┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]  (อ่าน 88778 ครั้ง)

ออฟไลน์ 19th

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 232
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.32]== [15/09/61]
«ตอบ #180 เมื่อ15-09-2018 23:55:21 »

ไม่อยากจะคิดว่าถ้าภามเห็นภาพคนที่รักโดนทำร้ายต่อหน้าอีกจะเตลิดไปถึงไหน  :ling2:

ออฟไลน์ Cappello

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 223
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.32]== [15/09/61]
«ตอบ #181 เมื่อ16-09-2018 01:07:01 »

รีบไปเลยจ้าาาาาาา คิน วิ่ง!!

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.32]== [15/09/61]
«ตอบ #182 เมื่อ16-09-2018 03:10:35 »

ภามจะปลอดภัยไหมเนี่ย โจรมีกี่คนฟ่ะ  :ling3:

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.32]== [15/09/61]
«ตอบ #183 เมื่อ16-09-2018 08:51:06 »

ทุกคนต้องปลอดภัยนะ

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.32]== [15/09/61]
«ตอบ #184 เมื่อ16-09-2018 10:18:48 »

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ bigbeeboom

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.32]== [15/09/61]
«ตอบ #185 เมื่อ16-09-2018 13:21:06 »

โอ้ย เพิ่งมาเห็น รู้สึกพลาดมากจ้า แต่ต่อไปเฝ้าเรื่องนี้ตลอด เหมือนอีกสองเรื่อง ชอบมากกกกก
ลุ้นๆ ว่าเอาไงต่อ ถ้าธามเจอกลั่มโจร

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.32]== [15/09/61]
«ตอบ #186 เมื่อ16-09-2018 19:26:04 »

-33-


“ไม้ ไวกว่านี้หน่อยได้ไหม”

“ไวกว่านี้คงได้เรือคว่ำกันทั้งคู่แน่ เอ็งไปนั่งสงบสติก่อนเถอะ” ไม้หันมามองผมด้วยสีหน้าเคร่งเครียด แววตาจริงจังของเขาทำให้ผมพูดอะไรต่อไม่ออก ต้องเดินกลับไปนั่งบนเบาะเหมือนเดิม

ตอนไปเกาะครั้งแรกผมเมาเรือจนไม่รู้ตัวเลยสักนิดว่าระยะห่างระหว่างเกาะกับฝั่งมันมากขนาดไหน พอครั้งต่อๆ ไปยังพอสังเกตได้บ้างว่าใช้เวลานานอยู่เหมือนกัน หากวันนี้ผมกลับรู้สึกว่ามันดูนานมากเป็นพิเศษ เรือของเราไม่ได้มีแสงสว่างมากมาย ไม่ได้มีอุปกรณ์พร้อมสรรพสำหรับการเดินทางยามค่ำคืนที่ท้องฟ้ามืดมิดขนาดนี้ แค่ไม้ขับเรือได้อย่างมีประสิทธิภาพผมก็ควรขอบคุณเขาแล้ว

เพียงแต่...

ผมกลัวมากจริงๆ กังวลไปหมดจนอยู่ไม่สุข แทบไม่รับรู้ถึงความเมื่อยล้าของขาที่ทำงานอย่างหนักเพราะต้องวิ่งไปวิ่งมาอย่างต่อเนื่องมาเกือบสองวันเลยด้วยซ้ำ

ตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา นับตั้งแต่จำความได้ยันตอนนี้ ไม่เคยมีใครเจาะกำแพงเข้ามาหาผมได้เลยสักคน ต่อให้เคยคบกับผู้หญิงที่เข้าหามามากหน้าหลายตาแต่ผมก็ให้เกียรติพวกเธอ ไม่คิดแตะต้องหากไม่จริงจัง และก็เพราะแบบนั้นถึงอยู่คนเดียวมาโดยตลอด เคยคิดว่าจะต้องเป็นแบบนี้ตลอดไปเหมือนกัน

จนกระทั่งเขาเข้ามา...

ภามเข้ามาในช่วงเวลาที่ผมท้อแท้มากที่สุด เขาเข้ามาในช่วงเวลาที่ผมรู้สึกเหมือนไม่เหลืออะไรเลย แค่ต้องใช้ชีวิตไปวันๆ เพื่อพ่อแม่ ไม่มีเป้าหมายอะไรในชีวิตแม้แต่อย่างเดียว เพราะรู้สึกเหมือนทำทุกอย่างสำเร็จไปหมดแล้ว เขาช่วยตามหาสิ่งที่ขาดหายไป ไม่เคยต่อว่าที่ผมเป็นคนขี้เกียจ ทั้งยังช่วยพยายามในส่วนที่ขาดจนผมเริ่มมองเห็นแสงสว่าง

เขาเคยพูดว่าผมคือความสุขและเป็นสิ่งที่เขาตามหา แต่จริงๆ แล้วผมแทบไม่ได้ทำอะไรเลยด้วยซ้ำ เป็นภามที่พยายามมาโดยตลอด เป็นเขาที่ช่วยเหลือผมอยู่ฝ่ายเดียว

ภามคือคำตอบของทุกสิ่งทุกอย่าง เขาคือสิ่งที่ผมขาดหายไป เขาคือสิ่งที่ผมตามหา และครั้งนี้ผมจะไม่ปล่อยให้เขาไปไหนอีก ในเมื่อเขาเลือกที่จะดูแลผมแล้วก็ต้องดูแลตลอดไป ผมจะเป็นคนขี้เกียจ จะอ้อนให้เขาดูแลอยู่เหมือนเดิม แต่คราวนี้จะไม่ใช่ในฐานะของคนเห็นแก่ตัวอีกแล้ว...

ผมจะอ้อน จะงอแง จะขอให้ดูแลในฐานะของคนที่รักเขา

เพราะงั้นได้โปรด...

ขอให้ปลอดภัยด้วยเถอะ ขอแค่เขาปลอดภัย จะเอาอะไรก็ยอมทุกอย่างแล้ว

“ไอ้หมอ เห็นเกาะแล้ว” น้ำเสียงจริงจังของไม้ดึงสติของผมให้กลับมาเข้าที่อีกครั้ง

ท่ามกลางความมืดมิดของหนทางด้านหน้า เงาของเกาะอันแสนคุ้นตาเริ่มปรากฏให้เห็น ถึงจะไม่ชัดเจนมากเท่าไหร่แต่ก็มองออกว่าเป็นเกาะที่เรากำลังมองหาแน่นอน ผมเดินไปเกาะเบาะคนขับเรือ พยายามเพ่งมองว่าไม้ขับเรือมาทางด้านไหนของเกาะ และเมื่อเข้าไปใกล้มากขึ้น...ใกล้จนมองเห็นหาดได้ชัดเจนแล้ว ผมก็แทบลืมหายใจ

“เรือพวกนั้น...”

“ของพวกมันแน่นอน เกาะเราไม่มีเรือแบบนั้น” ไม้พูดเสียงเครียด ซึ่งผมเองก็เห็นด้วยกับเขา “เอาไงดีวะ”

“ขับวนไปที่ท่าเรือก่อน” ผมบอกเขาพร้อมชี้นิ้วไปอีกทิศเพื่อให้ไม้ขับอ้อมเกาะไป ขืนเข้าไปใกล้กว่านี้แล้วพวกนั้นยังอยู่แถวหาดคงรู้ตัวก่อน ถ้ารู้แล้วหนีไปก็ดี แต่ถ้ารู้แล้วมุ่งตรงมาที่เราแทนนี่แย่แน่

ไม้ทำตามที่ผมบอกโดยการขับเรือวนไปที่ท่าจอดเรือของพวกชาวบ้าน เราไม่ได้พูดคุยอะไรกันอีก บรรยากาศรอบกายมีเพียงความเคร่งเครียด และอีกหนึ่งความรู้สึกที่ถูกกดทับไว้ในจิตใจของเราทั้งคู่คงเป็น...ความกลัว

ผมยกมือแตะบริเวณหน้าอก หวังให้ความอุ่นร้อนของฝ่ามือทำให้ใจที่เต้นรัวแรงด้วยความตระหนกและความหวาดกลัวบรรเทาลงได้บ้าง แต่ดูคล้ายจะไม่เป็นผลเท่าไหร่นัก สิ่งที่ทำได้จึงมีเพียงการพยายามควบคุมสติของตัวเองเอาไว้ให้ได้มากที่สุด

“ไม้ นายไปปลุกพวกชาวบ้าน เริ่มจากพวกที่อยู่ใกล้ก่อน บอกให้พวกเขาหยิบอาวุธแล้วไปอยู่รวมกันไว้นะ” ผมหันไปสั่งเมื่อเรือจอดนิ่งอยู่ที่ท่าเรียบร้อยแล้ว

“แล้วเอ็งล่ะ”

“ฉันจะไปหาภามที่อยู่ด้านในสุดก่อน แล้วจะไล่จากด้านในออกมาด้านนอก” ถ้าพวกโจรเดินทะลุป่ามาทางบ้านนายจริงๆ ที่แรกที่พวกมันจะเจอก็คือกระท่อมของผมกับภาม แต่ถ้าโชคดีมันอาจจะไม่ได้เข้าป่า ผมต้องรีบไปหาภามก่อน

“ได้ เจอกันที่บ้านลุงเหม”

เรามองหน้ากันอีกรอบ ก่อนจะพยักหน้าเข้าใจแล้ววิ่งลงไปจากเรือพร้อมกัน ผมออกแรงวิ่งจนเหนื่อยหอบ สลัดรองเท้าทิ้งไปตั้งแต่ที่กระโดดลงน้ำ สองเท้าเปลือยเปล่าย่ำโดนอะไรบ้างก็ไม่สนใจ

ระยะทางจากหาดเข้าไปถึงกระท่อมไม่ได้ไกลมากนักแต่ก็ไม่อาจเรียกว่าใกล้ ผมเจ็บแปลบที่เท้าทั้งสองข้าง รู้สึกเหมือนเหยียบเศษไม้เข้าอย่างจังจนน้ำตาคลอ ยิ่งวิ่งก็ยิ่งทรมานไปหมดทั้งทางใจและทางกาย แม้แต่แขนและเนื้อตัวก็โดนเศษไม้เกี่ยวจนเจ็บไปหมดทั้งตัวเพราะมองทางไม่เห็นเลยแม้แต่นิดเดียว มีเพียงสัญชาตญาณและความเคยชินเท่านั้นที่ช่วยนำทางให้ยังวิ่งต่อไปได้

เจ็บเป็นบ้า...

ผมยกมือปาดน้ำตา อ่อนล้าไปทั้งกายและใจ แต่ความเป็นห่วงที่เอ่อล้นอยู่ด้านในก็ยังเอาชนะความเจ็บปวดและความหวาดกลัวได้เหมือนเดิม กระทั่งได้เห็นกระท่อมที่ดูคุ้นเคย หัวใจที่ปวดร้าวถึงได้รู้สึกดีขึ้นมาบ้าง

สองเท้าที่เคยคิดว่าไม่ไหวแล้วเริ่มวิ่งเร็วขึ้นโดยไม่รู้ตัว ผมวิ่งตรงไปที่ประตู หยิบกุญแจที่พกไว้กับภามคนละดอกออกมาไขแล้วเปิดเข้าไปด้านใน หวังว่าจะได้เห็นคนตัวโตนอนหลับอยู่บนเตียง

แต่ก็ว่างเปล่า...

“บ้าน่า”

ไม่มี...แม้แต่กระเป๋าเสื้อผ้าก็ไม่มี

“ไอ้หมอ!”

“ไม้!” ผมวิ่งออกไปด้านนอก เห็นไม้เดินเข้ามาหา มีพวกชาวบ้านที่เป็นผู้ชายตามมาด้วยสามสี่คน “เป็นไงบ้าง”

“ข้าไล่ไปบ้านลุงเหมหมดแล้ว ป้าต้อยเป็นบ้านสุดท้าย แล้วเอ็งเจอนายน้อยหรือเปล่า” ไม้ถามแล้วชะเง้อเข้าไปมองในตัวบ้าน แต่คงเพราะมันมืดมาก ไม่มีวี่แววว่าจะมีใครอยู่ด้านในเลยสักคน เขาถึงได้ยื่นมือมาตบบ่าผมเบาๆ “นายน้อยอาจจะไม่ได้มาที่ีนี่ก็ได้ ไม่เป็นไรนะ อย่างน้อยเขาก็ปลอดภัย เรารีบไปกันเถอะ ให้ตำรวจมาจัดการให้เรียบร้อยก่อน”

“อา…”

“นายน้อยเหรอ” เสียงดำที่ยืนอยู่ด้านหลังไม้เอ่ยขึ้นเบาๆ แต่กลับทำให้ผมที่กำลังจะเดินตามไม้ไปชะงักกึก

วินาทีนั้นผมภาวนา...ขอร้องให้ภามไม่ได้มาที่เกาะนี้ ให้เขาบินไปต่างประเทศ ให้ไอ้เก้าหลอกผม ขออย่าให้เขามาที่นี่ ขออย่าให้เขา...อยู่ที่บ้านพี่ภู

“เมื่อวานข้าเจอนายน้อย...”

“ไอ้หมอ!!”

ไม่รู้ว่าความกล้าและความบ้าบิ่นแบบที่ไม่เคยมีมันบังเกิดขึ้นมาจากจุดไหน ผมเพิ่งเข้าใจว่าเวลาเราได้รับข่าวว่าคนสำคัญกำลังตกอยู่ในอันตราย ทำไมใครหลายคนถึงควบคุมสติของตัวเองเอาไว้ไม่ได้ มันเป็นเพราะพวกเขาไม่อยากให้สำคัญคนนั้นเป็นอะไรไป เป็นเพราะพวกเขายินดีเจ็บแทนขอแค่คนคนนั้นปลอดภัย ผมเองก็กำลังเผชิญกับสถานการณ์นั้นอยู่เช่นเดียวกัน

สองเท้าเปลือยเปล่าซึ่งน่าจะเต็มไปด้วยบาดแผลยังคงวิ่งตรงไปที่บ้านนายแบบไม่ออมแรง ผมลืมเลือนทุกสิ่ง ใจคิดเพียงขอแค่ได้เจอภาม ได้เห็นว่าเขายังปลอดภัยก็พอแล้ว จนกระทั่งวิ่งมาถึงด้านหลังบ้าน เห็นจุดหมายอยู่ตรงหน้าแล้วผมถึงได้สติกลับคืนมาบ้าง

ตำรวจกำลังมา...แสงที่วาบมาจากทะเลนั่นคือตำรวจแน่ๆ

“ไอ้หมอ...แฮ่ก...วิ่งไวจังวะ”

“ชู่ว...” ผมหันไปเตือนไม้กับคนอื่นๆ ที่เพิ่งตามมาถึง พร้อมส่งสัญญาณให้พวกเขาหลบหลังต้นไม้ แล้วชี้ไปที่หน้าต่างบ้านที่มีแสงจากไฟฉายแวบไปแวบมา

บางทีพวกมันอาจยังไม่เจอภาม...

“เอาไงดี” ไม้กระซิบถาม

“ข้าว่าเรารอตำรวจก่อนดีกว่า บางทีนายน้อยอาจอยู่ข้างบน พวกมันคงยังไม่...”

เพล้ง!

“เฮ้ย! ใครอยู่ตรงนั้น!”

“มึงเฝ้าข้างล่างไว้!”

“เออ”

เสียงดุดันไม่คุ้นเคยจากด้านในทำให้เราทุกคนสะดุ้ง ผมหันไปมองหน้าไม้ และโดยไม่ต้องพูดอะไร เราต่างวิ่งเข้าไปในเขตบ้านพร้อมกันทันที ดำที่ตัวใหญ่และแรงเยอะสุดใช้ไม้ที่พกมาฟาดหน้าโจรที่ยืนอยู่ตรงประตูเพียงคนเดียวอย่างแรงจนอีกฝ่ายล้มลงไปกองอยู่ที่พื้น

ผมวิ่งเข้าไปด้านใน ก้าวเท้าข้ามคนที่สลบไปอย่างไม่ใส่ใจ ตากวาดมองไปทั่วบ้านแล้วก็ไม่พบใครอีก ท่าทางพวกมันคงขึ้นไปบนชั้นสองกันหมดแล้ว

“ข้าไปก่อน” ดำยื่นมือมาขวางหน้าผมไว้แล้วก้าวเท้านำขึ้นไปบนบันได ตามด้วยชาวบ้านคนอื่นๆ ที่พกอาวุธมาด้วย

“ใจเย็นๆ” ไม้บีบไหล่ผมเบาๆ แล้วพยักหน้าให้เดินตามกันขึ้นไป

ประตูห้องของพี่ภูยังปิดสนิทเหมือนไม่มีใครเปิดเข้าไปด้านในตั้งแต่แรก แต่ประตูห้องภามกลับเปิดแง้มไว้ ผมจับแขนไม้แน่น พยายามไม่คิดอะไรไปก่อน แต่กลับไม่อาจห้ามความร้อนผ่าวที่ขอบตาได้

กลัว...

กลัวไปหมดแล้ว

ห้องของภามว่างเปล่า ไม่มีใครยืนอยู่ด้านในเลยสักคนเดียว หากประตูระเบียงกลับเปิดกว้าง เราค่อยๆ เดินตามกันไปเรื่อยๆ หูเงี่ยฟังความเคลื่อนไหวจากด้านนอก แต่แล้ว...

ตูม!

“ช่วย...ช่วยด้วย!”

ไม่ใช่เสียงภาม...ผมรีบวิ่งนำทุกคนไปที่ประตู มุดผ่าม่านออกไปด้านนอก ก่อนจะต้องชะงักค้างเมื่อเห็นภาพตรงหน้า

คนที่ผมกำลังตามหานั่งคุกเข่าอยู่ข้างสระว่ายน้ำ มือจับศีรษะของชายในชุดรัดกุมสีดำสนิทกดลงในสระอย่างเลือดเย็น พอเห็นว่าอีกฝ่ายจะหมดลมหายใจก็ดึงหัวกลับขึ้นมา จากนั้นก็กดลงไปใหม่ ผมบอกไม่ถูกว่าตอนนี้ตัวเองดีใจที่ได้เจอภาม หรือตกใจที่ได้เห็นว่าเขากำลังทำอะไรอยู่กันแน่

แต่ว่าตอนอยู่ด้านนอกผมได้ยินเสียงคนพูดสามคนไม่ใช่เหรอ แล้ว...

อีกคนหายไปไหน

“ระวัง!”

“ตายซะเถอะมึง!”

เจ้าของชื่อหันหน้ามาหาผม พร้อมกับเหวี่ยงร่างของโจรที่เขาจับคอไว้ไปด้านหลังเหมือนกับทำไปตามสัญชาตญาณ และมันทำให้คนที่กำลังพุ่งเข้าหาเขาล้มลงไปกองอยู่กับพื้นได้แบบพอดิบพอดี แต่ฝั่งนั้นก็ยังไม่ยอมแพ้ ลุกขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ในมือมีมีดที่เปอะเปื้อนคราบเลือด ตั้งท่าจะทำร้ายภามอย่างเห็นได้ชัด

ปัง!

