร้านหนึ่งซึ่งมีคุณลุงยืนปิ้งของที่ผมต้องการอยู่ “เอาสองฟองครับลุง”

“ได้เลยพ่อหนุ่ม”

เมื่อได้ของที่ต้องการเรียบร้อยแล้ว ผมก็รีบจ่ายเงินแล้วพาภามมาหลบอยู่ตรงต้นมะพร้าวต้นหนึ่ง จริงๆ ก็อยากเดินซื้อแล้วมานั่งกินทีเดียวอยู่หรอก แต่ดูจากความยาวของถนนแล้ว ท่าทางกว่าจะเดินสุดของกินคงหายร้อนก่อน

“ไข่?” ภามขมวดคิ้วมองของในมือผมนิ่ง กะแล้วเชียวว่าต้องไม่รู้จัก เห็นแบบนั้นผมเลยแกะเปลือกออก เอาซีอิ๊วใส่ ก่อนจะส่งไปให้ถึงปาก

“รีบกินตอนร้อนๆ เร็ว”

ภามกะพริบตามองหน้าผมเหมือนกำลังสงสัยอะไร แต่พอผมเขย่ามือเป็นเชิงบอกให้ก้มลงมากินสักที เขาก็ก้มลงกัดไข่ที่แกะเปลือกออกแล้วแต่โดยดี ใบหน้าปลาตายคล้ายจะแสดงอารมณ์แปลกๆ ออกมาจนดูน่าขำ ไม่ต้องรอให้ผมถามว่าเป็นยังไง อีกฝ่ายก็ขมวดคิ้วแล้วพูดออกมาเอง

“ติดคอ”

“ไม่แปลก” ผมหัวเราะก๊าก เอาไข่ที่เหลือเกินครึ่งยัดใส่ปากในคราวเดียว “มันเรียกว่าไข่ปิ้ง”

“ชื่อธรรมดามาก” เขาว่าแล้วหันหลังเดินไปซื้อน้ำเปล่าที่ร้านใกล้ๆ แต่แล้วเมื่อทำท่าจะควักกระเป๋า เหมือนจะคิดได้ว่าเงินทั้งหมดอยู่ที่ผมถึงได้กวักมือเรียกยิกๆ สีหน้าย่ำแย่กว่าเดิมหนึ่งระดับ สงสัยกัดโดนไข่แดงเข้าเต็มๆ มั้ง มิน่าตอนผมกินต่อถึงได้ไม่รู้สึกฝืดคอเลย

เหมือนว่ายิ่งดึกคนจะยิ่งเยอะมากขึ้นเรื่อยๆ ตอนนี้เดินกันเต็มถนนจนแทบไม่มีที่ให้รถผ่านไปผ่านมา ผมจับชายเสื้อภามไว้เหมือนเด็กๆ เพราะกลัวว่าจะหลงแล้วหากันไม่เจอ ของกินส่วนใหญ่ที่ซื้อมาคุณชายช่วยถือให้ทั้งหมด ไม่ใช่ว่าผมจะกันไม่ให้ถ่ายรูปนะ แต่ถามดูแล้วเขาบอกว่ายังไม่ถ่ายต่างหาก ไม่เข้าใจเหมือนกันว่าถ้าอย่างนั้นจะเอากล้องมาทำไม

“หน้ากากๆ” ผมชี้ให้ภามดูร้านขายหน้ากากด้วยความตื่นเต้นก่อนจะลากเขาให้เดินตามไป มันเป็นแค่หน้ากากพลาสติกธรรมดาๆ แบบที่พ่อแม่ชอบซื้อให้เด็กๆ ใส่ แต่คงเป็นเพราะผมไม่ได้เที่ยวมานานมากเกินไป แค่เจออะไรที่ไม่ได้เห็นบ่อยๆ เลยตื่นเต้นไปหมด

“อันนี้เหมาะกับคุณ” ภามเอาหน้ากากอันหนึ่งมาทาบหน้าผม มุมปากผุดรอยยิ้มน้อยๆ อันหาได้ยากขึ้นชั่ววูบ ทำเอาผมเผลอชะงักไปจังหวะหนึ่ง และทำให้เสียงจ้อกแจ้กจอแจของคนที่มองตามเขาทั้งหลายหวีดร้องกันจนแทบเป็นลมไปด้วย

ผมอุตส่าห์ทำเป็นไม่สนใจบรรดาสาวๆ ทั้งหลายแล้วนะ เพราะเห็นพวกเธอไม่ได้เข้ามายุ่งอะไรนอกจากมองตาม แต่ครั้งนี้ชัดสุดๆ เอาเถอะ...เห็นคนหน้าปลาตายยิ้ม เป็นใครก็ต้องใจเต้นเป็นเรื่องปกติ เพราะงั้นที่ผมเผลอใจเต้นไปก็ไม่ได้แปลกอะไรเหมือนกัน

“อันนี้ของนาย” เมื่อได้สติกลับมาแล้วผมเลยสวมหน้ากากเสือสีเหลืองหน้าตาตลกให้เขา มองดูผลงานแล้วได้แต่หัวเราะออกมาเบาๆ โดยไม่ได้รู้เลยว่าตัวเองก็ใส่หน้ากากแมวสีชมพูหน้าตาตลกไม่แพ้กันอยู่ จนกระทั่งภามยื่นมือไปผลักกระจกร้านให้ส่องมาที่หน้าผมนั่นแหละถึงได้รู้ตัว

สรุปเรากลายเป็นผู้ใหญ่อายุเกือบสามสิบที่ใส่หน้ากากของเล่นสำหรับเด็กสิบขวบไปแล้ว...

“ผมอยากกินอันนั้น” ภามกระตุกแขนเสื้อผมแล้วชี้ไปที่รถเข็นหมูปิ้งที่อยู่ห่างจากร้านหน้ากากไปสี่ร้าน ผมได้แต่ก้มลงมองถุงของกินสารพัดอย่างที่เขาถืออยู่เงียบๆ แต่สุดท้ายก็พยักหน้าแล้วเดินไปซื้อให้ เพราะคิดได้ว่าของกินส่วนใหญ่ผมเป็นคนเลือกทั้งนั้น ภามแทบไม่ได้ออกความเห็น สงสัยหมูปิ้งคงน่ากินมากจริงๆ เขาถึงได้พูดออกมา

“เอาห้าไม้พอไหม” ผมหันไปถามคนอยากกิน

“ปกติคุณกินกี่ไม้”

“สิบ แต่นี่เรามีของกินเยอะแล้ว”

“งั้นห้าก็ได้”

เมื่อตกลงกันได้แล้วผมก็หันไปสั่งหมูปิ้งห้าไม้  ทันเห็นคุณป้าขำนิดหน่อยเมื่อมองหน้าเราสองคนพอดี ถึงตอนซื้อหน้ากากจะไม่ได้คิดอะไร แต่พอเจอแบบนี้ก็เริ่มเขินอยู่เหมือนกัน

“เดี๋ยวซื้อนี่แล้วไปหาที่นั่งกินกันดีกว่า” ผมหันไปกระซิบบอกภาม ซึ่งเขาเองก็พยักหน้าเห็นด้วยโดยไม่ได้ว่าอะไร

อันที่จริงบริเวณที่นั่งรอบต้นมะพร้าวก็มีที่ให้นั่งอยู่หลายจุด เพียงแต่ในยามนี้ผมหันไปทางไหนก็มีแต่คนเต็มไปหมด เมื่อกี้เดินผ่านได้ยินสาวๆ ด้านข้างคุยกับเพื่อนว่าตลาดปลายเดือนจะคึกคักเป็นพิเศษ

มิน่าคนถึงได้เยอะอย่างกับหนอน

ในเมื่อหาที่นั่งไม่ได้ สุดท้ายเราเลยต้องเดินหิ้วถุงอาหารเป็นสิบถุงลงไปบนหาด ใช้รองเท้าต่างเก้าอี้กันไม่ให้เปื้อนมากนัก แล้วเอาหนังสือพิมพ์ที่ซื้อมาปูตรงกลางไว้วางอาหาร โชคดีที่แสงจากตลาดพอจะส่องลงมาถึงจุดที่ผมกับภามนั่งอยู่บ้าง มันเลยไม่ได้วังเวงมากนัก แต่เสียงจากจุดที่ผู้คนอยู่กลับไม่ได้ยินเลยแม้แต่นิดเดียว มาเริ่มสงสัยว่าเดินลงมาไกลไปไหมก็ตอนนี้

“มันเงียบไปไหม” ผมหันไปขอความเห็นจากคนข้างกาย กะว่าถ้าเขาพยักหน้าจะได้ขยับขึ้นไปด้านบนหน่อย

“เงียบๆ ก็ดีแล้ว”

“โอเค” เอาเถอะ ผมก็ไม่ได้เรื่องมากอะไรอยู่แล้ว

เราสองคนต่างหันหน้าออกไปมองทะเล มีแค่มือที่หยิบของกินเข้าปากเรื่อยๆ โดยไม่รู้จักอิ่ม ผมนึกแปลกใจอยู่ไม่น้อยที่อากาศเย็นขนาดนี้แต่ฝนกลับไม่มีทีท่าว่าจะตก เหมือนฟ้าฝนจะเป็นใจให้เที่ยวเสียเหลือเกิน

“ถ้าออกมาจากเกาะแล้ว เราจะไปเที่ยวที่ไหนต่อดี” ผมหาเรื่องถามออกไปตามประสาคนไม่ชอบบรรยากาศแปลกๆ จะว่าสงบเกินก็คงไม่ใช่ รู้แค่ว่ามันทำให้คันยุบยิบในใจโดยไร้เหตุผล แต่ไม่รู้ว่าคำถามมันตอบยากหรือยังไง ภามถึงได้นิ่งค้างไปนานมากจนผมต้องหันไปมองเพื่อทวงถาม

ทำหน้าแปลกใจทำไม...ไม่ใช่ว่าเราตกลงว่าจะเที่ยวด้วยกันสองเดือนเหรอ หรือผมยังไม่ได้ตกลงวะ

“ผมอยากไปเหนือ” พ่อคนรู้ทันรีบตอบเมื่อเห็นผมเริ่มสับสน แม้จะไม่แน่ใจนักว่าได้ตกลงไปหรือเปล่า แต่ผมก็ปล่อยผ่านไป เพราะยังไงก็ไม่มีจุดหมาย มีคนไปไหนมาไหนด้วยก็ไม่ได้เลวร้ายอะไร

“เลือกซะทิศทางตรงกันข้ามเลยนะ” ผมบ่นแบบไม่จริงจังนักแล้วหยิบขนมเบื้องเข้าปาก แต่กัดคำเล็กๆ มันไม่สะใจ ต้องยัดเข้าไปทั้งชิ้นถึงจะอร่อยเต็มปากเต็มคำ

แชะ!

“อีกแอ้ว” ผมหันไปขมวดคิ้วใส่ภามทั้งที่ยังคาบของกินไว้ในปาก ทว่านอกจากจะไม่สำนึกแล้ว เขายังกดถ่ายซ้ำอีกรอบด้วย กว่าจะกลืนของกินลงท้องได้หมด คาดว่าน่าจะโดนถ่ายรูปน่าเกลียดๆ ไปแล้วเกินสามรูป “อย่าบอกนะว่าเอากล้องมาเพื่อถ่ายฉันน่ะ”

“ใช่”

เกลียดความตอบหน้าตายของเขาจริงๆ

ผมดึงกล้องมากดดูรูป แล้วก็ตามคาด หน้าตาตัวเองในนั้นดูน่าเกลียดสุดๆ นอกจากของกินจะเต็มปากแล้วยังมีหน้ากากแมวที่ผมดึงขึ้นไปไว้บนหัวช่วยเสริมให้หน้าตาดูตลกกว่าเดิมหลายเท่าด้วย ถึงแสงจะสวยขนาดไหน เห็นหน้าไม่ชัดอย่างไร มันก็ยังดูออกว่าเป็นผมอยู่ดี

“น่าเกลียด” บ่นแล้วตั้งท่าจะกดปุ่มลบ แต่แค่คิดจะทำเจ้าของกล้องก็ยื่นมือมาดึงกล้องของตัวเองคืนไปอย่างรวดเร็ว

“ห้ามลบ”

“อยากเก็บไว้ให้กล้องหมองก็ตามใจ ว่าแต่นายถ่ายแบบไม่ใช่ทีเผลอบ้างก็ได้มั้ง เดี๋ยวเป็นนายแบบให้” ไหนๆ ก็อยากถ่ายรูปผมนัก ช่วยถ่ายให้ดูเป็นผู้เป็นคนบ้างเถอะ เผื่อจะเอารูปสวยๆ ไปใช้ได้บ้าง

“คุณจะเป็นนายแบบให้?” ภามทวนคำ หน้าตาเหมือนจะประหลาดใจไม่น้อย

“ก็ใช่น่ะสิ จะให้ทำท่าอะไร บอกมาได้เลย” ผมชะงักไปวูบหนึ่งเมื่อนึกอะไรขึ้นมาได้ “แต่นายไม่ชอบกำกับนี่นา แล้วฉันก็ไม่ได้มีความคิดสร้างสรรค์ในการหาท่าด้วย”

“ถ้าแค่จัดเฉยๆ ไม่ได้คิดอะไรมาก แบบเดียวกับตอนอยู่บนเขา อย่างนั้นผมทำได้”

อ๋อ...ตอนอยู่บนเขาช่วงที่ผมเบลอๆ เขาก็เข้ามาจัดท่าให้นี่นะ ถึงจะไม่ค่อยรู้สึกตัวก็เถอะ

“งั้นเริ่มยังไงดี” ผมขยับตัวขยุกขยิกเตรียมพร้อม

“หันตัวไปทางทะเล ทำท่าตามสบาย พอผมบอกค่อยหันหน้ามายิ้มให้กล้อง” เขาออกคำสั่งรวดเดียวจบและส่ายหน้าเมื่อเห็นผมทำท่าจะเอาหน้ากากบนหัวออก “เอาไว้แบบนั้นแหละ”

“มันไม่ดูตลกเหรอ”

“ไม่”

เอาเถอะ ว่าไงว่าตามกัน

ผมหันตัวกลับไปทางทะเล ชันเข่าทั้งสองขึ้นแล้วเอาแขนกอดไว้ ได้ยินเสียงแชะดังอยู่สองครั้งก่อนเขาจะบอกให้หันไป ผมทำตามที่ภามบอก ยิ้มอย่างเป็นธรรมชาติ อารมณ์ตอนนี้สดใสมากจนไม่ต้องฝืนเลยแม้แต่นิดเดียว ทั้งได้กินอิ่มแล้วยังได้นอนเยอะติดต่อกันมาหลายวัน ไม่มีอะไรแฮปปี้เท่านี้แล้ว

“มีอะไรเหรอ” จากที่กำลังยิ้มพร้อมกับขยับเอียงตัวไปมาหาองศา จู่ๆ ช่างภาพก็หยุดกะทันหัน เขาลดกล้องลงต่ำแล้วยื่นมือมาหา ผมได้แต่มองปลายนิ้วยาวที่แตะลงบนมุมปากของตัวเองด้วยความตกใจ หัวใจคล้ายจะกระเด็นหลุดออกไปด้านนอกเมื่อปลายนิ้วนั้นยังคงปัดไปมาที่ริมฝีปากอยู่นานหลายวินาที

“เลอะ” ภามพูดแค่นั้นแล้วถอนมือออกไป ผมจ้องตาเขาเขม็งจนคล้ายสติจะหลุดลอยตามไปด้วย ซึ่งคนตรงหน้าก็ไม่ได้มีทีท่าว่าจะยกกล้องขึ้นกดถ่ายต่อแต่อย่างใด เขาแค่มองผมกลับนิ่งๆ ด้วยแววตาที่ไม่ได้นิ่งตาม

ทีในเวลาแบบนี้ดันอ่านแววตาคู่นั้นไม่ออก แถมยังก้มหน้าหลบก่อนด้วย น่าอับอายชะมัด

ครืด ครืด

ฉิบ...หัวใจจะวาย

เสียงโทรศัพท์ของผมดังแทรกบรรยากาศอันน่ากระอักกระอ่วนใจระหว่างพวกเรา...หรือแค่ผมฝ่ายเดียวก็ไม่รู้ แต่ที่แน่ๆ คือคนที่โทรมาได้ช่วยชีวิตผมไปแล้วโดยไม่รู้ตัว

“พ่อ?”

[เจได] เสียงของตาแก่ที่ปกติจะกวนใส่หรือดูเนือยๆ ยามนี้จริงจังเหมือนกำลังจะคุยเรื่องคอขาดบาดตาย ทำให้ผมต้องรีบขยับตัวตั้งตรงแล้วดึงสติกลับเข้าที่อย่างรวดเร็ว

“ครับ”

[แกอาจต้องกลับมาไวกว่าปกติสักหน่อย]

“เกิดอะไรขึ้นครับพ่อ” ผมขมวดคิ้วหน้าเครียด ต้องมีเรื่องราวจำเป็นมากเกิดขึ้นแน่ถึงได้โดนตามตัวกลับ เพราะพ่อแม่ผมไม่ใช่คนที่จะมาเปลี่ยนใจอะไรในภายหลัง และถ้าพ่อเร่งเองแบบนี้ เห็นทีต้องเป็นเรื่องเกี่ยวกับ...

[จำคนไข้เด็กที่เคยถูกส่งตัวมาจากภูเก็ตได้หรือเปล่า...]

คนไข้ของผมจริงๆ ด้วย

“จำได้ครับ”

[เมื่อวานพ่อได้รับสายจากผู้ปกครองของเด็กคนนั้น...]

ผมรับฟังเรื่องราวทั้งหมดจากพ่อด้วยใบหน้าเคร่งเครียด สมองถูกใช้งานอย่างหนักเพื่อรื้อฟื้นความทรงจำเกี่ยวกับเรื่องราวของคนไข้แสนคุ้นเคยที่ไม่ได้ยินข่าวมาพักใหญ่ สุดท้ายเมื่อพ่อวางสายไปแล้ว ผมก็ยังนั่งนิ่งอยู่แบบนั้น ไม่รู้ว่านานเท่่าไหร่เหมือนกัน จนกระทั่งถูกแตะที่ฝ่ามือซึ่งกำไว้แน่นเบาๆ ถึงได้รู้ตัว

“ขอโทษนะภาม ดูเหมือนฉันจะไปเหนือกับนายไม่ได้แล้ว” สิ่งแรกที่ผมทำเมื่อรู้สึกตัวคือการหันไปหาคนข้างกายแล้วเอ่ยคำขอโทษออกมา

ทั้งที่เพิ่งตกลงกันไปแท้ๆ แต่กลับต้องมายกเลิกแบบนี้...

“ผมเข้าใจ” เขาพยักหน้าให้แล้วก็เงียบไป ผมมองสำรวจใบหน้านั้นอยู่นาน นานจนพบว่าไม่มีอารมณ์ใดๆ แฝงอยู่ทั้งสิ้นถึงได้ถอนหายใจออกมา

“ฉันไม่แน่ใจว่านายจะอยากรู้เรื่องไหม...” แล้วก็พูดออกไปด้วยน้ำเสียงไม่มั่นใจจนได้

เกลียดตัวเองจริงๆ ที่นึกอยากอธิบายก็อธิบายขึ้นมาโดยที่เขาไม่ได้ขอเลยสักคำ

“…”

“เมื่อปีก่อนมีคนไข้คนหนึ่งถูกส่งตัวจากโรงพยาบาลในภูเก็ตมาที่โรงพยาบาลของฉัน เขาเป็นเด็กผู้ชายอายุสิบห้าสิบหกซึ่งเป็นโรคเกี่ยวกับหัวใจ”

“…”

“เด็กคนนั้นชื่อระฟ้า”


——————————


 



หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 10-08-2018 11:56:36
-13-



น้องระฟ้าเป็นเด็กผู้ชายวัยมัธยมที่ถูกส่งตัวจากภูเก็ตเข้ามาที่กรุงเทพฯ เมื่อหลายเดือนก่อนก่อน เหมือนทางผู้ปกครองของน้องเป็นผู้ระบุเองว่าต้องการให้เข้ามาตรวจร่างกายใหม่ทั้งหมดที่นี่ ผมไม่แน่ใจว่าเหตุผลเกิดจากอะไร แต่อาจเป็นเพราะรู้จักกับพ่อผมเป็นการส่วนตัวก็ได้ ตอนนั้นผมเป็นคนรับเคสน้องไว้ เมื่อตรวจเบื้องต้นเสร็จแล้วก็ส่งต่อไปให้แพทย์เฉพาะโรคหัวใจอีกที

ตามคาด...น้องเป็นโรคลิ้นหัวใจรั่ว ในขั้นแรกไม่ต้องทำการผ่าตัดในทันที แต่ต้องทานยาช่วยอย่างต่อเนื่อง โดยหลังจากนั้นน้องก็กลับไปภูเก็ตเหมือนเดิม

ส่วนเหตุผลที่ผมถูกพ่อเรียกตัวกลับไป เป็นเพราะเมื่อวันสองวันก่อน ผู้ปกครองของน้องโทรมาบอกว่าอาการของน้องไม่ดีขึ้นเลย เหมือนจะแย่ลงด้วย เลยอยากจะพาเข้ามาที่โรงพยาบาลอีก ถ้าต้องผ่าตัดด้วยวิธีใดๆ ก็ตามแล้วน้องยินยอมก็จะทำโดยไม่รอเวลา

นั่นแหละปัญหา...

“ฉันเคยดูแลน้องระฟ้าอยู่พักหนึ่ง ใช้เวลาอยู่นานกว่าจะสนิทกันจนน้องยอมเชื่อฟัง เด็กคนนั้นน่าสงสารมาก เวลาเป็นอะไรจะชอบเก็บไว้ในใจ ดูเหมือนไม่ไว้ใจใครเลยสักคน ผู้ปกครองที่ว่าไม่ใช่ญาติที่แท้จริงเลยด้วยซ้ำ แต่เป็นป้าแม่บ้านที่แม่น้องให้มาดูแลแทน เพราะตัวเองวุ่นวายอยู่กับธุรกิจจนไม่ค่อยมีเวลาให้ลูก”

“เด็กนั่นติดคุณใช่ไหม”

ผมเงยหน้ามองภามด้วยสีหน้าประหลาดใจ ก่อนจะพยักหน้าเป็นการตอบรับ

“น้องระไม่ได้แสดงอาการต่อต้านใครเลย จะจับฉีดยา จับตรวจ ทำอะไรน้องก็จะนิ่ง แต่หน้าเศร้าๆ เหมือนทุกข์ใจอยู่ตลอดของน้องทำให้ทุกคนรู้สึกไม่ดี ถ้าไม่ได้รับความยินยอมจากคนไข้ หรือถ้าคนไข้ไม่อยากรักษา ต่อให้พยายามแค่ไหนก็คงช่วยไม่ได้ทั้งหมด”

“ผมเข้าใจ” ภามพูดด้วยน้ำเสียงราบเรียบ ทว่าสีหน้าเขาบ่งบอกว่าเข้าใจจริงๆ ตามที่พูด ผมได้แต่เอียงหัวมองด้วยความแปลกใจ แต่ก็ปล่อยผ่านไปโดยไม่ได้ถามอะไร

“น้องระฟ้าเห็นฉันเป็นเหมือนพี่คนหนึ่งน่ะ ถ้าฉันช่วยพูดจนเข้าใจ น้องจะฟังแล้วยอมทำตาม หมอคนอื่นก็บอกเหมือนกันว่าน้องฟังแค่ฉันคนเดียว เวลาทำตามก็ดูเต็มใจมากขึ้นด้วย”

“คุณพ่อคุณเลยอยากให้กลับไปดูแลเด็กคนนั้นสินะ”

“ใช่” ผมพยักหน้า

พ่อผมรู้จักกับแม่น้องระ ท่านบอกว่าแม่น้องสนใจแต่งานมาตั้งแต่น้องยังเด็ก หลังแยกทางกับสามีก็เลยทำงานหนักกว่าเดิมเป็นเท่าตัว พออะไรๆ เริ่มเข้าที่เข้าทางแล้วถึงจะปลีกตัวมาได้บ้าง แต่ยังไม่เต็มที่เท่าไหร่ น้องเลยไม่ค่อยได้อยู่กับแม่ ปกติก็มีแค่ป้าแม่บ้านที่คอยเลี้ยงดูและสั่งสอน ส่วนพ่อแท้ๆ หลังจากแยกทางกันก็ไม่รู้ว่าไปอยู่ไหนแล้ว

“คุณต้องกลับไปตอนไหน” ภามหันมาถาม ไม่ได้มีทีท่าไม่พอใจอะไร กลับกันเขาดูเข้าอกเข้าใจผมมากกว่าเก่าด้วยซ้ำ

“น้องจะบินมาวันที่ห้าของเดือนหน้า แต่ฉันคงต้องกลับไปรอก่อนสองสามวัน” เท่ากับว่าหลังจากครบหนึ่งเดือนบนเกาะแล้ว ผมต้องเดินทางกลับทันที

“เข้าใจแล้ว” อีกฝ่ายพยักหน้าแล้วเงียบไป

นายโอเคหรือเปล่า...

ผมเม้มปากแล้วกลืนคำถามนั้นลงคอ ขนาดตัวเองยังไม่เข้าใจว่าจะถามแบบนั้นออกไปเพื่ออะไร แล้วจะให้ถามเขาได้ยังไงกัน แต่ว่า...หน้าตาที่ดูราบเรียบนั่นทำให้ผมอึดอัดใจเหลือเกิน มันเป็นสีหน้าแบบเดียวกับตอนที่เราได้เจอกันครั้งแรก ไม่ใช่สีหน้าของภามคนที่อยู่กับผม เพราะถ้าเป็นภามที่อยู่กับผม ต่อให้ใบหน้าเขาดูเรียบเฉย น้ำเสียงโมโนโทนขนาดไหน แต่ผมมักจะสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงบนใบหน้านั้นได้ชัดเจนเสมอ เขามักจะแสดงความรู้สึกออกมาโดยไม่รู้ตัว

แต่ตอนนี้ไม่มีเลย...

“ตอนฉันอาบน้ำเมื่อเช้า นายได้แอบดูเปล่าเนี่ย” ผมแกล้งถามติดตลก แม้จะรู้ว่าถ้าถามไปแล้วจะต้องหน้าไหม้เองก็ตาม แต่อย่างน้อยมันก็ยังดีว่าบรรยากาศตอนนี้

“เปล่า”

ปกติต้องกวนตีนกันไม่ใช่เหรอ...

ผมพูดอะไรไม่ออกเพราะภามทำเหมือนอยากตัดบท เมื่อคืนก่อนกลับมาที่เกาะ เราไม่ได้พูดคุยอะไรกันเลย ผมตั้งใจจะเล่าเรื่องน้องระฟ้าให้เขาฟังตอนถึงห้อง แต่แค่เอนตัวลงนอนก็เผลอหลับสนิทในทันที ขนาดตื่นเช้ามาอาบน้ำในห้องน้ำซีทรูที่ไม่มีอะไรปกปิด เขายังนั่งเช็คกล้องเงียบๆ ไม่หันมาคุยหรือกวนตีนเลยสักคำ จนกระทั่งกลับมาถึงกระท่อมที่เกาะแล้วก็ยังเงียบอยู่ ตอนแรกผมคิดว่าโดนโกรธที่ชิงหลับไปก่อน แต่ทำไมเล่าจบแล้วยังทำเย็นชาอยู่อีกล่ะ

“นาย...โกรธฉันเหรอ” เสียงอ่อยลงสองระดับโดยไม่ได้ตั้งใจจริงๆ สาบานได้

“ไม่ได้โกรธ แต่ไม่พอใจ”

“เอ่อ...ไม่เล่นตัวหน่อยเหรอ” แบบ...พูดว่าเปล่าให้ง้อก่อนอะไรแบบนี้

“เพื่ออะไร” คนที่ยอมรับว่าตัวเองไม่พอใจง่ายๆ หันมาขมวดคิ้วใส่ผมที่กำลังกะพริบตาปริบๆ มองอยู่ก่อนแล้ว “ทำหน้าแมวใส่อีก”

หน้าแมวมันเป็นยังไงวะ...

“นายไม่พอใจที่ฉันรับปากว่าจะไปเที่ยวด้วยแต่ไม่ได้ไปเหรอ”

“เปล่า เรื่องที่คุณต้องกลับไปดูแลคนไข้ผมเข้าใจดีอยู่แล้ว”

“แล้ว...”

“ทำไมตอนที่คุยโทรศัพท์เสร็จถึงไม่พูดให้ผมฟัง” ภามถอนหายใจ ใบหน้าแปรเปลี่ยนจากเย็นชาเป็นไม่พอใจชัดเจนแบที่ไม่คิดปิดบัง “คุณเอาแต่ทำหน้าเครียดจนผมคิดว่ามีอะไรร้ายแรง พอกลับมาห้องบอกจะเล่าแล้วยังชิงหลับอีก”

“นี่นาย...” เป็นห่วงเหรอ

ท้ายประโยคถูกเก็บไว้ในใจเมื่อรู้สึกได้ว่าหากพูดออกไปคงเป็นตัวเองที่ต้องเงิบกับคำตอบ เพราะแค่คิดตามก็รู้สึกคันยุบยิบในใจแบบแปลกๆ แล้ว

“ขอโทษนะ” ผมพูดด้วยความรู้สึกผิด ก่อนจะเขี่ยแขนเขาเบาๆ เป็นเชิงบอกว่าขอโทษจริงๆ ยกโทษให้เถอะ

ทำไงได้ล่ะ...คนมันพูดไม่เก่งนี่หว่า

“หึ” ภามส่ายหน้าหน่าย มือยื่นมายีหัวผมแบบไม่เกรงใจคนอายุมากกว่า แล้วถามว่าผมทำยังไงเหรอ...ตอบได้เลยว่าก้มหน้านิ่งและยินยอมแต่โดยดี เพราะนอกจากเสียศักดิ์ศรีที่ไม่มีเหลืออยู่แล้วไป มันยังทำให้ผมรู้สึกสบายมากจนอยากจะเอนตัวนอนไปเลยด้วยซ้ำ

“เกือบลืม!” ผมผงกหัวขึ้นอย่างรวดเร็วแล้วฉีกยิ้มกว้างให้ภามที่ชะงักไป “ในเมื่อเหลือเวลาน้อยแล้ว มาใช้ชีวิตให้สนุกกันดีกว่า ลุกเร็วเข้า!”

ลืมไปเลยว่าตอนอยู่บนเรือผมคุยกับไม้ว่าจะขอติดเรือไปดูเขาจับปลาด้วย เพราะตั้งแต่มาถึงยังไม่ได้ไปเสพวิถีชาวบ้านแบบจริงจังเลยสักครั้ง คิดได้ดังนั้นก็รีบคว้าแขนคนที่ยังนั่งนิ่งให้ลุกขึ้นยืน ไม่ลืมคว้ากล้องเขามาสะพายไว้ให้แทน ก่อนจะลากจูงกันออกจากบ้านแล้วมุ่งตรงไปทางหาด

ภามไม่มีปัญหาหรอก ขายาวแถมยังแข็งแรงแบบนั้น จะวิ่งไปหาดคงใช้เวลาไม่นาน ยิ่งเราคุ้นชินกับเส้นทางแล้วด้วย แต่ประเด็นคือผมเองนี่สิ วิ่งไปหอบไปอย่างกับคนเป็นโรค ออกกำลังกายก็เพิ่งเริ่มไม่นาน แถมยังหยุดพักไปแล้วด้วย ไม่ต้องสงสัยเลยว่าทำไมสภาพตัวเองในเวลานี้ถึงได้ดูอ่อนแอเป็นเต้าหู้ ทั้งเหงื่อที่ไหลออกมาเยอะจนเหมือนกำลังอาบน้ำ แล้วยังหน้าซีดๆ ที่ทำเอาภามถามด้วยความไม่แน่ใจว่าเป็นอะไรหรือเปล่า

กว่าจะมาถึงหาดได้ต้องให้คนตัวโตกว่าประคองเดิน สรุปเสียเวลายิ่งกว่าเดินธรรมดาสองเท่า

“ไม่ดูสภาพตัวเองเลยนะไอ้หมอ” ไม้หัวเราะเสียงดังเมื่อเห็นสภาพผมที่ยังต้องเกาะภามยืนอยู่

“คิดว่าจะมาไม่ทัน” ผมหอบแฮ่กขณะพูดตอบด้วยเสียงเหมือนคนใกล้ตาย

“ข้าลืมบอกว่าจะออกเรือช้าหน่อย รอไอ้ดำไปดูเมียมัน เห็นบอกว่าไม่สบาย”

“…” รู้สึกเหมือนจะหน้ามืด

“เฮ้ยๆ เมียเอ็งจะเป็นลมแล้ว!”

เพราะมึงนั่นแหละ!

“คุณ…” เสียงเรียกของภามทำให้ผมได้สติกลับมา โชคดีที่ยังไม่ถึงขั้นล้มลงไปกองกับพื้น

คนที่ช่วยประคองผมไว้ส่งน้ำที่เอามาจากไหนไม่รู้มาให้ ก่อนจะเอากล้องหนักๆ ที่ผมห้อยคออยู่ไปสะพายไว้เอง ซึ่งมันทำให้ผมหายใจสะดวกขึ้นเยอะเลย

“ไม่เป็นไร” ผมโบกมือไปมา พยายามยืนตัวตรงด้วยแรงตัวเอง แต่แค่คิดจะยืนก็เอนไปเอนมาทำท่าจะล้มแล้ว สุดท้ายได้แต่เกาะแขนภามไว้แน่นแล้วเปลี่ยนคำพูด “เป็น...เป็นละ พาไปนั่งที”

“…”

อันนี้ผมตาลายหรือภามทำหน้าเหนื่อยใส่จริงๆ วะ

หลังจากนั่งรออยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงดำก็เดินทำหน้าเครียดออกมาจากชายป่า เขาหันมามองผมกับภามที่นั่งอยู่ใต้ต้นไม้ครู่หนึ่ง ก่อนจะเดินตรงเข้าไปซุบซิบกับไม้จนอีกคนที่กำลังยิ้มเปลี่ยนสีหน้าตามไปด้วย ไม้ขมวดคิ้วฉับ ท่าทางดูคิดหนัก จนสุดท้ายเขาก็วิ่งเหยาะๆ มาหาผมกับภาม

“โทษทีว่ะ พวกเอ็งคงไปด้วยไม่ได้แล้ว”

“มีอะไรหรือเปล่าไม้” ผมลุกขึ้นยืนเมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ อาการหน้ามืดเหงื่อออกหายไปหมดแล้วเมื่อได้นั่งพักตากลมเย็นๆ

“หัวหน้าบอกว่าถ้าพวกเอ็งเป็นอะไรไปคงรับผิดชอบไม่ไหว” ดำที่ยืนอยู่ด้านข้างหันมาตอบแทน แล้วก็โดนเพื่อนตบหัวเข้าไปหนึ่งทีแบบเต็มแรง

“ปากมึงนี่นะไอ้ดำ!”

“ไม่เป็นไรหรอก พวกนายไปเถอะ คิดดูแล้วถ้าฉันเป็นลุงเหมก็คงกลัวเหมือนกัน” ผมพยักหน้าให้ไม้เป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไรจริงๆ รอจนทั้งคู่เดินจากไปแล้วถึงได้หันมาฮึดฮัดกับภามแทน “แล้วจะวิ่งมาให้เหนื่อยทำไมวะเนี่ย”

“ถือว่าออกกำลังกาย” คนตัวสูงตอบง่ายๆ น้ำเสียงเจือความขบขันไว้สองส่วน เอาซะผมไปต่อไม่ออก

“จะว่าไปพอเห็นสองคนนั้นอยู่ด้วยกันฉันเลยคิดได้” ผมยืนกอดอกทำหน้าตาจริงจัง ขณะหันไปมองเรือของไม้กับดำที่กำลังจะออกจากฝั่ง “เรื่องที่ลุงเหมโกหกว่าหนึ่งเดือนจะเข้าฝั่งหนึ่งครั้ง ฉันว่าไม้ต้องรู้ด้วยแน่ๆ คงมีแค่ดำที่ไม่รู้เรื่องรู้ราวกับใครเขา”

เพราะแบบนั้นดำถึงได้ยอมบอกผมตรงๆ แล้วเมื่อกี้ก็เหมือนกัน ไม้ทำเหมือนอยากหาเหตุผลอื่นมาพูด แต่ดำกลับพูดแทรกขึ้นมาก่อนจนโดนเพื่อนตบหัว จะมองยังไงก็ไม่ใช่เรื่องปกติชัดๆ

“ขี้สงสัย” ภามพูดลอยๆ แล้วดึงแขนผมให้เดินตามไป

“ก็มันน่าสงสัยนี่ นายไม่อยากรู้บ้างหรือไง”

“ไม่อยาก”

แปลกคน...เรื่องเกี่ยวกับตัวเองแท้ๆ ยังไม่อยากรู้

“เอาเถอะ เดี๋ยวคงได้รู้เอง” ผมยักไหล่แล้วปล่อยเลยตามเลยตามประสาคนไม่คิดมาก จะอย่างไรเหตุผลที่ลุงเหมโกหกก็คงไม่ใช่เรื่องคอขาดบาดตายอะไรมากมาย แล้วพวกชาวบ้านก็ไม่ได้มีเจตนาร้ายอะไรกับเราด้วย เอาเป็นว่าถ้ามีโอกาสเหมาะๆ เมื่อไหร่ผมค่อยถามออกไปตรงๆ แล้วกัน

“แค่เดินธรรมดาคงไม่เป็นลมไปอีกนะ”

คำพูดจิกกัดด้วยเสียงโมโนโทนอย่างนี้ ถ้าผมไม่ได้รู้จักภามคงคิดว่าถูกนางร้ายหาเรื่องอยู่ แต่เพราะรู้จักนั่นแหละถึงได้รู้ว่าเขาแค่กวนตีนหน้าตายแบบไม่รู้ตัว

“ไม่แล้ว ว่าแต่นายจะจูงฉันไปไหนเนี่ย”

“คุณบอกให้ใช้ชีวิตให้สนุกไม่ใช่เหรอ ตามมาเถอะ”

ถ้าตอนนั้นผมรู้...

ถ้าตอนนั้นผมรู้สักนิดว่าภามจะพาไปทำอะไร ผมจะไม่มีทางตามเขาไปง่ายๆ แน่นอน









“ไอ้วอก มาช่วยข้าทำหน้าต่างที”

“ข้าอยากทำกำแพง”

“เฮ้ย! เอ็งทำประตูพังหมดแล้วเห็นไหมเนี่ย”

“ข้าศึกปูบุกประตูหลัง กำลังจะประชิดในอีกสิบเก้าปู ขอกำลังเสริมด่วน!”

ความวุ่นวายและเสียงเจี๊ยวจ๊าวของเด็กอายุไม่เกินสิบขวบเกือบสิบคนนี่คืออะไร อยากจะถามเหลือเกินว่าแค่ก่อปราสาททรายต้องจริงจังขนาดนี้ไหม เด็กนี่ก็ดีจังเลยน้า...เล่นสนุกได้กับทุกเรื่อง ต่อให้อยู่บนเกาะที่ไม่ค่อยมีกิจกรรมให้เล่นเยอะนักยังหาเรื่องเล่นได้อีก

แล้วทำไมผมมาอยู่ตรงนี้ได้วะเนี่ย...

“พี่หมอ หนูทำหลังคาไม่ถึง” เสียงของน้องตาลซึ่งกำลังพยายามฝ่าฝูงชนเข้าไปสร้างหลังคาทำให้ผมได้สติ คงเป็นเพราะตัวเล็กกว่าเพื่อนเลยฝ่าเข้าไปไม่ได้

“แตง ขยับให้น้องเข้าไปเล่นด้วย” ผมสะกิดไหล่พี่ชายเจ้าตาลที่ใช้อาณาเขตเยอะที่สุดในกลุ่ม พอเจ้าตัวหันมาเห็นตาแป๋วๆ ของน้องก็ยอมขยับให้ สุดท้ายเด็กชายตาลตัวน้อยก็มุดเข้าไปได้สำเร็จ

“พี่หมอมาช่วยหนูสร้างไหมจ๊ะ”

“เด็กๆ เล่นกันเลย พี่โตแล้ว” พอตาลได้ยินผมพูดแบบนั้นก็พยักหน้าหงึกหงัก หันไปก่อปราสาทแล้วพูดคุยเสียงดังกับบรรดาพี่ชายคนอื่นๆ

ผู้ชายอายุเฉียดสามสิบแบบผมจะเข้าไปเล่นอะไรแบบนั้นได้ยังไงกัน...

สิบห้านาทีผ่านไป

“ข้าจะพังปราสาทของพวกเจ้าให้หมดเลย!”

“ปีศาจ ปีศาจหมอบุกแล้ว!”

“ทหาร ไปเอาอาวุธมาเร็วเข้า!”

ท่ามกลางบรรยากาศที่เต็มไปด้วยความตึงเครียด ผมคลานเข้าไปหากลุ่มทหารเกือบสิบคนช้าๆ แล้วเริ่มจากการดึงตัวทหารที่ตัวเล็กที่สุดในกลุ่มเข้าหาตัว ก่อนจะก้มลงฟัดพุงจนทหารตาลหัวเราะคิกคัก ยกมือยอมแพ้และนอนแผ่ลงไปกับพื้นในที่สุด

“ยอมแพ้เสียดีๆ ไม่อยากนั้นข้าจะไม่ไว้ชีวิตพวกเจ้าเลยสักคน”

“อย่าคิดจะทำลายปราสาทของพวกเราเลยเจ้าปีศาจ!” ทหารแตงซึ่งดูเหมือนจะเป็นหัวหน้าชี้ดาบที่ทำจากใบมะพร้าวมาที่หน้าผม “ฆ่ามัน!!”

“โอ๊ย!” ผมยกมือปัดป้องดาบสีเขียวหลายเล่มที่ถูกฟันลงมาที่ตัวเอง แต่ก็ไม่อาจสู้ฝั่งที่มีจำนวนมากกว่าได้ สุดท้ายได้แต่ล้มลงไปคลุกอยู่กับทราย มือกุมอกที่เจ็บปวดเพราะถูกแทงเข้าเต็มๆ “ขะ...ข้าตายแล้ว”

“พวกเราชนะแล้ว!”

“เย้!”

ท่ามกลางเสียงหัวเราะด้วยความยินดีของผู้ชนะ ทหารตาลที่ควรจะตายไปแล้วกลับลุกขึ้นมากระโดดโลดเต้นไปกับเขาด้วย มีเพียงร่างของปีศาจตัวโตที่นอนแผ่หมดสภาพอยู่บนพื้น

ว่าแต่ทหารดีใจมากไปไหม...เหยียบปราสาทตัวเองพังกันหมดแล้วนั่น

แชะ!

“นี่เจ้ากล้าถ่ายรูปข้าในสภาพแบบนี้รึ!” ผมชี้หน้าคนตัวสูงที่ยืนอยู่นอกวงและกำลังหันกล้องมาหาด้วยความหัวร้อน เมื่อกี้ตอนที่เป็นปีศาจอยู่ก็ได้ยินเสียงแชะรัวๆ เหมือนกัน ไม่รู้ว่าได้ภาพถ่ายน่าอนาถของผมไปกี่ใบแล้ว

“เล่นใหญ่มาก”

เพราะใครล่ะ...ใครที่มันบอกว่าจะพามาใช้ชีวิตให้สนุกโดยการลากมาหาฝูงเด็ก

“เดี๋ยวค่อยว่ากัน มาช่วยหน่อย” พอเห็นเจ้าทหารทั้งหลายหันไปเฮฮากันเองไม่สนใจศพปีศาจแล้ว ผมก็รีบชูไม้ชูมือขอให้คนที่ยืนถ่ายรูปอยู่นอกวงมาโดยตลอดเข้ามาช่วย ตอนนี้หมดเรี่ยวหมดแรง ไม่รู้จะลุกเองยังไงแล้ว

“เล่นเป็นเด็ก” ภามถอนหายใจแต่ก็เข้ามาช่วยดึงแขนผมให้ลุกขึ้นนั่ง

“ไม่คิดเหมือนกันว่าเล่นกับเด็กเต็มตัวมันจะเหนื่อยขนาดนี้”

ตอนอยู่โรงพยาบาลผมแค่พูดคุย ถามโน่นถามนี่ พยายามทำให้เด็กๆ สนิทกับตัวเอง ไม่เคยถึงขั้นต้องเปลืองเนื้อเปลืองตัวเปลืองแรงอะไรมากมาย แต่พอได้ลองมาเล่นเองเจ็บเองจริงๆ แล้ว...แค่บิดตัวกระดูกก็ส่งเสียงเตือนแล้วเนี่ย

“พี่หมอ!”

“ว่าไงตัวแสบ” ผมกางแขนออกเมื่อเห็นเจ้าตาลวิ่งดุ๊กดิ๊กมาหา พอเห็นช่องว่างปุ๊บเจ้าตัวก็นั่งลงมาตรงช่องว่างระหว่างขาผมปั๊บ ทั้งยังเงยหน้ายิ้มแฉ่งโชว์ฟันหลอให้ภามด้วย

“พี่ชายก็นั่งลงสิจ๊ะ” ว่าแล้วมือเล็กก็ยื่นไปกระตุกกางเกงขาสั้นของภามเบาๆ ผมเห็นคนที่ยืนถือกล้องอยู่แอบถอนหายใจ แต่ก็ยังนั่งลงบนทรายตามคำชวนของเจ้าตัวน้อย

“ทีนี้บอกมาได้หรือยังว่าต้องการอะไร”

ตาลยิ้มเขินเมื่อได้ยินคำถามของผม นิ้วเล็กจ้อยชี้ไปที่ปราสาททรายซึ่งถูกเหยียบจนย่อยยับไปแล้ว ก่อนจะหันไปมองพวกพี่ๆ ที่กำลังวิ่งไล่จับกันอยู่

“เมื่อกี้หนูแทบไม่ได้สร้างปราสาทเลย พวกพี่ๆ ก็ไม่อยากสร้างกันแล้ว พี่หมอกับพี่ชายช่วยหนูได้ไหมจ๊ะ” คำขอแบบอ้อนๆ ของเจ้าเด็กฟันหลอทำเอาผมหลุดหัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่ ถ้าเทียบกับพี่ชายที่ดูผิวคล้ำกว่าและดูแก่นๆ แล้ว ต้องบอกว่าตาลเป็นเด็กผู้ชายที่เรียบร้อยมากจริงๆ ไม่แปลกที่ใครๆ ต่างก็เอ็นดู

“ได้สิ มาสร้างกัน” พอผมพูดจบเด็กน้อยก็ยิ้มกว้าง รีบลุกขึ้นไปหยิบอุปกรณ์ตักทรายของเด็กมาวางไว้ใกล้ๆ แล้วลงมือทันที เห็นแบบนั้นผมเลยคลานไปอยู่ด้านข้าง ตั้งหน้าตั้งตาช่วยตาลสร้างปราสาทอย่างจริงจัง โดยไม่ลืมกวักมือเรียกคนหน้าตายให้เข้ามาช่วยกันด้วย

“นายก็มาเร็วๆ”

“ผมเหรอ” ภามทำหน้ายุ่ง ตากะพริบปริบๆ เหมือนจะถามย้ำ “ผมทำไม่เป็น”

“ไม่เป็นไรจ้ะ เดี๋ยวหนูสอนเอง” คนที่ดูเคร่งเครียดกับการก่อปราสาทที่สุดในกลุ่มเงยหน้าแจกยิ้มสดใส พร้อมพยักหน้าหงึกหงักเหมือนจะบอกให้เชื่อใจได้เลย สุดท้ายคุณชายภามผู้ไม่เคยก่อปราสาททรายก็ต้องเข้าร่วมขบวนการจนได้

เจ้าตาลตั้งหน้าตั้งตาใช้มือเล็กๆ ก่อกองทรายโดยไม่เงยหน้าขึ้นมองใครเลย แต่คงเพราะว่ามือเล็กเกินไป ทั้งยังไม่มีประสบการณ์เหมือนพี่ๆ รูปร่างที่ออกมามันเลยเหมือนเอาทรายมากองๆ รวมกัน ทั้งยังบูดเบี้ยวไปมาอีกต่างหาก ส่วนผู้ใหญ่อีกคน...รายนั้นยังคงนั่งนิ่งไม่ขยับ จนกระทั่งผมเงยหน้าขึ้นมอง เขาถึงได้ขมวดคิ้วแล้วถามด้วยน้ำเสียงเรียบเฉยที่ติดจะงุนงงอยู่หน่อยๆ

“จะสร้างหลายคนได้ยังไง ถ้าไม่วางแผนจะออกมาเหมือนกันเหรอ”

ผมกะพริบตาปริบๆ มองภามด้วยแววตาเหมือนกำลังมองคนแปลกหน้า เขาใช้ชีวิตมายังไงเนี่ย ไม่เคยก่อปราสาทไม่ว่า แต่เล่นคิดเหมือนกำลังจะทำปราสาทจริงๆ ไม่ใช่ปราสาททรายของเด็กเล่น แบบนี้มันยิ่งกว่าเด็กอีกเจ้าบ้า

“ที่ทำเพราะต้องการความสนุก ไม่ได้จะสร้างปราสาทของจริงนะ ใจเย็น”

“…” ภามร้องอะออกมาคำหนึ่ง ก่อนเขาจะก้มหน้าก้มตารวบรวมทรายขึ้นมาไว้ในฝ่ามือ แม้ใบหน้าจะยังราบเรียบ แต่คนช่างสังเกตอย่างผมย่อมมองเห็นใบหูแดงๆ นั่นอยู่แล้ว

“อะแฮ่ม” ผมกระแอมเบาๆ เพื่อกลืนเสียงหัวเราะลงไป เห็นท่าทีเหมือนเด็กขี้เก๊กทำผิดนั่นแล้วแกล้งไม่ลงจนได้

ปราสาททรายที่เกิดจากการสร้างของเด็กอายุน้อยหนึ่งคน คนแก่หนึ่งคน และผู้ใหญ่ที่ไม่เคยเล่นทรายอีกหนึ่งคน คงไม่ต้องบอกว่าสุดท้ายมันจะออกมาเป็นยังไง เพราะนอกจากจะดูไม่เหมือนปราสาทแล้ว เจ้าตาลยังเผลอหมุนตัวพลาดจนก้มจุ่มลงไปบนทราย ทำลายกำแพงไปหนึ่งส่วนกับตัวปราสาทเบี้ยวๆ บูดๆ อีกสองส่วน สภาพตอนนี้เหมือนเอาทรายมากองเป็นก้อนขี้หนึ่งกอง ไม่ได้คล้ายปราสาทเลยแม้แต่นิดเดียว

“เหมือนปีศาจเลย!”

โชคดีที่เจ้าตาลเป็นเด็กมองโลกในแง่ดีสุดๆ คงลืมไปแล้วว่าตอนแรกจะสร้างอะไร เมื่อกี้ตอนนั่งทับยังทำท่าจะร้องไห้อยู่เลย นี่วิ่งฉิวไปหาพวกพี่ๆ ที่วิ่งเล่นกันอยู่เสียแล้ว

“เด็กหนอเด็ก” ผมส่ายหน้าขำๆ อยากเข้าไปขยี้หัวกลมๆ นั่นสักที แต่มือเลอะแบบนี้คงไม่ดีนัก อีกอย่าง...ตอนนี้เอาเวลาไปสนใจเด็กตัวโตหน้าตายที่กำลังทำหน้าไม่พอใจอยู่ด้านข้างดีกว่า “เป็นอะไร”

ภามเงยหน้าขึ้นสบตาแล้วขมวดคิ้ว สีหน้าแสดงออกชัดเจนว่าไม่พอใจและหงุดหงิดสุดๆ เหมือนโดนขัดใจ ทั้งที่ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลยสักคำ

“ยังสร้างไม่เสร็จ ทำไมหยุดกลางคัน”

มีเด็กจริงจังกับการสร้างปราสาททรายอยู่ตรงนี้อีกคน...

“พังไปเกินครึ่งแบบนั้นยังไงก็ไม่รอดอยู่แล้ว นอกจากว่านายจะสร้างใหม่” เอาเหตุผลเข้าพูดก่อนแล้วกัน เพราะขืนไม่จริงจังตามผมคงได้หลุดขำออกมาจริงๆ แน่

“งั้นก็สร้างใหม่”

“ใจเย็น” ผมยกมือห้ามเมื่อเห็นคนพูดตั้งท่าจะลงมือสร้างใหม่จริงๆ ตามที่ว่า “นายจริงจังไปไหมเนี่ย”

“คุณไม่หงุดหงิดเหรอเวลาตั้งใจจะทำอะไรแล้วมันไม่สำเร็จ”

ไม่นะ...

ได้แต่ตอบในใจเพราะกลัวว่าถ้าพูดไปตามตรงอาจจะโดนแยกเขี้ยวใส่ ผมหัวเราะแหะๆ แล้วหลบสายตา เพียงเท่านั้นภามก็ขมวดคิ้วฉับแทบจะทันที

“อย่าทำหน้าอย่างนั้นน่า นายก็รู้ว่าฉันเป็นพวกเฉื่อยชาแถมยังขี้เกียจ” ต่อให้สร้างเสร็จเดี๋ยวก็ต้องทิ้งไปอยู่ดี ผมยังแอบขอบคุณอยู่เลยที่เจ้าตาลล้มทับปราสาทตัวเอง จะได้ไม่ต้องเหนื่อยทำต่อทั้งที่รู้อยู่แล้วว่ามันจะออกมาดูแย่ขนาดไหน

“คุณไม่ควรคิดแบบนั้น” ดวงตาที่ดูราวกับมองทะลุไปถึงความคิดของผมเบือนมาสบ ก่อนเจ้าตัวจะถอนหายใจเบาๆ แล้วพูดต่อ “แค่ปราสาททรายอาจไม่เป็นไร แต่อย่าคิดแบบนั้นกับทุกเรื่อง ถ้าไม่ลองพยายามไปเรื่อยๆ คุณก็ไม่มีทางพัฒนาได้หรอก”

“ฉันอายุจะสามสิบแล้วนะ ไม่รู้จะพัฒนาอะไรแล้ว”

“อะไรจะเบื่อโลกขนาดนั้น” ภามทำหน้าเนือย ถ้าตบหัวผมได้เขาคงตบไปแล้ว “พูดอย่างกับคนอายุแปดสิบ”

“ไม่ถึงเฟ้ย”

“คุณยังพัฒนาได้อีก อย่างน้อยก็อายุ”

“อายุ?”

“อายุสมอง”

“ไอ้คนเลว!” ผมปาทรายใส่หลังภามอย่างเหลืออด ทำเอาเสื้อราคาแพงสีขาวสะอาดเปื้อนทั้งทรายทั้งน้ำเป็นหย่อมๆ แต่ไม่รู้สึกผิดหรอก เขาว่าผมก่อนนี่หว่า

“โทษที” มือที่กำลังจะปาใส่อีกรอบหยุดชะงักเมื่อได้ยินคำขอโทษที่ไม่คาดคิด แต่ในวินาทีถัดมาหน้าผมก็ยิ่งแดงก่ำมากขึ้นเรื่อยๆ จากอารมณ์โมโห เมื่อได้ยินคำพูดจากปากเขา “ลืมไปว่าอาจจะพัฒนาไม่ได้แล้ว”

“เอาทรายไปแดก!”

“...”

ผมเบิกตากว้างด้วยความตกใจเมื่อได้เห็นใบหน้าที่หันไปตามแรงสะบัดของมือตัวเองซึ่งใช้ปาทรายใส่เขาเมื่อคู่ ผมว่าผมปาใส่ตัวนะ ทำไมภามหันหน้าหนีแล้วทำท่าเหมือนโดนปาใส่ตาแบบนั้น หรือว่าจะเศษทรายเข้าตา

“มาดูหน่อย” อาการร้อนรนเกิดขึ้นแทบจะทันทีที่เห็นเขานิ่งไปและไม่ยอมหันกลับมา ผมคลานเข้าไปหาแล้วใช้มือจับไหล่ภามให้หันกลับมามองหน้ากัน แต่เขายังใช้หลังมือที่สะอาดของตัวเองวางทับตาซ้ายอยู่ ผมเลยมองไม่เห็นว่าอาการเป็นยังไง “เอามือออกเร็วเข้า”

ขวดน้ำดื่มที่พกไว้ถูกหยิบมาเปิดออกอย่างรวดเร็ว ก่อนผมจะดึงมือภามมาล้างพร้อมกันกับมือตัวเองจนสะอาด แล้วค่อยเทน้ำใส่มือเขาอีกรอบ

“แสบไหม รีบเอาน้ำล้างก่อน”

“คุณ…”

“อย่าเพิ่งพูดมาก เอาน้ำล้างตาก่อน” ผมดุแล้วดึงมือเขามาเทน้ำใส่อีกรอบ เพราะน้ำที่เทให้ตอนแรกไหลลงพื้นไปหมดแล้ว

ยังอีก...ยังนิ่งอยู่อีก

“คุณจะดูสมกับเป็นหมอแค่ตอนเวลาเห็นคนเจ็บเหรอ” ภามกะพริบตาถามเสียงเรียบ ไม่ได้ดูมีทีท่าว่าจะเจ็บตาหรืออะไรเลยสักนิด ผมได้แต่ขมวดคิ้วฉับ โน้มตัวเข้าไปแล้วแหวกตาเขาดูด้วยตัวเอง

“นี่นายโกหกเหรอ”

“ยังไม่ได้โกหกอะไรสักคำ”

“แล้วเมื่อกี้ที่ทำเหมือนทรายเข้าตา...”

“ผมยังไม่ได้พูดอะไรเลย คุณคิดไปเอง” เจ้าของใบหน้าปลาตายตอบกลับแบบไม่ใส่ใจ เหมือนจะบอกว่าผมมั่วไปเอง เขาก็แค่หันไปด้านข้างเฉยๆ

ไอ้คนตอแหลเอ๊ย!

“นายน่าจะไปสมัครเป็นนักแสดงนะ แค่ปรับสีหน้าให้มีหลายอารมณ์หน่อยก็เป็นตัวร้ายได้สบายละ” ผมกัดเบาๆ อย่างอดไม่ได้ แล้วดูหน้าดิ...ไม่ทราบว่าพ่อคุณไปอารมณ์ดีมากจากไหน ก่อนหน้านี้ยังจริงจังใส่ผมอยู่เลย

“ถ้าคุณเป็นนางเอกผมจะลองคิดดู” รอยยิ้มหยันที่มุมปากถูกส่งมาให้ พร้อมๆ กับที่เจ้าของร่างสูงใหญ่ลุกขึ้นยืน ทั้งยังหันมาปัดตูดใส่ผมโดยตั้งใจด้วย

ดูมัน!

“แหม...พ่อตัวร้าย”

กวนตีนกันนักใช่ไหม...

ผมลุกขึ้นยืนโดยไม่คิดจะปัดทรายออกจากตัว เพราะยังไงมันก็เละเทะไปหมดตั้งแต่หัวจรดเท้าอยู่แล้ว สายตาหรี่มองเป้าหมายที่กำลังยืนหันหลังให้อย่างพิจารณา และเมื่อเห็นจังหวะที่เหมาะสมแล้ว ผมก็พุ่งตัวเข้าไปกระโดดขี่หลังไอ้บ้าที่บังอาจสบประมาทกันอย่างเร็ว

“กวนตีนนักใช่ไหมไอ้ตัวร้าย!” พอล็อกคอเขาไว้แน่นจนเราทั้งคู่เอียงตัวไปด้านหลังแล้ว อีกฝ่ายเลยจำเป็นต้องเอามือมาจับขาผมที่ลอยอยู่กลางอากาศตามสัญชาตญาณ กลายเป็นว่าตอนนี้ผมเอาตัวที่เละเทะจนดูแทบไม่ได้ของตัวเองมาวางแหมะอยู่บนแผ่นหลังของภาม และส่งมอบความสกปรกต่อให้เขาอย่างเต็มตัว

“คุณนี่มัน...” เสียงบ่นงึมงำในลำคอดังขึ้นเบาๆ ก่อนผู้พูดจะหยุดไปเหมือนไม่รู้จะด่ายังไงดี

“นางเอกขี่คอตัวร้ายไง ไม่ได้เหรอ”

หูอยู่ใกล้เหลือเกิน กัดแม่งสักทีดีไหมเนี่ย

“ถ้าคุณคิดจะกัดหูผม เตรียมตัวกระแทกพื้นได้เลย” เสียงเรียบเย็นตามสไตล์ของคนรู้ทันทำเอาผมเบิกตากว้าง มือที่รับน้ำหนักขาของผมอยู่กระชับเล็กน้อยเหมือนจะใช้เตือน ว่าหากทำอะไรแปลกๆ ขึ้นมาเขาจะปล่อยตูดกระแทกพื้นแน่นอนแบบไม่ต้องสงสัย

“ทำไมต้องรู้ทันไปหมด” ผมพูดแบบเซ็งๆ แล้ววางคางลงบนบ่าภาม หมดแรงจะเล่นด้วยแล้ว

“คุณคิดอะไรมันก็แปะอยู่บนหน้าหมด”

“ได้ข่าวว่าตอนนี้ฉันอยู่บนหลังนาย” แล้วจะเห็นหน้าได้ยังไง

“ฟังจากเสียง”

“นายสังเกตฉันอยู่ตลอดเวลาเลยหรือไงเนี่ย”

“…”

“เงียบทำ...”

“ใช่”

“หา?”

“คนเรามักจะเห็นในสิ่งที่อยากเห็น...คุณบอกผมเองไม่ใช่เหรอ”


—————————




TALK :

สำหรับคนที่ไม่เคยอ่านเรื่องอื่น อันนี้คือTimeline


ออกซิเจน (โซโล่กีล์) เจไดอยู่ปี1 ---> ไนโตรเจน (ภูเก้า) เริ่มเรื่องเจไดอยู่ปี2 ---> อนาคิน (ภามเจได) เจไดอายุ...กำลังจะ30


ซึ่งทุกเรื่องไม่ต้องอ่านต่อกันก็ได้ค่ะ ใครไม่ชอบอันไหนก็ข้ามได้เลย แค่ตัวละครแวบไปแวบมา
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 10-08-2018 11:57:00
-14-



อันที่จริงแล้ว...นอกเหนือจากเรื่องเรียนผมก็ไม่ได้ฉลาดเท่าไหร่นัก หลายครั้งที่ทำหน้าเหมือนเข้าใจ หลายครั้งที่ทำเป็นขำกลบเกลื่อน บางทีเผลอเหม่อจนไม่ได้ฟังคนอื่นพูดก็มี ซึ่งหากให้จัดอันดับสถานการณ์ที่ผมไม่เข้าใจมากที่สุดตั้งแต่เกิดมา สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานคงติดอันดับไปแล้วเรียบร้อย

คำพูดพวกนั้นมันคืออะไร หมายความว่ายังไง หัวสมองว่างเปล่าคิดอะไรไม่ออกไปแล้ว ขนาดโดนแบกขึ้นหลังกลับมาจนถึงกระท่อมของเรา ผมยังไม่รู้สึกตัวเลยด้วยซ้ำ รู้แค่ว่าถูกจูงให้เดินไปอาบน้ำก็ตามไปง่ายๆ เขาบอกให้ใส่ผ้านุ่งก็ทำตาม พอหัวถึงหมอนแล้วก็จำอะไรไม่ได้อีกเลย

นี่ผมผ่านเมื่อวานมาได้ยังไงเนี่ย คิดไม่ออก

“เป็นอะไรของคุณ” เสียงราบเรียบติดจะงัวเงียของคนที่นอนอยู่ด้านข้างดังขึ้น พร้อมๆ กับที่เจ้าตัวขยับกายลุกขึ้นนั่ง ผมที่กำลังพลิกไปพลิกมาเลยต้องลุกขึ้นตามไปด้วย ภามขมวดคิ้ว หัวยุ่งเหยิงเหมือนรังนก แต่ก็ไม่อาจลดทอนความดูดีจนน่าหมั่นไส้ของเขาลงได้เหมือนเคย “ทำไมตื่นเช้า”

“ไม่รู้เหมือนกัน”

จริงๆ เพราะเอ็งนั่นแหละ

“คุณไม่เคยตื่นเช้าขนาดนี้” เขาเอียงคอบิดขี้เกียจ มือไม้ยาวเก้งก้างกางยืดไปมาคล้ายต้องการเรียกสติ และไม่กี่วินาทีถัดมา เจ้าตัวก็หันหน้ามามองผมโดยที่ไม่มีความง่วงงุนหลงเหลืออยู่บนใบหน้าเลยแม้แต่น้อย “ไม่สบายหรือเปล่า”

“เปล่า” ผมรีบปฏิเสธ ไม่ลืมปัดมือที่ทำท่าจะยื่นมาแตะหน้าออกไปด้วย “คิดอะไรเพลินๆ เฉยๆ”

“เพลินข้ามวัน”

“พูดมาก”

ภามไม่ได้แสดงท่าทีอะไรเมื่อโดนผมต่อว่าและทำหน้าตึงใส่ เขาแค่ยักไหล่ หน้าตาดูอารมณ์ดีทั้งที่ถูกปลุกให้ตื่น ซึ่งนั่นแหละที่น่าหมั่นไส้ เมื่อวานตัวเองพูดอะไรออกมาไม่รู้ตัวเลยหรือไง ถึงได้ทำราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้นแบบนี้

“นายไม่สนใจได้ ฉันก็ไม่สนใจได้เหมือนกัน”

“บ่นอะไร”

“ยุ่ง” ผมถลึงตาใส่ภามแบบเคืองๆ ทั้งที่ไม่รู้ว่าเคืองอะไร ก่อนจะมุดออกจากมุ้งนอนเพื่อเตรียมตัวไปอาบน้ำ

ตื่นเช้าแบบนี้ต้องเตรียมตัวไปดูพระอาทิตย์ขึ้นสักหน่อย ตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยมีโอกาสได้ดูเลยสักครั้ง ไม่ใช่ว่าเมื่อก่อนไม่มีเวลาหรืออะไรนะ แต่ต้องบอกว่าผมไม่เคยตื่นเช้าเลยมากกว่า ขนาดไปเที่ยวกับเพื่อนเมื่อก่อนยังตื่นทีหลังชาวบ้านเขาตลอด นัดยังไงก็ไม่เคยทันเสียที

ดูเหมือนผมจะเป็นพวกขี้เซาระดับสิบมาแต่ไหนแต่ไร พอบวกกับมาทำงานด้านนี้แล้วด้วยเลยยิ่งเข้าไปใหญ่ จะขอบคุณภามดีไหมเนี่ยที่ทำให้ผมตื่นเช้าได้ เพราะวันนี้มันเช้ายิ่งกว่าปกติที่เราออกไปวิ่งกันอีก ฟ้ายังไม่มีแสงเลยด้วยซ้ำ

“จะไปไหน” คนที่มุดมุ้งตามออกมาตั้งแต่เมื่อไหร่ไม่รู้ถาม น้ำเสียงดูมีความประหลาดใจมากพอสมควร

“จะไปอาบน้ำ เสร็จแล้วจะไปดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วย” ผมตอบไปตามความจริงโดยไม่กวนตีน เพราะกะจะให้เขาไปด้วยกันอยู่แล้ว คงไม่คิดว่าหมอเจไดจะเดินขึ้นเขาตอนฟ้ามืดเพื่อไปดูพระอาทิตย์ขึ้นคนเดียวนะ

เผื่อไม่รู้...นอกจากจะกลัวเจ็บแล้วผมยังกลัวผีด้วย จะบอกว่ากลัวทุกอย่างที่คนใจเสาะกลัวก็ว่าได้ ยกเว้นกลัวความสูงนะ อันนั้นแค่หวาดเสียวนิดหน่อย แต่ก็ไม่ได้ถึงขั้นร้องห่มร้องไห้อะไร

“ไม่คิดว่าคุณจะเอ่ยปากอยากไปไหนเอง ปกติขี้เกียจตลอด”

“เงียบๆ แล้วมาอาบน้ำเร็วๆ เลย”

ไม่รู้ว่าตั้งแต่เมื่อไหร่ที่ผมกับภามอาบน้ำพร้อมกันจนกลายเป็นเรื่องปกติ ถึงการหันไปเห็นกล้ามท้องแน่นๆ ของเขาจะทำให้รู้สึกอิจฉาตาร้อนผ่าวได้ทุกครั้ง แต่มันก็ไม่ได้มากมายเหมือนช่วงแรกๆ อีกแล้ว

ขึ้นเขาครั้งนี้ผมเตรียมตัวมาดีกว่าครั้งก่อนมาก ยิ่งเป็นช่วงเช้าๆ ก็ยิ่งรู้สึกหนาว ขืนใส่เสื้อชั้นเดียวอาจแข็งตายเพราะความอ่อนแอเกินปกติของตัวเอง ดังนั้นเสื้อคลุมตัวหนาสองชั้นกับผ้าพันคอที่ไม่รู้ว่าเอาใส่กระเป๋ามาตอนไหนจึงถูกหยิบมาใช้ แม้จะถูกภามมองด้วยแววตาเหมือนกำลังมองตัวประหลาด แต่ผมก็ไม่สนใจ

“เอาเสื้อคลุมมาตัวเดียวก็พอ” เขาส่ายหน้าหน่ายแล้วทำท่าจะดึงเสื้อไปจากผม ดีที่รั้งไว้ได้ทัน

“แค่ตอนอาบน้ำก็จะหนาวตายอยู่แล้ว บนนั้นต้องหนาวมากแน่ๆ เอาไปสองตัวดีแล้ว”

“คุณมีผ้าพันคออีกนะ”

“นายยังไม่เข้าใจว่าฉันอ่อนแอและกากขนาดไหน” ผมตบบ่าภาม แต่ก็ยอมโยนเสื้อกลับไปไว้บนกระเป๋าเหมือนเดิม เพราะไม่อยากเถียงต่อจนเวลาลากยาวไปมากกว่านี้ “เอาเป็นว่าถ้ามันหนาวมากจนทนไม่ไหว ฉันจะแย่งเสื้อนายแล้วกัน”

ภามกลอกตาให้ผมเห็นจังๆ ถึงใบหน้าจะราบเรียบไร้อารมณ์ แต่ถ้าอยู่นานกว่านี้เขาอาจคว้ากระเป๋ามาฟาดหัวกันก็ได้ คิดได้ดังนั้นผมเลยรีบเดินออกไปด้านนอก มุ่งหน้าตรงไปยังทางขึ้นเขา ได้ยินเสียงคนถือถุงเสบียงเดินตามอยู่ด้านหลัง

ในช่วงเช้าที่ท้องฟ้ายังคงเป็นสีน้ำเงิน การเดินขึ้นเขาคงไม่ใช่เรื่องที่ง่ายดายนัก แต่ก็แลกมากับอากาศเย็นๆ ที่ทำให้รู้สึกสบายใจจนลืมเรื่องระยะทางไปได้บ้าง ถึงจะยังต้องหยุดพักอยู่รอบสองรอบ แต่ผมก็เดินมาถึงศาลาบนเขาได้ด้วยตัวเองโดยไม่มีภามช่วยเหมือนครั้งแรก ขนมที่ซื้อไว้ตั้งแต่ตอนขึ้นฝั่งถูกแบกมาทั้งหมดโดยคุณชายผู้ไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อยเลยแม้แต่นิดเดียว ภามเอาขนมออกมาจากถุงที่ผมโยนให้เขาถือ ก่อนจะขมวดคิ้วขณะก้มลงมองมัน

“ขนมพวกนี้กินมากไม่ดี”

“นานๆ ทีไม่เป็นไรหรอกน่า” ผมโบกมือไม่ใส่ใจแล้วจัดการแกะถุงแรกออก ตอนนี้ยังมีเวลาอยู่อีกนิดก่อนพระอาทิตย์จะขึ้น ตื่นนอนแล้วก็ต้องกินก่อนเป็นอันดับแรก

“ถ้าผมเป็นหมอประจำตัวของคุณ คุณคงโดนฟาดไปแล้ว” ใบหน้าจริงจังกับน้ำเสียงเหนื่อยหน่ายของภามทำเอาผมที่กำลังนั่งชันเข่ากินขนมหยุดชะงักกะทันหัน คนแบบภามมองจิกไปก็ไม่ได้อะไรหรอก ต้องทำแบบนี้

“กินเข้าไปเลย” พอเอาขนมยัดปากคุณชายเรียบร้อยแล้ว ผมก็ถอยกลับมานั่งหัวเราะเสียงดังจนฟันแทบร่วงอยู่คนเดียว ดูหน้าภามดิ เบี้ยวจนไม่รู้จะเบี้ยวยังไง ท่าทางคงไม่ชอบขนมจุกจิกมากจริงๆ

“ของพวกนี้ทำให้เสียสุขภาพ”

“นายยังเคี้ยวมันอยู่เลยนะ” ผมขำจนหน้าดำหน้าแดง ยิ่งเห็นหน้าตึงๆ ของคนที่บ่นไปเคี้ยวไปก็ยิ่งขำ ท้องฟ้าเริ่มสว่างกว่าเดิมแล้วด้วย อีกไม่นานพระอาทิตย์คงขึ้น มิน่าถึงได้เห็นหน้าเขาชัดขนาดนี้

“ผมไม่อยากให้มันหกเลอะเทอะ”

“ขี้อ้าง”

หลังจากจัดการขนมไปแล้วสองห่อ ผมก็เริ่มขนของไปที่ริมเขา จุดที่จะมองเห็นพระอาทิตย์ขึ้นได้ชัดเจนที่สุด ผ้าผืนหนึ่งที่ถือมาด้วยถูกปูลงบนพื้น ก่อนเราทั้งคู่จะนั่งไหล่ชนกันรอดูสิ่งที่กำลังจะเกิดขึ้นเงียบๆ

สำหรับภาม ผมคิดว่าเขาคงเห็นความสวยงามของธรรมชาติมาจนชินแล้ว แม้ในมือจะถือกล้องเตรียมพร้อมถ่าย แต่ก็ไม่ได้มีทีท่ากะตือรือร้นอะไร ต่างจากผมที่พยายามทำหน้านิ่ง ทั้งที่ในใจตื่นเต้นแทบตาย

เกือบลืมไปแล้วว่าเวลาได้มาเที่ยวมันมีความสุขขนาดไหน...

“มาแล้ว” คนด้านข้างเอ่ยเตือนขณะยกกล้องขึ้นถ่ายภาพ ผมเห็นแบบนั้นเลยรีบวางขนมลงแล้วหันไปมองตาม

ภาพพระอาทิตย์ดวงโตค่อยๆ ลอยขึ้นจากเส้นบรรจบของขอบฟ้าและผืนน้ำกว้างใหญ่ทำให้ตาพร่าไปชั่วขณะ แสงสีส้มนวลซึ่งเปร่งประกายสะท้อนผืนทะเลดูสวยงามจนน่าใจหาย ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่ความเงียบครอบคลุมไปทั่วบริเวณ มีเพียงเสียงจากธรรมชาติ เสียงชัตเตอร์ของกล้อง และภาพพระอาทิตย์ซึ่งลอยสูงขึ้นเรื่อยๆ เท่านั้นที่ทำให้ผมรู้ว่าตัวเองยังอยู่ในโลกแห่งความเป็นจริง ไม่ได้ถูกหยุดเวลาไว้แต่อย่างใด

“คุณ”

“หา?”

แชะ!

ผมขมวดคิ้วใส่หน้าภามเมื่อรู้ตัวว่าถูกเรียกให้หันไปมองกล้องอีกแล้ว หากแค่คิดจะอ้าปาก เสียงกดชัตเตอร์ก็ดังขึ้นรัวๆ เหมือนจะบอกให้รู้ว่าเขาไม่อยากฟังสิ่งที่ผมพูด ทำเอาผมหมดอารมณ์จะบ่น ทั้งยังประชดประชันด้วยการฉีกยิ้มแล้วทำหน้าตลกๆ ใส่กล้องอยู่หลายท่า และแน่นอนว่าเจ้าบ้าหลังเลนส์นั่นมันกดชัตเตอร์ตามรัวๆ แบบไม่หยุดเลยสักวินาที

“พอเลย” เมื่อหมดความอดทนแล้วผมเลยเอามือไปปิดเลนส์กล้องไว้ ภามโผล่หน้ามาจากด้านหลัง ก่อนคิ้วเข้มจะเลิกขึ้นน้อยๆ คล้ายจะกวนตีน

“พอแล้วเหรอ”

“เอามาให้ฉันถ่ายนายบ้าง” ผมแบมือรอให้ภามส่งกล้องมาให้ ซึ่งเขาก็ส่งมาให้จริงๆ โดยไม่ได้พูดอะไรสักคำ แม้จะตะหงิดใจอยู่นิดหน่อยที่เขาดูว่าง่ายเหลือเกิน แต่ผมก็เลือกจะปัดความสงสัยนั้นทิ้งไป แล้วหันมาเพ่งสมาธิอยู่กับการพยายามหามุมกล้องที่ดูสวยที่สุดในความคิดของตัวเองแทน

“อีกนานไหม” นายแบบเริ่มถามทั้งหน้าตึง สงสัยเห็นผมเล็งไปเล็งมาไม่ยอมกดชัตเตอร์สักที

“ใจเย็น ของดีต้องรอหน่อย”

ผมใช้เวลาอยู่นานหลายนาทีกับการพยายามหามุมกล้องแบบพวกมืออาชีพ สุดท้ายได้มาสองรูป ซึ่งแน่นอนว่ามันใช้ได้ทั้งสองรูป แต่ไม่ใช่ว่าเพราะคนถ่ายหรอก เป็นเพราะนายแบบแม่งดูดีทุกมุมเลยต่างหาก แล้วนี่จะเล็งไปทำไมตั้งนานวะเนี่ย กดๆ ไปก็จบแล้ว

“คุณปรับแสงสว่างไปหน่อย พอรวมกับแสงอาทิตย์รูปเลยจ้าเข้าไปอีก...” คุณช่างภาพมืออาชีพก้มลงมองแล้ววิจารณ์ไม่หยุดปาก ท่าทางกับคำพูดดูตั้งใจยิ่งกว่าตอนกวนตีนผมหลายเท่า เห็นแบบนั้นเลยต้องปล่อยให้เขาพูดไป ถึงจะฟังเข้าใจบ้างไม่เข้าใจบ้างก็เถอะ

“เอาจริงๆ นะ ฉันว่ารูปมันขาดอยู่อย่างเดียว” ผมพูดขึ้นมาบ้างเมื่อเห็นภามเงียบไป ก่อนจะยิ้มออกมาเมื่อเห็นเจ้าของใบหน้าปลาตายเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงสงสัย “รอยยิ้ม”

ภามขมวดคิ้วฉับแทบจะทันทีที่ผมพูดจบ และในช่วงเวลาที่เขาตั้งท่าจะอ้าปากเถียง ผมใช้แรงทั้งหมดไปกับการบังคับถือกล้องตัวใหญ่ด้วยมือเดียว ส่วนมือที่ข้างยื่นไปกดมุมปากของอีกคนให้ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม

แชะ!

“โอย...ข้อมือจะหัก” ทำตัวเองแท้ๆ เลย

“เล่นอะไรไม่เข้าเรื่อง” ภามบ่นเบาๆ แล้วดึงข้อมือผมไปนวดให้ ถึงจะปวดหน่อยๆ จนใจไม่ค่อยดี แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไรนัก เพราะความตื่นเต้นที่จะอวดรูปให้เขาดูมีมากกว่า

“ดูนี่เร็ว” ผมรีบยื่นกล้องให้เขาดูรูปล่าสุดด้วยความภาคภูมิใจ

ในรูปคือใบหน้าของภามซึ่งดูเหมือนกำลังยิ้มอยู่จริงๆ หากไม่นับว่ามีนิ้วผมจิ้มอยู่ที่มุมปาก ทั้งยังมีพื้นหลังเป็นท้องฟ้ากว้างใหญ่กับทะเลที่ดูสวยงาม พอประกอบกับแสงจางๆ จากพระอาทิตย์ที่อยู่อีกฝั่ง แม้จะไม่เห็นในภาพแต่มันก็ทำให้องค์ประกอบต่างๆ ดูละมุนกว่าปกติ ขนาดใบหน้าปลาตายของภามยังดูสดใสและอ่อนโยนขึ้นเลย

“เป็นไง ฉันถ่ายสวยไหม” ที่ถามนี่ไม่ได้คาดหวังอะไรมากมายเลยนะ แค่ยิ้มกว้างรอรับคำชมอยู่ก็เท่านั้นเอง

“ก็…” คนที่กำลังก้มลงพิจารณาภาพถ่ายเอียงหัว ท่าทางเหมือนกำลังมองอย่างตั้งใจจริงๆ จนผมอดเกร็งตามไปด้วยไม่ได้ ทว่าสุดท้ายแล้วเขาก็แค่เงยหน้ามองแล้วพยักหน้า “ใช้ได้”

“ธรรมดา” ผมสะบัดหน้าหนีคล้ายไม่สนใจ ทั้งที่ยิ้มจนปวดแก้มไปหมด อกนี่ก็ยืดจนไม่รู้จะยืดยังไงแล้วเนี่ย

“บ้าบอ” ภามถอนหายใจยาวเหยียด หากมุมปากกลับปรากฎรอยยิ้มแบบที่ไม่ต้องให้ผมบังคับ ได้ข่าวว่าผมยังไม่ได้ทำอะไรน่าตลกเลยนะ แสดงว่าถ้านึกจะยิ้มก็ยิ้มได้นี่หว่า “มองอะไร”

“มองนายยิ้ม” ตอบไปตามตรงพร้อมยื่นหน้าไปมองใกล้ๆ ถึงรอยยิ้มจะหายไปแล้วแต่ก็ตามคาด...เขาดูเป็นผู้เป็นคนขึ้นจริงๆ ด้วย “นายไปทำอะไรมา”

“อะไร”

“ทำไมถึงดูสดใสกว่าเดิม” ถึงหน้าตาจะดูราบเรียบไม่ได้แตกต่างอะไรจากช่วงแรกที่ได้เจอกัน อีกทั้งดวงตายังคงดูว่างเปล่าไม่เปลี่ยนแปลง แต่ผมกลับสัมผัสได้ถึงความสดใสแบบที่อธิบายไม่ถูกซึ่งแผ่ออกมาจากตัวภาม มันเหมือนกับว่าเขาแสดงอารมณ์ออกมามากขึ้นโดยไม่รู้ตัว

“เหรอ”

“อย่างเมื่อกี้นายก็ยิ้มให้ฉัน” ผมสันนิษฐานเรื่องราวต่อเป็นทอดๆ

“อ่า”

“เมื่อวานก็พูดแปลกๆ กับฉัน”

“…”

“แถมยังดูอารมณ์ดีบ่อยๆ ตอนอยู่ด้วยกัน”

มันหมายความว่ายังไง...

ผมเงยหน้าขึ้นมองภามด้วยความไม่เข้าใจ คาดหวังว่าจะให้เขาตอบอะไรออกมาสักอย่าง อย่างน้อยถ้าไม่เข้าใจเหมือนกันจะบอกว่าไม่รู้ก็ยังดี แต่นี่เขากลับจ้องหน้าผมนิ่ง ทำราวกับกำลังอมพะนำโดยที่ตัวเองเข้าใจเรื่องราวทุกอย่างอยู่แล้ว และมันทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ ยังไงก็ไม่รู้

“เหตุผลที่ผมชอบถ่ายรูป ยามเดินทางไปตามสถานที่ต่างๆ เป็นเพราะภาพถ่ายสามารถจดบันทึกเรื่องราวได้” แววตาที่เต็มไปด้วยความจริงจังทำให้ผมหายใจผิดจังหวะไปครู่หนึ่ง หากมันก็ยังดึงดูดกันไว้ได้เหมือนเช่นทุกครั้ง “ผมเป็นคนจดบันทึกไม่เก่ง พูดไม่เก่ง แต่ถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง วันหนึ่งเรื่องราวดีๆ ที่ได้เจออาจจางหายไปก็ได้”

“เพราะงั้นนายถึงชอบถ่ายรูป...”

“สำหรับผม รูปที่ถ่ายออกมาด้วยความต้องการของตัวเองไม่ใช่แค่แสดงให้เห็นถึงความสวยงามของสถานที่ที่เดินทางไป แต่มันบอกเรื่องราวได้มากมาย แม้กระทั่งอารมณ์ของผมในยามนั้น”

จำได้ว่าตอนที่ผมกดย้อนดูรูปเก่าๆ ของเขา ตัวเองเอาแต่สนใจความสวยงามและความสมบูรณ์แบบของภาพ ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกเหมือนมันขาดอะไรไป ที่แท้มันก็ไม่ได้ขาด...แต่เป็นเพราะภามมองเห็นโลกในรูปแบบนั้น เขาอยู่ในอารมณ์แบบนั้นจริงๆ ต่างหาก

“ที่คุณเคยบอกว่าเราจะเห็นในสิ่งที่ตัวเองอยากเห็น นั่นเป็นเหตุผลที่ในภาพถ่ายของผมไม่มีผู้คนอยู่เลย...จนกระทั่งมาเจอคุณ” ภามพูดช้าๆ เหมือนต้องการให้ผมตั้งใจฟัง ดวงตาที่ดูราวกับเป็นหลุมลึกคู่นั้นจ้องมองผมนิ่งราวกับจะดูดให้หล่นลงไป

โชคดี...โชคดีที่ผมเกาะขอบหลุมไว้ทัน

“อ๋อ แบบนี้นี่เอง” เสียงที่พูดทั้งดูสูงและสั่นเกินปกติไปมากโข จะดูอย่างไรก็ไม่มีความเป็นธรรมชาติเลยแม้แต่นิดเดียว ถึงอย่างนั้นมันก็ยังเป็นเกราะป้องกันตัว...และป้องกันใจของผมที่กำลังสั่นระรัวเอาไว้ได้ ผมรวบรวมสติแล้วหลบสายตาภาม พร้อมกับที่พยายามลุกขึ้นยืนช้าๆ หวังทำลายบรรยากาศอันน่ากระอ่วนกระอ่วนนี้ด้วยการ...หนี “ฉันว่าเรากลับกันดีกว่า”

แรงกระชากที่ข้อมือโดยไม่ทันตั้งตัวทำให้ผมตัวเอน โชคดีที่ตัวต้นเหตุทำตัวเป็นต้นไม้ใหญ่ยืนนิ่งเป็นที่พึ่งพิง เต้าหู้อย่างผมเลยไม่หล่นลงไปกองอยู่ที่พื้น แต่หากรู้ว่าเมื่อได้ประชิดร่างสูงใหญ่แล้วจะถูกล็อกเอวไว้แน่นแบบนี้ ผมคงต้องขอเวลาคิดดูอีกทีว่าจะยอมล้มลงไปแต่แรกดีหรือเปล่า ซึ่งแน่นอนว่าตอนนี้...ไม่ทันแล้ว

“คิดว่าจะหนีไปได้ตลอดเหรอ” น้ำเสียงเรียบเย็นที่กระซิบอยู่ข้างใบหูทำให้ผมขนลุกขนพอง ยิ่งรู้ว่าตอนนี้ลำตัวของเราทั้งคู่ต่างแนบชิดกันด้วยความตั้งใจของเขา ใจผมก็ยิ่งสั่นไหวจนปวดในอกไปหมด

“ปล่อย” จะสั่นทำไมวะเสียงเนี่ย โอย...

“คุณจะ...” จู่ๆ ภามก็ชะงักไปขณะที่กำลังจะก้มหน้าลงมาพูดอะไรบางอย่างกับผม เขาขมวดคิ้วแล้วเงยหน้ามองท้องฟ้า และในวินาทีถัดมาผมก็ถูกลากไปที่ศาลาราวกับเป็นกระสอบทราย เรื่องดีๆ มีเพียงอย่างเดียวคือถูกปล่อยตัวแล้ว

อ้อ...แต่ข้อมือยังโดนจับไว้แน่นอยู่

ในช่วงเวลาที่กำลังคิดจะถามว่าเขาลากผมมาที่ศาลาทำไม หยาดฝนก็เทกระหน่ำลงมาจากฟากฟ้าแบบไม่ให้ตั้งตัว ถึงจะไม่ได้รุนแรงขนาดพายุเข้า แต่ก็ทำให้เราเดินลงจากเขาไม่ได้แน่ๆ นอกเสียจากจะอยากลื่นตาย

ประเด็นคือ...ได้ข่าวว่าเมื่อกี้พระอาทิตย์เพิ่งขึ้น และที่สำคัญยิ่งกว่าคือกูกำลังจะชิ่งหนี แล้วทำไมมึงต้องมาตกตอนนี้หา!

“หนีไม่ได้แล้วสินะ” คนเลวที่กอบกุมข้อมือผมอยู่พูดด้วยน้ำเสียงเยาะเย้ย ก่อนเขาจะปล่อยมือออก คงเพราะเห็นว่ายังไงผมก็หนีไม่ได้แล้วแน่ๆ

“เออ”

“คุณโกรธเหรอ”

“เปล่า”

“แต่คุณพูดว่าเออ”

“ไม่ได้โกรธ”

“ปากไม่ตรงกับใจ” ภามส่ายหน้าหน่าย ทั้งยังยกมือขึ้นโคลงหัวผมราวกับเป็นเด็กๆ และนั่นทำให้ผมรู้ว่าตอนนี้เรานั่งอยู่ใกล้ชิดกันมากขนาดไหน แต่พอพยายามจะถอยห่าง เขาก็ยังขยับตามมาอีกเป็นเงาตามตัว สุดท้ายผมได้แต่ปล่อยเลยตามเลยแล้วหันออกไปด้านนอก ไม่สนใจคนที่อยู่ด้านข้างอีก

สายฝนที่โปรยปรายลงมา แม้จะไม่มีทีท่าว่าจะตกหนักขึ้นหรืออะไร แต่ดูแล้วคงไม่หยุดง่ายๆ แน่ ขืนเป็นแบบนี้คงจะลงไปกินข้าวเช้าไม่ทัน คงต้องขอบคุณที่ผมขนขนมขึ้นมากินด้วยมากขนาดนี้ อีกอย่าง...โชคดีมากจริงๆ ที่เอาเสื้อหนาๆ กับผ้าพันคอขึ้นมา เพราะตอนนี้ผมเริ่มจะหนาวจนตัวสั่นแล้ว ศาลาที่เรานั่งกันอยู่ถึงจะไม่ได้คับแคบอะไรนัก แต่ลมพัดฝนเข้ามาตลอดแบบนี้ ยังไงก็ต้องเปียกนิดหน่อยอยู่ดี

“อย่าหันหน้าต้านลม มานั่งตรงนี้” ภามขยับมานั่งขวางทางลมแล้วหมุนตัวผมให้หันไปในทิศทางเดียวกันกับเขา ความอบอุ่นของอกกว้างที่แนบชิดอยู่กับแผ่นหลังของผมทำให้หัวใจที่เพิ่งสงบลงกลับมาเต้นกระหน่ำอีกครั้ง ถึงแม้ภามจะไม่ได้สอดมือเข้ามากอดหรือแตะต้อง แต่การนั่งอย่างแนบชิดแบบนี้ก็ไม่ได้ต่างอะไรกันเลย

“นายไม่หนาวหรือไง”

เอาตัวมาบังลมบังฝนให้กันแบบนี้...

“ไม่เป็นไร”

ถึงจะบอกว่าไม่เป็นไรก็เถอะ แต่ว่า...

ผมขยับตัวเล็กน้อยเพื่อถอดผ้าพันคอผืนใหญ่ออก ก่อนจะหันไปด้านหลังแล้วเอามันไปพันรอบคอของคนตัวสูงที่ตอนนี้เปียกไปแล้วหลายส่วน จากนั้นจึงดึงรั้งผ้าให้ปิดบังหัวเขาไว้ให้ได้มากที่สุด โดยไม่ได้สนใจสายตาที่จ้องมองมาที่ตัวเองเลยแม้แต่น้อย

“โดนฝนแบบนี้ไม่ดีเลย” ถึงจะเป็นละอองฝนก็ทำให้ไม่สบายได้เหมือนกัน แต่จะให้ลุยกลับตอนนี้ก็ยิ่งไม่ได้เข้าไปใหญ่ หวังว่าฟ้าฝนคงเห็นใจ หยุดให้เราได้ลงไปด้านล่างก่อนคนที่ปกป้องผมอยู่จะไม่สบาย

พอเป็นเรื่องที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพขึ้นมา ผมก็เริ่มเครียด แม้ใจจะยังเต้นแรงจากความใกล้ชิดและสิ่งที่เขาทำให้ ทั้งยังมีผลพวงมาจากเรื่องที่เขาพูดอีก แต่ยามนี้สิ่งที่ผมให้ความสำคัญที่สุดคือสุขภาพของภาม บนเกาะนี้อุปกรณ์ต่างๆ ไม่ได้มีมากมายนัก ถ้าเป็นไข้หรือไม่สบายธรรมดาอาจพอถูไถและรักษาได้ แต่ขืนเป็นยิ่งกว่านั้นขึ้นมาจะแย่เอา

“เป็นอะไร” เสียงถามจากด้านหลังทำให้ความกังวลที่สะสมไว้ทวีคูณขึ้นมากกว่าเก่า สุดท้ายเลยตัดสินใจหันหน้าไปครึ่งหนึ่งแล้วถามเขาเพื่อความสบายใจของตัวเอง

“นายเคยป่วยเป็นอะไรมาก่อนหรือเปล่า แพ้อะไรบ้าง หรือเคยมีอาการผิดปกติอะไรไหม เวลาไม่สบายปกติหนักมากถึงขนาดต้องเข้าโรงพยาบาลหรือเปล่า แล้ว...”

“หยุด” เขาถอนหายใจพร้อมๆ กับที่ยื่นมือมาปิดปากผม “ผมไม่เป็นไร ยังไงก็ได้ผ้าพันคอของคุณมาช่วยปิดหัวแล้ว ที่สำคัญคือผมแข็งแรงกว่าคุณหลายเท่า ระวังตัวเองให้ดีก็พอ”

“แต่…”

“เอาเป็นว่าถ้าอยากช่วย คุณแค่ขยับมาให้ชิดผมก็พอ”

ในตอนแรกผมตั้งท่าจะปฏิเสธ แต่เมื่อนึกได้ว่าภามอาจจะหนาวจนต้องการความอบอุ่น ตัวเลยขยับถอยไปด้านหลังโดยอัตโนมัติ ร่างกายของเราแนบชิดกันจนผมสัมผัสได้ถึงอัตราการเต้นของหัวใจซึ่งเต้นเป็นจังหวะอย่างมั่นคงของเขา

ขณะที่ต้องพยายามอย่างยิ่งยวดเพื่อไม่ให้ดูเหมือนเกร็งมากเกินไป ภามกลับทำลายทุกความตั้งใจของผม ด้วยการใช้แขนแข็งแกร่งของเขาโอบเอวกันไว้จากทางด้านหลัง ทั้งยังวางคางลงมาบนไหล่ด้านซ้าย ทิ้งน้ำหนักทั้งหมดมาหาราวกับต้องการตอกย้ำให้รู้ว่าเขากำลังทำอะไรอยู่

ที่แย่คือผมไม่ได้รังเกียจสัมผัสเหล่านั้นเลย...

และที่แย่ยิ่งกว่าคือผมดันรู้สึกอบอุ่น...จนไม่อยากผละออกไปจากอ้อมกอดนี้

“เรามาเล่นเกมกันไหม”

“สภาพนี้เนี่ยนะ” ผมตั้งใจถามติดตลก แต่เสียงขำกลับติดอยู่ในลำคอไม่ยอมหลุดตามออกมาด้วย “อยู่ที่นี่จะเล่นเกมอะไรได้”

“เกมตอบคำถาม ถ้าใครตอบไม่ได้ก่อนจะเป็นฝ่ายแพ้ และต้องตอบตามความจริงเท่านั้น”

“ถ้าชนะจะได้อะไร”

“อะไรก็ตามที่คนชนะต้องการ”

ผมนิ่งคิดอยู่พักหนึ่งเพื่อคำนวณผลได้ผลเสียในใจ แต่ยังไม่ทันได้คิดอย่างถี่ถ้วน อ้อมแขนที่กอดเอวไว้กลับกระชับแน่นกว่าเดิมราวกับต้องการเร่งให้ตอบ และมันทำให้ทุกอย่างในหัวผมโล่งไปหมด กว่าจะรู้ตัวก็เผลอพยักหน้าไปแล้ว

เอาเถอะ...อย่างน้อยก็อาจทำให้หัวใจกลับมาเต้นเป็นจังหวะปกติได้บ้าง เพราะตอนนี้มันเต้นแรงจนผมไม่รู้ว่าคนที่กอดตัวเองอยู่จะได้ยินหรือเปล่าแล้ว

“ฉันเริ่มก่อน” ผมรีบพูดเพราะอยากทำให้ตัวเองหลุดออกจากความรู้สึกนี้เสียที และเมื่อรู้สึกได้ว่าภามขยับศีรษะตอบรับแล้วจึงเริ่มถาม “ทำไมนายถึงดูรักพี่ชายนัก”

“ใครๆ ก็รักพี่น้องของตัวเองไม่ใช่หรือไง แต่ถ้าคุณหมายถึงทำไมผมถึงดูรักพี่ชายตัวเองมากจนผิดปกติ นั่นเป็นเพราะผมเคยคิดว่าเขาเป็นครอบครัวเพียงคนเดียวที่ยังเหลืออยู่และรักผมจริงๆ”

“แล้ว...”

“ตาผมก่อน” ภามยกมือปิดปากผมไว้ น้ำหนักที่ไหล่คล้ายจะกดลงมาหนักขึ้นเป็นการเตือนให้รู้ว่าผมกำลังจะทำผิดกฎ รู้แล้วน่า ไม่ต้องเอะอะแตะเนื้อต้องตัวจะได้ไหม “ก่อนมาเจอผม คุณเคยมองเห็นใครอยู่ในสายตาเป็นพิเศษ แบบที่ไม่ใช่การสังเกตไปทั่วเหมือนปกติไหม”

คำถามอะไรเนี่ย...

“ต้องถามคำถามและตอบคำถามภายในสามวิ”

“ตอนแรกไม่ได้บอกนี่” ผมหันไปขมวดคิ้วใส่หน้าปลาตายของคนที่ยังยึดไหล่กันอยู่แบบเคืองๆ ไม่เห็นตอนแรกจะอธิบายกติกาข้อนี้

“ถ้าไม่เพิ่มกติกา คุณคงใช้เวลาคิดคำตอบทั้งวัน” เขาตอบเสียงเรียบ ซึ่งผมก็ได้แต่ฮึดฮัดอยู่ในใจ เพราะมันคงเป็นแบบนั้นจริงๆ “ตอบสิ”

“ไม่เคย”

คล้ายผมจะได้ยินเสียงหัวเราะเบาๆ ดังมาจากคนด้านหลัง แต่เพราะมัวแต่ใส่ใจกับคำถามสามวิ เลยไม่ทันได้สนใจอะไรมากนัก ว่าแต่จะถามอะไรต่อดี...

“หนึ่ง”

“นาย...นายกอดฉันทำไม”

สิ้นคิด...คำถามสิ้นคิดอะไรวะเนี่ย!

“เพราะผมอยากกอด” คำพูดที่ตอบออกมาโดยไม่ต้องหยุดคิดสร้างผลกระทบให้อย่างจัง ผมนั่งนิ่งเป็นตุ๊กตาไขลาน ไม่หือไม่อืออะไรทั้งนั้น คล้ายสติจะหลุดไปพร้อมกับคำตอบนั้นแล้ว และในเวลาที่รู้สึกตัว เสียงกระซิบที่บ่งบอกถึงความพ่ายแพ้ก็ดังขึ้นพอดี “คุณแพ้แล้ว”

ขี้โกง...

“นายต้องการอะไร”

“ต้องการให้คุณฟังผมพูดให้จบ”

ผมเม้มปากแน่นเพราะรู้ดีว่าเขาจะพูดต่อจากเรื่องอะไร ถึงจะอยากลืมขนาดไหน แต่แค่ก้มลงมองกล้องที่ถูกคนด้านหลังส่งมาให้อุ้มไว้ราวกับเป็นลูกตั้งแต่ตอนฝนตกก็จำได้แล้ว

“ถ้าฉันหัวใจวายตาย นายต้องรับผิดชอบแน่”

“หึหึ...ทั้งที่เดาออกว่าผมจะพูดอะไร ยังคิดว่าตัวเองจะหัวใจวายอีกเหรอ” เขาหัวเราะเบาๆ แล้วถามอย่างอารมณ์ดี อารมณ์ดีเสียจนผมอยากจะเขวี้ยงกล้องออกไปด้านนอก เผื่อจะกลับมาจริงจังได้บ้าง

“ก็เพราะเดาได้นั่นแหละ ถึงรู้ว่าหัวใจจะวาย” เกลียดความฉลาดที่บทจะเกิดก็เกิดขึ้นมาแบบง่ายๆ ของตัวเองเหลือเกิน ขอกลับไปโง่เหมือนเดิมจะได้ไหม

“ถ้างั้นก็ตั้งใจฟัง ถ้าดื้อผมจะกัดคอคุณ”

แค่คำขู่ก็จะทำให้หัวใจวายตายแล้ว...ให้ตายเถอะ ที่ชวนให้เล่นเกมก็เป็นแผนของเขานี่เอง ไอ้คนเลวเอ๊ย!

“ฉันไม่เคยทำผิดกติกา แพ้ก็ยอมรับว่าแพ้”

จะพาเกริ่นนำอีกนานไหม จะพูดอะไรก็พูดมาสักทีเถอะ ใจมันเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ จนจะเป็นบ้าอยู่แล้ว

ตอนแรกผมนึกแบบนั้นจริงๆ อยากให้เขาพูดๆ ออกมาให้จบไปเลยทีเดียว ถึงจะไม่มั่นใจนักว่าถ้าได้ยินอะไรแล้วจะเป็นลมไปก่อนหรือเปล่า แต่พอเจอเข้ากับความเงียบจากทางด้านหลัง มีเพียงเสียงฝนตกกระทบหลังคาแบบนี้ จะไม่ให้ผมจิตตกได้ยังไง หรือบางทีผมควรเป็นลมไปเลยนะ เผื่ออะไรๆ จะดีขึ้น

“คุณเป็นคนเพียงคนเดียวที่ผมมองเห็นอยู่ในสายตาตลอดเวลา และเป็นคนที่ทำให้ผมรู้สึกอยากยิ้มเวลาอยู่ใกล้ๆ”

“…”

ตึกตัก ตึกตัก

“ถ้าความพิเศษนั้นเรียกว่าชอบ...ก็คงใช่”

“นะ...นายอาจจะคิดแบบนั้นเพราะฉันเป็นคนเดียวที่อยู่ใกล้ชิดนายมาตลอดในช่วงหลายอาทิตย์ที่ผ่านมาก็ได้นะ”

อีกอย่าง...นี่มันแค่ไม่กี่อาทิตย์เองที่เราได้เจอกัน ความชอบพอกันมันเกิดได้เร็วขนาดนั้นเลยเหรอ แบบนั้นมันจะมั่นคงได้ยังไง

“ผมไม่เคยรู้สึกแบบนี้กับคนอื่น ต่อให้พยายามตอบรับหรือยอมให้พวกเขาเข้ามาอยู่ใกล้ๆ ก็ตาม” ภามพูดด้วยน้ำเสียงจริงจังแบบที่ทำให้ผมเถียงไม่ออก “คุณอาจจะคิดว่าเวลามันสั้นเกินไปกับคำว่าชอบใครสักคน ผมเองก็คิดแบบนั้นเหมือนกัน แต่คนเราถ้าเริ่มรู้สึกว่าชอบใครแล้วก็ต้องลองเข้าหาไม่ใช่เหรอ ไม่งั้นจะสมหวังได้ยังไง”

“เอ่อ…”

“ถึงผมจะยังต้องใช้เวลาพิสูจน์ความรู้สึกของตัวเองอีกสักพัก แต่คุณไม่ต้องกังวลหรอก ไม่มีทางที่สุดท้ายแล้วคุณจะรู้สึกโดยที่ผมไม่รู้สึกแน่ เพราะผมมั่นใจว่าคุณคือคนที่กำลังตามหา”

“…”

“ตอนแรกที่ผมถ่ายรูปคุณ เป็นเพราะผมอยากจะเก็บบันทึกเรื่องราวของคุณเอาไว้ เพื่อบอกให้รู้ว่าคุณคือเพื่อนร่วมเดินทางคนแรกของผม แต่ตอนนี้ไม่ใช่แล้ว...”

ผมไม่รู้เลยแม้แต่น้อยว่าฝนหยุดตกตั้งแต่เมื่อไหร่ แม้ยามที่เจ้าของอ้อมกอดด้านหลังผละออกไป แล้วจับไหล่ให้หันไปหา ผมก็ทำได้เพียงเอนตัวตามแล้วมองสบดวงตาคมคู่นั้นด้วยความรู้สึกที่พูดไม่ออกบอกไม่ถูก

“หนึ่งภาพถ่ายคือหนึ่งเรื่องราวที่ผมจะเก็บเอาไว้ในความทรงจำ”

“นาย..."

“และจากวันนี้ ผมจะเก็บบันทึกเรื่องราวของคุณทุกวัน...”

“…”

“จนกว่าคุณจะคิดตรงกันกับผม”

ดูเหมือนผม...

กำลังจะเป็นลม



—————————-




หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 10-08-2018 11:57:16
-15-



หลังจากโดนสารภาพรักต่อหน้าต่อตา ทางเลือกควรจะมีเพียงตอบรับกับปฏิเสธ หรือหากจะเพิ่มทางเลือกที่สาม มันก็ควรเป็นคำตอบแบ่งรับแบ่งสู้สำหรับคนไม่แน่ใจ ประมาณว่าขอเวลาคิด ขอให้แน่ใจอีกหน่อยอะไรพวกนั้น แต่ผมได้ทำลายทุกความเชื่อดั้งเดิมไปหมดแล้ว ด้วยการเพิ่มทางเลือกที่สี่เข้าไปในนั้น มันคือสิ่งที่ไม่ว่าใครก็คงคิดไม่ถึง และไม่ว่าใครก็คงทำซ้ำไม่ได้

ผมเป็นลมใส่หน้าภาม...

แม้ยามฟื้นคืนสติจะรีบบอกว่าเป็นเพราะตากฝน แต่เหตุผลบ้าบอแบบนั้นมันฟังขึ้นเสียที่ไหน และที่ยิ่งไปกว่านั้นคือการที่ผมเห็นเขาทำตัวตามปกติ ไม่มีท่าทีจะพูดถึงเรื่องนั้นขึ้นมาอีก กลายเป็นผมดูร้อนรนไปคนเดียว ถามว่ารนขนาดไหน...รนขนาดที่ว่านอนไม่หลับซ้ำอีกคืน ตาบวมจนไม่รู้จะบวมยังไง

มันต้องเป็นเพราะผมยังไม่ได้ปฏิเสธภามไปตามตรงแน่ ถึงคำพูดของเขาจะเป็นการสารภาพรักที่ดูคล้ายจะบอกให้รู้ว่าจะเข้าหา ประมาณว่าจะจีบ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าผมต้องยอมรับแล้วให้เขาทำตามที่คิด

ถ้าไม่ชอบก็พูดไปเลยว่าไม่ชอบ ถ้าจะปฏิเสธก็ควรพูดตรงๆ ไปเลย ดังนั้น...

“ภาม” ผมหันไปหาคนที่นั่งพิงกำแพงอยู่ด้านข้าง น้ำเสียงจริงจังเต็มที่ ตั้งใจไว้แล้วว่ายังไงก็ต้องปฏิเสธให้ได้ แต่ว่า...

“หืม”

“เอ่อ...” จู่ๆ เสียงที่อัดอยู่ในลำคอก็จางหายไปเสียเฉยๆ เมื่อได้มองสบดวงตาคู่นั้นที่จ้องมองกันอยู่ก่อนแล้ว ผมพยายามอ้าปาก ตั้งท่าจะพูดอยู่อีกหลายรอบ แต่สุดท้ายก็มีเพียงความว่างเปล่า ถ้อยคำปฏิเสธแรงๆ ที่เตรียมไว้ไม่มีหลุดออกไปสักคำ

“จะพูดอะไร” ภามถามซ้ำอีกรอบ

“คือฉันคง...” รับความรู้สึกของนายไว้ไม่ได้หรอก

แค่นี้ทำไมพูดไม่ได้วะเนี่ย เป็นบ้าอะไรไอ้เจได ก็แค่พูดออกไปตามที่สมองสั่ง

“ชาตินี้จะคุยกันรู้เรื่องไหม” เหมือนภามจะเป็นฝ่ายหมดความอดทนกับผมก่อน เขาลุกขึ้นยืนแล้วดึงแขนผมให้ลุกตามไปด้วย จากนั้นก็จัดการลากให้เดินออกไปด้านนอกโดยไม่คิดถามความเห็นกันเลยสักคำ

“นายจะพาฉันไปไหน”

“ไม่อยากจะเชื่อว่าคนอย่างคุณจะลืมกินข้าว”

ด่าตะกละเลยก็ได้ถ้าจะขนาดนี้

ผมอยากบอกเขาเหลือเกินว่าลืมกินข้าวน่ะยังไม่เท่าไหร่หรอก แต่ถ้าเขารู้ว่าผมไม่ได้นอนเพราะเรื่องของตัวเอง ถึงตอนนั้นผมคงขายหน้ายิ่งกว่านี้อีกเป็นร้อยเท่า ยังไม่นับรวมเรื่องที่ไม่กล้าปฏิเสธนั่นอีกนะ

ภามลากผมมาที่บ้านน้าต้อยผู้เสียสละครัวและวัตถุดิบทำอาหารให้เราทำกินกันได้ตามสบาย ตอนแรกๆ ผมเกรงใจแทบตาย แต่เพิ่งมารู้ทีหลังว่าไอ้บ้าภามมันไปตกลงกับน้าแกเรื่องค่าอาหารเรียบร้อยตั้งนานแล้ว ถ้าแตงไม่บอกผมก็คงไม่รู้เลย ตัวต้นเรื่องหรือก็ไม่คิดจะบอก ปล่อยให้เรานั่งเครียดอยู่ได้ตั้งนาน นิสัยเสียจริงๆ

“ผมอยากกินไข่เจียวอีก”

“รับทราบครับคุณชาย”

หน้าที่ในการทำอาหารกลายเป็นของผมไปโดยปริยาย เมื่อคุณชายให้เหตุผลว่าตัวเองเป็นคนจ่ายเงิน ดังนั้นผมเลยต้องเป็นคนทำ ถึงมันจะดูแหม่งๆ อยู่นิดหน่อยตรงที่ว่าทำไมผมต้องให้เขาจ่ายให้ แต่เรื่องเล็กๆ น้อยๆ แบบนั้นผมโยนทิ้งไปตั้งนานแล้ว เพราะเมนูแต่ละอย่างที่ภามอยากกินมันก็ไม่ได้เกินความสามารถมากนัก อีกอย่างคือผมเองก็รู้สึกดีเหมือนกัน ที่ได้รื้อฟื้นวิถีชีวิตเดิมๆ ก่อนที่งานจะยุ่งจนหัวหมุน สุดท้ายเลยปล่อยเลยตามเลย ยอมทำข้าวทำปลาให้เขากินแลกกับการที่ไม่ต้องจ่ายเงินแม้แต่บาทเดียว

นานแค่ไหนแล้วก็ไม่รู้ที่ไม่ได้ทำกับข้าวกินเอง ได้มาเที่ยวมันก็ดี...

“นี่”

“เฮ้ย!” ตะหลงตะหลิวปลิวกระจายไปตามความตกใจจนแทบสิ้นสติ คนยิ่งจิตอ่อนๆ อยู่ด้วย ไอ้บ้านี่ยังกล้ามาพูดเป่าลมใส่หูผมอีก!

“ตกใจแรงมาก”

“ไอ้บ้าเอ๊ย!” ผมหันไปตีแขนภามโดยไม่ออมแรง ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ จนคล้ายจะหลุดออกมานอกอก ส่วนไอ้คนถูกตีนอกจากจะไม่สำนึกแล้ว ยังมีหน้ามายกยิ้มกวนตีนหน้าเตะส่งมาให้ด้วย

บทจะยิ้มก็ยิ้มใหญ่เลยนะเอ็ง น่าหมั่นไส้ฉิบ

“ผมเห็นคุณเหม่อ” เขาพูดหน้าตาย เหมือนจะมีเหตุผลอยู่หรอก แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าจะต้องเข้ามากระซิบถึงข้างหูหรือเปล่า แค่เรียกหรือสะกิดก็พอแล้ว แต่ขืนพูดออกไป คนอย่างภามต้องคิดว่าผมขวัญอ่อนเพราะเขาแน่ๆ

“เหม่อนิดเหม่อหน่อยไม่ได้หรือไง”

“ได้ แต่ถ้าไข่ไหม้อีกคุณกินตรงส่วนที่ไหม้แล้วกัน”

“รู้แล้วน่า” ผมตัดบทโดยการหันไปคว้าตะหลิวอีกอันมาพลิกไข่ ถึงสีจะคล้ำไปหน่อยแต่ก็ยังไม่ได้ไหม้แบบที่คิด “กรอบกำลังดี”

“ผมชอบกินนิ่มๆ”

“…”

ถ้าเอาตะหลิวฟาดหัวภาม ผมต้องโดนโทษอะไรบ้างนะ

เรานั่งกินข้าวไข่เจียวหมูสับกันจนหมดโดยใช้เวลาไม่ถึงสองนาที ผมหิวจนแทบจะกินจานได้ทั้งใบ ทั้งยังเป็นคนกินไวอยู่แล้ว แต่ที่น่าแปลกคือคุณชายที่ปกติจะกินข้าวในรูปแบบของผู้ดี กว่าจะกินหมดเอาเวลาไปวิ่งเล่นรอบเกาะได้หนึ่งรอบ มาวันนี้เขากลับกินเร็วไม่แพ้ผม ทั้งยังกินเกลี้ยงแบบที่ไม่เหลือข้าวเลยสักเม็ดด้วย

“ทำไมวันนี้นายกินไว” ผมถามอย่างอดไม่ได้ระหว่างที่กำลังรวบจานสองใบเพื่อเอาไปล้าง

อ่าใช่...หน้าที่ล้างจานเป็นของผมเอง แม่บ้านไหมล่ะ

“นี่คุณได้ดูเวลาบ้างหรือเปล่า”

“กำลังจะเที่ยงไง อ๋อ...วันนี้มากินข้าวช้านายเลยหิวสินะ” ที่แท้ก็โมโหหิวเลยกินไว

“เฮ้อ…” ครั้งนี้ภามถอนหายใจใส่หน้าผมแรงๆ เขาดึงจานไปถือไว้แล้วเดินตรงไปล้างด้วยตัวเองเป็นครั้งแรก ผมได้แต่ทำตาโตมองตามหลังไปด้วยความตกใจ ตั้งแต่วันแรกจนถึงวันนี้ผมยังไม่เคยเห็นเขาล้างจานเลยนะ รู้ตัวอีกทีก็วิ่งดุ๊กดิ๊กตามไปอยู่ด้านหลังแล้ว

“นายไปกินอะไรผิดสำแดงมาหรือเปล่าเนี่ย”

“ปกติคุณเป็นคนขี้ลืมระดับไหน”

คำถามของภามทำให้ผมต้องเลิกคิ้วด้วยความประหลาด แต่อาจเป็นเพราะกำลังตั้งหน้าตั้งตามองเขาล้างจานอยู่ ปากเลยเผลอตอบออกไปโดยอัตโนมัติ

“ถ้าไม่ใช่เรื่องในวิชาชีพก็ขี้ลืมอยู่บ้าง แต่ส่วนใหญ่จะเป็นประเภทเหม่อรับปากแล้วจำไม่ได้มากกว่า”

อันนั้นน่าจะบ่อย ผมเป็นพวกมีสมาธิเวลากำลังตั้งใจทำอะไรสักอย่างมาก ช่วงอยู่มหา’ลัยจำได้ว่านั่งอ่านหนังสือแล้วมีเพื่อนมาชวนไปเตะบอล ปากอืออารับคำไปแต่จริงๆ ไม่รู้เรื่องอะไรด้วยซ้ำ จนมันมาด่านั่นแหละถึงรู้สึกตัว เวลาผมตั้งใจอยู่ เรื่องเดียวที่จะทะลุเข้ามาทำลายสมาธิได้มีเพียงเรื่องของคนไข้เท่านั้น

ดูเหมือนภามจะหมดความอดทนกับผมแล้วเขาถึงได้ถอนหายใจออกมาอีกรอบ คนตัวสูงหมุนตัวมาหา จ้องหน้ากันเหมือนจะกดดัน แต่ผมยังไม่พร้อมสบตาเขาในเวลานี้เลยได้แต่เบนหน้าหนีแบบโคตรจะไม่เป็นธรรมชาติ

“เมื่อวานคุณรับปากว่าจะไปเล่นกับเด็กๆ ตอนสิบเอ็ดโมง”

“หา” ผมตาโต ในหัวนึกอะไรไม่ออกเลยแม้แต่นิดเดียว เมื่อวานนอกจากตอนลงจากเขาแล้วเจอเจ้าตาลโดยบังเอิญ ผมก็ไม่ได้พูดอะไรกับใครเลยไม่ใช่เหรอ หรือว่าตาลชวนตอนที่ผมสติหลุดจากเรื่องที่ภามพูดอยู่ เลยเผลอรับปากไปแบบไม่รู้ตัว

“นึกออกหรือยัง”

“ยัง แต่รีบไปเร็ว” ว่าแล้วก็คว้าข้อมือหนาของอีกคนมากำไว้แล้วออกแรงลากให้วิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว ปกติพวกเด็กๆ จะนัดเจอกันที่หาด ตรงจุดที่พวกผู้ใหญ่ทำงานกันก่อน แล้วค่อยพากันไปเล่นที่อื่น ซึ่งถ้าผมเดาไม่ผิดเด็กพวกนั้นต้องยังรออยู่แน่ๆ

ผมวิ่งไปในทิศทางที่คุ้นเคยจนเริ่มรู้สึกหอบ ขาก้าวช้าลงโดยไม่รู้ตัว เพิ่งนึกได้ว่าครั้งก่อนวิ่งไปแบบนี้แล้วสภาพเป็นแบบไหนก็ตอนที่เริ่มรู้สึกเหมือนจะหน้ามืดซ้ำอีกรอบ

“วิ่งแบบนี้เดี๋ยวก็หน้ามืดอีกหรอก” เสียงเตือนดังขึ้นจากคนที่กำลังวิ่งตามแบบสบายๆ อยู่ด้านหลัง ผมอยากหันไปบอกเขาว่าไม่ทันแล้ว แต่เหมือนภามจะรู้ตัวก่อน เขาถึงได้หยุดวิ่งแล้วกระชากแขนให้ผมหยุดตามไปด้วย

“โอย…” เบื่อความอ่อนแอของตัวเองจนอยากจะเป็นลมตายให้รู้แล้วรู้รอด

แต่เดี๋ยวนะ...เป็นลมเหรอ

ภาพเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อวานวาบเข้ามาในหัวเหมือนกำลังกรอเทปย้อนกลับ ผมยกมือข้างที่ไม่ได้ถูกเกาะกุมไว้นวดขมับเพื่อสะกิดจิตให้ลืมมันไปอีกครั้ง แต่ไม่คิดว่าท่าทางเช่นนั้นจะทำให้อีกคนเป็นห่วงจนก้าวเข้ามาคว้ามือกันไว้อีกข้าง

“โอเคหรือเปล่า” ใบหน้าคมคายในระยะประชิดที่ดูเป็นห่วงอย่างเห็นได้ชัดทำให้ผมทำอะไรไม่ถูกอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ต้องกะพริบตาอยู่หลายครั้งกว่าจะดึงสติคืนมาได้

“ไม่เป็นไรแล้ว” ผมดึงแขนทั้งสองข้างออกมาเบาๆ ซึ่งภามก็ยอมปล่อยแต่โดยดี หากบรรยากาศรอบด้านกลับดูกระอักกระอ่วนขึ้นมากะทันหัน แม้อาจเป็นผมที่คิดไปเองฝ่ายเดียว แต่มันก็ไม่โอเคเอาเสียเลย “ไปกันเถอะ”

เมื่อหลีกหนีจากสถานการณ์ที่อธิบายไม่ถูกได้แล้ว ผมก็ตั้งใจสาวเท้าเดินอีกครั้ง จะอย่างไรก็ต้องไปขอโทษเด็กพวกนั้นก่อน ถ้าเป็นไปได้ ผมอยากให้ไปถึงแล้วไม่เจอใครเลยด้วยซ้ำ อย่างน้อยจะได้รู้สึกดีขึ้นหน่อยที่พวกนั้นไปเล่นกันโดยไม่รอ แต่ก็ทำได้แค่คิด เมื่อพบว่าเด็กๆ เกือบสิบคนเหล่านั้นกำลังนั่งเล่นกันอยู่ในบริเวณที่เป็นจุดนัดพบอย่างพร้อมเพรียง

“พี่หมอกับพี่ชายมาแล้ว!” เจ้าตาลที่หันมาเห็นผมกับภามเป็นคนแรกตะโกนบอกพี่ๆ เสียงดัง ก่อนร่างเล็กจะวิ่งดุ๊กดิ๊กเข้ามาจูงมือผมกับภามให้เดินเข้าไปรวมกลุ่ม

“พวกเราคิดว่าพี่จะไม่มาแล้ว” เด็กคนหนึ่งในกลุ่มพูดด้วยน้ำเสียงดีใจ

“แตงบอกว่าพวกพี่อาจจะนอนอยู่ เราเลยไม่ไปกวน”

“แม่บอกว่าให้เล่นได้ถึงสี่โมงแหละ”

“พี่ไปกับพวกเรานะ”

ผมมองเจ้าของเสียงเจี๊ยวจ๊าวที่วิ่งไปมารอบกายด้วยความรู้สึกหลากหลาย นอกเหนือจากความรู้สึกผิดที่เห็นเด็กๆ ยังรอ มันยังมีความรู้สึกแปลกๆ ที่ได้เห็นว่าพวกเขาไม่คิดจะกล่าวโทษผมเลยแม้แต่น้อยรวมอยู่ด้วย

ทั้งๆ ที่ยังเด็กอยู่ อยากงอแงอะไรตามวัยก็ได้แท้ๆ แต่กลับไม่มีทีท่าว่าจะไม่พอใจหรือหงุดหงิดที่ต้องรอเลย

“ถ้าเป็นผมเมื่อก่อน บ้านคงแตกไปแล้ว” ภามพูดขึ้นมาลอยๆ ดูเหมือนจะคิดไม่ต่างกันกับผมนัก

“คงเพราะชาวบ้านเลี้ยงดูพวกเขาไม่เหมือนเรา” พวกเขายังไม่รู้จักเทคโนโลยี เป็นผ้าสะอาดที่ผู้ใหญ่ช่วยกันเลี้ยงดูมาอย่างดีที่สุด ผมได้แต่หวังว่าเมื่อโตแล้วเด็กเหล่านี้จะยังเป็นคนดี ไม่หลงงมงายไปกับแสงสีของคนในเมืองง่ายๆ “เด็กๆ อาจยังไม่รู้จักกับความโหดร้ายของโลกภายนอก”

“ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก” คนที่ยืนอยู่ข้างผมส่ายหน้า ก่อนจะโน้มตัวลงไปอุ้มเจ้าตาลขึ้นมา “ถามสิ”

“ถามอะไร”

ภามไม่ได้ตอบคำถาม แต่เขาเป็นฝ่ายมองดวงตาแป๋วแหว๋วของตาล แล้วเอ่ยถามออกมาด้วยตัวเอง

“นายได้เรียนหนังสือหรือเปล่า”

“เรียนจ้ะ” เจ้าตาลเกาะคอเสื้อภามไว้แล้วพยักหน้าหงึกหงัก “พวกเราทุกคนเข้าไปเรียนในเมือง สุดสัปดาห์จะกลับบ้านหนึ่งครั้ง แต่ช่วงนี้เป็นช่วงปิดเทอม เราเลยกลับมาอยู่ที่เกาะ”

ผมมองหน้าตาลด้วยความแปลกใจ แปลกใจทั้งกับคำตอบที่ได้รับ และแปลกใจที่ภามถามถึงเรื่องนี้ขึ้นมา แต่ยังไม่ทันได้พูดอะไร เขาก็หันกลับไปคุยกับน้องอีก

“เพื่อนที่โรงเรียนเป็นยังไงบ้าง”

“ช่วงแรกเพื่อนๆ ไม่ยุ่งกับหนูเลย พวกเขาบอกว่าหนูมาจากบ้านนอก” เด็กน้อยทำหน้าเศร้า แต่แค่แป๊บเดียวก็กลับมายิ้มฟันหลอได้เหมือนเดิม “แต่พอหนูบอกว่าเกาะของหนูที่พวกเขาเรียกว่าบ้านนอกมีอะไรอยู่บ้าง แล้วเราได้เล่นอะไรกันบ้าง พวกเขาก็เข้ามาฟังกันใหญ่เลย แล้วยังบอกให้หนูพามาเที่ยวด้วย”

“พวกนั้นชอบแกล้งตาล” เสียงพูดแทรกดังขึ้นมาจากร่างเล็กๆ ของแตงที่เกาะขากางเกงผมอยู่ นอกจากนั้นเด็กคนอื่นๆ ยังหยุดเล่นแล้วเดินมายืนล้อมผมกับภามไว้ด้วย ต่อจากนั้นเสียงฟ้องเจี๊ยวจ๊าวก็ดังขึ้นจากรอบด้าน

ผมกะพริบมองท่าทางไม่พอใจของเด็กๆ โดยไม่รู้จะทำยังไงดี แต่ที่น่าแปลกคือ...พวกเขาเอาแต่ฟ้องเรื่องของเจ้าตัวเล็กเพียงอย่างเดียว ไม่ได้พูดถึงเรื่องของตัวเองเลยแม้แต่น้อย

“แล้วพวกเราไม่เจอปัญหาบ้างเหรอ” ผมก้มลงถาม

“ไม่สำคัญหรอก พวกเราดูแลตัวเองได้” หลังจากแตงพูดจบ คนอื่นๆ ก็เอาแต่บอกว่าใช่ตามกันเป็นทอดๆ

“ตาลเป็นน้องเล็ก แล้วพ่อแม่ทุกคนก็บอกให้พวกเราดูแลน้อง” 

“ถึงพวกเด็กในห้องจะไม่แกล้งน้องแล้ว พวกห้องอื่นๆ ก็ยังแกล้งอยู่ดี”

“แต่หนูมีความสุขเวลาที่พี่ๆ ทุกคนเข้ามาปกป้องนะจ๊ะ” เจ้าน้องเล็กที่ถูกภามอุ้มไว้พูดขึ้นมาเสียงดัง ทำให้เสียงจอแจรอบด้านหยุดลงตามไปด้วย “อันที่จริงอยู่ที่โรงเรียนสนุกมากเลยจ้ะพี่หมอ หนูโดนแกล้งนิดหน่อยก็ไม่เป็นไร เพราะยังไงหนูก็จะไปฟ้องคุณครูอยู่ดี”

“ขี้ฟ้องนะเรา” ผมหัวเราะขำขณะยื่นมือไปขยี้หัวทุยของตาล

“หนูตั้งใจเรียนเพราะจบมาจะได้มีงานทำ มีเงินมาเลี้ยงดูทุกคนจ้ะ” เจ้าเด็กฟันหลอพูดจาน่าเอ็นดูจนแม้แต่ภามที่ทำหน้าราบเรียบมาตลอดยังดูมีสีหน้าอ่อนลง พวกพี่ๆ ที่ได้ยินน้องพูดแบบนั้นเองก็เหมือนกัน หันมายิ้มแฉ่งแล้วพยักหน้าหงึกหงักยืนยันกันยกใหญ่

“ผมจะเป็นหมอเหมือนพี่หมอแหละ จะได้มาประจำอยู่ที่เกาะ คอยช่วยเหลือลุงๆ ป้าๆ ได้”

“ผมจะเป็นนักว่ายน้ำทีมชาติ พ่อแม่จะได้ไม่่ห่วงเวลาผมขอไปเล่นทะเลกับเพื่อน”

“หนูอยากเป็นนางงามค่ะ ถ้าหนูอยู่ในจอโทรทัศน์ หนูต้องมีเงินเยอะแยะมาเลี้ยงดูแม่แน่ๆ”

สารพัดความฝันและเป้าหมายถูกพูดออกมาทีละอย่าง จากบอกแค่สั้นๆ เริ่มกลายเป็นเล่าเรื่องราวออกมามากมาย พูดกันไม่หยุดปากจนผมถูกภามดึงแขนให้นั่งลงกับผืนทรายแล้ว เด็กๆ ก็ยังพูดอยู่ แม้จะต่างความคิด ต่างความฝัน หากสิ่งหนึ่งที่เป็นจุดร่วมระหว่างพวกเขา คือการบอกว่าตัวเองทำเพื่อทุกคนบนเกาะ

ตอนที่ผมบอกว่าเด็กๆ ยังไม่ได้เจอกับความโหดร้ายของโลกภายนอก ผมเข้าใจแล้วว่าทำไมภามถึงบอกว่าไม่ใช่ทั้งหมด

พวกเขาไม่ได้อยู่แต่ในเกาะแบบที่ผมคิด กลับกันคือเด็กทุกคนได้ไปโรงเรียน ได้เห็นวิถีชีวิตของคนในเมืองแล้ว พวกเขาถูกแกล้ง ถูกมองว่าประหลาด เพียงแต่สิ่งเหล่านั้นไม่อาจทำลายความเชื่อมั่นที่มีได้ มันอาจจะเป็นความเข้มแข็งที่ได้รับมาจากผู้ปกครอง หรือการเลี้ยงดูที่ถูกสั่งสอนมา แต่ทั้งหมดทั้งมวล ผมคิดว่าสิ่งที่สำคัญที่สุด...คงเป็นความรักและความผูกพันของทุกคนที่นี่

“ทำไมถึงรักเกาะขนาดนั้นล่ะ” เสียงถามด้วยความข้องใจของภามทำให้ผมหลุดจากภวังค์ และเงยหน้าขึ้นมองเด็กๆ เพื่อรอคำตอบตามไปด้วย ทุกคนหันหน้ามองกัน มองไปมองมาจนมาหยุดอยู่ที่น้องตาล แล้วเด็กที่อายุน้อยที่สุดก็ยิ้มกว้างพร้อมตอบออกมาอย่างชัดเจน

“เพราะที่นี่มีทุกคนอยู่ไงจ๊ะ” รอยยิ้มไร้เดียงสากระจายอยู่เต็มใบหน้าของเด็กทุกคน ผมมองเห็นความจริงใจและความเชื่อมั่นที่เต็มเปี่ยมอยู่ในดวงตากระจ่างใสทุกคู่ “ทุกคนที่นี่คือความสุขของพวกหนู”

อะไร...

ถามเด็กแล้วหันมามองทำไม ต้องการอะไรเล่า

“แล้วพี่ชายล่ะจ๊ะ” เสียงใสๆ ของเจ้าตาลเอ่ยถาม “ทำไมพี่ชายถึงรักพี่หมอ”

เดี๋ยว...เดี๋ยวก่อน อย่าบอกนะว่าแม้แต่เด็กก็คิดว่าผมกับภามเป็นแฟนกัน

ผมหัวขวับไปขมวดคิ้วใส่หน้าภาม เป็นการบอกใบ้ให้เขาแก้ไขความเข้าใจผิดนั้น แต่พอเห็นอีกฝ่ายทำสีหน้าไม่น่าไว้วางใจ อาการเสียวสันหวังก็วาบขึ้นมาแทบจะทันที

“ยังไม่ใช่รักหรอก” ภามก้มลงบอกน้อง “ตอนนี้แค่ชอบ”

“…”

“และถ้าถามว่าทำไมชอบ...” สิ้นประโยคนั้น เขาเงยหน้าขึ้นแล้วมองตรงมาที่ผม ในแววตามีอารมณ์ความรู้สึกบางอย่างปรากฎอยู่ชัดเจน

“…”

“คงเป็นเพราะฉันคิดว่าเขาน่าจะเป็นสิ่งที่ตามหามานาน”

ตึกตัก ตึกตัก

แววตาของเขา...ย้ำให้รู้ว่าสิ่งที่ผมได้ยินมันคือเรื่องจริง และทั้งๆ ที่บอกตัวเองว่าไม่ได้รู้สึก หัวใจไม่รักดีกลับทรยศคำสั่งของสมองที่บอกให้เฉยชาเข้าไว้ แล้วเต้นกระหน่ำอย่างรุนแรงจนแทบจะหลุดออกมานอกอก เป็นอีกครั้งที่ผมรู้สึกเหมือนเป็นผู้พ่ายแพ้ พ่ายแพ้ทั้งที่ยังไม่ได้พูดอะไรเลยด้วยซ้ำ

“พี่หมอหน้าแดงแหละ!”

“พี่หมอเขิน!”

“พี่หมอไม่ยอมมองหน้าพี่ชายเลย!”

“…” ขอบคุณที่ทำลายบรรยากาศ

ผมกระแอมเบาๆ เพื่อเรียกสติ แสร้งทำเป็นหูทวนลมไปกับคำแซวมากมายจากพวกเด็กตัวจ้อยที่วิ่งวนไปวนมาอยู่รอบกายจนดูน่าปวดหัว ใจจริงผมอยากมองเมินภามต่อไป ทำราวกับไม่ได้ยินที่เขาพูด แต่ลองคิดสภาพผู้ใหญ่สองคนนั่งอยู่ตรงกลางวง มีเด็กหลายชีวิตวิ่งล้อมเป็นวงกลม แบบนั้นจุดโฟกัสของสายตาจะหนีไปไหนพ้น นอกจากต้องมองคนที่นั่งอยู่ฝ่ังตรงข้ามอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้

แต่แค่มอง...ก็รู้สึกเหมือนจะถูกดูดเข้าไปอีกแล้ว

“พอเลยๆ จะไปเล่นน้ำไหมเนี่ย” ผมผุดลุกขึ้นยืนแล้วกอดอกถามเด็กๆ ซึ่งแน่นอนว่าแค่ได้ยินคำว่าเล่นน้ำ ทุกคนต่างหยุดชะงักแล้วกระโดดไปมาอย่างดีอกดีใจ

เมื่อไม่กี่วันก่อนผมกับภามไปขอร้องพ่อแม่เด็กๆ บอกว่าจะพาพวกเขาไปเล่นน้ำ แล้วจะช่วยดูแลให้เป็นอย่างดี ทุกคนคงเห็นว่าผมเป็นหมอด้วยเลยยอมปล่อยให้ไป แตงบอกว่าปกติคนในหมู่บ้านไม่อนุญาตให้ไปเล่นน้ำกันเอง จะเล่นแถวที่จอดเรือก็ไม่ได้ด้วย ต้องมีผู้ปกครองพาไปเล่นเท่านั้น ที่นัดแนะกันมาวันนี้ ถึงจะจำไม่ได้ว่าเผลอรับปากไป แต่ผมคิดว่าพวกเขาน่าจะขอให้พาไปเล่นน้ำนั่นแหละ ไหนๆ ก็ขออนุญาตมาตั้งนานแล้ว

อีกอย่าง...ผมเพิ่งนึกได้ว่าตั้งแต่มาที่เกาะ ยังไม่ได้เล่นน้ำทะเลเลยสักครั้ง

จุดที่ผมกับเด็กๆ พากันเดินมาเล่นน้ำ เป็นจุดที่อยู่ห่างจากฟากที่พวกชาวบ้านอยู่กันพอควร เด็กๆ บอกว่าเวลาพ่อแม่ว่างจะพามาเล่นตรงจุดนี้ ผมเลยเริ่มจากการกำกับดูแลและบอกข้อห้ามในการเล่นน้ำ ชี้ให้พวกเขาดูว่าเล่นได้ถึงจุดไหน และใช้เวลาได้นานเท่าไหร่ โชคดีที่ทุกคนตั้งใจฟังและปฏิบัติตามมาก เลยไม่มีปัญหาอะไรนัก

ผมกับภามนั่งอยู่บนฝั่ง มองดูเด็กๆ เล่นกันโดยไม่ได้เข้าไปร่วมด้วย เพราะอยากให้ทุกคนอยู่ในสายตาตลอดเวลา คิดว่าถ้าหมดเวลาแล้วค่อยให้พวกเขากลับ ถ้าอยากเล่นเองค่อยเล่นตอนนั้นก็ไม่สาย

จะว่าไป...เห็นภาพเด็กๆ เล่นกันแล้วก็นึกถึงสมัยมาเล่นกับเพื่อนอยู่เหมือนกัน

“นายเคยมาทะเลกับเพื่อนไหม” ผมถามขึ้นมาลอยๆ เพื่อทำลายความเงียบระหว่างเราทั้งคู่

“ผมเคยบอกคุณแล้วว่าเก้าเป็นเพื่อนคนแรกและคน...ไม่สิ”

“หือ”

“อันที่จริงก่อนได้เจอเก้า ผมก็มีเพื่อนคนหนึ่งอยู่แล้ว เพียงแต่ในเวลานั้นผมไม่รู้ว่าคำว่าเพื่อนคืออะไร” ภามพูดออกมาช้าๆ และน่าแปลกที่ผมรู้สึกเหมือนเขากันกลับมามองกันวูบหนึ่ง ก่อนจะเบือนสายตากลับไปทางเดิม “เขาพยายามเข้าหาผม ทั้งที่ผมเอาแต่ตอบกลับไปอย่างเย็นชา แต่แม้จะผ่านไปนานแค่ไหนเขาก็ไม่เคยทิ้งผมไปเลย จนกระทั่งผมออกเดินทาง ถึงได้หยุดติดต่อกัน แถมช่องทางการติดต่อเพียงหนึ่งเดียวที่มี ผมดันลืมไปแล้วด้วย”

“แย่เลยนะ” ผมยื่นมือไปตบบ่าภามดังแปะๆ โดยที่ไม่ได้หันไปมอง “ไม่เป็นไรหรอก เดี๋ยวสักวันก็คงได้เจอกันอีก”

“หึ...นั่นสิ”

อะไรคือการทำหน้าตาเหมือนจะด่าผมว่าซื่อบื้อ...

จากที่คิดว่าจะให้เด็กๆ เล่นน้ำกันไม่เกินหนึ่งชั่วโมง กลายเป็นผมโดนอ้อนสารพัด ไม่ลงน้ำก็ต้องมาวิ่งเล่นกันอยู่บนหาด กว่าจะไล่ให้กลับบ้านไปอาบน้ำอาบท่าได้กินเวลาไปเกือบสี่ชั่วโมง แค่เดินกลับไปส่งเด็กทุกคนก็เหนื่อยมากอยู่แล้ว ผมกะจะกลับบ้านเลย เอาไว้ค่อยไปเล่นน้ำวันหลัง แต่พอเห็นคนที่เดินตามต้อยๆ พาไปไหนก็ไปไม่มีปากเสียง ผมก็เปลี่ยนใจพาเขาเดินกลับไปที่หาดเหมือนเดิม โดยแวะเข้าไปเอาผ้าขนหนูที่บ้านติดมาด้วยสองผืน

หลังจากเดินมาถึงจุดเดิมที่เด็กๆ เล่นน้ำกันแล้ว ผมก็เดินลุยลงน้ำทันที ก่อนจะหยุดเท้าเมื่อระดับน้ำอยู่บริเวณตาตุ่ม จำได้ว่าครั้งก่อนที่ภามให้นั่งเอาตัวท่อนล่างสัมผัสน้ำมันทำให้ผมรู้สึกสบายมาก ดังนั้นครั้งนี้ผมจะพัฒนาไปอีกขั้น...ด้วยการเอนตัวลงนอนแนบพื้นทรายทั้งตัวไปเลย

“คุณทำอะไร”

“ลงมานอนเร็วเข้า” ผมกวักมือเรียกภามที่กำลังก้มหน้าลงมองกันอยู่ คล้ายวูบหนึ่งเหมือนเห็นแววตาขบขันของเขา แต่จากนั้นไม่นานมันก็กลายเป็นความระอาใจแทน

“นี่มันวิธีเล่นน้ำแบบใหม่หรือไง”

“นายไม่...แค่กๆ” เวรกรรม น้ำพัดเข้ามาแรงไปหน่อยจนเข้าจมูกเฉยเลย

“บ้าบอ” ถึงจะว่าแบบนั้น แต่เขาก็ยังนั่งลงด้านข้างแล้วช่วยดึงตัวผมให้ขยับขึ้นไปสูงกว่าเดิมอีกนิด คราวนี้น้ำเลยไม่เข้าหน้าแล้ว ผมยกมือข้างเดียวทำท่าเหมือนจะไหว้ภาม ก่อนจะดึงแขนเขาแล้วเขย่าเบาๆ

“นอนลงมาเร็ว” สุดท้ายหลังจากโดนเขย่าจนรำคาญหรือยังไงก็ไม่รู้ ภามก็ล้มตัวลงนอนข้างผมในที่สุด ถ้าเวลานี้มีแดดเราคงกลายเป็นปลาตากแห้งไปแล้ว แต่ก็เพราะไม่มีนั่นแหละ คนไม่ชอบแดดอย่างผมถึงได้ทำแบบนี้ “ฉันอยากลองทำแบบนี้มาตลอดเลย สมัยมากับเพื่อนแดดร้อนจนไม่กล้าทำ พอเข้าช่วงเย็นกับช่วงค่ำก็ชอบโดนลากให้ไปทำอาหารจนอดเล่นทุกที”

“คุณทำอาหารให้เพื่อนกิน?”

“ไอ้พวกนั้นมันเป็นลูกคุณหญิงคุณชาย ทำอะไรกินเองไม่เป็นหรอก มีแค่ฉันนี่แหละที่ทำได้ตั้งแต่จุดเตายันล้างจาน” เวลามาเที่ยวกับเพื่อนผมแทบจะกลายเป็นตัวสารพัดประโยชน์ ทำได้ทุกอย่างจนเหมือนมาช่วยบริการคุณหนูคุณชายทั้งหลาย แต่มันก็สนุกมากเลยละ

“แล้วทำไมช่วงที่ได้เวลามาพัก ถึงไม่คิดติดต่อเพื่อนล่ะ”

ผมโยกหัวถูกับทรายไปมา ใจครุ่นคิดถึงช่วงเวลานั้น จะว่าไปแล้วก็จริงของภาม ช่วงที่ตัดสินว่าจะมาพักตามที่พ่อแม่บอกผมแทบไม่ได้นึกถึงเพื่อนเลย

“ตอนแม่บอกให้ลองออกมาตามหาความหมายของชีวิต ฉันนึกแค่ว่าจะเอายังไงดี สุดท้ายลืมไปเลยว่าจะไปหาเพื่อนก็ได้” ผมหัวเราะเบาๆ ก่อนจะหันหน้าไปมองภามแล้วพูดติดตลก “อีกอย่าง...ถ้าฉันทำแบบนั้นก็คงไม่ได้เจอนายใช่ไหมล่ะ”

“…”

ฉิบหาย...พูดไม่คิดอีกแล้วกู

ผมรีบหันหน้ากลับมาเมื่อมองเห็นแววตาที่ดูเปลี่ยนไปของภาม รวมทั้งสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ ที่เกิดขึ้นระหว่างเรา

“ทำไมคุณถึงไม่ปฏิเสธล่ะ”

“อะไรเหรอ”

“ถ้าคุณไม่ชอบผม ทำไมคุณถึงไม่ปฏิเสธ” เขาถามชัดเจน ในน้ำเสียงไม่มีความกังวลหรือความเขินอายอะไรแฝงอยู่เลย ต่างจากผมที่หน้าแทบไหม้ทั้งที่ไม่มีแดดเลยสักนิด

อะไรวะเนี่ย จู่ๆ ก็พูดขึ้นมา

“เอ่อ...”

จะให้ตอบว่าฉันก็กะจะปฏิเสธนั่นแหละ แต่ปากมันไม่ยอมพูดงี้เหรอ ภามได้ขำจนตีนกาขึ้นแน่

“คุณยังเฉยอยู่แบบนี้ หมายความว่ายอมให้ผมจีบใช่หรือเปล่า”

“นี่หน้านายโบกปูนกี่ชั้นวะเนี่ย” ผมหันขวับไปถามอย่างอดไม่ได้ แล้วก็พบว่าภามเอียงคอมองกันอยู่ก่อนแล้ว ใบหน้าปลาตายของเขายังคงเหมือนปลาตายเช่นเคย “พูดแบบนี้ออกมา ไม่รู้สึกอะไรบ้างเลยหรือไง”

“แล้วคุณรู้ได้ยังไงว่าผมไม่รู้สึก”

“…”

คล้ายจะบอกใบ้ให้รู้ เมื่อเขาคว้ามือข้างหนึ่งของผม เอาไปวางแหมะไว้บนอกตัวเอง ในดวงตาว่างเปล่ามีประกายระยิบระยับน้อยๆ ที่คอยหลอกล่อ เหมือนจะวางแผนผลักผมให้หล่นลงไปในหลุมที่เคยปีนขึ้นมาได้ทันอีกรอบ

แต่ว่า...

“เอ่อ...ภาม”

“ว่า”

“หัวใจนายอยู่ข้างขวาเหรอ”

“…”

“ไม่เป็นไรนะ ฉันก็ขายหน้าบ่อยๆ” ผมพยักหน้าอย่างเข้าอกเข้าใจ ไอ้บรรยากาศที่สร้างมาเมื่อกี้จางหายไปแบบกู่ไม่กลับเรียบร้อยแล้ว

“อันที่จริงผมแค่อยากให้คุณขำ”

เอ่อ...ช่วยหยุดทำหน้าตายแล้วพูดเหมือนคาดการณ์ไว้แล้วที

จะมองยังไงก็พลาดแบบไม่น่าให้อภัยชัดๆ

ถ้าจะโรแมนติก อยากเอามือไปแปะให้รู้ว่าใจเต้นแรงขนาดไหน ทีหลังก็ช่วยเช็คตำแหน่งหัวใจตัวเองก่อนสิโว้ยยยย!



——————————


หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 10-08-2018 11:57:53
-16-


วันแรกตากฝนเกือบสองชั่วโมง วันที่สองไปนอนเล่นให้ตัวเปียกอีกสองชั่วโมง คงไม่ต้องถามว่าวันที่สามจะเกิดอะไรขึ้น เพราะแค่ตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ผมก็ต้องขดตัวเป็นกุ้ง มือกุมขมับเพราะปวดหัวจี๊ดแทบจะทันที ร่างกายที่ไม่ได้แข็งแรงเท่าไหร่อยู่แล้ว ทั้งยังเจอเชื้อโรคมามากมาย พอไปตากฝนเล่นน้ำติดๆ กันแบบไม่คิด ไม่แปลกที่จะไม่สบาย ถ้าพ่ออยู่ตรงนี้คงตบหัวผมคว่ำแล้วบอกว่าเป็นหมอประสาอะไร ทำไมไม่ดูแลตัวเอง ซึ่งอันที่จริงทั้งพ่อทั้งผมต่างก็ไม่ดูแลตัวเองกันทั้งนั้นแหละ

“ลุกขึ้นมากินข้าวกินยาก่อน” คนที่ได้รับหน้าที่เป็นผู้ดูแลคนป่วยไปโดยอัตโนมัติสะกิดแขนผมเบาๆ ใบหน้าปลาตายของเขาดูเคร่งเครียดกว่าทุกครั้ง อีกทั้งคิ้วยังขมวดจนแทบจะผูกเป็นโบว์ได้อยู่แล้ว

“รู้แล้ว” ผมพยายามดันตัวขึ้นอย่างยากลำบาก อาการปวดหัวเกือบทำให้ยอมแพ้แล้วล้มตัวลงไปนอนอีกรอบ แต่เพราะโดนรั้งแขนไว้อย่างรู้ทัน สุดท้ายเลยทำได้เพียงขยับไปพิงผนังไว้

อันที่จริงตั้งแต่ตื่นขึ้นมาผมก็ไม่เห็นภามอยู่ในบ้านแล้ว ตอนแรกคิดว่าเขาจะไปออกกำลังกายหรืออาบน้ำ แต่พอเห็นอีกฝ่ายเดินเข้ามาพร้อมชามข้าว ผมถึงได้รู้ว่าเขาคงจะสังเกตเห็นแต่แรกแล้วว่าผมไม่สบาย ถึงได้ออกไปหาข้าวหายามาให้ ทั้งยังดูเป็นห่วงผมมากด้วย

“ไม่สบายแบบนี้คุณทรมานหรือเปล่า” ภามถามขึ้นในระหว่างที่กำลังตักข้าวต้มป้อนเข้าปากผม

“ไม่สบายก็ต้องทรมานอยู่แล้ว” ผมตอบกลับตามความจริง แต่พอเห็นใบหน้ายุ่งยากใจเหมือนอยากถามแต่ไม่รู้จะใช้ถ้อยคำยังไง ในตอนนั้นถึงได้เข้าใจความหมายของคำถาม เขาคงเห็นว่าผมเป็นพวกใจเสาะ กลัวความเจ็บปวดแทบทุกอย่าง เลยอยากรู้ว่าเวลาไม่สบายแล้วรู้สึกแย่ถึงขนาดนั้นด้วยไหม “ถ้าไม่สบายแบบนี้ ฉันก็เหมือนคนทั่วไปแหละ”

ยกเว้นอยู่เรื่องหนึ่ง...ดูเหมือนเวลาไม่สบายหรือเหนื่อยจนทนไม่ไหว ผมจะต้องการสิ่งยึดเกาะมากเป็นพิเศษ

“จะไปไหน” อยากจะตีมือที่ยื่นไปรั้งชายเสื้อเขาไว้เหลือเกิน แต่คงไม่ทันแล้ว เพราะแค่เห็นภามทำท่าจะลุกขึ้นไปหลังป้อนข้าวผมหมด มือไม่รักดีมันก็ยื่นไปรั้งเขาไว้เองโดยอัตโนมัติ

“ผมจะไปเอาผ้าชุบน้ำมาเช็ดตัวให้ คุณกินยาก่อน” ภามพูดด้วยสีหน้าเช่นเดิมพร้อมยื่นยามาให้ หากดวงตากลับมีประกายสดใสวาบผ่านจนผมเผลอหลบสายตา เขาดึงมือผมออกจากชายเสื้อตัวเองเบาๆ จากนั้นเอามาวางแปะไว้บนฟูกเหมือนเดิม “คุณนับหนึ่งถึงสิบผมก็มาแล้ว”

“ไม่ใช่เด็กสักหน่อย” ผมบ่นอุบอิบ เอายาเข้าปาก แล้วบอกตัวเองว่าเป็นเพราะพิษไข้เล่นงาน ในใจถึงได้นับเลขตามจริงๆ

จนกระทั่งผมนับถึงเก้า ภามที่เดินออกไปนอกบ้านก็กลับเข้ามาด้านในอีกครั้งพร้อมขันน้ำกับผ้าขนหนูหนึ่งผืนในมือ คนตัวสูงทรุดตัวลงนั่งข้างผม แล้วเอาผ้าจุ่มทิ้งไว้ในน้ำ ก่อนจะหันมาจับชายเสื้อผ้าไว้ ตั้งท่าจะถอดเต็มที่

“นั่งตรงๆ หน่อย ผมถอดเสื้อคุณไม่ได้”

“ไม่ไหว” ผมส่ายหน้า แค่ขยับตัวก็ปวดหัวไปหมดแล้ว ถึงจะบอกว่าเวลาไม่สบายก็เหมือนคนทั่วไป แต่ถ้าปวดหนักขนาดนี้ ผมว่าเดี๋ยวคงมีน้ำตาซึมในไม่ช้า

“ไม่เป็นไร” ภามพูดแค่นั้นแล้วขยับเข้ามาใกล้ เขาใช้มือข้างหนึ่งดันหัวผมอย่างระวังระวังให้ซบลงบนไหล่ตัวเอง ก่อนจะช่วยถอดเสื้อให้ช้าๆ “ถ้าเย็นก็กอดผมไว้”

สัมผัสเย็นเยียบของผ้าขนหนูชุบน้ำวางทาบลงมาบนแผ่นหลังทำให้ผมสะดุ้งจนเผลอกอดเขาไว้แน่นจริงๆ ตอนนี้ร่างกายสูงใหญ่ของภามเปรียบเสมือนหลักยึด ที่ผมรู้สึกว่าหากไม่ได้เกาะไว้คงต้องปวดหัวจนร้องไห้ ยิ่งคิดแบบนั้นก็ยิ่งกอดเขาไว้แน่น จะมีแค่ตอนที่ภามพูดด้วยน้ำเสียงอ่อนๆ ให้ปล่อยมือ ผมถึงจะยอมปล่อย แล้วพอเขาเช็ดหน้าเช็ดตา เช็ดตัวด้านหน้าให้หมดแล้วก็โผเข้าไปกอดไว้เหมือนเดิม

“นายดูคล่องจัง” ผมพูดด้วยเสียงอ่อยๆ ไร้เรี่ยวแรง หน้าฟุบพาดบ่าภามไว้เหมือนตุ๊กตาถ่านหมด “เคยทำแบบนี้ให้ใครหรือไง”

“ไม่เคย”

“แล้วทำไม...”

“เพราะเป็นคุณ”

ตอบไม่ตรงคำถามเลย ไอ้บ้า

หลังจากที่ไม่ได้ต่อบทสนทนาเพิ่ม ภามก็กลับมาจับผมใส่เสื้อผ้าเป็นตุ๊กตาอีกครั้ง แต่พอเขาตั้งท่าจะผลักให้ล้มตัวลงนอนเหมือนเดิม ผมก็ยึดเกาะแผ่นหลังกว้างนั้นไว้ไม่ยอมปล่อย

“ไม่เอา แบบนี้สบายกว่า”

“ป่วยแล้วงอแงเป็นลูกแมวขี้อ้อนเลย” คนที่ถือโอกาสลูบหัวผมพึมพำเสียงค่อย คล้ายจะมีเสียงหัวเราะจางๆ ติดมาด้วย แต่ผมไม่มีอารมณ์ไปสนใจ เพราะตัวภามอุ่นมากจริงๆ อุ่นจนทำให้ลืมเรื่องที่เขาพูดไปหมดเลย

ตอนที่สติกำลังจะจางหายไป ผมรู้สึกเหมือนกำลังถูกแกะตัวออกมาจากหลักยึดเกาะ ทั้งร่างถูกดันให้นอนราบลงบนฟูก ถึงอย่างนั้นความอบอุ่นที่กำลังจะจางหายไปก็ยังทำให้รู้สึกตัวจนคว้าคนตัวอุ่นเข้ามากอดไว้เหมือนเดิมได้ทัน แม้ทั้งร่างจะถูกทับจนหนักและอึดอัดไปหมดก็ไม่เป็นไร

“ผมจะทำยังไงกับคุณดีนะ” เสียงกระซิบแผ่วเบาพร้อมลมหายใจอุ่นร้อนข้างแก้มทำให้ขนลุกซู่ แต่เพราะเปลือกตาหนักเกินกว่าจะเปิดออก ผมเลยทำได้เพียงหันหน้าหนีไปด้านข้างแล้วกระชับอ้อมแขนรัดคนพูดให้แน่นกว่าเดิม

ในช่วงเวลาที่ยังพอรู้สึกตัว ผมรู้สึกเหมือนคนด้านบนขยับกายเล็กน้อย แต่พอเห็นว่าผมยังกอดแน่นไม่ปล่อย เขาก็กระซิบเบาๆ ให้นับหนึ่งถึงสิบ เพียงเท่านั้นเรี่ยวแรงที่ใช้ทั้งหมดก็จางหายไป ในใจผมเริ่มนับหนึ่งช้าๆ พร้อมกันกับที่เขาขยับตัวออกไป น้ำหนักที่จางหายทำให้หายใจสะดวกขึ้น แต่กลับมีความหนาวเหน็บเข้ามาแทนที่ และในเวลาที่ผมนับถึงห้า ร่างทั้งร่างก็ถูกรั้งเข้าไปหาความอบอุ่น ทั้งตัวถูกกอดรัดไว้จนเผลอยิ้มออกมาด้วยความพอใจ

สบายจัง...



ผมตื่นขึ้นมาอีกครั้งในช่วงกลางวันเพราะโดนปลุก ถึงจะยังมึนๆ ลุกไม่ขึ้นอยู่ แต่ก็ไม่ได้ปวดหัวหนักเท่าตอนแรกแล้ว คงเป็นเพราะฤทธิ์ยาช่วยส่วนหนึ่ง ส่วนคนที่คอยดูแลและเข้ามาปลุก ในยามนี้กำลังยกชามข้าวออกจากถาดอาหาร ผมมองใบหน้าด้านข้างของภามนิ่งงัน คิดไว้แล้วว่ายังไงก็ต้องขอบคุณเขาอย่างจริงจังให้ได้ ถ้าภามไม่สนใจกัน ไม่เข้ามาคอยดูแล อาการของผมคงแย่กว่านี้ แม้จะไม่ถึงตาย แต่ต้องทรมานจนอยากร้องไห้แบบไม่ต้องสงสัย

“กินข้าวก่อน” ข้าวต้มหมูที่ถูกเป่าจนหายร้อนแล้วยื่นมาจ่ออยู่ตรงหน้า หลังจากที่คนพูดช่วยพยุงตัวขึ้นมานั่งพิงผนังไว้เหมือนตอนเช้า ผมมองความใส่ใจเล็กๆ น้อยๆ ของเขาด้วยความตื้นตัน อดรู้สึกอบอุ่นในใจไม่ได้

นานเท่าไหร่แล้วที่เอาแต่ดูแลคนไข้โดยไม่ได้ดูแลตัวเองเลย นอกจากแม่ที่ดูแลตอนเด็ก นี่อาจนับเป็นครั้งแรกในรอบหลายปีที่มีคนมาดูแลผมแบบนี้

“ขอบคุณนะ” สุดท้ายก็ตอบแทนออกมาได้เพียงคำพูด ผมยกยิ้มให้ภามอย่างจริงใจ เป็นยิ้มที่ไม่มีอะไรแฝงอยู่นอกจากอยากขอบคุณจริงๆ แล้วเขาก็ให้คำตอบโดยการคลี่ยิ้มจางส่งกลับมา เห็็นแบบนั้นผมเลยยิ่งยิ้มกว้างพร้อมกับอ้าปากกินข้าวที่ถูกยื่นมาให้อย่างสบายใจ “ยิ้มเก่งแล้วนะเรา”

คนถูกแซวชะงักมือที่กำลังตักข้าวต้มไปเพียงครู่เดียว ก่อนจะเงยหน้าขึ้นสบตาผมแล้วส่งแววตาจริงจังมาให้

“ดูเหมือนเวลาอยู่กับคนที่ชอบ ผมจะมีความสุขจนเผลอยิ้มออกไปโดยไม่รู้ตัวน่ะ”

“แค่กๆ” ไอ้บ้าเอ๊ย! สำลักหมดแล้วเห็นไหมเนี่ย

“กินน้ำก่อน” ขวดน้ำเปล่าถูกยื่นมาให้ พร้อมๆ กับที่ตัวต้นเหตุช่วยลูบหลังผมเบาๆ รอจนหายไอแล้ว ผมถึงได้กลับไปขมวดคิ้วจ้องเขาเหมือนเดิม

“ทีงี้พูดว่าความสุขได้ง่ายๆ เลยนะ มั่นใจแล้วหรือไง”

ภามกะพริบตาปริบๆ หัวเอียงนิดๆ เหมือนกำลังครุ่นคิด แต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้าหนึ่งครั้งแล้วตอบออกมาเสียงเรียบไร้ความลังเล

“มั่นใจแล้วว่าเวลาอยู่กับคุณผมมีความสุข แค่ยังไม่มั่นใจว่ามันจะเป็นความสุขถาวรหรือเปล่า คงต้องใช้เวลามากกว่านี้”

“อะ…”

“แล้วคุณล่ะ”

“อะไร” ผมหยุดมือที่กำลังลูบแก้มแดงๆ ของตัวเองแล้วเงยหน้ามองคนถาม

“เวลาอยู่กับผม คุณไม่มีความสุขเหรอ”

“ไม่…”

“ไม่มีเลยเหรอ” คล้ายน้ำเสียงราบเรียบกับสีหน้าปลาตายจะหมองลงเล็กน้อยจนผมใจกระตุก แม้แต่มือที่กำลังตักข้าวต้มก็หยุดตามไปด้วย ทำเอาผมร้อนรนจนเผลอพูดออกไปแบบไม่คิด

“ไม่ใช่ไม่มี...”

“แสดงว่ามี” ภามเลิกคิ้ว ตาเป็นประกาย

“ไม่รู้!” ผมตัดบทเสียงดังแล้วหยิบยามากิน จากนั้นก็ล้มตัวลงนอนหันหลังให้เขาอย่างรวดเร็ว ไม่สนใจเสียงถามว่าอิ่มแล้วเหรอหรืออะไรก็ตามที่คนด้านหลังพูดอีก

ความสุขเหรอ...

กับคนที่เฉื่อยชามาหลายปี แทบจะใช้ชีวิตไปวันๆ แบบไร้จุดหมาย จู่ๆ ก็ได้กลับมายิ้ม กลับมาหัวเราะอีกครั้ง ทั้งยังมีคนคอยดูแลแบบที่ไม่เคยคิดว่าจะมี แล้วอย่างนี้จะไม่มีความสุขได้ยังไง

“ปากแข็ง”

ผมเม้มปากแน่น ไม่ตอบโต้คำต่อว่าเสียงขันที่ภามพูดขึ้นมา เพราะรู้ตัวดีอยู่แล้ว ก็แค่ไม่อยากยอมรับออกไปตรงๆ เฉยๆ นี่ถ้าไอ้เพื่อนสองตัวอยู่ตรงนี้ พวกมันต้องบอกว่าผมซึนเหมือนพ่อแน่ๆ

ปกติผมก็เป็นคนขี้เกียจและง่วงนอนง่ายอยู่แล้ว พอหัวถึงหมอนไม่ว่าจะง่วงมาก่อนหรือเปล่าก็ยังหลับได้อยู่ดี ดังนั้นแม้ว่าจะเพิ่งตื่นมากินข้าวได้ไม่นาน แต่พอไม่มีอะไรมารบกวนก็กลับมาง่วงอีกรอบ จนกระทั่งกำลังเคลิ้มๆ แล้วได้ยินเสียงคนที่เงียบไปนานดังขึ้นมา ผมถึงได้กลับมาตาสว่างอีกครั้ง

“เช็ดตัวก่อน” ภามดึงแขนปวกเปียกของผมให้หันกลับไปนอนหงาย แต่พอเห็นผมไม่ยอมลุกขึ้นมาให้ความร่วมมือ แค่นอนตาปรือมองเขาเงียบๆ อีกฝ่ายก็ส่ายหน้าหน่ายแล้วเข้ามายกตัวขึ้นเพื่อถอดเสื้อให้เอง อีกทั้งปากยังพูดเหมือนจะบ่นงึมงำไม่หยุดด้วย “ทำไมตัวเล็กแบบนี้ ผอมเกินไปแล้ว”

“อย่าจ้อง” ถึงสติจะไม่เต็มร้อยก็ไม่ได้หมายความว่าจะให้ใครมาจ้องร่างเปล่าเปลือยของตัวเองที่มีแค่บ๊อกเซอร์ได้นะเว้ย ผมรีบยกมือกอดอกเมื่อเห็นว่าภามเช็ดตัวส่วนบนให้เสร็จแล้ว

“กินก็เยอะ เอาอาหารไปเก็บไว้ตรงไหนหมด”

“ไขมันนี่ไง” ผมเปิดเสื้อที่เขาเพิ่งใส่ให้แล้วเขี่ยพุงตัวเองให้ดู

“แค่นี้เนี่ยนะ”

“มันก็ยังนุ่มนิ่มอยู่ดี อย่างกับเต้าหู้ ดูอ่อนแอสุดๆ...อะ” ผมสะดุ้ง เกือบจะหน้าเขียว ต้องเม้มปากไว้แน่นเพื่อสะกดอาการเจ็บที่หน้าท้อง

เขาบีบพุงผม!

“เจ็บเหรอ” ภามปล่อยมือแล้วเลิกคิ้วถามด้วยสีหน้าที่ไม่ได้ดูรู้สึกผิดเลยแม้แต่น้อย แต่เมื่อเห็นน้ำตาผมหยดลงมาหนึ่งแหมะ คนตัวโตก็เบิกตากว้างขึ้นเล็กน้อย เขาคว้าตัวผมให้ลุกจากที่นอนไปพิงอกตัวเองไว้ นิ้วกร้านเกลี่ยน้ำตาออกจากหางตาให้อย่างเบามือ ต่างจากเรื่องที่ทำเมื่อกี้โดยสิ้นเชิง “ขอโทษ ผมไม่คิดว่ามันจะเจ็บ”

“ฉะ...ฉันก็ไม่คิดว่าจะเจ็บ” ถ้าเป็นเวลาปกติอาจจะเจ็บอยู่บ้าง แต่ก็คงไม่ถึงขั้นทำให้น้ำตาหยดได้ น่าจะเป็นเพราะผมป่วยอยู่ด้วย ความอ่อนแอเลยทวีคูณขึ้นหลายเท่า คิดได้แบบนั้นแล้วก็เผลอซุกหน้าเข้าหาอกอุ่นๆ ของภามมากขึ้นโดยไม่รู้ตัว

“คุณจะนอนอีกหรือเปล่า”

“ชวนคุยหน่อย ยังไม่อยากนอน” ผมตอบแล้วจัดท่านั่งให้สบายกว่าเดิม ส่วนภามกลายเป็นเสานุ่มๆ แสนอบอุ่นให้ซุกเข้าหาไปแล้ว “เดี๋ยวนอนเกินแปดชั่วโมงแล้วจะโดนกล้องฟาดหัว”

คนฟังหัวเราะออกมาเบาๆ ขณะใช้มือข้างหนึ่งลูบหัวผมจนเคลิ้มหนักกว่าเดิม

“เคยบอกแล้วไม่ใช่เหรอว่านอนเกินก็ไม่ว่าแล้ว”

“จำไม่ได้”

“ผมเอากล้องฟาดหัวคนที่ตัวเองชอบไม่ลงหรอก”

“ไม่ต้องย้ำบ่อยได้ไหม” ขยันพูดเหลือเกิน ไอ้คำว่าชอบเนี่ย แล้วยังมีหน้ามาจับตัวผมโคลงไปมาอย่างถูกใจอีกนะ ถึงจะเข้าใจว่าการจับเนื้อต้องตัวระหว่างเรามันกลายเป็นเรื่องธรรมดาไปแล้ว ทั้งจูงไปจูงมา ให้อุ้มหรือโดนอุ้ม ล่าสุดคือกอดและพิงอย่างที่กำลังทำ ถึงอย่างนั้นก็ไม่ต้องเอาคำว่าชอบมาเสริมด้วยก็ได้มั้ง

“คุณอ้อนคนอื่นแบบนี้บ่อยไหม” ดูเหมือนภามจะเลือกหัวข้อได้ตรงกับสิ่งที่ใจผมคิดอยู่เหลือเกิน

“นอกจากพ่อแม่ นายเป็นคนแรกที่รู้ว่าฉันกลัวความเจ็บปวด แล้วนายคิดว่าคนที่รักษาภาพพจน์สุดๆ แบบฉันจะกล้าไปอ้อนใครไหม”

จริงอยู่ที่นิสัยผมอาจจะเหมือนแมว ชอบเข้าไปเกาะแกะและชอบความอบอุ่น แต่ก็ต้องโทษที่เขาดันชอบให้ทำแบบนั้นด้วยไม่ใช่หรือไง ใช่ว่าผมจะทำกับใครไปทั่วเสียหน่อย ทั้งหมดมันเป็นเพราะเขาดันรู้ความลับของผมนั่นล่ะ ทีนี้เลยไม่เหลือศักดิ์ศรีอะไรให้รักษาเลย

“ดีใจที่ได้ยินแบบนั้น” ต่อให้ไม่ต้องเงยหน้ามอง ผมก็รับรู้ได้ว่าเจ้าของเสียงจะต้องยิ้มอยู่แน่ๆ

“เหอะ...อย่าพูดเหมือนตัวเองพิเศษไปหน่อยเลย ฉันก็แค่ขี้เกียจปฏิเสธเฉยๆ หรอก”

“…ปฏิเสธแค่คำเดียว มันสั้นกว่าประโยคที่คุณพูดตั้งเยอะไม่ใช่เหรอ”

“ไม่ต้องมาเถียง ไม่คุยเรื่องนี้แล้ว เปลี่ยนเรื่องๆ” ผมตีอกแน่นๆ ของเขาไปหนึ่งทีแล้วชันเข่าขึ้นมากอดไว้เป็นก้อนกลมๆ พอนั่งท่านี้ถึงได้รู้ว่าภามตัวโตกว่าขนาดไหน ตอนที่ฝนตกแล้วถูกกอดนั่นยัง...

หยุดคิดเรื่องนั้นเดี๋ยวนี้เลย

“เป็นอะไร ทำไมหน้าแดง” คนพูดเอามือวางแหมะลงมาวัดไข้ จนผมต้องเงยหน้าขึ้นมองใบหน้าเคร่งเครียดของเขาอย่างช่วยไม่ได้

“ไม่เป็นไร”

“มั่นใจเหรอว่าไม่อยากนอนพัก” ภามถามย้ำอีกรอบ คงเห็นผมตาปรือเหมือนจะหลับ แต่พอส่ายหัวปฏิเสธเขาก็ไม่ได้บังคับอะไร แค่เอาผ้าขนหนูอีกผืนที่ยังไม่ได้ใช้จุ่มน้ำ แล้วเอามาเช็ดหน้าเช็ดตาให้จนผมตาสว่างขึ้นนิดหน่อย

“ถ้านายชอบฉันจริงๆ ที่ทำอยู่นี่ได้ประโยชน์เต็มๆ เลยนะ” ผมหัวเราะเบาๆ แล้วเอาหัวถูไหล่เขาเพื่อหาจุดที่สบายต่อการพิงระยะยาวอีกครั้ง

“หืม”

“ก็ได้กอด ได้จับนู่นจับนี่”

“อ่า...แล้วคุณยังเป็นฝ่ายเริ่มก่อนด้วย” เขาพูดเป็นเชิงเห็นด้วย

“ฉันแค่ไม่สบายหรอก”

“ง้ันคงต้องภาวนาให้ไม่สบายบ่อยๆ ใช่ไหม” ภามส่งเสียงหืมออกมาเบาๆ แล้วก็ส่ายหน้าไปพร้อมๆ กัน “ไม่ดีกว่า ผมไม่อยากให้คุณทรมาน”

“คนดี”

“คุณไม่ชอบเหรอ...” เขาพูดทิ้งไว้แค่นั้น ก่อนจะใช้ปลายนิ้วเชยคางผมให้เงยหน้ามองตัวเอง และแม้จะยังเห็นว่าใบหน้านั้นราบเรียบเหมือนเคย แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนเห็นรอยยิ้มร้ายกาจปรากฎขึ้นแวบหนึ่ง “ไม่ชอบให้ผมเป็นคนดี?”

ถ้ากัดจมูกโด่งๆ นั่นสักทีจะเป็นอะไรไหมนะ...

“ขี้เกียจคุยด้วยแล้ว”

“แย่เลย ว่าจะบอกเรื่องที่มีคนกำลังทำขนมอยู่สักหน่อย” ภามถอนหายใจเบาๆ เหมือนจะเสียดาย ในขณะที่ผมหูผึ่ง ตาโต หายง่วงโดยสิ้นเชิง

“ขนมอะไร”

“อ่าว...”

“ไม่ต้องกวนตีนเลย บอกมาดีๆ” ผมผละตัวออกมาชี้หน้าภามเคืองๆ แต่เพราะยังมึนอยู่เลยต้องเอนกลับไปพิงไว้เหมือนเดิม ซึ่งเขาก็อ้าแขนเตรียมพร้อมไว้อยู่แล้ว

“บัวลอย”

“จริงดิ” โห...ไม่ได้กินมานานขนาดไหนแล้วนะ แค่คิดก็น้ำลายหกแล้ว “นายรู้จักหรือเปล่า”

“เคยได้ยินชื่อ แต่ไม่เคยกิน”

“งั้นไปกินกัน” บอกตรงๆ ว่าผมอยากจะลุกขึ้นวิ่งไปเองตั้งแต่ตอนนี้เลยด้วยซ้ำ ติดอยู่ที่ว่าผมคงไปไม่ไหว ถึงมันจะฝืนเดินไปไหนได้ แต่คนที่กลัวความเจ็บปวดและความทรมาน คงไม่ต้องบอกว่าจะไปหรือเปล่า แค่ลุกยังไม่อยากเลย

“เดี๋ยวผมไปเอามาให้”

“ไม่ได้ นายเดินกลับมาก็หายร้อนแล้ว”

ภามก้มหน้าลงสบตาผมที่มองเขาอยู่แต่แรกแล้ว ก่อนคิ้วเข้มจะเลิกขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงแปลกใจ เมื่อเห็นว่าผมกำลังยิ้มแฉ่งให้อย่างอารมณ์ดี และน่าจะส่งสายตาวิบวับเป็นประกายไปให้ด้วย

“จะเอาอะไร” มือใหญ่ขยี้หัวกันแบบไม่สนใจอายุ แต่วินาทีนั้นผมไม่คิดอะไรแล้ว เพราะเรื่องที่จะขอสำคัญกว่า

“พาไปหน่อย”

ดูเหมือนภามจะเข้าใจแล้วว่าผมต้องการอะไร เขาส่ายหน้าน้อยๆ เหมือนระอาใจ แต่ก็ยังเอื้อมไปหยิบเสื้อคลุมตัวหนามาสวมให้พร้อมกับผ้าพันคอที่ตากจนแห้งแล้ว หลังมองสำรวจว่าผมกลายเป็นดักแด้แล้วหรือยังถึงได้ผละออกแล้วหันหลังมาให้ ไม่ต้องรอให้พูดอะไรต่อ ผมก็กระโจนเข้าไปขี่หลังเขาโดยไม่ต้องคิด พอได้แนบใบหน้าลงกับไหล่กว้างแล้ว แม้จะถูกยกขึ้นจนตัวลอย พาเดินออกจากบ้านไปทั้งแบบนั้นก็ไม่ได้รู้สึกปวดหัวหรือทรมานอีก

“คุณไม่กลัวคนอื่นติดหวัดหรือไง” คนที่ทำหน้าที่เป็นสารถีเอ่ยถามระหว่างที่กำลังพาผมเดินไปตามทาง

“ฉันหยิบหน้ากากอนามัยมาแล้ว” ผมยื่นมือไปด้านหน้า ชูหน้ากากอนามัยที่พกติดตัวไว้ตลอดเวลาให้เขาดู เพียงแต่ตอนที่อยู่ในบ้านไม่คิดว่าต้องใส่ แล้วกับภามตอนแรกก็ไม่ได้คิดว่าจะใกล้ชิดขนาดนั้นด้วย “นายน่ะโอเคหรือเปล่า ฉันได้เผลอจามใส่ไหม”

“ไม่เป็นไร ผมไม่ได้อ่อนแอเหมือนคุณ” บอกไว้เลยว่าถ้าเขาไม่ได้กำลังลำบากแบกผมไว้บนหลัง คอขาวๆ นั่นต้องมีรอยกัดแรงๆ สักทีแน่นอน

ต่อให้บอกว่าชอบแค่ไหน จะอย่างไรภามก็คือภามที่กวนตีนเหมือนเดิมอยู่ดี

ตอนแรกผมเข้าใจว่าคนที่ทำขนมอยู่น่าจะเป็นน้าต้อย ซึ่งก็เป็นตามนั้นจริงๆ อย่างที่คิด แต่ไอ้ที่ไม่คาดคิดก็คือการที่บรรดาผู้หญิงและเด็กในหมู่บ้านต่างพากันมาอออยู่ที่นี่ทั้งหมด แล้วยังไงเหรอ...แล้วพวกเขาก็เห็นว่าผมถูกภามแบกมากันถ้วนหน้าน่ะสิ!

“พี่ชายให้พี่หมอขี่หลังมาแหละ!” เสียงเจ้าตาลดังมาก่อนเป็นคนแรก

“ว้าววววว”

“คิกๆ น่ารักกันจังนะจ๊ะ”

แล้วเสียงต่อๆ ไปก็ดังมาจากรอบด้าน ผมนึกขอบคุณที่เอาหน้ากากอนามัยมาใส่ไว้ได้ทัน ก่อนที่พวกเขาจะเห็นสีหน้าตัวเองในยามนี้ เห็นทีที่ไม่ตกใจอะไรกันเลยคงเป็นผลมาจากที่ถูกคิดว่าเป็นผัวเมียกันตั้งแต่แรก ควรดีใจไหมวะเนี่ย

“นั่งตรงนี้ก่อน” ภามวางผมให้นั่งลงตรงบันไดขึ้นบ้านน้าต้อย เพราะที่อื่นๆ ถูกจับจองไปหมดแล้ว อีกทั้งเขายังหันไปห้ามเด็กๆ ที่จะวิ่งเข้ามาหาให้ด้วย

ห้ามโดยการยกมือกันไว้โดยไม่พูดอะไรสักคำ

“พี่หมอเป็นอะไรเหรอจ๊ะ” ตาลทำหน้าตาเป็นห่วง เกือบจะมุดรอดขาภามมาหาผมแล้ว ถ้าไม่ติดว่าโดนคว้าคอเสื้อไว้ได้ก่อน

“พี่ไม่สบาย เด็กๆ อย่าเพิ่งเข้ามานะ เดี๋ยวติดหวัดแล้วจะแย่เอา” พอได้ยินแบบนั้นฝูงเด็กถึงยอมหยุดอยู่กับที่

“หนูไปเอาขนมมาให้เองจ้ะ” เจ้าเด็กตาลฉีกยิ้มกว้าง ก่อนจะวิ่งดุ๊กดิ๊กไปที่ครัว

พอคนอื่นๆ เห็นว่าเข้ามาเล่นกับผมไม่ได้เลยพากันเดินไปเล่นทางอื่น ไม่ลืมหันมากวักมือเรียกน้องเล็กที่ยกถ้วยบัวลอยมาให้ผมกับภามสองถ้วยด้วย เจ้าตาลทำหน้าลังเลยกใหญ่ คงอยากอยู่คุยกับผม แต่ก็อยากไปเล่นกับพี่ๆ เหมือนกัน จนสุดท้ายผมต้องไล่ให้ไปเล่น เด็กน้อยถึงยอมวิ่งไปหาพี่ๆ

“เอาหน้ากากออกแล้วรีบกินสิ เดี๋ยวหายร้อน” ภามเอ่ยเตือนเมื่อเห็นผมยังนั่งนิ่งมองเด็กๆ อยู่

“ฉันนั่งตรงๆ ไม่ได้ มึนหัว” ผมตอบตามตรง ขนาดตอนนี้หัวยังพิงราวบันไดอยู่เลย เริ่มคิดแล้วว่าฝืนตัวเองเกินไปหน่อย แต่ทำไงได้...ของกินก็สำคัญ

“งั้นขึ้นไปบนบ้านเถอะ เมื่อกี้ผมขอน้าไว้แล้ว” ภามวางถ้วยบัวลอยของตัวเองลงแล้วหันมายกผมอุ้มจนตัวลอยโดยไม่รอฟังคำตอบใดๆ อาจเพราะชินแล้วทั้งยังหมดแรง ผมเลยพิงไหล่เขาเงียบๆ แต่โดยดี รอจนถูกวางลงบนเบาะนั่งแล้วถึงได้เอนหัวพิงผนังไว้ “รอตรงนี้ก่อน ผมจะไปเอาขนมมาให้”

“อื้อ”

พอได้เข้ามาอยู่ในบ้านแบบนี้แล้ว เสียงเล่นของเด็กๆ กับเสียงพูดคุยของชาวบ้านด้านนอกก็ดูเบาลงอย่างเห็นได้ชัด ผมหลับตาลงเพื่อพักสายตาระหว่างรอ ก่อนจะลืมตาขึ้นช้าๆ เมื่อรู้สึกเหมือนมีสัมผัสเย็นๆ แตะลงบนแก้ม แล้วก็พบว่ามันคือปลายนิ้วเย็นเฉียบของภามนั่นเอง

“โอเคแน่นะ” เขาขมวดคิ้ว ท่าทางเหมือนไม่มั่นใจนักว่าจะแบกผมกลับไปนอนดีหรือเปล่า

“โอเค” ผมยื่นมือไปรับถ้วยบัวลอยมาถือไว้ รอยยิ้มถูกส่งไปให้คนมองโดยอัตโนมัติเพื่อบอกว่าไหวจริงๆ “นายก็รู้ว่าฉันใจเสาะ ถ้าไม่ไหวไม่มีทางโกหกหรอก”

“ให้พูดอีกที”

“…เอาจริงๆ ก็ไม่ไหวนิดหน่อย แต่โดนของกินล่ออยู่ ใจเลยบอกให้สู้” รับสารภาพทั้งหน้าแหยพร้อมกับตักบัวลอยคำแรกเข้าปาก ผมตาโตด้วยความตกใจกับรสชาติที่ไม่ได้สัมผัสมานาน “อร่อย นายกินเร็ว”

ภามทำหน้าเหนื่อยหน่ายเป็นรอบที่เท่าไหร่แล้วก็ไม่รู้ของวัน แต่เขาก็ยังยกถ้วยบัวลอยขึ้นตักกินตามที่ผมบอก และแล้วใบหน้าคมคายก็ยู่ลงเล็กน้อยเหมือนกำลังกินของแสลง เขาหยุดมือแล้วยื่นถ้วยของตัวเองมาให้ผมทันที

“หวาน”

“ไม่ชอบของหวานเหรอ” ผมรับถ้วยบัวลอยของเขามาวางไว้ข้างตัวโดยไม่ปฏิเสธ

“ไม่ชอบเท่าไหร่” ภามตอบโดยที่ยังจ้องหน้าผมอยู่ “ครอบครัวผมไม่ชอบทานของหวาน...ยกเว้นเก้า”

“ไอ้เก้า...”

แค่ได้ยินชื่อเพื่อนสนิท ผมก็รู้สึกเหมือนความอยากอาหารจะน้อยลงนิดหน่อย ไอ้เก้ามันบ้าชาเขียวเข้าขั้นวิกฤติ เห็นกินได้เป็นกิโลแบบไม่กลัวอ้วนเลยแม้แต่น้อย ตรงกันข้ามกับผมโดยสิ้นเชิง...เพราะช่วงมหา’ลัยผมดูแลหุ่นมาก เวลาเห็นใครกินอะไรก็ต้องควบคุมตัวเองไว้ให้ทำหน้าตาเฉยชาไม่สนใจ ทั้งที่จริงๆ อยากกินแทบตาย

“อันที่จริงถ้านับคุณไปด้วย...ครอบครัวผมก็จะมีคนชอบของหวานสองคนแล้ว”

“หยุดพูดอะไรแบบนั้นด้วยหน้าตาเฉยชาจะได้ไหม” แทบจะสำลักบัวลอยอยู่แล้วเนี่ย “ฉันยังไม่ใช่ครอบครัวของนายสักหน่อย”

“ยังไม่ใช่...แต่ในอนาคตอาจจะใช่”

เพราะไม่รู้จะเถียงอะไร ปากเลยได้แต่อ้าแล้วหุบอยู่อย่างนั้นนานหลายนาที สุดท้ายก็เป็นผมเองที่หลบตาแล้วจ้วงบัวลอยเข้าปากคำโต ใช้เวลาไม่นานนักขนมหวานทั้งสองถ้วยก็หมดเกลี้ยง ไม่เหลือแม้แต่น้ำสักหยดเดียว

“แน่นพุงไปหมดแล้ว” ผมยกมือลูบพุงและเปลี่ยนเรื่องหน้าด้านๆ โชคดีที่ภามไม่คิดแกล้งพูดเรื่องเดิมต่อ เขาแค่เอาถ้วยไปวางรวมกัน แล้วหันมายกมือแปะหน้าผากผมเพื่อวัดไข้อีกที

“กินเสร็จแล้วก็รีบกลับเถอะ ตอนนี้แดดยังไม่แรงมาก”

“ขอนั่งพักก่อนได้ไหม” ขืนโดนแบกไปทั้งแบบนี้ ผมกลัวว่าจะไปอ้วกใส่หลังเขาจนโดนแบบที่เคยโดนอีก แค่ครั้งเดียวก็เข็ดแล้ว ขอเถอะ

“พ่อหมอ” น้ำเสียงใจดีอันเป็นเอกลักษณ์ของน้าต้อยดังขึ้น พร้อมกับที่ท่านเดินเข้ามาหาผมกับภาม ในมือถือชามข้าวแบบมีฝาปิดมาด้วยใบหนึ่ง “น้าเอาขนมไข่มาให้ลองทานจ้ะ ตอนแรกเห็นว่าไม่สบาย เอาบัวลอยไปให้คงหายร้อนพอดี น้าเลยว่าจะให้เด็กๆ เอาขนมไข่ไปให้”

ขนมก้อนฟูสีน้ำตาลส้มส่งกลิ่นหอมมาแต่ไกล จากที่บอกว่าอิ่มเมื่อกี้ คล้ายว่าท้องจะกลับมาร้องซ้ำอีกรอบ และดูเหมือนสีหน้าของผมคงแสดงออกชัดเจนมากด้วยว่าอยากกินต่อ คนด้านข้างถึงส่งเสียงกระแอมเตือนแล้วทำหน้าดุๆ ใส่

“ถ้ากินไม่หมดก็เอากลับไปที่บ้านได้นะจ๊ะ ปิดฝาให้แน่น ถึงจะไม่ร้อนแล้วก็ยังทานได้อยู่”

“ขอบคุณมากนะครับน้าต้อย” ผมส่งยิ้มกว้างไปให้น้าต้อยแล้วดึงชามขนมมาถือไว้ พอเห็นว่าน้าแกพยักหน้าและเดินจากไปแล้วก็รีบเปิดฝาออกพร้อมหยิบขนมไข่ก้อนกลมมากัดคำโต

“เมืื่อกี้เพิ่งบอกว่าอิ่ม”

“ยังมีที่ว่างอีกนิดหน่อย”

“ปกติคนไม่สบายเขาจะกินอะไรไม่ค่อยลงไม่ใช่เหรอ” ภามถามด้วยน้ำเสียงเหมือนจะข้องใจมากจริงๆ เขาทำหน้าแปลกๆ ในยามที่่ผมยื่นขนมไปจ่อปากแล้วบอกว่าไม่หวาน แต่เมื่อโดนคะยั้นคะยอมากเข้าก็ยอมอ้าปากในที่สุด “ติดคอ”

“ฉันถือคติว่าถ้ามีเวลาให้กินแล้วต้องกินให้หมด”

เพราะถ้าไม่มีเวลา แม้แต่ข้าวสักคำยังหาเวลากินได้ยากเลย ดังนั้นมีเวลามากขนาดนี้จะไม่กินให้หมดได้ยังไงกัน เสียดายแย่ ต้องตุนไว้ในท้องก่อน

“เอาเถอะ” คนฟังพูดเหมือนจะเข้าใจและไม่เข้าใจอยู่ในที เขาดันมือผมที่ยื่นขนมไข่ไปให้ออกแล้วส่ายหน้าเป็นเชิงปฎิเสธ และในเวลาไม่นานหลังจากนั้น ขนมไข่ที่น้าต้อยทำมาให้เผื่อเอาไปกินที่บ้านก็เหลือไม่ถึงครึ่ง พร้อมกันกับที่ผมรู้สึกแน่นท้องและมึนหัวขึ้นมากะทันหัน

“ภาม…”

“หืม”

“ไม่ไหวแล้ว อยากกลับบ้าน”

“…”

อย่ามองแบบนั้นนะ ไม่ใช่ความผิดของฉันสักหน่อย...


————————


หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 10-08-2018 11:58:47
-17-


หลังจากไม่สบายอยู่สามวัน ผมได้เข้าถึงแก่นแท้ของการเป็นราชา แค่นอนอยู่เฉยๆ ก็มีคนเอาข้าวเอาน้ำมาเสิร์ฟให้ ขนาดจะอาบน้ำยังไม่ต้องทำเองเลย เพราะตอนวันที่สองผมเริ่มทนความเหม็นเน่าของตัวเองไม่ไหว แม้ตัวจะยังอุ่นๆ อยู่ก็ดื้อจะไปอาบน้ำให้ได้ จบลงด้วยการถูกแบกเข้าไปในห้องน้ำแล้วนั่งยิ้มแฉ่งบนเก้าอี้ ปล่อยให้อีกคนถูเนื้อถูตัวและสระผมให้ สบายกว่านี้ไม่มีอีกแล้ว

“ข้างขวายังไม่แห้งเลย” ผมเอียงหัวไปด้านซ้ายเพื่อให้คนด้านหลังเช็ดหัวได้สะดวก สัมผัสไม่หนักไม่เบาจนเกินไปทำให้สบายตัวจนเผลอฮึมฮัมเพลงออกมาอย่างอารมณ์ดี จะมาโทษผมไม่ได้หรอกนะ ก็เขาเต็มใจทำให้เอง

“สระผมติดกันมาสองวันแล้ว ยังไม่หายดีแท้ๆ” ภามบ่นแบบไม่จริงจังนัก

“ก็มันเหนียวหัว”

ตั้งแต่เด็กๆ ผมก็เป็นพวกที่ต้องสระผมทุกวันมาโดยตลอด ถ้าไม่ใช่ว่าต้องเข้าเวรข้ามวันหรือเหนื่อยจนหลับคาเตียง เวลาอาบน้ำก็ยังทำตัวเหมือนเดิมคือสระผมทุกวัน พอต้องมาหมักไว้สองสามวันแบบนี้เลยทนไม่ได้ อีกอย่างคือผมหายปวดหัวแล้วด้วย ต้องขอบคุณภามที่ดูแลดีเหลือเกินนั่นแหละ

ถึงจะทำเหมือนยอมตามใจผมตลอด แต่มันก็ไม่ใช่ทั้งหมดหรอก อย่างเรืื่องอาบน้ำนี่ก็ตั้งกฏว่าถ้ายังไม่หายดีจะอาบได้วันละครั้งเท่านั้น เมื่อวานผมแอบขัดคำสั่ง หนีไปอาบน้ำตอนภามไปเอาข้าว สิ่งที่เกิดขึ้นคือโดนอุ้มออกมาจากห้องน้ำหน้าตาเฉย ทั้งตกใจและแปลกใจจนโดนจับแต่งตัวเสร็จแล้วก็ยังเหวออยู่ นับจากนั้นผมสัญญากับตัวเองว่าจะไม่ลองดีอีกเด็ดขาด ขนาดเรื่องอาบน้ำเขายังไม่ยอม ไม่อยากคิดเลยว่าถ้าเป็นเรื่องอื่นจะทำยังไง

“คุณมั่นใจนะว่าหายดีแล้ว” ภามถามย้ำเป็นรอบที่สอง แต่ผมรู้ดีว่าเขาจะถามอีกครั้งเดียว ถ้ายังตอบเหมือนเดิมก็จะไม่ห้ามอีก

“หายแล้วจริงๆ” ผมพยักหน้าหงึกหงักยืนยัน “จริงๆ เดินไหวตั้งแต่เมื่อวานแล้ว แต่ยังขี้เกียจอยู่ ให้นายบริการก็สบายดี”

“หึ” เขาหัวเราะในลำคอ มือยื่นมาลูบแก้มผมแบบที่ชอบทำบ่อยๆ ในช่วงสองสามวันมานี้ “จะอยู่เฉยๆ ต่อก็ได้”

“ก็อยากอยู่หรอก แต่กลัวเป็นง่อยไปซะก่อน” อันที่จริงเป็นเพราะผมอยากตอบแทนภามบ้างต่างหาก ไม่ได้ทำกับข้าวให้คุณชายกินมาหลายวันแล้ว ถึงเวลากลับไปทำหน้าที่เสียที อีกอย่าง... “เหลือเวลาอีกไม่นานก็ต้องไปจากที่นี่แล้ว ฉันไม่อยากปล่อยให้เวลาผ่านไปเฉยๆ”

“อา…"

“นายบอกเองไม่ใช่เหรอ ว่าต้องใช้เวลาให้คุ้มค่า” ผมส่งยิ้มให้ภาม แล้วก็ได้รับรอยยิ้มน้อยๆ ที่ดูชัดเจนขึ้นทุกวันตอบกลับมา

ผมกับภามเดินไปหาข้าวกินที่บ้านน้าต้อยก่อนเป็นลำดับแรก ตอนนี้ทุกคนคงไปรวมกันที่หาดหมดแล้ว รอบด้านถึงได้เงียบขนาดนี้ ไข่เจียวของผมยังคงน่ากินเหมือนทุกครั้ง พอคราวนี้เพิ่มผัดคะน้ามาอีกจาน คงไม่ต้องบอกว่าคนที่รอกินข้าวอยู่จะพอใจขนาดไหน

“ตอบแทนที่ช่วยดูแลมาหลายวัน”

“ไม่เป็นไร ตอนคุณไม่สบายผมก็ได้ประโยชน์เยอะเหมือนกัน” ภามตอบอย่างตรงไปตรงมา ก่อนจะตักผัดคะน้าคำแรกเข้าปาก “อร่อย”

“นายได้ประโยชน์อะไร”

“วันนั้นคุณก็พูดเองไม่ใช่เหรอ ว่าถ้าผมชอบคุณจริงๆ ผมจะได้ประโยชน์เต็มๆ เพราะได้จับนู่นจับนี่” เขาพูดหน้าตาเฉย ทำเหมือนพูดเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไป แต่ผมเกือบสำลักข้าว ลำบากคนที่คอยดูแลมาตลอดหลายวันต้องช่วยลูบหลังให้อีก “แถมคุณยังอ้อนเป็นแมวด้วย”

สรุปจะช่วยลูบหลังหรือจะช่วยให้สำลักหนักกว่าเดิมวะเนี่ย

“กินข้าวไปเลย” ผมผลักหน้าคนกวนตีนให้หันกลับไปมองจานข้าวตัวเอง พอเห็นว่าเขาไม่คิดจะพูดอะไรต่อถึงตักข้าวคำต่อไปขึ้นมากิน

ในระหว่างที่กำลังกินข้าวกันอยู่ ปรากฏว่าเจ้าตาลวิ่งดุ๊กดิ๊กกลับมาเอาของที่บ้านพอดี หลังเห็นว่าผมไม่ได้ใส่หน้ากากอนามัยและออกมาข้างนอกได้แล้ว เจ้าตัวเล็กก็ดีอกดีใจยกใหญ่ ถึงขนาดเข้ามาช่วยล้างจาน จากนั้นก็จับมือผมกับภามคนละข้าง พากันวิ่งไปที่หาด ปากพูดจ้อไม่หยุดว่าวันนี้วางแผนจะทำอะไรกับพี่ๆ บ้าง

“พวกเราจะไปเดินเล่นรอบเกาะกัน พี่หมอกับพี่ชายไปด้วยนะจ๊ะ” โดนอ้อนด้วยหน้าเด๋อๆ ของเด็กน้อยแล้วผมจะปฏิเสธได้ยังไง จากที่คิดไว้ว่าจะไปช่วยงานชาวบ้าน สรุปก็ไม่ได้ช่วยอีกจนได้

จะว่าไปตั้งแต่มาถึงที่นี่ผมกับภามยังไม่เคยได้ไปช่วยงานจริงๆ จังๆ เลยสักครั้ง ไม่ใช่ว่าไม่เคยลองถามนะ แต่พวกเขาไม่ให้เราทำอะไรเลยต่างหาก อย่างคราวนั้นก็ไม่ให้ไปกับเรือประมง ครั้นจะไปช่วยแยกปลาก็พากันปฏิเสธยกใหญ่ แต่ละคนทำหน้าตกใจเหมือนเห็นผี ยิ่งยามเห็นว่าภามจับปลาขึ้นมาตัวหนึ่ง ลุงเหมแทบจะวิ่งสี่คูณร้อยมาปัดไม้ปัดมือให้เขา ทั้งยังออกคำสั่งเด็ดขาดต่อหน้าทุกคนว่าเราสองคนจะอยู่ในฐานะนักท่องเที่ยวเท่านั้น ห้ามใช้งานอะไรเด็ดขาด

ผมว่านักท่องเที่ยวยังได้ทำเยอะกว่าเราเลยเถอะ...

“พี่ๆ ยังไม่เคยเห็นบ้านนายใช่ไหมจ๊ะ พวกหนูจะพาไปนะ”

บ้านนายก็น่าสนใจ...

ว่าแต่เจ้าตาลจะพูดตรงใจผมเกินไปหรือเปล่านะ ถ้าไม่ติดว่าเป็นเด็กผมคงคิดว่าน่าสงสัยไปแล้ว เพราะเจ้าตัวทำราวกับพูดเรื่องนี้ขึ้นมาเพื่อดึงผมออกจากความสนใจเดิมอย่างไรอย่างนั้น แต่เอาเถอะ...คงบังเอิญแหละมั้ง

“พี่หมอเป็นหัวหน้าแล้วกัน!”

“แต่แม่ข้าบอกว่าคนเป็นผัวต้องเดินนำหน้าเมียนะ แบบนั้นพี่ชายก็ต้องเป็นหัวหน้าสิ”

“ข้าเห็นด้วยกับไอ้แตง”

“หนูก็เห็นด้วยกับพี่แตงจ้ะ พี่ชายเป็นสามี ต้องดูแลพี่หมอสิ”

เด็กๆ ล้อมวงถกเถียงกันเป็นเรื่องเป็นราว ส่วนคนที่ถูกกล่าวถึงเหรอ...

“…” ภามพยักหน้าหงึกหงักเหมือนจะเห็นด้วยกับเด็กๆ อีกที

“พยักหน้าทำบ้าอะไร” ส่วนผมโวยวายกับเด็กไม่ได้ เลยต้องหันมาลงกับเขาแทน

ดูเหมือนขบวนการหลายสีของเจ้าตัวเล็กทั้งหลายต้องการแต่งตั้งหัวหน้าอย่างเป็นทางการ ผมกับภามเลยกลายเป็นตัวเลือกให้พวกเขาเถียงกัน ตอนแรกๆ ก็เหมือนจะเลือกผมกันเยอะ แต่พอเจ้าแตงพ่นคำว่าผัวเมียออกมาที สถานการณ์เปลี่ยนทันควัน ก็เข้าใจอยู่หรอกว่าคนที่นี่เลี้ยงลูกหลานอย่างตรงไปตรงมา พวกเขาจะรู้ความหมายของผัวเมียเร็วก็ไม่แปลก แต่ไม่ต้องพูดออกมาก็ได้ไหม

ก่อนหน้านี้ผมเคยอุ้มเจ้าตาลมาสอนอยู่เหมือนกัน บอกว่ามันเป็นคำที่ไม่สมควรพูดในวัยนี้ ใครจะคิดว่าเด็กตัวน้อยจะยิ้มแฉ่งแล้วเปล่ี่ยนศัพท์เป็นสามีภรรยาให้แทน ผมถึงขนาดเคยถามไม้ว่าคนที่นี่เขาไม่มองว่าชายรักชายเป็นเรื่องแปลกเหรอ และคำตอบที่ได้ก็ทำเอาตกใจอยู่ไม่น้อย เพราะไม้บอกว่าทุกคนเข้าใจและมองเป็นเรื่องปกติ ขนาดนายยังมีคนรักเป็นผู้ชายเลย

ชักจะมีอะไรแปลกๆ เยอะไปละ

“สรุปว่าพี่ชายเป็นหัวหน้านะ”

ผมหลุดจากภวังค์เพราะเห็นเจ้าแตงเดินมากระตุกขากางเกงภาม ทำท่าเหมือนกำลังมอบตำแหน่งสำคัญให้ ซึ่งคนตัวสูงที่กำลังถือกล้องอยู่ก็ไม่ได้ว่าอะไร นอกจากพยักหน้าแล้วตอบรับสั้นๆ

“อ่า”

ภามกลายเป็นหัวหน้าขบวนการหลายสีไปแล้ว...

เมื่อตกลงกันได้ ผมก็เดินตามฝูงชนไปเรื่อยๆ ที่น่าตลกคือหัวหน้าคนใหม่เป็นผู้เดินนำขบวน แล้วเด็กๆ ก็เดินตามโดยไม่ขัดสักคำไม่ว่าภามจะเดินไปไหน ขนาดเขาเดินไปถ่ายรูปริมทะเล ทุกคนก็ยังเดินตามไปเป็นแถว ทั้งดูน่ารักและน่าขันไปพร้อมกัน

“ถ้าจะไปดูบ้านนายแล้วไม่อยากเดินลัดป่า หัวหน้าต้องเดินอ้อมเกาะไปทางนั้นครับ” เด็กคนหนึ่งทำท่าตะเบ๊ะรายงานหัวหน้าที่เอาแต่สนใจการถ่ายภาพ ภามยกกล้องออกแล้วเหลือบมองแค่นิดเดียว จากนั้นเขาก็เดินไปตามทางที่ว่าโดยไม่ได้พูดอะไร แต่ที่น่าทึ่งคือแทนที่เด็กๆ จะไม่พอใจหรือแอบบ่น พวกเขากลับหันไปคุยกันว่าหัวหน้าโคตรเท่ซะงั้น

ดี...เอาเข้าไป

“นายกลายเป็นหัวโจกไปแล้ว” ผมกระซิบบอกภามขำๆ และยิ่งขำเข้าไปใหญ่เมื่อเด็กเตี้ยทั้งหลายทำท่าเหมือนอยากฟังหัวหน้าพูดด้วย แต่เพราะตัวเล็กเกินไป ยืดเท่าไหร่ก็ไม่ได้ยิน

“พวกเขาเรียกคุณว่าเมียหัวหน้า”

ผมหน้าเหวอ ตั้งแต่เดินมายังไม่เคยได้ยินเลยนะ หรือว่าพลาดไปตอนไหน แต่ในเมื่อถามภามไปก็ไร้ประโยชน์ ผมเลยหยุดเท้าแล้วหันกลับไปชี้หน้าฝูงเด็กเรียงตัว

“ใครบังอาจมาเรียกพี่ว่าเมียหัวหน้า”

เจ้าของดวงตากลมสดใสเกือบสิบคู่กะพริบปริบๆ พร้อมกัน ก่อนจะหันไปมองหน้า พูดคุยราวกับกำลังปรึกษา และส่งตัวแทนเป็นเจ้าตัวเล็กของกลุ่มออกมาพูด

“ยังไม่มีใครเรียกเลยนะจ๊ะ แต่ถ้าพี่หมออยากให้เรียกแบบนั้น พวกเราก็จะเรียกแบบนั้นจ้ะ...ภรรยาหัวหน้า”

บอกทีว่าตาลมันไม่ได้จงใจกวนตีน...

“เมียหัวหน้า หัวหน้าไปโน่นแล้ว” เจ้าแตงชี้นิ้วไปด้านหลัง และนั่นทำให้ผมรู้สึกตัว

ในเมื่อเด็กๆ ไม่ได้พูด งั้นก็หมายความว่า...

“ไอ้บ้าภาม!!”

“พูดแบบนั้นกับสามีไม่ดีนะจ๊ะ แม่บอกหนูว่าสามีภรรยาต้องเคารพกัน”

“…”



บ้านนายที่ผมกับภามเคยมองจากบนเขาแล้วบอกว่าสวย ยามนี้ได้มาหยุดอยู่ตรงหน้า ต้องใช้คำว่าโคตรสวยถึงจะถูก ตรงจุดที่พวกเรากำลังยืนอยู่เป็นจุดสิ้นสุดของผืนทราย ต่อจากจุดนี้ไป ถ้าอยากเข้าใกล้บ้านต้องเดินไปตามทางลาดยาวที่ปูเป็นพื้นหิน น่าแปลกอยู่เหมือนกันที่มาทำทางเอาไว้ตรงนี้ แต่ถ้าให้ผมเดาคงเอาไว้กันไม่ให้เวลาเข้าออกบ้านต้องเหยียบทรายจนเลอะเทอะละมั้ง

“พวกเราจะเล่นรอกันตรงนี้นะจ๊ะ” ตาลกระตุกชายเสื้อผมแล้วยิ้มให้ นั่นทำให้ผมที่กำลังจะก้าวเดินตามภามไปบนทางลาดรู้สึกตัว เมื่อหันไปมองจึงพบว่าพวกเด็กๆ ไม่ได้เดินตามมาด้วย พวกเขายังคงยืนอยู่บนพื้นทราย ไม่ได้ก้าวขึ้นมาบนพื้นหินแม้แต่ก้าวเดียว

“ทำไมล่ะ ไม่ไปดูด้วยกันเหรอ” ผมหันกลับไปหาเด็กๆ แล้วถามด้วยความสงสัย

“เราไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าไปจ้ะ”

“นายห้ามเหรอ”

“แม่ผมห้าม”

“พ่อผมด้วย”

“แม่หนูก็ห้ามจ้ะ”

ดูท่าทางพ่อแม่ทุกคนคงห้ามไม่ให้พวกเขาเข้าไปในอาณาเขตบ้านนาย คงจะเคารพนายมากจริงๆ แต่ที่น่ายิ้มก็คือการที่เด็กๆ ยอมทำตามทั้งที่จะแอบซนก็ได้นี่ละ

“เข้าใจแล้ว งั้นพี่ก็จะไม่...”

“มานี่” ยังไม่ทันพูดจบประโยค คนที่ควรเดินนำไปนานแล้วก็จับข้อมือผมไว้และออกแรงลากให้เดินตามไปอย่างรวดเร็ว พอเห็นว่าไม่ให้ความร่วมมือ เขาก็เปลี่ยนมาโอบไหล่ใช้แรงบังคับให้เดินตามไปพร้อมกันแทน กว่าผมจะรู้ตัวก็เดินออกห่างจากเด็กๆ มาเกินสิบก้าวแล้ว

“เดี๋ยวก่อน”

“ทำไม” ภามขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อผมขืนตัวไว้ไม่เดินต่อ

“จะปล่อยเด็กๆ ไว้แบบนั้นได้ไง” ผมว่าก่อนจะหันไปมองด้านหลัง แล้วก็พบว่าพวกเด็กๆ นั่งลงพูดคุยกันอยู่ตรงนั้นไม่ได้ไปไหน แต่ถึงอย่างไรเราก็มาไกลจากบริเวณที่พวกชาวบ้านอยู่พอสมควร จะให้ปล่อยพวกเขาไว้ไม่สมควรแน่

“ผมบอกแล้วว่าให้รอนิ่งๆ ห้ามขยับ”

“แต่…”

“ไม่เป็นไรหรอก แค่แป๊บเดียว” สุดท้ายภามก็ลากผมเข้าไปในบริเวณบ้านจนได้

คุณช่างภาพลากผมเดินไปโน่นไปนี่รอบบ้าน ทั้งยังบังคับให้กลายเป็นนายแบบจำเป็น ยืนห่อเหี่ยวเก๊กท่าอยู่ตรงจุดที่เขาบอก เรียกได้ว่าทำตัวเหมือนเจ้าของบ้านโดยแท้ นี่ถ้าประตูไม่ได้ล็อกอยู่เขาคงลากผมเข้าไปถ่ายด้านในด้วยแล้ว

“จะไม่เป็นไรจริงๆ เหรอ” ผมพูดด้วยความเกรงใจ ตอนแรกก็ไม่ได้อะไรที่เข้ามาในเขตบ้านของนายหรอกนะ เพราะพวกเราไม่ได้โดนห้ามเหมือนเด็กๆ แต่พอเดินวนไปวนมาเหมือนโจรมากเข้า จิตใจอันหยาบกระด้างของผมก็เริ่มมีความรู้สึกขึ้นมาเสียเฉยๆ

“ไม่มีใครว่าหรอก”

“ถ้าเด็กๆ เอาไปพูด พวกชาวบ้านจะไม่โยนเราออกไปจากเกาะใช่ไหม”

“หึ” ภามหัวเราะในลำคอเบาๆ มือยื่นมาขยี้หัวผมเหมือนจะหมั่นไส้จนหัวที่ยุ่งอยู่แล้วยุ่งหนักกว่าเดิม “ไม่มีใครกล้าโยนคุณหรอก”

“อะ…"

“นอกจากผม”

“ขอบคุณ” ผมหน้าหงิก นึกอยากเตะขาคนกวนตีนแก้หัวร้อนอยู่เหมือนกัน แต่กลัวจะโดนเอาคืนหนักกว่าเดิมเลยได้แต่บ่นอุบอิบอยู่ในใจคนเดียวเงียบๆ

เมื่อภามเดินถ่ายรูปรอบบ้านจนครบทุกซอกทุกมุมแล้ว เราก็เดินกลับมาหาลูกน้องของเขาที่นั่งเล่นเฮฮากันอยู่ เด็กๆ ชี้ชวนให้เราไปนั่งเล่นที่ชิงช้าอีกฝั่งซึ่งอยู่นอกอาณาเขตของบ้าน ตรงจุดนั้นนอกจากจะมีชิงช้าที่แขวนอยู่กับต้นไม้ใหญ่แล้ว ยังมีม้าหน้าตาตลกอยู่สามสี่ตัวด้วย ท่าทางคงเอาไว้ประดับมากกว่าเอาไว้นั่งเล่นกันเอง

“แล้วเราไปเล่นตรงนั้นได้เหรอ” ผมก้มลงถามตาลที่เดินอยู่ด้านข้าง

“คนรักของนายบอกให้พวกเราเล่นได้จ้ะ”

“ใจดีจังนะ”

“มากๆ เลย” เจ้าตาลยิ้มกว้างเมื่อพูดถึงคนรักของนาย

“แล้วเขาชื่อ...”

“เมียหัวหน้ามานั่งเร็ว!”

ผมคิ้วกระตุกเมื่อได้ยินคำเรียกขานจากเจ้าตัวเล็กทั้งหลายที่กำลังกวักมือเรียกยิกๆ ชี้ให้ไปนั่งบนชิงช้าที่มีอยู่เพียงที่นั่งเดียว โดยมีหัวหน้ากลุ่มยืนตั้งท่าเหมือนจะช่วยไกวชิงช้าให้อยู่ด้านหลัง

แล้วทำไมกูต้องทำตามคำพูดเด็กวะเนี่ย!

“แรงๆ เลยหัวหน้า!”

“ต้องแรงๆ ถึงสนุกนะหัวหน้า!”

ความเจี๊ยวจ๊าวนี้...

“จะให้ทำตามที่เด็กพูดไหม” เสียงพูดของคนที่โน้มตัวลงมากระซิบข้างหูผมจากทางด้านหลังทำเอาขนลุกสู้จนเกือบหล่นจากชิงช้า ที่นั่งยิ่งแคบๆ อยู่ ยังมีหน้ามาแกล้งกันอีก

“ถ้านายทำ คืนนี้ไปนอนนอกมุ้งเลย” ผมหันไปขู่เสียงเข้ม แต่แทนที่ภามจะกลัว เขากลับเลิกคิ้วแล้วทำหน้าคล้ายจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม

“พูดเหมือน...”

“อะไร”

“เปล่า”

“พูดเหมือนเวลาภรรยางอนสามีเลยจ้ะ...โอ๊ยๆๆ หนูเจ็บ” เจ้าตาลร้องโอดโอยเมื่อผมหันไปบีบปากเล็กๆ ช่างจ้อนั่นด้วยความหมั่นไส้ พวกพี่ๆ ก็ไม่ได้ปกป้องอะไรเลย เห็นน้องงอแงแล้วหัวเราะขำกันยกใหญ่

ผมพอจะเข้าใจแล้วว่าเวลาไปทะเลแล้วเห็นบ้านพักมีชิงช้าอยู่ด้านนอก ทำไมเพื่อนคนอื่นๆ ถึงได้ดูตื่นเต้นดีใจนัก ที่บอกว่าเป็นจุดถ่ายรูปสวยอาจนับได้ว่าเป็นส่วนหนึ่ง แต่อีกส่วนที่สำคัญคงเป็นเพราะมันรู้สึกดีเอามากๆ ยามมีคนคอยช่วยผลักชิงช้าอยู่ด้านหลัง ลองคิดภาพยามตัวเองโดนลมโกรกหน้า โดยที่ตัวไม่โดนแดดเพราะอยู่ใต้ต้นไม้ ขณะที่สายตาทอดยาวออกไปเห็นวิวทิวทัศน์ของทะเลกว้างใหญ่ไพศาลมองไม่เห็นจุดสิ้นสุดดูสิ มันทำให้รู้สึกดีและสบายใจไปพร้อมๆ กันจริงๆ นะ

แชะ!

“เอาใหม่” ผมหันไปพูดกับคนแอบถ่ายอย่างอารมณ์ดีแล้วฉีกยิ้มกว้างให้กล้อง คล้ายจะเห็นอีกฝ่ายชะงักไปนิดหน่อยก่อนจะมีเสียงแชะดังตามมา ภามลดกล้องลง ใบหน้าฉายชัดถึงความแปลกใจ คงงงว่าทำไมผมถึงอารมณ์ดีขึ้นมากะทันหัน

“ยังไม่หายดีเหรอ”

“คนอารมณ์ดีดันมาแช่งให้ไม่สบาย”

“คิดว่าสติไปหมดแล้ว”

จะหยุดอารมณ์ดีก็เพราะนายเนี่ยแหละ

“หัวหน้า ผมขอลองถือได้ไหม” เสียงห้าวๆ ดังขึ้นแทรกประโยคสนทนาของผมกับภาม เมื่อหันไปมองก็พบว่าคนพูดคือเจ้าแมน เด็กที่ตัวโตที่สุดในกลุ่ม อีกฝ่ายกำลังจ้องกล้องภามด้วยสายตาวิบวับ ท่าทางสนอกสนใจน่าดู คนอื่นๆ ก็พลอยมองตามอย่างมีความหวังไปด้วย คงคิดว่าถ้าแมนได้ถือ พวกเขาก็คงได้ถือเหมือนกัน

“ไม่ได้”

แต่นี่ใคร...นี่มันภามผู้ไม่สนใจโลกนะ ถ้าไม่ใช่เพราะเขาเป็นหัวหน้าที่ได้รับความนับถือ เจ้าพวกตัวจ้อยอาจจะปล่อยโฮเพราะได้ยินเสียงเย็นชาไร้อารมณ์นั่นไปแล้วก็ได้

“ภาม” ผมสะกิดแขนภามเพื่อเตือนสติให้เขารู้ว่ากำลังคุยกับเด็ก พอเป็นเรื่องกล้องแล้วไม่รู้ทำไมเสียงถึงดูดุขึ้นสองระดับ เป็นผมก็กลัวเถอะ เจ้าตาลตัวสั่นแล้วนั่น “ถ้าให้ไม่ได้ก็อธิบายด้วยเหตุผล เด็กๆ ไม่ดื้อหรอก”

 ถึงจะไม่แน่ใจนักว่าการพูดเหมือนจะสอนแบบนี้มันดีหรือเปล่า แต่สุดท้ายผมก็เลือกพูดออกไปตามตรง โชคดีที่ภามไม่ได้มีท่าทีไม่พอใจอะไร เขาแค่พยักหน้าเงียบๆ เหมือนจะบอกว่าเข้าใจเท่านั้น จะว่าไปแล้วตอนช่วงแรกที่เจอกันแล้วผมบอกว่าจะคอยบอกคอยสอนถ้าเขาพูดอะไรไม่ควร อีกฝ่ายก็ไม่ได้ว่าอะไรเหมือนกันนี่นะ ตอนนี้ก็คงเหมือนตอนนั้นนั่นละ

“ของสำคัญ” ภามพูดขึ้นมาโดยไม่เกริ่น คนฟังก็มองไปเถอะตาปริบๆ จนผมต้องสะกิดแขนเขาเป็นเชิงบอกให้ขยายความ ใบหน้าปลาตายเลยคล้ายจะดูยุ่งยากใจขึ้นมานิดหน่อย “กล้องนี่เป็นของสำคัญ ต้องรักษาไว้ให้ดี”

กับคนอื่นละพูดน้อยเหลือเกิน ไม่เห็นเหมือนเวลาอยู่กับผมเลย แต่เอาเถอะ...ช่วยหน่อยก็ได้

“เด็กๆ มีของสำคัญที่ไม่อยากให้ใครแตะต้องไหม” ผมดึงเจ้าตาลมาใกล้ๆ แล้วส่งยิ้มให้เด็กทุกคนที่กำลังทำท่าครุ่นคิด ซึ่งหลังจากผ่านไปสักพักพวกเขาก็เริ่มพยักหน้ายอมรับต่อกันเป็นทอดๆ

“ผมไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับหมอนข้างของตัวเอง”

“ผมไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับคุณต้นไม้”

“หนูไม่ชอบให้ใครยุ่งกับกล่องดินสอที่แม่ซื้อให้จ้ะ”

“เห็นไหม ใครๆ ก็มีของสำคัญใช่ไหมล่ะ” ผมพูดช้าๆ ให้พวกเขาคิดตาม “สำหรับพี่ชายกล้องตัวนั้นก็ต้องสำคัญมากๆ เหมือนกัน พี่เขาถึงไม่อยากให้ใครแตะต้อง เด็กๆ เข้าใจพี่เขาเนอะ”

ในตอนที่พูดออกไปผมเผลอชะงักไปครู่หนึ่ง ชะงักเพราะนึกขึ้นได้ว่าตัวเองถึงขนาดเคยใช้มันถ่ายภาพเจ้าของกล้องมาแล้วหลายครั้ง แต่ก็ต้องรีบปัดความสงสัยออกไปอย่างรวดเร็ว เมื่อรู้สึกได้ว่ากำลังถูกจ้องโดยคนที่กำลังพูดถึง และผมไม่พร้อมจะสบตาเขาในยามนี้

“กล้องเป็นของสำคัญมากๆ ของหัวหน้าใช่ไหมครับ”

“เราเข้าใจแล้ว”

“ขอโทษนะหัวหน้า” แมนเดินไปดึงชายเสื้อของหัวหน้าขบวนการเบาๆ เป็นเชิงเรียก แล้วเด็กน้อยก็ยกมือขึ้นไหว้อย่างสวยงาม บ่งบอกถึงมารยาทที่ได้รับการอบรมมาเป็นอย่างดี รวมถึงเด็กๆ คนอื่นๆ ด้วย

“ไม่มีใครผิดหรอก” ผมพูดแทนเมื่อเห็นภามมองโดยไม่ตอบอะไร “หัวหน้าไม่ได้โกรธพวกเราแน่นอน ไม่ต้องห่วง”

เด็กๆ มองหน้ากันเหมือนยังไม่มั่นใจ แต่แล้วเมื่อภามพยักหน้าเป็นเชิงย้ำคำพูดของผมอีกครั้ง พวกเขาก็กลับไปยิ้มได้เหมือนเดิม ทุกคนสลับกันมานั่งบนชิงช้าให้ผมกับภามช่วยกันผลัก จวบจนวนครบรอบแล้วเจ้าแมนถึงบอกว่าเรือของพ่อน่าจะกลับมาแล้ว อยากไปช่วยขนของลงจากเรือ เราเลยตกลงกันว่าจะกลับพร้อมกันหมด เพราะเด็กคนอื่นก็อยากไปหาพ่อแม่เหมือนกัน

“มีอะไรหรือเปล่า” ภามถามขึ้นมาลอยๆ ระหว่างที่เราเดินกลับโดยให้พวกเด็กๆ กระโดดโลดเต้นเดินนำหน้า เขาคงเห็นว่าผมเดินช้าและแอบเหลือบมองตัวเองอยู่บ่อยครั้งเลยนึกสงสัย

“นาย...” ความอยากรู้อยากเห็นที่มีมากจนเกินไปทำพิษเข้าจนได้ “บอกว่ากล้องเป็น...”

“เป็นของสำคัญ ต้องรักษาไว้ให้ดี และผมไม่เคยให้ใครแตะต้องมัน” เขาพูดแทรกทีเดียวจบ แล้วอธิบายต่อโดยไม่รอให้ถาม “ไม่เคยแม้แต่คนเดียว ถ้าคุณจะถามว่าแม้แต่เก้ากับพี่ก็ไม่เคยเหรอ คำตอบคือใช่”

“แล้วทำไมฉันถึง...” ผมหยุดเดิน ในหัวเต็มไปด้วยความสับสน จวบจนคนที่อยู่ด้านหน้าหยุดเท้าแล้วหันกลับมามองกัน ความรู้สึกแปลกๆ ก็แทรกเข้ามากะทันหัน ราวกับจะบอกว่าผมเองก็รู้คำตอบดีอยู่แล้ว

“ตอนแรกผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเพราะอะไร แต่ตอนนี้คิดว่าคำตอบมันชัดเจนอยู่แล้ว และคุณเองก็รู้ดี”

ต้องรู้สิ...ก็พูดชัดเจนขนาดนั้น ชัดเจนจนผมไม่มั่นใจเลยว่า ‘ชอบ’ ที่ว่า มันคือชอบในแบบที่กำลังคิดหรือเปล่า

“ไปกันเถอะ” สุดท้ายผมก็ปัดความรู้สึกและบรรยากาศประหลาดทิ้งไป โดยการก้าวเดินไปด้านหน้าและไม่คิดยกเรื่องเดิมขึ้นมาพูดอีก แต่ในขณะที่กำลังจะกำจัดความสับสนในใจไปได้ คนที่อยู่ด้านหลังกลับทำลายทุกอย่างจนป่นปี้ด้วยคำพูดประโยคเดียว

“ชอบของผมหมายถึงชอบแบบคนรัก”

อ่านใจได้หรือไงวะเนี่ย...ไอ้บ้าเอ๊ย!

ผมรีบจ้ำเท้าไปตามทางโดยไม่หันไปตอบอะไรภามอีก ถึงอย่างนั้นก็ยังรู้สึกเหมือนถูกจับจ้องอยู่ตลอดเวลาอยู่ดี กระทั่งยามที่เราเดินกลับมาถึงหาดและเด็กๆ วิ่งไปหาพ่อแม่แล้ว เขาก็ยังมองผมไม่เลิก มองจนต้องหันไปทำหน้ามุ่ยใส่เหมือนจะถามว่ามีอะไรนั่นละ เจ้าตัวถึงเผยรอยยิ้มจางๆ ที่มองแทบไม่เห็นออกมาแล้วละสายตาไปทางอื่น

“บ้า” ขอแอบด่าหน่อยเถอะ

ขณะที่ผมกำลังคิดว่าควรจะแอบด่าอะไรภามต่อดี ในที่สุดเรือประมงลำใหญ่ที่มีพ่อของแมนเป็นหนึ่งในลูกเรือก็เข้ามาจอดเทียบท่า เด็กๆ ตั้งท่าจะวิ่งไปที่สะพาน แต่โดนพวกผู้หญิงดึงตัวไว้ก่อน ผ่านไปสักพักคนจากบนเรือถึงได้ทยอยกันขนลังของลงมาจากเรือทีละคนสองคน

“ไปช่วยกันเถอะ” ผมหันไปบอกภามแล้วเดินนำเขาไปที่ท่าเรืออย่างรวดเร็วโดยไม่รอคำตอบ

พวกผู้ชายที่ช่วยกันขนของลงมาจากเรือดูท่าทางเหนื่อยล้า แม้จะมีคนที่ไม่ได้ออกเรือไปช่วยขน ก็ยังถือว่าล่าช้ามากพอสมควร หากผมช่วยได้ก็อยากจะช่วย แม้ไม่อยากเหนื่อยและรู้ตัวดีว่าไม่ค่อยมีเรี่ยวแรง แต่ก็ไม่อยากอยู่เฉยๆ ทั้งที่ตัวเองก็เป็นผู้ชาย แต่ประเด็นคือ...

“พวกหนูจะไปไหนจ๊ะ” น้าต้อยเป็นคนแรกที่เอ่ยรั้งผมกับภามไว้ เมื่อพวกเราทำท่าจะก้าวนำพวกเขาไปหาเรือ และเสียงของน้าก็ทำให้พวกผู้หญิงที่ยืนรออยู่ตรงนั้นหันมามองตามไปด้วย

“ผมจะไปช่วยขนของครับ”

“ตายแล้ว...” น้าต้อยยกมือปิดปาก ท่าทางตกใจ ทุกคนที่มองเราอยู่ก็มีท่าทางคล้ายกัน

“น้าต้อยมีอะไรหรือเปล่าครับ” ผมหรี่ตามองน้าต้อยและคนอื่นๆ อย่างสำรวจ เลิกล้มความคิดที่จะไปช่วยขนของแล้ว เพราะแค่ดูท่าทียังรู้เลยว่าพวกเขาต้องไม่ยอมให้ผมกับภามออกแรงแน่นอน

คำถามคือทำไม

“เอ่อ...พวกผู้ชายไปช่วยเยอะแล้วจ้ะ พวกหนูไม่ต้องช่วยหรอก เหนื่อยเปล่าๆ”

“งั้นเดี๋ยวพวกผมช่วยคัดปลา...”

“ไม่ได้!” เสียงประสานจากใครหลายคนทำเอาผมสะดุ้งจนเผลอก้าวถอยหลังไปนิดหน่อย แต่เมื่อตั้งสติได้แล้วกลับมองเห็นเรื่องราวประหลาดๆ มากมาย

ช่วยขนของก็ไม่ให้ ช่วยคัดปลาก็ไม่ได้...

จำได้ว่าตอนผมจับปลา พวกน้าๆ ยังแค่ทำหน้าตาประหลาดแต่ก็ไม่ได้ว่าอะไร ทว่าพอเปลี่ยนเป็นภามจับทุกอย่างถึงได้หยุดชะงัก เหมือนจะมีความโกลาหลขนาดย่อมเกิดขึ้นด้วยซ้ำ

ผมหันไปมองหน้าภามโดยอัตโนมัติเมื่อเริ่มจับสัญญาณบางอย่างได้ และยิ่งได้เห็นใบหน้าไม่รู้สึกรู้สาของเขา สิ่งที่สงสัยในใจก็ยิ่งแจ่มชัดขึ้นเรื่อยๆ เหลือเพียงรอให้ใครบางคนมาตอบคำถามทั้งหมดเพื่อคลายข้อข้องใจเท่านั้น

“ทุกคนปิดบังอะไรผมอยู่หรือเปล่าครับ”

“อะ...อะไรเหรอจ๊ะ"

นั่นไง...แม้บางคนจะพยายามทำเหมือนไม่เข้าใจ แต่ท่าทีสะดุ้งจนตัวโยนเหมือนผู้กระทำความผิดถูกจับได้ของใครหลายคน มีหรือที่ผมจะมองไม่เห็น

เคยคิดว่าจะเอาไว้ถามทีหลังเหมือนกัน แต่อีกไม่กี่วันก็ต้องไปแล้ว ผมขอคำตอบตอนนี้เลยดีกว่า

“ภาม มาด้วยกันหน่อย” ผมหันไปบอกภามพร้อมจูงมือเขาไปหาลังน้ำแข็งลังหนึ่งที่เพิ่งถูกขนลงมาโดยไม่ฟังคำทัดทานของชาวบ้าน จากนั้นก็จัดการเปิดลังแล้วบังคับเอามือใหญ่ของคนข้างกายจุ่มลงไปในลังน้ำแข็งซึ่งมีปลาอยู่ด้านใน

ตามคาด...เสียงร้องด้วยความตกใจและแรงดึงจากด้านหลังเกิดขึ้นแทบจะทันที

“นายน้อย!” เป็นลุงเหมที่เข้ามาดึงตัวภามออกไปแล้วยกมือเขาขึ้นดูอย่างตกอกตกใจ ทั้งที่ผมแค่เอามือภามไปแตะปลาเท่านั้นเอง

ว่าแต่เมื่อกี้ลุงแกเรียกภามว่าอะไรนะ...นายน้อยงั้นเหรอ

ผมกระแอมเบาๆ เพื่อเรียกความสนใจจากทุกคน และนั่นทำให้ลุงเหมรู้สึกตัว แกเงยหน้ามองผมแบบเหวอๆ แม้แต่คนที่กำลังขนของก็ชะงักค้างไปด้วย ท่ามกลางบรรยากาศที่เงียบสงัดทั้งที่มีคนอยู่หลายสิบคน มีเพียงผมเท่านั้นที่ขยับโดยการหันหน้าไปมองชาวบ้านทีละคน แม้แต่เด็กๆ เองก็เงียบสนิทแล้วหลุบตาลงต่ำเช่นกัน

“อีกไม่กี่วันผมกับภามต้องกลับไปทำงานต่อแล้ว และไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับมาเยี่ยมที่นี่อีก” ดูเหมือนทุกคนจะสะดุ้งกันเล็กน้อย คล้ายไม่คาดคิดว่าอีกไม่กี่วันผมกับภามจะต้องไปจากที่นี่แล้ว แต่ยิ่งเห็นว่าพวกเขาตกใจกันมากเท่าไหร่ ผมก็ยิ่งมั่นใจในสิ่งที่ตัวเองคิดมากขึ้นเท่านั้น “ถ้าทุกคนคิดว่าเอาไว้ให้ถึงเวลาแล้วค่อยสารภาพ ผมคิดว่านี่น่าจะเป็นโอกาสอันดีนะครับ”

“…”

“ที่นี้จะบอกความจริงกับผมได้หรือยัง”


————————————

หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 10-08-2018 12:00:56
-18-



เงียบจนแทบไม่ได้ยินกระทั่งเสียงหายใจเป็นอย่างไร ผมเพิ่งรู้ซึ้งในวันนี้เอง หากไม่มีเสียงคลื่นกระทบฝั่งกับเสียงลมพัด เกรงว่าเกาะแห่งนี้คงดูไม่ต่างจากเกาะร้าง เพราะแม้แต่การเคลื่อนไหวเพียงเล็กน้อยก็ไม่มี ต้องใช้เวลานานเกือบห้านาที ลุงเหมถึงเริ่มขยับเขยื้อนโดยการหันไปสั่งให้คนเอาของลงจากเรือให้หมด เห็นใบหน้านิ่งสงบเหมือนคนปลงตกนั่นแล้ว ผมคิดว่าวันนี้ตัวเองคงได้รับคำตอบที่ต้องการแน่

“ไปนั่งรอกันก่อนเถอะ” ลุงเหมหันมาบอกผมพร้อมรอยยิ้มแห้ง มือโบกไล่ให้พวกผู้หญิงพาเด็กออกห่างไปก่อน ผมเห็นแบบนั้นเลยพยักหน้า ไม่ได้เซ้าซี้รีบเอาคำตอบอะไร แค่หมุนตัวเดินไปนั่งลงบนขอนไม้ใหญ่ใต้เงาร่มไม้ โดยมี ‘นายน้อย’ ที่ลุงเหมเผลอเรียกเมื่อครู่เดินตามติดมาด้วย

ภามไม่ได้พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว ยามนั่งลงข้างกายผมเหมือนปกติ แต่ก็ไม่ได้ยกกล้องขึ้นมาถ่ายรูปเหมือนทุกครั้งที่ต้องนั่งเฉยๆ เช่นกัน ราวกับรู้อยู่แล้วว่าผมอยากคุยด้วย ซึ่งการกระทำนั้นทำให้ผมต้องแอบมองเขาด้วยความหมั่นไส้

ทำเหมือนรู้ทันไปหมดแบบนี้ จะไม่ให้หมั่นไส้ได้ยังไง

“นายคงไม่ได้ตั้งใจปิดบังอะไรด้วยใช่ไหม” ผมหันไปถามภามตรงๆ พร้อมจ้องมองดวงตาคมว่างเปล่าคู่นั้นนิ่งงัน และภามก็ยังเป็นภามคนเดิม...เขาไม่ได้หลบสายตาผมแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงรับรู้ได้ถึงความหนักแน่นที่ส่งผ่านมา ทั้งที่อีกฝ่ายก็ไม่ได้เปลี่ยนสีหน้าแต่อย่างใด

“ผมไม่เคยโกหกคุณ”

“ตอบไม่ตรงคำถามนี่”

“ถ้าการไม่พูดคือการปิดบัง ทุกคนก็คงมีเรื่องปิดบังกันเป็นร้อยเรื่อง” เขาพูดแค่นั้นแล้วเงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะพูดต่อช้าๆ เหมือนอยากให้ผมค่อยๆ คิดตามไปด้วย “แต่ถ้าคุณหมายถึงปิดบังที่เป็นการพยายามบิดเบือนความจริงหรือพูดโกหก คำตอบที่ผมบอกไปเป็นคำตอบที่ชัดเจนที่สุดแล้ว”

ผมไม่เคยโกหกคุณ...

“รู้แล้วน่า” ผมเบือนหน้าหลบสายตาเมื่อสัมผัสได้ถึงบรรยากาศแปลกๆ ที่ช่วงนี้เกิดขึ้นบ่อยเหลือเกิน

“มีสิ่งหนึ่งที่คุณควรรู้เอาไว้...เกี่ยวกับผม” ภามยื่นมือมาแตะไหล่กันอย่างถือวิสาสะ เหมือนจะบอกให้หันกลับไปฟังสิ่งที่เขาพูดต่อ และมันน่าเจ็บใจตรงที่ผมไม่เคยปฏิเสธอะไรได้เลย ทำได้เพียงหันตามไปอย่างกับลูกแมวที่เดินตามเจ้าของต้อยๆ และที่ยิ่งกว่านั้นคือดันนั่งนิ่งปล่อยให้เจ้าของยกมือเกลี่ยแก้มกันได้ง่ายๆ เนี่ยแหละ

เข้าใจคำว่ารู้ตัวแต่ทำอะไรไม่ได้ก็ตอนนี้

“อะไร” และในเมื่่อปฏิเสธสัมผัสพวกนั้นไม่ได้ ผมเลยได้แต่หาเรื่องเบี่ยงเบนความสนใจทั้งของตัวเองและของเขาแทน

“ผมเป็นพวกที่ไม่ชอบพูดเท่าไหร่ โดยเฉพาะเวลาอยู่กับคนนอก...” ภามเลิกคิ้วเมื่อเห็นผมทำหน้าเหมือนจะบอกว่ารู้อยู่แล้วน่า “ดังนั้นเวลาใครสงสัยอะไร ต่อให้รู้บางทีก็ไม่คิดจะพูดออกไป”

“ต่อให้ถามเหรอ”

“ถ้าอยากตอบก็จะตอบ แต่ถ้าไม่อยากตอบ บางทีก็เมินไปเลย”

“ใจร้ายชะมัด” ผมแกล้งพูดแล้วหัวเราะออกมาเบาๆ

“แต่คุณไม่ใช่คนนอก เพราะงั้นถ้าคุณถาม ผมจะตอบ”

“แล้วถ้าฉันไม่ได้ถาม แต่นายรู้อยู่แล้วล่ะ”

ภามยกมุมปากขึ้นเล็กน้อยจนกลายเป็นรอยยิ้มที่ผมมองว่ามันดูดีและกวนตีนไปพร้อมๆ กัน แล้วสิ่งที่เขาพูดออกมาก็ไม่ได้ต่างจากที่ผมมองสักเท่าไหร่

“ก็แล้วแต่เรื่อง ถ้าคิดว่าไม่บอกแล้วจะสนุกก็คงปล่อยให้คุณหาคำตอบเอง”

ไอ้คนเลวขี้แกล้ง!

ผมถลึงตาใส่หน้าคนพูดด้วยความหัวร้อน อยากจะเข้าไปบีบหน้าตาที่ดูดีผิดธรรมชาตินั่นให้ยับยู่ยี่ดูสักที แต่ติดอย่างเดียว ติดตรงที่ทำไม่ได้เพราะกลัวเขาเอาคืนเนี่ยแหละ

“มันแย่ยิ่งกว่าคนนอกไหมเนี่ย” ฟังไปฟังมาเหมือนจะบอกว่าเพราะเป็นผมเลยได้รับสิทธิ์พิเศษแบบที่ไม่น่าใช่สิทธิ์พิเศษยังไงก็ไม่รู้

“ผมจะตอบทุกเรื่องที่คุณถามตามความจริง แค่นั้นยังไม่พิเศษอีกเหรอ” ภามเอียงหัวถาม รูปประโยคคล้ายไม่ต้องการคำตอบ แต่ใบหน้าฉายชัดว่าถ้าไม่พูดก็จะจ้องอยู่แบบนี้

“พิเศษก็พิเศษ” ผมตัดบทเพราะไม่อยากเถียงด้วยอีก ไม่ว่าจะสรุปให้ดีอีกสักกี่รอบ ยังไงมันก็หนีไม่พ้นเรื่องที่เขาต้องการแกล้งผมอยู่ดี

หลังจากหันไปสนใจภามอยู่นานจนเกือบลืมไปแล้วว่าเหตุผลที่มานั่งรอคืออะไร เมื่อหันกลับไปมองอีกครั้ง พวกชาวบ้านก็พากันแยกย้ายไปทำหน้าที่ของตัวเองหมดแล้ว มีเพียงลุงเหมกับไม้เท่านั้นที่กำลังเดินตรงมาหาผมกับภาม หน้าตาทั้งคู่ดูเคร่งเครียดอย่างกับกำลังจะเดินเข้าลานประหาร

เดี๋ยวก่อน แค่จะถามความจริงเองนะ ไม่ได้โกรธสักหน่อย จะเกร็งอะไรปานนั้น

“ลุงขอโทษด้วยนะครับ” เดินเข้ามาถึงปุ๊บคุณลุงก็พูดขอโทษปั๊บโดยที่ผมไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง แม้แต่คำพูดยังดูสุภาพนอบน้อมขึ้นหลายส่วนราวกับกำลังพูดกับเจ้านาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อหันไปมองภาม ลุงแกดูหงอกว่าเดิมประมาณสองเท่าได้ หงอจนผมต้องเรียกความสนใจกลับมาเพราะสงสาร

“ลุงพูดความจริงมาเถอะครับ ไม่มีใครโกรธหรอก ผมแค่อยากรู้เหตุผล”

“แต่ว่า...” ลุงเหมทำท่าทางลังเล ตายังเหลือบมองภามเป็นระยะจนผมต้องแอบเอาศอกกระทุ้งแขนคนด้านข้างเป็นการเตือนให้เขาพูดอะไรออกมาสักอย่าง พอลุงเหมหายเกร็งแล้วเราจะได้คุยกันเสียที

“พูดความจริงให้หมด” ภามพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงราบเรียบเป็นปกติและไม่มีทีท่าว่าจะพูดอะไรต่ออีก

“ครับนายน้อย เชิญคุณหมอถามมาได้เลยครับ” ลุงเหมหันมามองผมด้วยแววตาจริงจัง คำพูดที่เปลี่ยนไปกะทันหันไม่เหมือนปกติทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ อยู่ไม่น้อย แต่ตอนนี้คงไม่ใช่เวลามาแก้ไขมัน

“วันนั้นที่ไม้กับดำไม่ให้พวกผมขึ้นเรือไปหาปลาด้วย น่ันเป็นเพราะอะไรครับ”

“ลุงเป็นคนบอกไอ้ไม้กับไอ้ดำไม่ให้พาพวกคุณไปเอง เพราะกลัวว่าถ้าเกิดอะไรขึ้นแล้วจะรับผิดชอบไม่ไหวครับ”

“ถ้าอย่างนั้นตอนที่พวกผมอยากช่วยงาน หรือแม้แต่ตอนที่ภามจับปลา ทำไม...”

“เพราะมันไม่เหมาะสม” ไม้ที่ยืนเงียบอยู่ตั้งแต่ต้นตอบคำถามแทนลุงเหม “กับเอ็งยังไม่เท่าไหร่ แต่กับคนที่พวกเราทุกคนต่างรู้ดีว่าเป็นใคร จะให้มาทำงานหนักหรือมาจับปลาพวกนั้นได้ยังไงกัน”

ถ้าพูดมาขนาดนี้แล้วยังเชื่อมโยงเรื่องราวทั้งหมดไม่ได้อีกก็คงโง่เต็มทน ผมยกมือนวดขมับที่ปวดตุบๆ เบาๆ แต่นอกจากจะไม่ช่วยแล้ว มันยังปวดมากขึ้นเรื่อยๆ เมื่อได้ยินลุงเหมพูดต่อด้วย

“อันที่จริงเรือที่เกาะไม่ได้ออกแค่เดือนละครั้งหรอกครับ พวกเรามีทั้งนายหน้าที่มารับปลาเองและต้องไปส่งที่ฝั่ง บางครั้งก็ต้องไปซื้อของใช้หรือพาเด็กๆ ไปเรียน แต่เพราะช่วงนี้พวกมันปิดเทอมกันพอดีก็เลย...”

ก็เลยประจวบเหมาะแบบพอดิบพอดีสินะ

“ถ้าผมเดาไม่ผิด...” ผมเงยหน้ามองลุงเหม “ที่ลุงต้องทำแบบนั้นเป็นเพราะโดยสั่งไว้ใช่ไหม”

“ครับ” ลุงเหมทำสีหน้าลำบากใจ มือหยาบกร้านยกขึ้นปาดเหงื่อป้อยๆ ทั้งยังส่งสายตาไปให้ไม้ เหมือนจะบอกให้อีกฝ่ายรับช่วงต่อด้วย

เดี๋ยวนะ แค่สารภาพความจริงมันเหนื่อยขนาดนั้นเลยเหรอ

“จำลุงที่พาเอ็งเข้ามาส่งได้ไหม” ไม้ถามพร้อมกับหลบสายตาเมื่อเห็นผมพยักหน้า “แกเข้ามาที่เกาะได้ เพราะพวกเรามีเจ้านายคนเดียวกัน และแฟนนายก็สั่งไว้แล้วให้พาเอ็งกับนายน้อยมาส่งอย่างปลอดภัย”

“เอาล่ะ ผมขออีกคำถามเดียว” ผมยกมือขึ้นห้ามเมื่อเห็นไม้ทำท่าจะพูดต่อ “นายกับแฟนนายที่ว่าชื่ออะไร”

ไม้หันไปมองสบตากับลุงเหมเหมือนจะขอความเห็น และเมื่อเห็นลุงแกพยักหน้า เขาก็หันหน้ากลับมาตอบผมด้วยน้ำเสียงแผ่วเบาที่พร้อมจะปลิวหายไปกับสายลมได้ทุกเวลา แต่น่าแปลกที่มันกลับดังสะท้อนอยู่ในหัวผมชัดเจนจนคิดว่ามีคนมากระซิบอยู่ข้างหู

“คุณภูกับคุณเก้า”

ผิดไปจากที่คิดที่ไหน...

วินาทีที่ได้ยินคำตอบ ราวกับเหตุการณ์ท้ังหมดที่มีลอยกลับมาปรากฏให้เห็นเป็นฉากๆ ตั้งแต่ที่เราหาที่ไปไม่ได้และภามบอกว่าเก้าแนะนำให้มาเกาะนี้ เจอเรือสปีดโบ๊ทแล่นเข้าหาดทั้งที่แถวนั้นไม่น่าใช่ท่าเรือ ลุงคนนั้นพามาถึงเกาะที่เป็นเกาะส่วนตัวได้โดยไม่หวาดกลัว พวกชาวบ้านช่วยกันปิดบังเรื่องการออกจากเกาะ คงมีแค่ดำคนเดียวที่ไม่รู้เรื่องแล้วเผลอบอกผมเข้า ไหนจะตอนที่ไม้พูดเหมือนคุ้นหน้าภามอีก

มันไม่ใช่เพราะเขาเคยเจอภามมาก่อน แต่เขาเคยเจอพี่ชายภามมาก่อนต่างหาก

“นายรู้เรื่องหรือเปล่า” ผมหันขวับไปถามคนข้างกายที่นั่งเงียบอยู่นาน แล้วก็พบว่าภามมองมาอยู่ก่อนแล้ว

“รู้แค่เกาะนี้เป็นของพี่” เขาตอบง่ายๆ “ที่เหลือปะติดปะต่อเรื่องได้เอง”

ถ้าผมรู้ว่าเกาะนี้เป็นของใครก็เดาเรื่องได้หมดเหมือนกันนั่นแหละ

“แล้วทำไมไม่บอก”

“คุณไม่ได้ถาม”

“…”

เข้าใจแล้วว่าเรื่องที่เขาพูดก่อนหน้านี้คืออะไร ที่แท้ก็เห็นเป็นเรื่องสนุกเลยไม่บอกนี่เอง ผมเม้มปากแน่น อยากจะอ้าปากด่าอะไรคนหน้าปลาตายสักสองสามประโยค แต่พอนึกได้ว่าเขาไม่ได้ผิดอะไรเลย ทั้งยังไม่เคยโกหกผมจริงๆ คำด่ามันก็หลุดออกมาไม่พ้นคอ

ตอนนั้นที่ผมบ่นๆ กับภามเรื่องที่ลุงเหมโกหกเราว่าออกจากเกาะได้เดือนละครั้ง ผมเคยถามเขาแบบไม่จริงจังว่าลุงเหมโกหกเราไปทำไม แล้วคำตอบก็คือ...โดนสั่งไว้ มันไม่ใช่ว่าเขาโกหก เรียกว่าตอบตรงคำถามเป๊ะๆ เลยด้วยซ้ำ เป็นผมเองที่โง่ไม่เข้าใจและเดาไม่ออก ไหนจะตอนที่ผมบอกว่าอยากเข้าไปในบ้านนายแล้วเขาพูดเหมือนพาเข้าไปได้อีก แค่คิดถึงภาพตอนตัวเองพูดราวกับภามจะงัดบ้านเข้าไปเป็นโจร ผมก็อยากเอาหัวโขกเสาตายด้วยความอับอายแล้ว

ที่บอกว่าถ้าถามแล้วจะตอบตามความจริง ภามไม่ได้โกหกเลยแม้แต่นิดเดียว

“ไอ้เก้า...” ผมกัดฟันกรอด สาบานว่าถ้าได้เจอกันอีกครั้งจะต้องเตะตูดมันให้ได้ บังอาจวางแผนให้ผมกับภามมาติดเกาะ สร้างเครือข่ายไว้พร้อมเลยนะไอ้เพื่อนเวร ไม่รู้ว่ามันวางแผนไว้ตั้งแต่ตอนไหน

แต่ก็เพราะแบบนั้นถึงได้โล่งขึ้นเยอะ...

บอกตามตรงว่าผมก็ไม่แน่ใจเหมือนกัน ว่าหากเหตุการณ์ทั้งหมดไม่ได้เป็นฝีมือของไอ้เก้า ตัวเองยังจะพูดว่าไม่โกรธได้ไหม เป็นเพราะเรารู้จักกันมานาน แกล้งกันไปมาสารพัด จะบอกว่าเคยชินแล้วก็คงไม่ผิด เพราะผมก็เคยแกล้งมันแรงๆ เหมือนกัน อีกอย่าง...ถ้ามันไม่คิดแผนบ้าๆ นี่ขึ้นมา ผมก็คงไม่ได้เจอชาวบ้าน ไม่ได้เจอเด็กๆ แล้วไม่ได้เจอ...ภาม

เอาเป็นว่าช่างมันแล้วกัน

“เป็นอะไรหรือเปล่า”

หลังจากเห็นภามโบกมือให้ลุงเหมกับไม้เดินออกไปแล้ว ผมก็พุ่งเข้าไปกำคอเสื้อเขาไว้แน่นโดยไม่คิดตอบคำถามที่ดูเป็นห่วงเป็นใยนั่น

“เล่ามาให้หมดเลย”

คนฟังกะพริบตาปริบๆ ใบหน้าปลาตายดูคลับคล้ายคลับคลาว่าจะหัวเราะแต่ก็ไม่ ถึงอย่างนั้นผมก็ยังถลึงตาใส่ เพราะรู้ดีว่าภามกำลังขำอยู่ในใจ แต่คนตัวสูงไม่คิดตอบในทันที เขาเพียงลุกขึ้นยืนแล้วใช้แรงที่มีมากกว่าดึงมือผมให้เดินตามไปโดยไม่คิดอธิบาย

ไม่รู้เหมือนกันว่าภามลากผมเดินมาไกลขนาดไหน รู้เพียงว่าสองขาอันอ่อนแอเริ่มเมื่อยล้ามากขึ้นเรื่อยๆ เพราะเขาเดินจ้ำเอาๆ ไม่รู้จะเดินเร็วไปไหน ซึ่งมันก็เป็นแบบนี้ทุกครั้งเวลาภามเป็นฝ่ายลากให้ผมเดินตาม จนเมื่อทนไม่ไหวอีกต่อไปแล้วผมถึงได้สะบัดแขนตัวเองที่เขาจับกุมไว้เบาๆ เป็นเชิงเตือน เพียงเท่านั้นคนด้านหน้าก็หยุดเท้าแล้วหันมามองทันที

“เหนื่อยเหรอ”

“เหนื่อย...” ผมหน้าตึง อยากทรุดตัวลงไปนั่งเต็มแก่ “ถ้านายจะเดินต่อก็แบกฉันไปแล้วกัน ไม่เดินแล้ว”

ภามเลิกคิ้วเหมือนจะถามว่าแน่ใจนะ ทั้งยังตั้งท่าจะเข้ามาแบกจริงๆ ตามที่ผมประชดไป โชคดีที่ยกมือห้ามไว้ได้ทัน ไม่งั้นเขาต้องทำตามที่บอกโดยไม่มีข้อแม้แน่นอน

รู้หรอกว่าแข็งแรง...แต่ไม่ต้องโชว์มากก็ได้มั้ง

“ยังไม่ถึงเลย”

“นายจะพาฉันไปไหน”

เมื่อเอาความเมื่อยทั้งหมดที่มี หลังจากเดินไปเดินกลับระหว่างท่าเรือกับบ้านนายมารวมกัน พอบวกกับที่โดนลากให้เดินมานี่อีก เรียกว่าเมื่อยอาจจะน้อยไป เพราะแข้งขาเริ่มประท้วงจนต้องทรุดลงน่ังยองๆ จริงๆ แล้ว

“ไปบ้านพี่” ภามตอบเสียงเรียบ

“ไปทำไม”

“คุณอยากเข้าไปดูไม่ใช่เหรอ หรือจะไปนอนที่นั่นเลยก็ได้”

“แล้วของ...” ผมเงียบไปกะทันหันเมื่อเห็นคนตัวสูงย่อตัวลงหันหลังให้ ไม่รู้ด้วยความเคยชินหรืออะไร ผมถึงได้ขยับเข้าไปเกาะหลังเขาไว้โดยอัตโนมัติ ภามลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ใบหน้าด้านข้างดูราบเรียบไม่มีทีท่าว่าจะเหนื่อย เขาจับขาผม ในขณะที่ผมกอดคอเขา พาดคางไว้บนบ่ากว้าง ทุกอย่างดูเป็นธรรมชาติมากจนแม้แต่ตัวเองยังแปลกใจ

“เดี๋ยวค่อยกลับไปเก็บก็ได้”

ที่เขาพูดมันก็เข้าท่าดีอยู่หรอก เกือบหนึ่งเดือนแล้วที่ผมไม่ได้นอนบนเตียงนุ่มๆ ไม่ได้อยู่ในห้องแอร์เย็นๆ ไม่มีไฟฟ้าใช้ แม้แต่น้ำยังต้องกินน้ำขวดที่ไม่ได้แช่ตู้เย็น ถ้าได้เข้าไปอยู่ในบ้านเจ้าของเกาะคงจะสบายขึ้นหลายส่วน อาจจะสบายยิ่งกว่าตอนใช้ชีวิตอยู่ในบ้านตัวเองที่กรุงเทพฯ ด้วยซ้ำ แต่ว่า...

“กลับกันเถอะ”

“…ไม่อยากไปเหรอ”

“อยาก” ผมตอบตามตรง “แต่ตอนนี้ฉันเหนื่อยแล้ว และเพราะเหนื่อย...ถึงอยากกลับบ้าน”

“อีกนิดก็ถึงแล้ว”

“บ้านของเรา”

“…”

ผมไม่รู้ว่าภามทำสีหน้าแบบไหนเพราะรีบหันหน้าออกไปมองทะเลด้านข้างก่อน แต่ก็ยังรับรู้ได้ว่าเขาหันมาจ้อง แม้แต่ขายาวที่กำลังก้าวเดินก็หยุดชะงักตามไปด้วย ผมเผลอขมวดคิ้วเมื่อรับรู้ได้ว่าหัวใจกำลังเต้นเร็วขึ้น และต่อให้อยากผละออกมาเพื่อปกปิดมันไว้ก็คงไม่ทันแล้ว ในเมื่อแผ่นอกของผมแนบติดอยู่กับแผ่นหลังของเขาตั้งแต่แรก

“เข้าใจแล้ว” เสียงพูดแผ่วเบาที่แฝงความยินดีไว้หลายส่วนดังขึ้น พร้อมกันกับที่เจ้าของร่างหมุนตัวเดินตัดเข้าไปในป่า ไม่ได้ตรงไปยังบ้านเจ้าของเกาะอีก ผมฝังหน้าลงกันไหล่ภาม ไม่ได้พูดอะไรต่อ ระหว่างทางกลับบ้านจึงมีเพียงความเงียบที่น่าอึดอัด

“นายยังไม่ได้เล่าเลยนะ” คิดว่าจะลืมเรื่องที่พูดค้างไว้หรือไง

“ตอนแรกผมคิดว่าจะไปเล่าที่บ้านพี่”

“อา…” ผมเงียบไปเพราะคิดว่าภามคงจะรอให้ถึงบ้านก่อนแล้วค่อยตอบคำถาม แต่แล้วก็ต้องผิดคาดเมื่อเขาชะลอฝีเท้าลงให้เดินช้ากว่าเดิม ในเวลาเดียวกันกับที่เริ่มพูดเรื่องของตัวเองออกมาช้าๆ

“เมื่อหลายเดือนก่อน ตอนที่ผมกำลังจะกลับอังกฤษหลังไปเที่ยวมาหลายเดือน เก้าถามว่าหลังจากนั้นจะไปที่ไหนต่อ พอบอกว่ายังไม่ได้วางแผนไว้ เขาเลยแนะนำให้มาที่ประเทศไทย”

โห...มึงวางแผนนานเป็นเดือนเลยเหรอไอ้เก้า

“แล้วไงต่อ”

“พอมาถึงเก้าก็ซื้อตั๋วรถไฟไว้ให้ก่อนแล้ว หลังจากนั้นก็เป็นอย่างที่คุณรู้ เก้าแนะนำให้เรามาที่นี่ เรื่องอื่นๆ ผมไม่รู้ แค่พอจะเดาได้จากสายตาของคนบนเกาะแล้วก็คำพูดหลายๆ อย่าง”

“เดี๋ยวนะ...” ผมยกมือข้างหนึ่งกุมขมับ อีกข้างยังเกาะภามไว้เพราะกลัวตก

จะว่าไปตั๋วรถไฟนี่แม่ก็เป็นคนซื้อให้เหมือนกัน แถมตอนที่จะออกเดินทางแม่ยังให้ไอ้เก้าโทรมาช่วยพูดให้ผมยอมออกมาเที่ยวอีก เท่านี้ก็ชัดเจนแล้วว่าคนสวยร่วมมือกับไอ้เก้า

“อันที่จริงผมคิดว่าคุณจะรู้ตั้งแต่เห็นศาลาแล้ว”

“ทำไม”

“ไม่เห็นจริงๆ เหรอว่าตรงทางเข้าศาลามีชื่อเก้าเขียนอยู่” ภามถามด้วยน้ำเสียงข้องใจหน่อยๆ แต่ทำเอาผมหน้าชา เพราะเป็นคนขี้สังเกต จะไม่เห็นได้ยังไงว่ามีคำว่า ‘อชิรา’ เขียนไว้บนเสาของศาลา

แต่คิดว่าเป็นชื่อศาลาเฉยๆ...

“ไม่ได้นึกถึงเลยสินะ”

“ใครจะไปคิดเล่า” ได้แต่ตอบอุบอิบกลับไปแบบเพลียๆ ถึงจะขี้สังเกตอย่างไร มันก็ไม่อาจลบเลือนความรู้สึกช่างมันเถอะของผมได้อยู่ดี พอเห็นอะไรไม่เข้าใจ ถ้าคิดว่าไม่ใช่เรื่องใหญ่ก็พร้อมลืมและปล่อยมันไปได้ตลอดเวลา นั่นคือสิ่งที่ผมเป็นมาตลอด

“คุณโกรธไหม”

“โกรธ?”

“โกรธที่ถูกหลอกมาที่นี่ ถูกชาวบ้านโกหก แล้วก็ถูกทำให้...” เสียงนั้นชะงักไปครู่หนึ่งเหมือนคนถามกำลังลังเลกับอะไรบางอย่าง แต่สุดท้ายเขาก็ยังตัดสินใจพูดออกมาจนจบประโยค “ถูกทำให้ต้องมาติดอยู่กับผมนานเป็นเดือน”

ผมไม่แน่ใจนักว่าภามพูดด้วยความรู้สึกแบบไหน แต่ตัวเองกลับรู้สึกคันยุบยิบในใจเหมือนจะหงุดหงิดที่ได้ยินคำถามนั้นยังไงก็ไม่รู้ และสุดท้ายก็กลั้นความหงุดหงิดไม่ไหว จนต้องลงมือฟาดไหล่แกร่งของคนที่แบกตัวเองไว้แรงๆ หนึ่งที แม้จะต้องเป็นฝ่ายเจ็บมือเอง ในขณะที่เขาไม่เจ็บเลยสักนิดก็ไม่เป็นไร แค่ได้ลงโทษคนที่กล้าถามคำถามนั้นออกมาก็พอ

“ถ้าจะโกรธก็ต้องโกรธไอ้เก้ามากกว่า มันเป็นตัวต้นเรื่องทุกอย่าง แต่เพราะมันฉันถึงได้มาใช้ชีวิตแบบสบายๆ ที่นี่ แล้วจะโกรธไปเพื่ออะไร”

“…”

“แล้วไอ้ประโยคสุดท้ายนั่นน่ะ ขืนพูดออกมาอีกจะตบปากให้ ถามบ้าอะไรไม่เข้าเรื่อง” ผมทุบไหล่ภามอีกทีด้วยความหมั่นไส้ “มีคนแบกไปแบกมาเวลาเมื่อย ถ้าขี้เกียจก็ร้องหาให้อุ้ม นี่มันความฝันของฉันชัดๆ แล้วจะโกรธหรือไม่พอใจไปเพื่ออะไร”

“…ใจดีจังนะ”

ผมไม่พูดอะไรแต่รีบดิ้นลงจากหลังภามเมื่อเห็นกระท่อมหลังน้อยอยู่ในสายตา พอถูกปล่อยลงมาแล้วก็รีบวิ่งไปที่กระท่อมโดยไม่คิดรอคนที่ช่วยแบกมา จะยังไงตอนนี้สิ่งที่สำคัญที่สุดก็คือหัวใจตัวเอง ขืนอยู่ใกล้เขาแล้วได้ยินเสียงอ่อนๆ พร้อมรอยยิ้มจางนั่นอีกต้องเป็นอันตรายแน่ หนีมาสงบจิตสงบใจก่อนเป็นทางเลือกที่ถูกที่สุดแล้ว

หลังจากท่องยุบหนอพองหนอจนครบสิบรอบ ภามก็เปิดประตูเดินเข้ามาในบ้านพร้อมใบหน้าปลาตายอันเป็นเอกลักษณ์ที่ดูจะแปลกไปจากเดิมเล็กน้อย...แปลกตรงที่เขายังคงมีรอยยิ้มน้อยๆ แปะอยู่บนใบหน้า จนใจที่เพิ่งสงบของผมกลับมาเต้นกระหน่ำอีกรอบ ไอ้ที่ท่องและควบคุมตัวเองไปเมื่อกี้ไร้ประโยชน์โดยสิ้นเชิง

“ปวดหัวหรือรู้สึกไม่สบายตัวหรือเปล่า” เขาถามขณะทรุดตัวลงนั่งด้านข้างผม

“ไม่เป็นไรแล้ว เมื่อยอย่างเดียว”

“ยืดขามาสิ” เขาตบลงบนฟูกเป็นเชิงบอกให้ยืดขาวางลงตรงนั้น ซึ่งผมก็ทำตามโดยไม่อิดออด เพราะเคยชินกับเวลาที่ภามบอกให้ทำนั่นทำนี่ แต่สิ่งที่คาดไม่ถึงคือการที่เขาจับขาผมไปวางพาดบนตักตัวเอง ก่อนจะเริ่มบีบนวดให้ช้าๆ ด้วยน้ำหนักที่ไม่มากเกินไปจนทำให้เจ็บ และไม่น้อยเกินไปจนไม่รู้สึก

“ทำอะไรน่ะ” ผมสะดุ้งจนตัวโยน ตั้งท่าจะดึงขากลับมา แต่คนรู้ทันจับมันไว้แน่น ไม่ให้โอกาสขยับแม้แต่นิดเดียว “ภาม...”

“ไม่เป็นไร”

“แต่…"

“กับคุณไม่เป็นไร” เจอประโยคนั้นเข้าไปใครจะเถียงต่อได้ ผมเม้มปากจนกลายเป็นเส้นตรง มือสองข้างกำฟูกนอนเพื่อระบายความรู้สึกแปลกๆ ที่อธิบายไม่ได้ในใจ

และแน่นอนว่าสุดท้ายก็เผลอเอนตัวลงนอนตามประสาคนรักความสบาย...

“ขึ้นบนหน่อย”

“ตรงนี้เหรอ”

“อือ…” ผมครางฮือด้วยความพอใจ ก่อนจะพลิกตัวนอนตะแคง เอามือเท้าหัวมองคนนวดพร้อมรอยยิ้มชมเชย “นายเก่งมาก”

“ลูกแมวจริงๆ”

ไม่เป็นไร...ไม่โกรธ

(ต่อด้านล่าง)
.
.



หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 10-08-2018 12:01:20





“ถ้าเป็นแมวแล้วจะสบายขนาดนี้นะ ฉันยอมเป็นแมวตั้งนานแล้ว” เจอแบบนี้ให้นอนเฉยๆ ทั้งวัน กลิ้งไปกลิ้งมาไม่ต้องลงจากเตียงก็โอเค สวรรค์ชัดๆ

“ถ้าไม่ใช่แมวของผมก็ไม่สบายแบบนี้หรอก” เสียงของคนที่กำลังบีบนวดให้ดังขึ้นในขณะที่ผมกำลังเคลิ้ม ปากเลยเผลอขยับตอบไปโดยไม่รู้ตัว

“ก็แมวของนายไง”

“หึหึ”

ฝ่ามือที่กำลังบีบนวดหยุดชะงักลงอย่างตั้งใจราวกับต้องการให้ผมทบทวนคำพูดของตัวเอง และมันก็ได้ผลมากด้วย เพราะแค่ความสบายหายไป สติสตังที่ใกล้หลุดลอยไปเต็มทีก็กลับคืนมาอย่างรวดเร็ว ผมรับรู้ได้ถึงความร้อนบนใบหน้าตัวเอง และมั่นใจว่าแก้มสองข้างต้องกลายเป็นสีแดงก่ำแล้วแน่นอน ซึ่งสายตาที่ภามจ้องมองมาก็เป็นคำตอบที่ชัดเจนว่าผมคิดถูก

“ลืมไปให้หมดเลย” ผมออกคำสั่งไม่เต็มเสียงนัก พร้อมกับชักเท้าออกมาวางไว้บนฟูกเหมือนเดิม เมื่อเริ่มรู้สึกได้ถึงความไม่ปลอดภัย

“จะลืมยังไง เพิ่งพูดไปไม่ถึงนาที”

“งั้นให้อีกนาที ลืมไปให้หมดเลย” หลังพูดในสิ่งที่เป็นไปไม่ได้จบแล้ว ผมก็พลิกตัวไปอีกด้านแล้วดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมตัวไว้ทันที

“จะนอนแล้วเหรอ ยังไม่ได้อาบน้ำกินข้าวเลยนะ”

“นอนพักแป๊บเดียว”

“อีกไม่นานก็มืดแล้ว เดี๋ยวค่อยนอนทีเดียว” คนที่อยู่ด้านหลังยื่นมือมาหา แต่ผมที่แอบหันไปมองกลิ้งตัวหลบไปด้านข้าง พันตัวเองกับผ้าห่มจนกลายเป็นก้อนซูชิที่โผล่ออกมาแค่หัวได้ทันเวลา

“ขอนอนก่อน”

“เดี๋ยวค่อยนอน” ภามยังยืนยันคำเดิม สีหน้าปลาตายคล้ายอ่อนอกอ่อนใจอยู่ไม่น้อย เขายื่นมือมาแกะผ้าห่มออก แต่เพราะผมทับมันไว้อีกฝ่ายเลยแกะไม่ได้

“ไม่ไหวแล้วจริงๆ ดูดิ ตาจะปิดแล้วเนี่ย” ผมพยายามทำหน้าให้ดูน่าสงสาร เพราะรู้ดีว่าถ้าภามจะเอาจริงขึ้นมา กับแค่การแกะตัวผมแล้วลากไปอาบน้ำกินข้าวเป็นเรื่องง่ายมาก “วันนี้มีแต่เรื่องให้ตกใจจนปวดหัวไปหมดแล้ว”

“คุณเพิ่งบอกว่าไม่เป็นไรแล้ว”

เบื่อคนจำแม่น...

“ตอนนี้เป็นแล้วไง ขอนอนหน่อยนะ”

หลังจากออดอ้อนบวกโกหกหน้าตายอยู่นาน ในที่สุดคุณชายก็ยอมถอนหายใจแล้วพยักหน้า ผมแทบจะหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี แต่เพราะยังต้องรักษาท่าทีน่าสงสาร เลยทำได้แค่แอบยิ้มแล้วหลับตาปี๋เหมือนกลัวภามเปลี่ยนใจ แม้จะได้ยินเสียงพูดว่าลูกแมวอะไรสักอย่างก็ไม่สนใจ

ขณะที่กำลังตกอยู่ในห้วงของความฝัน อยู่ตรงใจกลางระหว่างการหลับและการตื่น ผมรับรู้ได้ถึงสัมผัสแผ่วเบาแสนอบอุ่นที่แตะลงบนแก้ม มันเป็นสัมผัสอันแสนคุ้นเคยของปลายนิ้วกร้านซึ่งชอบถือโอกาสเอามาแตะหน้าผมบ่อยๆ แต่สิ่งที่น่าแปลกคือผมดันชื่นชอบสัมผัสนั้น ชอบมากจนต้องเผลอเอาหน้าไปคลอเคลียอยู่บ่อยครั้ง จนกว่าเจ้าของมันจะยอมวางทั้งมือลงมาเพื่อส่งผ่านความอบอุ่นและความสบายใจมาให้

“คุณกำลังจะทำให้ผมเคยตัว” เสียงแผ่วเบาของเจ้าของมือกระซิบอยู่ที่ข้างหู ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดแก้มจนผมต้องเอียงหน้าหลบ ทั้งที่ตายังปิดสนิทไม่อาจฝืนลืมขึ้นมาได้

“ฮื่อ…”

นายก็ทำให้ฉันเคยตัวเหมือนกันนั่นละ ทำให้สบายจนเคยตัว ทั้งตามใจ ทั้งดูแล ทั้งอุ้ม ทำให้ทุกๆ อย่างเท่าที่ฉันต้องการให้ทำ แล้วแบบนี้ถ้าต้องกลับไปใช้ชีวิตในแบบของหมอเจไดจะทำยังไง

“ยังไม่หลับเหรอ” น้ำเสียงของภามแลดูแปลกใจไม่น้อย คงเพราะเห็นผมทำท่าเหมือนหลับแต่กลับขมวดคิ้ว ทั้งยังส่งเสียงอืออาตอบรับ ไม่ได้เงียบแบบที่ควรเป็น

“อือ”

“ไม่นอนหรือไง”

“นอน”

ทันทีที่ฝืนตอบออกไปเป็นคำพูด สัมผัสที่เกลี่ยอยู่บริเวณแก้มก็ละออกไป ผมลืมตาพรึบพร้อมๆ กับที่ผุดลุกขึ้นนั่ง หงุดหงิดทั้งที่ไม่ได้นอนและโดนขัดใจ ส่วนเขาทำหน้างงไม่หาย เหมือนยังไม่เข้าใจว่าผมโกรธอะไร

“เป็นอะไร”

“เอามือมานี่” ผมแบมือ จ้องหน้าภามอย่างเอาเรื่อง ไม่คิดจะตอบคำถามนั้นด้วย รอจนเขาเอามือตัวเองมาวางทับไว้แล้ว ผมก็รีบกุมมือนั้นไว้ราวกับกลัวว่ามันจะหายไป เสร็จแล้วก็ล้มตัวลงนอนเอาหน้าซุกมืออุ่นๆ นั่นทันที

ภามจ้องหน้าผมเหมือนยังไม่เข้าใจเรื่องราว แต่สุดท้ายเมื่อเขาเบนสายตามามองมือตัวเองที่ผมเอาซุกแก้มไว้ ดวงตาว่างเปล่าคู่นั้นก็พราวระยับ มุมปากยกขึ้นเป็นรอยยิ้มรอบที่เท่าไหร่ก็ไม่รู้ของวัน

“ไม่หลับตาเหรอ” เสียงราบเรียบที่ดูอบอุ่นแบบแปลกๆ เอ่ยถาม

“กำลังมองไม่ให้นายเอาของของฉันไป”

“ของ?” เขาทำหน้างง ก่อนจะเลิกคิ้วขึ้นเล็กน้อยเมื่อผมกำของในมือแน่นขึ้นเป็นคำตอบ “มือผม?”

“ตอนนี้เป็นของฉัน”

ในช่วงเวลาที่อากาศหนาวเย็นแบบนี้ อะไรจะดีไปกว่าอุณหภูมิร่างกายของคนอื่นกัน ถ้าไม่ติดว่ายังไม่ได้อาบน้ำ ผมคงสั่งให้เขาลงมานอนด้วยแล้วกอดร่างอุ่นๆ นั่นไว้ทั้งตัวแบบหน้าด้านๆ ไปแล้ว ถึงรู้ว่าใจจะต้องเต้นแรง แต่พอเริ่มชินขึ้นมาเมื่อไหร่ มันจะต้องรู้สึกดีมากๆ เแน่นอน

เพราะเคยแอบทดสอบมาแล้วตอนภามหลับ...

“นับวันคุณยิ่งเหมือนแมวมากขึ้นทุกที”

ผมไหวไหล่ไม่สนใจ สองตาปิดลงโดยไม่คิดต่อปากต่อคำ

อย่างที่เคยบอก...

ถ้าเป็นแมวแล้วสบายขนาดนี้ ผมเป็นแมวก็ได้ หมอเจไดเป็นคนง่ายๆ อยู่แล้ว



——————————




ตรงส่วนนี้ขอพื้นที่อธิบายนิดนึงนะคะ เพราะอาจมีหลายคนคิดว่าสิ่งที่เก้าทำมันคือการยุ่งมากเกินไป(อันนี้จริง) แล้วก็เป็นการบังคับเพื่อนแบบที่เพื่อนไม่ได้ต้องการ(อันนี้ไม่ใช่น้า)

อันที่จริงส่วนตัวเราไม่ได้มองว่าสิ่งที่เก้าทำมันคือการบังคับนะคะ เก้าวางแผนกับแม่เจไดให้คนสองคนได้เดินทางไปด้วยกันเพราะรู้ดีว่าทั้งคู่ต่างต้องการเพื่อนและไม่ควรอยู่คนเดียว
 วางแผนกับคนที่เกาะ บอกว่าถ้าพวกนั้นมาแล้วให้โกหก จะได้กักให้ทั้งคู่อยู่ด้วยกัน เรื่องโกหกอันนี้เป็นไปได้ที่จะโกรธ แต่ก็โกรธเพราะเรื่องนี้ได้อย่างเดียวแหละ ซึ่งก็อย่างที่เจไดบรรยายบอกว่าตัวเองกับเก้าชินแล้วเรื่องแกล้งกัน อีกอย่างคือดันมารู้ความจริงตอนที่ผูกพันกับทุกอย่างไปแล้วเลยไม่ได้อะไรเท่าไหร่

ประเด็นคือเก้าทำเพื่อช่วย จะโกรธก็ไม่ลง
ถ้าใครจำได้น้องภามเคยบอกว่าถ้าเจไดไม่แก้ความรู้สึกที่เป็นอยู่(ความว่างเปล่า) เจไดจะแย่ ก็หมายถึงแบบนี้แหละค่ะ บางทีเจไดอาจกลายเป็นโรคซึมเศร้า หรืออาจกลายเป็นพวกเข้าสังคมไม่ได้ อะไรพวกนี้เป็นไปได้หมด แม่กับเก้าเองก็เห็น เลยตกลงกันว่าจะทำแบบนี้

แต่อย่าลืมว่าทั้งนี้ทั้งนั้นเจไดเลือกเองทุกอย่าง เลือกจะตามภามไป ซึ่งภามก็เลือกไปตามที่ที่เก้าแนะนำเอง ดังนั้นทุกอย่างที่เกิดขึ้นบนนั้น นอกจากที่โดนชาวบ้านโกหกว่าเรือออกเกาะได้เดือนละครั้ง ที่เหลือคือพวกเขาทั้งคู่เลือกเองหมดเลยนะ

บางคนอาจจะไม่ชอบเก้าไปเลยเพราะยุ่งไปหมด แต่จริงๆ เราคิดถึงเหตุผล พยายามใส่ความเป็นเหตุเป็นผลลงไปในเรื่องนะ ถึงบางอย่างจะดูเป็นไปได้ยากก็ตาม (อันที่จริงถ้าบางคนจะคิดว่าเราใส่เก้ามาเป็นสีสันเฉยๆก็ได้นะ แต่ความจริงเราก็แอบคิดเหตุผลด้วยเหมือนกันตอนเขียน)

ตัวละครเก้าถูกวางคาแรกเตอร์มาตั้งแต่ไนโตรเจนให้มีนิสัยแบบนี้ ตอนที่จะหาเรื่องให้เจไดไปติดเกาะ เราคิดว่ามันต้องมีตัวกระทำ ไม่ควรให้เจไดยอมแบบลอยๆ ต้องมีเหตุผลสักนิดก่อน ก่อนที่มันจะกลายเป็นความรู้สึกอยากอยู่ต่อด้วยตัวเอง แล้วโชคร้ายที่เก้าดันมีนิสัยนั้น และที่สำคัญคือเราต้องการให้ ‘พี่ชาย’ ของภามมีส่วนเกี่ยวข้อง ถ้าใครได้อ่านไนโตรเจนมาคงเห็นว่าภามกับพี่ภูรักกันมาก และในเรื่องนี้ก็มีใส่ให้เห็นอยู่บ้างเหมือนกันว่าภามรักพี่ภูขนาดไหน

แต่ด้วยคาแรกเตอร์พี่ภูมันไม่เข้ากับบทบาทที่เราอยากมอบให้ หน้าที่นั้นเลยตกไปเป็นของเก้าที่เป็นแฟนพี่ภูและเป็นเพื่อนเจไดแทนค่ะ (รู้จักทั้งสองฝ่าย)

ทั้งนี้ทั้งนั้นเราไม่ได้ต้องการอธิบายให้คนที่หมั่นไส้เก้าและหาว่ามันเผือกเกินรู้สึกชอบมันมากขึ้นนะ
เราแค่อยากอธิบายที่มาที่ไป อยากให้ทราบว่าที่เขียนไปต้องการสื่ออะไร เพราะโดนส่วนตัวก็ค่อนข้างคิดเยอะเรื่องเหตุผลของการกระทำต่างๆของตัวละคร ชอบให้ทุกการกระทำมีที่มาที่ไปค่ะ

อันที่จริงเราก็หมั่นไส้เก้าเหมือนกัน ซึ่งก็ต้องการให้เป็นแบบนั้นแหละ แต่พออ่านเรื่องของมัน เห็นว่ามันคิดอะไรอยู่ แล้วมันเป็นเด็กบ้าบอขนาดไหน ก็อยากให้ทั้งหมั่นไส้แล้วก็รักมันไปด้วยนะ
 
ส่วนใครที่บอกว่าเจไดอาจจะนิสัยแบบนี้เลยไม่โวยวาย ใช่ส่วนหนึ่งค่ะ แต่อยากบอกว่าจริงๆ เจไดก็แสบไม่แพ้เก้าหรอกนะ
แสบขนาดไหนติดตามได้ในเล่มนะ อิอิ (แอบขายของ)

ขอบคุณสำหรับทุกความเห็นเลยค่ะ //โค้ง




TALK : หมอเจไดเป็นคนง่ายๆ กากๆ แบบนี้แหละ... เรื่องนี้ไม่มีมาม่าให้กินค่ะ เก็บหม้อได้เลยยย อยากให้ทุกคนอ่านอนาคินแล้วรู้สึกผ่อนคลายเหมือนตอนที่เราเขียนนะ ตอนเขียนเรื่องนี้เราแฮปปี้มาก รู้สึกเหมือนได้พักผ่อน อยากไปเที่ยวมากกกก ใครที่กำลังเหนื่อยหรือท้อแท้ หวังว่าน้องภามกับนังหมอจะช่วยให้รู้สึกดีขึ้นมาได้บ้างนะคะ : )
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 10-08-2018 12:03:03
-19-


ผมตื่นมาตอนเช้าด้วยความรู้สึกสดชื่นจนถึงขีดสุด ตานี่ใสปิ๊งจนไม่รู้จะใสยังไง หันไปมองนาฬิกาบอกเวลาเพิ่งจะหกโมง สงสัยว่าจะนอนนานไปหน่อยเลยตื่นมาเช้าขนาดนี้ได้ แต่สิ่งที่ผิดปกติคืิอท้องที่ร้องโครกครากไม่หยุด หิวมากจนต้องเอามือลูบท้องป้อยๆ และมันทำให้ผมนึกขึ้นได้ว่าเมื่อวานไม่ได้กินอะไรเลยในช่วงเย็น จำได้ว่าจะงีบสักชั่วโมงแล้วค่อยลุกไปกินข้าวอาบน้ำ แต่เหมือนจะหลับยาวยันเช้า

แล้วทำไมภามไม่ปลุก...

“ภะ…” ผมหุบปากฉับเมื่อสายตาหันไปเห็นร่างของคนตัวสูงนอนฟุบอยู่ข้างฟูก ถึงจะมีมุ้งช่วยกันยุงไว้ได้ แต่ท่านอนของเขาไม่ได้ดูสบายเลยสักนิด ยิ่งเมื่อมองเห็นว่าฝ่ามือใหญ่ข้างหนึ่งถูกผมจับไว้แน่น ความรู้สึกผิดก็ยิ่งท่วมท้นหัวใจ

เมื่อวานนอกจากจะนวดขาให้ผมจนหลับไปแล้ว ท่าทางเขาคงไม่อยากปลุกเพราะเห็นผมหลับสบาย ทั้งยังเสียสละมือให้จับไว้จนถึงเช้าด้วย ดูจากเสื้อผ้าแล้วยังเป็นชุดเดิมอยู่เลย เราคงไม่ได้อาบน้ำกันทั้งคู่ และภามก็น่าจะยังไม่ได้กินอะไรเลยเหมือนกัน

ผมปล่อยมือเขาออก พยายามอย่างยิ่งไม่ให้เกิดเสียงหรือขยับตัวแรงจนอีกฝ่ายตื่น ก่อนจะเอาผ้าห่มที่ใช้คนเดียวมาทั้งคืนไปห่มให้เขา ใจจริงอยากดันให้ขึ้นไปนอนบนฟูกดีๆ ด้วย แต่ถ้าทำแบบนั้นคนที่มีความรู้สึกไวอย่างภามต้องรู้สึกตัวแน่ๆ คิดได้ดังนั้นผมเลยค่อยๆ คลานออกจากมุ้งนอนโดยระมัดระวังทุกท่วงท่า ท้ายที่สุดก็ออกมายืนอยู่ด้านนอกจนได้

สิ่งแรกที่ผมทำเมื่ออกมาจากมุ้งแล้วคือการเดินไปคว้าตะเกียงที่ตั้งอยู่มุมห้องมาถือไว้ ตอนนี้ฟ้ายังไม่สว่างมากนัก ถ้าจะเดินไปบ้านน้าต้อยโดยไม่ถือตะเกียงไปด้วย ผมคงเป็นบ้าตายก่อน เพราะทุกครั้งที่ต้องไปไหนมาไหนมักจะมีภามไปเป็นเพื่อนเสมอ จะบอกว่านี่เป็นครั้งแรกที่ผมจะเดินไปที่อื่นโดยไม่มีภามไปด้วยก็ไม่ผิดนัก

เขาอยากกินอะไรนะ...

โชคดีที่อย่างน้อยเวลาหกโมงก็ไม่ได้มืดมิดมากเกินไปนัก ถึงอย่างนั้นผมก็ยังหาเรื่องมาคิดเรื่อยเปื่อยเพื่อดึงความสนใจของตัวเองออกจากอะไรที่ไม่ดี จวบจนเดินมาถึงบ้านน้าต้อยแล้วถึงโล่งอก เพราะน้าแกตื่นมานั่งตำอะไรบางอย่างบนแคร่ไม้หน้าบ้านตั้งแต่เช้า

“น้าต้อย”

“อ่าว...ตื่นแล้วเหรอจ๊ะ” น้าต้อยเงยหน้ามองผมแล้วยิ้มกว้าง มือกวักเรียกให้เดินไปนั่งลงข้างกัน ทำให้ผมได้เห็นว่าแกกำลังตำน้ำพริกอยู่ ดูจากหน้าตาแล้วน่าจะเป็นน้ำพริกอ่อง

“น้ำพริกอ่องใช่ไหมครับ ผมเพิ่งรู้ว่าคนใต้ทานกันด้วย”

“น้าก็ชอบหาเมนูนู่นนี่มาปนกันไปเรื่อยแหละจ้ะ พวกเราอยู่ง่ายจะตายไป เดี๋ยวพ่อหมอแบ่งไปทานกับนายน้อยด้วยเลยนะ น้าทำเผื่อไว้เยอะเลย”

“เอาใจกันขนาดนี้ คิดจะแก้ตัวเรื่องที่หลอกผมใช่ไหมเนี่ย” ผมพูดแซวอย่างไม่จริงจังนัก แล้วน้าต้อยแกก็หัวเราะตาม ท่าทางแสดงออกชัดเจนว่าคำตอบคือใช่

“อย่าคิดแบบนั้นสิจ๊ะ แล้วนี่จะมาทำอาหารใช่ไหม”

“ครับ ภามยังหลับอยู่ ผมเลยว่าจะทำไปให้เขากินทีเดียว”

“งั้นมาช่วยน้าทำดีไหม” ว่าจบน้าแกก็ลุกขึ้นยืน ถือถาดที่มีวัตถุดิบในการทำน้ำพริกอ่องไปที่เตาด้วย ผมเห็นแบบนั้นเลยรีบเดินตามไป ไหนๆ ก็ไหนๆ ช่วยน้าต้อยทำแล้วแบ่งไปกินเลยก็ดีเหมือนกัน ภามจะได้ทานอาหารหลากหลายหน่อย เกือบหนึ่งเดือนที่ผ่านมาเขากินแต่ไข่เจียวจนหน้าจะเป็นไข่เจียวอยู่แล้ว

“เดี๋ยวผมจุดเตาให้เอง”

การจุดเตาถ่านกลายเป็นเรื่องง่ายเมื่อได้ทำซ้ำไปซ้ำมาอยู่นาน ผมใช้เวลาอยู่ที่ครัว ช่วยน้าต้อยทำอาหารอยู่เกือบครึ่งชั่วโมง ไม่นานนักน้ำพริกอ่องหน้าตาน่าทานก็ถูกแบ่งมาส่วนหนึ่ง พร้อมกับผัดผักและไชโป๊ผัดไข่ที่ถูกใส่ไว้ในปิ่นโต แค่ได้กลิ่นผมก็ท้องร้องแล้ว

“แล้วนี่จะกลับกันเมื่อไหร่เหรอจ๊ะ” น้าต้อยถามขึ้นมาระหว่างที่กำลังตักข้าวใส่ปิ่นโตให้ผม

“อีกสามวันครับ”

“ไวจังเลยเนอะ”

“นั่นสิ” ผมยิ้มจาง ยังจำภาพตอนวันแรกที่มาถึงที่นี่ได้อยู่เลย เด็กตัวดำสองคนที่วิ่งเล่นอยู่บนหาดแล้วมองมาด้วยสีหน้าหวาดๆ ยามเห็นสภาพของผมกับภามที่เละเทะไม่มีชิ้นดี หรือแม้แต่ชาวบ้านที่มองมาด้วยความตกใจยามเห็นผมกับภามที่มาในฐานะนักท่องเที่ยว “เผลอแป๊บเดียวก็จะครบเดือนแล้ว”

พอคิดแล้วก็ใจหายอยู่เหมือนกัน

“ถ้ากลับไปแล้ว เอาไว้ว่างๆ ก็มาเยี่ยมกันบ้างนะจ๊ะ” น้าต้อยส่งปิ่นโตให้ผมพร้อมรอยยิ้ม

“แน่นอนอยู่แล้วครับ”

ถึงจะไม่รู้ว่าจะว่างตอนไหน แต่สถานที่แห่งนี้คือหนึ่งในความทรงจำที่น่าจดจำของผม ยังไงก็ต้องกลับมาแน่นอน

ขณะที่เดินทางกลับบ้าน ท้องฟ้าก็สว่างจนไม่ต้องพึ่งพาแสงจากตะเกียงแล้ว ผมเดินจ้ำเอาๆ แค่แป๊บเดียวก็มาโผล่อยู่หน้ากระท่อมหลังเล็กในที่สุด ตอนที่เปิดประตูเข้าไป ผมคิดว่าจะได้เห็นภามนั่งพิงผนังกดดูรูปถ่ายในกล้องแบบที่เคยเห็นทุกวัน เพราะปกติเขาจะตื่นช่วงนี้ตลอด แต่ผิดคาด...ไม่รู้ว่าเมื่อคืนนอนดึกขนาดไหน คนที่ตื่นเช้าอยู่เสมอถึงยังนอนหลับสนิทอยู่เช่นเดิม ทั้งยังไม่เปลี่ยนท่าเสียด้วย

จะว่าไปแล้วนอกจากคืนนั้นที่เขานอนดิ้นจนมาถีบผมเข้า คืนต่อๆ มาก็ไม่เห็นว่าเขาจะดิ้นอะไรนะ

“ภาม…" ผมทดลองเรียกคนที่กำลังหลับเบาๆ คิดไว้ว่าถ้ายังไม่ตื่นก็จะรอ ถึงอาหารจะเย็นไปหน่อยแต่ก็ยังกินได้อยู่ เห็นแก่ที่เขาให้ผมยืดฟูกกับมืออุ่นๆ มาทั้งคืน แต่คนที่นอนอยู่ในมุ้งข้างฟูกกลับรู้สึกตัวแทบจะทันทีที่ผมพูดจบ ร่างสูงใหญ่ค่อยๆ ลุกขึ้นนั่งพร้อมขยับออกมาจากมุ้ง ใช้สองตาแดงๆ ปรือปรอยจ้องมองมาที่ผมเหมือนจะถามว่าเรียกทำไม

“…แสบตา” ภามขมวดคิ้ว ตาหรี่ลงข้างหนึ่งเหมือนยังสู้แสงไม่ไหว  พอผนวกรวมกับหัวฟูๆ ที่ดูน่าตลกแล้วก็ทำให้มาดคมเข้มลดลงไปได้ไม่น้อย

“เมื่อคืนนอนกี่โมง”

“น่าจะ...เที่ยงคืน”

“ทำไมนอนดึกขนาดนั้น มันมีอะไรให้ทำด้วยเหรอ” ผมมองหน้าภามด้วยความงุนงง ต่อให้เป็นพวกนอนดึกขนาดไหน แต่ในสถานที่ีที่ไม่มีอะไรให้ทำเลยแม้แต่อย่างเดียว ยังไงก็ต้องพยายามข่มตาหลับอยู่ดี แล้วผมนอนไปก่อนตั้งแต่ฟ้ายังไม่มืดดี เท่ากับภามต้องอยู่เฉยๆ หกหรือเจ็ดชั่วโมงเลยนะ

“มองหน้าคุณ”

“…”

ผมหันไปหยิบปิ่นโตมาแกะออก วางกับข้าวไว้ตรงกลาง ชั้นที่เป็นข้าวสองชั้นยื่นให้ภามชั้นหนึ่งและเป็นของผมอีกชั้นหนึ่ง เมื่อเรียบร้อยแล้วก็ลงมือตักน้ำพริกคำแรกมากินเงียบๆ โดยไม่คิดเรียก แม้จะได้ยินเสียงหัวเราะลอยมาตามลมก็ไม่สนใจ

“นี่คืออะไร” คนอยู่เป็นชะโงกหน้าไปมองน้ำพริกอ่องทั้งที่ยังยิ้มนิดๆ อยู่ ท่าทางน่าหมั่นไส้จนผมอยากจะเข้าไปขยี้หัวฟูๆ นั่นให้เละกว่าเดิม

“เรียกว่าน้ำพริกอ่อง ไม่เผ็ด ลองกินดู”

“อา…” ภามทำตัวว่าง่ายด้วยการตักน้ำพริกเข้าปาก สีหน้าปลาตายคล้ายจะแปลกใจเล็กน้อย ก่อนจะพยักหน้าหงึกหงักแล้วมองผมตาใส “มะเขือเทศ?”

“ใช่”

“ผมชอบกินมะเขือเทศ”

“ชอบก็กินเยอะๆ”

ดูเหมือนภามจะมีความสุขกับการกินอาหารมื้อนี้มากเป็นพิเศษ ไม่รู้ว่าเพราะอดมาตั้งแต่เมื่อคืน หรือเพราะได้กินมะเขือเทศแบบที่ตัวเองบอกว่าชอบกันแน่ คำพูดคำจาและสีหน้าเหมือนเด็กๆ ของคนเพิ่งตื่นทำให้ผมต้องยิ้มจางอย่างอดไม่ได้ ลองมาเห็นสีหน้าภามตอนนี้ ใครไม่ยิ้มก็เก่งเกินมนุษย์แล้ว

หลังจากกินข้าวเรียบร้อยแล้ว ผมก็เอาผ้าทั้งของตัวเองและของภามไปซักตามหน้าที่ที่ไม่รู้ว่าได้รับมาตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เพราะเคยชินกับการนอนหอตอนเรียน ซักผ้ารีดผ้าเอง ไม่ได้จ้างร้านเพราะขี้เกียจเดินลงจากชั้นบน เรื่องแค่นี้เลยจิ๊บจ๊อยมาก

ส่วนภามทำอะไรน่ะเหรอ...

ในช่วงแรกคุณชายผู้ไม่เคยซักผ้าเองเอากล้องมาถ่ายรูปผมตอนทำตัวเป็นแม่บ้าน ต่อมาเริ่มกลายเป็นนั่งจ้องเฉยๆ ชวนคุยบ้างบางเวลา และในส่วนของตอนนี้นั้น...

แชะ!

“คุณตื่นตั้งแต่เมื่อไหร่”

มาครบทั้งถ่ายรูป จ้อง และชวนคุย ที่สำคัญคือถือข้าวที่ยังกินไม่หมดออกมาด้วย

“หกโมง” ผมตอบพร้อมกับขยี้ผ้าไปด้วย “เมื่อคืนนอนยาวไปหน่อย แล้วนายก็ไม่ยอมปลุกด้วย”

“ผมเห็นคุณนอนสบายเลยไม่อยากกวน”

“ใจดีจังนะ ทั้งไม่ปลุกแล้วยังยกมือกับที่นอนให้ทั้งคืนเลย” ว่าแล้วก็เหลือบมองคนใจดีขำๆ แต่นอกจากภามจะไม่ขำแล้ว เขายังตอกกลับจนผมเกือบหน้าหงายด้วย

“แลกกับที่ได้มองหน้าคุณตอนหลับ เห็นคุณส่งเสียงอ้อแอ้แล้วอ้อนเป็นลูกแมว ผมถือว่าคุ้ม”

“อะแฮ่ม...” ผมกระแอมเบาๆ พยายามอย่างยิ่งเพื่ออดกลั้นไม่ให้ความร้อนพุ่งไปที่แก้มทั้งสองข้าง ซึ่งดูเหมือนจะไม่ได้ผลมากนัก “จะว่าไปทำไมนายไม่นอนดิ้นแล้วล่ะ จำได้ว่าวันแรกๆ ยังถีบฉันอยู่เลย”

จู่ๆ เสียงช้อนที่กำลังตักข้าวของอีกคนก็เงียบหายไปกะทันหัน เงียบไปนานจนน่าแปลกใจ ผมเงยหน้ามองภามงงๆ ยิ่งเห็นหน้าตาราบเรียบไร้ความรู้สึกของเขาที่ไม่ได้ดูอารมณ์ดีเหมือนเดิมก็ยิ่งไม่แน่ใจว่าเผลอพูดอะไรผิดไปหรือเปล่า

ก็ไม่นะ...แค่ถามว่าทำไมไม่นอนดิ้นแล้วเอง

“…ฝันร้าย” ภามพูดขึ้นมาเบาๆ ดวงตาคู่คมมองเหม่อไปไกล ราวกับกำลังนึกถึงเรื่องราวบางอย่างอยู่เพียงลำพัง

“…”

“ผมจะนอนดิ้นแค่เวลาฝันร้าย”

ไม่รู้ทำไมเมื่อได้ฟังคำพูดนั้นแล้วผมถึงรู้สึกหน่วงในอกแบบแปลกๆ ไม่แน่ใจว่าเป็นเพราะเสียงแผ่วเบาของเขาหรือเป็นเพราะใบหน้าที่ดูหมองลงนั่นกันแน่ แต่ไม่ว่าจะเพราะอะไรผมก็ไม่ชอบใจทั้งนั้น หากเมื่อคิดอ้าปากพูดกลับไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกไปกันแน่ สุดท้ายเลยได้แต่เม้มปากไว้แน่นแล้วก้มหน้าก้มตาซักผ้าในมือต่อไป

บรรยากาศแบบนี้...ผมไม่ชอบเลย



ถึงแม้วันนี้ท้องฟ้าจะสดใสมากเพียงใด แต่ความอึมครึมกลับตามติดผมมาโดยตลอด ราวกับมีเมฆฝนลอยตามตัว ทำให้อารมณ์ที่ควรดีเพราะได้นอนเยอะหมองหม่นลงตามไปด้วย เพราะไม่รู้ว่าควรทำอย่างไรกับคนที่เอาแต่เงียบ ผมเลยทำได้แค่ฉีกยิ้มแห้งๆ แล้วเอ่ยชวนเขาให้ไปเดินเล่นด้วยกัน ภามพยักหน้าเงียบๆ ไม่หือไม่อือ เหมือนกำลังตกอยู่ในภวังค์ รู้ตัวอีกทีก็เดินมาจนถึงหน้าบ้านเจ้าของเกาะโดยไม่ได้คุยกันแม้แต่คำเดียว

ปกติถ้าต้องเดินไกลขนาดนี้ผมคงรีบหาที่นั่งแล้วบ่นว่าเมื่อย ไม่ก็รีบบอกให้เขาเปิดประตูแล้วเขาไปนอนแหมะอยู่ด้านใน แต่ตอนนี้ความรู้สึกเหล่านั้นกลับไม่มีอยู่เลยในสมอง ใจเอาแต่พะวงคิดถึงเรื่องความรู้สึกของภามจนกังวลไปหมด

“เข้าไปข้างในเถอะ” คนตัวสูงพูดเสียงเรียบ ก่อนจะเดินไปหยุดอยู่หน้าประตูกระจก เขาหยิบกุญแจดอกหนึ่งที่ได้มาจากลุงเหมออกมาจากกระเป๋ากางเกง เมื่อไขเรียบร้อยแล้วก็เดินเข้าไปด้านในอย่างเหม่อลอย ทิ้งให้ผมยืนอยู่ด้านหลังเพียงลำพัง

ฝันร้ายของภามคืออะไรกันแน่...ทำไมถึงทำให้เขาเป็นได้ขนาดนี้

ผมถอนหายใจยาวเหยียด รู้ตัวดีว่าถ้ามันทำให้เขาเป็นได้ถึงขนาดนี้ ไม่ว่าอย่างไรก็ไม่ควรถามออกไป ถ้าภามอยากพูดก็คงพูดออกมาเอง สิ่งที่น่าคิดคือต้องทำอย่างไรเขาถึงจะกลับมากวนตีนผมได้เหมือนเดิมต่างหาก

“ผมจะไปเอาน้ำมาให้” ภามหันมาบอกแล้วเดินหายไปหลังกำแพง ในขณะที่ผมทำได้เพียงนั่งลงบนโซฟารับแขก ไม่มีแม้แต่อารมณ์จะสนใจความสวยงามของสถานที่แห่งนี้

ไม่ใช่ความผิดตัวเอง...แต่ก็เหมือนใช่อยู่ดี

ผมนั่งขัดสมาธิทำหน้าตาเคร่งเครียดอยู่บนโซฟานุ่มที่น่าจะมีราคาพอสมควร พอได้ยินเสียงคนเดินออกมาจากอีกทางแล้วก็รีบเงยหน้ามอง เห็นภามยื่นขวดน้ำเย็นที่ไม่ได้แตะมานานมาให้แบบพอดิบพอดี

“ขอบใจ”

ภามนั่งลงบนโซฟาข้างผมเงียบๆ ไม่แม้แต่จะชวนคุย ทั้งยังไม่หันมามองหน้ากันแบบที่มักทำจนกลายเป็นเรื่องปกติ เป็นผมเองเสียอีกที่อยู่ไม่สุขเพราะเห็นเขาเปลี่ยนไป จนอดก่นด่าตัวเองในใจไม่ได้...

อายุก็ไม่ใช่น้อยๆ แล้วยังควบคุุมอารมณ์ไม่ได้อีก

“ผมเห็นข้างบนมีระเบียง...” ในที่สุดภามก็ทำลายความเงียบด้วยการหันมามองหน้าผม “คุณอยากขึ้นไปดูไหม”

“ไป!” นาทีนี้อะไรก็ได้ทั้งนั้น ขอแค่หลุดจากบรรยากาศแบบนี้ไปได้ก็พอ

เมื่อเห็นว่าภามดูเป็นปกติแล้ว ผมก็โล่งใจตามไปด้วยจนมีอารมณ์มองสำรวจบ้านในที่สุด ด้วยฐานะของครอบครัวภาม ผมคิดว่าเขาน่าจะหาบ้านที่หรูหรามากกว่านี้ได้อีกหลายเท่า แต่คงเพราะเอาไว้พักผ่อนจริงๆ นอกจากด้านนอกที่สวยงามมากๆ แล้ว ด้านในก็ไม่ได้มีของตกแต่งอะไรมากนัก แค่คงสไตล์เรียบหรูและดูแพงเอาไว้

แม้แต่ทางเดินขึ้นชั้นบนก็เป็นเพียงบันไดสีขาวเรียบๆ ไม่มีลูกเล่นอะไร ที่น่าสนใจที่สุดน่าจะเป็นประตูสองบานบนชั้นสอง ซึ่งบานหนึ่งมีสติกเกอร์รูปกีตาร์และไมค์แปะอยู่เต็มไปหมด ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นห้องไอ้เก้าแน่ๆ เพียงแต่ผมไม่คิดว่ามันจะยอมนอนแยกห้องกับพี่ภูนี่สิ ถ้างั้นประตูสีขาวเรียบๆ อีกบาน...

“พี่เคยบอกว่าบ้านทุกหลังของเขาจะมีห้องสำหรับผม” ภามพูดขึ้นมาลอยๆ เสียงดูอ่อนลงหลายระดับ เหมือนจะกลับมาเป็นตัวเองเต็มที่แล้ว แม้แต่บรรยากาศมืดมนก็จางหายไปด้วย จนผมได้แต่ยกมือไหว้พี่ภูอยู่ในใจ อยากจะขอบคุณเหลือเกินที่ช่วยเหลือทั้งที่ไม่ได้อยู่ตรงนี้เลยด้วยซ้ำ

“งั้นนี่คงเป็นห้องนาย” ผมพยักพเยิดไปที่ประตูอีกบาน

“ดูทำหน้า” เจ้าของห้องส่ายหน้าหน่าย มือยกขึ้นขยี้หัวผมเบาๆ โดยไม่ขออนุญาต แต่คงเพราะความอยากรู้อยากเห็นมีมากเกินไป ผมเลยเอาแต่จ้องจะรอให้เขาเปิดประตูอย่างเดียว ไม่คิดหันไปว่าหรือทำหน้าหงิกใส่

เมื่อทนมองสีหน้าของผมต่อไปไม่ไหว ภามก็เปิดประตูเข้าไปด้านในในที่สุด จากที่คิดว่าห้องของเขาจะต้องเรียบหรูและดูดี ผมกลับต้องเลิกคิ้วมองอย่างงุนงง เมื่อเห็นเพียงเตียงใหญ่หนึ่งเตียง ตู้ไม้หนึ่งตู้ โต๊ะเขียนหนังสือหนึ่งตัว ห้องน้ำหนึ่งห้อง ไม่มีของตกแต่งอะไรเลยแม้แต่นิดเดียว กระทั่งโคมไฟประดับหรือแจกันอะไรก็ไม่มี

“ฉันคิดว่าพี่นายจะแต่งห้องให้แบบหรูๆ ซะอีก”

“ปกติผมแต่งเอง”

“หืม” ผมเดินเข้าไปหาภามอย่างสนอกสนใจ เมื่อเห็นเขายื่นกระดาษใบหนึ่งมาให้ บนนั้นไม่มีมีข้อความยาวเหยียดอะไร มีเพียงตัวอักษรภาษาไทยสั้นๆ ซึ่งถูกเขียนด้วยลายมือหวัดๆ ของคนที่ผมคุ้นเคยดี

‘พี่ภูโอนค่าแต่งห้องให้แล้ว บาย’

ไอ้เก้า...

“นายไม่รู้เลยเหรอว่าพี่โอนค่าแต่งห้องให้แล้ว หรือเขาโอนให้ตอนอยู่บนเกาะ” อดหันไปถามด้วยความสงสัยไม่ได้ เพราะถ้าที่นี่สร้างไว้นานแล้ว ภามก็น่าจะรู้สิว่าพี่ชายโอนเงินให้

“ผมไม่เคยเข้าไปดูบัญชีที่พี่โอนเงินให้”

“ทำไมล่ะ”

“แค่เงินตัวเองก็ใช้ไม่หมดแล้ว”

“…”

ต้องรวยขนาดไหนถึงกล้าพูดประโยคนี้

ผมเมินคำพูดเขาแล้วเดินสำรวจรอบห้อง ถึงจะแน่ใจว่าคงไม่มีอะไรน่าสนใจเหลืออยู่แล้ว แต่ก็ยังดีกว่าอยู่เฉยๆ ไม่ทำอะไร จวบจนเมื่อเดินมาถึงประตูระเบียง แสงที่สะท้อนเข้ามาในตาจากช่องว่างเล็กๆ ที่ผ้าม่านแง้มอยู่ก็ทำให้ตื่นเต้นขึ้นมาอีกครั้ง ผมรีบกระชากม่านให้เปิดออก จนได้เห็นสระว่ายน้ำบนชั้นสองที่ไม่ได้ใหญ่เท่าสระชั้นล่าง แต่กลับน่ากระโดดลงไปเล่นแบบสุดๆ นี่ถ้ามีเครื่องดื่มเย็นๆ ไว้จิบขณะแช่น้ำชมวิวตอนค่ำคงเหมือนขึ้นสวรรค์

“มองจนตาจะเป็นรูปดาวแล้ว” เสียงแซวจากคนด้านข้างทำให้ผมรู้สึกตัว หันหน้าไปมองเขาแล้วหัวเราะออกมาอย่างอารมณ์ดี

“ไม่คิดว่าจะมีแบบนี้ด้วย ตอนมองจากบนเขาเห็นแค่เป็นสระว่ายน้ำก็ตื่นเต้นแล้ว ไม่ได้สังเกตเลยว่าแบ่งเป็นสองชั้น”

“พี่คงอยากให้เก้าเอาไว้ผ่อนคลาย”

นั่นสินะ...ถึงจะไม่ได้ทำงานทางสายดนตรีตามที่เรียนมา แต่ไอ้เก้ามันก็ยังเล่นกีตาร์อยู่เป็นประจำ อารมณ์ศิลปินคงเกิดง่ายขึ้น หากมีสถานที่สวยๆ บรรยากาศดีๆ แบบนี้เป็นตัวช่วย

“แล้วนายล่ะ”

“ผม?”

“ใช่ นายชอบสถานที่แบบนี้หรือเปล่า” ผมเดินไปทรุดตัวลงนั่งเอาเท้าจุ่มน้ำอยู่ริมสระ พร้อมหันไปกวักมือเรียกอีกคนให้มานั่งลงข้างกัน ภามชะงักอยู่แค่แป๊บเดียวก็เดินมาหาผมตามคำเรียก

“ชอบสิ”

“ฉันคิดว่านายจะชอบแต่อะไรที่เป็นธรรมชาติ”

“หืม”

“ก็สระนี่มนุษย์สร้างไง คิดว่าจะชอบอะไรที่เป็นธรรมชาติอย่างเดียวซะอีก พวกทะเล น้ำตก ภูเขา อะไรพวกนี้” ขนาดถ่ายรูปคนยังไม่ชอบเลยนี่นะ ถ้าบอกว่าไม่ชอบสระว่ายน้ำแบบนี้เหมือนกันผมก็ไม่แปลกใจหรอก

“ผมเคยบอกคุณแล้วว่ามีข้อยกเว้น” ภามพูดขึ้นลอยๆ น้ำเสียงดูเป็นปกติมากจนผมคิดว่าเขาอาจลืมเรื่องฝันร้ายไปแล้ว “ก็เหมือนที่คุณเป็นข้อยกเว้นในการถ่ายรูปของผม สระว่ายน้ำเองก็เป็นข้อยกเว้นเหมือนกัน”

“ไม่ได้เกี่ยวกันเลย” ผมหันไปผลักไหล่ภามด้วยความหมั่นไส้ จับนู่นจับนี่มาเชื่อมกันมั่วไปหมด ดูก็รู้ว่าจงใจพูดเพราะอยากแกล้งชัดๆ

“หึ” เขาหัวเราะเบาๆ ไม่ได้ปฏิเสธอะไร “ถ้าไม่นับกลิ่นคลอรีนก็โอเคอยู่”

“รู้ไหมทำไมฉันอยากเป็นหมอ”

ภามหันหน้ามามองผม ดูท่าทางงุนงงไม่น้อยที่จู่ๆ ก็ถูกถามเรื่องนี้ แต่สุดท้ายเขาก็ส่ายหน้าให้เป็นคำตอบ

“ไม่รู้”

“ตอนเด็กๆ ฉันเคยจมน้ำมาก่อน” ยังจำกลิ่นและรสชาติของคลอรีนในสระได้อยู่เลย แค่คิดก็อยากสำลักแล้ว “มารู้สึกตัวตอนที่ถูกพ่อปั๊มหัวใจพอดี ตอนนั้นฉันโคตรเจ็บเลย ทรมานจนแทบบ้า”

“เพราะสำลักเหรอ”

“เปล่า เพราะพ่อปั๊มหัวใจนั่นแหละ ปวดอกไปหมด”

“…”

“ตั้งแต่นั้นก็คิดมาตลอดว่าอยากเป็นหมอ แม้ว่าตอนโตขึ้นจะรู้แล้วว่าหมอรักษาตัวเองไม่ได้ก็ตาม” ผมหัวเราะให้กับความคิดแบบเด็กๆ ของตัวเอง จำได้ว่าตอนนั้นพ่อชอบซื้อชุดของเล่นคุณหมอให้เล่นอยู่แล้วด้วย พอประกอบกับมาจมน้ำเลยยิ่งอยากเป็นเข้าไปใหญ่ “ฉันคิดว่าโตขึ้นจะต้องเป็นหมอให้ได้ เวลารักษาตัวเองจะได้ไม่เจ็บ ไม่รู้ว่าเมื่อไหร่ที่มันกลายเป็นเป้าหมายเพียงหนึ่งเดียวที่มี รู้ตัวอีกทีก็กลายเป็นหมอเด็กไปแล้ว”

“พ่อแม่คุณรู้เรื่องนี้ไหม” ภามถามด้วยสีหน้าปลาตาย อีกนิดจะเหมือนศพอยู่แล้ว

“รู้สิ ตอนได้ยินแม่เกือบเป็นลม” ตอนนั้นแม่ผมบ่นปวดหัวซ้ำไปซ้ำมาอยู่หลายวัน ส่วนพ่อเงียบกริบไปนานหลายนาที คงไม่คาดคิดว่าผมในวัยเด็กจะเอ๋อได้ขนาดนั้น

“สมควรอยู่”

“เล่าเรื่องนายบ้างสิ” ผมยกขาข้างหนึ่งขึ้นพาดบนขอบสระแล้วหันไปหาเขาทั้งตัวเพื่อให้มองหน้ากันได้สะดวกขึ้น “อะไรก็ได้ พูดมาเลย”

“คุณอยากรู้เรื่องผม?”

“ก็...คงใช่” ทำไมฟังรูปประโยคคำถามแล้วมันรู้สึกแปลกๆ วะ จะกลับคำก็ไม่ทันแล้วด้วย

“ผมชื่อภาม...”

“เป็นประโยคเริ่มต้นที่ห่วยมาก” ประโยคต่อไปต้องบอกชื่อจริงกับนามสกุลแน่ๆ ผมแอบขมวดคิ้ว ในขณะที่ภามเอียงคอสงสัยเหมือนไม่เข้าใจว่าพูดผิดตรงไหน

“ผมชอบกินไข่เจียว ชอบกินมะเขือเทศ ชอบถ่ายรูป ชอบเดินทาง แล้วก็ชอบ...”

“พอเลย” ผมรีบยกมือห้ามแล้วมองภามตาขวาง บอกให้เล่าเรื่องตัวเองก็เอาของที่ชอบมาเป็นแถบ ไม่มีข้อมูลอะไรให้ล้วงความลับเลย “ปล่อยให้นายพูดว่าชอบอะไรบ้างคงต้องใช้เวลาทั้งวัน”

“แล้วก็ชอบคุณ”

“ยังไม่...” อะไรนะ

“แล้วก็ชอบคุณ” ภามพูดย้ำด้วยสีหน้าปลาตายไม่เปลี่ยนแปลง เป็นผมเองที่หน้าแทบไหม้เพราะอับอายแทนคนหน้าหนา

“นายจะพูดบ่อยแบบนี้ไม่ได้นะภาม”

ไม่มีใครเคยบอกเหรอว่าเวลาสารภาพรักหรือจะจีบชาวบ้าน คนส่วนใหญ่เขาจะพูดแค่ครั้งเดียวตอนสารภาพ หลังจากนั้นจะพูดอีกทีก็ตอนที่ใจตรงกันไปแล้ว หรือไม่ก็แตกหักไปเลย

ช่วยอย่าเล่นนอกตำราจะได้ไหม แค่นี้ก็รับไม่ทันแล้ว

“ผมแค่ตอบคำถาม” เขาพูดด้วยความมั่นใจ

“โอเค ฉันผิดเอง”

“ผมไม่ได้ว่าคุณผิด”

“เปลี่ยนเรื่องกันไหม” ผมยกมือยอมแพ้ น้อมรับความผิดพลาดและทุกสิ่งไว้ที่ตัวเอง ยังไงก็เถียงไม่ออกอยู่แล้ว ขออนุญาตเปลี่ยนเรื่องกันหน้าด้านๆ น่าจะเป็นหนทางที่ดีที่สุด

“ผมแล้วแต่คุณ” ต้องขอบคุณไหมที่ยอมพยักหน้าตามน้ำ

“ถ้าออกจากเกาะแล้ว นายจะนั่งรถไฟเข้ากรุงเทพฯ พร้อมฉันหรือเปล่า” ครั้งหนึ่งภามเคยบอกผมว่ายังไม่มีแผน แต่ตอนนี้เหลือเวลาอยู่แค่ไม่กี่วัน เขาน่าจะคิดเอาไว้แล้วแต่ยังไม่ได้พูดออกมา

“ผมคงไปภูเก็ตก่อน”

“อา…”

คงต้องไปหาพี่ชายกับไอ้เก้าที่ภูเก็ตสินะ จะว่าไปแล้วพอพูดถึงเรื่องนี้ก็อดใจหายไม่ได้ ผมรีบสะบัดหน้าทิ้งความรู้สึกแปลกๆ ในใจออกไปแล้วหาเรื่องคุยต่อ

“ถ้ามีเวลาฉันก็อยากไปภูเก็ตเหมือนกัน ไอ้เก้าชวนไปตั้งหลายรอบแล้วไม่มีโอกาสเสียที”

“ถ้าคุณว่างผมจะพาไป”

“พูดเหมือนนายจะอยู่กับฉันไปตลอดงั้นแหละ” ผมพูดติดตลก นักเดินทางอย่างเขาจะออกเดินทางตอนไหนก็ไม่รู้ ไม่แน่หลังจากกลับไปภูเก็ตแล้วภามอาจจะเดินทางไปที่อื่นต่อเลยก็ได้

“คุณจำที่ผมพูดไม่ได้สินะ”

“หือ”

ภามถอนหายใจเมื่อเห็นผมทำหน้างง ใบหน้าปลาตายดูเหนื่อยหน่ายอย่างเห็นได้ชัด

“ความจำสั้นจริงๆ...”

“อย่าบ่นมากน่า ฉันเป็นพวกโง่ทุกเรื่องยกเว้นเรื่องเรียนอยู่แล้ว” ผมถอนหายใจตามไปด้วย นี่ถ้าไม่ใช่ตัวเองก็อยากจะด่าอยู่เหมือนกันว่าจะบื้ออะไรปานนั้น

“คุณเป็นพวกไม่เชื่อเรื่องความบังเอิญ โลกกลม พรหมลิขิต อะไรพวกนั้นสินะ”

“จะบอกว่าไม่เชื่อก็ไม่เชิงหรอก” ก็ตอนเจอเขาข้ามถนนกับบนรถไฟผมยังก่นด่าความโลกกลมอยู่เลยนี่นะ แต่จะว่าเชื่อก็คงไม่ใช่อีก “ฉันเป็นพวกมองแค่สิ่งที่เห็นอยู่ตรงหน้าน่ะ...อย่างที่เจอนายบนรถไฟก็คิดอยู่เหมือนกันว่าโลกกลม แต่ถ้าจะให้คาดเดาอนาคตแล้วเชื่อว่าอีกสิบปีโลกจะกลมจนได้มาเจอกันอีกก็คงไม่ใช่”

จะบอกว่าผมเป็นพวกอยู่กับปัจจุบันก็ได้...ยกเว้นที่ชอบพร่ำเพ้อเรื่องหุ่นของตัวเองในอดีตไว้หนึ่งเรื่อง

“สรุปว่าต้องเห็นจะๆ หรือรู้เรื่องอะไรแบบตรงๆ ถึงจะเข้าใจ” ภามทำหน้าเนือย “ว่าง่ายๆ คือเป็นพวกที่ถ้าพูดอ้อมๆ ใส่จะไม่รู้เรื่องอะไรกับเขาเลยสักอย่าง”

“อย่าพูดเหมือนฉันโง่มากได้ไหม อย่างน้อยฉันก็รู้ว่าชาวบ้านบนเกาะโกหกนะ” ผมเถียงข้างๆ คูๆ พยายามเรียกร้องความฉลาดให้ตัวเองอย่างสุดความสามารถ

“คุณใช้เวลานานมาก ถ้าเป็นคนอื่นคงรู้นานแล้ว”

“ฉันแค่ไม่ได้ใช้ชีวิตร่วมกับคนเยอะๆ มานานเกินไปหน่อย”

“ผมก็ว่างั้น...ชีวิตคุณคงติดอยู่กับงานมากเกินไป” เขาพยักหน้าเห็นด้วย “ดีแล้วที่มาเที่ยวบ้าง ถึงจะไม่ได้ทำให้เข้าใจอะไรง่ายขึ้นก็เถอะ”

ผมหน้าหงิกแทบจะทันทีที่ภามพูดจบ ในใจเริ่มวางแผนถีบคนตกน้ำเงียบๆ

“ถ้ารู้แล้วเวลามีอะไรก็พูดกันตรงๆ แล้วถ้าจะให้ดีช่วยเรียกชื่อกันด้วยจะดีมากเลย ไหนว่าไม่ได้จำชื่อฉันไม่ได้แล้วก็ไม่ได้ไม่อยากจำไง”

“…ต้องเรียกด้วยเหรอ”

“นี่นายไม่รู้สึกแปลกๆ เหรอเวลาอยู่กับคนเยอะๆ แล้วเรียกคุณอย่างเดียว ฉันจะไปรู้ไหมว่านายเรียกใคร” ถึงในปัจจุบันจะยังไม่มีเหตุการณ์ให้สับสนก็เถอะ แต่ถ้าเขาทำแบบนี้ต่อไป อีกไม่นานผมคงคิดว่าตัวเองชื่อคุณแน่

“ที่แท้ก็อยากให้ผมเรียกชื่อ...” ภามหัวเราะหึเบาๆ ในลำคอ ในหน้าฉายชัดว่าต้องการแซวเต็มที่ “เดี๋ยวก็ได้ยินเอง ไม่ต้องห่วงหรอก”

“แล้วแต่เลย” ผมตัดบท ขี้เกียจเถียงกับคนบ้าแล้ว

เรานั่งนิ่งแช่ขาอยู่ในน้ำแบบนั้นนานเกือบชั่วโมง ถึงจะมีแดดแต่ก็ไม่ได้ร้อนมากมายอะไร อาจเป็นเพราะมีหลังคาบังแสงบริเวณขอบสระไว้ได้บ้าง และน่าแปลกที่ผมรู้สึกสบายใจทั้งที่บรรยากาศระหว่างเรามีเพียงความเงียบ มันผ่อนคลายมากจนต้องใช้เวลาเนิ่นนานกว่าจะรู้สึกว่าควรกลับเข้าไปด้านในได้แล้ว ผมหันกลับไปหาคนด้านข้าง มองเห็นสีหน้าว่างเปล่าของเขาแล้วพาลนึกไปถึงเหตุการณ์เมื่อเช้า

เหตุการณ์ที่ทำให้ผมรู้สึกว่าควรแก้ไขอะไรบางอย่าง แต่ตอนนั้นกลับคิดไม่ออกว่าควรทำยังไงจนต้องปล่อยให้เขาเยียวยาตัวเอง ซึ่งผมก็ไม่รู้ว่าเขาทำสำเร็จแล้วหรือแค่แกล้งทำเหมือนไม่รู้สึกอะไร ดูเหมือนตลอดเวลาที่นึกถึงเรื่องนั้น ผมมักจะคิดอยู่เสมอว่าทำไมถึงได้รู้สึกแย่นักทั้งที่ไม่ใช่เรื่องของเราเลย แล้วก็ยังไม่ได้คำตอบจนถึงตอนนี้ แต่เมื่อตัดความสงสัยออกไป ผมก็เข้าใจในที่สุดว่าสิ่งที่ควรทำในเวลานี้คืออะไรกันแน่

“ภาม”

“หืม”

“ช่วงหลังๆ ที่นายไม่นอนดิ้น เป็นเพราะไม่ได้ฝันร้ายแล้วใช่ไหม”

ภามมองหน้าผมนิ่ง สีหน้าแสดงออกชัดเจนว่างุนงง คงไม่เข้าว่าทำไมผมถึงพูดเรื่องนี้ขึ้นมาอีก แต่สุดท้ายเขาก็พยักหน้า

“คงใช่”

“แน่สิ” ผมฉีกยิ้มกว้าง ส่งผ่านความสดใสออกไปจนหมด

“…”

“นั่นเพราะมีฉันอยู่ด้วยไงเล่า แล้วนายจะกลัวฝันร้ายไปทำไมอีก”

ไม่รู้ว่าผ่านไปนานกี่นาทีที่เราจ้องหน้ากันอยู่แบบนั้น จวบจนเมื่อผมคิดจะทำลายความเงียบด้วยการชวนเข้าบ้าน ปลายนิ้วหยาบกร้านของคนด้านข้างก็แตะลงบนแก้ม พร้อมๆ กับที่เขาส่งเสียงตอบรับเบาๆ ในลำคอ

วินาทีนั้นผมได้เห็นรอยยิ้มของคนคนหนึ่งที่ไม่ได้สวยงามอะไร แต่กลับสลักลงลึก...และกลายเป็นรอยยิ้มที่ชัดเจนที่สุดในความทรงจำ


————————-

(ตอนที่20 เลื่อนลงด้านล่างเลยค่ะ ข้ามไปสามสี่เมนต์)

TALK : เราลืมพาสเล้าค่ะ 555 เพิ่งหาเจอเลยมาลงรวดเดียวเลยยยย ฝากอนาคินอีกรอบด้วยนะคะ

หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[ep10-19]==[P.4]== [10/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 10-08-2018 12:25:32
โอ้โห หน้า4ถี่ยิบเลยนะคะคุณชช.5555 คิดถึงเจไดในเล้ามากกกกกก ดีใจด้วยนะคะที่จำพาสได้แล้ว รอคุณหมอตอนต่อไปนะคะ สู้ๆค่า :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[ep10-19]==[P.4]== [10/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 10-08-2018 12:50:35
 :mc4: เย้!! ส่วนตัวชอบอ่านที่เล้ามากกว่า ดีใจด้วยนะคะที่หาพาสเจอแล้ว 55555
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[ep10-19]==[P.4]== [10/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 10-08-2018 18:25:01
โอ๊ยยยย จุใจ ขอบพระคุณค่ะ คิดถึงคนเขียนมากๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[ep10-19]==[P.4]== [10/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 10-08-2018 19:43:36
ยาวจุใจ ชอบๆ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[ep10-19]==[P.4]== [10/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 10-08-2018 19:45:58
-20-



เวลาเป็นสิ่งที่น่าแปลก...

ตอนอยากให้เดินเร็วกลับเดินช้ายิ่งกว่าเต่าคลาน แต่ในตอนที่อยากให้เดินช้าเผลออีกทีก็พ้นวันไปแล้ว ผมไม่มั่นใจนักว่าตัวเองอยู่ในจุดที่อยากให้เวลาเดินเร็วหรือเดินช้า ไม่เคยมั่นใจเลยนับจากมาถึงเกาะนี้ ได้ใช้ชีวิตอยู่กับชาวบ้านและเพื่อนร่วมเดินทางคนหนึ่งที่คิดกับเราเกินเพื่อน จวบจนถึงเมื่อวานนี้ก็ยังไม่แน่ใจ

แต่ในวันนี้...วันสุดท้ายที่จะได้อยู่บนเกาะก่อนจะต้องกลับไปใช้ชีวิตตามปกติ ผมกลับรู้สึกอยากให้เวลาเดินช้าเป็นครั้งแรก นึกอยากย้อนกลับไปยังช่วงเวลาที่ได้มาที่นี่ใหม่ๆ ได้เจอชาวบ้าน เจอเด็กๆ หรือแม้แต่เจอภาม อยากใช้ช่วงเวลาพักผ่อนที่มีให้คุ้มค่ากว่านี้ ซึ่งก็คงทำได้แค่คิด เพราะไม่ว่าผมจะต้องการแบบไหน เวลาก็ยังเดินไปเรื่อยๆ ไม่มีวันหยุดอยู่ดี

“คุณมองนาฬิกาทำไม” เสียงทุ้มต่ำของคนไม่ค่อยพูดดังขึ้น พร้อมกับที่เจ้าตัวเอื้อมมือมาดึงนาฬิกาในมือผมไปถือไว้เอง ใบหน้าคมคายไร้อารมณ์ฉายแววประหลาดใจ คงเพราะเขาไม่เคยเห็นผมนั่งจ้องนาฬิกานานขนาดนี้

“กำลังคิดว่าเวลาเดินไวเป็นบ้า เผลอแป๊บเดียวก็ต้องกลับแล้ว” ผมถอนหายใจยาวเหยียด เวลาได้ไปใช้ชีวิตอยู่ที่ไหนนานๆ คงต้องมีความผูกพันอยู่แล้ว ทั้งกับสถานที่และกับผู้คน แล้วจะไม่ให้หดหู่ได้ยังไงกัน

“ถ้าว่างค่อยมาใหม่ก็ได้”

“ฉันไม่ได้ว่างบ่อยน่ะสิ”

“เพราะคุณคิดเองว่าไม่ว่างต่างหาก” ภามสวนทันควัน ใบหน้าปลาตายดูเหนื่อยหน่าย เหมือนกำลังด่าผมอยู่ในใจยังไงก็ไม่รู้ “เป็นคุณเองที่ยึดติดอยู่กับงานจนมองไม่เห็นอย่างอื่นเลย ทุกอาชีพมีเวลาทั้งนั้น ต่อให้น้อยแค่ไหนก็ยังพอใช้พักผ่อนได้ แต่ที่คุณไม่มี เป็นเพราะคุณมองไม่เห็นเอง”

ผมกะพริบตาปริบๆ มองหน้าภามด้วยความงุนงง สมองพยายามประมวลผลตามอย่างหนัก แล้วก็คิดไปถึงตอนที่ทำงานอยู่ที่โรงพยาบาล สภาพตัวเองที่แทบจะใช้เวลาทั้งหมดไปกับการกิน นอน ทำงาน วนเวียนไม่รู้จบ วันพักผ่อนหรือวันลาก็ไม่เคยใช้ พอเห็นภาพแล้วก็อดพยักหน้าเห็นด้วยไม่ได้ เพราะสิ่งที่เขาพูดไม่ได้ผิดเลยสักนิด เป็นผมเองที่ไม่รู้จักหาเวลาพักผ่อน ที่ทุกอย่างดำเนินไปตามกรอบก็เป็นเพราะวางแผนและทำตัวเองทั้งนั้น

“นับวันนายยิ่งทำตัวเหมือนพ่อฉันมากขึ้นเรื่อยๆ” พ่อผมปากไม่ตรงกับใจจะตาย ให้มาบอกมาสอนอะไรแบบนี้ยังไม่เคยด้วยซ้ำ มีแต่มองอยู่ห่างๆ แล้วให้แม่เข้ามาเตือนอย่างเดียว ลองเอามาเปรียบเทียบกับภามแล้ว เขาทำเกินพ่อผมไปแล้วเนี่ย

“ไม่อยากเป็นพ่อ อยากเป็น...”

“หยุด!”

ไม่พูดเปล่า ผมรีบยกมือปิดปากคนหน้าหนาไว้อย่างรวดเร็ว ใจแทบตกลงไปอยู่ที่ตาตุ่ม ขืนปล่อยให้เจ้าตัวพูดจบประโยค ต้องมีคนดิ้นตายตรงนี้หนึ่งคนแน่ๆ กว่าจะควบคุมตัวเองได้ก็หายใจหอบไปหมด ผมถลึงตามองภามที่ทำเหมือนจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม ก่อนจะขมวดคิ้วน้อยๆ เมื่ออีกฝ่ายดึงมือผมออกจากปากตัวเองแล้วเอาไปจับไว้แน่น

“หยุดเครียดแล้วไปใช้เวลาที่เหลือให้คุ้มเถอะ” เขากระชับมือให้แน่นขึ้น ก่อนจะก้มลงทำอะไรบางอย่างกับนาฬิกาแล้วส่งกลับมาให้ ผมมองเข็มนาฬิกาที่หยุดค้างอยู่ที่เจ็ดโมงเช้าเงียบๆ จ้องจนรู้ว่าสิ่งที่ภามทำเมื่อกี้คือการกดหยุดเวลาของนาฬิกาเอาไว้

แต่คำถามคือ...ทำไม

“นายหยุดเวลา...”

“มาเถอะ” ภามลุกขึ้นยืนพร้อมดึงแขนผมติดมือไปด้วย แล้วก็เหมือนเคย...เขาคงลืมไปแล้วว่าขาตัวเองยาวขนาดไหน ถึงได้ลากผมจ้ำเอาๆ โดยไม่สงสารคนขาสั้นกว่าเลยแม้แต่น้อย ไอ้เราจะบอกว่าให้ช้าลงหน่อยก็ไม่ได้ เพราะแค่อ้าปากก็เหนื่อยแล้ว กว่าภามจะรู้ตัวก็ตอนที่ผมขืนตัวไว้เต็มแรง พยายามกระชากแขนออกจากมือใหญ่ที่จับกุมไว้จนขึ้นรอยแดงเป็นปืด

เจ็บจนเผลอทำหน้าบิดเบี้ยว แต่ก็ไม่ได้มากมายจนถึงขั้นอยากร้องไห้

“เหนื่อย” ผมสะบัดแขนปวกเปียกของตัวเองไปมาแล้วมองรอยแดงที่แขนแบบเซ็งๆ

“ขอโทษ” ภามที่น่าจะเพิ่งรู้สึกตัวหันมาพูดเสียงแผ่ว ใบหน้าปลาตายดูหมองลงจนผมต้องรีบโบกไม้โบกมือไปมาอย่างร้อนรน

“ไม่เป็นไร...ฉันเป็นพวกโดนอะไรนิดหน่อยก็ตัวแดงอยู่แล้ว ไม่ได้เจ็บอะไรขนาดนั้นหรอก”

คงเพราะเป็นพวกผิวขาวจากการไม่ได้ออกแดดนาน แค่โดนอะไรนิดๆ หน่อยๆ มันถึงได้เห็นชัดแบบนี้ ช่วงแรกๆ ที่มาถึงเกาะผมยังนึกอยู่เลยว่าตัวเองน่าจะดำขึ้นบ้าง ถ้าผิวเปลี่ยนเป็นสีแทนคงดูดีไม่น้อย ใครจะไปคิดว่านอกจากจะมาเจอฝนแล้ว ยังไม่ได้รับอนุญาตให้ช่วยงานอะไรสักอย่าง ไอ้ที่ขาวอยู่แล้วเลยยังขาวอยู่เหมือนเดิม ไม่ได้แตกต่างจากตอนไปๆ กลับๆ ระหว่างบ้านกับโรงพยาบาลเลยสักนิด

“อยากให้ผมพาไปหรือเปล่า” คนที่ยังทำหน้าเหมือนรู้สึกผิดไม่หายเอ่ยถามเสียงค่อย

“ไม่เป็นไร แค่เดินช้าๆ ก็พอ” ผมเข้าใจดีว่าภามต้องการถามว่าอยากให้อุ้มหรือแบกไปหรือเปล่า ซึ่งถ้าเป็นช่วงเวลาปกติผมคงตอบรับโดยไม่ลังเล แต่พอคิดไปคิดมาถึงได้รู้ว่ามันไม่ใช่เรื่องปกติที่ควรทำนัก โดยเฉพาะในช่วงเวลานี้... “นายอุตส่าห์หยุดเวลาให้ทั้งที ฉันอยากทำอะไรด้วยตัวเองมากกว่า”

ผมกลัวว่าตัวเองจะเสพติดการมีอยู่ของภามมากเกินไป จนตอนที่เราแยกจากต้องลำบากใจไปมากกว่าที่เป็นอยู่

“งั้นก็ไปกันเถอะ”

เราเดินเคียงข้างกันไปเรื่อยๆ โดยไม่ได้พูดคุยอะไรต่อ ต่างคนต่างจมอยู่ในภวังค์ มีเพียงเสียงฝีเท้าย่ำดินซึ่งเป็นสิ่งบ่งบอกว่าเรายังคงอยู่ด้วยกันเท่านั้น จวบจนเมื่อมาถึงบ้านน้าต้อย ผมถึงได้หลุดออกจากภวังค์แล้วเผยรอยยิ้มออกมา เพราะนอกจากเจ้าของบ้านที่กำลังนั่งทำอาหารอยู่แล้ว ยังมีฝูงเด็กที่ตื่นเช้าผิดปกติวิ่งไปวิ่งมาอยู่รอบๆ ด้วย

“พี่ๆ มาแล้ว!” เจ้าแตงที่หันมาเห็นผมกับภามเป็นคนแรกส่งเสียงเรียก ทำให้คนอื่นๆ หยุดชะงักแล้วหันมามองตามไปด้วย

“พรุ่งนี้พี่หมอกับหัวหน้าจะกลับกันแล้วเหรอ”

“ยังไม่กลับไม่ได้เหรอ”

“อยู่ต่อนะ”

เสียงเจี๊ยวจ๊าวงอแงของเด็กน้อยที่พากันเข้ามาเกาะแกะพันแข้งพันขาดังขึ้นเรื่อยๆ จนผมเริ่มรู้สึกเหมือนจะหูอื้อ ขนาดภามยังขมวดคิ้วน้อยๆ เลย

“อย่าไปกวนพี่เขาสิ เจ้าพวกนี้นี่!” น้าต้อยส่ายหน้าหน่ายอย่างหนักอกหนักใจ เพราะต่อให้ตะโกนห้ามยังไง เด็กๆ ก็ยังไม่ยอมหยุดงอแงกันเสียที กว่าผมจะกล่อมให้เงียบได้ก็ใช้เวลาเกือบสิบนาที จนหูส่งเสียงวิ้งๆ ไปหมดแล้ว

เจ้าตาลที่ยึดครองพื้นที่บนตักผมอย่างถือวิสาสะส่งเสียงเจื้อยแจ้วเล่าให้ฟังยกใหญ่ บอกว่าวันนี้พวกตนนัดกันมาช่วยน้าต้อยเตรียมกับข้าวสำหรับเย็นนี้ ซึ่งพวกชาวบ้านตกลงกันว่าจะจัดงานเลี้ยงริมหาด เป็นเหมือนการเลี้ยงส่งผมกับภาม ถึงเมื่อวานตอนได้ยินผมจะพยายามปฏิเสธขนาดไหนก็ไม่สำเร็จ สุดท้ายได้แต่ปล่อยเลยตามเลยให้พวกเขาทำตามใจ

“ที่บ้านคนอื่นก็ช่วยกันเตรียมกับข้าวไว้เหมือนกันจ้ะ แต่พี่ๆ ไปขอช่วยที่ไหนก็โดนไล่ให้ไปเล่น เลยมารวมตัวกันที่บ้านหนูแทน” ตาลบอกแล้วยิ้มแฉ่ง เหมือนจะอวดว่าแม่ตัวเองใจดีนักหนา ถึงยอมให้ทุกคนมาช่วยได้

ก็สมควรอยู่หรอก...ขนาดผมยังปวดหัวเลย น้าต้อยต้องมีภูมิคุ้มกันแข็งแกร่งมากแน่ๆ

หลังจากหาอะไรกินเรียบร้อยแล้ว ผมกับภามก็พากันเดินต่อไปที่หาด ซึ่งน้าต้อยบอกว่าพวกผู้ชายพากันขนอุปกรณ์ไปจัดเตรียมกันอยู่ คราแรกผมนึกว่างานเลี้ยงส่งพวกเราจะเหมือนงานเลี้ยงต้อนรับ ที่แค่ก่อกองไฟแล้วร้องรำทำเพลง กินปลาย่าง กินเหล้า เสร็จแล้วก็แยกย้ายกันกลับบ้าน แต่เหมือนครั้งนี้จะไม่ใช่แบบที่คิด เพราะแทบจะทันทีที่เดินมาถึงหาด ผมก็ต้องเบิกตากว้างด้วยความตกใจ

นอกจากกองไฟที่น่าจะเตรียมเอาไว้จุดไฟสร้างความอบอุ่นแล้ว ยังมีอุปกรณ์เตรียมพร้อมสำหรับทำอาหารมากมาย ทั้งเตาย่างบาร์บีคิว เตาถ่าย กะทะ จานหลายสิบใบที่วางกองกันไว้ และที่สำคัญคือมีเต้นท์นอนหลายสิบหลังวางเรียงกันอยู่เป็นตับ

แล้วพวกเขาจะกางให้ใครถ้าไม่ใช่ตัวเอง...นี่คงกะเมากันยันเช้าแน่นอน

ครั้งก่อนผมเคยถามน้าต้อยว่าหลังจากเมาหลับคาหาดแล้ว พวกผู้ชายนอนกันแบบนั้นยันเช้าเลยหรือเปล่า แต่น้าแกบอกว่าพวกเขารู้ลิมิตตัวเอง ถ้ามีเมียอาจจะเมาได้มากหน่อย เพราะเมียจะมาลากกลับ แต่พวกที่ไม่มี พอสลบไปพักหนึ่งแล้วจะลุกขึ้นมาเดินมึนๆ กลับบ้านเอง ฟังแล้วก็ทั้งขำทั้งสงสาร ผมอดนับถือความสามารถของทุกคนไม่ได้ ลองถ้าเป็นพวกเพื่อนผมนะ กินเหล้าเมาสลบเหมือดเมื่อไหร่ ต่อให้เอาช้างมาฉุดก็ไม่ตื่นอยู่ดี

“พระอาทิตย์ขึ้นสูงแล้ว...” ผมทอดสายตามองพระอาทิตย์ที่ลอยขึ้นเรื่อยๆ ก่อนจะนึกถึงเรื่องหนึ่งขึ้นมาได้ “ไหนว่าหยุดเวลาแล้วไง ทำไมวันนี้ผ่านไปเร็วนักล่ะ”

ภามทำหน้าตาเคร่งขรึม ดวงตาว่างเปล่าไม่กระดุกกระดิก แต่คิดเหรอว่าผมจะไม่สังเกตเห็นคิ้วที่มุ่นลงน้อยๆ ของเขา พอเห็นท่าทีเคร่งเครียดไม่รู้จะตอบอะไรของคนตัวสูง ผมก็หัวเราะออกมาอย่างอดไม่อยู่

“กล้ากวนผมเหรอ”

“เฮ้! ฉันยังไม่ได้พูดอะไรไม่ดีเลยนะ...” แค่คิดว่าจะโดนอะไรหากเผลอพูดไม่เข้าหูเขาอีกรอบก็ปวดหัวตุบๆ ราวกับความเจ็บปวดจากตอนนั้นที่โดนงับหูย้อนกลับมาเล่นงานอีกรอบอย่างไรอย่างนั้น

คนหน้าปลาตายถอนหายใจแล้วส่ายหน้าหน่าย ก่อนเขาจะยื่นมือมาลูบแก้มผมแล้วเอ่ยเสียงเรียบ

“ไปที่อื่นเถอะ พวกเขาไม่ให้เราช่วยหรอก”

สัมผัสอ่อนโยนจากมือเย็นเฉียบที่แตะลงบนแก้มยังคงส่งผลต่อหัวใจโดยตรง แม้ผู้กระทำจะหันหน้าเดินนำไปแล้วก็ตาม ผมขมวดคิ้วหงุดหงิด มือทุบอกตัวเองเบาๆ เป็นเชิงบอกให้สิ่งที่อยู่ในนั้นเต้นช้าลง อยากถามตัวเองเหลือเกินว่ายังไม่ชินอีกหรือไงที่โดนแตะเนื้อต้องตัว แต่เมื่อถามแล้วกลับต้องเครียดหนักกว่าเดิมเพราะคำตอบของมัน

ถ้าแค่แตะตัวก็อาจจะชิน...แต่กับสัมผัสที่แฝงความอ่อนโยนมาด้วย ยังไงก็ไม่มีทางชินเด็ดขาด

ผมลอบถอนหายใจขณะมองตามแผ่นหลังกว้างตั้งตรงของคนที่ดูดีไปหมดทั้งที่มองไม่เห็นใบหน้า จำได้ว่าครั้งหนึ่งเคยสงสัยว่าทำไมพอเป็นเรื่องภาม ผมถึงควบคุมตัวเองไม่ค่อยได้ แล้วก็เอาแต่คิดว่าเป็นเพราะผมมองเขาเป็นศัตรู เป็นอริที่ติดอยู่ในความทรงจำมานาน แต่จริงๆ แล้วไม่ใช่หรอก คนเฉื่อยชาอย่างผมจะไปแค้นเคืองใครได้นานกัน เพราะถ้าคิดแบบนั้นคงไม่ตามใจภามตั้งแต่แรก ไม่ยอมเปลี่ยนสถานะให้เขากลายเป็นเพื่อนร่วมเดินทาง ไม่ยอมให้เขาแบกไปแบกมา

แต่ที่ผมควบคุมตัวเองไม่ได้...บางทีอาจเป็นเพราะเขาไม่ได้อยู่ในสถานะเดียวกันกับคนอื่นตั้งแต่แรกแล้ว

“เหนื่อยแล้วเหรอ”

เพราะไม่รู้ว่าควรตอบรับแววตาและคำถามแสดงความเป็นห่วงนั้นยังไง ผมจึงทำได้เพียงนิ่งเงียบ ปล่อยให้เขาเดินกลับมาหาแล้วเช็ดเหงื่อให้ โดยที่สายตาไม่ละไปจากใบหน้าคมคายเลยแม้แต่วินาทีเดียว

“นายจะพาฉันไปไหน”

“เดินรอบเกาะ เก็บความทรงจำเอาไว้จนกว่าจะมีโอกาสได้มาอีกครั้ง” ภามตอบเสียงเรียบ หัวคิ้วมุ่นลงเล็กน้อย น่าจะหงุดหงิดที่เหงื่อผมไหลไม่ยอมหยุด เช็ดออกแล้วก็ผุดขึ้นมาใหม่เหมือนเดิม

“นายไม่ได้ถ่ายรูปไว้ทุกที่แล้วเหรอ” ผมดึงมือใหญ่ออกจากหน้าตัวเองแล้วเป็นฝ่ายช่วยภามเช็ดเหงื่อบ้าง อย่างน้อยก็เป็นวันสุดท้ายแล้ว ทั้งยังไม่รู้จะได้เจอกันอีกเมื่อไหร่ ผมควรทำตัวดีๆ เพื่อตอบแทนน้ำใจเขาสักหน่อย จะได้ไม่ต้องมานั่งเสียใจในภายหลัง

“ถ่ายวันนั้นกับวันนี้ไม่เหมือนกันหรอก ไปกันเถอะ” พูดจบเขาก็ยื่นมือมาหา และทั้งที่มันไม่ใช่เรื่องปกติที่ผู้ชายสองคนควรทำ ไม่รู้ทำไมผมถึงยอมวางมือลงไปบนนั้น แล้วปล่อยให้เขาจับกุมพาเดินไปตามทางอย่างง่ายดาย

เราเดินจับมือกันขึ้นไปบนเขาเป็นที่แรก น่าแปลกที่ผมไม่รู้สึกเหนื่อยกับการขึ้นเขาครั้งนี้เลยสักนิด ออกจะคิดว่าเร็วเกินคาดเสียด้วยซ้ำ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะชินแล้ว หรือเพราะเหม่อมากเกินไปจนไม่รู้สึกตัวว่าเดินมาไกลขนาดไหน ผมยังคงถูกภามจัดท่าจัดทางให้กลายเป็นนายแบบจำเป็นเหมือนเดิม แตกต่างกันที่ครั้งนี้ผมบอกว่าจะถ่ายเขาด้วย เราสลับกันถ่ายรูปอยู่นาน จนสุดท้ายผมเป็นฝ่ายควักโทรศัพท์ที่ปิดเครื่องทิ้งไว้นานแล้วขึ้นมา

“มาถ่ายรูปคู่กัน”

อย่างน้อยจะได้เก็บไว้เป็นความทรงจำว่าครั้งหนึ่งเคยมาเที่ยวด้วยกัน ไม่ใช่มีแต่รูปเดี่ยวไปหมด

“รูปคู่?” เสียงประหลาดใจแบบสุดขีดของภามทำให้ผมที่กำลังยกกล้องโทรศัพท์ขึ้นถึงกับชะงัก ยิ่งยามหันไปเห็นดวงตาเป็นประกายของเขาที่จ้องมองมาที่ตัวเองก็ยิ่งอึ้ง

แค่ขอถ่ายรูปคู่ต้องตกใจขนาดนั้นเลยเหรอ...

“อย่าบอกนะว่าไม่เคยถ่ายรูปคู่กับใครเลย”

“ไม่เคย” ภามยิ้มจาง พร้อมดันผมให้ขึ้นไปยืนนำหน้าเขาไว้ ก่อนคนตัวสูงกว่าจะโน้มใบหน้าลงมา แนบแก้มเย็นเฉียบของเขาติดกับแก้มของผม

“เอ่อ...จะแนบชิดไปไหม” เห็นไหมว่ามือที่ถือโทรศัพท์สั่ันไปหมดแล้ว

“ถ่ายเร็วเข้า”

เมื่อเห็นว่าผมยังนิ่งไม่ยอมกดถ่าย เขาก็คว้าโทรศัพท์ไปถือไว้เอง ทั้งยังกดปุ่มถ่ายรัวๆ แบบไม่เกรงใจคนหน้าเอ๋อที่ลืมยิ้มเลยแม้แต่น้อย เรียบร้อยแล้วยังมีหน้าไปกดดูรูปคนเดียวแล้วยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ด้วยนะ

“เดี๋ยว...” ถ่ายใหม่ก่อน

“พอออกจากเกาะแล้วส่งรูปให้ผมด้วย” ภามยัดโทรศัพท์ใส่กระเป๋ากางเกงให้ผมเสร็จสรรพ จากนั้นคว้าข้อมือกันไว้ ลากให้เดินต่ออย่างรวดเร็ว ส่วนผมที่สมองไหลไปไหนแล้วไม่รู้มีหรือจะตามทัน ได้แต่เดินต๊อกแต๊กตามเขาไปทั้งที่ยังไม่มีสตินั่นแหละ

เออดี...

ที่ภามบอกว่าจะพาเดินรอบเกาะเพื่อเก็บบันทึกความทรงจำเอาไว้ เขาทำตามที่ว่าจริงๆ โดยการจูงผมเดินไปพักไปจนวนรอบเกาะ มาหยุดพักรอเวลาอยู่ที่บ้านพี่ภูนานหน่อย เพราะพวกชาวบ้านน่าจะเริ่มงานเลี้ยงกันเย็นๆ กลับไปตอนนี้ก็ยังไม่มีอะไรทำอยู่ดี เพราะคุณชายไม่ได้รับอนุญาตให้ทำงานหนัก แค่จะจับเตายังโดนห้ามเลย

ในเวลานี้ผมไม่ได้เปิดทีวีหรือนอนตากแอร์อะไรทั้งนั้น จู่ๆ ก็รู้สึกใจหายเพราะจะได้กลับไปใช้ชีวิตตามปกติที่มีสิ่งอำนวยความสะดวกครบครันแล้ว ดังนั้นเลยเลือกเดินมานั่งอยู่บนเตียงอาบแดดริมสระว่ายน้ำ ยึดกล้องราคาแพงของภามมาดูเล่นฆ่าเวลาแทน

ทุกครั้งที่กดเลื่อนภาพแล้วเห็นทิวทัศน์ที่เขาถ่าย ผมอดร้องว้าวออกมาเบาๆ ไม่ได้ เพราะมันทั้งสวยงามและน่ามองไปหมด ที่บอกว่ามีลูกค้าติดต่องานซ้ำๆ ยิ่งได้เปิดดูผมก็ยิ่งเข้าใจ ถ้าเป็นเรื่องของภาพที่เขาอยากถ่ายด้วยตัวเอง ไม่ว่าจะกี่ภาพก็ออกมาสวยงามตรึงตาตรึงใจไปหมด แต่ที่น่าปวดหัวคือ...

ทำไมมีรูปกูเยอะกว่าวิวอีกวะเนี่ย

ไม่ใช่แค่นั้น เพราะถึงภามจะเข้ามาจัดท่าทางให้ผมบ่อย ภาพถ่ายออกมาสวยเพียงใด แต่เกินครึ่งมักเป็นรูปถ่ายทีเผลอหรือเวลาที่ผมทำหน้าเอ๋อมากกว่า นี่ถ้าไม่ใช่หน้าตัวเองก็อยากหัวเราะอยู่หรอก แต่เพราะมันใช่เนี่ยสิ ผมเลยไม่รู้จะหัวเราะหรือร้องไห้ดี

“ทำอะไร”

“นายถ่ายรูปฉันตอนทำหน้าตลกๆ เยอะกว่าหน้าดีๆ อีก” ผมเงยหน้าบ่นเมื่อได้ยินเสียงทักจากทางด้านข้าง เป็นเวลาเดียวกันกับที่เจ้าของร่างสูงใหญ่ทรุดตัวลงนั่งบนเตียงเดียวกัน พร้อมกับยื่นน้ำส้มแก้วหนึ่งมาให้พอดี

“เวลาเห็นคุณทำหน้าแบบนั้นผมมักจะยิ้มตามไปด้วย”

“เลยถ่ายมันแต่หน้าตลกๆ ว่างั้น”

“แบบดีๆ ก็มี” ภามดึงกล้องไปกดยุกยิกๆ ก่อนจะส่งมาให้ผมดูอีกรอบ

ภาพที่เขาเปิดให้ดูคือภาพที่ถ่ายริมทะเล คงเป็นตอนที่เรานั่งอยู่บนหาด ในรูปผมไม่ได้มองกล้อง แต่กำลังนั่งกอดเข่าเหม่อมองไปด้านหน้า มีพื้นหลังเป็นหาดทรายขาวกับน้ำทะเลและท้องฟ้าครบทุกอย่าง แต่กลับไม่ดูขัดเลยสักนิด เพราะมันเป็นรูปที่ดูดีและน่ามองมากจริงๆ เมื่อกี้ที่ผมนั่งไล่ดูแล้วไม่เห็นคงเป็นเพราะกดรัวจนข้ามไปโดยไม่รู้ตัว

“ต้องเป็นเพราะนายแบบหล่อแน่ๆ” ผมพูดติดตลก มือกดเลื่อนดูรูปต่อ แล้วก็สะดุดเข้ากับรูปภามที่ตัวเองเคยถ่ายไว้ตอนไปดูพระอาทิตย์ขึ้นด้วยกัน มันเป็นรูปที่ผมใช้นิ้วกดมุมปากเขาให้ยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม แต่ต่อให้เผลอหรืออย่างไรคนในรูปก็ยังดูดีจนน่าอิจฉาอยู่เหมือนเดิม “รูปนี้ฉันถ่ายสวยมาก”

“เพราะนายแบบ”

“เดี๋ยวนี้ชมตัวเองแล้วเหรอ” ชมแบบหน้าไม่กระดิกด้วยนะ หน้าตายยังไงก็ยังตายอยู่อย่างนั้น มีแต่คำพูดที่บ่งบอกถึงความมั่นใจเต็มร้อย ขนาดผมยังไม่มั่นเท่านี้เลย

“แล้วไม่จริงหรือไง”

“…”

ลำไย!












หาดทรายซึ่งเป็นที่ตั้งของเต้นท์หลายสิบหลังและกองไฟอีกไม่ต่ำกว่าสามกองดูคึกคักมากเป็นพิเศษ ยิ่งยามพวกชาวบ้านที่กำลังจัดเตรียมอาหารหันมาเห็นพวกผมเข้า พวกเขาก็ยิ่งเฮฮา ส่งตัวแทนเป็นเด็กสองคนมาจูงมือเราไปนั่งอยู่บนขอนไม้ที่วางอยู่ข้างกองไฟ มีคนเดินถือจานอาหารมาให้พร้อมโดยไม่ต้องกระดิกตัวไปไหนเลยแม้แต่นิดเดียว

อภิสิทธิ์ของนายน้อยภามนี่มันดีจริงๆ...

“เต้นท์หลังนั้นของพี่สองคนนะจ๊ะ พวกหนูช่วยกันกางให้เองเลยนะ” เจ้าตาลชี้นิ้วไปที่เต้นท์สีเทาหลังใหญ่ซึ่งแยกออกมาจากกลุ่มเต้นท์ของคนอื่นๆ ด้วยท่าทีอวดๆ น่าหมั่นไส้เสียจนผมต้องดึงแก้มยุ้ยๆ นั่นไปหนึ่งที

“ไปเอาเต้นท์มาจากไหนกันเยอะแยะเนี่ย”

“พี่เก้าให้มาจ้ะ!”

“พี่เก้า?” ทีตอนแรกไม่ยอมเรียกชื่อไอ้เก้า สงสัยโดนห้ามไว้จริงๆ ไม่อยากจะเชื่อว่าแม้แต่เด็กพวกนี้ก็รู้เห็นเป็นใจไปกับผู้ใหญ่ด้วย ให้ตายเถอะ

“พี่เก้าบอกว่าถ้าหนูสอบได้ที่หนึ่งจะให้รางวัล พอสอบได้จริงๆ หนูเลยบอกว่าอยากได้บ้านเล็กๆ แบบที่พับเก็บได้ เอาไว้ให้พวกลุงๆ น้าๆ นอนเวลาสลบกลางหาดทราย แล้วพี่เก้าก็ให้บ้านพวกนี้มาจ้ะ” เจ้าตาลยิ้มแฉ่งจนเห็นฟันหลอ หน้าตาสดใสขึ้นสิบระดับเมื่อพูดถึงพี่ชายคนโปรด ส่วนผมได้แต่กลอกตาแรงๆ หวังว่าไอ้เก้าจะไม่สอนอะไรแปลกๆ ให้เด็กคนนี้

“ไปหาอะไรกินไป” ผมโคลงหัวเด็กตาลเบาๆ แล้วพูดเป็นเชิงไล่ เมื่อเจ้าตัวได้ยินแล้วก็ยิ้มจนตาปิด ก่อนจะวิ่งจู๊ดไปหาพี่ๆ ของตัวเองที่กำลังมุงโต๊ะอาหารอยู่อย่างรวดเร็ว เหลือแค่ผมกับภามที่นั่งอยู่ด้วยกันสองคน

งานเลี้ยงของชาวบ้านยังคงบรรยากาศสบายๆ แบบที่ใครอยากทำอะไรก็ได้เหมือนเคย พวกเขานั่งล้อมวงพูดคุยกัน มีบ้างที่เดินมาหาผมกับภามแล้วบอกลาล่วงหน้า เพราะคิดว่าอาจสลบจนไม่ทันได้ไปส่งขึ้นเรือในวันพรุ่งนี้ ผมยิ้มรับจนปากแห้ง ต่างจากนายน้อยที่นั่งจิบเหล้าเงียบๆ ไม่พูดไม่จา อย่างมากก็แค่พยักหน้าและอือออตามเท่านั้น

ภามหยิบกล้องขึ้นมากดถ่ายรูปแค่ช่วงสิบนาทีแรก หลังจากนั้นเขาก็เดินเอากล้องไปเก็บในเต้นท์ของเราที่ถูกจัดไว้ให้ แล้วกลับมานั่งลงข้างผมเงียบๆ เหมือนเดิม มีบ้างที่ลุกไปหยิบของกินจากโต๊ะตัวยาวที่มีอาหารวางเรียงรายไว้มาให้ แต่นอกจากนั้นก็เงียบ มองไปรอบๆ อย่างเดียว

“รำระบำชาวเกาะ~”

“เดี๋ยวๆ...” เพลงนั่นมันอะไรกัน ผมหันไปมองต้นเสียง แล้วก็ต้องกลั้นขำจนปวดท้อง เมื่อเห็นพวกเด็กๆ เดินไปล้อมวงเต้นรำด้วยเพลงที่ได้ยินบ่อยๆ ในตอนเด็ก “เด็กสมัยนี้ยังใช้เพลงนี้อยู่อีกเหรอเนี่ย”

“เพลง?”

“หืม...นายไม่เคยได้ยินเหรอ” ผมหันไปมองหน้าภาม เห็นใบหน้าว่างเปล่าของเขายามจับจ้องไปที่เด็กๆ ก็รู้สึกคันยุบยิบในใจขึ้นมาอีกแล้ว

“ไม่เคยได้ยิน”

“ไม่แปลกหรอก ก็นายอยู่ต่างประเทศนี่”

“อา…” ภามอ้าปาก ทำท่าคล้ายจะพูดอะไรต่อ แต่สุดท้ายก็ปิดปากเงียบไม่ยอมพูดออกมา ความคันยุบยิบที่ใจผมเลยยิ่งทวีคูณขึ้นไปอีก จากที่ไม่มั่นใจว่ามันคืออะไร ตอนนี้เริ่มเข้าใจแล้ว

มันคือความกังวล...

ผมไม่ชอบให้ภามทำหน้าตาว่างเปล่าแบบนั้น

(ต่อด้านล่าง)
.
.
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[ep10-19]==[P.4]== [10/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 10-08-2018 19:46:18

“มานี่เร็ว” เมื่อแน่ใจแล้วว่าควรทำอย่างไร ผมก็รีบคว้าข้อมือคนหน้าปลาตายเอาไว้ แล้วออกแรงลากให้ลุกขึ้นยืน เดินตรงไปหากลุ่มเด็กและผู้ใหญ่ที่ร้องรำทำเพลงกันอยู่รอบกองไฟ

พอเห็นว่าผมกับภามเดินเข้าไปในวง ไม้กับดำที่ตีกลองพลาสติกอยู่ก็ชี้ชวนให้คนอื่นๆ หันมาดู เสียงเฮฮาต้อนรับดังขึ้นอย่างรวดเร็ว พร้อมๆ กับที่วงถูกแหวกออกให้เราเดินไปอยู่ด้านใน และไม่กี่วินาทีต่อมา เสียงร้องเพลงและเสียงให้จังหวะก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“รำเร็วเข้าจ้ะ” เจ้าตัวเล็กที่อยู่ใกล้ที่สุดบอกแล้วยกมือขึ้นตั้งวงพร้อมสรรพ

เสียงเพลงดังขึ้นพร้อมๆ กับเสียงหัวเราะของคนหลายคน เมื่อผมเริ่มออกท่าทางตั้งวงแบบแข็งๆ ตามแบบฉบับของคนไม่ถนัดด้านนี้ ถึงอย่างนั้นเมื่อเห็นว่าการส่ายเอวนิดส่ายเอวหน่อยมันทำให้ใครบางคนเริ่มมีสีหน้าผ่อนคลาย ความอับอายที่พยายามฝังไว้ลึกๆ ก็จางหายไป ผมใส่จังหวะแล้วจับมือทั้งสองข้างของภามให้กางออกตามกัน

“เต้นเร็ว” จะเต้นหรือรำก็ไม่รู้ล่ะ เพราะคนรอบวงก็มั่วซั่วไม่แพ้กันหรอก ขอแค่ภามยอมทำ ผมมั่นใจว่าตัวเองต้องขำแน่นอน

“ผมทำไม่เป็น”

“ปล่อยไปตามธรรมชาติ” ว่าแล้วก็ยกมือภามขึ้นแล้วเดินลอดใต้แขนเขาเหมือนเรากำลังเต้นรำกันอยู่ ทั้งที่เสียงเพลงไม่ได้เข้ากันเลยแม้แต่นิดเดียว

“หึ…” คนหน้าปลาตายยังนิ่งอยู่ได้แม้จังหวะกลองจะเริ่มหนักหน่วงขึ้น ส่วนผมที่เดินไปเต้นไปรอบตัวเขาแทบจะสติหลุดไปแล้ว ต้นเหตุคงหนีไม่พ้นเหล้าที่ถูกหยิบยื่นให้หลายต่อหลายแก้วในระหว่างที่กำลังเต้นบ้าบอไปมา

“ฮ่าๆ คุณหมอเมาแล้วว่ะ”

“คนรักของนายน้อยตลกดีนะครับ”

“ดูเต้นเข้าสิ”

สารพัดเสียงดังขึ้นเรื่อยๆ จากคนรอบตัว ผมอยากจะหันไปบอกว่าตัวเองไม่ได้เมาอยู่เหมือนกัน แค่มึนนิดหน่อยเท่านั้นเอง แต่คิดไปแล้วให้พวกเขาเข้าใจแบบนี้ก็ไม่เสียหาย สุดท้ายเลยหันมาสนใจการพยายามทำให้นายน้อยของทุกคนโยกเอวเหมือนเดิมแทน

“ทำไมยืนนิ่งเป็นตอไม้แบบนี้”

“คุณเมาหรือเปล่า”

“ไม่เมา มึน” ผมตอบแล้วโบกมือไปมา ก่อนจะหลับตาลงเมื่อรู้สึกมึนหัวจนเต้นต่อไม่ไหว รู้สึกตัวอีกทีก็ถูกลากออกจากวงเต้นรำมาตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ เสียงเพลงที่เบาลงเรื่อยๆ บ่งบอกได้ชัดเจนว่าคนด้านหน้ากำลังพาผมออกห่างจากพวกชาวบ้าน และน่าแปลกที่สายตาซึ่งเบนไปทางใดก็พบแต่สีทึมๆ ไปหมดกลับมองเห็นแผ่นหลังกว้างของคนที่กำลังเดินนำได้อย่างชัดเจนจนน่าตกใจ

“เป็นอะไร” ภามหันหน้ากลับมาหา เหมือนผมจะมองเห็นหน้าเขาเป็นประกายวิ้งๆ ตัดกับสีท้องฟ้าด้านหลังโดนสิ้นเชิง และเมื่อการกระตุกมือขืนตัวไม่ยอมเดินต่อได้ผลแล้ว ผมก็สะบัดๆ แขนตัวเองจนเขายอมปล่อยมือออก

“อุ้มหน่อย” แขนทั้งสองข้างยื่นไปด้านหน้า ทำท่าขอให้อุ้มแบบที่เด็กๆ ชอบใช้กับพ่อแม่ และคนหน้าตายก็ตอบรับด้วยการเดินเข้ามาหา หันหลังให้ผมโถมตัวเข้าไปเกาะเป็นลูกลิง ก่อนจะออกเดินไปตามทางอีกครั้ง

เสียงร้องเพลงและพูดคุยจากด้านหลังยังคงตามติดมา แม้จะเบาลงไปมากแล้วก็ยังพอได้ยินอยู่บ้าง ภามเริ่มเดินช้าลงเมื่อเสียงเหล่านั้นจางหายไป แล้วก็หยุดเท้าในที่สุด...ยามเดินมาถึงจุดที่มีเพียงเรา

“มองไม่เห็นอะไรเลย” ผมบ่นงึมงำ มองไปทางไหนก็มีแต่สีดำมืดมิดไปหมด ทั้งยังไม่มีพระจันทร์คอยให้แสงสว่างเลยด้วย

“ผมยังมองเห็นคุณ”

“อื้อ เห็นนายเหมือนกัน” แก้มขาวๆ อยู่ชิดปากแค่นิดเดียว ถ้ากัดไปจะอร่อยไหมนะ “อยากยืนเองแล้ว”

ผมตัวเซจนเกือบล้มลงไปกองอยู่กับผืนทราย เมื่อถูกปล่อยตัวให้ยืนเองไม่มีใครให้ยึดเกาะ ดีที่อีกคนคว้าข้อมือกันไว้ได้ทัน สภาพตอนนี้เลยยังดูเป็นผู้เป็นคนอยู่บ้าง ไม่ได้ลงไปคลุกคลีกับทรายจนเละไปทั้งตัว

“ยืนไม่ไหวแล้วยังบอกไม่เมาอีก” เสียงถอนหายใจดังขึ้นข้างหู พร้อมๆ กับที่เอวถูกรวบเข้าหาจนลำตัวแนบชิดคนพูด ผมเอนหัวพิงอกเขาอย่างอ่อนแรง รู้ทั้งรู้ว่ามีสติเต็มร้อย ไม่ได้เมาจนไม่รู้ความ แต่ก็ยังไม่ยอมปฏิเสธอะไรออกไป

“นี่...”

“ว่าไง”

“นาฬิกาน่ะ...เดินต่อแล้วใช่ไหม”

“คุณก็รู้ว่าเราหยุดเวลาไม่ได้” ภามเอ่ยเสียงแผ่วเบา ในขณะที่ผมได้แต่หลับตาลง สองมือกำชายเสื้อเขาไว้แน่น “สิ่งที่ผมกดหยุดเอาไว้ไม่ใช่เวลาแบบที่คุณคิด"

“แล้วนายหยุดอะไร”

“หยุดความรู้สึกของตัวเอง” เขากระชับอ้อมแขนที่กอดเอวผมไว้ให้แน่นขึ้น “ไม่ใช่หยุดเพราะไม่อยากให้มันเดินไปด้านหน้า...แต่เป็นหยุดไว้ที่คุณ”

“…”

“ผมเคยบอกคุณว่าถ้าเจอสิ่งที่ทำให้อยากหยุดก็อาจจะไม่ไปไหนแล้ว”

“…”

‘บางทีถ้าเจอสิ่งที่ทำให้อยากหยุดลงหลักปักฐานอยู่ที่ไหนสักที่ ผมอาจจะไม่ไปไหนแล้ว’

“แล้วที่คุณบอกว่าผมพูดเหมือนจะอยู่กับคุณตลอดไป...”

“…”

‘พูดเหมือนนายจะอยู่กับฉันไปตลอดงั้นแหละ’

“ถ้าผมตอบว่าใช่...คุณจะว่ายังไง”

ท่ามกลางท้องฟ้าที่มืดมิด ไม่มีแม้แสงจันทร์หรือดวงดาวใดๆ ประสาทสัมผัสทุกอย่างถูกปิดกั้นไว้ด้วยมือที่มองไม่เห็น คงมีเพียงเสียงคลื่นกระทบฝั่งที่ดังเข้าโสตประสาทซึ่งชัดเจนที่สุด

วินาทีนั้น...ผมไม่รู้ว่าทำไมตัวเองถึงยินยอมให้ริมฝีปากของเขาแนบชิดลงมา สัมผัสที่ได้รับอย่างอ่อนโยนแม้มองไม่เห็นทำให้เผลอปล่อยตัวปล่อยใจ ปล่อยให้ร่างกายนั้นบดเบียดเข้าหา ยอมถูกกักตัวไว้ในอ้อมแขนแข็งแกร่ง กลายเป็นเพียงคนอ่อนแอคนหนึ่งที่ละทิ้งเรี่ยวแรงทั้งหมดที่มี เพียงเพื่อให้ได้อยู่ในอ้อมกอดอันแสนอบอุ่นของคนที่ตัวเองปฏิเสธเรื่อยมา

ผมหลับตาลงพร้อมๆ กับสติที่เริ่มจางหาย เมื่อถูกจูบจนไร้เรี่ยวแรงแม้แต่จะยืน ยอมปล่อยให้เขาอุ้มจนตัวลอยได้ตามใจ แม้ยามถูกก้มลงจูบอีกครั้งก็ยังไม่ส่งเสียงประท้วง

“อนาคิน...”

อา...

“นายเรียกชื่อฉันแล้ว”   



————————



TALK : แหม...
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[ep10-20]==[P.4]== [10/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 10-08-2018 19:56:27
สนุกมากๆเลยค่ะ <3
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[ep10-20]==[P.4]== [10/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 10-08-2018 20:14:34
จากทีแรกที่ใจหวิวๆเพราะรู้ว่าเค้าต้องห่างกันแล้ว มาตอนนี้คือไม่ไหวแล้วค่ะ เหมือนจะล้ม โอยยยยยยย ละมุนไปหมดน้องเอ๊ย :m17:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[ep10-20]==[P.4]== [10/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 12-08-2018 09:42:19
ความละมุนนี้มัน.... :-[ :-[ :-[ :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[ep10-20]==[P.4]== [10/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: arakanji ที่ 12-08-2018 18:59:49
สนุกดี เราอ่านรวดเดียวเลย
ขอบคุณค่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[ep10-20]==[P.4]== [10/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: GuNNiEZz ที่ 17-08-2018 11:55:13
สนุกมากกกกกกคร่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[ep10-20]==[P.4]== [10/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 19-08-2018 19:17:15
-21-


ในโลกใบนี้มีคนอยู่ประเภทหนึ่ง ประเภทที่ต่อให้กินเหล้าจนเมาแทบตายยังไงก็ยังจดจำได้ทุกสิ่ง ผมไม่แน่ใจนักว่าเพื่อนสมัยมัธยมหรือมหา’ลัยเป็นแบบนั้นกันกี่คน แต่หากจะเริ่มนับหนึ่ง ผมคงต้องชี้นิ้วมาที่ตัวเองเป็นลำดับแรก ไม่ใช่เพียงแค่นั้น ดูเหมือนผมจะถูกจัดอยู่ในประเภทคอแข็งน่าตาย ถูกสถาปนาให้เป็นคนที่คอแข็งที่สุดในทุกรุ่น แม้จะไม่ได้ดื่มมานานจนตอนแรกมีงงๆ และไม่ชินไปบ้าง แต่พอกลับมาแตะอีกครั้ง ก็เข้าถึงความรู้สึกเดิมๆ ได้อย่างรวดเร็ว

ขนาดเมายังจดจำได้ทุกเรื่อง...แล้วนับประสาอะไรกับอีแค่การแกล้งเมา

ทุกถ้อยคำ ทุกสัมผัส ทุกอย่างที่ได้ยินและได้พบเมื่อวานชัดเจนอยู่ในห้วงคำนึงมาโดยตลอด นับตั้งแต่ลืมตาตื่นมาในตอนเช้า จวบจนยามนี้ที่ต้องเข้ามาเก็บข้าวของที่บ้านใส่กระเป๋า ภาพเหล่านั้นก็ยังฉายซ้ำไปซ้ำมาอยู่ในหัว

“ไปกันเถอะ” เจ้าของเสียงทุ้มต่ำเอ่ยขึ้นเบาๆ พร้อมกับดึงกระเป๋าไปถือไว้ให้เอง ผมได้แต่เงยหน้ามองคนที่ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเงียบๆ ตั้งแต่ตื่นเช้ามาจนไปกินข้าวอาบน้ำเสร็จแล้ว ภามก็ไม่ได้พูดถึงเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อวานอีกเลย

ไม่ใช่ไม่สนใจ แต่เพราะสนใจมากต่างหาก ถึงได้แคร์ความรู้สึกกันขนาดนี้ ที่เขาไม่พูดถึง เป็นเพราะรู้ดีว่าผมยังสับสนและไม่พร้อมตั้งรับกับเรื่องที่เกิดขึ้น แต่สิ่งหนึ่งที่ผมแน่ใจคือ...มันไม่ใช่บรรยากาศพาไปแน่นอน

“ไม้กับดำจะขับเรือไปส่ง” ภามพูดขึ้นมาลอยๆ เหมือนต้องการชวนคุย ในขณะที่ผมทำได้เพียงส่งเสียงอืออาตอบรับแล้วมองตามแผ่นหลังของเขาต่อไปเงียบๆ

พอเดินมาสักพักถึงได้รู้ตัวว่าเราออกห่างจากกระท่อมหลังเล็กที่สร้างขึ้นมาด้วยกันมากจนหันกลับไปก็ไม่เห็นแล้ว ผมใจหายวาบ คล้ายเท้าจะก้าวต่อไม่ออก ไม่เคยรู้สึกหนักใจกับการต้องจากสถานที่แห่งหนึ่งไปมากขนาดนี้ ขนาดเมื่อวานยังทำตัวปกติได้อยู่เลย มาวันนี้ที่ต้องไปโดยไม่รู้จะได้กลับมาอีกเมื่อไหร่ กลับทำให้หน่วงใจจนอยากจะ...

“อยู่ที่นี่ตลอดไปได้ไหมนะ”

เสียงเดินที่อยู่ด้านหน้าหยุดชะงักลง คนตัวสูงหมุนตัวหันกลับมาหา ใบหน้าแปลกใจบ่งบอกชัดเจนว่าได้ยินสิ่งที่ผมพูดไปเมื่อครู่ ภามเดินจนมาหยุดอยู่ตรงหน้า มือข้างที่ว่างยกขึ้นแตะแก้ม บังคับให้ผมเงยหน้าสบตาเขา

“ได้” เขาตอบ ปลายนิ้วขยับเล็กน้อยเหมือนจะปลอบกัน “แต่เชื่อเถอะว่าอยู่ไปสักพักคุณจะไม่คิดแบบนั้น ยังมีคนอื่นๆ ที่รอคุณอยู่ในเมืองอีกมากมาย คุณทิ้งพวกเขาไปไม่ได้หรอก”

“อือ” ผมถอนหายใจ รู้คำตอบดีอยู่แล้วตั้งแต่ต้น แล้วก็เข้าใจที่ภามจะสื่อด้วย ความรู้สึกโหยหาจะเกิดขึ้นก็แค่ตอนแรกๆ เท่านั้น มันเป็นเพราะผมได้วางภาระที่มีมานาน ได้ใช้ชีวิตแบบที่เป็นตัวของตัวเอง

หรือว่าความหมายของชีวิตที่ตามหา สิ่งที่ขาดหายไป จะหมายถึงการได้ใช้ชีวิตแบบสบายๆ ในเกาะแห่งนี้กันนะ

“แต่ว่า...”

“…”

“ถ้าวันไหนคุณคิดว่าอยากมาอยู่ที่นี่จริงๆ อยากใช้ชีวิตแบบที่ไม่ต้องมีอะไรเลย...ผมจะมาอยู่กับคุณ” ดวงตาคมคู่นั้นฉายแววจริงจัง เหมือนกำลังให้สัญญาที่ไร้ข้อผูกมัด มีเพียงคำพูดและการแสดงออกเท่านั้นที่บอกให้รู้ว่าเขาจะทำตามนั้นจริงๆ

“จะบ้าหรือไง” ผมหัวเราะเบาๆ มือยกขึ้นผลักแขนภามเป็นเชิงหยอกล้อ “ขืนทำแบบนั้น พี่นายตามมาฆ่าฉันแน่”

ภามยกยิ้มโดยไม่ตอบอะไร ใบหน้าจริงจังเคร่งเครียดแปรเปลี่ยนเป็นอ่อนโยน เขาลูบแก้มผมอีกครั้งแล้วขยับมาอยู่ด้านข้างเพื่อให้เราเดินไปพร้อมกันได้

“ผมไม่ได้โกหกนะ”

“รู้แล้วน่า” ทำหน้าจริงจังปานนั้น ใครจะกล้าหาว่าขี้โม้

บางทีอาจเป็นเพราะสิ่งที่เขาพูดทำให้บรรยากาศหดหู่ดูดีขึ้นหลายระดับ ผมเริ่มยิ้มออก ไม่ได้หันกลับไปมองกระท่อมที่เต็มไปด้วยความทรงจำมากมาย เพราะรู้ดีว่าวันหนึ่งจะได้กลับมาอีกครั้งแน่ๆ

“ผมมีเรื่องอยากถาม” จู่ๆ ภามก็พูดขึ้นมาในระหว่างที่เรากำลังเดินตรงไปที่หาด ผมหันหน้าไปมองเขานิดหน่อย ก่อนจะพยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าฟังอยู่ “เมื่อวานคุณไม่ได้เมาใช่ไหม”

“โอ๊ย!”

จะ...เจ็บนิ้วโป้ง สะดุดรากไม้แบบโง่ๆ เฉยเลย

“ซุ่มซ่าม” คนที่ช่วยยึดจับแขนกันไว้ได้ทันบ่นงึมงำ มือที่กำแขนผมไว้เปลี่ยนเป็นโอบไหล่ พยุงให้ลุกขึ้นยืนตรงๆ ได้แทน อยากจะขอบคุณอยู่เหมือนกัน ถ้าไม่ติดว่าเจ็บนิ้วจนน้ำตาซึม พูดอะไรแทบไม่ออกไปแล้วตอนนี้ “เจ็บมากเหรอ”

ภามวางกระเป๋าถือของผมลงบนใบไม้แห้งกองหนึ่ง รวมถึงถอดเป้ที่หลังเขาไว้วางไว้ข้างกันด้วย เมื่อเรียบร้อยแล้วคนตัวสูงก็หันกลับมาหา พยุงผมไปนั่งทับกระเป๋าตัวเองไว้แล้วคุกเข่าลง

“จะ...จะทำอะไร” ผมบีบมือเขาไว้แน่นเมื่อเห็นอีกฝ่ายถอดรองเท้าให้

“ขอดูนิ้วหน่อย เจ็บไม่ใช่เหรอ” ภามเอาเท้าผมไปวางไว้บนหน้าขาตัวเอง ก่อนจะออกแรงบีบนวดให้เบาๆ อย่างตั้งอกตั้งใจ ไม่ได้สะสายตาขึ้นมาแซวหรือด่าอะไรแบบที่คิดไว้

ผมมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกพูดไม่ออกบอกไม่ถูก ไม่รู้เมื่อไหร่ที่น้ำตาหายไปพร้อมๆ กับความเจ็บปวด สมาธิจดจ่ออยู่ที่ใบหน้าเป็นห่วงเป็นใยของคนใจดี

“ดีขึ้นไหม” เขาเงยหน้าขึ้นถาม สบเข้ากับดวงตาของผมที่กำลังมองอยู่เข้าอย่างจัง

“ดีขึ้นแล้ว”

“งั้นก็ไปกันเถอะ” ภามว่าแล้วพยุงผมลุกขึ้นพร้อมสะพายกระเป๋าของตัวเองขึ้นหลัง ถือกระเป๋าของผมไว้ด้วยมือซ้าย และใช้มือขวาโอบไหล่กันไว้เหมือนกลัวว่าผมจะล้มอีก

ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงไม่ปฏิเสธออกไป ทำไมถึงไม่บอกว่าไม่เจ็บแล้วเดินเองได้ หรือบางที...อาจเป็นเพราะผมเห็นคราบดินเละๆ ที่ติดอยู่บนเข่าของเขา ตอนที่อีกคนทรุดตัวลงดูนิ้วเท้าให้อย่างใส่ใจ

เพราะงั้นถ้าภามอยากดูแล แล้วคนที่ชอบถูกดูแลอย่างผมจะปฏิเสธไปเพื่ออะไร

ในตอนที่เราเดินไปถึงหาด พวกชาวบ้านและเด็กๆ ก็มารออยู่ก่อนแล้ว ทุกคนไม่ได้ดูเศร้าเสียใจที่พวกเรากำลังจะไป พวกเขาล้วนยิ้มแย้มแจ่มใส เดินเข้ามาร่ำลาอย่างอบอุ่น แม้แต่เจ้าตาลที่ตัวเล็กสุดก็ยังฉีกยิ้มให้กัน ทำเอาผมแอบอับอายอยู่ในใจ เพราะดูเหมือนจะเป็นคนเดียวที่แสดงออกในทิศทางตรงกันข้าม โชคดีที่ตอนเฟลๆ แล้วร้องงอแงไม่อยากกลับมีแค่ภามคนเดียวที่ได้ยิน

“พี่หมอกับหัวหน้าต้องมาหาพวกเราอีกนะจ๊ะ” ตาลเดินเข้ามากอดผมไว้แน่น อ้อมแขนเล็กๆ ที่แสนอบอุ่นทำให้ผมยิ้มออก เด็กพวกนี้ก็คงไม่อยากให้เราจากไป แต่เพราะรู้ดีว่าอะไรเป็นอะไร พวกเขาถึงได้มาส่งด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม และคาดหวังว่าจะได้เจอกันอีกในครั้งหน้า

“พี่จะกลับมาหาแน่นอน” เกี่ยวก้อยสัญญากับเด็กจิ๋วเรียบร้อยแล้ว ผมก็เดินเข้าไปร่ำลาพวกชาวบ้านที่ช่วยดูแลเราอย่างมีน้ำใจมาโดยตลอด

“พ่อหมอต้องดูแลตัวเองดีๆ นะจ๊ะ หาเวลาพักผ่อนเสียบ้าง ตอนเจอกันทีแรก น้าคิดว่าหมีแพนด้ามาเอง” น้าต้อยพูดติดตลกขณะเข้ามากอดผมเป็นคนสุดท้าย “ฝากดูแลนายน้อยด้วยนะ น้าเห็นแกไม่พูดกับใครเลย ถ้าขาดหมอเจไดไปคงแย่”

นี่ไม่ได้ถูกจ้างมาใช่ไหม...

“ครับ” ผมรับคำเสียงแห้ง ก่อนจะเดินตามภามไปขึ้นเรือ เมื่อหันกลับไปอีกครั้งก็เห็นทุกคนกำลังโบกไม้โบกมือให้อย่างร่าเริง เด็กๆ ตะโกนบอกว่าจะรอกันเสียงดังสนั่น ไม่มีความซึ้งอะไรเลย ยิ่งยามเห็นเจ้าตาลสะดุดอากาศหน้าทิ่มพื้น เสียงหัวเราะก็ยิ่งดังขึ้นไปอีกจนผมสบายใจตามไปด้วย

สถานที่ที่เต็มไปด้วยความทรงจำมากมาย...หวังว่าจะได้กลับมาอีกในเร็วๆ นี้นะ

“เข้ามาข้างในเถอะ” ภามเดินมาหาแล้วแตะไหล่ผมเบาๆ เกือบจะซึ้งที่เป็นห่วง คิดว่าจะกลัวเจ็บเท้าอยู่อะไรแบบนี้ อ๋อเปล่า... “เดี๋ยวก็ซุ่มซ่ามตกลงไป”

“ไม่ได้โง่ไหม” ผมหันไปขมวดคิ้วใส่หน้าเขาแล้วเดินนำเข้าไปในห้อง

เรือที่ไม้เอามาส่งผมกับภามคือเรือของคุณไฟที่ทิ้งเอาไว้ เขาบอกว่ามันเร็วและปลอดภัยที่สุดแล้ว เพราะถ้าให้นายน้อยนั่งเรือประมงเข้าฝั่ง ลุงเหมที่ออกเรือไปหาปลาตั้งแต่เช้าต้องตีจนตายแน่ๆ เมื่อเช้าผมก็เหมือนจะได้ยินดำพูดอยู่เหมือนกัน ว่าถ้าไม่มีเรือที่คุณไฟทิ้งไว้ ต้องมีคนตื่นเช้าเข้าฝั่งไปเอาเรือส่วนตัวของนายมารับชัวร์ๆ

อะไรจะขนาดนั้น...

น่าแปลกที่ครั้งนี้เวลาผ่านไปเร็วมากจนน่าตกใจ ผมหันไปมองหน้าเรืออีกทีก็เห็นฝั่งเมืองอยู่ไกลลิบๆ แล้ว อีกไม่นานก็คงถึง คิดแล้วก็แอบถอนหายใจออกมาอีกรอบ เพราะทันทีที่เท้าแตะพื้นฝั่ง นั่นหมายความว่าชีวิตของผมในฐานะหมอเจไดที่ถูกพักไว้ต้องดำเนินต่อไปอีกครั้ง ภาระงานมากมายคงโถมเข้าใส่จนปวดหัวไปหมด

“ขอโทรศัพท์หน่อย” คนที่นั่งเงียบอยู่ด้านข้างพูดขึ้นมา พร้อมทั้งยื่นมือมารอรับของที่ต้องการ ซึ่งผมก็ส่งให้ง่ายๆ โดยไม่ถามอะไร หางตาเห็นแวบๆ ว่าเขาเข้าหน้าไลน์และหน้าโทร คงกำลังแลกเปลี่ยนช่องทางการติดต่อกันอยู่ “เดี๋ยวถ้าถึงภูเก็ตแล้วผมจะส่งรูปที่เกาะทั้งหมดให้คุณอีกที”

“โอเค”

“คุณจะกลับกรุงเทพฯ ยังไงนะ รถไฟใช่ไหม”

“เปลี่ยนใจแล้ว ฉันว่าจะกลับรถทัวร์” ไหนๆ ขามาก็มารถไฟทั้งที ทริปนี้เอาให้ครบไปเลยแล้วกัน เครื่องบินผมเคยนั่งบ่อยแล้วสมัยไปเที่ยวตอนยังเรียนอยู่ เหลือก็แต่รถทัวร์ที่ยังไม่เคยนั่งแบบจริงๆ จังๆ นอกจากเวลาไปค่ายกับเพื่อน

“อา…”

หลังจากผ่านไปไม่ถึงยี่สิบนาที สุดท้ายเรือก็เข้ามาจอดเทียบฝั่งจนได้ ผมนั่งนิ่งเป็นตอไม้ มองดำกับไม้ที่พากันเดินลงไปจากเรือก่อนโดยไม่ได้ลุกตามไป ในใจยังรู้สึกเหมือนมีบางอย่างที่อยากคุยกับภามก่อนที่จะต้องแยกไปคนละทาง ไม้บอกว่าเขาจะพาผมไปส่งที่สถานีขนส่ง ส่วนดำจะพาภามไปสนามบิน ทุกคนแบ่งหน้าที่กันเรียบร้อยหมดแล้ว เหลือแค่รอให้เราเดินแยกกันไปขึ้นรถสองคันที่เตรียมไว้

แต่ถ้าผมยังนั่งบื้อ ไม่ยอมพูดอะไรอยู่แบบนี้ เราคงไม่ได้ไปไหนสักที

“ภาม…” คล้ายประโยคที่อยากพูดถูกลืมไปชั่วขณะ ยามได้มองสบตาคนที่นั่งนิ่งอยู่ฝั่งตรงข้าม

เราจะมีโอกาสได้เจอกันอีกไหม...

ผมเม้มปากแน่น กลั้นคำถามที่อยากรู้เอาไว้ในใจ ด้วยเกรงว่าถ้าส่งเสียงออกไปจะเผลอแสดงความอ่อนแอให้เขาเห็น โชคดีที่ภามไม่ได้คาดคั้น เขาแค่มองกลับมานิ่งๆ จนผ่านไปครู่หนึ่งถึงได้ถอนหายใจออกมาเบาๆ

“จำที่ผมเคยบอกว่าจะช่วยตามหาในสิ่งที่คุณขาดได้ไหม” แล้วก็เป็นเขาที่ทำลายบรรยากาศอันน่ากระอักกระอ่วนใจโดยการเปลี่ยนเรื่อง ราวกับรู้อยู่แล้วว่าผมจะถามอะไร และทำไมถึงพูดต่อไม่ออก

“จำได้”

ภามยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย ยามได้รับคำตอบและการพยักหน้าหงึกหงักยืนยันอย่างมั่นใจ

“อันที่จริงผมรู้แล้วว่ามันคืออะไร ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะรับไว้หรือเปล่า”

“คืออะไร” ผมเลิกคิ้วรอฟังด้วยความประหลาดใจปนสนอกสนใจ ขนาดตัวเองยังไม่รู้เลยว่าสิ่งที่ขาดคืออะไร ถ้าเขารู้แล้วบอกได้ตรงจุดจริงๆ ผมคง...

“คุณกลับไปรอที่กรุงเทพก่อน เดี๋ยวสิ่งนั้นจะไปหาคุณเอง”

เป็นงั้นไป...

อยากจะอ้าปากด่าอะไรสักคำก็พูดไม่ออกอีก ยิ่งเห็นใบหน้าเฉยชาที่ดูคล้ายจะขำแต่ไม่ขำก็ยิ่งไม่รู้จะพูดอะไร เกลียดความจงใจทำให้อยากรู้แล้วจากไปจริงๆ

“แล้วนายล่ะ เจอหรือยังความสุขที่เคยบอก” ผมเปลี่ยนเรื่องไปถามเขาบ้าง เพราะรู้ดีว่าต่อให้คาดคั้นยังไง ภามก็ไม่ยอมพูดอะไรไปมากกว่านั้นแน่นอน ถ้าเขาบอกให้รอก็ต้องรออยู่ดี

“ผมเคยบอกแล้วว่าเวลาอยู่กับคุณผมมีความสุข แค่ยังไม่มั่นใจว่ามันจะเป็นความสุขถาวรหรือเปล่า” เขาพูดพร้อมกับลุกขึ้นยืน เดินตรงเข้ามาหา ยกกระเป๋าผมไปถือไว้ให้ เป็นสัญญาณบ่งบอกว่าเราควรจะไปได้แล้ว “แล้วถ้าจะถามว่าถาวรหรือยังก็คงขึ้นอยู่กับคำตอบของคุณ ว่าจะยอมให้ผมอยู่ข้างๆ ไปตลอดได้ไหม”

ผมอ้าปากค้าง มองคนที่ยังไม่ยอมเดินไปไหนราวกับกำลังรอคำตอบด้วยใจที่เต้นแรง สุดท้าย...ก็พูดออกมาได้เพียงคำเดียว

“ไม่...ไม่รู้”

ไม่รู้จริงๆ ว่าควรจะตอบอะไร

ภามยกมือขึ้นแตะแก้มผม บังคับให้เงยหน้ามอง ก่อนจะส่ายหน้าแล้วส่งแววตาที่ดูเข้าอกเข้าใจมาให้

“ไม่เป็นไร ผมรอได้”

“…” ผมเม้มปากแน่นแล้วเดินไปตามแรงจูงของเขา

เราเดินลงมาจากเรือพร้อมกัน โดยที่คนด้านข้างดูจะเป็นห่วงเท้าผมมากเหลือเกิน เพราะก่อนจะถึงฝั่ง เราจำเป็นต้องลุยน้ำทะเลสูงครึ่งแข้งเข้าไปก่อน ใจจริงผมอยากบอกว่ามันไม่ได้รู้สึกอะไรแล้ว แต่พอเห็นเขามองและคอยประคองอยู่ตลอดก็เปลี่ยนใจไม่พูดอะไร รอจนเท้าเหยียบทราย ภามก็ส่งกระเป๋าให้ดำกับไม้แล้วหันมาหา...เป็นครั้งสุดท้าย

“เอาไว้เจอกัน” ผมเป็นฝ่ายพูดขึ้นก่อน พร้อมกับยกยิ้มให้อย่างจริงใจ “ขอบคุณสำหรับทุกอย่าง ทริปนี้สนุกมาก”

ไม่ใช่แค่ได้เจอกัน แต่ได้ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ทำกิจกรรมร่วมกันแทบทุกอย่างตลอดระยะเวลาหนึ่งเดือน สิ่งที่เกิดขึ้นมันมีค่าสำหรับผมมาก แม้จะใจหายหน่อยๆ และแอบรู้สึกอยากจับเขายัดใส่กระเป๋าแบกกลับบ้านไปด้วย จะได้มีคนคอยดูแลอยู่ตลอด แต่ในความเป็นจริงผมย่อมรู้ดีว่าทำแบบนั้นไม่ได้

“เอาไว้เจอกัน” ภามลูบหัวผมอีกครั้ง ก่อนเขาจะหมุนตัวเดินตามหลังดำไป ทุกอย่างดูเป็นปกติมากจนผมรู้สึกแปลกๆ เหมือนกับเขาไม่ได้ใจหายหรือดูโหยหากันเลยสักนิด...ทั้งที่บอกว่าชอบแท้ๆ

ผมมองตามหลังภามไปจนระยะทางระหว่างเรากว้างขึ้นเรื่อยๆ และสุดท้ายก็เป็นตัวเองที่ทนไม่ไหว...

