งวดสิบเก้า ต่างคนต่างไป
“ผู้กองครับ” ไอ้น้ำเรียกผู้กองตอนที่ทั้งคู่อยู่ในห้องนอนของน้ำ
“ครับ?” ปรานต์ตอบอีกฝ่าย โดยไม่ละมือจากเสื้อผ้าที่กำลังเก็บลงกระเป๋า พรุ่งนี้เขาจะย้ายกลับไปนอนที่บ้านพักของตัวเองแล้ว
“เรื่องคดีคุณพัด ผมได้ข้อมูลเพิ่มมาแล้วนะ”
“อย่างนั้นเหรอ เรื่องเป็นยังไงบ้าง” พอพูดถึงเรื่องคดี ผู้กองหนุ่มหยุดพักสิ่งที่กำลังทำอยู่สักครู่เพื่อรับฟังจากอีกฝ่ายด้วยความตั้งใจ
“ถามจริงๆ นะ ผู้กองสงสัยพี่สินบ้างมั้ย” น้ำถามอีกฝ่ายหลังเล่าจบ
“นายว่ายังไงล่ะ”
“ถามกลับอีกละ เบื่อจริง ...” น้ำบ่นแต่ก็ยอมตอบแต่โดยดี “ผมไม่สงสัยพี่สิน”
“คิดเหมือนกัน ฉันเองก็ไม่สงสัยนายสิน อย่างน้อยก็ในตอนนี้”
“ทำไมล่ะครับ”
“อย่างที่นายรู้ เรื่องที่นายสินชอบทุบตีทำร้ายร่างกายภรรยา มันก็มีส่วนที่ทำให้ชวนสงสัย แต่พอสืบคดีดู จากประวัติแล้ว นายสินไม่เคยบีบคอหรือทำร้ายบริเวณคอของคุณพัดเลยสักครั้งเดียว ซึ่งครั้งนี้นายก็รู้ว่าสาเหตุการตายคืออะไร”
“ขาดอากาศหายใจ? แล้วเกี่ยวอะไรกับบีบคอครับ” น้ำถามด้วยความสงสัย
“นายสินไม่เคยบีบคอคุณพัดแปลว่า ไม่เคยลงมือถึงขั้นให้ขาดอากาศมาก่อน แต่ครั้งนี้จากผลชันสูตร ภายในช่องปากมีร่องรอยเลือดออก เหมือนถูกกัดทับด้วยของบางอย่างจนหายใจไม่ออกจนตาย”
“...”
“แล้วรูปร่างอย่างนายสิน ไม่น่าจะต้องพึ่งอุปกรณ์อะไรมาทุ่นแรง ถ้าหากจะพลั้งมือฆ่าคนตาย จริงมั้ย นายลองคิดดู” น้ำคิดทบทวนอย่างผู้กองว่าก็คิดว่าจริง เขายังไม่อยากคิดถ้าโดนพี่สินต่อยหมัดเดียวคงจอดไม่ต้องแจวเลย
“ก็จริง” น้ำพึมพำตอบ
“ฉันเองก็พอจะเดาสถานการณ์ออกบ้างแล้วล่ะ ขอเก็บรวบรวมหลักฐานอีกนิดคงจะออกหมายจับได้เร็วๆ นี้”
“เดี๋ยวนะ อย่าบอกว่าผู้กองรู้แล้วว่าใครคือฆาตกร”
“ก็ไม่เชิง แค่คิดว่าใช่ ถึงขอรวบรวมหลักฐานอีกนิด”
“ใครอะ”
“บอกแล้วไง ว่าลองคิดสิว่าเป็นใคร สืบดูหน่อย”
“ใจร้าย แค่นี้เอง บอกหน่อยก็ไม่ได้” ไอ้น้ำบ่นอุบเพราะมันอยากรู้มาก
“ไม่ได้ใจร้าย แต่ผลยังไม่สรุป ไม่อยากปรักปรำใคร”
“อยากรู้...” เสียงครวญชวนสงสารดังมาจากเจ้าของห้อง แต่ผู้กองก็ไม่ใจอ่อน
“อย่างอนไปเลย”
“ไม่ได้งอนสักหน่อย”
“แล้วทำหน้าแบบนั้นคือไม่งอน?”
“หน้าแบบไหน”
“ปากคว่ำ หน้ามุ่ย ไม่รู้เหรอตัวเองทำหน้าแบบไหนอยู่ ลองส่องกระจกสิ” ไม่พูดเปล่า ผู้กองเดินเข้ามาจับใบหน้าของไอ้น้ำหันเข้าหน้ากระจกบานใหญ่ในห้อง เจ้าของใบหน้าถึงกับตกใจเมื่อเห็นใบหน้าตัวเอง
“เฮ้ย น่าเกลียด ทำหน้าอะไรของแกวะไอ้น้ำ แหวะ อย่างกับผู้หญิง” น้ำด่าตัวเองพลางตบหน้าตัวเองไม่เบานัก เขาเคยเห็นสีหน้าแบบนี้เวลาที่ผู้หญิงถูกขัดใจหรือไม่ได้อะไรดังใจ
“ตีตัวเองทำไม ช้ำหมด” ปรานต์เห็นอีกฝ่ายกำลังทำร้ายใบหน้าของตัวเองอยู่ก็รีบดึงมือคู่นั้นออก หน้าขาวจะไปตีตัวเองให้แดงทำไม
เพราะแรงของสองคนที่สวนทางกัน คนหนึ่งอยากจะเอาฝ่ามือพุ่งเข้าหาตัวเอง อีกคนอยากจะดันฝ่ามือนั้นออกจากกัน ทำให้มีแรงกระชากเกิดขึ้น ไอ้น้ำรู้สึกว่าใบหน้าของผู้กองตอนนี้ทำไมมันอยู่ใกล้เขาเหลือเกิน ดวงตาสองคู่สบตากันนิ่ง
“เอ่อ...ไม่ตีแล้ว แค่เมื่อกี้หน้าผมมันน่าเกลียดไปก็เท่านั้นแหละ” น้ำดึงมือออกจากอีกฝ่าย
“อืม พรุ่งนี้ฉันจะกลับไปนอนที่บ้านพักเหมือนเดิมแล้ว ขอบใจนายกับแม่น้อยมากที่ให้ฉันพักอยู่ด้วยในช่วงที่วรันต์อยู่ที่นี่” ผู้กองหันกลับไปเก็บของใช้ต่อ
“ไม่เป็นไร แม่ยิ่งกว่าเต็มใจเสียอีก”
“แม่น้อยของนายน่ารักนะ”
“ใช่ แม่ใจดี ถึงจะเสียงดังแต่ใจดีและน่ารักมาก” น้ำบอกอย่างภูมิใจ แม่ของเขาเป็นแม่ที่ดีที่สุดในโลก ต่อให้เอาอะไรมาแลกกับแม่ของเขา ก็ไม่มีวันยอมแลกเป็นอันขาด
“เห็นด้วย นายเองก็เหมือนกัน”
“หืม?” แปลว่าอะไร ไอ้น้ำไม่เข้าใจ
“น่ารักเหมือนกัน” คนถูกชมรู้สึกเหมือนเลือดสูบฉีดทั่วใบหน้า ตอนนี้หน้าเขาคงแดงแปร๊ดเป็นแน่
“ผะ..ผม..ป..ไป อาบน้ำก่อนแล้วกัน เชิญคุณเก็บของตามสบายเถอะ” เขารีบลุกขึ้นไปหยิบผ้าเช็ดตัวแล้วหายเข้าไปในห้องน้ำอย่างรวดเร็วเพื่อข่มอาการเขินอายของตัวเอง
โดยไม่ทันเห็นว่าคนที่เก็บของมือไม่ว่างอยู่นั้น ใบหูของเขาก็ดูแดงๆ เหมือนกัน
เช้าวันรุ่งขึ้น ผู้กองหนุ่มก็หิ้วกระเป๋าขนาดใบไม่ใหญ่นักออกมาจากห้องนอนของบุตรชายเจ้าของบ้านเพื่อมาขอบคุณที่แม่น้อยให้ความเมตตาหยิบยื่นที่พักให้เจ้าตัว
“ขอบคุณครับ แม่น้อยที่ให้ผมมาพักด้วยตั้งหลายคืน”
“ไม่เป็นไรเลย ไม่เป็นไร แค่นี้เองจ้ะ น่าเสียดาย พักต่ออีกสักหลายๆ คืนก็ได้นะ” แม่น้อยบอกอย่างใจดี
“ขอบคุณครับ แต่เพื่อนของผมเขากลับกรุงเทพฯ วันนี้แล้ว คงไม่รบกวนต่อ”
“ตามใจเถิดจ้ะ ที่นี่ต้อนรับเสมอ แล้วนี่จะไปเลยใช่มั้ย” แม่น้อยเห็นกระเป๋าเดินทางที่แขกมาพักถือออกมาด้วยก็พอจะเข้าใจ
“ครับ แวะเอากระเป๋าไปเก็บไว้ที่บ้านพักก่อนแล้วจะไปที่สน. เลยครับ”
“อืม แล้วนี่ไอ้น้ำ มันไปไหนล่ะ ไอ้น้ำ ไอ้น้ำเว้ย ไปส่งผู้กองเขาหน่อย” แม่น้อยตะโกนเรียกบุตรชาย
“ไม่เป็นไรครับ แม่น้อย ผมไปเองได้อย่าลำบากเลย”
“เอาอย่างนั้นเหรอ”
“ครับ ผมไปก่อนนะแม่น้อย” ผู้กองหนุ่มว่าพลางยกมือไหว้
“จ้ะ ไหว้พระเถิดพ่อ แวะมากินข้าวที่นี่บ่อยๆ นะ”
“แน่นอนครับ” ชายหนุ่มบอกลาอีกครั้งก่อนจะเดินหิ้วกระเป๋าลงบันไดไป
เสียงรถยนต์แล่นห่างตัวบ้านไปสักพัก ไอ้ตัวดีของแม่น้อยถึงค่อยแหยมหน้าออกมาจากห้อง
“หนอย ไอ้น้ำ พอเขาไปล่ะเพิ่งออกมา เอ็งนี่มันใช้ไม่ได้เลยจริงๆ ขายหน้าข้าไปหมด”
“อะไรกันอะแม่ ผู้กองก็อยู่แถวนี้ จะต้องทำเรื่องให้มันเอิกเกริกทำไม” น้ำเถียง
“บ๊ะ! เถียงข้า เดี๋ยวเถอะ ก็แขกจะไปจะมา เราเป็นเจ้าของบ้านก็ต้องต้อนรับขับสู้ให้มันดีๆ หน่อย เดี๋ยวเขาจะมาว่าเราได้”
“นี่ก็ต้อนรับดีสุดๆ แล้วถ้ายังมาบ่น เดี๋ยวฉันนี่แหละจะไปจัดการถึงสน.เลย” น้ำทุบอกบอกอย่างไม่กลัว
“เฮอะ เหม็นน้ำลาย แล้วนี่แต่งตัว หิ้วกระเป๋ามาด้วย จะไปไหน” แม่น้อยมองของในมือไอ้น้ำแล้วก็ถามออกมาด้วยความสงสัย
“ฉันมีธุระจะเข้าไปกรุงเทพฯ สักสองสามวันนะแม่”
“อะไรของเอ็ง จู่ๆ มาบอกข้า ปุบปับจะไป”
“จ้ะ มีเรื่องต้องจัดการนิดหน่อย”
“เออ โตแล้วจะไปจะมาก็ดูแลตัวเองด้วยแล้วกัน”
“แน่นอนจ้ะ”
“ว่าแต่กลับมาก่อนหวยออกใช่มั้ยวะ”
“แน่นอนจ้ะ” น้ำรับคำอย่างมาดมั่น ไม่มีทางพลาดเสียหรอก
“เออ ถ้าอย่างนั้นข้าก็เบาใจ”
“นี่แม่ไม่ห่วงฉันเลยเหรอ” น้ำพูดเย้าแหย่ด้วยน้ำเสียงเชิงน้อยใจ
“พูดอะไรอย่างนั้นวะ ข้าต้องห่วงเอ็งอยู่แล้ว”
“ห่วงหวยหรือห่วงฉันกันแน่”
“มันก็ทั้งสองอย่างแหละวะ ข้าว่าเอ็งอย่าถามให้มันช้ำใจเลย”
“แม่!!”
“ไปๆ รีบไปกินข้าวกินปลา เสร็จแล้วจะได้ไปรอรถ เดี๋ยวจะไปถึงมืดค่ำเสียก่อน” แม่น้อยเป็นห่วง
“จ้ะแม่”
ไม่เกินเก้าโมงดี ไอ้น้ำก็นั่งชูคออยู่บนรถตู้มุ่งหน้าเข้าสู่เมืองหลวงดินแดนศิวิไลซ์ ภารกิจแรกที่เขามาถึงก็คือเข้าไปเก็บกวาดห้องพักที่เขาเคยอาศัยอยู่ เสร็จแล้วจึงออกไปพบกับพี่บาสแล้วจึงพากันไปหาลูกค้าอีกที
“เป็นไงบ้างวะ ไอ้น้ำ สบายดีนะ” พี่บาสถามขึ้นระหว่างทางที่กำลังนั่งรถไปหาลูกค้าที่โรงแรมแห่งหนึ่งไม่ไกลจากที่พวกเขาสองคนนัดเจอกันนัก
“สบายดีพี่ แล้วพี่ล่ะ แต่ดูแล้วน่าจะสบายดีแหละ”
“กวนเหมือนเดิม ไม่เปลี่ยน พี่ก็เหมือนเดิมแหละ แกไม่อยู่ก็เหงาเหมือนกัน”
“คิดถึงผมล่ะสิ” น้ำแซว
“เปล่า เหงาหู ออฟฟิศเงียบมาก ไม่มีคนปากหมา”
“โห่ ควรดีใจมั้ยเนี่ย” เสียงหัวเราะของทั้งคู่ดังลั่นไปทั่วรถ ก่อนจะเงียบลงเปลี่ยนไปอีกบรรยากาศหนึ่ง
“พี่..แล้วคือ..คนนั้น..สบายดีมั้ย” น้ำเอ่ยถามบุคคลที่สามขึ้นมาโดยไม่มีปี่ไม่มีขลุ่ย
“เฮ้อ” พี่บาสเหล่มองคนด้านข้างแล้วถอนหายใจ ไม่ต้องเอ่ยชื่อเขาก็รู้ว่าน้ำ หนุ่มรุ่นน้องนั้นกำลังพูดถึงใคร
“พี่บาส...” น้ำเรียกชื่ออีกฝ่ายเสียงเบา เขารู้ว่าพี่บาสคงไม่ค่อยชอบใจนักหรอก แต่เขาก็อยากรู้ข่าวคราวของเธอคนนั้นบ้างนี่นา
“ก็..ยังไงดีล่ะ...มันก็ค่อยจะดีหรอก...” พี่บาสเว้นระยะไปนิดหนึ่งก่อนจะพูดต่อ “คือ..ไอ้เจน มันเลิกกับแฟนแล้ว”
“เลิกกันแล้วเหรอ? เธอเลิกกับเขาแล้วเหรอ” น้ำถามเสียงตื่นเต้น
“ใช่ หลังจากแกกลับไปอยู่บ้านไม่นาน”
“ทำไมพี่ไม่บอก ไม่เล่าอะไรให้ผมฟังเลยอะ” น้ำถามตัดพ้อ
“ให้พี่โทรไปบอกนายเพื่ออะไร ให้บอกว่า ‘เออ เจนเลิกกับแฟนแล้วนะ แกจะกลับมาหาเจนมั้ย’แบบนี้น่ะเหรอ เพ้อเจ้อ”
“ก็จริง ขอโทษทีพี่”
“ที่ไม่พอใจพี่แบบนี้ อย่าบอกนะว่าคิดจะกลับไป อย่าเชียวนะ ไอ้น้ำ พี่ขอเตือนแกด้วยความหวังดี”
“เปล่า ไม่ใช่สักหน่อย ผมก็แค่เป็นห่วงเจน”
“ไม่ต้องไปยุ่งกับเจน ปล่อยมันท้องแบบนั้นแล้วให้มันรอเลี้ยงลูกของมันไป”
“ห๊ะ!? อะไรนะพี่ เจนมีลูก?”
“เอ้า แกไม่รู้เหรอเนี่ย ก็ที่เจนมันขอเลิกกับแกก็เพราะมันท้อง” พี่บาสหันมาถามด้วยความงงงวย เรื่องมันยังไงกันวะเนี่ย
“ไม่..ไม่รู้เลยพี่ เจนไม่เคยบอกผมเรื่องนั้น”
“อืม มันท้องกับแฟนที่เพิ่งเลิกไปนั่นแหละ”
“กี่เดือนแล้วอะพี่”
“อะไร”
“เจนท้องกี่เดือนแล้ว”
“ห้าเดือน”
“ห้าเดือน...” น้ำทวนคำตอบของพี่บาส ห้าเดือนได้ไงวะ เขาเลิกกับเจนมาได้ห้าเดือนเหมือนกัน แล้วจะท้องห้าเดือนมาจากไหนวะ เลิกปุ๊ปท้องปั๊ป แบบนี้น่ะเหรอ
“คิดอะไรของแก เจนมันคบซ้อน ดูไม่ออกเลยเหรอ ไอ้น้องไอทีอีกคนที่เข้ามาใหม่คนนั้นที่ไอ้เจนมันไปสอนงาน อย่าบอกว่าเรื่องนี้ แกก็ไม่รู้อีก”
“ไม่รู้อะ” คำตอบของไอ้น้ำ ทำให้พี่บาสอยากตะโกนถามไอ้น้ำว่า อะไรของมึงเนี่ย ไม่รู้จริงดิ
“ไม่รู้?ไม่รู้ได้ไง หลงไอ้เจนจนตาบอดเหรอ” พี่บาสถึงขั้นหลุดปากด่าน้ำออกมาเพราะอารมณ์ที่โมโหแทน
“ก็ไม่เชิง คือผมก็สงสัยแหละ แต่เจนบอกว่าไม่มีอะไร”
“แล้วแกก็เชื่อ?”
“แน่นอน ผมต้องเชื่อเจนอยู่แล้ว”
“ควายเลยมั้ยล่ะ”
“เจ็บเว้ย พี่บาส ก็ควายดิ ควายเป็นๆ ไม่มีวัวผสมเลย”
“เจ็บก็ดี จำไว้ด้วย ห่วงไอ้เจนมันได้ แต่ไม่ต้องสอดมือเข้าไปยุ่ง เข้าใจ๋?”
“ก็ยังเป็นเพื่อนกันอยู่ได้ปะพี่” น้ำต่อรอง
“นี่ยังอยากเป็นเพื่อนกับมันอีกเหรอวะ ยอมใจนับถือพลังรักของมึงจริงๆ เลยว่ะ ยังรักมันอยู่เหรอวะ” ปกติแล้วพี่บาสไม่นิยมพูดจามึงกูอะไรนักเท่าไหร่ แต่คราวนี้คงเหลืออดจริงๆ
“ก็ไม่ขนาดนั้น แต่ถ้าบอกว่าลืมได้แล้ว มันก็ไม่ใช่”
“ไอ้น้ำเอ๊ย ปากเก่งทุกเรื่อง พอเรื่องนี้ตายสนิท ให้พี่แนะนำมั้ย” พี่บาสเสนอแนะด้วยความหวังดี
“แนะนำอะไรพี่”
“รีบหาแฟนใหม่ซะ แล้วมึงจะลืมผู้หญิงที่ชื่อเจนไปเลย”
“หาง่ายแบบนั้นก็ดีดิวะพี่ เกิดมาผมยังไม่เคยจีบใครเลย”
“ไอ้อ่อนหัด ไม่เคยจีบก็ลองจีบดูสิวะ ไม่ยากอะไรหรอก”
“จีบผู้หญิงเนี่ยนะ ไม่ยาก?”
“เออ เอาใจเขาเยอะๆ พาไปเที่ยวบ่อยๆ แค่นั้นก็ใจอ่อนแล้ว”
“อืม อย่างนั้นเหรอ” ไอ้น้ำครุ่นคิดกับคำแนะนำของรุ่นพี่ ทำไมในหัวของเขาถึงไม่มีค่อยภาพเจนเลย แต่กลับมีภาพของ ผู้กอง คนที่ไม่เคยบอกข้อมูลราชการให้เขาฟังเลย ใจของเขากำลังบอกอะไรกับเขากันแน่
“ทำไมต้องทำหน้าซีเรียสขนาดนั้น แค่จีบสาว ถ้าไม่เป็นเดี๋ยวพี่ช่วยสอนให้ก็ได้” บาสพูด เรื่องจีบสาว เขานี่ถนัดสุด ไม่ได้คุยโม้นะ ตำแหน่งเจ้าชู้ตัวพ่อ ชื่อนี้เขาไม่ได้มาฟรีๆ บอกไว้เลย
“ผมแค่คิดว่า แล้วจีบผู้ชายมันจะเหมือนจีบผู้หญิงด้วยมั้ย”
“อันนั้น พี่ก็ไม่รู้ว่ะ ไม่เคยจีบผู้ชายซะด้วย พูดแล้วขนลุก ถามแบบนี้หมายความว่าไง” พี่บาสถามตามความสงสัย แต่แล้วเขาก็เบิกตากว้างขึ้น “อย่าบอกนะว่า จะจีบผู้ชาย”
“อืม พี่ว่าไง ถ้าผมจะจีบผู้ชาย”
“น้ำ แกสมองกลับใช่มั้ยเนี่ย อกหักจากไอ้เจนเลยคิดจะประชดรักเหรอ ไม่ต้องทำขนาดนี้ก็ได้เว้ย”
“เปล่าพี่ ผมไม่ได้ประชด คือมันยังไม่ค่อยแน่ใจหรอก แต่มันก็แปลกๆ อะ เวลาอยู่ใกล้เขาแล้วรู้สึกยังไงไม่รู้ แบบไม่ได้รังเกียจอะไรอย่างนี้” น้ำพูดไปตามความรู้สึก
“โธ่ ถังกาละมัง น้องกู อกหักรักคุดเมินหญิงไปซบอกผู้ชายเสียแล้ว แน่ใจแล้วเหรอวะ”
“ซบอกอะไรล่ะ เขาสิต้องซบอกผม ถ้ายังไง ผมลองจีบดูก่อนก็ได้ ถ้าไม่เวิร์คเดี๋ยวค่อยเปลี่ยนใจ”
“ท่าจะบ้าจริงๆ จะจีบใครเขาก็ดูให้มันดีๆ ล่ะ จะได้ไม่เป็นมือที่สามของใคร เข้าใจมั้ย”
“ครับ ขอบคุณพี่ แล้วจีบผู้ชายต้องทำไงอะ”
“จะไปรู้เรอะ ไม่เคยจีบโว้ย หาวิธีเอาเอง” พี่บาสปฏิเสธเสียงดังลั่น จนไอ้น้ำเอามือปิดหูแทบไม่ทัน
“ไม่รู้ ก็ไม่รู้ ทำไมต้องตะโกนด้วย ที่บ้านก็ตะโกนคุยกัน มากรุงเทพฯ ยังเจอคนตะโกนเสียงดังอีก เฮ้อ” น้ำถอนใจปนระอา
คุยกันด้วยเสียงธรรมดาไม่ได้เหรอไง น้ำไม่เข้าใจ
จบบทสนทนาไม่นาน ทั้งคู่ก็มาถึงโรงแรมที่เป็นจุดหมายเพื่อเข้าไปคุยกับลูกค้ารายนี้ พี่บาสจอดรถอย่างนิ่มนวลเหมือนทุกครั้ง ก่อนจะดับเครื่องยนต์แล้วพากันเข้าไปด้านใน
จริงๆ แล้วด้วยหน้าที่ของน้ำ ไม่จำเป็นเลยที่จะต้องมาคุยกับลูกค้าเอง พี่บาสเองก็ช่วยพูดรับหน้าให้แล้ว แต่ลูกค้าก็ยังยืนยันว่าอยากจะคุยกับคนทำงานในส่วนนี้ เขาเลยจำเป็นต้องมา
“สวัสดีค่ะ” เสียงทักทายสดใสดังขึ้นตอนที่พวกเขาเพิ่งมาถึง
“สวัสดีครับ” น้ำและพี่บาส ไหว้อีกฝ่ายกลับไป ไอ้น้ำเองก็พอจะเข้าใจลางๆ แล้วว่าทำไมลูกค้าคนนี้เรื่องเยอะนัก ที่แท้ก็เพราะเป็นผู้หญิงนี่เอง
“คุณนทีหรือน้ำครับ กราฟฟิคดีไซเนอร์ของเรา” พี่บาสแนะนำไอ้น้ำให้อีกฝ่ายรู้จักเพราะพี่บาสกับผู้ว่าจ้างเจอกันหลายครั้งแล้ว
“สวัสดีค่ะ คุณน้ำ ดิฉัน อรนะคะ”
“สวัสดีครับ”
“เรามาเริ่มคุยกันเลยดีมั้ยครับ” พี่บาสแนะขึ้นมา น้ำเดาว่าพี่บาสคงไม่อยากอยู่คุยกับอีกฝ่ายนานนัก
“คราวก่อนที่คุยกันกับคุณบาส อรโอเคแล้วนะคะ เหลือแค่ส่วนออกแบบโลโก้หรือตรงที่อยากให้เคลื่อนไหว ที่อรอยากจะแก้น่ะค่ะ มันยังไม่ค่อยถูกใจ” คำตอบของคุณอร ทำให้ไอ้น้ำลอบกลืนน้ำลาย งานเข้ากูแล้วมั้ยล่ะ เขาแก้งานนี้มาหลายรอบแล้ว ไม่อยากแก้อีก
“ส่วนนี้เราก็แก้มาสามรอบแล้ว คุณอรยังอยากปรับตรงไหนอีกเหรอครับ ขอให้เป็นการแก้ไขครั้งสุดท้ายนะครับ”
“ค่ะ นั่นแหละค่ะเป็นเหตุผลว่าทำไมอรถึงให้เชิญคุณน้ำมาด้วย แล้วถ้าอรโอเค ก็จะโอนเงินงวดนี้ให้คุณบาสเลยค่ะ ไม่อิดออดแน่นอน” หญิงสาวบอก
“ครับ คุณอรว่ามาได้เลยครับ” น้ำบอกอีกฝ่ายอย่างรวดเร็ว เขาเองก็ไม่ได้อยากคุยนานเท่าไหร่
“ค่ะ ตรงโลโก้ที่เป็นตัวการ์ตูน อรอยากปรับตรงนี้หน่อยค่ะ”
คุณอร ผู้ว่าจ้างเริ่มตั้งแต่ตัวการ์ตูนโลโก้เป็นอันดับแรก น้ำนิ่งฟังพร้อมจดรายละเอียดลงไปในโน้ตบุคอย่างละเอียด เขาจะไม่ยอมให้มันหลุดอีก เพราะคุณอรอยากเปลี่ยนแม้กระทั่งสเกลของเส้นผมที่มันกระดกขึ้น อยากให้มันต่ำลงกว่านี้สักห้าองศา
เฮ้ย อะไรวะ ห้าองศาก็เอาเหรอ
ไอ้น้ำก็อดทนและตั้งใจฟังมันจนจบเพื่อให้หลุดพ้นออกมาจากคุณอรแสนละเอียดและเรื่องมาก เขาแทบจะถอนหายใจออกมาด้วยความโล่งอกเมื่อรู้ว่าการพูดคุยงานในครั้งนี้ได้สิ้นสุดลงแล้ว
“เป็นอะไรวะ” พี่บาสถามขึ้นตอนที่กลับเข้ามาในรถยนต์กันแล้ว
“เปล่าพี่ แค่โล่งใจ”
“เออ เหมือนกัน แล้วเดี๋ยวไปไหนต่อวะ ไปกินเหล้ากับพี่มั้ย”
“ไม่เป็นไรพี่บาส เรื่องพวกนั้นผมไม่ค่อยถนัด พี่ก็รู้ เดี๋ยวผมจะรีบกลับไปแก้ไข เส้นผมกระดกของเจ๊เขา ให้เสร็จ พรุ่งนี้ผมส่งให้นะ จะได้เสร็จๆ ไป”
“เออ ตามใจ ไม่ต้องรีบล่ะ เก็บงานให้ละเอียดๆ ด้วย จะได้ไม่ต้องแก้อีก”
“รู้แล้วพี่ ผมเบื่อแก้แล้ว”
“อืม แล้วนี่พักที่ไหน ที่เดิม?”
“ใช่พี่”
“เดี๋ยวพี่ไปส่งแล้วกัน”
“ขอบคุณครับ
==========================================
ติด Tag ได้เลยค่ะ #LOTTOสื่อรัก #คนบ้าหวย2018