“หยุดเดี๋ยวนี้!” เสียงของเจ้าหน้าที่ตำรวจที่เปิดประตูออกมาจากระเบียงห้องพี่ภูทำให้ทุกอย่างหยุดชะงัก แม้แต่โจรที่ตั้งท่าจะทำร้ายภามก็ไม่กล้าขยับ เพราะกระสุนปืนวิ่งเฉียดหน้ามันไปเพียงนิดเดียว

สถานการณ์น่าใจหายกลับเข้าสู่ความสงบได้อย่างรวดเร็วเมื่อตำรวจจับโจรได้จนครบทั้งหมด ลุงเหมบอกผมว่าพวกมันแยกกันเป็นสองกลุ่ม ที่บ้านหลังนี้มีแค่สามคน ส่วนพวกที่เหลือเดินอ้อมหาดไปหาชาวบ้าน หนึ่งในนั้นรับสารภาพว่ามาสังเกตการณ์หลายรอบแล้ว วันนี้ได้ปล้นเรือไปลำหนึ่งแล้วมาเทียบท่าที่เกาะพอดี เลยจะเข้ามาขโมยของที่บ้านหลังนี้ รวมถึงในกระท่อมของพวกชาวบ้านด้วยทีเดียว โชคดีที่ตำรวจกระจายตัวเข้าล้อมรอบทุกฝั่งพวกชาวบ้านเลยปลอดภัย ไม่มีใครบาดเจ็บแม้แต่คนเดียว

กลุ่มโจรพวกนี้ก่อเหตุมาหลายครั้ง แต่มักจะหลบซ่อนตัวได้อย่างแนบเนียนเสมอ ตำรวจตามล่ามานานหลายเดือนแล้วก็ยังจับตัวไม่ได้ จนกระทั่งเกิดเหตุการณ์วันนี้ขึ้นในที่สุด ตำรวจสร้างความมั่นใจให้เราด้วยการกระจายกำลังคนค้นหาทั่วเกาะอีกรอบเผื่อจะมีใครซ่อนตัวอยู่แต่ก็ไม่พบ พอประกอบกับที่พวกมันรับสารภาพว่ามีกันสิบคน และให้ข้อมูลตรงกันทั้งหมดว่ามีจำนวนเท่านี้ ทุกคนเลยมีความเห็นตรงกันว่าปลอดภัยแล้ว

“ขอบคุณที่ให้ความร่วมมือนะครับ”

“ครับ” ผมยกมือไหว้คุณตำรวจ ก่อนจะหันไปมองคนตัวสูงที่ยืนทำหน้านิ่งพูดคุยกับตำรวจอีกคนอยู่ไม่ไกลนัก

เราไม่ได้พูดคุยกันเลยสักคำเดียวตั้งแต่ที่เหตุการณ์เข้าสู่ความสงบแล้ว ผมถูกแยกตัวมาให้ปากคำกับตำรวจนายหนึ่ง ส่วนภามพูดคุยกับทางหัวหน้าทีม ที่แลดูจะให้ความเคารพเขาเอามากๆ คงเป็นเพราะแม้แต่พวกตำรวจก็รู้จักพี่ภูเป็นอย่างดี พอรู้ว่าเขาเป็นน้องชายเลยเกรงอกเกรงใจตามไปด้วย

“ไอ้หมอ...” ไม้เดินเข้ามาหาผม บนใบหน้ามีรอยยิ้มโล่งอกประดับอยู่ไม่ต่างจากคนอื่น “ได้เจอแล้ว ค่อยยังชั่วขึ้นยัง”

“ยังไม่ได้คุยเลย” ผมถอนหายใจ แอบเหลือบมองคนที่ยังพูดคุยอยู่กับตำรวจอีกรอบ “จะว่าดีก็ดี จะว่าไม่ดีก็ไม่ดี เขาไม่ยอมมองหน้าฉันเลย”

“เอาน่า เข้าไปอ้อนหน่อยก็หายแล้ว”

“อือ” หวังว่าจะเป็นอย่างนั้นนะ

“พ่อหมอ เป็นอะไรหรือเปล่าจ๊ะ” น้าต้อยที่น่าจะเพิ่งให้ปากคำเสร็จก้าวไวๆ เข้ามาหา แล้วพลิกตัวผมไปมาเพื่อสำรวจยกใหญ่

“ไม่เป็นไรครับน้าต้อย แต่ถ้ายังหมุนกันอยู่แบบนี้ผมคงอ้วกแน่” ผมพูดขำๆ แล้วตรงเข้าไปสวมกอดน้าต้อยไว้ด้วยความคิดถึง “ไม่เจอกันตั้งนาน สบายดีนะครับ”

“สบายดีจ้ะ พวกเด็กๆ มันบ่นคิดถึงพ่อหมอกันใหญ่ แต่โชคดีแล้วที่วันนี้ไม่ได้กลับเข้าเกาะ ไม่งั้นคงตกใจกลัวกันหมดแน่” น้าแกพูดแล้วถอนหายใจเบาๆ ดูเหมือนพวกเด็กๆ จะเปิดเทอมกันแล้วถึงได้นอนในเมือง ไม่ได้กลับเข้ามาที่เกาะ โชคดีจริงๆ นั่นแหละที่เหตุการณ์พวกนี้เกิดขึ้นตอนวันธรรมดาพอดี

“น้าต้อยรีบกลับไปพักเถอะครับ เอาไว้พรุ่งนี้ค่อยคุยกัน ตำรวจทยอยไปกันแล้วด้วย” ว่าแล้วผมก็ช่วยพยุงน้าแกให้เดินไปตามทาง กะจะไปส่งให้เรียบร้อยก่อนแล้วค่อยย้อนมาหาภามทีหลัง

“พ่อหมอไม่ต้องไปส่งหรอกจ้ะ เห็นชูคอมองนายน้อยไม่หยุดเลย อยากคุยก็เข้าไปคุยเถอะ รายนั้นก็ชำเลืองมาหลายทีแล้ว” ท่านหัวเราะคิกคักแล้วโบกมือให้ก่อนจะเดินจากไปพร้อมชาวบ้านคนอื่น แต่ประโยคหลังที่น้าต้อยพูดกลับยังคงดังก้องอยู่ในหัวผมไม่มีหยุด

ภามชำเลืองมองผม...

“เอ้าๆ ยิ้มเป็นคนบ้าเลยเว้ย” ไม้ว่าแล้วส่ายหน้าหน่าย มองผมเหมือนกำลังมองคนบ้าจริงๆ “งั้นข้าไปดีกว่า ตำรวจแยกย้ายกันหมดแล้ว”

“โอเค...แล้วนี่พวกเขาจะกลับหมดเลยเหรอ” ผมหันกลับไปถามอย่างจริงจังอีกครั้ง เพราะใจจริงยังอยากให้คุณตำรวจอยู่ที่นี่อีกสักคืน พวกชาวบ้านบางคนอาจจะยังกลัวกันอยู่

“ไม่ต้องห่วง เขาบอกว่าแบ่งกำลังไว้แล้ว พรุ่งนี้ถึงจะกลับ”

ค่อยยังชั่วหน่อย...

“งั้นนายก็กลับไปพักเถอะ” ไหนๆ แถวนี้ก็ไม่มีอะไรให้ทำแล้ว รีบๆ ไปกันให้หมดสักที ผมจะได้เข้าไปคุยกับภามได้แบบสบายใจหน่อย คุณหัวหน้าที่ท่าทางจะเป็นสารวัตรตำรวจนั่นก็พูดไม่หยุดเลย ไม่เห็นภามตอบอะไรสักคำยังชวนคุยต่อได้อีก

“แหม ไล่เชียวนะ”

“ไม่ไล่ก็ได้ แต่ช่วยพาคุณตำรวจคนนั้นไปด้วยเลยได้ไหม”

“นั่นก็คือไล่เหมือนกันเฟ้ย!” ไม้ถลึงตาใส่หน้าผมแต่ก็ยังเดินดุ่มๆ เข้าไปหาคุณตำรวจที่ยืนอยู่กับภามอยู่ เขาสะกิดแขนอีกฝ่าย เรียกให้ก้มหน้าลงมาแล้วกระซิบกระซาบอะไรสักอย่าง เพียงเท่านั้นคุณตำรวจก็ทำตาโต รีบก้มหัวให้ภามแล้ววิ่งตามหลังคนอื่นๆ ไปอย่างรวดเร็ว

เยี่ยม...

ผมชูนิ้วโป้งให้ไม้ ซึ่งฝั่งนั้นก็ยักคิ้วกวนๆ กลับมาให้ก่อนจะวิ่งเหยาะๆ จากไป ที่ตรงนี้เลยกลับมาเงียบสงบอีกครั้ง เหลือเพียงผมที่ยืนนิ่งอยู่ข้างชิงช้ากับภามที่ยืนเหม่ออยู่หน้าประตูบ้านแค่สองคน

“ภาม” ไม่ต้องเสียเวลาคิดอะไรอีก ผมก็เดินไวๆ เข้าไปหาคนที่กำลังเหม่ออย่างรวดเร็ว “ฉันระ...ภาม นายเป็นอะไรหรือเปล่า”

ทำไมหน้าซีดแบบนั้น แล้วดวงตาว่างเปล่านั่นมันอะไร ทำไมเขาถึงทำเหมือนมองไม่เห็นผมเลย หรือจะยังโกรธอยู่...ไม่...ต่อให้โกรธภามก็ไม่มีวันแสดงท่าทีแบบนี้แน่

“ภาม” ผมจับหน้าเขาไว้ บังคับให้ก้มลงมามองกัน พยายามตรวจหาความผิดปกติและเรียกสติเขากลับมา กระทั่งผมตบแก้มตอบนั้นเบาๆ ดวงตาที่ดูเหม่อลอยถึงกลับมามีแววอีกครั้ง “นายโอเคหรือเปล่า”

“คุณ…”

ภามหลับตาลงพร้อมกับยกมือขึ้นกุมขมับ ท่าทางดูน่าเป็นห่วงเอามากๆ จนผมต้องดึงรั้งให้เขาเดินเข้าไปด้านในพร้อมกัน

“รอนี่ก่อน” บอกเขาเสร็จแล้วผมก็รีบวิ่งขึ้นไปชั้นบน มองหาข้าวของที่เขาเอามา แต่นอกจากกล้องหนึ่งตัวกับกระเป๋าเป้คุ้นตาใบเดิมแล้วก็ไม่มีอะไรอีก ดูเหมือนภามจะยังไม่ได้เปิดกระเป๋าของตัวเองเลยด้วยซ้ำ ผมหยิบมันมาสะพายไว้ เสร็จแล้วก็วิ่งลงไปด้านล่าง เข้าไปจูงมือคนตัวสูงให้ลุกขึ้นยืน “กลับบ้านเรากัน”

อยู่ที่นี่ต่อไปคงไม่ดีแน่ ถึงจะไม่มีอะไรน่าเป็นห่วงแล้วแต่มันก็ยังไม่โอเคอยู่ดี ขนาดผมมาทีหลังยังรู้สึกหวาดๆ เลย จะให้นอนคงไม่ไหว

ภามเดินตามผมมาเงียบๆ โดยไม่พูดอะไรเลยแม้แต่คำเดียว เขาไม่ได้สะบัดมือออกแต่ก็ไม่ได้กอบกุมมือกลับ มันทำให้ผมใจหายวาบไปครู่หนึ่ง และส่งผลให้รู้สึกเจ็บตามร่างกายขึ้นมา โดยเฉพาะฝ่าเท้าที่น่าจะเละเทะเต็มที

เจ็บไปหมดเลย...

“หือ” ผมหันไปมองคนข้างกายงงๆ เมื่อเขายื่นมือมาดึงเป้ไปสะพายไว้เอง ทว่าวินาทีถัดมาก็ต้องเหวอหนักกว่าเก่า เมื่อภามขยับเข้ามาอุ้มกันจนตัวลอย หากเพียงแค่ครู่เดียวผมก็ดึงสติกลับมาแล้วโอบรอบคอเขาเอาไว้แน่น

คล้ายหัวใจที่เจ็บแปลบมาตลอดจะรู้สึกดีขึ้นเพียงแค่ได้รับความใส่ใจ ผมกอดภามไว้โดยไม่ได้ถามอะไร เช่นเดียวกันกับที่เขาไม่พูดอะไรออกมา ความเจ็บปวดทางกายถูกแทนที่ด้วยความรู้สึกอบอุ่นใจจนแทบบ้า

ผมคิดถึงเขามากจริงๆ...

“เสื้อผ้าคุณอยู่ไหน” เสียงทุ้มต่ำที่ไม่ได้ยินมานานเป็นวันทำให้ผมเผลอขดตัวเข้าหาเขามากขึ้น

“อยู่บนเรือหมดเลย ไม่ได้เอามา” ตอนนั้นมัวแต่รีบจนลืมนั่นลืมนี่ไปหมด ถ้าไม่ใช่เพราะตอนเข้าเกาะต้องกลับไปเอากุญแจเรือที่ไม้ทิ้งไว้ในโรงแรมอยู่แล้ว ผมอาจจะทิ้งของทุกอย่างไว้ที่นั่นเลยด้วยซ้ำ

“ไปอาบน้ำแล้วค่อยมาทำแผล” ภามพูดเสียงเรียบขณะวางผมลงบนชานบ้านหน้ากระท่อมของเรา เขาไขเข้าไปด้านใน ทำอะไรไม่รู้อยู่สักพัก ก่อนจะเดินกลับมาพร้อมกับผ้าขนหนูสองผืนในมือ

“เจ็บไปหมดแล้ว” ผมร้องบอก น้ำตาคลอเบ้า พอจบเรื่องแล้วความเจ็บปวดทั้งหลายก็ประดังประเดเข้ามาแบบไม่ให้ตั้งตัว

“ทนหน่อย” คนพูดตรงเข้ามาช้อนตัวผมขึ้นอีกครั้งแล้วพาไปที่ห้องน้ำ วางกันลงบนเก้าอี้ตัวเล็กๆ ที่ผมเคยเอามาวางไว้เพราะขี้เกียจยืนอาบ

ภามถอดเสื้อผ้าให้ผมอย่างใจเย็นจนเหลือแค่กางเกงชั้นในตัวเดียว และโดยไม่ต้องให้บอก อีกฝ่ายก็เริ่มอาบน้ำให้ช้าๆ เหมือนรู้อยู่แล้วว่าผมต้องการอะไร

เพราะแบบนั้นผมถึงมีเวลามองหน้าภาม ได้สังเกตอาการของเขาอย่างละเอียด

ดวงตากลับไปว่างเปล่าอีกแล้ว...

ไม่ดี...แบบนี้ไม่ดีเลย

“ภาม” ผมจับหน้าของคนที่คุกเข่าอยู่ตรงหน้าให้หันมามอง จ้องเข้าไปในดวงตาที่เคยเปล่งประกายยามอยู่กับผมเงียบๆ “เพราะฉันเหรอ”

ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงเสียงสั่นได้มากขนาดนี้ ผมรู้เพียงมันเจ็บมากจริงๆ

“ไม่...ไม่ใช่” ภามพูดเสียงลนลาน มือข้างหนึ่งดันใบหน้าผมให้หันกลับไปสบตาเขาอีกครั้ง “ไม่ใช่เพราะคุณ”

ท่าทางเราในยามนี้อาจจะดูแปลกๆ อยู่ไม่น้อย เพราะต่างคนต่างจับหน้ากันเอาไว้ ผมมองเห็นดวงตาของภามทอประกายอ่อนโยนเหมือนเดิมก็ทนไม่ไหว โผเข้าไปกอดเขาเอาไว้ทั้งที่ร่างกายเปลือยเปล่า ไม่ยอมปล่อยมือแม้อีกฝ่ายจะยกขึ้นจนตัวลอย พาเดินออกจากห้องน้ำเข้าไปในตัวบ้านแล้วก็ตาม

“ฉันมีเรื่องอยากบอกนาย”

“ใส่เสื้อผ้าก่อน”

“ไม่เอา” ผมกระชับอ้อมแขนให้แน่นขึ้น ขยับตัวที่นั่งอยู่บนตักภามให้เข้าไปแนบชิดเขามากกว่าเก่าจนแผ่นอกของเราแนบชิดกันสนิท

“อย่าดื้อสิ” ภามพยายามแงะตัวผมออกแต่ไม่สำเร็จ สุดท้ายเขาก็ถอนหายใจเสียงแผ่ว ใช้ผ้าขนหนูเช็ดตัวให้ลวกๆ แล้วเอาเสื้อตัวใหญ่มาคลุมไว้ให้หลวมๆ “อย่างน้อยก็ให้ผมดูแผลคุณก่อน”

“ไม่เจ็บแล้ว”

“มั่นใจ”

“…เจ็บนิดเดียว”

“ให้พูดอีกที”

“เจ็บมากเลย ปวดตัวไปหมด จะร้องไห้แล้วเนี่ย ฮือ...” ไม่ได้ทำเสียงเล่นๆ ตอนนี้น้ำตาไหลแล้วจริงๆ โดยเฉพาะเท้าที่ปวดเอามากๆ พอโดนจี้จุดเข้าหน่อยผมก็ปล่อยแขนออก ยอมโดนผลักให้นอนลงบนฟูกแต่ไม่ยอมปล่อยมือที่จับแขนเขาไว้

“อย่าร้อง ผมจะทายาให้” ภามลูบหัวผมเบาๆ แล้วหันไปหยิบกล่องปฐมพยาบาลเบื้องต้นที่ผมเคยทิ้งไว้ที่นี่มาเปิดออก

มันไม่ได้รู้สึกแสบอะไรมากมายอีกแล้วเมื่อความเจ็บปวดของบาดแผลมีมากกว่า ผมไม่เคยเจ็บตัวหนักขนาดนี้มาก่อน แค่แผลกิ่งไม้ข่วงที่แขนยังไม่อยากจะมอง แล้วนับประสาอะไรกับเท้าที่บวมช้ำจนดูแทบไม่ได้

“เจ็บ” ผมร้องเสียงหลง มือยกขึ้นเช็ดหยดน้ำที่หางตาป้อยๆ รอจนคุณพยาบาลทำแผลกับใส่เสื้อผ้าให้เสร็จแล้วก็รีบดึงให้เขาล้มตัวลงนอนข้างกันก่อนจะขยับเข้าไปซุกอกแข็งๆ นั่นไว้

“ทำไมอ้อนขนาดนี้” คนที่กอดผมไว้หลวมๆ ถาม ขณะใช้มือข้างหนึ่งลูบหัวให้อย่างอ่อนโยน

“เพราะไม่อยากเสียนายไปแล้ว”

“หืม”

“นายเข้าใจผิด”

ตอนที่อยู่บนเรือ ไม่สิ...ตอนที่ภามหายไป ผมสัญญากับตัวเองมาโดยตลอดว่าถ้าได้เจอเขาแล้วจะรีบแก้ไขความเข้าใจผิดเป็นลำดับแรก และในเมื่อตอนนี้มันถึงเวลาแล้วผมก็จะไม่ยอมปล่อยโอกาสไปอีก ต่อจากนี้จะไม่มีความลังเลใดๆ หลงเหลืออยู่ ผมจะบอกทุกอย่างที่รู้สึกให้เขารับรู้ ไม่ปล่อยให้เข้าใจไปคนเดียวอีกแล้ว

“เข้าใจผิด?”

“ที่ฉันคุยกับพ่อ ตอนนั้นฉันแค่พูดเล่น นายมาได้ยินตอนที่ฉันคุยเรื่องหลักจบแล้ว” ผมพูดรวดเดียวจบแล้วแอบเงยหน้ามองภาม พอเห็นว่าเขาก้มลงมองด้วยแววตาเป็นคำถามจึงอธิบายต่อ “ตั้งแต่เด็กๆ ฉันกับพ่อก็กวนตีนใส่กันเป็นเรื่องปกติมาโดยตลอด แต่พอถึงเวลาจริงจังเราก็จะพูดกันแบบไม่ปกปิด ตอนที่นายมาได้ยินมันอยู่ในช่วงกวนตีนกันอยู่พอดี”

“แล้วในช่วงจริงจังคุณคุยอะไรกัน”

“พ่อถามฉันว่าแน่ใจใช่ไหมที่เลือกนาย” ผมซุกหน้าลงกับฝ่ามือที่แนบแก้มตัวเองอยู่ “และฉันตอบว่าใช่”

ภามชะงักค้างไปนานเหมือนไม่คาดคิดว่าจะได้ยินคำพูดนี้ แต่เพียงครู่เดียวเขาก็ยิ้มออกมา เป็นรอยยิ้มที่มีความสุขและดูดีใจเอามากๆ จนผมต้องยิ้มตามไปด้วย

“คุณเลือกผม...”

“ใช่...ฉันเลือกนายเหมือนที่นายเลือกฉัน” พูดไปแล้วก็รู้สึกเขินอยู่เหมือนกัน เกิดมาเพิ่งเคยสารภาพรักกับคนอื่นเป็นครั้งแรก “อันที่จริงก็รู้คำตอบมาสักพักแล้ว แต่พอพยายามหลอกให้นายพูดทีไรดันไม่รู้เรื่องตลอดเลย”

“หลอกให้พูด?” ภามเลิกคิ้วงุนงง

“ใช่น่ะสิ คนมาดแมนแฮนซั่มแบบฉันจะกล้าไปบอกรักใครก่อนได้ไง อุตส่าห์หลอกให้พูดก่อนตั้งหลายรอบ นายดันไม่ยอมพูดเสียนี่ สุดท้ายเข้าใจผิดเลยเป็นไง”

“แบบนั้นเองเหรอ...” คนฟังหัวเราะขำขัน แต่ผมไม่ตลกไปด้วยเลยตีอกแข็งๆ นั่นไปหนึ่งทีข้อหาทำให้ปวดขาไปหมดแบบนี้

“เข้าใจผิดเสร็จก็หนีมาเลยนะ ไม่ให้โอกาสได้อธิบายเลย”

“อา…” ภามลูบแก้มผมเบาๆ แล้วกลับไปยิ้มจางเหมือนเดิม สัมผัสอุ่นร้อนแสนสบายทำให้ผมเผลอยืดหัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อให้เขาเลื่อนนิ้วไปเกาคางได้สะดวกขึ้น “อันที่จริงผมไม่ได้คิดจะหนี แค่อยากกลับมาเพิ่มพลังน่ะ”

“หมายความว่าถ้าเติมพลังเต็มแล้วจะกลับไปเหรอ”

“ก็...อาจจะ” คำพูดที่ดูไม่แน่ใจเท่าไหร่นักทำเอาความเจ็บแปลบในใจของผมแพร่กระจายไปทั่วอีกครั้ง จนต้องขยับกายเข้าไปหาแล้วใช้มือข้างหนึ่งกอดตัวเขาไว้แน่น

“ไม่ให้ไปแล้ว ขอโทษที่ปากแข็ง สัญญาว่าต่อไปนี้จะพูดให้ฟังทุกอย่างเลย”

“สัญญาแล้วนะ”

“อื้อ” ผมพยักหน้าหงึกหงัก ยิ้มให้ภามอย่างมีความสุขก่อนจะซุกหัวไว้ที่อกเขาเหมือนเดิม

“คุณง่วงใช่ไหม...นอนเถอะ”

พอโดนทักเข้าผมก็เริ่มรู้สึกง่วงขึ้นมาจริงๆ อาจเป็นเพราะเหนื่อยมาทั้งวันแถมยังไม่ได้นอนเลย นี่ก็ตีอะไรแล้วไม่รู้ ความอ่อนเพลียที่สะสมไว้เลยมาระเบิดเอาตอนนี้ ตอนที่เขากลับมากอดผมไว้เหมือนเดิม ตอนที่ตามหาสิ่งสำคัญของตัวเองเจออีกครั้ง

“อย่าหายไปไหนนะ” ก่อนสติจะขาดหาย ผมไม่ลืมพูดย้ำความต้องการของตัวเอง กลัวเหลือเกินว่าภามจะหายไปอีก แล้วถ้าคราวนี้ไม่ได้โชคดี...

“ไม่ไปไหนแล้ว” สัมผัสนุ่มหยุ่นอ่อนโยนกดลงบนหน้าผากผมเบาๆ ราวกับจะบอกว่าฝันดี และคำพูดที่ได้ยินข้างหูเป็นประโยคสุดท้ายก็ทำให้ผมอุ่นวาบในใจจนยอมปล่อยสติให้ล่องลอยไปในที่สุด

“…”

“อนาคิน...”


(เลื่อนอ่านต่อด้านล่าง)
.
.




ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.32]== [15/09/61]
«ตอบ #187 เมื่อ16-09-2018 19:28:21 »




เปรี้ยง!

โอย...ท้องฟ้าร้องดังจัง เสียงฝนก็ด้วย แบบนี้จะนอนหลับได้ยังไง

ผมปัดป่ายมือไปมาเพื่อตามหาความอบอุ่นที่โอบล้อมมาตลอดคืน หากแต่ปัดไปทางใดก็หาไม่เจอจนต้องผุดลุกขึ้นนั่งแล้วกวาดสายตามองไปรอบด้านอย่างรวดเร็ว เสียงฟ้าร้องและฝนหนักจากด้านนอกไม่ได้ทำให้ผมหวาดกลัวมากเท่าการตื่นขึ้นมาแล้วไม่ได้เจอคนข้างกาย

ที่สำคัญคือถึงตอนแรกผมจะหลับสนิทไปพักหนึ่งแต่ก็มั่นใจว่าตอนนี้ยังไม่เช้าแน่ๆ...แล้วภามหายไปไหน

เปรี้ยง!

เสียงฟ้าคำรามอีกรอบทำเอาคนอ่อนแอสะดุ้งเฮือกด้วยความตกใจ หากสิ่งที่ทำให้ตื่นตระหนกยิ่งกว่านั้นคือการที่แสงฟ้าผ่าเมื่อครู่ทำให้ผมมองเห็นเงาร่างของใครคนหนึ่งซึ่งนั่งกอดเข่าอยู่ข้างบานหน้าต่างที่ถูกเปิดค้างไว้

“ภาม!” ผมร้องอย่างตื่นตระหนก รีบมุดมุ้งออกไปด้านนอกแล้วคลานเข้าไปหาเจ้าของชื่อด้วยความรวดเร็ว สายฝนที่พัดเข้ามาด้านในทำให้ตัวเขาเปียกไปหมดจนผมต้องรีบลุกขึ้นไปปิดหน้าต่างแล้วเปิดตะเกียงที่ตั้งอยู่ด้านข้างแทน

ภามตัวสั่นเป็นลูกนก ดวงตาว่างเปล่าเหม่อลอยไม่จับจ้องสิ่งใดจนผมใจหายวาบ แม้ยามยกมือขึ้นสัมผัสใบหน้า บังคับให้เขาเงยขึ้นมองกัน อีกฝ่ายก็ยังทำเหมือนมองไม่เห็นผม

“ภาม!!”

“…ม”

“อะไร นายพูดอะไร”

“…แม่”

“ภาม…” ผมกัดริมฝีปากตัวเองไว้แบบไม่กลัวเจ็บ ภาพเหตุการณ์ทั้งหมดที่เพิ่งเกิดขึ้นเมื่อไม่นานมานี้ฉายฉัดในความทรงจำ ที่ภามทำหน้าตาว่างเปล่าและเหม่อลอยอยู่บ่อยครั้ง หรือแม้แต่ตอนที่เขาบอกว่าไม่ใช่เพราะผม ที่แท้มันก็เป็นแบบนั้นจริงๆ...

โจรพวกนั้นทำให้เขานึกถึงสิ่งที่เกิดขึ้นกับแม่ตัวเอง...

“แม่…” ดวงตาเหม่อลอยมองผ่านไปราวกับผมไม่มีตัวตน ไม่มีน้ำตาไหลออกมาจากดวงตาทั้งสองข้างของเขา หากผมกลับรับรู้ได้อย่างชัดเจนว่าภามกำลังร้องไห้อยู่ในใจเพียงลำพัง ไม่มีใครอยู่เคียงข้างเขาเลยสักคน

“ภาม...มองฉันนะ” ผมประคองใบหน้าเขาไว้ พร้อมกับปล่อยให้หยาดน้ำใสในดวงตาร่วงหล่นลงมาโดยไม่คิดกลั้น “ฉันอยู่นี่...อยู่นี่ไง”

“…”

“ได้โปรด...ฮึก...มองฉันเถอะนะ”

ภามยังคงนั่งนิ่งเป็นตุ๊กตาไม่หือไม่อืออะไรทั้งนั้น กระทั่งผมแนบหน้าผากลงกับหน้าผากของเขา กดปลายจมูกของเราให้ชนกันแล้ว อีกฝ่ายก็ยังนั่งนิ่งไม่ไหวติง

“ภาม…”

“…”

“ฉันรักนาย” ผมกดจูบลงบนริมฝีปากซีดเซียว แช่ค้างไว้นาน และเมื่อรับรู้ได้ว่าฝ่ามือของอีกคนกำลังขยับมารวบเอวไว้ผมก็ปล่อยโฮออกมาอย่างเสียขวัญ ไม่เหลือศักดิ์ศรีบ้าบออะไรทั้งนั้น “เห็น...เห็นฉันหรือยัง”

“เห็น...” ดวงตาว่างเปล่าของเขาเริ่มปรากฏแวว หากมันกลับดูเศร้าสร้อยมากจนผมทนดูต่อไปไม่ไหว

“ไม่ต้องคิดถึงอะไรแล้ว...” สัมผัสที่โอบรัดเอวผมไว้ออกแรงมากขึ้นเล็กน้อย “มองหน้าฉัน...คิดถึงแต่ฉันได้ไหม”

“…”

ผมจูบเปลือกตาทั้งสองข้างของเขาก่อนจะสอดแขนคล้องลำคอหนา ออกแรงดึงรั้งให้เอนกายตามลงมาพร้อมกันจนเขาขึ้นมาทาบทับผมไว้ทั้งตัว

“ไม่เป็นไร...”

“หยุด…” ภามกัดริมฝีปากแน่น ดวงตาทอประกายปวดร้าวและเหมือนจะวอนขอให้ผมหยุดตั้งแต่ตอนนี้ “อย่าทำร้ายตัวเอง”

“ไม่เป็นไร...”

น้ำตาหยดหนึ่งไหลออกมาจากดวงตาของเขาและร่วงหล่นลงบนแก้มของผม เราต่างกันจ้องมองกันด้วยแววตาที่เต็มไปด้วยความรู้สึก ก่อนผมจะยกมือขึ้นแตะแก้มสาก บังคับให้เขาโน้มหน้าลงมาจนใกล้

ใกล้พอที่จะได้ยินเสียงเสียงลมหายใจของกันและกัน...

ผมหลับตาลงช้าๆ ยินยอมให้เขาบดเบียดริมฝีปากลงมาอย่างแรงจนรู้สึกเจ็บ แม้จะถูกกอดรัดเอวเอาไว้แน่นก็ไม่แสดงอาการใดๆ ออกไป หยาดน้ำอุ่นร้อนที่ตกกระทบใบหน้าเตือนให้รู้อยู่ตลอดเวลาว่าเขากำลังปวดร้าวเพียงใด สองแขนของผมกอดภามเอาแน่นไว้ ปากพร่ำบอกว่าไม่เป็นไรอยู่หลายรอบ จนกระทั่งรับรู้ได้ว่าเขาเริ่มลังเล ผมจึงเป็นฝ่ายแนบแก้มติดใบหูขาว เพื่อกระซิบถ้อยคำที่มีความหมายลึกซึ้งให้เราได้ยินกันเพียงสองคน

“กอดฉัน”

ถ้าเพื่อเขาแล้ว...ต่อให้ต้องเจ็บก็ไม่เป็นไร


—————————

ออฟไลน์ killua1a

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 138
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.33]== [16/09/61]
«ตอบ #188 เมื่อ16-09-2018 19:48:43 »

เป็นวันที่ต้องเจออะไรเยอะแยะเลย​  :L2:

ออฟไลน์ ยอดมนุษย์ขนมปัง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 319
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.33]== [16/09/61]
«ตอบ #189 เมื่อ16-09-2018 19:53:26 »

 :sad4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.33]== [16/09/61]
« ตอบ #189 เมื่อ: 16-09-2018 19:53:26 »
ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ toomild

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.33]== [16/09/61]
«ตอบ #190 เมื่อ16-09-2018 19:59:26 »

ฮื่อออออออออออ บีบใจมากเลยค่ะ น้องถามเจ็บเราก็เจ็บ เจไดเจ็บเราก็เจ็บ ฮื่อ อดทนอีกหน่อยนะคะ ขอให้ผ่านมันไปได้ด้วยดีนะภาม :mew4:

ออฟไลน์ fc_fic

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2598
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-7
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.33]== [16/09/61]
«ตอบ #191 เมื่อ16-09-2018 20:21:40 »

 :katai2-1: :katai2-1: :katai2-1:

ออฟไลน์ bigbeeboom

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.33]== [16/09/61]
«ตอบ #192 เมื่อ16-09-2018 21:02:38 »

เจไดแมนมาก มาอย่างเท่ห์ตอนนี้นะ เดี๋ยวเช้ารู้ผลกันในตอนหน้า  :katai2-1:
 รออยู่น้าๆ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.33]== [16/09/61]
«ตอบ #193 เมื่อ17-09-2018 04:09:46 »

ภามจะหายไหมเนี่ย  :hao4:

ออฟไลน์ pui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-3
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.33]== [16/09/61]
«ตอบ #194 เมื่อ17-09-2018 08:37:07 »

 :hao4: :hao4: :hao5:  :hao5:

ออฟไลน์ Mura_saki

  • แค่เรารู้จักกัน...มันก็ดีที่สุดแล้ว :)
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2067
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +179/-9
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.33]== [16/09/61]
«ตอบ #195 เมื่อ17-09-2018 18:19:58 »

มันต้องแบบนี้เจได

ภามลูกไม่ต้องเจ็บปวดแล้วนะ มีเจไดคอยอยู่ข้างๆแล้ว มีความสุขจริงสักที  :กอด1:

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.34]== [17/09/61]
«ตอบ #196 เมื่อ17-09-2018 19:35:58 »

-34-


“ไหวหรือเปล่า...”

“ไม่ไหว” ผมส่ายหน้า น้ำตาคลอ นาทีนี้รู้สึกปวดร้าวไปหมดทั้งตัว แค่ขยับนิดเดียวก็เหมือนจะตาย

“ผมขอโทษ” คนถามพูดเสียงแผ่ว ขยับเข้ามากอดผมไว้แน่นกว่าเดิมอย่างระมัดระวัง แม้แต่น้ำเสียงก็ดูรู้สึกผิดเอามากๆ แล้วแบบนี้ผมจะทำอะไรได้ นอกจากต้องฝืนตัวเอง ยกแขนขึ้นกอดกลับทั้งที่ไม่อยากกระดุกกระดิกเลยสักนิด

“ไม่เป็นไรหรอกน่า ฉันเริ่มเองนี่” พูดไปพูดมาหน้าเริ่มร้อน ก็ว่าโบกปูนเพิ่มไปหลายชั้นแล้วนะ แต่พอเอาเข้าจริงๆ ผมก็ยังหน้าบางเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน

หลังจากผ่านเหตุการณ์อันน่าอับอายที่ทำให้มองเห็นตัวตนของภามชัดเจนขึ้น ผมก็สลบสไลไปนานหลายชั่วโมง เพราะกว่าจะได้นอนก็ปาเข้าไปหกโมงเช้า ตื่นมาอีกทีตอนเที่ยงวันก็ยังไม่รู้สึกหิว อีกทั้งบรรยากาศยังเป็นใจให้นอนต่อเอามากๆ เมื่อฝนที่ตกตั้งแต่เมื่อคืนยังคงเทกระหน่ำลงมาอย่างต่อเนื่อง

ส่วนที่บอกว่าได้เห็นตัวตนของภามชัดขึ้น ถ้าถามว่าชัดขนาดไหน...ก็ขนาดที่ว่าทั้งตัวเต็มไปด้วยรอยแดงช้ำจากฝีมือของคนไม่รู้จักถนอมของนั่นแหละ

เอาเถอะ...จะโทษเขาก็ไม่ได้หรอก

“หิวหรือเปล่า” เขาถามแล้วยกมือลูบหัวผมเหมือนจะปลอบ

“ไม่หิว...ไม่อยากขยับตัวเลย”

แผลอะไรต่อมิอะไรก็ไม่รู้สารพัดไปหมด ความรู้สึกแสบยิบๆ กับเจ็บแปลบๆ ก็ยังเล่นงานอยู่ตลอด ถ้าภามไม่ได้ยกมือเช็ดน้ำตาที่ทำท่าจะไหลให้ตลอดเวลา ผมคงปล่อยโฮออกมาอีกรอบแล้ว

“ไม่หิวก็ต้องกิน เดี๋ยวปวดท้อง” ว่าแล้วเขาก็ขยับตัวลุกขึ้น ผละออกไปจากข้างกายผม ก่อนจะเข้าไปคุ้ยอะไรไม่รู้ในกระเป๋าตัวเอง “ฝนตกหนักขนาดนี้คงไปทำอาหารไม่ได้ ผมมีขนมปังที่ซื้อติดไว้เหลืออยู่หลายห่อ”

“ภาม…โอย...”

คนตัวสูงรีบพุ่งเข้ามาหาแล้วช่วยประคองผมที่ร้องโอดโอยไม่หยุดให้ลุกขึ้นนั่ง แต่แค่ได้ทิ้งน้ำหนักลงไปที่สะโพก ผมก็ปวดร้าวไปทั้งร่างจนน้ำตาไหลพราก เจ็บปวดทรมานไปหมดจนตัวสั่น สะอึกสะอื้นแบบไม่กลัวตาย

เจ็บ...เจ็บฉิบหายเลย เมื่อคืนกูรอดมาได้ยังไง

“อย่าร้อง” ภามเข้ามาอุ้มผมไปนั่งพาดตักตัวเอง ทิ้งช่องว่างให้ก้นหย่อนลงตรงกลางระหว่างขาสองข้างของเขา จากนั้นก็ใช้แขนข้างเดียวประคองหลัง อีกมือยกขึ้นเช็ดหน้าเช็ดตาให้อย่างใจเย็น “ผมเชื่อแล้วว่าคุณกลัวเจ็บมากจริงๆ”

“ไม่ต้องขำเลย”

มันเพราะใครกันเล่า...

“ก็เห็นเมื่อคืนไม่ได้สะอึกสะอื้นอะไรมาก” เขาพูดยิ้มๆ “ถึงจะน้ำตาไหลตลอดเลยก็เถอะ”

“ก็เพราะฉันอดทนเพื่อนายไง” สาบานได้ว่าถ้าภามยังกล้าพูดให้ผมอับอายไปมากกว่านี้ ผมจะกระโดดกัดหูเขาจริงๆ แล้วจะเอาให้แหว่งเลยด้วย

“รู้แล้ว...” ว่าแล้วก็ลูบหัวโอ๋กันอีกทีจนผมใจเย็นลง ยินยอมให้เขาป้อนขนมปังเข้าปากแต่โดยดี

เรานั่งกินขนมปังอยู่อย่างนั้นพักใหญ่ ไม่ได้พูดคุยอะไรจริงจัง เพียงแค่หยอกล้อกวนตีนกันเล่นตามปกติ จนกระทั่งต่างคนต่างอิ่ม นั่งพักให้อาหารย่อยอยู่อีกครู่หนึ่ง เขาก็อุ้มผมลงไปนอนเหมือนเดิม ครั้งนี้พยายามไม่ให้กระทบบริเวณสะโพก เพราะเหมือนจะรู้แล้วว่ามันเป็นส่วนที่มีปัญหามากที่สุด

“จะไปไหนอีก” ผมขมวดคิ้วฉับ มือจับแขนภามไว้ตามสัญชาตญาณที่ไม่อยากให้เขาห่างกายแม้แต่วินาทีเดียว ซึ่งอีกฝ่ายก็ยอมหยุดขยับ แต่กลับหันมาโคลงหัวผมไปมาเหมือนยังขำไม่เลิก

“ถ้ารู้ว่าหนีมาแล้วคุณจะเป็นแบบนี้ ผมคงหนีมานานแล้ว”

“ลองหนีอีกสิ ฉันจะจับนายมัดไว้กับเตียง” นี่พูดจริงจัง ไม่ต้องมาทำหน้าตาถูกใจเลย

“ให้ทำหน้าที่อยู่บนเตียงทั้งวันก็เข้าท่านะ...”

“ไอ้บ้าภาม!” ผมเขย่าแขนภามไปมาและได้แต่ฮึดฮัดอยู่ในใจเงียบๆ เพราะไม่กล้าขยับตัว ไอ้คนมองก็เอาแต่ยิ้มน้อยยิ้มใหญ่บ้าบออะไรไม่รู้ จนผมสะบัดแขนเขาออกอย่างหัวเสียนั่นแหละเจ้าตัวถึงได้ขยับเข้ามาหา นอนลงด้านข้างแล้วรวบตัวผมเข้าไปกอดไว้เหมือนเดิม

“ผมแค่จะไปหยิบอะไรบางอย่างมาให้คุณดู แต่เอาไว้ก่อนก็ได้”

“อะไรเหรอ” พูดขนาดนี้แล้วก็บอกมาเลยเถอะ รู้ๆ กันอยู่ว่าความขี้เผือกมันไม่เข้าใครออกใคร

ภามไม่ได้ตอบคำถามในทันที แต่เขากลับใช้นิ้วเขี่ยแหวนที่ผมห้อยคออยู่ตลอด คล้องมันไว้ด้วยนิ้วนางของตัวเอง และชูขึ้นในระดับสายตาของเราทั้งคู่

“อ่านข้อความบนนี้ออกหรือยัง”

“อ่านว่าภามใช่ไหม” ผมเงยหน้ามองภามครู่หนึ่งแล้วแอบยิ้มเมื่อเห็นสีหน้าประหลาดใจของเขา “ฉันรู้หมดแล้วว่านายคือเพื่อนทางไกลของฉัน”

“งั้นเหรอ...” ภามดันผมให้นอนหงาย ก่อนเขาจะขยับตัวออกไปนอกมุ้ง ครั้งนี้ผมไม่ได้ห้าม แต่มองตามหลังอยู่ตลอด กระทั่งเห็นเจ้าตัวกลับเข้ามาพร้อมกระเป๋าสตางค์ในมือแล้ว ผมก็เข้าไปกอดเขาไว้เหมือนเดิม “อันที่จริงผมคิดว่าคุณจะรู้ตั้งแต่เอากระเป๋านี่ไปถือไว้เองแล้ว”

ว่าแล้วเจ้าตัวก็เปิดกระเป๋าสตางค์ที่ผมเคยยึดมาถือไว้เองหลายรอบออกแล้วล้วงเข้าไปในช่องด้านใน หยิบรูปถ่ายใบหนึ่งที่ผมคุ้นตาดีอยู่แล้วออกมา

“นายยังเก็บไว้อยู่...” ผมพึมพำเสียงแผ่วเมื่อเขายื่นรูปใบนั้นมาให้

“ผมเคยบอกว่าแล้วไม่มีทางทิ้งของที่คุณให้”

ภาพถ่ายใบนี้...คือสิ่งที่ผมใช้แลกเปลี่ยนกับแหวนของภาม

มันคือรูปที่ผมถ่ายบ้านของตัวเอง และเขียนที่อยู่เอาไว้ด้านหลังพร้อมข้อความสั้นๆ เพียงประโยคเดียว

‘ยินดีต้อนรับ’

จำได้ว่าตอนนั้นผมรู้สึกเหมือนเขาเหงามาก คล้ายกับอยู่ในที่ที่ตัวเองไม่อยากอยู่ เพราะไม่รู้ว่าตอนบอกว่าจะออกเดินทางเขาอาการดีขึ้นมากขนาดไหนแล้ว ผมจึงเลือกส่งรูปถ่ายนี่ให้เป็นของขวัญ เผื่อว่าวันหนึ่งเขามาที่ประเทศไทยจะได้รู้ว่าผมอยู่ที่ไหน และถ้าต้องการความช่วยเหลืออะไรเพื่อนทางไกลคนนี้ยินดีช่วยเสมอ

“ตอนได้แหวนนายมา ฉันยังคิดอยู่เลยว่าของที่ตัวเองใช้แลกเปลี่ยนมันดูไร้ค่ามาก” ผมหัวเราะเบาๆ เมื่อนึกถึงช่วงเวลานั้น

ต่อให้เรามองว่าของที่ให้ไปมีคุณค่าทางใจมากขนาดไหน ถ้าคนได้รับเขาไม่ได้รับรู้ไปด้วย เขาอาจมองว่ามันเป็นเพียงสิ่งไร้ค่าก็ได้ ดังนั้นตอนที่เห็นแหวนที่ดูท่าทางราคาแพงของภามผมถึงได้กังวลมาก และคิดมาตลอดว่ารูปถ่ายใบนั้นอาจจะถูกโยนทิ้งไปแล้วก็ได้

“มันคือของขวัญที่มีค่ามากที่สุดสำหรับผม” ภามเชยคางผมให้เงยหน้าขึ้นมองตัวเอง “ตอนที่ผมได้รับมันมา ผมรู้สึกเหมือนตัวเองมีบ้านให้กลับอีกหลัง และตอนที่ได้รู้ว่าคุณคือคนคนนั้น...”

“…”

“ผมก็เริ่มคิดว่าทุกอย่างมันไม่ใช่แค่เรื่องบังเอิญ”

“อื้อ...ไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอก”

ไม่ใช่เลยแม้แต่นิดเดียว...

เพราะเราต่างรอกันและกันมาโดยตลอด

“นี่ใครเหรอ” ผมขยับตัวนิดหน่อยเพื่อไม่ให้คนที่กอดตัวเองอยู่เมื่อยแขนซึ่งถูกทับมากนัก ก่อนจะชี้ไปที่รูปถ่ายในกระเป๋าสตางค์ของเขาอีกใบที่ติดออกมาด้วยตอนภามดึงรูปบ้านผมออกมา

มันเป็นรูปถ่ายของครอบครัวที่ดูเก่าพอสมควร ประกอบไปด้วยคนสี่คนในนั้น หนึ่งคือชายวัยกลางคนที่มีเค้าโครงคล้ายภามกับพี่ภูมากพอควร สองเป็นหญิงสาวหน้าตาสะสวย ส่วนอีกสองคนเป็นเด็กผู้ชายตัวเล็กนิดเดียวที่ผมพอเดาได้ว่าคือใคร

“ครอบครัวของผมน่ะ คุณมองออกไหมว่าคนไหนผม”

“มองออกสิ” มองๆ ไปแล้วหน้าเหมือนกันก็จริง แต่คนที่คุณแม่อุ้มไว้ตัวเล็กกว่ามาก พี่ภูที่ยืนอยู่ข้างคุณพ่อดูสุขุมตั้งแต่เด็ก ต่างจากภามที่ยิ้มแฉ่งโดยสิ้นเชิง ยังไม่นับสีตาของสองพี่น้องที่แตกต่างกันอีก “คนนี้คือนายอยู่แล้ว”

“เก่งมาก” ว่าแล้วเขาก็ให้รางวัลโดยการลูบหัวผมเบาๆ “ผู้หญิงคนนี้คือแม้แท้ๆ ของผมเอง”

ผมเงยหน้ามองคนพูดแทบจะทันที กังวลไปหมด กลัวว่าเขาจะนึกถึงเหตุการณ์แย่ๆ จนกลายเป็นแบบเมื่อวานอีก แต่แล้วก็ต้องถอนหายใจอย่างโล่งอก เมื่อภามส่งยิ้มจางมาให้เหมือนจะบอกว่าไม่เป็นไร

“ถ้านายไม่อยากพูด...”

“ทำหน้าแบบนั้นแสดงว่าคุณรู้เรื่องหมดแล้วสินะ”

“ก็…พ่อนายบอกน่ะ”

“คุณได้คุยกับพ่อผมด้วยเหรอ” ภามเลิกคิ้ว ท่าทางประหลาดใจมาก คงไม่คิดว่าผมจะข้ามขั้นไปคุยกับพ่อเขาได้ทั้งที่ไม่เคยรู้จักกันมาก่อนแถมยังอยู่คนละประเทศอีก

“วันที่นายเข้าใจผิดไอ้เก้ากับพี่ภูมาที่บ้านพอดี พี่ภูบอกฉันว่าถ้าไม่ได้คิดอะไรก็ให้ปล่อยนายไป พอตื่นเช้าขึ้นมาเขาก็หายไป ตอนนั้นฉันคิดว่าตัวเองช้าอีกแล้ว ทำไมไม่ยอมพูดออกไปตั้งแต่แรก เอาแต่พลาดซ้ำไปซ้ำมาจนน่ารำคาญ” ผมซุกหน้าเข้าหาภามมากขึ้นเมื่อนึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้น “เป็นเพราะแม่ช่วยเตือนสติ ฉันถึงได้ไปหาพี่ภูกับไอ้เก้าที่สนามบิน ไปบอกเขาว่าฉันคิดยังไงกับนาย หลังจากนั้นไอ้เก้าก็ให้ตั๋วเครื่องบินมาที่นี่ พอตกดึกมันก็โทรเข้ามาหลังถึงอังกฤษแล้ว ให้พ่อของนายคุยกับฉัน”

“ท่านบอกว่าอะไรบ้าง”

“ท่านเล่าว่านายเจออะไรมา บอกว่านายไม่เคยมีความสุขแบบนี้จนได้มาเจอฉัน แล้วก็ขอร้องให้ฉันรอนายอีกนิด”

“แล้วคุณตอบว่าอะไร” เขาเกลี่ยแก้มผมอย่างอ่อนโยน ก่อนที่รอยยิ้มบนใบหน้าจะกว้างขึ้นเมื่อได้ยินคำตอบ

“บอกว่าครั้งนี้ฉันจะไปหานายเอง”

“…”

“รู้หรือเปล่าว่าตอนนายขับรถหนีไป ฉันยอมวิ่งจากสนามเด็กเล่นไปหน้าหมู่บ้านเพื่อเรียกแท็กซี่ แถมยังวิ่งหานายจนทั่วคอนโด แล้วก็ต้องวิ่งไปเรียกแท็กซี่กลับบ้านเพราะคิดว่านายจะอยู่ที่นั่นอีก”

“แล้วทำไมคุณไม่กลับไปเอารถที่บ้าน”

“…ไม่สงสัยได้ไหม” ผมทำหน้าหงิก ชักสีหน้าใส่ให้เห็นจังๆ บอกให้รู้ว่าไอ้บรรยากาศที่สร้างมานี่โดนพังหมดแล้วเพราะความขี้สงสัยของเขาเอง

จะให้ตอบยังไงว่าลืม...หรือต้องบอกว่าฉันโง่เองถึงจะถูกกว่า

ภามหัวเราะออกมาเบาๆ ก่อนจะโคลงตัวไปมาทั้งที่ยังกอดผมอยู่อย่างอารมณ์ดี เห็นแบบนั้นผมก็มีความสุขตามไปด้วย แต่เพราะเนื้อตัวไม่เอื้ออำนวยให้ขยับมากนัก เลยได้แต่ตีแขนเขาเบาๆ เพื่อเตือนให้รู้ว่าผมกำลังจะร้องไห้อีกรอบ

“อันที่จริงก่อนที่จะได้รู้จักกับเก้าอาการผมแย่มาก...” เขาเริ่มเล่าเรื่องของตัวเองด้วยน้ำเสียงราบเรียบ “ไม่ฟังใครนอกจากพี่ อารมณ์ร้าย แถมยังไม่ยอมพูดอีก คุณหรือไหมว่าคนที่บ้านผมรู้ภาษามือทุกคนเลย”

“ไม่พูดมานานขนาดไหนเหรอ”

“ตั้งแต่ที่แม่ตายแล้วผมลองเล่าความอึดอัดใจให้เพื่อนฟัง แต่พวกเขากลับเอาไปพูดคุยกันเป็นเรื่องสนุกสนาน นับๆ ดูแล้วก็คงเป็นสิบปี”

“เพราะเป็นเด็กใช่ไหม” ผมลองวิเคราะห์ดูคร่าวๆ “พวกเขาก็ผิดนั่นแหละ โตขึ้นมาต้องเสียใจแน่ที่ทำแบบนั้นลงไป”

“คงจะอย่างนั้น ผมเองก็เด็กเกินกว่าจะแยกแยะด้วย พอโดนเข้าเลยฝังใจไม่ยอมพูดคุยกับใครอีก กระทั่งได้มาเจอเก้า...” ภามพูดโดยไม่มีท่าทีว่าจะไม่พอใจเลยแม้แต่น้อย เหมือนกับเขาปล่อยวางเรื่องราวเหล่านั้นได้หมดแล้ว “พี่บอกว่าเขามาช่วย บอกว่าเขาตั้งใจเรียนภาษามือมาเป็นปีเพื่อให้คุยกับผมรู้เรื่อง ผมไม่ได้ชอบเก้าในฐานะนั้น แต่ผมคิดว่าเขาเหมือนแม่ เขาทำให้ผมนึกถึงภาพตอนแม่ยิ้มให้”

“เพราะแบบนั้นนายเลยยอมรับเก้าสินะ”

“ที่สำคัญคือเขาทำให้พี่มีความสุข ผมไม่เคยเห็นพี่ดูผ่อนคลายมากขนาดนั้นมาก่อน มันทำให้ผมนึกอิจฉาน่ะ”

“อิจฉาที่พี่ชายนายมีเก้า?”

“ใช่...เพราะแบบนั้นผมถึงได้ออกเดินทางตามหาความสุขของตัวเอง ตามหาคนที่จะกลายมาเป็นความสุขของผม มันกินเวลานานมากทีเดียว นับดูแล้วก็หลายปีเหมือนกันที่ผมท่องเที่ยวไปทั่ว หวังว่าวันหนึ่งจะได้เจอใครคนนั้น” เขามองมาด้วยแววตาอ่อนโยน ก่อนจะกดจูบลงบนหน้าผากผมแล้วผละออกช้าๆ “แล้วผมก็ได้เจอคุณ”

“...” ผมคลี่ยิ้มกว้าง มีความสุขไม่แพ้กันที่ได้เจอเขา

“ผมรู้ตัวอยู่ตลอดว่าโรคที่เป็นไม่มีวันหาย แต่เพราะคิดว่าควบคุมได้แล้วถึงยังรั้นไปไหนมาไหนคนเดียว แม้จะมีบ้างที่นึกถึงหรือเก็บไปฝันแต่มันก็ไม่ได้ส่งผลกับชีวิตผมมากเท่าเดิมแล้ว ยิ่งตอนที่ได้เจอคุณ ได้นอนข้างคุณ ผมก็ยิ่งรู้สึกเหมือนตัวเองกลายเป็นคนปกติ”

จำได้ว่าตอนนั้นเขาก็เคยบอกผมเหมือนกันว่าที่นอนดิ้นเป็นเพราะฝันร้าย แต่หลังจากช่วงแรกๆ ผ่านไปเขาก็ไม่ได้นอนดิ้นอีกเพราะไม่ได้ฝันร้ายแล้ว

“นายเป็นคนปกติ” คำพูดของผมไม่ใช่เพียงการปลอบโยน แต่มันคือการพูดในฐานะของคนที่เป็นหมอคนหนึ่ง “บอกฉันได้ไหมว่าทำไมเมื่อคืนนายถึงได้เป็นแบบนั้น”

ภามชะงักไปเล็กน้อยเมื่อได้ยินคำถามของผม แต่เมื่อเขาได้จ้องเข้ามาในดวงตา ได้รู้ว่าผมเป็นห่วงมากขนาดไหน อีกฝ่ายก็พยักหน้าน้อยๆ แล้วจับมือกันไว้แน่น

“ตอนที่เจอพวกโจร ผมยอมรับว่าเห็นเหตุการณ์ทุกอย่างซ้อนทับกันไปหมด ผมรู้สึกเหมือนตัวเองจะเสียสติ แต่เพราะคุณเรียกชื่อผม ภาพเลวร้ายพวกนั้นถึงจางหายไป”

เพราะแบบนั้นแววตาถึงได้ดูว่างเปล่าเวลาที่ผมไม่ได้อยู่ข้างๆ...

“ไม่เป็นไร...” ผมบีบมือกลับ บอกให้รู้ว่าเขาไม่ได้อยู่คนเดียวอีกแล้ว

“ผมตื่นขึ้นมาเพราะเสียงฝนตก พอเห็นหน้าต่างไม่ได้ปิดเลยจะลุกไปปิด กลัวว่าฝนจะสาดเข้าไปโดนคุณ แต่เสียงฟ้าผ่าทำให้ผมนึกถึงเรื่องราวในวันนั้นอีกครั้ง...” ภามพูดด้วยสีหน้าเจ็บปวด ดวงตาสั่นไหวคล้ายคนจะร้องไห้แต่ก็ยังอดกลั้นไว้ “ผมควบคุมตัวเองไม่ได้ มันเหมือนตกอยู่ในความมืดมิด เหมือนผมหลบอยู่ตรงที่เดิม มองภาพแม่...”

“พอเถอะ” แค่นี้ก็พอแล้ว...

ผมกอดภามไว้แน่น สัญญากับตัวเองในใจว่าจะไม่ยอมให้เขาต้องเจอเรื่องราวน่าหวาดกลัวแบบนั้นอีก ไม่ว่ายังไงผมก็จะอยู่ข้างๆ เขาไม่ไปไหนแน่นอน

ถึงจะเป็นหมอเต้าหู้ก็ใช่ว่าจะปกป้องใครไม่ได้เสียหน่อย...

“แต่ผมได้ยินเสียงคุณนะ...”

“หืม”

“ที่บอกว่า ‘ฉันรักนาย’ ผมได้ยิน”

“…"

เดี๋ยวๆ อย่าเปลี่ยนอารมณ์ไว คำพูดที่ดูเหมือนจะแซวแถมยังปนเสียงขำมาด้วยนั่นคืออะไร

“ไม่ต้องเป็นห่วงหรอก” เขาบีบแก้มผมเบาๆ เหมือนกำลังหมั่นไส้ “ต่อจากนี้ผมจะไม่กลับไปเป็นแบบนั้นอีกแล้ว เพราะภาพเลวร้ายเหล่านั้นมันถูกแทนที่ด้วยภาพที่เรา...”

“หยุดพูด!”

“…”

“อย่าพูดออกมานะ...”

“…กอดกัน”

ไอ้ @Q$*(&Q#


(อ่านต่อด้านล่าง)
.
.


ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.34]== [17/09/61]
«ตอบ #197 เมื่อ17-09-2018 19:36:35 »


หลังจากเวลาล่วงเลยเข้าสู่ช่วงเย็นในที่สุดฝนก็หยุกตก ผมที่นอนกอดภามหลับเกือบทั้งวันเพราะความเพลียถูกปลุกให้ตื่นด้วยเสียงโหวกเหวกโวยวายจากด้านนอก พอลืมตาขึ้นมาแล้วได้เห็นใบหน้าของคนที่คอยลูบหัวลูบหางกล่อมก็เผยรอยยิ้มออกมาโดยอัตโนมัติ ไม่ลืมซุกหน้าเข้าหาแบบอ้อนๆ เพื่อบอกให้เขารู้ว่าผมรำคาญเสียงด้านนอกขนาดไหนด้วย

“ยังอยากนอนต่อเหรอ”

“อื้อ” ยังง่วงอยู่เลย

“แต่เราต้องไปกินข้าวนะ” ภามพูดอย่างใจเย็น มือข้างหนึ่งยกขึ้นเกาคางผมจนเคลิ้มหนักกว่าเก่า

“เดี๋ยวค่อยกินนะ”

“พวกเด็กๆ รออยู่ด้านนอก...”

“เด็กๆ เหรอ!” ผมตาโต มองหน้าภามเหมือนจะถามย้ำ แต่ยังไม่กล้าผุดลุกขึ้นนั่งเพราะกลัวกระทบกระเทือนร่างกาย

ว่าแล้วว่าทำไมถึงคุ้นเสียงโหวกเหวกด้านนอกนัก จะบอกว่าเล่นกันอยู่ไกลๆ ก็ไม่น่าใช่ เพราะกระท่อมของผมกับภามแยกห่างมาจากคนอื่นพอควร แสดงว่าเจ้าพวกตัวเล็กตัวน้อยจะต้องตั้งใจมาหากัน แต่ยังไม่กล้าเข้ามารบกวนแน่ๆ

“ผมได้ยินเสียงพวกเขาคุยกัน บอกว่าจะรอให้พวกเราออกไปเอง ไม่อยากรบกวนกิจกรรมจู๋จี๋ของผัวเมีย”

“…เด็กๆ พูดหรือนายพูดเอง”

“ผมช่วยต่อเติมนิดหน่อย” ภามพูดยิ้มๆ แล้วเปลี่ยนเป็นหัวเราะเบาๆ เมื่อโดนผมบิดแขนเข้าให้ อารมณ์ดีเหลือเกินนะคนเรา ใช่สิ...ไม่ได้โดนจิ้มจนรวดร้าวไปทั้งตัวเหมือนผมนี่

“ไปหาเด็กๆ กัน พูดแล้วก็เริ่มหิวละเนี่ย” ผมรีบเปลี่ยนเรื่องก่อนอะไรๆ จะไปกันใหญ่ ถึงจะยังปวดเมื่อยอยู่บ้างแต่พอได้พักไปหน่อยก็พอไหวอยู่เหมือนกัน ถ้าไม่มีอะไรไปกระทบให้เจ็บซ้ำก็โอเค ส่วนบาดแผลตามตัวนี่คงต้องยกความดีความชอบให้ภาม ที่เลือกเสื้อแขนยาวกางเกงขายาวให้ผมใส่จนมองไม่เห็นแผล

มีคนเคยบอกว่าเวลาเห็นแผลเราจะยิ่งรู้สึกเจ็บ ผมยืนยันตรงนี้เลยว่าเป็นความจริง อย่างน้อยก็จริงสำหรับผมแล้วคนหนึ่ง

“เดินไหวเหรอ” ภามถามอย่างแปลกใจขณะช่วยพยุงให้ผมลุกขึ้นนั่ง

“ไม่ไหว ให้นายอุ้ม” ง่ายๆ แบบนี้แหละ ยังจะต้องเกรงจงเกรงใจอะไรกันอีก มาถึงขั้นกินกันไปทั้งตัวแล้ว “หรือนายจะไม่รับผิดชอบที่กินฉันไปแล้ว”

“คุณนี่มัน...” เขาส่ายหน้าเหนื่อยหน่าย แต่ปากกลับยิ้มไม่หุบ “ไหนบอกตัวเองหน้าบางไง”

“ฉันเป็นคนกากแต่ปากเก่ง ไม่รู้เหรอ”

หลังจากเถียงกันงุ้งงิ้งอยู่พักใหญ่ เสียงจากด้านนอกที่เงียบไปนานก็เริ่มดังขึ้นอีกครั้ง ผมปีนขึ้นหลังภามแล้วไปนอนแบะอยู่บนนั้นอย่างหมดเรี่ยวแรง เจ็บไปหมดทั้งตัวจนอยากร้องไห้อีกรอบ แต่กลัวออกไปเจอเด็กๆ แล้วจะขายขี้หน้า เลยได้แต่เก็บงำความทรมานไว้ในใจคนเดียวเงียบๆ โชคดีที่ีมีคนคอยพูดโอ๋อยู่ตลอด

โอ๋แบบน่ารักมากๆ...

“ถ้าคุณร้องไห้เด็กพวกนั้นต้องร้องตามกันทั้งฝูงแน่”

“…”

“ใกล้ร้องแล้วบอกด้วยนะ จะเอากล้องมาถ่าย เก็บไว้ให้เด็กระฟ้านั่นดู”

“…”

“ถ้าผมวิ่งคุณจะร้องไห้ไหม”

“นอกจากร้องไห้แล้วฉันจะฆ่านายด้วย”

ลองวิ่งดูสิ ต่อให้ต้องร้องไห้ไปวิ่งตามไป ผมก็จะคว้ามีดอีโต้มาฟันหัวเขาให้ได้ แค่เดินธรรมดายังต้องฝืนทนขนาดนี้ ขืนวิ่งขึ้นมาผมตายแน่ แค่คิดภาพตัวกระแทกไปกระแทกมาน้ำตาก็พาลจะไหลแล้วเนี่ย

“พี่หมอ!”

“หัวหน้า!”

“พวกเรากลับมาแล้วววววววว”

ทันทีที่ภามเปิดประตูออกไปด้านนอก เสียงจอแจของฝูงเด็กที่ยืนเรียงอยู่บริเวณชานบ้านก็ดังขึ้นแทบจะทันที เจ้าพวกตัวจ้อยวิ่งเข้ามาล้อมรอบผมกับภามไว้ แต่พอตั้งท่าจะแตะผม ภามก็หมุนตัวหนีแล้วออกคำสั่งเสียงเรียบ

“ห้ามแตะ”

“รับทราบ!”

ดีๆ...สั่งปุ๊บทำตามปั๊บแบบไม่ถามหาเหตุผล สมเป็นลูกสมุนของเขาจริงๆ

“พี่หมอไม่สบายเหรอจ๊ะ” เจ้าตาลเดินเข้ามากระตุกชายเสื้อภามแล้วเงยหน้าถามด้วยความเป็นห่วง ในตอนนั้นเองที่ผมได้หันไปสังเกตเด็กๆ ทุกคนอย่างจริงจัง

ไม่เจอกันแค่ไม่นาน รู้สึกเหมือนเจ้าพวกนี้โตขึ้นกว่าเดิมเยอะเลย...

“พี่ไม่สบายนิดหน่อยน่ะ เดินเองไม่ไหว” ผมตอบแทนเมื่อเห็นภามยังคงเงียบ พอเด็กๆ ได้ฟังดังนั้นเลยพยักหน้าหงึกหงัก บอกว่าจะไม่โดนตัวพี่หมอ เดี๋ยวพี่หมอเจ็บ

“พี่หมอกับหัวหน้าไปกินข้าวกัน พวกแม่ๆ บอกว่าจะทำข้าวเลี้ยงด้วยแหละ” เจ้าแตงพูดด้วยน้ำเสียงตื่นเต้น ท่าทางคงอยากให้มีงานเลี้ยง ของกินจะได้เยอะๆ เหมือนทุกครั้ง

“ฝนเพิ่งหยุดก็จัดงานกันแล้วเหรอ” แล้วถ้าตกขึ้นมาอีกจะทำยังไงล่ะเนี่ย ถึงจะเป็นฝนหลงฤดู แต่เมื่อคืนตกหนักยาวมายันเช้าขนาดนั้น ไม่แน่มันอาจจะตกอีกรอบก็ได้

“แม่บอกว่าไม่ตกแล้วแหละจ้ะ” เจ้าตัวเล็กที่เดินอยู่ข้างภามว่าเสียงร่าเริง “พวกหนูก็รอฝนหยุดตั้งนานกว่าจะได้ขึ้นเรือข้ามมา คนบนฝั่งก็บอกว่าไม่ตกแล้วเหมือนกัน”

ลืมไปเลยว่าผมหลับไปนานเลยไม่รู้ว่าฝนหยุดไปตั้งแต่เมื่อไหร่ ดูจากสภาพต้นไม้รอบด้านแล้วคงจะหยุดไปสักพักแล้วจริงๆ นั่นแหละ แต่เพราะเย็นแล้วเลยไม่มีแดดให้เห็น

งานเลี้ยงในครั้งนี้ไม่ได้ยกกันไปจัดที่หาดเหมือนเดิม แต่เป็นงานเล็กๆ ที่ทุกคนมารวมตัวกันที่บ้านน้าต้อยเฉยๆ พวกเขาจัดการทำให้ลานบ้านแห้งสนิท จากนั้นก็เอาเสื่อมาปูนั่งกันอย่างสบายใจ ใช้ตะเกียงของแต่ละบ้านที่พกกันมาต่างกองไฟ ส่วนอาหารมีพวกผู้หญิงช่วยกันทำอยู่ใต้บ้าน

“นายน้อยกับพ่อหมอมาแล้วเหรอจ๊ะ”

“เอ้า...ขยับให้นายน้อยกับเมียนั่งเร็วเข้า”

เมื่อก่อนได้ยินคำว่าเมียแล้วคันยุบยิบเพราะไม่ใช่ความจริง...มาถึงวันที่เป็นความจริงแล้วดันทำอะไรไม่ถูกแทน

“หน้าแดงหมดแล้ว” คนที่เพิ่งวางผมลงบนแคร่ไม้กระซิบบอกด้วยสีหน้าล้อเลียน คงรู้อยู่แล้วว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่

จำได้ว่าช่วงแรกๆ ที่ได้เจอกัน ตอนเห็นใบหน้าปลาตาย ไอ้เราก็นึกอยากทำให้เขาแสดงอารมณ์ออกมาเยอะๆ อยู่หรอก แต่พอมันสำเร็จ ได้เห็นภามแสดงอารมณ์หลากหลายขึ้นมาจริงๆ ผมล่ะอยากให้หน้าตากวนตีนนั่นกลับไปเป็นปลาตายเหมือนเดิมเหลือเกิน

“หมอเจไดไม่สบายอีกแล้วเหรอจ๊ะ” น้าต้อยที่เพิ่งเดินเข้ามาหาถามด้วยความเป็นห่วง คงเห็นผมนั่งพิงภามแบบไม่เกรงใจชาวโลก ท่าทางอ่อนแรงถึงขีดสุด

“ครับ” ผมยิ้มแหย ไม่รู้จะตอบยังไงดี คงต้องขอบคุณที่พวกชาวบ้านไม่คิดมากเมื่อเห็นภามหาหมอนมาวางให้ผมนั่ง ลองคิดว่าถ้าเป็นพวกเพื่อนมัธยมอะไรพวกนี้ มันคงแซวกันไปยันลูกบวช เพราะแค่เห็นก็คงเดาได้แล้วว่าผมเป็นอะไร

“งั้นเดี๋ยวน้าไปเอาข้าวมาให้นะจ๊ะ เรานั่งรอตรงนี้แหละ”

“ขอบคุณครับน้าต้อย”

แคร่ไม้ที่ผมกับภามนั่งอยู่มีคนอยู่แค่สี่คน คือเราสองคนกับไม้แล้วก็ดำที่กำลังซดเหล้าต่างน้ำ ขณะที่พวกลุงๆ ซึ่งนั่งอยู่ด้วยตอนแรกกลิ้งลงไปกินเหล้าที่เสื่อด้านล่างเรียบร้อยแล้ว เหมือนทุกคนจะเกรงใจไม่กล้านั่งร่วมกับภามเท่าไหร่ ส่วนพวกเด็กๆ ตอนนี้แยกไปอยู่กับวงของพวกผู้หญิง คงเพราะถูกสั่งห้ามไม่ให้เข้าใกล้พวกขี้เมาทั้งหลาย

ก็สมควรอยู่หรอก ดูเรื่องที่พวกขี้เมาพูดคุยกันซะก่อน...

“ตอนข้าขึ้นฝั่งเมื่อคราวก่อนเกือบได้เมียแล้ว เอ็งรู้ไหม”

“ไอ้แดง เอ็งจะห้าสิบอยู่แล้วยังจะหาเมียอีกเรอะ”

“ก็ไม่ได้จะเอาหรอก...แต่มันสวยนี่หว่า แล้วมายั่วข้าซะขนาดนั้น ใครจะทนเป็นพระอิฐพระปูนอยู่ได้”

ฟังแล้วปวดหัวตุบๆ เหล้าเข้าปากทีไรเป็นต้องพูดเรื่องไม่น่าพูดกันทุกที ความล้งความลับอะไรจะมาเปิดเผยเอาก็ตอนเมาเละเทะเนี่ยแหละ

“ไม่ต้องห่วงหรอก” จู่ๆ คนที่ผมนั่งพิงอกอยู่ก็พูดขึ้นมาลอยๆ “ผมไม่มองใครนอกจากคุณแน่”

“ไอ้บ้า” ผมด่าภามแบบไม่จริงจังนัก แต่ปากกลับยกยิ้มขบขันเมื่อได้เห็นสีหน้าจริงจังตั้งใจของเขา ทำท่าแบบนี้แสดงว่าเมื่อกี้ต้องเห็นผมขมวดคิ้วตอนพวกขี้เมาคุยกันเรื่องผู้หญิงแน่ๆ

พวกชาวบ้านยังคงคอนเซ็ปต์จัดงานเลี้ยงให้ผมกับภาม แต่นั่งคุยกันเหมือนผมกับภามไร้ตัวตนเหมือนเคย แม้ยามที่เรากินข้าวหมดเกลี้ยงจนภามแบกผมขึ้นหลังเดินออกมาจากตรงนั้นพวกเขาก็ยังไม่รู้ตัว มีแค่น้าต้อยที่หันมาโบกมือให้คนเดียว ส่วนพวกเด็กๆ พากันกลับบ้านตั้งแต่ฟ้าเริ่มมืดแล้ว

ผมซุกหน้าลงกับบ่าภาม สองแขนกอดคอเขาเอาไว้จากทางด้านหลัง ปากออกคำสั่งบอกว่าอยากกลับบ้าน เพียงเท่านั้นคนตัวโตก็พากลับตามคำสั่งโดยไม่ถามอะไรแม้แต่คำเดียว เขาเข้าไปเตรียมผ้าขนหนู ก่อนจะแบกผมเข้าไปในห้องน้ำ ตั้งท่าจะวางกันลงบนเก้าอี้ตัวเดิม แต่ครั้งนี้ผมส่ายหน้ารัวๆ ยังไงก็ไม่นั่งบนเก้าอี้แข็งๆ เด็ดขาด

“ฉันยืนก็ได้”

“ไหวเหรอ” ภามถามซ้ำ และเมื่อผมพยักหน้ายืนยัน เขาก็ค่อยๆ ปล่อยให้ผมยืนเองบนพื้น

“ทนได้น่า...โอ๊ย! ไม่ทน! ไม่ทนแล้ว!”

พูดไม่ทันขาดคำก็พุ่งเข้าไปเกาะภามเป็นลูกลิง ยืนนิดเดียวขาก็สั่นจนแทบทนไม่ไหวแล้ว บอกเลยว่าครั้งนี้ไม่ใช่ความผิดผมคนเดียว ถึงผมจะอ่อนแอเป็นเต้าหู้ กลัวเจ็บยิ่งกว่าเด็กสองขวบ แต่ภามก็ผิดเหมือนกันที่ทำรุนแรงขนาดนั้น ไม่ไข้ขึ้นก็ดีเท่าไหร่แล้ว

“คุณนี่...ฮ่าๆ” ภามหัวเราะเสียงดังเหมือนอารมณ์ดีเสียเต็มแก่ ในขณะที่ผมหน้าบูดเป็นตูดลิง หงุดหงิดจนเผลอกัดไหล่กว้างนั่นไปหนึ่งทีตอนที่นั่งคล่อมตักให้เขาอาบน้ำให้

กว่าจะผ่านเหตุการณ์อันน่าอดสูมาได้ก็ปาเข้าไปเกือบครึ่งชั่วโมง ภามราดน้ำทีผมก็ร้องจ๊ากทีเพราะเจ็บแผลตามตัว ไม่เหมือนเมื่อวานที่ถูกอย่างอื่นดึงสติไปหมดจนไม่ทันรู้สึกเจ็บอะไรมากมาย จะบอกว่าทุกความทรมานถูกเอามาทบต้นทบดอกอยู่วันนี้ก็คงไม่ผิดนัก

“ใส่เสื้อให้ด้วย” ผมออกคำสั่งแล้วชูแขนทั้งสองข้างให้เขาเหมือนเป็นเด็กๆ

“นี่เมียหรือลูก...”

“อะไรนะ”

“นี่เมียหรือลูก”

“ปกติเวลาถามซ้ำต้องบอกว่าไม่มีอะไรสิ” ว่าแล้วก็ฟาดหมอนใส่หน้าคนกวนตีนไปหนึ่งที ถ้าเป็นปกติภามคงหาเรื่องเอาคืนผมไปแล้ว แต่เหมือนเขาจะอารมณ์ดีเกินกว่าจะคิดเล็กคิดน้อย เห็นเอาแต่จ้องตัวเปลือยเปล่าของผมตาไม่กะพริบ...

เดี๋ยวนะ...

“รอยแดงเต็มไปหมดเลย” เขาพูดยิ้มๆ

“ภูมิใจบ้าอะไร ไอ้โจคจิต!”

แทนที่จะสงสารเพราะเห็นผมเจ็บตัว ดันทำหน้าตาพออกพอใจใส่ซะงั้น

คิดแล้วก็แค้นจนต้องกระชากเสื้อมาใส่เองลวกๆ ขืนนั่งอยู่แบบนี้ต่อไปคงโดนจ้องจนตัวพรุน แล้วดู...นั่งโชว์หุ่นตัวเองอยู่ได้ เห็นแล้วหมั่นไส้เป็นบ้า

“คุณ…”

“อะไร”

“สุขสันต์วันเกิดนะ”

“…”

“ผมขอโทษที่ทำอะไรโรแมนติกไม่เป็น” เขาพูดเสียงราบเรียบไม่ต่างจากสีหน้า หากดวงตาคู่นั้นกลับจ้องมองมาที่ผมด้วยความอ่อนโยน

วันเกิดเหรอ...ลืมไปเลย

“ไม่โรแมนติกจริงๆ นั่นแหละ” ถึงจะพูดแบบนั้น...แต่ปากก็ยังยิ้มกว้างอยู่ดี

“ผมไม่มีของขวัญอะไรให้คุณเลย”

ผมส่ายหน้าแล้วยกยิ้มจาง ทอดสายตามองเขายกมือผมขึ้นจูบเบาๆ ด้วยความอบอุ่นใจ การที่เขาคอยให้เกียรติ คอยดูแล คอยอดทนและทำทุกอย่างเพื่อผมสารพัดมันมีค่ามากกว่าของขวัญแทนใจใดๆ อยู่แล้ว เพราะงั้นต่อให้ภามจำไม่ได้ว่าวันนี้คือวันอะไร ผมก็ไม่มีวันถือโทษโกรธเขาแน่นอน

“นายให้ฉันมาแล้ว”

ของขวัญที่มีค่ามากที่สุดในชีวิตของผม...ก็คือภาม

.

.

“คุณหมายถึงตัวผมเหรอ...งั้นเอาอีกรอบไหม”

“…”

ถอนคำพูด...ขอถอนคำพูดเดี๋ยวนี้เลย เอามันไปเก็บที!


————————-


TALK : สำหรับใครที่คาดหวังฉากอะไรไว้ต้องขอโทษด้วยนะคะ แต่เราคิดว่าแบบนี้เหมาะสมที่สุดแล้ว อันที่จริงที่อยากให้รู้ว่าสองคนนี้เป็นของกันแล้วก็เพราะคิดว่าเหมาะสมเหมือนกันค่ะ บทมันส่งด้วยอะไรด้วยแหละ

ส่วนเรื่องน้องภามไม่ต้องเป็นห่วงค่ะ จริงๆคือภามอยู่กับโรคนี้มานาน แล้วก็ใช้เวลานานมากเหมือนกันถึงจะอาการดีขึ้น(คนที่ทำให้ภามอาการดีขึ้นคือครอบครัว) ตอนนี้ได้เที่ยว ได้เจอสิ่งที่ตามหาก็เกือบจะหายดีแล้วด้วยซ้ำ แต่พอมีเรื่องมาสะกิดเลยนึกถึงขึ้นมา ซึ่งเจไดก็ช่วยเหลือโดยการให้น้องนึกถึงแต่ตัวเอง  เอาภาพตัวเองแทนที่ตามที่ภามบอกนั่นแหละ

พรุ่งนี้จะเป็นตอนจบแล้วนะคะ ใครสนใจรูปเล่มยังมีเวลาเก็บเงินถึงมกราน้า ขอบคุณมากๆเลยค่ะ

ติดตามข่าวสารได้ที่เพจ Chesshire. หรือทวิตเตอร์ @Chesshire04

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.34]== [17/09/61]
«ตอบ #198 เมื่อ17-09-2018 19:58:10 »

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.34]== [17/09/61]
«ตอบ #199 เมื่อ17-09-2018 20:09:58 »

จะจบแล้ว ขอเจอน้องลมด้วยจิ  o18

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.34]== [17/09/61]
« ตอบ #199 เมื่อ: 17-09-2018 20:09:58 »





ออฟไลน์ ยอดมนุษย์ขนมปัง

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 319
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.34]== [17/09/61]
«ตอบ #200 เมื่อ17-09-2018 20:34:32 »

แง อยากอ่านต่อไปเรื่อยๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ ไม่อยากให้จบเลย  :sad4:

ออฟไลน์ killua1a

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 138
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +2/-0
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.34]== [17/09/61]
«ตอบ #201 เมื่อ17-09-2018 21:13:46 »

จะจบแล้วเหรอ​ อยากอ่านเรื่อยๆ​  :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ toomild

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.34]== [17/09/61]
«ตอบ #202 เมื่อ17-09-2018 22:18:20 »

ถ้าจบแล้วคงคิดถึงเจไดแน่เลยค่ะ แง้ รอเล่มนะคะ :hao5:

ออฟไลน์ bigbeeboom

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-0
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.34]== [17/09/61]
«ตอบ #203 เมื่อ18-09-2018 01:17:07 »

อยากได้แบบ box set 3 เล่มจะมีมั้ยน้อ เจไดน่าแกล้งจริงๆอ่ะ

ออฟไลน์ pui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2194
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +177/-3
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.34]== [17/09/61]
«ตอบ #204 เมื่อ18-09-2018 05:57:58 »

ภามเจไดน่ารักกกกกกก

ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.34]== [17/09/61]
«ตอบ #205 เมื่อ18-09-2018 20:00:57 »

-35-


“เอ็งแน่ใจเหรอวะว่าจะไปกันสองคน” ไม้ยืนเกาหัวทำหน้าตาเคร่งเครียดมองผมกับภามที่กำลังทยอยขนของไปขึ้นเรือด้วยความไม่แน่ใจ “ให้ข้าไปด้วยดีกว่าไหม”

“เอาน่า วนเรือเล่นรอบๆ เกาะแค่นี้เอง สัญญาแล้วไงว่าจะไม่ออกไปไกลเกิน” ผมตบบ่าเขาให้สบายใจมากขึ้น แต่เหมือนไม้จะยังไม่คลายกังวล ถึงได้เข้ามากอดคอผม กระซิบกระซาบเหมือนไม่อยากให้ภามได้ยินด้วย

“เอ็งรู้ใช่ไหมว่านั่นน้องชายสุดที่รักของนาย ถ้าเกิดอะไรขึ้นมาข้าตายเลยนะ”

“จะกลัวอะไร มีฉันไปด้วยทั้งคน”

“มีเอ็งไปด้วยสิน่ากลัว”

“เอ้า...” พูดมาได้ไม่เกรงใจกันเลย ผมตั้งท่าจะเถียงต่อ ยังไงก็จะทำให้เขายอมรับความแข็งแกร่งของตัวเองให้ได้ แต่ยังไม่ทันได้อ้าปากพูด ขาที่เพิ่งยืนเองได้เป็นปกติก็ต้องเซถลา ยามถูกคนตัวโตรวบเอวเข้าไปกอดไว้แล้วมองไปที่ไม้ด้วยแววตาไม่พอใจ

“โอะ...ขอโทษครับนายน้อย” คนที่รู้ตัวดีว่าทำอะไรผิดก้มหัวปลกๆ ปากยิ้มแหยเหมือนกลัวภามมากจริงๆ จนผมอดขำไม่ได้

“ขนของขึ้นไปหมดแล้วเหรอ” ผมเลิกสนใจไม้แล้วหันไปถามคนข้างกายแทน

“หมดแล้ว”

“โอเค งั้นไปกันเถอะ” ว่าแล้วผมก็จูงมือภามเดินไปขึ้นเรือ โดยไม่ลืมหันไปโบกมือให้ไม้แล้วพูดซ้ำเป็นรอบที่สาม “ไม่ต้องห่วงหรอกน่า บอกแล้วไงว่าขับเรือเป็นจริงๆ เก่งมากด้วย”

หมายถึงภามนะ...ไม่ใช่ผม

“เดี๋ยวเย็นนี้ข้าจะเข้าฝั่ง ถ้าเช้ามาไม่เห็นเรือฝากไว้ที่ท่าสปีดโบ๊ท ข้าจะบอกนายทันที”

“ได้”

ในที่สุดเราก็ได้ออกไปขับเรือเล่นกันสองคนเสียที หลังจากฝ่าด่านห้ามของน้าต้อยไปครึ่งชั่วโมง ตามด้วยลุงเหมอีกสี่สิบนาที แล้วมาปิดท้ายด้วยไม้อีกสิบนาที รวมๆ แล้วผมเสียเวลาไปชั่วโมงกว่า กว่าจะได้ออกจากเกาะไปค้างคืนบนเรือเป็นการปิดท้ายทริปนี้ เพราะพรุ่งนี้เช้าเราก็ต้องกลับเข้าเมืองกันแล้ว

ผมใช้เวลาฟื้นตัวจากบาดแผลทั้งภายนอกแล้วก็ภาย...นั่นแหละ ประมาณสองวัน ระหว่างนั้นให้ภามแบกบ้างอุ้มบ้างไปไหนมาไหนเป็นพระราชา บางทีถึงขนาดขี้เกียจกินข้าวเองก็ให้เขาป้อนอย่างสบายใจเฉิบ แอบคิดว่าภามจะเบื่อไหมอยู่เหมือนกัน แต่พอเห็นสีหน้ามีความสุขตลอดเวลาที่ได้ดูแลและแกล้งผมไปพร้อมๆ กันก็เลิกคิดทันที

ดูแลเท่าไหร่ต้องแกล้งเป็นสองเท่าของที่ดูแลตลอด ไม่มีความสุขก็ไม่รู้จะว่าไง มาตอนนี้ผมเริ่มไม่แน่ใจแล้วว่าใครคุ้มกว่า เพราะหลังๆ มาเริ่มรู้สึกว่าการดูแลกับการแกล้งมันชักจะถึงเนื้อถึงตัวมากขึ้นทุกที ซึ่งไอ้เราก็ไม่ได้มีปัญหาอะไรอยู่แล้ว เพราะก็รู้สึกดีไม่ต่างกัน

แต่มันก็ยังเสียเปรียบอยู่ดีไหมนะ...

“ยังขึ้นบันไดไม่ไหวใช่หรือเปล่า” คนที่ประคองเอวผมให้เดินลุยทะเลไปขึ้นเรือเอ่ยถาม และพอเห็นผมพยักหน้าให้ เขาก็ยกยิ้มมุมปาก ท่าทางเจ้าเล่ห์จนเริ่มไม่น่าไว้วางใจ “มาเถอะ”

ภามหันหลังให้ผมปีนขึ้นไปเกาะ จากนั้นเขาก็เหยียบบันได พาขึ้นไปบนเรือได้ในที่สุด และเมื่อปล่อยผมลงจากหลังแล้วอีกฝ่ายก็หันหน้ามาหา

“อะ…”

“ขอรางวัลหน่อย” ว่าจบเขาก็ก้มลงกดจูบแรงๆ ที่ริมฝีปากของผมแบบไม่ให้ตั้งตัวได้ทันหนึ่งทีแล้วเดินจากไปอย่างรวดเร็ว ทิ้งให้ผมยืนเอ๋ออยู่เพียงลำพัง

ไม่ต้องคิดแล้ว...นี่มันเสียเปรียบชัดๆ

“นายขับเรือเป็นนานแล้วเหรอ” ผมปัดเรื่องได้เปรียบเสียเปรียบในหัวทิ้งไป ขณะก้าวเดินเข้าไปหาคุณชายที่บอกว่าตัวเองขับเรือเป็นช้าๆ

การมาเที่ยวครั้งนี้ผมไม่ได้เป็นตัวต้นเรื่องนะ เป็นภามต่างหากที่ชวนมา เขาบอกว่าในเมื่อคนอื่นไม่ให้เราติดเรือประมงไปเพราะกลัวเป็นอันตราย งั้นก็ไปขออนุญาตขับเรือของคุณไฟแทนแล้วกัน ซึ่งตอนไปขอลุงเหมก็ทำท่าคิดหนักอยู่หลายตลบ คล้ายกำลังเปรียบเทียบว่าอะไรอันตรายกว่ากันแน่ แต่พอภามบอกว่าเขาขับเรือเป็น เคยขับเรือไปลุยทะเลคนเดียวมาแล้ว ลุงแกเลยปล่อยให้เรามา

“ช่วงค้นหาตัวเอง ออกเดินทางไปทั่ว ผมทำมาหมดแล้วแทบทุกอย่าง” เขาพูดแล้วเริ่มออกเรือช้าๆ “อย่างขับเรือนี่ก็ตั้งแต่สามสี่ปีก่อน”

“นายทำอะไรมาแล้วบ้าง เล่าให้ฟังหน่อย” ผมถามแล้วนอนคว่ำลงบนโซฟา ยื่นหัวไปข้างตักเขา ให้ภามก้มลงมามองกันได้ถนัดแม้จะขับเรืออยู่

“นอกจากถ่ายรูปกับท่องเที่ยวไปทั่วแล้วผมยังชอบเล่นกีฬา เรียนนั่นเรียนนี่หาประสบการณ์เยอะแยะไปหมด มีครั้งหนึ่งเคยไปถ่ายรูปที่โรงฝึกยูโดแล้วเกิดสนใจขึ้นมา...”

“อย่าบอกนะว่าไปฝึกด้วย”

“ทั้งยูโด ต่อยมวย ฟันดาบ ผมทำมาหมดแล้ว” เจ้าตัวยกยิ้มเล็กน้อยเมื่อเห็นผมทำตาโต พอลองเอาเหตุการณ์ที่ภามจัดการโจรได้มาเหมารวมเข้าไปด้วย ดูเหมือนจะไม่ใช่แค่ทำได้ธรรมดา ผมว่าเขาต้องเป็นพวกทำได้ดีไปหมดทุกอย่างแน่นอน

“ความสามารถรอบด้านจังนะ”

“ต่อให้ทำได้ดีขนาดไหน สุดท้ายถ้าไม่ชอบมันก็ไม่มีประโยชน์อะไรอยู่ดี” เขาว่าแล้วใช้มือข้างหนึ่งลูบหัวผมเบาๆ “ตอนผมได้ไปเที่ยวญี่ปุ่น ผมเคยคิดว่าผมชอบประเทศนี้มากที่สุด แต่อันที่จริงมันไม่มีคำว่าที่สุดหรอก...เพราะผมยังไม่เคยเดินทางไปทั่วโลกเลย จะรู้ได้ยังไงว่าตัวเองชอบอะไรที่สุด มันก็เหมือนกับที่ผมลองทำทุกอย่างเพื่อเสาะหาสิ่งที่ตัวเองชอบ สุดท้ายก็มาจบอยู่ที่การเดินทางเพราะรู้สึกว่ามันใช่ที่สุดแล้ว”

“แล้วเป็นไงต่อ”

“แล้วก็ได้มาเจอคุณที่ผมชอบมากกว่าการเดินทางไง...” ภามพูดเสียงเรียบ แต่ทำเอาผมหน้าร้อนไปหมด “เพราะงั้นต่อจากนี้การเดินทางไปทั่วก็ไม่ได้สำคัญมากเท่าได้อยู่กับคุณแล้ว”

“อย่างนี้ก็หมายความถ้านายเจออะไรที่ชอบมากกว่าฉัน...”

“ไม่มีทาง” เขาเถียงทันควัน เหมือนจะแอบบีบแก้มผมข้อหาพูดอะไรไม่เข้าท่าด้วย “ตอนแรกคุณอาจอยู่ในวงโคจรของสิ่งที่ชอบพวกนั้นก็จริง แต่ตอนนี้ผมแยกคุณออกมาแล้ว”

“หืม...แยกไปไว้ไหน”

“แยกไว้ในสิ่งสำคัญ เกินกว่าคำว่าชอบไปไกล”

“เข้าใจพูด...” ผมหัวเราะแบบไม่คิดอะไร เป็นเวลาเดียวกันกับที่ภามหยุดเรือพอดี คงเพราะเขาเห็นว่าเราออกมาไกลเกินพอแล้ว ขืนไปไกลกว่านี้คงจะผิดกับข้อตกลงที่บอกไม้ไว้

เราลุกขึ้นแล้วเดินออกไปยืนตากลมที่หน้าเรือ ตรงนั้นมีเบาะนิ่มๆ เอาไว้นอนอาบแดดพักผ่อนกองอยู่หลายใบ ผมแปลกใจอยู่เหมือนกันที่วันนี้ท้องฟ้าเป็นใจ ดูอากาศดีแบบที่ไม่มีแดดและไม่มีทีท่าว่าฝนจะตกเลยสักนิด เท่านี้ก็ไม่ต้องกลัวว่าจะโดนเผาจนตัวแห้งแล้ว

“อย่าเพิ่งนอน” คนรู้ทันที่เห็นผมตั้งท่าจะเอนตัวลงนอนจับแขนกันไว้ได้ทันแบบพอดิบพอดี “กินข้าวก่อนแล้วค่อยนอน”

“เดี๋ยวค่อยกินก็ได้”

“มั่นใจเหรอว่าถ้าล้มตัวลงนอนแล้วจะยอมลุกขึ้นนั่งอีก”

ไม่มั่นใจ...

“กินก่อนก็ได้” ที่ทำเหมือนแพ้นี่จริงๆ ไม่ได้แพ้เลยนะ แค่เห็นว่าเขาเป็นห่วงสุขภาพผมหรอกเลยยอมง่ายๆ ไม่ได้คิดว่าถ้าล้มตัวลงนอนแล้วตัวเองจะกลายเป็นผักเน่าไม่ยอมขยับไปไหนหรอก ใครมันจะขี้เกียจอะไรปานนั้น...ไม่มีทางน่า

กล่องข้าวที่ภามเอาออกมาเป็นข้าวที่น้าต้อยทำไว้ให้ ท่านบอกว่าไม่อยากให้พวกเราเหนื่อย เลยจัดแจงเตรียมอาหารเอาไว้ให้ครบสามมื้อเลย มีเผื่ออีกหนึ่งมื้อมาให้ด้วยซ้ำ แล้วยังไม่นับบรรดาเครื่องดื่มกับขนมมากมายที่ผมขนขึ้นเรือมาอีกนะ เตรียมเสบียงมาอย่างกับว่าจะเอามาอยู่เป็นอาทิตย์ ทั้งที่จริงๆ ตอนนี้ก็บ่ายแก่ๆ แล้ว และเราก็จะค้างกันแค่คืนเดียวเท่านั้น พอเช้าก็จะเข้าฝั่งเตรียมตัวกลับกรุงเทพฯ เลย

“อย่าไหล” ภามออกคำสั่งขณะป้อนข้าวคำแรกเข้าปากผม

“ไม่ได้ไหลนะ”

“หลังจะติดพื้นอยู่แล้ว” เขาว่าแล้วคว้าแขนผมไว้ ดึงให้กลับไปนั่งพิงกองหมอนดีๆ เหมือนเดิม “บางทีผมก็สงสัยว่าคุณเป็นคนหรือเป็นแมวจริงๆ”

“เป็นคนสิ”

“แมวยังไม่ขี้เกียจเท่าคุณเลย”

“ฉันไม่ได้ขี้เกียจขนาดนั้นสักหน่อย อย่างน้อยก็ยังอาบน้ำสระผมทุกวันนะ​“ นี่พูดด้วยความสัตย์จริง ผมไม่เคยขี้เกียจถึงขั้นไม่อาบน้ำเลยนะ ถึงส่วนใหญ่จะปล่อยให้ภามอาบให้ แลกกับการให้เขาตอดเล็กตอดน้อยก็ตาม แต่มองยังไงมันก็เท่าเทียมไม่ใช่หรือไง

“แมวก็ทำความสะอาดขนตัวเองทุกวันเหมือนกัน คุณชัดๆ...”

“ไม่เถียงละ” ยิ่งเถียงยิ่งโดน ยิ่งเถียงยิ่งเหมือน อยู่เงียบๆ กินข้าวให้อิ่มจะได้นอนตากลมสักทีดีกว่า

หลังจากกินข้าวกันจนหมดแล้ว ในที่สุดคุณชายก็ยินยอมให้ผมเอนตัวลงนอนเป็นแมวแดดเดียวเสียที ผมคว้าเอาถุงขนมมากอดไว้ ก่อนจะแกะถุงแรกออกอย่างรวดเร็ว สายตาทอดมองไปไกลๆ ถึงจะเห็นแต่ทะเลอย่างเดียวก็ยังทำให้สดชื่นมากจนต้องยิ้มออกมาอย่างอดไม่ได้

“เพิ่งกินข้าวเสร็จก็กินขนมแล้วเหรอ”

“ไม่ต้องบ่น กินด้วยกันเลย” ผมว่าแล้วจัดการยัดขนมใส่ปากภาม เฝ้ามองใบหน้าปลาตายนั้นแปรเปลี่ยนเป็นยู่ยี่ด้วยความไม่ชอบใจในรสชาติอย่างอารมณ์ดี “หวานใช่ไหม”

“รู้ว่าไม่ชอบยังจะให้กินอีก” เขาบ่นพึมพำแต่ก็กลืนขนมลงคอ

“คนในครอบครัวชอบกินขนมหวาน นายก็ต้องฝึกกินไว้บ้างสิ” จำได้ว่าตอนนั้นภามบอกว่าในครอบครัวเขา นอกจากเก้าแล้วก็มีแค่ผมที่ชอบกิน ตอนนั้นผมยังเถียงว่าไม่ใช่ครอบครัวอีกฝ่ายอยู่เลย มาถึงตอนนี้กลายเป็นยอมรับแล้วซะงั้น “เวลาผ่านไปไวเหมือนกันนะ”

“ไวสิ...คุณสามสิบแล้วนี่นา”

“…ทำไมชอบทำลายบรรยากาศ” กำลังจะดีทีไรพาเสียเรื่องตลอด เสร็จแล้วก็จะ...

“เพราะชอบเห็นหน้าคุณตอนอะไรไม่ได้ดั่งใจ มันน่ารักดี”

“…” ทำให้เขิน ตามด้วย...

“หน้าแดงแล้ว”

มาเป็นขั้นตอนเหมือนเดิมทุกรอบ แต่ผมก็ไม่เคยชินเลยสักรอบ...ให้ตายเถอะ

ผมกลิ้งไปกลิ้งมาอยู่กับหมอนสองสามรอบจนรู้สึกสบายแล้วจึงหยุดเคลื่อนไหว ทอดสายตามองไปบนท้องฟ้าสีสดใสที่ไร้ซึ่งแดดอย่างเงียบงัน ปล่อยให้สายลมเบาๆ ตีเข้ามาที่หน้าแล้วเงี่ยหูฟังเสียคลื่นกระทบตัวเรืออย่างผ่อนคลาย

สบายเป็นบ้า...

“ฉันเข้าใจแล้วว่าทำไมเวลาคิดอะไรไม่ออกหรืออยากพักผ่อน คนเราถึงได้เลือกเดินทางท่องเที่ยว”

บางทีอาจเป็นเพราะคนเหล่านั้นต้องการทิ้งภาระที่มี มาพักผ่อนสมองที่หนักอึ้ง เพื่อให้มีเรี่ยวแรงกลับไปต่อสู้กับสิ่งต่างๆ ได้อีกครั้ง และการได้ท่องเที่ยวเพื่อพักผ่อนก็คือคำตอบ ผมเคยได้ยินว่าธรรมชาติบำบัดคนได้ คิดว่าคงจริงตามนั้น แล้วก็เพราะแบบนั้นเอง คนเราถึงได้พบเจอสิ่งต่างๆ มากมายระหว่างทาง

เหมือนกันกับที่ผมได้พบเจอความรักของตัวเอง...

ลองคิดภาพว่าตัวเองต้องใช้ชีวิตอยู่แต่ในกรอบที่มีเพียงโรงพยาบาลกับบ้าน ต่อให้ได้เดินสวนกันกับภามในโรงพยาบาล ได้มองเห็นเขาเดินข้ามถนนผ่านหน้าไปผมก็คงไม่ได้คิดอะไร น่าจะมองว่าเขาเป็นศัตรูอันดับหนึ่งเหมือนเดิม แต่เพราะได้ปล่อยวางภาระที่แบกอยู่บ่นบ่าทั้งหมดออกไป ผมถึงได้พบเจอกับสิ่งที่ถูกซ่อนไว้

ได้พบเจอกับสิ่งขาดหายไป...

“รู้สึกดีเป็นบ้า” ผมหลับตาลงแล้วสูดลมหายใจเข้าจนสุด ซึมซับความรู้สึกดีๆ ในยามนี้เอาไว้ เพราะไม่รู้ว่าเมื่อไหร่จะได้กลับมาที่นี่อีกรอบ ไปทำงานครั้งนี้ช่วงเดือนแรกต้องเหนื่อยแทบตายแน่ๆ เพราะต้องเข้าเวรแลกกับเวลาที่เอามาใช้ในช่วงห้าวันนี้ด้วย

“ดีมากไหม”

“อื้อ ดีมากเลย”

สัมผัสขยุกขยิกที่ข้างแก้มลามไปยังคางทำให้จั๊กจี้อยู่ไม่น้อย แต่เพียงแค่แป๊บเดียวผมก็เอียงหัวเข้าหาอย่างสบายอารมณ์ พอไม่ต้องปิดบัง ไม่ต้องห้ามใจ นึกอยากอ้อนตอนไหนก็อ้อนได้โดยไม่ต้องหลอกตัวเอง มันกลับทำให้รู้สึกดีกว่าเมื่อก่อนหลายเท่า จนผมอดรู้สึกเหมือนเป็นคนโง่ไม่ได้

เขาดีขนาดนี้...รอบ้าบออะไรมาได้ตั้งนานนะ

“นึกถึงตอนเจอกันครั้งแรกเนอะ” ผมชวนภามคุย ก่อนจะลืมตาขึ้นจ้องมองหน้าเขาที่นั่งอยู่ด้านข้าง “ที่งานวันเกิดไอ้เก้า ตอนที่มันสั่งให้นายจับตัวฉันไว้”

“ตอนที่คุณดิ้นไปดิ้นมาเป็นลูกแมว”

“ลูกแมวบ้าอะไรเล่า”

“นี่ไงลูกแมว” เขาว่าแล้วเกาคางผมให้เคลิ้มต่อ คงไม่ต้องบอกนะว่าได้ผลหรือเปล่า เพราะตอนนี้แทบจะไหลลงไปนอนราบอยู่กับพื้นแล้ว ถ้าไม่ติดว่าโดนอีกคนคว้าแขน ดึงให้ขยับไปนอนดีๆ เสียก่อน

“นี่นายคิดว่าฉันเป็นแมวตั้งแต่ตอนนั้นเลยเหรอ”

“ใช่” ภามพยักหน้ายอมรับ “พอเจอกันอีกทีคิดว่าจะกลายเป็นแมวโตแล้ว แต่ก็เปล่าเลย...คุณยังเป็นลูกแมวเหมือนเดิมไม่เปลี่ยน”

ลูกแมวอะไรเล่า...

ผมเอนตัวไปพิงภามไว้เมื่อรู้สึกเหมือนหมอนเริ่มไม่สบายแบบตอนแรก ซึ่งคนตัวโตก็อ้าแขนออกรับ ปล่อยให้ผมพิงอกเขาไว้แล้วเอนกายลงนอนโดยไม่ได้พูดอะไร มันเหมือนเป็นความเคยชินไปแล้ว เพราะสองสามวันมานี้ผมแทบจะเกาะติดอยู่กับภามยี่สิบสี่ชั่วโมง นอนพิงแบบนี้ไม่ให้เขากระดิกไปไหนเลยแม้แต่นิดเดียว

“ถ้าฉันติดนายขึ้นมา จะโทษกันไม่ได้หรอกนะ”

เพราะถ้าถูกตามใจจนเสียคน...เขานั่นแหละผิดที่สุด

“งั้นก็ดีสิ”

เห็นไหม...บอกแล้วว่าผมไม่ผิดเลย

หลังจากที่ไม่มีใครพูดอะไรออกมา เราก็หลุดเข้าสู่ภวังค์ของตัวเอง ผมหลับตาลงซึมซับบรรยากาศ ในขณะที่ภามหยิบกล้องถ่ายรูปมากดดู นานๆ ครั้งก็หันมาถ่ายหน้าผมทีหนึ่ง ถ่ายวิวทีหนึ่ง และล่าสุดคือโดนผมจับถ่ายรูปคู่ไปเกือบสิบแชะ ข้อหาชอบถ่ายกันทีเผลอให้หน้าผมเอ๋อเหรออยู่คนเดียวดีนัก

“ยิ้มให้กล้องหน่อยสิ ทำเหมือนที่ยิ้มให้ฉันไง”

“กล้องไม่ใช่คุณ”

“คิดซะว่าเป็นฉันสิ หรือไม่ก็มองทะลุมาที่หน้าฉันก็ได้”

“มันไม่เหมือนกัน”

ผมลดกล้องลงเพื่อให้ขมวดคิ้วมองหน้าภามได้ถนัดขึ้น คนบ้าอะไรไม่รู้ยิ้มให้กล้องถ่ายรูปไม่เป็น ตีกันมาจะครบสิบนาทีอยู่แล้ว ทำยังไงผมก็ยังถ่ายรูปเขาที่เป็นรูปเดี่ยวๆ ไม่ได้สักที แล้วทำไมตอนถ่ายคู่กันถึงยิ้มได้เล่า...

อ๋อ...เพราะหันมาฉวยโอกาสหอมแก้มบ้าง กัดแก้มบ้างจนผมหลุดทำหน้าตาตลกๆ ออกไปทุกทีเลยยิ้มออกนี่เอง

“เอานิ้วไปแทะแทนไหมจะได้ยิ้มออก” ที่พูดนี่ประชดด้วยความหัวร้อนล้วนๆ แถมด้วยการยื่นนิ้วไปล่อเขี้ยวให้ด้วยอีกที แต่ใครจะคิดว่าคนหน้าปลาตายจะแสยะยิ้ม ดึงนิ้วผมไปจ่อปากตัวเองจริงๆ

“ไม่แทะ จะเลีย เลียเสร็จแล้วจะกินเข้าไปทั้งนิ้วเลย อย่าร้องไห้ล่ะ”

“ไอ้บ้านี่!” ผมสะบัดนิ้วออกจากการเกาะกุมแทบไม่ทัน ไม่ถ่งไม่ถ่ายมันแล้ว ขืนเขากัดขึ้นมาจริงๆ ผมร้องไห้ตายแน่ แค่บาดแผลที่ร่างกายกว่าจะหายก็ต้องทนเจ็บมาตั้งหลายวัน

หลังจากนั่งคุยกัน หยอกล้อกันไปมาจนท้องฟ้าเริ่มมืด ผมกับภามก็เริ่มทานอาหารเย็นกันอีกครั้ง โดนมีแสงไฟจากเรือเป็นตัวช่วยให้ทุกอย่างยังคงมองเห็นได้อยู่ ภามที่กินข้าวเสร็จก่อนลุกขึ้นถือกล้องเดินไปรอบเรือ ถ่ายรูปทิวทัศน์ด้านนอกอยู่นาน หลายครั้งที่ผมเห็นเขายืนนิ่ง ยกกล้องหนักๆ ค้างไว้ราวกับรอเวลา ผ่านไปนานหลายนาทีจึงกดชัตเตอร์ ในตอนนั้นเองที่นึกขึ้นได้ว่าภามก็คงลำบากกับหน้าที่การงานไม่แพ้กัน แต่ถึงอย่างนั้นเขาก็ยังคงดูแลผมได้อย่างไม่มีขาดตกบกพร่อง

ที่เคยบอกว่าตัวเองต้องการคนมาดูแล ไม่เหมาะกับการไปดูแลใคร ไม่คิดเลยว่าวันหนึ่งจะได้ตามนั้นจริงๆ...

ผมลุกขึ้นยืนช้าๆ แล้วเดินไปหยุดอยู่ด้านหลังคนที่ถือกล้องซูมไปบนท้องฟ้า สองแขนคว้ากอดเอวเขาไว้จากทางด้านหลัง ก่อนจะแนบใบหน้าลงกับแผ่นหลังกว้าง อยากส่งมอบความรู้สึกดีใจและขอบคุณที่มีไปให้เขา

“ตอนนี้ฉันคิดภาพเวลาที่ไม่มีนายไม่ออกแล้ว”

ภามแกะแขนผมที่พาดอยู่บนเอวเขาออกแล้วหันหน้ากลับมากอดไหล่กันไว้หลวมๆ แทน ใบหน้าปลาตายที่ใครต่อใครหวาดกลัวดูอ่อนโยนกว่าทุกครั้ง แม้ยามก้มลงมาจูบหน้าผากผมเบาๆ เขาก็ยังไม่ละสายตาไปไหน

“ผมก็เหมือนกัน”

“ฉันอาจไม่ค่อยมีเวลาให้นาย...”

“ไม่เป็นไร”

“อาจไม่ได้ไปเที่ยวด้วยกันบ่อยๆ เหมือนคนอื่น”

“ผมเที่ยวมามากพอแล้ว”

“ฉันเอาแต่ใจแล้วก็ขี้เกียจมากด้วยนะ”

“ยอมรับแล้วเหรอ”

ผมหน้าหงิก ฝังหน้าลงกับอกภามแล้วกัดท่อนแขนของเขาที่อยู่ใกล้ปากด้วยความหมั่นไส้ไปหนึ่งที ซึ่งแน่นอนว่าคนหนังหนาอย่างเขาไม่มีทางสะทกสะท้านกับอะไรแค่นี้หรอก

“แต่เวลาที่เหลือนอกจากตอนทำงาน...ฉันจะให้นายทั้งหมดนะ”

“ไม่ต้องหรอก” ภามพูดเสียงแผ่วแล้วเชยคางผมขึ้นให้มองสบตาเขาเหมือนเดิม “คุณจะเก็บเวลาพวกนั้นไว้ให้ตัวเอง ให้เพื่อน หรือให้ใครบ้างก็ได้ ขอแค่มีพื้นที่ให้ผมอยู่เคียงข้างคุณเสมอก็พอแล้ว”

พอได้ฟังคำพูดที่ดูแฝงความจริงจังไว้หลายส่วนนั่นแล้ว ผมก็หลุดยิ้มออกมาอย่างกลั้นไม่อยู่ จนต้องแก้เขินด้วยการยื่นมือไปบีบจมูกโด่งๆ นั่นหนึ่งที

“พ่อพระเอก...”

เขาหัวเราะ ใบหน้าปลาตายดูน่ามองมากจนผมอยากหยิบกล้องมาถ่ายไว้ ติดอยู่ตรงที่รู้อยู่แล้วว่าขอแค่ยื่นมือไปแตะ อีกฝ่ายก็คงรู้ตัวแล้วหุบยิ้มโดยอัตโนมัติก่อนจะได้กดชัตเตอร์แน่ๆ

“งั้นคุณก็เป็นนางเอกสิ”

“หน้าตาฉันเหมือนางเอกเหรอ”

“ไม่...หน้าตาเหมือนตัวขี้เกียจที่น่าจะตายอนาถ”

“บอกว่าเป็นตัวประกอบเลยก็ได้นะ” ว่าแล้วผมก็จัดการล็อคคอภาม ลากเขาเดินเข้าไปด้านในตัวเรือ พาไปที่ชั้นล่างซึ่งเป็นห้องนอนสุดหรูซึ่งไม้บอกว่ายังไม่มีใครเคยลงไปใช้ เพราะลุงเหมสั่งให้เอาไว้สำหรับคุณไฟหรือสำหรับภามเท่านั้น

ไม้เคยบอกผมว่าเก้ากับพี่ภูมีเรือส่วนตัวลำหนึ่งอยู่แล้ว แต่ปกติจะไม่ได้เอาออกมาใช้เท่าไหร่นักเลยจอดไว้ที่ฝั่งตลอด แล้วภามก็ไม่ได้เรื่องมากอะไรด้วย ใครเอาเรืออะไรมารับเขาก็นั่งได้หมดทั้งนั้น ลงท้ายเราเลยเอาเรือคุณไฟมาใช้เสียคุ้ม ซึ่งไม้ก็สนับสนุน บอกเอาให้พังไปเลยเขาก็ไม่ว่าอะไรหรอก

ก็นะ...ลืมไปว่าไม้สนิทสนมกับคุณไฟมาก

“จะนอนแล้วเหรอ” ภามถามเมื่อเห็นผมทิ้งตัวลงไปบนเตียงแบบไม่สนใจโลก

“ยังหรอก นอนเล่นเฉยๆ” ว่าไปนั่นแต่ตาเริ่มปรืออยู่เหมือนกัน ลืมไปว่าเป็นพวกหัวถึงหมอนแล้วง่วงได้ทันทีโดยไม่ต้องมีอะไรช่วย

“ไปอาบน้ำก่อนเถอะ ถ้าง่วงจะได้นอนเลย”

ผมลุกขึ้นงัวเงียเดินไปเข้าห้องน้ำตามคำสั่งของภามโดยไม่ได้พูดอะไร แอบหงุดหงิดนิดหน่อยที่ห้องน้ำเล็กจนภามเข้ามาอาบด้วยไม่ได้ ไม่อย่างนั้นคงไม่ต้องทำอะไรเองแล้ว แค่อยู่เฉยๆ ก็อาบน้ำเสร็จได้

“ถ้าง่วงก็นอนไปก่อนเลยนะ” ภามลูบหัวผมเบาๆ ตอนที่เขากำลังจะเดินสวนไปอาบน้ำต่อ ผมพยักหน้าอือออ แต่พอไปนอนอยู่บนเตียงก็คิดนั่นคิดนี่รอ ไม่ยอมหลับง่ายๆ เพราะเคยชินกับการกอดเขาจนหลับไปมากกว่า

ตอนแรกอุตส่าห์วางแผนไว้ว่าตอนดึกมากๆ ช่วงเที่ยงคืนตีหนึ่งจะไปดูดาวสักหน่อย กลับกลายเป็นยังไม่ทันสี่ทุ่มผมก็เหี่ยวเป็นผักต้องการการพักผ่อนไปก่อนแล้ว โชคดีที่ยังไม่ได้บอกภาม ไม่งั้นลึกๆ ในใจเขาอาจจะเฟลก็ได้ที่ผมชิ่งหลับไปก่อนโดยไม่ยอมทำตามแผน ยังจำตอนก่อปราสาททรายที่มีคนหัวร้อนเพราะผมไม่ยอมสร้างให้เสร็จได้อยู่เลย

“หัวเราะอะไร” มือเย็นๆ ของคนที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จวางทาบลงบนแก้มจนผมจั๊กจี้ เผลอหมุนหัวหนีโดยอัตโนมัติ คล้ายได้ยินเสียงภามหัวเราะ ก่อนเตียงจะยวบลงเมื่อเขาล้มตัวลงนอนด้านข้าง “คิดว่าจะหลับไปก่อนแล้ว”

“ไม่มีฮีตเตอร์หลับไม่ลง” ผมว่าแล้วขยับขยุกขยิกเข้าไปซุกฮีตเตอร์ที่ว่าเหมือนทุกคืนที่ผ่านมา

“งั้นก็นอนเถอะ” เขากอดกลับแล้วลูบหัวกันเป็นการกล่อม ซึ่งมันก็ได้ผลเหมือนทุกวัน ไม่กี่นาทีหลังจากนั้นผมก็หลับสนิท ปล่อยสติให้ล่องลอยไปช้าๆ โดยไม่ลืมกระชับอ้อมแขนให้แนบแน่นขึ้นกันคนหายด้วย

(อ่านต่อด้านล่าง)
.
.



ออฟไลน์ CHESS.

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +228/-2
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน==[CH.34]== [17/09/61]
«ตอบ #206 เมื่อ18-09-2018 20:01:26 »



ปกติเวลาได้หลับไปแล้วผมมักไม่ตื่นขึ้นมากลางดึก เป็นพวกหลับสนิทระยะสุดท้าย ต่อให้มีคนเหยียบลูกโป่งแตกก็นอนต่อได้แบบไม่รู้เรื่อง ทว่าน่าแปลกที่ครั้งนี้ผมดันตื่นขึ้นมาเพราะรู้สึกหนาวแบบแปลกๆ เหมือนฮีตเตอร์ทำความร้อนที่กอดไว้หายไปไหนก็ไม่รู้ และเมื่อลืมตาขึ้นมาก็พบว่ามันคือเรื่องจริง

ภามหาย...

แต่ถูกแทนที่ด้วยเทียนในแก้วทรงเตี้ยที่ถูกวางไว้รอบห้องแทน

ผมกวาดสายตามองไปรอบด้าน เพ่งมองเทียนที่กระจัดจายอยู่จนทั่วห้องทีละเล่มจนครบแล้วจึงค่อยๆ ขยับกายลุกจากเตียง เปิดประตูเดินขึ้นไปด้านบน ก่อนจะต้องหัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเห็นเทียนแบบเดียวกันกับในห้องวางขนานกันเป็นทางยาว เหลือพื้นที่ไว้ให้เดินไปตามทางแค่นิดเดียวเท่านั้น

“เล่นอะไรเน่ีย...”

ถึงจะพูดแบบนั้น แต่ผมก็ยังเดินไปตามทาง ก้มหน้าลงมองเทียนทั้งสองข้างอย่างเพลิดเพลิน แม้จะถูกพาให้เดินวนเป็นวงกลมซับซ้อนก็ไม่คิดบ่น กระทั่งมันพามาหยุดอยู่ตรงพื้นที่หน้าเรือ เทียนที่ถูกวางขนานกันมาเป็นเส้นทางกระจายตัวออกเป็นวงกว้าง และที่จุดกึ่งกลางของวงกลมที่ว่างเปล่า...มีผู้ชายคนหนึ่งยืนอยู่ตรงนั้น

ภามไม่ได้ใส่ชุดสูทหรูหราให้เข้ากับสถานการณ์อะไร เขาใส่เสื้อเชิ้ตสีขาว กางเกงขาสั้นยาวเท่าเข่า ทั้งยังไม่ได้ใส่รองเท้าเลยด้วยซ้ำ แต่ผมกลับรู้สึกเหมือนวันนี้เขาดูดีมากเป็นพิเศษ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะแสงเทียน...หรือเป็นรอยยิ้มน่ามองนั่นกันแน่

“ผมไม่ใช่คนโรแมนติก...” เขาพูดขึ้นช้าๆ ในขณะที่ผมเดินเข้าไปหาทีละก้าว

“ถ้านายเป็นพวกโรแมนติกฉันคงรู้สึกแปลกๆ” ผมหัวเราะอย่างจริงจัง คิดตามที่พูดจริงๆ เพราะตัวเองก็นึกภาพภามโรแมนติกไม่ออกเหมือนกัน “เหมือนที่รู้สึกอยู่ตอนนี้”

“ถ้าผมบอกว่าไม่ได้คิดเอง คุณจะผิดหวังหรือเปล่า”

“โล่งอกต่างหาก” ว่าแล้วก็เงยหน้ามองคนสารภาพผิดยิ้มๆ “ถ้านายคิดเองนี่ฉันต้องหัวใจวายตายแน่ๆ”

คนฟังยิ้มจาง มือข้างหนึ่งยกขึ้นเกลี่ยแก้มผมอย่างอ่อนโยน ในขณะที่แววตาของเขาส่งผ่านความรู้สึกมากมายมาให้ ไม่ต่างจากผมที่กำลังมองเขาด้วยแววตาแบบเดียวกัน

“อันที่จริง...เก้าบอกให้ผมชวนคุณเต้นรำด้วย เสร็จแล้วถ้าหลอกจูบได้เมื่อไหร่ คุณก็จะยอมให้ผมกอด”

“…ที่พูดมานั่นไม่ได้ตั้งใจทำลายบรรยากาศถูกไหม” แค่ได้ยินชื่อไอ้เก้าก็คิ้วกระตุกแล้ว ผมมั่นใจว่ามันต้องเคยโดนมาก่อนแน่ๆ ถึงได้กล้าแนะนำอะไรน่าอายแบบนั้นให้ภามทำตาม

บอกให้ผู้ชายอายุสามสิบเต้นรำเนี่ยนะ...ถามจริง

“ไม่ต้องห่วงหรอก ผมเต้นรำไม่เป็น” ภามพูดหน้าตาย ทำเหมือนเมื่อกี้ไม่มีอะไรเกิดขึ้นทั้งนั้น “เพราะถ้าเต้นเป็นคงไม่ยอมเฉลยให้คุณฟัง”

“พวกนายเหมาะเป็นเพื่อนกันจริงๆ” ผมแขวะอย่างอดไม่อยู่ บรรยากาศดีๆ ที่สร้างมาปลิวไปไหนหมดแล้วก็ไม่รู้

พอเห็นภามเอาแต่ยิ้มไม่พูดอะไรแล้ว ผมเลยเดินไปเกาะขอบเรือ สายตามองไปยังดวงดาวบนท้องฟ้าที่เห็นชัดเอามากๆ ด้วยความตื่นเต้น เพราะตั้งแต่เกิดมายังไม่เคยได้มาดูดาวในทะเลแบบนี้มาก่อนเลย มันสวยมากจริงๆ นั่นแหละ แตกต่างจากในกรุงเทพฯ อย่างเห็นได้ชัดชนิดที่เอาไปเทียบกันแทบไม่ได้เลยด้วยซ้ำ

“สุขสันต์วันเกิดอีกรอบนะ” เสียงกระซิบข้างใบหูมาพร้อมกับอ้อมกอดอบอุ่นของคนที่เข้ามาโอบผมไว้จากทางด้านหลัง

ในที่สุดก็รู้แล้วว่าจุดประสงค์ของภามคืออะไรกันแน่...

“บอกแล้วไงว่าไม่ต้องทำอะไรให้ก็ได้” เพราะของขวัญที่เขาบอกผมได้รับมาตั้งนานแล้วจริงๆ

“ผมมีของขวัญให้คุณอีกอย่าง”

ผมเงยหน้ามองภามด้วยความแปลกใจ ก่อนจะต้องแปลกใจหนักกว่าเก่าเมื่อเขาเอากล้องสุดหวงที่พกติดตัวมาโดยตลอดคล้องลงบนคอผม

“กล้อง...”

“เปิดดูสิ”

เพราะไม่รู้ว่าควรทำอย่างไร ผมจึงได้แต่ยืนนิ่งเป็นหุ่นขี้ผึ้ง สุดท้ายคนด้านหลังถึงได้กอบกุมมือผมที่ถือกล้องไว้ แล้วใช้ปลายนิ้วของเขาเปิดหน้าจอให้ดูภาพด้วยตัวเอง

“ภาม…”

“นี่คือภาพตอนผมออกเดินทางครั้งแรก” เขาวางคางลงบนไหล่ผมแล้วชี้ชวนให้หันกลับไปสนใจภาพบนหน้าจอ กระทั่งผมยอมมองแล้ว อีกฝ่ายถึงได้กดเลื่อนไปยังภาพต่อไป พร้อมกับพูดอธิบายไปเรื่อยๆ “อันนี้เป็นตอนไปฝึกยูโด...”

เรายืนกอดกันดูภาพถ่ายในกล้องอยู่อย่างนั้นโดยไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อย แรกๆ ผมยังงุนงงไม่เข้าใจ ทว่าเมื่อผ่านไปสองสามภาพก็หลุดเข้าไปในห้วงอารมณ์ของความอยากรู้อยากเห็น จนเผลอถามนั่นนี่ออกไปหลายอย่าง ปล่อยให้ภาพเล่าเรื่องนั้นเรื่องนี้ให้ฟังอย่างสนุกสนาน

“ที่นี่ฝรั่งเศสหรือเปล่า...”

“ใช่”

“ว้าว...ฉันอยากไปมากเลย”

“สักวันผมจะพาไป” เขาบอกแล้วเลื่อนนิ้วกดภาพถัดไป

ทุกภาพที่ภามถ่ายออกมาเต็มไปด้วยความทรงจำและความรู้สึกมากมาย ชนิดที่ว่าต่อให้ผมไม่ได้อยู่ในเหตุการณ์นั้นกับเขา ก็ยังรับรู้ถึงความรู้สึกพวกนั้นได้ ที่ภามเคยบอกว่าเขาจะถ่ายตามอารมณ์ของตัวเองในยามนั้นมันไม่ได้เกินจริงเลยสักนิด เพราะยิ่งผ่านไปนานเท่าไหร่ รอยยิ้มของผมก็เริ่มจืดจางลงเรื่อยๆ กลายเป็นต้องเม้มปากแน่นเพื่อสะกดกลั้นอารมณ์ที่กำลังปะทุอยู่ภายในแทน

“ตอนนี้ผมได้เจอคุณแล้ว...” เขาพูดด้วยน้ำเสียงสดใส ขณะเลื่อนดูภาพผมที่ถูกแอบถ่ายทีละรูปอย่างใจเย็น

“…”

“คุณจำที่ผมเคยบอกว่ารูปที่ผมถ่ายบอกเล่าเรื่องราวได้มากมายแม้กระทั่งอารมณ์ของผมในยามนั้นได้หรือเปล่า” หน้าจอกล้องถูกหยุดลงที่ภาพถ่ายคู่กันของเราสองคน ซึ่งตอนนั้นเราถ่ายด้วยกันในวันสุดท้ายก่อนจะต้องแยกย้ายเมื่อเข้าเมือง

“จำได้..."

‘สำหรับผม รูปที่ถ่ายออกมาไม่ใช่แค่แสดงให้เห็นถึงความสวยงามของสถานที่นั้นๆ แต่มันบอกเรื่องราวได้มากมาย แม้กระทั่งอารมณ์ของผมในยามที่กดถ่ายออกมา’

“คุณมองเห็นความแตกต่างของรูปพวกนี้ไหม...”

“…” ผมเม้มปากแน่น ไม่ยอมตอบคำถาม

“ตอนออกเดินทาง ผมมองเห็นความสวยงามของสถานที่ แต่ไม่เคยมีความสุขกับมันเลยนิด” อ้อมกอดที่รัดเอวผมไว้กระชับแน่นขึ้นเล็กน้อย “จนได้มาเจอคุณ โลกของผมถึงได้กลับมามีสีสันอีกครั้ง”

“…"

“ผมให้กล้องตัวนี้กับคุณ เพราะมันคือกล้องที่บันทึกเรื่องราวของการเดินทางอันยาวนานเพื่อตามหาความสุขของผมเอาไว้” เขากระซิบบอก ก่อนจะกดริมฝีปากอุ่นร้อนลงตรงข้างแก้มของผมแผ่วเบา ส่งผ่านความอบอุ่นและความรักมากมายมาให้ “แต่เพราะไม่ต้องตามหาอีกแล้วผมถึงอยากให้คุณเก็บมันเอาไว้ เพื่อให้รู้ว่าสิ่งที่ผมทุ่มเทมาโดยตลอด...”

“…”

“ทั้งหมดก็เพื่อให้ได้พบคุณเท่านั้น”

ผมแกะแขนภามออกจากเอว หมุนตัวกลับไปหาแล้วพุ่งเข้าไปกอดเขาไว้แน่น ความรู้สึกมากมายมันตื้ออยู่ในอกจนไม่รู้ว่าต้องพูดออกมาอย่างไรถึงจะอธิบายได้หมด ผมไม่ได้สะอึกสะอื้น ไม่ได้เศร้าเสียใจ แต่ที่น้ำตาไหลเป็นเพราะเพิ่งรู้ตัวว่าเขาเหนื่อยมามากขนาดเพียงเพื่อให้เราได้เจอกัน แล้วผมก็ดีใจเหลือเกินที่เขาพยายามมากขนาดนี้

“อย่าร้อง...” ภามดันตัวออกแล้วใช้ปลายนิ้วเช็ดน้ำตาให้ผมอย่างอ่อนโยน

“ภาม…”

“หืม”

“วันนี้นายยังไม่ได้ถ่ายรูปฉันเลย”

เขาเลิกคิ้ว ทำหน้าตาประหลาดใจ แต่แล้วก็หัวเราะออกมาเบาๆ เมื่อเข้าใจความหมายที่ผมต้องการสื่อ

‘หนึ่งภาพถ่ายคือหนึ่งเรื่องราวที่ผมจะเก็บเอาไว้ในความทรงจำ และจากวันนี้ ผมจะเก็บบันทึกเรื่องราวของคุณทุกวัน...จนกว่าคุณจะคิดตรงกันกับผม’

“แล้วคุณคิดตรงกันกับผมหรือยัง”

ผมฉีกยิ้มกว้าง แสร้งทำหน้าตาคล้ายจะบอกว่ายังต้องถามอีกเหรอ แล้วก็เปลี่ยนเป็นพุ่งเข้าไปกอดเขาแน่นพร้อมตอบคำถามที่ติดค้างไว้ในใจมาเนิ่นนาน

“ตรงตั้งนานแล้ว”

“ถ้างั้นจากวันนี้...ผมจะเก็บบันทึกเรื่องราวของคุณทุกวัน จนกว่าจะถึงวันสุดท้ายของชีวิตเราเลยดีไหม”

“ดี!”

ภามหัวเราะมีความสุขแล้วโยกตัวไปมา แกว่งผมให้เอียงตัวตามการชักนำของเขาไปด้วย แต่ไม่รู้แกว่งไปแกว่งมาอีท่าไหน สุดท้ายถึงล้มลงไปกองอยู่กับพื้นกันทั้งคู่ แต่โชคดีที่ภามรับแรงกระแทกไว้แทนทั้งหมด ผมเลยไม่ได้ทำลายบรรยากาศด้วยการร้องโอดโอย

“ท่านี้สบายเหรอ” คนที่ถูกผมทับตัวไว้เอ่ยถาม

“มากๆ”

“งั้นก็โอเค” เขาว่าแล้วบีบแก้มผมไปมา ปล่อยให้ผมจ้องหน้าโดยไม่พูดอะไรอยู่นาน

“จำได้ไหมตอนที่เราตัดสินใจออกเดินทางไปด้วยกัน นายบอกว่านายจะได้เจอคำตอบของตัวเอง ส่วนฉันจะเจอหนทางแก้ไขความรู้สึกแย่ๆ ที่เป็นอยู่” ผมก้มลงงับปลายจมูกนั่นเบาๆ ด้วยความมันเขี้ยว “ฉันรู้แล้วว่าสิ่งที่ตัวเองขาดหายไปคืออะไร”

“…”

“คำตอบสำหรับทุกคำถามก็คือนาย”

คนฟังประคองแก้มผมไว้ บังคับให้โน้มลงไปหา ก่อนเขาจะกดริมฝีปากลงบนปลายจมูกผมแรงๆ คล้ายเป็นการเอาคืน หากคำพูดที่เอ่ยออกมากลับทำให้ใจเต้นแรงจนแทบบ้า

“คำตอบของผมก็คือคุณเหมือนกัน...อนาคิน”

“ทำไมชอบเรียกฉันว่าอนาคินนัก” ผมถามด้วยความสงสัยจริงจัง

“เพราะไม่มีใครเรียกคุณแบบนั้น”

“เหตุผลอะไรก็ไม่รู้”

“แล้วอีกอย่าง...” ภามเว้นช่วงไปเล็กน้อย ใบหน้าฉายแววเจ้าเล่ห์จนผมเผลอขยับตัว รับรู้ได้ว่าควรลุกออกจากตัวเขาเดี๋ยวนี้ก่อนจะแย่ แต่ก็ไม่ทันแล้วเพราะโดนรวบเอวเอาไว้แน่น

“หือ”

“ไม่บอกดีกว่า” ว่าจบคนนิสัยไม่ดีก็พลิกตัวกะทันหัน ไม่รอให้ถูกโวยวายใส่ด้วยความอยากรู้ เขาก็โน้มใบหน้าลงมาปิดกั้นช่องทางในการพูดของผมอย่างรวดเร็ว

เอาเถอะ...ยังมีเวลาอีกมากมายให้ตามหาคำตอบ

เพราะเรายังต้องอยู่ด้วยกันไปอีกนาน

.

.

ครั้งหนึ่งผมเคยเป็นคนหมดไฟที่รู้ตัวว่าต้องการบางสิ่งมาเติมเต็มแต่กลับไม่เคยคิดตามหามัน ผมเคยคิดว่าต่อให้ไม่มีสิ่งนั้นมันก็ไม่ได้ส่งผลต่อชีวิตมากมาย ถึงเวลานั้นผมก็ยังเป็นหมอเจได ใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อยต่อไป ไม่จำเป็นต้องออกไปค้นหา เป็นตัวขี้เกียจที่เอาแต่รอให้สิ่งที่ว่านั่นวิ่งเข้ามาหาตัวเองก็ดีอยู่แล้ว

แต่แล้วเขาก็เข้ามา...

คนที่ทำให้หัวใจสูบฉีดอยู่ตลอดเวลา คนที่ทำให้ตอนตื่นเช้าขึ้นมาทุกวันดูมีความหมาย เขาคือคนที่ตรงข้ามกับผมแทบทุกอย่าง เป็นคนที่ออกเดินทางเพื่อตามหาสิ่งที่ต้องการโดยไม่ย่อท้อ แตกต่างจากผมที่เอาแต่หลบอยู่ในพื้นที่ของตัวเองเพียงลำพัง ทว่าวันหนึ่งเขาก็เดินเข้ามาหา ลากผมออกไปจากมุมมืด ทำให้ผมได้รู้จักกับความหมายของคำว่าชีวิต

และท้ายที่สุดคือทำให้ผมได้รู้จักกับคำว่า ‘รัก’

เพราะแบบนั้นผมถึงนึกขึ้นได้ เพราะแบบนั้นผมถึงได้เข้าใจ ว่าที่ผมได้เจอสิ่งที่ขาดหายไป มันไม่ใช่เพราะผมไม่พยายาม ไม่ใช่เพราะสิ่งเหล่านั้นวิ่งเข้ามาหาตัวเอง...

แต่เป็นเพราะเขาช่วยพยายามในส่วนที่ขาด...เราถึงได้มีกันจวบจนทุกวันนี้

ดังนั้นต่อจากนี้ผมจะพยายามไปพร้อมกับเขา

จะยอมทำทุกอย่างเพื่อเรา

ขอแค่ให้เขาเป็นภามของผม

ให้ผมเป็นอนาคินของเขา

ทั้งจากนี้และตลอดไปก็พอ

   


END



TALK : จบแล้วค่า ขอบพระคุณทุกคนที่ติดตามมาโดยตลอดนะคะ ทั้งคนที่เพิ่งมาอ่านเรื่องนี้ และคนที่ติดตามมาตั้งแต่เรื่องแรกที่เจไดปรากฏตัว ยันเรื่องที่สองที่น้องภามตามมา สุดท้ายเขาก็ได้มาคู่กันจนได้ ฮ่าๆ

ตอนแรกเราเคยบอกว่าจะปล่อยให้เจไดเป็นโสด ไม่มีคู่ให้นาง แต่พอมาเขียนภูเก้า(คู่พี่ชายภาม) ความรู้สึกที่มีคืออยากเห็นภามมีความสุข น้องเจออะไรมาเยอะมาก ไม่ใช่แค่ PTSD ไม่ใช่แค่โรคซึมเศร้า มันมากยิ่งกว่านั้นจนทำให้เด็กคนหนึ่งไม่มีแม้กระทั่งความสุข เราเลยคิดว่าเจไดน่าจะเป็นคนนั้นได้ เพราะนางก็มีสิ่งที่ต้องการเหมือนกัน สรุปเลยกลายเป็นคนสองคนที่เข้ากันได้ คอยฮีลกันจนหายดี แฮปปี้น่าอิจฉาไปซะอย่างนั้น

สำหรับอนาคินจะเปิดพรีช่วงเดือนมกราคม2019กับสำนักพิมพ์ฟาไฉนะคะ(2เล่มจบ+BOX) เดี๋ยวใกล้ๆจะถึงเวลาเราจะมาแจ้งในหน้านิยาย แล้วก็จะเอาตัวอย่างตอนพิเศษในเล่มมาลงให้ด้วย (ตอนพิเศษในเล่มมี 9 ตอนเต็มๆ ยาวเท่าตอนหลักเลย)

ทั้งนี้ก็อยากจะฝากผลงานเรื่องเก่าๆ และเรื่องต่อๆไปของเราไว้ด้วยนะคะ หวังว่าจะได้พบกันใหม่ในงานเรื่องต่อไปน้า
สำหรับนิยายเซตนี้ (ออกซิเจน ไนโตรเจน อนาคิน) ยังเหลืออีกหนึ่งคู่คือคู่ของน้องมูนน้องระที่น่าจะได้เจอกันต้นปีหน้าค่ะ(น้องมูนเคยปรากฏตัวในออกซิเจน) แล้วก็มีเซต 3KINGS ที่คู่สองใกล้ออนแอร์แล้วด้วย (ยังมีโปรเจกต์ลับอีกมากมายเลย ยังไงรอติดตามได้นะคะ)

ขอบพระคุณค่ะ
Chesshire

ช่องทางการติดตาม FB Page : Chesshire.  //  Twitter : @Chesshire04

ออฟไลน์ toomild

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 186
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
«ตอบ #207 เมื่อ18-09-2018 22:52:49 »

จบแล้วต้องคิดถึงหมอกากมากแน่ๆเลยค่ะ ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ :pig4:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
«ตอบ #208 เมื่อ19-09-2018 01:30:25 »

 :pig4:  :pig4:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
Re: ┌▼ANAKIN▲┘==อนาคิน== [จบ.]
«ตอบ #209 เมื่อ19-09-2018 02:42:33 »

 :L2: :L2: :L2:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด