ตอนที่ 9 ใครเสร็จใคร "โซระอยากไปเที่ยวที่ไหนก่อนดีครับ จะเดินเล่นรอบเกาะ ชมรูปปั้นพระอภัยมณี ดูเต่าทะเลที่ศูนย์วิจัยกรมประมง หรือว่าจะลองไปดำน้ำดูปะการัง หรือถ้าอยากลองเล่นอะไรที่ผาดโผนหน่อยก็มีทั้งเจ็ทสกี บานาน่าโบ๊ท และกีฬาทางน้ำอีกหลายอย่างเลยนะครับ"
สุภาพบุรุษจอมปลอมยังคงรักษาฟอร์มเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวด้วยข้อมูลที่เตรียมมาพร้อม ทำท่ากางแผนที่เกาะ แต่จุดประสงค์แอบแฝงคือจงใจให้โซระโน้มตัวเข้ามาใกล้มากกว่า ยังดีที่เอิร์ธเองก็พกหนังสือท่องเที่ยวมาด้วยเลยชิงยื่นให้ตัดหน้า โซระยิ้มรับหนังสือจากมือเพื่อน ผมเลยได้เห็นคนที่ถูกสกัดดาวรุ่งแอบกัดฟันกรอดๆ
"น่าสนใจทุกอย่างเลยครับ อ่ะ แต่... เอิร์ธว่ายน้ำไม่เป็นนี่นา" โซระเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ หันมองเพื่อนพลางพึมพำท้ายประโยคด้วยเสียงแผ่ว
"มาทะเลแต่ว่ายน้ำไม่เป็นเนี่ยนะ" คนปากหมาหลุดเหน็บแนมด้วยความปากไว ก่อนจะรีบแถต่อไปอย่างรวดเร็ว
"อ้อ แต่ไม่ต้องกลัวนะครับ เพื่อนของพี่คนนี้ว่ายน้ำเก่งมาก รับรองว่าดูแลปกป้องน้องเอิร์ธได้สบายหายห่วงแน่นอน" มันถือโอกาสผลักไสเอิร์ธมาให้ผมอย่างเนียน พอผมเลิกคิ้วและจ้องหน้าถามแทนคำพูด มันกลับเบนหน้าหนีหันไปยิ้มให้โซระ ไม่ยอมมองตอบผมด้วยซ้ำ
"ตอนนี้แดดยังแรงอยู่เลย พวกเราเดินเล่นรอบๆ เกาะกันก่อนดีกว่าไหมครับ" โซระเอ่ยตัวเลือกที่ฟังดูเป็นกลางที่สุด
"ได้สิครับ พี่ตามใจโซระทุกอย่างอยู่แล้ว" มันคลี่ยิ้มหวานปานน้ำเชื่อม ต่างจากน้ำผึ้งตรงที่ไม่เป็นธรรมชาติ เห็นแล้วน่าหมั่นไส้เป็นที่สุด
ผมถอนหายใจพลางเบนหน้าไปมองทางอื่น บังเอิญสบตากับเอิร์ธที่ใช้ปลายนิ้วดันกรอบแว่นขึ้นพอดี ผมรู้ว่าแผนของพวกเราคือ 'ก้างขวางคอ' แต่ผมก็ไม่ถนัดกับการทำอะไรแบบนี้เลย ให้ตายสิ
ผมจึงได้แต่เดินตามสองคนนั้นไปเรื่อยๆ ในขณะที่เอิร์ธเองก็ลดฝีเท้าลงมาเดินอยู่ด้านข้างผม คงเป็นเพราะวันนี้ทั้งวันจงใจขัดจังหวะอย่างออกนอกหน้ามากเกินไปหลายครั้ง จนน่ากลัวว่าจะถูกจับผิดได้ ตอนหลังเอิร์ธจึงเริ่มปล่อยบ้างเล็กน้อย จะขัดก็แค่เฉพาะจังหวะที่จำเป็นจริงๆ
ทว่าไม่นานนักจังหวะนั้นก็เวียนมาถึงอีกครั้ง
หลังจากที่พวกเราเดินเล่นมาไกล แวะพักกินข้าวและเดินย่อยอีกพักใหญ่ จนมาถึงชายหาดที่เป็นแหล่งบันเทิง มีกีฬาทางน้ำแบบปรกติและผาดโผนหลายอย่าง เสียงหัวเราะเฮฮาพร้อมเสียงกรี๊ดดังแว่วมาแต่ไกล ดูท่าทางโซระเองก็สนใจและอยากเล่นอยู่ไม่น้อย
"ทางนั้นมีเจ็ทสกีให้เช่าด้วยนะครับ" กีฬามีสารพัด แต่มันกลับเลือกเสนออะไรที่แค่อ้าปากก็เห็นไปถึงไส้ติ่ง ตั้งใจจะให้ซ้อนท้ายแบบแนบชิดกันสองต่อสองละสิไม่ว่า
"แต่ว่าเอิร์ธ..." โซระยังคงหันมองไปทางเพื่อนอย่างเป็นห่วง
"ไม่ต้องห่วงหรอกครับ มีเสื้อชูชีพด้วย ปลอดภัยแน่นอน ให้เอิร์ธนั่งซ้อนไปกับถึกก็ได้" นั่นไงล่ะ เข้าทางมันเลย
"นั่นสิโซระ ถ้ามีเสื้อชูชีพเราก็ไม่เป็นไรหรอก ไหนๆ ก็มาเที่ยวทะเลทั้งที ไปเล่นกันให้สนุกดีกว่านะ อ่ะ แต่เราอยากลองเล่นอันนั้นจัง" เอิร์ธพูดพลางชี้นิ้วไปอีกทาง
"บานาน่าโบ๊ท? น่าสนุกนะ" โซระยิ้มกว้าง สนับสนุนความคิดเห็นของเพื่อน
แน่นอนว่าไอ้คนคิดไม่ซื่อจึงจำต้องกินแห้ว ได้แต่ฉีกยิ้มแห้งตอบว่า "ตามใจโซระสิครับ"
ผมแอบยกนิ้วโป้งให้เอิร์ธอยู่ในใจ นอกจากจะขัดขวางไม่ให้สองคนนั้นได้อยู่ใกล้ชิดกันตามลำพัง ยังจัดลำดับที่นั่งได้ยอดเยี่ยม โดยใช้เหตุผลว่า 'เรียงลำดับความสูง' ทำให้โซระนั่งอยู่ด้านหน้าสุด ตามด้วยเอิร์ธ แจ็ค และผมปิดรั้งท้าย
ด้วยความที่ไม่อยากให้เสื้อเปียกพวกเราจึงตัดสินใจถอดเสื้อวางไว้พร้อมกับรองเท้า เอิร์ธเองก็ถอดแว่นวางไว้ด้วย ผมแอบเห็นไอ้แจ็คจ้องมองโซระที่เปลือยท่อนบนตาเป็นมัน ก่อนจะได้สมน้ำหน้าเพราะไม่นานนักภาพนั้นก็ถูกบดบังด้วยเสื้อชูชีพ แถมยังมีเอิร์ธมานั่งขวางหูขวางตาอยู่เต็มๆ
เจ็ทสกีลากเรือทรงกล้วยออกไปด้วยความเร็วแรกเริ่มที่ไม่สูงมากนัก จนกระทั่งถึงกลางทะเลจึงเริ่มเร่งเครื่อง ตามด้วยการปาดซ้ายขวากระแทกเกลียวคลื่นอย่างหวาดเสียว เสียงเฮฮาดังลั่นพร้อมกับน้ำทะเลเค็มๆ ที่สาดกระเซ็นกระทบใบหน้า ทุกคนยังคงเกาะราวจับแน่นหนึบ ไม่มีใครร่วงตกลงไป แผ่นหลังของแจ็คเซล้มมากระทบกลางอกของผมหลายครั้ง ดูเหมือนมันจะพยายามขืนตัวออกห่างในตอนแรก แต่คงจะต้านแรงลมไม่ไหว ส่วนผมเองก็คงจะต้านหัวใจของตัวเองไม่ไหว ถึงได้ถือโอกาสเบียดตัวเข้าไปใกล้ ค่อยๆ ยืดแขนออกไปโอบรอบเอวของมันแทน
"เหวออออออออออ!"
จังหวะนั้นเองที่เรือกล้วยถูกเหวี่ยงหมุนกลับเกือบสามร้อยหกสิบองศา ผมได้ยินเสียงร้องดังจากด้านหน้าตามมาด้วยเสียงดัง ตูม! ร่างกายเสียศูนย์ร่วงลงกระแทกผืนน้ำอย่างแรง
เสื้อชูชีพช่วยให้พยุงตัวขึ้นมาได้ไม่ยากนัก ร่างกายซีกหนึ่งจะยังคงเจ็บและจุกอยู่ไม่น้อย แถมยังเค็มปะแล่มด้วยน้ำทะเลที่สาดเข้าปากคำใหญ่ เมื่อลืมตาผมก็ได้เห็นภาพบานาน่าโบ๊ทว่างเปล่าลอยห่างออกไป แจ็คโผล่ขึ้นมาจากผืนน้ำใกล้กัน โซระกระเด็นออกไปอีกทิศ แต่สิ่งผิดปรกติที่ฉายเข้าสู่สายตาของผมคือร่างหนึ่งที่กำลังตะกุยตะกายตีน้ำเป็นวงกว้าง แทนที่จะปล่อยให้เสื้อชูชีพช่วยพยุง การดิ้นรนกลับกลายเป็นการกดน้ำหนักให้เจียนจะจมลงไปอยู่หลายครั้ง
"เอิร์ธ!?" ทันทีที่ตั้งสติได้ผมจึงรีบว่ายน้ำเข้าไปหาร่างนั้น
"ชะ ช่วยด้วย! ขะ ขาผม" ยิ่งร้องก็ยิ่งพาลให้สำลักน้ำ เมื่อไม่มีทางเลือกผมจึงใช้ท่อนแขนล็อกรอบคออีกฝ่ายจากด้านหลัง เพราะถ้าหากถูกคนที่กำลังดิ้นดึงรั้งให้จมลงไปพร้อมกันจะยิ่งแล้วใหญ่
"ใจเย็นๆ เกาะแขนพี่ไว้ พวกเราใส่เสื้อชูชีพอยู่ ไม่เป็นไร" ผมร้องปลอบร่างในอ้อมแขนให้เริ่มสงบลง ก่อนจะค่อยๆ พาว่ายกลับไปยังบานาน่าโบ๊ทที่วนกลับมารอรับ
"เอิร์ธ!? ไม่เป็นไรนะ" โซระที่รีบว่ายกลับเข้ามาร้องถามเพื่อนอย่างเป็นห่วง
"สงสัยขาจะเป็นตะคริว" ผมตอบคำถามแทนคนที่สำลักน้ำจนจมูกแดง ตาแดง น้ำตาคลอเบ้า
"พี่ครับ ช่วยขับกลับฝั่งเลยครับ" แจ็คเป็นคนร้องบอกคนขับ ผมช่วยพยุงเอิร์ธกลับขึ้นไปนั่งบนเรืออย่างทุลักทุเล ไม่มีใครทันใส่ใจกับตำแหน่งที่นั่งที่สลับกับตอนขามา
แม้กระทั่งตอนกลับถึงฝั่ง เอิร์ธก็ยังลุกเดินไม่ไหวแทบจะร่วงลงไปกองกลางทะเล ผมจึงตัดสินใจช้อนร่างนั้นขึ้นอุ้มเดินพาไปนั่งบนชายหาด
"โอ้ย!" เอิร์ธร้องลั่น เมื่อผมจับขาข้างที่เป็นตะคริวให้เหยียดตรงและดันฝ่าเท้าเข้าไปหาลำตัว
"ทนแป้บเดียว จะได้หาย" ผมบอกสั้นๆ เงยขึ้นมองดวงตาแดงก่ำที่มองตอบกลับมา
"ไม่เป็นไรนะเอิร์ธ" โซระเองก็คอยลูบหลังลูบบ่าเพื่อนอย่างปลอบใจ หลังเห็นว่าเอิร์ธเริ่มมีสีหน้าดีขึ้นจึงกล่าวต่อ
"เดี๋ยวผมไปหยิบเสื้อกับรองเท้ามาให้นะครับ" พอผมพยักหน้ารับพร้อมกล่าวขอบใจ โซระจึงลุกเดินไปยังทิศที่พวกเราฝากของเอาไว้ ตอนแรกผมนึกว่าแจ็คจะอาสาตามไปด้วย แต่มันกลับนั่งเก้ๆ กังๆ เหมือนกับไม่รู้จะทำอะไรที่ดีกว่านั้น
"มีอะไรให้กูช่วยไหม" มันถามระหว่างที่ผมยังคงช่วยนวดขาให้เอิร์ธอยู่
"มึงไปช่วยโซระถือของเถอะ" ผมตอบไปตามเหตุผล เพราะจะให้คนๆ เดียวที่มีแค่สองมือถือข้าวของพร้อมรองเท้าสี่คู่มายังไงไหว แจ็คกลับเหลือบมองหน้าผมแวบหนึ่ง ก่อนจะก้มลงมองพื้นทรายหรือไม่ก็มือของผมที่อยู่บนขาของเอิร์ธ จากนั้นจึงยันตัวลุกขึ้นหันหลังออกเดินตามโซระไป
"ผมไม่เป็นไรแล้ว ขอบคุณพี่ต้นมากนะครับ" เอิร์ธกล่าวพึมพำ ดูท่าทางจะหมดฤทธิ์ไปเยอะ
"นายนี่ก็นะ ว่ายน้ำไม่เป็นก็ไม่เห็นจะต้องฝืนขนาดนี้" ผมพูดตามความเป็นจริง ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าที่เอิร์ธทำลงไปทั้งหมดเพราะอะไร และผมเองก็เป็นคนที่พลอยเห็นดีเห็นงามด้วย ตอนนี้จึงได้แต่ช่วยพยุงร่างบางให้ลุกขึ้นยืน พลางช่วยปัดคราบทรายที่เลอะเทอะอยู่ทั่วตัวออก
ทำยังไงได้ ก็ผมกับเอิร์ธมันหัวอกเดียวกัน รักเขาข้างเดียวเหมือนกัน
ด้วยสภาพร่างกายของคนในกลุ่มที่ไม่เอื้ออำนวย พวกเราจึงต้องหยุดพักการเที่ยวเล่นลงแต่เพียงเท่านั้น คราบทรายและน้ำทะเลเริ่มแห้งเกรอะเหนียวไปทั้งตัว พอเดินกลับไปถึงหน้ารีสอร์ทผมจึงบอกให้แจ็คกลับห้องไปอาบน้ำก่อน เพราะผมยังต้องช่วยพยุงเอิร์ธไปส่งที่ห้องพัก
"กูก็จะเดินไปส่งโซระเหมือนกัน" เห็นเงียบมาตลอดทาง นึกว่ามันจะยอมสงบปากสงบคำ แต่จนแล้วจนรอดก็ดูเหมือนมันจะยังไม่เลิกพยายามทำคะแนนอยู่ดี
"ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ใช่คนเจ็บซะหน่อยส่งแค่นี้ก็พอแล้ว พี่แจ็คไปอาบน้ำเถอะครับ" โดนเป้าหมายปฏิเสธเข้าไปมันถึงกับยิ้มไม่ออก ยอมก้มหน้ารับคำโดยดี มันเหลือบมองผมแวบหนึ่งก่อนจะหันหลังเดินแยกกลับห้องไป
หลังจากส่งเอิร์ธและโซระเสร็จผมจึงเดินกลับห้องบ้าง ระหว่างที่กำลังก้มเปิดกระเป๋าเพื่อเตรียมเสื้อผ้าออกมาต่อคิวอาบน้ำ ร่างหนึ่งก็เดินออกมาจากห้องน้ำพอดี แจ็คชะงักไปชั่วครู่ คงไม่นึกว่าผมจะกลับมาแล้วถึงได้เดินออกมาในสภาพนั้น
ร่างสูงโปร่งมีแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันรอบเอว หยดน้ำยังเกาะพราวอยู่ทั่วตัว อันที่จริงผมควรจะเห็นภาพนั้นจนชินตา เพราะเวลาที่มันมาสิงห้องของผมก็ทำตัวตามสบายอย่างกับเป็นบ้านของตัวเอง บางครั้งเวลาอากาศร้อนๆ ใส่แค่กางเกงขาสั้นตัวเดียวนอนก็บ่อยไป
แต่ไม่ใช่ตอนที่ผมรู้สึกกับมันแบบนี้
ผมอาจจะเผลอมองภาพตรงหน้านานเกินไป มันถึงได้ดึงผ้าขนหนูผืนเล็กที่พาดอยู่บนหัวอยู่ลงมาเช็ดตัว ก่อนจะสวมเสื้อยืดทับทั้งๆ ที่เนื้อตัวยังไม่ทันแห้งดีด้วยซ้ำ เมื่อดึงสติและสายตาของตัวเองกลับมาได้ ผมจึงลุกเดินสวนเข้าห้องน้ำไปบ้าง ตอนนี้ผมต้องการอาบน้ำ ต้องการให้น้ำเย็นๆ ช่วยลดความร้อนของร่างกาย
ผมปล่อยให้สายน้ำสาดลงมานานกว่าสิบนาที กลับออกมาอีกทีก็ไม่เห็นใครอยู่ในห้องแล้ว หลังแต่งตัวเสร็จผมจึงเดินออกไปข้างนอก มองหารอบบริเวณก็ไม่เจอ จนกระทั่งสายตาสะดุดเข้ากับใครบางคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ม้าหิน หันหน้าออกหาชายหาด
"ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้คนเดียวล่ะเอิร์ธ" ผมเอ่ยทักพลางเดินเข้าไปนั่งลงด้านข้าง ร่างนั้นหันกลับมาตามเสียงเรียกพร้อมกับหรี่ตาลงเล็กน้อย ผมจึงสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างขาดหายไปจากบนใบหน้า
"พี่ต้น? ขอโทษครับผมมองไม่ค่อยเห็น คือผมทำแว่นหาย ไม่แน่ใจว่าลืมไว้ตรงที่เล่นบานาน่าโบ๊ทหรือเปล่า ตอนนี้โซระเลยเดินกลับไปหาให้อยู่ครับ... เพื่อนพี่ก็ไปด้วย" เสียงของเอิร์ธเผยความไม่ค่อยพอใจนักในตอนท้าย แต่คงจะทำอะไรไม่ได้ ไม่รู้จะซวยซ้ำซวยซ้อนอะไรหนักหนา ขาก็เจ็บ ตาก็ยังมองอะไรไม่ชัดอีก
"แล้วขาเป็นยังไงบ้าง หายเจ็บหรือยัง" ผมถามเปลี่ยนเรื่อง
"ยังชาอยู่นิดหน่อยแต่ก็ดีขึ้นมากแล้วครับ ขอบคุณนะครับ" เอิร์ธพูดพลางยิ้มตอบ
ภาพตรงหน้าทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ คงเพราะปรกติพวกเราค่อนข้างคล้ายกันตรงที่เป็นเสือยิ้มยาก เงียบๆ ไม่ค่อยพูดมาก เอิร์ธจึงมักจะดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัว แต่ตอนนี้ใบหน้าใสที่ไม่มีแว่นสีดำกรอบหนาบดบัง กลับแลดูอ่อนเยาว์สมวัย เส้นผมที่เพิ่งสระเสร็จใหม่ๆ แห้งด้วยสายลมตามธรรมชาติ อาจจะดูยุ่งๆ ไม่ค่อยเป็นทรง แต่ผมว่าดูน่ารักมากกว่าตอนที่เอิร์ธหวีผมเรียบๆ ตามปรกติเสียอีก
จะว่าไปเอิร์ธก็จัดเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาดี โซระเองก็ดูเป็นห่วงเป็นใยเอิร์ธอยู่ไม่น้อย บางครั้งผมก็คิดว่าแทนที่จะมาคอยกันท่าอยู่แบบนี้ ทำไมเอิร์ธถึงไม่ลองเดินหน้าจีบโซระเองซะเลย
"นายเคยคิดจะสารภาพความในใจกับโซระบ้างไหม" ผมลองถามขึ้นเรียบๆ เอิร์ธนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยตอบกลับมา
"แล้วพี่ล่ะครับ" คำตอบสั้นๆ ราวกับลูกศรที่ย้อนกลับมาแทงเข้ากลางอกของผมเต็มๆ
ผมถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจ... ถ้าถามตัวเองก็คงได้คำตอบเดียวกัน
ไม่กล้า เพราะรู้ว่าเขาไม่เคยเห็นเราอยู่ในสายตา
กลัวว่าถ้าบอกออกไปแล้วจะไม่เหลือแม้แต่คำว่า 'เพื่อน'
ผมจึงเอื้อมมือออกไปขยี้หัวร่างด้านข้างกึ่งหมั่นเขี้ยว โทษฐานที่กล้ายอกย้อนผู้ใหญ่ ถึงแม้รู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ชอบให้ใครเล่นหัว เพราะผมเองก็ไม่ชอบ แต่ไม่รู้สิ ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกเอ็นดูเอิร์ธเหมือนน้องชาย เหตุการณ์วันนี้อาจทำให้พวกเราสนิทใจกันมากขึ้น เอิร์ธจึงแค่เพียงส่ายหน้าหลบ ไม่ได้โต้ตอบไปมากกว่านั้น
"เอิร์ธ! ขอโทษนะรอนานไหม เราลืมหยิบแว่นมาจริงๆ ด้วย มันหล่นไปอยู่บนพื้นตรงที่ฝากของ โชคดีนะที่ไม่หายไปไหน" โซระเดินเข้ามาทางพวกเราก่อนยื่นแว่นคืนให้เจ้าของ
"ขอบใจนะโซระ" เอิร์ธรับแว่นมาเช็ดเลนส์ก่อนสวมกลับประจำตำแหน่ง ภาพตรงหน้าจึงกลับมาเป็นหนุ่มแว่นที่คุ้นตา
"เอิร์ธเดินไหวไหม เมื่อกี้ตอนเดินกลับมาเราเห็นร้านอาหารน่าอร่อยหลายร้านเลย เราไปหาอะไรทานกันนะครับ" โซระพูดกับเพื่อนก่อนจะหันมาถามความเห็นของทุกคน นี่ก็ได้เวลาอาหารเย็นพอดี ผมจึงพยักหน้ารับ
ส่วนร่างสูงที่เดินกลับมาพร้อมโซระ นึกว่าจะทำหน้าระรื่นเพราะเพิ่งได้ใช้เวลาใกล้ชิดกับเป้าหมายสองต่อสอง แต่มันกลับทำหน้าบูดบึ้งราวกับไม่พอใจอะไรบางอย่าง หรือว่าจะหงุดหงิดที่ต้องกลับมาเจอไม้กันหมาอีก
พวกเราเดินออกมาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง มาถึงเกาะทั้งทีก็ต้องกินอาหารทะเล บรรยากาศริมชายหาด เสียงคลื่นแทรกมาพร้อมกับเสียงดนตรี ทุกอย่างเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะเดิม แจ็คก็ยังคอยเอาอกเอาใจโซระชนิดบริการทุกระดับประทับใจเหมือนเดิม ส่วนเอิร์ธก็ยังคงกันท่าเป็นบางเวลา ในขณะที่ผมได้แต่คอยเฝ้ามองสถานการณ์จากรอบนอก
เหตุการณ์ทุกอย่างดูจะเป็นปรกติดี ถ้าไอ้ตัวดีจะไม่เริ่มออกลาย
"โซระอยากดื่มอะไรไหมครับ มีทั้งน้ำผลไม้ พั้นซ์ และก็ค็อกเทลแปลกๆ หลายอย่างเลย" แจ็คหยิบเมนูเครื่องดื่มขึ้นมา เนื่องจากร้านแถวนี้เป็นร้านอาหารกึ่งผับเสียส่วนใหญ่ไม่เว้นแม้แต่ร้านนี้ รายการเครื่องดื่มจึงมีให้เลือกมากมายหลายหน้ากระดาษ
ผมขมวดคิ้วให้กับประโยคที่ได้ยิน ต่อให้พวกเราอยู่ในชุดลำลองและคงไม่มีใครคิดจะมาตรวจอายุกันตอนนี้ แต่ฟังดูก็รู้ว่าคนพูดมีเจตนาอะไรแอบแฝง
"มีมะนาวปั่นด้วยนะโซระ นายชอบไม่ใช่เหรอ" โชคดีที่เอิร์ธหัวไว ทำหน้าที่ของตัวเองทันที
"แก้วสีฟ้าๆ ที่พนักงานถือผ่านไปเมื่อกี้คืออะไรครับ สีสวยจัง" โชคร้ายที่ดูเหมือนว่าคราวนี้ เด็กดีริอยากจะลองออกนอกกรอบ
"สีฟ้าเหรอครับ ถ้างั้นลองบลูกามิกาเซ่ไหม เดี๋ยวพี่สั่งให้นะ" พูดจบแจ็คก็รีบกวักมือเรียกพนักงานอย่างรวดเร็วราวกับกลัวถูกใครขัดจังหวะ แถมยังเล่นของแรงซะด้วย เลือกค็อกเทลที่มีส่วนผสมของว็อดก้ากับเตกิล่า กลบด้วยรสชาติหวานอมเปรี้ยวแบบน้ำผลไม้ ถ้าคอไม่แข็งมีหวังได้เมาเอาง่ายๆ แบบไม่ทันรู้ตัวเลยทีเดียว
"เดี๋ยวก็เมาหรอกโซระ" เอิร์ธกล่าวด้วยเสียงดุ
"ลองจิบนิดเดียวเองเอิร์ธ นะๆ" โซระยิ้มแหยก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นการยิ้มประจบ เมื่อทำอะไรไม่ได้เอิร์ธจึงหันมามองผมด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ ผมเองก็คิดหนักไม่แพ้กัน
"ถ้างั้นก็ลองจิบเฉยๆ ที่เหลือเดี๋ยวพี่ดื่มต่อเองก็แล้วกัน" ผมเอ่ยหนทางที่ดีที่สุดเท่าที่พอจะนึกออกในตอนนั้น
ไม่รู้ว่าคำพูดของผมไปจุดประกายความคิดอะไรเข้าให้ ตอนแรกเอิร์ธทำท่าเหมือนจะสั่งน้ำผลไม้แต่แล้วก็กลับเปลี่ยนเป็นสั่งค็อกเทลเบาๆ แถมยังรบเร้าให้ผมสั่งเครื่องดื่มของตัวเองอีกหนึ่งแก้ว กลายเป็นว่าทุกคนสั่งเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์กันคนละแก้ว พอจิบไปได้สักพักเอิร์ธก็พูดสิ่งที่ผมคาดไม่ถึงอีกครั้ง
"ลองดื่มอย่างอื่นดูไหมโซระ อันที่ผสมน้ำสัปปะรดด้วยก็น่าอร่อยดีนะ" เอิรธ์พูดขึ้นมาทั้งๆ ที่แก้วเดิมเพิ่งจิบไปได้แค่ไม่กี่ครั้ง ยังพร่องไปไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน
"แต่เรายังดื่มไม่หมดเลยนะ" โซระทำหน้างง ไม่ต่างจากความรู้สึกของผมถึงแม้จะไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า
"พี่ต้นช่วยดื่มต่อได้ไหมครับ" เอิร์ธพูดพลางเลื่อนแก้วของตัวเองมาทางผมก่อนจะกล่าวต่อ
"แต่ถ้าให้พี่ต้นดื่มคนเดียวหมดก็คงจะเมาแย่เลย พี่แจ็คช่วยโซระดื่มต่อได้ไหมครับ หวังว่าพี่คงจะไม่รังเกียจ"
ประโยคมัดมือชกทำเอาคนที่ถูกพาดพิงถึงขั้นเหวอ แต่เมื่อผมรับแก้วจากเอิรธ์มาดื่มโดยไม่พูดอะไร แจ็คก็เลยต้องปั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถ "ได้สิครับ พี่ยินดีอยู่แล้ว"
จากนั้นก็ไม่รู้ว่าใครเป็นฝ่ายมอมเหล้าใครกันแน่ หรือกลายเป็นการดวลเหล้ากันไปแล้วก็ไม่รู้ เพราะยิ่งเอิร์ธเล่นสนุกชวนโซระสั่งค็อกเทลมาลองอีกหลายแก้ว ผมก็ได้แต่รับมาดื่มอย่างต่อเนื่อง ทำให้แจ็คเหล่มองและกระดกแก้วในปริมาณเดียวกันอย่างไม่ยอมแพ้
แต่ผมคิดว่าเอิร์ธฉลาดกว่า ในขณะที่สั่งเครื่องดื่มให้ผมแบบเบาๆ แต่กลับสั่งให้แจ็คแบบจัดหนักจัดเต็ม ผมแอบชูนิ้วโป้งสองมือให้เอิรธ์อยู่ในใจกับการพลิกวิกฤตเป็นโอกาสครั้งนี้
"พอแล้วล่ะเอิร์ธ เราว่าเราชักจะมึนๆ แล้ว" ขนาดคนที่แค่จิบยังมึน ไม่ต้องเดาเลยว่าคนที่ดื่มอย่างกับอาบจะเมาหนักขนาดไหน
"ถ้างั้นโซระดื่มน้ำเปล่าแก้วนี้ให้หมดก่อน แล้วเรากลับกันเถอะนะครับ" ท้ายประโยคเอิร์ธหันมาพูดกับผม ส่วนคนที่เคยปากเก่งตอนนี้เมาจนนอนฟุบอยู่กับโต๊ะ
สุดท้ายมื้อนั้นผมเลยต้องรับหน้าที่ควักกระเป๋าตังค์จ่าย ถึงแม้ตัวเลขหลายหลักอาจทำให้ต้องจนกรอบไปทั้งเดือน แต่ผมว่ามันก็คุ้ม อย่างน้อยผมก็ได้แบกร่างที่เดินโซซัดโซเซจนแทบจะพากันกลิ้งลงทะเลหลายครั้งกลับห้อง ไม่ต้องย้ายที่นอนอย่างที่คนปากดีหรือดีแต่ปากเคยประกาศเอาไว้
-------------
ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม และขอบคุณสำหรับคอมเม้นด้วยนะคะ
>>
nevergoodbye : พี่ยักษ์คะ มาขนาดนี้ ต้องได้ค่ะ อย่าปล่อยให้หลุดมือคันปากอยากสปอยแต่ต้องเก็บไว้ อ่านไปอีกสักพักแล้วความคิดท่านจะเปลี่ยนไป 555