“ภาม!”

“หืม” เขาหันกลับมา คิ้วเข้มเลิกขึ้นเล็กน้อยเป็นเชิงถาม

“ฉันไม่ได้เมา”

ที่ถามว่าไม่ได้เมาใช่ไหม...คำตอบคือใช่

และถ้าอยากถามว่าเต็มใจใช่ไหม....คำตอบก็คือใช่เหมือนกัน

ผมเต็มใจให้เขาจูบ

“ผมรู้อยู่แล้ว” ภามยิ้ม...และมันเป็นรอยยิ้มที่อ่อนโยนที่สุดเท่าที่ผมเคยเห็นมา “รอก่อนนะ”

แล้วผมก็ได้เข้าใจ...

เพราะจะรีบมาหา นายถึงได้ไม่ดูโหยหาใช่ไหม ที่รีบไป...ก็เพราะจะทำธุระให้เสร็จไวๆ ใช่หรือเปล่า

คำถามที่ไม่ต้องการคำตอบมากมายดังก้องอยู่ในใจซ้ำไปซ้ำมา แม้ยามเห็นเขาก้าวเท้าขึ้นรถไปแล้ว ผมก็ยังยืนอยู่ที่เดิม จ้องมองป้ายทะเบียนของรถคันที่เขานั่งไปจนสุดสายตา

“ฉันจะรอ”



ไม้ขับรถพาผมไปส่งถึงสถานีขนส่ง รวมถึงจัดการเรื่องตั๋วและนั่งรอเป็นเพื่อนอย่างอดทน ผมไล่ให้กลับไปก่อนก็บอกว่ายังไงก็ต้องรอดำที่ไปส่งภามอยู่ดี แล้วก็อย่าหวังเลยว่าฝ่ายนั้นจะปล่อยให้ภามนั่งรอคนเดียว ขืนทำแบบนั้นต้องโดนตีตูดลายแน่นอน

“แค่ความผิดโทษฐานไปบอกความจริงเอ็งตอนนั้น มันก็จะโดนลุงเหมสำเร็จโทษอยู่หลายทีแล้ว” ไม้ว่าขำๆ แล้วยัดไก่ที่ผมซื้อให้เข้าปาก

จะว่าไปแล้วที่ผมรู้ความจริงเรื่องเรือเข้าเกาะและเรื่องอื่นๆ ต้นเหตุก็มาจากตอนเข้าฝั่งไปส่งคุณไฟกับน้องลม ดำเอามาบอกหมดเลยนี่นะ ใครจะไปคิดว่าแค่ถามอะไรไปเรื่อยเปื่อยแล้วเขาจะเผยความลับออกมาจนหมดแบบนั้น

“ไม่คิดว่าดำจะเอามาพูดเหมือนกัน”

“ไอ้ดำมันโง่แถมยังขี้ลืมจะตาย” ไม้ถอนหายใจยาวเหยียด “ตอนลุงเดินไปบอกทุกคนให้เก็บเป็นความรับ มันก็นั่งแทะปลาอยู่ข้างข้าแท้ๆ เผลอแป๊บเดียวลืมหมดละ”

“อย่าว่าเพื่อนแบบนั้นเลย” ผมแสร้งทำตัวเป็นคนดีทั้งที่ขำไม่แพ้กัน ยังไงก็ต้องขอบคุณดำนั่นแหละ ไม่งั้นผมคงไม่รู้เรื่องอะไรเลยแน่ๆ

หลังจากนั่งรอรถกันอยู่เกือบชั่วโมง ในที่สุดรถทัวร์ก็เข้ามาจอดเทียบชานชาลา คนที่นั่งรออยู่หลายคนแบกกระเป๋าเดินไปขึ้นรถ ไม้เองก็เป็นหนึ่งในคนที่ยกกระเป๋าไปเก็บให้ผม เห็นร่างเล็กๆ ของอีกฝ่ายแล้วผมได้แต่ส่ายหน้าหน่าย ตัวก็เล็กกว่าแล้วยังจะดื้อถือกระเป๋าให้อีก ถึงจะดูมีเนื้อมีหนังและมีแรงมากกว่าก็เถอะ แต่ผมไม่ใช่นายน้อยที่เขาต้องมาเอาใจเสียหน่อย

“ไม่ต้องบริการขนาดนี้ก็ได้ นี่ไม่ใช่ภามนะ” ผมว่าติดตลก แต่ไม้กลับหันหน้ามาตอบจนแทบไปต่อไม่ได้

“เมียนายน้อยก็ถือเป็นเจ้านายเหมือนกันนั่นแหละ ไปขึ้นรถได้แล้วครับผม”

“ไว้เจอกัน” รีบไปก่อนจะได้เตะคนส่งท้ายดีกว่า

“บายเมียนายน้อย”

กวนตีน...

เมื่อขึ้นมานั่งประจำที่เรียบร้อยแล้ว ผมก็รีบหันไปมองนอกหน้าต่าง เห็นไม้กระโดดโบกไม้โบกมือให้เป็นเด็กๆ จะว่าไปแล้วก็ลืมแกล้งแซวเรื่องคุณไฟไปเลย ไม่รู้ยังได้ติดต่อกันหรือเปล่า คิดได้ดังนั้นผมเลยขยับปากเป็นคำว่าคุณไฟซ้ำไปซ้ำมา พออีกฝ่ายหรี่ตาอ่านปากรู้เรื่อง ท่าทางร่าเริงก็จางหายไปแทบจะทันที กลายเป็นใบหน้ามึนตึงแทน นี่ถ้าชูนิ้วกลาวใส่ได้ ไม้คงชูใส่ผมไปแล้ว

หลังจากรถออก ไม่มีเพื่อนคุยเหลืออยู่เลยสักคน โทรศัพท์ที่ไม่ได้แตะนานเลยถูกหยิบขึ้นมาโดยไร้ทางเลือก ผมถอนหายใจเมื่อเห็นข้อความเป็นพันในไลน์ แล้วยังมีสายที่ไม่ได้รับอีกสิบกว่าสาย ไม่รู้ว่าเบอร์ใครบ้าง แต่เลื่อนๆ ดูแล้วไม่น่าจะมีสายสำคัญอะไร ทว่าในตอนที่กำลังจะกดออกจากโปรแกรม โทรศัพท์ที่ผมปิดเสียงไว้ก็สั่นอยู่สองครั้ง ด้านบนจอมีคนชื่อ asdf ทักมา

asdf: ถึงบ้านแล้วบอกด้วย

asdf: เดินทางปลอดภัย

Anakin: ภาม?

asdf: ผมเอง

Anakin: ไหนบอกว่าไม่ถนัดภาษาไทยไง ทำไมพิมพ์คุยได้

asdf: เรียนมาแล้ว แต่อาจจะพลาดอยู่บ้าง

Anakin: เหรอ...

ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่ผมใช้เวลาไปกับการพูดคุยไลน์ จวบจนผ่านไปพักหนึ่งเขาถึงได้บอกว่าตัวเองต้องไปขึ้นเครื่องแล้ว แชทไลน์ที่ผมคุยบ้าบอกับภามเกือบร้อยข้อความถูกปิดท้ายด้วยสติกเกอร์คนละหนึ่งตัว ก่อนจะแยกย้ายกันไปโดยให้สัญญาว่าถ้าใครถึงก่อนจะต้องทักมาบอก

แล้วทำไมต้องทำแบบนั้นด้วยวะเนี่ย...

asdf: *ส่งของขวัญ*

asdf: ผมให้คุณ บาย

ผมกะพริบตาปริบๆ ตามองสติกเกอร์แมวที่อีกคนส่งมาให้เงียบๆ ก่อนจะตัดสินใจกดโหลดและใช้งานมันในทันที

Anakin: *สติกเกอร์แมวไฟลุก*

ไม่มีเสียงตอบรับใดๆ...สงสัยคงไปขึ้นเครื่องแล้ว

“ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ไม่หยุดเลยนะ” เสียงพูดที่ดังขึ้นจากทางด้านข้างทำเอาผมสะดุ้งเฮือก เกือบปล่อยโทรศัพท์ในมือทิ้ง ดีที่ตั้งตัวได้ทันก่อน “ขอโทษด้วยจ้ะ ยายไม่คิดว่าจะตกใจขนาดนั้น”

คุณยายสูงอายุที่นั่งข้างผมหัวเราะเบาๆ จนตาปิด ดูจากลักษณะท่าทางแล้วคงจะมาคนเดียวเหมือนกัน ไม่รู้ว่าผมเผลอยิ้มกว้างขนาดไหน ถึงปล่อยให้ท่านเห็นจนทักขึ้นมาได้

“ขอโทษด้วยนะครับ” ผมค้อมศีรษะลงอย่างเกรงใจ

“ไม่เป็นไรหรอกจ้ะ พ่อหนุ่มไม่ได้ส่งเสียงอะไรเลย ยายแค่เห็นสีหน้ามีความสุขมากเลยอดทักไม่ได้” คุณยายยิ้มกว้างจนผมต้องยิ้มตามไปด้วย จากคนแปลกหน้าที่ไม่รู้จักกันมาก่อน กลายเป็นนั่งพูดคุยกันไปตลอดทาง คงเพราะเราเดินทางกันตอนกลางวันด้วยเลยไม่มีใครง่วง เวลาจะพูดอะไรก็ไม่ต้องเกรงใจคนอื่นๆ มากนัก เพราะพวกที่มาด้วยกันพูดคุยดังกว่าที่ผมกระซิบคุยกับคุณยายหลายเท่า

“คุณยายมาคนเดียวเหรอครับ”

“ใช่จ้ะ ยายว่าจะไปเซอร์ไพร์สหลานน่ะ” คุณยายจิตหัวเราะคิกคักแล้วหันมาถามผมบ้าง “แล้วพ่อหนุ่มล่ะจ๊ะ”

“จริงๆ ผมมาเที่ยวที่นี่น่ะครับ ที่กลับกรุงเทพครั้งนี้คือกลับมาทำงาน มาใช้ชีวิตตามปกติแล้ว” พูดแล้วก็อดถอนหายใจไม่ได้ ยังรู้สึกเหมือนได้พักไม่เต็มอิ่มเลย

“ช่วงเวลาพักผ่อนมันสบายใช่ไหมล่ะ” ท่านพยักหน้า ทำท่าทางเหมือนเข้าใจความรู้สึกของผมเป็นอย่างดี “ตอนสาวๆ ยายก็ทำงานหนักเหมือนกัน ได้พักทีเหมือนขึ้นสวรรค์เชียว”

“แล้วตอนทำงานหนักๆ หรือไม่รู้จะทำอะไรดี คุณยายท้อบ้างไหมครับ”

“ก็มีบ้างนะ เป็นเรื่องปกติของมนุษย์นั่นแหละ อยู่ที่ว่าใครจะตกอยู่ในช่วงเวลานั้นช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง”

“แล้วทำยังไงเหรอครับ”

“ยายโชคดีที่เจอตาไวจ้ะ” ท่านหยิบบางอย่างออกจากกระเป๋าเสื้อแล้วส่งมาให้ผม มันคือรูปภาพเก่าๆ เป็นสีขาวดำของชายหญิงคู่หนึ่ง “เวลาท้อก็มีคนให้กำลังใจ บอกให้รู้ว่าเราอยู่ไปเพื่ออะไร ยายเคยอยากเลิกเป็นพยาบาลเหมือนกัน เพราะมันเหนื่อยเหลือเกิน นอกจากทำงานหนักแล้วยังไม่มีเวลาให้ตาอีกต่างหาก”

“…"

“แต่ว่านะ...มันคือชีวิตของยาย จะทิ้งไปก็คงไม่ได้”

ชีวิต...ของคุณยายงั้นเหรอ

“คุณตาท่านก็เข้าใจคุณยายใช่ไหมครับ”

“เพราะเข้าใจเราถึงอยู่ด้วยกันได้จ้ะ ถ้าตาไม่เข้าใจ บอกให้ยายเลือกระหว่างอาชีพที่รักกับตัวเอง ยายคงร้องไห้แน่ๆ” ฝ่ามือเหี่ยวย่นที่ยังคงดูสุขภาพดียื่นมารับรูปถ่ายคืนไป “เมื่อถึงจุดหนึ่งเราจะได้รู้เองว่าคนที่เข้าใจเรา คือคนที่เหมาะสมกับเราที่สุดแล้ว”

“คุณตาน่ารักมากเลยครับ” ผมชื่นชมจากใจจริง โดยไม่คิดอยากถามเลยสักนิดว่าตอนนี้ท่านอยู่ที่ไหน เพราะถึงอย่างไร การที่คุณยายยังคงคิดถึงและยิ้มอยู่เสมอเพียงแค่ได้พูดถึง ก็แสดงให้เห็นแล้วว่าคุณตายังคงอยู่ในหัวใจของท่านตลอดมา

หลังจากอยู่บนรถนานหลายชั่วโมงจนฟ้าเริ่มเปลี่ยนเป็นสีเข้ม ในที่สุดผมก็เดินทางมาถึงกรุงเทพฯ จนได้ เพียงแค่ได้ก้าวเท้าลงมาจากรถ ลมกลางคืนก็พัดเข้ามากระทบใบหน้า เป็นความรู้สึกเดียวกันกับที่เคยสัมผัสมาเกือบทั้งชีวิต แต่ไม่รู้ว่าทำไมผมถึงได้คิดว่ามันแปลกไป

ไม่รู้ว่าแปลกที่สถานที่...หรือแปลกที่ตัวเองกันแน่

“แม่ครับ!” เสียงเรียกด้วยความร้อนรนดังขึ้น พร้อมๆ กับที่มีคุณลุงคนหนึ่งวิ่งเข้ามาหาแล้วเข้ามาประคองคุณยายจิตไว้แทนผม

“ทำงานเสร็จแล้วเหรอ ได้บอกหลานหรือเปล่าว่ายายจะมาหา”

“ไม่ได้บอกครับ ก็แม่ไม่ให้ผมบอก ดื้อจริงๆ เลย บอกแล้วว่าเดี๋ยววันหยุดผมจะพาเด็กๆ ไปหาอยู่แล้ว ยังจะเหนื่อยนั่งรถมาเองอีก”

ผมยืนมองสองแม่ลูกเถียงกันด้วยรอยยิ้ม จวบจนเมื่อคิดว่าสมควรไปได้แล้ว เลยคิดจะเดินเนียนออกไปเงียบๆ ไม่คาดคิดว่าจะถูกรั้งเอาไว้ก่อน

“พ่อหนุ่ม” คุณลุงส่งยิ้มจางมาให้เมื่อเห็นว่าผมหันไปหาตามคำเรียก “ขอบคุณมากนะที่ช่วยดูแลแม่ลุง”

“ไม่เป็นไรครับ”

หลังจากร่ำลากันอยู่นานสองนาน สุดท้ายก็จบลงด้วยการที่คุณลุงแกเดินไปซื้อน้ำมาให้ผมเป็นการขอบคุณ จะไม่รับก็ไม่ได้ เพราะขืนไม่รับคงได้คุยนานกว่าเดิม ผมเลยต้องรับมาถือเอาไว้โดยไม่ลืมยกมือไหว้ท่านทั้งคู่

“กลับบ้านดีๆ นะจ๊ะ” คุณยายจิตยกมือขึ้นลูบไหล่ผมเบาๆ เป็นการส่งท้าย “แล้วก็...”

“ครับ?”

“คนที่ทำให้พ่อหนุ่มยิ้มกว้างได้มากขนาดนั้น อย่าลืมเก็บรักษาเอาไว้ดีๆ นะ”

ผมยืนนิ่งอยู่ที่เดิมเพียงลำพังพักใหญ่ ใจนึกถึงหลายสิ่งที่คุณยายพูดออกมา แล้วยังพาลนึกไปถึงหน้าภามจนต้องหยิบโทรศัพท์ออกมากดบอกเขาว่าถึงกรุงเทพฯ แล้วด้วย พอเห็นรูปโปรไฟล์สีดำในจอไลน์ของเขา คำพูดประโยคสุดท้ายที่คุณยายบอกก็ย้อนกลับมาเข้ามาในสมองอีกครั้ง

ก็ถ้าเขาไม่หายไป...ผมก็คงไม่ไล่ให้ไปไหนอยู่แล้ว

ไม่อยากจะเชื่อเลยว่าในเวลาไม่กี่ชั่วโมง ผมได้กลับมาถึงกรุงเทพฯ เรียบร้อยแล้ว พอถึงพรุ่งนี้ก็คงต้องเข้าโรงพยาบาล ไปทำงานและใช้ชีวิตในฐานะหมอเหมือนเดิม แต่ก็อย่างที่คุณยายว่า...มันคือชีวิตของผม อาชีพหมอคือส่วนหนึ่งของชีวิตผมไปแล้ว เพราะงั้นจะทิ้งไปก็ไม่ได้

ยิ่งได้มองไปรอบๆ เห็นผู้คนมากมายที่นอนบ้างนั่งบ้างอยู่เต็มชานชาลา ผมก็ยิ่งเข้าใจในสิ่งที่คุณยายพูด จำได้ว่าตอนจะนั่งรถไฟ ผมเคยมองภาพของคนอื่นๆ ด้วยความไม่เข้าใจ รู้สึกแปลกๆ ทั้งที่ก็ไม่รู้ว่าสงสัยอะไร มาวันนี้ถึงได้เข้าใจว่าคนทุกคนมีชีวิตเป็นของตัวเอง บางคนลำบาก ฐานะไม่ดี กว่าจะเดินทางได้ต้องใช้เวลานานเพื่อเก็บเงิน แต่กลับมีความสุขแค่เพราะจะได้กลับไปเจอหน้าครอบครัวหรือคนสำคัญที่อยู่ไกลกัน

ผมเองก็เป็นเหมือนทุกคน เป็นเหมือนคุณยาย ทั้งชีวิตต้องผูกติดอยู่กับการเป็นหมอ ถึงจะเหนื่อยแค่ไหนก็เป็นสิ่งที่เลือกแล้ว ที่มันว่างเปล่าขนาดนี้ อาจเป็นเพราะกำลังรอใครสักคนที่จะช่วยดูแลยามกลับไปถึงบ้านแล้วรู้สึกเหนื่อย คอยปลอบโยนเวลารู้สึกท้อ ใครสักคนเหมือนที่คุณยายมีคุณตา เหมือนที่พ่อมีแม่ ใครสักคนที่เข้าใจในสิ่งที่เราเลือกแล้ว และอยากเข้ามาแชร์ความรู้สึกเหนื่อยล้าของชีวิตไปด้วยกัน

ความหมายของชีวิต เหตุผลในการมีชีวิต หนทางแก้ไขความรู้สึกแย่ๆ ที่เป็นอยู่

ถึงจะยังตอบไม่ได้ว่าใช่แบบที่คิดหรือเปล่า หรือบางทีอาจจะรู้อยู่แล้ว เพียงแต่ไม่อยากยอมรับ

แต่มีสิ่งหนึ่งที่แน่ใจ...

ดูเหมือนว่าผม...จะได้รับการเยียวยาไปแล้วโดยไม่รู้ตัว


—————————-
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.21]== [19/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 19-08-2018 19:44:12
อ่านตอนนี้แล้วยิ้มไม่หุบเลยค่ะ ถึงจะแอบใจหายนิดๆตอนที่ต้องออกจากเกาะแล้ว รอเค้ากลับมาเจอกันอีกนะคะ แต่ภามคงไม่ปล่อยให้หมอรอนานแน่ๆเลย555
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.21]== [19/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 19-08-2018 20:13:21
จากกันเพื่อมาเจอกันอีกครั้ง . .. ยิ้มตามเลยค่ะน่ารักมากเลย
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.21]== [19/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 20-08-2018 02:29:55
กลับมาใช้ชีวิตที่เต็มไปด้วยความเร่งรีบตามปกติแล้ว  :katai4:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.21]== [19/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: EoBen ที่ 21-08-2018 15:34:01
ไม่ได้เข้ามาอ่าจสักพักนึง มายาวแบบจุใจมากเลยค่ะ



ตอนจากการ ภามดูใจเย็นจัง ในขนาดที่พี่หมอ ดูนอยๆ


ชอบเค้ากลับแล้วละจ๊ะหมอจ๊า
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.21]== [19/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 22-08-2018 19:50:14
-22-


ปกติเวลาได้กลับไปในสถานที่ที่ไม่ได้กลับมานาน เขาต้องมีช่วงอารมณ์ยืนหล่อ พร่ำเพ้อพรรณนาถึงความคิดถึงและอะไรต่างๆ นานาอีกมากมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่แทบไม่เคยอยู่ห่างบ้านแล้วต้องจากบ้านไปนานๆ มันน่าจะเกิดขึ้นกับผมเหมือนกัน หากไม่ใช่ว่าแค่ก้าวเท้าลงมาจากรถ เงยหน้ามองบ้านเดี่ยวขนาดกลางอยู่เพียงสิบวิ เสียงทุ้มของตาลุงคนหนึ่งก็ดังขึ้นแบบพอดิบพอดี

“ยืนเกาไข่อยู่ได้ ยังไม่รีบเข้ามาอีก”

“ตาลุงข้างบ้านมาอยู่ในรั้วบ้านผมได้ไงเนี่ย” ผมทำสีหน้าประหลาดใจ ขณะมองคนแก่ที่กำลังยืนเก๊กอยู่ตรงสวนเล็กๆ ของบ้านตัวเอง พุงพุ้ยแล้วยังกล้าถอดเสื้ออีก แล้วนั่นอะไร...สายยางเหรอ “กินยาผิดขวดเหรอลุง ทำไมมารดน้ำตอนเกือบสี่ทุ่มเนี่ย”

“ปากดีนะไอ้หนวด”

“ไม่หนวดแล้ว...เฮ้ย!” จากที่กำลังจะอวดหน้าใสๆ ให้ดู กลายเป็นผมต้องกระโดดหนีน้ำเป็นการใหญ่ เพราะคนที่มีอาวุธอยู่ในมือเล่นฉีดใส่ผ่านรั้วแบบไม่เกรงอกเกรงใจเสื้อผ้าและกระเป๋าที่ผมถืออยู่เลยสักนิด “พ่อ!”

“ยังรู้นี่ว่าฉันเป็นพ่อ!” ตาลุงข้างบ้านยกนิ้วชี้หน้าผมแล้วกระทืบเท้าด้วยความโมโห “บังอาจเรียกลุงข้างบ้าน เดี๋ยวจะโดน”

“ยังไม่ชินอีกหรือไง” ผมบ่นงึมงำแล้วเดินไปเปิดรั้ว นาทีนี้อยากอาบน้ำนอนเต็มแก่แล้ว แถมยังไม่ได้ไปทักคนสวยเลยด้วย คุยกับตาลุงนี่ไปก็เสียเวลาเปล่า น่าจะใช้เวลาไปกับการตีกันมากกว่าคุยดีๆ

“พรุ่งนี้บ่ายเข้าโรงพยาบาลไปดูตารางงานด้วย” คนที่ยังรดน้ำต้นไม้ไม่เลิกพูดทิ้งท้าย พอผมส่งเสียงอือออตอบรับก็ไม่ได้ขัดอะไรอีก

บ้านหลังกลางที่ผมอยู่กับพ่อแม่เป็นบ้านที่ซื้อไว้นานแล้ว ชั้นล่างมีห้องรับแขก ห้องครัว ห้องเก็บของ ส่วนชั้นบนมีห้องแค่สองห้อง คือห้องพ่อแม่กับห้องผม แต่เพราะมีแค่สองห้องนั่นแหละ เลยไม่ต้องปันส่วนไปใช้ทำอย่างอื่น พื้นที่ด้านในถึงได้มีมากตามไปด้วย

ครั้งหนึ่งผมเคยถามแม่ว่าอยากซื้อบ้านใหม่ไหม แต่ท่านบอกว่าอยากจะอยู่ที่นี่กับพ่อไปจนแก่ เพราะเป็นบ้านที่เก็บเงินซื้อกันเอง ซึ่งถ้าผมอยากไปซื้อบ้านของตัวเองก็ยินดี เพราะพวกท่านอยากให้ผมมีพื้นที่ส่วนตัว แค่เสาร์อาทิตย์กลับมาหาก็พอแล้ว ฟังแล้วเหมือนจะดีนะ แต่มันดันออกมาจากปากพ่อ ผมเลยสรุปได้ว่า ตาแก่นั่นต้องการไล่กันไปชัดๆ ตัวเองจะได้อยู่กับแม่สองคน แค่นึกถึงก็หมั่นไส้แล้ว

จำได้ว่าตอนนั้นผมตอบพ่อกับแม่ไปว่า ถ้ามีคนรักเมื่อไหร่ก็คงจะย้ายไปอยู่ด้วยกัน ถ้าเขาเต็มใจน่ะนะ แต่ว่า...เห็นทีคงจะยาก นานแล้วที่ผมไม่ได้สนใจใครเลย...

ครืด

เสียงโทรศัพท์สั่นทำให้ผมหลุดออกจากภวังค์ มือหยิบมันขึ้นมาเปิดดูโดยอัตโนมัติ ก่อนจะเผยยิ้มออกมาโดยไร้เหตุผล ยามเห็นว่าคนที่ทักมาอย่างได้จังหวะคือใคร

asdf: ถึงบ้านหรือยัง

Anakin: ถึงแล้ว

asdf: ฝันดี

Anakin: ฝันดี *สติกเกอร์กระต่ายนอนหลับ*

ภามก็ยังเป็นภามที่พูดและพิมพ์ทุกอย่างแบบกระชับ ทั้งยังดูเข้าใจกันแม้ไม่ได้เห็นหน้า เขาคงรู้ว่ามันถึงเวลานอนของผมแล้วถึงไม่ได้ชวนคุยหรือพูดอะไรต่อ ทั้งที่ตัวเองมีเวลาเยอะแยะ เพราะน่าจะยังไปไม่ถึงที่หมายเลยด้วยซ้ำ

“ใครน้ามายืนยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่หน้าบันได”

“คนสวย!” ผมเงยหน้าร้องเรียกคุณแม่คนสวยที่ยืนอยู่บนบันไดขั้นบนสุดด้วยความดีใจ คิดถึงจนเผลอปล่อยกระเป๋าลงพื้นแล้ววิ่งตึงตังขึ้นบันไดไปกอดไว้แน่น

“อะไรกันลูกคนนี้ ทำตัวเป็นเด็กๆ ไปได้” ถึงจะว่าแบบนั้นแต่มือเล็กๆ ที่ไม่ได้นุ่มนิ่มของคนพูดก็ยังลูบหัวผมอย่างอ่อนโยน

“คิดถึงคนสวยจังเลย”

“เอาไว้พรุ่งนี้เช้าค่อยมาอ้อนเถอะ ไปอาบน้ำนอนไป”

“หน้าผมง่วงมากเลยใช่ไหม” ผมเงยหน้าถามแล้วหัวเราะอารมณ์ดี ทำไงได้ ก็มันถึงเวลานอนแล้วนี่นา

“ง่วงมาก แต่ดูได้เพราะเอาหนวดออกไปแล้ว ถ้าให้เดาคงโดนใครบังคับมาล่ะสิ” คนสวยหรี่ตารู้ทัน ก่อนจะเปลี่ยนเป็นส่ายหน้าหน่ายแทนเมื่อเห็นผมผละออกมาแล้วเดินลงไปหยิบกระเป๋า เป็นสัญญาณของการตัดบทเพราะไม่อยากตอบ

“ไปนอนดีกว่า” ว่าแล้วก็จุ๊บแก้มใสหนึ่งที “ฝันดีครับ”

“เรานี่นะ...” แว่วเสียงทอดถอนใจดังขึ้นจากทางด้านหลัง แต่เพราะผมวิ่งเข้าห้องมาแล้วเลยไม่ได้ยินอะไรมากไปกว่านั้น ซึ่งก็เป็นเรื่องดีแล้วแหละ ถึงคนสวยจะใจดีขนาดไหน แต่ถึงคราวจะบ่นขึ้นมาก็ทำเอาหูชาได้เหมือนกัน

ห้องนอนของผมเป็นห้องนอนที่เอาไว้ใช้นอนจริงๆ นอกจากของบางชิ้นที่ตั้งทิ้งไว้ตั้งแต่เด็กอย่างพวกกรอบรูป สิ่งอื่นๆ ล้วนเป็นเพียงของใช้จำเป็นเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นตู้เสื้อผ้า โต๊ะเขียนหนังสือ หรือแม้แต่โคมไฟ ทุกอย่างคือผมใช้จริงทั้งหมด ส่วนไอ้ของตกแต่งอย่างอื่น จำได้ว่าขนไปทิ้งตั้งแต่ปีก่อน เพราะรู้สึกว่ามันทำให้ห้องสกปรกง่ายขึ้น ไม่ใช่ว่าผมรักความสะอาดอะไรขนาดนั้นนะ แต่ขี้เกียจทำความสะอาดต่างหาก

ผมไม่ชอบให้ใครมายุ่งกับพื้นที่ส่วนตัว ดังนั้นแม่บ้านที่จ้างมาจึงไม่ได้เข้ามาทำความสะอาดในห้อง ทุกอย่างต้องทำเองทั้งหมด แม้แต่การล้างห้องน้ำก็ด้วย จะว่าไปแล้วกระทั่งแม่หรือพ่อก็แทบไม่ได้เข้ามาในห้องเลย นอกจากผมจะเป็นฝ่ายเปิดประตูให้เอง

หลังจากอาบน้ำอะไรเรียบร้อยแล้ว แทนที่จะนอนหลับเป็นตายตามปกติ มาวันนี้ผมกลับนอนไม่หลับซะอย่างนั้น ไม่รู้ทำไมถึงคิดว่าห้องนอนของตัวเองกว้างขวางเกินไป เตียงก็ใหญ่ไป เสียงแอร์ก็ดังน่ารำคาญ และที่สำคัญ...

หมอนข้างไม่ได้ช่วยให้หลับสบายขึ้นเลย

ไม่ว่าจะพยายามอย่างไร ผมก็ยังนอนไม่หลับเสียที สุดท้ายต้องยอมแพ้ หยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดแบบเซ็งๆ และในเวลาที่กำลังจะกดเข้าไลน์นั่นเอง...

ครืด ครืด

สายเรียกเข้า

[เหงาเหรอ] เสียงทุ้มต่ำจากปลายสายทำเอาผมหน้าตึง จากที่เอ๋อๆ กดรับสายไปแบบงงๆ กลายเป็นสติสตังกลับเข้าร่างเพราะโดนรู้ทันทั้งที่ยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ

“มั่ว ใครเหงา ไม่มี๊!”

[เสียงสูงเชียว]

“แกล้งเล่นหรอกน่า” ผมหัวเราะ จู่ๆ ก็อารมณ์ดีขึ้นมาอย่างไร้เหตุผล “แล้วโทรมาได้ไง ฝันดีกันไปแล้วไม่ใช่เหรอ”

[ก็ลองโทรดู ถ้าคุณรับแสดงว่ายังไม่หลับ]

“รู้ดีจริงๆ กินอาหารยี่ห้ออะไรเนี่ย” ขอหน่อยเหอะ ยังไงตอนนี้เขาก็ทำอะไรผมไม่ได้ ไม่จำเป็นต้องกลัวอยู่แล้ว

[ปากดี ระวังจะโดน] ภามทำเสียงคาดโทษ ผมเผลอขนลุกไปแป๊บหนึ่ง แต่พอนึกขึ้นได้ว่าอยู่ไกลกันขนาดไหน ปากช่างหาเรื่องก็กลับมาทำงานอีกครั้ง

“จะทำอะไรได้”

[หึ…]

เดี๋ยวก่อน มันแค่ขำหึคำเดียวเองนะ แล้วผมจะหวาดเสียวไปทำไมวะเนี่ย

“ว่าแต่นายเถอะ ถึงหรือยัง” ผมชวนเปลี่ยนเรื่องเพราะเริ่มไม่แน่ใจในสวัสดิภาพของตัวเอง ถึงตอนนี้เขาจะทำอะไรผมไม่ได้ แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าถ้าเผลอเจอกันแล้วจะลืมนี่หว่า ยิ่งเป็นพวกกัดไม่ปล่อยอยู่ด้วย

[วันนี้ผมนอนในเมืองก่อน พรุ่งนี้เช้าค่อยไปรีสอร์ท]

“แล้วนี่ไอ้เก้ามันจะอยู่ไทยอีกนานหรือเปล่า” จะว่าไปตั้งแต่เดือนก่อนที่มันกลับมาไทย ผมก็ยังไม่ได้เจอมันเลย ไอ้โซอาจมีโอกาสมากกว่า เพราะอย่างน้อยมันก็อยู่ไทย ถ้าขึ้นมากรุงเทพฯ ก็หาเวลาไปเจอได้ แต่ไอ้เก้าที่นานๆ มาทีน่าจะนัดเจอกันหน่อย อย่างน้อยขอให้ได้เตะมันสักทีน่าจะช่วยให้หายแค้นได้บ้าง

[เก้าเพิ่งกลับมาไทยอีกรอบเมื่อวาน ครั้งนี้พี่มาดูงานด้วย น่าจะอยู่สองสามวัน]

“งั้นคงไม่ได้เจอ” บางทีผมก็สงสัยว่ามันจงใจหรือเปล่า คงกะให้ผมลืมเรื่องที่มันทำไว้ก่อนมั้งถึงจะยอมมาเจอกัน ระยะเวลาแค่สองสามวัน กว่าจะจัดการงานเสร็จมันก็ต้องกลับแล้ว นับประสาอะไรกับการมาหาผมที่โรงพยาบาล ถ้าไม่ติดว่างานเยอะ ต้องเข้าเวรอะไรอีกมากมาย ผมคงไปเตะมันถึงสนามบิน

[แล้วคุณจะกลับไปทำงานวันไหน] เสียงโมโนโทนจากปลายสายเอ่ยถาม

ถ้าผมไม่รู้จักภามหรือเคยใช้ชีวิตร่วมกับเขามาเป็นเดือน ลำพังได้ยินแค่เสียงไร้อารมณ์นี่คงคิดว่าเจ้าตัวเป็นคนเย็นชาแบบสุดติ่ง แต่เผอิญผมรู้จักเขาดี เห็นหน้าปลาตายนั่นแสดงอารมณ์มาแล้วก็เยอะ แค่เสียงราบเรียบเหมือนไม่อยากคุยที่แตกต่างจากประโยคชวนคุยเหล่านั้นโดยสิ้นเชิงเลยไม่ได้ส่งผลอะไรมากนัก

“มีเวลาพักพรุ่งนี้อีกวัน แต่ฉันว่าช่วงบ่ายจะเข้าไปดูตารางงานหน่อย ต้องไปคุยรายละเอียดเรื่องน้องระฟ้าด้วย” ผมกลิ้งไปกลิ้งมาบนเตียง เริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมานิดหน่อย

[งั้นก็นอนได้แล้ว]

“นายก็ด้วย”

[อ่า]

“ฝันดี”

[ฝันถึงผมด้วย]

คะ...ใครสอนเขาพูด!

ผมดึงโทรศัพท์ออกมามองหน้าจอด้วยความตกใจ เป็นเวลาเดียวกับที่อีกฝั่งกดตัดสายไปพอดี เอาอีกแล้ว...ชอบพูดให้ตาค้าง ปล่อยให้สมองตื้ออยู่ฝ่ายเดียว เสร็จแล้วตัวเองก็นอนสบายใจเฉิบแบบไม่คิดอะไร เลวจริงๆ

แต่ก็แปลกเหมือนกัน...

ไม่รู้ทำไมหลังจากวางโทรศัพท์ไปแล้ว ผมถึงได้ง่วงขึ้นมากะทันหันจนเผลอหลับไปโดยไม่รู้ตัว



เช้าวันต่อมา หลังจากเผลอตื่นในเวลาเดียวกันกับยามอยู่บนเกาะ ผมนึกคึกอะไรไม่รู้ถึงได้เปลี่ยนเสื้อผ้า เตรียมข้าวของไปวิ่งที่สวนสาธารณะในหมู่บ้าน วิ่งๆ เดินๆ อยู่ประมาณครึ่งชั่วโมงถึงกลับเข้าบ้าน แล้วก็ได้รับแววตาตกอกตกใจจนแทบสิ้นสติของคนสวยกับคุณป้าแม่บ้านที่เพิ่งมาถึงเป็นรางวัล

“คุณหมอเจได!” หญิงสูงวัยร่างท้วมวิ่งเข้ามาหาผมแล้วพลิกตัวไปมายกใหญ่ ทำเหมือนกำลังมองหาความผิดปกติ ไอ้เราก็นึกว่าคิดถึง ไม่ใช่เลย... “เป็นอะไรไปคะเนี่ย ทำไมตื่นเช้าได้”

“แล้วนั่นอะไร...” แม่เดินเข้ามาจับแขนผมอีกคน “อย่าบอกนะว่าลูกไปวิ่งมา”

“ก็ใช่น่ะสิครับ ตกใจอะไรกัน”

“ตายแล้ว วันนี้ไม่ต้องตากผ้านะพี่ดา ฝนตกหนักแน่ๆ”

ผมกลอกตามองผู้หญิงสองคนคุยกันด้วยสีหน้าบูดๆ อยากเข้าไปแทรกอยู่หรอกนะ แต่เพราะรู้ดีว่าถ้าปล่อยให้แม่ๆ คุยกันทีไร ใครเข้าไปแทรกต้องโดนเตะออกจากวงทุกที สุดท้ายเลยได้แต่ยืนมองตาแป๋วรอให้ทั้งคู่หันมาสนใจเอง

“บอกป้ามาเถอะค่ะว่าเป็นอะไร” ป้าดาหันมาทำหน้าเครียดใส่ผมอีกครั้ง “ไปหาหมอดีไหมคะ หรือไม่ก็ให้คุณพ่อดูอาการสักหน่อย”

“โอย...จะเป็นอะไรไปได้ล่ะครับ ป้าดาไปทำข้าวให้ผมกินดีกว่า หิวจนไส้แห้งแล้วเนี่ย” ผมโอดครวญแล้วตีหน้าเศร้าให้ดูน่าสงสาร พร้อมเกี่ยวแขนสองสาวให้เดินเข้าไปในบ้านพร้อมกัน

“ไม่เป็นอะไรแน่นะคะ”

กว่าจะใช้เวลาสร้างความมั่นใจให้คุณแม่บ้านที่ผมรักเหมือนเป็นคนในครอบครัวเข้าใจได้ ก็กินเวลาไปนานเกือบสิบห้านาที จนกระทั่งท้องไส้ที่บิดแล้วบิดอีกส่งเสียงร้องออกมาดังสนั่นนั่นแหละ ป้าดาถึงยอมปล่อยแขนผมแล้วเดินไปเข้าครัว

“ผมขอไข่เจียวหมูสับด้วยนะครับป้า!” ผมตะโกนย้ำอีกรอบ

เพียะ!

“แม่บอกว่าอย่าตะโกนไง” คนสวยขมวดคิ้วทำหน้าดุ ในขณะที่ผมได้แต่ลูบแขนตัวเองป้อยๆ แค่ตะโกนนิดเดียวต้องตีกันด้วย โชคดีที่ยังยั้งแรงไว้บ้างเพราะแม่รู้อยู่แล้วว่าผมกลัวเจ็บขนาดไหน

“ใจร้ายจังเลย”

“เรานี่นะ...” แม่ถอนหายใจ ทำท่าเหมือนจะเข้ามาตีผมอีกรอบ แต่แล้วก็เปลี่ยนสีหน้าจากนางยักษ์เป็นคุณนายช่างสงสัยในเสี้ยววินาที “เดี๋ยวนี้ชอบกินไข่เจียวด้วยเหรอ แม่ไม่เห็นรู้เลย”

“ไม่ได้ชอบสักหน่อย”

“แล้วทำไมถึงบอกให้ป้าดาทำให้กินล่ะ ร้อยวันพันปีไม่เคยบ่นอยากกิน”

“แค่กินตามภะ...”

ฉิบหาย...

“หืม...ดูเหมือนจะมีเรื่องที่แม่ไม่รู้เยอะเลยนะ” เสียงอันน่าสยดสยองของคุณผู้หญิงทำเอาผมขนลุกซู่ มองเห็นอนาคตครึ่งวันเช้าของตัวเองแทบจะทันทีว่าต้องทำอะไร

โดนซักฟอกจนขาวสะอาดแน่นอน...

“อันที่จริง ผมมีเพื่อนร่วมเดินทางคนหนึ่ง...แบบว่าเจอระหว่างทางน่ะ” ผมเริ่มพูดด้วยน้ำเสียงเนิบๆ พร้อมกับแอบมองคนสวยเป็นครั้งคราว นั่นไง...ตาเป็นประกายเชียว

“ไม่อยากจะเชื่อว่าจะมีคนยอมเดินทางไปกับคุณหมอหน้าหนวด แล้วนี่เขายังทำให้ลูกยอมโกนหนวดได้ด้วยใช่หรือเปล่า” คุณผู้หญิงของบ้านถามแล้วยิ้มบาง ฟังนิดเดียวก็เชื่อมต่อเรื่องราวได้อย่างรวดเร็ว

“เดาเก่งจังนะ”

“ไม่ต้องมาชมแล้วพยายามหาทางเปลี่ยนเรื่องทีหลังละ” คำพูดของคนรู้ทันทำให้ผมเผลอเบะปากออกมาครู่หนึ่ง ดีที่อีกฝ่ายไม่ทันเห็นเข้า ไม่งั้นต้องเข้ามาบีบปากกันแน่ๆ “เล่าต่อเลย เจอเพื่อนแล้วยังไงต่อ”

“แล้วก็โดนไอ้เก้าหลอกให้ไปเกาะ...เดี๋ยวนะ” ผมชะงัก นึกถึงตอนถูกหลอกให้ไปติดเกาะกับภามแล้วพบว่าทุกอย่างเกิดจากการวางแผนเอาไว้หมด และแผนเหล่านั้นจะสำเร็จไม่ได้เลย หากผมไม่ได้บังเอิญไปเจอภามบนรถไฟ ซึ่งเขาบอกว่าเก้าเป็นคนแนะนำและจัดการตั๋วให้ทั้งหมด แล้วคนที่จองตั๋วให้ผมก็คือ...

“รู้ช้านะเนี่ย”

“แม่วางแผนกับไอ้เก้าตามที่ผมคิดจริงๆ ด้วย...”

“อย่าเรียกว่าวางแผนเลย แม่แค่คุยกับหนูเก้าว่าจะหาเพื่อนให้ลูกสักคน เผื่ออะไรๆ จะดีขึ้นเฉยๆ” คนสวยยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อย “ใครจะไปคิดว่าจะได้ผลดีเกินคาด ทั้งช่วยทำให้ลูกแม่ยอมโกนหนวด แล้วยังช่วยให้มีชีวิตชีวาขึ้นด้วย ขนาดข้าวยังทำท่าจะกินตามเขาเลย”

“ผมก็แค่ชินหรอกน่า” ผมรีบอ้างไปก่อน ทั้งที่ก็ไม่รู้หรอกว่าทำไมถึงอยากกินตามเขา แต่คิดว่าน่าจะเป็นเพราะเคยชิน หลังจากที่ได้ทำและกินมาหลายมื้อมากกว่า

หลังจากที่ภามบ่นอยากกินไข่เจียวแทบจะทุกมื้อ ผมที่เป็นคนทำอาหารให้เขากินย่อมต้องกินแบบเดียวกันตามไปด้วยอยู่แล้ว หลังจากกินมันมาแทบทุกวันตลอดหนึ่งเดือน จะแปลกอะไรหากผมจะเคยชินและนึกถึงจนอยากขึ้นมาอีก

“ถ้าชินแล้วทำไมไม่เบื่อล่ะ ปกติคนที่ทำอะไรซ้ำๆ จะเบื่อไม่ใช่เหรอ ลูกเองก็เข้าใจดีนี่”

“ผม…” ทั้งที่คิดว่าจะเถียงอะไรกลับไปได้ แต่ผมกลับต้องหุบปากฉับ เพราะไม่มีอะไรให้เถียงเลยแม้แต่อย่างเดียว

จริงอย่างที่คนสวยบอก...ตอนอยู่กรุงเทพฯ ผมเบื่อไปหมดทุกอย่าง เพราะเห็นและทำซ้ำๆ จนกลายเป็นความเคยชิน พอเคยชินแล้วก็ไม่อยากทำอีก แต่นี่กลับบอกว่าเคยชินเลยอยากทำต่อ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็ไม่สมเหตุสมผลเอาเสียเลย

“เอาเถอะ แม่ไม่ยุ่งเรื่องนั้นหรอก” คนพูดวางมือลงบนไหล่ ก่อนจะส่งยิ้มจางมาให้ผม “พอจะเข้าใจความหมายของชีวิตหรือยัง”

“ผม...ไม่แน่ใจ”

“พูดสิ่งที่ลูกอยากพูดออกมาเถอะ”

ผมเงียบไปนานเพราะไม่มั่นใจนักว่าอยากพูดอะไรออกไป ภาพการเดินทางตั้งแต่วันแรกที่ได้เจอกับภาม สิ่งที่ได้ทำร่วมกับเขาและชาวบ้าน หรือแม้แต่ยามเดินทางกลับที่ได้เจอกับคุณยายโผล่ขึ้นมาในหัว ผมได้พบเจอเหตุการณ์มากมายที่ไม่รู้ว่าควรอธิบายออกมาเป็นคำพูดอย่างไร

แต่กลับรู้สึกว่าคำถามของแม่ไม่ได้ตอบยากแบบที่เคยคิด...

“ชีวิตของผมคือการได้เป็นหมอรักษาคนไข้ ผมไม่เคยเสียใจที่เลือกทางนี้ครับแม่” ต่อให้เหตุผลตั้งต้นมันดูตลกขนาดไหน แต่ผมก็ตั้งใจและทำสำเร็จจนมาถึงวันนี้ แม้จะเหนื่อยและเบื่อการใช้ชีวิตของตัวเองไปบ้าง แต่ผมไม่เคยนึกเสียใจกับสิ่งที่เลือกไปแล้ว

“งั้นเหรอ...”

“ตอนอยู่บนเกาะ ผมได้เห็นเด็กๆ ที่นั่นวิ่งไปวิ่งมา เล่าเรื่องที่โรงเรียนของพวกเขาให้ฟัง เห็นกระทั่งวิถีชีวิตและการทำงานในแบบฉบับของชาวบ้านที่ไม่เคยเห็นมาก่อน ทุกอย่างทำให้ผมได้เรียนรู้ว่าทุกคนต่างมีชีวิตในแบบของตัวเอง และพวกเขาต่างใช้ชีวิตเพื่ออะไรบางอย่าง”

“อะไรบางอย่างที่ว่าคืออะไรล่ะ”

ผมยิ้มเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถาม นึกย้อนกลับไปตอนได้เห็นใบหน้าของเด็กๆ ที่พูดคุยกันงุ้งงิ้งเกี่ยวกับเรื่องราวของความฝันมากมากที่มีจุดมุ่งหมายเป็นอย่างเดียวกัน

“เด็กๆ บอกว่าตอนโตขึ้นพวกเขาอยากเป็นอะไร แต่ละอย่างที่พูดมาทำเอาผมปวดหัวไปหมด แต่ก็น่าแปลก เพราะทุกคำตอบล้วนมีจุดมุ่งหมายสำคัญในแบบเดียวกัน...คือพวกเขาจะทำเพื่อคนบนเกาะ ทำเพื่อพ่อแม่และทุกคน”

“งั้นเหรอ...” แม่อมยิ้ม ดวงตาห่วงใยของท่านยังคงจับจ้องมาที่ผม ราวกับจะบอกว่าขอแค่พูดออกไป ไม่ว่าเรื่องอะไรท่านก็จะรับฟัง

“ตอนกลับผมเจอคุณยายคนหนึ่งบนรถ...ท่านเคยเป็นพยาบาลครับแม่” ผมก้มหน้าลงเล็กน้อยเมื่อนึกถึงบทสนทนาที่ได้คุยกับคุณยายระหว่างทาง “คุณยายบอกว่าตัวเองก็เคยเป็นเหมือนผม เหนื่อยและท้อ แต่เพราะอาชีพนี้คือชีวิตของท่าน ท่านจึงไม่อาจทิ้งมันไปได้”

“แล้วท่านผ่านช่วงเวลาเหล่านั้นมายังไงล่ะ”

“ท่านบอกว่าท่านมีคุณตาที่คอยให้กำลังใจและคอยอยู่ข้างๆ ครับ”

“…”

“แล้วท่านยังบอกอีกว่า...เวลาท้อ ยามได้เห็นว่ามีใครคอยอยู่เคียงข้าง เราจะรับรู้ได้ว่าเราอยู่ไปเพื่ออะไร”

ระหว่างที่กำลังนั่งแท็กซี่กลับมาที่บ้าน ผมใช้เวลาส่วนมากไปกับการคิดว่าตัวเองเคยมีเรื่องแบบนั้นเกิดขึ้นบ้างไหม เริ่มจากทบทวนชีวิตมหา’ลัย ยามมีคนรักที่ไม่ค่อยมีเวลาให้ แล้วก็ต้องส่ายหน้าแทบจะทันที ผมไม่เคยสนใจพวกเธอ สุดท้ายเลยไปกันไม่รอด ตลอดมาแทบไม่เคยคิดจริงจังถึงขั้นอยากสร้างครอบครัวเลยสักนิด บางทีอาจเพราะเป็นฝ่ายโดนเข้าหาตลอด ไม่เคยถูกใจหรือเข้าไปพูดคุยกับใครก่อนด้วย

“แม่เห็นด้วยกับคุณยายนะ” แม่เรียกสติผมกลับมา โดยการวางมืออุ่นๆ นั้นลงบนมือผมแล้วจับเอาไว้หลวมๆ “ในเมื่อลูกได้ทุกอย่างที่เคยวาดหวังมาไว้ในมือแล้ว ไม่แปลกที่ลูกจะมองไม่เห็นความตื่นเต้นในชีวิตอีก ถ้าเจไดมั่นใจว่าชีวิตคือการได้เป็นหมอจริงๆ แล้วการได้เดินทางไปท่องเที่ยวทำให้รู้สึกดีได้แค่ชั่วคราว หรือไม่ได้ทำให้มองเห็นหนทางใดๆ เพิ่มเติม แสดงว่าชีวิตของลูกมั่นคงมากพอแล้ว”

“…”

“สิ่งที่ต้องการ สิ่งที่ตามหา บางทีอาจจะเป็นใครสักคน...ใครสักคนที่จะช่วยดูแลตัวขี้เกียจของแม่ได้”

“ผมมีพ่อกับแม่...”

“ในระหว่างที่ยังไม่เจอ พ่อกับแม่จะเป็นคนคนนั้นให้ลูกก่อน แต่ว่านะเจได...เราทุกคนต่างมีชีวิตเป็นของตัวเอง หน้าที่ของพ่อกับแม่เป็นหน้าที่ที่ต้องดูแลลูกไปตลอดชีวิตอยู่แล้ว แต่เราไม่อาจเติมเต็มลูกได้ทุกส่วน ลูกก็รู้ใช่ไหม” ท่านยิ้มอย่างอ่อนโยน ก่อนจะยื่นมือมาปัดผมออกจากใบหน้าให้ “พ่อกับแม่ทำหน้าที่แทนคนคนนั้นของลูกได้ แต่เราไม่อาจอุดรูที่ว่างเปล่าของลูกได้อย่างสมบูรณ์ ถ้าลูกเจอคนไม่ดี พ่อกับแม่จะคอยเยียวยา แต่ถ้าลูกเจอคนที่ดีและเหมาะสมกับตัวเองเมื่อไหร่...แม่อยากให้ลูกรักษาเขาเอาไว้ให้ดี”

‘คนที่ทำให้พ่อหนุ่มยิ้มกว้างได้มากขนาดนั้น อย่าลืมเก็บรักษาเอาไว้ดีๆ นะ'

ผมเม้มปากแน่นเมื่อนึกถึงคำพูดของคุณยายที่ซ้อนทับคำพูดของแม่ได้แบบพอดิบพอดี ต่างกันที่แม่ไม่ได้เอ่ยออกมาว่าคนคนนั้นคือใคร แต่คุณยายกลับพูดออกมาอย่างชัดเจน

คนที่ทำให้ผมยิ้มกว้างในตอนนั้นจะเป็นใครไปได้ ถ้าไม่ใช่...

“มาทานข้าวแล้วคอยคุยกันต่อเถอะค่ะ” เสียงพูดแทรกจากป้าดาที่ยืนอยู่ตรงประตูห้องดังขึ้น ก่อนที่ท่านจะเดินเข้ามาหาแล้วจูงมือผมให้เดินตามไปเหมือนตอนเด็กๆ

อาจเพราะตัวเองยังตกอยู่ในภวังค์ความคิด การได้กินไข่เจียวที่อยากกิน หรือปลานึ่งของโปรดจึงไม่ได้ทำให้ผมตื่นเต้นดีใจมากเท่าไหร่นัก และเหมือนคนที่นั่งร่วมโต๊ะอยู่ด้วยจะสังเกตเห็น ถึงได้พยายามตักอาหารมาให้บ่อยๆ จนกระทั่งผมกินต่อไม่ไหวแล้วถึงได้วางช้อนส้อมลง พร้อมเงยหน้าขึ้นมองแม่ที่นั่งอยู่ด้านข้างและมองมาที่ผมอยู่ก่อนแล้ว

ท่านหันไปหาป้าดา พยักหน้าเป็นเชิงบอกว่าจะขออยู่กับผมสองคน รอจนป้าดาเดินออกไปแล้วถึงได้พูดออกมา

“ยังมีอะไรจะบอกแม่อยู่ไหม”

แม่ก็ยังเป็นแม่ที่เข้าใจและมองผมออกได้อย่างทะลุปรุโปร่ง

“ผมรู้สึกเหมือนทิ้งอะไรเอาไว้ที่นั่น” ผมถอนหายใจ ความรู้สึกใจหายต่างๆ นานาที่สะสมมาตลอดถูกปลดปล่อยออกมาเมื่อได้อยู่กับคนที่เข้าใจตัวเองมากที่สุด “มันเหมือนกับชีวิตส่วนหนึ่งอยู่ที่นั่นแล้ว...”

“บอกแม่ได้ไหมว่าตอนนึกถึงช่วงเวลาเหล่านั้น ลูกคิดถึงอะไรบ้าง”

“คิดถึงกระท่อม...แม่รู้ไหมครับว่าผมกับภามสร้างบ้านกันเองด้วย ถึงส่วนใหญ่ผมจะนั่งมองก็เถอะ นอกจากนั้นยัง...” เรื่องราวต่างๆ ที่ได้พบเจอระหว่างที่ยังอยู่บนเกาะถูกเล่าออกมาทีละเรื่อง ยกเว้นสิ่งที่เกี่ยวข้องกับความรู้สึกแปลกๆ ระหว่างผมและเขาที่ยังเก็บไว้เป็นความลับต่อไป

“แปลกนะ...” คนสวยพูดแทรกขึ้นมายิ้มๆ “ไปเที่ยว เจอธรรมชาติสวยๆ ได้ลองสัมผัสวิถีชีวิตของชาวบ้าน แต่เรื่องพวกนั้นที่แม่บอกไป เราแทบจะพูดออกมาเป็นเรื่องท้ายๆ”

“…”

“นานแล้วนะที่เราไม่ได้แสดงท่าทีมีความสุขหรือยิ้มออกมาจากใจเหมือนเมื่อครู่”

ผมนิ่งไปนานเพราะไม่คาดคิดว่าแม่จะพูดแบบนั้นออกมา หากเมื่อคิดตามและพิจารณาดูดีๆ แล้ว ทุกอย่างล้วนเป็นความจริงทั้งหมด ขนาดตัวเองยังไม่รู้ตัวเลยด้วยซ้ำ แต่เมื่อเห็นรอยยิ้มรู้ทันของคนพูด ผมก็รีบเก็บท่าทีแล้วลุกขึ้นไปกอดคนที่สำคัญที่สุดในชีวิตเอาไว้

“เวลาผมอยู่กับแม่ก็มีความสุขอยู่แล้ว”

“จ้า พ่อคนปากหวาน” คนสวยหันมาหยิกแก้มผมเบาๆ “เราไม่ต้องเหมือนพ่อไปหมดทุกอย่างก็ได้นะ”

“ผมเหมือนพ่อตรงไหน” ผมเบะปาก แค่ได้ยินว่าเหมือนตาแก่ก็ต้องร้องยี้ในใจแล้ว อ้วนลงพุงแล้วยังซึนแบบนั้น ใครจะไปอยากเหมือน

“ทุกตรงเลย โดยเฉพาะนิสัยเด็กๆ กับปากแข็งๆ เนี่ย” ว่าแล้วก็บีบปากผมจนกลายเป็นปากเป็ด

“ไม่ต้องมาว่าเลย”

คนสวยถอนหายใจยาวเหยียดเหมือนจะเหนื่อยหน่ายกับการพูดคุยครั้งนี้พอสมควร แต่คงเพราะชินแล้ว ทั้งกับนิสัยของผมและนิสัยของพ่อ รอแป๊บเดียวก็ปล่อยวางและกลับมาจริงจังได้อย่างรวดเร็ว

“ที่บอกแม่ว่าชีวิตส่วนหนึ่งอยู่ที่นั่น...”

“…”

“ถามตัวเองให้ดี ว่าเป็นเพราะสถานที่...หรือเป็นเพราะใคร”

เป็นเวลาเนิ่นนานที่ผมนิ่งค้างไปกับคำถามนั้นโดยไม่อาจตอบอะไรได้เลยแม้แต่คำเดียว และแม่ก็ไม่ได้เร่งรัด แค่จับแขนผมไว้แล้วรอคอยเงียบๆ แต่คนที่ลนลานกลับกลายเป็นผมเอง เพราะแค่ได้ยินคำถามง่ายๆ ที่ควรจะตอบได้ในทันที กลับต้องนิ่งค้างไปนานเพราะเสียงไม่ยอมหลุดออกมา

“ผมไปเตรียมตัวเข้าโรงพยาบาลดีกว่า ไม่คุยด้วยแล้ว” เพราะไม่อยากตอบคำถาม ผมเลยก้มลงจุ๊บแก้มนุ่มนิ่มของแม่แรงๆ แล้ววิ่งจู๊ดขึ้นไปห้องแบบเด็กๆ โดยไม่สนใจคำต่อว่าที่ดังไล่หลังมา ซึ่งก็ไม่รู้เหมือนกันว่าคิดถูกหรือคิดผิด ที่กลับมาจมอยู่ในภวังค์ความคิดของตัวเองเพียงคนเดียวอีกรอบ

เพราะสถานที่หรือเพราะใคร...

การได้ใช้ชีวิตในกระท่อมหลังเล็กๆ ที่สร้างขึ้นเองมา ได้ทำกิจกรรมต่างๆ มากมายบนเกาะร่วมกับคนอื่นๆ ความทรงจำที่แสนสวยงามและสนุกสนานเหล่านั้นจะยังตราตรึงอยู่ตลอดไป กลายเป็นหนึ่งในสิ่งสำคัญที่ทำให้ยิ้มได้เสมอ เพียงแต่ว่า...

ผมหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดเข้าคลังรูปภาพที่แทบจะว่างเปล่า มีรูปอยู่ไม่ถึงร้อยรูป นับเป็นหน้าตัวเองได้ประมาณยี่สิบรูปถ้วน และประมาณสิบรูปในนั้นเป็นรูปถ่ายรัวๆ ที่ผมถ่ายคู่กับใครคนหนึ่งซึ่งติดอยู่ในความคิดมาตลอดตั้งแต่แยกจากกัน

“อะ...ไอ้บ้าภาม”

เพราะไม่ได้สนใจกดเข้าคลังภาพไปดูรูปคู่แบบจริงๆ จังๆ ผมเลยไม่ได้เห็นว่าตอนที่เขาเอาไปกดถ่ายเอง มันมีรูปที่เจ้าตัวหันหน้ามามองระหว่างที่ผมทำหน้าเด๋อใส่กล้องอยู่ด้วย ไหนจะรูปที่เอาแก้มมาแนบกันสามสี่รูปอีก แค่เห็นหน้าก็ร้อนวูบวาบ ไม่รู้ด้วยความโกรธหรือความอาย

แต่ไม่รู้ทำไม...กดลบไม่ลง

ต้องเป็นเพราะเขาบอกว่าให้ผมส่งรูปให้ด้วยแน่ๆ ถ้าผมไม่ส่งให้ ภามก็จะไม่ส่งรูปจากกล้องมาให้เหมือนกัน ก็คนคนนั้นเจ้าคิดเจ้าแค้นจะตายไป...ใช่ๆ รูปสวยๆ ที่กล้องภามมีเยอะจะตาย ถ้าไม่ได้มาคงเสียดายแย่

ปากแข็งเข้าไปเถอะ

ใครปากแข็งวะ...

มึงมันซึนไม่ต่างจากพ่อเลยไอ้เจได

ไม่ได้ซึนสักหน่อย...

ผมก้มหน้าลง มือยกขึ้นกุมขมับที่ปวดหนึบไปหมดจากการพยายามเถียงตัวเองไปมา ใจจริงอยากถอนหายใจออกมาแรงๆ ด้วย เพราะเหมือนความคิดที่สับสนวนเวียนไปมาคล้ายจะหยุดลงกะทันหัน ยามเมื่อได้รับคำตอบที่ไม่อยากจะยอมรับมากเท่าไหร่นัก

เพราะสถานที่หรือเพราะใคร

สิ่งที่ขาดหายไป

หนทางแก้ไขความรู้สึกแย่ๆ ที่เป็นอยู่

ทุกเรื่องเหมือนจะเชื่อมโยงกันไปหมด

ซึ่งบางทีผมอาจรู้คำตอบดีอยู่แล้ว...

.

.

แต่ไม่เอาอะ ขอเวลาทำใจอีกแป๊บ

   

—————————



TALK: คบก็เหมือนไม่คบไปแล้วอะเอาจริง จูบก็ยอมให้จูบ ถ่อวว นังแมวเล่นตัว แค่สถานะน้องภามบอกรอได้
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.22]== [22/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 22-08-2018 20:02:23
พามาให้พ่อแม่ดูตัวเลย  :mew4:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.22]== [22/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 22-08-2018 20:16:49
เจไดน่าเอ็นดูมากกกกก อยากบีบปากคนกากแบบคนสวยบ้าง5555 แต่หมออย่าเล่นตัวนานนะคะ คนทางนี้กลัวหมอจะโดนเต๊าะจนพรุน :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.22]== [22/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: darinsaya ที่ 22-08-2018 22:25:33
มาแง้วววว :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.22]== [22/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: buathongfin ที่ 24-08-2018 08:08:45
นึกตามล่ะฟิน
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.22]== [22/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 25-08-2018 17:25:51
-23-



“คูมหมออออออ”

“น้องฟา!”

ผมคุกเข่าลงกับพื้น แขนอ้าออกกว้างเตรียมรอรับร่างกลมนุ่มนิ่มของเด็กผู้ชายแก้มยุ้ยที่วิ่งเข้ามาหา พอเจ้าตัวซุกหน้าอยู่กับอกแล้วก็อุ้มขึ้นมาไว้ในอ้อมแขนพร้อมบ่นอย่างไม่จริงจังนัก

“ไม่เจอกันไม่กี่เดือน ทำไมหนักแบบนี้ครับเนี่ย”

“น้องไม่หนักเยย” เจ้าตัวเล็กหัวเราะคิกคัก มือดึงแก้มผมไปมา โชคดีที่เด็กๆ ยังมีแรงไม่เยอะมากนักเลยไม่ต้องฝืนทนกลั้นความเจ็บปวดไว้ในใจ “คุงหนวดหายปาย”

“คุณหมอโกนไปแล้วครับ”

“ง้า”

เจ้าเด็กตัวเล็กชื่อน้องฟาที่ผมอุ้มอยู่คือคนไข้แสนน่ารัก ซึ่งเข้ามารับการรักษาไข้หวัดกับผมเมื่อสองสามเดือนก่อน พอได้รู้จักแล้วก็ทำตัวติดผมเป็นตังเม เอามือเล่นหนวดบ้าง บีบแก้มบ้าง เรียกได้ว่าต้องหาทางเข้าใกล้ตลอดยามผมไปหา ทว่าด้วยความที่เป็นเด็กฉลาด แม้จะพูดไม่ชัดแต่กลับต่อปากต่อคำคุยกับคนอื่นได้เป็นเรื่องเป็นราว น้องเลยกลายเป็นขวัญใจของพยาบาลและหมอแทบทุกคนที่ได้รู้จัก

“แล้วเรามาได้ยังไงเนี่ย หรือไม่สบายอีกแล้วหือ” ผมแกล้งหรี่ตามองแล้ววางมือข้างที่ว่างลงแนบหน้าผากใส “คุณหมอบอกให้ดูแลตัวเองดีๆ อย่าให้คุณเชื้อโรคเข้าสู่ร่างกายไม่ใช่เหรอ น้องฟาต้องช่วยคุณแม่ดูแลตัวเองด้วย จำได้ไหม”

“ด้าย” น้องพยักหน้าแข็งขัน นิ้วเล็กป้อมชี้ไปด้านหลัง “แม่ แม่”

พูดไม่ทันขาดคำ ร่างบอบบางของผู้หญิงคนหนึ่งก็วิ่งหน้าตาตื่นเข้ามาหาเราทั้งคู่ แต่พอเห็นว่าผมกำลังอุ้มลูกชายของเธออยู่ อีกฝ่ายก็ชะลอฝีเท้าแล้วก้มลงหอบยกใหญ่

“คุณแม่นั่งก่อนครับ” ผมใช้มือข้างที่ว่างประคองเธอไปนั่งลงบนเก้าอี้ ก่อนจะหันไปหาน้องฟาที่เอาแต่ยิ้มเรียกแม่ๆ ไม่ยอมหยุด “นี่เราวิ่งหนีคุณแม่มาใช่ไหมหือ”

“น้องป่าวว”

“เดี๋ยวเถอะ” ว่าแล้วก็บีบจมูกน้อยๆ ด้วยความเอ็นดู

“คุณหมอ ขอบคุณมากนะคะที่ดูแลฟาให้” คุณแม่ที่น่าจะหายเหนื่อยแล้วหันมายกมือไหว้ก่อนจะยื่นมือมาหา ทำท่าจะรับน้องไปอุ้มไว้เอง ติดอยู่ตรงที่เจ้าตัวเล็กดันเกาะติดผมเป็นตังเม ไม่ยอมปล่อยมือแม้แต่นิดเดียว

“ไม่เป็นไรครับ ให้ผมอุ้มก่อนก็ได้” ผมยิ้มบางแล้วลูบหัวน้องเบาๆ เป็นเชิงบอกให้อยู่นิ่งๆ ซึ่งเจ้าเด็กดื้อก็ยอมทำตามโดยการหมุนตัวหันไปหาคุณแม่ทั้งที่ยังนั่งตักกอดแขนผมไว้อยู่ “แล้วนี่คุณแม่พาน้องมาทำอะไรเหรอครับ หรือว่าน้องจะไม่สบายอีก”

“ซนขนาดนี้ ไม่เป็นอะไรง่ายๆ หรอกค่ะคุณหมอ” เธอหัวเราะเบาๆ แล้วส่ายหน้าเหนื่อยหน่าย “พอดีดิฉันมาเยี่ยมเพื่อนที่นี่แล้วเอาฟาติดมาด้วย แต่ระหว่างที่กำลังคุยกับคุณพยาบาล จู่ๆ เจ้าฟาก็ดิ้นยกใหญ่ พอปล่อยให้เดินเองเท่านั้นละ...”

ผมพยักหน้าเข้าใจ พอจะเดาเหตุการณ์ได้คร่าวๆ ดูท่าที่เจ้าตัวดิ้นจะเดินเองแล้ววิ่งหนีคุณแม่มา น่าจะเป็นเพราะหันมาเห็นตอนผมเดินผ่านเคาน์เตอร์ด้านหน้าเข้าพอดีแน่ๆ

“ว่าแต่คุณหมอเปลี่ยนไปเยอะเลยนะคะ”

“ครับ?” เปลี่ยนเหรอ...

“พอโกนหนวดแล้วดูเด็กลงเยอะเลยค่ะ ดิฉันแปลกใจมากเลยที่เจ้าฟายังจำคุณหมอได้” เธอว่าแล้วก้มลงชมลูกชายตัวเองยกใหญ่

“ลองเปลี่ยนลุคบ้างน่ะครับ” ผมยิ้มแหย จะบอกว่าจงใจเปลี่ยนด้วยตัวเองก็พูดได้ไม่เต็มปากนัก

หลังจากนั่งคุยกับคุณแม่และน้องฟาอยู่ประมาณห้านาทีพยาบาลก็เข้ามาตาม ผมบอกลาคุณแม่และน้องฟา ก่อนจะพยายามแกะตุ๊กแกออกจากตัว โชคดีที่น้องไม่ใช่เด็กดื้อ ซ้ำยังเข้าใจได้ง่าย สุดท้ายเลยจากกันได้โดยไม่มีเสียงร้องไห้ใดๆ ดังขึ้นมา

นับจากที่ได้กลับมาทำงานอีกครั้งก็ผ่านมาสองสามวันแล้ว ผมทำหน้าที่ของตัวเองเหมือนเดิม ต่างกันตรงที่ตารางดูจะสบายขึ้นเล็กน้อย ไม่ได้เข้าเวรถี่เหมือนเมื่อก่อนเนื่องจากมีแพทย์เข้ามาเพิ่ม หากไม่นับการทำงานนอกเวลาที่มักเกิดขึ้นหลายครั้งก็อาจถือได้ว่าเวลาพักผ่อนมีเยอะขึ้นพอควร

“ผมแข็งแกร่ง ไม่ร้องไห้แน่นอน!”

“โห...เก่งจังเลย”

“หมอฉีดเลย ผมฮึบอยู่”

“ครับผม ฮึบไว้นะพลทหาร”

ผมหัวเราะเบาๆ เมื่อเห็นสีหน้าที่เหมือนอยากร้องไห้เต็มแก่ของคนที่บอกว่าจะไม่ร้องไห้แน่นอน เด็กชายอายุแปดขวบที่มีจิตใจแข็งแกร่งน่านับถือ น้องน่าจะกล้ากว่าผมที่อายุเกือบสามสิบเสียอีก เห็นปากบอกทนได้ตั้งแต่เดินเข้าห้องตรวจ ทำเหมือนรู้อยู่ก่อนแล้วว่าโดนฉีดยาแน่ๆ ซึ่งพอเอาเข้าจริง...

“แง้!!”

ร้องไห้เป็นวรรคเป็นเวร

คุณพ่อเองก็ดูทำอะไรไม่ถูกอยู่เหมือนกัน ท่าทางคงไม่ค่อยได้เลี้ยงลูก ผมเห็นแบบนั้นเลยต้องเป็นฝ่ายเดินเข้าไปหา กลายเป็นหลักยึดเกาะให้ทหารกล้าซุกหน้าถูน้ำมูกกับน้ำลายใส่เสื้อตามความเคยชิน มือก็ช่วยลูบหัวลูบหลังปลอบไปด้วย

“ทอทหารอดทนเก่งมากเลย”

“แง้...ไม่เป็นทหารแล้ว”

เดี๋ยว...ตอนแรกยังบอกทอทหารอดทน สิบล้อชนต้องไม่ตายอยู่เลย

“โธ่ลูก...” ฝ่ายคุณพ่อที่มือไม้แข็ง ท่าทางน่าจะเป็นทหารจริงๆ ได้แต่พูดโธ่ลูกออกมา แล้วยืนมองผมปลอบเด็กด้วยใบหน้ากระวนกระวาย “คุณหมอครับ ลูกผมจะ...”

“ไม่เป็นไรครับ น้องแค่เจ็บเฉยๆ” ผมรีบดักทางเพราะรู้ดีว่าคนที่ไม่เคยพาเด็กมาโรงพยาบาลต้องถามแน่ๆ ว่าลูกจะเป็นอะไรหรือเปล่า ร้องไห้ลั่นห้องซะขนาดนี้

อยากบอกคุณพ่อว่ามันเป็นเรื่องปกติครับ...ที่ไม่ปกติคือผู้ใหญ่อายุเกือบสามสิบที่แค่คิดว่าจะโดนฉีดยาก็น้ำตาคลอต่างหาก

หลังจากตรวจเด็กๆ ไปอีกสามสี่คนก็ถึงเวลาเลิกงานในที่สุด ผมไม่ได้กลับบ้านในทันที แต่กะจะแวบไปดูเด็กๆ ที่สนามเด็กเล่นก่อน ซึ่งสนามเด็กเล่นที่ว่าไม่ได้อยู่ด้านนอกหรอก แต่อยู่ในตัวโรงพยาบาลนี่แหละ เป็นเหมือนกับห้องทำกิจกรรมระหว่างรอคิว เอาไว้สำหรับเด็กเล็กโดยเฉพาะ

“คูมหมอ!”

นั่นไง แม้แต่เจ้าฟาก็อยู่ที่นี่ด้วย ยังไม่ยอมกลับบ้านอีก

“ยังไม่กลับบ้านอีกเหรอเรา” ผมย่อตัวลงรับเด็กตัวกลมเข้ามากอด สายตาเหลือบไปเห็นคุณแม่ของน้องทำท่าเหนื่อยๆ นั่งอยู่ไม่ไกลพอดีเลยยกมือเป็นเชิงบอกว่าจะช่วยดูให้ ซึ่งเธอก็รีบผงกหัวขอบคุณแล้วชี้ไปที่ห้องน้ำ ท่าทางคงอยากเข้านานแล้ว แต่ไม่กล้าละสายตาออกจากเด็กดื้อที่น่าจะอายุน้อยที่สุดในบริเวณนี้

“รอพ่อ” น้องฟาตอบเสียงฉะฉาน ที่่แท้ที่ยังอยู่ก็เพราะรอคุณพ่อมารับ มิน่าคุณแม่ถึงไม่ได้บังคับให้กลับบ้าน “คูมหมอๆ”

“หืม” ผมลุกขึ้นยืนเมื่อเจ้าตัวเล็กพยายามดึงแขนเสื้อให้เดินตามไปในทิศทางหนึ่ง

“หาปิชาย”

“พี่ชาย?”

“มาเยว” น้องทำหน้ายู่ยี่เมื่อเห็นผมไม่ยอมเดินตามไปเสียที

“โอเคๆ ไปก็ไป” สุดท้ายก็ได้แต่เดินตามเด็กตัวเล็กที่ยังสูงไม่ถึงเอวไปเรื่อยๆ แต่อาจเป็นเพราะสนามเด็กเล่นที่ถูกปูด้วยพื้นนิ่มๆ ทั้งห้องมันกว้างใหญ่พอควร เท้าเล็กๆ ที่ก้าวได้ทีละน้อยของน้องฟาเลยพาไปไม่ถึงจุดหมายสักที จากที่เดินตาม ผมเริ่มสงสารน้องจนต้องเปลี่ยนเป็นคุกเข่าลงแล้วตามไปช้าๆ แทน

ยัง...ยังไม่ถึงอีก

“น้องฟาครับ ให้หมออะ...”

“เดินแบบนี้เมื่อไหร่จะถึง”

“คิกๆ ปิชายยยย”

ผมเงยหน้ามองตามเสียงทุ้มต่ำของคนที่อุ้มน้องฟาขึ้นไปต่อหน้าต่อตาแล้วได้แต่อ้าปากค้าง ขายาวๆ กับใบหน้าคมคายเหมือนปลาตาย ไหนจะแววตาว่างเปล่านั่นอีก ไม่ว่าจะมองอย่างไรเขาก็คือคนที่ผมเพิ่งคุยด้วยในไลน์เมื่อเช้าชัดๆ

ไหนว่ายังอยู่ภูเก็ตไง...

“ภาม!”

“ไง” เขาทักแล้วยิ้มจาง แวบหนึ่งผมรู้สึกเหมือนได้เห็นประกายตามีชีวิตชีวาอันหาได้ยากในดวงตาคู่นั้นอีกครั้ง

“มะ...มาได้ไง” ผมกะพริบตามองด้วยความงุนงง หากใจที่ได้พักผ่อนอย่างสงบมาตลอดหลายวันกลับเต้นกระหน่ำขึ้นมาเฉยๆ เหมือนจะบอกว่าหมดเวลาพักร้อนแล้ว

แปลกใจ ไม่เข้าใจ ประหลาดใจ ทั้งหมดคือสิ่งที่ตีรวนอยู่ในอก

แต่ความรู้สึกที่ชัดเจนที่สุด...กลับเป็นความดีใจ

เราต่างมองหน้ากันอยู่นานหลายนาที จวบจนคุณแม่ของน้องฟาเข้ามารับน้องพร้อมกับคุณพ่อแล้ว ผมก็ทำได้เพียงเอ่ยลา ในขณะที่สายตาไม่อาจละออกจากใบหน้าของภามได้เลยแม้แต่วินาทีเดียว

   “จำที่ผมบอกว่า ‘สิ่งนั้น’ จะมาหาคุณเองได้ไหม” เขาถามขณะย่อตัวลงนั่งด้านหน้าผม และจ้องมองมาด้วยแววตาที่ทำให้รู้สึกไม่เป็นตัวของตัวเองเหมือนทุกครั้ง



“จำที่ผมเคยบอกว่าจะช่วยตามหาในสิ่งที่คุณขาดได้ไหม”

‘จำได้’

‘อันที่จริงผมรู้แล้วว่ามันคืออะไร ขึ้นอยู่กับว่าคุณจะรับไว้หรือเปล่า’

‘คืออะไร’

‘คุณกลับไปรอที่กรุงเทพก่อน เดี๋ยวสิ่งนั้นจะไปหาคุณเอง’



“ตอนนี้มันอยู่ตรงหน้าคุณแล้ว”

ผมยังคงทำได้เพียงมองหน้าเขา ปล่อยให้อีกคนดึงมือไปวางบนแก้มตัวเอง ทั้งยังเผลอไล้นิ้วไปตามกรอบหน้าคมที่ยอมรับได้เพียงในใจว่า ‘คิดถึง’ โดยไม่รู้ตัว

“ฉัน…"

“ตอนนี้ขึ้นอยู่กับคุณแล้ว...ว่าจะรับไว้หรือเปล่า” คนพูดบอกพร้อมรอยยิ้มที่ทำให้ผมตาพร่า ต้องเบือนหน้าหลบโดยอัตโนมัติ หากเขากลับไม่ยอมปล่อยให้ชักมือออก ยังคงจับให้แนบหน้าตัวเองไว้อยู่อย่างนั้น “ตอบมาก่อน”

ตอบยังไงเล่า...

ก็เพราะตอบไม่ได้นั่นแหละ ถึงได้พยายามหลบเลี่ยงอยู่แบบนี้ แล้วยังมีหน้ามากดดันกันอีกนะ ผมบ่นในใจไปนานหลายนาที แต่น่าแปลกที่ภามไม่ได้พูดซ้ำอะไรอีก เขาแค่บังคับให้ผมวางมือแนบแก้มไว้ แล้วนั่งเงียบๆ ราวกับกำลังรอคำตอบ ซึ่งถ้าไม่ตอบ ก็พร้อมจะนั่งอยู่แบบนี้จนถึงพรุ่งนี้เช้า

“ก็…" ผมเม้มปาก ในหัวครุ่นคิดหลายเรื่องจนปวดหัวไปหมด จะอ้าปากบอกว่าไม่รับก็เหมือนโกหกตัวเอง ทั้งยังพูดไม่ออกด้วย แบบนี้ยังเหลือทางเลือกอะไรให้อีก “ก็ไม่ได้...”

“…”

“ไม่...ไม่ได้ห้าม”

“…”

“ไม่ได้บอกให้ไปไหน”

ไม่รู้ว่านานเท่าไหร่ที่ผมเอาแต่มองพื้น ไม่ยอมเงยหน้าสบตาภามเลยแม้แต่นิดเดียว จนกระทั่งเขายอมปล่อยมือผมให้เป็นอิสระ ความสงสัยจึงทำให้ต้องเงยหน้าขึ้นมองโดยอัตโนมัติ

“ขอบคุณ” รอยยิ้มสดใสซึ่งเป็นอันตรายต่อหัวใจระดับสิบปรากฏขึ้นบนใบหน้าปลาตาย ส่งผลให้เขาดูอ่อนโยนขึ้นหลายระดับจนผมเผลอมองค้าง ไม่อาจละสายตาไปไหน ความร้อนวูบวาบไล่ขึ้นจากกลางใจ ลุกลามอย่างรวดเร็วไปตามใบหน้าและลำตัวจนเผลอทำอะไรไม่ถูกไปชั่วขณะ

และในตอนนั้นเอง...

“เย้!”

“ชู่วววว พี่ชายบอกให้เงียบๆ ไง”

“นี่ อย่าพูดสิ”

“เดี๋ยวพี่หมอก็รู้ตัวหรอก”

ไม่ทันละ...

ว่าแต่ฝูงเด็กตาแป๋วตัวขาวจั๊วะที่นั่งคุกเข่าอยู่ด้านข้างผมอย่างเป็นระเบียบนี่มันอะไรกัน!

“เด็กๆ...” ผมเรียกสติกลับมา ไม่อยากเชื่อว่าจะเอาแต่มองหน้าภามจนลืมสังเกตรอบด้าน ไม่รู้แม้กระทั่งว่ามีเด็กหกเจ็ดคนมานั่งจ้องตาแป๋วตั้งแต่เมื่อไหร่ “มานั่งกันตั้งแต่เมื่อไหร่เนี่ย”

“เราจะมาเล่นกับพี่ชายแหละ” น้องคนหนึ่งตอบเสียงฉะฉาน “แต่พี่ชายเอานิ้วแตะปาก แม่เคยบอกว่าเป็นสัญญาณให้เงียบไว้ เราเลยนั่งรอกันฮะ”

เมื่อได้ยินคำตอบแล้วผมก็ตวัดสายตาไปมองคนที่รู้ตัวมาโดยตลอดแบบเคืองๆ โชคดีที่ตรงจุดที่เรานั่งอยู่มีเสาบดบังสายตาของผู้ปกครองด้านนอกเอาไว้ ไม่งั้นผมคงไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน

“พี่หมอ”

“ครับ” ผมหันไปยิ้มให้น้องผู้หญิงในชุดกระโปรงสีชมพูซึ่งอยู่ใกล้ตัวที่สุด

“พี่หมอหายโกรธพี่ชายนะคะ หนูไม่อยากให้พี่ชายเศร้า พี่ชายใจดี”

“เอ่อ...”

“พี่ชายอุ้มผมขึ้นไปบนบ้านลมด้วยฮับ”

“พี่หมออย่าโกรธพี่ชายน้า”

เสียงเจื้อยแจ้วของเด็กน้อยที่ดูจะรักพี่ชายเสียเหลือเกินดังขึ้นไม่หยุด ผมพยายามบอกให้เงียบก็ไม่ฟัง เอาแต่พูดว่าให้หายโกรธพี่ชายก่อน

“โอเคๆ” ผมยกมือยอมแพ้เพราะทนสู้เสียงของเด็กน้อยไม่ไหว “ไม่โกรธแล้วครับ”

“เย้!”

ดูหน้าพี่ชายที่ว่าสิ...ยิ้มจนปากจะฉีกอยู่แล้ว น่าเตะเป็นบ้า

หลังจากจบเหตุการณ์น่าปวดหัวของคนที่บังอาจเอาเด็กๆ มาเป็นเครื่องมือ ผมก็จัดการลากคนตัวสูงออกมาพร้อมกันก่อนจะเกิดเหตุวุ่นวายไปมากกว่านี้ ไม่รู้จะเรียกว่าโชคดีได้หรือเปล่าที่ผมดันไม่ได้เอารถมาเพราะขี้เกียจขับ เลยตื่นแต่เช้าติดรถมากับพ่อ กะว่าจะนั่งรถแท็กซี่กลับบ้าน ผลคือตอนนี้ได้มานั่งอยู่บนรถออดี้คันหรูของคุณชายภามเรียบร้อยแล้ว

“แล้วนี่นายอยู่ที่ไหน”

“คอนโดนั่น” ภามตอบสั้นๆ แล้วชี้นิ้วไปที่คอนโดหรู ซึ่งอยู่ห่างจากโรงพยาบาลไม่มากนัก

“โห...ใกล้ชะมัด” เทียบกับบ้านผมที่อยู่ไกลแสนไกลแล้ว... “น่าอิจฉาชะมัด”

“มาอยู่ด้วยกันไหม”

“หา…” ผมหันไปมองหน้าคนพูดซึ่งกำลังขับรถอยู่แบบงงๆ พยายามสังเกตดูว่าเขากำลังล้อเล่นอยู่หรือเปล่า แต่ภามกลับเบนหน้ามาหา มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย แสดงออกชัดเจนว่าไม่ได้โกหก

“เตียงผมกว้าง...”

“จะบ้าหรือไง” ขืนบ้าจี้ไปอยู่ด้วยจริงๆ ขึ้นมาก็เท่ากับเป็นการย้ำสถานะระหว่างเราน่ะสิ

“ผมไม่ได้กะจะให้ตอบรับตอนนี้ แค่บอกไว้เผื่ออนาคต”

ทำเป็นรู้อนาคต...

แล้วทำไมกูเสียวสันหลังวะเนี่ย




ท้องฟ้าดูมืดมิดเร็วกว่าปกติเมื่อย่างเข้าสู่ฤดูหนาวที่ไม่หนาว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับกรุงเทพฯ ที่เหมือนมีแค่ฤดูร้อนกับฤดูร้อนมาก ผมเคยชินไปแล้วเพราะอยู่ที่นี่มานาน แต่คนที่เดินอยู่ด้านข้างคงไม่ชินนัก เพราะตอนนี้คิ้วเข้มขมวดมุ่น กระดุมเสื้อถูกปลดออกไปแล้วสองเม็ดเพื่อระบายความร้อนนับตั้งแต่ลงมาจากรถ

“บอกแล้วให้พาไปส่งบ้านก็พอ” ผมพูดเรื่องเดิมเป็นรอบที่สอง “ยังจะพามาแวะอีก”

“ผมอยากอยู่กับคุณต่ออีกหน่อย”

ตอบมาแบบนี้จะเถียงอะไรได้...

อันที่จริงเรามาถึงหมู่บ้านของผมกันตั้งแต่เมื่อสิบนาทีก่อนแล้ว แต่ภามบอกว่าให้อยู่เป็นเพื่อนเขาก่อน เพราะยังไม่อยากกลับคอนโด สุดท้ายผมเลยบอกให้มาแวะที่สนามเด็กเล่นในหมู่บ้านซึ่งไม่มีใครอยู่เลยสักคน ห่างจากซอยบ้านมาแค่สองซอย พอถึงเวลาเขาจะได้ไม่ต้องขับรถไกลๆ มาส่งแล้วย้อนกลับไปคอนโดตัวเองอีก

“ภะ…" ผมเงียบลงกะทันหันเมื่อหันไปมองคนด้านหลังแล้วเห็นเขายืนเหม่ออยู่ด้านนอก ไม่ยอมก้าวเท้าเข้ามาด้านในสนาม ตอนแรกก็ไม่ได้อยากรบกวนเท่าไหร่นัก กะจะให้เขาเดินเข้ามาเอง แต่เมื่อจับความรู้สึกลึกๆ ในดวงตาคู่นั้นได้ ความกังวลบางอย่างก็สั่งให้ผมเดินเข้าไปกอบกุมมือใหญ่ข้างหนึ่งของเขาเอาไว้ ส่งผ่านความอบอุ่นไปให้จนอีกคนรู้สึกตัวและหันมามอง

“คุณ…" ภามกะพริบตา ท่าทางเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว

“อยากไปที่อื่นไหม”

ในฐานะของคนเป็นหมอ แม้จะไม่ได้เรียนสายจิตวิทยาหรืออะไรมาโดยตรง แต่ผมมั่นใจว่าภามน่าจะเคยมีปัญหามาก่อน เพราะนับตั้งแต่ที่เราได้เจอกันบนรถไฟ เขาก็แสดงออกชัดเจนว่าเข้าใจความคิดของผม เหมือนจะรู้ว่าถ้าปล่อยให้ผมมีความรู้สึกเบื่อหน่ายและท้อแท้กับชีวิตต่อไป มันจะส่งผลต่อสุขภาพจิตไปถึงขั้นไหน ท่าทีทุกอย่างบ่งบอกให้รู้ว่าเขาเคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว ถึงแม้ผมจะไม่รู้ว่าปัญหาของเขาคืออะไรก็ตาม

“ไม่เป็นไร” แรงบีบกระชับกลับที่มือทำให้ผมรู้สึกตัว หันไปเห็นใบหน้าผ่อนคลายของคนด้านข้างเข้าพอดี “คุณอยู่ตรงนี้แล้ว”

“ทำเป็นพูดดี” ผมเบะปากแล้วออกแรงลากให้เขาเดินตามมา ไม่อยากยืนนิ่งๆ ให้โดนแกล้งต่อแล้ว ดูรอยยิ้มนิดๆ บนหน้านั่นซะก่อน มองยังไงก็จงใจพูดแกล้งกันชัดๆ

สนามเด็กเล่นแห่งนี้เป็นสนามเด็กเล่นที่ผมเห็นมาตั้งแต่ยังเรียนอยู่ เหมือนจะเพิ่งปรับปรุงให้ดีกว่าเดิม สังเกตได้จากเครื่องเล่นที่มีเยอะขึ้นและดูใหม่ขึ้น ปกติเด็กๆ จะมาเล่นกันตอนเย็น พอฟ้าเริ่มมืดก็กลับกันหมดแล้ว เพราะผู้ปกครองคงไม่ปล่อยให้อยู่จนดึกดื่น แม้จะเป็นหมู่บ้านปิดที่มีระบบรักษาความปลอดภัยดีพอควร แต่ก็ยังไว้ใจไม่ได้อยู่ดี

“นั่นอะไร” ภามชี้นิ้วไปที่โดมรูปหัวเห็ดซึ่งมีรูอยู่รอบๆ มันเป็นเครื่องเล่นเพียงอย่างเดียวที่ผมเห็นมาตั้งแต่ยังเด็ก และไม่ได้ถูกเปลี่ยนเหมือนเครื่องเล่นอันอื่น

“เครื่องเล่นนั่นแหละ เอาไว้ให้เด็กที่โตขึ้นมาหน่อยปีนเล่นตามรู” ผมเดาเอาจากสภาพการณ์ เพราะตอนเด็กๆ ตัวเองก็ไม่เคยขึ้นไปปีนเหมือนกัน มีแต่ไปนั่งด้านใน “มานี่สิ”

จำได้ว่าเมื่อก่อนเคยอยากเข้าไปดูดาวในนั้น เพราะหัวโดมมีช่องว่างที่ส่องไปบนฟ้าได้พอดีอยู่ แต่จนถึงตอนนี้ก็ยังไม่มีโอกาสเสียที เพราะแม่ไม่เคยปล่อยให้อยู่จนฟ้ามืดเลย

หลังจากกดไหล่ภามให้นั่งลงบนพื้นหญ้าเรียบร้อยแล้ว ผมก็นั่งลงบนพื้นข้างๆ ก่อนจะทอดสายตามองไปด้านบน เห็นเป็นรูโหว่เหมือนในความทรงจำแบบเดิมจริงๆ ต่างกันตรงที่บนท้องฟ้าไม่ได้มีดวงดาวมากมายลอยอยู่แบบที่เคยจินตนาการไว้ มีเพียงผืนฟ้าสีดำสนิทบ่งบอกให้รู้ว่าเป็นเวลากลางคืนเท่านั้น

“เป็นอะไร” คนที่โดนลากเข้ามาแบบงงๆ หันมาถาม คงเพราะเห็นผมแสดงท่าทีเสียดายออกไปโดยไม่รู้ตัว

“ตอนเด็กๆ ฉันเคยคิดว่าถ้ามานั่งในนี้แล้วมองออกไปด้านนอก เห็นท้องฟ้าที่มีดวงดาวมากมาย มันคงจะสวยและรู้สึกดีมากแน่ๆ แต่ในความเป็นจริงมันไม่ใช่แบบนั้นน่ะสิ” ว่าแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจแบบเซ็งๆ “ตอนอยู่เกาะสวยกว่าตั้งเยอะ”

“อยู่ในเมืองมองเห็นดาวยากอยู่แล้ว”

“นั่นสินะ...”

“ตอนเด็กๆ แม่ก็ชอบพาผมกับพี่ไปเล่นที่สนามเด็กเล่นแถวบ้านเหมือนกัน” ภามทอดสายตาออกไปด้านนอก กวาดมองโดยรอบช้าๆ ในขณะที่ผมขยับตัวเข้าหา พยายามควบคุมสีหน้าไม่ให้ดูอยากรู้มากจนเกินไป

“ที่อังกฤษเหรอ”

“ใช่...แต่ผมไม่ได้กลับไปที่นั่นมานานแล้ว”

“ทำไมล่ะ”

ภามชะงักไปครู่หนึ่ง ก่อนจะหันหน้ามาหาแล้วดึงมือผมไปจับไว้ ดวงตาว่างเปล่าทอประกายหม่นหมอง แต่เพียงแวบเดียวเท่านั้นมันก็จางหายไป จนตอนแรกผมไม่แน่ใจว่าตาฝาดหรือเปล่า

“เพราะที่นั่นไม่มีแม่แล้ว”

“…”

ผมไม่รู้เลยว่าตัวเองบีบมือเขากลับแน่นขนาดไหน จวบจนเมื่ออีกฝ่ายเงยหน้าขึ้นมองด้วยแววตาอ่อนโยนพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้า อาการปวดหนึบในใจจึงค่อยๆ จางหายไปช้าๆ

“ไม่เป็นไรหรอก แม่เลี้ยงของผมใจดีมาก เธอดูแลผมเหมือนลูกแท้ๆ คุณไม่ต้องเป็นห่วง”

แต่ก็แทนที่กันไม่ได้ใช่ไหมล่ะ...

ถึงจะยังไม่เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด แต่สัญชาตญาณของผมกลับร้องเตือนว่าให้เปลี่ยนเรื่องตั้งแต่ตอนนี้ เพราะสิ่งที่เขาเคยเป็น จะต้องมีความเกี่ยวข้องกับเรื่องของคุณแม่แท้ๆ แน่ๆ และที่สำคัญคือความอยากรู้ของผมมันไม่ได้มากเท่าความห่วงใยที่เอ่อล้นอยู่ในใจ

ถ้าต้องนึกถึงแล้วทำให้ภามรู้สึกไม่ดี...ผมยอมเป็นคนไม่รู้เรื่องต่อไปดีกว่า

“ว่าแต่นายไปโผล่ที่โรงพยาบาลได้ยังไง”

ภามเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความประหลาดใจ แต่เพียงไม่นานสีหน้างุนงงก็แปรเปลี่ยนเป็นพออกพอใจ เหมือนจะบอกว่าเข้าใจแล้วว่าทำไมผมถึงเปลี่ยนเรื่อง เห็นแล้วก็ได้แต่ฮึดฮัดโดยไม่ได้พูดอะไรออกไป ทำได้เพียงเงยหน้ามองท้องฟ้า ปล่อยให้คนหน้าด้านนั่งเล่นมือตัวเองต่อไปเงียบๆ

“เก้าบอกว่าคุณทำงานที่โรงพยาบาลนั้น แล้วจะชอบแวะไปดูเด็กๆ ก่อนกลับบ้านตลอด ผมเลยไปนั่งรอ...” คนพูดชะงักไปเล็กน้อย ก่อนจะถอนหายใจแล้วเล่าต่อ “ที่นั่งรอของผู้ปกครองเต็มหมดแล้ว ผมเลยคิดว่าหลังบ้านลมจะเงียบพอให้นั่งรอได้ ไม่นึกว่าเด็กคนหนึ่งจะมาเจอ แล้วยังไปชักชวนเพื่อนให้เข้ามามุงอีก”

“มิน่าถึงโดนเรียกว่าพี่ชาย” ผมหัวเราะอารมณ์ดี แค่นึกภาพภามโดนเด็กเข้าไปมุง กระโดดโลดเต้นไปมารอบตัวพร้อมถามว่าพี่ชายมาทำอะไรตรงนี้ก็ขำแล้ว

“เด็กพวกนี้เสียงดังกว่าเด็กที่เกาะ” เขาขมวดคิ้วมุ่น หน้าตาเป็นปลาตายเหมือนเดิม แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนมองเห็นความสยดสยองที่แสดงออกมารางๆ ผ่านดวงตาคู่นั้น

“ธรรมดาแหละ...เวลาร้องก็ร้องดังกว่ามาก”

นึกถึงเสียงร้องไห้ของพลทหารที่ไม่อยากเป็นทหารแล้วขึ้นมา ก็อดเอาไปเปรียบเทียบกับเสียงร้องไห้ของเจ้าตาลไม่ได้ รายนั้นเคยร้องไห้เพราะหกล้ม นั่งฮึบอยู่นานจนน่าสงสาร สุดท้ายพอเห็นภามเข้าใกล้ก็ปล่อยโฮ แต่เทียบความดังกับพลทหารที่ผมเจอเมื่อเช้าไม่ได้เลย

ก็นะ...พวกเด็กที่เกาะเล่นจริงเจ็บจริงกันจนชินแล้ว ไม่แปลกที่จะถึกทนทานกว่า

“ตอนคุณเป็นหมอ...” ภามเรียกความสนใจของผมกลับไปหาโดยการบีบนิ้วกันเบาๆ “คุณดูอ่อนโยนมาก...แล้วก็ดูโตกว่าปกติด้วย”

“นั่นชมใช่ไหม”

“…น่าจะ”

งั้นคงเป็นแอบด่าแล้วแหละ

“เด็กๆ ที่มารักษาบางคน พอรู้ว่าต้องมาโรงพยาบาลก็กลัวมากพออยู่แล้ว ฉันอยากให้พวกเขารู้ว่าหมอไม่ได้น่ากลัวแบบที่คิด สิ่งที่ควรกลัวคือเข็มฉีดยาต่างหาก...” ผมพูดตามความจริงด้วยใบหน้าเคร่งเครียด แต่ไม่รู้ทำไมภามถึงทำหน้าเหนื่อยหน่ายใส่ “นี่พูดจริงๆ นะ นายไม่รู้สึกว่ามันน่ากลัวเหรอ แค่ลองคิดว่าจะโดนจิ้มเองก็อยากร้องไห้แล้ว เพราะงั้นฉันถึงเข้าใจเด็กๆ มากไง”

“คุณนี่มัน...” เขาทำหน้าเหมือนคนพูดไม่ออก แต่สุดท้ายก็ส่ายหน้าไปมาเบาๆ

“อะไรเล่า” ผมแกล้งถามด้วยน้ำเสียงไม่พอใจ ก่อนจะถอนหายใจโล่งอกเมื่อเห็นว่าภามดูกลับมาเป็นภามคนเดิมแล้ว

ถึงสิ่งที่บอกเขาจะเป็นความจริง แต่ก็ไม่อาจปฏิเสธว่าเหตุผลที่ผมพูดออกไปแบบนั้น เป็นเพราะอยากให้ภามหายเครียดมากกว่าอยากบอกความจริง

“จะว่าไป...เหมือนเก้าจะบอกว่าคุณแม่ของคุณโทรไปขอบใจเมื่อวาน”

ผมหันขวับไปมองหน้าภามเมื่อได้ยินสิ่งที่เขาบอก อารมณ์ถูกเปลี่ยนแทบจะทันทีที่ได้ยินชื่อของไอ้เพื่อนเวรที่หายหน้าหายตา ไม่ยอมตอบไลน์ไม่ยอมรับโทรศัพท์ เหมือนรู้ว่าถูกคาดโทษไว้แล้ว

“ทำไมไอ้เก้ามันไม่ยอมตอบไลน์ฉัน ไอ้โซก็ด้วย พวกมันอยู่ด้วยกันที่ภูเก็ตใช่ไหม”

“ใช่” ภามพยักหน้ารับ “เก้าบอกว่าถ้ากลับอังกฤษเมื่อไหร่จะตอบ ส่วนโซบอกว่าขี้เกียจ”

ไอ้เพื่อนเลว...

ถึงแม้จะรู้สึกอยากเตะเท้าไปมา ระบายอารมณ์หัวร้อนออกไปมากมายขนาดไหน แต่เพราะภามไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับความเลวของพวกมัน นอกจากนั้นยังเป็นเหยื่อเหมือนกัน ท้ายที่สุดแล้วผมก็ได้แต่ท่องยุบหนอพองหนอในใจ พยายามสงบสติอารมณ์ของตัวเองลง

“อนาคิน”

“หา”

“อนาคิน...”

“เรียกซะยาวเชียว” ผมหันไปมองหน้าภามขำๆ จะว่าไปแล้วก็เพิ่งนึกได้ว่าเขายังไม่ยอมเรียกผมว่าเจไดเลย ทั้งที่มันสั้นกว่าอนาคินตั้งหนึ่งพยางค์ แต่จะว่าไปคำนี้ก็ไม่ได้ยินมานานแล้วเหมือนกัน ตั้งแต่วันที่เรา...

ภาพที่ได้จูบกันตอนอยู่ที่ทะเลฉายขึ้นในหัว ผมหน้าร้อนวาบ รีบเบนสายตาออกจากหน้าภามเพราะกลัวว่าเขาจะสังเกตเห็น

“คุณคิดถึงผมหรือเปล่า” คำถามนั้นดังขึ้น พร้อมกับที่ปลายนิ้วอุ่นร้อนแตะลงบนแก้มเหมือนที่เขาชอบทำตอนเรายังอยู่ด้วยกันบนเกาะ

“…”

คิดถึงเหรอ...การที่นึกถึงช่วงเวลาตอนอยู่ด้วยกันตลอดเวลามันเข้าข่ายหรือเปล่านะ

“ไม่ต้องตอบก็ได้” คนพูดเกลี่ยแก้มผมเบาๆ และมองมาด้วยแววตาที่ดูอ่อนแสงลง “แค่ฟังก็พอ”

“ฟัง…อะไร”

“ผมคิดถึงคุณ”

“…” ผมเม้มปากแน่น ใบหน้าที่ร้อนอยู่แล้วราวกับถูกดวงอาทิตย์แผดเผาซ้ำแล้วซ้ำเล่า แม้แต่หัวใจก็ทรยศด้วยการเต้นกระหน่ำไม่สนใจคำสั่งของสมองที่บอกให้หยุดเสียที

“อนาคิน” เขาเรียกชื่อจริงของผม ขณะที่ปลายนิ้วไล่ลงมาจนถึงริมฝีปาก และเป็นเสียงเรียกนั้นเองที่สะกดผมให้นั่งนิ่งอยู่กับที่ แม้ยามใบหน้าคมคายที่ติดอยู่ในความทรงจำเคลื่อนเข้าหา “อนาคิน...”

ลมหายใจอุ่นร้อนเป่ารดพวงแก้ม จั๊กจี้จนต้องเอียงหน้าหนีตามสัญชาตญาณ แต่มือที่แตะมุมปากกันอยู่กลับเลื่อนลงมาจับคาง บังคับให้หันกลับไปสบตาตามเดิม

“อย่าหนี...” เพียงคำพูดเดียวของเขาก็ทำให้ผมนั่งนิ่งเป็นตอไม้ได้อย่างรวดเร็ว พร้อมๆ กับที่ริมฝีปากนั้นแนบลงมาช้าๆ แตะลงเบาๆ ที่มุมปาก แล้วค่อยๆ ขยับเข้าแนบชิด กลืนกินลมหายใจของผมเหมือนกับ...

วันที่เราจูบกันเป็นครั้งแรก

ภามไม่ได้ลุกล้ำไปมากกว่านั้น เขาแค่แตะริมฝีปากลงมา กดค้างอยู่นานนับนาทีและผละออก ก่อนจะขยับใบหน้าให้จมูกโด่งนั้นฝังลงบนหน้าผาก กดริมฝีปากลงบนปลายจมูก และแช่เอาไว้ราวกับต้องการถ่ายทอดทุกความรู้สึกมาให้

“ผม...ขาดคุณไม่ได้แล้วจริงๆ”

“…”

บางที...อาจไม่ใช่แค่เขาคนเดียว



———————-


หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.23]== [25/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 25-08-2018 17:41:39
คุณหมอไม่สู้หน่อยหรอคะ ฮื่อ น้องภามคนจริงมาก รุกแรงสุด โอย นี่คนหรือไมโครเวฟคะ แล้วทำไมน้องละมุนเหลือเกิน :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.23]== [25/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 25-08-2018 20:00:37
ภามรุกหนักนะ รีบอะไรปานนั้น.  :hao3:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.23]== [25/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 25-08-2018 23:31:32
หวานซ้า าา า เบาหวานจะตี
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.23]== [25/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 26-08-2018 22:08:25
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.23]== [25/08/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 01-09-2018 11:29:36
-24-


ยามเช้าอันแสนสดใส...

พระอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันออก ก้อนเมฆลอยล่อยเต็มท้องฟ้า แดดไม่แรงเกินไป แล้วยังมีสายลมเอื่อยๆ พัดมากระทบใบหน้าเป็นระยะ ไม่ว่าจะมองอย่างไรอากาศก็ดีจนอยากวิ่งกลับเข้าไปนอนต่อมันเสียเดี๋ยวนี้ แต่เพราะภาระหน้าที่อันหนักหนาที่รออยู่ข้างหน้า ผมเลยจำใจต้องเดินไปเปิดประตูรั้วแบบห่อเหี่ยว

วันนี้พ่อออกไปก่อนแล้ว ท่าทางคงต้องขับรถไปเอง...

“ไง”

“…” ผมเงยหน้ามองเจ้าของเสียงทักทายอันแสนคุ้นเคย แต่เมื่อเห็นร่างสูงใหญ่ของตัวต้นเหตุที่ทำให้นอนไปได้เพียงห้าชั่วโมง อารมณ์ก็บูดขึ้นมากะทันหัน “ยังมีหน้ามาทำตาวิ้งๆ ใส่อีกเหรอ”

อันที่จริงภามก็ทำหน้าปลาตายเป็นปกตินั่นแหละ ผมแค่พาลไปเองเฉยๆ ก็ใครใช้ให้เขาดูสดใสขนาดนี้เล่า อ๋อลืมไป...ก็อีกฝ่ายดันชิ่งหลับไปก่อนผมนี่หว่า

“คุณโกรธ?”

“ไม่ได้โกรธ แต่หัวร้อน” ผมตอบกลับทันควัน ไม่ปล่อยให้ภามเข้าใจผิด

“ผมก็ไม่คิดว่าจะหลับคาโทรศัพท์...”

“แล้วชวนเล่นทำไมฟะ!”

ยิ่งพูดยิ่งของขึ้น สำหรับใครที่คิดว่าผมนอนไม่หลับเพราะนึกถึงเหตุการณ์ที่สวนสาธารณะ บอกได้เลยว่าคิดผิด เพราะสาเหตุที่ทำให้ผมหัวลุกเป็นไฟแบบนี้ เป็นเพราะไอ้บ้าภามมันชวนเล่นเกมในโทรศัพท์แล้วดันชิ่งหลับไปก่อน ปล่อยให้ผมนอนไม่หลับเพราะเอาแต่เล่นเกมอยู่คนเดียว

เมื่อคืนหลังจากที่...นั่นแหละ ภามก็พาผมไปส่งที่บ้านแล้วขับรถกลับคอนโด พอผ่านไปสักพักเขาก็โทรเข้ามา บอกว่าถึงแล้ว ไอ้เราก็ไม่ได้คิดอะไร กะจะบอกฝันดีแล้วแยกย้าย แต่ฝ่ายนั้นกลับบอกว่าไปเจอเกมใหม่มา ชวนให้เล่นด้วยกัน ผมที่กำลังเอ๋อๆ และเห็นว่ายังไม่ดึกมากนักเลยตกปากรับคำ จากสามทุ่มกลายเป็นเที่ยงคืน แล้วคนที่ชวนเสียดิบดีก็ชิ่งหลับกลางคัน เรียกยังไงก็ไม่ตื่น สัญชาตญาณเกมเมอร์ของผมยังลุกโชนไม่หาย เลยลากยาวไปยันตีสองถึงได้นอน ตื่นเช้ามาสภาพก็เป็นแบบที่เห็น

“ก็ไม่อยากให้คิดมาก” ภามตอบหน้าตาย มือเอื้อมมาดึงกระเป๋าหนังของผมไปถือไว้ให้

“คิดมาก?”

“เรื่องจูบ...”

“หยุด!” ผมยกมือห้าม ไม่รอให้เขาพูดจบประโยค “จะไปส่งใช่ไหม เร็วๆ เลย”

แค่นึกถึงความคิดตัวเองและสิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อวานก็หน้าร้อนวูบวาบแล้ว กว่าจะสงบสติอารมณ์ได้ต้องแช่น้ำอยู่ตั้งนาน ขืนปล่อยให้เขาพูดขึ้นมาอีกรอบ ไม่เท่ากับเป็นตอกย้ำให้ผมกลับไปนึกถึงมันอีกรอบหรือไง

“ผมส่งรูปให้คุณแล้วนะ” คุณสารถีจำเป็นพูดขึ้นมาลอยๆ ระหว่างที่กำลังขับรถมุ่งหน้าไปยังโรงพยาบาล

ที่แท้เมื่อวานขอเมลไปก็เพราะจะส่งรูปให้นี่เอง

“โอเค...แล้วนี่นายจะไปไหนต่อน่ะ”

“ทำงาน”

“หา” ผมหันไปมองหน้าภามด้วยความแปลกใจ “มีลูกค้าเก่าติดต่อมาเหรอ”

“เปล่า”

“แล้ว...”

“ถ่ายภาพให้นิตยสารน่ะ” ภามตอบเสียงเรียบเหมือนมันไม่ใช่เรื่องน่าตื่นเต้นดีใจอะไรนัก กลับกลายเป็นผมที่ตื่นเต้นแทนเมื่อได้รับฟังสิ่งที่เขาพูด ถึงอีกฝ่ายจะเคยบอกว่าจะหยุดอยู่กับที่...เพราะ...เออเพราะผมนั่นแหละ แต่ก็ไม่คิดว่าเขาจะหางานได้เร็วขนาดนี้

“หางานไวมากเลยนะเนี่ย”

“อันที่จริงถูกติดต่อมาหลายรอบแล้ว แต่เพราะไม่ชอบถ่ายคนผมเลยปฏิเสธไป ครั้งนี้เขาบอกว่าเป็นภาพถ่ายคนกับธรรมชาติ เน้นเรื่องราว ผมต้องหาเงินมาเลี้ยงคุณเลยยอมรับปาก”

“เดี๋ยวๆ...เลี้ยงฉันคืออะไร”

ภามเหลือบตามามองหน้าผมแล้วโคลงหัวไปมา

“พูดไว้เผื่ออนาคต”

“ฉันก็มีอาชีพของตัวเองหรอกน่า” ผมบ่นเบาๆ แล้วทอดสายตามองไปด้านหน้า เป็นเวลาเดียวกันกับที่รถเคลื่อนเข้าไปในเขตโรงพยาบาลพอดี “ว่าแต่นายเถอะ มั่นใจเหรอว่าจะอยู่กับที่ ไม่ไปไหนจริงๆ”

คนขับรถไม่ได้ตอบอะไรในทันที แต่เขารอจนจอดรถเข้าที่เรียบร้อยแล้วถึงได้หันมาหา จ้องมองผมด้วยแววตาจริงจังเหมือนที่ชอบทำเวลาต้องการความสนใจ

“เพราะมั่นใจ ผมถึงยอมรับงานที่ไม่ค่อยชอบ ทั้งหมดก็เพื่อให้ได้อยู่ใกล้คุณ”

ผมมองหน้าภามอยู่นาน มองจนอีกฝ่ายดึงมือไปกุมไว้ก็ไม่ได้พูดอะไรออกไปเหมือนปกติ ยอมรับว่าในใจมีความรู้สึกยินดีอยู่ไม่น้อยยามได้ยินสิ่งที่เขาพูด แต่ผมก็ไม่ใช่คนนิสัยเสียที่จะยึดเอาแต่ความชอบของตัวเองเป็นหลัก ผมไม่อยากให้เขาเอาตัวเองมาผูกติดกับคนที่แทบไม่มีเวลาให้ ทำงานทั้งเจ็ดวันไม่มีวันหยุด บางครั้งต้องอยู่เวรไม่ได้กลับบ้านก็บ่อย

ที่เกาะกับที่นี่มันไม่เหมือนกัน ที่เกาะผมเป็นเพียงหมอเจไดของชาวบ้าน เป็นเพียงนักท่องเที่ยวที่ช่วยเหลือคนป่วยได้ในยามมีเหตุ แต่สำหรับที่นี่ ผมเป็นคุณหมอที่มีความรับผิดชอบมากมาย ไม่ได้มีเวลาว่างไปถ่ายรูปเป็นเพื่อนเขาเหมือนตอนนั้นแล้ว

“ภาม...อาชีพของฉันมันไม่ได้มีเวลามากมายนักหรอกนะ” ผมถอนหายใจ ขณะก้มหน้าลงมองมือของเราที่กอบกุมกันไว้ “ตอนนี้ฉันมั่นใจแล้วว่าการเป็นหมอคือชีวิตของฉัน เป็นสิ่งที่ยังอยากทำต่อไปแม้ว่าจะเหนื่อยขนาดไหนก็ตาม”

“…”

“นายยังมีทางเลือกอีกมาก ยังมีความฝันที่จะเดินทางไปทั่วอยู่ไม่ใช่หรือไง แล้วจะมาบังคับตัวเองให้หยุดอยู่กับที่ทำไม ฉันไม่มีเวลาไปดูแลใครหรอกนะ”

“…ที่ถูกจูบไปสองครั้งไม่ช่วยให้คุณเข้าใจอะไรมากขึ้นเลยเหรอ”

“อะ...” ไอ้...

ผมตั้งท่าจะชักมือกลับตามสัญชาตญาณ แต่แค่คิดก็ถูกคนรู้ทันบีบกระชับมือไว้แน่นกว่าเดิม กว่าจะรู้ตัวก็ตอนที่เขายื่นหน้าเข้ามาหา จ้องมองมาด้วยดวงตาวาวโรจน์แบบที่ผมไม่เคยเห็นมาก่อน

“ตัวก็แค่นี้ แถมขี้เกียจขนาดเก้ายังอาย มีชีวิตอยู่มาเกือบสามสิบปีแล้วคุณยังคิดว่าจะดูแลใครได้อีกเหรอ”

“…” พูดขนาดนี้เอาเท้ามาทาบหน้าเลยไหม

คิดว่าภามคงรู้ว่าผมเริ่มอารมณ์บูดอีกรอบแล้ว เขาถึงได้หยุดพูดไปชั่วขณะหนึ่ง แล้วเปลี่ยนมานวดมือให้เบาๆ แทน จนสุดท้ายเมื่อผมผ่อนคลาย เปลี่ยนสีหน้าให้กลายเป็นปกติ ดวงตาคู่นั้นถึงได้มองมาอีกครั้งด้วยความกดดันและเหมือนจะออดอ้อนขอร้องอยู่ในที

“ผมไม่ได้ต้องการให้คุณมาดูแล...แต่ผมอยากดูแลคุณ แค่นี้ไม่เข้าใจหรือไง”

ได้ยินแบบนี้แล้วยังจะเถียงอะไรได้อีก ผมเบือนหน้าหนี ไม่กล้าสบตาคนพูด เพราะรู้สึกเหมือนหัวใจและอารมณ์ด้านในจะล้นทะลักออกมาเสียให้ได้ แค่อยู่ใกล้ๆ ก็เหนื่อยมากพอแล้ว ยังจะมาพูดจาให้เหนื่อยกว่าเดิมอีก

“ปล่อยได้แล้ว จะไปทำงาน” ผมกระตุกมือตัวเองออกมา โดยที่ภามก็ไม่ได้ห้ามอะไร เขาแค่มองนิ่งๆ ก่อนจะเปิดประตูลงจากรถแล้วเดินตามผมเข้าไปด้านในโรงพยาบาลต้อยๆ

ตอนแรกคิดว่าพอถึงประตูก็คงหันหลังกลับไปเองเลยไม่ได้ห้าม แต่นี่ผมเดินมาจนถึงแผนกตัวเองแล้วเขาก็ยังเดินตามไม่เลิก และสุดท้ายผมก็ทนไม่ไหว ต้องหันไปขมวดคิ้วถามจนได้

“เดินตามทำไม ไม่ไปทำงานเหรอ”

“ไปส่งคุณก่อน”

“ก็อยู่โรงพยาบาลแล้วไง”

“ส่งที่โต๊ะทำงาน” ภามพูดหน้าตาย ราวกับไม่ได้รับรู้เลยว่าสิ่งที่พูดออกมามันเป็นเรื่องผิดหรือประหลาดอะไร แต่เดี๋ยวก่อน...ผมยังไม่เคยเห็นใครไปส่งกันถึงโต๊ะทำงานเลยนะ

“ไปทำบ้าอะไรเล่า รีบไปทำงานเลยไป” ว่าแล้วก็ดันไหล่ของคนตัวสูงกว่าให้หมุนตัวไปทางเดิม ซึ่งเขาเองก็ทำตัวเป็นตุ๊กตา ปล่อยให้ผมหมุนไปหมุนมาโดยไม่ได้รั้งตัวไว้ให้ลำบากใจเลยสักนิด

ตอนนี้เริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าโดนกวนตีนอยู่หรือเปล่า

“ตอนเย็นจะมารับ”

“รู้หรือไงว่าฉันเลิกกี่โมง”

“วันนี้คุณไม่มีเวร แต่อาจจะเลิกไม่ตรงเวลา ผมรอได้”

“ไม่…” ผมอ้าปาก ตั้งท่าจะปฏิเสธ คิดถึงขั้นจะเอาพ่อมาอ้างว่าจะกลับพร้อมกัน แต่ภามกลับหันมาหา ใช้นิ้วชี้ของตัวเองเกี่ยวนิ้วชี้ของผมไว้แล้วพูดแทรกด้วยความว่องไว

“ผมจะรอ”

“…จะ”

“…”

“จะทำอะไรก็ทำ!”

สมใจแล้วก็หยุดทำตัวเหมือนเด็กสักที...ให้ตายเถอะ รู้ว่าแพ้ก็เอาใหญ่เลยนะ

ผมหมุนตัว ดึงนิ้วกลับมาด้วย ครั้งนี้ตั้งมั่นแล้วว่าจะเดินไปให้ถึงห้องตรวจโดยไม่ยอมหันไปหาจนต้องหลงกลภามอีกรอบ แน่นอน แต่ยังไม่ทันได้ก้าวไปไหน เสียงพูดไม่ดังไม่เบาจากคนด้านหลังก็ดังขึ้นอีกรอบ

“แล้วที่บอกว่าขอดูแลล่ะ”

“นี่จงใจให้ได้ยินทั้งแผนกเลยปะเนี่ย” ผมก้าวเท้าไวๆ กลับไปหาภามแล้วยกมือปิดปากเขาไว้ ดูคนเรา ยังมีหน้ามาทำเหมือนจะยิ้มอีกนะ

“คำตอบ...”

“จะทำอะไรก็ทำ!” คำตอบเดิมถูกใช้ซ้ำอีกครั้ง พร้อมกับที่ผมรีบผลักหลังภามให้เดินออกไปจากตรงนี้ด้วยความรวดเร็ว จนกำลังจะพ้นประตูอยู่แล้วเขาถึงได้ฝืนตัวไว้แล้วหันมายิ้มอย่างพออกพอใจ

“ตอนเย็นเจอกัน” ว่าจบก็เดินล้วงกระเป๋าจากไปด้วยท่าทางเท่ๆ แบบที่ผมอยากจะเข้าไปประเคนฝ่าเท้าให้สักที พอได้คำตอบที่พอใจแล้วก็ชิ่งเลยนะ

ทิ้งกูให้เผชิญกับสายตานับสิบคู่คนเดียวเนี่ย...

“มองอะไรครับพี่แจน” ผมหันไปทักคุณพยาบาลที่เคาน์เตอร์แผนกเสียงเข้ม “ทำงานครับทำงาน”

“คิกๆ...ทำแล้วค่ะทำแล้ว” เสียงหัวเราะของบรรดาพยาบาลดังขึ้นอย่างพร้อมเพรียงกัน เมื่อเห็นผมทำหน้าบูดเป็นตูดลิง เดินจ้ำเร็วๆ หนีเข้าไปอยู่ในห้องตรวจ

เอาใหญ่เลยนะพวกพี่สาวน้องสาวทั้งหลาย แซวกันตั้งแต่วันแรกที่ผมกลับมาทำงานว่าไปเจอคนถูกใจแน่ๆ เลยถึงได้ยอมโกนหนวดซึ่งไว้มานาน ใครเตือนให้เอาออกจะได้น่ารักเหมือนตอนมาทำงานแรกๆ ก็ไม่ฟัง พอมาวันนี้เห็นภามมาเกี่ยวน้งเกี่ยวนิ้ว ไหนจะคำพูดน่าคิดเหล่านั้นอีก ไม่โดนแซวไปอีกสิบปีก็แปลกแล้ว

“ไอ้บ้าภามก็ด้วย...”

พูดมาได้ไม่สนใจชาวบ้าน จงใจกวนตีนกันชัดๆ

“อะแฮ่ม!”

“พี่แจน!” ผมสะดุ้งจนตัวโยน มือยกขึ้นลูบอกเป็นการปลอบหัวใจที่สะดุ้งตามร่างกายโดยไม่รู้ตัว “เข้ามาไม่ให้ซุ่มให้เสียง ผมตกใจหมดเลย”

“พี่เคาะประตูแล้วนะคะ แต่คุณหมอนั่นแหละมัวแต่เหม่ออะไรก็ไม่รู้” พี่แจนว่าแล้วเดินหัวเราะไปจัดของด้านหลังผมตามหน้าที่

“คิดไปเรื่อยครับ”

“เอ...พี่นึกว่ากำลังคิดถึงเรื่องผู้ชายหน้าตาดีที่เพิ่งกลับไปเสียอีก รู้ไหมคะว่าน้องๆ พยาบาลกรี๊ดกันใหญ่ บอกว่าหล่ออลังการมาก”

“ผมหล่อกว่าอีก” ผมเถียงอย่างไม่ยอมแพ้ แอบเบะปากในใจเมื่อได้ยินคนชมภามอีกแล้ว ใครจะคิดว่าพี่แจนจะถึงกับชะงักกึก พร้อมหันหน้ามามองผมขึ้นๆ ลงๆ เหมือนกำลังพิจารณา

“พี่ยอมรับนะคะว่าตอนเห็นรูปคุณหมอกับหุ่นเมื่อก่อนสมัยยังเรียนอยู่มหา’ลัยนี่แซ่บมาก แต่ตอนนี้...” คุณพยาบาลทำสีหน้าลำบากใจ คล้ายกำลังครุ่นคิดว่าควรพูดอะไรออกมาเพื่อไม่ให้เป็นการทำร้ายจิตใจผมมากเกินไป “เอาเป็นว่าตอนนี้คุณหมอน่ารักแล้วกันค่ะ”

“นั่นมันคำชมแบบเสียมิได้นี่นา”

“เอาน่า...แต่ดูเหมือนคุณหมอจะมีเนื้อมีหนังขึ้นนิดหน่อยนะคะ ก่อนไปพักร้อนนี่มีแต่กระดูก จะว่าไปแล้วพวกพี่ก็คุยกันอยู่ว่าเหมือนคุณหมอจะสดใสขึ้นด้วย ไปเจออะไรดีๆ มาใช่ไหมคะ เกี่ยวกับผู้ชายคนเมื่อกี้หรือเปล่าน้า” พี่แจนยิ้มจาง ขณะที่ผมได้แต่ทำหน้างุนงงด้วยความไม่เข้าใจ

สดใสขึ้นงั้นเหรอ...

จะบอกว่าไปเจออะไรดีๆ มามันก็ใช่อยู่ ได้อยู่กับธรรมชาติแบบที่ไม่ได้สัมผัสมานาน ผมย่อมชอบมากอยู่แล้ว แต่เคยคิดว่าถ้าได้กลับมาเจอชีวิตเดิมๆ อีกครั้งก็จะกลับไปเป็นเหมือนเดิมเสียอีก ไม่คิดว่าจะถึงขนาดมีคนสังเกตเห็นความเปลี่ยนแปลงที่แม้แต่ผมยังไม่ทันรู้สึก

จู่ๆ ภาพใบหน้าของคนที่เพิ่งกลับไปก็โผล่ขึ้นมาในหัว...

หลอกหลอนกันเหลือเกินนะ

“ผมสดใสขึ้นก็ดีแล้วไม่ใช่เหรอครับ พี่แจนไปทำงานได้แล้ว เดี๋ยวก็โดนฟ้องหรอก คนไข้รอกันเป็นแถวแล้วมั้ง” ผมรีบโบกมือไล่คุณพยาบาลช่างพูดที่เอาแต่ยิ้มกว้าง มองมาเหมือนต้องการคำตอบ

“แหม...ไม่ปฏิเสธด้วยนะเนี่ย”

“พี่แจน...”

“จ้าๆ ไปแล้ว”

ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่เมื่อได้กลับมาอยู่คนเดียวอีกครั้ง ในหัวนึกถึงเรื่องราวต่างๆ ไปเรื่อย ขณะที่มือก็พลิกเอกสารเกี่ยวกับงานอ่านไปพลางๆ ตามที่ได้คุยกับพ่อ ดูเหมือนว่าน้องระฟ้าจะเข้ามาที่โรงพยาบาลวันนี้ในช่วงเย็น ผมต้องอยู่คุยกับน้องก่อนจะส่งให้แพทย์เฉพาะทางต่อ ไม่รู้เหมือนกันว่าจะกินเวลาไปมากขนาดไหน ถ้าภามมารอจริงก็อาจจะต้องรอนาน

เอาเป็นว่าส่งข้อความไปบอกก่อนแล้วกัน จะได้ไม่ต้องรู้สึกผิดทีหลัง ส่วนจะรอหรือไม่รอก็ตามใจเขา

หลังจากการทำงานเริ่มต้นขึ้น ผมก็แทบไม่มีเวลาได้พักผ่อนหรือแตะต้องโทรศัพท์อีก ทั้งวันใช้ไปกับการตรวจและกล่อมเด็กน้อยที่เข้ามารับการรักษา หรือไม่ก็ไปนั่งคุยกับคุณพ่อคุณแม่และน้องที่เป็นผู้ป่วยใน วนเวียนสับเปลี่ยนไปตามหน้าที่อยู่อย่างนี้เกือบทั้งวัน ข้าวก็ไม่ต้องหวังว่าจะได้กินพร้อมชาวบ้าน เพราะแบบนี้แหละถึงได้ลืมกินบ่อยๆ

“คุณหมอ ไปทานข้าวก่อนเถอะค่ะ เมื่อคืนเหมือนจะไม่ได้นอนด้วยใช่ไหมเนี่ย” คุณพยาบาลเอ่ยเตือนเป็นคนที่สอง คงเพราะเห็นว่าผมยังวุ่นวายไม่หยุดทั้งที่ตอนนี้เกือบสองโมงเข้าไปแล้ว ท่าทางหน้าคงไม่ไหวมากจริงๆ คนอื่นถึงได้สังเกตเห็นกันหมด

“หน้าผมแสดงออกชัดขนาดนั้นเลยเหรอครับ”

“มากเลยค่ะ แต่ถ้าได้ทานข้าวต้องดีขึ้นแน่ๆ เพราะงั้นไปทานสักนิดเถอะนะคะ ยังมีเวลากว่าคนไข้ที่นัดไว้จะมา หมอนิกซ์เองก็อยู่ด้วย”

“แอนยังไม่ชินอีกเหรอ ที่เห็นผมไม่ได้กินข้าวเนี่ย” ผมแซวคนอายุเท่ากันขำๆ

“โธ่...จะชินได้ยังไงคะ คุณหมออุตส่าห์กลับมาหน้าใสกิ๊งทั้งที ไม่มีพยาบาลคนไหนอยากให้กลับไปเป็นตาลุงเหมือนเดิมหรอกค่ะ” แอนว่าแล้วหัวเราะคิกคัก “เอาเป็นว่าไปทานข้าวสักนิดเถอะค่ะ เดี๋ยวคนเอามาให้เขาจะเสียใจนะ”

“หา…”

คนเอามาให้?

“แอนไปทำงานก่อนนะคะ คุณหมอก็รีบไปได้แล้ว”

ผมได้แต่มองคนพูดเดินหัวเราะอุอิจากไปแบบงงๆ ก่อนจะเดินไปดูกระเป๋า กะว่าจะหยิบเงินไปซื้อกาแฟกินสักแก้วแทนข้าว แต่กลับต้องชะงักกึกเมื่อเห็นกล่องข้าวพลาสติกลายแมววางอยู่ด้านข้างของที่ต้องการ

‘ให้คุณ...’

ไม่ต้องสงสัยแล้วว่าจากใคร ลายมือบนกระดาษที่แปะอยู่บนหน้าแมวยึกยือปานนี้คงมีอยู่แค่คนเดียว แต่ที่น่าสงสัยคือเขาเอามาให้ตั้งแต่ตอนไหนต่างหาก คิดได้ดังนั้นผมก็คว้าโทรศัพท์มาถือไว้แล้วรีบเดินไปหาที่นั่งกินข้าว ข้อความล่าสุดถูกส่งมาจากภาม เป็นคำตอบสั้นๆ ที่บอกว่า ‘เข้าใจแล้ว’ หลังจากผมส่งข้อความไปบอกเรื่องอาจจะเลิกช้า

ว่าแต่เข้าใจแล้วนี่คือจะรอหรือไม่รอวะ...

Anakin: รอหรือไม่รอ

ผมส่งไลน์ไปถามแล้วตักมักกะโรนีคำแรกเข้าปาก ก่อนจะตามมาด้วยอีกหลายคำเมื่อรู้สึกว่ามันอร่อยผิดคาด ดูจากกล่องแล้วไม่น่าใช่ซื้อมา ก็หมายความว่าภามทำเองน่ะสิ...มันจะมันอร่อยเกินไปหรือเปล่า

ประเด็นเลยคือถ้าเขาทำเองจริงๆ แล้วมันอร่อยขนาดนี้ ทำไมตอนอยู่บนเกาะไม่ทำแต่แรกฟะ

ไม่หรอก...บางทีอาจให้ใครทำให้ก็ได้

ครืด

เสียงโทรศัพท์สั่นดังขึ้นพร้อมกับที่ผมตักมักกะโรนีคำสุดท้ายเข้าปากพอดี มันคือคำตอบสั้นๆ จากคำถามที่ส่งไปเมื่อห้านาทีที่แล้ว

asdf: รอ

asdf: อาหารเป็นยังไงบ้าง

Anakin: นายทำเองเหรอ แล้วเอามาให้ตอนไหน

asdf: ทำเอง ฝากพยาบาลไว้ตอนเที่ยง

Anakin: อ้อ…ก็พอกินได้ ยังไงก็ขอบคุณแล้วกัน

asdf: อา...ไว้เจอกัน

Anakin: เจอกัน

ผมเลียช้อนเป็นครั้งสุดท้ายแล้วทำการปิดฝากล่อง นี่ถ้ามีใครอยู่ตรงนี้แล้วรู้ว่าผมบอกภามว่าพอใช้ได้ คนคนนั้นจะต้องมองเหยียดแล้วบอกว่าตอแหลแน่นอน เพราะคงไม่มีอาหารพอใช้ได้ที่ไหนโดนเก็บกินเกลี้ยงกล่องขนาดนี้ ถ้าเลียแล้วไม่น่าเกลียดผมก็อยากจะทำอยู่หรอก ใครมันจะยอมบอกตรงๆ เล่าว่าอาหารที่นายทำมันอร่อยมาก สุดยอด ขอทุกวันเลยได้ไหม

เอาไว้ค่อยๆ ตะล่อมขอแบบไม่ให้รู้ว่าชมดีกว่า...



หลังจากนั่งทำงานและรอคอยมาทั้งวัน ในที่สุดพี่แจนก็เดินเข้ามาหาผม เป็นเวลาเดียวกันกับที่ถึงเวลาเลิกงานพอดี เธอบอกว่าน้องระฟ้าอยู่ที่ห้องพักวีไอพีแล้ว พ่อผมเพิ่งให้คนมาตาม คงกะให้ถึงเวลาเลิกงานพอดี จะได้ไปเยี่ยมได้ยาวๆ โดยไม่มีอะไรมาขัด แต่พอผมถือกระเป๋าเดินไปถึงหน้าเคาน์เตอร์ก็เห็นร่างสูงใหญ่ของคุณช่างภาพนั่งรออยู่ก่อนแล้ว

“ภาม”

“เลิกแล้วเหรอ” เขาถามพร้อมกับลุกขึ้นเดินเข้ามาหา

“เลิกแล้ว แต่เดี๋ยวต้องไปหาน้องระฟ้าก่อน” ผมตอบแล้วมองไปรอบๆ วันนี้ไม่ค่อยมีคนเท่าไหร่เลยได้เลิกตามเวลา แต่ถ้าขึ้นไปเยี่ยมน้องแล้วมีอะไรฉุกเฉินก็อาจโดนเรียกไปได้ตลอดเวลาอยู่ดี “นายกลับก่อนดีกว่าไหม ฉันก็ไม่รู้ว่าจะเสร็จจริงๆ กี่โมง”

“ผมบอกแล้วว่าจะรอ” ภามพูดแค่นั้นแล้วทำท่าจะนั่งลงบนโซฟาที่เดิม แต่ผมรั้งแขนเขาไว้ก่อน

“งั้นก็ไปด้วยกัน”

ไม่ได้กลัวว่าจะรอเปื่ิอยหรืออยากอยู่ใกล้อะไรนะ ก็แค่เห็นใจคนที่คอยขับรถให้เฉยๆ หรอก

ผมพาภามขึ้นลิฟต์ไปที่ชั้นวีไอพี ห้องของน้องระฟ้าเป็นห้องริมสุดติดกระจก แค่เห็นชุดเก้าอี้หน้าห้องกับบรรยากาศของชั้นก็สัมผัสได้ถึงความมีฐานะแล้ว นอกจากตอนมาตรวจคนไข้ ผมยังไม่เคยได้ขึ้นมาในฐานะคนธรรมดาเลย ปกติมีแต่รีบๆ เดิน ไม่ได้สังเกตความสวยงามของชั้นที่เพิ่งปรับปรุงใหม่มากนัก

ภายในห้องวีไอพีเทียบได้กับระดับคอนโดหรู คือนอกจากจะมีห้องพักผู้ป่วยแล้วยังมีห้องรับแขก แถมด้วยห้องนอนอีกห้องไว้สำหรับญาติที่มาเฝ้าด้วย ผมหันไปกวักมือเรียกภามที่มัวแต่มองไปรอบๆ ก่อนจะเดินตรงไปที่ห้องพักผู้ป่วย ซึ่งตอนนี้มีร่างของเด็กชายคนหนึ่งกำลังนั่งเหม่ออยู่

“น้องระ” ผมส่งเสียงเรียกไม่ดังหรือเบาเกินไปนัก จนกระทั่งเด็กชายตัวขาวบนเตียงหันมามอง ใบหน้าเหม่อลอยก็ปรากฏรอยยิ้มขึ้นแทบจะทันที

“พี่หมอ!”

น้องระฟ้าเป็นเด็กผู้ชายหน้าตาดี ผิวอาจจะดูขาวซีดไปบ้างเพราะไม่ได้รับอนุญาตให้ตากแดดหรือเล่นกีฬาหนักๆ แต่ก็ไม่ได้ผอมแห้งหรือดูขี้โรคอะไร มองเผินๆ คงไม่มีใครคิดว่าน้องมีปัญหาเกี่ยวกับหัวใจ แค่อาจจะดูตัวเล็กไปบ้างเท่านั้นเอง

“แล้วคุณป้าไปไหนล่ะ ทำไมปล่อยให้เราอยู่คนเดียว” ผมนั่งลงข้างเตียงน้องแล้วพยักพเยิดให้ภามไปนั่งรอบนโซฟาฝั่งตรงข้าม

“นมไปทานข้าวครับ ระบอกให้นมไปเอง” น้องพูดพร้อมรอยยิ้ม “แล้วพี่หมอไม่ต้องทำงานเหรอ เสียเวลามาหาระหรือเปล่า”

“พี่เลิกงานแล้ว ไม่เสียเวลาหรอกน่า”

“แล้วนั่น...”

“นั่นพี่ภามครับ เป็นเพื่อนพี่เอง” ผมมองเมินเมื่อเห็นภามเลิกคิ้วขึ้นเป็นเชิงถาม เหมือนจะไม่อยากรับว่าเป็นเพื่อนเท่าไหร่ แต่ก็ยังดีที่ไม่ได้เถียงอะไรออกมา “น้องระเป็นยังไงบ้าง แล้วมาถึงที่นี่ได้คุยกับคุณหมอแล้วใช่ไหม”

“ระไม่เป็นไรครับ จริงๆ ระบอกทุกคนแล้วว่าแค่กินยาเหมือนเดิมก็พอ แต่นมไม่เชื่อ บอกว่าระทานน้อยลง ดูอ่อนแอลงด้วย แม่ก็เลยบอกให้ระมาตรวจที่กรุงเทพฯ” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ถอนหายใจอย่างเหนื่อยอ่อน “เมื่อกี้คุณอามาตรวจระแล้วครับ”

พ่อมาเองเลยเหรอ...

“แล้วคุณอาว่ายังไงบ้าง”

“คุณอาบอกว่าพรุ่งนี้คุณหมอหัวใจจะมาคุยด้วยอีกที ถ้าต้องผ่าตัดจริงๆ ก็อยากให้ระยินยอมด้วยตัวเอง”

“แล้วคุณแม่น้อง...”

“คุณแม่บอกว่าอีกสองสามวันจะมาหาครับ แต่ระไม่ค่อยแน่ใจหรอกว่าจะมาได้หรือเปล่า” เสียงใสๆ ของน้องยังคงเป็นปกติไม่เปลี่ยนแปลง แม้ยามพูดว่าแม่อาจจะมาหาไม่ได้ แล้วก็นั่นแหละที่ทำให้ผมเป็นห่วงขึ้นมา เพราะถ้าน้องร้องเรียกหาแม่ บอกว่าต้องมาไม่อย่างนั้นจะไม่รักษา มันคงจะดีกว่าพูดเหมือนทำใจไว้แล้วหลายเท่า

“ก่อนจะผ่าตัดเราต้องมีขั้นตอนการเตรียมตัวและพูดคุยกันก่อนอยู่แล้ว จะไม่มีใครบังคับอะไรทั้งนั้น เพราะงั้นไม่ต้องเป็นห่วงนะ พี่เชื่อว่าถ้าต้องผ่าตัดจริงๆ คุณแม่จะต้องมาแน่ๆ” ผมยื่นมือไปลูบหัวเล็กเบาๆ พอเห็นน้องพยักหน้าอย่างว่าง่ายและกะพริบตาจนแพขนตายาวกระทบใบหน้าแล้วก็ยิ่งรู้สึกเอ็นดูมากขึ้นไปอีก

เด็กน่ารักแบบนี้ไม่ควรต้องเจ็บปวดเลย ไม่ว่าจะทางร่างกายหรือจิตใจก็ตาม

“ระรู้ดีว่าทุกคนคิดเอาไว้แล้วว่าระคงต้องผ่าตัด” น้องยิ้มจางก่อนจะเงยหน้าขึ้นมองผม “เพราะแบบนั้นถึงส่งพี่หมอมาช่วยพูด”

“รู้ทันอีก” ที่น้องพูดมาก็ไม่ผิดนัก ถ้าไม่ใช่เพราะพ่อโทรมาบอกให้ผมกลับมาช่วยคุยกับน้อง ป่านนี้ผมอาจจะยังอยู่บนเกาะเหมือนเดิมก็ได้

จากที่ได้รู้จักระฟ้ามา น้องไม่ใช่เด็กขี้โวยวายอะไร แต่ค่อนข้างจะเก็บตัวอยู่พอสมควร เวลาใครสั่งไม่ใช่ว่าน้องไม่ทำตาม แต่น้องจะทำแบบเสียมิได้ อยากฉีดยาเหรอ ฉีดไปสิ อยากอธิบายเหรอ พูดไปสิ ซึ่งมันเป็นเรื่องที่ทุกคนต่างเป็นห่วง เพราะคงไม่มีใครอยากให้น้องรับการรักษาโดยใช้ความคิดแบบนั้น มันอันตรายต่อตัวน้องเอง

ตอนที่บอกว่าผมเป็นคนเดียวที่น้องฟัง นั่นเป็นเรื่องจริง อาจเพราะรู้เรื่องราวของน้องอยู่แล้ว หรืออาจเพราะพ่อแม่รู้จักกัน ก็ตาม แต่พอได้สนิทกันโดยแท้จริง น้องก็ยอมเล่าเรื่องราวต่างๆ และสิ่งที่ตัวเองอยากทำให้ผมฟังมากมาย ไม่ว่าจะเรื่องอนาคตหรืออะไรก็ตาม ดังนั้นทุกคนรวมถึงตัวผมเองเลยคิดว่า ถ้าผมเข้ามาช่วยพูดให้น้องยอมรับการรักษาโดยเต็มใจได้ มันจะส่งผลดีต่อทุกฝ่ายมากกว่า

“พี่หมอจะบังคับระหรือเปล่า” เด็กชายที่ยังนั่งนิ่งไม่ยอมขยับถามขึ้นมา พร้อมกับส่งแววตาคาดหวังในคำตอบมาให้ ผมได้แต่มองสบตาน้องอยู่นาน ก่อนจะตัดสินใจตอบไปตามความจริง

“อำนาจในการตัดสินใจไม่ได้อยู่ที่พี่ครับ มันอยู่ที่หมอเจ้าของไข้...แล้วก็คุณแม่ของระ”

“นั่นสินะ...” น้องระพึมพำเสียงแผ่วจนแทบจางหายไปกับสายลม

“แต่ว่า...” ผมวางมือตัวเองลงบนมือเล็ก สายตาไม่ละไปจากใบหน้าใสของเด็กชายนัยน์ตาเศร้าที่กำลังมองมาอย่างมีความหวัง “ไม่ว่าน้องระจะตัดสินใจยังไง ขอแค่พูดมาพี่เชื่อว่าทุกคนจะเข้าใจครับ ถ้ามันจำเป็นจริงๆ พวกเขาจะต้องใช้เหตุผลคุยกับระ จะไม่มีใครมาบังคับแน่นอน”

“ระ…”

“บอกพี่ได้ไหมว่าทำไมถึงไม่อยากรักษา”

น้องระหลุบตาลงต่ำ ทำสีหน้าลังเล มือเล็กๆ บีบมือผมแน่น พร้อมกับที่เริ่มมีเลือดฝาดบนแก้มขาวๆ ทั้งสองข้าง

“…ระกลัวเจ็บ”

“…”

เด็กก็ยังเป็นเด็กอยู่วันยันค่ำสินะ

“ไม่แปลก...ขนาดผู้ใหญ่กลัวเจ็บยังมี”

“ภาม!” ผมหันไปถลึงตาใส่คนพูดแทรกที่กำลังยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้ม นอกจากนั้นอีกฝ่ายยังลุกขึ้นจากเก้าอี้แล้วเดินเข้ามาประชิดเตียงด้วย

“ผู้ใหญ่...กลัวเจ็บเหรอ” น้องระทำหน้างง ตากลมโตหันไปจ้องหน้าภามเขม็งเหมือนอยากให้พูดต่อ

“เคยเห็นผู้ใหญ่ที่ทำหน้าเหมือนจะร้องไห้แค่เพราะกลัวโดนหยิกหรือเปล่า” เจ้าของใบหน้าปลาตายยังคงพูดต่อไปโดยไม่สนใจผมที่พยายามส่งซิกบอกให้หุบปาก “ยังไม่ได้หยิกนะ...แค่ตั้งท่าก็น้ำตาคลอแล้ว”

ไอ้...ไอ้....

“แค่จะโดนหยิกเองเหรอครับ”

“ใช่”

ผมยกมือกุมขมับ ตามองน้องระที่กำลังสนอกสนใจภาม สลับกับมองคนกวนตีนที่ปรับอารมณ์ในห้องจากหน้ามือเป็นหลังเท้าได้อย่างรวดเร็วโดยไม่รู้จะพูดอะไรดี เรื่องของเรื่องคือไอ้คนฉลาดมันไม่พูดชื่อไง ถ้าผมออกหน้าไปปุ๊บน้องต้องรู้แน่ว่าผู้ใหญ่ที่ว่าหมายถึงใคร

“ถ้าเขาโดนฉีดยาแบบที่ระโดนจะเป็นยังไงเหรอครับ”

“ร้องไห้น้ำตาเป็นสายเลือดแน่ๆ”

“…”

“งั้นถ้าเขาเป็นโรคหัวใจแล้วต้องผ่าตัด...”

“น่าจะสลบตั้งแต่ได้ยินคำว่าผ่าตัด”

“เอ่อ...”

“คิกๆ…” น้องระเริ่มหัวเราะออก สีหน้าและแววตาเป็นประกายสดใสจนผมที่มองอยู่ได้แต่ยิ้มแห้ง “ระเข้มแข็งกว่าเยอะเลย”

ในเวลานั้นเองที่ภามเบนสายตามามองหน้าผม ก่อนมุมปากของเขาจะยกขึ้นเป็นรอยยิ้ม

“ใช่…นายเข้มแข็งกว่าเยอะ นี่ถ้า ‘เพื่อน’ คนนั้นของฉันมาได้ยินเข้า คงร้องไห้แงๆ เพราะเห็นเด็กอายุน้อยกว่าเป็นสิบปียังยิ้มได้ทั้งที่กำลังจะผ่าตัด”

ย้ำหนักคำว่าเพื่อนเกินไปไหม...

“ระจะพยายาม”

น้องระยิ้มได้ก็ดีแล้ว...

ว่าแต่ผมมาทำอะไรที่นี่นะ


——————————






หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.24]== [01/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 01-09-2018 12:00:45
เอ็นดูหมอจัง5555 ตาน้องภามนี่ก็แอบกวนเบาๆนะคะเนี่ย // น้องระสู้ๆ สงสารน้องมากเลยค่ะ :mew2:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.24]== [01/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 02-09-2018 04:47:50
ให้ภามช่วยกล่อมน้องระดีกว่านะ ในฐานะคนเคยป่วย ถึงจะไม่ใช่โรคเดียวกัน แต่น่าจะเข้าใจคนป่วยเหมือนกัน  :hao3:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.24]== [01/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 02-09-2018 09:23:11
ไม่อ่านมานาน คิดถึงมากๆเลย
ชอบภามอ่ะ ปากกับใจตรงกันตลอดเลย
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.24]== [01/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: PharS ที่ 02-09-2018 14:35:11
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.24]== [01/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 03-09-2018 15:53:55
ขอบคุณครับ กด +1 ให้นะครับ :a9:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.24]== [01/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 03-09-2018 17:16:54
-25-



ตั้งแต่เกิดมาผมเพิ่งเคยโดนเผาแบบต่อหน้าต่อตาเป็นครั้งแรก ถึงจะไม่ได้เอ่ยชื่อก็เถอะ...

ผ่านมาหลายวันแล้วที่ผมได้แต่นั่งหน้าบูดอยู่ในห้องพักผู้ป่วยวีไอพีหลังเลิกงาน ไม่ใช่เพราะต้องมาหาน้องระทุกวัน แต่เป็นเพราะนับจากวันแรกที่ภามได้เจอน้อง อีกฝ่ายก็ได้เปลี่ยนไปทำหน้าที่แทนผมทั้งหมด แล้วอะไรคือการที่ผมต้องมานั่งกอดอกอยู่ที่โซฟา ในขณะที่เขานั่งอยู่ข้างเตียงผู้ป่วย ฟังน้องระพูดนั่นพูดนี่ไม่หยุด

ขนาดภามไม่ค่อยพูด น้องยังทำท่าเหมือนจะชอบเขามากกว่าผมอีก ตอนนั้นกว่าผมจะสนิทกับน้องได้ก็ใช้เวลาตั้งหลายวัน แล้วดู...

“คุณหมอบอกว่าจะผ่าตัดพรุ่งนี้ครับ”

“ดีแล้ว"

นอกจากจะสนิทสนมกันได้อย่างรวดเร็ว ยังอุตส่าห์กล่อมน้องให้ยอมผ่าตัดสำเร็จด้วย หลังจากที่คุณหมอประเมินแล้วว่าการทำงานของหัวใจน้องแย่ลงจากภาวะแทรกซ้อน ยังไงก็ต้องผ่าตัดเพื่อรักษา และถึงจะไม่ได้พูดออกมาให้ฟังตรงๆ แต่ผมก็เข้าใจดีว่ามันต้องเกิดจากการที่น้องระไม่ยอมดูแลตัวเองแน่ๆ

ก็ได้แต่หวังว่าพอคุณแม่ของน้องฟังที่หมอพูดแล้วจะสนใจลูกชายมากขึ้น...

“พี่ชายกินกับระไหม”

“ไม่”

เหอะ...ขนาดชวนกินยังชวนแต่ภาม เรียกได้ว่าเขาทำหน้าที่ที่ผมตั้งใจจะทำเรียบร้อยหมด ไม่เหลือเผื่อให้แม้แต่่นิดเดียว

ถามตัวเองเป็นรอบที่สาม...นี่กูมาทำอะไรที่นี่วะเนี่ย

หลังจากที่น้องระเข้ามาอยู่ในโรงพยาบาล หากไม่มีเวรผมมักจะมาหาน้องในเวลาเลิกงานก่อนกลับบ้านทุกครั้ง ซึ่งดูเหมือนว่าภามจะอาศัยช่วงเวลาที่ว่างเข้ามาคุยเล่นเป็นเพื่อนแทบทุกวันเหมือนกัน ผมเปิดประตูเข้ามาทีไรก็มักจะเห็นเขานั่งอยู่ก่อนแล้ว พอจะกลับอีกฝ่ายก็จะเป็นคนพาไปส่ง จนตอนนี้รถผมแทบจะจอดนิ่งให้ฝุ่นเกาะเล่น เพราะภามมารับตลอดจนไม่ได้ขับมาทำงานเองเลย

“ภาม” ผมเรียกเสียงค่อยเมื่อเห็นว่าคุณป้าซึ่งเป็นแม่นมของน้องระเดินเข้ามาคุยกับน้องพอดี และเมื่อเห็นว่าเจ้าของชื่อหันมามองผมก็รีบชี้นิ้วไปที่ท้องตัวเองเป็นเชิงบอกให้เขารู้ว่าหิวแล้ว

เมื่อวานผมเข้าเวรไม่ได้นอนมาทั้งคืน แถมยังกินข้าวไปแค่มื้อเดียวคือมื้อกลางวันที่ภามเอาข้าวกล่องมาส่งให้อีก ไม่แปลกที่ตอนนี้จะอยากกลับไปพักเต็มทน

“ฉันกลับก่อน” ภามไม่พูดมาก เขาหันไปบอกน้องระสั้นๆ ก่อนจะลุกขึ้นยืนอย่างรวดเร็ว แล้วเข้ามาคว้าแขนผมลากให้เดินออกจากห้องแบบไม่เปิดโอกาสให้หันไปลาน้องกับคุณป้าเลยสักคำ

“บายครับ!” แว่วเสียงน้องระดังมาตามสายลม เป็นเวลาเดียวกันกับที่ประตูห้องถูกปิดลงด้วยฝีมือของคนหน้าตายซึ่งกำลังขมวดคิ้วมุ่น

ผมปิดปากฉับ ทำตัวเหมือนคนเป็นใบ้เพราะรับรู้ได้ว่าภามกำลังอยู่ในอารมณ์แบบไหน รวมถึงรู้ด้วยว่าเดี๋ยวจะโดนอะไร จวบจนขึ้นมาอยู่บนรถแล้วผมก็ทำได้เพียงนั่งกุมมือจ้องเล็บตัวเองเหมือนมันน่ามองนักหนา ทั้งที่จริงๆ แล้วก็แค่หงอล่วงหน้าเท่านั้น

“คือ…”

“รอให้ถึงก่อน”

พูดง่ายๆ คือหุบปากซะ

ไอ้เราฟังแล้วก็ได้แต่เก็บปากทันควัน นั่งสงบเสงี่ยมเรียบร้อยไปตลอดทาง แม้เขาจะพาไปที่คอนโดหรูหราซึ่งเคยชี้ให้ดูแล้วบอกว่านอนอยู่ที่นี่ ก็ยังไม่กล้าถามว่าพามาทำไม ผมเดินตามภามที่ยึดของทุกอย่างไปถือไว้เองต้อยๆ กระทั่งเขาพาขึ้นลิฟต์มาถึงชั้นบน เห็นความหรูหราของเครื่องประดับตกแต่งแล้วถึงได้เริ่มร้องอู้หูออกมาเบาๆ

ห้องของภามเป็นห้องหรูขนาดใหญ่ แค่เปิดประตูเข้ามาก็ได้กลิ่นความรวยกระจายไปทั่ว มองสำรวจคร่าวๆ แล้วพบว่ามันเป็นห้องที่มีพร้อมทุกอย่าง เทียบพื้นที่กับบ้านผมแล้วอาจจะใหญ่กว่าประมาณสองเท่า นอกจากห้องนั่งเล่นกับห้องครัวที่อยู่รวมกัน ยังมีประตูกระจกเปิดไปยังระเบียงกว้างขวางได้ด้วย เพดานห้องก็สูงสุดๆ ดูแล้วไม่อึดอัดเลยสักนิด แล้วนั่น...บันได

“โห...มีสองชั้นด้วย”

เทียบกับคอนโดไอ้โซแล้วความกว้างขวางอาจจะดูใกล้เคียงกัน แต่ผมว่าของภามมันหรูกว่าตรงที่มีบันไดขึ้นไปชั้นสองด้วยเนี่ยแหละ นี่มันไม่ต่างจากบ้านหลังโตที่อยู่สูงเสียดฟ้าเลยนี่หว่า อลังการงานสร้างไปอีก

“จะกินอะไร” คนที่วางของทุกอย่างลงบนโซฟาแล้วเดินจ้ำอ้าวไปที่ครัวเอ่ยถาม ผมที่กำลังจะเอนตัวลงนอนเล่นเลยรีบเด้งตัวขึ้นกะทันหัน พร้อมกับวิ่งตามไปนั่งลงบนเก้าอี้หน้าเคาน์เตอร์ครัวเพื่อเตรียมพร้อม

“อยากกินมักกะโรนีอีก”

“นานนะ”

“งั้นสปา...”

“นานพอกัน”

“เอาที่นายคิดว่าอร่อย”

“อร่อยทุกอย่าง”

“…” ผมตีหน้าตาย จ้องตาแข่งกับภามราวกับกำลังหาคนแพ้ แล้วก็นั่นแหละ... “เอาไส้กรอกกับไข่ดาวธรรมดาก็ได้”

ผู้ชนะเหยียดยิ้มเล็กน้อย ก่อนจะหันไปเปิดประตูตู้เย็น เตรียมกับข้าวต่างๆ ด้วยความคล่องแคล่วจนผมได้แต่ร้องโหอยู่หลายรอบ ลืมความไม่พอใจเมื่อกี้ไปเสียสนิท

หลายวันมานี้คนที่ทำตัวเหมือนว่างแต่ไม่ว่างทำข้าวกลางวันให้ตลอด วันสองวันแรกยังมาเองอยู่ แต่หลังๆ น่าจะเริ่มยุ่งขึ้น วันไหนที่ผมไม่มีเวรก็จะส่งกล่องแมวให้ตั้งแต่เช้าตอนไปส่งที่โรงพยาบาล พอจะกินก็ไปอุ่นเอา หรือไม่บางทีผมก็กินทั้งอย่างนั้นเลย ส่วนวันที่มีเวรอย่างเมื่อวานที่ผมไม่ได้กลับบ้าน เขาก็จะเอามาให้ตอนกลางวันเหมือนเดิม ตอนภามรู้ว่าผมไม่อุ่นก่อนกิน เขายังบอกอยู่เลยว่าเพราะแบบนี้ตอนแรกถึงได้เอามาส่งให้เอง

“ไปหยิบกล่องข้าวมา” คนที่กำลังหันหลังทำอาหารออกคำสั่งเสียงเรียบ แต่ทำเอาผมขนลุกชันไปทั้งตัว เพราะเพิ่งนึกได้ว่าทำอะไรเอาไว้ ถ้าเอากล่องข้าวมาเขาก็ต้องเห็นว่า... “ไปเอามา”

“ครับผม ไปเอาเดี๋ยวนี้ครับ” ผมรับคำอย่างแข็งขัน แล้ววิ่งไปเอากล่องข้าวออกมาจากกระเป๋า เดินกลับมาอีกทีก็เห็นคุณพ่อครัวกำลังเทข้าวผัดไส้กรอกลงในจานหน้าเคาน์เตอร์พอดี

“เปิดกล่อง”

“เอ่อ...”

“ช้า” ภามขมวดคิ้ว ดึงกล่องที่ผมกอดไว้ไปเปิดออกเอง เผยให้เห็นข้าวพร้อมสเต็กไก่ที่ผมบ่นว่าอยากกินเมื่อสองวันก่อนซึ่งยังไม่ถูกแตะเลยแม้แต่นิดเดียว อย่าว่าแต่ชิมเลย...ผมเองก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าข้าวกลางวันคืออะไร “ไหนบอกว่าต่อให้กินข้าวไม่ตรงเวลาไปบ้าง แต่ก็หาเวลากินได้แน่นอนไง”

“คือ…”

พูดไม่ออก...กะแล้วว่าต้องโดนเหวี่ยงเรื่องนี้ แต่ประเด็นคือภามเป็นพวกนิ่งสงบสยบความเคลื่อนไหว แม้ยามดุก็ยังทำหน้าตาย ไม่ได้ตะคอกหรือพูดเสียงดังขึ้นเลยสักนิด

นั่นแหละที่น่ากลัว...

“เอาไปทิ้ง” เขาพูดสั้นๆ แล้วยื่นกล่องข้าวมาให้ผม

“แต่ว่า...” มันน่าเสียดาย อุตส่าห์ทำให้กิน “เอาไปอุ่นก็ยังกินได้นะ”

“เอาไปทิ้ง”

พอได้ยินเสียงเข้มขึ้นหนึ่งระดับของคุณพ่อครัวหน้าตาย ผมก็แทบจะบินไปที่ถังขยะ หลังจากจ้องสเต็กไก่หน้าตาน่ากินอยู่นานเกือบนาที สุดท้ายก็ต้องทำใจเททิ้งจนหมด

ผมเดินห่อเหี่ยวกลับไปนั่งบนเก้าอี้ แล้วค่อยๆ ตักข้าวผัดเข้าปากช้าๆ ตายังเผลอมองของกินที่เพิ่งเททิ้งไปเป็นระยะด้วยความเสียดาย ในขณะที่คนใจร้ายเองก็เหลือบตามองผมเป็นครั้งคราวเช่นเดียวกัน จนเมื่อเรากินข้าวกันจนหมด ภามก็ยืดตัวตรง ยกมือขึ้นกอดอกแล้วถามเสียงเรียบ

“เสียใจมากไหม”

“มาก” สเต็กไก่ที่อยากกินมาตั้งหลายวัน...

“ผมก็เสียใจมากเหมือนกัน”

ภามพูดแค่นั้นแล้วรวบจานไปล้าง ปล่อยให้ผมอ้าปากค้างอยู่ด้านหลัง จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนตัวเองทำผิดหนักมากจนไม่น่าให้อภัย เพียงแค่ลืมกินข้าวที่เขาตั้งใจทำให้ไปหนึ่งมื้อ ผมรู้ดีว่าภามเข้าใจเรื่องเวลาทำงานของหมอ เขาถึงได้ถามก่อนว่ามันถึงขั้นไม่มีเวลากินข้าวเลยไหม ตอนนั้นผมบอกไปว่าอาจจะไม่ตรงเวลาบ้าง แต่จริงๆ ก็หาเวลากินได้อยู่ เพราะแวบไปกินข้าวตอนว่างแค่ห้านาทีมันไม่ได้นานอะไร หรือถ้ามีอะไรเร่งด่วนก็ให้คุณพยาบาลมาเรียกได้ ยังไงก็หาที่นั่งกินในแผนกอยู่แล้ว

และที่สำคัญ...ดันรับปากไปแล้วว่าจะกินข้าวกลางวันให้หมดเป็นการขอบคุณที่เขาอุตส่าห์ทำข้าวมาให้

“ภาม” ผมเรียกเสียงอ่อย ก่อนจะลุกขึ้นยืนแล้วเดินไปที่อ่างล้างจาน จ้องมองคนหน้าตายทำความสะอาดอุปกรณ์ต่างๆ แบบหงอยๆ “แม่ฉันเคยบอกว่าเวลาที่คนใกล้ตัวทำผิดเรื่องที่ไม่ได้ร้ายแรงมาก เราควรจะให้โอกาสเขาแก้ตัวนะ”

“…”

“แม่ฉันก็เคยโกรธ เพราะพ่อลืมโทรมาบอกว่าจะไม่กลับบ้าน แต่สุดท้ายพอพ่อมาขอโทษแล้วแม่ก็ให้อภัย แม่บอกว่าถ้าพ่อรู้ตัวว่าทำผิดแล้วขอโทษอย่างจริงใจ เขาก็ควรได้รับโอกาส...ยกเว้นเรื่องนอกใจนะ อันนั้นต้องยำให้เละ” พูดติดตลกแล้วหัวเราะแห้งๆ ใส่ คนฟังก็ยังไม่มีท่าทีว่าจะหันมาสนใจ ผมยิ้มค้าง ตามองตามคนขี้งอนซึ่งกำลังเดินหนีไปที่โซฟารับแขกด้วยอารมณ์พูดไม่ออกบอกไม่ถูก

โดนงอนแรงมาก...

ผมเดินเกาหัวแกรกๆ ไปนั่งลงข้างคนตัวสูงที่ยังไม่ยอมพูดอะไรออกมา เขาไม่ได้ขยับหนี ไม่ได้แสดงออกว่าไม่พอใจ แต่ก็ไม่ได้หันมาสนใจเช่นกัน ขนาดเอาไหล่ไปแซะจนตัวจะเกยกันอยู่แล้วยังเมินได้อีก

“คุยกันดีๆ ก่อนสิ” โอย...นี่คือง้อขั้นสุดแล้วนะ เสียงอ่อยจนไม่รู้จะอ่อยยังไงแล้วเนี่ย “ขอโทษจริงๆ”

“แล้วจะทำอีกไหม” เสียงราบเรียบที่ไม่ได้ยินมานานพูดขึ้นลอยๆ แต่ทำเอาผมหูกระดิก พยักหน้าหงึกหงักแทบจะทันที ซ้ำยังเพิ่มคำพูดให้ดูน่าเชื่อถือยิ่งขึ้นไปด้วย

“ไม่ทำแล้ว”

ภามถอนหายใจก่อนจะหันหน้ามาหาแล้วยกมือขึ้นลูบหัวผมเบาๆ สีหน้าดูอ่อนอกอ่อนใจไม่น้อย

“มัวแต่เอาพ่อแม่มาพูด ขอโทษแต่แรกก็จบแล้ว”

“ลืม…” เพิ่งรู้สึกตัวเหมือนกันว่ายังไม่ได้พูดขอโทษเลยสักครั้ง ยิ่งคิดก็ยิ่งรู้สึกผิด “นายอยากให้ฉันช่วยอะไรไหม เป็นการแก้ตัวอะไรแบบนี้ บอกมาได้เลย”

ด้วยความที่ดันเป็นคนดีแบบสุดๆ ผมเลยเผลอพูดอะไรออกไปแบบไม่ทันคิด มารู้สึกว่าคิดผิดก็ตอนที่คนตัวสูงข้างกายยกริมฝีปากขึ้นเล็กน้อย บรรยากาศกดดันอึมครึมเมื่อครู่จางหายไปจนหมด เท่านี้ก็ชัดเจนแล้วว่าเขากำลังรอให้ผมพูดแบบนั้นออกไปตั้งแต่แรกแล้ว

ไอ้คนเจ้าเล่ห์...

“งั้นก็เริ่มจากสัญญามาก่อนว่าถ้ารับปากอะไรไปแล้วจะทำให้ได้”

“ได้ สัญญา” ผมพยักหน้าหงึกหงัก ถึงจะรู้ว่าโดนหลอก แต่ก็ปฏิเสธอะไรไม่ได้เพราะตัวเองทำผิดจริงๆ

“ห้ามลืมกินอาหารของผม หรือถ้าไม่มีทางเลือกจริงๆ พอรู้ตัวก็ต้องรีบบอก”

“โอเค”

“แล้วไหน...พูดมาชัดๆ อีกทีสิว่าจะทำแบบนี้อีกหรือเปล่า”

“ไม่ทำแล้วครับ”

“ดี...งั้นโทรไปบอกพ่อแม่ด้วยว่าวันนี้ไม่กลับบ้าน”

“ครับ โทรเดี๋ยวนี้เลยครับ” ผมหยิบโทรศัพท์ในกระเป๋าออกมากดหาเบอร์ปลายทางตามคำสั่ง

แต่เดี๋ยวนะ...โทรบอกว่าวันนี้ไม่กลับบ้าน

“มองอะไร เมื่อกี้เพิ่งสัญญาว่าจะถ้ารับปากอะไรไปแล้วจะทำให้ได้ จำไม่ได้เหรอ” คนหน้าปลาตายถามเสียงดุ บรรยากาศดูกดดันขึ้นหนึ่งระดับ ทั้งยังหรี่ตามองเหมือนต้องการถามว่าจะโทรไม่โทรอีก

แล้วผมต้องกลัวด้วยเหรอ...

[เจได?]

“แม่ครับ วันนี้ผมไม่กลับบ้านนะ”

กลัวไม่กลัวก็กดโทรออกแล้วเรียบร้อย

[อ่าว...วันนี้ไม่มีเวรไม่ใช่เหรอ หรือว่าแลกกับเพื่อน]

“อ่า...พอดีว่าจะไปค้างคอนโดเพื่อนที่อยู่แถวโรงพยาบาลครับแม่” ผมถอนหายใจโล่งอกเมื่อคิดคำพูดได้ทันโดยไม่ต้องโกหกคนสวย ถือว่าบอกไม่หมดก็แล้วกัน “ไว้พรุ่งนี้เจอกันนะ”

[จ้า]

หลังจากแม่วางสายเรียบร้อยแล้ว ผมก็หันกลับไปจ้องหน้าภามตาปริบๆ เหมือนเดิม แต่ไม่รู้ทำไมบรรยากาศที่ควรจะดีขึ้นถึงได้ดูกดดันหนักกว่าเก่า ไหนจะหน้าปลาตายที่แสดงออกชัดเจนถึงความไม่พอใจนั่นอีก

“ก็นอนนี่แล้วไง ทำหน้าอะไรเนี่ย” ผมยิ้มขำเมื่อเริ่มตลกกับการแสดงออกของภาม...มีอย่างที่ไหน ขมวดคิ้วจนจะชนกันอยู่แล้ว ทั้งยังทำหน้าเหมือนอยากพูดออกมาเต็มแก่แต่ก็ยังไม่ยอมพูดอีก

“ผมไม่ชอบ”

“หือ”

เขาถอนหายใจ กลอกตาเหมือนกำลังคิดว่าจะพูดออกมาดีหรือเปล่า แต่สุดท้ายก็หันกลับมามองผมด้วยแววตาจริงจัง พร้อมตอบคำถามด้วยน้ำเสียงขุ่นเคือง

“ผมไม่ชอบคำว่าเพื่อน”

“เอ่อ...” เดี๋ยวนะ ไอ้ที่ทำท่าไม่พอใจตั้งแต่วันนั้น ตอนผมแนะนำว่าเป็นเพื่อนต่อหน้าน้องระ จนมาวันนี้ที่บอกแม่ว่ามานอนห้องเพื่อน ทั้งหมดที่ไม่พอใจ สรุปคือเพราะถูกบอกว่าเป็นเพื่อนงั้นเหรอ “ถ้าไม่ใช่เพื่อนแล้วจะให้ตอบว่าอะไร”

“…บอกว่าเป็นคนที่กำลังจีบคุณ หรือบอกว่ากำลังดูๆ กันอยู่ก็ได้”

“ก็บ้าแล้ว!” ผมโยนหมอนใส่หน้าภาม ก่อนจะกลิ้งตัวลงไปยืนอยู่ข้างโซฟาเพราะกลัวโดนเอาคืน “คำพูดน่าอายแบบนั้นใครจะกล้าพูด”

คนที่ควรจะลุกขึ้นมาเอาหมอนฟาดผมคืนทำหน้าคล้ายจะยิ้มแต่ไม่ยิ้ม ดวงตาเป็นประกายจับจ้องมองมาจนผมเริ่มรู้สึกเหมือนมือไม้ตัวเองมันโคตรเกะกะ อยู่ไม่ถูกที่ถูกทางไปหมด

“ไม่ปฏิเสธด้วย...”

“อะไรนะ” ผมขมวดคิ้วถาม ไม่ได้ยินว่าอีกคนพึมพำอะไร

“เปล่า...ขึ้นไปข้างบนกันเถอะ”

อะไรวะ...จู่ๆ ก็อารมณ์ดี เข้ามาจูงมือให้เดินตามไปง่ายๆ เฉยเลย แต่ที่ควรงงมากกว่าคือตัวผมเองที่เดินตามเขาไปง่ายยิ่งกว่าเนี่ยแหละ

พื้นที่บริเวณชั้นสองซึ่งหรูไม่แพ้ชั้นล่างมีประตูอยู่สองบาน ด้านหน้าเป็นชั้นหนังสือกับชุดโซฟาอีกหนึ่งชุดที่ดูแล้วสิ้นเปลืองสุดๆ ทว่าผมยังไม่ทันได้เดินเข้าไปสำรวจตามใจอยาก คนที่จูงมือกันอยู่ก็เปิดประตูพาเข้าไปในห้องด้านซ้ายเสียก่อน

“อีกห้องไม่มีคนใช้ แต่ผมคิดว่าจะเอาไว้สำหรับพี่แล้วก็เก้า คุณนอนกับผมนี่แหละ” เขาอธิบายแล้วกดเปิดไฟ พาผมเดินไปที่เตียงนอนขนาดใหญ่แล้วดันให้นั่งลง ก่อนจะเข้าไปคุ้ยอะไรไม่รู้ในตู้เสื้อผ้าสีดำตรงมุมห้อง

ห้องนอนบ้านี่กว้างโคตรๆ นอกจากจะมีเตียงกับตู้ขนาดใหญ่แล้วยังมีชุดโซฟาอีกชุดตั้งอยู่ริมกระจก ส่วนอีกฝั่งเป็นโต๊ะทำงานที่มีโน้ตบุ๊กเสียบทิ้งไว้ ไม่ว่าจะมองอย่างไรก็มหาเศรษฐีชัดๆ

“นายอยู่ที่นี่มานานแค่ไหนแล้ว”

“พี่ซื้อไว้ให้นานแล้ว แต่ผมเพิ่งให้คนเข้ามาแต่งเมื่อสองสามอาทิตย์ก่อน” ภามส่งเสียงตอบมาจากหลังตู้ “ตอนแรกผมเกือบจะคืนที่นี่ให้พี่ไปแล้ว เพราะไม่ได้คิดจะมาอยู่ไทยนานๆ”

“แล้วทำไม...”

ถามยังไม่ทันจบประโยค คนตัวสูงก็ปิดประตูตู้แล้วเดินเข้ามาหาผมพร้อมของในมือ ซึ่งประกอบไปด้วยเสื้อผ้าหนึ่งชุด ผ้าเช็ดตัว แล้วก็พวกแปรงสีฟันต่างๆ

“เพราะคุณ” เขาตอบหน้าตาย

โอเค...ขอโทษที่ถาม

“งั้น...ฉันไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน” ไม่ต้องรอให้ภามตอบรับ ผมก็คว้าข้าวของทั้งหมดแล้ววิ่งเข้าไปในห้องน้ำอย่างรวดเร็ว อยู่ใกล้ๆ แล้วไม่ดีต่อใจ ยิ่งเอ๋อถามไปมากเท่าไหร่ก็โดนเล่นงานกลับมามากเท่านั้น เพราะงั้นตอนนี้รีบอาบน้ำอะไรให้เสร็จแล้วชิงหลับไปก่อนน่าจะดีที่สุด

ผมนุ่งผ้าขนหนูผืนเดียวเดินออกมาจากห้องน้ำ ไม่ได้รู้สึกอายอะไรเพราะตอนอยู่เกาะเราอาบน้ำโชว์พุงใส่กันทุกวันอยู่แล้ว เสื้อผ้าที่ภามคุ้ยมาให้เป็นเสื้อผ้าตัวใหญ่แต่เป็นของใหม่ แม้แต่ชั้นในก็ยังเป็นตัวใหม่เหมือนกัน คนที่เดินสวนเข้าไปอาบน้ำคงซื้อเผื่อเอาไว้ ถึงจะหลวมไปหน่อยแต่ก็ถือว่าพอใช้ได้

ปัญหาสำคัญคือพรุ่งนี้จะใส่อะไรไปทำงานมากกว่า

“ผมสั่งเสื้อผ้าไว้ให้แล้ว พรุ่งนี้เช้าเขาจะเอามาส่งตอนหกโมง”

“โห…” ผมห่อปากเป็นรูปตัวโอ เมื่อได้ยินคำพูดง่ายๆ ของคุณชายผู้ซึ่งเนรมิตได้ทุกสิ่งอย่าง “เจ๋งสุด”

“ทำหน้าทำตา” ภามส่ายหน้าหน่าย เดินตัวเปียกเข้ามาขยี้หัวผมด้วยความหมั่นไส้ ก่อนจะหันไปใส่เสื้อผ้าหน้าตู้

พอมองไม่เห็นปัญหาอะไรแล้ว ผมก็โดดขึ้นเตียงไปจับจองพื้นที่ฝั่งหนึ่งเอาไว้ตามความเคยชิน จะยังไงเราก็นอนด้วยกันมาตลอดอยู่แล้ว ถึงจะเว้นช่วงไปเป็นอาทิตย์ก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรมากนัก

“พอมานอนแบบนี้แล้วก็นึกถึงตอนอยู่บนเกาะเหมือนกันนะ” ทั้งที่โดนถีบตูดชา โดนนอนเบียด ต้องแย่งพื้นที่กันอยู่บนเตียง ผมจำได้แม่นมากทีเดียว “พอกลับไปนอนคนเดียวแล้วก็เหงาๆ อยู่นิดหน่อย”

ฉิบ...พูดไม่คิดอีกแล้วกู

“งั้นก็มานอนด้วยกันสิ”

นั่นไง...ไอ้เราก็ลืมไปเลยว่าเคยมีคนพูดเผื่ออนาคตไว้แล้วว่าจะให้มาอยู่ด้วยกัน

“หลับดีกว่า” ผมตัดบทหน้าตาเฉย เตรียมพร้อมเอนตัวลงนอนราบเต็มที่ แต่เอนไปได้แค่ครึ่งเดียวก็ต้องหยุดค้างกลางอากาศ เมื่อคนที่เพิ่งแต่งตัวเสร็จเอื้อมมือมาดึงแขนกันไว้ไม่ให้นอน

“เช็ดหัวให้แห้ง”

“หา...นี่ฉันสระผมด้วยเหรอ” เวร เปียกจริงๆ ด้วย

“นี่ง่วงถึงขั้นไหนเนี่ย” ภามทำหน้าหน่าย ใช้แรงที่มีมากกว่าฉุดผมให้นั่งตัวตรงพร้อมเดินมานั่งซ้อนอยู่ด้านหลัง “ผมเช็ดให้ ถ้าง่วงก็หลับเลย”

“ตลก...คนบ้าที่ไหนจะหลับคาอากาศได้เล่า” ว่าไปนั่นแต่ตาเริ่มปรือ เหมือนร่างกายจะเอนเอียงไปมาอย่างไร้เรี่ยวแรงตามจังหวะการขยี้หัวของคนด้านหลังด้วย

“คนบ้าตรงนี้ไง”

“…”

“คุณ…"

“…”

“พูดยังไม่ทันขาดคำ...หึ”




ไม่รู้เป็นเพราะต้องมานอนในที่ที่ไม่คุ้นเคยหรือเปล่าผมถึงได้ตื่นเช้าผิดปกติ หันไปมองนาฬิกายังไม่หกโมงดีด้วยซ้ำ แต่ที่น่าแปลกใจยิ่งกว่าคือการที่หันไปมองด้านข้างแล้วพบว่าคนที่ควรหลับอยู่หายไปแล้ว พอลองเอามือแตะที่นอนดูก็พบว่ามันยังอุ่นๆ อยู่ ท่าทางภามคงเพิ่งลุกไปไม่นาน

ผมกลิ้งลงจากเตียงแล้วเดินออกไปนอกห้อง แค่เปิดประตูก็ได้กลิ่นอาหารลอยโชยมา หอมจนแทบจะลอยตามลมไปหา ยิ่งเดินเข้าไปใกล้จนเห็นแผ่นหลังของพ่อครัว กลิ่นหอมก็ยิ่งทวีความรุนแรงมากขึ้นไปอีก

“หอม” ว่าแล้วก็แอบยื่นหน้าไปมองอาหารในกระทะ

“ตื่นไว” คุณพ่อครัวเอียงหัวมามองเล็กน้อยก่อนจะหันกลับไปผัดอาหารต่อ เมื่อเห็นท่าทางทะมัดทะแมงและคล่องแคล่งของเขาในระยะประชิดแล้ว ผมก็ได้แต่มองด้วยความตื่นตาตื่นใจ

“ถามจริงเหอะ นายทำอาหารเป็นได้ไงเนี่ย”

“ผมเรียนมานิดหน่อย ที่เหลือก็เปิดสูตรแล้วทำตามเอา”

“หายากนะเนี่ยผู้ชายเรียนทำอาหาร ผู้หญิงคนไหนได้นายเป็นแฟนคงดีใจตาย” ผมชื่นชมจากใจจริง ลองคิดภาพตัวเองมีแฟนที่ทำอาหารอร่อยๆ ให้กินทุกวันดูสิ ยิ่งกว่าสวรรค์อีก

“งั้นคุณก็ต้องดีใจสิ”

“หา…”

ภามปิดเตาแล้วหมุนตัวหันหน้ามาหาในเสี้ยววินาที ก่อนมือใหญ่ข้างหนึ่งจะยื่นเข้ามาแตะเอวผมไว้อย่างถือวิสาสะ แม้แต่ดวงตาที่เคยว่างเปล่าก็เป็นประกายระยิบระยับไม่น่าไว้วางใจ

“ถ้าผมบอกว่าเพิ่งเรียนทำอาหารตอนไปภูเก็ต ก่อนที่จะมาหาคุณ แบบนั้นจะดีใจกว่าเดิมหรือเปล่า”

“…” ผมเม้มปากแน่น ได้แต่ยืนตัวแข็งเป็นหิน แม้ยามถูกรวบเอวให้ขยับเข้าไปแนบชิดร่างสูงใหญ่ของอีกคนก็ยังทำได้เพียงหลุบตาลงต่ำ ไม่ตอบคำถามอะไรทั้งสิ้น เพราะตอนนี้หน้าร้อนตัวชาไปหมดแล้ว

“แล้วถ้าบอกว่าเหตุผลที่ไปเรียนมาเป็นเพราะผมอยากดูแลคุณล่ะ” คนฉวยโอกาสก้มหน้าลงมาหา รวมกอดเอวผมไว้ด้วยมือข้างหนึ่ง ส่วนมืออีกข้างที่ว่างขยับมาเชยคางให้เงยขึ้นสบตาเขา “ตอบสิว่าดีใจหรือเปล่า”

ตอบได้ก็เก่งเกินคนแล้ว...

“รัด...รัดแน่นไปแล้ว” ผมพยายามใช้มือที่ไร้เรี่ยวแรงของตัวเองดันแขนเขาออกให้พ้นเอว รวมถึงพยายามเบนหน้าหนีสายตาคมที่จับจ้องมา แต่แค่คิดขยับก็แพ้แล้ว เพราะนอกจากแรงรัดเอวจะแน่นขึ้น เขายัง... “อู้!”

“พูดอะไร”

“อ่อยอิ๊!”

“หน้าตลก”

ก็เพราะแกบีบปากฉันไม่ใช่เหรอวะหา!

ภามยอมปล่อยมือจากหน้าผมแต่ยังกอดเอวไว้เหมือนเดิม คงเพราะวางแผนไว้หมดแล้ว คิดว่าถ้าทำให้ผมหัวร้อนได้จะต้องโดนถลึงตาใส่แบบนี้แน่ๆ ถึงได้ยกมุมปากขึ้นเป็นรอยยิ้มแล้วยื่นหน้ามาใกล้ รอให้ผมเงยหน้าขึ้นไปมองเขา เราจะได้สบตากันแบบพอดิบพอดี

“ใกล้ๆๆ ใกล้ไปละ” ผมรีบเอามือดันหน้าปลาตายที่รู้สึกจะเข้ามาใกล้มากขึ้นทุกทีออกไป ถึงจะตัวแข็งเป็นหิน ใจสั่นเป็นเจ้าเข้า แต่ก็ไม่ได้โง่ถึงขั้นไม่รู้ว่ากำลังจะโดนหลอกจูบนะ

แล้วสองครั้งก่อนหน้านี้ล่ะ...

นั่นไม่นับ!

ถามเองตอบเองในใจเรียบร้อยแล้วผมก็รีบผลักหน้าภามออกไปให้ไกลกว่าเดิม โชคดีที่ไม่โดนแกล้งมากไปกว่านั้น เพราะเจ้าตัวแค่ดึงมือผมออกจากหน้า ไม่ได้ขยับเข้ามาแบบที่นึกกลัว

“น่าเสียดาย”

“เสียดายอะไรเล่า” ครั้งนี้ผมผลักอกภามออก ซึ่งเขาก็ยอมปล่อยแต่โดยดี

แน่สิ...จะยืนป้อต่อทั้งที่ท้องผมร้องดังขนาดนี้ก็กระไรอยู่

อาหารเช้าของวันนี้คือข้าวห่อไข่ แค่เห็นหน้าตาอาการตอนภามตักใส่จานให้ ผมก็ร้องอู้หูออกมาเหมือนเช่นทุกครั้ง น่ากินสุดๆ เมื่อกี้ตอนพ่อครัวหันหลังแอบเอานิ้วจิ้มเข้าปากไปแล้วด้วย อร่อยมาก

“นายไม่คิดเบนเข็มไปทางสายพ่อครัวเหรอ” ผมตักข้าวคำแรกเข้าปากเมื่อเห็นภามนั่งลงฝั่งตรงข้ามเรียบร้อยแล้ว ที่ถามนี่คือจริงจังมาก เชื่อว่าถ้าเขาไปเอาดีทางด้านการทำอาหารต้องรุ่งแน่นอน ขนาดเพิ่งฝึกมาไม่นานนะเนี่ย

“ผมอยากทำให้คุณกินคนเดียว”

“แค่กๆ...” ผมสำลักข้าวยกใหญ่จนคนหน้าตายที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามต้องยื่นแก้วน้ำมาให้ “วันนี้นายเป็นอะไรเนี่ย”

“ไม่ได้เป็นอะไร” ภามส่ายหน้าพร้อมมองผมด้วยแววตาเหมือนจะถามว่าตัวเองทำอะไรผิด

“แต่ไอ้ที่พูดกับแสดงออกวันนี้มันไม่เหมือนคนไม่เป็นอะไรเลยนะ”

“ผมก็แค่พูดตามความจริง ทำตามที่รู้สึก” ว่าจบก็ตักข้าวเข้าปากเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น ทำราวกับเรากำลังพูดคุยเรื่องดินฟ้าอากาศทั่วไป และไม่ได้รับรู้เลยว่าไอ้ที่เขาบอกว่าพูดหรือทำตามความจริงและความรู้สึก มันส่งผลกระทบต่อใจผมมากขนาดไหน

“จงใจแน่ๆ”

“จงใจอะไร อ่อ...ถ้าหมายถึงเรื่องที่ทำท่าจะจูบ อันนั้นจงใจจริงๆ” คนพูดยกผ้าขึ้นเช็ดมุมปากด้วยท่าทางเป็นผู้ดี ไม่ได้มีท่าทีเขินอายหรือรู้สึกรู้สาอะไรเลยสักนิด ทั้งที่เพิ่งพูดเรื่องจูบออกมาแบบหน้าด้านๆ แท้ๆ

แล้วกูเนี่ย...หน้าร้อนไปเพื่อใคร

“อยู่กับนายแล้วหน้าฉันบางลงทุกวัน” ผมบ่นออกไปจากใจจริง ก่อนจะเลื่อนจานเปล่าออกห่าง แล้วก้มหน้าฟุบลงกับโต๊ะแบบเพลียๆ เมื่อก่อนยังเป็นคนหน้าหนาแข่งกับไอ้เก้าอยู่เลย มาตอนนี้ผมว่าคงสู้ใครไม่ไหวแล้ว อับอายแทนไปหมด

“ดีแล้วไม่ใช่เหรอ”

เออ...ดีก็ดี

หลังจากช่วยกันล้างจานเสร็จ ผมก็แยกตัวไปอาบน้ำก่อน โดยไม่ลืมถือเสื้อผ้าชุดใหม่เอี่ยมที่ภามหามาให้ขึ้นไปชั้นบนด้วย ขนาดอาบน้ำทำอะไรเรียบร้อยหมดแล้ว ยังเหลือเวลาอีกเกือบชั่วโมงกว่าจะเริ่มงาน ตัดเรื่องเวลาเดินทางไปได้เลย เพราะคอนโดนี้อยู่ใกล้โรงพยาบาลมาก ใกล้ชนิดที่ว่าผมเดินไปเองก็คงใช้เวลาไม่ถึงสิบห้านาที แล้วนี่นั่งรถไป ขอแค่ห้านาทีก็พอ

“ดูการ์ตูนอีกแล้ว...นี่คุณอายุเท่าไหร่กันแน่” เสียงทักจากด้านหลังดังขึ้น พร้อมๆ กับที่เจ้าของห้องทรุดตัวนั่งลงด้านข้าง “แล้วนั่งท่าอะไรของคุณ”

“อำไออ่ะ” ผมถามทั้งที่คุ้กกี้ยังคาอยู่ในปาก แค่นั่งดูการ์ตูนด้วยท่ายืดขาข้างหนึ่งแบะขาออกข้างหนึ่ง ไม่เห็นแปลกตรงไหน “ก็มันสบาย"

ในเมื่อไม่ต้องสงวนท่าทีหรือเก๊กอะไรอยู่แล้วเพราะเห็นกันมาแทบทุกมุม แบบนี้ผมยังต้องเกรงใจอะไรอีก อยากแหกแข้งแหกขาดูการ์ตูนย้อนวัยก็ทำไปเถอะ เอาไว้ถ้าโดนห้ามแล้วค่อยว่ากัน

“นับวันยิ่งทำตัวเหมือนแมวมากขึ้นทุกที”

“ทำไมล่ะ” ผมแกล้งชูคอถาม “ไม่ชอบหรือไง”

ภามหันขวับมาหรี่ตามองผมเหมือนกำลังจ้องแมวทำความผิด ทั้งยังทำหน้าเหมือนคาดโทษไว้ในใจเรียบร้อยแล้ว จังหวะนี้ก็ตัวใครตัวมันละ...

ผมกดปิดทีวี เตรียมตัวลุกหนีโดยกะจะบอกว่าไปกันเถอะ เขาจะได้มองข้ามไปเหมือนทุกครั้ง

“คิดว่าหนีพ้นเหรอ” เสียงเรียบเย็นดังขึ้นพร้อมแรงกระชากที่แขนจนผมเกือบร้องจ๊าก ไม่ให้ร้องได้ไง ก็ผมโดนดึงจากด้านหลังโซฟาข้ามไปด้านหน้า

หัวกระแทก...หัวกระแทกพื้นแน่ๆ

“เจ็บบบบ” ร้องนำไปก่อนแล้วกันเผื่อจะได้รับความเห็นใจ

“นี่คุณเจ็บได้แม้แต่ในมโนเหรอ”

ผมลืมตาขึ้นมอง เห็นพื้นห่างจากหัวตัวเองอยู่หลายนิ้ว ขณะที่ขาข้างหนึ่งวางราบไปกับโซฟา ส่วนขาอีกข้างพาดอยู่บนพนักพิง สรุปคือไม่ได้หัวฟาดพื้นแบบที่คิด แต่หนักยิ่งกว่าเมื่อได้หันไปเห็นคนที่กอดตัวเองไว้ไม่ให้ตกลงไป

“ปะ...ปล่อยเลย”

สัญญาณเตือนในใจร้องรัวๆ

“ปล่อยทำไม ผมจะตอบคำถามให้คุณฟังชัดๆ”

“ใกล้...ใกล้ไป” ผมจำต้องเบนหน้าหนีเมื่ออีกฝ่ายก้มหน้าลงมาใกล้ มือทั้งสองข้างวางแปะอยู่บนอกกว้าง พยายามดันไว้ไม่ให้ก้มลงมามากไปกว่านี้ ซึ่งภามก็ทำตามนะ...แค่จมูกชนกันแล้วเท่านั้นเอง

“ชอบ”

“หยุด...” โอย…หัวใจจะหยุดเต้น

“แต่ถ้าคุณไปทำแบบนี้กับคนอื่น...”

“…”

“ผมเอาตายแน่”

เขาใช้ช่วงเวลาทีเผลอดันมือผมออกไปให้พ้้นทาง ก่อนจะกดจูบลงมาบนริมฝีปากผมแรงๆ แล้วผละออกอย่างรวดเร็ว ใบหน้าคมคายฉายชัดถึงความพอใจ แม้ยามเห็นผมทำหน้ามุ่ยใส่ก็ยังยิ้มอยู่

สรุปกูก็โดนจูบอีกจนได้...



————————-




หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.25]== [03/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 03-09-2018 17:46:32
แพ้ทางทุกที เจไดเอย   o18
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.25]== [03/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 03-09-2018 19:36:47
น้องภามขี้ลวนลามหมอจังเลยค่ะ5555 แต่หมอแมวน่ารักขนาดนี้อ่ะเนอะ เขินนนนน :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.25]== [03/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 04-09-2018 18:52:19
-26-



ชีวิตของผมในช่วงนี้ยังคงดำเนินไปแบบเรื่อยๆ เนือยๆ ไม่มีอะไรผิดแปลกไปจากเดิมมากนัก

“มาจัดของเข้าตู้เร็วๆ”

“โอเค”

ก็แค่โดนบังคับแบบงงๆ ให้เอาของใช้ส่วนหนึ่งมาทิ้งไว้ที่คอนโดหรูของคนที่เคยเป็นเพียงเพื่อนร่วมเดินทาง

“ปิดฝาข้าวแน่นๆ แล้วเอาไปใส่ไว้ในกระเป๋า เดี๋ยวก็ลืมหรอก”

“ไม่ลืมหรอกน่า”

ได้รับหน้าที่เป็นคนปิดฝาข้าวกลางวันที่เขาทำให้ทุกเช้าหากมาค้างที่นี่

“ลืมบอกคุณแม่หรือเปล่าว่าวันนี้จะมาค้างกับผม”

“บอกแล้ว”

เรื่อยๆ เนือยๆ ไม่มีอะไรผิดแปลกไปจากเดิมมากนัก...

ไม่มีก็บ้าแล้ว!

ไม่ว่าจะมองยังไงมันก็แปลก แปลกไปหมดตั้งแต่ที่เกือบอาทิตย์ก่อนผมมาค้างกับภาม โดนหลอกจูบไปหนึ่งที พอถึงเวลาเลิกงานก็โดนลากกลับไปเก็บข้าวของที่บ้านแบบงงๆ จนแม่ถามว่าจะหนีตามใครไป

มาถึงวันนี้ยังงงอยู่เลยว่าผมเก็บข้าวของมาไว้ห้องภามได้ยังไง และเหมือนจะมาค้างแบบวันเว้นวันเลยด้วยนะ ไม่รู้ว่าเขาอาศัยจังหวะที่ผมเบลอจากงานลากตัวมา หรือเป็นผมเองที่เดินตามต้อยๆ โดยไม่ต้องให้บังคับ

แต่ไม่ว่าจะทางไหนก็ไม่ดีทั้งนั้นเลยนี่หว่า...

“วันนี้น้องระจะออกจากโรงพยาบาลแล้ว นายจะไปส่งหรือเปล่า” ผมไล่เรื่องน่าปวดหัวออกไปจากสมอง ก่อนจะหันไปถามคนที่กำลังเก็บข้าวของเตรียมไปทำงาน

“กี่โมง”

“เห็นว่าจะมีคนมารับตอนบ่าย”

“เดี๋ยวแวะไป” ภามตอบแล้วสะพายกระเป๋าขึ้นบ่า เดินนำออกไปจากห้องเพื่อตรงไปขึ้นรถเหมือนทุกวัน

การผ่าตัดของน้องระฟ้าผ่านพ้นไปได้ด้วยดี ถึงอย่างนั้นข้อห้ามต่างๆ ก็ยังมีมาก ทั้งยังเป็นเรื่องที่ต้องระมัดระวังไปตลอดชีวิต หลายวันที่ผ่านมาผมกับภามยังคงไปเยี่ยมน้องอยู่เสมอ ถึงจะมีบ่นว่าปวดเนื้อปวดตัวบ้าง แต่น้องระก็ยังยิ้มได้ ไม่ได้อมทุกข์หรือร้องไห้เพราะความเจ็บ

เป็นเด็กที่เข้มแข็งมากจริงๆ...

“น้องบอกว่าอยากเจอนายก่อนกลับ กลายเป็นพี่ชายคนโปรดเฉยเลยนะ” ผมทำเหมือนพูดลอยๆ ไม่ได้คิดอะไร ทว่าในใจนึกอิจฉาอยู่ไม่น้อย เพราะเมื่อวานภามติดงาน เป็นผมที่เลิกก่อนเลยไปอยู่กับน้อง ตอนแรกเด็กน้อยก็บอกว่าจะรอพี่ชายมาก่อนอยู่หรอก แต่ไปๆ มาๆ ทนไม่ไหวตาเริ่มปรือ แต่ก็ยังไม่วายพูดย้ำว่าอยากเจอพี่ชายก่อนออกจากโรงพยาบาล

ติดเป็นตังเมยิ่งกว่าตอนที่ติดผมอีก...

“ทำหน้าเศร้าทำไม” คนขับรถเอ่ยถามระหว่างที่รถติดไฟแดง ผมเลยหันไปมองแล้วชักสีหน้าใส่ตรงๆ โดยไม่คิดปกปิด

“ฉันอิจฉานาย”

“…ผมทำอะไร”

“แย่งความรักของน้องระไปไง” ถึงจะดีใจที่เขาช่วยกล่อมน้อง ทั้งยังมาอยู่เป็นเพื่อนคุยทุกวันในแบบที่ผมทำไม่ได้ แต่มันก็ไม่ได้หมายความว่าต้องมาแย่งทุกความสนใจไปนี่นา มาหลังๆ นี่ระฟ้าแทบไม่เห็นผมอยู่ในสายตาด้วยซ้ำ “เข้ากันได้ดีเกินไปแล้ว”

“อาจเป็นเพราะเรามีอะไรบางอย่างคล้ายกัน” ภามพูดเสียงเรียบ เป็นเวลาเดียวกันกับที่รถเคลื่อนเข้าไปในเขตโรงพยาบาลพอดี

“นายเคยเป็นโรคหัวใจหรือไง”

“…”

อะไร...มองเหมือนจะด่าว่าโง่ทำไม ก็แค่ตั้งข้อสงสัยเฉยๆ ไหมล่ะ

“เอาเป็นว่าผมไม่ได้แย่งความรักของเด็กนั่นมาจากคุณ...หรือต่อให้แย่งจริงคุณก็ได้ความรักของผมไปแทนอยู่แล้วไม่ใช่หรือไง” คนพูดทำหน้าตาย หันมามองหน้าผมแทบจะทันทีที่รถจอดตรงหน้าประตูทางเข้าโรงพยาบาล ซึ่งแน่นอนว่าคำพูดนั่นมันทำให้ผมปวดหัวจี๊ดๆ จนอยากชิ่งหนีไปเดี๋ยวนี้เลย

ถ้าไม่ติดว่าโดนดึงแขนไว้นะ...

“ปล่อยเลย” ผมพยายามดึงนิ้วภามออก สัญญาณเตือนภัยในร่างกายร้องลั่นไม่หยุด มันเตือนให้รู้ว่าถ้ายังหนีไม่พ้นตั้งแต่ตอนนี้ ผมจะต้องโดนเล่นงานหนักกว่าเก่าแน่ๆ

“ไม่ต้องไปรับความรักของใครมาอีกล่ะ” น้ำเสียงนั้นราบเรียบไม่ปรากฏอารมณ์ แต่กลับแฝงความกดดันเอาไว้จนเต็มเปี่ยม มีหรือที่ผมจะไม่รู้ว่าอีกฝ่ายกำลังออกคำสั่งทางอ้อม แล้วยังมีหน้ามายกยิ้มจางเหมือนไม่ได้พูดอะไรออกมาอีกนะ “ไปได้แล้ว เดี๋ยวสาย”

“เพราะนายนั่นแหละ!”

หลังจากเอาชีวิตรอดในช่วงเช้าได้สำเร็จ ผมก็เดินเอื่อยๆ เข้าไปในโรงพยาบาล พยายามอย่างยิ่งยวดไม่ให้เผลอเหลือบตาไปเห็นสีหน้าอมยิ้มของบุคลากรทั้งหลาย ที่น่าจะเคยชินแล้วกับการเห็นผมเดินลงมาจากรถออดี้คันหรู ซึ่งมีคนขับเป็นผู้ชายตัวสูงหน้าตาดี และหากจะถามว่าพวกเขาเคยเห็นได้อย่างไร...

ดูเหมือนจะมีวันหนึ่งที่ผมเอ๋อเหรอลืมของไว้บนรถ จนภามต้องเปิดประตูลงมาแล้วเรียกเสียงไม่ดังไม่เบา...แต่ทำเอาทุกสายตาหันขวับไปมองกันหมด

 ผมนึกขอบคุณในใจที่เขาไม่ได้จอดรถแล้วเดินเข้าไปส่งถึงด้านในเหมือนวันแรกๆ เพราะถ้าเป็นแบบนั้น จนถึงวันนี้คุณชายภามอาจจะกลายเป็นที่รู้จักของคนทั้งโรงพยาบาลไปแล้วก็ได้

เอาแค่แผนกตัวเองผมก็กุมขมับแล้ว...ให้ตายเถอะ

“คุณหมอ...วันนี้น้องภามก็ไม่เข้ามาเหรอคะ ไม่เจอมาสองวันแล้วน้า”

นั่นไง...

“ไม่ต้องเลยพี่แจน” ผมหันไปมองค้อนใส่พี่แจนที่เอาแต่หัวเราะคิกคัก หาเรื่องมาแซวกันได้ทุกเช้า ไม่รู้เจ้าหน้าปลาตายนั่นกลายเป็นลูกรักของคุณพยาบาลทั้งหลายได้ยังไง เห็นใครไปคุยด้วยก็เอาแต่พยักหน้าบ้างส่ายหน้าบ้างตลอด ไม่เห็นจะพูดอะไรสักคำ

“ก็พี่ได้ยินพวกชั้นล่างพูดว่าหมอเจไดมีคนขับรถมาส่งทุกเช้าเลยนี่นา พี่ก็แค่อยากเจอบ้างเท่านั้นเอง” พี่แจนเดินตามมาพูดคุยจนผมเก็บข้าวของเสร็จแล้วก็ยังเอ่ยแซวกันไม่มีหยุด “แล้วเดี๋ยวนี้เขาไม่มานั่งรอที่แผนกเราแล้วเหรอคะ”

“เดี๋ยววันนี้หรือพรุ่งนี้ก็คงมานั่งรอที่เดิมแล้วครับ” แล้วก็ต้องตอบไปอย่างเสียมิได้ เพราะถ้ายังไม่ยอมบอกว่าอีกไม่นานอาหารตาก็จะกลับมาให้มองฟรีแล้ว พี่สาวคนนี้คงไม่ยอมแยกตัวไปทำงานเสียที “ช่วงนี้ภามไปนั่งคุยเป็นเพื่อนน้องระ พวกพี่เลยไม่ค่อยเจอ”

“น้องที่หมอวิชญ์ดูแลใช่ไหมคะ” พอเริ่มพูดเข้าเรื่องงานหรือเรื่องที่เกี่ยวข้องกับคนไข้ พี่แจนก็เปลี่ยนน้ำเสียงและสีหน้าให้ดูจริงจังขึ้นอย่างรวดเร็ว

“ใช่ครับ”

“เห็นว่าจะกลับบ้านวันนี้แล้ว คุณหมอคงห่วงน้องมาก ดีใจด้วยนะคะ”

“ขอบคุณมากครับพี่แจน”

ไม่แปลกที่คนในแผนกจะรู้ว่าผมกับน้องระสนิกสนมกัน เพราะหลายวันมานี้หากเลิกงานและปลีกตัวไปได้เมื่อไหร่ ผมมักจะขึ้นไปหาน้องที่ห้องพักอยู่เสมอ โดยไม่ลืมบอกที่อยู่ของตัวเองให้คุณพยาบาลรู้ไว้เผื่อมีอะไรฉุกเฉินจะได้มาเรียกทัน แต่ไอ้ที่ไม่คาดคิดเลยคือเรื่องที่พวกคนข้างล่างพูดกันต่างหาก ถ้ารู้ว่าสนิทและเป็นที่รักไปทั่วแล้วจะโดนจับตามองมากขนาดนี้นะ ตอนเข้ามาทำงานใหม่ๆ ผมแกล้งหยิ่งดีกว่า

ทำไงได้...นอกจากจะเป็นลูกผอ.แล้วช่วงแรกๆ ผมดันเป็นพวกสนิทกับคนง่ายอีกต่างหาก รู้จักตั้งแต่คุณยามหน้าโรงพยาบาลยันคุณป้าแม่ครัว เดินไปไหนแต่ละทีมีคนทักตลอดทาง

ก็นะ...คนมันดัง




ช่วงพักเที่ยงที่ทุกคนต่างไปหาข้าวกินกัน ผมยังคงตรวจคนไข้อยู่เหมือนเคย ไม่อาจปลีกตัวไปไหนได้เลยแม้แต่นิดเดียว มองนาฬิกาแล้วก็ได้แต่กังวลว่าน้องระจะกลับไปหรือยัง อย่างน้อยถ้าผมไปไม่ทัน ขอแค่รู้ว่าภามมาแล้วก็ยังดี แค่เห็นเราคนใดคนหนึ่งคงทำให้น้องยิ้มได้บ้าง และสุดท้ายเมื่อเข้มสั้นชี้ไปที่เลขหนึ่งผมก็ได้ออกมาจากห้องตรวจ เตรียมตัวขึ้นไปดูคนไข้ที่ตึก คราวนี้น่าจะเหลือเวลาไปกินข้าวแล้วก็แวบไปหาน้องนิดหน่อย

ผมคว้ากล่องข้าวรูปแมวมาถือเอาไว้แล้วรีบก้าวเท้ายาวๆ ไปขึ้นลิฟต์ คิดว่าถ้าน้องยังไม่ไปไหนอาจจะหาที่กินแถวนั้นเอา แต่ถ้าน้องกำลังจะไปเอาไว้ส่งน้องก่อนค่อยมากินก็ยังไม่สาย ถึงท้องจะเริ่มส่งเสียงประท้วงก็ไม่เป็นไร เพราะความเคยชินทำให้มันกลายเป็นเรื่องปกติไปแล้ว

“อ่าว...มาแล้วเหรอ”

คนตัวสูงที่กำลังจะเปิดประตูเข้าไปในห้องน้องระหยุดชะงักแล้วหันมาตามเสียงทักของผม ภามเลิกคิ้วแปลกใจเล็กน้อยยามเลื่อนสายตาลงมาเห็นกล้องข้าวที่ผมอุ้มอยู่

“ยังไม่ได้กินข้าวเหรอ”

“ยัง ฉันเพิ่งตรวจคนไข้เสร็จ” ผมบอกเขาแล้วเดินเข้าไปหา ผลักประตูเดินเข้าไปด้านในพร้อมกัน เห็นน้องระในชุดไปรเวทกำลังนั่งอยู่บนรถวีลแชร์ที่มีคุณป้าแม่บ้านเป็นคนเข็นพากันมาทางนี้พอดี

“พี่ชาย พี่หมอ” น้องระยิ้มสดใส ท่าทางดูไม่เหมือนเด็กที่เพิ่งผ่าตัดมาเมื่อหลายวันก่อนเลยแม้แต่น้อย เห็นแบบนั้นแล้วผมก็ยิ้มตาม รีบเดินเข้าไปคุกเข่าลงตรงหน้าแล้วจับมือเล็กๆ ของน้องเอาไว้

“ว่าไงคนเก่ง จะกลับแล้วเหรอ”

“ครับ...คุณแม่กับคุณลุงใกล้ถึงแล้ว”

ผมพูดคุยกับน้องอีกนิดหน่อยแล้วก็ถูกไล่ด้วยสายตาให้ไปนั่งกินข้าว เห็นแบบนั้นคนที่เคยมีชนักติดหลังมาก่อนเลยได้แต่เดินไปนั่งลงบนโต๊ะแล้วเปิดฝาข้าวกินเงียบๆ ปล่อยให้คนออกคำสั่งนั่งคุยกับน้องระต่อไป จนกระทั่งผมกินข้าวเสร็จเรียบร้อยแล้วประตูห้องก็เปิดออกอีกครั้ง พร้อมกับที่คุณแม่กับคุณลุงคนขับรถของน้องระเดินเข้ามา

เห็นสองแม่ลูกกอดกันแล้วผมก็ยิ้มออก อย่างน้อยท่านก็รักน้องระ ถึงจะไม่ค่อยมีเวลามาดูเท่าไหร่ แต่ถ้าอธิบายให้น้องเข้าใจได้ก็ไม่น่ามีปัญหา

ในตอนที่น้องระหันมาลาผมกับภามอีกครั้ง ผมรีบเดินเข้าไปกอดน้องไว้แล้วแอบยัดกระดาษที่จดเบอร์โทรตัวเองกับภามไปให้ เผื่อว่าวันไหนต้องการความช่วยเหลือแล้วติดต่อผมไม่ได้ก็ยังมีตัวเลือกให้ติดต่อเพิ่ม ซึ่งน้องที่เห็นแบบนั้นก็เอาแต่ยิ้มกว้าง หันมากอดผมแน่นๆ อีกครั้งก่อนจะจากไป

“เด็กคนนั้นบอกว่าจะดูแลตัวเองให้ดี...เพราะไม่ว่ายังไงก็อยากเข้าเรียนในมหาวิทยาลัยกับคนอื่นๆ ไม่อยากนั่งเรียนอยู่ที่บ้านแล้ว” ภามพูดขึ้นมาลอยๆ ในระหว่างที่เราเดินออกมาจากห้องพร้อมกัน

“น้องคงเบื่อ”

พอลองนึกไปถึงตอนเด็กๆ ที่ชอบบ่นว่าขี้เกียจไปเรียนจังเลยแล้วผมก็ต้องส่ายหน้าหน่าย ความคิดพวกนั้นมันโคตรจะเป็นความคิดชั่ววูบเลย ยามได้มาทำงานจริงๆ ถึงรู้ว่าชีวิตมัธยมมันสบายขนาดไหน ถ้าย้อนเวลากลับไปได้ใครๆ ก็คงอยากไป แล้วยิ่งเอามาเทียบกับเด็กอายุสิบห้าสิบหกที่อยากรักษาตัวเองให้แข็งแรง เพียงเพราะอยากเข้าไปเรียนกับคนอื่นๆ มันยิ่งทำให้ผมรู้สึกขำความคิดในอดีตเหล่านั้น

“เป็นเพราะเด็กคนนั้นรู้แล้วว่าโลกใบนี้มันกว้างใหญ่ขนาดไหน” คนพูดหันมามองหน้าผมพร้อมส่งรอยยิ้มมุมปากมาให้ “ถ้าเอาแต่อยู่ในโลกของตัวเอง อะไรดีๆ อาจผ่านไปได้ง่ายๆ โดยไม่รู้เลยว่าต้องรออีกนานเท่าไหร่ถึงจะได้กลับมาพบเจออีกครั้ง”

ผมกะพริบตาปริบๆ จ้องหน้าภามโดยไม่รู้ว่าควรตอบอะไรออกไป ถึงจะเห็นด้วยกับคำพูดของเขาไม่น้อย แต่อะไรบางอย่างที่แฝงอยู่ในนั้นกลับทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ จวบจนเมื่อเห็นอีกฝ่ายขยับเข้ามาหา สติสตังที่กระจัดกระจายถึงได้กลับคืนมาอีกครั้ง

“อะ...นั่นสินะ”

“ถ้าเมื่อหลายปีก่อนตอนที่เจอกันครั้งแรกผมไม่ได้อุดอู้อยู่แต่ในโลกของตัวเอง...”

“…”

“เราคงไม่ต้องรอมาจนถึงวันนี้”

เอาอีกแล้วไง...

“ทำไมถึงพูดเรื่องพวกนี้ออกมาได้หน้าตาเฉยเนี่ย ถามจริง” ผมเลียนแบบหน้าปลาตายของเขาโดยไม่ได้ตั้งใจ แม้จะร้อนๆ ที่แก้มนิดหน่อยแต่ก็ยังพอรับได้ เพราะช่วงนี้โดนโจมตีบ่อยเหลือเกิน เริ่มชินแล้ว

ไม่ได้ชินกับที่โดนเต๊าะนะ...แต่ชินกับที่ต้องหน้าแดง ใจเต้นแรงตามทุกรอบเนี่ยแหละ

“ก็ผมจูบคุณอยู่”

“จะ...จูบบ้าอะไร”

“จีบไง”

“แล้วมันกลายเป็นจูบได้ไง” ขออนุญาตยกมือกุมขมับ เริ่มปวดหัวหนึบๆ แล้วตอนนี้

“โทษที...พอดีภาษาไทยไม่แข็งแรง”

“เมื่อกี้ยังแก้เองอยู่เลย!” ไม่ใช่แค่นั้น ก่อนหน้านี้ก็เคยพูดคำว่าจีบออกมาได้ถูกต้องไม่ใช่หรือไง ยังมีหน้ามาทำตาใสบอกไม่รู้เรื่องอีก ยัง...ยังไม่หยุดเลิกคิ้วทำหน้างงเหมือนไม่เข้าใจ มันน่าเตะไหมเนี่ย

“เหรอ...ไม่รู้ตัวเลย” ภามทำหน้าตายสนิท แต่ผมกลับรู้สึกว่ามันดูกวนตีนเอามากๆ ถ้าไม่ติดว่าสู้ไม่ได้ผมคงกระโดดกัดหัวเขาไปแล้ว

“นายนี่มัน...”

“อย่าโมโห เดี๋ยวหน้าแก่” คนพูดขยับเข้ามาใกล้กว่าเดิม ใบหน้าประดับประดาไปด้วยรอยยิ้มขบขันที่ค่อยๆ เผยออกมาช้าๆ ทั้งยังมีดวงตาที่ดูอ่อนแสงลงราวกับกำลังจะหลอกล่อให้ผมไปติดกับดักของเขาอีกครั้งด้วย “จะจูบหรือจีบก็ไม่ต่างกันเท่าไหร่หรอก สุดท้ายผมก็ทำกับคุณคนเดียวอยู่ดี”

ผมยืนตัวแข็งเป็นก้อนหินขณะมองไอ้บ้าที่บังอาจโน้มหน้าเข้ามาใกล้ สมองสั่งให้รีบผลักเขาออกไปโดยไวก่อนจะมีอะไรเกิดขึ้น หากแค่คิดจะยกมือก็โดนคว้าจับเอาไว้อย่างรู้ทัน คราวนี้เมื่อไม่มีมือไว้ป้องกันตัวเอง ผมเลยทำได้เพียงพูดเสียงแผ่วเพื่อเตือนสติคนตรงหน้า

“ที่นี่โรงพยา...”

ฟอด

“รู้แล้วว่าโรงพยาบาล ผมไม่จูบคุณหรอก” เขาพูดยิ้มๆ แล้วผละออกไป พร้อมกับปล่อยมือผมให้เป็นอิสระ “ไว้เจอกันตอนเย็น”

ไม่จูบ...แต่กดจมูกลงมาที่แก้มเต็มๆ เลย

ขอบคุณนะ

“กวนตีน...” ผมยืนกุมแก้มร้อนๆ ของตัวเองเอาไว้แน่น ขณะมองตามแผ่นหลังกว้างของคนกวนตีนไปจนสุดสายตา กว่าจะดึงสติกลับมาได้ก็ตอนที่มีคุณพยาบาลเดินผ่านแล้วถามว่าเป็นอะไรหรือเปล่า และนั่นทำให้ผมรู้ตัวว่าเมื่อกี้ไอ้คนหน้าด้านมันฉวยโอกาสกันกลางทางเดิน โชคดีแค่ไหนที่ไม่มีใครมาเห็นเข้า

การทำงานในช่วงบ่ายให้ความรู้สึกยาวนานกว่าช่วงเช้ามาก ทั้งที่มันก็มีจำนวนชั่วโมงเท่าๆ กันหากไม่นับยามที่ต้องตรวจคนไข้นอกเวลา แต่ดูเหมือนเด็กน้อยอายุไม่เกินห้าขวบคนนี้จะช่วยให้ผมเลิกงานได้ไวขึ้นหลายเท่า เพราะนอกจากจะเป็นคนไข้ตัวน้อยรายสุดท้ายของวันแล้ว อีกฝ่ายยังเอาแต่ยิ้ม ไม่ดื้อไม่ซน ไม่ขยุกขยิกเลยแม้แต่นิดเดียว

“ไหนอ้าปากให้คุณหมอดูสิครับ”

“อ้าาาาา”

“เก่งมากเลย” ผมลูบหัวน้องปีโป้ด้วยความเอ็นดู เห็นอีกฝ่ายยิ้มแฉ่งรับคำแล้วก็ต้องยิ้มตามอย่างอดไม่อยู่ “เดี๋ยวคุณหมอจะนัดอีกทีอาทิตย์หน้านะครับ เด็กดีต้องมานะรู้ไหม”

“รู้ครับ” น้องตอบเสียงฉะฉาน ปากที่ยิ้มอยู่แล้วยิ้มกว้างกว่าเดิมจนตาโค้ง คุณพ่อที่อยู่ด้านหลังเองก็ยิ้มแบบเดียวกันเป๊ะ เรียกได้ว่าสำเนาถูกต้องทุกประการ

“เรียบร้อยแล้วครับคุณพ่อ เดี๋ยวไปรับยาให้น้องแล้วก็กลับบ้านได้เลยครับ เอาไว้เจอกันอีกทีเดือนหน้า หมอคิดว่าน่าจะเป็นรอบสุดท้ายแล้ว”

“ขอบคุณครับคุณหมอ”

คุณพ่อยกมือไหว้ผมแล้วตั้งท่าจะเข้ามาอุ้มน้องปีโป้ตัวกลมออกไป แต่คราวนี้เจ้าของรอยยิ้มกว้างกลับงอแงขึ้นมากะทันหัน ตั้งท่าจะเบะปากมาแต่ไกล ผมที่เห็นแบบนั้นเลยยื่นหน้าเข้าไปหา แตะแก้มยุ้ยๆ นั่นเบาๆ

“เป็นอะไรคนเก่ง”

“คุณหมอไปด้วยกันนะ”

ผมเอียงหัวมองน้องด้วยความไม่เข้าใจ แต่เมื่อเห็นคนเก่งยื่นมือป้อมๆ เข้ามาหาคล้ายจะขอให้อุ้มก็เข้าใจในทันทีว่าเขาต้องการอะไร โชคดีจริงๆ ที่กำลังจะไปพอดี

“คุณหมอ...”

“ไม่เป็นไรครับ หมอเลิกงานพอดี” เงยหน้าขึ้นไปเห็นท่าทีเกรงอกเกรงใจของคุณพ่อ ผมก็รีบส่ายหน้าเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร พอจัดการอะไรเสร็จแล้วก็ตรงเข้าไปอุ้มเด็กตัวกลมขึ้น “หมอจะไปส่งขึ้นรถ เสร็จแล้วปีโป้ต้องไม่งอแงนะ สัญญาได้ไหม”

“สัญญาครับ”

เพราะอย่างนั้นเมื่อเราเดินออกมาด้านนอก ผมเลยจ๊ะเอ๋เข้ากับคนที่มารอพอดี พี่แจนที่กำลังจะเสิร์ฟน้ำให้ภามตั้งท่าจะหันมาทัก แต่เมื่อเห็นว่าผมไม่ได้เดินออกมาคนเดียวเธอก็เงียบไป ไอ้เราที่กำลังงงว่าพี่แจนทำหน้าแหยๆ ทำไมถึงกับสะดุ้งยามเห็นคนหน้าปลาตายหรี่ตามอง ใบหน้าราบเรียบคล้ายจะแสดงท่าทีไม่พอใจออกมาวูบหนึ่ง

“คุณหมอ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ” คำถามแสดงความห่วงใยพร้อมมือที่แตะลงบนบ่าทำให้ผมเข้าใจ...

ภาพที่ผมเดินออกมาพร้อมคุณพ่อกับน้องปีโป้ที่อยู่ในอ้อมแขนคงดูแปลกพอควร โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่เพิ่งจะฉวยโอกาสใส่กันไปเมื่อบ่าย คิดได้ดังนั้นก็เผลอเว้นระยะห่างออกมาหนึ่งก้าวโดยไม่รู้ตัว และเหมือนการกระทำนั้นจะช่วยให้คนที่นั่งอยู่อารมณ์ดีขึ้นเล็กน้อย เขาถึงได้คลายหน้าตึงๆ เปลี่ยนเป็นลุกขึ้นยืน เดินตรงมาหาผมแทน

“อา...นี่น้องปีโป้ เป็นคนไข้ของฉันน่ะ ส่วนนี่คุณพ่อน้องปีโป้”

ไม่เลย...ไม่ได้ร้อนรนเท่าไหร่เลย แค่บอกหมดเปลือกแบบไม่ต้องให้ถามเฉยๆ

“จะไปไหนกัน” ภามเหลือบตามองคุณพ่อของน้องแวบหนึ่ง ก่อนจะเบนกลับมามองผมแทน

“ฉันจะพาน้องไปส่ง...”

“คุณเลิกแล้วใช่ไหม งั้นก็ออกไปทีเดียวเลย” เขาพูดทีเดียวจบโดยไม่เปิดโอกาสให้ผมตอบอะไรสักคำ จากนั้นก็คว้ากระเป๋าและข้าวของไปถือไว้ให้โดยไม่ถามความเห็น

เอาเถอะ...ตอนแรกก็หนักอยู่เหมือนกัน ทั้งอุ้มน้องทั้งถือของ

สรุปคือเราเดินทางไปยังลานจอดรถพร้อมกันสี่คน โดยมีภามเดินอยู่เคียงข้างผม ส่วนคุณพ่อน้องปีโป้เดินนำอยู่นิดหน่อยเพราะต้องบอกทางไปรถ พี่แจนและคุณพยาบาลคนอื่นๆ มองตามมาแล้วก็หันไปหัวเราะคิกคัก เหมือนจะได้ยินคำว่าหึงหรืออะไรสักอย่างลอยมาตามลมด้วย แต่ผมไม่มีเวลาสนใจ เพราะนอกจากจะถูกคนข้างกายหันมามองเป็นระยะแล้ว เจ้าเด็กน้อยในอ้อมแขนยังออกแรงกอดผมแน่นกว่าเดิมอีกต่างหาก

“คุณหมอ คุณลุงหน้าตาน่ากลัวจังเลย” เสียงของน้องปีโป้ไม่ได้ทำให้ภามก้าวเดินช้าลง แม้เขาจะเหลือบมามองแล้วหรี่ตาลงเล็กน้อยเหมือนอยากเข้ามาจับเด็กกินก็ตามที

“ไม่น่ากลัวหรอกครับ ถ้าน้องปีโป้เป็นเด็กดี”

“อื้อ ปีโป้จะเป็นเด็กดีจะได้โตไวๆ” น้องฉีกยิ้มกว้างแล้วยื่นหน้าเข้ามาหอมแก้มผมดังฟอด ซ้ำยังพูดออกมาด้วยน้ำเสียงเจื้อยแจ้วแบบไม่สนใจสถานการณ์ “ถ้าโตแล้วปีโป้จะให้พ่อไปขอคุณหมอนะ”

คล้ายจังหวะการก้าวเดินของทุกคนจะหยุดชะงัก ไม่ใช่เพียงผมคนเดียว แต่รวมถึงคุณพ่อของน้องที่เดินนำ และคนหน้าตาน่ากลัวที่เหมือนจะแผ่รังสีฆ่าฟันออกมาหนักกว่าเดิมด้วย

“เอ่อ...”

“ปีโป้อยากให้คุณหมอไปอยู่ด้วย แต่ว่าคุณพ่อมีคุณแม่แล้ว เพราะงั้นปีโป้จะเอาคุณหมอมาเป็นภรรยาเอง”

ฉิบหายแล้วไง...

“น้องปี...”

“ไม่ได้” คราวนี้ไม่ได้มาแค่สายตา เพราะคนพูดหันหน้ามาหาผม แต่ตาจ้องเจ้าตัวเล็กที่เพิ่งขอผมแต่งงานล่วงหน้าไปเมื่อกี้เขม็ง แม้แต่คิ้วเข้มยังขมวดมุ่นจนใบหน้าปลาตายแปรเปลี่ยนเป็นยักษ์น่ากลัวไปด้วย

“อะไรไม่ได้” น้องปีโป้ถามเสียงสั่นแต่ยังไม่ยอมละสายตาออก

“เขาเป็นของฉัน”

ไอ้...ไอ้บ้านี่

ถ้าไม่ติดว่าอุ้มเด็กอยู่ผมคงยกมือขึ้นกุมขมับหรือไม่ก็วิ่งหนีไปนานแล้ว เพราะไอ้คำพูดตรงๆ นั่นมันไม่ได้เบาเลยสักนิด หน้าตาคุณพ่อกับน้องปีโป้ตอนนี้เอ๋อเหรอเต็มทน ขืนผมยังไม่รีบแยกภามออกไป เห็นทีคงมีศึกระหว่างเด็กอายุห้าขวบกับผู้ใหญ่อายุยี่สิบเจ็ดแน่

“คุณพ่อครับ...” คิดได้ดังนั้นผมก็รีบหันไปส่งสายตาให้คุณพ่อของน้องที่กำลังยืนงง พอเขาเห็นว่าผมพยักพเยิดไปที่ลูกชายก็รีบอาศัยจังหวะที่น้องยังไม่ทันตั้งตัวเดินเข้ามาอุ้มเจ้าตัวเล็กไป

“เอ่อ...ขอโทษคุณหมอกับแฟนคุณหมอด้วยนะครับ”

“ไม่เป็น...”

“อืม ไปเถอะ”

เดี๋ยวๆ ตอบแบบนั้นไม่เท่ากับเป็นการยอมรับหรือไงไอ้บ้านี่

ผมได้แต่อ้าปากค้างมองตามหลังคุณพ่อที่อุ้มน้องปีโป้เดินไปที่รถโดยไม่รู้จะพูดอะไร ทว่ายังไม่ทันได้ขยับไปไหน เสียงเล็กๆ ของเด็กที่เพิ่งตั้งสติได้ก็ตะโกนออกมาดังลั่นลานจอดรถ

“ปีโป้ไม่ยอมหรอก!!”

“ไม่ยอมเหรอ...” เสียงเย็นเยียบจากคนข้างกายทำเอาผมขนลุกซู่ เผลอก้าวถอยหลังโดยไม่รู้ตัว กะไว้แล้วว่าถ้าสบโอกาสเมื่อไหร่จะวิ่งหนีทันที แต่ก็เหมือนเดิม...โดนรู้ทันอีกแล้ว

ฟอด

ไอ้คนหน้าด้าน!

จากที่กำลังตื่นตระหนกเพราะถูกคว้าแขนไว้ คราวนี้ผมถึงกับตัวแข็งค้างเป็นครั้งที่สองของวัน เมื่อถูกคนตัวสูงกว่าโน้มลงมาหอมแก้มเต็มแรง และยังทำมันต่อหน้าต่อตาเด็กอายุห้าขวบซึ่งกำลังเกาะไหล่พ่อมองมาที่เรา

ผมอยากจะเป็นลมตายไปเลยจะได้ไม่ต้องมารับรู้เรื่องราวอะไรอีก แต่ยังไม่ทันคิดว่าควรทำยังไงต่อดี ภามกลับตรงเข้ามาโอบไหล่ พาผมเดินไปที่รถโดยไม่หันไปสนใจเจ้าของเสียงร้องไห้งอแงที่ถูกพ่อจับยัดขึ้นรถเลยแม้แต่น้อย

“ให้ตายเถอะ...” ผมไม่รู้แล้วว่าจะด่าอะไรดี ปากมันชาตามหน้าบางๆ ของตัวเองจนพูดไม่ออกไปหมดแล้วเนี่ย

ตลอดทางกลับคอนโดภามเอาแต่ขับรถเงียบๆ ไม่ได้ถามหรือพูดอะไรเลยสักคำ ผมเองก็ได้แต่เอามือกุมขมับ นึกทบทวนถึงเหตุการณ์ที่เกือบมีคนต่างวัยทะเลาะกันเพราะตัวเอง แล้วก็นั่นแหละ...พาลนึกไปถึงคำพูดนั่นจนได้

‘เขาเป็นของฉัน’

ตอนนั้นเอาแต่สนใจว่าจะมีคนตีกันตายเลยได้แต่ยืนเครียด พอมาถึงตอนนี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นแล้วยังอุตส่าห์วนกลับมาเล่นงานได้อีก และที่แย่ที่สุดก็คือการที่ผมไม่คิดจะปฏิเสธอะไรก็ตามที่เขาพูดออกมาเลยสักคำ ทั้งที่ขอแค่บอกไปว่าไม่มันก็จบแล้ว

ถึงภามจะไม่ยอมคุยกับผม แต่เขาก็ยังจูงมือพาเดินขึ้นคอนโดเหมือนเป็นเด็กๆ คงเพราะเห็นผมยังสติหลุด ทำหน้าเหม่อลอยไม่หาย จวบจนโดนดันให้นั่งลงบนเก้าอี้หน้าโต๊ะกินข้าวแล้วถึงได้รู้ตัว เผลอยื่นมือไปคว้าแขนของคนที่ทำท่าจะเดินไปไหนไม่รู้เอาไว้โดยอัตโนมัติ

“นายเป็นอะไร”

ภามหันมามองผมด้วยสีหน้างุนงง พอเห็นว่าเขาไม่ได้แสดงอาการไม่พอใจหรืออารมณ์เสียใดๆ ออกมาแล้วผมก็ลอบถอนหายใจโล่งอก ยังคิดอยู่เลยว่าถ้าโดนงอนจะทำยังไงดี

“ไม่ได้เป็นอะไร”

“แล้วทำไมเงียบ...”

“อา…” เขาทำท่าครุ่นคิดไปพักหนึ่ง ก่อนจะเหยียดริมฝีปากออกจนกลายเป็นรอยยิ้มน่าสยดสยอง “กำลังคิดวิธีกำจัดเด็กเฉยๆ”

“เดี๋ยว...” ผมกระตุกมือคนที่ไม่เคยล้อเล่นเบาๆ ตอนนี้น่าจะแสดงท่าทางตกใจจนถึงขีดสุดออกไปแล้วแน่นอน “อย่าบอกนะว่านายคิดจะทำอะไรไม่ดีกับน้องปีโป้”

“ก็ถ้ายังมายุ่งกับคุณ...”

“ไอ้บ้า!” กับเด็กก็ไม่เว้น ผมอยากจะบ้าตายจริงๆ “นั่นมันเด็กห้าขวบนะ”

คนฟังยักไหล่ ทำท่าไม่ใส่ใจ แถมยังหน้าด้านดึงมือผมไปจับไว้แน่นอีกต่างหาก

“ถ้าไม่คิดจะมาแย่งคุณไปอีก ผมจะยอมทำเหมือนมันไม่มีอะไรเกิดขึ้น”

“หิวข้าว!” ผมพูดเสียงดังแล้วสะบัดมือตัวเองที่เขายึดจับไว้เบาๆ “ไปเลยๆ ไปทำกับข้าว”

ขืนคุยกันนานกว่านี้ต้องมีปวดตับหนักกว่าเดิมแน่ ดีที่ภามแค่พยักหน้า ยอมปล่อยมือผมออกแล้วเดินไปเปิดประตูตู้เย็นแต่โดยดี ตับผมเลยยังปลอดภัยอยู่

เรานั่งกินข้าวด้วยกันเหมือนเดิมโดยมีภามเป็นคนทำ มีผมเป็นคนล้างจาน หลังจากนั้นเขาก็จะไปนั่งทำงาน ปล่อยให้ผมเข้าไปอาบน้ำก่อน เสร็จแล้วถึงจะตามเข้าไปอาบบ้าง นอนกดโทรศัพท์กันอยู่สิบนาทีก็ปิดไฟ เป็นแบบนี้ทุกครั้งเวลาผมมาค้างที่นี่ กลายเป็นกิจวัตรที่ดูเรียบง่าย ไม่มีอะไร แต่กลับรู้สึกว่ามีอะไรอยู่ในที

ผมอธิบายไม่ออกว่ามันหมายถึงอะไร ไม่รู้ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นมันเกิดมาจากไหน อาศัยแค่ความรู้สึกดีและอบอุ่นใจ ก็ปล่อยให้มันเป็นไปโดยไม่คิดตั้งคำถาม

หากวันนี้กลับมีสิ่งผิดปกติเกิดขึ้น...

ครืด

อาจเป็นเพราะวันนี้ผมยังหลับไม่สนิทหรืออะไรก็ไม่รู้ เสียงข้อความจากไลน์ถึงได้ดังเข้าหู จนตัดสินใจหันไปหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาเปิดดูหน้าจอ

PALM: ไอ้เจได งานเลี้ยงรุ่นวันศุกร์แรกของเดือนหน้ามึงต้องมานะเว้ย

ตอนแรกผมกะจะตอบว่าติดงานเหมือนทุกปีที่ผ่านมา แต่เมื่อนึกขึ้นได้ว่าไม่ได้เจอเพื่อนมัธยมมานานขนาดไหนเลยลองคิดดูอีกที ถ้าเป็นวันศุกร์แรกของเดือนหน้าอาจจะปลีกตัวไปได้อยู่ เพราะวันก่อนหน้าและวันถัดไปไม่มีเวร แค่แวบไปทักทายเพื่อนสักชั่วโมงสองชั่วโมงแล้วค่อยกลับก็ไม่มีอะไรเสียหาย

Anakin: เออ เดี๋ยวค่ำๆ กูไป

ทั้งที่คิดว่าไม่มีอะไรเสียหาย...แต่ทำไมถึงรู้สึกว่าจะมีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นวะเนี่ย



—————————


หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.26]== [04/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: killua1a ที่ 04-09-2018 19:15:43
ึ5555​ ปีโป้น่ารักอ่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.26]== [04/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 04-09-2018 19:40:28
น้องภามนี่สู้มาก กับดงกับเด็กก็ไม่ยอม5555 หมอก็มึนตลอด เอ็นดู๊ :m1:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.26]== [04/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 04-09-2018 21:52:03
ขำน้องปีโป้


ภามใจเย็นลูก

55555
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.26]== [04/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: theindiez ที่ 05-09-2018 01:01:46
ตอนแรกคิดว่าภามหึงพ่อน้อง ดูตอนหลังอีกทีอ้าวหึงน้อง นั่นมันเด็ก 5 ขวบนะภามต้องใจเย็น ๆ 555
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.26]== [04/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 05-09-2018 04:26:54
หึงเด็กได้สุด ๆ เลยนะภาม  ไว้วันหน้าถ้าน้องระกับน้องปีโป้มาโรงบาลพร้อมกัน ก็แนะนำให้รู้จักกันไปเลยนะ ภามนะ  :laugh:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.26]== [04/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: pui ที่ 05-09-2018 08:24:53
กับเด็กก็ไม่เว้นจ้าาาาาาาาาาา
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.26]== [04/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 06-09-2018 18:19:32
-27-



   ช่วงสามสี่อาทิตย์ที่ผ่านมาผมแทบจะกลายเป็นซากศพเดินได้ ทำงานล่วงเวลาแทบทุกวัน ไม่รู้ว่าทำไมเด็กๆ ไม่สบายกันเยอะนัก เพิ่งจะได้พักบ้างก็ไม่กี่วันมานี้เอง ผมไม่เคยรู้สึกขอบคุณภามมากขนาดนี้มาก่อน เพราะนอกจากจะมารับมาส่งทุกวันถ้าผมไม่มีเวรแล้ว อีกฝ่ายยังพาไปนอนคอนโดทุกครั้งที่รู้ว่าผมเหนื่อยจนอยากตื่นสาย ล่าสุดคือถึงขั้นเป็นคนโทรไปบอกแม่เองว่าผมจะนอนค้างที่คอนโดเขา ซึ่งก็ไม่รู้หรอกว่าไปคุยอีท่าไหนถึงได้เรียกกันเป็นคุณแม่กับคุณลูกไปแล้ว

“ภาม วันนี้ฉันไปงานเลี้ยงรุ่นนะ” ถึงจะไม่แน่ใจนักว่าทำไมต้องโทรบอก ทั้งๆ ที่ผมจะไปเลยหรือส่งไลน์ไปเฉยๆ ก็ได้ แต่สุดท้ายมือมันก็กดโทรศัพท์ไปเองแบบไม่มีเหตุผล

[งานเลี้ยงรุ่นเหรอ] ปลายสายพูดขึ้นมาด้วยน้ำเสียงแปลกใจ ผมได้ยินเสียงจ๊อกแจ๊กจอแจรอบกายเขา คิดว่าน่าจะยุ่งอยู่เหมือนกัน เพราะได้ข่าวว่ามีนิตยสารต่างชาติมาจ้างงาน เมื่อวานยังพูดอยู่เลยว่าขี้เกียจทำ แต่เพราะเป็นคนรู้จักของพี่เลยต้องรับ

“นายว่างอยู่หรือเปล่า เอาไว้ค่อยคุยไหม”

[สำหรับคุณผมว่างตลอด]

“ไม่ต้องมาพูดดี ไม่ได้อยู่ต่อหน้าฉันไม่รู้สึกอะไรหรอกน่า” ผมกลอกตาอยู่กับตัวเอง มือก็ตักข้าวที่ภามทำให้เข้าปากไปด้วย

[พูดแบบนี้คืออยากให้ไปหาหรือเปล่า]

“ไม่! ไม่ต้องเลยนะ!” ไม่ใช่แค่สะพรึงธรรมดา แต่ผมเกือบเขวี้ยงช้อนลงพื้นไปแล้ว

เมื่ออาทิตย์ก่อนก็คุยโทรศัพท์กันแนวๆ นี้ ไม่คิดว่าไอ้บ้านั่นจะมาจริงๆ แล้วไม่ได้มาธรรมดา ลากเอาคนงานที่กองมาด้วย เพราะต้องมาอ้อนวอนช่างภาพคนดังให้กลับไปทำงาน ซึ่งคนหน้าปลาตายก็ไม่คิดสนใจ เดินเข้ามาหาผมที่ถือช้อนกินข้าวค้างไว้แล้วบอกว่า ‘ผมมาแล้ว’ หน้าตาเฉย

ผมมารู้จากภามเอาทีหลังว่าเขาก็พักกองอยู่เหมือนกัน ไม่ได้หนีงานมาหรืออะไร แต่เพราะที่นี่ไกลมากทางทีมงานเลยพยายามรั้งไว้ กลัวว่าจะกลับไปไม่ทัน กลายเป็นว่าขากลับใช้เวลาแค่ยี่สิบนาทีเพราะไอ้คนบ้ามันเหยียบมิด ได้ข่าวว่าทีมงานที่ตามมาด้วยถึงขนาดอ้วกแตกอ้วกแตน แทบจะหามส่งโรงพยาบาลกันเลยทีเดียว

แค่คิดก็ปวดหัวตุบๆ แล้ว...

[แล้วสรุปว่าคุณจะไปงานเลี้ยงรุ่นกับเพื่อนเหรอ]

“ใช่” ผมดึงสติกลับมาแล้วตอบเขาไปตามตรง “เกือบลืมเหมือนกันเพราะรับปากเพื่อนไว้ตั้งแต่เดือนก่อน ถ้ามันไม่ไลน์มาตามฉันคงเบี้ยวไปแล้วแน่ๆ”

[วันนี้ผมน่าจะเลิกช้า...]

“ไม่เป็นไร ร้านอยู่ใกล้นิดเดียว นั่งรถไปสามป้ายก็ถึงแล้ว”

ปกติถ้าภามเลิกงานช้ากว่า ผมมักจะดูแลคนไข้รอไปเรื่อยๆ อยู่แล้ว เพราะมันเป็นงานที่ไม่มีหมดมีสิ้น ตราบเท่าที่มีแรงอยู่ก็สร้างประโยชน์ได้เรื่อยๆ แต่เขาก็ไม่เคยมาช้าเกินสองทุ่ม ผมเลยเดาว่านั่นน่าจะเป็นกรอบเวลาของเขา

[คุณจะนั่งรถเมล์ไปเหรอ]

“เหอะ...ระดับนี้ แท็กซี่สิรออะไร” คนขี้เกียจอย่างผมเนี่ยเหรอจะรอรถเมล์ให้เมื่อยตูดเมื่อยขา ไม่มีทางหรอก

[ส่งโลเคชั่นร้านมาด้วย เดี๋ยวไปรับ จะกลับกี่โมง]

“น่าจะสามทุ่มกว่า แต่เดี๋ยวฉัน...”

[ไว้เจอกัน]

เผด็จการเป็นบ้า ตัดบทเสร็จเรียบร้อยแล้วก็ชิ่งหนีไปเฉยเลย ผมมองโทรศัพท์ที่ถูกตัดส่ายไปหน่ายๆ ไม่ได้คิดจะโทรกลับไปเถียงอะไรให้มากความ เพราะถ้าภามยินดีมารับ มันย่อมสบายกว่าหารถกลับเองอยู่แล้ว แถมยังไม่รู้ด้วยว่าวันนี้จะโดนอะไรบ้าง เบี้ยวนัดมาได้ตั้งหลายปี ถ้าพวกมันไม่เล่นผมเละสิแปลก

การทำงานในวันนี้ผ่านไปเร็วเกินคาด อาจเพราะคนไข้บุกมาช่วงเช้ากันหมด กว่าจะหมดคิวเล่นเอาปวดหลัง ได้กินข้าวตอนบ่ายสองโมง พอช่วงบ่ายหายหมด ผมขึ้นไปตรวจเด็กๆ แค่แป๊บเดียวก็หมดเวลาแล้ว คุณพยาบาลเองก็รู้ดีว่าผมจะไปไหน ตอนเล่าให้ฟังนี่ทำหน้าตาตื่นตระหนกกันยกใหญ่ พี่แจนถึงขั้นแกล้งทำเหมือนจะร้องไห้ บอกว่าในที่สุดผมก็ยอมไปเจอเพื่อนบ้างแล้ว

“เดี๋ยวรอนุ่นมาเปลี่ยนแป๊บนึงแล้วคุณหมอติดรถไปด้วยกันนะคะ” พี่แจนหันมาบอกผมอย่างใจดี

“ผมไม่เกรงใจหรอกนะ ขอบคุณมากครับพี่แจน”

จู่ๆ ก็ไม่ต้องไปเรียกแท็กซี่ สบายจริงๆ

“แหมคุณหมอ อย่างน้อยถามสักนิดไหมคะว่าพี่จะไปแถวนั้นหรือเปล่า”

“พี่ยังไม่ชินกับความไร้มารยาทของผมอีกเหรอ” ผมหัวเราะเบาๆ ขณะยกกระเป๋าขึ้นพาดบ่า “ผมรักสบายจะตายไป ขอแค่ทำให้ตัวเองสบายขึ้น จะอะไรก็โอเคทั้งนั้นแหละครับ”

“เพราะแบบนี้เองถึงได้มีคนมารับทุกวัน คิกๆ” คนพูดหัวเราะคิกคัก ทำเอาผมหุบยิ้มแทบไม่ทัน เผลอไม่ได้เลย ต้องลากเข้าเรื่องที่เกี่ยวข้องกับภามตลอด ดูเหมือนนอกจากจะกลายเป็นลูกรักของแม่ทั้งที่ไม่เคยเจอหน้ากันแล้ว เขายังกลายเป็นที่รักของคนในแผนกผมแทบทุกคนด้วย

“พอเลยๆ” ผมโบกมือไปมาเพื่อให้พี่แจนหยุดดึงออกนอกเรื่อง “ที่ไม่ถามเพราะผมจำได้อยู่หรอกน่าว่าบ้านพี่อยู่แถวนั้น”

“ค่า ไม่พูดแล้วค่ะคุณหมอ”

หลังจากนั่งรอพี่นุ่นอยู่ไม่นานนัก เธอก็เดินเฉิดฉายมาแต่ไกล พี่แจนเลยได้เวลาไปเก็บข้าวของ พาผมตรงไปที่รถเก๋งคันเล็กของเธอเพื่อเดินทางต่อไปยังร้านอาหารที่ผมนัดกับเพื่อนไว้ ตอนแรกผมคิดว่าตัวเองเลิกเร็ว อาจจะไปถึงทันเวลาหกโมงที่พวกมันนัดกันไว้ แต่ไปๆ มาๆ ก็เหมือนเดิม ทำงานลากยาวมาจบที่หกโมง กว่าจะได้ออกมาก็หกโมงครึ่งแล้ว

“โชคดีนะคะที่นัดร้านนั้น ขืนนัดไกลๆ กว่าคุณหมอจะไปถึงก็คงมืดค่ำแล้ว” พี่แจนพูดขึ้นมาเมื่อเราผ่านพ้นช่วงไฟแดงนรกมาได้

“นั่นสิครับ ตอนแรกผมยังคิดว่าวันนี้จะได้เลิกเร็วกว่านี้อยู่เลย”

“คุณหมอก็ลืมวันลืมเวลาแบบนี้ตลอดแหละ แต่ก็แปลกน้า...ขนาดทำงานจนเพลิน คนที่มานั่งรอบ่อยๆ ยังไม่เคยบ่นอะไรเลยสักคำ” คุณคนขับรถหัวเราะแซวอีกรอบ เป็นเวลาเดียวกันกับที่รถเลี้ยวเข้าไปในเขตร้านอาหารพอดี

“พาผมลากเข้าเรื่องนี้ตลอดเลย”

“ก็น้องเขาน่ารักนี่คะ”

“ไม่คุยด้วยแล้ว...ขอบคุณมากนะครับพี่แจน”

“ไว้เจอกันพรุ่งนี้ค่ะ”

ผมยิ้มให้พี่แจนอีกครั้งเป็นการขอบคุณ ก่อนจะออกไปยืนอยู่ด้านนอก รอจนรถคันเล็กขับออกไปจากเขตร้านแล้วผมถึงได้หันกลับมาเดินต่อ พร้อมกับหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดส่งโลเคชั่นให้คุณชายด้วย

ร้านอาหารกึ่งร้านคาราโอเกะแห่งนี้เป็นร้านที่มีหลายส่วน ด้านหน้าสุดที่ผมยืนอยู่เป็นร้านอาหารทั่วไป ด้านในมีการแสดงดนตรีสด ให้อารมณ์ชิวๆ มากกว่าจะเหมือนบาร์ ถึงอย่างนั้นก็ยังมีคนเต้นอยู่ที่ฟลอร์เป็นจำนวนมาก ผมเดินผ่านร้านเข้าไปด้านใน ทะลุออกไปยังพื้นที่ด้านหลังซึ่งมีโดมกระจกขนาดใหญ่ตั้งอยู่สองโดม มีโดมหนึ่งว่างเปล่าไม่มีคนใช้งาน ส่วนอีกโดมปิดม่านทึบ ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ก็ยิ่งได้ยินเสียงดนตรีตึงตังดังขึ้นเรื่อยๆ

‘งานเลี้ยงรุ่นxxx’

พอเห็นป้ายหน้าโดมแล้วผมก็ได้แต่ยิ้มจาง นานแล้วที่ไม่ได้มาร่วมงาน ไม่ได้มาเจอเพื่อนเลย ทั้งๆ ที่พวกมันก็มารวมตัวกันทุกปี ไม่รู้ว่านอกจากไอ้ปาล์มที่เป็นคนชวนแล้วยังจะมีใครจำผมได้อีกหรือเปล่า

“มึง!” เสีียงตะโกนดังลั่นจากเบื้องหลังทำเอาผมสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ ยังไม่ทันรู้ตัวว่าเกิดอะไรขึ้นคนพูดก็พุ่งเข้ามากอดแน่นๆ ตามด้วยตีไหล่แรงๆ อีกสองทีจนผมเกือบร้องโอดโอย “ไอ้เจได!”

“มึง...ไอ้ปาล์ม?” ผมมองหน้าเพื่อนสนิทสมัยมัธยมด้วยความไม่แน่ใจ เพราะไม่ได้เจอมาหลายปีเลยไม่คิดว่ามันจะเปลี่ยนไปขนาดนี้ ไอ้เด็กแว่นกวนตีนหลังห้อง บัดนี้แปลงร่างเป็นคุณครูที่ดูน่าเกรงขามไปแล้ว

“กูกำลังจะโทรไปตามมึงเลย กะว่าถ้ายังไม่ยอมมาอีกจะพาพวกไปลากถึงโรงพยาบาล” มันหัวเราะฮ่าๆ แล้วทำท่าจะตีไหล่กันอีกรอบ แต่คราวนี้ผมหลบทัน “ว่าแต่มึงตัวเล็กลงปะวะ ผอมฉิบหายเลย จำได้ว่าตอนเจอกันครั้งล่าสุดช่วงมหา’ลัยมึงยังมาอวดกล้ามให้กูดูอยู่เลยไม่ใช่เหรอ”

“นี่มันตั้งกี่ปีแล้ว” สมัยที่ยังหลงตัวเองมากกว่านี้ ใครเขาก็ต้องอยากอวดกันทั้งนั้น อุตส่าห์อดทนเล่นกีฬาเหนื่อยๆ จนพุงมีกล้ามเนื้อ ได้เจอเพื่อนทั้งทีก็ต้องอวดเป็นธรรมดา ถึงตอนนั้นผมจะได้เจอไอ้ปาล์มคนเดียวเพราะมันดันมาเดินเที่ยวงานมหา’ลัยโดยบังเอิญก็เถอะ

“ช่างเหอะ เข้าไปข้างในกันดีกว่า คนอื่นต้องตกใจแน่ที่เห็นมึงมา”

ปาล์มมันดันไหล่ผมให้เดินเข้าไปด้านในห้องมืดๆ ที่มีม่านปิดโดยรอบ นั่นทำให้ผมเห็นสภาพแวดล้อมด้านในที่ไม่ได้แตกต่างอะไรกับร้านเหล้าเลยสักนิด ทั้งเสียงเพลงจากการแสดงดนตรีสดบนเวที ทั้งลานเต้นด้านหน้าที่มีฝูงชนอยู่หลายสิบ ที่ดูปกติที่สุดน่าจะเป็นโซนด้านหลังซึ่งมีเก้าอี้กับโต๊ะอยู่หลายตัว น่าจะเป็นชุดรวมพลของแต่ละกลุ่ม เอาไว้ใช้นั่งกินเหล้ากัน

“นี่มันมากันหมดรุ่นเลยหรือไงวะเนี่ย” ผมหันไปถามไอ้ปาล์ม โชคดีที่บนเวทียังไม่ได้เล่นเพลงตึงตังเสียงดังมากจนคุยกันไม่รู้เรื่องเหมือนในร้านเหล้า

“ขาดไม่กี่คนจากทั้งชั้นปี หนึ่งปีมีสักที ใครมันก็อยากมาปลดปล่อยกันทั้งนั้น กูอุตส่าห์เลือกวันที่คนว่างตรงกันมากที่สุด” ไอ้ปาล์มยักไหล่แล้วเดินนำผมไปที่โซนด้านหลัง

อันที่จริงมันก็ไม่ได้แปลกอะไรหรอกที่เพื่อนแทบทุกห้องจะมารวมตัวกัน ในเมื่อคนริเริ่มอย่างไอ้ปาล์มมันเป็นพวกทั่วถึง รู้จักเขาไปทั่วตั้งแต่ห้องหนึ่งยันห้องสิบ ผมที่อยู่ในกลุ่มและเป็นหัวโจกเองก็ไม่ได้ต่างกันนัก ด้วยความที่เป็นคนหน้าตาดีมาแต่ไหนแต่ไรคนย่อมอยากเข้าหาอยู่แล้ว พอเห็นว่าพูดคุยง่ายเลยสนิทกันเข้าไปใหญ่

นี่พูดจริง ไม่ได้หลงตัวเองเลยสักนิดเดียว

“เฮ้ยๆๆ ใครมาวะนั่น”

“ว้าว...ไอ้ปาล์มลากใครมาว้า”

“โห คุณหมอที่ไหนมางานเลี้ยงของพวกกระผมครับเนี่ย”

เสียงนกเสียงกาดังขึ้นรอบโต๊ะเหล้าซึ่งน่าจะใหญ่ที่สุดในทุกกลุ่ม มีฝูงชนนั่งอยู่เกินสิบชีวิต และตอนนี้พวกมันล้วนจ้องหน้าผมเหมือนเห็นของประหลาด ต้องรอให้ผมผลักหัวไอ้ตัวที่นั่งทำหน้าตาเกินเหตุอยู่ด้านหน้าก่อนหนึ่งทีนั่นแหละ เสียงหัวเราะเฮฮาถึงได้ดังขึ้นอีกรอบ

“ฮ่าๆ ยินดีต้อนรับครับคุณหมอออ”

“หมอเจไดมางานด้วยเฮ้ยยย”

“กระผมดีใจจนจะร้องไห้แล้วเนี่ย”

“เงียบๆ ไปเลยพวกมึง” ผมชี้หน้าคาดโทษไอ้พวกเพื่อนเวรทั้งหลาย ดูแต่ละตัว หัวโล้น หน้าโทรม ตัวโตเป็นควายกันหมดแล้ว ยังจะพูดจาเป็นเด็กหัวเกรียนเหมือนสมัยเรียนมัธยมอีก

เพื่อนผู้ชายทุกคนที่นั่งอยู่โต๊ะนี้คือกลุ่มเพื่อนสนิทของผมตั้งแต่มัธยม จำได้ว่าสมัยนั้นเวลาไปไหนมาไหนก็ไปเป็นกลุ่มใหญ่ๆ ให้ความรู้สึกเท่สุดๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับตัวตั้งตัวตี ผู้ได้รับการสถาปนาเป็นหัวหน้าอย่างผม แค่คิดก็อยากขำแล้ว นี่ถ้าเอารูปภาพสมัยมัธยมมาเทียบกับรูปตอนนี้ เชื่อว่าทุกคนต้องมีขำกลิ้งกันแน่นอน ดูอย่างไอ้ปาล์มเป็นตัวอย่าง

“คืนนี้ไม่เมาไม่เลิกเว้ย!!” คนที่ได้ชื่อว่าเป็นครูผู้โหดเหี้ยม ทำให้ลูกศิษย์แสบๆ กลัวมาแล้วนักต่อนัก ตอนนี้เหมือนไอ้บ้าขี้เมาที่ต้องการปลดปล่อย ถ้าไม่บอกคงไม่มีใครรู้ว่ามันเป็นครูสอนสังคมฯ

“ไอ้เจได แดกๆๆ” เพื่อนที่นั่งข้างผมส่งแก้วเหล้ามาให้

“พวกมึงไม่ต้องเชียร์กูแดกเยอะนะ บอกไว้ก่อนว่าไม่ได้ผล” ผมรับแก้วมาแล้วเอ่ยดักทางเพื่อนที่จ้องมาตาเขม็ง

“ไรวะ นานๆ ทีนะมึง”

“พวกมึงลืมหรือไงว่ากูเป็นหมอ พรุ่งนี้ต้องไปทำงานอีก ไม่ว่ายังไงก็เมาค้างหรือมีกลิ่นติดไปไม่ได้” ยิ่งมีคนไข้เป็นพวกเด็กๆ แล้วผมก็ยิ่งต้องระมัดระวัง ไม่อยากให้พวกเขาเข้าใกล้แล้วบอกว่าได้กลิ่นเหล้า นอกจากพ่อแม่เด็กจะมองไม่ดีแล้ว มันยังเป็นผลเสียต่อตัวผมและคนไข้ด้วย

“เออๆ มึงผสมให้มันกินนิดๆ พอไอ้แฟรงค์ เพื่อนมึงเป็นหมอคนเดียวของรุ่นนะโว้ย” ไอ้ปาล์มที่เริ่มเมาตะโกนบอก คนอื่นๆ ที่ได้ยินเลยเออออตามไปด้วย พวกมันย่อมเข้าใจความจำเป็นของผมดี

“ว่าแต่มึงนี่เปลี่ยนเป็นคนละคนเลยนะไอ้เจได กูจำได้ว่าในคลิปประกวดเดือนอะไรสักอย่างสมัยมึงเรียนมหา’ลัยยังดูบ้าบออยู่เลยไม่ใช่เหรอวะ” เพื่อนที่นั่งอยู่ข้างไอ้ปาล์มเปิดประเด็น

“เออ เหมือนจะตัวเล็กลงด้วยปะเนี่ย ดูอ่อนแอกว่าเดิมเยอะเลยนะมึง หรืีอพอเป็นหมอแล้วเครียดจัดวะ”

“ประมาณนั้นแหละ” ผมตอบปัดๆ แบบไม่ใส่ใจ เพราะที่มันพูดมาก็ไม่ได้ต่างจากความเป็นจริงนัก

“มาๆ ปลดปล่อยเว้ย กูก็เครียดกับแปลนบ้านอยู่เหมือนกัน”

“อย่าว่าแต่มึงเลย กูนี่เพิ่งได้เลื่อนขั้นเป็นผู้จัดการเมื่ออาทิตย์ก่อน ปวดหัวฉิบหาย”

เสียงเพลงสนุกสนานจากบนเวทีเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นเพลงเศร้าช้าๆ พร้อมๆ กับที่หัวข้อสนทนากลายเป็นหัวข้อเกี่ยวกับหน้าที่การงาน คนแก่ทั้งหลายเริ่มบ่นนั่นบ่นนี่กันไม่มีหยุด มือหนึ่งกระดกเหล้าเข้าปาก อีกมือลูบหน้าลูบตาเหมือนจะร้องไห้ จบลงที่คำว่าเบื่องานฉิบหายแทบทุกราย

“มึงอะ เป็นไง”

“เหนื่อย” ผมตอบสั้นๆ แล้วยกโค้กขึ้นดื่ม “เกือบแย่ไปเหมือนกัน ช่วงหมดไฟแม่งโคตรน่ากลัว”

“แล้วมึงทำไงวะ” ไอ้แฟรงค์หันมาถามด้วยความสนอดสนใจ คนอื่นๆ เองก็เหมือนกัน อาจเพราะผมเป็นหมอคนเดียวในรุ่นด้วย พวกมันถึงได้อยากรู้เรื่องราวชีวิตมากเป็นพิเศษ

“ไปติดเกาะ”

“หา…” เสียงหาแทบจะดังลั่นขึ้นแบบพร้อมเพรียงกัน หน้าแต่ละตัวโคตรฮาจนผมอยากถ่ายรูปเก็บไว้

“ก็ไปเที่ยวไง พ่อกูออกใบลาให้หนึ่งเดือน”

“โห...ไอ้เด็กเส้น”

ผมหัวเราะสะใจเมื่อนานๆ จะได้อวดหน้าที่การงานของพ่อสักที คำว่าเด็กเส้นนี่ไม่ได้ยินมานานมาก จำได้ว่าช่วยมัธยมพวกเพื่อนเข้าใจว่าบ้านผมโคตรรวย ประมาณว่ามีพ่อเป็นผู้อำนวยการโรงพยาบาลน่าจะสบายไปทั้งชาติอะไรแบบนี้ มันเลยชอบเรียกกันว่าเด็กเส้นๆ

แต่แทนที่จะโกรธผมกลับชอบ เพราะมันไม่ใช่ความจริงไง...

รวยบ้ารวยบออะไร อยู่มหา’ลัยกินมาม่าบ่อยกว่าข้าวอีก พ่อผมเคยให้เงินเยอะๆ มาใช้ที่ไหน ขี้เหนียวสุดๆ ทำงานทำการก็หนัก ไม่มีเวลาเลยสักนิด ตรงไหนกันที่เรียกว่าสุขสบาย

“เฮ้ยๆ เด็กเก่ามึงนี่หว่า” ไอ้โอ๊ตที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามผมเอ่ยทัก พร้อมกับพยักพเยิดให้มองไปที่โต๊ะอีกฝั่งซึ่งมีผู้หญิงนั่งอยู่สี่ห้าคน หนึ่งในนั้นเป็นคนที่ผมรู้จัก

แต่จำชื่อไม่ได้...

“ชื่ออะไรนะ” ผมหันหน้าไปถามไอ้โอ้ต

“อะไร นี่มึงจำมิ้นไม่ได้เหรอ”

ไอ้จำได้มันก็จำได้อยู่หรอก...

“น้องมิ้นแฟนเก่ามึงไงไอ้หมอ” ไอ้ปาล์มหันหน้ามาตอบแทน “คนที่มาขอมึงคบตอนม.หกแล้วมึงก็ตอบตกลงไป จำไม่ได้หรือไง”

“นึกออกละ” พยักหน้าตอบพวกมันเสร็จแล้วผมก็เบนสายตาออกมาอย่างไม่ใส่ใจ ใช่ว่าผมเคยมีแฟนมาคนสองคนเสียเมื่อไหร่ จะให้จำได้ทุกคนคงเป็นไปไม่ได้ แล้วก็อย่างที่บอก...ผมไม่ได้จริงจังอะไรมาก ไม่ใช่ว่าไม่พยายาม แต่มันไม่ใช่จริงๆ อีกอย่างคือพวกเธอเป็นฝ่ายเข้ามาหาก่อนด้วย สำหรับผมถ้าคิดว่าอยากลองก็ตอบตกลงหมด แต่เพราะไม่เคยทำอะไรเสียหายกันอยู่แล้วเลยไม่มีปัญหาตามมา

นอกจากภามแล้วผมเคยนอนบนเตียงเดียวกันกับใครที่ไหน...เรื่องที่มากกว่านั้นนี่ไม่ต้องพูดถึงเลย

“อะไรวะ ผู้หญิงมองซะขนาดนั้น มึงไม่สนใจเลยหรือไง” เพื่อนอีกคนในกลุ่มถามด้วยความแปลกใจ “หรือว่ามึงมีแฟนแล้ว”

“ยัง”

“งั้นก็มีคนที่ชอบแล้ว” ไอ้ปาล์มแสยะยิ้มถามตรงจุด

“…” ผมเงียบ ไม่ได้ตอบอะไร เพราะในใจก็ถามตัวเองอยู่เหมือนกัน

“เงียบแสดงว่าใช่ว่ะ แล้วมึงสารภาพรักไปยัง”

“…”

“มึงแม่งอ่อน...”

“ขอโทษนะ” เสียงพูดแทรกที่่เหมือนจะช่วยชีวิตผมไว้พอดีดังขึ้น พร้อมๆ กับที่เสียงรอบโต๊ะเงียบลงจนหมด เพราะทุกคนต่างพากันมองไปยังเจ้าของเสียงหวานไม่คุ้นหู

เธอคือแฟนเก่าที่ผมจำชื่อไม่ได้นั่นเอง

“มีอะไรหรือเปล่ามิ้น”

ผมเกือบหลุดขำออกมาเสียงดังเมื่อเห็นไอ้แฟรงค์เก๊กเสียงหล่อ ดีที่ยั้งไว้ทันเพราะเห็นเธอมองมาทางนี้พอดี ไม่งั้นไอ้เพื่อนขี้ม่อของผมคงขายหน้าแย่ ไม่คิดว่าผ่านมาเป็นสิบปีแล้วมันจะยังขี้ม่อไม่เปลี่ยน

“เราอยากขอคุยกับเจไดน่ะ...” สาวสวยในชุดรัดรูปพูดยิ้มๆ ท่าทางมั่นใจของเธอทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ หากยังไม่ทันได้พูดอะไรไอ้เพื่อนทั้งหลายก็พร้อมใจกันลุกพรึบ

“กูไปเต้นละ”

“กูไปแดกกับพวกไอ้โอมดีกว่า”

“กูไปสูบบุหรี่”

สารพัดคำโกหกดังออกมาอย่างต่อเนื่อง ก่อนคนเกือบยี่สิบคนจะแยกย้ายกันไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ผมเผชิญหน้าอยู่กับสาวมั่นสองคน ไม่นับเพื่อนสามสี่คนที่นอนฟุบไปแล้วนะ

“ไม่ได้เจอกันนานเลยนะเจ”

“อา” ผมพยักหน้ารับนิ่งๆ ไม่ได้มีท่าทีอะไรเมื่อเห็นเธอทรุดตัวนั่งลงด้านข้าง แม้จะเริ่มคาดเดาอะไรได้รางๆ แล้วก็ตาม

“เราได้ข่าวว่าเจเป็นหมออยู่ที่โรงพยาบาลxx...”

“อือใช่”

ไม่รู้ว่าคำตอบของผมมันแปลกตรงไหนเหมือนกัน หญิงสาวข้างกายถึงได้ยิ้มกว้าง มือหยิบแก้วเหล้าของผมไปผสมให้อย่างคล่องแคล่ว

“ดีจังเลยนะ ทั้งมีอนาคต ทั้งสบาย แถมยังมั่นคงมากด้วย”

“ก็...ไม่ขนาดนั้นหรอก” มีอนาคตอะไรกัน ผมเกือบท้อแท้กับชีวิตไปแล้ว แต่ก็ไม่แปลกหรอกที่คนนอกจะไม่เข้าใจ พวกเขาคงคิดว่าอาชีพหมอมีแต่ข้อดี ไม่เคยได้มาเห็นเบื้องหลังว่าเราเหนื่อยกันขนาดไหน

“นี่จ้ะ” มิ้นส่งแก้วเหล้าที่เธอผสมมาให้ ผมรับมาอย่างเสียมิได้แต่ก็ไม่ได้ยกขึ้นดื่มหรืออะไร แค่เอามาแตะปากพอให้รู้ว่าเธอผสมเหล้าลงไปเยอะขนาดไหนก็เท่านั้น นี่มันกะให้เมาชัดๆ... “ดื่มเลยจ้ะ ถ้าเจกลับไม่ไหว เดี๋ยวเราพากลับเอง”

“ไม่ได้หรอก พรุ่งนี้ต้องไปโรงพยาบาลอีก” ผมปฏิเสธโดยใช้เหตุผล มือดันแก้วออกห่างจากตัวให้ได้มากที่สุด แต่แค่ไม่กี่วินาทีมันก็กลับมาอยู่ตรงหน้าอีกครั้งด้วยฝีมือของคนข้างกายที่เหมือนจะขยับเข้ามาใกล้ขึ้นเรื่อยๆ

“นิดเดียวน่า ไม่เป็นไรหรอก” เธอวางมือลงบนแขนผมอย่างถือวิสาสะ “ช่วงนี้เรารู้สึกปวดๆ ตัวยังไงไม่รู้ ถ้ายังไง...เจช่วยดูให้เราหน่อยได้ไหม หรือจะกลับไปดูที่ห้องก็ได้นะ”

เหมือนจะมีคนพูดไม่รู้เรื่อง...

“ไปให้หมอเฉพาะทางตรวจเถอะ” คล้ายว่าใบหน้าสะสวยของคนฟังจะบูดเบี้ยวลงชั่วขณะหนึ่ง แต่เพียงแค่แวบเดียวเธอก็กลับมาเกาะแขนผมได้อีกครั้ง

“ไม่เป็นไรจ้ะ เจดื่มหน่อยเถอะนะ มิ้นอุตส่าห์ชงให้ทั้งที นะ...”

พอโดนคะยั้นคะยอมากเข้าผมก็เริ่มหงุดหงิดอยู่ในใจนิดหน่อย ตากวาดมองไปโดยรอบเพื่อดูว่าเมื่อไหร่เพื่อนคนอื่นจะโผล่หัวมาสักทีแต่ก็ยังไม่มีวี่แวว สุดท้ายคนข้างกายก็ยกแก้วขึ้นมาแนบติดริมฝีปาก พูดคำหวานออเซาะแสนน่ารำคาญไม่หยุด จนผมเผลอดื่มไปสองอึกก็แทบอ้วก เพราะตั้งแต่ดื่มช่วงกลับจากเกาะวันนั้นก็ไม่ได้แตะเหล้าอีกเลย ช่วงที่เพื่อนยังไม่ลุกไปก็กินแบบผสมไปเยอะแล้วด้วย นี่มาแบบเต็มปากเต็มคำ เหล้าเพียวเลยหรือเปล่าก็ไม่รู้

ครืด ครืด

“พอแล้ว” ผมรีบดันมือมิ้นออกแล้วหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู ชื่อที่ปรากฏบนหน้าจอทำให้ความหงุดหงิดใจจางหายไปได้บ้าง หากยังไม่ทันกดรับ หญิงสาวข้างกายก็ทำในสิ่งที่ผมไม่คาดคิด โดยเอายื่นมือมาดึงโทรศัพท์ออกไปกดวางหน้าตาเฉย

และมันก็ทำให้เส้นความอดทนของผมขาดสะบั้นลง...

“เจ…”

“พอสักที!” ไม่รู้ว่าคำพูดของผมมันดังและแข็งกร้าวขนาดไหน แต่เมื่อประกอบกับเสียงแก้วเหล้าสองสามใบหล่นลงพื้นเพราะผมลุกขึ้นยืนอย่างฉับพลันจนโต๊ะสั่น ก็อาจเรียกได้ว่าเป็นเสียงที่ดังพอควร

ดังพอจะดึงความสนใจของทุกคนมาได้...ดังจนทำให้เสียงดนตรีและเสียงพูดคุยกลายเป็นความเงียบสงัด

“เจ…” ผู้หญิงที่เคยได้ชื่อว่าเป็นแฟนเก่าของผมยืนทำหน้าตกใจอยู่ด้านข้าง คงคาดไม่ถึงว่าจะถูกลุกขึ้นตวาดใส่ แต่นาทีนี้ผมไม่มีอารมณ์มาสนใจหน้าใครทั้งนั้น

เพราะเธอกล้าทำในสิ่งที่ผมไม่เคยคิดทำมาก่อน...

ทำไมถึงกล้าตัดสายภาม

“ผมไม่รู้ว่าคุณเข้ามาคุยกับผมเพื่ออะไร จะบอกว่าผมเคยทำให้คุณเจ็บก็ไม่น่าใช่ ในเมื่อตอนที่เราคบกันคุณก็แค่อยากควงเพราะเห็นผมหน้าตาดี ถ้าคุณชอบผมจริงอย่างที่พูดตอนมาขอเป็นแฟน คุณคงไม่ไปคบซ้อน พอโดนจับได้ก็มาขอเลิกเองเพื่อรักษาหน้า”

“…”

“ถ้าคุณเข้าหาผมอีกรอบแค่เพราะอยากมีแฟนเป็นหมอ ผมแนะนำให้ไปหาคนอื่นดีกว่า” ผมสูดหายใจเข้าจนสุดเพื่อควบคุมความหงุดหงิดในใจ “รู้ไหมว่ามันไม่ได้ทำให้ตัวเองดูดีขึ้นเลย ถ้าคุณแค่พยายามเข้าหา เพียงเพราะอยากเอาผู้ชายไปควงอวดใครๆ ว่าตัวเองมีแฟนเป็นหมอ”

“คือ...” มิ้นหน้าซีด หันซ้ายหันขวามองคนรอบข้างเลิ่กลั่ก คงไม่คิดว่าผมจะกล้าพูดตอกหน้าเธอถึงขนาดนี้

“คุณพยายามจะมอมเหล้าผม ผมไม่ว่า...แต่อย่ามากดตัดสายของคนอื่นอีก มันไร้มารยาท”

จากที่อารมณ์กำลังดีๆ เนื่องจากได้เจอเพื่อนเก่า กลับกลายเป็นถูกดูดออกไปหมดเพราะคนคนเดียว ผมไม่เคยดูถูกผู้หญิงที่เข้าหาผู้ชายก่อน แต่ผมไม่ชอบการกระทำของเธอที่พอเห็นผมไม่เล่นด้วยแล้วยังกล้าขยับข้ามขั้น พยายามให้กินเหล้าทั้งที่อธิบายเหตุผลแล้วยังไม่เท่าไหร่ แต่ถึงขนาดกดตัดสายโทรศัพท์ของคนที่โทรเข้ามานี่คงไม่ไหว

ไม่ต้องพูดถึงว่าเป็นภาม เพราะต่อให้เป็นคนอื่นก็ไม่ควรทำ ถ้ามันมีเรื่องด่วนที่เกี่ยวข้องกับชีวิตจะทำยังไง

“ไอ้หมอ” เฟย์ เพื่อนผู้หญิงคนเดียวในกลุ่มเดินหน้าเครียดเข้ามาหา เมื่อเห็นผมหยิบกระเป๋ามาจากเก้าอี้แล้วสะพายขึ้นบ่า เดินตรงไปหามันที่อยู่แถวทางออกพอดี

“พวกมึงสนุกต่อเลย กูกลับดีกว่า พรุ่งนี้ต้องไปทำงานด้วย” ผมตบบ่าเพื่อนเป็นเชิงบอกว่าไม่เป็นไร หันไปพยักหน้าให้ไอ้ปาล์มที่ยืนอยู่ไม่ไกลอีกทีก็เดินออกไปด้านนอก


(ต่อด้านล่าง)
.
.
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.26]== [04/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 06-09-2018 18:19:49



พออยู่ในที่ที่ไม่มีเสียงรบกวนแล้วถึงได้หยิบโทรศัพท์ออกมากดดูอีกครั้ง ภามไม่ได้โทรเข้ามาอีก แต่มีข้อความในไลน์เด้งขึ้นมาแทน

asdf: กำลังไป

ดูเหมือนการที่มิ้นถือวิสาสะกดตัดสายจะทำให้คนคนหนึ่งร้อนรนโดยไม่รู้ตัว ผมได้แต่ส่ายหน้ายิ้มๆ เมื่อเห็นนาฬิกาที่บอกเวลาสองทุ่มครึ่ง เพราะมันยังไม่ถึงช่วงเวลาที่นัดไว้เลยด้วยซ้ำ ท่าทางอีกฝ่ายต้องเหยียบมิดแน่ๆ คิดได้ดังนั้นผมเลยเดินออกไปด้านนอน หาที่ยืนรออยู่ใต้ต้นไม้แถวลานจอดรถ

ไม่ถึงสิบนาทีรถออดี้คันหรูก็พุ่งเข้ามาจอด เจ้าของรถเปิดประตูเดินลงมาด้วยใบหน้านิ่งสงบ แต่ผมกลับมองเห็นความลนลานที่ซ่อนอยู่ใต้ท่าทีของเขา ไม่รู้ว่าทำไมการได้เห็นหน้าภามถึงทำให้อารมณ์บูดๆ ของตัวเองฟื้นฟูขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว ผมยังคงยืนอยู่ที่เดิม เฝ้ามองอีกคนยกโทรศัพท์ขึ้นกดเงียบๆ ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ตัวเองขึ้นมาดู

asdf: อยู่ไหน

asdf: ผมมาถึงแล้ว

ภามยิ่งขมวดคิ้วมุ่นเข้าไปใหญ่ น่าจะเป็นเพราะเห็นผมอ่านแต่ไม่ตอบ คราวนี้เขากดโทรเข้ามา ใบหน้าแปรเปลี่ยนเป็นเคร่งเครียดขณะกวาดสายตาไปโดยรอบ เหมือนเตรียมตัวจะวิ่งเข้าไปด้านในแล้วถ้าไม่เห็นผมเดินออกไปเสียก่อน

“เป็นอะไรหรือเปล่า” คนตัวสูงวิ่งเข้ามาหา จับตัวผมพลิกไปมาเป็นหมูปิ้ง แม้แต่น้ำเสียงก็ดูเป็นกังวลไม่น้อย

“งานเสร็จแล้วเหรอ” ผมถามกลับทั้งที่ยังจ้องหน้าภามอยู่ ในใจรู้สึกแปลกๆ เมื่อเห็นว่าคำถามแรกที่ออกจากปากเขาไม่ใช่การถามว่าทำไมตัดสาย มันทั้งทำให้อบอุ่นใจและรู้สึกผิดไปพร้อมๆ กัน

“เหลือแต่งภาพ ผมรับปากว่าจะทำให้เสร็จคืนนี้ แต่ขอออกมาก่อน” เขาพูดพลางขมวดคิ้ว เหมือนจะขัดใจที่เห็นผมไม่ตอบคำถามอยู่เหมือนกัน “เรื่องของผมช่างมันเถอะ คุณน่ะเป็นอะไรหรือเปล่า”

ช่างมันได้ยังไงเล่า...เจ้าบ้า

“ไม่เป็นไรแล้ว” ถึงจะตอบไปแบบนั้น แต่คนถามก็ยังไม่คลายสีหน้าเคร่งเครียดลง ผมเลยตัดสินใจจับมือเขาไว้ พาเดินไปที่รถ จวบจนขึ้นมาด้านบน เห็นภามสตาร์ทเครื่องแล้วถึงได้พูดออกมาช้าๆ “ฉันไม่ได้ตัดสายนาย”

“…” ภามเหลือบตามองผมเล็กน้อยโดยไม่ได้พูดอะไร เขาหันหน้ากลับไปตั้งใจขับรถเหมือนเดิม

“แฟน…”

เอี๊ยด!

แรงกระตุกของรถที่ถูกเบรกกะทันหันทำเอาผมหน้าทิ่ม โชคดีที่คาดสายทัน เกือบหัวโขกแล้วไง

“เบรกกะทันหันทำไมเนี่ย!” ผมหันไปผลักแขนภาม ใจเต้นตุ้มๆ ต่อมๆ จนแทบหลุดออกมาจากอกด้วยความตกใจ ขยันทำให้ใจเต้นแรงเหลือเกิน ไม่ด้วยคำพูดก็การกระทำที่เกือบทำให้ผมเจ็บตัวนี่แหละ

“คุณพูดให้จบ” เสียงเย็นเยียบของคนขับรถเอ่ยขึ้นโดยไม่สนใจตอบคำถามของผม เขาเอาแต่จ้องด้วยแววตาวาวโรจน์ ทำท่าเหมือนจะเข้ามาหักคอกันจนผมต้องรีบพูดให้จบ

“แฟนเก่าเข้ามาวุ่นวาย เธอเป็นคนกดตัดสายนาย”

“แฟนเก่า?”

“ใช่ ไม่มีรีเทิร์นแน่นอน คบตั้งแต่มัธยมเพราะเธอมาบอกว่าชอบ ฉันมันพวกอะไรก็ได้เลยลองดู ไม่คิดเหมือนกันว่าจะได้กลับมาเจอกันอีก นี่ก็มานั่งเบียดบังคับให้กินเหล้าแล้วยังชวนเข้าห้องด้วย...แต่ฉันไม่ได้สนใจนะ”

ไม่ได้ร้อนตัวอะไรเลย...นี่แค่พูดความจริง ไม่ชอบให้ใครเข้าใจผิดเฉยๆ

“อา…” ภามยกมือขึ้นลูบหน้าตัวเอง ก่อนจะเริ่มออกรถอีกครั้งท่ามกลางความหวาดกลัวของผม ไม่รู้ถ้าพูดอะไรออกไปอาการจะกำเริบอีกหรือเปล่า “เล่ามาให้หมด”

“ถึงห้องก่อนเถอะ...”

“ก็ได้”

ผมแอบมองคนที่ตั้งอกตั้งใจขับรถเหมือนอยากให้ถึงคอนโดไวๆ แต่ก็ไม่ยอมขับเร็วเพราะรู้ว่าผมกลัวเป็นระยะ เห็นหน้าตานิ่งๆ กับคิ้วที่ขมวดน้อยๆ ของเขาแล้วก็ได้แต่ลอบหัวเราะอยู่ในใจ

“ทำเหมือนคนที่จับได้ว่าแฟนตัวเองไปคุยกับแฟนเก่า...” อดพึมพำกับตัวเองไม่ได้เมื่อเห็นท่่าทีของเขา “อย่างกับหึง”

“เข้าใจถูกแล้ว”

ไอ้คนหูดี...

“…”

“แล้วคุณล่ะ”

“ฉันทำไม” ผมหันไปมองหน้าภามด้วยความงุนงง ยังไม่ทันได้ใจเต้นก็โดนดึงอารมณ์กลับมาเฉยเลย

เอาเถอะ...ยังไงมันก็เป็นเรื่องดีนั่นแหละ

“ที่คุณอธิบายมามากมาย พยายามไม่ให้ผมเข้าใจผิด...”

“…”

“แบบนั้นเรียกว่าอะไร”

ไม่ดีละ...หนักกว่าเดิมอีกนี่หว่า!



———————-
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.27]== [06/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: killua1a ที่ 06-09-2018 19:44:56
เป็นผู้หญิงแบบนี้ก็น่ารำคาญนะ​  :z6:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.27]== [06/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 07-09-2018 03:47:27
ฝากแฟรงค์รายงานกลับมาด้วย นังชะนีเป็นไงบ้าง  o12
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.27]== [06/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: pui ที่ 07-09-2018 12:44:12
 o13 o13 o13
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.27]== [06/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 08-09-2018 19:04:18
-28-

   

สี่ทุ่มแล้ว...

ผมเงยหน้าขึ้นจากนาฬิกาข้อมือ แอบนวดแขนที่ปวดเมื่อยของตัวเองเบาๆ ขณะมองไปยังประตู เผื่อว่าจะเห็นเงาร่างของคุณสารถีโผล่มาเสียที นี่ก็เริ่มไม่ไหวแล้วด้วยเพราะเข้าเวรมาตั้งแต่เมื่อวาน เท่ากับไม่ได้นอนมาสามสิบกว่าชั่วโมงแล้ว ปกติพอเลิกงานผมจะรีบกลับไปสลบ แต่เพราะเดี๋ยวนี้มีคนมารับมาส่งเลยเคยชินกับการรอมากกว่า ไม่บ่อยครั้งนักที่ภามจะมาช้า

แต่วันนี้แปลก...เพราะเขาไม่เคยช้าขนาดนี้มาก่อน อย่างมากก็แค่สองทุ่มเท่านั้น

“คุณหมอ ยังไม่กลับอีกเหรอคะ” เสียงคุณพยาบาลทำให้ผมหลุดจากภวังค์ เธอเดินเข้ามาถามด้วยความเป็นห่วง คงเพราะเห็นหน้าตาอ่อนล้าของผม

“จะไปแล้วครับ พรุ่งนี้เจอกันนะ”

“กลับบ้านดีๆ นะคะ”

พอคิดได้ว่าขืนยังนั่งอยู่ตรงนี้คงหลับไปโดยไม่รู้ตัวแน่ๆ ผมเลยตัดสินใจเดินลงไปด้านล่าง เข้าไปนั่งรออยู่ในร้านกาแฟที่เปิดยี่สิบสี่ชั่วโมง ตอนนี้นอกจากพนักงานก็แทบไม่มีใครเหลืออยู่เลย ผมสั่งกาแฟแล้วเอาโทรศัพท์ออกมากดส่งไลน์บอกภามว่ารออยู่ที่นี่ ข้อความขึ้นว่าอ่านแล้วแทบจะทันทีที่กดส่ง มองอยู่นานหลายนาทีจนมั่นใจว่าภามคงไม่ตอบถึงเก็บโทรศัพท์ หันมาดูดกาแฟเข้าไปอึกใหญ่แล้วฟุบลงกับโต๊ะแบบเพลียๆ

เมื่อตอนกลางวันภามทักมาบอกผมว่าวันนี้เขาน่าจะเลิกช้า อีกทั้งกองถ่ายยังอยู่ไกลพอควรด้วย ให้ผมกลับไปก่อนได้เลย จะกลับบ้านหรือกลับคอนโดก็ได้เพราะผมมีคีย์การ์ดห้องเขาอยู่แล้ว แต่ตอนนั้นด้วยความที่คิดว่ารอก็ไม่เห็นเป็นไร ยังไงก็ไม่เกินสองทุ่ม บวกกับที่ผมประเมินแล้วว่าน่าจะเหนื่อยเกินกว่าจะกลับบ้านเอง เพราะงั้นเลยบอกว่าจะรอ คุยกันไปคุยกันมาสุดท้ายภามก็บอกว่าจะรีบมาให้ไวที่สุด

แต่สี่ทุ่มนี่ดึกเกินไปหรือเปล่านะ...คงไม่ได้มีปัญหาอะไรใช่ไหม

ครืด

ผมรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมาดู เป็นภามที่ไลน์เข้ามาบอกว่ารออยู่ข้างนอก เห็นแล้วผมก็รีบคว้าแก้วกาแฟกับกระเป๋า เดินไวๆ ออกไปด้านนอกร้านเพราะไม่อยากให้เขารอนาน รถออดี้คุ้นตาจอดอยู่ด้านข้าง มีเงาร่างสูงใหญ่ของคนที่ผมกำลังรออยู่ยืนพิงประตูข้างคนขับ จ้องเขม็งมาทางนี้โดยไม่ละสายตา

หน้าเข้มมาเลย...

“เอ่อ...”

“รีบขึ้นรถ” ภามพูดแค่นั้นแล้วหมุนตัวเดินไปประจำที่ ปล่อยให้ผมเกาหัวงงๆ มองตามท่าทีน่ากลัวของเขาด้วยความไม่เข้าใจ แม้จะออกรถมาได้สักพักแล้วเขาก็ยังทำหน้ายุ่งอยู่ ดูสิ คิ้วขมวดจนไม่รู้จะขมวดยังไงแล้ว

ในระหว่างที่ยังอยู่บนรถเราไม่ได้พูดคุยกันเลย ผมเองก็เหนื่อยและเพลียมากเกินไปหน่อย จะมีสะดุ้งบ้างก็ตอนที่อีกคนเอื้อมมือมาคว้าแก้วกาแฟแล้วโยนออกไปนอกรถ ตกลงในถังขยะข้างทางได้อย่างแม่นยำนั่นแหละ

หลังจากถึงคอนโดภามแล้วผมก็รีบวิ่งเข้าไปอาบน้ำทันที เสร็จแล้วค่อยออกมากินข้าวที่คุณพ่อครัวทำให้ ปิดท้ายด้วยการเข้าไปแปรงฟันเตรียมตัวนอน หากวันนี้กลับไม่เหมือนทุกวัน ภามไม่ได้ตามผมเข้ามา เขายังนั่งอยู่ที่โซฟาด้านนอก

แล้วคนที่ไม่เคยชินกับการนอนที่นี่คนเดียวจะหลับได้ยังไง...

“ภาม…” ผมเรียกคนที่ยังนั่งนิ่งไม่ขยับเบาๆ ยิ่งเดินเข้าไปใกล้ก็ยิ่งเห็นสีหน้าที่ไม่ได้ราบเรียบเหมือนปกติของเขาชัดเจนขึ้น ภามไม่ได้นั่งดูทีวี ทำงาน หรือกดโทรศัพท์อะไร เขาแค่นั่งนิ่งๆ เหมือนหุ่นยนต์ที่ดูไร้ความรู้สึกจนผมเริ่มกังวล ต้องรีบเข้าไปทรุดตัวลงด้านข้างแล้วถามด้วยความเป็นห่วง “นายเป็นอะไรหรือเปล่า”

“…เปล่า”

“งานหนักหรือไง ทำไมสภาพเป็นแบบนี้”​ มองดูแล้วเหมือนเขาจะเหนื่อยไม่แพ้ผมเลย

“ทำไมคุณไม่กลับไปก่อน” ภามพูดขึ้นมาโดยไม่ยอมหันมาหาในทีแรก แต่เมื่อก้มลงมองเห็นว่าผมเอามือวางไว้ที่หน้าขาของเขา อีกฝ่ายก็ถอนหายใจแล้วหันมาสบตากันจนได้ “ทำไมยังรออยู่อีก”

“ทีนายยังรอฉันได้เลย”

ภามทำสีหน้าอ่อนลงเมื่อได้ยินสิ่งที่ผมพูด เขาจับมือผมไว้ สีหน้าดูเหมือนกำลังหนักใจกับอะไรสักอย่างเอามากๆ

“คุณจะทำให้ผมเป็นบ้าเข้าสักวัน”

“หือ”

“ต่อไปผมจะไม่ให้คุณรอนานแบบนี้อีก” เขาบีบมือกันเหมือนจะให้สัญญา และผมก็เชื่อว่าเขาจะทำได้ตามนั้นจริงๆ ถึงแม้จะคิดว่ารอบ้างก็ไม่เห็นเป็นไร แต่เมื่อเห็นสีหน้ากับท่าทางของคนที่ให้รอแล้ว เงียบไปแบบนี้อาจจะดีกว่า

“แล้ววันนี้งานหนักเหรอ เลิกดึกเชียว”

“นางแบบปัญหาเยอะ” วูบหนึ่งผมรู้สึกเหมือนเห็นภามชักสีหน้า “เพราะแบบนี้ผมถึงไม่ชอบถ่ายคน”

“ทำไมล่ะ เธอทำได้ไม่ดีหรือเข้ามาตอแยอะไร” ผมแกล้งแซวพร้อมรอยยิ้ม หากอีกคนกลับแค่มองกันนิ่งๆ โดยไม่ตอบอะไร เพียงแค่นั้นรอยยิ้มของผมก็กลายเป็นรอยยิ้มแห้งๆ แทบจะทันที “เอาจริงดิ”

“จริงๆ งานเสร็จตั้งแต่สามทุ่ม แต่เธอยังพยายามดึงดันต่อเพราะไม่พอใจ คงเพราะมีหุ้นส่วนอยู่กับบริษัทเจ้าของผลงานเลยกล้าพูด ทีมงานเอือมกันไปหลายคน จนสุดท้ายมาบอกผมว่าถ้ายอมไปดื่มต่อด้วยจะยอมให้ผ่าน”

“โห…แล้วนายทำไง”

“บอกว่าให้ไปหาคนอื่น” ภามพูดด้วยน้ำเสียงเย็นชา “ผมไม่รับค่าจ้าง และจะไม่ขอร่วมงานกับที่นี่อีก”

“สุดยอด” ผมตบมือแปะๆ ด้วยความชื่นชมจริงจัง โลกแห่งความเป็นจริงมันก็แบบนี้แหละ ในเมื่อฝ่ายนั้นใช้อำนาจทำนอกเหนือหน้าที่ได้ เขาเองก็มีสิทธิ์เลือกปฏิบัติเหมือนกัน ภามไม่ได้เดือดร้อนเรื่องเงินแถมยังมีชื่อเสียงเอามากๆ แล้วทำไมเขาต้องยอมให้โดนกดด้วย

คนจริงสุด...ไม่เก่งจริงทำไม่ได้นะเนี่ย

“ถ้าไม่ใช่เพราะผมลืมดูเวลา เรื่องคงจบไปตั้งนานแล้ว” เขาถอนหายใจ เหมือนจะยังมีความหงุดหงิดติดค้างอยู่ ผมเลยยกมือตบไหล่กว้างดังแปะๆ แล้วฉีกยิ้มให้

“ไม่เป็นไรน่า นายก็บอกว่าจะไม่ให้รอนานแบบนี้แล้วไง”

“อา...” ภามเริ่มยิ้มออก เขายกมือขึ้นลูบแก้มผมเบาๆ แล้วจูงมือให้ลุกขึ้นเดินตามไปที่ห้องนอน “ไปนอนเถอะ ผมรู้ว่าคุณง่วง”

ผมมองใบหน้าปลาตายของคนที่ช่วยเลื่อนผ้าห่มมาคลุมให้ยิ้มๆ ช่วงเวลาที่ผ่านมาภามเริ่มแสดงออกมากขึ้นทุกวันเวลาอยู่กับผมสองคน ถึงจะไม่ได้ทิ้งนิสัยเดิมไปหรืออะไร แต่ก็ยิ้มบ่อยและชอบทำแววตาอ่อนโยนให้ใจสั่นเล่นอยู่ตลอด เหมือนมันจะกลายเป็นนิสัยส่วนหนึ่งของเขาไปแล้ว แต่เมื่อไหร่ที่ออกไปด้านนอก ไปพบเจอกับคนอื่นๆ เขาก็จะเป็นคนหน้าตายที่ไม่ยอมพูดอะไรสักคำเหมือนเดิม

ถ้าไม่นับอาการใจสั่นแปลกๆ เวลาเห็นท่าทีเหล่านั้น ผมก็ถือว่ามันเป็นเรื่องดีนั่นแหละที่เขายิ้มง่ายกว่าเดิม

“หลับตานอนได้แล้ว หาวไม่หยุดเลย” คนที่ยังนั่งนิ่งอยู่ข้างเตียงยกมือลูบหัวกันอีกรอบ ทำราวกับผมเป็นแมวจริงๆ เพราะพอเห็นผมเคลิ้ม อีกฝ่ายก็จะเลื่อนมือมาเกาคางกันทุกที แล้วผมจะว่าอะไรได้นอกจากปล่อยเลยตามเลย ก็มันสบายน้อยเสียเมื่อไหร่

“นายรีบไปอาบน้ำสิ” ผมหันไปไล่ภามแทนที่จะทำตามที่เขาบอก

“คุณนอนไปก่อน”

“ถ้านายยังเถียงอยู่ ฉันก็จะไม่ได้นอนสักทีนะ”

ภามแข่งจ้องหน้ากับผมอยู่แค่สิบวินาทีก็ยอมแพ้ เขาลูบหัวผมอีกรอบก่อนจะลุกขึ้นยืน เดินตรงไปที่ห้องน้ำโดยไม่ได้พูดอะไรอีก ความรู้สึกที่ได้เป็นผู้ชนะมันช่างหอมหวานซะจนผมเผลออมยิ้มอยู่นาน ถึงจะรู้ว่าทั้งหมดเป็นเพราะเขายอมลงให้ด้วยความเป็นห่วงแต่ก็อดดีใจไม่ได้ ลองเป็นเมื่อก่อนผมได้ตาแดงเถียงกับเขายันเช้าแน่ๆ แล้วสุดท้ายก็จะเป็นผมที่พ่ายแพ้ไปเอง

จะว่าไปแล้ว...ตั้งแต่เมื่อไหร่กันนะที่ภามยอมผมมากขนาดนี้

“นั่นนายวิ่งผ่านน้ำเหรอ” ผมอดตกใจไม่ได้เมื่อเห็นคุณชายรักสะอาดเดินออกมาจากห้องน้ำทั้งที่เวลาผ่านไปไม่ถึงห้านาที ภามเพียงแค่เหลือบตามองผมแล้วเดินไปแต่งตัว ขึ้นมานอนบนเตียงเรียบร้อยแล้วถึงยอมตอบ

“ผมไม่อยากให้คุณรอนาน” เขาเอื้อมมือไปกดปิดไฟ และทันทีที่ห้องมืดมิดลง คนตัวโตก็พลิกมาหา ดึงมือผมไปจับไว้เหมือนทุกวัน “นอนเถอะ”

ครั้งนี้ผมไม่ได้หาเรื่องเถียงอะไรอีก แค่บีบมือเขากลับ รับรู้ถึงความอบอุ่นระหว่างกันโดยไม่ต้องใช้คำพูดใดๆ แล้วค่อยๆ ปิดเปลือกตาลงช้าๆ เตรียมตัวสำหรับวันต่อไปที่กำลังจะมาถึงในอีกไม่กี่ชั่วโมง แต่ก็ไม่ลืมเอ่ยถ้อยคำเดิมๆ ตามสัญชาตญาณก่อนสติจะจางหายไป

“ฝันดี”

เหมือนเสียงหัวเราะจะดังขึ้นเบาๆ พร้อมกับที่มีสัมผัสอบอุ่นอ่อนนุ่มกดลงบนหน้าผาก ผมอยากลืมตามองว่าเขาทำอะไรแต่ก็ฝืนตัวเองไว้ไม่ไหว สิ่งสุดท้ายที่ได้ยินคือเสียงตอบรับอย่างอ่อนโยน ก่อนจะไม่รับรู้เรื่องราวอะไรอีก

“ฝันดี”




วันนี้คุณชายภามออกคำสั่งให้เลิกงานตรงเวลา หรืออย่างน้อยถ้ามันจำเป็นจริงๆ ก็ต้องปลีกตัวมาให้ไวที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะนอกจากเขาจะรู้ว่าผมเพลียมากเนื่องจากนอนน้อยแล้ว อีกฝ่ายยังไปรับปากแม่ผม บอกว่าจะไปหาวันนี้ด้วย ถึงหน้าตาจะดูเหมือนไม่รู้สึกอะไร แต่ทำไมผมจะมองไม่ออกว่าภามแอบตื่นเต้นอยู่ไม่น้อย ดูจากการแต่งตัวก็รู้แล้ว

“นี่นายจะใส่ชุดนี้ไปทำงานเหรอ” ผมกวาดตามองคนตัวสูงขึ้นๆ ลงๆ อยู่หลายรอบ

“ทำไม”

“เขาจะคิดว่าเป็นช่างภาพหรือนายแบบวะเนี่ย” ปกติแค่ภามใส่เสื้อยืดไปทำงาน หน้าตาก็ทำให้เขาดูโดดเด่นอยู่แล้ว แต่วันนี้เล่นมาเป็นชุดสูท ถึงจะไม่ได้ผูกไทด์ อีกทั้งยังเป็นสูทตามสมัยปล่อยชายเสื้อไม่ได้เนี้ยบอะไร มันก็ยังไม่เหมือนช่างภาพทั่วไปอยู่ดี

“ความประทับใจแรกพบเป็นสิ่งสำคัญ เดี๋ยวตอนทำงานผมถอดเสื้อนอกออก” เขาว่าแบบนั้นแล้วถอดเสื้อออก เหมือนกับเมื่อกี้แค่ลองชุดเฉยๆ

“เกินไปอยู่ดี...”

“ไม่ต้องห่วงหรอก วันนี้ไม่มีผู้หญิง”

“ไม่ได้ห่วงเรื่องนั้น!” ผมหันไปถลึงตาใส่คนหลงตัวเองแล้วเดินฉับๆ หนีออกไปด้านนอก ไม่สนใจภามที่ส่งเสียงหัวเราะเบาๆ ตามหลังมาอีก

ภามไปส่งผมที่โรงพยาบาลแล้วก็ขับรถไปทำงานเหมือนทุกวัน เขาเล่าให้ฟังโดยไม่ต้องถามว่าวันนี้มีงานถ่ายภาพประกอบให้หนังสือเกี่ยวกับสัตว์เล่มหนึ่ง เพราะงั้นวันนี้นอกจากถ่ายรูปคนเขียนที่เป็นผู้ชายแล้ว ก็แทบไม่ต้องอึดอัดใจถ่ายให้คนเลย เห็นว่าเป็นงานเล็กๆ ที่รับแบบถูกๆ เพราะอยากทำเองด้วย

ช่วงบ่ายตอนกินข้าวเขาไลน์มา ส่งรูปมาหนึ่งรูป เป็นภาพแมวขนฟูสีเทาตาแป๋วซึ่งน่าจะเป็นนายแบบของวันนี้ พอผมถามว่าน้องชื่ออะไร ภามที่น่าจะจ้องจออยู่ไม่ไปไหนก็ตอบกลับมาแทบจะทันที

asdf: อนาคิน

กวนตีน...

จะว่าไปแล้วภามมันเคยเรียกชื่อผมกี่ครั้งเองวะเนี่ย แล้วไม่เรียกชื่อเล่นด้วยนะ เรียกชื่อจริงแบบที่ไม่มีใครเรียกด้วย เคยถามแล้วว่าทำไมก็เอาแต่จ้องนิ่งๆ ไม่ยอมตอบ

ผมหยิบแหวนที่ห้อยคออยู่ขึ้นมาดูเล่น เหมือนว่าหลังๆ มานี้จะไม่ค่อยได้สนใจมันเท่าไหร่ ซึ่งแน่นอนว่าจนถึงบัดนี้ผมก็ยังอ่านข้อความบนนั้นไม่ออก ดูเหมือนจะเป็นคำสั้นๆ ก็จริง แต่มองยังไงก็เหมือนลวดลายธรรมดาไม่มีความหมายมากกว่า แต่ถ้าไม่มีความหมายแล้วภามจะบอกว่าตัวเองอ่านออกได้ยังไง

เอาไว้ค่อยหลอกล่อให้พูดแล้วกัน...

หลังจากทำงานจนถึงเวลาเลิก พี่แจนก็เดินเข้ามาบอกว่าภามมารอตั้งแต่สิบนาทีก่อนแล้ว อีกทั้งยังฝากให้มาย้ำว่าแม่รออยู่ด้วย ได้ยินแบบนั้นแล้วผมจะทำอะไรได้ โชคดีที่คนไข้ไม่เยอะ ไม่มีเคสต่อเนื่องอะไรมากมาย ผมเลยกลับบ้านได้ตรงเวลาเป็นครั้งแรกในรอบกี่เดือนก็ไม่รู้

“แล้วถ่ายงานเป็นไงบ้าง” ผมชวนคุยระหว่างที่เขากำลังขับรถ

“มีคุณเต็มไปหมด”

“ฉันไม่ใช่แมว!” ไอ้บ้านี่...

“สนุกดี มองไปทางไหนก็มีแต่สัตว์” ภามตอบยิ้มๆ ท่าทางผ่อนคลาย คงชอบงานแบบนี้มากกว่างานถ่ายแบบมากจริงๆ เห็นปกติทำหน้าตึงตลอดเวลาเลิกงาน จะเริ่มดีขึ้นก็ตอนถึงห้องได้พักผ่อน

ว่าแต่เลี่ยงเรื่องที่ผมปฏิเสธแบบนี้มันคือไม่ยอมรับชัดๆ เลยไม่ใช่หรือไง...

“ก็ดีแล้วที่สนุก” ในเมื่อเขาจงใจไม่เถียงต่องั้นผมก็ปล่อยไปแล้วกัน ขืนดึงเรื่องเดิมมาพูดอีก เห็นทีสุดท้ายคงได้ยอมเป็นแมว

ปกติผมกับภามไม่ใช่พวกชอบฟังเพลงกันทั้งคู่ ดันนั้นนอกจากจะชวนคุยระหว่างทาง ถ้าไม่มีเรื่องอะไรให้พูดก็จะเลือกเงียบไปเลยมากกว่า หากวันนี้ภามกลับมาแปลก เพราะพอบรรยากาศเงียบปุ๊บ เขาก็ยื่นมือไปกดเปิดวิทยุปั๊บ ทั้งยังเลือกฟังเพลงจังหวะหนักหน่วงแบบที่เจ้าตัวไม่น่าจะชอบด้วย

“นายเป็นอะไรหรือเปล่าเนี่ย” ผมเหลือบตามองคนขับรถเพื่อสังเกตท่าทีของเขา

“เปล่า” ปากบอกว่าเปล่า แต่เหมือนจะตื่นเต้นแบบแปลกๆ

อย่าบอกนะว่า...

“ภาม...นี่นายยังไม่เลิกตื่นเต้นที่จะได้ไปเจอพ่อแม่ฉันอีกเหรอ”

“…”

เอาจริงดิ...

ผมขำก๊ากอย่างอดไม่อยู่ ยิ่งเห็นเจ้าของใบหน้าปลาตายหันมาขมวดคิ้วใส่ก็ยิ่งขำ ลองคิดว่าคนอย่างภามกำลังตื่นเต้นกับเรื่องอะไรมากๆ จนไม่เป็นตัวของตัวเองดูสิ เอาแค่นี้ก็ขำแล้ว ทีนี้ลองบวกกับเหตุการณ์เมื่อเช้าที่ยืนเลือกเสื้อผ้าอยู่ตั้งนาน แล้วผลออกมาเป็นชุดที่ดูดีสุดๆ แต่แทนที่จะได้โชว์คนกลายเป็นได้โชว์แมวแทน โอย...ขำไม่ไหวแล้ว

“จะหัวเราะอีกนานไหม”

“โทษๆ” ผมกลั้นขำจนสะอึก มือยกขึ้นกดปิดเพลงแล้วหันไปมองคนที่ยังขมวดคิ้วไม่เลิกอีกที “ไม่ต้องเครียดขนาดนั้นหรอกน่า แล้วทำไมเปลี่ยนเสื้อล่ะ”

นี่ก็เป็นอีกเรื่องที่น่าขำเอามากๆ ตอนเช้ายังใส่เสื้อเชิ้ตไปอยู่เลย แต่ตอนนี้กลายเป็นเสื้อคอวีสีดำธรรมดาแล้ว ซึ่งเอาจริงๆ ถ้าหน้าดี ต่อให้เขาใส่อะไรก็ดูดีอยู่เหมือนเดิมนั่นแหละ

“ขนแมวติดเต็มไปหมด” ภามทำหน้ายุ่ง แต่น้ำเสียงกลับดูอ่อนโยนเมื่อพูดถึงแมว “พอดีมีเสื้อตัวนี้ติดอยู่บนรถเลยเอามาใส่แทน เดี๋ยวใส่เสื้อคลุมอีกตัวก็น่าจะโอเค”

“ไม่น่าเชื่อว่าจะรักสัตว์นะเนี่ย”

“เผลอเล่นด้วยเพราะพวกมันเหมือนคุณ”

“…” โอเค ไม่พูดละ

ไม่นานหลังจากนั้นภามก็ขับรถมาจอดที่หน้าบ้านผม แต่ครั้งนี้เขาไม่ได้ลงไปจากรถก่อนเหมือนที่ผ่านมา ยังคงนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมเหมือนกำลังคุยกับตัวเองในใจ

“พ่อแม่คุณจะชอบผมหรือเปล่า”

“หา…"

เดี๋ยวๆ คำพูดเหมือนพวกลูกเขยจะมาขอฝากตัวแล้วกลัวพ่อแม่แฟนไม่ชอบนี่มันอะไรกัน

“ผมไม่ใช่คนพูดเก่ง...” น้ำเสียงที่เคยราบเรียบของภามแฝงความกังวลใจเอาไว้ชัดเจนจนผมต้องรีบทิ้งความสงสัยทั้งหมด แล้วหันมาใส่ใจกับสิ่งที่เขาพูดแทน “ไม่เคยเอาอกเอาใจผู้ใหญ่ อันที่จริงผมไม่เคยแคร์อยู่แล้วว่าใครจะคิดยังไง”

“…”

“แต่ถ้าพ่อแม่คุณไม่ชอบผม พวกเขาก็จะไม่ยกคุณให้ใช่ไหม”

หยุดเลย อย่ามาจ้องเหมือนต้องการคำตอบแบบนั้น เรายังไม่ได้เป็นอะไรกันไม่ใช่หรือไง แล้วทำไมผมถึงไม่ปฏิเสธออกไปเล่า

ยัง...ยังจะไปจับมือเขาไว้อีก

“ทำตัวเหมือนปกตินั่นแหละ เป็นตัวของตัวเองดีที่สุดแล้ว”

เอ๊ะ...แล้วจะพูดเหมือนปลอบทำไมเนี่ย

“เข้าใจแล้ว” ภามยิ้มจาง เขาบีบมือผมกลับเป็นการรับคำ ก่อนจะเปิดประตูออกจากรถ พร้อมถือเสื้อคลุมตัวนอกออกไปด้วย

พอเห็นเขากลับไปเป็นคนเคร่งขรึมเหมือนเดิม ไม่ได้ดูลนลานแบบเงียบๆ เหมือนตอนแรกแล้วผมก็หัวเราะออกมาเบาๆ พูดแค่นี้ก็เปลี่ยนเป็นคนเดิมได้แล้ว จัดการง่ายจริงๆ ให้ตายเถอะ

“มาเร็ว” ผมหันไปเรียกคนที่กำลังสวมเสื้อตัวนอก พอเห็นเขาเดินกางแขนเข้ามาหา มือก็ยื่นไปจัดเสื้อให้โดยอัตโนมัติ “หล่อแล้วน่า ดูสภาพฉันอย่างกับศพยังไม่คิดมากเลย”

“ผม…”

“อะแฮ่ม!”

“เฮ้ย!”

“โห...ลูกชายคนแมนของแม่ ตกใจจนไปเกาะหลังผู้ชายเฉยเลย” เสียงหวานอารมณ์ดีของคนสวยขี้แกล้งทำเอาผมหน้าเหวอ มุดออกมาจากหลังภามแทบไม่ทัน หน้านี่แดงจนไม่รู้จะแดงยังไง

ไม่ได้เขินนะ เรียกว่าอับอายขายขี้หน้ามากกว่า

“คนสวย โผล่มาแบบนี้ผมตกใจนะ” ผมรีบเดินเข้าไปเกาะแขนแม่แล้วหัวเราะแก้เก้อ แน่นอนว่าได้รับรอยยิ้มแซวตอบกลับมาตามระเบียบ

“ลูกภาม เข้าไปข้างในกันเถอะจ้ะ”

ดูซะก่อน...เมินผมแล้วเดินเข้าไปหาลูกชายคนใหม่เฉยเลย เห็นไหมว่าไม่มีอะไรที่ภามต้องกังวลเลยแม้แต่นิดเดียว แค่เดินเข้ามาก็กลายเป็นลูกรักไปแล้ว

“นั่งก่อนนะจ๊ะ แม่กำลังจัดโต๊ะพอดีเลย ไม่ค่อยเห็นเจ้าเจไดกลับมาบ้านไวๆ” แม่ดันให้ภามนั่งลงบนเก้าอี้กินข้าวแล้วเดินไวๆ เข้าไปที่ครัว ท่าทางดูตื่นเต้นกว่าภามเสียอีก เอาเข้าไป

“เห็นไหม” ผมนั่งลงด้านข้างคนตัวสูงพลางพยักพเยิดไปทางห้องครัว

“แม่คุณน่ารัก” ภามตอบยิ้มๆ ท่าทางดูผ่อนคลายขึ้นมาก

รอไม่นานนักแม่ก็ยกน้ำแกงออกมาจากครัว ผมเดินไปตักข้าวให้ทุกคนตามหน้าที่โดยไม่ต้องรอให้โดนบ่น มีเพียงคุณชายภามที่ถูกบังคับให้นั่งนิ่ง ห้ามขยับไปช่วยทำอะไรเลยแม้แต่อย่างเดียว

“แล้วไม่ต้องรอคุณพ่อเหรอ...” แขกผู้ใจดีเอ่ยถามขึ้น มือยังวางอยู่บนหน้าตัก ไม่ยอมยกขึ้นจับช้อนส้อม จนผมที่กำลังจะตักข้าวเข้าปากโดนคนสวยตีมือไปหนึ่งที วางช้อนแทบไม่ทัน

“ปกติคุณพ่อของเจไดกลับดึกจ้ะ ครอบครัวนี้ไม่ค่อยได้ทานข้าวพร้อมกันหรอก ถ้าลูกภามว่างก็มาทานข้าวเป็นเพื่อนแม่บ้างนะ แม่จะได้ไม่เหงา”

“ครับ” ภามพยักหน้าอย่างเชื่อฟัง ใบหน้าอ่อนลงหลายส่วน และในตอนนั้นเองที่...

“ใครที่ไหนมานั่น”

“โห...ตาลุงข้างบ้านกลับไว” ผมทำหน้าประหลาดใจถึงขีดสุด ขณะหันไปมองตาแก่พุงพุ้ยในชุดทำงาน

“เดี๋ยวเถอะไอ้ลูกเวร!” ตาแก่ชี้หน้าผมคาดโทษ

“หยุดเลยทั้งคู่ เห็นไหมเนี่ยว่าเรามีแขก”

ผมกับพ่อสะบัดหน้าไปคนละทาง มีเสียงแม่บ่นงุ้งงิ้งดังประกอบเหมือนทุกครั้งที่ได้อยู่พร้อมหน้า ส่วนภามที่นั่งตัวแข็งได้แต่มองไปมองมาเหมือนไม่รู้ว่าควรทำหรือพูดอะไร

“คุณคะ รีบมานั่งเร็วเข้า” คนสวยกวักมือเรียกพ่อให้มานั่งที่โต๊ะ ซึ่งคนเกียมัวมีหรือจะไม่เชื่อฟัง เดินมานั่งอย่างรวดเร็วจนเหมือนจะบินมาอยู่แล้ว ลองถ้ายืนเก๊กต่อสิ โดนเล่นเละแน่นอน

“แล้วพ่อหนุ่มนี่ใครล่ะเนี่ย” พ่อถามขึ้นในระหว่างที่คนสวยกำลังตักข้าวให้

“สวัสดีครับ” ภามยกมือไหว้ด้วยท่าทีเก้ๆ กังๆ เหมือนไม่ถนัดนัก “ผมชื่อภาม กำลังชอบลูกชายคุณพ่ออยู่ครับ”

“แค่กๆ...”

“ตายจริง...เป็นคนตรงจังนะจ๊ะ คิกๆ”

เดี๋ยวก่อนคนสวย ก่อนจะหัวเราะชอบใจช่วยมาลูบหลังผมก่อนดีไหม ติดคอจะตายอยู่แล้วเนี่ย แล้วไอ้บ้าภามมันพูดอะไรออกไป จะเป็นคนตรงก็ช่วยดูสถานการณ์หน่อยดีกว่าไหม

“หืม...ชอบไอ้กากนี่เนี่ยนะ” ตาแก่เหลือบตามองผมแหยงๆ ไม่มีทีท่าไม่พอใจใดๆ เมื่อได้ยินผู้ชายมาบอกชอบลูกชายตัวเอง “มั่นใจเหรอ ดูจากหน้าตาแล้วคงหาที่ดีกว่านี้ได้ไม่ยาก ไอ้นี่มันไปเป่าหูอะไรหรือเปล่า”

“พ่อ!”

“ครับ ผมมั่นใจแล้ว”

“ภาม!”

“ลูกภามคงเหนื่อยแย่เลยนะจ๊ะ”

“แม่ก็ด้วยเหรอ...” ผมพูดเสียงอ่อย ทำไมจู่ๆ ถึงได้โดนรุมแบบนี้เนี่ย

บรรยากาศบนโต๊ะกินข้าวเต็มไปด้วยความสนุกสนาน พ่อกับแม่นั่งเผาจนผมแทบไม่มีอะไรดีเหลืออยู่เลย ส่วนภามถึงจะนั่งเงียบแต่ท่าทางตั้งใจฟังสุดๆ บางครั้งถึงขนาดยิ้มออกมาด้วย มีแค่ผมที่นั่งหงอยเหงาตักข้าวกินเงียบๆ เพราะทันทีที่ทำท่าจะขัดก็โดนกีดกันออกจากวงโคจรทุกที สุดท้ายถึงขนาดโดนไล่มาเป็นเด็กล้างจาน ส่วนพ่อแม่กับลูกคนใหม่ย้ายไปคุยกันที่โซฟารับแขก

“แล้วมันพามาถึงบ้านแบบนี้ แสดงว่าตกลงคบกันเรียบร้อยแล้วสิ”

“ยังครับคุณพ่อ”

“เออ...ไม่แปลกหรอก ไอ้ลูกนั่นมันโง่แถมยังปากหนัก จะง้างปากมันสักทียากยิ่งกว่าอะไร”

“ใช่จ้ะลูกภาม เจไดเป็นพวกปากแข็ง คงต้องอดทนหน่อยนะจ๊ะ”

“ผมได้ยินนะ!” ผมรีบตะโกนขัดเมื่อได้ยินเสียงพูดนินทาตัวเอง ปล่อยไว้ด้วยกันไม่ได้เลยนะ เดี๋ยวล้างจานเสร็จเมื่อไหร่จะทำให้วงแตกให้ได้เลยคอยดู

“จะว่าไปนี่ก็ดึกแล้วนะ พักที่นี่เลยดีกว่านะจ๊ะ ห้องเจไดออกจะกว้างขวาง”

“เรื่องนั้นต้องถาม...”

“ไม่ต้องถามแล้ว พักมันที่นี่แหละ ฉันอนุญาตใครจะทำไม” เสียงพ่อตะโกนโหวกเหวกเข้ามาอีกครั้ง เป็นเวลาเดียวกันกับที่ผมคว่ำจานใบสุดท้ายเสร็จพอดี เดินออกไปด้านนอกก็เห็นตาแก่ถอดเสื้อโชว์พุงนั่งอยู่ข้างแม่บนโซฟายาว ส่วนแขกที่กำลังจะกลายเป็นลูกรักแทนผมนั่งอยู่บนโซฟาเดี่ยว

“เจได วันนี้ให้ลูกภามนอนนี่เลยนะ แล้วเราก็ไปเอาเสื้อผ้าที่พ่อใส่ไม่ได้ให้เขาด้วย” แม่ออกคำสั่งรวดเดียวจบ และไม่รอให้ผมอ้าปากเถียงก็หันไปพูดกับภามต่อ “ขึ้นไปอาบน้ำอาบท่าเถอะจ้ะ ทำงานมาคงเหนื่อยแย่เลย”

ไม่เหลือพื้นที่ให้กันเลย ถามผมบ้างดีไหมเนี่ย...

แต่ถึงจะคิดอย่างนั้น ท้ายที่สุดแล้วผมก็พาภามขึ้นไปบนห้อง เดินไปหาเสื้อผ้าของพ่อมาส่งให้เขาอยู่ดี

“ห้องคุณสวย” ภามเอ่ยขึ้นมาลอยๆ ขณะกวาดสายตามองไปมองมารอบห้องของผมที่ตกแต่งเป็นโทนสีน้ำเงิน “อยู่มานานแล้วเหรอ”

“ตั้งแต่เด็กแล้ว” ผมตอบแล้วเดินไปคุ้ยหาอุปกรณ์อาบน้ำชุดใหม่ในตู้เสื้อผ้า พอเจอแล้วก็เอามาส่งให้แขก “ไปอาบน้ำก่อนไป เดี๋ยวค่อยคุยกัน”

ภามพยักหน้าแล้วทำตามโดยไม่เอ่ยอะไร รอจนเขาเดินออกมาแต่งตัวด้านนอก ผมก็เดินสวนเข้าไปอาบน้ำต่อ พอออกมาอีกครั้งก็เห็นคนตัวสูงใส่ชุดนอนลายทางของพ่อนั่งอยู่บนเตียง โชคดีที่พ่อผมมีชุดนอนตัวใหญ่ที่เคยซื้อผิดอยู่ในตู้ ไม่อย่างนั้นเขาอาจต้องอึดอัดใส่เสื้อผ้าของผมหรือพ่อที่ตัวเล็กกว่า

“หันมาสิ” คนที่นั่งรออยู่ยื่นมือมารอรับ ซึ่งผมก็ส่งผ้าเช็ดหัวให้เขาอย่างรู้งาน พร้อมกับเดินไปนั่งบนพื้นหันหลังให้ด้วย

มันไม่ใช่เรื่องแปลกที่ภามเช็ดหัวให้ผม เพราะเขาทำแบบนี้มาหลายครั้งแล้ว ตอนแรกอาจรู้สึกประหลาดอยู่บ้าง แต่เมื่อรับรู้ได้ถึงความสะดวกสบาย ไม่ต้องออกแรงขยี้หัวเองก็ปล่อยตัวไปตามน้ำ ไหลไปเรื่อยเปื่อย เขาบอกให้นั่งก็นั่ง อยากให้หันหัวไปทางไหนก็ทำ อย่างตอนนี้ก็เหมือนกัน

“พ่อแม่ฉันใจดีใช่ไหมล่ะ” ผมถามระหว่างที่กำลังหลับตาให้คนด้านหลังขยี้หัวให้

“ใจดี”

“บอกแล้วว่าไม่มีอะไรต้องเครียด”

ภามส่งเสียงรับคำในลำคอโดยไม่ได้พูดอะไร จนกระทั่งเช็ดจนผมแห้งแล้วเขาก็บอกให้ผมขยับขึ้นไปนอน แต่เจ้าตัวนั่งอยู่ปลายเตียง ไม่ได้ขยับมานอนด้วย

“ทำอะไร!” ผมเบิกตากว้าง เกือบจะผุดลุกขึ้นนั่งเมื่อเห็นอีกคนยกขาของผมไปวางพาดไว้บนตักตัวเองแล้วเริ่มบีบนวดให้เบาๆ ถึงมันจะรู้สึกดีขนาดไหน แต่เห็นเขาทำให้แบบนี้มันก็เกินไปหน่อย

“ผมเห็นคุณแอบนวดขาตัวเองตอนกินข้าว เมื่อยใช่ไหม” ภามออกแรงรั้งขาผมไว้ไม่ให้ผละออก แล้วเริ่มบีบนวดต่ออย่างใจเย็น

“นายเห็นด้วยเหรอ...” อุตส่าห์ไม่พูดอะไรแล้วนะ คงเป็นเพราะวันนี้ผมเดินเยอะไปหน่อยเลยปวดขานิดๆ แต่ก็ไม่ได้มากมายอะไรขนาดนั้น ตื่นขึ้นมาก็หายแล้ว

“ผมมองคุณอยู่ตลอด”

“…ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้”

ทำอะไรให้กันแบบนี้...มันไม่ดีต่อใจเลยสักนิด

“ผมเต็มใจ คุณนอนเถอะ” เขาพูดแค่นั้นแล้วก้มหน้าก้มตาบีบนวดขาให้ผมต่อ ท่าทางตั้งอกตั้งใจตามนิสัยที่ไม่ชอบทำอะไรเล่นๆ ของเจ้าตัวทำให้ผมนึกถึงตอนเราอยู่บนเกาะ ภาพใบหน้าสงสัยของคนที่ไม่เคยก่อกองทรายวนเข้ามาในหัว ซ้อนทับกับภาพใบหน้าปลาตายในยามนี้ จนก่อให้เกิดความรู้สึกประหลาดขึ้นโดยไม่รู้ตัว

มันคือความอุ่นใจ...

“ขอบคุณนะ” ผมยิ้มให้ภามและมองเขาด้วยแววตาอ่อนโยนที่ไม่ได้เกิดจากความเผลอไผล ใจนึกไปถึงคำถามที่ยังไม่เคยได้เก็บมาคิดอย่างจริงจัง ทว่ากลับผนึกไว้ในใจไม่เคยลืม เพียงแค่รอวันที่จะเปิดออกดู และหาคำตอบที่ตรงกับความรู้สึกเท่านั้น

‘ที่คุณอธิบายมามากมาย พยายามไม่ให้ผมเข้าใจผิด...แบบนั้นเรียกว่าอะไร’

ถึงจะบอกว่ารอได้...

ถึงจะบอกว่าไม่เป็นไร...

แต่ที่สุดแล้ว คนทุกคนล้วนต้องการคำตอบที่แท้จริง

บางที...อาจถึงเวลาที่ผมต้องมอบความชัดเจนให้เขาแล้ว



————————



TALK : วันนี้ที่รอคอยยยยย
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.28]== [08/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 08-09-2018 19:16:55
ภามทรีตหมอดีตลอดเลย รักมากจริงๆคนนี้ // ตอนต่อไปแล้วหรอคะที่คสพ.จะพัฒนา โอ่ย เหมือนจะล้ม :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.28]== [08/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 08-09-2018 20:32:00
ไม่รอดแล้ว อนาคิน  o18
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.28]== [08/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: killua1a ที่ 08-09-2018 21:13:06
ครอบครัวหมอเจไดน่ารัก :o8:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.28]== [08/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 08-09-2018 22:17:51
ภามเธอเป็นคนอบอุ่นรู้ตัวใช่ไหม
โคตรใส่ใจคนรอบข้าง โดยเฉพาะเจได

คืออิจฉาเจได
ดีเหลือเกินภาม รักนายจัง :)
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.28]== [08/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 10-09-2018 18:19:16
-29-



พ่อกับแม่ชอบบอกว่าผมเป็นพวกคิดช้า เฉื่อยชา ปากแข็ง ซึ่งมันก็เป็นความจริง เถียงอะไรไม่ได้เลยแม้แต่อย่างเดียว แต่มีเรื่องหนึ่งที่มั่นใจคือผมเป็นพวกที่ไม่เคยทำอะไรแล้วต้องมาเสียใจในภายหลัง สำหรับคนที่บอกว่าจะให้คำตอบ คิดกับตัวเองว่าจะมอบความชัดเจนให้ใครสักคน หากมีคนมาเจาะความคิดผมดูอาจจะพูดว่า ระยะเวลาสามเดือนที่ผ่านมามันนานเกินไปสำหรับเรื่องแค่นั้น แต่เพราะระยะเวลาสามเดือนที่ผ่านมานั่นเองที่ทำให้ผมได้รับคำตอบที่ชัดเจน และมั่นใจว่ามันคือคำตอบสุดท้ายที่จะไม่เปลี่ยนแปลง ต่อเกิดอะไรขึ้นก็ตาม

สามเดือนที่ผ่านมา นับตั้งแต่วันที่ผมพาภามไปเจอพ่อกับแม่เป็นครั้งแรก เขายังคงทำตัวสม่ำเสมอไม่เคยเปลี่ยน ตอนเช้าไปส่งที่โรงพยาบาลพร้อมข้าวกล่องลายแมวที่ทำให้ผมโดนคุณพยาบาลแซวแทบทุกครั้ง ตอนกลางวันส่งไลน์ทิ้งไว้ ถ้ามีเวลาว่างผมก็จะตอบ ตอนเย็นขับรถมารับกลับคอนโด ส่วนถ้าเป็นวันศุกร์หรือไม่ก็วันเสาร์จะพากลับบ้าน แล้วตัวเองก็นอนที่นั่นด้วย ตามคำสั่งของแม่ที่บอกว่าอยู่คอนโดผมจะได้ไม่ต้องเหนื่อยมาก กลับมาหาท่านอาทิตย์ละครั้งสองครั้งก็พอ

“อยากกินกุ้ง” ผมเลื้อยลงไปนอนแผ่อยู่กับโซฟา ขาข้างหนึ่งทิ้งไว้บนพื้น ส่วนอีกข้างพาดอยู่บนพนัก เป็นท่าทางน่าอนาถแบบที่ถ้าไม่สนิทจริงคงไม่แสดงให้ใครเห็น

“เอาไว้พรุ่งนี้”

“ได้” พรุ่งนี้ก็ได้ ไม่เรื่องมากอยู่แล้ว เพราะตอนนี้นอกจากจะอยากกินนู่นกินนี่แล้วผมยังเมื่อยเนื้อเมื่อยตัวแบบสุดๆ “เมื่อยไปหมดแล้ว”

“กินข้าวเลยไหม ผมจะไปทำให้” คุณพ่อครัวหันหน้ามาถามแล้วเดินมาเก็บขาผมกลับเข้าที่ ให้นอนตัวตรงแหน่วแบบที่ควรเป็น เห็นเขาจับขาไปบีบนวดให้เหมือนทุกครั้งที่บ่นว่าเมื่อยแล้วก็ได้แต่อมยิ้ม

ทำไมถึงมาชอบคนอย่างผมได้นะ...

มองใบหน้าปลาตายนั่นแล้วก็ได้แต่หัวเราะในใจ นึกไปถึงเรื่องราวตอนอยู่บนเกาะ และนึกไปถึงตอนที่เคยตั้งคำถามมากมายกับตัวเอง ซึี่งหนึ่งในนั้นคือคำถามยามที่ผมกลับเข้ามาอยู่ในเมือง ตอนที่ใครต่อใครต่างบอกว่าผมสดใสขึ้นมาก ถึงขนาดคุยกับตัวเองอยู่หลายวันว่าทำไมถึงไม่รู้สึกเบื่อแล้ว

   อันที่จริงต่อให้สถานที่เปลี่ยนไปยังไง พอเราเริ่มคุ้นชินแล้วเราก็จะเบื่ออยู่ดี แต่ผมไม่เคยเบื่อเลยเวลามีภามอยู่ข้างๆ สิ่งที่เป็นตัวแปรที่ผมตามหา...

   ก็คือคนคนนี้

   “ภาม” ผมเรียกคนที่กำลังบีบนวดขาให้พร้อมกับดันตัวลุกขึ้นนั่ง จับมือเขาไว้ไม่ให้นวดต่อ

“หืม”

“ไปกินข้าวข้างนอกกัน”

ภามทำหน้าตาประหลาดใจเหมือนไม่เคยคาดคิดมาก่อนว่าคนอย่างผมจะพูดคำนี้ออกมา นี่ก็ตกใจเหมือนกันแหละน่า ถ้าไม่ติดว่ารู้ตัวแล้วคงไม่ทำ

“ไหวเหรอ” เขายังคงถามด้วยความเป็นห่วง แต่ดวงตาเริ่มเป็นประกายวิบวับ เห็นแค่นี้ก็รู้แล้วว่าดีใจที่ได้ยิน

“ไหวดิ ไปๆ”

เพราะวันนี้เป็นวันที่ผมได้เลิกไวเป็นพิเศษ ตอนที่เราออกมาด้านนอกท้องฟ้าถึงยังไม่มืดนัก ระหว่างอยู่บนรถผมชวนภามคุยเรื่องนั้นเรื่องนี้อย่างอารมณ์ดี อาจจะมีปวดเมื่อยไปบ้างแต่ก็ไม่ได้มากมาย แค่หันไปเห็นคนด้านข้างยิ้มน้อยๆ ก็มีแรงขึ้นมาแล้ว

จุดหมายปลายทางของเราคือห้างสรรพสินค้าแห่งหนึ่ง ห่างจากคอนโดไปไม่มากนัก ผมไล่แผนการในวันนี้ให้ภามฟังตั้งแต่อยู่บนรถ บอกว่าเราจะเริ่มจากการไปหาอะไรกินกันก่อน เสร็จแล้วค่อยไปดูหนัง เอาแบบมีเรื่องไหนฉายตามเวลาที่จะดูก็เอาเรื่องนั้นไปเลย พอออกมาแล้วก็ไปซื้อของเข้าคอนโดสักหน่อยแล้วค่อยพากันกลับบ้าน ภามเอาแต่พยักหน้าหงึกหงัก ประกายในดวงตาสดใสมากขึ้นเรื่อยๆ จนผมแอบหน่่วงอยู่ในใจ

ตั้งแต่ทำตัวติดกันมา...คงมีแค่ครั้งนี้ที่ผมเป็นฝ่ายตอบแทนเขาบ้าง

“คุณอยากกินอะไร” คนตัวสูงที่ดึงดูดสายตาของคนรอบด้านได้เป็นแถบหันมาถาม ท่าทางเหมือนไม่รู้สึกรู้สาอะไรกับการถูกจ้องเลยสักนิด

“วันนี้ตามใจนาย”

“หืม…” ภามเลิกคิ้วประหลาดใจ แต่แค่แป๊บเดียวก็ฉีกยิ้ม พาผมเดินเข้าร้านอาหารนานาชาติร้านหนึ่งที่จัดอย่างหรูหราสวยงาม มีโต๊ะริมหน้าต่างซึ่งเป็นโต๊ะส่วนตัวและจัดแยกอยู่จากส่วนอื่นๆ

“ขอโต๊ะนั้นครับ” ผมหันไปบอกพนักงานที่ยืนอยู่ด้านหน้า ชี้ชัดเจนว่าต้องการโต๊ะวีไอพีซึ่งเป็นโต๊ะส่วนตัวนั่น เสร็จแล้วถึงหันไปบอกภามด้วยน้ำเสียงป๋าสุดๆ “วันนี้ฉันเลี้ยงเอง”

หลังจากไม่ได้ใช้เงินเลยสักบาทมานานหลายเดือน ในที่สุดวันนี้ผมก็จะได้ใช้เงินบ้างแล้ว แถมยังเป็นการใช้เงินเพื่อคนอื่นอีกต่างหาก ไม่เคยรู้สึกเป็นคนดีขนาดนี้มาก่อนเลย

“คุณเป็นอะไรหรือเปล่า” จู่ๆ ภามก็เอ่ยถามขึ้นมาระหว่างที่เรากำลังรออาหารกัน

“หือ”

“ทำตัวแปลกๆ”

“เปล่านี่” ผมยักไหล่ “ว่าแต่นายเถอะ...ฉันบอกว่าตามใจ หมายถึงให้เลือกร้านที่นายอยากกิน ไม่ใช่เลือกร้านที่ฉันบ่นว่าอยากกินไปเมื่ออาทิตย์ก่อน อีกอย่าง...ที่เลือกร้านนี้เพราะเห็นว่ามันมีกุ้งด้วยใช่ไหมเนี่ย”

“…ก็ใช่”

ว่าแล้วเชียว...

ตามใจกันไปหมดแบบนี้จะไม่ให้เหลิงได้ยังไง

ทันทีที่กับข้าวมาเสิร์ฟ ผมก็จัดการตักกุ้งคำแรกเข้าปากในทันที ต่างจากอีกคนที่ยังบรรจงกางผ้าเช็ดปาก ช้อนส้อนยังไม่ได้แตะ เห็นแบบนั้นแล้วผมก็รีบทำการตักกุ้งอีกตัวไปไว้ในจานเขา เป็นการบีบบังคับให้รีบกินทางอ้อม แต่มันกลับส่งผลให้คุณชายชะงักค้าง มองผมเหมือนมองตัวประหลาด ตาหรี่ลงเหมือนจะถามว่าไม่เป็นอะไรแน่ใช่ไหม

อะไรกัน...แค่ตักกับข้าวให้ทั้งที่ไม่เคยตัก แปลกตรงไหน

“กินเร็วๆ” ผมคะยั้นคะยอให้ภามกินข้าวจะได้เลิกมองหน้ากันเสียที บอกแล้วไงว่าหน้าไม่ได้หนาน่ะ โดนจ้องมากๆ ก็ไม่ไหวหรอกนะ

“แล้วพรุ่งนี้จะยังกินกุ้งอยู่ไหม” เขาถามตอนที่กินข้าวคำแรกหมดแล้ว

“จริงๆ กินแค่นี้ก็หายอยากแล้ว เดี๋ยวตอนไปซื้อของค่อยคิดก็ได้ว่าจะเอาอะไรบ้าง” ผมบอกแล้วตักกับข้าวให้เขาอีกหลายคำ ถึงจะมีอายบ้างที่แอบเห็นคนโต๊ะอื่นมองมายิ้มๆ ก็ไม่สนใจ เพราะพอเงยหน้าขึ้นทีไรก็เห็นสีหน้าที่ดูสดใสของคนมาด้วยทุกที

หลังจากกินข้าวอะไรเรียบร้อยแล้วผมก็พาคุณชายไปซื้อตั๋วหนัง โชคดีที่รอบใกล้สุดจะเริ่มในอีกครึ่งชั่วโมง แต่แอบหนักใจนิดหน่อยตรงที่มันดันเป็นหนังรัก แค่เห็นตัวอย่างก็รู้แล้วว่าน่าจะดราม่าสุดๆ ซึ่งก็เอาเถอะ...บางทีอาจจะได้เห็นภามในมุมที่ไม่เคยเห็นก็ได้

“ผมอยากเล่นตู้นั่น” คนตัวสูงที่เดินอยู่ข้างผมชี้นิ้วไปที่ตู้เกมยิงซอมบี้ตู้หนึ่ง ผมหันไปมองแล้วก็พยักหน้า แอบขำนิดหน่อยเมื่อเห็นท่าทีอย่างกับเด็กของเขา “เมื่อก่อนเก้าเคยเอามาให้เล่นที่บ้านแต่เป็นแผ่นเกม ผมยังไม่เคยเล่นแบบนี้มาก่อนเลย”

“นายไม่เคยมาเที่ยวห้างเหรอ”

“นานๆ ที แต่ส่วนมากมาซื้อของเฉยๆ แล้วก็กลับ”

“อ๋อ…” ผมพยักหน้าเข้าใจ หยิบเหรียญออกมาหยอดใส่ตู้เกมสำหรับสองคน “บอกไว้ก่อนเลยว่าเมื่อก่อนฉันเซียนมาก นายอาจจะอิจฉาหน่อยนะ”

“หึ” ภามหัวเราะในลำคอ “จะรอดู”

“มาเลย!”

ไอ้ตอนแรกความมั่นใจก็ยังเต็มเปี่ยมอยู่หรอก แต่ไม่คิดว่าถือปืนบ้านี่มากเข้าแล้วผมจะเริ่มแขนล้าขึ้นมา ผ่านไปไม่กี่เกมก็ไปต่อไม่ไหว โดนกินหัวไปตามระเบียบ เหลือคนที่ยังไม่เคยแตะเกมตู้มาก่อนยิงซอมบี้อยู่คนเดียว ผมยืนมองภามเล่นอยู่พักหนึ่งแล้วก็เริ่มบีบนวดแขนตัวเองขณะมองด้วยความตื่นตาตื่นใจ ไม่คิดว่าเขาจะเล่นเกมเก่งขนาดนี้

“เอ้า...วางปืนทำไม ยังไม่แพ้เลย” ผมหันไปมองหน้าคนที่วางปืนลงด้วยความงุนงง ตอนนี้หน้าจอขึ้นสถานะบอกว่าเราแพ้แล้ว แต่ต้นเหตุมาจากการที่เขายอมเองต่างหาก “ภาม...”

จากที่กำลังยืนมองด้วยความไม่เข้าใจ ผมกลับต้องเม้มปากไว้แน่นเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์แทน หลังจากที่เจ้าของชื่อเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า ยกแขนที่อ่อนแอเป็นเต้าหู้ขึ้นมาบีบนวดให้เบาๆ

“ปวดแขนแล้วทำไมไม่บอก” เขาถามพลางขมวดคิ้วมุ่นไม่ชอบใจ

“ก็ไม่คิดว่าตัวเองจะปวกเปียกขนาดนี้” ผมหัวเราะเบาๆ แล้วขยับไหล่ขยุกขยิกไปมาแก้เมื่อย “ไม่เป็นไรหรอก เราเข้าโรงกันเลยดีกว่า จะถึงเวลาแล้ว”

ครั้งนี้ผมไม่ได้ดึงมือตัวเองออกหรือบอกให้ภามหยุด แต่เลือกที่จะจับแขนเขาไว้แล้วลากให้เดินไปด้วยกันโดยไม่ได้พูดอะไร ตอนแรกยังรู้สึกอับอายอยู่นิดหน่อยเพราะเหมือนจะโดนมองเยอะอยู่เหมือนกัน แต่พอหันไปเห็นคนที่ถูกจูงมือแล้วก็เหมือนเดิม

เห็นเขาทำหน้าดีใจก็โอเคแล้ว ถึงต้องเอาปูนมาฉาบให้หน้าตัวเองหนาขึ้นก็ไม่เป็นไร...

ถึงผมจะเป็นพวกเต้าหู้อ่อนแอขนาดไหน แต่ก็เคยมั่นใจว่าจิตใจของตัวเองค่อนข้างแข็งแกร่งพอสมควร เคยนะ...อย่างน้อยก็หนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ เพราะหลังจากพ้นชั่วโมงไปแล้ว พอฉากดราม่ามา ผมก็กลายเป็นเต้าหู้ที่อ่อนนุ่มไปทั้งก้อน แม้แต่จิตใจก็อ่อนแอแบบไร้หนทางเยียวยาไปเลย

“ฮึก...” ยกมือขึ้นลูบเปลือกตาบวมช้ำของตัวเองแล้วได้แต่ร่ำร้องในใจ นี่กูร้องไห้ไปกี่นาทีวะเนี่ย ปวดตาแบบไม่ไหวแล้ว แล้วนั่น...ทำไมหนังมันยังไม่จบอีก

“โอเคหรือเปล่า” เสียงของคนที่นั่งอยู่บนโซฟาข้างกันเอ่ยถามด้วยความเป็นห่วง แต่พอผมหันไปส่ายหน้าเบะปากน้ำตาไหลพรากใส่ เขาก็หลุดยิ้มออกมา ทำเอาผมหน้าตึง ถลึงตาใส่ทั้งที่น้ำตายังไหลไม่หยุด

“เงียบไปเลย”

“หน้าแดงหมดแล้ว”

“โรงหนังมันมืด จะเห็นได้ไงไอ้บ้า” ผมว่าแล้วพยายามกลั้นเสียงสะอึกสะอื้นอยู่เงียบๆ ดีนะที่คนในโรงต่างร้องไห้กันหมด เสียงพูดคุยของเราและเสียงร้องไห้ของผมเลยกลืนไปกับเสียงโฮเหล่านั้นด้วย

“คุณนี่มัน...”

“ฮือ…"

“มานี่มา” ภามดึงแขนผมให้ขยับเข้าไปหา ก่อนจะกดหัวให้ซุกอยู่กับอกอุ่นๆ ของเขา โชคดีที่เรานั่งโซฟาบนสุดซึ่งรอบข้างไม่มีใครสักคน เลยไม่ต้องกังวลว่าจะมีใครมาเห็นเข้า ผมรู้แบบนั้นเลยกอดเอวอีกคนไว้ พร้อมถูหน้าเช็ดน้ำตากับเสื้อเขายกใหญ่ ทำใจได้แล้วถึงยอมหันไปมองจอต่อทั้งที่ยังให้ภามกอดเอาไว้อยู่

นาทีนี้รู้แค่ว่ากอดแล้วรู้สึกดีก็จะกอดอยู่แบบนี้นี่ละ อย่างอื่นช่างหัวมัน

กว่าหนังจะจบก็ทำเอาผมหมดน้ำตาไปเป็นลิตร ร้องไห้หนักมากจนตาบวมไปหมด ต่างจากคนที่คอยลูบหัวปลอบซึ่งไม่มีท่าทีเศร้าสร้อยหรืออินอะไรเลย

“จิตใจนายทำด้วยอะไรเนี่ย” ผมแขวะภามตอนที่เรากำลังเดินออกจากโรงหนัง

“ผมไม่ได้ดูหนังเลย”

“เอ้า!”

“มัวแต่มองคุณ”

“…”

หยุด...หยุดเลย วันนี้เป็นวันของฉัน นายต้องทำตามแผนที่ฉันวางไว้เท่านั้น อย่ามาทำใจสั่น ไม่เอา

“หน้าแดงอีกแล้ว...” เสียงพูดขำๆ จากคนด้านข้างทำเอาผมสะดุ้งเฮือก สองมือยกขึ้นกุมแก้มร้อนๆ ของตัวเองเหมือนเด็กวัยรุ่นหัดมีความรักครั้งแรก

เดี๋ยวก่อนไอ้เจได...อีกไม่กี่วันมึงก็จะสามสิบแล้วนะ

“ไปซื้อของแล้วกลับห้องกันดีกว่า” พูดไวๆ แบบไม่มองหน้าคนนิสัยไม่ดีเสร็จแล้วผมก็เตรียมเผ่นทันที ติดอยู่ที่ว่าเขาดันคว้าแขนกันไว้ได้ ผมมองภามหวาดๆ กำลังคิดอยู่ว่าเขาจะแกล้งอะไร แต่อีกฝ่ายแค่มองแล้วเลื่อนจากแขนลงไปจับมือ จูงให้เดินตามไปพร้อมกันแทน

“เดี๋ยวคุณหาย” เขาพูดพร้อมรอยยิ้มนิดๆ เหมือนจะแอบทำตาวิบวับด้วยตอนเห็นผมไม่ว่าอะไร ยอมให้จูงมือเดินเป็นเด็กๆ แต่โดยดี

จูงกันไปจูงกันมาแบบนี้ เห็นแล้วนึกถึงตอนอยู่บนเกาะเลย...

เราเดินลงไปที่ชั้นล่างเพื่อหาของเข้าครัวเพิ่ม หลังจากที่ผมไปเปิดตู้เมื่อเช้าแล้วพบว่าวัตถุดิบทำอาหารร่อยหรอเต็มที เห็นภามบอกว่าปกติเขาจะแวะซื้อที่มินิมาร์ททั่วไปซึ่งไม่ค่อยมีของที่เป็นขนาดใหญ่มากนัก เพราะงั้นแค่สองสามอาทิตย์ก็ต้องซื้อใหม่แล้ว ผมเลยถือโอกาสนี้บอกให้เขาซื้อเป็นขนาดใหญ่ไปเลย จะได้ไม่ต้องแวะซื้อบ่อยๆ อีก

“เอาปลาแซลมอนไหม” ภามชี้ไปที่เนื้อปลาแซลมอนตัวโตที่วางขายอยู่ในตู้ ระหว่างที่เรากำลังเข็นรถที่มีของอยู่เต็มคันไปตามทางในซุปเปอร์

“เอาก็ได้นะ นายอยากกินไหม” ผมพยักหน้าสนใจ นานแล้วเหมือนกันที่ไม่ได้กินเนื้อปลาแซลมอนดิบ พูดแล้วก็หิวขึ้นมาอีกรอบเลยเนี่ย

คุณพ่อครัวได้ยินแล้วก็เดินตรงเข้าเลือกซื้อเนื้อปลาด้วยความพิถีพิถัน เขาไล่สายตามองและเลือกด้วยตัวเอง ออกปากสั่งกับพ่อค้าเป็นถ้อยคำสั้นๆ ได้ใจความ จะพยักหน้าหรือส่ายหน้าก็ตอนที่ถูกถามเท่านั้น ไม่ได้พูดอะไรมากไปกว่านั้น แค่แป๊บเดียวก็ได้เนื้อปลาชิ้นโตมาจนได้

“พรุ่งนี้จะทำยำแซลมอนให้กิน” ภามหันมาบอกระหว่างที่เรากำลังรอจ่ายเงินที่เคาน์เตอร์ ผมได้ยินดังนั้นก็ตาเป็นประกาย ท้องร้องล่วงหน้าไปก่อนแล้ว

“พูดแล้วหิวเลยเนี่ย”

ดวงตาที่เดี๋ยวนี้ไม่ได้ว่างเปล่าเหมือนเคยทอประกายอบอุ่นยามเราหันมายิ้มให้กันโดยไร้เหตุผล ผมเองก็จำไม่ได้แล้วว่าเมื่อไหร่ที่ภามเปลี่ยนไปขนาดนี้ ถึงตอนแรกจะแปลกใจเพราะเห็นเขาเป็นแค่เวลาที่อยู่กับผม แต่เมื่อรู้แล้วว่าตัวเองคิดอะไรก็ดีใจขึ้นมาเฉยๆ

แค่กับผมน่ะดีแล้ว...

“คุณภาม!”

เสียงตะโกนเรียกดังกึกก้องทำเอาผมที่กำลังเดินตรงไปที่รถพร้อมภามสะดุ้งเฮือก เกือบสะดุดอากาศตามประสาคนขวัญอ่อน โชคดีที่ได้มือแข็งแกร่งของคนข้างกายดึงแขนไว้ทัน แต่ก็แลกมากับการที่เขาทำหน้ามุ่ย หันไปมองเจ้าของเสียงด้วยความไม่พอใจเหมือนจะตำหนิที่ทำผมสะดุดอากาศ

อันที่จริงไม่ต้องก็ได้...นี่คือความกากของตัวเองล้วนๆ

“คุณภามครับ...” เจ้าของเสียงวิ่งกระหืดกระหอบเข้ามาหา เว้นช่วงห่างจากรถเข็นของเราประมาณครึ่งเมตร “เรื่องที่เกิดขึ้นตอนนั้น...ผมต้องขอโทษด้วยจริงๆ นะครับ”

คนแปลกหน้าโค้งตัวลงเก้าสิบองศา ผมได้แต่มองด้วยความไม่เข้าใจแต่ก็ไม่ได้พูดแทรก แค่ยืนนิ่งๆ อยู่ข้างภามรอฟังพวกเขาคุยกันเงียบๆ

“ผมไม่ได้มีปัญหาอะไร” เสียงราบเรียบของคนข้างกายทำเอาผมต้องหันไปมองแบบไม่คุ้นเคย เพราะเหมือนมันจะแฝงความเย็นชาเอาไว้นิดหน่อยด้วย

“คุณภาม...”

“คุณกรรณก็รู้ดีว่าผมเป็นพวกพูดคำไหนคำนั้น...” ภามตัดบทหน้าตาเฉยชา แม้แต่แววตาก็ว่างเปล่าไร้อารมณ์ “ในเมื่อคุณรักษาข้อตกลงระหว่างเราไว้ไม่ได้ ก็ไม่มีความจำเป็นต้องทำงานร่วมกันอีก”

“ผมไม่คาดคิดจริงๆ ครับว่าคุณพิมพ์เธอจะกล้า...” คุณกรรณที่ภามเรียกทำหน้าตาหนักใจ

ผมว่าผมเริ่มเดาได้แล้วว่าคุณกรรณที่ว่าคือใคร ถึงภามจะไม่เคยเอ่ยชื่อให้ได้ยิน แต่คิดว่าเขาน่าจะเป็นหนึ่งในทีมงานของนิตยสารที่นางแบบเคยมีปัญหากับภามจนทำให้เขามารับผมช้าแน่ๆ เพราะนอกจากวันนั้นผมก็ไม่ได้ยินภามพูดเรื่องปัญหาอะไรให้ฟังอีก

“อืม” ภามส่งเสียงพูดแค่นั้นผมก็รู้แล้วว่าเขาไม่อยากคุยต่อ แต่เพราะไม่อยากให้มีปัญหาติดค้างอะไร ผมเลยหันไปแตะแขนเขา พยายามส่งสายตาบอกให้ใจเย็นๆ เจ้าตัวถึงได้ดูมีท่าทีอ่อนลงบ้าง

“เอ่อ...” คุณกรรณหันมาหาเหมือนเพิ่งเห็นว่าผมยืนอยู่ตรงนี้ด้วย เขาดูมีสีหน้าตกใจพอควร น่าจะเป็นเพราะเห็นผมสนิทสนมกับภาม แล้วก็เห็นเขาดูไม่เย็นชาเวลาหันมาคุยกับผม

“เจไดครับ” ผมยิ้มจางแล้วยื่นมือออกไปตามมารยาท

“ผมกรรณครับ” เขายื่นมือมาจับ แต่แค่แป๊บเดียวก็ต้องผละออกเพราะโดนแววตาคมกริบของคนหน้าปลาตายทิ่มแทง “ต้องขอโทษด้วยนะครับที่มารบกวนเวลาส่วนตัว แต่ผมอยากร่วมงานกับคุณภามอีกจริงๆ เลยอยากจะขอปรับความเข้าใจ...”

พอได้ยินสิ่งที่เขาพูด บวกกับรับรู้ถึงปัญหาแล้ว ผมก็เริ่มเห็นใจพวกเขาขึ้นมานิดหน่อย แม้จะไม่รู้ว่าทำไมถึงอยากปรับความเข้าใจกับภามขนาดนั้น แต่คิดว่าน่าจะเกี่ยวข้องกับชื่อเสียงของช่างภาพคนนี้แน่ๆ

“ภาม…” ผมหันไปมองหน้าภาม ไม่ได้พูดอะไรให้เขายอมให้อภัยคุณกรรณ แต่ส่งสายตาบอกให้รู้ว่าคิดอะไรให้พูดออกไปตามเหตุผล อย่าเอาอารมณ์ที่มีผมเป็นตัวต้นเหตุเข้าไปเกี่ยวข้อง

คนตัวสูงที่อ่านข้อความที่ผมส่งไปหาได้หมดถอนหายใจ มือยกขึ้นลูบหัวกันเบาๆ แบบไม่เกรงใจคนมอง สุดท้ายแล้วถึงหันมาพูดกับผมด้วยสีหน้าอ่อนโยน

“คุณเอาของขึ้นรถก่อนได้ไหม”

“ได้” รับคำเรียบร้อยแล้วผมก็เข็นรถเข็นไปที่รถ เปิดฝากระโปรงหลังขึ้นเพื่อยกของเข้าไปใส่ ไม่ได้สนใจว่าสองคนนั้นจะคุยอะไรกันอีก เพราะแค่รับรู้ว่าผมมีอิทธิพลกับเขาขนาดไหนก็เพียงพอแล้ว

หลังจากปิดรถแล้วภามก็เดินเข้ามาหาพอดี เขาพยักหน้าเป็นเชิงบอกให้ขึ้นรถ พอขับออกมาจากตัวห้างแล้วถึงเริ่มพูดออกมาช้าๆ เกี่ยวกับสิ่งที่เขากับคุณกรรณพูดคุยกัน

“ผมบอกเขาว่าถ้าเป็นงานถ่ายแบบไม่ขอรับอีก แต่ถ้าเป็นงานอื่นๆ ที่เกี่ยวข้องอาจจะคุยกันได้ ถือว่าเจอกันคนละครึ่งทาง”

“แล้วเขายอมไหม”

“ยอม” เขาตอบสั้นๆ แล้วเหลือบตามองผม “อันที่จริงผมไม่อยากร่วมงานด้วยอีก เพราะถึงเหตุการณ์ทั้งหมดจะเกิดจากนางแบบ แต่เขาก็ผิดที่จัดการไม่ได้”

“แล้วทำไม...”

“เพราะเขาบอกว่าผมเหมาะสมกับคุณ”

เดี๋ยวๆ เหตุผลแบบนี้ก็ได้เหรอ

“มองไม่ออกหรือไงว่าเขาพูดเพราะรู้ว่าฉันคือจุดอ่อนของนาย” ผมบ่นเบาๆ ด้วยความไม่เข้าใจ ปกติภามฉลาดจะตายไป

“มองออก แต่ฟังแล้วมันก็รื่นหูอยู่ดี”

เอาที่สบายใจเลย...

หลังกลับไปถึงหอแล้ว สิ่งแรกที่ผมทำคือการหยิบปลาแซลมอนออกมาแล้วเอาไปแช่ตู้เย็น แต่เหมือนจะน้ำลายหกหนักไปนิด คนที่เดินหิ้วของตามมาถึงได้ส่ายหน้าหน่าย เดินไปหยิบปลาออกมาแร่ให้ดูต่อหน้าต่อตา ท่าทางนี่อย่างกับเชฟกระทะเหล็กมาเอง

“นายรู้วิธีทำได้ไง” ผมถามทั้งที่ไม่ละสายตาไปจากปลาหน้าตาน่ากิน พร้อมไม่พร้อมก็หยิบน้ำจิ้มซาชิมิที่ซื้อมาด้วยเทใส่ถ้วยเรียบร้อบแล้ว

“เคยเปิดดูในเน็ตแล้วทดลองกับปลาอย่างอื่นเอา”

“ภาม...นายแม่งโคตรสุดยอด” ว่าแล้วก็ชูนิ้วโป้งให้พร้อมทำหน้าตาเลื่อมใส ได้มาอยู่กับคนทำอาหารเก่งแบบนี้คงต้องบอกว่าเป็นโชคดีของผมจริงๆ

คนฟังไม่ได้ตอบอะไร แต่ทำหน้าเหมือนจะด่าผมทางอ้อม เขาลงมือหั่นแซลม่อนเป็นชิ้นๆ เอาไปจัดใส่จานอย่างสวยงาม เสร็จแล้วก็ยกมาเสิร์ฟที่หน้าเคาน์เตอร์ ผมมองเนื้อปลาสีสมสลับขาวน้ำลายแทบหก แต่ยังห้ามใจไว้ไม่ยอมกินในทันที รอจนภามที่เพิ่งล้างมือเสร็จเดินมานั่งแล้วถึงจิ้มขึ้นมาหนึ่งชิ้นแล้วยื่นไปตรงหน้าเขา

“ให้คุณเชฟก่อนเลย”

“ทำตัวแปลกๆ” ภามหรี่ตาไม่ไว้วางใจแต่ก็งับปลาเข้าปาก เห็นแบบนั้นผมเลยฉีกยิ้ม จิ้มกินเองบ้าง แล้วก็แทบจะตัวลอยเพราะมันอร่อยสุดๆ

“ได้กินอาหารตอนมื้อดึกนี่มันสุดยอดจริงๆ...” แล้วก็อ้วนมากด้วย ดีนะที่ผมอยู่ในช่วงควรเพิ่มน้ำหนักพอดี แม้จะคิดว่ามันคงไม่ขยับไปมากกว่านี้ก็ตาม

กว่าจะจัดการแซลม่อนหมดก็ใช้เวลาเกือบยี่สิบนาที เพราะนอกจากจะกินแล้วผมยังดูทีวีไปด้วย ตอนแรกก็นั่งกินกันสองคนอยู่หรอก แต่พอภามบอกว่าอิ่ม จะไปอาบน้ำก่อน ผมเลยถือจานไปกินหน้าทีวี เขาออกมาอีกทีในชุดนอนผมก็ล้างจานเสร็จพอดี เลยรีบผลัดเข้าไปอาบน้ำบ้าง

ไม่รู้ว่าวันนี้พลังงานเหลือเยอะเกินไปหรืออะไร ผมถึงยังไม่รู้สึกง่วงเท่าไหร่นัก มานอนกลิ้งอยู่บนเตียงกับภามแล้วก็ไม่ได้ปิดไฟกัน เขาเองก็คงเห็นผมยังไม่มีทีท่าว่าจะหลับ ถึงได้นั่งพิงหัวเตียงมองกันเงียบๆ โดยไม่ได้พูดอะไร

“ตอนกลางวันผมแวะไปหาแม่คุณมา” ภามเริ่มเปิดประเด็นชวนคุยด้วยเรื่องที่ทำเอาผมแอบเบะปาก

“ทำคะแนนใหญ่เลยนะ”

ครั้งนี้ไม่ใช่ครั้งแรกที่ภามแอบเข้าไปหาแม่ผมตามที่ท่านเคยขอให้ไปกินข้าวเป็นเพื่อนบ่อยๆ เพราะในช่วงสามเดือนที่ผ่านมา อย่างน้อยอาทิตย์ละหนึ่งครั้งนอกจากศุกร์เสาร์ที่เข้าไปนอนบ้านกันอยู่แล้ว เขาจะเข้าไปกินข้าวกลางวันเป็นเพื่อนแม่ผมตลอด เสร็จแล้วพอตกดึกก็จะเอาเรื่องที่คุยกับแม่มาเล่าให้ฟัง อย่างครั้งก่อนได้ข่าวว่าแม่เอารูปผมตอนเด็กให้ดู แน่นอนว่ามันย่อมมีรูปล่อนจ้อนปนอยู่ด้วย ไอ้บ้านี่ถึงขนาดเอาโทรศัพท์ถ่ายเก็บเอาไว้ ผมเอาไปกดลบก็บอกว่าในคอมฯ ก็มีเหมือนกัน เอาซะผมไปต่อไม่เป็นเลย

“วันนี้ผมถามคุณแม่ว่าทำไมท่านกับคุณพ่อถึงยอมรับง่ายๆ”

“หืม…” ผมหันไปมองภามด้วยความสนใจ เหมือนว่าวันนี้จะเป็นประเด็นจริงจังที่สุดเท่าที่เคยได้ฟังเขาเล่ามาแล้ว

“ท่านบอกว่าภาพตอนที่คุณหมดเรี่ยวหมดแรง หาหนทางในการเดินต่อไม่เจอมันติดตามาจนถึงทุกวันนี้” ภามหันมามองหน้าผมด้วยแววตาอ่อนแสง พร้อมกับดึงมือไปกุมไว้ที่ตักตัวเอง “ตั้งแต่นั้นมาท่านก็คุยกับคุณพ่อ บอกว่าขอแค่คุณมีความสุข ไม่ว่าอะไรก็ยอมทั้งนั้น”

“งั้นเหรอ...” ก็เพราะว่าพ่อกับแม่ของผมเป็นแบบนี้แหละ ผมถึงได้รักและเป็นห่วงพวกท่านเอามากๆ จนเลือกที่จะไปกลับบ้านไกลๆ แทนที่จะหาคอนโดใกล้ๆ โรงพยาบาลอยู่ ถ้าไม่ใช่เพราะภามเข้ามามันก็คงเป็นแบบนั้นตลอดไป

“คุณแม่บอกว่าท่านขอบคุณที่ผมทำให้คุณกลับมายิ้มและมีชีวิตชีวาได้อีกครั้ง รวมถึงขอบคุณที่ผมทำให้คุณก้าวออกจากกรอบของตัวเองได้สำเร็จ” ภามยิ้มกว้างขึ้นเล็กน้อย ท่าทางมีความสุขมากจนผมไม่กล้าพูดแทรก “ท่านบอกว่าถ้าไม่ใช่ผม คุณคงไม่ยอมมานอนที่คอนโดแบบนี้ แต่จะเกาะอยู่กับท่านตลอดไป”

“ตามนั้นแหละ” ผมหัวเราะอารมณ์ดีเมื่อได้ยินเรื่องที่ภามเล่า แม่เคยบอกให้ผมมาอยู่คอนโดนานมากแล้ว บอกให้ผมได้ใช้ชีวิตของตัวเองบ้าง แต่ผมไม่เคยเข้าใจความหมายของมันเลย...จนกระทั่งได้เจอภาม

อย่างที่เคยบอก...แม่คงอยากให้ผมมีใครสักคนที่จะอยู่ในพื้นที่ที่ใช้ร่วมกัน เหมือนที่แม่เลือกใช้พื้นที่ร่วมกันกับพ่อ ที่สุดแล้วผมก็ต้องมีชีวิตคู่ที่เป็นของตัวเองอยู่ดี

ก่อนหน้านี้ผมไม่เคยเข้าใจว่าสิ่งที่เป็นอยู่คืออะไร ไม่เคยคิดอยากหาคำตอบว่าทำไมถึงอยู่ตรงนี้กับภาม ทำไมถึงเป็นเขาที่ยอมให้ทุกอย่าง ไม่เคยถามตัวเองด้วยซ้ำว่าการที่ยอมให้เขาไปรับไปส่งจนถึงขั้นยอมมานอนที่คอนโดด้วยมันหมายความว่ายังไง

นั่นเป็นเพราะในใจลึกๆ ผมรู้คำตอบดีอยู่แล้วแต่่ยังต้องการความแน่ใจ และระยะเวลาสามเดือนที่ผ่านมาก็คือเดดไลน์ที่ผมมอบให้ตัวเอง

ตอนนี้คำตอบทุกอย่างชัดเจนแล้ว

“ภาม…” ในที่สุดผมก็หาโอกาสประจวบเหมาะในการดำเนินแผนการของตัวเองได้เสียที หลังจากวันนี้พยายามเกริ่นเข้าเรื่อง เอาอกเอาใจเขาสารพัด

“หืม”

“ทำไมถึงทำให้กันขนาดนี้ล่ะ” ขอแค่ภามพูดออกมาทุกอย่างก็จะเสร็จสิ้น “ที่ทำดีต่อกันทุกอย่าง ทั้งที่ฉันไม่เคยชัดเจนอะไรเลย ทำไมเหรอ”

“ผมก็ทำให้คุณแบบนี้มานานแล้ว” เขาตอบแล้วค่อยๆ ดันตัวผมให้เอนลงนอน

“แล้วเพราะอะไรเล่า”

ภามมองหน้าผมแบบงงๆ เหมือนไม่เข้าใจว่าผมต้องการอะไร แต่เขาก็ยังตอบออกมาตามตรง

“เพราะผมอยากดูแลคุณ”

“แล้วทำไมนายถึงอยากดูแลฉัน” คือนี่ทอดสะพานจนหน้าบางลงทุกทีแล้วนะ ช่วยตอบให้ตรงความต้องการสักทีจะได้ไหม

“ผมเคยบอกหลายรอบแล้ว” เขาว่าแล้วยื่นมือมาขยี้หัวผม แถมยังเลื่อนผ้าห่มมาคลุมตัวให้ด้วย “นอนได้แล้ว พรุ่งนี้ต้องตื่นเช้าไปทำงาน”

“แต่…”

“นอน”

   โวะ...ทำไมทีอยากให้พูดออกมาถึงไม่พูดสักทีเนี่ย หมดกันบรรยากาศที่กูบิ้วมาในใจ

   พูดออกมาสิฟะว่าชอบ แค่นายพูดว่าชอบฉันจะได้บอกว่าชอบเหมือนกัน ทีนี้ก็จะใจตรงกันแล้วไง แค่ทำใจพูดก่อนไม่ได้เพราะปากมันหนักโคตรๆ เฉยๆ

   ชัดเจนน่ะชัดเจน เข้าใจไหม พยายามหลอกล่อทุกวิถีทางให้พูดออกมาแล้ว จะมาตามไม่ทันอะไรเอาตอนนี้เนี่ย

‘ที่คุณอธิบายมามากมาย พยายามไม่ให้ผมเข้าใจผิด...แบบนั้นเรียกว่าอะไร’

   เพราะชอบไงเล่าถึงไม่อยากให้เข้าใจผิด

   ไหนใครบอกซึน แค่ใช้เวลาคิดนิดหน่อยเอง

   ทีนี้ก็เลิกด่ากันเลยนะ   



————————



TALK : น้องภามขอตามไม่ทันบ้าง นานๆที ฮ่าๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.29]== [10/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: killua1a ที่ 10-09-2018 19:13:41
ึบอกรักไปเลยภามเอ้ย​ มีแฟนแบบภามนี่มันดีจริงๆ​ เอาใจทำให้ทุกอย่าง​  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.29]== [10/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 10-09-2018 19:16:58
ปากหนักจริงๆตาคนนี้เนี่ย อยากจับมาบีบปากให้ร้อง5555 เอ็นดู :mew1:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.29]== [10/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: pui ที่ 10-09-2018 20:40:19
ภามละมุนมากกกกกก
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.29]== [10/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 10-09-2018 23:12:16
น้องภาม อบอุ่นอีกแล้ววววววว

รักน้องภามค่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.29]== [10/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 12-09-2018 03:07:22
นี่มันมีอะไรที่ไม่ชัดเจนอีกเหรอเนี่ย  :hao4:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.29]== [10/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: สีหราช ที่ 12-09-2018 16:34:52
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.29]== [10/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 12-09-2018 19:28:20
-30-



คงต้องยอมรับว่าการซุบซิบนินทาเป็นสิ่งที่มีอยู่ในทุกสังคม ตั้งแต่ในโรงเรียน ในมหา’ลัย ตามสถานที่ต่างๆ หรือแม้แต่ในโรงพยาบาลเองก็เหมือนกัน ตอนอยู่มัธยมผมถูกมองว่าเป็นหัวโจกของกลุ่มเด็กเกเร ถึงจะไม่เคยไปต่อยตีกับใคร แต่ก็เป็นเด็กหลังห้องที่โดนหมั่นไส้จากหลายกลุ่ม เรื่องโดนนินทานี่สารพัดจะโดน เพราะนอกจากจะหน้าตาดีแล้วผมยังเรียนเก่งสุดๆ โชคดีที่เป็นคนอัธยาศัยดี พอเข้าไปตีสนิทกับคนอื่นๆ ได้มันเลยพัฒนาจากกลุ่มที่ไม่ชอบขี้หน้ากัน กลายเป็นเพื่อนนอกกลุ่มแทน

พอมาถึงระดับมหา’ลัย ความเกรียนเริ่มจางหายไป เนื่องจากตั้งใจสอบจนติดแพทย์ เรียนหนักมันตั้งแต่ปีหนึ่ง บวกกับได้มาเจอพวกเก่งๆ เหมือนกันเลยต้องพยายามมากกว่าเดิม ดีที่ตอนเข้าไปได้รับเลือกให้ไปประกวดเดือน สุดท้ายเลยจับพลัดจับผลูได้เพื่อนสนิทนอกคณะมาสองคน และน่าจะเป็นเพื่อนมหา’ลัยเพียงสองคนที่ยังคงสนิทและพูดคุยอยู่จนถึงปัจจุบัน ช่วงนี้จะดีหน่อยเพราะนอกจากโดนนินทาด้วยความชื่นชมเรื่องหน้าตาดีกับเรียนเก่งก็ไม่มีอะไรมากมาย

อ่อ...ไม่นับที่เคยโดนเพื่อนในคณะมองแรงเพราะได้คะแนนเป็นที่หนึ่งทุกรอบนะ

ส่วนในโรงพยาบาล...อันที่จริงผมเป็นพวกรู้จักคนไปทั่ว อย่างที่บอกว่าตั้งแต่คุณยามหน้าโรงพยาบาล ไม่ว่าจะกี่กะก็รู้จักกันหมด แม่ครัวนี่นานๆ จะได้เจอทีเพราะเดี๋ยวนี้ไม่ค่อยไปกินแต่ก็ยังจำชื่อกันได้ ไม่ต้องพูดถึงบุคลากรในโรงพยาบาลคนอื่นๆ อย่างพวกคุณพยาบาลหรือคุณหมอด้วยกันเลย

และนั่นแหละประเด็น...

“พี่ได้ข่าวว่าคุณหมอมีแฟนแล้วเหรอคะ โธ่...เสียใจแย่เลยเนี่ย”

“หมอเจได! ทำไมทิ้งสมาคมหมอโสดไปง่ายๆ งี้ล่ะ”

“หมอเจไดพาแฟนมาแนะนำให้รู้จักบ้างสิคะ”

ระดับคนโตๆ กันแล้วในโรงพยาบาล ซุบซิบลับหลังอะไรไม่รู้จัก ถามกันต่อหน้าแบบแมนๆ เลย นี่ตั้งแต่เช้ามาผมโดนถามไปแล้วประมาณยี่สิบรอบถ้วนจากบุคคลไม่ซ้ำหน้า คงเพราะวันนี้ภามเดินเข้าไปส่งถึงแผนกแล้วจอดรถไว้ที่ชั้นล่าง ตอนเดินเข้าตึกเลยต้องเดินจากชั้นล่างสุดไปขึ้นลิฟต์

เป็นคนดังนี่มันลำบากจริงๆ...

หลายวันมานี้ผมทำตัวชัดเจนกับภามมากขึ้น ยังคงพยายามทำให้เขาพูดออกมาว่าชอบอยู่เหมือนเดิม แต่ไม่รู้จู่ๆ เจ้าบ้านั้นสมองช้าขึ้นมาหรือยังไงถึงได้ตามไม่ทัน ไม่รู้สักทีว่าผมต้องการอะไร จนผมคิดว่ายังไงก็ต้องพูดก่อน แต่ว่า...

‘ภาม’

‘หืม’

‘คือฉันชะ....’

‘…’

‘ชอบ...ชอบรูปที่นายถ่ายให้ดูมากเลย โคตรเจ๋ง’

ไม่ว่าจะพยายามพูดอีกสักกี่รอบ ไม่พ้นต้องโยงไปเรื่องอื่นตลอด หน้าที่บางอยู่แล้วเหมือนจะบางลงเรื่อยๆ ทุกครั้งที่ได้พูดคุยกัน แค่มองตาเขา เห็นว่าเขากำลังมองกลับด้วยแววตาแบบไหน ผมก็ตัวสั่นใจสั่นไปหมดจนไม่กล้าพูดอะไรต่อแล้ว นับประสาอะไรกับการสารภาพรักที่ยากโคตรๆ โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ไม่เคยมีประสบการณ์มาก่อน

“คิดอะไรอยู่เหรอคะคุณหมอ” พี่ต๊ะ พยาบาลวัยกลางคนที่ยังสวยไม่สร่างทักขึ้นระหว่างที่เข้ามาส่งเอกสารให้ผม

“คิดเรื่อยเปื่อยครับพี่ต๊ะ”

“แหม...พี่ก็คิดว่าคุณหมอกำลังคิดถึงใคร”

“ผมจะคิดถึงใครกันล่ะครับ” ว่าไปนั่น แต่มีหรือผมจะไม่รู้ว่าเธอหมายถึงใคร

“ก็แบบ...พ่อหนุ่มหน้าตาดีที่มารับมาส่งบ่อยๆ ไงคะ”

นั่นไง...

“พี่ต๊ะก็พูดไป จะว่าไปแล้วเหมือนเมื่อเช้าผมเห็นพี่ลงมาจากรถเก๋งของใครน้า...”

“ตายจริง พี่ไม่คุยกับคุณหมอแล้วค่ะ”

หลังแซวกันพอหอมปากหอมคอคุณพยาบาลคนสวยก็เดินออกไป ทิ้งให้ผมนั่งหัวเราะอยู่เพียงลำพัง เห็นสวยๆ แบบนี้แต่จริงๆ แล้วพี่ต๊ะแกยังไม่มีแฟนหรอก ครั้งหนึ่งเคยประกาศต่อหน้าคนไข้ที่เข้าไปจีบเลยว่าชอบคนเด็กกว่า ทำเอาคนไข้ไปไม่เป็น ถึงอย่างนั้นก็ยังเทียวมาหา มาขายขนมจีบอยู่นานหลายปี ล่าสุดพี่แจนบอกผมว่าพี่ต๊ะใจอ่อน ยอมให้มารับมาส่งแล้ว

เพราะงั้นที่พูดไปนั่นไม่ได้เห็นจริงหรอก ผมก็พูดไปเรื่อยเฉยๆ แต่เห็นทีคงเป็นเรื่องจริงแน่ๆ เธอถึงได้หน้าแดงแล้วรีบเดินออกไปแบบนั้น

ก๊อก ก๊อก

“คุณหมอคะ มีคนรออยู่ด้านนอกค่ะ”

“ขอบคุณครับพี่แจน” ผมพยักหน้าให้พี่แจนแล้วหันกลับมาเก็บของ คิดว่าคนที่รออยู่น่าจะเป็นภามเหมือนทุกวัน แต่เมื่อเดินออกไปกลับต้องเลิกคิ้วขึ้นสูงด้วยความงุนงง เพราะคนที่ยืนรอผมอยู่ไม่ใช่คนที่คิดเอาไว้

“ไง”

“พ่อ?” ตาแก่ในชุดสูทดูดีมาทำอะไรตรงนี้

ผมเผลอทำหน้าแหยงเมื่อเห็นว่าพ่ออยู่ในชุดเต็มยศ แถมผมเผ้ายังเรียบตึงดูดี เห็นแต่งตัวแบบนี้เมื่อไหร่ไม่ชินตาทุกที แล้วยิ่งหันไปเจอท่าทีเกร็งๆ ของคุณพยาบาลกับคนอื่นๆ ผมยิ่งไม่โอเคเข้าไปใหญ่

อยากจะให้ทุกคนไปเห็นตัวจริงของคุณผู้อำนวยการคนนี้เหลือเกิน

“วันนี้แกกลับบ้านพร้อมฉัน” พ่อเอ่ยด้วยท่าทีสุขุม ในขณะที่ผมพยายามกลั้นขำจนไหล่สั่นไปหมด “แม่แกบอกว่าวันนี้จะทำปิ้งย่างกินกัน”

“งั้นเดี๋ยวผมบอกภามก่อน” ผมเดินเข้าไปหาพ่อพร้อมควักโทรศัพท์ขึ้นมา ตั้งท่าจะกดโทร

“ไม่ต้อง ฉันบอกแล้วว่าให้ไปเจอกันที่บ้านเลย เห็นว่าวันนี้เลิกช้าอยู่แล้วด้วย”

ดูซะก่อนว่าภามพัฒนาไวขนาดไหน ล่าสุดมีช่องทางการคุยแบบส่วนตัวกับพ่อผมเรียบร้อยแล้ว เห็นว่าถ้าว่างจะพากันไปตีกอล์ฟด้วย คงไม่ต้องบอกนะว่าพ่อกับแม่ถูกใจลูกชายคนใหม่มากขนาดไหน

“โอเค” รับคำเสร็จแล้วผมก็เดินตามหลังพ่อออกไปขึ้นรถ โดยไม่ลืมส่งไลน์ไปบอกภามว่าไว้เจอกันที่บ้านตามความเคยชิน รู้สึกแปลกๆ อยู่เหมือนกันที่วันนี้ไม่ได้กลับบ้านพร้อมเขา หลังตัวติดกันมานานหลายเดือน

“อะไร กลับบ้านกับฉันมันแย่ขนาดนั้นเลยหรือไงไอ้ลูกบ้า” คนขับรถที่หน้าตาเหมือนลุงข้างบ้านพูดขึ้นมาแล้วปลายตามองผมแบบจิกกัด

“คิดมากนะเรา วัยทองแล้วใช่ไหมลุง” ผมย้อนแบบไม่ยอมแพ้

เราเริ่มเถียงกันไปตลอดทางจนถึงบ้านแล้วก็ยังเถียงอยู่ จะหยุดงุ้งงิ้งกันได้ก็ตอนที่คนสวยเดินออกมา คงเพราะได้ยินเสียงรถนานแล้วแต่ไม่มีใครเข้าไปข้างในเสียที

“ว่าแล้วเชียว...หยุดเดี๋ยวนี้เลยนะสองพ่อลูก!”

“หึ!” พ่อกับผมสะบัดหน้าไปคนละทาง ยังเถียงไม่จบเลยว่าบอลทีมไหนเก่งกว่า ต้องโทษพ่อนั่นแหละที่ยกเรื่องนี้ขึ้นมาพูด ดูก็ไม่ได้ดูกับใครเขาเพราะไม่มีเวลากันทั้งคู่ ยังอุตส่าห์เอามาเป็นประเด็นเถียงได้ตั้งแต่มัธยมยันปัจจุบัน

“หยุดทำหน้าตึงกันแล้วมาช่วยแม่เตรียมของเร็วเข้า เดี๋ยวลูกภามมาก่อนจะทำยังไง ทำงานมาเหนื่อยๆ ด้วย” คนสวยบ่นกระปอดกระแปดไม่พอ ยังก้าวเดินเข้ามาลากผมกับพ่อผู้ซึ่งเพิ่งกลับมาเหมือนกันเข้าไปในบ้าน ปากก็พูดไม่มีหยุดว่าอยากให้ภามมาถึงแล้วได้กินข้าวเลย ไม่ใช่ต้องมารอนั่นรอนี่อีก

เดี๋ยวนะครับแม่...ได้ข่าวว่าผมก็เพิ่งกลับมาเหนื่อยๆ เหมือนกัน

บ้านผมไม่ได้ใหญ่โตถึงขนาดมีสระว่ายน้ำอะไร ก็แค่มีสวนเต็มรูปแบบ มีน้ำตกจำลอง มีบ่อปลาที่คนสวยหวงเอามากๆ ยังไม่นับบรรดาพืชพันธุ์ต่างๆ ที่พ่อไปสรรหามาอีก อันนี้ไม่ได้อวดนะ พูดให้รู้เฉยๆ ว่าบ้านไม่ได้ใหญ่ แต่พื้นที่นอกบ้านที่จะใช้จัดงานอะไรนี่เยอะมาก

ทันทีที่เดินไปดูพื้นที่หลังบ้านซึ่งกำลังจะกลายเป็นที่ทานอาหาร ผมก็ต้องเบิกตากว้าง ไม่ใช่เพราะแม่จัดการเปิดไฟสว่างทั่วหรือเอาพัดลมอะไรมาวางพร้อม แต่เพราะปริมาณอาหารต่างหาก...

เยอะแยะขนาดนี้ ไม่ว่าจะดูยังไงมันก็เหมือนจะมีคนกินสิบคนมากกว่าสี่คนนะ

“แม่ทำเลี้ยงคนทั้งซอยเหรอครับ” ผมหันไปกอดคนสวยแล้วเอาหัวถูไถบ่าเล็กอย่างออดอ้อน ไม่สนใจพ่อที่กำลังยกจานชามออกไปด้านนอกและหันหน้ามามองแรงใส่

“เลี้ยงไม่กี่คนนี่แหละจ้ะ แต่มีโอกาสพิเศษนิดหน่อย” ท่านหัวเราะคิกคักถูกใจในเรื่องที่ผมไม่เข้าใจ แต่แค่แป๊บเดียวก็หันมาบีบแก้มผมเบาๆ อย่างคนรู้ทัน “ไม่ต้องอู้เลย ไปช่วยพ่อยกของเร็วเข้า เดี๋ยวลูกภามของแม่มาแล้วต้องรออีก”

“ผมก็ลูกแม่นะ...”

“ลูกคนเก่าจะสู้ลูกคนใหม่ได้ยังไง”

“ผมสู้ภามไม่ได้ตรงไหน”

“จะให้แม่พูดจริงๆ เหรอ...”

ไม่ดีกว่า...ดูจากสีหน้าเหยียดหยามของผู้ให้กำเนิดแล้วหมดกำลังใจ

ผมแกล้งทำทีเป็นงอนแล้วเดินตึงตังเข้าไปยกของด้านใน แต่แกล้งได้แค่แป๊บเดียว พอคนสวยเอาน้ำมาให้ดื่มก็กลับไปดี๊ด๊าเหมือนเดิม หลังออกไปจัดการข้าวของเรียบร้อยหมดแล้ว ภามก็ทักไลน์มาบอกว่าอาจจะมาถึงช้าหน่อย ให้กินไปก่อนได้เลย

“แม่ว่ารอก่อนดีกว่า” คนสวยว่าแบบนั้นแล้ว ผู้ตามอย่างผมกับพ่อจะทำอะไรได้นอกจากเข้าไปนั่งดูทีวีรอ แล้วก็เถียงนั่นเถียงนี่กันต่อเหมือนเดิม

“เจได” จู่ๆ คนที่ทำทีเล่นทีจริงมาตลอดก็เรียกเสียงจริงจัง ผมที่กำลังนั่งแทะข้าวโพดแก้หิวเลยหยุดชะงัก ต้องหันไปมองหน้าพ่อด้วยความจริงจังตามไปด้วย “ไปคุยกันหน่อยไหม”

พ่อเดินนำผมออกไปนอกบ้าน ไม่ลืมหันไปบอกแม่ที่อยู่ในครัวว่าจะไปเดินเล่นกัน ซึ่งท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร เหมือนจะรู้และเข้าใจเรื่องราวอยู่แล้ว เราเดินออกจากบ้าน ตรงไปตามถนนยามค่ำคืนโดยไม่ได้พูดอะไรกันในทีแรก จนกระทั่งเดินมาถึงสนามเด็กเล่นคุ้นตา พ่อถึงได้เดินไปนั่งลงบนชิงช้าแล้วเริ่มพูดออกมา

“มานั่งสิ”

ผมเดินไปนั่งบนชิงช้าข้างพ่อ ตาทอดมองไปยังโดมรูปหัวเห็ดนิ่งงัน นึกไปถึงความทรงจำครั้งล่าสุดที่ได้เข้าไปนั่งมองฟ้ากับใครบางคนแล้วก็ร้อนวูบวาบไปทั้งหน้า จนต้องหาทางออกด้วยการหันไปคุยกับพ่อที่กำลังเงยหน้ามองท้องฟ้าอยู่เงียบๆ

“พ่อมีอะไรจะคุยกับผมใช่ไหม”

“ไม่มีแล้วจะเรียกออกมาหรือไง”

ดูคนเรา...แล้วแบบนี้จะให้ญาติดีกันถึงสองนาทีได้ยังไง

“พ่อจะพูดอะไรก็พูดมาเลย ขืนให้ลูกชายคนใหม่ของแม่รอ เดี๋ยวได้โดนไล่ไปนอนนอกบ้านกันทั้งคู่หรอก” ผมพูดความจริงหนึ่งส่วน แขวะคนที่ได้กลายเป็นลูกรักอีกหนึ่งส่วน ซึ่งดูเหมือนตาแก่ด้านข้างผมเองก็คิดแบบเดียวกัน ถึงได้ทำปากเบะเป็นสระอิซะขนาดนั้น

“เด็กนั่นบอกฉันว่าแกคือสิ่งที่เขาตามหา”

“…” เดี๋ยวพ่อ...เปิดประเด็นงี้เลยเหรอ

“การที่ใครคนหนึ่งกล้าบอกว่าใครอีกคนคือสิ่งที่เขาตามหา มันไม่ใช่แค่เรื่องเล่นๆ แล้วนะ” พ่อไม่ได้หันมามองหน้าผม แต่น้ำเสียงที่พูดแสดงออกชัดเจนว่าเข้าสู่ช่วงจริงจังแล้ว และจะไม่มีการล้อเล่นเกิดขึ้นอีกจนกว่าจะคุยกันรู้เรื่อง “อีกสองวันแกก็จะสามสิบแล้วนะเจได จะทำอะไรก็คิดให้รอบคอบ”

อีกสองวันเหรอ...ลืมไปเลยว่าตัวเองเกิดวันที่เท่าไหร่ หลายปีมานี้แทบไม่ได้สนใจเลยด้วยซ้ำ

“พ่อรับได้เหรอ...” ผมถามขึ้นมาลอยๆ เหมือนไม่ได้ซีเรียสอะไร แต่จริงๆ แอบเครียดอยู่นิดหน่อย ถึงจะได้ฟังคำตอบจากที่ภามเคยเล่าไปแล้วรอบหนึ่ง แต่ถ้าได้ฟังจากปากเองคงให้ความรู้สึกอีกแบบ

“รับได้อะไร ที่มีผู้ชายมาชอบแก หรือที่แกชอบผู้ชาย”

“ก็...ทั้งสองอย่าง”

“อายุปูนนี้แล้ว ในเมื่อหาเมียไม่ได้จะมีผัวก็ไม่แปลกหรอก” พ่อเหลือบตามองผมแล้วทำหน้าเหยียดหยามใส่ ไม่ได้เหยียดเรื่องผู้ชายหรืออะไรหรอก แต่เหยียดเรื่องอายุต่างหาก ได้ข่าวว่าแก่กว่าผมอีกเถอะนะ

“พ่อแก่กว่าผมกี่รอบ อย่ามาพูดเลย”

“เออ! นิดๆ หน่อยๆ ไม่ได้เลยนะเรื่องอายุเนี่ย”

“พ่อก็เหมือนกันแหละ”

เราสองพ่อลูกมองหน้ากันแล้วก็หัวเราะออกมา นานแล้วที่ไม่ได้อยู่ด้วยกันสองคน พูดคุยเรื่องทั่วไป มองท้องฟ้าด้วยกัน ปกติถ้าไม่ใช่เรื่องงานก็ทะเลาะกันให้แม่ห้ามตลอด ผมเกือบจะลืมไปแล้วเหมือนกันว่าตอนเด็กๆ ที่ไม่ต้องคิดอะไรมากมาย ได้ไปเที่ยวกับพ่อแม่นานๆ ครั้งมันมีความสุขขนาดไหน

ตั้งแต่จำความได้พ่อของผมก็ทำงานเป็นหมอมาโดยตลอด แต่ละวันต้องตื่นเช้าไปโรงพยาบาล กลับบ้านทีมืดค่ำ บางครั้งก็ไม่ได้กลับเพราะต้องเข้าเวร ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่เคยเหงา ไม่เคยรู้สึกว่าขาดอะไรเลย ผมชื่นชมพ่อมาก มองพ่อเป็นฮีโร่มาโดยตลอด และนั่นเป็นหนึ่งในเหตุผลที่ทำให้ผมอยากเป็นหมอ ซึ่งมันคือเหตุผลที่ไม่เคยบอกใครมาก่อน

“ทำไมฉันถึงตั้งชื่อแกว่าเจไดวะ”

“ผมจะรู้พ่อไหมเนี่ย” จำได้ว่าเคยถามอยู่เหมือนกัน แต่ไม่ว่ายังไงพ่อก็ไม่ยอมบอก หาเรื่องกวนกันได้ตลอดจนหมดอารมณ์ถามไปแล้ว

“แค่ไม่เข้าใจว่าทำไมถึงเอาชื่อเท่ๆ อย่างนั้นมาตั้งให้ลูกกากๆ แบบนี้” พ่อว่าแล้วส่ายหน้าหน่าย เหมือนผิดหวังมากจริงๆ ที่มอบชื่ออันทรงเกียรติให้ผม

“อย่าบอกนะว่าตั้งชื่อนี้ให้เพราะมันเท่เฉยๆ...”

“ถ้าไม่ใช่เหตุผลนั้นแล้วจะเป็นอะไรได้อีก”

โอเคเลย...คำถามที่ติดค้างในใจมานาน สุดท้ายคำตอบคือเพราะมันเท่

อันที่จริงผมก็ควรชินอยู่หรอก เพราะตั้งแต่เด็กพ่อก็เป็นแบบนี้แหละ เวลาไปเที่ยวด้วยกันทีไร ถ้าไม่หาเรื่องแกล้งสิแปลก แทนที่นานๆ ได้มาเที่ยวกับลูกแล้วจะอ่อนโยนตามใจนู่นนี่นั่น ไม่เลย...พ่อบอกว่าเกิดเป็นลูกผู้ชายต้องแข็งแกร่ง

ไงล่ะ...โตมาอ่อนแอเป็นเต้าหู้

“พ่อคงไม่ได้เรียกผมมาคุยเพื่อเปลี่ยนสถานที่ทะเลาะกันเฉยๆ หรอกใช่ไหม” ผมหันไปถามพ่ออีกรอบ คราวนี้คนฟังร้องเออออกมาทันที ทำท่าเหมือนจะลืมไปแล้วว่าตอนแรกจะพูดอะไร

“เพราะแกนั่นแหละเปลี่ยนเรื่อง”

“อย่ามาโทษผม”

“ตอบมาสั้นๆ ก็พอ ขี้เกียจเถียงด้วยแล้ว” ตาแก่โบกมือไปมาแล้วลุกขึ้นยืน เดินมาหยุดอยู่ตรงหน้าผม “แน่ใจแล้วใช่ไหมที่เลือกคนนี้”

ตอนแรกผมคิดจะกวนกลับไปเหมือนปกติ แต่เมื่อเห็นแววตาเจือความห่วงใยของพ่อ ปากก็หยุดชะงักแทบจะทันที เหมือนจับสัญญาณได้ว่าท่านกำลังจริงจังอยู่ และถ้าผมตอบแบบเล่นๆ กลับไป พ่ออาจจะคิดว่าผมไม่ได้คิดอะไรกับภามมากไปกว่าที่เป็นอยู่

ซึ่งผมไม่ต้องการแบบนั้น...

“แน่ใจครับ”

ความรู้สึกที่ผมมีให้ภามมันชัดเจนอยู่แล้ว เพียงแค่ยังไม่ได้เปิดใจพูดออกไปเท่านั้นเอง

“เออ ต้องชัดเจนแบบนี้สิวะ” พ่อยื่นมือมาตบบ่าผมแล้วพูดด้วยความพออกพอใจ บรรยากาศเคร่งเครียดจางหายไปจนหมด เหลือแค่ความเป็นกันเองและสบายๆ เหมือนเก่า

 ผมเห็นแบบนั้นเลยลุกขึ้นยืน คิดว่าป่านนี้ภามน่าจะถึงบ้านแล้วเลยหยิบโทรศัพท์ออกมา แต่ยังไม่ทันได้กดดูก็ได้ยินเสียงแซวเล่นของพ่อดังขึ้นก่อน

“ชอบเขามากสิท่า...หรือว่ารักไปแล้วกันแน่”

“ชอบเชิบไร มั่ว” ว่าแล้วก็ยักไหล่ไม่แคร์ให้หนึ่งที “อย่างผมเหรอจะชอบคนแบบนั้น ไม่มีทางซะหรอก ฝันไปเถอะ พ่ออย่ามาหาจุดอ่อน”

“ปากดีนะแก”

“พูดความจริงล้วนๆ” ผมหัวเราะฮ่าๆ ใส่หน้าพ่อ ท่านเองก็คงรู้อยู่แล้วว่าผมล้อเล่นเลยทำหน้าเหนื่อยใจตอบกลับมา

“ไม่เคยหวั่นไหวเลย”

“ไม่เคย”

“ไม่มีทางรักเลยว่างั้น”

“ไม่มีทาง”

“แล้ว...” คนที่กำลังทำท่าจะพูดอะไรออกมาชะงักค้างไปกะทันหัน ผมเองเลยชะงักตามไปด้วย แต่เพราะพ่อไม่พูดอะไรออกมาสักทีเลยเลิกสนใจ ก้มหน้ามองโทรศัพท์ในมือแทน

เอ้า...ภามไลน์มาตั้งแต่เมื่อหนึ่งนาทีก่อน

asdf: ถึงแล้ว แต่เห็นคุณคุยกับพ่ออยู่ที่สนามพอดี ผมรอที่รถนะ

เดี๋ยวนะ...

เหมือนจะเริ่มจับเค้าลางบางอย่างได้

ผมหันไปด้านหลังด้วยความรวดเร็ว ก่อนจะต้องเบิกตากว้าง เมื่อพบว่าคนตัวสูงที่เพิ่งส่งไลน์มาหายืนอยู่ห่างไปประมาณสามก้าว ใบหน้าคมราบเรียบไร้ความรู้สึก หากดวงตาว่างเปล่าคู่นั้นกลับดูเจ็บปวดอย่างเห็นได้ชัด

ท่าทางแบบนี้...อย่าบอกนะว่าได้ยินที่ผมพูดเล่นกับพ่อ

“เดี๋ยว...”

ยังไม่ทันพูดจบประโยค ภามก็หมุนตัวเดินกลับไปขึ้นรถแล้วขับออกไปต่อหน้าต่อตาผม ไม่เปิดโอกาสให้พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว

กลางดึกที่เงียบสงัด ผมเพิ่งหัวเราะเฮฮากับพ่อไปเมื่อสองนาทีก่อน แต่มานาทีนี้ผมถูกคนที่ตัวเองชอบงอนเรียบร้อยแล้ว กลายเป็นความเอ๋อแดกที่เข้ามาแทนที่ พร้อมๆ กับความหัวร้อนต่อโชคชะตาที่ดันพาให้ภามเดินเข้ามาได้ยินตอนผมคุยเล่นกับพ่อทั้งที่ยังหันหลัง จนเขามองไม่ออกว่าสิ่งที่พูดคือเรื่องจริงหรือเรื่องล้อเล่น

“เหมือนจะมีคนเข้าใจผิดนะ...” ตาแก่ที่ยืนอยู่ข้างผมยกมือเกาหัวแกรกๆ “ท่าทางน่าจะคิดไปแล้วว่าที่ฉันยิ้มเฮฮาเป็นเพราะดีใจที่แกบอกว่าไม่ได้ชอบ”

“รู้แล้ว”

“ไม่เคยหวั่นไหว”

“รู้...”

“ไม่มีทางรัก”

“รักสิ!” ผมตะโกนออกมาอย่างเหลืออด ก่อนจะเข้าไปเขย่าตัวพ่อแรงๆ เพื่อระบายอารมณ์ “เนี่ยชอบไปแล้ว รักไปแล้วด้วยมั้ง แล้วทำไมต้องมาได้ยินเอาตอนนี้ด้วยเนี่ย ความผิดพ่อแน่ๆ เลย พ่อนั่นแหละ!”

“เอ้า! มาโทษฉันเฉยเลย ก็แกดันพูดเล่นได้เวลาเองนี่หว่า”

“ไม่คุยกับพ่อแล้ว” ว่าแล้วก็สะบัดหน้าหนี เตรียมตัววิ่งไปเรียกแท็กซี่โดยด่วน แต่พอวิ่งมาถึงหน้าสวนสาธารณะเท่านั้นแหละ ผมก็ต้องรีบวิ่งกลับไปที่เดิมอีกครั้งพร้อมกับจับแขนพ่อไว้แล้วมองด้วยแววตาดุดัน

“อะไรของแก”

“ถ้าภามงอนผมไม่เลิก พ่อเตรียมตัวโดนแม่งอนต่อได้เลย เพราะผมจะฟ้องว่าพ่อคือตัวต้นเหตุ”

“ไอ้เจได!”

ผมไม่สนใจเสียงที่ตะโกนตามหลังมา สองเท้ารีบวิ่งไปหน้าหมู่บ้าน ถึงจะไกลก็คงต้องยอม เพราะเวลานี้ต้องรีบไปแก้ไขความเข้าใจผิดโดยด่วน สองมือกดส่งข้อความในไลน์พร้อมโทรไปหลายรอบแต่ก็ไม่มีวี่แววว่าอีกฝ่ายจะตอบกลับ เหมือนจะปิดโทรศัพท์ไปแล้วด้วย

โอย...มองยังไงก็โดนโกรธแล้วแน่ๆ

“แฮ่ก…” กว่าจะวิ่งมาถึงหน้าหมู่บ้านได้ผมก็หอบกินจนลุงยามที่เข้ากะอยู่เดินมาหาด้วยความเป็นห่วง

“คุณหมอ เป็นอะไรหรือเปล่าครับ”

“ไม่เป็นไรครับ แต่ลุงช่วยเรียกแท็กซี่ให้ผมที ด่วนๆ เลย” โชคดีจริงๆ ที่ตีสนิทลุงยามไว้

“ได้ครับได้ รถคงเสียสินะครับถึงไม่ขับออกมา” ลุงแกพยักหน้าหงึกหงักเข้าใจแล้วเดินออกไปเรียกแท็กซี่ให้ ขณะที่ผมได้แต่ทำหน้าเหมือนปลาขาดออกซิเจนอยู่ด้านหลัง

แล้วทำไมกูไม่กลับไปขับรถที่บ้านออกมาวะเนี่ย!

กว่าจะคิดได้ก็สายไปเสียแล้ว แถมตอนนี้ยังไม่ใช่เวลามาคิดนู่นคิดนี่อีก สิ่งที่ผมควรทำในยามนี้คือการรีบเร่งไปหาภามให้ไวที่สุดก่อนที่สถานการณ์จะเลวร้ายยิ่งขึ้นไปอีก

“ไปคอนโดxxxด่วนๆ เลยครับพี่”

“โอเค คาดสายเลยไอ้น้อง!” คุณพี่แท็กซี่ที่หน้าตาเกินวัยไปมากตอบรับด้วยความกระตือรือร้น เหมือนจะอยากขับรถไวอยู่แล้วแต่กลัวลูกค้ารับไม่ได้ พอผมบอกให้ซิ่งเท่านั้นแหละ ท่าทางมาเต็มมาก

นาทีนี้ผมไม่ได้สนใจความเร็วที่รถวิ่งเลย เพราะจิตใจเอาแต่พะว้าพะวงอยู่กับจุดหมายปลายทาง แถมโทรศัพท์ยังติดต่อไม่ได้ด้วย ภามไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อน ถ้าเขาถึงขนาดไม่รับโทรศัพท์หรือไม่ฟังสิ่งที่ผมพูดเลยมันย่อมไม่ใช่เรื่องธรรมดาแล้ว

บางทีภามอาจจะถึงขีดสุด...

ผมสะบัดหัวไล่ความคิดด้านลบออกไปพร้อมกับก้าวเท้าออกจากรถ วิ่งตรงไปที่ลิฟต์ทั้งที่เหนื่อยจนแทบบ้า โชคดีที่ตอนออกจากบ้านพกกระเป๋าสตางค์ที่มีคีย์การ์ดห้องเขาติดตัวอยู่ด้วยไม่งั้นคงแย่กว่านี้ ผมเปิดประตูเข้าไปในห้องแบบลนลาน หากห้องที่มืดสนิท ไม่มีแสงไฟเลยสักนิดกลับทำให้ใจหนักอึ้งขึ้นมากะทันหัน

ไม่รู้ว่าตัวเองไปเอาเรี่ยวแรงมาจากไหน แต่ผมรู้แค่ว่าต้องวิ่งไปรอบห้องเพื่อตามหาภามให้เจอ บางทีเขาอาจจะโกรธ ไม่พอใจ เลยหาที่สงบๆ นั่งหลบมุมอยู่โดยไม่เปิดไฟ คิดได้ดังนั้นผมเลยวิ่งต่อ ค้นทุกซอกทุกมุมของคอนโดไม่เว้นแม้แต่ในห้องน้ำ

ไม่เจอ...

ไม่เจอเลย...

"เริ่มไม่ตลกแล้วนะภาม ออกมาเดี๋ยวนี้” ผมทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาอย่างหมดเรี่ยวแรง นั่งรออยู่แบบนั้นเผื่อว่าอีกเดี๋ยวภามจะกลับมา แต่รอแล้วรอเล่าก็ยังไร้วี่แวว

หรือเขาจะถึงขีดสุดแล้วจริงๆ...

เพราะผมไม่ยอมชัดเจนใช่ไหม เพราะผมเอาแต่อาย เอาแต่อยากรักษาหน้า ไม่ยอมเป็นฝ่ายพูดออกไปก่อนตามตรง ทั้งที่หัวใจมีคำตอบที่ชัดเจนอยู่แล้ว ทั้งหมดเป็นเพราะผมไม่ยอมบอกเขาสักทีว่ารู้สึกยังไง พอมาได้ยินว่าไม่เคยคิดจะรัก ไม่เคยแม้แต่จะหวั่นไหวเขาถึงได้ทำหน้าแบบนั้น...

ถ้าผมเป็นภามแล้วมาได้ยินสิ่งที่ตัวเองพูด ผมคงปวดใจจนไม่อยากรับรู้อะไรอีก

ทั้งหมดเป็นความผิดของผมเอง

เพราะผมช้าเอง...

“กลับมาก่อนนะ สัญญาว่าครั้งนี้จะพูดตรงๆ แล้ว” จู่ๆ ก็รู้สึกเหมือนขอบตาร้อนขึ้นมากะทันหัน เพียงแค่ได้คิดว่าเขาอดทนกับผมมามากมายขนาดไหน

พอลองมองย้อนกลับไปแล้ว นอกจากทำให้เขาเหนื่อยกว่าเดิม ผมก็แทบไม่เคยทำอะไรเพื่อภามเลย มีแค่เขาที่เป็นฝ่ายดูแล ถึงปากจะบอกว่าไม่เป็นไรแต่ผมรู้ดีว่าเขาเองก็เหนื่อย ทั้งตื่นเช้ากว่ามาทำข้าวเช้ากับข้าวกลางวันให้ ไหนจะต้องขับรถไปส่งที่โรงพยาบาล แล้วเดินทางไปทำงานต่อตามสถานที่ต่างๆ ที่บางครั้งก็ไกลลิบอีก พอตกเย็นยังต้องรีบมารับเพราะไม่อยากให้รอนาน กลับมาคอนโดแล้วต้องไปนั่งที่โต๊ะเพื่อทำงานต่อจนดึกดื่น และถึงจะเข้านอนพร้อมกันทุกวัน แต่ใช่ว่าผมไม่รู้ว่าพอตัวเองหลับไปแล้วเขายังลุกขึ้นมานั่งทำงานต่อ

เป็นผมที่เอาแต่นึกถึงตัวเอง รู้สึกว่าทุกอย่างก็ดีอยู่แล้วเลยขี้เกียจมองหาคำตอบ และพอมีความกล้าขึ้นมา พอได้คำตอบที่ต้องการแล้วยังเล่นตัว ไม่ยอมบอกเขาไปตามตรงเพราะไม่รู้สึกว่าต้องรีบอะไร อยากให้เขาเป็นคนพูดก่อนจะได้ไม่เสียหน้า ทั้งที่จริงๆ แล้วมีแค่ภามที่ให้ความชัดเจนกับผมอยู่ฝ่ายเดียว แต่ผมกลับไม่เคยให้ความชัดเจนกับเขาเลยสักครั้ง

ไม่แปลกเลยถ้าภามจะหนีไป แต่ว่าขอเถอะ...อย่างน้อยขอแค่รู้ว่าเขาอยู่ที่ไหน

ครืด ครืด

ผมรีบหยิบโทรศัพท์ขึ้นมากดดู คาดหวังให้เป็นคนที่คิดเอาไว้ แต่แล้วก็ต้องผิดหวังเมื่อมันเป็นสายจากแม่

“ครับแม่”

[เจได อยู่ไหนน่ะลูก มีคนมาหา...]

“มีคนมาเหรอครับ” ผมผุดลุกจากโซฟา รีบวิ่งเร็วๆ ไปที่ประตูห้อง “ผมจะรีบไปเดี๋ยวนี้”

[เดี๋ยว...]

ถึงจะรู้สึกล้าขนาดไหน แต่ผมก็ยังใช้แรงทั้งหมดที่ไม่เคยคิดว่าตัวเองมีวิ่งไปที่ลิฟต์ ตรงออกไปเรียกแท็กซี่หน้าคอนโดซึ่งจอดเรียงรายกันเป็นแถว

ใช้เวลาไม่ถึงครึ่งชั่วโมงผมก็กลับมาถึงบ้าน สองเท้าที่ปวกเปียกไปหมดยังคงถูกบังคับให้วิ่งเข้าไปด้านในด้วยความรวดเร็ว หากกวาดตาไปทางไหนก็ยังพบเพียงความว่างเปล่า ผมเลยรีบเดินไปที่ครัว เห็นพ่อกับแม่กำลังล้างมือกันอยู่

“แม่ครับ!”

“เจได มาแล้วเหรอ” แม่หันมาหาผมแล้วยิ้มกว้าง “ไปไหนมาน่ะเรา ปล่อยให้แขกรอนานได้ยังไง รีบไปปิ้งหมูเถอะไป เดี๋ยวพ่อกับแม่ล้างผักเสร็จจะตามออกไป”

“อยู่ข้างนอกเหรอครับ” ผมถามไวๆ แล้วรีบวิ่งไปที่สวนหลังบ้านซึ่งเราตั้งใจใช้เป็นที่ทานอาหารกันในคืนนี้ โดยไม่ได้ฟังคำถามที่ดังตามหลังมาของแม่

“แล้วลูกภาม...”

เอาล่ะ...พอเจอภาม ผมจะพูดออกไปเลยว่ารู้สึกยังไงกับเขา

ทีนี้ทุกอย่างก็จะง่ายขึ้น ภามจะยอมฟังผมอธิบาย แล้วเราก็จะแก้ไขความเข้าใจผิดทั้งหมดได้ในที่สุด

ผมเกือบจะเก็บรอยยิ้มเอาไว้ไม่อยู่เมื่อเปิดประตูออกไปยังสวนหลังบ้าน คำพูดที่ท่องเตรียมไว้ตั้งแต่อยู่บนแท็กซี่เองก็กำลังจะหลุดออกมาจากปากอยู่แล้ว หากไม่ใช่ว่า...

“หยุดกินก่อน เพื่อนมึงมาแล้ว”

“ไม่ต้องสนใจมันหรอก ดันมาช้าเอง ช่วยไม่ได้”

บนโต๊ะกินข้าวข้างสวนที่ควรจะมีภามนั่งอยู่ ยามนี้คนที่มองหากลับไม่มี แต่ถูกแทนที่ด้วยผู้ชายตาดุที่หน้าเหมือนภามอย่างกับแกะ และไอ้กระต่ายหน้าตากวนตีนอีกตัว

“พี่ภู...ดูไอ้เจไดดิ หน้าแม่งบูดเหมือนปวดขี้เลย ตลกว่ะ”

ซวยซ้ำซวยซ้อน...

นอกจากจะโดนงอนแล้ว ไอ้กระต่ายที่มีความผิดปกติทางสมองยังมาบุกบ้านเอาตอนนี้อีก



——————————

TALK: สมน้ำหน้าาาาาาาา (เพื่อนรักโผล่มาได้ถูกจังหวะจริงงงง)
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.30]== [12/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 12-09-2018 19:38:13
คุณชช.อย่าแกล้งน้องแมว แถมสงสารภามด้วย โอยยยยย อย่าให้ภามหายไปนานนะคะ :sad4:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.30]== [12/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: killua1a ที่ 12-09-2018 19:49:18
ภามหนีเตลิดไปไหนแล้วเนี่ยยยยยยยย​
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.30]== [12/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 12-09-2018 19:51:07
รีบง้อด่วนๆเลย
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.30]== [12/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 12-09-2018 20:41:09
ภามหาย แจ้ง จส.100 ด่วน  :katai1:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.30]== [12/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 13-09-2018 07:09:07
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.30]== [12/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 13-09-2018 13:22:36
ภามไปไหนลูก ไม่เอาไม่งอนเจไดนะ
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.30]== [12/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 13-09-2018 16:21:23
ตอนบอกว่าแน่ใจดันไม่ได้ยิน ทำไมต้องมาได้ยินตอนเล่นมุกกับตาแก่ข้างบ้านด้วย  :m20:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.30]== [12/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 14-09-2018 17:19:40
-31-



“อาการเป็นไงบ้างพี่ภู”

“ศพ”

“โห...หนักเอาการนะเนี่ย สมน้ำหน้า”

“ถ้าจะด่ากูก็กลับไปเลยไป” ผมหันไปทำหน้าตึงใส่ไอ้เพื่อนเลวที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จ เกลียดน้ำเสียงเยาะเย้ยของมันฉิบหาย ถ้าไม่ติดว่าแฟนมันนั่งทำหน้าดุอยู่ด้านข้าง ผมคงกระโดดเข้าไปตีกับไอ้เก้าแล้ว

ผ่านมานานหลายปี ไอ้เวรนี่ยังหน้าตาเหมือนเดิมไม่มีเปลี่ยน กวนตีนยังไงก็ยังกวนตีนอยู่อย่างนั้น สถานะเลขาของคุณภูริ เดรค เจ้าของธุรกิจยักษ์ใหญ่ที่อังกฤษไม่ได้ช่วยให้มันดูเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเลยสักนิด ทั้งที่อายุก็เท่ากันกับผมแท้ๆ ไม่รู้ว่าพี่ชายภามยอมคว้ามันมาอยู่ข้างกายได้ยังไง

จะว่าไปแล้วกูก็ไม่ได้ต่างจากมันเลยนี่หว่า...

“จู่ๆ ก็ทำหน้าเศร้าเฉยเลย เป็นโรคเปล่าวะมึงเนี่ย” มันหันมาถามผมที่นั่งกอดกองผ้าห่มอยู่บนพื้น เพราะเตียงยกให้พี่ภูไปแล้วตั้งแต่แรก

“โรคอะไรล่ะ” พอจิตใจห่อเหี่ยวเลยหมดอารมณ์เถียงไปด้วย ผมเอนตัวลงนอนบนฟูก ไม่สนใจไอ้เก้าที่ห้อยหัวลงมาจากเตียง พยายามพูดจากวนตีนไม่หยุด

“เครียดขนาดนั้นเลยเหรอวะ”

“ถ้าพี่ภูหนีมึงไป มึงจะเครียดไหมล่ะ”

“เครียดทำไม ยังไงกูก็ต้องหาทางตามไปลากกลับมาอยู่แล้ว”

มึงก็พูดง่ายสิ ใจตรงกันไปแล้วนี่หว่า แต่ผมเนี่ย...นอกจากจะยังไม่ได้สารภาพความรู้สึกของตัวเองแล้วดันทำเขาเข้าใจผิดอีก แบบนี้จะไปตามหาตัวได้จากที่ไหน โทรศัพท์ก็ติดต่อไม่ได้ด้วย

“มึงรู้ไหมว่าภามอยู่ไหน” ผมหันไปถามมันด้วยน้ำเสียงที่เต็มไปด้วยความคาดหวัง แต่ไอ้เก้ากลับส่ายหน้าทันควัน ทำลายความหวังของผมในพริบตาเดียว

“ไม่รู้ พี่ภูลองโทรเองแล้วยังติดต่อไม่ได้เลย”

ขนาดพี่ภูยังติดต่อไม่ได้แล้วนับประสาอะไรกับผมกัน ภามยิ่งเป็นพวกชอบเดินทางอยู่ด้วย ถ้าเขาออกนอกประเทศไป ไม่คิดจะกลับมาอีกเลยผมจะตามหาเจอได้ยังไง รอไอ้เก้ามาบอกเหรอ...ตายพอดี ล่าสุดมันยังบ่นที่ภามหายไปครึ่งปีอยู่เลย เลิกหวังพึ่งดีกว่า

“แล้วมึงมาค้างบ้านกูได้ไง ไม่ต้องทำงานเหรอ” กับไอ้เก้ายังพอเข้าใจได้ แต่พี่ภูมานอนค้างด้วยนี่บอกตรงๆ ว่าผมทำตัวไม่ถูก เขาคือเจ้าของบริษัทที่มีชื่อเสียงเอามากๆ เลยนะ ถึงจะเปิดตัวไปนานแล้วว่าคบกับผู้ชายด้วยกัน มันก็ไม่ได้ทำให้ชื่อเสียงลดลงแต่อย่างใด ล่าสุดไอ้เก้าบอกว่ายังมีคนมาเสนอตัวให้อยู่เลย

“พรุ่งนี้กูกับพี่ภูจะบินกลับอังกฤษแล้ว เห็นแม่มึงชวนมากินข้าว เลยว่าจะถือโอกาสมาทักทายแล้วก็พาพี่ภูมาเจอภามด้วย ใครจะคิดว่า...”

“หยุดพูดเลย” ผมรีบยกมือห้ามไม่ให้พูดต่อ เห็นท่าทางเหมือนจะเยาะเย้ยของมันแล้วผมยิ่งหัวเสีย มองแค่แวบเดียวก็รู้แล้วว่ามันเดาออกหมดว่าเรื่องราวเป็นมายังไง “กูยังไม่ได้คิดบัญชีเรื่องที่มึงหลอกให้กูไปเจอกับภาม แล้วยังหลอกให้พวกกูไปติดเกาะเลยนะ”

“ไม่ดีหรือไง” มันเลิกคิ้วถามหน้าตากวนตีน “ชีวิตมึงจะได้มีสีสัน แถมได้แฟน...ไม่ดิ หนีไปแล้วนี่หว่า”

“ไอ้เก้า!”

“สมน้ำหน้าคนปากหนัก กูเคยบอกมึงแล้วว่าจุดหมายมีไว้พุ่งชน ชักช้าเองเป็นไงล่ะ” ได้ทีมันเลยสั่งสอนผมต่อเป็นชุด คนที่นั่งกดโน้ตบุ๊กอยู่ด้านข้างก็เอาแต่เงียบ ไม่มีทีท่าว่าจะช่วยกันเลย เพราะแบบนี้ไงไอ้เก้ามันถึงได้เกรียนไม่เปลี่ยน

“ถ้าไม่ช่วยก็ไม่ต้องพูดเลย”

นี่ถ้าไม่ติดว่าแม่บอกให้เก้ากับพี่ภูค้างที่นี่เพราะมันดึกแล้วนะ ผมคงไล่มันไปนอนโรงแรมแต่แรก ไม่ยอมให้มายึดเตียงกันอยู่แบบนี้หรอก แถมพรุ่งนี้ยังต้องไปทำงานอีก ติดต่อภามก็ติดต่อไม่ได้ ปวดหัวไปหมดแล้วเนี่ย

“อันที่จริงถ้ามันไม่ได้เกี่ยวข้องกับความรู้สึกของภามแล้วก็ไม่ใช่เพราะพี่ภู กูคงปล่อยให้มึงงมเข็มในมหาสมุทรต่อนั่นแหละ” เสียงเนือยๆ จากคนบนเตียงทำให้ผมกลับมามีความหวังอีกครั้ง ลองถ้าพูดแบบนี้แสดงว่าต้องมีวิธีแน่ คิดได้ดังนั้นผมก็รีบผุดลุกขึ้นนั่งแล้วมองไปที่มันทันที

“มึงรู้ใช่ไหมว่าภามอยู่ไหน บอกมาเร็วๆ”

“ไม่รู้”

“ไอ้…”

“ก้อน” คนที่นั่งเงียบมาตลอดปลายตามองเพื่อนผมด้วยแววตาห้ามปราม เพียงเท่านั้นไอ้เก้าที่ถูกเรียกว่าก้อนก็หุบปากฉับ แถมยังทำหน้าเบะหนักมาอีกต่างหาก

“ขอแกล้งมันอีกหน่อยไม่ได้เหรอ พี่ไม่รู้หรอกว่าไอ้เจไดมันปากหนักขนาดไหน สมควรแกล้งให้ร้องไห้แงๆ แล้วค่อยช่วยมากกว่า”

“มากเกินพอแล้ว รีบลงไปจัดการก่อนที่ผู้ใหญ่จะนอน” พี่ภูออกคำสั่งด้วยน้ำเสียงเย็นชา ถึงอย่างนั้นผมก็ยังสัมผัสถึงความอ่อนโยนและอ่อนอกอ่อนใจในนั้นได้อย่างชัดเจน

คงเป็นเพราะเขาเหมือนภามมาก...ผมถึงพอจะอ่านอารมณ์บนใบหน้านั้นได้บ้าง

“ก็ได้” ไอ้เก้ารับคำเสียงบูดแล้วกลิ้งลงจากเตียง วิ่งเหยาะๆ ออกจากห้องไป

พอไม่มีเพื่อนผมเป็นตัวกลางแล้ว บรรยากาศในห้องก็กลับมาเงียบสงบและกดดันเหมือนเดิม พี่ภูยังคงแผ่ความรู้สึกกดดันไม่น่าเข้าใกล้ออกมาได้อย่างสม่ำเสมอ แม้ผมจะไม่ค่อยได้เจอเขา แต่ก็ยังจำความรู้สึกพวกนี้ได้ดี เราแทบไม่ได้คุยกันเลยเพราะมีไอ้เก้าเป็นตัวกลางตลอด แล้วมันก็ไม่ได้มาเจอผมบ่อยๆ ด้วย ดังนั้นจะบอกว่าอยู่กับพี่แกสองคนแล้วผมอึดอัดอยู่หน่อยๆ ก็คงไม่เกินจริงนัก

“เอ่อ...พี่ภูสบายดีนะครับ” ผมทักทายเสียงอ่อย ตอนไอ้เก้าไปอาบน้ำก็มัวแต่นอนคิดมากเลยไม่ได้สนใจจะทัก แต่พอเห็นเขาทำเหมือนมีเรื่องจะคุยด้วยเลยต้องทักก่อนจนได้

“อืม”

ตอบสั้นเหมือนภามตอนแรกๆ เลย

“คือเรื่องภาม ผม...”

“คงรบกวนไว้เยอะสินะ”

“ครับ?” จากที่กำลังจะสารภาพผิด ผมกลับต้องหยุดทุกคำพูดไว้แล้วเงยหน้ามองเขาด้วยความไม่เข้าใจ พี่ภูไม่ได้เปลี่ยนแปลงสีหน้า ยังคงดูดุดันเย็นชาเหมือนเคย หากดวงตาคู่นั้นกลับไม่ได้ดูเฉยชาไปด้วยยามพูดถึงน้องชายตัวเอง

“เด็กคนนั้นใช้เวลานานหลายปีกว่าจะกลับมาใช้ชีวิตอย่างคนทั่วไปได้อีกครั้ง ตอนที่เขามาเอ่ยปากเอง บอกว่าอยากเดินทางท่องเที่ยวไปทั่วโดยไม่ต้องมีคนตาม ฉันทั้งดีใจและกังวลไปพร้อมๆ กัน กลัวสารพัดว่าจะมีอะไรไม่ดีเกิดขึ้นหรือเปล่า แต่ภามก็โตเกินกว่าจะเอาชีวิตมายึดติดไว้กับพี่ชายคนนี้แล้ว”

“…”

“ดังนั้นตอนที่เขาโทรมาบอกว่าเจอสิ่งที่ตามหาแล้ว ฉันถึงได้ดีใจมาก” เขาหันมามองหน้าผม จ้องลึกเข้ามาในดวงตา เหมือนต้องการสะกดให้นิ่งฟัง “ถ้านายไม่ได้คิดตรงกันกับเด็กคนนั้นก็ปล่อยเขาไปแบบนี้เถอะ”

“ผม…”

“เรียบร้อย!” เสียงพูดแทรกจากนอกประตูทำให้บรรยากาศกดดันระหว่างผมกับพี่ภูจางหายไป พร้อมๆ กับที่คำตอบซึ่งอยู่ในใจผมยังคงค้างคาอยู่อย่างนั้น ไม่ได้พูดออกไปให้เขารับรู้ จวบจนเราปิดไฟเข้านอนกันแล้ว ผมก็ยังทำได้เพียงนอนนิ่งคิดเรื่องราวทุกอย่างเงียบๆ ยันดึกดื่น

ไม่เป็นไร...พรุ่งนี้ค่อยบอกพี่เขาก็ได้ว่าผมเองก็คิดแบบเดียวกันกับภาม ขืนพูดต่อหน้าไอ้เก้าคงโดนล้อตาย




ผมสะดุ้งตื่นขึ้นมาในตอนเช้าตามความเคยชิน แต่ก็ยังผิดจากเวลาปกติไปเกือบยี่สิบนาที วินาทีนั้นเองที่ผมรู้ตัวว่าเคยชินกับการถูกปลุกมากกว่าตื่นเองไปแล้ว เราอยู่ด้วยกันทุกวันมานานหลายเดือน เขาคอยปลุกผมในยามเช้าของทุกๆ วัน ถ้าไม่ยอมตื่นก็จะอุ้มเข้าไปไว้ในอ่างอาบน้ำ แต่วันนี้กลับเงียบสงบ...

เดี๋ยวก่อนนะ แล้วไอ้เก้ากับพี่ภูที่ควรนอนอยู่บนเตียงหายไปไหน

“แม่! แม่ครับ!”

“วิ่งตึงตังอะไรกันเด็กคนนี้” คุณนายที่กำลังยืนรดน้ำต้นไม้อยู่นอกบ้านหันมาขมวดคิ้วไม่พอใจใส่ แต่เหมือนท่านจะสังเกตเห็นใบหน้าซีดเซียวไม่โอเคเอามากๆ ของผม ถึงได้ทิ้งสายยางลงพื้นแล้วเดินเข้ามาหา “เจได เป็นอะไรหรือเปล่าลูก”

“แม่ครับ ไอ้เก้ากับพี่ภูไปไหนแล้ว” ผมรีบละล่ำละลักถาม ใจหายวาบขึ้นมากะทันหัน แล้วก็แทบจะล้มลงไปกองอยู่กับพื้นเมื่อได้ยินคำตอบ

“ไปสนามบินกันแล้วจ้ะ เพิ่งออกไปเมื่อสิบยี่สิบนาทีก่อนนี่เอง...เจได เป็นอะไรลูก!”

ไม่ทันอีกแล้วเหรอ

ทำไมไม่เข็ดสักทีวะ เมื่อวานก็ทีหนึ่งแล้ว มาวันนี้ยังจะกลัวเสียหน้า ไม่กล้าพูดต่อหน้าไอ้เก้าอีก แล้วเป็นไงล่ะ...พังหมดไม่เหลืออะไรเลยสักอย่าง

“แม่ครับ” ผมกอดแม่แล้วเม้มปากแน่น “ทำไมเวลาผมตั้งใจจะทำอะไรถึงไม่เคยทันเลย เพราะผมเป็นพวกคิดช้า มัวแต่รักษาหน้าเหรอครับแม่”

“หมดสภาพเลยนะเรา” ผู้หญิงที่ผมรักมากที่สุดในชีวิตพึมพำเสียงแผ่ว มือบอบบางลูบหัวผมเบาๆ ราวกับจะปลอบประโลม “ไหนบอกแม่สิว่าเราคิดอะไรอยู่”

“ผมมันโง่ที่ทำอะไรช้าไปหมด”

“…”

“เวลามีโอกาสก็ไม่ยอมพูด”

“…”

“มีแค่เขาที่พยายามอยู่คนเดียว”

“แสดงว่าถึงตาลูกแล้วสิ”

ผมเงยหน้ามองแม่แล้วกะพริบตาปริบๆ ความร้อนที่ขอบตาจางหายไปพร้อมกับที่โดนเขกหน้าผากเบาๆ หนึ่งทีราวกับต้องการเตือนสติ ใบหน้าของท่านยังคงอ่อนโยนเหมือนทุกครั้ง แม้เสียงที่พูดออกมาจะดูเหมือนกำลังตำหนิมากขนาดไหนก็ตาม

“ตาผม...”

“ถ้าบอกว่าตลอดมามีแค่เขาที่เป็นฝ่ายพยายาม งั้นตอนนี้ก็ถึงตาลูกพยายามบ้างแล้วไม่ใช่เหรอ”

“…”

“อุตส่าห์เจอสิ่งที่ขาดหายไปแล้ว ถ้าไม่สู้ให้ถึงที่สุดก็เสียชื่อหมอเจไดตายเลย” ท่านยิ้มจางแล้วลูบแก้มผมเบาๆ เพียงเท่านั้นหนทางที่มืดมิดของผมก็ดูราวกับจะมีแสงสว่างเล็ดลอดเข้ามาทีละน้อย

“วันนี้ผมต้องไปทำงาน...”

“ถ้าครั้งนี้ลูกพยายามจนไปทัน...เพื่อนสนิทที่เป็นห่วงลูกมากๆ คนนั้นต้องมีของรางวัลให้แน่ๆ” แม่ส่ายหน้าเมื่อผมทำท่าจะถามต่อ เพราะเรื่องที่ท่านพูดออกมาไม่เกี่ยวข้องกับการทำงานของผมเลย ถึงอย่างนั้นผมก็ยังเชื่อว่าแม่ต้องมีเหตุผล

“ผมรักแม่นะครับ”

“ไปตามลูกเขยกลับมาหาแม่ให้ได้นะ”

หลังโผเข้ากอดท่านอีกครั้งแล้ว ผมก็รีบวิ่งขึ้นไปเก็บข้าวของด้านบน ไม่สนใจแม้แต่จะอาบน้ำ แค่เปลี่ยนเสื้อผ้าแล้วคว้ากุญแจรถที่ไม่ได้ขับมานานลงไปด้วย เมอซิเดสคันโปรดยังคงดูดีและไม่ทำให้ผิดหวังแม้ผมจะทิ้งมันมานานหลายเดือนก็ตาม

ตลอดทางผมกดโทรศัพท์หาไอ้เก้าแค่รอบเดียว มันรับโทรศัพท์แล้วพูดแค่ว่าเครื่องออกกี่โมงก่อนจะวางสายไป เพียงแค่นั้นผมก็เข้าใจในทันทีว่าทุกอย่างมันวางแผนเอาไว้หมดแล้ว ถ้าผมไม่ไป เอาแต่หดหู่ ผมก็จะไม่ได้รับความช่วยเหลืออะไรทั้งนั้น แต่ถ้าผมพยายาม อย่างน้อยก็เริ่มจากการพยายามไปหามันให้ทัน พยายามไปพูดสิ่งที่คิดให้พี่ภูฟัง บางทีผมอาจได้รับความช่วยเหลือจากพวกเขาก็ได้

“ไอ้เก้า!” ผมตะโกนเรียกเสียงดัง ไม่สนใจสายตาของใครทั้งนั้น เพราะเห็นไอ้เก้ากับพี่ภูที่อยู่ท่ามกลางพี่การ์ดลุกจากที่นั่ง แค่มองดูก็รู้ว่ากำลังจะไปแล้วแน่ๆ

“หือ...ไม่คิดว่าจะมานะเนี่ย” ไอ้เก้าที่เดินฝ่ากลุ่มพี่ชุดดำออกมาทักทายผมพร้อมรอยยิ้ม ในมือถือกระดาษใบหนึ่งไว้และกำลังโบกสะบัดมันไปมา “คิดว่าเจ้านี่จะไร้ประโยชน์ซะแล้ว”

“ไม่ต้องพูดมากเลยมึงน่ะ”

“ไม่พูดก็ไม่พูด” มันยักไหล่ไม่แคร์ ก่อนจะเดินหัวเราะฮ่าๆ กลับไปหาคนหน้าดุที่ยืนรออยู่ “มีอะไรจะคุยกับพี่ภูใช่ไหม ให้กูออกไปก่อนหรือเปล่า”

“ไม่ต้อง” ผมตอบทันควัน และทันได้เห็นสีหน้าแปลกใจน้อยๆ ของทั้งไอ้เก้าและพี่ภูพอดี ถึงแม้จะแค่แวบเดียวก็ตาม

“พูดมาสิ” คนหน้าดุที่ทำให้ผมนึกถึงภามมากขึ้นทุกทีเอ่ยเสียงเรียบ ใบหน้าคมคายดุดันยังคงไร้อารมณ์ หากท่าทางที่ดูราวกับพร้อมรับฟังทุกเรื่องของเขาทำให้ผมใจชื้นขึ้นไม่น้อย

“ผมปล่อยภามไปไม่ได้ครับ”

“…”

“เพราะผมเองก็คิดแบบเดียวกันกับเขา”

แค่พูดมันออกไป...ไม่ต้องสนใจว่าใครจะมองอยู่ หรือใครจะเอาไปแซวทีหลัง สิ่งที่สำคัญที่สุดไม่ใช่สายตาของคนเหล่านั้น แต่เป็นความรู้สึกระหว่างผมกับภามที่ผมมองข้ามมาโดยตลอด

“งั้นเหรอ” พี่ภูจ้องหน้าผมเงียบๆ พักหนึ่ง หลังจากนั้นเขาก็พยักหน้าให้เก้า แล้วหันหลังเดินนำไปโดยไม่พูดอะไรเพิ่มเติมอีก เหลือเพียงไอ้เพื่อนตัวดีของผมที่ทำหน้าตาแปลกใจเดินจ้ำเข้ามาหา

“เกินคาดว่ะ” มันตบบ่าผมเบาๆ แล้วส่งกระดาษที่ถือมาให้ “ที่เหลือก็ความสามารถมึงละ”

“ขอบใจ”

“แล้วก็...ภามยังไม่ได้ออกจากประเทศ นี่คือเรื่องที่พี่ภูจะบอก ถ้ามึงให้คำตอบที่เขาพอใจ” น้ำเสียงของไอ้เก้าดูจริงจังขึ้นเล็กน้อย แม้ท่าทางจะกวนตีนเหมือนเดิม แต่มันคงดูออกว่าผมเครียดมากจนเล่นด้วยไม่ลง “ต้องเข้าใจนะว่ามึงดันทำน้องเขาเสียใจ จะให้บอกง่ายๆ ก็เกินไป ครั้งนี้ถ้ายังปากแข็งทำภามหนีไปอีก ระวังพี่เขาเอาตัวคืน กูช่วยไม่ได้แล้วนะ”

“รู้แล้วน่า” ผมพยักหน้าแล้วยิ้มให้เก้าอีกรอบ ต่อให้ไม่พูดออกมาผมก็รู้ว่ามันคอยช่วยเหลืออยู่ตลอด อย่างที่มาถึงแล้วพี่ภูยังรออยู่แบบนี้ ถ้าไม่ใช่เพราะไอ้เก้ามีหรือนักธุรกิจแบบเขาจะยังอยู่ที่นี่ คนระดับนั้นไม่มีทางต้องมานั่งรอเวลาขึ้นเครื่องอยู่แล้ว

หลังยืนส่งจนพวกนั้นเดินจากไปหมดแล้ว ผมถึงได้เปิดกระดาษที่ไอ้เก้าส่งให้ดู ด้านในเป็นข้อความสั้นๆ ไม่กี่ประโยค ใจความสำคัญบอกว่าให้ผมลาหยุดได้ห้าวัน แต่พอหมดเวลาแล้วต้องมาเข้าเวรชดเชยเวลาทั้งหมด หมายความว่าผมต้องทำงานหนักกว่าเดิม นอนน้อยกว่าเดิม แต่ไม่เป็นไร...

ถ้าเคลียร์กับภามได้ ต่อให้ต้องทำงานหนักกว่านี้อีกกี่เท่าก็ไม่เป็นไร

ตอนนี้ปากดีทำเท่ไปก่อน ถึงเวลาจะตายขึ้นมาค่อยไปอ้อนวอนให้เขาบีบนวดให้แล้วกัน

จะว่าไปแล้วที่กระดาษเอสี่ธรรมดาๆ นี่มีความสำคัญ คงไม่ใช่แค่เพราะเนื้อหาที่ถูกเขียนจากปากกาลูกลื่นธรรมดาซึ่งเป็นลายมือของไอ้เก้าหรอก แต่มันจะมีผลได้ก็เพราะลายเซ็นของพ่อผมที่อยู่มุมล่างต่างหาก ที่เมื่อวานมันออกจากห้องไปหาพ่อแม่ผม ที่แท้ก็เพื่อไปขออนุญาตจากท่านนี่เอง

“แผนสูงไม่เปลี่ยน...” แต่ก็ต้องขอบคุณล่ะนะ เพราะนอกจากกระดาษแผ่นนั้นแล้วมันยังยัดตั๋วเครื่องบินที่มีโพสต์อิทอันเล็กๆ ติดไว้ให้ผมก่อนจะไปด้วย

‘กูแอบซื้อให้ จดจำบุญคุณครั้งนี้ไว้ซะ’

สมเป็นมันจริงๆ...

ผมส่ายหน้าหน่าย ทั้งขอบคุณและหน่ายใจกับความเจ้าเล่ห์เหลือร้ายของมัน ทว่าเมื่อได้เห็นชื่อจังหวัดปลายทาง ผมก็ทดบุญคุณของมันเอาไว้ในใจทันที

เพราะตอนนี้ผมรู้แล้วว่าภามอยู่ที่ไหน...

ยังมีเวลาอีกพักใหญ่ก่อนเครื่องจะออก ผมไม่ได้ขับรถกลับบ้าน แต่ให้แม่ช่วยเตรียมข้าวของแล้วให้พี่ยามเอามาส่งที่สนามบิน ฝากรถขับกลับไปแบบไม่หวงของ เพราะพี่ยามคนนี้ไว้ใจได้อยู่แล้ว เห็นกันมานานและช่วยเหลือกันมาโดยตลอด

“โชคดีนะครับคุณหมอ”

“ขอบคุณครับพี่” ผมโบกมือลาพี่ยามแล้วสะพายเป้ขึ้นบ่า กำลังใจที่จางหายกลับมาเต็มเปี่ยมอีกครั้งเพราะเริ่มมองเห็นจุดหมายปลายทาง ยิ่งรู้ว่าเขาหายไปอยู่ไหนผมก็ยิ่งยิ้มกว้าง

ภามไม่ได้หนี...แต่กลับไปที่เดิม

ตลอดเวลาที่อยู่บนเครื่องบิน ผมเอาแต่มองออกไปนอกหน้าต่าง ไม่คิดจะหลับหรือรู้สึกง่วงเลยสักนิด ระยะห่างที่น้อยลงเรื่อยๆ บ่งบอกให้รู้ว่าอีกไม่นานผมก็จะได้เจอเขาอีกครั้ง และจะได้แก้ไขความเข้าใจผิดทั้งหมด ทุกอย่างจะกลับมาเป็นเหมือนเดิม ผมจะตื่นขึ้นมาเจอภามเหมือนทุกเช้า จะไม่ต้องหงอยแค่เพราะไม่ได้เจอกันวันเดียวแบบนี้อีก

คราวนี้จะจับไว้ให้แน่น ไม่มีทางปล่อยไปไหนแล้ว

เวลาผ่านไปนานกี่ชั่วโมงก็ไม่รู้ในความเป็นจริง หากความรู้สึกผมเหมือนยาวนานนับปี เมื่อต้องนั่งนับเข็มวินาทีอยู่ทุกชั่วขณะ จิตใจพะว้าพะวงถึงเรื่องราวของเขาไม่มีหยุด

ทันทีที่ลงจากเครื่องบิน ผมก็รีบพุ่งตรงออกไปด้านนอกทันที ท้องฟ้าที่ไม่ค่อยมีแสงแดดและสายลมที่พัดโชยความหนาวเย็นมาหาทำให้รู้สึกเหมือนได้กลับไปยังช่วงเวลาที่เคยมาที่นี่เป็นครั้งแรก ถึงแม้ฤดูและเวลาจะเปลี่ยนแปลงไป แต่บรรยากาศและความร่มเย็นที่สัมผัสได้เพียงแค่นึกถึงนั้นยังคงเดิมไม่มีเปลี่ยน

ผมเรียกรถแท็กซี่แล้วมุ่งตรงไปยังหาดที่เคยมาเมื่อหลายเดือนก่อน ใช้เวลาไม่นานนักภาพหาดทรายสีขาวสะอาดตาและทะเลสีครามสดใสก็ปรากฏขึ้นตรงหน้า ผมยิ้มกว้างจนไม่รู้จะกว้างยังไง คิดถึงจนบรรยายออกมาเป็นคำพูดไม่ได้ ตอนทำงานอยู่กรุงเทพฯ อาจมีนึกถึงบ้างบางเวลา แต่เมื่อได้กลับมาถึงรู้ว่าคิดถึงมากมายขนาดไหน

ไม่ใช่แค่เด็กๆ ไม่ใช่แค่ชาวบ้าน ไม่ใช่แค่บรรยากาศ แต่เป็นเพราะที่นี่มีความทรงจำมากมายระหว่างผมกับภามแฝงอยู่ มันถึงได้สำคัญและเป็นที่จดจำมากถึงขนาดนี้

“จอดตรงนี้เลยครับพี่” ผมชี้นิ้วไปริมหาด ตรงจุดที่มีเรือสปีดโบ๊ทจอดอยู่ หลังจ่ายเงินเรียบร้อยแล้วก็แบกเป้ลงไป เดินตรงเข้าไปหาคุณลุงที่ดูท่าทางน่าจะเป็นคนดูแลเรือแถบนี้

ครั้งก่อนที่ผมกับภามเข้าไปในเกาะ เราไม่ได้เดินมาจนถึงจุดนี้ เพราะไปเจอคุณลุงที่เป็นคนของไอ้เก้าเข้าเสียก่อน แต่ตอนขับรถผ่านผมมองหาดูแล้วไม่เจอเรือสักลำ เลยให้พี่แท็กซี่ขับมาจอดตรงจุดที่มีเรือจอดอยู่แน่ๆ แทน

“ลุงครับ”

“ว่าไงไอ้หนุ่ม” คุณลุงที่กำลังก้มหน้าก้มตาจดบันทึกอะไรบางอย่างกับโต๊ะไม้ตัวเล็กๆ เงยหน้ามองผมด้วยท่าทีดุดัน

“คือผมอยากให้พาไปที่เกาะนี้หน่อยครับ” ผมพูดแล้วยื่นแผนที่เกาะซึ่งภามเคยส่งให้เมื่อนานมาแล้วไปให้ลุงแกดู

“เอ้า...เกาะของนายไม่ใช่เรอะ”

“หือ…” คราวนี้ผมถึงกับชะงักไปนาน เหมือนจะเริ่มคาดเดาอะไรได้ลางๆ “หรือว่าท่าเรือนี้...”

“ก็ของนายน่ะสิ ว่าแต่คุณเป็นเพื่อนนายเรอะ”

จำได้ว่าตอนนั้นลุงคนขับเรือก็เคยพูดว่าพี่ภูกับไอ้เก้าเป็นคนออกทุนทำธุรกิจให้เหมือนกัน แต่อะไรมันจะบังเอิญขนาดนี้วะเนี่ย จะขยายแวดวงธุรกิจของตัวเองมากเกินไปไหม รวยจนไม่รู้จะรวยยังไงแล้ว

“คือผม...เป็นเพื่อนเก้าน่ะครับ” ผมยิ้มแหยแล้้วตอบไปตามความจริง ซึ่งดูเหมือนมันจะได้ผลพอควร เพราะพอได้ยินชื่อไอ้เก้า ลุงแกก็เปลี่ยนท่าทีใหม่ จากที่ดูดุดันกลายเป็นอารมณ์ดีแทบจะทันที

“เพื่อนคุณเก้านี่เอง จะเข้าไปเกาะส่วนตัวหรือครับ”

“ใช่ครับ”

“ไปพรุ่งนี้ได้ไหมครับคุณ อีกเดี๋ยวจะมีทัวร์มาลงสองกลุ่ม เขาเหมาเรือผมไว้หมดเลย ถ้าเข้าเกาะคงใช้เวลานานพอควร กลับมารับแขกไม่ทันแน่ๆ”

“งั้นเหรอ” คิดว่าจะได้เจอกันวันนี้เสียอีก แต่ทำไงได้... “งั้นเดี๋ยวพรุ่งนี้เช้าผมมาใหม่ก็ได้ครับ”

“ว่าแต่มีเรื่องอะไรหรือเปล่าครับ เข้าเกาะติดๆ กันเลย เมื่อเช้าน้องชายนายก็เพิ่งเข้าเกาะไปเหมือนกัน หรือจะมีงานเลี้ยงอะไร” ลุงแกพูดแล้วย่นคิ้วสงสัย แต่หัวสมองผมไม่รับรู้อะไรตั้งแต่ได้ยินคำว่าน้องชายนายก็เพิ่งเข้าเกาะไปแล้ว

ภามอยู่ที่นี่จริงๆ ด้วย...

“ไม่ได้มีงานอะไรหรอกครับ ผมแค่กลับมาเยี่ยมน่ะ” ผมรีบดึงสติกลับมาตอบคุณลุง ทั้งที่ปากกำลังยิ้มกว้าง ควบคุมอารมณ์และสีหน้าของตัวเองไม่ได้เลยแม้แต่นิดเดียว

“งั้นพรุ่งนี้ผมจะเตรียมเรือไว้ให้นะ”

“ขอบคุณมากครับลุง”

หลังยกมือไหว้ร่ำลาคุณลุงเรียบร้อยแล้ว ผมก็แบกกระเป๋าเดินขึ้นหาดเพื่อไปตามหาที่พักอย่างมีความสุข ใจจริงอยากจะหาวิธีเข้าเกาะตั้งแต่ตอนนี้ แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าจะทำยังไงดี มองๆ ดูแล้วแถบนี้น่าจะมีเรือเจ้าเดียวด้วย และถึงมีเจ้าอื่นก็คงไม่ยอมเข้าเขตเกาะส่วนตัวแน่ๆ

ไม่เป็นไร...พรุ่งนี้ผมจะออกแต่เช้า ไปนั่งรอคุณลุงที่ท่าเรือ ถ้ามีคนขับเมื่อไหร่ก็จะรีบออกทันที ไม่ปล่อยให้ภามรอนานแน่ๆ

โรงแรมที่ผมเลือกมาพักเป็นโรงแรมเดียวกันกับที่เคยมาพักกับภาม ถึงจะไม่ได้นอนห้องเดิมแล้ว แต่บรรยากาศและข้าวของต่างๆ ก็เหมือนกันมากจนอดทำให้นึกถึงตอนนั้นไม่ได้ ยิ่งเห็นก็ยิ่งคิดถึงเขาเข้าไปใหญ่ จนสุดท้ายทำได้เพียงล้มตัวลงนอนบนเตียง กางแขนกางขาให้เต็มพื้นที่ จะได้ไม่รู้สึกว่าข้างกายว่างเปล่ามากเกินไป แม้มันจะไม่ได้ช่วยเท่าไหร่ก็ตาม

ผมไม่ได้ออกไปหาอะไรกินเลยสักนิด ทั้งยังไม่รู้สึกอยากอาหารเลยด้วย รู้สึกตัวอีกทีก็นอนว่างมาจนถึงสองทุ่ม ท้องฟ้าด้านนอกเปลี่ยนเป็นสีมืดครึ้ม แสงไฟจากตลาดด้านนอกระเบียงทำให้รู้สึกเหงายิ่งขึ้นไปอีก เพราะแค่มองก็คิดถึงความทรงจำที่มีร่วมกับภามอีกแล้ว

แยกกันแค่วันเดียวยังทำเหมือนจะตาย คงอาการหนักมากจริงๆ แต่จะโทษผมก็ไม่ได้หรอก เพราะภามต่างหากที่เป็นต้นเหตุ ทำให้ผมเสพติดการมีอยู่ของเขามากขนาดนี้

ครืด ครืด

“โหล”

[โอ้...ยังโทรได้อยู่ แสดงว่าข้ามเกาะไม่ได้สินะ] เสียงพูดด้วยความประหลาดใจแบบเสแสร้งของปลายสายทำเอาอารมณ์ผมบูดขึ้นมากะทันหัน

“ถึงอังกฤษแล้วก็โทรมากวนตีนกูเลยหรือไง”

[โทรมาถามความคืบหน้าเฉยๆ เอง] มันว่าแล้วหัวเราะฮ่าๆ แบบไม่สนใจอารมณ์ของผมเลยสักนิด จะว่าชินก็ชิน แต่ก็ยังหมั่นไส้อยู่เหมือนเดิมไม่เคยเปลี่ยน

“ไม่ต้องลีลา โทรมาแบบนี้มึงมีอะไรแน่ๆ” เป็นเพื่อนกันมานับสิบปี คนอย่างมันไม่เคยโทรมาเฉยๆ แบบไม่มีจุดมุ่งหมาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงเวลาแบบนี้ เพราะงั้นมันต้องคิดอยากทำอะไรสักอย่างอยู่แน่นอน

[มองโลกในแง่ร้ายจริงๆ กูไม่มีอะไรจะคุยกับมึงหรอก แต่อีกคนน่ะมี] หลังจากมันพูดจบ เสียงกุกกักก็ดังขึ้นเหมือนโทรศัพท์กำลังถูกเปลี่ยนมือ ผมเผลอผุดลุกขึ้นนั่งโดยอัตโนมัติเมื่อเริ่มรู้สึกเคร่งเครียดขึ้นมา ทั้งที่ไม่รู้ด้วยซ้ำว่ามันจะให้ใครมาคุยด้วย แต่แล้ว... [ฮัลโหล]

สำเนียงอังกฤษแท้แบบนี้...

“สวัสดีครับ”

[เจไดใช่ไหม พ่อชื่อออสตินนะ เป็นพ่อของภามน่ะ]

ให้ตายเถอะ...มันเล่นเอาพ่อภามมาคุยเลยเหรอวะ

“คะ...ครับคุณพ่อ” ผมพูดเสียงตะกุกตะกัก ไม่รู้เพราะตื่นเต้นที่ได้คุยกับผู้ใหญ่ หรือเพราะตื่นเต้นที่ได้คุยกับพ่อของคนที่ตัวเองชอบแล้วยังเพิ่งทำเขาเจ็บไปด้วย

[ไม่ต้องเกร็งหรอก พ่อแค่มีอะไรจะคุยด้วยนิดหน่อยน่ะ] ท่านพูดอย่างใจดีเหมือนต้องการให้ผมใจเย็นลง ไม่ได้มีความกดดันใดๆ ในน้ำเสียงเลยแม้แต่น้อย

“ครับ”

[จริงๆ ภูไม่เห็นด้วยที่พ่อจะเอาเรื่องนี้มาบอก เพราะคิดว่าภามควรเป็นคนบอกเราเองมากกว่า แต่ไม่รู้ทำไมพ่อถึงรู้สึกว่าควรบอกเราเอาไว้ จะว่าเป็นลางสังหรณ์ของคนเป็นพ่อก็ได้มั้ง]

“คุณพ่อ...หมายถึงเรื่องอะไรเหรอครับ”

[ภามเคยเล่าเรื่องในวัยเด็กให้ฟังไหม...เรื่องแม่แท้ๆ ของเขา]

แม่แท้ๆ งั้นเหรอ...

“ไม่ครับ ไม่เคยเลย” ถึงจะสังเกตเห็นมาตลอดว่าภามมีอะไรในใจ แต่ผมก็ไม่เคยคิดถาม เพราะกลัวว่ามันจะส่งผลกระทบต่อเขา ทำให้เกิดอะไรที่คาดไม่ถึงขึ้นมา

[คงเป็นเพราะเขาอยากทิ้งมันเอาไว้เบื้องหลัง...] คุณพ่อถอนหายใจเบาๆ น้ำเสียงดูเจ็บปวดจนผมสัมผัสได้แม้จะไม่เห็นหน้า [ต่อให้ตอนนี้ภามอาการดีขึ้นมากขนาดไหน แต่โรคที่เขาเป็นมันไม่มีวันหาย ทำได้เพียงดูแลรักษาให้อาการดีขึ้น และอย่าให้เรื่องราวที่กระทบกระเทือนจิตใจตามกลับมาหลอกหลอนจนกลับไปมีอาการอีกครั้งเท่านั้น]

“โรค...โรคเหรอครับ”

[ภามเป็นโรคซึมเศร้ามานานหลายปี ตั้งแต่ที่เกิดเหตุการณ์ไม่น่าจดจำนั่นขึ้นเขาก็ไม่ยอมคุยกับใคร เอาแต่หมกตัวเองอยู่ในห้องนานนับสิบปี จนกระทั่งเมื่อเจ็ดแปดปีก่อนที่อาการดีขึ้นมากจนกลับมาใช้ชีวิตได้ตามปกติ]

“เหตุการณ์ที่ว่านั่น...”

[เป็นเรื่องเกี่ยวกับแม่แท้ๆ ของภาม...]

ผมกำมือเย็นเฉียบของตัวเองเอาไว้แน่น ไม่กล้าแม้แต่จะกะพริบตาตอนที่ได้ฟังเรื่องราวมากมายเหล่านั้น กระทั่งยามที่คุณพ่อวางสายไปแล้ว ผมก็ยังนั่งนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ ดวงตาทั้งสองข้างร้อนผ่าว แสบไปหมดจนต้องยกมือขึ้นขยี้เพื่อควบคุมอารมณ์ให้เข้าที่อีกครั้ง

ถ้าผมรู้สักนิด...

ถ้าผมรู้ว่าเขาเป็นอะไร...

ผมจะไม่มีวันยอมให้เขาต้องเจ็บปวดแบบนี้เด็ดขาด

แหวนที่ห้อยคออยู่ตลอดถูกหยิบขึ้นมาดูอีกครั้ง ทว่าคราวนี้ผมไม่ได้จ้องมองมันเพราะไม่มีอะไรทำ แต่เลือกจ้องมองมัน เพื่อหาความหมายที่ซ่อนอยู่ภายใน

เรื่องราวที่ซ้อนทับกัน...

คำพูดทีี่เขาเคยบอก...

   ‘ตั้งใจมองสิ’

ทั้งหมดไม่ใช่เรื่องบังเอิญ ภามไม่ได้รู้ความหมายเพราะเขาอ่านมันออก

ตัวอักษรที่สลักอยู่บนแหวน แท้จริงแล้วเป็นเพียงถ้อยคำเรียบง่าย...เพื่อบอกให้รู้ว่าเจ้าของคือใคร

มันอ่านว่า...

‘ภาม’

เขารู้ความหมาย...เพราะเขาคือคนที่มอบแหวนวงนี้ให้กับผม



——————————

 

แจ้งข่าว... อนาคินจะเปิดจองประมาณมกราคมค่ะ ออกกับสำนักพิมพ์ฟาไฉ มี2เล่มจบ + Box ตอนพิเศษในเล่ม 9 ตอน รอนานหน่อยแต่คุ้มค่ากับการรอแน่นอนค่ะ

ส่วนช่วงพย. เราจะมี Re-print ไนโตรเจนนะคะ
ติดตามข่าวสารต่างๆ ได้ที่ เพจ Chesshire. หรือทวิตเตอร์ @Chesshire04
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.31]== [14/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 14-09-2018 17:56:10
พรุ่งนี้ก็ได้เจอแล้ว  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.31]== [14/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 14-09-2018 18:37:51
สงสารรรรรรร ต่อจากนี้เจไดก็ดูแลภามให้ดีนะคะ อย่าปากหนักเลย :hao5:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.31]== [14/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 14-09-2018 19:07:22
คุณหมอสู้ๆ อุตส่าห์ชื่อเจไดอย่างเท่แล้ว ห้ามกากอีกนา
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.31]== [14/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: killua1a ที่ 14-09-2018 19:39:53
ง้อให้สำเร็จนะเจได  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.31]== [14/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 14-09-2018 20:10:03
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.31]== [14/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 15-09-2018 11:32:02
พยายามเข้า
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.31]== [14/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 15-09-2018 11:48:59
สู้ๆนะเจได
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.31]== [14/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 15-09-2018 21:45:40
-32-


‘ภามเห็นเหตุการณ์ตอนที่แม่แท้ๆ ของเขาถูกโจรทำร้ายจนเสียชีวิตต่อหน้าต่อตา เขาผูกติดตัวเองไว้กับความทรงจำอันแสนเลวร้ายมานานหลายปี ไม่พูดคุยกับใคร ไม่เล่าให้ใครฟัง ตอนที่อาการดีขึ้นจนอาหมอของเขาบอกว่าไม่ต้องพบจิตแพทย์ทุกอาทิตย์แล้ว เด็กคนนั้นตัดสินใจบอกครอบครัวว่าตัวเองจะเดินทางท่องเที่ยวไปรอบโลก นั่นมันก็ผ่านมาเจ็ดแปดปีแล้วล่ะนะ ภามเองก็โตขึ้นมากทีเดียว ถึงอย่างนั้นพ่อก็ยังเป็นห่วงเขาไม่เคยเปลี่ยน’

‘…’

‘ทุกครั้งที่พ่อถามว่าไปเที่ยวเป็นยังไงบ้าง เขาจะตอบแค่ว่าสวยดี หรือไม่ก็อากาศดี สั้นๆ ง่ายๆ แต่หมายความว่าไม่ได้พบเจออะไรน่าสนใจเป็นพิเศษ จนกระทั่งครั้งล่าสุด...’

‘ครั้งล่าสุดเหรอครับ’

‘ใช่ ครั้งล่าสุดที่ได้ไปเที่ยวเกาะแห่งหนึ่งในประเทศไทย ภามเป็นฝ่ายโทรมาที่บ้านเองทั้งที่ไม่เคยทำ เขาพูดว่าเจอแล้วด้วยน้ำเสียงที่มีชีวิตชีวามากที่สุดเท่าที่พ่อเคยได้ยินมา เรารู้ไหมว่าเขาหมายถึงอะไร’

‘หมายถึง...ผม’

‘ใช่แล้ว พ่อกังวลมาตลอด ไม่รู้ว่าเราจะคิดแบบเดียวกันกับภามหรือเปล่า จนภูบอกว่าจะไปฟังคำตอบด้วยตัวเอง พอกลับมาแล้วพ่อถึงได้รู้ว่าเราคิดยังไง’

‘แต่ภามไม่ยอมคุยกับผม...’

‘เชื่อเถอะว่าถ้าเจอสิ่งที่ตามหาแล้ว ภามจะไม่ยอมปล่อยไปง่ายๆ แน่ เขาอาจแค่ต้องการเวลาตั้งต้นใหม่ เพราะเหมือนจะเข้าใจอะไรผิดไปสินะ ถ้าเราอดทนรออีกสักนิด พ่อเชื่อว่าภามต้องกลับมา จะหาว่าเห็นแก่ตัวก็ได้ แต่ช่วยรอให้เขากลับมาหน่อยได้หรือเปล่า’

‘ไม่ได้หรอกครับ’

‘…’

‘เพราะครั้งนี้ผมจะเป็นคนไปหาเขาเอง’



อาหมอที่ภามเคยพูดถึงแล้วผมนึกสงสัยในเวลานั้น ที่แท้คือจิตแพทย์ที่คอยดูแลเขามาโดยตลอด และที่ภามพูดเหมือนเข้าใจผมตั้งแต่ทีแรก เป็นเพราะเขาผ่านเหตุการณ์ที่แย่ยิ่งกว่ามาแล้ว

มาถึงตอนนี้ผมแน่ใจแล้วว่าการเจอกันของเรามันไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ

ทุกอย่างที่เกิดขึ้นระหว่างเรา ทั้งการได้กลับมาเจอกันอีกครั้งในรอบหลายปี การได้ไปเที่ยวด้วยกัน ใช้ชีวิตอยู่ด้วยกัน ทุกอย่างถูกกำหนดไว้หมดแล้ว เขาเข้ามาในชีวิตผม...เพราะเราต่างเป็นสิ่งที่ขาดหายไปของกันและกันตั้งแต่แรก

“แล้วเขาจะคิดมากหรือเปล่า...” ผมผุดลุกขึ้นยืน เริ่มรู้สึกตื่นตระหนกเมื่อไม่อาจห้ามความคิดในแง่ร้ายของตัวเองได้

แต่ถ้าเขาน่าเป็นห่วงจริงๆ...พี่ภูจะยอมกลับไปง่ายๆ เหรอ

ไม่สิ...

‘เจได พ่อ...ไม่สิ...พวกเราฝากภามด้วยนะ’

ที่พี่ภูกับไอ้เก้ายอมกลับไปก่อน ที่พวกเขาจากไปโดยไม่รอพบภาม มันเป็นเพราะผมให้คำตอบกับเขาไปแล้วว่าจะดูแลภามเอง และเรื่องราวทั้งหมดมันก็เป็นเรื่องราวระหว่างเราสองคน

หมายความว่าพวกเขาไว้ใจผม...

โทรศัพท์ที่วางนิ่งอยู่ข้างเตียงถูกหยิบขึ้นมากดอย่างรวดเร็ว ผมภาวนาในใจเป็นร้อยรอบ ขอร้องให้ความบังเอิญมีอยู่จริงสักครั้ง ถึงจะใจชื้นขึ้นมาหน่อยเมื่อได้ยินเสียงรอสาย แต่ก็ยังวางใจไม่ได้อยู่ดี

[เฮ้ย! เอ็งรู้ได้ไงเนี่ยว่าข้ากำลังเข้าฝั่ง โทรมาได้จังหวะฉิบ]

“ไม้!” ผมผุดลุกขึ้นยืนด้วยความดีใจ ไม่เคยคิดขอบคุณความบังเอิญมากเท่านี้มาก่อน ถ้าโทรไวกว่านี้คงติดต่อกันไม่ได้ไปแล้ว “เพิ่งมาถึงเกาะเหรอ กลับตอนไหน”

[เพิ่งถึงเลยเนี่ย ข้ามาทำธุระให้ลุงเหม กลับพรุ่งนี้เช้า]

“ทำธุระนานไหม”

[ไม่นาน แค่ไปฝากเงินแป๊บเดียว เอ็งมีอะไรหรือเปล่า ดูลนๆ นะ] ไม้พูดด้วยน้ำเสียงจริงจังตามไปด้วยยามเห็นว่าผมพูดจาไม่เหมือนปกติ

“ทำธุระเสร็จแล้วมาเจอกันหน่อย เดี๋ยวรอที่ล็อบบี้โรงแรมxxx”

[หา...นี่เอ็งอยู่ที่นี่เหรอ!] ปลายสายบ่นอะไรไม่รู้อีกสองสามประโยค ก่อนจะบอกว่าเอาไว้เจอกัน แล้วก็วางสายไปอย่างรวดเร็ว ท่าทางคงจะเร่งไปทำธุระให้เสร็จ ดูก็รู้ว่าอยากมาเจอผมขนาดไหน แต่คงไม่ได้อยากมาเจอเพราะคิดถึงอะไรหรอก น่าจะอยากเผือกมากกว่า

หลังจากจัดข้าวจัดของเรียบร้อยหมดแล้ว ผมก็คว้าข้าวของจำเป็นสองสามอย่างเดินออกไปจากห้อง กะจะไปรอไม้ด้านล่าง เผื่อว่าเขามาไวจะได้ไม่ต้องรอจนเสียเวลากันไปหมด เพราะตอนนี้คนที่รีบมากกว่าอาจไม่ใช่ไม้ แต่เป็นผมเอง

ล็อบบี้ของโรงแรมไม่ได้ใหญ่โตอะไรนัก แต่ก็มีพื้นที่นั่งพักอยู่สองสามจุด ผมเดินตรงไปนั่งบนเก้าอี้ติดกระจก คอยมองสอดส่องออกไปด้านนอกตลอดเวลา เผื่อว่าไม้มาแล้วจะได้รีบคุยกันให้รู้เรื่อง นั่งรออยู่อย่างนั้นประมาณครึ่งชั่วโมง ร่างเล็กของเพื่อนที่ไม่ได้เจอมาหลายเดือนก็วิ่งไวๆ เข้ามาด้านใน สายตาส่ายไปมาเหมือนกำลังมองหาใคร และเมื่อเห็นผมโบกมือให้เขาก็รีบวิ่งเข้ามาหาทันที

“ไปคุยข้างบนเถอะ” ผมรีบพูดก่อนที่เขาจะยิงคำถามมาให้แล้วเดินนำไม้ไปที่ลิฟต์ เห็นสีหน้าอยากรู้อยากเห็นนั่นแล้วก็คาดเดาได้เลยว่าขึ้นไปถึงห้องคงโดนซักฟอกจนขาวสะอาดแน่นอน

ไม้มองไปรอบห้องด้วยท่าทีตื่นตาตื่นใจ เขาบอกว่าไม่เคยนอนโรงแรมแพงๆ ปกติจะมีหอพักรายวันเจ้าประจำเก็บห้องไว้ให้ทุกครั้งที่เข้าเมืองอยู่แล้ว นอนได้คืนสองคืนก็เดินทางกลับเข้าเกาะ เพราะงั้นถึงได้ดูตื่นเต้นสุดๆ ตอนผมบอกให้นอนที่นี่ด้วยกันเลยก็ได้

“เอ็งมานั่งนี่เลยไอ้หมอ” แขกผู้ไร้ความอดทนลากแขนผมให้เดินไปนั่งลงบนโซฟาข้างระเบียง ก่อนจะรีบนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม

“คุยบนเตียงก็ได้นะ”

“ไม่ดีหรอก คนมีผัวแล้วจะมานั่งคุยกับผู้ชายคนอื่นบนเตียงได้ยังไง” ว่าแล้วเจ้าตัวก็ส่ายหน้า “โดยเฉพาะเมียนายน้อย เดี๋ยวข้าก็หัวกุดหรอก”

เอาที่สบายใจ...

เพิ่งรู้ตัวเหมือนกันว่าไม่ได้รู้สึกแสลงหูกับไอ้คำว่าผัวๆ เมียๆ มากเท่าไหร่นัก

“เมื่อวานภามได้ไปที่เกาะหรือเปล่า” ผมถามเข้าเรื่องอย่างรวดเร็ว ไม่ปล่อยเวลาให้เสียเปล่า แต่เมื่อได้เห็นสีหน้างุนงงของไม้ก็อดใจเสียไม่ได้ “ไม่เหรอ...”

“ไม่ใช่ไม่ได้มา แต่ไม่รู้” ไม้ยกมือเกาหัวแกรกๆ “ปกติเวลานายกับคุณเก้าเข้ามาที่เกาะก็ขับเรือไปจอดหน้าบ้านเลย ไม่ได้มาจอดตรงท่าเรือประมงของพวกข้า ถ้าไม่ใช่ว่ามีคนไปหาหรือพวกเขามาหาเองก็ไม่มีใครรู้หรอกว่าใครเข้าใครออก”

จริงด้วย...บางทีภามอาจจะให้เรือไปจอดที่อื่นเพราะไม่อยากให้ใครรู้ว่าเขามาก็ได้

“ค่อยยังชั่วหน่อย...”

“ทีนี้เล่าให้ข้าฟังได้หรือยังว่ามีเรื่องอะไร ทำไมคุณหมออย่างเอ็งถึงมีเวลามาที่นี่” พอถึงคราวจริงจัง ไม้ก็เก็บท่าทีเฮฮาของตัวเองไว้ได้อย่างแนบเนียน เขาขมวดคิ้วมุ่น มองหน้าผมเหมือนต้องการคำตอบ แต่แววตากลับบ่งบอกชัดเจนว่ายินดีช่วยเหลือทุกอย่าง

“ภามเข้าใจฉันผิดเลยหนีมา” ผมรวบรัดคำตอบให้กระชับที่สุด แต่เหมือนมันจะกระชับไปหน่อยคนฟังถึงได้อ้าปากหวอ ทำหน้างงเหมือนจับต้นชนปลายไม่ถูก “คือ...ภามมาได้ยินตอนฉันพูดเล่นกับพ่อ เขาเลยเข้าใจผิด ขับรถหนีไปไหนไม่รู้ ติดต่อไม่ได้ตั้งแต่เมื่อวาน”

“เอ็งเลยคิดว่านายน้อยมาที่นี่?”

“ใช่”

“แล้วถ้า...” ไม้ทำหน้าลำบากใจ เหมือนไม่กล้าถามต่อเพราะกลัวว่ามันจะเป็นการทำลายความหวังของผม แต่ต่อให้ไม่พูดออกมา ผมก็เข้าใจอยู่ดีว่าเขาหมายถึงอะไร

แล้วถ้าภามไม่ได้มาที่นี่จะทำยังไง...

“ภามต้องอยู่ที่นี่แน่ๆ” ความมั่นใจไม่รู้ที่มานี้ไม่ได้เกิดจากท่ีผมเชื่อไอ้เก้า ไม่ได้เกิดจากที่คุณลุงคนขับเรือบอก แต่มันเกิดจากความรู้สึกลึกๆ ที่เคยปฏิเสธมาโดยตลอดและเพิ่งจะยอมรับได้เมื่อไม่นานมานี้

ความรู้สึกของผมบอกว่าภามต้องอยู่ที่นี่แน่นอน

“เข้าใจแล้ว เดี๋ยวข้าจะพาเอ็งเข้าเกาะเอง” ถึงแม้ว่าจะไม่ได้เข้าใจเรื่องราวทั้งหมด แต่ไม้ก็ยังเสนอตัวช่วยอย่างใจกว้าง และมันทำให้ผมใจชื้นขึ้นมาก

ต่อให้คุณลุงคนนั้นรับปากไว้แล้วว่าตอนเช้าจะพาไปส่ง แต่เพราะไม่คุ้นเคยผมถึงเกรงใจพอควร ต่อให้อยากเข้าเกาะไวขนาดไหนก็คงไม่กล้าเร่งรัดอะไรมาก เพราะงั้นถึงเลือกโทรหาไม้ เผื่อว่าเขาจะเข้ามาที่นี่พอดี และถ้าเป็นไปได้ผมก็อยากจะ...

“เราเข้าเกาะกันเลยได้ไหม”

ตอนนี้จิตใจมันกระวนกระวายยังไงไม่รู้ ผมเป็นห่วงภาม อยากไปหาเขาเดี๋ยวนี้ ไม่อยากรอไปจนถึงตอนเช้าแล้ว

“เดี๋ยวๆ ไอ้หมอ เอ็งใจเย็นก่อน” ไม้ลุกขึ้นยืนแล้วเดินตรงเข้ามาหาผม มือยกขึ้นนวดไหล่ให้เหมือนต้องการช่วยให้ผ่อนคลาย แต่ในเวลานี้มันไม่ช่วยอะไรเลย

“ไม่ได้เหรอ”

“ไอ้ได้น่ะมันได้ แต่เอ็งอย่าลืมว่าเกาะเรามันไกล แล้วออกเดินทางตอนฟ้ามืดแบบนี้แถมยังไปกันแค่สองคน ยังไงก็อันตราย”

“นั่นสินะ” ลืมคิดถึงเรื่องนี้ไปเลย ปกติพวกเรือที่พาเข้าเกาะเขาไม่ได้ขับไปไกลขนาดนั้น อีกอย่างคือพวกเขาล้วนมีอุปกรณ์เตรียมการต่างๆ พร้อม ไม่ใช่เรือแบบที่พวกชาวบ้านใช้ หรือต่อให้ไม้เอาเรือของคุณไฟมาก็ยังลำบากอยู่ดี ไหนจะสภาพอากาศที่ไม่รู้ว่าเป็นยังไงอีก

“เอางี้ดีกว่า” คนที่ยืนนวดไหล่ให้ผมอยู่หยุดมือ “ไปเดินเล่นข้างนอกกัน อยู่แบบนี้ต่อไปเอ็งประสาทเสียแน่”

เพราะไม่อาจเถียงอะไรได้เลยแม้แต่คำเดียว สุดท้ายผมเลยทำได้เพียงคว้ากระเป๋าสตางค์กับโทรศัพท์มาถือไว้ แล้วเดินตามไม้ออกไปด้านนอกแบบห่อเหี่ยว ถึงคนข้างกายจะร่าเริงสดใสขนาดไหนก็ไม่อาจทำให้ผมอารมณ์ดีตามไปด้วยได้ ตอนนี้ในหัวมีแต่ภาพคนหน้าตายขี้งอนที่รออยู่ แต่ก็ทำอะไรไม่ได้อยู่ดี นอกจากรอให้ตอนเช้ามาถึงแล้วออกเรือไปพร้อมกับไม้

“ไม่ต้องห่วงหรอกน่า พรุ่งนี้ตีห้าเราออกเรือกันเลย พระอาทิตย์ยังไม่ทันขึ้นเอ็งก็ได้เจอนายน้อยแล้ว เชื่อข้าดิ” คนที่เดินอยู่ด้านข้างหันมาปลอบใจ ผมฟังแล้วก็ยกนาฬิกาขึ้นมาดู นับเวลาในใจเหมือนเด็กๆ

“อีกตั้งเจ็ดชั่วโมง”

“ยิ่งนับมันก็ยิ่งนานสิวะ” ไม้ทำหน้าตาเหมือนไม่ได้ดั่งใจ ทั้งยังเข้ามาถอดนาฬิกาผมออกอย่างถือวาสาสะ “เก็บไว้เลย ไม่ต้องมองนาฬิกาแล้ว เดี๋ยวก็จิตตกหรอก”

พอห่อเหี่ยวจนไม่รู้จะพูดอะไรเลยได้แต่เอานาฬิกายัดใส่กระเป๋ากางเกงเงียบๆ แล้วเงยหน้าสนใจบรรยากาศริมหาดแทน ภาพนักท่องเที่ยวที่เดินกันให้วุ่นทำให้รู้สึกคุ้นตาอยู่ไม่น้อย ยิ่งยามได้เห็นบรรดาร้านขายของกิน ร้านเล่นเกมต่างๆ นานา ภาพความทรงจำเก่าๆ ก็ยิ่งเด่นชัด

“เอ็งนี่มาได้จังหวะจริงๆ ช่วงปลายเดือนแบบนี้มีตลาด...เฮ้ย!” คนพูดลนลาน หันซ้ายหันขวาเหมือนคนกลัวความผิดแล้วรีบเดินเข้ามายืนบังผมไว้ “เอ็งทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ทำไมเนี่ย!”

ผมส่ายหน้าดิก ไม่ยอมตอบคำถาม เพราะกลัวว่าถ้าได้พูดไปแล้วจะยิ่งคิดถึงภาม ตอนที่เราเข้ามาในเมืองสมัยอยู่บนเกาะ เขากับผมก็พากันมาเดินเที่ยวแบบนี้ แล้วมันก็ตรงกับช่วงตลาดปลายเดือนแบบพอดิบพอดี คราวนี้ไม่ว่าจะมองไปทางไหนเลยเห็นแต่ภาพเราสองคนเดินหาของกินกันให้วุ่นไปหมด

มีแต่ความทรงจำเต็มไปหมดเลย...

“พอๆ ยิ่งพาเดินยิ่งตาแดง เดี๋ยวคนอื่นก็เข้าใจว่าข้ารังแกเอ็งพอดี” ไม้บ่นงุ้งงิ้งอย่างหัวเสียแล้วลากผมให้เดินทะลุตลาดไปที่หาดแทน เขาดันให้ผมนั่งลงกับผืนทราย ก่อนจะทรุดตัวลงด้านข้าง “ดีขึ้นยัง”

“ลมเย็นดี แต่ว่า...”

ตรงนี้ก็เคยมานั่งกับภามเหมือนกัน...

“ฉิบ...ทำไมเหมือนอาการหนักกว่าเก่าอีกวะ”

จำได้ว่าวันนั้นฟ้าก็มืดแบบนี้ มองเห็นดาวแบบนี้ ทะเลเป็นแบบนี้ ทุกอย่างเหมือนกันไปหมด แตกต่างกันเพียงแค่ตอนนี้คนที่นั่งอยู่ข้างผมไม่ใช่เขา

ไม่รู้เหมือนกันว่าผมนั่งเหม่ออยู่แบบนั้นนานแค่ไหน ลืมกระทั่งว่าข้างกายมีไม้นั่งอยู่ด้วย ถึงจะได้ยินเสียงเขาพูดคุยอะไรบางอย่างในโทรศัพท์ แต่ก็ไม่มีอารมณ์หันไปสนใจ ทั้งที่ปกติคงหันไปเผือกด้วยแล้วแท้ๆ

คนเราเวลาหดหู่มันน่ากลัวจริงๆ นั่นแหละ

แล้วภามล่ะ...เขาจะเป็นอะไรหรือเปล่า

“ไอ้หมอ” เสียงเรียกพร้อมแรงสะกิดจากคนด้านข้างทำให้ผมรู้สึกตัว ไม้ส่งโทรศัพท์มาให้แล้วพยักพเยิดเป็นเชิงบอกให้เอามันแนบหู ผมที่ไม่ค่อยมีสติอยู่แล้วเลยรับมาทำตามแบบมึนๆ

“ครับ”

[คุณหมอ]

“คุณไฟ?” ถึงจะไม่ได้ยินเสียงมาพักใหญ่แล้ว แต่ผมยังจำเสียงของคุณไฟได้ดี และมั่นใจมากว่าปลายสายคือเขา

[ไม้บอกผมว่าคุณต้องการความช่วยเหลือ]

“อา…” ผมหันไปมองไม้งงๆ ก่อนริมฝีปากจะผุดรอยยิ้มขึ้นเล็กน้อยเมื่อจับเค้าลางบางอย่างได้ “ไม่มีใครช่วยอะไรผมได้หรอกครับ ว่าแต่คุณไฟเถอะ...ไม่คิดเลยว่าจะยังติดต่อกับไม้อยู่”

[ผมเองก็แปลกใจเหมือนกันครับที่เขาโทรมาหาก่อน ปกติต้องบังคับถึงจะ...]

“ถ้าไม่คิดจะช่วยอะไรก็วางสายไปเลยไป!” น้ำเสียงเจือความหัวร้อนจากคนที่นั่งกอดอกอยู่ข้างผมดังขึ้น พร้อมๆ กับที่เจ้าตัวทำหน้าบูด หรี่ตาลงเหมือนกำลังนับหนึ่งถึงสิบในใจ คาดว่าถ้ายังไม่ยอมหยุดคุยเรื่องนี้ เห็นทีไม้คงเข้ามายึดโทรศัพท์คืนไปแน่

[เหมือนจะมีคนหัวร้อนแล้ว งั้นคุณช่วยคุยกับคนคนหนึ่งหน่อยนะครับ อาจช่วยอะไรไม่ได้มาก แต่ก็หวังว่าจะทำให้สบายใจขึ้นบ้าง]

“ผม…”

[คุณหมอ!]

“น้องลม!” ผมฉีกยิ้มกว้างเมื่อได้ยินเสียงเล็กๆ ที่ดังมาจากฝั่งนั้น ถึงจะเปลี่ยนไปนิดหน่อย ดูร่าเริงสดใสมากขึ้น แต่ก็ยังมีเค้าโครงของน้องลมอยู่มาก

[คุณพ่อบอกว่าคุณหมอไม่สบาย]

“หมอไม่ได้...” ไม่สิ...ถ้านับอาการทางใจที่เป็นอยู่ตอนนี้ก็คงไม่สบายจริงๆ นั่นแหละ “ครับ หมอไม่สบายนิดหน่อย”

[คุณหมอเป็นอะไรเหรอครับ]

“หืม...ดูเหมือนจะมีเด็กพูดเก่งขึ้นนะเนี่ย” เมื่อก่อนเอาแต่เงียบ ถามคำตอบคำแท้ๆ เดี๋ยวนี้เสียงร่าเริงมาเชียว “หมอแค่ไม่สบายใจนิดหน่อยครับผม”

[ลมก็เคยไม่สบายใจครับ]

“แล้วตอนนั้นน้องลมเป็นอะไรเหรอ”

[ลมคิดถึงพี่ไม้] น้องเอ่ยเสียงใส ติดจะหงอยอยู่หน่อยๆ [คุณหมอไม่สบายใจเพราะคิดถึงใครอยู่เหมือนกันใช่ไหมครับ]

ไม่สบายเพราะคิดถึงใครงั้นเหรอ...

“ครับ” ผมยิ้มจาง ตอบโดยไม่คิดปิดบัง “หมอไม่สบายเพราะคิดถึงคนคนหนึ่งน่ะ น้องลมพอมีทางช่วยไหม”

ใครมาได้ยินอาจจะหาว่าผมบ้าก็ได้ ที่ถามหาหนทางแก้ไขความคิดถึงของตัวเองจากเด็กอายุไม่กี่ขวบ แถมยังเป็นการถามแบบจริงจัง ไม่ได้พูดเล่นด้วย แต่หากคนคนนั้นได้มาเผชิญกับความรู้สึกแบบเดียวกันกับที่ผมเป็นอยู่ พวกเขาคงเข้าใจได้ในที่สุดว่าเวลาที่คนเราไม่สบายใจ ไม่ว่าจะต้องขอความช่วยเหลือจากใคร ขอแค่มันช่วยได้บ้าง จะอะไรก็ไม่สำคัญทั้งนั้น

[ไปหาสิครับ]

“ไปหา...”

[ลมก็จะไปหาพี่ไม้เหมือนกัน คุณหมอก็รีบไปหาพี่ชายนะ] เสียงเจื้อยแจ้วของน้องทำให้ผมอดยิ้มตามไปด้วยไม่ได้ [คุณพ่อบอกว่ารออีกนิดเดียวก็จะได้เจอแล้ว เพราะงั้นต้องอดทนไว้นะ]

อดทนไว้เหรอ...

“ครับ พี่หมอจะอดทนนะ จะไม่ยอมแพ้น้องลมเด็ดขาดเลย”

ขนาดเด็กชายตัวเล็กๆ ยังอดทนมาได้ตั้งหลายเดือน แล้วกับผมที่ไม่ได้เจอหน้าเขามาแค่วันเดียวจะยอมแพ้ได้ยังไง ถึงจะรู้ว่ามันเทียบกันแทบไม่ได้ แต่อย่างน้อยสิ่งที่น้องลมพูดมาก็ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาก ในเมื่อเป็นคนทำให้เขาหายไปเองแล้วจะมาคร่ำครวญให้ได้อะไร ต่อให้ร้องไห้อยู่ตรงนี้ก็ไม่มีประโยชน์อยู่ดีเพราะเขาไม่ได้มาเห็นด้วย

ผมต้องไปหาภาม...ไปแก้ไขความเข้าใจผิดทั้งหมด ต้องไปขอโทษเขาด้วยตัวเอง และสิ่งที่ทำได้ในตอนนี้ก็คือการอดทน ขนาดเขายังอดทนกับผมมาได้ตั้งนาน แล้วอีกแค่ไม่กี่ชั่วโมง ทำไมผมจะอดทนบ้างไม่ได้

“ขอบคุณมากนะไม้” ผมยื่นโทรศัพท์ไปให้ไม้แล้วยิ้มขอบคุณเขา ถ้าไม่ใช่เพราะอีกฝ่ายโทรไปหาน้องลม ให้เด็กอายุไม่กี่ขวบช่วยทำให้ผมรู้สึกดีขึ้น ผมคงยังนั่งหงอยไม่เลิกแน่

“เออ แล้วเอ็งดีขึ้นหรือยัง”

“ดีขึ้นแล้ว”

ภามต้องไม่ชอบแน่ถ้ารู้ว่าผมงอแงเวลาที่ไม่ได้อยู่กับเขา เอาไว้ให้ได้เจอกันก่อนแล้วค่อยทำตัวเปื่อยเหมือนเดิมก็ยังไม่สาย แต่เวลานี้ต้องตั้งหน้าตั้งตารอเวลาไปก่อน ห้ามทำให้เขาเป็นห่วงเด็ดขาด

“แล้วเอ็งจะทำอะไรต่อ” ไม้ถามขึ้นเมื่อเห็นผมลุกขึ้นยืนปัดกางเกงที่เลอะทรายออก

“ไปหาอะไรกินแล้วขึ้นไปนอนกันเถอะ แป๊บเดียวก็เช้าแล้ว”

“ต้องแบบนี้สิถึงจะสมเป็นเอ็ง”

เราสองคนลุกขึ้นเดินกลับไปที่ตลาด ตามหาอาหารที่จะซื้อกลับไปกินบนห้อง ผมเดินซื้อนั่นซื้อนี่ตามที่อยากกินแล้วถือไว้จนเต็มสองมือ พอเริ่มคิดได้ความหิวที่สั่งสมมาตั้งแต่เช้าก็ตีรวนเข้ามาจนท้องร้องโครกครากไม่หยุด ขืนไปเจอภามในสภาพนี้คงโดนเขาตีแน่ๆ

ทั้งที่ตอนนี้ก็ดึกมากแล้วแต่ร้านค้าและร้านรถเข็นต่างๆ กลับยังเปิดไฟสว่างไสว แม้แต่นักท่องเที่ยวก็ยังไม่มีทีท่าว่าจะลดลงเลยแม้แต่น้อย ผมกับไม้หันมามองหน้ากันเมื่อก้มลงมองข้าวของในมือแล้วพบว่ามันเยอะมากจนไม่รู้จะกินหมดหรือเปล่า

“กลับเลยไหม” เขาถาม

“กลับเลยก็ได้” เมื่อตกลงกันได้แล้วเราก็พากันเดินตัดผู้คนไปอีกทางเพื่อกลับไปที่โรงแรม หากยังไม่ทันได้ก้าวพ้นตัวตลาด เสียงพูดคุยกระซิบกระซาบจากทางด้านหลังก็ดังขึ้นเรื่อยๆ จนผมต้องหันกลับไปมองเหตุการณ์

“มีใครไม่รู้มาจอดเรือที่หาด ส่งเสียงโหวกเหวกดังมาถึงตลาดเลย”

“รีบกลับกันดีกว่า ฉันเริ่มกลัวแล้ว”

ผมมองผู้หญิงสองคนที่เดินผ่านหน้าไปด้วยความไม่เข้าใจ ก่อนจะตัดสินใจเดินกลับไปทางเดิม แหวกฝูงชนที่ยืนมุงอะไรกันอยู่ไม่รู้เข้าไปด้านใน

“หมอ! มีใครเป็นหมอไหมครับ!”

“ช่วยด้วย ช่วยด้วยครับ!”

เสียงโหวกเหวกดังขึ้นพร้อมกับที่ผมมองเห็นร่างเปียกโชกของชายสองคนวิ่งจากหาดเข้ามาในตลาด บรรดานักท่องเที่ยวที่ยืนดูอยู่ต่างพากันตื่นตระหนก คงเป็นเพราะหนึ่งในนั้นมีเลือดอาบหน้า ทั้งสองส่งเสียงร้องขอความช่วยเหลือไม่หยุด ผมเองก็ตกใจไม่แพ้คนอื่น แต่พอเห็นหน้าตาเหมือนจะร้องไห้ของพวกเขาผมก็รีบดึงสติกลับมา ยัดถุงอาหารในมือทั้งหมดไปให้ไม้แล้ววิ่งเข้าไปหาชายสองคนนั้น

“ผมเป็นหมอครับ”

“คุณหมอ! ช่วย...ช่วยเพื่อนผมด้วยครับ” ชายคนที่เลือดอาบหน้าร้องห่มร้องไห้เสียงดัง ฟังจากที่เขาพูดแล้วดูเหมือนจะมีคนบาดเจ็บหนักนอกจากเขาอีก ถึงได้ดูไม่สนใจบาดแผลบนศีรษะเลยสักนิด

“เพื่อนคุณอยู่ไหนครับ”

ทั้งคู่วิ่งนำผมไปที่หาด ตรงไปที่เรือส่วนตัวขนาดเล็กคล้ายเรือของคุณไฟซึ่งจอดอยู่ในทะเล โดยมีไม้และนักท่องเที่ยวอีกสามสี่คนวิ่งตามมาด้วย ผมวิ่งลุยทะเลแบบไม่สนใจว่าตัวจะเปียกเพียงใด ก่อนจะรีบปีนขึ้นไปบนเรือ มองหาคนเจ็บจนทั่วแล้วจึงพบว่ามีชายคนหนึ่งนอนหงายอยู่บนพื้น ข้างกายมีผู้ชายตาแดงก่ำคนหนึ่งกำลังกดมือลงบนท้องของเขา

“โดนอะไรมา” ผมถามอย่างมีสติขณะพุ่งเข้าไปดูคนเจ็บ

“ดะ...โดนแทงครับ” 

“ไม้!”

“ว่าไงไอ้หมอ!” ไม้ตะโกนออกมาจากนอกเรือ คงเห็นว่าคนอยู่เยอะเลยไม่อยากเข้ามาเพิ่มอีก

“โทรเรียกรถพยาบาลกับตำรวจด่วนเลย”

“ได้”

“คุณ ไปเอาผ้าสะอาดมาหน่อย” ผมหันไปสั่งคนด้านหลัง ก่อนจะวางมือทับลงบนมืออันสั่นเทาของคนที่ทำท่าคล้ายจะร้องไห้อยู่ด้านข้าง “กดแผลแน่นๆ แล้วอดทนไว้ก่อน”

หลังจากได้ผ้าสะอาดมาแล้วผมก็เปลี่ยนเป็นคนกดปากแผลของคนเจ็บเอาไว้เอง คนที่น่าจะนั่งหลังแข็งมาตลอดถึงกับทรุดลงไปนั่งพับเพียบอย่างหมดแรง ทั้งยังปล่อยเสียงร้องไห้โฮออกมาจนดูน่าสงสาร

“ใจเย็นๆ ครับ เขาไม่เป็นไรหรอก” ผมพูดปลอบทั้งที่ยังกดผ้าลงบนบาดแผลอยู่ จากที่สำรวจดูผ่านๆ เหมือนจะไม่โดนจุดสำคัญอะไรแล้วแผลก็ไม่ได้ใหญ่มากด้วย แต่คงเพราะอยู่อย่างนี้มานานเกินไปคนเจ็บเลยหมดสติ

รถพยาบาลมาถึงในเวลาไม่นานหลังจากนั้น ผมช่วยดูแลคนเจ็บตั้งแต่อยู่บนเรือ ยันถูกขนย้ายไปบนรถที่มีอุปกรณ์ครบครันแล้วก็ยังช่วยจัดการต่อ กระทั่งถึงหน้าห้องฉุกเฉินแล้วจึงปล่อยให้เป็นหน้าที่แพทย์ ไม่นานหลังจากนั้นไม้ก็ตามมาทัน เขาวิ่งหน้าตาเข้ามาหาผมพร้อมกับเพื่อนคนอื่นๆ ที่ไม่เป็นอะไรของคนเจ็บ

“คุณหมอ ขอบคุณมากนะครับ ขอบคุณมากจริงๆ” ผู้ชายที่วิ่งขึ้นมาบนหาดพร้อมคนหัวแตกซึ่งมาถึงโรงพยาบาลก่อนแล้วเอ่ยซ้ำไปซ้ำมา ด้านข้างมีชายตัวเล็กที่คอยดูแลคนเจ็บก่อนผมไปถึงยืนตาแดงอยู่ด้วย

“ไม่เป็นไรครับ” ผมยิ้มให้ทั้งคู่แล้วนั่งลงบนเก้าอี้หน้าห้องฉุกเฉิน

“คุณหมอมาเที่ยวเหรอครับ” เขาชวนคุยขณะนั่งลงด้านข้าง “อ้อ...ผมชื่อบาสครับ ส่วนเจ้านี่ชื่อพิณ ไอ้ที่อยู่ในห้องฉุกเฉินนั่นชื่อกัน”

“ผมเจไดครับ ส่วนนี่ไม้” คนด้านข้างผมที่นั่งกินลูกชิ้นอยู่ยื่นหน้าไปผงกหัวให้นิดหน่อยก่อนจะกลับไปพิงพนักเหมือนเดิม

“อา...ครับ”

“ที่คุณถาม...ผมไม่ได้มาเที่ยวหรอกครับ มาตามหาคนน่ะ” ผมตอบตามความจริงแล้วยิ้มนิดๆ อดคิดถึงภามขึ้นมาอีกรอบไม่ได้

“คนสำคัญสินะครับ” พิณพูดแทรกขึ้นมาบ้าง เขายืนอยู่ด้านหน้าผม สีหน้าดูดีขึ้นจนแทบเป็นปกติแล้ว “คุณยิ้มตอนที่พูดถึงเขา”

คำพูดของพิณทำให้ผมสะกิดใจจนต้องเงยหน้าขึ้นมอง และเมื่อได้เห็นสีหน้าของชายที่น่าจะอายุน้อยกว่าพอควร ผมก็เข้าใจได้ในทันทีว่าเขารู้ได้อย่างไร

ดูท่าทางคนที่อยู่ในห้องฉุกเฉินนั่นน่าจะอยู่ในสถานะเดียวกันกับภามสินะ...

“ครับ คนสำคัญ” สำคัญมากด้วย

เรานั่งเงียบกันอยู่พักใหญ่ ไม่มีใครพูดอะไรออกมา มีเพียงเสียงกินของไม้ และตามด้วยเสียงกินของผมหลังจากทนหิวไม่ไหว จะรักษาภาพพจน์ก็คงต้องท้องร้องไปอีกนาน เพราะงั้นไม่ทนดีกว่า

“เกิดอะไรขึ้นเหรอ” ไม้พูดขึ้นมาหลังจากที่น่าจะกินอิ่มแล้ว เขาส่งถุงขนมครกมาให้ผม จากนั้นหันไปถามพิณที่ยืนพิงผนังอยู่ “ทำไมเขาถึงโดนแทงได้”

“พวกเรามาเที่ยวกันหกคนครับ” พิณเริ่มพูดช้าๆ ดวงตาดูหวาดกลัวขึ้นมาเหมือนกำลังนึกถึงเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น “มีเราสองคน พี่กันที่อยู่ในห้องฉุกเฉิน พี่กิตที่หัวแตก แล้วก็ฟิวส์กับฟาร์มที่ไปให้ปากคำกับตำรวจ”

“จริงๆ เรามีกำหนดกลับเข้าฝั่งกันพรุ่งนี้น่ะครับ” บาสพูดขึ้นแทนเมื่อเห็นพิณยกมือเช็ดน้ำตาป้อยๆ “แต่เพราะที่บ้านไอ้กันมันมีปัญหาเลยตัดสินใจขับเรือเข้าฝั่งกันเลย ไม่คิดว่าจะมีโจรขับเรือสองลำมาดัก พวกมันต้อนเราไปที่เกาะแห่งหนึ่ง เสร็จแล้วก็ขึ้นเรือมาขโมยของ ตอนแรกเรายอมเพราะพวกมันมีอาวุธแล้วยังมาเยอะกว่า แต่พอมันจะแตะไอ้พิณ ไอ้กันมันเลยเข้าไปขวางจนโดนแทงไปหนึ่งที”

“แล้วตอนนี้พวกมัน...”

“ไม่ทราบเหมือนกันครับ แต่ก่อนที่จะหนีไปพร้อมของมีค่าบนเรือ ผมเห็นพวกมันวิ่งเข้าไปในเกาะ”

ผมหันไปมองหน้าพิณที่ยังตาแดงก่ำแล้วก็เข้าใจเรื่องราว เด็กคนนี้หน้าตาดีมากแถมยังตัวเล็กนิดเดียว บนเรือแสงไม่ได้สว่างอะไรมากมายแถมยังเป็นเวลากลางคืน ไม่แปลกที่พวกโจรโรคจิตจะคิดว่าเป็นผู้หญิง

“เหตุการณ์เหมือนที่ไอ้คุณไฟนั่นเคยเจอเลยนะไอ้หมอ” ไม้พึมพำแล้วยกมือเกาหัว ผมเองก็พยักหน้าตามไปด้วย เหตุการณ์เหมือนกันมากจริงๆ นั่นแหละ

“ตอนนั้นคุณไฟก็เคยเตือนเหมือนกันให้ระวัง” ผมยังคิดอยู่เลยว่าถ้ามันมาเจอพวกชาวบ้านที่เกาะเข้าคงแย่ พวกเขาไม่มีอะไรไปสู้ ไหนจะบ้านนายที่ดูจากภายนอกแล้วเหมือนจะมีของมีค่าเยอะแยะอีก

“ไอ้คุณไฟมันแจ้งตำรวจตั้งแต่มาถึงฝั่ง แต่ข้าไม่เห็นจะได้ข่าวคราวอะไรเพิ่ม น่าจะยังจับไม่ได้ คงเป็นโจรกลุ่มเดียวกัน...เดี๋ยวนะ” คนพูดหันหน้ามาสบตากับผม พร้อมๆ กับที่เราลุกขึ้นยืนพร้อมกัน

“พวกคุณเป็นอะไรหรือ...”

“เกาะที่พวกนายว่ามันคือเกาะไหน!”​ ผมพุ่งเข้าไปจับไหล่บาสแล้วเขย่าถามอย่างร้อนรน ความหวาดกลัวเกิดขึ้นในใจอย่างฉับพลันจนหายใจแทบไม่ออก “ตอบมาเร็วเข้า!”

“ผะ...ผมไม่แน่ใจ”

“ผมเห็นบ้านหลังใหญ่อยู่บนเกาะครับ” พิณพูดแทรกด้วยน้ำเสียงสั่นเทา แต่คำพูดของเขากลับทำให้ผมหนาวเหน็บไปถึงขั้วหัวใจ “เหมือนจะมีสระว่ายน้ำอยู่ข้างหน้า แล้วก็มีชิงช้าผูกอยู่กับต้นไม้”

ให้ตายเถอะ...

“พิณ รีบไปบอกตำรวจให้ตามไปที่เกาะนั้นด่วนเลย เข้าใจหรือเปล่า” ผมออกคำสั่งสั้นๆ พอเห็นเขาพยักหน้าแล้วก็รีบวิ่งออกไปจากโรงพยาบาลพร้อมไม้

ไม่เคย...ผมไม่เคยรู้สึกหวาดกลัวขนาดนี้มาก่อน

แม้สองมือจะเย็นเยียบขนาดไหน หรือสองขาจะปวดร้าวเพียงใด ผมก็ไม่ได้รู้สึกอยากหยุดพักเลยแม้แต่วินาทีเดียว หัวใจที่เต้นอย่างรุนแรงในอกปวดร้าวจนแทบระเบิด เจ็บยิ่งกว่าตอนที่คิดถึงภามหลายเท่า

ผมต้องไปหาภาม...ต้องไปหาเขาเดี๋ยวนี้

ความรู้สึกที่เกิดขึ้นทั้งหมด ความรู้สึกที่อยากพุ่งเข้าไปหา ความคิดถึงที่เกิดขึ้นเพียงแค่ไม่ได้เจอหน้า ทั้งหมดมันไม่ใช่เพราะได้ฟังเรื่องราวในอดีตของภาม

ผมไม่ได้เจ็บปวดเพราะความเวทนา

ไม่ได้อยากเจอจนแทบบ้าเพราะว่าเหงา

ไม่ได้รู้สึกเหมือนใจจะหยุดเต้นเพราะสงสาร

แต่ทั้งหมดมันคือความห่วงใย

ความห่วงใย...ของคนที่รักกัน


—————————


TALK : ต้องหั่นเพราะตอนต่อไปจะยาวค่ะ พรุ่งนี้เจอกันน
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.32]== [15/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 15-09-2018 22:12:18
แอบกลัวขึ้นมาเลยค่ะ ขอให้เค้าเจอกันแบบปลอดภัยทั้งคู่ด้วยนะคะ;-; // เขินดีเลย์กับคู่ไฟไม้สุด รอเล่มไม่ไหวแล้วค่ะ555 สู้ๆนะคะ♡
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.32]== [15/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ●GreenTEA● ที่ 15-09-2018 22:31:05
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.32]== [15/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: killua1a ที่ 15-09-2018 23:47:48
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.32]== [15/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: 19th ที่ 15-09-2018 23:55:21
ไม่อยากจะคิดว่าถ้าภามเห็นภาพคนที่รักโดนทำร้ายต่อหน้าอีกจะเตลิดไปถึงไหน  :ling2:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.32]== [15/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Cappello ที่ 16-09-2018 01:07:01
รีบไปเลยจ้าาาาาาา คิน วิ่ง!!
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.32]== [15/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 16-09-2018 03:10:35
ภามจะปลอดภัยไหมเนี่ย โจรมีกี่คนฟ่ะ  :ling3:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.32]== [15/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 16-09-2018 08:51:06
ทุกคนต้องปลอดภัยนะ
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.32]== [15/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 16-09-2018 10:18:48
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.32]== [15/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: bigbeeboom ที่ 16-09-2018 13:21:06
โอ้ย เพิ่งมาเห็น รู้สึกพลาดมากจ้า แต่ต่อไปเฝ้าเรื่องนี้ตลอด เหมือนอีกสองเรื่อง ชอบมากกกกก
ลุ้นๆ ว่าเอาไงต่อ ถ้าธามเจอกลั่มโจร
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.32]== [15/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 16-09-2018 19:26:04
-33-


“ไม้ ไวกว่านี้หน่อยได้ไหม”

“ไวกว่านี้คงได้เรือคว่ำกันทั้งคู่แน่ เอ็งไปนั่งสงบสติก่อนเถอะ” ไม้หันมามองผมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แววตาจริงจังของเขาทำให้ผมพูดอะไรต่อไม่ออก ต้องเดินกลับไปนั่งบนเบาะเหมือนเดิม

ตอนไปเกาะครั้งแรกผมเมาเรือจนไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าระยะห่างระหว่างเกาะกับฝั่งมันมากขนาดไหน พอครั้งต่อๆ ไปยังพอสังเกตได้บ้างว่าใช้เวลานานอยู่เหมือนกัน หากวันนี้ผมกลับรู้สึกว่ามันดูนานมากเป็นพิเศษ เรือของเราไม่ได้มีแสงสว่างมากมาย ไม่ได้มีอุปกรณ์พร้อมสรรพสำหรับการเดินทางยามค่ำคืนที่ท้องฟ้ามืดมิดขนาดนี้ แค่ไม้ขับเรือได้อย่างมีประสิทธิภาพผมก็ควรขอบคุณเขาแล้ว

เพียงแต่...

ผมกลัวมากจริงๆ กังวลไปหมดจนอยู่ไม่สุข แทบไม่รับรู้ถึงความเมื่อยล้าของขาที่ทำงานอย่างหนักเพราะต้องวิ่งไปวิ่งมาอย่างต่อเนื่องมาเกือบสองวันเลยด้วยซ้ำ

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นับตั้งแต่จำความได้ยันตอนนี้ ไม่เคยมีใครเจาะกำแพงเข้ามาหาผมได้เลยสักคน ต่อให้เคยคบกับผู้หญิงที่เข้าหามามากหน้าหลายตาแต่ผมก็ให้เกียรติพวกเธอ ไม่คิดแตะต้องหากไม่จริงจัง และก็เพราะแบบนั้นถึงอยู่คนเดียวมาโดยตลอด เคยคิดว่าจะต้องเป็นแบบนี้ตลอดไปเหมือนกัน

จนกระทั่งเขาเข้ามา...

ภามเข้ามาในช่วงเวลาที่ผมท้อแท้มากที่สุด เขาเข้ามาในช่วงเวลาที่ผมรู้สึกเหมือนไม่เหลืออะไรเลย แค่ต้องใช้ชีวิตไปวันๆ เพื่อพ่อแม่ ไม่มีเป้าหมายอะไรในชีวิตแม้แต่อย่างเดียว เพราะรู้สึกเหมือนทำทุกอย่างสำเร็จไปหมดแล้ว เขาช่วยตามหาสิ่งที่ขาดหายไป ไม่เคยต่อว่าที่ผมเป็นคนขี้เกียจ ทั้งยังช่วยพยายามในส่วนที่ขาดจนผมเริ่มมองเห็นแสงสว่าง

เขาเคยพูดว่าผมคือความสุขและเป็นสิ่งที่เขาตามหา แต่จริงๆ แล้วผมแทบไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ เป็นภามที่พยายามมาโดยตลอด เป็นเขาที่ช่วยเหลือผมอยู่ฝ่ายเดียว

ภามคือคำตอบของทุกสิ่งทุกอย่าง เขาคือสิ่งที่ผมขาดหายไป เขาคือสิ่งที่ผมตามหา และครั้งนี้ผมจะไม่ปล่อยให้เขาไปไหนอีก ในเมื่อเขาเลือกที่จะดูแลผมแล้วก็ต้องดูแลตลอดไป ผมจะเป็นคนขี้เกียจ จะอ้อนให้เขาดูแลอยู่เหมือนเดิม แต่คราวนี้จะไม่ใช่ในฐานะของคนเห็นแก่ตัวอีกแล้ว...

ผมจะอ้อน จะงอแง จะขอให้ดูแลในฐานะของคนที่รักเขา

เพราะงั้นได้โปรด...

ขอให้ปลอดภัยด้วยเถอะ ขอแค่เขาปลอดภัย จะเอาอะไรก็ยอมทุกอย่างแล้ว

“ไอ้หมอ เห็นเกาะแล้ว” น้ำเสียงจริงจังของไม้ดึงสติของผมให้กลับมาเข้าที่อีกครั้ง

ท่ามกลางความมืดมิดของหนทางด้านหน้า เงาของเกาะอันแสนคุ้นตาเริ่มปรากฏให้เห็น ถึงจะไม่ชัดเจนมากเท่าไหร่แต่ก็มองออกว่าเป็นเกาะที่เรากำลังมองหาแน่นอน ผมเดินไปเกาะเบาะคนขับเรือ พยายามเพ่งมองว่าไม้ขับเรือมาทางด้านไหนของเกาะ และเมื่อเข้าไปใกล้มากขึ้น...ใกล้จนมองเห็นหาดได้ชัดเจนแล้ว ผมก็แทบลืมหายใจ

“เรือพวกนั้น...”

“ของพวกมันแน่นอน เกาะเราไม่มีเรือแบบนั้น” ไม้พูดเสียงเครียด ซึ่งผมเองก็เห็นด้วยกับเขา “เอาไงดีวะ”

“ขับวนไปที่ท่าเรือก่อน” ผมบอกเขาพร้อมชี้นิ้วไปอีกทิศเพื่อให้ไม้ขับอ้อมเกาะไป ขืนเข้าไปใกล้กว่านี้แล้วพวกนั้นยังอยู่แถวหาดคงรู้ตัวก่อน ถ้ารู้แล้วหนีไปก็ดี แต่ถ้ารู้แล้วมุ่งตรงมาที่เราแทนนี่แย่แน่

ไม้ทำตามที่ผมบอกโดยการขับเรือวนไปที่ท่าจอดเรือของพวกชาวบ้าน เราไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก บรรยากาศรอบกายมีเพียงความเคร่งเครียด และอีกหนึ่งความรู้สึกที่ถูกกดทับไว้ในจิตใจของเราทั้งคู่คงเป็น...ความกลัว

ผมยกมือแตะบริเวณหน้าอก หวังให้ความอุ่นร้อนของฝ่ามือทำให้ใจที่เต้นรัวแรงด้วยความตระหนกและความหวาดกลัวบรรเทาลงได้บ้าง แต่ดูคล้ายจะไม่เป็นผลเท่าไหร่นัก สิ่งที่ทำได้จึงมีเพียงการพยายามควบคุมสติของตัวเองเอาไว้ให้ได้มากที่สุด

“ไม้ นายไปปลุกพวกชาวบ้าน เริ่มจากพวกที่อยู่ใกล้ก่อน บอกให้พวกเขาหยิบอาวุธแล้วไปอยู่รวมกันไว้นะ” ผมหันไปสั่งเมื่อเรือจอดนิ่งอยู่ที่ท่าเรียบร้อยแล้ว

“แล้วเอ็งล่ะ”

“ฉันจะไปหาภามที่อยู่ด้านในสุดก่อน แล้วจะไล่จากด้านในออกมาด้านนอก” ถ้าพวกโจรเดินทะลุป่ามาทางบ้านนายจริงๆ ที่แรกที่พวกมันจะเจอก็คือกระท่อมของผมกับภาม แต่ถ้าโชคดีมันอาจจะไม่ได้เข้าป่า ผมต้องรีบไปหาภามก่อน

“ได้ เจอกันที่บ้านลุงเหม”

เรามองหน้ากันอีกรอบ ก่อนจะพยักหน้าเข้าใจแล้ววิ่งลงไปจากเรือพร้อมกัน ผมออกแรงวิ่งจนเหนื่อยหอบ สลัดรองเท้าทิ้งไปตั้งแต่ที่กระโดดลงน้ำ สองเท้าเปลือยเปล่าย่ำโดนอะไรบ้างก็ไม่สนใจ

ระยะทางจากหาดเข้าไปถึงกระท่อมไม่ได้ไกลมากนักแต่ก็ไม่อาจเรียกว่าใกล้ ผมเจ็บแปลบที่เท้าทั้งสองข้าง รู้สึกเหมือนเหยียบเศษไม้เข้าอย่างจังจนน้ำตาคลอ ยิ่งวิ่งก็ยิ่งทรมานไปหมดทั้งทางใจและทางกาย แม้แต่แขนและเนื้อตัวก็โดนเศษไม้เกี่ยวจนเจ็บไปหมดทั้งตัวเพราะมองทางไม่เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว มีเพียงสัญชาตญาณและความเคยชินเท่านั้นที่ช่วยนำทางให้ยังวิ่งต่อไปได้

เจ็บเป็นบ้า...

ผมยกมือปาดน้ำตา อ่อนล้าไปทั้งกายและใจ แต่ความเป็นห่วงที่เอ่อล้นอยู่ด้านในก็ยังเอาชนะความเจ็บปวดและความหวาดกลัวได้เหมือนเดิม กระทั่งได้เห็นกระท่อมที่ดูคุ้นเคย หัวใจที่ปวดร้าวถึงได้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

สองเท้าที่เคยคิดว่าไม่ไหวแล้วเริ่มวิ่งเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว ผมวิ่งตรงไปที่ประตู หยิบกุญแจที่พกไว้กับภามคนละดอกออกมาไขแล้วเปิดเข้าไปด้านใน หวังว่าจะได้เห็นคนตัวโตนอนหลับอยู่บนเตียง

แต่ก็ว่างเปล่า...

“บ้าน่า”

ไม่มี...แม้แต่กระเป๋าเสื้อผ้าก็ไม่มี

“ไอ้หมอ!”

“ไม้!” ผมวิ่งออกไปด้านนอก เห็นไม้เดินเข้ามาหา มีพวกชาวบ้านที่เป็นผู้ชายตามมาด้วยสามสี่คน “เป็นไงบ้าง”

“ข้าไล่ไปบ้านลุงเหมหมดแล้ว ป้าต้อยเป็นบ้านสุดท้าย แล้วเอ็งเจอนายน้อยหรือเปล่า” ไม้ถามแล้วชะเง้อเข้าไปมองในตัวบ้าน แต่คงเพราะมันมืดมาก ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครอยู่ด้านในเลยสักคน เขาถึงได้ยื่นมือมาตบบ่าผมเบาๆ “นายน้อยอาจจะไม่ได้มาที่ีนี่ก็ได้ ไม่เป็นไรนะ อย่างน้อยเขาก็ปลอดภัย เรารีบไปกันเถอะ ให้ตำรวจมาจัดการให้เรียบร้อยก่อน”

“อา…”

“นายน้อยเหรอ” เสียงดำที่ยืนอยู่ด้านหลังไม้เอ่ยขึ้นเบาๆ แต่กลับทำให้ผมที่กำลังจะเดินตามไม้ไปชะงักกึก

วินาทีนั้นผมภาวนา...ขอร้องให้ภามไม่ได้มาที่เกาะนี้ ให้เขาบินไปต่างประเทศ ให้ไอ้เก้าหลอกผม ขออย่าให้เขามาที่นี่ ขออย่าให้เขา...อยู่ที่บ้านพี่ภู

“เมื่อวานข้าเจอนายน้อย...”

“ไอ้หมอ!!”

ไม่รู้ว่าความกล้าและความบ้าบิ่นแบบที่ไม่เคยมีมันบังเกิดขึ้นมาจากจุดไหน ผมเพิ่งเข้าใจว่าเวลาเราได้รับข่าวว่าคนสำคัญกำลังตกอยู่ในอันตราย ทำไมใครหลายคนถึงควบคุมสติของตัวเองเอาไว้ไม่ได้ มันเป็นเพราะพวกเขาไม่อยากให้สำคัญคนนั้นเป็นอะไรไป เป็นเพราะพวกเขายินดีเจ็บแทนขอแค่คนคนนั้นปลอดภัย ผมเองก็กำลังเผชิญกับสถานการณ์นั้นอยู่เช่นเดียวกัน

สองเท้าเปลือยเปล่าซึ่งน่าจะเต็มไปด้วยบาดแผลยังคงวิ่งตรงไปที่บ้านนายแบบไม่ออมแรง ผมลืมเลือนทุกสิ่ง ใจคิดเพียงขอแค่ได้เจอภาม ได้เห็นว่าเขายังปลอดภัยก็พอแล้ว จนกระทั่งวิ่งมาถึงด้านหลังบ้าน เห็นจุดหมายอยู่ตรงหน้าแล้วผมถึงได้สติกลับคืนมาบ้าง

ตำรวจกำลังมา...แสงที่วาบมาจากทะเลนั่นคือตำรวจแน่ๆ

“ไอ้หมอ...แฮ่ก...วิ่งไวจังวะ”

“ชู่ว...” ผมหันไปเตือนไม้กับคนอื่นๆ ที่เพิ่งตามมาถึง พร้อมส่งสัญญาณให้พวกเขาหลบหลังต้นไม้ แล้วชี้ไปที่หน้าต่างบ้านที่มีแสงจากไฟฉายแวบไปแวบมา

บางทีพวกมันอาจยังไม่เจอภาม...

“เอาไงดี” ไม้กระซิบถาม

“ข้าว่าเรารอตำรวจก่อนดีกว่า บางทีนายน้อยอาจอยู่ข้างบน พวกมันคงยังไม่...”

เพล้ง!

“เฮ้ย! ใครอยู่ตรงนั้น!”

“มึงเฝ้าข้างล่างไว้!”

“เออ”

เสียงดุดันไม่คุ้นเคยจากด้านในทำให้เราทุกคนสะดุ้ง ผมหันไปมองหน้าไม้ และโดยไม่ต้องพูดอะไร เราต่างวิ่งเข้าไปในเขตบ้านพร้อมกันทันที ดำที่ตัวใหญ่และแรงเยอะสุดใช้ไม้ที่พกมาฟาดหน้าโจรที่ยืนอยู่ตรงประตูเพียงคนเดียวอย่างแรงจนอีกฝ่ายล้มลงไปกองอยู่ที่พื้น

ผมวิ่งเข้าไปด้านใน ก้าวเท้าข้ามคนที่สลบไปอย่างไม่ใส่ใจ ตากวาดมองไปทั่วบ้านแล้วก็ไม่พบใครอีก ท่าทางพวกมันคงขึ้นไปบนชั้นสองกันหมดแล้ว

“ข้าไปก่อน” ดำยื่นมือมาขวางหน้าผมไว้แล้วก้าวเท้านำขึ้นไปบนบันได ตามด้วยชาวบ้านคนอื่นๆ ที่พกอาวุธมาด้วย

“ใจเย็นๆ” ไม้บีบไหล่ผมเบาๆ แล้วพยักหน้าให้เดินตามกันขึ้นไป

ประตูห้องของพี่ภูยังปิดสนิทเหมือนไม่มีใครเปิดเข้าไปด้านในตั้งแต่แรก แต่ประตูห้องภามกลับเปิดแง้มไว้ ผมจับแขนไม้แน่น พยายามไม่คิดอะไรไปก่อน แต่กลับไม่อาจห้ามความร้อนผ่าวที่ขอบตาได้

กลัว...

กลัวไปหมดแล้ว

ห้องของภามว่างเปล่า ไม่มีใครยืนอยู่ด้านในเลยสักคนเดียว หากประตูระเบียงกลับเปิดกว้าง เราค่อยๆ เดินตามกันไปเรื่อยๆ หูเงี่ยฟังความเคลื่อนไหวจากด้านนอก แต่แล้ว...

ตูม!

“ช่วย...ช่วยด้วย!”

ไม่ใช่เสียงภาม...ผมรีบวิ่งนำทุกคนไปที่ประตู มุดผ่าม่านออกไปด้านนอก ก่อนจะต้องชะงักค้างเมื่อเห็นภาพตรงหน้า

คนที่ผมกำลังตามหานั่งคุกเข่าอยู่ข้างสระว่ายน้ำ มือจับศีรษะของชายในชุดรัดกุมสีดำสนิทกดลงในสระอย่างเลือดเย็น พอเห็นว่าอีกฝ่ายจะหมดลมหายใจก็ดึงหัวกลับขึ้นมา จากนั้นก็กดลงไปใหม่ ผมบอกไม่ถูกว่าตอนนี้ตัวเองดีใจที่ได้เจอภาม หรือตกใจที่ได้เห็นว่าเขากำลังทำอะไรอยู่กันแน่

แต่ว่าตอนอยู่ด้านนอกผมได้ยินเสียงคนพูดสามคนไม่ใช่เหรอ แล้ว...

อีกคนหายไปไหน

“ระวัง!”

“ตายซะเถอะมึง!”

เจ้าของชื่อหันหน้ามาหาผม พร้อมกับเหวี่ยงร่างของโจรที่เขาจับคอไว้ไปด้านหลังเหมือนกับทำไปตามสัญชาตญาณ และมันทำให้คนที่กำลังพุ่งเข้าหาเขาล้มลงไปกองอยู่กับพื้นได้แบบพอดิบพอดี แต่ฝั่งนั้นก็ยังไม่ยอมแพ้ ลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ในมือมีมีดที่เปอะเปื้อนคราบเลือด ตั้งท่าจะทำร้ายภามอย่างเห็นได้ชัด

ปัง!

“หยุดเดี๋ยวนี้!” เสียงของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เปิดประตูออกมาจากระเบียงห้องพี่ภูทำให้ทุกอย่างหยุดชะงัก แม้แต่โจรที่ตั้งท่าจะทำร้ายภามก็ไม่กล้าขยับ เพราะกระสุนปืนวิ่งเฉียดหน้ามันไปเพียงนิดเดียว

สถานการณ์น่าใจหายกลับเข้าสู่ความสงบได้อย่างรวดเร็วเมื่อตำรวจจับโจรได้จนครบทั้งหมด ลุงเหมบอกผมว่าพวกมันแยกกันเป็นสองกลุ่ม ที่บ้านหลังนี้มีแค่สามคน ส่วนพวกที่เหลือเดินอ้อมหาดไปหาชาวบ้าน หนึ่งในนั้นรับสารภาพว่ามาสังเกตการณ์หลายรอบแล้ว วันนี้ได้ปล้นเรือไปลำหนึ่งแล้วมาเทียบท่าที่เกาะพอดี เลยจะเข้ามาขโมยของที่บ้านหลังนี้ รวมถึงในกระท่อมของพวกชาวบ้านด้วยทีเดียว โชคดีที่ตำรวจกระจายตัวเข้าล้อมรอบทุกฝั่งพวกชาวบ้านเลยปลอดภัย ไม่มีใครบาดเจ็บแม้แต่คนเดียว

กลุ่มโจรพวกนี้ก่อเหตุมาหลายครั้ง แต่มักจะหลบซ่อนตัวได้อย่างแนบเนียนเสมอ ตำรวจตามล่ามานานหลายเดือนแล้วก็ยังจับตัวไม่ได้ จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์วันนี้ขึ้นในที่สุด ตำรวจสร้างความมั่นใจให้เราด้วยการกระจายกำลังคนค้นหาทั่วเกาะอีกรอบเผื่อจะมีใครซ่อนตัวอยู่แต่ก็ไม่พบ พอประกอบกับที่พวกมันรับสารภาพว่ามีกันสิบคน และให้ข้อมูลตรงกันทั้งหมดว่ามีจำนวนเท่านี้ ทุกคนเลยมีความเห็นตรงกันว่าปลอดภัยแล้ว

“ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือนะครับ”

“ครับ” ผมยกมือไหว้คุณตำรวจ ก่อนจะหันไปมองคนตัวสูงที่ยืนทำหน้านิ่งพูดคุยกับตำรวจอีกคนอยู่ไม่ไกลนัก

เราไม่ได้พูดคุยกันเลยสักคำเดียวตั้งแต่ที่เหตุการณ์เข้าสู่ความสงบแล้ว ผมถูกแยกตัวมาให้ปากคำกับตำรวจนายหนึ่ง ส่วนภามพูดคุยกับทางหัวหน้าทีม ที่แลดูจะให้ความเคารพเขาเอามากๆ คงเป็นเพราะแม้แต่พวกตำรวจก็รู้จักพี่ภูเป็นอย่างดี พอรู้ว่าเขาเป็นน้องชายเลยเกรงอกเกรงใจตามไปด้วย

“ไอ้หมอ...” ไม้เดินเข้ามาหาผม บนใบหน้ามีรอยยิ้มโล่งอกประดับอยู่ไม่ต่างจากคนอื่น “ได้เจอแล้ว ค่อยยังชั่วขึ้นยัง”

“ยังไม่ได้คุยเลย” ผมถอนหายใจ แอบเหลือบมองคนที่ยังพูดคุยอยู่กับตำรวจอีกรอบ “จะว่าดีก็ดี จะว่าไม่ดีก็ไม่ดี เขาไม่ยอมมองหน้าฉันเลย”

“เอาน่า เข้าไปอ้อนหน่อยก็หายแล้ว”

“อือ” หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะ

“พ่อหมอ เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ” น้าต้อยที่น่าจะเพิ่งให้ปากคำเสร็จก้าวไวๆ เข้ามาหา แล้วพลิกตัวผมไปมาเพื่อสำรวจยกใหญ่

“ไม่เป็นไรครับน้าต้อย แต่ถ้ายังหมุนกันอยู่แบบนี้ผมคงอ้วกแน่” ผมพูดขำๆ แล้วตรงเข้าไปสวมกอดน้าต้อยไว้ด้วยความคิดถึง “ไม่เจอกันตั้งนาน สบายดีนะครับ”

“สบายดีจ้ะ พวกเด็กๆ มันบ่นคิดถึงพ่อหมอกันใหญ่ แต่โชคดีแล้วที่วันนี้ไม่ได้กลับเข้าเกาะ ไม่งั้นคงตกใจกลัวกันหมดแน่” น้าแกพูดแล้วถอนหายใจเบาๆ ดูเหมือนพวกเด็กๆ จะเปิดเทอมกันแล้วถึงได้นอนในเมือง ไม่ได้กลับเข้ามาที่เกาะ โชคดีจริงๆ นั่นแหละที่เหตุการณ์พวกนี้เกิดขึ้นตอนวันธรรมดาพอดี

“น้าต้อยรีบกลับไปพักเถอะครับ เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน ตำรวจทยอยไปกันแล้วด้วย” ว่าแล้วผมก็ช่วยพยุงน้าแกให้เดินไปตามทาง กะจะไปส่งให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยย้อนมาหาภามทีหลัง

“พ่อหมอไม่ต้องไปส่งหรอกจ้ะ เห็นชูคอมองนายน้อยไม่หยุดเลย อยากคุยก็เข้าไปคุยเถอะ รายนั้นก็ชำเลืองมาหลายทีแล้ว” ท่านหัวเราะคิกคักแล้วโบกมือให้ก่อนจะเดินจากไปพร้อมชาวบ้านคนอื่น แต่ประโยคหลังที่น้าต้อยพูดกลับยังคงดังก้องอยู่ในหัวผมไม่มีหยุด

ภามชำเลืองมองผม...

“เอ้าๆ ยิ้มเป็นคนบ้าเลยเว้ย” ไม้ว่าแล้วส่ายหน้าหน่าย มองผมเหมือนกำลังมองคนบ้าจริงๆ “งั้นข้าไปดีกว่า ตำรวจแยกย้ายกันหมดแล้ว”

“โอเค...แล้วนี่พวกเขาจะกลับหมดเลยเหรอ” ผมหันกลับไปถามอย่างจริงจังอีกครั้ง เพราะใจจริงยังอยากให้คุณตำรวจอยู่ที่นี่อีกสักคืน พวกชาวบ้านบางคนอาจจะยังกลัวกันอยู่

“ไม่ต้องห่วง เขาบอกว่าแบ่งกำลังไว้แล้ว พรุ่งนี้ถึงจะกลับ”

ค่อยยังชั่วหน่อย...

“งั้นนายก็กลับไปพักเถอะ” ไหนๆ แถวนี้ก็ไม่มีอะไรให้ทำแล้ว รีบๆ ไปกันให้หมดสักที ผมจะได้เข้าไปคุยกับภามได้แบบสบายใจหน่อย คุณหัวหน้าที่ท่าทางจะเป็นสารวัตรตำรวจนั่นก็พูดไม่หยุดเลย ไม่เห็นภามตอบอะไรสักคำยังชวนคุยต่อได้อีก

“แหม ไล่เชียวนะ”

“ไม่ไล่ก็ได้ แต่ช่วยพาคุณตำรวจคนนั้นไปด้วยเลยได้ไหม”

“นั่นก็คือไล่เหมือนกันเฟ้ย!” ไม้ถลึงตาใส่หน้าผมแต่ก็ยังเดินดุ่มๆ เข้าไปหาคุณตำรวจที่ยืนอยู่กับภามอยู่ เขาสะกิดแขนอีกฝ่าย เรียกให้ก้มหน้าลงมาแล้วกระซิบกระซาบอะไรสักอย่าง เพียงเท่านั้นคุณตำรวจก็ทำตาโต รีบก้มหัวให้ภามแล้ววิ่งตามหลังคนอื่นๆ ไปอย่างรวดเร็ว

เยี่ยม...

ผมชูนิ้วโป้งให้ไม้ ซึ่งฝั่งนั้นก็ยักคิ้วกวนๆ กลับมาให้ก่อนจะวิ่งเหยาะๆ จากไป ที่ตรงนี้เลยกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง เหลือเพียงผมที่ยืนนิ่งอยู่ข้างชิงช้ากับภามที่ยืนเหม่ออยู่หน้าประตูบ้านแค่สองคน

“ภาม” ไม่ต้องเสียเวลาคิดอะไรอีก ผมก็เดินไวๆ เข้าไปหาคนที่กำลังเหม่ออย่างรวดเร็ว “ฉันระ...ภาม นายเป็นอะไรหรือเปล่า”

ทำไมหน้าซีดแบบนั้น แล้วดวงตาว่างเปล่านั่นมันอะไร ทำไมเขาถึงทำเหมือนมองไม่เห็นผมเลย หรือจะยังโกรธอยู่...ไม่...ต่อให้โกรธภามก็ไม่มีวันแสดงท่าทีแบบนี้แน่

“ภาม” ผมจับหน้าเขาไว้ บังคับให้ก้มลงมามองกัน พยายามตรวจหาความผิดปกติและเรียกสติเขากลับมา กระทั่งผมตบแก้มตอบนั้นเบาๆ ดวงตาที่ดูเหม่อลอยถึงกลับมามีแววอีกครั้ง “นายโอเคหรือเปล่า”

“คุณ…”

ภามหลับตาลงพร้อมกับยกมือขึ้นกุมขมับ ท่าทางดูน่าเป็นห่วงเอามากๆ จนผมต้องดึงรั้งให้เขาเดินเข้าไปด้านในพร้อมกัน

“รอนี่ก่อน” บอกเขาเสร็จแล้วผมก็รีบวิ่งขึ้นไปชั้นบน มองหาข้าวของที่เขาเอามา แต่นอกจากกล้องหนึ่งตัวกับกระเป๋าเป้คุ้นตาใบเดิมแล้วก็ไม่มีอะไรอีก ดูเหมือนภามจะยังไม่ได้เปิดกระเป๋าของตัวเองเลยด้วยซ้ำ ผมหยิบมันมาสะพายไว้ เสร็จแล้วก็วิ่งลงไปด้านล่าง เข้าไปจูงมือคนตัวสูงให้ลุกขึ้นยืน “กลับบ้านเรากัน”

อยู่ที่นี่ต่อไปคงไม่ดีแน่ ถึงจะไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วแต่มันก็ยังไม่โอเคอยู่ดี ขนาดผมมาทีหลังยังรู้สึกหวาดๆ เลย จะให้นอนคงไม่ไหว

ภามเดินตามผมมาเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว เขาไม่ได้สะบัดมือออกแต่ก็ไม่ได้กอบกุมมือกลับ มันทำให้ผมใจหายวาบไปครู่หนึ่ง และส่งผลให้รู้สึกเจ็บตามร่างกายขึ้นมา โดยเฉพาะฝ่าเท้าที่น่าจะเละเทะเต็มที

เจ็บไปหมดเลย...

“หือ” ผมหันไปมองคนข้างกายงงๆ เมื่อเขายื่นมือมาดึงเป้ไปสะพายไว้เอง ทว่าวินาทีถัดมาก็ต้องเหวอหนักกว่าเก่า เมื่อภามขยับเข้ามาอุ้มกันจนตัวลอย หากเพียงแค่ครู่เดียวผมก็ดึงสติกลับมาแล้วโอบรอบคอเขาเอาไว้แน่น

คล้ายหัวใจที่เจ็บแปลบมาตลอดจะรู้สึกดีขึ้นเพียงแค่ได้รับความใส่ใจ ผมกอดภามไว้โดยไม่ได้ถามอะไร เช่นเดียวกันกับที่เขาไม่พูดอะไรออกมา ความเจ็บปวดทางกายถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกอบอุ่นใจจนแทบบ้า

ผมคิดถึงเขามากจริงๆ...

“เสื้อผ้าคุณอยู่ไหน” เสียงทุ้มต่ำที่ไม่ได้ยินมานานเป็นวันทำให้ผมเผลอขดตัวเข้าหาเขามากขึ้น

“อยู่บนเรือหมดเลย ไม่ได้เอามา” ตอนนั้นมัวแต่รีบจนลืมนั่นลืมนี่ไปหมด ถ้าไม่ใช่เพราะตอนเข้าเกาะต้องกลับไปเอากุญแจเรือที่ไม้ทิ้งไว้ในโรงแรมอยู่แล้ว ผมอาจจะทิ้งของทุกอย่างไว้ที่นั่นเลยด้วยซ้ำ

“ไปอาบน้ำแล้วค่อยมาทำแผล” ภามพูดเสียงเรียบขณะวางผมลงบนชานบ้านหน้ากระท่อมของเรา เขาไขเข้าไปด้านใน ทำอะไรไม่รู้อยู่สักพัก ก่อนจะเดินกลับมาพร้อมกับผ้าขนหนูสองผืนในมือ

“เจ็บไปหมดแล้ว” ผมร้องบอก น้ำตาคลอเบ้า พอจบเรื่องแล้วความเจ็บปวดทั้งหลายก็ประดังประเดเข้ามาแบบไม่ให้ตั้งตัว

“ทนหน่อย” คนพูดตรงเข้ามาช้อนตัวผมขึ้นอีกครั้งแล้วพาไปที่ห้องน้ำ วางกันลงบนเก้าอี้ตัวเล็กๆ ที่ผมเคยเอามาวางไว้เพราะขี้เกียจยืนอาบ

ภามถอดเสื้อผ้าให้ผมอย่างใจเย็นจนเหลือแค่กางเกงชั้นในตัวเดียว และโดยไม่ต้องให้บอก อีกฝ่ายก็เริ่มอาบน้ำให้ช้าๆ เหมือนรู้อยู่แล้วว่าผมต้องการอะไร

เพราะแบบนั้นผมถึงมีเวลามองหน้าภาม ได้สังเกตอาการของเขาอย่างละเอียด

ดวงตากลับไปว่างเปล่าอีกแล้ว...

ไม่ดี...แบบนี้ไม่ดีเลย

“ภาม” ผมจับหน้าของคนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าให้หันมามอง จ้องเข้าไปในดวงตาที่เคยเปล่งประกายยามอยู่กับผมเงียบๆ “เพราะฉันเหรอ”

ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงเสียงสั่นได้มากขนาดนี้ ผมรู้เพียงมันเจ็บมากจริงๆ

“ไม่...ไม่ใช่” ภามพูดเสียงลนลาน มือข้างหนึ่งดันใบหน้าผมให้หันกลับไปสบตาเขาอีกครั้ง “ไม่ใช่เพราะคุณ”

ท่าทางเราในยามนี้อาจจะดูแปลกๆ อยู่ไม่น้อย เพราะต่างคนต่างจับหน้ากันเอาไว้ ผมมองเห็นดวงตาของภามทอประกายอ่อนโยนเหมือนเดิมก็ทนไม่ไหว โผเข้าไปกอดเขาเอาไว้ทั้งที่ร่างกายเปลือยเปล่า ไม่ยอมปล่อยมือแม้อีกฝ่ายจะยกขึ้นจนตัวลอย พาเดินออกจากห้องน้ำเข้าไปในตัวบ้านแล้วก็ตาม

“ฉันมีเรื่องอยากบอกนาย”

“ใส่เสื้อผ้าก่อน”

“ไม่เอา” ผมกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น ขยับตัวที่นั่งอยู่บนตักภามให้เข้าไปแนบชิดเขามากกว่าเก่าจนแผ่นอกของเราแนบชิดกันสนิท

“อย่าดื้อสิ” ภามพยายามแงะตัวผมออกแต่ไม่สำเร็จ สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจเสียงแผ่ว ใช้ผ้าขนหนูเช็ดตัวให้ลวกๆ แล้วเอาเสื้อตัวใหญ่มาคลุมไว้ให้หลวมๆ “อย่างน้อยก็ให้ผมดูแผลคุณก่อน”

“ไม่เจ็บแล้ว”

“มั่นใจ”

“…เจ็บนิดเดียว”

“ให้พูดอีกที”

“เจ็บมากเลย ปวดตัวไปหมด จะร้องไห้แล้วเนี่ย ฮือ...” ไม่ได้ทำเสียงเล่นๆ ตอนนี้น้ำตาไหลแล้วจริงๆ โดยเฉพาะเท้าที่ปวดเอามากๆ พอโดนจี้จุดเข้าหน่อยผมก็ปล่อยแขนออก ยอมโดนผลักให้นอนลงบนฟูกแต่ไม่ยอมปล่อยมือที่จับแขนเขาไว้

“อย่าร้อง ผมจะทายาให้” ภามลูบหัวผมเบาๆ แล้วหันไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่ผมเคยทิ้งไว้ที่นี่มาเปิดออก

มันไม่ได้รู้สึกแสบอะไรมากมายอีกแล้วเมื่อความเจ็บปวดของบาดแผลมีมากกว่า ผมไม่เคยเจ็บตัวหนักขนาดนี้มาก่อน แค่แผลกิ่งไม้ข่วงที่แขนยังไม่อยากจะมอง แล้วนับประสาอะไรกับเท้าที่บวมช้ำจนดูแทบไม่ได้

“เจ็บ” ผมร้องเสียงหลง มือยกขึ้นเช็ดหยดน้ำที่หางตาป้อยๆ รอจนคุณพยาบาลทำแผลกับใส่เสื้อผ้าให้เสร็จแล้วก็รีบดึงให้เขาล้มตัวลงนอนข้างกันก่อนจะขยับเข้าไปซุกอกแข็งๆ นั่นไว้

“ทำไมอ้อนขนาดนี้” คนที่กอดผมไว้หลวมๆ ถาม ขณะใช้มือข้างหนึ่งลูบหัวให้อย่างอ่อนโยน

“เพราะไม่อยากเสียนายไปแล้ว”

“หืม”

“นายเข้าใจผิด”

ตอนที่อยู่บนเรือ ไม่สิ...ตอนที่ภามหายไป ผมสัญญากับตัวเองมาโดยตลอดว่าถ้าได้เจอเขาแล้วจะรีบแก้ไขความเข้าใจผิดเป็นลำดับแรก และในเมื่อตอนนี้มันถึงเวลาแล้วผมก็จะไม่ยอมปล่อยโอกาสไปอีก ต่อจากนี้จะไม่มีความลังเลใดๆ หลงเหลืออยู่ ผมจะบอกทุกอย่างที่รู้สึกให้เขารับรู้ ไม่ปล่อยให้เข้าใจไปคนเดียวอีกแล้ว

“เข้าใจผิด?”

“ที่ฉันคุยกับพ่อ ตอนนั้นฉันแค่พูดเล่น นายมาได้ยินตอนที่ฉันคุยเรื่องหลักจบแล้ว” ผมพูดรวดเดียวจบแล้วแอบเงยหน้ามองภาม พอเห็นว่าเขาก้มลงมองด้วยแววตาเป็นคำถามจึงอธิบายต่อ “ตั้งแต่เด็กๆ ฉันกับพ่อก็กวนตีนใส่กันเป็นเรื่องปกติมาโดยตลอด แต่พอถึงเวลาจริงจังเราก็จะพูดกันแบบไม่ปกปิด ตอนที่นายมาได้ยินมันอยู่ในช่วงกวนตีนกันอยู่พอดี”

“แล้วในช่วงจริงจังคุณคุยอะไรกัน”

“พ่อถามฉันว่าแน่ใจใช่ไหมที่เลือกนาย” ผมซุกหน้าลงกับฝ่ามือที่แนบแก้มตัวเองอยู่ “และฉันตอบว่าใช่”

ภามชะงักค้างไปนานเหมือนไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำพูดนี้ แต่เพียงครู่เดียวเขาก็ยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่มีความสุขและดูดีใจเอามากๆ จนผมต้องยิ้มตามไปด้วย

“คุณเลือกผม...”

“ใช่...ฉันเลือกนายเหมือนที่นายเลือกฉัน” พูดไปแล้วก็รู้สึกเขินอยู่เหมือนกัน เกิดมาเพิ่งเคยสารภาพรักกับคนอื่นเป็นครั้งแรก “อันที่จริงก็รู้คำตอบมาสักพักแล้ว แต่พอพยายามหลอกให้นายพูดทีไรดันไม่รู้เรื่องตลอดเลย”

“หลอกให้พูด?” ภามเลิกคิ้วงุนงง

“ใช่น่ะสิ คนมาดแมนแฮนซั่มแบบฉันจะกล้าไปบอกรักใครก่อนได้ไง อุตส่าห์หลอกให้พูดก่อนตั้งหลายรอบ นายดันไม่ยอมพูดเสียนี่ สุดท้ายเข้าใจผิดเลยเป็นไง”

“แบบนั้นเองเหรอ...” คนฟังหัวเราะขำขัน แต่ผมไม่ตลกไปด้วยเลยตีอกแข็งๆ นั่นไปหนึ่งทีข้อหาทำให้ปวดขาไปหมดแบบนี้

“เข้าใจผิดเสร็จก็หนีมาเลยนะ ไม่ให้โอกาสได้อธิบายเลย”

“อา…” ภามลูบแก้มผมเบาๆ แล้วกลับไปยิ้มจางเหมือนเดิม สัมผัสอุ่นร้อนแสนสบายทำให้ผมเผลอยืดหัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้เขาเลื่อนนิ้วไปเกาคางได้สะดวกขึ้น “อันที่จริงผมไม่ได้คิดจะหนี แค่อยากกลับมาเพิ่มพลังน่ะ”

“หมายความว่าถ้าเติมพลังเต็มแล้วจะกลับไปเหรอ”

“ก็...อาจจะ” คำพูดที่ดูไม่แน่ใจเท่าไหร่นักทำเอาความเจ็บแปลบในใจของผมแพร่กระจายไปทั่วอีกครั้ง จนต้องขยับกายเข้าไปหาแล้วใช้มือข้างหนึ่งกอดตัวเขาไว้แน่น

“ไม่ให้ไปแล้ว ขอโทษที่ปากแข็ง สัญญาว่าต่อไปนี้จะพูดให้ฟังทุกอย่างเลย”

“สัญญาแล้วนะ”

“อื้อ” ผมพยักหน้าหงึกหงัก ยิ้มให้ภามอย่างมีความสุขก่อนจะซุกหัวไว้ที่อกเขาเหมือนเดิม

“คุณง่วงใช่ไหม...นอนเถอะ”

พอโดนทักเข้าผมก็เริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมาจริงๆ อาจเป็นเพราะเหนื่อยมาทั้งวันแถมยังไม่ได้นอนเลย นี่ก็ตีอะไรแล้วไม่รู้ ความอ่อนเพลียที่สะสมไว้เลยมาระเบิดเอาตอนนี้ ตอนที่เขากลับมากอดผมไว้เหมือนเดิม ตอนที่ตามหาสิ่งสำคัญของตัวเองเจออีกครั้ง

“อย่าหายไปไหนนะ” ก่อนสติจะขาดหาย ผมไม่ลืมพูดย้ำความต้องการของตัวเอง กลัวเหลือเกินว่าภามจะหายไปอีก แล้วถ้าคราวนี้ไม่ได้โชคดี...

“ไม่ไปไหนแล้ว” สัมผัสนุ่มหยุ่นอ่อนโยนกดลงบนหน้าผากผมเบาๆ ราวกับจะบอกว่าฝันดี และคำพูดที่ได้ยินข้างหูเป็นประโยคสุดท้ายก็ทำให้ผมอุ่นวาบในใจจนยอมปล่อยสติให้ล่องลอยไปในที่สุด

“…”

“อนาคิน...”


(เลื่อนอ่านต่อด้านล่าง)
.
.



หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.32]== [15/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 16-09-2018 19:28:21



เปรี้ยง!

โอย...ท้องฟ้าร้องดังจัง เสียงฝนก็ด้วย แบบนี้จะนอนหลับได้ยังไง

ผมปัดป่ายมือไปมาเพื่อตามหาความอบอุ่นที่โอบล้อมมาตลอดคืน หากแต่ปัดไปทางใดก็หาไม่เจอจนต้องผุดลุกขึ้นนั่งแล้วกวาดสายตามองไปรอบด้านอย่างรวดเร็ว เสียงฟ้าร้องและฝนหนักจากด้านนอกไม่ได้ทำให้ผมหวาดกลัวมากเท่าการตื่นขึ้นมาแล้วไม่ได้เจอคนข้างกาย

ที่สำคัญคือถึงตอนแรกผมจะหลับสนิทไปพักหนึ่งแต่ก็มั่นใจว่าตอนนี้ยังไม่เช้าแน่ๆ...แล้วภามหายไปไหน

เปรี้ยง!

เสียงฟ้าคำรามอีกรอบทำเอาคนอ่อนแอสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ หากสิ่งที่ทำให้ตื่นตระหนกยิ่งกว่านั้นคือการที่แสงฟ้าผ่าเมื่อครู่ทำให้ผมมองเห็นเงาร่างของใครคนหนึ่งซึ่งนั่งกอดเข่าอยู่ข้างบานหน้าต่างที่ถูกเปิดค้างไว้

“ภาม!” ผมร้องอย่างตื่นตระหนก รีบมุดมุ้งออกไปด้านนอกแล้วคลานเข้าไปหาเจ้าของชื่อด้วยความรวดเร็ว สายฝนที่พัดเข้ามาด้านในทำให้ตัวเขาเปียกไปหมดจนผมต้องรีบลุกขึ้นไปปิดหน้าต่างแล้วเปิดตะเกียงที่ตั้งอยู่ด้านข้างแทน

ภามตัวสั่นเป็นลูกนก ดวงตาว่างเปล่าเหม่อลอยไม่จับจ้องสิ่งใดจนผมใจหายวาบ แม้ยามยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้า บังคับให้เขาเงยขึ้นมองกัน อีกฝ่ายก็ยังทำเหมือนมองไม่เห็นผม

“ภาม!!”

“…ม”

“อะไร นายพูดอะไร”

“…แม่”

“ภาม…” ผมกัดริมฝีปากตัวเองไว้แบบไม่กลัวเจ็บ ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ฉายฉัดในความทรงจำ ที่ภามทำหน้าตาว่างเปล่าและเหม่อลอยอยู่บ่อยครั้ง หรือแม้แต่ตอนที่เขาบอกว่าไม่ใช่เพราะผม ที่แท้มันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ...

โจรพวกนั้นทำให้เขานึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับแม่ตัวเอง...

“แม่…” ดวงตาเหม่อลอยมองผ่านไปราวกับผมไม่มีตัวตน ไม่มีน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของเขา หากผมกลับรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าภามกำลังร้องไห้อยู่ในใจเพียงลำพัง ไม่มีใครอยู่เคียงข้างเขาเลยสักคน

“ภาม...มองฉันนะ” ผมประคองใบหน้าเขาไว้ พร้อมกับปล่อยให้หยาดน้ำใสในดวงตาร่วงหล่นลงมาโดยไม่คิดกลั้น “ฉันอยู่นี่...อยู่นี่ไง”

“…”

“ได้โปรด...ฮึก...มองฉันเถอะนะ”

ภามยังคงนั่งนิ่งเป็นตุ๊กตาไม่หือไม่อืออะไรทั้งนั้น กระทั่งผมแนบหน้าผากลงกับหน้าผากของเขา กดปลายจมูกของเราให้ชนกันแล้ว อีกฝ่ายก็ยังนั่งนิ่งไม่ไหวติง

“ภาม…”

“…”

“ฉันรักนาย” ผมกดจูบลงบนริมฝีปากซีดเซียว แช่ค้างไว้นาน และเมื่อรับรู้ได้ว่าฝ่ามือของอีกคนกำลังขยับมารวบเอวไว้ผมก็ปล่อยโฮออกมาอย่างเสียขวัญ ไม่เหลือศักดิ์ศรีบ้าบออะไรทั้งนั้น “เห็น...เห็นฉันหรือยัง”

“เห็น...” ดวงตาว่างเปล่าของเขาเริ่มปรากฏแวว หากมันกลับดูเศร้าสร้อยมากจนผมทนดูต่อไปไม่ไหว

“ไม่ต้องคิดถึงอะไรแล้ว...” สัมผัสที่โอบรัดเอวผมไว้ออกแรงมากขึ้นเล็กน้อย “มองหน้าฉัน...คิดถึงแต่ฉันได้ไหม”

“…”

ผมจูบเปลือกตาทั้งสองข้างของเขาก่อนจะสอดแขนคล้องลำคอหนา ออกแรงดึงรั้งให้เอนกายตามลงมาพร้อมกันจนเขาขึ้นมาทาบทับผมไว้ทั้งตัว

“ไม่เป็นไร...”

“หยุด…” ภามกัดริมฝีปากแน่น ดวงตาทอประกายปวดร้าวและเหมือนจะวอนขอให้ผมหยุดตั้งแต่ตอนนี้ “อย่าทำร้ายตัวเอง”

“ไม่เป็นไร...”

น้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมาจากดวงตาของเขาและร่วงหล่นลงบนแก้มของผม เราต่างกันจ้องมองกันด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึก ก่อนผมจะยกมือขึ้นแตะแก้มสาก บังคับให้เขาโน้มหน้าลงมาจนใกล้

ใกล้พอที่จะได้ยินเสียงเสียงลมหายใจของกันและกัน...

ผมหลับตาลงช้าๆ ยินยอมให้เขาบดเบียดริมฝีปากลงมาอย่างแรงจนรู้สึกเจ็บ แม้จะถูกกอดรัดเอวเอาไว้แน่นก็ไม่แสดงอาการใดๆ ออกไป หยาดน้ำอุ่นร้อนที่ตกกระทบใบหน้าเตือนให้รู้อยู่ตลอดเวลาว่าเขากำลังปวดร้าวเพียงใด สองแขนของผมกอดภามเอาแน่นไว้ ปากพร่ำบอกว่าไม่เป็นไรอยู่หลายรอบ จนกระทั่งรับรู้ได้ว่าเขาเริ่มลังเล ผมจึงเป็นฝ่ายแนบแก้มติดใบหูขาว เพื่อกระซิบถ้อยคำที่มีความหมายลึกซึ้งให้เราได้ยินกันเพียงสองคน

“กอดฉัน”

ถ้าเพื่อเขาแล้ว...ต่อให้ต้องเจ็บก็ไม่เป็นไร


—————————
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.33]== [16/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: killua1a ที่ 16-09-2018 19:48:43
เป็นวันที่ต้องเจออะไรเยอะแยะเลย​  :L2:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.33]== [16/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ยอดมนุษย์ขนมปัง ที่ 16-09-2018 19:53:26
 :sad4:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.33]== [16/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 16-09-2018 19:59:26
ฮื่อออออออออออ บีบใจมากเลยค่ะ น้องถามเจ็บเราก็เจ็บ เจไดเจ็บเราก็เจ็บ ฮื่อ อดทนอีกหน่อยนะคะ ขอให้ผ่านมันไปได้ด้วยดีนะภาม :mew4:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.33]== [16/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 16-09-2018 20:21:40
 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.33]== [16/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: bigbeeboom ที่ 16-09-2018 21:02:38
เจไดแมนมาก มาอย่างเท่ห์ตอนนี้นะ เดี๋ยวเช้ารู้ผลกันในตอนหน้า  :katai2-1:
 รออยู่น้าๆ
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.33]== [16/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 17-09-2018 04:09:46
ภามจะหายไหมเนี่ย  :hao4:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.33]== [16/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: pui ที่ 17-09-2018 08:37:07
 :hao4: :hao4: :hao5:  :hao5:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.33]== [16/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Mura_saki ที่ 17-09-2018 18:19:58
มันต้องแบบนี้เจได

ภามลูกไม่ต้องเจ็บปวดแล้วนะ มีเจไดคอยอยู่ข้างๆแล้ว มีความสุขจริงสักที  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.34]== [17/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 17-09-2018 19:35:58
-34-


“ไหวหรือเปล่า...”

“ไม่ไหว” ผมส่ายหน้า น้ำตาคลอ นาทีนี้รู้สึกปวดร้าวไปหมดทั้งตัว แค่ขยับนิดเดียวก็เหมือนจะตาย

“ผมขอโทษ” คนถามพูดเสียงแผ่ว ขยับเข้ามากอดผมไว้แน่นกว่าเดิมอย่างระมัดระวัง แม้แต่น้ำเสียงก็ดูรู้สึกผิดเอามากๆ แล้วแบบนี้ผมจะทำอะไรได้ นอกจากต้องฝืนตัวเอง ยกแขนขึ้นกอดกลับทั้งที่ไม่อยากกระดุกกระดิกเลยสักนิด

“ไม่เป็นไรหรอกน่า ฉันเริ่มเองนี่” พูดไปพูดมาหน้าเริ่มร้อน ก็ว่าโบกปูนเพิ่มไปหลายชั้นแล้วนะ แต่พอเอาเข้าจริงๆ ผมก็ยังหน้าบางเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

หลังจากผ่านเหตุการณ์อันน่าอับอายที่ทำให้มองเห็นตัวตนของภามชัดเจนขึ้น ผมก็สลบสไลไปนานหลายชั่วโมง เพราะกว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปหกโมงเช้า ตื่นมาอีกทีตอนเที่ยงวันก็ยังไม่รู้สึกหิว อีกทั้งบรรยากาศยังเป็นใจให้นอนต่อเอามากๆ เมื่อฝนที่ตกตั้งแต่เมื่อคืนยังคงเทกระหน่ำลงมาอย่างต่อเนื่อง

ส่วนที่บอกว่าได้เห็นตัวตนของภามชัดขึ้น ถ้าถามว่าชัดขนาดไหน...ก็ขนาดที่ว่าทั้งตัวเต็มไปด้วยรอยแดงช้ำจากฝีมือของคนไม่รู้จักถนอมของนั่นแหละ

เอาเถอะ...จะโทษเขาก็ไม่ได้หรอก

“หิวหรือเปล่า” เขาถามแล้วยกมือลูบหัวผมเหมือนจะปลอบ

“ไม่หิว...ไม่อยากขยับตัวเลย”

แผลอะไรต่อมิอะไรก็ไม่รู้สารพัดไปหมด ความรู้สึกแสบยิบๆ กับเจ็บแปลบๆ ก็ยังเล่นงานอยู่ตลอด ถ้าภามไม่ได้ยกมือเช็ดน้ำตาที่ทำท่าจะไหลให้ตลอดเวลา ผมคงปล่อยโฮออกมาอีกรอบแล้ว

“ไม่หิวก็ต้องกิน เดี๋ยวปวดท้อง” ว่าแล้วเขาก็ขยับตัวลุกขึ้น ผละออกไปจากข้างกายผม ก่อนจะเข้าไปคุ้ยอะไรไม่รู้ในกระเป๋าตัวเอง “ฝนตกหนักขนาดนี้คงไปทำอาหารไม่ได้ ผมมีขนมปังที่ซื้อติดไว้เหลืออยู่หลายห่อ”

“ภาม…โอย...”

คนตัวสูงรีบพุ่งเข้ามาหาแล้วช่วยประคองผมที่ร้องโอดโอยไม่หยุดให้ลุกขึ้นนั่ง แต่แค่ได้ทิ้งน้ำหนักลงไปที่สะโพก ผมก็ปวดร้าวไปทั้งร่างจนน้ำตาไหลพราก เจ็บปวดทรมานไปหมดจนตัวสั่น สะอึกสะอื้นแบบไม่กลัวตาย

เจ็บ...เจ็บฉิบหายเลย เมื่อคืนกูรอดมาได้ยังไง

“อย่าร้อง” ภามเข้ามาอุ้มผมไปนั่งพาดตักตัวเอง ทิ้งช่องว่างให้ก้นหย่อนลงตรงกลางระหว่างขาสองข้างของเขา จากนั้นก็ใช้แขนข้างเดียวประคองหลัง อีกมือยกขึ้นเช็ดหน้าเช็ดตาให้อย่างใจเย็น “ผมเชื่อแล้วว่าคุณกลัวเจ็บมากจริงๆ”

“ไม่ต้องขำเลย”

มันเพราะใครกันเล่า...

“ก็เห็นเมื่อคืนไม่ได้สะอึกสะอื้นอะไรมาก” เขาพูดยิ้มๆ “ถึงจะน้ำตาไหลตลอดเลยก็เถอะ”

“ก็เพราะฉันอดทนเพื่อนายไง” สาบานได้ว่าถ้าภามยังกล้าพูดให้ผมอับอายไปมากกว่านี้ ผมจะกระโดดกัดหูเขาจริงๆ แล้วจะเอาให้แหว่งเลยด้วย

“รู้แล้ว...” ว่าแล้วก็ลูบหัวโอ๋กันอีกทีจนผมใจเย็นลง ยินยอมให้เขาป้อนขนมปังเข้าปากแต่โดยดี

เรานั่งกินขนมปังอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ ไม่ได้พูดคุยอะไรจริงจัง เพียงแค่หยอกล้อกวนตีนกันเล่นตามปกติ จนกระทั่งต่างคนต่างอิ่ม นั่งพักให้อาหารย่อยอยู่อีกครู่หนึ่ง เขาก็อุ้มผมลงไปนอนเหมือนเดิม ครั้งนี้พยายามไม่ให้กระทบบริเวณสะโพก เพราะเหมือนจะรู้แล้วว่ามันเป็นส่วนที่มีปัญหามากที่สุด

“จะไปไหนอีก” ผมขมวดคิ้วฉับ มือจับแขนภามไว้ตามสัญชาตญาณที่ไม่อยากให้เขาห่างกายแม้แต่วินาทีเดียว ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมหยุดขยับ แต่กลับหันมาโคลงหัวผมไปมาเหมือนยังขำไม่เลิก

“ถ้ารู้ว่าหนีมาแล้วคุณจะเป็นแบบนี้ ผมคงหนีมานานแล้ว”

“ลองหนีอีกสิ ฉันจะจับนายมัดไว้กับเตียง” นี่พูดจริงจัง ไม่ต้องมาทำหน้าตาถูกใจเลย

“ให้ทำหน้าที่อยู่บนเตียงทั้งวันก็เข้าท่านะ...”

“ไอ้บ้าภาม!” ผมเขย่าแขนภามไปมาและได้แต่ฮึดฮัดอยู่ในใจเงียบๆ เพราะไม่กล้าขยับตัว ไอ้คนมองก็เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่บ้าบออะไรไม่รู้ จนผมสะบัดแขนเขาออกอย่างหัวเสียนั่นแหละเจ้าตัวถึงได้ขยับเข้ามาหา นอนลงด้านข้างแล้วรวบตัวผมเข้าไปกอดไว้เหมือนเดิม

“ผมแค่จะไปหยิบอะไรบางอย่างมาให้คุณดู แต่เอาไว้ก่อนก็ได้”

“อะไรเหรอ” พูดขนาดนี้แล้วก็บอกมาเลยเถอะ รู้ๆ กันอยู่ว่าความขี้เผือกมันไม่เข้าใครออกใคร

ภามไม่ได้ตอบคำถามในทันที แต่เขากลับใช้นิ้วเขี่ยแหวนที่ผมห้อยคออยู่ตลอด คล้องมันไว้ด้วยนิ้วนางของตัวเอง และชูขึ้นในระดับสายตาของเราทั้งคู่

“อ่านข้อความบนนี้ออกหรือยัง”

“อ่านว่าภามใช่ไหม” ผมเงยหน้ามองภามครู่หนึ่งแล้วแอบยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของเขา “ฉันรู้หมดแล้วว่านายคือเพื่อนทางไกลของฉัน”

“งั้นเหรอ...” ภามดันผมให้นอนหงาย ก่อนเขาจะขยับตัวออกไปนอกมุ้ง ครั้งนี้ผมไม่ได้ห้าม แต่มองตามหลังอยู่ตลอด กระทั่งเห็นเจ้าตัวกลับเข้ามาพร้อมกระเป๋าสตางค์ในมือแล้ว ผมก็เข้าไปกอดเขาไว้เหมือนเดิม “อันที่จริงผมคิดว่าคุณจะรู้ตั้งแต่เอากระเป๋านี่ไปถือไว้เองแล้ว”

ว่าแล้วเจ้าตัวก็เปิดกระเป๋าสตางค์ที่ผมเคยยึดมาถือไว้เองหลายรอบออกแล้วล้วงเข้าไปในช่องด้านใน หยิบรูปถ่ายใบหนึ่งที่ผมคุ้นตาดีอยู่แล้วออกมา

“นายยังเก็บไว้อยู่...” ผมพึมพำเสียงแผ่วเมื่อเขายื่นรูปใบนั้นมาให้

“ผมเคยบอกว่าแล้วไม่มีทางทิ้งของที่คุณให้”

ภาพถ่ายใบนี้...คือสิ่งที่ผมใช้แลกเปลี่ยนกับแหวนของภาม

มันคือรูปที่ผมถ่ายบ้านของตัวเอง และเขียนที่อยู่เอาไว้ด้านหลังพร้อมข้อความสั้นๆ เพียงประโยคเดียว

‘ยินดีต้อนรับ’

จำได้ว่าตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนเขาเหงามาก คล้ายกับอยู่ในที่ที่ตัวเองไม่อยากอยู่ เพราะไม่รู้ว่าตอนบอกว่าจะออกเดินทางเขาอาการดีขึ้นมากขนาดไหนแล้ว ผมจึงเลือกส่งรูปถ่ายนี่ให้เป็นของขวัญ เผื่อว่าวันหนึ่งเขามาที่ประเทศไทยจะได้รู้ว่าผมอยู่ที่ไหน และถ้าต้องการความช่วยเหลืออะไรเพื่อนทางไกลคนนี้ยินดีช่วยเสมอ

“ตอนได้แหวนนายมา ฉันยังคิดอยู่เลยว่าของที่ตัวเองใช้แลกเปลี่ยนมันดูไร้ค่ามาก” ผมหัวเราะเบาๆ เมื่อนึกถึงช่วงเวลานั้น

ต่อให้เรามองว่าของที่ให้ไปมีคุณค่าทางใจมากขนาดไหน ถ้าคนได้รับเขาไม่ได้รับรู้ไปด้วย เขาอาจมองว่ามันเป็นเพียงสิ่งไร้ค่าก็ได้ ดังนั้นตอนที่เห็นแหวนที่ดูท่าทางราคาแพงของภามผมถึงได้กังวลมาก และคิดมาตลอดว่ารูปถ่ายใบนั้นอาจจะถูกโยนทิ้งไปแล้วก็ได้

“มันคือของขวัญที่มีค่ามากที่สุดสำหรับผม” ภามเชยคางผมให้เงยหน้าขึ้นมองตัวเอง “ตอนที่ผมได้รับมันมา ผมรู้สึกเหมือนตัวเองมีบ้านให้กลับอีกหลัง และตอนที่ได้รู้ว่าคุณคือคนคนนั้น...”

“…”

“ผมก็เริ่มคิดว่าทุกอย่างมันไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ”

“อื้อ...ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอก”

ไม่ใช่เลยแม้แต่นิดเดียว...

เพราะเราต่างรอกันและกันมาโดยตลอด

“นี่ใครเหรอ” ผมขยับตัวนิดหน่อยเพื่อไม่ให้คนที่กอดตัวเองอยู่เมื่อยแขนซึ่งถูกทับมากนัก ก่อนจะชี้ไปที่รูปถ่ายในกระเป๋าสตางค์ของเขาอีกใบที่ติดออกมาด้วยตอนภามดึงรูปบ้านผมออกมา

มันเป็นรูปถ่ายของครอบครัวที่ดูเก่าพอสมควร ประกอบไปด้วยคนสี่คนในนั้น หนึ่งคือชายวัยกลางคนที่มีเค้าโครงคล้ายภามกับพี่ภูมากพอควร สองเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวย ส่วนอีกสองคนเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กนิดเดียวที่ผมพอเดาได้ว่าคือใคร

“ครอบครัวของผมน่ะ คุณมองออกไหมว่าคนไหนผม”

“มองออกสิ” มองๆ ไปแล้วหน้าเหมือนกันก็จริง แต่คนที่คุณแม่อุ้มไว้ตัวเล็กกว่ามาก พี่ภูที่ยืนอยู่ข้างคุณพ่อดูสุขุมตั้งแต่เด็ก ต่างจากภามที่ยิ้มแฉ่งโดยสิ้นเชิง ยังไม่นับสีตาของสองพี่น้องที่แตกต่างกันอีก “คนนี้คือนายอยู่แล้ว”

“เก่งมาก” ว่าแล้วเขาก็ให้รางวัลโดยการลูบหัวผมเบาๆ “ผู้หญิงคนนี้คือแม้แท้ๆ ของผมเอง”

ผมเงยหน้ามองคนพูดแทบจะทันที กังวลไปหมด กลัวว่าเขาจะนึกถึงเหตุการณ์แย่ๆ จนกลายเป็นแบบเมื่อวานอีก แต่แล้วก็ต้องถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อภามส่งยิ้มจางมาให้เหมือนจะบอกว่าไม่เป็นไร

“ถ้านายไม่อยากพูด...”

“ทำหน้าแบบนั้นแสดงว่าคุณรู้เรื่องหมดแล้วสินะ”

“ก็…พ่อนายบอกน่ะ”

“คุณได้คุยกับพ่อผมด้วยเหรอ” ภามเลิกคิ้ว ท่าทางประหลาดใจมาก คงไม่คิดว่าผมจะข้ามขั้นไปคุยกับพ่อเขาได้ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแถมยังอยู่คนละประเทศอีก

“วันที่นายเข้าใจผิดไอ้เก้ากับพี่ภูมาที่บ้านพอดี พี่ภูบอกฉันว่าถ้าไม่ได้คิดอะไรก็ให้ปล่อยนายไป พอตื่นเช้าขึ้นมาเขาก็หายไป ตอนนั้นฉันคิดว่าตัวเองช้าอีกแล้ว ทำไมไม่ยอมพูดออกไปตั้งแต่แรก เอาแต่พลาดซ้ำไปซ้ำมาจนน่ารำคาญ” ผมซุกหน้าเข้าหาภามมากขึ้นเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้น “เป็นเพราะแม่ช่วยเตือนสติ ฉันถึงได้ไปหาพี่ภูกับไอ้เก้าที่สนามบิน ไปบอกเขาว่าฉันคิดยังไงกับนาย หลังจากนั้นไอ้เก้าก็ให้ตั๋วเครื่องบินมาที่นี่ พอตกดึกมันก็โทรเข้ามาหลังถึงอังกฤษแล้ว ให้พ่อของนายคุยกับฉัน”

“ท่านบอกว่าอะไรบ้าง”

“ท่านเล่าว่านายเจออะไรมา บอกว่านายไม่เคยมีความสุขแบบนี้จนได้มาเจอฉัน แล้วก็ขอร้องให้ฉันรอนายอีกนิด”

“แล้วคุณตอบว่าอะไร” เขาเกลี่ยแก้มผมอย่างอ่อนโยน ก่อนที่รอยยิ้มบนใบหน้าจะกว้างขึ้นเมื่อได้ยินคำตอบ

“บอกว่าครั้งนี้ฉันจะไปหานายเอง”

“…”

“รู้หรือเปล่าว่าตอนนายขับรถหนีไป ฉันยอมวิ่งจากสนามเด็กเล่นไปหน้าหมู่บ้านเพื่อเรียกแท็กซี่ แถมยังวิ่งหานายจนทั่วคอนโด แล้วก็ต้องวิ่งไปเรียกแท็กซี่กลับบ้านเพราะคิดว่านายจะอยู่ที่นั่นอีก”

“แล้วทำไมคุณไม่กลับไปเอารถที่บ้าน”

“…ไม่สงสัยได้ไหม” ผมทำหน้าหงิก ชักสีหน้าใส่ให้เห็นจังๆ บอกให้รู้ว่าไอ้บรรยากาศที่สร้างมานี่โดนพังหมดแล้วเพราะความขี้สงสัยของเขาเอง

จะให้ตอบยังไงว่าลืม...หรือต้องบอกว่าฉันโง่เองถึงจะถูกกว่า

ภามหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะโคลงตัวไปมาทั้งที่ยังกอดผมอยู่อย่างอารมณ์ดี เห็นแบบนั้นผมก็มีความสุขตามไปด้วย แต่เพราะเนื้อตัวไม่เอื้ออำนวยให้ขยับมากนัก เลยได้แต่ตีแขนเขาเบาๆ เพื่อเตือนให้รู้ว่าผมกำลังจะร้องไห้อีกรอบ

“อันที่จริงก่อนที่จะได้รู้จักกับเก้าอาการผมแย่มาก...” เขาเริ่มเล่าเรื่องของตัวเองด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไม่ฟังใครนอกจากพี่ อารมณ์ร้าย แถมยังไม่ยอมพูดอีก คุณหรือไหมว่าคนที่บ้านผมรู้ภาษามือทุกคนเลย”

“ไม่พูดมานานขนาดไหนเหรอ”

“ตั้งแต่ที่แม่ตายแล้วผมลองเล่าความอึดอัดใจให้เพื่อนฟัง แต่พวกเขากลับเอาไปพูดคุยกันเป็นเรื่องสนุกสนาน นับๆ ดูแล้วก็คงเป็นสิบปี”

“เพราะเป็นเด็กใช่ไหม” ผมลองวิเคราะห์ดูคร่าวๆ “พวกเขาก็ผิดนั่นแหละ โตขึ้นมาต้องเสียใจแน่ที่ทำแบบนั้นลงไป”

“คงจะอย่างนั้น ผมเองก็เด็กเกินกว่าจะแยกแยะด้วย พอโดนเข้าเลยฝังใจไม่ยอมพูดคุยกับใครอีก กระทั่งได้มาเจอเก้า...” ภามพูดโดยไม่มีท่าทีว่าจะไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย เหมือนกับเขาปล่อยวางเรื่องราวเหล่านั้นได้หมดแล้ว “พี่บอกว่าเขามาช่วย บอกว่าเขาตั้งใจเรียนภาษามือมาเป็นปีเพื่อให้คุยกับผมรู้เรื่อง ผมไม่ได้ชอบเก้าในฐานะนั้น แต่ผมคิดว่าเขาเหมือนแม่ เขาทำให้ผมนึกถึงภาพตอนแม่ยิ้มให้”

“เพราะแบบนั้นนายเลยยอมรับเก้าสินะ”

“ที่สำคัญคือเขาทำให้พี่มีความสุข ผมไม่เคยเห็นพี่ดูผ่อนคลายมากขนาดนั้นมาก่อน มันทำให้ผมนึกอิจฉาน่ะ”

“อิจฉาที่พี่ชายนายมีเก้า?”

“ใช่...เพราะแบบนั้นผมถึงได้ออกเดินทางตามหาความสุขของตัวเอง ตามหาคนที่จะกลายมาเป็นความสุขของผม มันกินเวลานานมากทีเดียว นับดูแล้วก็หลายปีเหมือนกันที่ผมท่องเที่ยวไปทั่ว หวังว่าวันหนึ่งจะได้เจอใครคนนั้น” เขามองมาด้วยแววตาอ่อนโยน ก่อนจะกดจูบลงบนหน้าผากผมแล้วผละออกช้าๆ “แล้วผมก็ได้เจอคุณ”

“...” ผมคลี่ยิ้มกว้าง มีความสุขไม่แพ้กันที่ได้เจอเขา

“ผมรู้ตัวอยู่ตลอดว่าโรคที่เป็นไม่มีวันหาย แต่เพราะคิดว่าควบคุมได้แล้วถึงยังรั้นไปไหนมาไหนคนเดียว แม้จะมีบ้างที่นึกถึงหรือเก็บไปฝันแต่มันก็ไม่ได้ส่งผลกับชีวิตผมมากเท่าเดิมแล้ว ยิ่งตอนที่ได้เจอคุณ ได้นอนข้างคุณ ผมก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นคนปกติ”

จำได้ว่าตอนนั้นเขาก็เคยบอกผมเหมือนกันว่าที่นอนดิ้นเป็นเพราะฝันร้าย แต่หลังจากช่วงแรกๆ ผ่านไปเขาก็ไม่ได้นอนดิ้นอีกเพราะไม่ได้ฝันร้ายแล้ว

“นายเป็นคนปกติ” คำพูดของผมไม่ใช่เพียงการปลอบโยน แต่มันคือการพูดในฐานะของคนที่เป็นหมอคนหนึ่ง “บอกฉันได้ไหมว่าทำไมเมื่อคืนนายถึงได้เป็นแบบนั้น”

ภามชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามของผม แต่เมื่อเขาได้จ้องเข้ามาในดวงตา ได้รู้ว่าผมเป็นห่วงมากขนาดไหน อีกฝ่ายก็พยักหน้าน้อยๆ แล้วจับมือกันไว้แน่น

“ตอนที่เจอพวกโจร ผมยอมรับว่าเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างซ้อนทับกันไปหมด ผมรู้สึกเหมือนตัวเองจะเสียสติ แต่เพราะคุณเรียกชื่อผม ภาพเลวร้ายพวกนั้นถึงจางหายไป”

เพราะแบบนั้นแววตาถึงได้ดูว่างเปล่าเวลาที่ผมไม่ได้อยู่ข้างๆ...

“ไม่เป็นไร...” ผมบีบมือกลับ บอกให้รู้ว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียวอีกแล้ว

“ผมตื่นขึ้นมาเพราะเสียงฝนตก พอเห็นหน้าต่างไม่ได้ปิดเลยจะลุกไปปิด กลัวว่าฝนจะสาดเข้าไปโดนคุณ แต่เสียงฟ้าผ่าทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวในวันนั้นอีกครั้ง...” ภามพูดด้วยสีหน้าเจ็บปวด ดวงตาสั่นไหวคล้ายคนจะร้องไห้แต่ก็ยังอดกลั้นไว้ “ผมควบคุมตัวเองไม่ได้ มันเหมือนตกอยู่ในความมืดมิด เหมือนผมหลบอยู่ตรงที่เดิม มองภาพแม่...”

“พอเถอะ” แค่นี้ก็พอแล้ว...

ผมกอดภามไว้แน่น สัญญากับตัวเองในใจว่าจะไม่ยอมให้เขาต้องเจอเรื่องราวน่าหวาดกลัวแบบนั้นอีก ไม่ว่ายังไงผมก็จะอยู่ข้างๆ เขาไม่ไปไหนแน่นอน

ถึงจะเป็นหมอเต้าหู้ก็ใช่ว่าจะปกป้องใครไม่ได้เสียหน่อย...

“แต่ผมได้ยินเสียงคุณนะ...”

“หืม”

“ที่บอกว่า ‘ฉันรักนาย’ ผมได้ยิน”

“…"

เดี๋ยวๆ อย่าเปลี่ยนอารมณ์ไว คำพูดที่ดูเหมือนจะแซวแถมยังปนเสียงขำมาด้วยนั่นคืออะไร

“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” เขาบีบแก้มผมเบาๆ เหมือนกำลังหมั่นไส้ “ต่อจากนี้ผมจะไม่กลับไปเป็นแบบนั้นอีกแล้ว เพราะภาพเลวร้ายเหล่านั้นมันถูกแทนที่ด้วยภาพที่เรา...”

“หยุดพูด!”

“…”

“อย่าพูดออกมานะ...”

“…กอดกัน”

ไอ้ @Q$*(&Q#


(อ่านต่อด้านล่าง)
.
.

หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.34]== [17/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 17-09-2018 19:36:35

หลังจากเวลาล่วงเลยเข้าสู่ช่วงเย็นในที่สุดฝนก็หยุกตก ผมที่นอนกอดภามหลับเกือบทั้งวันเพราะความเพลียถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงโหวกเหวกโวยวายจากด้านนอก พอลืมตาขึ้นมาแล้วได้เห็นใบหน้าของคนที่คอยลูบหัวลูบหางกล่อมก็เผยรอยยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติ ไม่ลืมซุกหน้าเข้าหาแบบอ้อนๆ เพื่อบอกให้เขารู้ว่าผมรำคาญเสียงด้านนอกขนาดไหนด้วย

“ยังอยากนอนต่อเหรอ”

“อื้อ” ยังง่วงอยู่เลย

“แต่เราต้องไปกินข้าวนะ” ภามพูดอย่างใจเย็น มือข้างหนึ่งยกขึ้นเกาคางผมจนเคลิ้มหนักกว่าเก่า

“เดี๋ยวค่อยกินนะ”

“พวกเด็กๆ รออยู่ด้านนอก...”

“เด็กๆ เหรอ!” ผมตาโต มองหน้าภามเหมือนจะถามย้ำ แต่ยังไม่กล้าผุดลุกขึ้นนั่งเพราะกลัวกระทบกระเทือนร่างกาย

ว่าแล้วว่าทำไมถึงคุ้นเสียงโหวกเหวกด้านนอกนัก จะบอกว่าเล่นกันอยู่ไกลๆ ก็ไม่น่าใช่ เพราะกระท่อมของผมกับภามแยกห่างมาจากคนอื่นพอควร แสดงว่าเจ้าพวกตัวเล็กตัวน้อยจะต้องตั้งใจมาหากัน แต่ยังไม่กล้าเข้ามารบกวนแน่ๆ

“ผมได้ยินเสียงพวกเขาคุยกัน บอกว่าจะรอให้พวกเราออกไปเอง ไม่อยากรบกวนกิจกรรมจู๋จี๋ของผัวเมีย”

“…เด็กๆ พูดหรือนายพูดเอง”

“ผมช่วยต่อเติมนิดหน่อย” ภามพูดยิ้มๆ แล้วเปลี่ยนเป็นหัวเราะเบาๆ เมื่อโดนผมบิดแขนเข้าให้ อารมณ์ดีเหลือเกินนะคนเรา ใช่สิ...ไม่ได้โดนจิ้มจนรวดร้าวไปทั้งตัวเหมือนผมนี่

“ไปหาเด็กๆ กัน พูดแล้วก็เริ่มหิวละเนี่ย” ผมรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนอะไรๆ จะไปกันใหญ่ ถึงจะยังปวดเมื่อยอยู่บ้างแต่พอได้พักไปหน่อยก็พอไหวอยู่เหมือนกัน ถ้าไม่มีอะไรไปกระทบให้เจ็บซ้ำก็โอเค ส่วนบาดแผลตามตัวนี่คงต้องยกความดีความชอบให้ภาม ที่เลือกเสื้อแขนยาวกางเกงขายาวให้ผมใส่จนมองไม่เห็นแผล

มีคนเคยบอกว่าเวลาเห็นแผลเราจะยิ่งรู้สึกเจ็บ ผมยืนยันตรงนี้เลยว่าเป็นความจริง อย่างน้อยก็จริงสำหรับผมแล้วคนหนึ่ง

“เดินไหวเหรอ” ภามถามอย่างแปลกใจขณะช่วยพยุงให้ผมลุกขึ้นนั่ง

“ไม่ไหว ให้นายอุ้ม” ง่ายๆ แบบนี้แหละ ยังจะต้องเกรงจงเกรงใจอะไรกันอีก มาถึงขั้นกินกันไปทั้งตัวแล้ว “หรือนายจะไม่รับผิดชอบที่กินฉันไปแล้ว”

“คุณนี่มัน...” เขาส่ายหน้าเหนื่อยหน่าย แต่ปากกลับยิ้มไม่หุบ “ไหนบอกตัวเองหน้าบางไง”

“ฉันเป็นคนกากแต่ปากเก่ง ไม่รู้เหรอ”

หลังจากเถียงกันงุ้งงิ้งอยู่พักใหญ่ เสียงจากด้านนอกที่เงียบไปนานก็เริ่มดังขึ้นอีกครั้ง ผมปีนขึ้นหลังภามแล้วไปนอนแบะอยู่บนนั้นอย่างหมดเรี่ยวแรง เจ็บไปหมดทั้งตัวจนอยากร้องไห้อีกรอบ แต่กลัวออกไปเจอเด็กๆ แล้วจะขายขี้หน้า เลยได้แต่เก็บงำความทรมานไว้ในใจคนเดียวเงียบๆ โชคดีที่ีมีคนคอยพูดโอ๋อยู่ตลอด

โอ๋แบบน่ารักมากๆ...

“ถ้าคุณร้องไห้เด็กพวกนั้นต้องร้องตามกันทั้งฝูงแน่”

“…”

“ใกล้ร้องแล้วบอกด้วยนะ จะเอากล้องมาถ่าย เก็บไว้ให้เด็กระฟ้านั่นดู”

“…”

“ถ้าผมวิ่งคุณจะร้องไห้ไหม”

“นอกจากร้องไห้แล้วฉันจะฆ่านายด้วย”

ลองวิ่งดูสิ ต่อให้ต้องร้องไห้ไปวิ่งตามไป ผมก็จะคว้ามีดอีโต้มาฟันหัวเขาให้ได้ แค่เดินธรรมดายังต้องฝืนทนขนาดนี้ ขืนวิ่งขึ้นมาผมตายแน่ แค่คิดภาพตัวกระแทกไปกระแทกมาน้ำตาก็พาลจะไหลแล้วเนี่ย

“พี่หมอ!”

“หัวหน้า!”

“พวกเรากลับมาแล้วววววววว”

ทันทีที่ภามเปิดประตูออกไปด้านนอก เสียงจอแจของฝูงเด็กที่ยืนเรียงอยู่บริเวณชานบ้านก็ดังขึ้นแทบจะทันที เจ้าพวกตัวจ้อยวิ่งเข้ามาล้อมรอบผมกับภามไว้ แต่พอตั้งท่าจะแตะผม ภามก็หมุนตัวหนีแล้วออกคำสั่งเสียงเรียบ

“ห้ามแตะ”

“รับทราบ!”

ดีๆ...สั่งปุ๊บทำตามปั๊บแบบไม่ถามหาเหตุผล สมเป็นลูกสมุนของเขาจริงๆ

“พี่หมอไม่สบายเหรอจ๊ะ” เจ้าตาลเดินเข้ามากระตุกชายเสื้อภามแล้วเงยหน้าถามด้วยความเป็นห่วง ในตอนนั้นเองที่ผมได้หันไปสังเกตเด็กๆ ทุกคนอย่างจริงจัง

ไม่เจอกันแค่ไม่นาน รู้สึกเหมือนเจ้าพวกนี้โตขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย...

“พี่ไม่สบายนิดหน่อยน่ะ เดินเองไม่ไหว” ผมตอบแทนเมื่อเห็นภามยังคงเงียบ พอเด็กๆ ได้ฟังดังนั้นเลยพยักหน้าหงึกหงัก บอกว่าจะไม่โดนตัวพี่หมอ เดี๋ยวพี่หมอเจ็บ

“พี่หมอกับหัวหน้าไปกินข้าวกัน พวกแม่ๆ บอกว่าจะทำข้าวเลี้ยงด้วยแหละ” เจ้าแตงพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ท่าทางคงอยากให้มีงานเลี้ยง ของกินจะได้เยอะๆ เหมือนทุกครั้ง

“ฝนเพิ่งหยุดก็จัดงานกันแล้วเหรอ” แล้วถ้าตกขึ้นมาอีกจะทำยังไงล่ะเนี่ย ถึงจะเป็นฝนหลงฤดู แต่เมื่อคืนตกหนักยาวมายันเช้าขนาดนั้น ไม่แน่มันอาจจะตกอีกรอบก็ได้

“แม่บอกว่าไม่ตกแล้วแหละจ้ะ” เจ้าตัวเล็กที่เดินอยู่ข้างภามว่าเสียงร่าเริง “พวกหนูก็รอฝนหยุดตั้งนานกว่าจะได้ขึ้นเรือข้ามมา คนบนฝั่งก็บอกว่าไม่ตกแล้วเหมือนกัน”

ลืมไปเลยว่าผมหลับไปนานเลยไม่รู้ว่าฝนหยุดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ดูจากสภาพต้นไม้รอบด้านแล้วคงจะหยุดไปสักพักแล้วจริงๆ นั่นแหละ แต่เพราะเย็นแล้วเลยไม่มีแดดให้เห็น

งานเลี้ยงในครั้งนี้ไม่ได้ยกกันไปจัดที่หาดเหมือนเดิม แต่เป็นงานเล็กๆ ที่ทุกคนมารวมตัวกันที่บ้านน้าต้อยเฉยๆ พวกเขาจัดการทำให้ลานบ้านแห้งสนิท จากนั้นก็เอาเสื่อมาปูนั่งกันอย่างสบายใจ ใช้ตะเกียงของแต่ละบ้านที่พกกันมาต่างกองไฟ ส่วนอาหารมีพวกผู้หญิงช่วยกันทำอยู่ใต้บ้าน

“นายน้อยกับพ่อหมอมาแล้วเหรอจ๊ะ”

“เอ้า...ขยับให้นายน้อยกับเมียนั่งเร็วเข้า”

เมื่อก่อนได้ยินคำว่าเมียแล้วคันยุบยิบเพราะไม่ใช่ความจริง...มาถึงวันที่เป็นความจริงแล้วดันทำอะไรไม่ถูกแทน

“หน้าแดงหมดแล้ว” คนที่เพิ่งวางผมลงบนแคร่ไม้กระซิบบอกด้วยสีหน้าล้อเลียน คงรู้อยู่แล้วว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่

จำได้ว่าช่วงแรกๆ ที่ได้เจอกัน ตอนเห็นใบหน้าปลาตาย ไอ้เราก็นึกอยากทำให้เขาแสดงอารมณ์ออกมาเยอะๆ อยู่หรอก แต่พอมันสำเร็จ ได้เห็นภามแสดงอารมณ์หลากหลายขึ้นมาจริงๆ ผมล่ะอยากให้หน้าตากวนตีนนั่นกลับไปเป็นปลาตายเหมือนเดิมเหลือเกิน

“หมอเจไดไม่สบายอีกแล้วเหรอจ๊ะ” น้าต้อยที่เพิ่งเดินเข้ามาหาถามด้วยความเป็นห่วง คงเห็นผมนั่งพิงภามแบบไม่เกรงใจชาวโลก ท่าทางอ่อนแรงถึงขีดสุด

“ครับ” ผมยิ้มแหย ไม่รู้จะตอบยังไงดี คงต้องขอบคุณที่พวกชาวบ้านไม่คิดมากเมื่อเห็นภามหาหมอนมาวางให้ผมนั่ง ลองคิดว่าถ้าเป็นพวกเพื่อนมัธยมอะไรพวกนี้ มันคงแซวกันไปยันลูกบวช เพราะแค่เห็นก็คงเดาได้แล้วว่าผมเป็นอะไร

“งั้นเดี๋ยวน้าไปเอาข้าวมาให้นะจ๊ะ เรานั่งรอตรงนี้แหละ”

“ขอบคุณครับน้าต้อย”

แคร่ไม้ที่ผมกับภามนั่งอยู่มีคนอยู่แค่สี่คน คือเราสองคนกับไม้แล้วก็ดำที่กำลังซดเหล้าต่างน้ำ ขณะที่พวกลุงๆ ซึ่งนั่งอยู่ด้วยตอนแรกกลิ้งลงไปกินเหล้าที่เสื่อด้านล่างเรียบร้อยแล้ว เหมือนทุกคนจะเกรงใจไม่กล้านั่งร่วมกับภามเท่าไหร่ ส่วนพวกเด็กๆ ตอนนี้แยกไปอยู่กับวงของพวกผู้หญิง คงเพราะถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้าใกล้พวกขี้เมาทั้งหลาย

ก็สมควรอยู่หรอก ดูเรื่องที่พวกขี้เมาพูดคุยกันซะก่อน...

“ตอนข้าขึ้นฝั่งเมื่อคราวก่อนเกือบได้เมียแล้ว เอ็งรู้ไหม”

“ไอ้แดง เอ็งจะห้าสิบอยู่แล้วยังจะหาเมียอีกเรอะ”

“ก็ไม่ได้จะเอาหรอก...แต่มันสวยนี่หว่า แล้วมายั่วข้าซะขนาดนั้น ใครจะทนเป็นพระอิฐพระปูนอยู่ได้”

ฟังแล้วปวดหัวตุบๆ เหล้าเข้าปากทีไรเป็นต้องพูดเรื่องไม่น่าพูดกันทุกที ความล้งความลับอะไรจะมาเปิดเผยเอาก็ตอนเมาเละเทะเนี่ยแหละ

“ไม่ต้องห่วงหรอก” จู่ๆ คนที่ผมนั่งพิงอกอยู่ก็พูดขึ้นมาลอยๆ “ผมไม่มองใครนอกจากคุณแน่”

“ไอ้บ้า” ผมด่าภามแบบไม่จริงจังนัก แต่ปากกลับยกยิ้มขบขันเมื่อได้เห็นสีหน้าจริงจังตั้งใจของเขา ทำท่าแบบนี้แสดงว่าเมื่อกี้ต้องเห็นผมขมวดคิ้วตอนพวกขี้เมาคุยกันเรื่องผู้หญิงแน่ๆ

พวกชาวบ้านยังคงคอนเซ็ปต์จัดงานเลี้ยงให้ผมกับภาม แต่นั่งคุยกันเหมือนผมกับภามไร้ตัวตนเหมือนเคย แม้ยามที่เรากินข้าวหมดเกลี้ยงจนภามแบกผมขึ้นหลังเดินออกมาจากตรงนั้นพวกเขาก็ยังไม่รู้ตัว มีแค่น้าต้อยที่หันมาโบกมือให้คนเดียว ส่วนพวกเด็กๆ พากันกลับบ้านตั้งแต่ฟ้าเริ่มมืดแล้ว

ผมซุกหน้าลงกับบ่าภาม สองแขนกอดคอเขาเอาไว้จากทางด้านหลัง ปากออกคำสั่งบอกว่าอยากกลับบ้าน เพียงเท่านั้นคนตัวโตก็พากลับตามคำสั่งโดยไม่ถามอะไรแม้แต่คำเดียว เขาเข้าไปเตรียมผ้าขนหนู ก่อนจะแบกผมเข้าไปในห้องน้ำ ตั้งท่าจะวางกันลงบนเก้าอี้ตัวเดิม แต่ครั้งนี้ผมส่ายหน้ารัวๆ ยังไงก็ไม่นั่งบนเก้าอี้แข็งๆ เด็ดขาด

“ฉันยืนก็ได้”

“ไหวเหรอ” ภามถามซ้ำ และเมื่อผมพยักหน้ายืนยัน เขาก็ค่อยๆ ปล่อยให้ผมยืนเองบนพื้น

“ทนได้น่า...โอ๊ย! ไม่ทน! ไม่ทนแล้ว!”

พูดไม่ทันขาดคำก็พุ่งเข้าไปเกาะภามเป็นลูกลิง ยืนนิดเดียวขาก็สั่นจนแทบทนไม่ไหวแล้ว บอกเลยว่าครั้งนี้ไม่ใช่ความผิดผมคนเดียว ถึงผมจะอ่อนแอเป็นเต้าหู้ กลัวเจ็บยิ่งกว่าเด็กสองขวบ แต่ภามก็ผิดเหมือนกันที่ทำรุนแรงขนาดนั้น ไม่ไข้ขึ้นก็ดีเท่าไหร่แล้ว

“คุณนี่...ฮ่าๆ” ภามหัวเราะเสียงดังเหมือนอารมณ์ดีเสียเต็มแก่ ในขณะที่ผมหน้าบูดเป็นตูดลิง หงุดหงิดจนเผลอกัดไหล่กว้างนั่นไปหนึ่งทีตอนที่นั่งคล่อมตักให้เขาอาบน้ำให้

กว่าจะผ่านเหตุการณ์อันน่าอดสูมาได้ก็ปาเข้าไปเกือบครึ่งชั่วโมง ภามราดน้ำทีผมก็ร้องจ๊ากทีเพราะเจ็บแผลตามตัว ไม่เหมือนเมื่อวานที่ถูกอย่างอื่นดึงสติไปหมดจนไม่ทันรู้สึกเจ็บอะไรมากมาย จะบอกว่าทุกความทรมานถูกเอามาทบต้นทบดอกอยู่วันนี้ก็คงไม่ผิดนัก

“ใส่เสื้อให้ด้วย” ผมออกคำสั่งแล้วชูแขนทั้งสองข้างให้เขาเหมือนเป็นเด็กๆ

“นี่เมียหรือลูก...”

“อะไรนะ”

“นี่เมียหรือลูก”

“ปกติเวลาถามซ้ำต้องบอกว่าไม่มีอะไรสิ” ว่าแล้วก็ฟาดหมอนใส่หน้าคนกวนตีนไปหนึ่งที ถ้าเป็นปกติภามคงหาเรื่องเอาคืนผมไปแล้ว แต่เหมือนเขาจะอารมณ์ดีเกินกว่าจะคิดเล็กคิดน้อย เห็นเอาแต่จ้องตัวเปลือยเปล่าของผมตาไม่กะพริบ...

เดี๋ยวนะ...

“รอยแดงเต็มไปหมดเลย” เขาพูดยิ้มๆ

“ภูมิใจบ้าอะไร ไอ้โจคจิต!”

แทนที่จะสงสารเพราะเห็นผมเจ็บตัว ดันทำหน้าตาพออกพอใจใส่ซะงั้น

คิดแล้วก็แค้นจนต้องกระชากเสื้อมาใส่เองลวกๆ ขืนนั่งอยู่แบบนี้ต่อไปคงโดนจ้องจนตัวพรุน แล้วดู...นั่งโชว์หุ่นตัวเองอยู่ได้ เห็นแล้วหมั่นไส้เป็นบ้า

“คุณ…”

“อะไร”

“สุขสันต์วันเกิดนะ”

“…”

“ผมขอโทษที่ทำอะไรโรแมนติกไม่เป็น” เขาพูดเสียงราบเรียบไม่ต่างจากสีหน้า หากดวงตาคู่นั้นกลับจ้องมองมาที่ผมด้วยความอ่อนโยน

วันเกิดเหรอ...ลืมไปเลย

“ไม่โรแมนติกจริงๆ นั่นแหละ” ถึงจะพูดแบบนั้น...แต่ปากก็ยังยิ้มกว้างอยู่ดี

“ผมไม่มีของขวัญอะไรให้คุณเลย”

ผมส่ายหน้าแล้วยกยิ้มจาง ทอดสายตามองเขายกมือผมขึ้นจูบเบาๆ ด้วยความอบอุ่นใจ การที่เขาคอยให้เกียรติ คอยดูแล คอยอดทนและทำทุกอย่างเพื่อผมสารพัดมันมีค่ามากกว่าของขวัญแทนใจใดๆ อยู่แล้ว เพราะงั้นต่อให้ภามจำไม่ได้ว่าวันนี้คือวันอะไร ผมก็ไม่มีวันถือโทษโกรธเขาแน่นอน

“นายให้ฉันมาแล้ว”

ของขวัญที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตของผม...ก็คือภาม

.

.

“คุณหมายถึงตัวผมเหรอ...งั้นเอาอีกรอบไหม”

“…”

ถอนคำพูด...ขอถอนคำพูดเดี๋ยวนี้เลย เอามันไปเก็บที!


————————-


TALK : สำหรับใครที่คาดหวังฉากอะไรไว้ต้องขอโทษด้วยนะคะ แต่เราคิดว่าแบบนี้เหมาะสมที่สุดแล้ว อันที่จริงที่อยากให้รู้ว่าสองคนนี้เป็นของกันแล้วก็เพราะคิดว่าเหมาะสมเหมือนกันค่ะ บทมันส่งด้วยอะไรด้วยแหละ

ส่วนเรื่องน้องภามไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ จริงๆคือภามอยู่กับโรคนี้มานาน แล้วก็ใช้เวลานานมากเหมือนกันถึงจะอาการดีขึ้น(คนที่ทำให้ภามอาการดีขึ้นคือครอบครัว) ตอนนี้ได้เที่ยว ได้เจอสิ่งที่ตามหาก็เกือบจะหายดีแล้วด้วยซ้ำ แต่พอมีเรื่องมาสะกิดเลยนึกถึงขึ้นมา ซึ่งเจไดก็ช่วยเหลือโดยการให้น้องนึกถึงแต่ตัวเอง  เอาภาพตัวเองแทนที่ตามที่ภามบอกนั่นแหละ

พรุ่งนี้จะเป็นตอนจบแล้วนะคะ ใครสนใจรูปเล่มยังมีเวลาเก็บเงินถึงมกราน้า ขอบคุณมากๆเลยค่ะ

ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ Chesshire. หรือทวิตเตอร์ @Chesshire04
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.34]== [17/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 17-09-2018 19:58:10
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.34]== [17/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 17-09-2018 20:09:58
จะจบแล้ว ขอเจอน้องลมด้วยจิ  o18
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.34]== [17/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: ยอดมนุษย์ขนมปัง ที่ 17-09-2018 20:34:32
แง อยากอ่านต่อไปเรื่อยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ไม่อยากให้จบเลย  :sad4:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.34]== [17/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: killua1a ที่ 17-09-2018 21:13:46
จะจบแล้วเหรอ​ อยากอ่านเรื่อยๆ​  :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.34]== [17/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 17-09-2018 22:18:20
ถ้าจบแล้วคงคิดถึงเจไดแน่เลยค่ะ แง้ รอเล่มนะคะ :hao5:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.34]== [17/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: bigbeeboom ที่ 18-09-2018 01:17:07
อยากได้แบบ box set 3 เล่มจะมีมั้ยน้อ เจไดน่าแกล้งจริงๆอ่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.34]== [17/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: pui ที่ 18-09-2018 05:57:58
ภามเจไดน่ารักกกกกกก
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.34]== [17/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 18-09-2018 20:00:57
-35-


“เอ็งแน่ใจเหรอวะว่าจะไปกันสองคน” ไม้ยืนเกาหัวทำหน้าตาเคร่งเครียดมองผมกับภามที่กำลังทยอยขนของไปขึ้นเรือด้วยความไม่แน่ใจ “ให้ข้าไปด้วยดีกว่าไหม”

“เอาน่า วนเรือเล่นรอบๆ เกาะแค่นี้เอง สัญญาแล้วไงว่าจะไม่ออกไปไกลเกิน” ผมตบบ่าเขาให้สบายใจมากขึ้น แต่เหมือนไม้จะยังไม่คลายกังวล ถึงได้เข้ามากอดคอผม กระซิบกระซาบเหมือนไม่อยากให้ภามได้ยินด้วย

“เอ็งรู้ใช่ไหมว่านั่นน้องชายสุดที่รักของนาย ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาข้าตายเลยนะ”

“จะกลัวอะไร มีฉันไปด้วยทั้งคน”

“มีเอ็งไปด้วยสิน่ากลัว”

“เอ้า...” พูดมาได้ไม่เกรงใจกันเลย ผมตั้งท่าจะเถียงต่อ ยังไงก็จะทำให้เขายอมรับความแข็งแกร่งของตัวเองให้ได้ แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากพูด ขาที่เพิ่งยืนเองได้เป็นปกติก็ต้องเซถลา ยามถูกคนตัวโตรวบเอวเข้าไปกอดไว้แล้วมองไปที่ไม้ด้วยแววตาไม่พอใจ

“โอะ...ขอโทษครับนายน้อย” คนที่รู้ตัวดีว่าทำอะไรผิดก้มหัวปลกๆ ปากยิ้มแหยเหมือนกลัวภามมากจริงๆ จนผมอดขำไม่ได้

“ขนของขึ้นไปหมดแล้วเหรอ” ผมเลิกสนใจไม้แล้วหันไปถามคนข้างกายแทน

“หมดแล้ว”

“โอเค งั้นไปกันเถอะ” ว่าแล้วผมก็จูงมือภามเดินไปขึ้นเรือ โดยไม่ลืมหันไปโบกมือให้ไม้แล้วพูดซ้ำเป็นรอบที่สาม “ไม่ต้องห่วงหรอกน่า บอกแล้วไงว่าขับเรือเป็นจริงๆ เก่งมากด้วย”

หมายถึงภามนะ...ไม่ใช่ผม

“เดี๋ยวเย็นนี้ข้าจะเข้าฝั่ง ถ้าเช้ามาไม่เห็นเรือฝากไว้ที่ท่าสปีดโบ๊ท ข้าจะบอกนายทันที”

“ได้”

ในที่สุดเราก็ได้ออกไปขับเรือเล่นกันสองคนเสียที หลังจากฝ่าด่านห้ามของน้าต้อยไปครึ่งชั่วโมง ตามด้วยลุงเหมอีกสี่สิบนาที แล้วมาปิดท้ายด้วยไม้อีกสิบนาที รวมๆ แล้วผมเสียเวลาไปชั่วโมงกว่า กว่าจะได้ออกจากเกาะไปค้างคืนบนเรือเป็นการปิดท้ายทริปนี้ เพราะพรุ่งนี้เช้าเราก็ต้องกลับเข้าเมืองกันแล้ว

ผมใช้เวลาฟื้นตัวจากบาดแผลทั้งภายนอกแล้วก็ภาย...นั่นแหละ ประมาณสองวัน ระหว่างนั้นให้ภามแบกบ้างอุ้มบ้างไปไหนมาไหนเป็นพระราชา บางทีถึงขนาดขี้เกียจกินข้าวเองก็ให้เขาป้อนอย่างสบายใจเฉิบ แอบคิดว่าภามจะเบื่อไหมอยู่เหมือนกัน แต่พอเห็นสีหน้ามีความสุขตลอดเวลาที่ได้ดูแลและแกล้งผมไปพร้อมๆ กันก็เลิกคิดทันที

ดูแลเท่าไหร่ต้องแกล้งเป็นสองเท่าของที่ดูแลตลอด ไม่มีความสุขก็ไม่รู้จะว่าไง มาตอนนี้ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าใครคุ้มกว่า เพราะหลังๆ มาเริ่มรู้สึกว่าการดูแลกับการแกล้งมันชักจะถึงเนื้อถึงตัวมากขึ้นทุกที ซึ่งไอ้เราก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว เพราะก็รู้สึกดีไม่ต่างกัน

แต่มันก็ยังเสียเปรียบอยู่ดีไหมนะ...

“ยังขึ้นบันไดไม่ไหวใช่หรือเปล่า” คนที่ประคองเอวผมให้เดินลุยทะเลไปขึ้นเรือเอ่ยถาม และพอเห็นผมพยักหน้าให้ เขาก็ยกยิ้มมุมปาก ท่าทางเจ้าเล่ห์จนเริ่มไม่น่าไว้วางใจ “มาเถอะ”

ภามหันหลังให้ผมปีนขึ้นไปเกาะ จากนั้นเขาก็เหยียบบันได พาขึ้นไปบนเรือได้ในที่สุด และเมื่อปล่อยผมลงจากหลังแล้วอีกฝ่ายก็หันหน้ามาหา

“อะ…”

“ขอรางวัลหน่อย” ว่าจบเขาก็ก้มลงกดจูบแรงๆ ที่ริมฝีปากของผมแบบไม่ให้ตั้งตัวได้ทันหนึ่งทีแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ผมยืนเอ๋ออยู่เพียงลำพัง

ไม่ต้องคิดแล้ว...นี่มันเสียเปรียบชัดๆ

“นายขับเรือเป็นนานแล้วเหรอ” ผมปัดเรื่องได้เปรียบเสียเปรียบในหัวทิ้งไป ขณะก้าวเดินเข้าไปหาคุณชายที่บอกว่าตัวเองขับเรือเป็นช้าๆ

การมาเที่ยวครั้งนี้ผมไม่ได้เป็นตัวต้นเรื่องนะ เป็นภามต่างหากที่ชวนมา เขาบอกว่าในเมื่อคนอื่นไม่ให้เราติดเรือประมงไปเพราะกลัวเป็นอันตราย งั้นก็ไปขออนุญาตขับเรือของคุณไฟแทนแล้วกัน ซึ่งตอนไปขอลุงเหมก็ทำท่าคิดหนักอยู่หลายตลบ คล้ายกำลังเปรียบเทียบว่าอะไรอันตรายกว่ากันแน่ แต่พอภามบอกว่าเขาขับเรือเป็น เคยขับเรือไปลุยทะเลคนเดียวมาแล้ว ลุงแกเลยปล่อยให้เรามา

“ช่วงค้นหาตัวเอง ออกเดินทางไปทั่ว ผมทำมาหมดแล้วแทบทุกอย่าง” เขาพูดแล้วเริ่มออกเรือช้าๆ “อย่างขับเรือนี่ก็ตั้งแต่สามสี่ปีก่อน”

“นายทำอะไรมาแล้วบ้าง เล่าให้ฟังหน่อย” ผมถามแล้วนอนคว่ำลงบนโซฟา ยื่นหัวไปข้างตักเขา ให้ภามก้มลงมามองกันได้ถนัดแม้จะขับเรืออยู่

“นอกจากถ่ายรูปกับท่องเที่ยวไปทั่วแล้วผมยังชอบเล่นกีฬา เรียนนั่นเรียนนี่หาประสบการณ์เยอะแยะไปหมด มีครั้งหนึ่งเคยไปถ่ายรูปที่โรงฝึกยูโดแล้วเกิดสนใจขึ้นมา...”

“อย่าบอกนะว่าไปฝึกด้วย”

“ทั้งยูโด ต่อยมวย ฟันดาบ ผมทำมาหมดแล้ว” เจ้าตัวยกยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นผมทำตาโต พอลองเอาเหตุการณ์ที่ภามจัดการโจรได้มาเหมารวมเข้าไปด้วย ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่ทำได้ธรรมดา ผมว่าเขาต้องเป็นพวกทำได้ดีไปหมดทุกอย่างแน่นอน

“ความสามารถรอบด้านจังนะ”

“ต่อให้ทำได้ดีขนาดไหน สุดท้ายถ้าไม่ชอบมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี” เขาว่าแล้วใช้มือข้างหนึ่งลูบหัวผมเบาๆ “ตอนผมได้ไปเที่ยวญี่ปุ่น ผมเคยคิดว่าผมชอบประเทศนี้มากที่สุด แต่อันที่จริงมันไม่มีคำว่าที่สุดหรอก...เพราะผมยังไม่เคยเดินทางไปทั่วโลกเลย จะรู้ได้ยังไงว่าตัวเองชอบอะไรที่สุด มันก็เหมือนกับที่ผมลองทำทุกอย่างเพื่อเสาะหาสิ่งที่ตัวเองชอบ สุดท้ายก็มาจบอยู่ที่การเดินทางเพราะรู้สึกว่ามันใช่ที่สุดแล้ว”

“แล้วเป็นไงต่อ”

“แล้วก็ได้มาเจอคุณที่ผมชอบมากกว่าการเดินทางไง...” ภามพูดเสียงเรียบ แต่ทำเอาผมหน้าร้อนไปหมด “เพราะงั้นต่อจากนี้การเดินทางไปทั่วก็ไม่ได้สำคัญมากเท่าได้อยู่กับคุณแล้ว”

“อย่างนี้ก็หมายความถ้านายเจออะไรที่ชอบมากกว่าฉัน...”

“ไม่มีทาง” เขาเถียงทันควัน เหมือนจะแอบบีบแก้มผมข้อหาพูดอะไรไม่เข้าท่าด้วย “ตอนแรกคุณอาจอยู่ในวงโคจรของสิ่งที่ชอบพวกนั้นก็จริง แต่ตอนนี้ผมแยกคุณออกมาแล้ว”

“หืม...แยกไปไว้ไหน”

“แยกไว้ในสิ่งสำคัญ เกินกว่าคำว่าชอบไปไกล”

“เข้าใจพูด...” ผมหัวเราะแบบไม่คิดอะไร เป็นเวลาเดียวกันกับที่ภามหยุดเรือพอดี คงเพราะเขาเห็นว่าเราออกมาไกลเกินพอแล้ว ขืนไปไกลกว่านี้คงจะผิดกับข้อตกลงที่บอกไม้ไว้

เราลุกขึ้นแล้วเดินออกไปยืนตากลมที่หน้าเรือ ตรงนั้นมีเบาะนิ่มๆ เอาไว้นอนอาบแดดพักผ่อนกองอยู่หลายใบ ผมแปลกใจอยู่เหมือนกันที่วันนี้ท้องฟ้าเป็นใจ ดูอากาศดีแบบที่ไม่มีแดดและไม่มีทีท่าว่าฝนจะตกเลยสักนิด เท่านี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนเผาจนตัวแห้งแล้ว

“อย่าเพิ่งนอน” คนรู้ทันที่เห็นผมตั้งท่าจะเอนตัวลงนอนจับแขนกันไว้ได้ทันแบบพอดิบพอดี “กินข้าวก่อนแล้วค่อยนอน”

“เดี๋ยวค่อยกินก็ได้”

“มั่นใจเหรอว่าถ้าล้มตัวลงนอนแล้วจะยอมลุกขึ้นนั่งอีก”

ไม่มั่นใจ...

“กินก่อนก็ได้” ที่ทำเหมือนแพ้นี่จริงๆ ไม่ได้แพ้เลยนะ แค่เห็นว่าเขาเป็นห่วงสุขภาพผมหรอกเลยยอมง่ายๆ ไม่ได้คิดว่าถ้าล้มตัวลงนอนแล้วตัวเองจะกลายเป็นผักเน่าไม่ยอมขยับไปไหนหรอก ใครมันจะขี้เกียจอะไรปานนั้น...ไม่มีทางน่า

กล่องข้าวที่ภามเอาออกมาเป็นข้าวที่น้าต้อยทำไว้ให้ ท่านบอกว่าไม่อยากให้พวกเราเหนื่อย เลยจัดแจงเตรียมอาหารเอาไว้ให้ครบสามมื้อเลย มีเผื่ออีกหนึ่งมื้อมาให้ด้วยซ้ำ แล้วยังไม่นับบรรดาเครื่องดื่มกับขนมมากมายที่ผมขนขึ้นเรือมาอีกนะ เตรียมเสบียงมาอย่างกับว่าจะเอามาอยู่เป็นอาทิตย์ ทั้งที่จริงๆ ตอนนี้ก็บ่ายแก่ๆ แล้ว และเราก็จะค้างกันแค่คืนเดียวเท่านั้น พอเช้าก็จะเข้าฝั่งเตรียมตัวกลับกรุงเทพฯ เลย

“อย่าไหล” ภามออกคำสั่งขณะป้อนข้าวคำแรกเข้าปากผม

“ไม่ได้ไหลนะ”

“หลังจะติดพื้นอยู่แล้ว” เขาว่าแล้วคว้าแขนผมไว้ ดึงให้กลับไปนั่งพิงกองหมอนดีๆ เหมือนเดิม “บางทีผมก็สงสัยว่าคุณเป็นคนหรือเป็นแมวจริงๆ”

“เป็นคนสิ”

“แมวยังไม่ขี้เกียจเท่าคุณเลย”

“ฉันไม่ได้ขี้เกียจขนาดนั้นสักหน่อย อย่างน้อยก็ยังอาบน้ำสระผมทุกวันนะ​“ นี่พูดด้วยความสัตย์จริง ผมไม่เคยขี้เกียจถึงขั้นไม่อาบน้ำเลยนะ ถึงส่วนใหญ่จะปล่อยให้ภามอาบให้ แลกกับการให้เขาตอดเล็กตอดน้อยก็ตาม แต่มองยังไงมันก็เท่าเทียมไม่ใช่หรือไง

“แมวก็ทำความสะอาดขนตัวเองทุกวันเหมือนกัน คุณชัดๆ...”

“ไม่เถียงละ” ยิ่งเถียงยิ่งโดน ยิ่งเถียงยิ่งเหมือน อยู่เงียบๆ กินข้าวให้อิ่มจะได้นอนตากลมสักทีดีกว่า

หลังจากกินข้าวกันจนหมดแล้ว ในที่สุดคุณชายก็ยินยอมให้ผมเอนตัวลงนอนเป็นแมวแดดเดียวเสียที ผมคว้าเอาถุงขนมมากอดไว้ ก่อนจะแกะถุงแรกออกอย่างรวดเร็ว สายตาทอดมองไปไกลๆ ถึงจะเห็นแต่ทะเลอย่างเดียวก็ยังทำให้สดชื่นมากจนต้องยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้

“เพิ่งกินข้าวเสร็จก็กินขนมแล้วเหรอ”

“ไม่ต้องบ่น กินด้วยกันเลย” ผมว่าแล้วจัดการยัดขนมใส่ปากภาม เฝ้ามองใบหน้าปลาตายนั้นแปรเปลี่ยนเป็นยู่ยี่ด้วยความไม่ชอบใจในรสชาติอย่างอารมณ์ดี “หวานใช่ไหม”

“รู้ว่าไม่ชอบยังจะให้กินอีก” เขาบ่นพึมพำแต่ก็กลืนขนมลงคอ

“คนในครอบครัวชอบกินขนมหวาน นายก็ต้องฝึกกินไว้บ้างสิ” จำได้ว่าตอนนั้นภามบอกว่าในครอบครัวเขา นอกจากเก้าแล้วก็มีแค่ผมที่ชอบกิน ตอนนั้นผมยังเถียงว่าไม่ใช่ครอบครัวอีกฝ่ายอยู่เลย มาถึงตอนนี้กลายเป็นยอมรับแล้วซะงั้น “เวลาผ่านไปไวเหมือนกันนะ”

“ไวสิ...คุณสามสิบแล้วนี่นา”

“…ทำไมชอบทำลายบรรยากาศ” กำลังจะดีทีไรพาเสียเรื่องตลอด เสร็จแล้วก็จะ...

“เพราะชอบเห็นหน้าคุณตอนอะไรไม่ได้ดั่งใจ มันน่ารักดี”

“…” ทำให้เขิน ตามด้วย...

“หน้าแดงแล้ว”

มาเป็นขั้นตอนเหมือนเดิมทุกรอบ แต่ผมก็ไม่เคยชินเลยสักรอบ...ให้ตายเถอะ

ผมกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่กับหมอนสองสามรอบจนรู้สึกสบายแล้วจึงหยุดเคลื่อนไหว ทอดสายตามองไปบนท้องฟ้าสีสดใสที่ไร้ซึ่งแดดอย่างเงียบงัน ปล่อยให้สายลมเบาๆ ตีเข้ามาที่หน้าแล้วเงี่ยหูฟังเสียคลื่นกระทบตัวเรืออย่างผ่อนคลาย

สบายเป็นบ้า...

“ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมเวลาคิดอะไรไม่ออกหรืออยากพักผ่อน คนเราถึงได้เลือกเดินทางท่องเที่ยว”

บางทีอาจเป็นเพราะคนเหล่านั้นต้องการทิ้งภาระที่มี มาพักผ่อนสมองที่หนักอึ้ง เพื่อให้มีเรี่ยวแรงกลับไปต่อสู้กับสิ่งต่างๆ ได้อีกครั้ง และการได้ท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อนก็คือคำตอบ ผมเคยได้ยินว่าธรรมชาติบำบัดคนได้ คิดว่าคงจริงตามนั้น แล้วก็เพราะแบบนั้นเอง คนเราถึงได้พบเจอสิ่งต่างๆ มากมายระหว่างทาง

เหมือนกันกับที่ผมได้พบเจอความรักของตัวเอง...

ลองคิดภาพว่าตัวเองต้องใช้ชีวิตอยู่แต่ในกรอบที่มีเพียงโรงพยาบาลกับบ้าน ต่อให้ได้เดินสวนกันกับภามในโรงพยาบาล ได้มองเห็นเขาเดินข้ามถนนผ่านหน้าไปผมก็คงไม่ได้คิดอะไร น่าจะมองว่าเขาเป็นศัตรูอันดับหนึ่งเหมือนเดิม แต่เพราะได้ปล่อยวางภาระที่แบกอยู่บ่นบ่าทั้งหมดออกไป ผมถึงได้พบเจอกับสิ่งที่ถูกซ่อนไว้

ได้พบเจอกับสิ่งขาดหายไป...

“รู้สึกดีเป็นบ้า” ผมหลับตาลงแล้วสูดลมหายใจเข้าจนสุด ซึมซับความรู้สึกดีๆ ในยามนี้เอาไว้ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับมาที่นี่อีกรอบ ไปทำงานครั้งนี้ช่วงเดือนแรกต้องเหนื่อยแทบตายแน่ๆ เพราะต้องเข้าเวรแลกกับเวลาที่เอามาใช้ในช่วงห้าวันนี้ด้วย

“ดีมากไหม”

“อื้อ ดีมากเลย”

สัมผัสขยุกขยิกที่ข้างแก้มลามไปยังคางทำให้จั๊กจี้อยู่ไม่น้อย แต่เพียงแค่แป๊บเดียวผมก็เอียงหัวเข้าหาอย่างสบายอารมณ์ พอไม่ต้องปิดบัง ไม่ต้องห้ามใจ นึกอยากอ้อนตอนไหนก็อ้อนได้โดยไม่ต้องหลอกตัวเอง มันกลับทำให้รู้สึกดีกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า จนผมอดรู้สึกเหมือนเป็นคนโง่ไม่ได้

เขาดีขนาดนี้...รอบ้าบออะไรมาได้ตั้งนานนะ

“นึกถึงตอนเจอกันครั้งแรกเนอะ” ผมชวนภามคุย ก่อนจะลืมตาขึ้นจ้องมองหน้าเขาที่นั่งอยู่ด้านข้าง “ที่งานวันเกิดไอ้เก้า ตอนที่มันสั่งให้นายจับตัวฉันไว้”

“ตอนที่คุณดิ้นไปดิ้นมาเป็นลูกแมว”

“ลูกแมวบ้าอะไรเล่า”

“นี่ไงลูกแมว” เขาว่าแล้วเกาคางผมให้เคลิ้มต่อ คงไม่ต้องบอกนะว่าได้ผลหรือเปล่า เพราะตอนนี้แทบจะไหลลงไปนอนราบอยู่กับพื้นแล้ว ถ้าไม่ติดว่าโดนอีกคนคว้าแขน ดึงให้ขยับไปนอนดีๆ เสียก่อน

“นี่นายคิดว่าฉันเป็นแมวตั้งแต่ตอนนั้นเลยเหรอ”

“ใช่” ภามพยักหน้ายอมรับ “พอเจอกันอีกทีคิดว่าจะกลายเป็นแมวโตแล้ว แต่ก็เปล่าเลย...คุณยังเป็นลูกแมวเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน”

ลูกแมวอะไรเล่า...

ผมเอนตัวไปพิงภามไว้เมื่อรู้สึกเหมือนหมอนเริ่มไม่สบายแบบตอนแรก ซึ่งคนตัวโตก็อ้าแขนออกรับ ปล่อยให้ผมพิงอกเขาไว้แล้วเอนกายลงนอนโดยไม่ได้พูดอะไร มันเหมือนเป็นความเคยชินไปแล้ว เพราะสองสามวันมานี้ผมแทบจะเกาะติดอยู่กับภามยี่สิบสี่ชั่วโมง นอนพิงแบบนี้ไม่ให้เขากระดิกไปไหนเลยแม้แต่นิดเดียว

“ถ้าฉันติดนายขึ้นมา จะโทษกันไม่ได้หรอกนะ”

เพราะถ้าถูกตามใจจนเสียคน...เขานั่นแหละผิดที่สุด

“งั้นก็ดีสิ”

เห็นไหม...บอกแล้วว่าผมไม่ผิดเลย

หลังจากที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา เราก็หลุดเข้าสู่ภวังค์ของตัวเอง ผมหลับตาลงซึมซับบรรยากาศ ในขณะที่ภามหยิบกล้องถ่ายรูปมากดดู นานๆ ครั้งก็หันมาถ่ายหน้าผมทีหนึ่ง ถ่ายวิวทีหนึ่ง และล่าสุดคือโดนผมจับถ่ายรูปคู่ไปเกือบสิบแชะ ข้อหาชอบถ่ายกันทีเผลอให้หน้าผมเอ๋อเหรออยู่คนเดียวดีนัก

“ยิ้มให้กล้องหน่อยสิ ทำเหมือนที่ยิ้มให้ฉันไง”

“กล้องไม่ใช่คุณ”

“คิดซะว่าเป็นฉันสิ หรือไม่ก็มองทะลุมาที่หน้าฉันก็ได้”

“มันไม่เหมือนกัน”

ผมลดกล้องลงเพื่อให้ขมวดคิ้วมองหน้าภามได้ถนัดขึ้น คนบ้าอะไรไม่รู้ยิ้มให้กล้องถ่ายรูปไม่เป็น ตีกันมาจะครบสิบนาทีอยู่แล้ว ทำยังไงผมก็ยังถ่ายรูปเขาที่เป็นรูปเดี่ยวๆ ไม่ได้สักที แล้วทำไมตอนถ่ายคู่กันถึงยิ้มได้เล่า...

อ๋อ...เพราะหันมาฉวยโอกาสหอมแก้มบ้าง กัดแก้มบ้างจนผมหลุดทำหน้าตาตลกๆ ออกไปทุกทีเลยยิ้มออกนี่เอง

“เอานิ้วไปแทะแทนไหมจะได้ยิ้มออก” ที่พูดนี่ประชดด้วยความหัวร้อนล้วนๆ แถมด้วยการยื่นนิ้วไปล่อเขี้ยวให้ด้วยอีกที แต่ใครจะคิดว่าคนหน้าปลาตายจะแสยะยิ้ม ดึงนิ้วผมไปจ่อปากตัวเองจริงๆ

“ไม่แทะ จะเลีย เลียเสร็จแล้วจะกินเข้าไปทั้งนิ้วเลย อย่าร้องไห้ล่ะ”

“ไอ้บ้านี่!” ผมสะบัดนิ้วออกจากการเกาะกุมแทบไม่ทัน ไม่ถ่งไม่ถ่ายมันแล้ว ขืนเขากัดขึ้นมาจริงๆ ผมร้องไห้ตายแน่ แค่บาดแผลที่ร่างกายกว่าจะหายก็ต้องทนเจ็บมาตั้งหลายวัน

หลังจากนั่งคุยกัน หยอกล้อกันไปมาจนท้องฟ้าเริ่มมืด ผมกับภามก็เริ่มทานอาหารเย็นกันอีกครั้ง โดนมีแสงไฟจากเรือเป็นตัวช่วยให้ทุกอย่างยังคงมองเห็นได้อยู่ ภามที่กินข้าวเสร็จก่อนลุกขึ้นถือกล้องเดินไปรอบเรือ ถ่ายรูปทิวทัศน์ด้านนอกอยู่นาน หลายครั้งที่ผมเห็นเขายืนนิ่ง ยกกล้องหนักๆ ค้างไว้ราวกับรอเวลา ผ่านไปนานหลายนาทีจึงกดชัตเตอร์ ในตอนนั้นเองที่นึกขึ้นได้ว่าภามก็คงลำบากกับหน้าที่การงานไม่แพ้กัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงดูแลผมได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง

ที่เคยบอกว่าตัวเองต้องการคนมาดูแล ไม่เหมาะกับการไปดูแลใคร ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะได้ตามนั้นจริงๆ...

ผมลุกขึ้นยืนช้าๆ แล้วเดินไปหยุดอยู่ด้านหลังคนที่ถือกล้องซูมไปบนท้องฟ้า สองแขนคว้ากอดเอวเขาไว้จากทางด้านหลัง ก่อนจะแนบใบหน้าลงกับแผ่นหลังกว้าง อยากส่งมอบความรู้สึกดีใจและขอบคุณที่มีไปให้เขา

“ตอนนี้ฉันคิดภาพเวลาที่ไม่มีนายไม่ออกแล้ว”

ภามแกะแขนผมที่พาดอยู่บนเอวเขาออกแล้วหันหน้ากลับมากอดไหล่กันไว้หลวมๆ แทน ใบหน้าปลาตายที่ใครต่อใครหวาดกลัวดูอ่อนโยนกว่าทุกครั้ง แม้ยามก้มลงมาจูบหน้าผากผมเบาๆ เขาก็ยังไม่ละสายตาไปไหน

“ผมก็เหมือนกัน”

“ฉันอาจไม่ค่อยมีเวลาให้นาย...”

“ไม่เป็นไร”

“อาจไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ เหมือนคนอื่น”

“ผมเที่ยวมามากพอแล้ว”

“ฉันเอาแต่ใจแล้วก็ขี้เกียจมากด้วยนะ”

“ยอมรับแล้วเหรอ”

ผมหน้าหงิก ฝังหน้าลงกับอกภามแล้วกัดท่อนแขนของเขาที่อยู่ใกล้ปากด้วยความหมั่นไส้ไปหนึ่งที ซึ่งแน่นอนว่าคนหนังหนาอย่างเขาไม่มีทางสะทกสะท้านกับอะไรแค่นี้หรอก

“แต่เวลาที่เหลือนอกจากตอนทำงาน...ฉันจะให้นายทั้งหมดนะ”

“ไม่ต้องหรอก” ภามพูดเสียงแผ่วแล้วเชยคางผมขึ้นให้มองสบตาเขาเหมือนเดิม “คุณจะเก็บเวลาพวกนั้นไว้ให้ตัวเอง ให้เพื่อน หรือให้ใครบ้างก็ได้ ขอแค่มีพื้นที่ให้ผมอยู่เคียงข้างคุณเสมอก็พอแล้ว”

พอได้ฟังคำพูดที่ดูแฝงความจริงจังไว้หลายส่วนนั่นแล้ว ผมก็หลุดยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ จนต้องแก้เขินด้วยการยื่นมือไปบีบจมูกโด่งๆ นั่นหนึ่งที

“พ่อพระเอก...”

เขาหัวเราะ ใบหน้าปลาตายดูน่ามองมากจนผมอยากหยิบกล้องมาถ่ายไว้ ติดอยู่ตรงที่รู้อยู่แล้วว่าขอแค่ยื่นมือไปแตะ อีกฝ่ายก็คงรู้ตัวแล้วหุบยิ้มโดยอัตโนมัติก่อนจะได้กดชัตเตอร์แน่ๆ

“งั้นคุณก็เป็นนางเอกสิ”

“หน้าตาฉันเหมือนางเอกเหรอ”

“ไม่...หน้าตาเหมือนตัวขี้เกียจที่น่าจะตายอนาถ”

“บอกว่าเป็นตัวประกอบเลยก็ได้นะ” ว่าแล้วผมก็จัดการล็อคคอภาม ลากเขาเดินเข้าไปด้านในตัวเรือ พาไปที่ชั้นล่างซึ่งเป็นห้องนอนสุดหรูซึ่งไม้บอกว่ายังไม่มีใครเคยลงไปใช้ เพราะลุงเหมสั่งให้เอาไว้สำหรับคุณไฟหรือสำหรับภามเท่านั้น

ไม้เคยบอกผมว่าเก้ากับพี่ภูมีเรือส่วนตัวลำหนึ่งอยู่แล้ว แต่ปกติจะไม่ได้เอาออกมาใช้เท่าไหร่นักเลยจอดไว้ที่ฝั่งตลอด แล้วภามก็ไม่ได้เรื่องมากอะไรด้วย ใครเอาเรืออะไรมารับเขาก็นั่งได้หมดทั้งนั้น ลงท้ายเราเลยเอาเรือคุณไฟมาใช้เสียคุ้ม ซึ่งไม้ก็สนับสนุน บอกเอาให้พังไปเลยเขาก็ไม่ว่าอะไรหรอก

ก็นะ...ลืมไปว่าไม้สนิทสนมกับคุณไฟมาก

“จะนอนแล้วเหรอ” ภามถามเมื่อเห็นผมทิ้งตัวลงไปบนเตียงแบบไม่สนใจโลก

“ยังหรอก นอนเล่นเฉยๆ” ว่าไปนั่นแต่ตาเริ่มปรืออยู่เหมือนกัน ลืมไปว่าเป็นพวกหัวถึงหมอนแล้วง่วงได้ทันทีโดยไม่ต้องมีอะไรช่วย

“ไปอาบน้ำก่อนเถอะ ถ้าง่วงจะได้นอนเลย”

ผมลุกขึ้นงัวเงียเดินไปเข้าห้องน้ำตามคำสั่งของภามโดยไม่ได้พูดอะไร แอบหงุดหงิดนิดหน่อยที่ห้องน้ำเล็กจนภามเข้ามาอาบด้วยไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องทำอะไรเองแล้ว แค่อยู่เฉยๆ ก็อาบน้ำเสร็จได้

“ถ้าง่วงก็นอนไปก่อนเลยนะ” ภามลูบหัวผมเบาๆ ตอนที่เขากำลังจะเดินสวนไปอาบน้ำต่อ ผมพยักหน้าอือออ แต่พอไปนอนอยู่บนเตียงก็คิดนั่นคิดนี่รอ ไม่ยอมหลับง่ายๆ เพราะเคยชินกับการกอดเขาจนหลับไปมากกว่า

ตอนแรกอุตส่าห์วางแผนไว้ว่าตอนดึกมากๆ ช่วงเที่ยงคืนตีหนึ่งจะไปดูดาวสักหน่อย กลับกลายเป็นยังไม่ทันสี่ทุ่มผมก็เหี่ยวเป็นผักต้องการการพักผ่อนไปก่อนแล้ว โชคดีที่ยังไม่ได้บอกภาม ไม่งั้นลึกๆ ในใจเขาอาจจะเฟลก็ได้ที่ผมชิ่งหลับไปก่อนโดยไม่ยอมทำตามแผน ยังจำตอนก่อปราสาททรายที่มีคนหัวร้อนเพราะผมไม่ยอมสร้างให้เสร็จได้อยู่เลย

“หัวเราะอะไร” มือเย็นๆ ของคนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จวางทาบลงบนแก้มจนผมจั๊กจี้ เผลอหมุนหัวหนีโดยอัตโนมัติ คล้ายได้ยินเสียงภามหัวเราะ ก่อนเตียงจะยวบลงเมื่อเขาล้มตัวลงนอนด้านข้าง “คิดว่าจะหลับไปก่อนแล้ว”

“ไม่มีฮีตเตอร์หลับไม่ลง” ผมว่าแล้วขยับขยุกขยิกเข้าไปซุกฮีตเตอร์ที่ว่าเหมือนทุกคืนที่ผ่านมา

“งั้นก็นอนเถอะ” เขากอดกลับแล้วลูบหัวกันเป็นการกล่อม ซึ่งมันก็ได้ผลเหมือนทุกวัน ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นผมก็หลับสนิท ปล่อยสติให้ล่องลอยไปช้าๆ โดยไม่ลืมกระชับอ้อมแขนให้แนบแน่นขึ้นกันคนหายด้วย

(อ่านต่อด้านล่าง)
.
.


หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.34]== [17/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: CHESS. ที่ 18-09-2018 20:01:26


ปกติเวลาได้หลับไปแล้วผมมักไม่ตื่นขึ้นมากลางดึก เป็นพวกหลับสนิทระยะสุดท้าย ต่อให้มีคนเหยียบลูกโป่งแตกก็นอนต่อได้แบบไม่รู้เรื่อง ทว่าน่าแปลกที่ครั้งนี้ผมดันตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกหนาวแบบแปลกๆ เหมือนฮีตเตอร์ทำความร้อนที่กอดไว้หายไปไหนก็ไม่รู้ และเมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบว่ามันคือเรื่องจริง

ภามหาย...

แต่ถูกแทนที่ด้วยเทียนในแก้วทรงเตี้ยที่ถูกวางไว้รอบห้องแทน

ผมกวาดสายตามองไปรอบด้าน เพ่งมองเทียนที่กระจัดจายอยู่จนทั่วห้องทีละเล่มจนครบแล้วจึงค่อยๆ ขยับกายลุกจากเตียง เปิดประตูเดินขึ้นไปด้านบน ก่อนจะต้องหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นเทียนแบบเดียวกันกับในห้องวางขนานกันเป็นทางยาว เหลือพื้นที่ไว้ให้เดินไปตามทางแค่นิดเดียวเท่านั้น

“เล่นอะไรเน่ีย...”

ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ผมก็ยังเดินไปตามทาง ก้มหน้าลงมองเทียนทั้งสองข้างอย่างเพลิดเพลิน แม้จะถูกพาให้เดินวนเป็นวงกลมซับซ้อนก็ไม่คิดบ่น กระทั่งมันพามาหยุดอยู่ตรงพื้นที่หน้าเรือ เทียนที่ถูกวางขนานกันมาเป็นเส้นทางกระจายตัวออกเป็นวงกว้าง และที่จุดกึ่งกลางของวงกลมที่ว่างเปล่า...มีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น

ภามไม่ได้ใส่ชุดสูทหรูหราให้เข้ากับสถานการณ์อะไร เขาใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงขาสั้นยาวเท่าเข่า ทั้งยังไม่ได้ใส่รองเท้าเลยด้วยซ้ำ แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนวันนี้เขาดูดีมากเป็นพิเศษ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแสงเทียน...หรือเป็นรอยยิ้มน่ามองนั่นกันแน่

“ผมไม่ใช่คนโรแมนติก...” เขาพูดขึ้นช้าๆ ในขณะที่ผมเดินเข้าไปหาทีละก้าว

“ถ้านายเป็นพวกโรแมนติกฉันคงรู้สึกแปลกๆ” ผมหัวเราะอย่างจริงจัง คิดตามที่พูดจริงๆ เพราะตัวเองก็นึกภาพภามโรแมนติกไม่ออกเหมือนกัน “เหมือนที่รู้สึกอยู่ตอนนี้”

“ถ้าผมบอกว่าไม่ได้คิดเอง คุณจะผิดหวังหรือเปล่า”

“โล่งอกต่างหาก” ว่าแล้วก็เงยหน้ามองคนสารภาพผิดยิ้มๆ “ถ้านายคิดเองนี่ฉันต้องหัวใจวายตายแน่ๆ”

คนฟังยิ้มจาง มือข้างหนึ่งยกขึ้นเกลี่ยแก้มผมอย่างอ่อนโยน ในขณะที่แววตาของเขาส่งผ่านความรู้สึกมากมายมาให้ ไม่ต่างจากผมที่กำลังมองเขาด้วยแววตาแบบเดียวกัน

“อันที่จริง...เก้าบอกให้ผมชวนคุณเต้นรำด้วย เสร็จแล้วถ้าหลอกจูบได้เมื่อไหร่ คุณก็จะยอมให้ผมกอด”

“…ที่พูดมานั่นไม่ได้ตั้งใจทำลายบรรยากาศถูกไหม” แค่ได้ยินชื่อไอ้เก้าก็คิ้วกระตุกแล้ว ผมมั่นใจว่ามันต้องเคยโดนมาก่อนแน่ๆ ถึงได้กล้าแนะนำอะไรน่าอายแบบนั้นให้ภามทำตาม

บอกให้ผู้ชายอายุสามสิบเต้นรำเนี่ยนะ...ถามจริง

“ไม่ต้องห่วงหรอก ผมเต้นรำไม่เป็น” ภามพูดหน้าตาย ทำเหมือนเมื่อกี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น “เพราะถ้าเต้นเป็นคงไม่ยอมเฉลยให้คุณฟัง”

“พวกนายเหมาะเป็นเพื่อนกันจริงๆ” ผมแขวะอย่างอดไม่อยู่ บรรยากาศดีๆ ที่สร้างมาปลิวไปไหนหมดแล้วก็ไม่รู้

พอเห็นภามเอาแต่ยิ้มไม่พูดอะไรแล้ว ผมเลยเดินไปเกาะขอบเรือ สายตามองไปยังดวงดาวบนท้องฟ้าที่เห็นชัดเอามากๆ ด้วยความตื่นเต้น เพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยได้มาดูดาวในทะเลแบบนี้มาก่อนเลย มันสวยมากจริงๆ นั่นแหละ แตกต่างจากในกรุงเทพฯ อย่างเห็นได้ชัดชนิดที่เอาไปเทียบกันแทบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

“สุขสันต์วันเกิดอีกรอบนะ” เสียงกระซิบข้างใบหูมาพร้อมกับอ้อมกอดอบอุ่นของคนที่เข้ามาโอบผมไว้จากทางด้านหลัง

ในที่สุดก็รู้แล้วว่าจุดประสงค์ของภามคืออะไรกันแน่...

“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องทำอะไรให้ก็ได้” เพราะของขวัญที่เขาบอกผมได้รับมาตั้งนานแล้วจริงๆ

“ผมมีของขวัญให้คุณอีกอย่าง”

ผมเงยหน้ามองภามด้วยความแปลกใจ ก่อนจะต้องแปลกใจหนักกว่าเก่าเมื่อเขาเอากล้องสุดหวงที่พกติดตัวมาโดยตลอดคล้องลงบนคอผม

“กล้อง...”

“เปิดดูสิ”

เพราะไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร ผมจึงได้แต่ยืนนิ่งเป็นหุ่นขี้ผึ้ง สุดท้ายคนด้านหลังถึงได้กอบกุมมือผมที่ถือกล้องไว้ แล้วใช้ปลายนิ้วของเขาเปิดหน้าจอให้ดูภาพด้วยตัวเอง

“ภาม…”

“นี่คือภาพตอนผมออกเดินทางครั้งแรก” เขาวางคางลงบนไหล่ผมแล้วชี้ชวนให้หันกลับไปสนใจภาพบนหน้าจอ กระทั่งผมยอมมองแล้ว อีกฝ่ายถึงได้กดเลื่อนไปยังภาพต่อไป พร้อมกับพูดอธิบายไปเรื่อยๆ “อันนี้เป็นตอนไปฝึกยูโด...”

เรายืนกอดกันดูภาพถ่ายในกล้องอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แรกๆ ผมยังงุนงงไม่เข้าใจ ทว่าเมื่อผ่านไปสองสามภาพก็หลุดเข้าไปในห้วงอารมณ์ของความอยากรู้อยากเห็น จนเผลอถามนั่นนี่ออกไปหลายอย่าง ปล่อยให้ภาพเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ฟังอย่างสนุกสนาน

“ที่นี่ฝรั่งเศสหรือเปล่า...”

“ใช่”

“ว้าว...ฉันอยากไปมากเลย”

“สักวันผมจะพาไป” เขาบอกแล้วเลื่อนนิ้วกดภาพถัดไป

ทุกภาพที่ภามถ่ายออกมาเต็มไปด้วยความทรงจำและความรู้สึกมากมาย ชนิดที่ว่าต่อให้ผมไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นกับเขา ก็ยังรับรู้ถึงความรู้สึกพวกนั้นได้ ที่ภามเคยบอกว่าเขาจะถ่ายตามอารมณ์ของตัวเองในยามนั้นมันไม่ได้เกินจริงเลยสักนิด เพราะยิ่งผ่านไปนานเท่าไหร่ รอยยิ้มของผมก็เริ่มจืดจางลงเรื่อยๆ กลายเป็นต้องเม้มปากแน่นเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์ที่กำลังปะทุอยู่ภายในแทน

“ตอนนี้ผมได้เจอคุณแล้ว...” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสดใส ขณะเลื่อนดูภาพผมที่ถูกแอบถ่ายทีละรูปอย่างใจเย็น

“…”

“คุณจำที่ผมเคยบอกว่ารูปที่ผมถ่ายบอกเล่าเรื่องราวได้มากมายแม้กระทั่งอารมณ์ของผมในยามนั้นได้หรือเปล่า” หน้าจอกล้องถูกหยุดลงที่ภาพถ่ายคู่กันของเราสองคน ซึ่งตอนนั้นเราถ่ายด้วยกันในวันสุดท้ายก่อนจะต้องแยกย้ายเมื่อเข้าเมือง

“จำได้..."

‘สำหรับผม รูปที่ถ่ายออกมาไม่ใช่แค่แสดงให้เห็นถึงความสวยงามของสถานที่นั้นๆ แต่มันบอกเรื่องราวได้มากมาย แม้กระทั่งอารมณ์ของผมในยามที่กดถ่ายออกมา’

“คุณมองเห็นความแตกต่างของรูปพวกนี้ไหม...”

“…” ผมเม้มปากแน่น ไม่ยอมตอบคำถาม

“ตอนออกเดินทาง ผมมองเห็นความสวยงามของสถานที่ แต่ไม่เคยมีความสุขกับมันเลยนิด” อ้อมกอดที่รัดเอวผมไว้กระชับแน่นขึ้นเล็กน้อย “จนได้มาเจอคุณ โลกของผมถึงได้กลับมามีสีสันอีกครั้ง”

“…"

“ผมให้กล้องตัวนี้กับคุณ เพราะมันคือกล้องที่บันทึกเรื่องราวของการเดินทางอันยาวนานเพื่อตามหาความสุขของผมเอาไว้” เขากระซิบบอก ก่อนจะกดริมฝีปากอุ่นร้อนลงตรงข้างแก้มของผมแผ่วเบา ส่งผ่านความอบอุ่นและความรักมากมายมาให้ “แต่เพราะไม่ต้องตามหาอีกแล้วผมถึงอยากให้คุณเก็บมันเอาไว้ เพื่อให้รู้ว่าสิ่งที่ผมทุ่มเทมาโดยตลอด...”

“…”

“ทั้งหมดก็เพื่อให้ได้พบคุณเท่านั้น”

ผมแกะแขนภามออกจากเอว หมุนตัวกลับไปหาแล้วพุ่งเข้าไปกอดเขาไว้แน่น ความรู้สึกมากมายมันตื้ออยู่ในอกจนไม่รู้ว่าต้องพูดออกมาอย่างไรถึงจะอธิบายได้หมด ผมไม่ได้สะอึกสะอื้น ไม่ได้เศร้าเสียใจ แต่ที่น้ำตาไหลเป็นเพราะเพิ่งรู้ตัวว่าเขาเหนื่อยมามากขนาดเพียงเพื่อให้เราได้เจอกัน แล้วผมก็ดีใจเหลือเกินที่เขาพยายามมากขนาดนี้

“อย่าร้อง...” ภามดันตัวออกแล้วใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาให้ผมอย่างอ่อนโยน

“ภาม…”

“หืม”

“วันนี้นายยังไม่ได้ถ่ายรูปฉันเลย”

เขาเลิกคิ้ว ทำหน้าตาประหลาดใจ แต่แล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเข้าใจความหมายที่ผมต้องการสื่อ

‘หนึ่งภาพถ่ายคือหนึ่งเรื่องราวที่ผมจะเก็บเอาไว้ในความทรงจำ และจากวันนี้ ผมจะเก็บบันทึกเรื่องราวของคุณทุกวัน...จนกว่าคุณจะคิดตรงกันกับผม’

“แล้วคุณคิดตรงกันกับผมหรือยัง”

ผมฉีกยิ้มกว้าง แสร้งทำหน้าตาคล้ายจะบอกว่ายังต้องถามอีกเหรอ แล้วก็เปลี่ยนเป็นพุ่งเข้าไปกอดเขาแน่นพร้อมตอบคำถามที่ติดค้างไว้ในใจมาเนิ่นนาน

“ตรงตั้งนานแล้ว”

“ถ้างั้นจากวันนี้...ผมจะเก็บบันทึกเรื่องราวของคุณทุกวัน จนกว่าจะถึงวันสุดท้ายของชีวิตเราเลยดีไหม”

“ดี!”

ภามหัวเราะมีความสุขแล้วโยกตัวไปมา แกว่งผมให้เอียงตัวตามการชักนำของเขาไปด้วย แต่ไม่รู้แกว่งไปแกว่งมาอีท่าไหน สุดท้ายถึงล้มลงไปกองอยู่กับพื้นกันทั้งคู่ แต่โชคดีที่ภามรับแรงกระแทกไว้แทนทั้งหมด ผมเลยไม่ได้ทำลายบรรยากาศด้วยการร้องโอดโอย

“ท่านี้สบายเหรอ” คนที่ถูกผมทับตัวไว้เอ่ยถาม

“มากๆ”

“งั้นก็โอเค” เขาว่าแล้วบีบแก้มผมไปมา ปล่อยให้ผมจ้องหน้าโดยไม่พูดอะไรอยู่นาน

“จำได้ไหมตอนที่เราตัดสินใจออกเดินทางไปด้วยกัน นายบอกว่านายจะได้เจอคำตอบของตัวเอง ส่วนฉันจะเจอหนทางแก้ไขความรู้สึกแย่ๆ ที่เป็นอยู่” ผมก้มลงงับปลายจมูกนั่นเบาๆ ด้วยความมันเขี้ยว “ฉันรู้แล้วว่าสิ่งที่ตัวเองขาดหายไปคืออะไร”

“…”

“คำตอบสำหรับทุกคำถามก็คือนาย”

คนฟังประคองแก้มผมไว้ บังคับให้โน้มลงไปหา ก่อนเขาจะกดริมฝีปากลงบนปลายจมูกผมแรงๆ คล้ายเป็นการเอาคืน หากคำพูดที่เอ่ยออกมากลับทำให้ใจเต้นแรงจนแทบบ้า

“คำตอบของผมก็คือคุณเหมือนกัน...อนาคิน”

“ทำไมชอบเรียกฉันว่าอนาคินนัก” ผมถามด้วยความสงสัยจริงจัง

“เพราะไม่มีใครเรียกคุณแบบนั้น”

“เหตุผลอะไรก็ไม่รู้”

“แล้วอีกอย่าง...” ภามเว้นช่วงไปเล็กน้อย ใบหน้าฉายแววเจ้าเล่ห์จนผมเผลอขยับตัว รับรู้ได้ว่าควรลุกออกจากตัวเขาเดี๋ยวนี้ก่อนจะแย่ แต่ก็ไม่ทันแล้วเพราะโดนรวบเอวเอาไว้แน่น

“หือ”

“ไม่บอกดีกว่า” ว่าจบคนนิสัยไม่ดีก็พลิกตัวกะทันหัน ไม่รอให้ถูกโวยวายใส่ด้วยความอยากรู้ เขาก็โน้มใบหน้าลงมาปิดกั้นช่องทางในการพูดของผมอย่างรวดเร็ว

เอาเถอะ...ยังมีเวลาอีกมากมายให้ตามหาคำตอบ

เพราะเรายังต้องอยู่ด้วยกันไปอีกนาน

.

.

ครั้งหนึ่งผมเคยเป็นคนหมดไฟที่รู้ตัวว่าต้องการบางสิ่งมาเติมเต็มแต่กลับไม่เคยคิดตามหามัน ผมเคยคิดว่าต่อให้ไม่มีสิ่งนั้นมันก็ไม่ได้ส่งผลต่อชีวิตมากมาย ถึงเวลานั้นผมก็ยังเป็นหมอเจได ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยต่อไป ไม่จำเป็นต้องออกไปค้นหา เป็นตัวขี้เกียจที่เอาแต่รอให้สิ่งที่ว่านั่นวิ่งเข้ามาหาตัวเองก็ดีอยู่แล้ว

แต่แล้วเขาก็เข้ามา...

คนที่ทำให้หัวใจสูบฉีดอยู่ตลอดเวลา คนที่ทำให้ตอนตื่นเช้าขึ้นมาทุกวันดูมีความหมาย เขาคือคนที่ตรงข้ามกับผมแทบทุกอย่าง เป็นคนที่ออกเดินทางเพื่อตามหาสิ่งที่ต้องการโดยไม่ย่อท้อ แตกต่างจากผมที่เอาแต่หลบอยู่ในพื้นที่ของตัวเองเพียงลำพัง ทว่าวันหนึ่งเขาก็เดินเข้ามาหา ลากผมออกไปจากมุมมืด ทำให้ผมได้รู้จักกับความหมายของคำว่าชีวิต

และท้ายที่สุดคือทำให้ผมได้รู้จักกับคำว่า ‘รัก’

เพราะแบบนั้นผมถึงนึกขึ้นได้ เพราะแบบนั้นผมถึงได้เข้าใจ ว่าที่ผมได้เจอสิ่งที่ขาดหายไป มันไม่ใช่เพราะผมไม่พยายาม ไม่ใช่เพราะสิ่งเหล่านั้นวิ่งเข้ามาหาตัวเอง...

แต่เป็นเพราะเขาช่วยพยายามในส่วนที่ขาด...เราถึงได้มีกันจวบจนทุกวันนี้

ดังนั้นต่อจากนี้ผมจะพยายามไปพร้อมกับเขา

จะยอมทำทุกอย่างเพื่อเรา

ขอแค่ให้เขาเป็นภามของผม

ให้ผมเป็นอนาคินของเขา

ทั้งจากนี้และตลอดไปก็พอ

   


END



TALK : จบแล้วค่า ขอบพระคุณทุกคนที่ติดตามมาโดยตลอดนะคะ ทั้งคนที่เพิ่งมาอ่านเรื่องนี้ และคนที่ติดตามมาตั้งแต่เรื่องแรกที่เจไดปรากฏตัว ยันเรื่องที่สองที่น้องภามตามมา สุดท้ายเขาก็ได้มาคู่กันจนได้ ฮ่าๆ

ตอนแรกเราเคยบอกว่าจะปล่อยให้เจไดเป็นโสด ไม่มีคู่ให้นาง แต่พอมาเขียนภูเก้า(คู่พี่ชายภาม) ความรู้สึกที่มีคืออยากเห็นภามมีความสุข น้องเจออะไรมาเยอะมาก ไม่ใช่แค่ PTSD ไม่ใช่แค่โรคซึมเศร้า มันมากยิ่งกว่านั้นจนทำให้เด็กคนหนึ่งไม่มีแม้กระทั่งความสุข เราเลยคิดว่าเจไดน่าจะเป็นคนนั้นได้ เพราะนางก็มีสิ่งที่ต้องการเหมือนกัน สรุปเลยกลายเป็นคนสองคนที่เข้ากันได้ คอยฮีลกันจนหายดี แฮปปี้น่าอิจฉาไปซะอย่างนั้น

สำหรับอนาคินจะเปิดพรีช่วงเดือนมกราคม2019กับสำนักพิมพ์ฟาไฉนะคะ(2เล่มจบ+BOX) เดี๋ยวใกล้ๆจะถึงเวลาเราจะมาแจ้งในหน้านิยาย แล้วก็จะเอาตัวอย่างตอนพิเศษในเล่มมาลงให้ด้วย (ตอนพิเศษในเล่มมี 9 ตอนเต็มๆ ยาวเท่าตอนหลักเลย)

ทั้งนี้ก็อยากจะฝากผลงานเรื่องเก่าๆ และเรื่องต่อๆไปของเราไว้ด้วยนะคะ หวังว่าจะได้พบกันใหม่ในงานเรื่องต่อไปน้า
สำหรับนิยายเซตนี้ (ออกซิเจน ไนโตรเจน อนาคิน) ยังเหลืออีกหนึ่งคู่คือคู่ของน้องมูนน้องระที่น่าจะได้เจอกันต้นปีหน้าค่ะ(น้องมูนเคยปรากฏตัวในออกซิเจน) แล้วก็มีเซต 3KINGS ที่คู่สองใกล้ออนแอร์แล้วด้วย (ยังมีโปรเจกต์ลับอีกมากมายเลย ยังไงรอติดตามได้นะคะ)

ขอบพระคุณค่ะ
Chesshire

ช่องทางการติดตาม FB Page : Chesshire.  //  Twitter : @Chesshire04
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 18-09-2018 22:52:49
จบแล้วต้องคิดถึงหมอกากมากแน่ๆเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-09-2018 01:30:25
 :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 19-09-2018 02:42:33
 :L2: :L2: :L2:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: ♥lvl♀‘O’Deal2♥ ที่ 19-09-2018 02:52:39
ขอบคุณค่า
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: fc_fic ที่ 19-09-2018 06:02:49
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: pui ที่ 19-09-2018 11:50:09
 :pig4: :pig4: :pig4:
รอผลงานเรื่องต่อๆไปค่ะ^^
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: Margarita ที่ 23-09-2018 23:36:03
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 25-09-2018 07:34:47
อ่านจบแล้ว ชอบมากๆ จะบอกว่าชอบทุกเรื่องที่แต่งเลยดีกว่า 555  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: twinmonkey0311 ที่ 27-09-2018 10:22:41
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: panpang ที่ 03-10-2018 10:32:17
 :pig4: :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: wetter ที่ 06-10-2018 04:43:53
ละมุนมากๆเลย ภามคืออบอุ่นกับน้องแมวมากๆ น้องแมวก็น่าแกล้งจริงๆ
ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆค่า :L1:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: Egonoki ที่ 07-10-2018 14:36:24
เป็นนิยายที่ดีสุดๆเรื่องหนึ่งที่เคยอ่านมาเลย
ขอบคุณนักเขียนที่แต่งเรื่องราวดีๆอีกเรื่องมาให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 18-10-2018 22:27:07
แวะมาอ่านอีกรอบ คิดถึงแมวกากจังเลยค่ะ :-[
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: Snowermyhae ที่ 20-10-2018 22:04:45
ชอบตอนติดเกาะมากเลย อยากให้คุณหมอลาออกแล้วมาอยู่เกาะตลอดไป ภามตอนเจ้าเล่ห์ร้ายกาจมากกก ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆนะคะ  รัก  :impress2:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 23-10-2018 13:29:45
สนุกและภาษาดีมากครับ ขอบคุณที่เขียนเรื่องดีๆ มาให้อ่านกัน
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: van16 ที่ 01-11-2018 12:29:03
ภามกับหมอเจไดน่ารักมากๆ  :กอด1: ตรงข้ามกันทุกอย่าง แต่ก็ลงตัว
เอ็นดูหมอเจได อะไรจะกลัวเจ็บขนาดนั้น แถมขี้เกียจสุดๆ อีกต่างหาก
ก็เขาเป็นลูกแมวของภามนี่นะ  :-[   :pig4:  :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: wipor ที่ 05-11-2018 01:47:53
เขียนดีมาก น่าติดตามตลอด ขอบคุณนะคะ
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: mpalism31 ที่ 08-11-2018 08:32:56
ขอบคุณนิยายดีๆที่แต่งให้อ่านนะคะ  :mew1:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: Parapoyfaii ที่ 18-11-2018 07:06:29
จบแล้วววว ชอบบรรยากาศของนิยายเช็ทนี้ทุกเรื่องเลย
สบายๆ อ่านแล้วยิ้ม นายเอกทุกคนล้วนน่าบีบ พระเอกก็ฮ็อตมาปเช่นกัน555
คุณหมอเต้าหู้ น้องงง น่ารักน่าเอ็นดูสุด ชอบความเจ็บง่าย555
มีความสุขแล้วนะทั้งสองคน ดีใจมากที่มีเรื่องต่อ เพราะแอบจิ้นคู่นี้ตั้งแต่ภูเก้า
และเราก็สมหวัง55 ขอบคุณคนแต่งนะคะที่แต่งนิยายดีๆหลายเรื่องเลย
ฮิลชีวิตช่วงนี้ได้ดีมาก จะติดตามผลงานต่อไปนะคะ ขอบคุณค่าาา
 :mew1: :mew1:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: palm-metto ที่ 21-11-2018 00:36:59
ดีมากกก
ทั้งๆ ที่ไม่เคยอ่านเรื่องก่อน ๆ มาเลย
ชอบตรงที่ตัวละครมีปมหมด แต่ก็ฝ่าฟันทุกอุปสรรคกันมาได้ มีทั้งเข้าใจและไม่เข้าใจกัน แล้วสุดท้ายคือแฮปปี้

ชอบการบรรยาย การเข้าถึงตัวละคร .. ถือว่านักเขียนทำข้อมูลได้ดี ไม่ขัดกับความจริงมากเท่าไหร่

ชอบที่พยายามแทรกบทตลกๆ เข้ามาตลอด ไม่ให้เรื่องมีดราม่ามากเกินไป .. แล้วยังทำให้ได้รู้ว่า คนบางคนเห็นเค้าเครียด คือเค้าก็มีอารมณ์ตลก กวนตีน อยู่ข้างใน

เราไม่รู้ว่าคนอื่น เค้าเข้าใจโรคที่ภามเป็นกันมั้ย นี่อ่านตอนแรกๆ ก็ไม่เข้าใจ แต่พออ่านมาเรื่อยๆ มันทำให้รู้ว่า เค้าก็คนปกตินั่นแหละ เพียงแค่อาจจะมีอะไรที่ติดอยู่ในใจ และรอใครสักคนมาช่วยให้เค้าดีขึ้นได้

ยิ่งพิมยิ่งเบลอ ก็ตอนนี้มันดึกแล้ว
ตอนแรกจะเม้นพุ้งนี้ แต่กลัวลืม
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: mellowshroom ที่ 21-11-2018 10:54:26
อยากเป็นคุณหมอเจไดล่ะ อยากไปภาม ฮือออ

ชอบมากๆ สนุก น่ารัก อบอุ่นใจ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[1]== [12/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 10-12-2018 22:24:33
กรี๊ดดดด เขาเคยคุยกัน แง้ง
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 10-12-2018 23:24:14
มีคู่ให้อยากตามอ่านอีกแล้ววว รอนะคะ
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[9]==[P.3]== [24/06/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 11-12-2018 13:39:32
ตอนแรกคิดว่าเป็นเกาะของพ่อโซโล่ หรือโซโล่เองเพราะเห็นบอกแฟนเจ้านายใจดี ในใจไม่ได้นึกถึงเก้าเลย ถถถ
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.26]== [04/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 11-12-2018 15:13:40
 :laugh: ภามมมมมม
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.34]== [17/09/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 11-12-2018 18:18:59
ตล๊กกก  :laugh: แหมมม พอได้หยอดละหยอดไม่ยั้ง ถถ
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: Noname_memi ที่ 11-12-2018 22:19:03
น้องภามมมมม อบอุ่นในหัวใจ ฮือ ดีใจที่ได้เห็นน้องมีความสุข  :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: soluna ที่ 12-12-2018 11:03:49
อบอุ่นหัวใจมากกกกก

ชอบชื่อ “อนาคิน”มากกกก
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: Guy_BLove ที่ 12-12-2018 21:15:00
คุณณณณ ทำไมเราถึงพึ่งเจอกันนน
ชอบมากกกกกกกก
ฮือออออออ
มีหลายอารมณ์มาก จะบอกว่าแอบอินเพราะคล้ายตัวเอง
ชอบนะคะ เขียนเรื่องดีๆอย่างนี้ต่อไปเรื่อยๆเลยนะตัวเอง :-[ o13
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: tarnting2 ที่ 13-01-2019 15:01:07
ตามมาจากเรื่องของน้องเก้า ฟีลลิ่งที่ได้รับบจากเรื่องนี้กับเรื่องนั้นต่างกันมากๆ เลยค่ะในความรู้สึกของเรา
เรื่องนี้อบอุ่นหัวใจมากๆ เรื่องน้องเก้าเพราะตัวเก้าเองทำให้มันมีมุมฮาอยู่เรื่อยๆ

ขอบคุณมากๆ นะคะ ที่เขียนเรื่องดีๆ ให้ได้อ่านทั้งน้องเก้า น้องเจได เดี๋ยวจะตามไปอ่านน้องโซโล่อีกคนค่า
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: Psycho ที่ 17-01-2019 14:54:18
คิดว่าจะได้คำตอบสุดท้ายถามก็ไม่บอกว่าทำไมเรียกอนาคิน
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: LadyPant ที่ 04-02-2019 23:00:37
:mew4:
ในเซ็ตนี้ชอบเองอนาคินที่สุดเลย ภามน่ารักมากกกกกก
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: Peung002 ที่ 05-02-2019 20:36:41
ยอมรับเลยว่าตอนที่เห็นชื่อเรื่องครั้งแรก ไม่กล้าอ่าน เพราะกลัวว่ามันจะเป็นแนวไหนฟะ 5555
แต่สุดท้านก็วนมาอ่านจนได้ พออ่านแล้วก็ต้องอ่านรวดเดียวเลย
สนุกมาก อบอุ่นมาก น่ารักมาก

ขอบคุณนะคะ  :hao3:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: ่patsaporn ที่ 19-03-2019 19:50:01
ใจหายใจคว่ำกับการปากแข็งของเจไดมาก จะหาคนที่รักและดูแลได้แบบนี้ที่ไหน
ภามดูแลดีมากกก อ่านไปลุ้นไป มันละมุนใจอ่ะค่อยๆ รักกัน คุณหมอนี่น่ารักเหมือนลูกแมวจริง
เป็นคนที่น่าดูแล น่ารักกก เวลาเจ็บก็ร้องไห้ ขี้อ้อนมาก ครอบครัวหมอก็น่ารักเนอะ ความสุขของลูกสุขด้วย
ถ้าไม่เพราะคุณพ่อคุณแม่คงไม่เจอกัน ชอบตอนภามดูแลตอนหมอทำงานเหนื่อย ผัวดีเด่นนนน
ตื่นเช้ามาทำกับข้าว จะไปหาที่ไหนอีก

ขอบคุณนะคะ ละมุนตุ้นมากค่ะ
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: toomild ที่ 01-04-2019 18:16:09
คิดถึงภามเจไดม้ากมากเลยค่ะ กลับมาอ่านรอบที่ล้านรอหนังสือ555 ดีต่อใจที่สุดเลยนะคะเรื่องนี้ เลิ้บ :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: Bear Company ที่ 17-07-2019 10:08:48
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: sugarcane_aoi ที่ 10-02-2020 23:41:26
จบไปอย่างน่ารัก สวยงามอีกเรื่อง สนุกมากค่ะ อยากให้มีรวมทั้ง3คู่อีกเรื่องนึงคงสนุกน่าดู :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 11-02-2020 19:17:31
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: minenat ที่ 01-03-2020 15:14:01
พึ่งรู้ว่ามีนิยายต่อจ่กภูเก้า พอตามมาเจอน้องภามไม่ผิดหวังเลยจริงๆค่ะ :z10:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: KARMI ที่ 05-03-2020 12:12:21
 :sad11:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: airicha ที่ 22-03-2020 22:15:16
จบแล้วอ่านแล้วว่างไม่ลง
น่ารัก สนุกไม่แพ้เรื่องอื่นๆเลย
เอาเป็นว่าสนุกทุกเรื่องเลยค่ะ
รอติดตามผลงานเรื่องอื่นต่อๆไปค่ะ

หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 15-04-2020 08:44:06
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 18-09-2020 20:00:01
น่ารักมาก ๆ ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[2]== [17/05/61]
เริ่มหัวข้อโดย: Musashi ที่ 19-09-2021 00:50:09
-2-


 คนเดียวกันกับที่แต่งไนโตรเจนหรือเปล่าเนี่ย ไม่สนุกเลย สำนวนการเขียนก็ไม่เหมือนกัน
หัวข้อ: Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
เริ่มหัวข้อโดย: samsung009 ที่ 02-04-2023 21:34:49
 :pig4: