☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ [สนพ.ฟาไฉ] แจ้งข่าวอีบุ๊คออกแล้วนะคะ P.3
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ [สนพ.ฟาไฉ] แจ้งข่าวอีบุ๊คออกแล้วนะคะ P.3  (อ่าน 24599 ครั้ง)

ออฟไลน์ em1979

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
รุกหนักจริงๆ แต่แจ๊คก็ไม่ยอมรับสักที ต้องเจอแบบนี้แหละ

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ @moment

  • แอทโมเม้นท์
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
    • https://www.facebook.com/at.moment.writer/
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer/
   

   ตอนที่ 13.5 ฟุ้งซ่าน

   

   [โซระ]

   

   เคยมีใครบอกว่า คนเรามีอาการเมาแตกต่างกันออกไป บางคนก็เมาแล้วหลับ บางคนเมาแล้วโวยวาย บางคนเมาแล้วอ้วก เมาแล้วทำอะไรบ้าๆ หรือแม้แต่ทำอะไรลงไปบ้างก็จำไม่ได้

   สำหรับผม อาจจะเป็นประเภทที่เมาแล้วเซื่องซึม มึนๆ ตื้อๆ เหมือนสมองทำงานช้าลงกว่าเดิมหลายเท่า ควบคุมร่างกายของตัวเองไม่ค่อยได้ เดินโซเซจนเกือบจะกลิ้งลงทะเลไปหลายครั้ง ถ้าไม่ได้เอิร์ธคอยจูงมือเอาไว้

   แต่ถึงอย่างนั้นกลับยังคงมีสติดีครบถ้วน จำเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทุกอย่าง

   ตอนที่อยู่ในร้านอาหาร ผมจิบเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ไปหลายแก้ว ใจหนึ่งอาจเป็นเพราะความอยากลอง แต่ใจจริงอาจเป็นเพราะอารมณ์ขุ่นมัวที่ตัวผมเองก็อธิบายไม่ถูก

   ตอนแรกผมคิดว่าความรู้สึกนั้นเกิดจากการโทษตัวเองที่ทำให้เอิร์ธต้องตกอยู่ในอันตราย ชวนเล่นบานาน่าโบ้ททั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าเพื่อนว่ายน้ำไม่เป็น ซ้ำร้ายพอเกิดเรื่องขึ้นมาผมก็กลับช่วยอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง คนแรกที่ตรงดิ่งเข้าไปถึงตัวเอิร์ธก่อนใครก็คือพี่ต้น หลังจากนั้นเขาก็ยังคอยดูแลและเป็นห่วงเอิร์ธอย่างเห็นได้ชัด

   แม้กระทั่งบนโต๊ะอาหาร พี่ต้นก็ยังช่วยเอิร์ธดื่มค็อกเทลหลายแก้ว ผมเห็นพวกเขามองสบตากันหลายครั้งอย่างมีความหมาย พาลให้ผมยิ่งอยากดื่ม อยากเมา เผื่อว่าสายตาคู่นั้นจะหันกลับมาสนใจผมบ้าง

   "พี่ต้นไปส่งพี่แจ็คเถอะครับ เดี๋ยวผมพาโซระกลับห้องเอง" เอิร์ธกล่าวเมื่อพวกเราเดินกลับมาถึงหน้ารีสอร์ท พี่ต้นมีท่าทางลังเลเล็กน้อย แต่สักพักก็พยักหน้ารับ ก่อนจะหิ้วปีกพาร่างของพี่แจ๊คที่เมาจัดเดินแยกออกไปอีกทาง เป็นอีกครั้งที่ผมเห็นพวกเขาสองคนคุยกันผ่านทางสายตา

   "โซระเดินไหวไหม อีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว" เอิร์ธหันกลับมาถามผมที่ยืนซบอยู่กับเสาข้างทาง แทบจะทรงตัวไม่อยู่ถ้าไม่มีหลักยึด แต่ยังคงเหลือสติพยักหน้ารับ เอิร์ธจึงจูงกึ่งพยุงผมเดินกลับมาจนถึงห้องพัก

   "เอิร์ธ..." ผมพยายามเปล่งเสียงเรียก แม้จะฟังดูเนิบนาบด้วยความเมา คนด้านข้างเพียงแค่ขานรับในลำคอเบาๆ ระหว่างควานหากุญแจในกระเป๋า

   "เอิร์ธ... เคยชอบใครไหม" ผมเอ่ยถามต่อ เอนศีรษะพิงลงบนกำแพงด้วยความมึนตื้อ แต่ยังคงสังเกตได้ว่าคนตรงหน้าชะงักเงียบไปพักใหญ่

   "ทำไมถึงถามแบบนั้น" สุดท้ายเอิร์ธกลับตอบกลับมาด้วยคำถาม

   "เอิร์ธ... ชอบพี่ต้นไหม" ผมจึงระบุคำถามให้ชัดเจนมากขึ้น พลางทอดมองใบหน้าด้านข้างของคนที่ยังคงก้มหน้า ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ยอมตอบคำถามใดๆ ก้มหน้าก้มตาเปิดประตู ก่อนจะฉวยโอกาสยุติหัวข้อสนทนาด้วยการพยุงร่างของผมให้เดินเข้าไปด้านใน

   "เอิร์ธ..." ผมจึงเรียกชื่อเดิมซ้ำอีกครั้งราวกับเด็กงอแงที่ตอแยไม่ยอมเลิก

   "นายเมามากแล้วนะโซระ นอนได้แล้ว" เอิร์ธกล่าวเสียงเรียบ ก่อนจะขยับโน้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อปล่อยให้ผมนอนลงบนเตียง

   "ไม่เอา ยังไม่อยากนอน" ผมขืนตัวออกด้วยความดื้อแพ่ง ทว่าจังหวะนั้นร่างกายที่โงนเงนกลับเสียสมดุลจนเซล้ม และสัญชาติญาณก็สั่งให้มือเอื้อมคว้าสิ่งที่อยู่ใกล้ที่สุดเป็นหลักยึด

   "เหวออออ"

   "โอ๊ย!"

   สิ่งที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าคือเตียง แต่ทำไมสิ่งที่ผมล้มทับกลับไม่นุ่มอย่างที่คิด

   เมื่อลืมตาขึ้นผมจึงได้เห็นว่า สิ่งที่อยู่ใต้ร่างของผมไม่ใช่เตียง...แต่กลับเป็นร่างของใครอีกคน และตอนนี้ใบหน้าของพวกเราอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ

   เงาของผมทาบทับอยู่บนเสี้ยวหน้าของเอิร์ธ ดวงตาใต้กรอบแว่นสีดำจ้องกลับมาอย่างตกใจ และเมื่อผมลดระดับสายตาลงไปก็ได้เห็นเรียวปากแดงฉายชัดอยู่ตรงหน้า

   ความมึนเมาอาจทำให้สมองของผมเพ้ออะไรบ้าๆ เห็นภาพเบื้องหน้าพร่ามัวเหมือนมีแรงดึงดูดให้เข้าไปใกล้ เห็นชัดเจนแค่ริมฝีปากที่เผยอเล็กน้อยจากการร้องอุทานด้วยความตกใจ และความมึนเมาก็อาจจะทำให้ผมทำอะไรบ้าๆ ด้วยการปล่อยให้ร่างกายทรุดลงตามแรงโน้มถ่วง ตามแรงดึงดูด จนไม่เหลือช่องว่างระหว่างพวกเรา

   สัมผัสนุ่มๆ บนริมฝีปาก

   อ่อนหวานเหมือนปุยนุ่น ราวกับล่องลอยอยู่ในความฝัน

   แต่แล้วความมึนเมาก็ทำให้สมองของผมยิ่งเชื่องช้า หนักอึ้ง จนกระทั่งหยุดการทำงาน ภาพตรงหน้าจึงถูกแทนที่ด้วยสีดำและความมืดมิด

   

   ผมเมาจนเผลอหลับไปตั้งแต่ไม่ไหร่ก็ไม่รู้ ไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้นกลับจดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ครบถ้วนทุกอย่าง และเชื่อว่าเอิร์ธเองก็คงจะจำได้ เพราะคืนนั้นเอิร์ธไม่ได้เมาเลยด้วยซ้ำ

   เช้าวันถัดมา ผมคงไม่ได้คิดไปเองว่าบรรยากาศระหว่างพวกเราแปลกไป เหมือนกับมีช่องว่างเล็กๆ เกิดขึ้นตรงกลาง ทำให้ไม่กล้ามองหน้ากันตรงๆ ไม่กล้าใกล้ชิดสนิทสนมกันเหมือนเก่า ไม่ใช่ว่าอึดอัด แต่มันรู้สึก...ขัดๆ เขินๆ แปลกๆ

   ไม่มีใครพูดถึงเหตุการณ์เมื่อคืน เมื่อเอิร์ธไม่พูด ผมเองก็ไม่กล้า

   จนกระทั่งช่วงบ่าย พอได้เดินเที่ยวด้วยกันทั้งสี่คน บรรยากาศแปลกๆ จึงค่อยๆ จางลงไป กลับกลายมาเป็นดับเบิ้ลเดทอีกครั้ง ต้องขอบคุณพี่แจ็คกับพี่ต้นที่ช่วยทำให้บรรยากาศระหว่างผมกับเอิร์ธกลับมาเป็นเหมือนเดิม

   แต่จะเรียกว่าเหมือนเดิมเลย... ก็คงจะไม่ถูก

   เพราะดูเอิร์ธกับพี่ต้นจะสนิทกันมากขึ้น มากๆ

   ตอนที่แยกย้ายกันไปเลือกซื้อของฝาก ผมเห็นพวกเขาสองคนเดินเคียงข้างกัน เห็นพี่ต้นหยิบหมวกขึ้นมาลองสวมให้เอิร์ธ ก่อนจะมองสบตากันอย่างมีความหมาย ภาพที่เห็นทำให้ผมอธิบายความรู้สึกของตัวเองไม่ถูก ความอึดอัดที่ก่อตัวขึ้นกำลังทำให้ผมสับสน

   ในความฝัน ผมยังเผลอฝันถึงเหตุการณ์เดิมซ้ำๆ

   มองเห็นภาพรอบตัวพร่ามัว แจ่มชัดเพียงภาพของคนตรงหน้า เรียวปากนุ่มๆ รอยจูบหวานๆ สัมผัสแผ่วเบาซ้ำๆ เหมือนดึงดูดให้เข้าใกล้และไม่อยากผละจาก ดวงตาภายใต้กรอบแว่นสีดำที่ทอดมองมา คงจะยิ่งน่ามองถ้าหากไม่มีสิ่งใดบดบัง ไออุ่นที่ถ่ายทอดผ่านมาทางผิวกาย คงจะยิ่งอุ่นถ้าหากไม่มีสิ่งใดขวางกั้น...

   โซระ!?

   ฝันอะไรบ้าๆ นั่นมันเพื่อนสนิทของนายนะ!

   แต่นับวัน ความฝันก็ยิ่งเลยเถิดเกินการควบคุม

   ทว่าความจริงกลับเป็นสิ่งตรงกันข้าม เพราะตั้งแต่กลับจากเสม็ด เอิร์ธกับพี่ต้นก็ไปไหนมาไหนด้วยกันสองต่อสองบ่อยครั้ง ไม่มีผมหรือพี่แจ็คพ่วงไปด้วยเหมือนเมื่อก่อน ความสับสนเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดหวั่น นับวันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมจึงตัดสินใจเอ่ยถาม

   "เอิร์ธกับพี่ต้นคบกันแล้วใช่ม๊า~"

   และความจริง... ก็กลับกลายเป็นฝันร้าย

   

   "โซระ..."

   เสียงเรียกที่คุ้นเคยดังแผ่วเบาอยู่ข้างหู ถึงแม้จะได้ยินชัดเจน หากร่างกายของผมกลับหนักอึ้งจนไม่อาจเคลื่อนไหว ไม่อาจเปล่งเสียงขานรับ ผมจึงได้แต่นอนนิ่งอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง

   ก๊อกๆ

   ในความมืดสลัว ประสาทสัมผัสของผมรับรู้ได้ว่าพื้นเตียงที่นอนอยู่ยวบไหวขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับไออุ่นข้างกายที่จางหายไป ตามด้วยเสียงพูดคุยของใครบางคน

   "พี่ต้น...?"

   "พี่ขอเข้าไปข้างในได้ไหม"

   ไม่มีคำตอบ มีเพียงเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามา ตามด้วยเสียงประตูที่ปิดตัวลง

   ผมพยายามเบนหน้าหันไปมองต้นเสียง ทว่าร่างกายกลับหนักอึ้งราวกับถูกทับด้วยหินก้อนใหญ่ ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ มีเพียงแสงสีส้มจากโคมไฟบนหัวเตียง ส่องให้เห็นเงาของคนสองคนที่เดินเข้ามาด้านใน เงาสูงใหญ่กับอีกเงาหนึ่งที่บอบบาง พอให้เดาได้ไม่ยากนักว่านั่นเป็นเงาของใคร

   ร่างที่ผมคุ้นเคยเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างเตียง แต่ร่างที่สูงใหญ่กว่ากลับเดินเข้ามาใกล้ จนเงาทั้งสองแทบจะแนบสนิทเป็นหนึ่งเดียวกัน

   "เราก็คบกันแล้ว... เอิร์ธจะว่าอะไรไหมถ้าพี่จะขอ..."

   เสียงพูดขาดหายไปเพียงเท่านั้น กลายเป็นการสื่อสารกันผ่านทางสายตา ราวกับว่าไม่จำเป็นต้องมีคำพูดก็สามารถสื่อความในใจ

   ไม่มีคำปฏิเสธ มีเพียงการตอบรับด้วยภาษากาย เมื่อสายตาใต้กรอบแว่นหลุบต่ำลง ร่างสูงใหญ่จึงเชยคางมนให้เงยขึ้นกลับมามองกันอีกครั้ง ก่อนจะโน้มใบหน้าลงไปใกล้ จนไม่เหลือช่องว่าง

   ความมืดสลัวฉายให้เห็นเงาที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว ผมรับรู้ถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นได้ พื้นเตียงข้างกายยวบลงไปด้วยน้ำหนักตัวของคนสองคนที่นอนแนบตามกันลงมา จากนั้นภาพบาดตาก็ปรากฏชัดเจนในระยะกระชั้นชิด เป็นร่างของคนสองคนที่กำลังกอด จูบ และกำลังสานต่อการกระทำที่มากกว่านั้น

   ทั้งๆ ที่ผมยังคงอยู่ตรงนี้ แต่พวกเขากลับทำราวกับว่าผมไม่มีตัวตน ทั้งๆ ที่ผมพยายามร้องตะโกนบอกให้หยุด! แต่กลับไม่มีเสียงใดๆ ลอดผ่านลำคอออกมา ไม่ว่าจะพยายามดิ้นรนแค่ไหน ร่างกายกลับไม่ยอมเคลื่อนไหว ทั้งๆ ที่ผมไม่อยากเห็น ไม่อยากได้ยิน ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากให้เอิร์ธทำแบบนี้กับใคร

   ไม่อยากให้เอิร์ธทำแบบนี้กับคนอื่น... ที่ไม่ใช่ผม

   "โซระ... ร้องไห้ทำไม"

   ภาพพร่ามัว กลบไปด้วยหยดน้ำตา ครั้งนี้ผมได้ยินเสียงของตัวเองสะอื้นดังเหมือนเด็กๆ แต่เมื่อค่อยๆ ลืมตาขึ้น ภาพรอบตัวกลับกลายเป็นห้องสีขาวสว่างจ้า และเมื่อก้มลงมอง ก็ได้เห็นเอิร์ธเอื้อมมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาบนแก้มของผมแผ่วเบาอย่างปลอบโยน

   ทว่าภาพเบื้องหน้ากลับทำให้ผมต้องกะพริบตาอีกหลายๆ ครั้ง ก่อนจะเบิกตากว้างอย่างตกใจ เพราะสิ่งที่เห็นคือพื้นเตียงขาวๆ กับผิวกายขาวๆ เพราะทั้งเอิร์ธทั้งผมต่างก็ไม่ได้สวมเสื้อผ้า

   ...แล้วพี่ต้นหายไปไหน

   ไม่ใช่แค่นั้น! ทำไมผมถึงได้มาอยู่อีท่านี้

   ตำแหน่งที่พี่ต้นอยู่เมื่อกี้!?

   "โซระ..."

   "ตื่นได้แล้ว! สายแล้ว! ตื่นได้แล้ว! สายแล้ว! ตื่นได้แล้ว!"

   โครม! "โอ๊ย!"

   เสียงนาฬิกาปลุก ตามด้วยเสียงโครมคราม ตามด้วยเสียงร้องของผมที่กลิ้งร่วงหล่นลงจากเตียง

   "ตื่นได้แล้ว! สายแล้ว! ตื่นได้แล้ว! สายแล้ว! ตื่น..."

   ผมยืดแขนออกไปกดปิดนาฬิกาที่ร้องดังลั่นน่ารำคาญ ก่อนจะพยุงร่างกายลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล มือหนึ่งลูบสะโพกที่เจ็บจากการร่วงกระแทกพื้น อีกมือลูบท้ายทอยที่ยังคงปวดเมื่อยราวกับนอนตกหมอน ก่อนจะลูบผ่านไปบนใบหน้า

   ทันใดนั้นก็ต้องหยุดชะงักเมื่อสะดุดเข้ากับความเปียกชื้นข้างแก้ม ไม่ใช่แค่คราบเหงื่อ แต่เหมือนกับรอยน้ำตา

   พาลให้หวนนึกถึงภาพฝันเลือนลาง

   ฝันร้าย...? หรือว่าฝันดี...?

   ผมจำรายละเอียดในความฝันไม่ได้ จำได้แต่ว่าเป็นความฝันที่แปลกประหลาดมากๆ และก็เศร้ามากๆ แต่สิ่งหนึ่งที่จำได้อย่างชัดเจนก็คือ เสียงของใครคนหนึ่งที่เรียกชื่อของผมในความฝัน

   เสียงของคนที่ในความเป็นจริงพวกเราไม่ได้คุยกันมาหลายวันแล้ว เพราะผมยังไม่กล้าเผชิญหน้า ไม่รู้ว่าควรจะทำตัวยังไง ไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับความรู้สึกของตัวเองยังไง

   แต่ความรู้สึกหนึ่งที่ชัดเจนที่สุดในตอนนี้ก็คือ...

   ผมอยากได้ยินเสียงของเอิร์ธ

   
-----
   
   ตอนนี้เป็นเรื่องของคู่รอง ไม่เกี่ยวกับคู่หลักซะทีเดียว เลยขอแทรกไว้เป็นตอนที่ 13.5

   ส่วนคู่หลักนั้น บอกได้เพียงว่า ความเกรียนของแจ็คและความน่าสงสารของต้นเพิ่งจะเริ่มขึ้นเท่านั้น :laugh:



ออฟไลน์ @moment

  • แอทโมเม้นท์
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
    • https://www.facebook.com/at.moment.writer/
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer/
   

    ตอนที่ 14 หลอกล่อ

   

   "มึงอำกูใช่ไหม ต้องใช่แน่ๆ เดี๋ยวจะต้องมีพิธีกรโผล่มาพร้อมไมค์บอกว่า 'นี่คือรายการ...เราล้อคุณเล่น~!' แล้วไหนละกล้อง ซ่อนอยู่ที่ไหน? ไหน?"

   หลังจากอึ้งรับประทานไปนานหลายนาทีคนปากดีก็ยังไม่ยอมแพ้ แถมยังทำท่าหันมองซ้ายขวารอบห้อง เหลือเพียงทิศเดียวที่ไม่ยอมหันมา ก็คือข้างกายที่มีผมนั่งเป็นหัวหลักหัวตออยู่

   ดูมันพูดแต่ละคำ ได้ใช้สมองกลั่นกรองบ้างหรือเปล่า

   ถ้าขืนมีใครโผล่เข้ามาตอนนี้ ภาพที่จะได้เห็นก็คือร่างเปลือยเปล่าของผู้ชายสองคน นั่งอยู่บนเตียงในสภาพที่ไม่ต้องเดาให้เเสียเวลาว่าเพิ่งจะเกิดอะไรขึ้น พร้อมหลักฐานเป็นเสื้อผ้ายับยู่ที่หล่นกองอยู่รอบๆ และถ้ามีกล้องซ่อนอยู่ในห้องจริง สิ่งที่ถ่ายได้ก็คงเป็นหนังสดเรทยี่สิบบวก แถมด้วยซาวด์เอฟเฟ็คเป็นเสียงครางกระเส่าของใครบางคน

   เสียดายที่ผมไม่ได้มีรสนิยมชอบโชว์หรือชอบถ่ายเก็บไว้ ไม่งั้นก็จะได้รู้กันไปเลยว่าถ้าตกเป็นดาราจำเป็นจริงมันจะยังกล้าปากเก่งอย่างนี้อีกหรือเปล่า

   "อย่านอกเรื่อง มึงก็รู้ว่ากูจริงจัง"

   ทำก็แล้ว พูดก็แล้ว รุกแบบหน้าด้านๆ ก็แล้ว กลับยังไม่ได้รับคำตอบใดๆ แต่ในเมื่อด้านแล้วก็คงต้องด้านต่อไปให้ถึงที่สุด ผมจึงเอื้อมฝ่ามือที่ใหญ่กว่าไปจับปลายคางของอีกฝ่ายเพื่อดึงให้หันกลับมามองกัน มันขมวดคิ้วยุ่งโดยอัตโนมัติและตั้งท่าจะปัดมือออก แต่อาจจะสะดุดในจังหวะที่สายตาของพวกเราสบประสานกัน

   ผมยังคงจ้องมองแจ็คนิ่งๆ เหมือนกับตอนที่พูดว่า

   'กูรักมึง... เราคบกันนะ'

   คนที่ดีแต่ปากจึงนิ่งเงียบไปอีกครั้ง ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะเงียบได้นานกี่นาที ผมจึงชิงตัดหน้ากล่าวตัดบทก่อน

   "ถ้าไม่ปฏิเสธก็แปลว่าตกลง" ประโยคที่มันชอบใช้กับผมอยู่บ่อยๆ คราวนี้ได้ทีผมเอามาใช้บ้าง

   "สรุปว่าเราเป็นแฟนกันแล้วนะ" อาศัยจังหวะที่มันยังอ้าปากค้างด้วยความเหวอ จรดจูบลงไปเพื่อปิดคำคัดค้าน จนเสียงโวยวายว่า "เฮ่ย!? กูยังมะ..." กลายเป็นแค่เสียงร้องอู้อี้ในลำคอ

   แต่ประสบการณ์ก็สอนผมว่าเขี้ยวคมๆ อาจจะบาดลิ้น และถ้าไม่ระวังอาจจะถูกหมาบ้ากัดเอาได้ ผมจึงตัดใจหยุดการรุกรานไว้เพียงเท่านั้น กดจูบหนักๆ บนริมฝีปากเป็นครั้งสุดท้ายอย่างอ้อยอิ่งก่อนจะผละออกมา

   "กูหิวแล้ว ไปหาไรกินกัน" ก่อนที่คนกำลังเบลอจะตั้งสติกลับมาโวยวาย ผมจึงหยิบยืมมุกที่มันชอบใช้ขึ้นมาอีกครั้ง และโชคดีที่เสียงท้องของมันร้องขึ้นมาได้จังหวะตรงเผง แต่ก็เลยไม่รู้ว่าสีแดงอ่อนๆ ที่เรื่ออยู่บนในหน้าเกิดจากความโกรธหรือความอาย เกิดจากเหตุการณ์เมื่อครู่หรือจากเสียงท้องร้องเมื่อกี้

   แต่เท่าที่รู้ คนหน้าด้านอย่างมันไม่ได้หน้าแดงง่ายๆ

   "ลุกเร็วๆ มื้อนี้เดี๋ยวกูเลี้ยงเอง" ผมจึงแอบเก็บรอยยิ้มเอาไว้ ยันตัวลุกจากเตียงพร้อมฉุดแขนของอีกร่างให้ลุกขึ้นตาม

   "มึงเห็นกูเป็นตัวอะไร คิดว่าเอาข้าวมื้อเดียวมาล่อแล้วกูจะติดกับงั้นเหรอ กูไม่ได้เห็นแก่กินขนาดนั้นนะเว่ย!" มันโวยวาย แต่อาจจะสู้แรงดึงไม่ไหวถึงได้ยอมลุกขึ้นมาอย่างทุลักทุเล ระหว่างนั้นก็ก้มคว้ากางเกงที่อยู่บนพื้นขึ้นมาสวม

   ผมจึงเลิกคิ้วเล็กน้อย เพราะปรกติเห็นมันเดินเปลือยโล่งโจ้งโทงๆ ไม่เคยแคร์สายตาใคร แต่จะว่าไปมันก็คิดถูกแล้วที่ทำแบบนั้น ไม่อย่างนั้นผมอาจจะเปลี่ยนใจจากการออกไปหาอะไรกินข้างนอก มาเป็นการกินอะไรๆ ในห้องแทน

   "แล้วเย็นนี้อยากกินอะไรล่ะ ไปกินซูชิกันไหม เดี๋ยวกูเลี้ยง หรือจะให้เลี้ยงทุกมื้อก็ยังได้" ผมรู้ว่าเดือนนี้มันจนกรอบถึงขีดสุด ข้อเสนอนี้จึงน่าจะล่อตาล่อใจอยู่ไม่มากก็น้อย แต่แจ็คกลับทำหน้าปั้นยาก

   อาจเป็นเพราะประโยคสุดท้าย แต่ผมหมายความตามที่พูด

   'ทุกมื้อ' ที่อาจแปลว่า จากนี้และตลอดไป

   ผมยอมรับว่ายังไม่ได้คิดไกลถึงขั้นนั้น แม้ในใจลึกๆ อยากจะให้เป็นอย่างนั้น แต่ตอนนี้ทุกอย่างเพิ่งจะเริ่มต้น และมันก็ยังไม่ยอมเอ่ยปากยอมรับเลยด้วยซ้ำ

   "มึงพูดเองนะ ถ้างั้นก็เตรียมตัวกระเป๋าฉีกได้เลย กูอยากกินซูชิ ชาบู หมูกระทะ เนื้อย่างวากิว กุ้งเผา ปูเผา เป่าฮื้อ หมูหัน หูฉลาม ไข่ปลาคาร์เวีย ฟัวกราส์"

   ผมได้แต่ส่ายหน้าและเหล่มองมันด้วยสายตาที่ว่า แบบนี้ถ้าไม่เรียกว่าเห็นแก่กินแล้วจะให้เรียกว่าอะไรวะ

   "มื้อนี้กินก๋วยจั๊บเจ้าเดิมไปก่อนก็แล้วกัน"

   พอผมพูดอย่างนั้นหมาทั้งฟาร์มจึงพร้อมใจกันเห่าประท้วง บ่นด่าไม่หยุดจนผมต้องดันแผ่นหลังให้แจ็คเดินเข้าห้องน้ำเพื่อตัดรำคาญ แต่มันกลับรู้ทันปิดประตูใส่หน้าก่อนที่ผมจะได้เดินตามเข้าไปข้างใน

   ระหว่างยืนฟังเสียงน้ำจากฝักบัวดังลอดผ่านแผ่นไม้บางๆ ผมจึงแอบระบายยิ้มออกมาอีกครั้ง เพราะอย่างน้อยมันก็ร่ายเมนูอาหารยาวเป็นหางว่าว แปลว่าพวกเราจะได้ไปกินข้าวด้วยกันอีกหลายมื้อ และที่สำคัญ

   'ถ้าไม่ปฏิเสธก็แปลว่าตกลง'

   มันไม่ได้ปฏิเสธ

   

   "ยินดีด้วยนะครับ" เอิร์ธกล่าวพร้อมคลี่ยิ้มบางอย่างจริงใจ

   "ยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอก ก็แค่เปลี่ยนแผน" ผมตอบด้วยน้ำเสียงเนือยๆ

   เพราะหลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จ ฉวยโอกาสระหว่างที่ผมเดินไปจ่ายเงินบอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำ ไอ้ตัวดีก็กินแล้วชักดาบ เผ่นหนีหายเข้ากลีบเมฆ โทรไปก็ไม่รับ ส่งข้อความไปก็อ่านแต่ไม่ยอมตอบ ผมจึงได้แต่ถอนหายใจ เพราะรู้ตัวอยู่เหมือนกันว่าเดินหน้ารุกหนักมากเกินไป ครั้งนี้จะถือว่าปล่อยนกปล่อยกา จะยอมปล่อยให้ไอ้ลูกหมาได้พักหายใจชั่วคราว

   ผมจึงโทรนัดเอิร์ธออกมาพบกันที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง เพื่ออัพเดทข่าวคราวความคืบหน้าตามประสาผู้สมรู้ร่วมคิด มีหลายเรื่องเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาสั้นๆ ทั้งเรื่องที่แจ็คอกหักจากโซระ เรื่องที่ผมสารภาพความจริงว่าไม่ได้คบกับเอิร์ธ ซ้ำยังบอกรักและมัดมือชกให้มันยอมเป็นแฟนด้วย

   "อย่างน้อยก็ถือว่าแผนการแยกสองคนนั้นออกจากกันประสบความสำเร็จ" เอิร์ธยิ้มด้วยสีหน้าที่สดชื่นมากกว่าเดิม ต่างจากตอนแรกที่ผมถามว่าเมื่อวานโซระโทรมามีอะไรหรือเปล่า แต่กลับได้รับคำตอบว่า 'แค่โทรมาถามการบ้านครับ...'

   "แล้วนายไม่คิดจะบอกความในใจกับโซระบ้างเหรอ" ผมลองถาม เพราะต่อให้ครั้งนี้จะสามารถกันแจ็คออกไปได้สำเร็จ ก็ใช่ว่าต่อไปจะไม่มีใครคนอื่นเข้ามาอีก หรือต่อให้คอยกันท่าทุกๆ คน ก็ใช่ว่าจะสำเร็จทุกครั้ง และที่สำคัญ ใช่ว่าทำแบบนี้แล้วความรักจะสมหวัง

   "ถ้าโซระได้เจอคนที่ดี... ผมอาจจะตัดใจได้..."

   หากคำตอบที่ได้รับ กลับทำให้ผมต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่

   "นายเป็นคนดีนะเอิร์ธ"

   ผมวางมือบนบ่าของร่างเล็กตรงหน้าเบาๆ อีกฝ่ายจึงเงยขึ้นมองกลับมา และไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกมาเป็นคำพูด เอิร์ธก็คงเข้าใจสิ่งที่ผมอยากบอก

   'ให้โอกาสตัวเองบ้าง... นายดีพอที่จะเป็นใครคนนั้น'

   แน่นอนว่า 'คนที่ดี' อาจจะไม่ใช่ 'คนที่ใช่' แต่เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าใช่หรือไม่ ถ้าหากไม่ลองค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง ผมเองก็เคยกลัว... กลัวว่าผลลัพธ์จะไม่เป็นอย่างที่หวัง แม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังคงกลัวอยู่

   "พี่ก็กลัวเหมือนกับนาย" ยิ่งคาดหวังก็ยิ่งกลัวผิดหวัง

   "แต่รู้ไหม... พี่ไม่เสียใจเลยกับสิ่งที่กำลังทำอยู่"

   ต่อให้เห็นโอกาสแค่เพียงริบหรี่ ผมก็อยากจะคว้าเอาไว้ จะเรียกว่าฉวยโอกาสก็ได้ แต่ผมรู้ดีว่าถ้าไม่อาศัยจังหวะนี้ทำอะไรสักอย่าง จะต้องกลายเป็นตัวเองที่ต้องเสียใจในภายหลัง

   เอิร์ธยังคงมีสีหน้าลังเลและไม่แน่ใจ ผมจึงไม่พูดอะไรไปมากกว่านั้น เพราะจะว่าไปแล้วสถานการณ์ของพวกเราสองคนก็อาจจะไม่เหมือนกัน จึงได้แต่กระชับมือบนบ่าเล็กเบาๆ อย่างให้กำลังใจ

   

   ตีเหล็ก ต้องตีตอนร้อน

   อุตส่าห์คั่นเวลาให้พักหายใจตั้งหลายชั่วโมง คราวนี้ก็ถึงเวลารุกของผมบ้าง โชคดีที่กระเป๋าสตางค์แบนๆ ของมันคงจะแห้งกรอบไปจนถึงสิ้นเดือน ผมเลยไม่ต้องกังวลว่ามันจะออกไปแรดจีบเด็กที่ไหน ปรกติแล้วพอไม่มีที่ไปมันก็มักจะไปสิงอยู่ที่ห้องของผม ซึ่งตอนนี้กลายเป็นสถานที่สุ่มเสี่ยง เพราะฉะนั้นก็คงเหลือแค่ไม่กี่ที่ที่มันจะหนีไปซุกหัวอยู่ได้

   "สวัสดีครับแม่" ผมยกมือไหว้หญิงวัยกลางคนรูปร่างท้วมเล็กน้อยที่เดินออกมาเปิดประตูรั้วให้

   "อ้าวตึก ไปยังไงมายังไงล่ะลูก มาหาแจ็คเหรอ" เธอยิ้มแย้มยกมือขึ้นรับไหว้ พลางเชื้อเชิญให้เข้าบ้านด้วยอัธยาศัยอันดี

   ผมเคยมาที่บ้านของแจ็คหลายครั้ง แม้พักหลังจะไม่ค่อยได้มาเพราะส่วนใหญ่มันมักจะเป็นฝ่ายไปสิงอยู่ที่หอของผมมากกว่า แต่อาจเป็นเพราะฉายาที่สอดคล้องกับรูปร่างสูงใหญ่ ทำให้จดจำได้ง่าย หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะมันมีเพื่อนสนิทถึงขั้นพามาเที่ยวบ้านอยู่แค่ไม่กี่คน แม่ของแจ็คจึงจำผมได้

   "แม่กำลังทำกับข้าวพอดีเลย กินข้าวกินปลามาแล้วหรือยัง อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันนะ แจ็คอยู่บนห้องน่ะ เห็นบ่นว่าต้องทำรายงานแต่ก็ยังนั่งเล่นเกมอยู่ได้ทั้งวัน เมื่อคืนก็ไม่รู้หายหัวไปไหนมา นี่กว่าจะกลับถึงบ้านก็ค่อนบ่าย ไม่รู้ว่าไปทำรายงานหรือเที่ยวเล่นเถลไถลที่ไหนกันแน่ ไอ้ลูกคนนี้ละเหลวไหลเป็นที่หนึ่ง แจ็คเอ๊ย~ มีเพื่อนมาหาน่ะลูก~ แจ็ค~! ไอ้ลูกแจ็คโว้ย~!"

   แม่ของแจ็คตะโกนเรียกจากด้านล่าง ปลายเสียงเพิ่มดีกรีความดังมากขึ้นเรื่อยๆ บทสนทนายิงยาวแบบไม่เว้นจังหวะให้ตอบ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าแจ็คได้เชื้อช่างเจรจามาจากใคร มันยังชอบนินทาอยู่เป็นประจำว่าอย่าทำให้ท่านแม่พิโรธ โดนด่าทีไรไฟแล่บหูชาไปสามวันสามคืน

   "ผมขอขึ้นไปหาแจ็คข้างบนนะครับ" ผมหาจังหวะเอ่ยขึ้นมาเมื่อยังไม่มีเสียงขานรับจากผู้ที่ถูกเรียก ทั้งๆ ที่เสียงตะโกนดังลั่นจนน่ากลัวว่าคนข้างบ้านจะช่วยขานแทน

   "ตามสบายเถอะจ้ะ ถ้าอย่างนั้นแม่ขอตัวไปทำกับข้าวต่อก่อนนะ อุ๊ยตาย ป่านนี้น้ำแกงไม่เดือดจนแห้งหมดแล้วเหรอเนี่ย!" ร่างท้วมอุทานพลางเดินหายไปทางหลังบ้าน ผมจึงถือโอกาสเดินขึ้นบันได ก้าวตรงไปยังห้องที่เคยมา

   ลองเคาะประตูเรียกตามมารยาท แต่กลับไม่มีสัญญาณตอบรับใดๆ มีเพียงเสียงจากโทรทัศน์หลุดรอดออกมาแผ่วเบา ผมลองบิดลูกหมุนดู พบว่าประตูไม่ได้ล็อก จึงตัดสินใจเปิดเข้าไปด้านใน

   ในที่สุดก็ได้เจอตัวคนที่หนีหายไปตั้งแต่เช้านอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ปลายเท้ามีเครื่องเพลย์รุ่นเก่าและแผ่นเกมวางระเกะระกะ เพราะเครื่องรุ่นใหม่มันหอบเอาไปเล่นที่ห้องของผม โทรทัศน์ยังคงเปิดทิ้งไว้ เหมือนเผลอหลับไปทั้งอย่างนั้น อาจจะเพลียจัดเพราะเมื่อคืนก็ได้นอนไปแค่ไม่กี่ชั่วโมง มิน่าแม่เรียกถึงไม่ได้ไม่ขาน

   ผมเดินเข้าไปนั่งลงบนเตียง ทอดมองคนที่ยังนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว ร่างสมส่วนอยู่ในชุดเสื้อยืดย้วยๆ กับกางเกงบอลขาสั้น แบบที่ชอบใส่เป็นประจำเวลาอยู่บ้าน ต่างจากภาพลักษณ์หนุ่มหล่อใสสไตล์เกาหลีที่เอาไว้ใช้หลอกเด็กลิบลับ

   แต่ภาพตรงหน้ากลับทำให้ผมนึกถึงสุภาษิตที่ว่า 'ความรักทำให้คนตาบอด' เพราะตอนนี้ไม่ว่ามันจะอยู่ในสภาพไหน ผมก็ดันหน้ามืดตามัว มองว่าน่ารักเข้าไปได้

   น่าเสียดายที่เตียงนี้เป็นเตียงเดี่ยวขนาดมาตรฐาน ทำให้ผมนั่งได้เพียงครึ่งสะโพกก็เกือบจะทับแขนของคนที่นอนอยู่ก่อนแล้ว ถ้าอยากจะดันทุรังขึ้นไปนอนด้วย คงต้องใช้วิธีรวมร่างแบบแนบสนิทไม่เหลือช่องว่าง

   แต่จะว่าไป ก็เป็นไอเดียที่ดี

   ยังไม่ทันได้ทำอย่างที่คิด แค่เอื้อมปลายนิ้วออกไปเกลี่ยเส้นผมที่ตกลงมาปรกหน้าผาก คนที่นอนอยู่ก็พลิกตัวกลับมา ขยับปรือตาขึ้นมองมือของผม ย่นหัวคิ้วแบบยังงัวเงียและงงๆ แต่พอมองไล่ขึ้นมาเห็นว่าเป็นมือของใคร เท่านั้นแหละ คนขี้เซาก็ตาสว่างทันที

   "เฮ่ย!? มาได้ไง!?" ร่างที่นอนอยู่กระเด้งลุกขึ้นนั่ง ถอยหลังไปจนชนกำแพง

   "นั่งรถเมล์มาต่อมอเตอร์ไซค์" ผมจึงตอบด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบพอกับสีหน้า จงใจกวนตีนหน้าตายนั่นแหละ ก็ใครใช้ให้มันทำท่าอย่างนั้น เห็นหน้าผมแล้วทำหน้าอย่างกับเห็นผี ต่อให้ไม่ได้คาดหวังการต้อนรับ แต่เจอแบบนี้เข้าไปก็อดน้อยใจไม่ได้เหมือนกัน

   "มาทำไม แล้วมึงเข้ามาอยู่ในห้องกูได้ยังไง ใครอนุญาต แม่งไร้มารยาทว่ะ" ปากด่ากึ่งไล่ แต่ตัวตั้งท่าจะลุกหนี ผมจึงรั้งแขนของอีกฝ่ายให้ทรุดกลับมานั่งข้างกันอย่างเก่า

   "แม่มึงอนุญาตเอง แถมชวนกูกินข้าวเย็นด้วย" ผมตอบตามตรง แต่มันกลับหันขวับมาถลึงตาโต อ้าปากค้าง ยกนิ้วขึ้นชี้หน้า

   "อย่าบอกนะ ว่ามึง... มึงพูดอะไรกับแม่กูบ้าง!?"

   แล้วมันจะโวยวายทำไม ผมเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

   กลัวว่าผมจะพูดอะไร? เพราะมันก็ไม่เคยปิดบังที่บ้านเรื่องที่เป็นเกย์ แถมยังเป็นท่านแม่ของมันเองด้วยซ้ำที่ต้องคอยจ้ำจี้จ้ำไชให้ลูกชายยืดอกพกถุง เพราะรู้ว่าคงไม่มีทางล่ามโซ่หมาแรดเอาไว้ได้ หรืออย่างสมัยที่มีแฟนเด็ก มีรักหวานชื่นปานจะกลืนกิน มันยังเคยโม้เลยว่าจะให้แม่ยกขันหมากไปสู่ขอลูกสะใภ้

   อ้อ... หรือกลัวแม่จะรู้ว่าคราวนี้ได้ 'ลูกเขย' แทน

   "เออ! ถ้ามึงไม่ได้พูดอะไรก็แล้วไป" มันอาจแปลความหมายจากสีหน้าของผมเป็นอย่างนั้นจึงกล่าวตัดบทพร้อมตั้งท่าจะลุกหนีไปอีกครั้ง ทำให้ผมต้องเหนื่อยออกแรงดึงแขนให้มันนั่งกลับลงมาอีกรอบ

   "เล่นเกมกันไหม" สายตาของผมเหลือบไปเห็นแผ่นเกมที่กองอยู่บนปลายเตียง หนึ่งในนั้นมีเกมต่อสู้แบบตัวต่อตัวที่เคยฮิตมากในอดีต ผมจึงหยิบขึ้นมาใช้เป็นหัวข้อเบี่ยงเบนความสนใจ ก่อนจะฉุกคิดอะไรบางอย่าง

   "มาประลองกันไหม" ผมเกริ่นหยั่งเชิง ก่อนตามด้วยประโยคยั่วยุ

   "ถ้ากูแพ้ กูสัญญาว่าจะเลิกตามตื้อ แต่ถ้ากูชนะ มึงต้องสัญญาว่าจะเลิกหนี"

   "ใครหนี!?" มันเถียงทันควันอย่างที่คิด

   "หรือมึงกลัวแพ้" ผมจึงจงใจราดน้ำมันซ้ำลงบนกองไฟ และก็ได้ผล เพราะคนที่มองตาขวางดึงแผ่นเกมจากมือของผมไปเสียบเข้าเครื่องเล่น ก่อนจะคว้าจอยสติ๊กขึ้นมาตั้งหน้าตั้งตาพร้อมรบ

   "มึงเตรียมตัวแพ้ได้เลย!" มันหันกลับมาแสยะยิ้ม ผมจึงหยิบจอยสติ๊กขึ้นมาด้วยใบหน้าเรียบเฉยตามปรกติธรรมดา

   ผมรู้ว่ามันเป็นนักเล่นเกมมือฉมัง

   แต่มันคงไม่รู้หรอกว่า... ผมเคยเป็นเซียนเกมนี้

   เริ่มต้นด้วยการเลือกตัวละคร เลือกฉาก ลงสนาม นับถอยหลัง สาม สอง หนึ่ง เปิดเกมฟาดฟันกันในทันที

   มันปล่อยหมัดทั้งต่อยและเตะเป็นชุด ผมกระโดดหลบก่อนหาจังหวะม้วนตัวตีลังกาเตะกลับหลัง โดนจังๆ จนมันกระเด็นถอยออกไปตั้งหลัก แต่ด้วยความใจร้อนจึงพุ่งกลับเข้ามาโดยเร็ว ผมเสียทีโดนปล่อยอาวุธใส่หลายครั้ง จนพลังชีวิตลดฮวบฮาบ แต่งานนี้จะแพ้ไม่ได้! ไม่มีการออมมือใดๆ ทั้งสิ้น ผมเล็งโอกาสพิฆาตคู่ต่อสู้ ตั้งรับรอจังหวะ เมื่อสบโอกาสก็ซัดท่าไม้ตายพ่วงคอมโบเข้าไปทั้งเซ็ต

   K.O.

   "เหี้ย!" เสียงสบถดังลั่นพร้อมเขวี้ยงจอยสติ๊กทิ้งลงบนเตียง

   ผมลอบถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก ก่อนจะพยายามเก็บกลั้นรอยยิ้มเอาไว้อย่างสุดความสามารถ เพราะถ้าหันมาเห็น มันจะต้องแพ้แล้วพาลแน่ๆ

   "เออ ก็ได้! ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำ! กูจะไม่...ไม่ดิ คนอย่างกูไม่เคยหนีอยู่แล้ว!" เหรอ? งั้นไอ้ที่ผ่านมาคงไม่ใช่มึงแต่เป็นหมาสินะที่หนี

   ผมส่ายหน้าอย่างระอาอีกครั้ง แต่ตอนนี้กำลังอารมณ์ดีจนขี้เกียจจะฟื้นฝอยหาตะเข็บ ผมจึงเอนหลังนั่งพิงกำแพงอย่างสบายใจ

   ด้วยความที่เตียงมีขนาดไม่กว้างนัก ต้นแขนของผมจึงชนเข้ากับแขนของอีกคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง มันทำท่าจะกระเถิบหนีโดยอัตโนมัติ แต่อาจติดที่ศักดิ์ศรีค้ำคอ เพิ่งพ่นออกไปหยกๆ จะกลืนน้ำลายทันทีก็เสียเชิงชาย เลยได้แต่บ่นพึมพำด่าแบบไร้เสียง แต่ก็ไม่ได้ขยับหนีไปไหน

   ผมจึงกระแซะใกล้เข้าไปอีกนิด และเมื่อมันไม่โต้ตอบจึงยิ่งได้ใจเบียดชิดเข้าไปอีกหน่อย จนต้นขาแทบจะเกยกลายเป็นการนั่งซ้อนตักกัน

   "มึงจะเบียดอะไรนักหนา!? ถ้าจะเบียดขนาดนี้มึงปล้ำกูเลยดีกว่า!"

   มันสบถออกมาอย่างหัวเสีย แต่คงไม่ทันคิดว่าความปากเสียของตัวเองจะกลายเป็นการ 'ชี้โพรงให้กระรอก'

   "ไอ้เหี้ย...! กูประชด! เข้าใจไหมว่ากูประชด!? ไอ้ถึก! อื้อ..."

   มันแหกปากลั่นเมื่อผมเอี้ยวตัวไปซุกจมูกลงบนบ่าพร้อมพลิกกลับขึ้นมาคร่อมทับ ก่อนจัดการปิดเสียงประท้วงด้วยการกลืนเข้าไปในลำคอ เสียงอู้อี้จึงร้องดังไม่หยุด เดาได้เลยว่าถ้าหลุดเป็นอิสระเมื่อไหร่ มันคงจะด่าเป็นชุด

   มันบอกว่าจะไม่หนี แต่ไม่ได้บอกว่าจะไม่ดิ้น ผมจึงต้องกันไว้ก่อนแก้ด้วยการแทรกตัวเข้าไปตรงกลางระหว่างต้นขา ดันเบียดเข่าเข้าไปชิด เพื่อให้พ้นรัศมีฝ่าเท้าที่อาจยกขึ้นมาถีบได้ กลายเป็นการสร้างกรงขังขนาดย่อม ข้างหลังเป็นกำแพง ข้างหน้าเป็นตัวผม พอหมดทางดิ้นก็คงเหลือวิธีต่อต้านอีกหนึ่งทางคือการ 'กัด'

   "มึงบอกเองนะว่าให้ 'ปล้ำ'"

   ผมถอยใบหน้าออกมาอย่างรู้ทัน คนที่ได้แต่กัดลมจึงจิ๊ปากอย่างขัดใจ และพอไม่มีอะไรปิดปาก เสียงอื้ออึ้งขึ้นจมูกจึงหลุดรอดออกมาอย่างชัดเจน

   ชุดที่มันใส่อยู่ก็ช่างเป็นใจ ทั้งเสื้อยืดหลวมๆ ที่แค่ดึงรั้งขึ้นไปก็ไม่เหลืออะไรปกปิดผิวกาย ทั้งกางเกงบอลขอบยางยืดเก่าๆ ที่สามารถสอดมือบุกรุกเข้าไปได้ง่ายๆ

   "อื้อ" เมื่อผมโน้มตัวกลับลงไปจูบอีกครั้ง คราวนี้มันจึงไม่ได้ต่อต้านหรือพยายามกัดอีก อาจเป็นเพราะตัวประกันที่อยู่ในมือของผม หรือไม่มันก็ไม่อยากได้ยินเสียงน่าอายของตัวเอง

   อุณหภูมิบนเตียงเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามความร้อนที่ประทุขึ้นในร่างกาย เมื่อมันเริ่มให้ความร่วมมือ ผมเองก็เริ่มหยุดตัวเองไม่อยู่ เกือบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหน ถ้าไม่มีเสียงหนึ่งตะโกนดังลั่น

   "แจ็คเอ๊ย~! เลิกเล่นเกมได้แล้วลูก! ลงมากินข้าวก่อน!"

   ทันทีที่ได้ยินเสียงนั้นราวกับทุกอย่างรอบตัวสะดุดกึก เหมือนใครเอาถังน้ำแข็งเย็นเฉียบมาสาดใส่ดังโครม ผมกับแจ็คได้แต่หยุดชะงักมองหน้ากัน

   โชคดีที่เสียงนั้นดังขึ้นมาจากด้านล่าง ตามด้วยเสียงบีบแตรรถยนต์ พ่อของแจ็คคงจะกลับมาถึงบ้านพอดี แม่เลยออกไปเปิดประตูรั้วให้ ยังดีที่ไม่ได้เดินขึ้นมาเรียกถึงหน้าห้อง

   "แม่งเอ๊ย หัวใจจะวาย เพราะมึงเลย! หื่นไม่เลือกที่!" พอตั้งสติได้มันก็เริ่มด่า ดูเหมือนว่าอารมณ์ก่อนหน้านี้จะหดหายไปหมดเกลี้ยง

   ผมไม่อยากเถียงจึงค่อยๆ ยันกายลุกขึ้น พลางมองคนที่ก้มหน้าก้มตาจัดการแต่งตัวให้เข้าที่ ถึงแม้ว่าเสื้อผ้าจะยับยู่ ทรงผมจะยุ่งเหยิง แต่ดูเผินๆ ก็เหมือนกับคนเพิ่งตื่นนอน

   ก่อนจะผละออกมาผมจึงแตะจูบแผ่วเบาลงบนปากของมันอีกครั้ง

   "งั้นคืนนี้ไปนอนห้องกูนะ"

   "...เหอะ! ไปให้โง่ดิ"

   "ไหนว่าจะไม่หนี"

   "...ไม่ได้หนีเว่ย! ก็... กูมีบ้านก็ต้องอยู่บ้านดิ... เออ แม่เรียกไปกินข้าวแล้ว ไปกันได้แล้ว เดี๋ยวคุณนายจะพิโรธ"

   มันก็ยังดิ้นแถไปได้เรื่อยๆ จนผมแอบถอนหายใจ แต่เอาเถอะ ถือซะว่าก้าวหน้าไปอีกหนึ่งขั้น ถ้ามันยังไม่ยอมหลงกล ผมก็จะหาวิธีมาหลอกล่อต่อไป เอาให้มันตกหลุมแบบปีนไม่ขึ้นเข้าสักวัน


   
-----
 :katai4:


ออฟไลน์ nevergoodbye

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
แจ็คนี่ดื้อจริงๆ

ออฟไลน์ NOPKAN

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 172
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-1
มาตามอ่าน~~~~

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8893
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ @moment

  • แอทโมเม้นท์
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
    • https://www.facebook.com/at.moment.writer/
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer/
   

   ตอนที่ 15 ตายแล้วเกิดใหม่

   

   แผนรุกแบบหน้าด้านๆ ดูท่าจะใช้ไม่ได้ผลกับคนที่เป็นต้นฉบับของความหน้าด้าน

   "ไอ้ถึก! กูหิวแล้ว ไปหาไรกินกัน" เมื่อหันกลับไปหาต้นเสียง ผมก็ได้พบกับรอยยิ้มหวานปานน้ำตาลที่ลอยหน้าลอยตานำมาแต่ไกล

   "อีนี่มาทีไรก็ทักแต่เพื่อน ไม่เคยเห็นหัวพี่มันสักที นี่ถ้าตึกไม่ได้มีแฟนเป็นตัวเป็นตนไปแล้วฉันคงกลัวมันจะหน้ามืดตามัวคว้าของแสลงมากินเข้าสักวัน" พี่มินนี่ขานรับแทนเป็นชุด จนคนฟังอย่างผมไม่รู้จะสะอึกคำไหนก่อนดี

   เพราะ 'แฟน' ที่ว่าก็คือคนที่ยังคงปั้นหน้าฉีกยิ้มค้าง

   คือ 'ของแสลง' ที่ผมกินไปแล้วและดันอยากกินอีกหลายๆ รอบด้วย

   "โธ่ ถ้าเจ๊สุดสวยจะใจดีเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กน้อยน่ารักผู้ยากไร้คนนี้ผมก็จะมาทักเจ๊ทุกมื้อไม่ให้ขาดเลยอ่ะ" มันเนียนหลบตาผมด้วยการหันไปฉีกยิ้มประจบพี่รหัสแทน

   "ไอ้เห็นแก่กิน!" พี่มินนี่ด่าตรงๆ แต่คิดหรือว่าคนที่หน้าหนายิ่งกว่าฝาบ้านจะสะทกสะท้าน

   "เห็นแก่กินแบบหวังกินข้าวก็ยังดีกว่าพวกที่เลี้ยงข้าวแบบหวังกินตับป่ะเจ๊" เห่าทีเล่นเอาสะอึกกันเป็นแถบ ทั้งเพื่อนภาคร่วมโต๊ะที่แอบเลี้ยงกิ๊กตอนแฟนเผลอ ทั้งพี่มินนี่ที่ชอบทุ่มทุนเลี้ยงหนุ่มๆ หุ่นแซ่บ ทั้งผมที่คาดว่ามันจงใจด่ากระทบเต็มๆ

   "ไหนมึงบอกว่าหิวไง จะไปกันได้หรือยัง" ผมขี้เกียจต่อความยาวจึงกล่าวตัดบทพร้อมหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นพาดบ่า ก่อนที่บทสนทนาจะกลายเป็นการเปิดศึกกลางโต๊ะ และน่าจะมีคนรอรุมยำมันอยู่เยอะซะด้วย

   ถ้าจะมีอยู่เรื่องเดียวที่ผมอยากเถียง ก็คงเป็นเรื่องที่มันได้กินฟรี แต่ผมยังไม่ได้กิน...

   พอติดสัญญาว่าจะไม่หนี ไอ้แจ็คก็เปลี่ยนมาใช้วิธี 'มึงด้านได้กูด้านกว่า' แถมยังหาทางดิ้นไปได้เรื่อยๆ แบบหน้าด้านๆ

   ตอนกลางวันก็ลอยหน้าลอยตามาชวนผมไปกินข้าว หรือพูดตรงๆ ก็คือลากไปให้ไปจ่ายตังค์ค่าข้าวนั่นแหละ แต่พอตกเย็นก็เสแสร้งแกล้งทำตัวเป็นลูกที่ดี กลับบ้านไปกินข้าวกับพ่อแม่ หลบอยู่หลังกันชน จนผมชักอยากจะประกาศขอฝากเนื้อฝากตัวเป็นลูกเขยซะให้รู้แล้วรู้รอด

   "เย็นนี้ไปกินซูชิกันไหม" ขืนชวนไปห้องของผมตรงๆ มันคงไม่มีทางยอม ผมจึงลองชวนอ้อมๆ เผื่อว่าอีกฝ่ายจะเผลอเห็นแก่กินมากกว่าห่วงสวัสดิภาพของตัวเอง หยิบยกเมนูที่เคยบอกว่าจะเลี้ยงแต่ยังไม่เคยได้ไป เพราะมื้อกลางวันส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นข้าวในโรงอาหาร หรือไม่ก็ร้านใกล้มหาลัยที่ราคาไม่แพงมากนัก มันเลยชอบพูดว่า 'ไว้สิ้นเดือนเดี๋ยวกูเลี้ยงคืน ก๋วยจั๊บเจ้าเก่านะ' ดูท่าจะยังแค้นเรื่องก๋วยจั๊บอยู่ไม่หาย

   "เย็นนี้กูมีนัดแล้ว" ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับกลายเป็นคนละเรื่อง ผมจึงย่นคิ้วเข้าหากัน ในขณะที่คนพูดยังตักข้าวเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ

   "มิ้งค์ชวนไปงานวันเกิด บอกว่าจะเลี้ยง" มันอธิบายต่อพลางคว้าแก้วโอเลี้ยงมาดูดดับกระหาย คำว่า 'เลี้ยง' คงเป็นสาระสำคัญที่สุดของคนพูด แต่ตอนนี้ผมกลับพยายามทบทวนชื่อนั้นจากความทรงจำ

   มิ้งค์ เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับพวกเรา แต่เรียนอยู่คนละภาค จึงไม่ได้สนิทสนมกันมากนัก แต่ผมกลับจำหน้าตาน่ารักและรูปร่างเพรียวบางของมิ้งค์ได้ เพราะเป็นแบบที่ตรงสเปคของแจ็คทุกอย่าง ยังจำได้อีกว่าตอนปีหนึ่งมันเคยพยายามจีบมิ้งค์ด้วยซ้ำ แต่แล้วก็ต้องม้วนเสื่อกลับมาด้วยเหตุผลที่ว่า

   'หน้าตาก็ดี แม่งไม่น่าปากหมาเลยให้ตาย'

   มันน่าจะลองส่องกระจกก่อนพูดประโยคนั้น

   "มึงไปสนิทกับมิ้งค์ตั้งแต่เมื่อไหร่" ผมถามกลับ เพราะชื่อนี้ไม่ได้ปรากฏในสารบบของพวกเรามานานแล้ว

   "เจอกันในวิชาเลือกเมื่อวาน" มันตอบแบบไม่ใส่ใจมากนัก

   "ถ้างั้นกูไปด้วย" ในเมื่อเพื่อนที่ไม่สนิทกันมากนักอย่างแจ็คยังชวนได้ เพื่อนที่สนิทพอๆ กันอย่างผมก็น่าจะไปด้วยได้ เหตุผลอีกอย่างคือผมชักจะได้กลิ่นไม่ชอบมาพากลจากงานนี้ ไม่ว่าจะมีอะไรแอบแฝงหรือไม่ อย่างน้อยผมก็อยากไปดูให้เห็นกับตาว่ามันไปเพราะหวังกินข้าว ไม่ได้หวังกินอะไรๆ แบบที่เพิ่งจะด่าคนอื่น

   "เฮ่ย ได้ไง งานแบบนี้ต้องให้เจ้าภาพชวนดิ ไม่ใช่นึกอยากไปก็ไป สะกดเป็นหรือเปล่าคำว่ามารยาทน่ะ" พูดอย่างกับมันมีเยอะมากงั้นแหละ 'มารยาท' ถ้าตัดท.ทหารตัวสุดท้ายออกก็ว่าไปอย่าง

   "เดี๋ยวกูลองโทรถามมิ้งค์เอง" ผมตอบเรียบๆ ถึงแม้จะไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของอีกฝ่าย แต่ลองถามจากเพื่อนรุ่นเดียวกันก็ไม่น่าจะยาก

   "มึงเอาจริงดิ" มันเลิกคิ้วมองหน้าผมแบบอึ้งๆ

   "ถ้ามึงไม่ได้คิดจะนอกใจ ก็ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว" ผมตอบหน้าตาย แต่คนฟังทำท่าจะสำลักข้าวและโอเลี้ยงที่เพิ่งดูดเข้าไป ไอคอกแคกออกมาหลายครั้งจนต้องหยิบน้ำขึ้นมาดื่มตาม ก็รอดูไปว่างานนี้ใครจะด้านได้มากกว่ากัน

   แต่อันที่จริง ผมควรจะต้องใช้คำว่า 'นอกกาย' มากกว่า 'นอกใจ'

   เพราะคำว่า 'นอกใจ' มีไว้ใช้กับคนที่ 'มีใจ'

   ในขณะที่ผมยังไม่เคยได้หัวใจของมัน มาเป็นของผมจริงๆ เลยสักที

   

   ลางสังหรณ์ของผมเริ่มมีมูลมากขึ้นทุกขณะ ระหว่างลองถามเบอร์โทรของมิ้งค์จากเพื่อนร่วมรุ่น แม้จะได้มาโดยไม่ยากนัก ทว่ากลับไม่มีใครเคยได้ยินเรื่องงานเลี้ยงที่ว่านี่เลยสักคน หนำซ้ำยังมีบางคนถามกลับว่า 'มิ้งค์ไม่ได้เกิดเดือนพฤษภาหรอกเหรอ' ซึ่งนี่ก็เลยมาหลายเดือนแล้ว

   พอผมลองโทรไป มิ้งค์ก็รับสายอย่างงงๆ แต่พอลองเท้าความถึงแจ็คก็ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเริ่มผูกเรื่องติด บอกว่าผมจะมาด้วยกันก็ได้ สรุปแล้วเย็นวันนั้นผมกับแจ็คจึงเดินทางไปยังร้านอาหารกึ่งผับแห่งหนึ่ง โดยแจ็คขับรถไปเอง คงเพราะทำตัวดีมาหลายวันท่านแม่จึงยอมคืนรถให้ใช้

   แต่พอมาถึงร้าน ลางสังหรณ์ที่เคยหวั่นใจก็ชักจะเริ่มกลายเป็นความจริง

   เมื่อบอกชื่อที่ใช้จอง พนักงานจึงพาพวกเราเดินไปยังมุมหนึ่งของร้าน ทว่าที่นั่นกลับไม่มีเพื่อนคนอื่นๆ อยู่เลยสักคน มีเพียงโต๊ะทรงกลมตัวหนึ่งโอบล้อมด้วยโซฟายาวรูปครึ่งวงกลม มีมิ้งค์นั่งอยู่ตรงกลางและผู้ชายอีกคนนั่งอยู่ด้านข้าง

   "นี่แจ็คกับตึก เป็นเพื่อนที่คณะของผมเอง ส่วนนี่พี่เอก เจ้ามืองานนี้" มิ้งค์แนะนำให้พวกเรารู้จักกับผู้ชายคนนั้น ก่อนจะเอื้อมดึงมือของแจ็คให้นั่งลงข้างๆ ผมจึงจำต้องนั่งถัดออกมาอีกทอดหนึ่ง

   ผู้ชายคนนั้นยิ้มให้พวกเราด้วยท่าทางสุภาพ ใบหน้าตี๋ๆ ตาตี่ๆ ยิ้มแล้วเป็นสระอิ ไม่มีความโดดเด่น แม้จะเป็นคนผิวขาวและคาดว่าคงสูงไม่น้อยไปกว่าแจ็ค สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวกับกางเกงสแล็คสีดำ มองเผินๆ ดูเหมือนนักศึกษา แต่เมื่อลองมองดีๆ ก็คิดว่าน่าจะเป็นพนักงานบริษัทมากกว่า

   แต่สิ่งที่ผมฟังแล้วสะดุด กลับเป็นคำว่า 'เจ้ามือ'

   ไม่มีคำอธิบายมากกว่านั้น ไม่ระบุความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่ ญาติ คนรู้จัก คนรัก...? หรือว่าอยู่ในฐานะไหน

   "สุขสันต์วันเกิดนะมิ้งค์ ขอโทษทีที่กูรู้กะทันหันไปหน่อยเลยไม่ทันได้เตรียมของขวัญเลย" แจ็คเป็นฝ่ายเริ่มชวนคุยตามประสาคนช่างพูด

   "ไม่ใช่วันเกิดกูหรอก วันเกิดพี่เอกน่ะ" มิ้งค์ตอบง่ายๆ

   "อ้าว" แจ็คอุทาน ไม่ต่างกับเสียงในความคิดของผม

   เอาแล้วไงล่ะ ว่าแล้วว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างแปลกๆ แล้วแบบนี้มิ้งค์จะชวนคนนอกอย่างแจ็คหรือผมมาทำไม

   "ปีนี้พี่เอกก็สามสิบแล้วเนอะ" มิ้งค์พูดลอยๆ พาดพิงถึงคนข้างๆ

   "หา!? แก่มาก! เอ้อ มากกว่าที่คิด คือผมว่าพี่เอกหน้าเด็กมากเลย เนอะ มึงว่าไหม" คนปากไวหลุดเห่าตามนิสัย ก่อนจะรีบยั้งตัวเองเอาไว้ คงเพราะยังมีความเกรงใจให้กับเจ้ามืออยู่บ้าง หรือพูดตรงๆ ก็คงกลัว 'อดแดก' ท้ายประโยคจึงหันมาพยักพเยิดกับผมเพื่อหาแนวร่วม

   "ขอบคุณครับ ถ้าน้องๆ อยากทานอะไรก็สั่งกันได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ" คนมองโลกในแง่ดียังคงยิ้มให้อย่างจริงใจ ไม่มีแววประชดประชันหรือไม่พอใจเลยสักนิด

   ไม่นานนักพนักงานเสิร์ฟจึงเดินมารอรับรายการอาหาร ผมขอถอนคำพูดที่ว่าไอ้แจ็คยังมี 'ความเกรงใจ' เพราะมันเล่นสั่งอย่างกับตายอดตายอยาก ทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และกับข้าวอีกหลายอย่าง มิ้งค์เองก็เป็นไปกับเขาด้วย สั่งอาหารมาเต็มโต๊ะ อย่างกับจงใจจะถล่มเจ้ามือ

   ซ้ำร้าย ถ้าผมไม่ได้คิดไปเอง สองคนที่นั่งอยู่ตรงกลางไม่จำเป็นต้องเบียดชิดกันขนาดนั้น ตอนก้มหน้าอ่านเมนูหน้าผากก็แทบจะชนกันอยู่แล้ว หรือแม้แต่ตอนกินข้าวก็ผลัดกันตักให้จนแทบจะกลายเป็นการป้อน

   มิ้งค์เป็นฝ่ายเริ่ม แต่ไอ้แจ็คก็ไม่มีทีท่าจะปฏิเสธ

   ผมมองภาพตรงหน้าด้วยอารมณ์ที่เริ่มขุ่นมัว ส่วนเจ้าภาพวันเกิดยังคงนั่งยิ้มและหัวเราะไปกับบทสนทนาของคนสองคนที่ได้รับฉายาว่า 'ปากหมาทั้งคู่' พูดคุยกันอย่างออกรสชาติ อย่างกับสวนสัตว์เปิด หยอกกัดกันเป็นระยะ พอให้ได้เลือดซิบๆ

   "ว่าแต่พี่เอกทำงานเกี่ยวกับอะไรเหรอครับ" แจ็คหันไปชวนเจ้าภาพคุยบ้าง อย่างน้อยก็ยังพอจะมีมารยา...ท อยู่บ้าง

   "พี่เป็นโปรแกรมเมอร์ครับ ทำงานอยู่ที่..." พี่เอกเอ่ยชื่อบริษัทซอฟแวร์ชื่อดังแห่งหนึ่งซึ่งคงมีน้อยคนในโลกโซเชียลที่จะไม่รู้จัก

   "โห มิน่าล่ะ หน้าตาพี่ดูฉลาดมากเลย" แจ็คอุทานอย่างโอเว่อร์ หาความจริงใจไม่เจอ ถ้ามองโลกในแง่ร้ายคงเข้าใจว่ามันแดกดัน เพราะว่าหน้าตาของพี่เอก... ออกจะเรียบๆ เชยๆ พอๆ กับบุคลิกที่เรียบง่ายเหมือนคนไม่ค่อยคิดมาก

   "หน้าที่การงานก็ดี อายุก็ปูนนี้ น่าจะแต่งงานมีหลานให้ป๊าม๊าชื่นใจได้แล้ว" มิ้งค์กล่าวขึ้นมา ประโยคที่ฟังดูแสนจะธรรมดาสำหรับคนทั่วไป แต่กลับทำให้ใบหน้าของคนที่เคยยิ้มอยู่ตลอดเวลาเจื่อนลง

   "สามสิบสมัยนี้ยังไม่ถือว่าแก่หรอก~ ยังสนุกกับความโสดได้อีกหลายปี" แจ็คยังคงเลียแข้งเลียขาประจบสอพลอ แม้จะหลุดตอกย้ำคำว่า 'แก่' ออกมาอีกรอบ

   "ก็จริง คนโสดอย่างพวกเราต้องใช้ชีวิตให้เต็มที่ สนุกให้สุดเหวี่ยง เอ้า มาดื่มฉลองความโสดกันดีกว่า" มิ้งค์เอ่ยชวนคนคอเดียวกันให้ชนแก้ว ไอ้แจ็คที่อยากอยู่แล้วก็เลยไม่ขัดศรัทธา

   พอมีเหล้าเข้าไปหล่อเลี้ยงคนปากมากก็ยิ่งพูดมาก ชวนคุยหัวร่อต่อกระซิกกันอยู่สองคน กระซิบข้างหูเหมือนแอบนินทาใคร ก่อนจะหัวเราะร่วนเอนศีรษะลงมาซบบนบ่า ภาพตรงหน้าทำให้ผมต้องนั่งท่องนับเลขหนึ่งถึงร้อยอยู่ในใจ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหัวหลักหัวตอ พี่เอกเองก็คงจะรู้สึกไม่ต่างกัน ยิ่งเวลาผ่านไปรอยยิ้มบนใบหน้าจึงยิ่งเจือจาง

   "พี่ขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ" พี่เอกเอ่ยขึ้นมา มิ้งค์แค่หันไปพยักหน้าให้อย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะหันกลับมาคุยกับแจ็คต่อ ชายหนุ่มหน้าตี๋จึงเดินคอตกออกไป

   ทว่าหลังจากพี่เอกเดินจากไปแค่ไม่กี่นาที บทสนทนาอย่างออกรสชาติเมื่อครู่กลับค่อยๆ เงียบลงราวกับถูกปิดสวิตช์ มิ้งค์เอนหลังพิงโซฟาด้วยท่าทางเหนื่อยหน่าย

   "ถ้ามึงจะชวนกูมาเป็นไม้กันหมาก็ช่วยเตี๊ยมกันก่อนได้ไหม อ่อยมากเข้าเดี๋ยวกูก็เอาจริงหรอก" แจ็คเป็นฝ่ายพูดโพล่งขึ้นมา ถึงจะทำตัวปากหมาไร้สาระไปวันๆ แต่มันก็ไม่ใช่คนโง่ขนาดนั้น เหตุการณ์แปลกประหลาดตั้งแต่เริ่มต้น ตั้งแต่ตอนที่มิ้งค์คิดจะชวนแจ็คแล้ว และมาชัดเจนแจ่มแจ้งเอาก็นาทีนี้

   "ถ้ากูกับมึงจะเอากันจริงคงเสร็จไปตั้งแต่ตอนปีหนึ่งไม่ต้องรอให้ถึงป่านนี้หรอก ชวนมากินฟรีก็กินไปเหอะน่า อย่าพูดมาก" มิ้งค์ตอบกลับด้วยวาจาเผ็ดร้อน แต่คนนิสัยเหมือนกันมีเหรอจะยอมเงียบง่ายๆ

   "กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดไปแล้วกูก็ต้องมีสิทธิรู้เปล่าวะ เรื่องเป็นยังไงมายังไงเล่ามาซะดีๆ ถ้ามึงไม่เล่า... กูจูบ!"

   เฮ่ย!? ผมคว้าคอเสื้อไอ้แจ็คเอาไว้แทบไม่ทัน แต่คนตัวเล็กกว่าก็ยันหน้าผากมันกลับมาทันที

   "...กูแค่อยากให้เขาเลิกยุ่งกับกูซะที" มิ้งค์ยอมตอบสั้นๆ แต่คนฟังดูเหมือนจะยังไม่พอใจกับคำตอบนั้น ทำท่าจะยื่นหน้าเข้าไปหาอีกรอบ จนผมต้องรีบกระตุกคอเสื้อมันเอาไว้

   "ก็แค่หลวมตัวมีอะไรด้วยครั้งเดียว! ไม่รู้จะจริงจังอะไรหนักหนา พูดมาได้ว่าจะรับผิดชอบ กูเป็นผู้ชายนะเว่ย!? ไม่ใช่สาวน้อยไร้เดียงสา ตามตื้ออยู่ได้น่ารำคาญ ด่าแล้วก็ยังยิ้มอยู่ได้ ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไป ปฏิเสธกี่ครั้งก็ยังจะดื้อด้าน พูดไม่เข้าใจเหรอไงว่าไม่ชอบ! คนที่ไม่ใช่ทำยังไงมันก็ไม่ใช่ ต่อให้"

   "ต่อให้ตายแล้วเกิดใหม่ ก็ไม่มีทางใช่"

   ประโยคสุดท้ายแจ็คเป็นคนพูดเสริมต่อจนจบ มิ้งค์พ่นลมหายใจออกมาแรงๆ แต่ไม่ได้ปฏิเสธว่านั่นคือสิ่งที่กำลังจะพูด เพียงแค่ยักไหล่และทิ้งแผ่นหลังลงบนพนักพิงอีกครั้ง

   จนกระทั่งสายตาของผมมองเลยโซฟาไปหยุดชะงักที่ร่างของใครบางคนที่เดินกลับเข้ามา ทำให้แจ็คเงยหน้าขึ้นมองบ้าง ตามด้วยมิ้งค์ที่หันหลังกลับไปมองเป็นคนสุดท้าย

   "พี่... ต้องกลับเข้าบริษัท... พอดีคนที่ทำงานโทรมาตาม บอกว่าเซิร์ฟเวอร์มีปัญหา... ยังไงพี่ฝากเงินเอาไว้ที่มิ้งค์ก็แล้วกันนะ... เท่านี้น่าจะพอ... ขอโทษด้วย..."

   ปลายเสียงแผ่วเบาจนขาดหาย ใบหน้าขาวซีดก้มมองมือของตัวเองที่หยิบแบงก์พันหลายใบออกจากกระเป๋า ไม่ได้ยื่นให้ เพราะมิ้งค์เองก็ไม่ได้ยื่นมือออกไปรับ เศษกระดาษที่ไม่มีใครสนใจจึงถูกวางลงบนโต๊ะ ก่อนที่ร่างสูงจะก้มหน้าหันหลังเดินออกไป

   โซฟายาวรูปครึ่งวงกลมที่เหลือคนนั่งอยู่เพียงสามคนจึงตกอยู่ในความเงียบ

   "มึงแม่ง... โคตรใจร้าย"

   แจ็คด่าขึ้นมา ไม่ได้ดูตัวเองเลยว่าเมื่อกี้ใครเป็นคนพูดอะไรออกมาบ้าง หมาตัวไหนเห่ารับเป็นลูกคู่ยิ่งกว่าคอรัสประสานเสียง

   "เจ็บทีเดียวแล้วจบ ยังดีกว่ายื้อต่อไปก็มีแต่จะยิ่งเจ็บ" มิ้งค์ไม่ได้ด่าตอบ แต่กลับพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เช่นเดียวกับสีหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ

   "สั่งมาตั้งเยอะก็ช่วยกันแดกให้หมดด้วย สงสารคนไม่มีอันจะกินบ้าง" ร่างเล็กกล่าวตัดบทเปลี่ยนเรื่อง แม้ว่าบรรยากาศหลังจากนั้นจะอึมครึมจนแทบไม่มีใครแตะต้องอาหารที่เหลือ แม้แต่คนพูดเองก็เน้นหนักไปทางเครื่องดื่ม ยกแก้วในมือขึ้นจรดริมฝีปากอีกครั้ง

   ระหว่างนั้นเองที่ผมเห็นมิ้งค์พึมพำอะไรบางอย่าง แทบไม่ออกเสียง ราวกับไม่ได้ต้องการให้ใครได้ยิน โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้อยู่ฟัง

   อ่านปากได้ว่า 'สุขสันต์วันเกิด'

   ก่อนที่คำนั้นจะถูกกลืนหายไปพร้อมกับน้ำสีอำพัน ทำให้ผมนึกถึงคำพูดที่ใครบางคนเคยบอกว่า เหล้าช่วยลบความรู้สึก แม้จะช่วยได้เพียงชั่วคราวก็ตาม

   
----------
   
   ยื่นมีดให้แล้วเผ่น  o18


ออฟไลน์ Himbeere20

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
เป็นตอนที่อ่านแล้วรู้สึกว่า ความรักไม่ใช่เรื่องง่ายเลย

ออฟไลน์ @moment

  • แอทโมเม้นท์
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
    • https://www.facebook.com/at.moment.writer/
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer/
   

   ตอนที่ 16 หมามีเจ้าของ

   

   หลังจากขับรถพามิ้งค์ไปส่งที่บ้าน กว่าจะกลับมาถึงหอของผมก็เป็นเวลาห้าทุ่มกว่า รอบบริเวณจึงค่อนข้างเงียบสงัด มีเพียงนักศึกษาขี่มอเตอร์ไซด์ผ่านประปราย ต่างจากหน้าปากซอยที่ยังมีรถเข็นขายบะหมี่โต้รุ่งอยู่

   "มึงจะขึ้นไปข้างบนไหม"

   ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงไม่ต้องเอ่ยถามประโยคนี้ เพราะมันมักจะเดินขึ้นไปแลนดิ้งบนที่นอนโดยไม่รอถามความเห็นชอบจากเจ้าของห้องด้วยซ้ำ ด้วยเหตุผลที่ว่าขี้เกียจกลับไปฟังแม่บ่น แถมอยู่ติดมหาลัยก็ตื่นสายได้อีกหลายสิบนาที

   "กูกลับบ้านดีกว่า ดึกแล้วเดี๋ยวแม่เป็นห่วง"

   ถ้าเป็นปรกติผมคงจะส่ายหน้าให้กับความตอแหล แถแบบหน้าด้านๆ หาข้ออ้างไปได้เรื่อยๆ ตามคอนเซ็ปลูกหนี้ ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย

   แต่วันนี้ผมอาจจะเหนื่อยเกินไป...

   "มึงว่ามิ้งค์ใจร้าย แต่กูว่ามิ้งค์พูดถูก ยื้อต่อไปก็มีแต่จะยิ่งเจ็บ"

   คนที่ไม่ใช่ ต่อให้พยายามให้ตายก็ไม่มีทางใช่

   "ถ้าคำตอบของมึงคือ 'ไม่' ก็พูดออกมาตรงๆ เลยดีกว่า กูจะได้เลิกหวัง"

   มันเอาแต่หนี บ่ายเบี่ยง แต่ก็ไม่เคยปฏิเสธตรงๆ ออกมาเลยสักครั้ง ไม่ว่าจะเป็นตอนที่พวกเรามีอะไรกัน หรือแม้กระทั่งตอนที่ผมบอกรัก

   แจ็คหันกลับมามองผมเหมือนตั้งตัวไม่ทัน อ้าปากจะพูด แต่แล้วก็เงียบไป สุดท้ายก็เลือกพูดจาเฉไฉ

   "มึงโกรธเหรอ... ปรกติมึงไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยนี่หว่า"

   ผมเบื่อและหมดอารมณ์จะพูดอะไรต่ออีก จึงตัดสินใจก้าวลงจากรถ หันหลังเดินเข้าไปในหอ ผมไม่ได้โกรธ ไม่ได้โมโห ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มันพูดหรือทำ เพราะผมรู้จักนิสัยของแจ็คดี มันก็แค่ชอบพูดไม่คิด ปากหมาพาลหาเรื่องไปทั่ว แต่ลึกๆ แล้วไม่ได้มีเจตนาร้าย

   แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ใช่ก้อนอิฐก้อนหิน ถึงจะได้ไม่รู้สึกรู้สาอะไร

   ผมก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดา... ที่รู้จักเจ็บเป็น

   ผมเดินกลับขึ้นห้องมานั่งสงบสติอารมณ์อยู่นาน จนคิดว่าแจ็คคงจะขับรถกลับบ้านไปแล้ว ความอึดอัดค้างคาทำให้ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนยันตัวลุกขึ้นไปคว้าผ้าเช็ดตัว ตั้งใจจะอาบน้ำเพื่อดับความเครียด แต่จังหวะนั้นเองเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น

   เมื่อเปิดประตูออกไป ผมก็ได้พบกับ 'หมายืนทำหน้าจ๋อย'

   "ถ้าเราไม่เป็นแฟนกัน เราจะกลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมได้ไหม..."

   ประโยคนั้นทำให้ผมปิดประตูกลับลงไป

   "ไอ้ถึก~! มึงอย่าทำแบบนี้ดิ มึงจะเลิกคบกูจริงๆ เหรอ!?"

   คนโวยวายยังอุตส่าห์ดันทุรังแทรกแขนเข้ามาได้ทัน แถมยังยักแย่ยักยันเบียดตัวเข้ามาเกือบครึ่งบ่า ยื่นหน้าเข้ามาอีกครึ่งแก้ม

   "หยุดอยู่ตรงนั้นเลย ถ้ามึงเหยียบเข้ามาในห้องนี้ก็อย่าหาว่ากูไม่เตือน"

   ผมกล่าวเสียงห้วน ทำให้คนดิ้นรนหยุดชะงักฉับพลัน ไม่ต้องอธิบายให้มากความมันก็คงรู้ว่าผมหมายความว่ายังไง สาเหตุที่มันหาข้ออ้างข้างๆ คูๆ ไม่ยอมมาเหยียบที่นี่อีก

   ผมจึงปล่อยมือจากลูกบิด ปล่อยให้ประตูเป็นอิสระ ถ้าหากมันจะก้าวเข้ามาสามารถก็ทำได้ง่ายๆ หรือถ้าจะหันหลังกลับไป... ก็สามารถทำได้ง่ายๆ เช่นกัน

   แจ็คยังคงยืนคาอยู่ครึ่งๆ กลางๆ ทำหน้าอย่างกับตุ๊กแกถูกประตูหนีบ นัยน์ตาฉายแววสับสนลังเล แต่ผมขี้เกียจจะรอฟังคำพูดแสลงหูหาเรื่องออกทะเลของมันอีก ผมจึงตวัดผ้าเช็ดตัวขึ้นพาดบ่า พร้อมหันหลังเดินไปทางห้องน้ำ

   จังหวะนั้นเองที่ปลายผ้าถูกกระตุกอย่างแรง

   "มึงอย่าทำแบบนี้ดิ!" คนเรียกรั้งผวาถลาพรวดพราดเข้ามาราวกับลืมตัว

   "ถ้ามึงทิ้งกูอีกคน กูก็ไม่เหลือใครแล้วนะ" ประโยคตัดพ้อทำให้ผมหันกลับไปและได้เห็นขาข้างหนึ่งเผลอก้าวเข้ามาด้านในหนึ่งก้าว แต่แล้วเสียงเศร้าก็ถูกกลบทับด้วยอาการพาล

   "ทำไมมึงต้องชอบกูด้วยวะ! เป็นเพื่อนกันมันไม่ดีตรงไหน!?"

   เป็นความผิดของผมใช่ไหม?

   "ถ้าคราวนี้อกหักอีก... แล้วกูจะไปร้องไห้กับหมาที่ไหน..."

   สีหน้าของคนพูดต่างหากที่ยิ่งกว่าหมาละห้อย หมาหงอย หมาจ๋อย หมากลัวถูกทิ้ง ปลายเสียงแผ่วลงอย่างกับหมาครางหงิงๆ ฝ่าเท้าอีกข้างหนึ่งยังคงวางหมิ่นเหม่อยู่บนเขตคั่นประตู จนผมชักอยากจะกระชากผ้าในมือดึงให้มันเซล้มหน้าคะมำเข้ามาข้างใน แต่ก็ต้องข่มใจไว้ ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นข้ออ้างให้มันใช้ดิ้นได้ภายหลังอีก

   ผมไม่มีคำตอบให้กับคำถามนั้น เพราะผมไม่ใช่หมอดูถึงจะได้หยั่งรู้อนาคต ถ้าคบกันจริงๆ พวกเราจะคบกันไปได้นานแค่ไหน วันข้างหน้าจะเป็นยังไง หรือแม้แต่วันนี้ ตัวผมเองจะอกหักหรือเปล่าก็ยังไม่รู้

   สิ่งที่ผมทำได้จึงมีเพียงการยืนมองมันนิ่งๆ ณ ตำแหน่งเดิม

   เหมือนกับที่ผมเคยอยู่ตรงนี้มาตลอด วันดีคืนดีมันก็อยากจะมาก็มา มานอนกลิ้งเอกเขนก มาก่อกวน ก่อความวุ่นวาย ทิ้งของส่วนตัวเอาไว้ทั่ว ทำตัวอย่างกับเป็นเจ้าของห้อง

   กว่าจะรู้ตัวอีกที... มันก็บุกรุกเข้ามาอยู่ข้างในหัวใจ

   ยังเหลืออีกครึ่งก้าว แต่ผมรู้ตัวดี... ไม่ว่าจะก้าวไปข้างหน้าหรือว่าถอยหลัง ผมกับมันก็คงไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก

   สุดท้าย ฝ่าเท้าที่หมิ่นเหม่อยู่ด้านนอกก็ขยับเข้ามาข้างใน

   "ถ้ามึงได้แล้วกล้าทิ้งกูจะด่าให้เสียหมา! ด่าหูดับตับไหม้ ด่ายันลูกบวช ด่าไม่ให้ต้องได้ผุดได้... อื้อ!"

   เอาไว้ก่อน ตอนนี้มันยังไม่มีโอกาสได้ด่า เพราะผมดึงร่างด้านหน้าเข้ามากอดแน่นในอ้อมแขน ก่อนทำการปิดปากร้ายๆ ไม่ให้ออกฤทธิ์ได้อีก

   "กูเตือนมึงแล้วนะ" ผมกระซิบบอก จังหวะที่มันพักหายใจ

   ในเมื่อก้าวเข้ามาแล้ว ก็อย่าหวังว่าผมจะยอมปล่อยให้มันหนีไปไหนได้อีก

   

   "สิบโมงครึ่ง!? เหี้ยทำไมมึงไม่ปลุกกู!" เสียงแหกปากจากคนข้างๆ ทำให้ผมต้องขมวดคิ้วก่อนลืมตาขึ้นช้าๆ

    "กูปลุกแล้วตอนแปดโมง แต่มึงไม่ยอมตื่นเอง" ผมตอบตามความจริง ขนาดผมลุกไปอาบน้ำเสร็จกลับมาก็ยังเห็นคนขี้เซานอนหลับตาพริ้ม วันนี้ผมไม่มีเรียนเช้าจึงตัดสินใจล้มตัวลงบนเตียงอีกครั้ง นอนกอดคนในอ้อมแขนเล่น ไปๆ มาๆ ก็เผลอหลับโดยไม่รู้ตัว

   ว่าแต่มันจะโวยวายทำไม วันไหนขี้เกียจก็เห็นโดดเรียนอยู่บ่อยๆ

   "วิชานี้เช็คชื่อด้วย ขาดห้าทียัง D ขาดอีกที C you next term! เหี้ยกูขาดไปกี่ทีแล้ววะ!?" เพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมาได้ไม่ถึงห้านาที มันก็ปล่อยตัวเงินตัวทองออกมาวิ่งเพ่นพ่านแล้วสองรอบ ทำท่าจะลุกพรวดพราด แต่แล้วก็กลับนิ่วหน้าเหมือนเจ็บจี๊ดที่บางตำแหน่งของร่างกาย

   "ยังไงก็ไปไม่ทันแล้วน่า" ผมจึงเอื้อมแขนไปโอบรอบเอว ดึงให้มันนั่งกลับลงมาอย่างเก่า หวนนึกถึงคำด่าที่เมื่อคืนได้ยินไม่รู้กี่รอบ

   'ไอ้ถึก! ไอ้ยักษ์ปักหลั่น! ไอ้ไซส์ควายแม่งยัดเข้ามาได้!'

   ถึงแม้พวกเราจะเคยมีอะไรกันหลายครั้ง แต่ดูเหมือนว่าขนาดของผมก็จะยังทำให้มันต้องเจ็บตัวอยู่ดี แต่นอกเหนือความเจ็บ ก็คงจะมีอะไรที่ดีกว่านั้นหลายอย่าง ไม่อย่างนั้นมันคงจะไม่ครางจนแทบไม่เหลือเสียงด่า

   "มึงไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน เดี๋ยวกูออกไปซื้ออะไรมาให้กิน อยากกินอะไรล่ะ" ผมใช้ของกินมาล่อ เปลี่ยนเรื่องให้มันยอมอยู่ในห้องนี้ต่อนานขึ้นอีกสักนิด

   "ข้าวมันไก่" มันนั่งนึกก่อนจะตอบออกมาง่ายๆ

   ผมจึงพยักหน้ารับ ขยับลุกขึ้นไปหยิบกุญแจและกระเป๋าสตางค์เพื่อเดินออกไปหน้าปากซอย

   หลังจากซื้อเสร็จกลับมาก็ยังได้ยินเสียงฝักบัวจากในห้องน้ำ ผมจึงจัดการแกะข้าวมันไก่ใส่จาน ซื้อมาสามห่อ แบ่งกันคนละห่อครึ่งพอดี ปรกติมันไม่ชอบกินหนังไก่จึงมักจะเขี่ยมาใส่จานของผม วันนี้ผมจึงจัดการลอกออกมาใส่จานของตัวเองให้เสร็จสรรพ

   "โห มีมึงเป็นแฟนก็ดีอย่างนี้นี่เอง" พออาบน้ำสดชื่นออกมา ต่อมตอแหลก็ทำงานแต่เช้า เหมือนกับที่มันชอบยิ้มฉอเลาะประจบเวลาที่ขอให้ผมทำอะไรให้ อย่างน้อยก็ยังดีที่ในประโยคนั้นได้เลื่อนขั้นจาก 'เพื่อน' มาเป็น 'แฟน'

   "แล้วทำไมมึงใส่ชุดนั้น ไหนว่าไม่มีเรียนบ่าย" ผมขมวดคิ้วเมื่อเห็นร่างสูงสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงขายาวสีดำ แทนที่จะเป็นเสื้อยืดกางเกงขาสั้นแบบอยู่บ้าน หรือบางครั้งเวลาอากาศร้อนๆ มันก็ไม่ใส่เสื้อด้วยซ้ำ

   "กูว่าจะกลับบ้าน" คำตอบนั้นยิ่งทำให้ผมย่นหัวคิ้วเข้าหากัน

   "เดี๋ยวแม่ด่า เมื่อคืนก็ไม่ได้กลับ วันนี้กลับไปนอนบ้านเอาใจแม่ซะหน่อย" มันยังคงยกข้ออ้างข้างๆ คูๆ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนมานอนห้องผมบ้าง ออกไปแรดค้างที่อื่นบ้าง ไม่ได้กลับบ้านเป็นอาทิตย์ก็ยังเคย

   "มึงไม่ต้องทำหน้ายักษ์ขนาดนั้นได้ป่ะ... เออ กูตอแหล! แต่มึงลองมองสังขารกูบ้างดิวะ!? ให้เดินขาถ่างเป็นไก่ย่างถูกเสียบทุกวันอย่างงี้กูก็ไม่ไหว กูยังไม่อยากเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณา 'ก็ลมมันเย็น~'" มันหยิบยกวลีฮิตสมัยพระเจ้าเหา จากโฆษณายาบรรเทาอาการ...ริดสีดวงทวาร

   "ก็ได้ กูสัญญาว่าจะไม่ทำอะไร ...ถ้ามึงไม่ยอม" ผมลองหาข้อตกลงที่ฟังดูเป็นกลางสำหรับทั้งสองฝ่าย

   "มึงพูดอย่างกับกูเคยไม่ยอม!" ก็จริง เพราะมันเป็นพวกศักดิ์ศรีค้ำคอ ฆ่าได้หยามไม่ได้ ซึ่งนั่นกลับกลายมาเป็นจุดอ่อนถ้ารู้จักยั่วให้ถูกจุด และต่อให้เคยดิ้นเคยแถยังไง แต่ถ้ามันตั้งใจจะไม่ยอมจริงๆ ป่านนี้คงได้มีการแลกหมัดแบบไม่ใครก็ใครต้องตายกันไปข้าง

   "เอาอย่างนี้ดีกว่า ถ้าวันไหนกูมีเรียนเช้า คืนก่อนหน้านั้น 'ห้าม'" มันต่อรอง

   "ก็ได้ ถ้ามึงไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่ม" ผมตั้งข้อแม้ ถึงแม้ว่ามันจะทำหน้าเหยเกแบบ 'ไม่มีทาง'

   "ก็ได้" แต่สุดท้ายกลับยักไหล่ตอบง่ายๆ

   ง่ายจนน่าสงสัย

   "มึงเอาตารางเรียนมาให้กูด้วย แล้วก็อย่าคิดเขียนมั่วๆ ไม่งั้นกูจะไปถามจากเพื่อนภาคมึงเอง" ผมดักคออย่างรู้ทัน คนที่นั่งกระหยิ่มยิ้มย่องจึงหุบยิ้มฉับพลัน ก่อนจะสบถด่างึมงำอยู่ในลำคอ

   "วันนี้มึงอยู่ที่นี่แหละ เดี๋ยวกูเลิกเรียนแล้วไปกินซูชิกัน" ผมพูดเปลี่ยนเรื่อง หยิบยกเมนูล่อใจที่เคยพูดไว้แต่ยังไม่เคยได้ไปกันสักที

   "พรุ่งนี้กูมีเรียนเช้านะ" มันรีบพูดขึ้นมา แต่พอผมเลิกคิ้วแทนการย้อนถามกลับว่า 'กูเคยผิดสัญญา?' มันเลยรับคำอย่างเสียไม่ได้

   "เออๆ ก็ได้ กูจะเตรียมท้องไว้รอถล่มมึงเลย" พอพูดจบก็ตักข้าวมันไก่ใส่ปาก คงตั้งใจจะรวบเป็นมื้อเดียวทั้งเช้าทั้งเที่ยง เห็นมันตั้งหน้าตั้งตาเคี้ยว ผมจึงเริ่มลงมือกินบ้าง

   พอกินเสร็จผมจึงเดินไปหยิบชุดนักศึกษามาเปลี่ยน กลับออกมาจากห้องน้ำก็เห็นมันสวมเสื้อยืดกางเกงขาสั้น นอนกระดิกตีนอ่านการ์ตูนอยู่บนเตียง แต่เห็นอย่างนั้นก็ค่อยออกไปเรียนได้อย่างสบายใจว่ามันคงจะไม่คิดเผ่นหนีไปที่ไหนอีก

   

   

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ em1979

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
เรื่องของพี่เอกกะมิงค์จบแค่นี้หรอ

ออฟไลน์ @moment

  • แอทโมเม้นท์
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
    • https://www.facebook.com/at.moment.writer/
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer/
   

   ตอนที่ 17 ปลอกคอ

   

   ผมรู้ว่ามันคงเตรียมตัวมาถล่มเต็มที่จึงตัดสินใจเลือกร้านซูชิแบบบุฟเฟ่ต์เพื่อควบคุมความเสี่ยงไม่ให้งบประมาณบานปลาย แต่ถึงอย่างนั้นราคารวมสองคนก็ยังพอให้กินข้าวมันไก่จนหน้าเป็นไก่ได้ทั้งอาทิตย์

   ต่อคิวจนได้ที่นั่งเรียบร้อย คนที่รอคอยเวลานี้มานานก็ตรงดิ่งไปคีบซูชิกลับมาเต็มจาน ทั้งโทโร่ ทาโกะ อานาโกะ ไข่กุ้ง ไข่ปลา และอีกสารพัดที่มองปริมาณแล้วไม่รู้จะยัดเข้าไปยังไงไหว แต่ผมเชื่อว่ามันสามารถ ต่อให้เดินไปกลับอีกสามรอบก็ยังสบายๆ

   "วันก่อนไอ้บิ๊กมาชวนไปค่ายอาสา ปีนี้มึงจะไปด้วยกันไหม" ผมเอ่ยชื่อเพื่อนคนหนึ่งที่เป็นเด็กกิจกรรมตัวยง ต่างจากผมที่ไม่ได้สังกัดชมรมใดๆ แต่ด้วยความที่เป็นเด็กหอ นอนอยู่ใกล้มหาลัย บางครั้งเวลาชมรมไหนมีงานหรือขาดคนก็มักจะมาขอแรงให้ช่วย ถ้าอยู่ว่างๆ ไม่ติดธุระอะไรผมก็ไปช่วยบ้าง

   "วันไหนล่ะ" มันถามพลางอ้าปากกว้าง ก่อนจะเขมือบซูชิชิ้นโตเข้าไปคำเดียวเกลี้ยงทั้งชิ้น

   "ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ สิ้นเดือนนี้" รวมวันหยุดราชการหนึ่งวันกลายเป็นวันหยุดยาวติดกันสามวันรวด

   "อ้อไออิ" เสียงอู้อี้ตอบไม่เป็นภาษาเพราะยังคงเคี้ยวตุ้ยๆ จับใจความได้ว่า 'ก็ไปดิ'

   กลืนยังไม่ทันหมดกระพุ้งแก้มก็คีบชิ้นต่อไปขึ้นมาจ่อรอต่อคิว ชิ้นแล้วชิ้นเล่า อันตรธานหายไปอย่างรวดเร็วไร้ร่องรอยราวกับหลุดเข้าไปอยู่ในหลุมดำ เรียกได้ว่าแดกไม่ห่วงภาพลักษณ์ ปากไม่ว่างเห่ากันเลยทีเดียว

   แต่ผมคงจะตาบอดเกินเยียวยา ยังอุตส่าห์มองเข้าไปได้ว่าน่ารักน่าเอ็นดู

   อันที่จริงเวลาออกมากินบุฟเฟ่ต์กันทีไรมันก็จัดเต็มคราบอย่างนี้ทุกทีอยู่แล้ว ตรงตัวตามสโลแกนโฆษณาที่ว่า 'กินไม่อั้น' เห็นจะมีก็แต่มื้อนั้นที่นัดโซระกับเอิร์ธที่สุภาพบุรุษจอมปลอมพยายามรักษาภาพลักษณ์สุดชีวิต

   พอหมดจานมันก็ลุกเดินตัวปลิวออกไปตักใหม่อีกรอบ แต่รอบล่าสุดหายไปนานผิดปรกติ ผ่านไปอีกครู่ใหญ่มันถึงได้กลับมาพร้อมกับซูชิในจานเพียงไม่กี่ชิ้น ผมเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจว่าทำไมวันนี้มันอิ่มเร็วจัง

   แต่แล้วสักพัก ผมกลับสังเกตเห็นสายตาของแจ็คมองเลยไปทางด้านหลังหลายครั้ง ตอนแรกผมยังนึกว่ามองหาพนักงานเสิร์ฟ จนกระทั่งเริ่มผิดสังเกต เมื่อเห็นมันนั่งยิ้ม

   พอลองหันกลับไปมอง ลางสังหรณ์ของผมก็ตรงเผง

   โต๊ะเยื้องไปทางด้านหลังเป็นกลุ่มเด็กผู้ชายในชุดนักเรียนม.ปลายกางเกงขาสั้นสีน้ำเงินนั่งกันอยู่หลายคน หนึ่งในนั้นเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาดีที่ส่งยิ้มตอบกลับมาทางนี้ด้วย

   "ไอ้แจ็ค" ผมข่มอารมณ์เรียกเสียงต่ำ

   "อะไร" มันยังมีหน้ามาทำหน้าเหรอหรา ไม่รู้ไม่ชี้

   "มึงกินอิ่มแล้วหรือยัง ถ้าอิ่มแล้วก็จะได้กลับ" ผมเอ่ยถามรวบรัด

   "เดี๋ยวดิ มึงจะรีบไปไหน กูยังไม่อิ่มเลย" มันตอบพลางคีบซูชิเข้าปากอีกครั้ง แต่เผลอเป็นไม่ได้ ยังแอบส่งสายตาวิบวับหวานเยิ้มไปทางโต๊ะด้านหลังเป็นระยะ

   ไอ้ที่ว่าไม่อิ่มคือยังไม่อิ่มท้อง หรือยังไม่อิ่มอาหารตากันแน่!?

   "กินยังไงให้เลอะเทอะ ข้าวติดแก้ม" ผมพูดพลางเอื้อมมือออกไปด้านหน้า กดนิ้วโป้งไล้ลงบนแก้มเนียนเบาๆ ไม่ได้มีเมล็ดข้าวอะไรหรอก ก็แค่อยากจะแสดงความเป็นเจ้าของ ให้เด็กน้อยน่ารักนั่นเลิกส่งยิ้มมาซะที!

   "เฮ่ย ไหน" แต่มันกลับรีบยกมือขึ้นมาถูแก้มของตัวเองลวกๆ ไม่ได้มีความหวั่นไหวเลยสักนิด คงจะกลัวเสียฟอร์มต่อหน้าเด็กมากกว่า ผมเลยได้แต่ถอนหายใจ

   จนกระทั่งเด็กกลุ่มนั้นเดินออกไปจ่ายเงิน มันก็ยังมองตามตาละห้อย จนเด็กกลับกันไปหมดแล้วมันถึงได้หันกลับมาสนใจหัวหลักหัวตอที่นั่งอยู่ตรงหน้า ถ้าเป็นเมื่อก่อนมันคงจะระริกระรี้ตรงดิ่งเข้าไปขอเบอร์ นี่ผมควรจะดีใจใช่ไหมที่มันยังทำแค่มองและส่งยิ้ม!?

   "แล้วทำไมมึงไม่กินล่ะ อิ่มแล้วเหรอ ตักมาเหลือเดี๋ยวก็โดนปรับหรอก" มันพูดเมื่อเห็นซูชินอนนิ่งอยู่บนจานของผมอีกหลายชิ้น ก่อนจะถือวิสาสะคีบไปกินหน้าตาเฉย ผมจึงปล่อยให้มันกินไป เพราะเซ็งจัดจนชักจะหมดอารมณ์กิน

   ในที่สุดมันก็อิ่มแปล้จนต้องนั่งผึ่งพุง แต่ยังมีหน้าบอกว่าขอพักสิบนาที เดี๋ยวจะไปตักไอศกรีมมาปิดท้าย ผมละชักอยากจะขุนมันให้อ้วนๆ เผื่อจะได้เลิกปั้นหน้าหล่อใสโปรยยิ้มหวานหว่านเสน่ห์หลอกเด็กไปทั่วซะที

   "ฮัลโหล" ระหว่างที่กำลังเซ็งโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงของผมร้องดังขึ้นพอดี ผมจึงกดรับและขานห้วนสั้นโดยไม่ทันได้มองหน้าจอ

   "อ้อ เอิร์ธเองเหรอ มีอะไรหรือเปล่า" เมื่อรู้ว่าใครโทรมาผมจึงปรับเสียงให้ซอฟลงเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบไปเห็นคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมองขวับมาทันทีทันใด

   เท่าที่รู้ ดูเหมือนว่าตั้งแต่ถูกหักอกคราวนั้นแจ็คก็จะไม่ได้ติดต่อกับโซระอีกเลย ต่างจากผมและเอิร์ธที่ยังคงติดต่อกันเป็นระยะ พูดคุยถามไถ่สารทุกสุกดิบตามประสาพี่น้อง ถึงแม้ว่าพักหลังจะเริ่มห่างกันไปบ้าง เพราะเอิร์ธเรียนกวดวิชามากขึ้นจึงมีเวลาว่างน้อยลง

   "ไม่เป็นไร เอิร์ธเก็บไว้เถอะ พี่ยกให้" ปลายสายบอกว่าอ่านหนังสือที่เคยยืมไปจบแล้วจึงอยากจะนำมาคืน แต่นั่นเป็นหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาลัยซึ่งผมไม่มีความจำเป็นต้องใช้อีก เก็บไว้ก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร

   "ไม่ต้องหรอก อืม เอาอย่างนั้นก็ได้" ถึงจะตอบว่าไม่เป็นไรแต่ปลายสายก็ยังยืนยันหนักแน่นว่าอยากเลี้ยงข้าวขอบคุณ ผมจึงออเออตกปากรับคำ ถึงแม้คิดในใจว่าจะไม่ยอมให้รุ่นน้องควักกระเป๋าสตางค์อยู่ฝ่ายเดียวแน่ แต่ที่ตอบรับอย่างนั้นก็เพราะอยากคุยกับเอิร์ธตามลำพัง แบบไม่มีสายตาของใครบางคนมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็น

   "พี่ว่างอยู่แล้ว ถ้าเอิร์ธว่างวันไหนก็โทรมานัดก็แล้วกัน" พวกเราคุยกันอีกไม่กี่คำก่อนวางสาย

   เมื่อผมเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าและเงยหน้ากลับขึ้นมา คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็พลันตีเนียนเบนสายตาไปมองทางอื่น ทั้งๆ ที่โดยนิสัยแล้วน่าจะคันปากยิบๆ อยากถามตามประสาคนชอบใส่เกือก แต่จะว่าไป มันก็อาจจะไม่ได้อยากรับรู้เรื่องของโซระให้เจ็บแผลใจ ส่วนเรื่องของผมกับเอิร์ธ มันก็อาจจะไม่ได้สนใจ

   "ไปตักไอติมดีกว่า" พูดจบแจ็คก็ลุกเดินออกไป ผ่านไปพักใหญ่จึงกลับมาพร้อมถ้วยใบโตที่ซ้อนไอศกรีมหลายลูกสูงราวกับภูเขา ก่อนเริ่มลงมือตั้งหน้าตั้งตาจ้วงอย่างไม่แคร์สายตาใคร คงเพราะเด็กที่เล็งไว้ก็ไม่อยู่แล้ว เลยไม่จำเป็นต้องห่วงภาพลักษณ์อีก

   "เลอะหมดแล้ว" ผมเอื้อมมือออกไปด้านหน้าอีกครั้ง คราวนี้มีรอยเปื้อนอยู่บนแก้มจริงๆ แต่มันกลับปัดมือของผมออก ก่อนจะคว้าทิชชูมาเช็ดเองลวกๆ

   

   ตอนแรกผมนึกว่ามันจะบ่ายเบี่ยงหาเรื่องหนีกลับบ้านเหมือนเคย แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คิด พอขับรถกลับมาถึงหอมันก็เดินดุ่มๆ ขึ้นบันได ตรงเข้าห้องไปนอนเอกเขนกอย่างถือวิสาสะเหมือนทุกครั้ง

   แต่ผิดปรกติเล็กน้อยตรงที่มันนอนจิ้มมือถือไม่พูดไม่จา ตลอดเวลาที่อยู่บนรถก็ไม่ชวนคุยสักคำ มีแค่คำกร่นด่าพ่อล่อแม่คนที่ขับแช่เลนขวาหรือแซงปาดหน้าตามปรกติ แต่จะว่าไปมันก็มีท่าทางแปลกๆ ตั้งแต่อยู่ในร้านแล้ว ตั้งแต่ตอนที่เอิร์ธโทรมาหาผม

   หรือว่ามันจะหึง...?

   ผมอยากจะเข้าใจแบบนั้น แต่ต่อให้ถามตามตรงก็คงไม่มีทางได้รับคำตอบแน่ๆ ผมจึงตัดสินใจเก็บความสงสัยเอาไว้ เดินไปคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าไปอาบน้ำ

   กลับออกมาอีกครั้งก็ยังเห็นคนบนเตียงนอนจิ้มมือถืออยู่ในท่าเดิม แต่คราวนี้ใบหน้าที่เคยเฉยเมยกลับเปลี่ยนเป็นการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไม่รู้ว่ามันเล่นเกมชนะหรืออะไร

   "ลุกขึ้นมานอนดีๆ" ผมพูดพลางเดินไปหยุดยืนอยู่ข้างเตียง ทว่าคนฟังกลับเงยขึ้นจากมือถือมาทำหน้างงๆ ผมจึงขยายความต่ออีกนิด

   "หมอนมีไว้หนุนหัว ไม่ใช่หนุนตีน" แถมตีนก็ยังไม่ได้ล้าง

   "กูก็นอนอย่างนี้ทุกที" มันเถียงพร้อมเลิกคิ้วขึ้นสูง และคราวนี้ไม่ใช่การเถียงข้างๆ คูๆ เพราะมันก็นอนของมันอย่างนี้ทุกทีจริงๆ หันหัวไปทางปลายเตียง ตีนชี้ไปทางหัวเตียง ตามทิศประจำตำแหน่ง

   แต่เห็นแล้วมันช่างขัดหูขัดตา

   ผมไม่อยากจะเถียงต่อ ในเมื่อมันไม่ยอมลุก ผมจึงเป็นฝ่ายทิ้งตัวลงไปนอนข้างๆ ในทิศทางเดียวกันเอง

   "อะไร ไหนมึงเคยเป็นคนด่ากูเองว่าเตียงแคบแค่นี้จะให้เบียดกันเข้าไปได้ยังไง" มันลุกขึ้นนั่งโวยวาย

   เออ ผมเคยพูดอย่างนั้นจริง แต่ตอนนี้ผมอยากเบียดนี่หว่า

   ยังไม่ทันได้ตอบโต้ สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นโทรศัพท์ที่นอนหงายท้องอยู่บนเตียง ทว่าหน้าจอกลับไม่ใช่เกมอย่างที่คิด แต่เป็นแอพแชท และสิ่งที่ทำให้ผมต้องจ้องซ้ำ ก็คือรูปของคู่สนทนา

   หนุ่มน้อยหน้าใส อาจจะเป็นหนึ่งในบรรดากิ๊กเก่า แต่ความรู้สึกบอกว่าไม่น่าใช่

   "กูเปล่าขอนะ น้องเค้าให้มาเอง" มันรีบตอบอย่างร้อนตัว

   นั่นทำให้ผมแน่ใจทันทีว่าหนุ่มน้อยคนนี้คือเด็กม.ปลายที่มันนั่งส่งยิ้มให้ในร้านอาหาร!? ไปได้เบอร์มาตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือว่า ตอนที่หายไปตักซูชิซะนาน มิน่าถึงไม่ต้องแล่นไปขอเบอร์ เพราะได้มาก่อนแล้วนี่เอง!

   "ก็แค่คุยกันเฉยๆ ...ทีมึงคุยกับเด็กมึง กูยังไม่เห็นว่าอะไรสักคำ" มันยังจะมีหน้ามาเถียง แถมยังลอยหน้าลอยตาโบ้ยความผิด

   "เฮ่ย! ไอ้ถึก!? โอ๊ย!" มันร้องลั่นเมื่อแผ่นหลังล้มลงกระแทกกับเตียง คราวนี้ศีรษะหันไปหาหัวเตียง ทิศทางที่ถูกต้องด้วย

   "มึงหึง ก็เลยยั่วให้กูหึงงั้นสิ"

   "หึงบ้านพ่อมึงดิ! ไอ้ถึก!? ปล่อยดิวะ!"

   พอสู้แรงไม่ไหว มันก็หันมาใช้ปากสู้

   "พรุ่งนี้กูมีเรียนเช้านะเว่ย! มึงจะผิดสัญญาเหรอไง!?"

   "กูเคยผิดสัญญาเหรอ"

   ผมย้อนถามสั้นๆ ก่อนจะซุกไซร้ปลายจมูกลงบนซอกคอ สองมือยังคงกำรอบข้อมือของคนที่พยายามดิ้น กดตรึงให้นอนอยู่กับเตียง ลงน้ำหนักตัวทับไม่ให้ดิ้นหลุดได้ง่ายๆ

   "พูดอย่างทำอย่าง! ไอ้ตอแหล! เชื่อถือไม่ได้! พูดออกมาได้ว่ารักษาสัญญา ถ้าไอ้ที่มึงทำอยู่นี่ไม่เรียกว่าปล้ำแล้วจะให้เรียกว่าทำหอกอะไรวะ!?" มันยังคงแหกปากลั่นจนผมชักอยากจะใช้ปากปิดปาก แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ปากของผมไม่ว่าง เพราะต้องทำบางอย่างที่สำคัญกว่า

   "กูไม่ได้ปล้ำ แค่ทำ 'ปลอกคอ'"

   ผมกระซิบตอบห้วนสั้น พร้อมจัดการกัดและดูดเม้มแรงๆ บนตำแหน่งที่ใกล้กับเส้นเลือดใหญ่ กดย้ำจนมั่นใจว่าผิวขาวๆ บนต้นคอจะกลายเป็นรอยช้ำ ก่อนจะทำแบบเดียวกันซ้ำ ณ บริเวณใกล้เคียงกันอีกหลายรอย

   "โอ๊ย! ไอ้เหี้ย!? กูเจ็บ! กัดเข้ามาได้!? มึงไม่อยากเป็นควายแต่อยากกลายพันธุ์เป็นหมาแทนเหรอไง!? แล้วปลอกคอเหี้ยไร กูเป็นคนนะเว่ยไม่ใช่หมา!?" มันทั้งดิ้นทั้งด่าให้มั่วไปหมด ผมจึงยังต้องออกแรงกดเอาไว้อย่างนั้น จนได้รอยสีกุหลาบช้ำบนคอหลายรอยสมใจ เอาให้รู้กันไปว่าเด็กที่ไหนเห็นแล้วยังจะกล้าส่งยิ้มให้อีก!

   จากนั้นผมจึงเปลี่ยนจากการกัดเป็นการเลียแผลให้เบาๆ เสียงด่าจึงถูกแทรกด้วยเสียงครางขึ้นจมูก

   "ถ้าคืนนี้มึงยังอยากนอนดีๆ ก็หยุดดิ้น หยุดด่า หยุดยั่วกูได้แล้ว"

   ใบหน้าแดงก่ำอ้าปากจะเถียง แต่สุดท้ายก็ยอมหุบปาก คงจะยังห่วงสวัสดิภาพของตัวเองอยู่บ้าง เมื่อเห็นร่างด้านล่างยอมสงบลง ผมจึงยอมปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระ มันยกมือขึ้นมาลูบบนลำคอของตัวเองพลางทำหน้าเหยเก ดูท่าจะเจ็บอยู่ไม่น้อย ผมจึงจูบบนหลังมือนั้นอีกครั้งอย่างปลอบโยน

   "ทีหลังก็อย่าริไปอ่อยเด็กที่ไหนอีก" ผมกำชับกึ่งข่มขู่ปิดท้าย

   มันยังฮึดฮัดกัดฟันสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง ผมจึงโน้มตัวลงไปกระซิบห้วนสั้นข้างหู

   "กูหึง"

   ใบหน้าของแจ็คหันขวับกลับมาเฉียดผ่านปลายจมูกของผมไป มันผงะเล็กน้อย แต่ศีรษะแนบอยู่กับเตียงจึงไม่มีทางเหลือให้ถอย สุดท้ายมันก็ก้มหน้าลงเถียงงึมงำแทน

   "แม่งไม่ยุติธรรม ทีมึงยังอ่อยเด็กเลย"

   "มึงว่าไงนะ" ผมลองถามแม้จะได้ยินอยู่เต็มสองหู

   "กูจะไปอาบน้ำ!" มันตอบกระแทกเสียงพร้อมยันตัวผมออกไปด้านข้าง พลันรีบลุกหนีไปก่อนที่ผมจะคว้าไว้ทัน

   จากนั้นเสียงประตูก็ปิดลงมาดังโครม ตามด้วยเสียงน้ำจากฝักบัวที่กลบเสียงกร่นด่าไว้ไม่มิด เหมือนกับสู้ซึ่งหน้าไม่ได้ขอด่าลับหลังก็ยังดี ผมรู้ตัวว่าใช้อารมณ์มากไป แต่ใครใช้ให้มันมายั่วกันก่อน ถ้าหึงก็บอกว่าหึงสิ ไม่ใช่หึงแล้วไปอ่อยคนอื่น

   ไม่สิ มันอ่อยก่อนหน้านั้นอีก แล้วหาเรื่องโยนความผิดกลับมามากกว่า

   ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน

   ผมหึงแทบเลือดขึ้นหน้า แต่สรุปว่ามันหึงผมบ้างหรือเปล่า...?

   
----------------

   >> em1979 : เรื่องของพี่เอกกะมิงค์จบแค่นี้หรอ

   จบแค่นี้ค่ะ ^^"
   เคยคิดจะแต่งต่อเหมือนกัน แต่ยังไม่ได้ฤกษ์สักที...


ออฟไลน์ em1979

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
แจ๊คหึงไม่หึงเนี่ย เก็บอารมณ์เก่งเกินไปแล้ว ดูแทบไม่ออกว่ามีใจเลย 5555

p.s. เรื่องของพี่เอกกะมิงค์ ถ้าได้ฤกษ์แล้วบอกนะคะ จะตามไปอ่าน

ออฟไลน์ cocoaharry

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 619
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2
    • cocoaharry_Demmy Chan_Otaku Y Girl
แจ๊คมัวแต่ซึน หึงก็บอกว่าหึงงง

ออฟไลน์ nevergoodbye

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
แจ็คไม่น่ารักเลย
มันน่าจับตีให้เข็ด  :z3:

ออฟไลน์ @moment

  • แอทโมเม้นท์
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
    • https://www.facebook.com/at.moment.writer/
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer/
   

   ตอนที่ 18 กลับเข้ากรง


คำเตือน: เนื้อหาในตอนนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุมากกว่า 18 ปีขึ้นไป

   
   "อิแจ็ค นั่นคอไปโดนอะไรมา" ทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก คนถูกทักก็รีบขยับปกเสื้อให้สูงขึ้นอีกนิดเพื่ออำพรางสายตา แต่ก็ช้าเกินไปเสียแล้ว เมื่อพี่มินนี่กรี๊ดกร๊าดแซวต่อเสียงดัง

   "ต๊าย~ เด็กสมัยนี้ร้อนแรงนะยะ~ แต่เอ๊ะ ไหนแกเคยบอกว่าชอบเด็กเงียบๆ หงิมๆ นี่เปลี่ยนสเปคตั้งแต่เมื่อไหร่" คนถามหรี่ตามองอย่างจับผิด แต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไรมากนัก เพราะถึงจะเป็นที่รู้กันว่าไอ้แจ็คใฝ่ฝันอยากมีเมียน่ารักใสๆ ก็ใช่ว่ามันจะไม่เคยแวะกินรายทาง

   "ใช่ที่ไหนกันละเจ๊ นี่มันรอยหมากัด" เมื่อแจ็คตอบแบบนั้น คนถามเลยเบิกตาโตอย่างตกใจ หมาที่ไหนวะกระโดดกัดคอ อย่าบอกนะว่า หมาแวมไพร์!?

   "ผมหมายถึงแมลงกัดน่ะ แม่งตัวโตเท่าควาย กัดเจ็บเป็นบ้า" มันพูดพลางลูบต้นคอของตัวเองด้วยสีหน้าเหยเก ก่อนจะเหล่สายตาขุ่นเคืองมองมาทางผม ดูท่าจะยังไม่หายแค้นตั้งแต่เมื่อคืน

   "ผมกลับบ้านก่อนดีกว่า เดี๋ยวเย็นแล้วรถจะยิ่งติด" จากนั้นมันก็กล่าวตัดบททั้งๆ ที่เพิ่งหย่อนก้นนั่งได้ไม่ถึงห้านาที เก้าอี้ยังไม่ทันร้อน ราวกับจงใจเดินมาถึงที่นี่เพื่อพูดประโยคนี้มากกว่า

   หรือเรียกอีกอย่างว่า มาท้าทายกันซึ่งๆ หน้า

   เพราะพรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ เท่ากับพวกเราไม่มีเรียน และ 'กลับบ้าน' ก็เท่ากับประกาศว่าคืนนี้จะไม่ยอมไปค้างที่ห้องของผม และชัดเจนที่สุด เมื่อมันจ้องมาอย่างไม่หลบตาพร้อมกับยักคิ้วให้อย่างกวนตีน

   "เออเนอะ มาไวไปไว ชิ่วๆ จะไปไหนก็ไป" พี่มินนี่สะบัดมือไล่อย่างไม่ไยดี

   "โหยเจ๊ ไล่น้องอย่างกับหมูกับหมา" แจ็คเลยหันไปตัดพ้อพี่รหัสแทน

   "ดีซะอีก ตึกของเจ๊จะได้มีเวลาเป็นส่วนตัวบ้าง นี่อะไรกัน มีแฟนกับเขาทั้งทียังต้องมาติดหนึบอยู่กับอีปาท่องโก๋เน่า นี่ถ้าเป็นผัวฉันนะ ฉันไม่มีทางยอมหรอก จะจับขังไว้บนเตียงไม่ให้ได้เห็นเดือนเห็นตะวันเลยคอยดู" คนพูดหันมาขยิบตาให้ผมก่อนหัวเราะคิกคัก เล่นเอาผมแอบขนลุกเบาๆ

   ตั้งแต่พี่มินนี่เข้าใจว่าผมมีแฟนเป็นผู้ชาย ดูเหมือนว่าผมจะถูกจัดหมวดหมู่ใหม่ให้กลายเป็นพวกเดียวกันเรียบร้อย จากเดิมที่เคยมีหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดีอยู่แค่รอบนอก พักหลังกลับถูกดึงให้เข้าไปคลุกวงในด้วยอยู่เรื่อย

   "ไหนบอกว่าจะกลับบ้านไง ไม่ไปซะทีล่ะ" พี่มินนี่เอ่ยไล่ไอ้หมาหัวเน่าอีกรอบ

   "เออไปแล้วก็ได้ฟะ" แจ็คจิ๊ปากอย่างขัดใจเมื่อไม่มีใครง้อ ผมเองก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ส่งสายตาไปให้อย่างคาดโทษ ซึ่งมันก็เมินหน้าหนี

   แต่ผมไม่อยากจะทะเลาะอะไรด้วยตอนนี้ แค่เรื่องเมื่อคืนบรรยากาศมาคุก็ยังไม่จางหาย รอให้ต่างฝ่ายต่างอารมณ์เย็นลงกว่านี้ก่อนดีกว่า ไม่อย่างนั้น ผมก็ไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกันว่าจะเผลอทำอะไรรุนแรงกว่าเดิมอีกหรือเปล่า

   ถือซะว่ายังไงมันก็กลับบ้าน ไม่ได้ออกไปแรดที่ไหน อย่างน้อยๆ ก็คงจนกว่ารอยจูบบนคอจะจางลงไป

   "ถ้างั้นผมก็ขอตัวกลับก่อนนะครับ" ผมพูดขึ้นบ้าง หลังจากที่อีกคนคว้ากระเป๋าลุกเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว

   "ฮั่นแน่~ จะไปหาแฟนละสิ~" พี่มินนี่ยังคงแซวไม่เลิก

   ผมไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เพียงแค่ก้มลงเก็บหนังสือบนโต๊ะก่อนจะลุกเดินออกไปบ้าง เห็นแจ็คเหลียวหลังกลับมามองราวกับระแวงว่าจะถูกเดินตาม แต่เมื่อผมเดินแยกออกไปคนละทางกับลานจอดรถ ใบหน้าบึ้งตึงจึงสะบัดใส่และก้าวเดินต่อไปในทิศตรงกันข้าม

   

   ผมแวะหาอะไรกินระหว่างทางก่อนกลับหอ พรุ่งนี้วันหยุดอยู่ว่างๆ ไม่รู้จะทำอะไร เลยตัดสินใจเดินไปร้านเช่าหนังสือ ยืนเลือกการ์ตูนอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเช่าติดไม้ติดมือกลับมาด้วยสี่ห้าเล่ม

   ทว่าเมื่อเดินกลับมาถึงหน้าห้อง ผมก็ต้องหยุดชะงักอย่างแปลกใจเมื่อเห็นร่างสูงของใครบางคนในชุดนักศึกษากำลังยืนทำหน้าหงิกอยู่

   "กูทำกุญแจบ้านหาย เข้าบ้านไม่ได้" มันชิงพูดก่อนที่จะมีใครถาม

   "พ่อกับแม่ไปงานแต่งคนรู้จักที่เชียงใหม่" มันอธิบายต่อทั้งๆ ที่ผมยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ

   พอไขกุญแจเปิดประตูห้องให้ ร่างนั้นก็เดินดุ่มเข้าไปข้างใน ก้มๆ เงยๆ เหมือนพยายามมองหากุญแจที่ว่า ผมจึงเดินเอาของไปวางบนโต๊ะเตี้ย ก่อนลองกวาดตามองรอบห้องบ้าง ห้องของผมก็ไม่ได้กว้างขวางอะไรมากมาย มีแค่เตียง โต๊ะเตี้ย ตู้หนังสือ ตู้เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าอีกไม่กี่ชิ้น เท่านี้ก็เต็มห้องแล้ว แต่มันก็ยังเดินไปเดินมา ทำท่าอย่างกับงมเข็มในมหาสมุทร

   ถ้าจำไม่ผิด สารพัดกุญแจของมันแขวนรวมกันอยู่กับตุ๊กตาหมาที่เคยคีบได้จากตู้เกม (เงินผม แต่มันคีบได้แล้วยึด) ตัวก็ไม่ใช่เล็กๆ ถ้าทำหล่นก็น่าจะรู้ตัว ไม่น่าจะหายง่ายๆ

   "ลืมไว้ที่บ้านหรือเปล่า" ผมลองออกความเห็น

   "ไม่รู้ดิ" มันตอบสั้นๆ ก่อนจะบ่นพึมพำเป็นหมีกินผึ้ง ระหว่างที่ยังก้มลงมองใต้เตียง ซอกข้างตู้หนังสือ หรือแม้กระทั่งคุ้ยถังขยะ

   "เกะกะ" ตั้งใจจะช่วยหาอีกแรงกลับพาลถูกด่าซะงั้น ผมเลยปล่อยให้มันรื้อต่อไป ก่อนหลบทางให้ด้วยการเดินไปอาบน้ำ

   พอกลับออกมาอีกครั้ง คนที่เคยรื้อของทั่วห้องกลับนอนเอกเขนกอยู่บนเตียง หยิบการ์ตูนที่ผมเช่ามาอ่านตามใจชอบ สงสัยจะหากุญแจไม่เจอเลยล้มเลิกความตั้งใจ

   "ถ้าจะนอนก็นอนดีๆ" ประโยคคุ้นๆ เหมือนผมเพิ่งจะพูดแบบเดียวกันนี้ไปเมื่อวาน เพราะมันก็ยังคงนอนทิศเดิม เอาตีนก่ายหมอนเหมือนเดิม แถมพูดแล้วก็ไม่ยอมฟัง ยังอ่านการ์ตูนต่ออย่างไม่สนใจ ผมจึงได้แต่ส่ายหน้าเพราะไม่อยากมีเรื่องกันอีกรอบ

   ระหว่างที่เดินเอาผ้าเช็ดตัวไปพาดบนราว บังเอิญเห็นกระเป๋าเป้ของมันถูกกองทิ้งอยู่กับพื้น ผมจึงก้มหยิบเอาไปวางบนโต๊ะให้ แต่จังหวะนั้นเองที่สายตาของผมเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างแพลมออกมาจากซิปกระเป๋าที่เปิดอ้า

   หาง... ตุ๊กตาหมา

   "ตกลงมึงหากุญแจไม่เจอเหรอ" ผมลองถามหยั่งเชิง ก่อนจะได้รับคำตอบเป็นเสียงในลำคอสั้นๆ ว่า 'อือ' จากคนที่ยังนอนกระดิกตีนอยู่ในท่าเดิม

   "ลุกขึ้นมานอนดีๆ หมอนมีไว้หนุนหัว ไม่ใช่หนุนตีน" ผมจึงเดินไปหยุดยืนอยู่ข้างเตียง ก่อนกล่าวประโยคเดิมอีกครั้ง ทว่าคนที่นอนอ่านการ์ตูนก็ยังทำเป็นหูทวนลม

   "แน่ใจนะว่าจะไม่ลุก" ผมถามย้ำเป็นครั้งสุดท้าย

   เมื่อไม่มีคำตอบ ผมจึงทิ้งตัวลงไปนอนบนเตียงบ้าง คราวนี้ไม่ใช่ข้างๆ แต่เป็นข้างบน และไม่ใช่ทิศทางเดียวกัน แต่เป็นทิศประจำตำแหน่งของผม

   หรือเรียกง่ายๆ ก็กลับหัวกลับหาง

   "เฮ่ย! มึงเล่นอะไร!?" คนที่นอนอยู่จึงร้องลั่น แต่ขยับลุกไม่ได้ เพราะแค่เงยหน้าขึ้นมาก็ติดหว่างขาของผมพอดี

   และพอดีว่าผมเป็นคนไม่ชอบพูดมาก ตอบด้วยการกระทำน่าจะเร็วกว่า ผมจึงเอื้อมมือออกไปหาหัวเข็มขัดเบื้องหน้า

   "ไอ้ถึก! มึงลุกไปเลย กูหนัก!" มันยังดิ้นรนหาทางรอด ก็ปล่อยให้มันดิ้นไป ตอนนี้ผมยังไม่ว่างต่อล้อต่อเถียง เพราะยังคงยุ่งอยู่กับการกำจัดสิ่งกีดขวาง เข็มขัด ซิป กางเกงตัวนอก ตัวใน ไม่นานนักส่วนลับเฉพาะก็ปรากฏสู่สายตา

   เสียงด่าชะงักขาดหาย สิ่งนั้นยังคงนอนสงบนิ่ง แต่แค่เพียงสะกิดเรียกและลูบหัวเบาๆ ไอ้หมาน้อยก็ผงกหน้าขึ้นมาทักทาย ทำเอาหมาตัวใหญ่ครางรับในลำคอพร้อมกัดฟันกรอดๆ ที่ร่างกายริอาจทรยศ ซื่อตรงต่อความรู้สึกมากกว่าคำพูดหรือท่าทาง

   นอกจากมันจะปากมาก ตอแหล แล้วมันก็ยังท่ามาก

   ผมจึงลงมือกะเทาะหน้ากากด้านๆ หนาๆ ออกทีละชั้น กำโดยรอบพลางรูดขึ้นมาเบาๆ เร่งเร้าให้ส่วนนั้นขยายขนาด ก่อนจะยิ่งเร่งมือเมื่อได้ยินเสียงครางรับ ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้จะต้องมาอยู่ในท่านี้กับผู้ชายด้วยกัน แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของคนตรงหน้าก็ทำให้สมองของผมลืมเลือนเรื่องพวกนั้นไปจนหมด ซ้ำร้ายยังเรียกความร้อนภายในร่างกายของผมให้วิ่งมารวมกัน ณ กึ่งกลางลำตัว

   "ไอ้ถึก!? มึงเอาจริงดิ!?" คนปากมากร้องเสียงหลง เมื่อผมลองแตะลิ้นลงบนส่วนปลาย

   เหี้ยเหอะ กลิ่นคาวๆ รสชาติปะแล่มเกินบรรยาย กลิ่นของผู้ชายด้วยกันที่ทำให้ขนลุกด้วยความสยอง แต่น่าแปลก พอคิดว่าเป็นของใครก็กลับไม่มีความรังเกียจเลยแม้แต่น้อย

   "มึงก็อย่าอู้" ผมก้มบอกสั้นๆ ก่อนจะเริ่มลองผิดลองถูกกับกิจกรรมตรงหน้า ยังคงใช้มือเป็นหลัก เพราะยังไงก็ถนัดมากกว่า ไม่รู้ว่าพวกดาราเอวีใช้ปากและลิ้นกันคล่องแคล่วขนาดนั้นได้ยังไง

   คนด้านล่างสบถด่าสองสามคำพอเป็นพิธี แต่ไม่ได้อิดออดนานนัก เพราะไม่ใช่นิสัยของมันที่จะมาทำเหนียมอาย สักพักขอบกางเกงขาสั้นของผมก็ถูกดึงรั้งลงไป ปลดปล่อยส่วนที่ขยายขนาดอยู่ครึ่งทางให้ดีดตัวออกมาโลดแล่นอยู่ในมือเรียวสวย

   "อึก" กลับกลายเป็นผมที่ต้องกลั้นหายใจ เพราะคนหน้าไม่อายเริ่มลงลิ้นอย่างไม่มีอาการลังเล สัมผัสอุ่นชื้นเลียผ่านจากโคนขึ้นไปถึงปลาย ตวัดหยอกเย้าเคล้าคลึงอยู่บนส่วนหัว ก่อนจะอมรับความใหญ่โตเข้าไปข้างใน ผนังนุ่มชื้นดูดรัดพร้อมขยับขึ้นลง ทำให้ผมต้องหยุดมือและก้มลงมองภาพด้านล่าง

   ให้ตายเหอะ แม่งโคตรรู้สึกดีเป็นบ้า!

   ผมไม่รู้จะสบถออกมาเป็นคำไหน เพราะไม่เคยมีใครทำให้ขนาดนี้มาก่อน แต่ขณะเดียวกัน อีกความรู้สึกที่พุ่งขึ้นตามกันมาติดๆ กลับเป็นความโมโห เมื่อคิดว่ามันเชี่ยวชาญขนาดนี้เพราะเคยทำให้ใครต่อใครมากี่คนแล้ว!?

   คนด่านล่างยังแสดงฝีมือแบบไม่มีกั๊ก ยักคิ้วให้ราวกับสะใจที่ทำให้ผมหลุดครางได้ ผมจึงกัดฟันสะกดความปั่นป่วนที่วิ่งพล่านอยู่ทั่วท้องน้อย กลับมาสานต่อกิจกรรมตรงหน้า ถึงแม้ผมจะไม่ได้จัดเจนสนามเท่า แต่อย่างน้อยก็มีหนึ่งอย่างที่แน่ใจได้ว่า มันไม่เคยทำกับคนอื่น

   ผมกระตุกกางเกงขายาวสีดำพร้อมชั้นในของอีกฝ่ายให้หลุดออกจากปลายเท้า คนที่ยังสนุกกับขนมชิ้นใหญ่ในปากไม่ได้ขัดขืน จนกระทั่งประตูที่ปิดสนิทด้านหลังถูกบุกรุก

   "อื้อ! ไอ้อึก! ไอ้อี้โอง!?" มันอุทานอู้อี้ เบนหน้าหนีจนสิ่งที่อมอยู่หลุดออกมาข้างแก้ม ก่อนจะไอหลายครั้งเหมือนกับสำลักน้ำลายตัวเอง

   "ไอ้ขี้โกง!" มันยังไอแค่กๆ ไม่หยุด ด่าคำเดิมซ้ำอีกครั้ง ก่อนจะกลายเป็นเสียงครางขึ้นจมูกเมื่อผมค่อยๆ กดนิ้วเข้าไปด้านในจนสุด สลับกับการลากผ่านครูดผนังด้านบนออกมาช้าๆ

   ผมถือโอกาสนี้พลิกตัวกลับขึ้นมา ใช้ต้นขาดันใต้สะโพกของคนที่นอนอยู่ เปิดทางให้นิ้วเดิมสอดเข้าไปได้สะดวกยิ่งขึ้น ขณะที่มืออีกข้างก็ยังคงกำรอบส่วนแข็งขึง เป็นตัวประกันไม่ให้มันถีบผมตกเตียง

   "ไอ้ อะ..." เสียงด่าขาดหายอีกครั้งเมื่อนิ้วที่บุกรุกอยู่เพิ่มจำนวนมากขึ้น ผมจึงโน้มตัวลงไปจูบปากแดงๆ กันเอาไว้ก่อนจะมีคำด่าตามมาอีกระรอก

   กลิ่นคาวจางๆ ที่ยังตกค้างอยู่ภายในปากทำให้จูบของพวกเรามีรสชาติแปลกๆ ทำให้ความร้อนกลางลำตัวของผมร่ำร้องอยากจะกลับเข้าไปสัมผัสกับปลายลิ้นนุ่มอีกครั้ง แต่ก็ต้องอดใจเอาไว้ เพราะตอนนี้ความอยากเข้าไปแทนที่สองนิ้วที่ถูกรัดแน่นก็มีอยู่มากพอกัน

   ผมคว้าโลชั่นที่เคยใช้จากโต๊ะข้างเตียง มาชโลมลงบนนิ้วและค่อยๆ เติมเข้าไปด้านใน จนแน่ใจว่าช่องทางนั้นนุ่มและลื่นมากพอแล้วจึงถอนนิ้วออกมา ไม่ปล่อยจังหวะให้ว่างนานนัก ก็ปิดทับทางเดิมด้วยสิ่งที่มีขนาดใหญ่กว่า

   "อื้อ!" ครั้งนี้เสียงร้องอุทานเจือปนความเจ็บปวด สะโพกด้านล่างขยับถอยหนี สิ่งที่มันชอบด่าว่า 'ไซส์ควาย' คงจะทำให้ช่องทางคับแคบไม่เคยชินสักที ผมเองก็ต้องกลั้นหายใจกับความอึดอัดที่บีบรัด พยายามเบี่ยงเบนความสนใจด้วยการพรมจูบลงบนปาก เรื่อยลงมาจนถึงลำคอ เลียบนรอยสีกุหลาบช้ำ ก่อนจะจูบซ้ำบนรอยเดิม

   สักพักจึงเริ่มขยับตัวได้คล่องมากขึ้น แต่ทุกครั้งที่ดันกายเข้าไปจนสุด สะโพกด้านล่างก็ยังถอยหนี แม้บางครั้งจะยกลอยขึ้นอย่างลืมตัว สวนทางกับแรงเสียดสีด้านใน เสียงครางแปรเปลี่ยนจากความเจ็บเป็นความเสียว ร้องรับจังหวะการกระแทก ส่วนที่แข็งจนบวมเป่งจึงยิ่งขยับโยกอย่างรุนแรง ดึงดันเข้าออกสุดความยาว ร้อนจัดจนแทบจะระเบิด

   คนที่ทนรับคลื่นอารมณ์ไม่ไหวเบนหน้าหนีไปซุกลงกับเตียง ผมจึงถอนตัวออกมาชั่วคราว ขยับพลิกให้ร่างนั้นนอนคว่ำหน้าอยู่บนหมอน ยกเฉพาะส่วนสะโพกขึ้นสูง เผยให้เห็นช่องทางด้านหลังที่เคยปิดสนิท เวลานี้กลับกลายเป็นรูลึกสีแดงจัด เปิดอ้าเกือบเท่ากับสิ่งที่เคยบุกรุกเข้าออกซ้ำๆ ราวกับดินน้ำมันที่ถูกปั้นให้เปลี่ยนไปตามรูปร่างของผม

   เสียงครางขึ้นจมูกดังแผ่วเมื่อจุดที่เคยร้อนจัดถูกแทนที่ด้วยอากาศเย็นวาบ ผมจึงลองสอดนิ้วเข้าไป สัมผัสกับความนุ่มชื้นและร้อนระอุด้านใน กระตุ้นให้เสียงครางดังขึ้นอีกครั้ง

   "เหี้ยมึงอย่าเล่น!" มันหันกลับมาร้องด่า

   แต่เมื่อใบหน้าแดงจัดหันมาสบตาก็เบี่ยงหนีกลับไปด้านข้าง ผมจึงยอมทำตามอย่างว่าง่าย เลิกเล่นและกลับมาเอาจริงด้วยการแทรกตัวกลับเข้าไปด้านใน ท่านี้ช่วยให้เข้าไปได้ง่ายและลึกกว่าเดิม ทำให้เผลอดันตัวเข้าไปรวดเดียวจนมิดด้าม เสียงด่าจึงกลายเป็นเสียงครางอู้อี้อยู่บนหมอน

   ผลของการเอาจริงทำให้ผมเริ่มหยุดตัวเองไม่อยู่ จับสะโพกที่แอ่นรับเอาไว้มั่น ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาซอยไม่ยั้ง จนกระทั่งทรุดตัวลงไปนอนทับทั้งๆ ที่ท่อนล่างก็ยังขยับดันเข้าไปลึกยิ่งขึ้น กลิ่นหอมอ่อนๆ จากท้ายทอยยั่วยวนให้ฝังปลายจมูกลงไป ผมใช้แขนโอบรั้งใบหน้าของคนข้างล่างให้หันกลับมาจูบกัน เสียงครางจึงดังเล็ดลอดปะปนสลับกับเสียงจูบ

   มือเรียวสวยกำแน่นอยู่บนหมอน ผมจึงสอดประสานนิ้วของตัวเองลงไปเกาะเกี่ยว แนบสนิทไม่ต่างจากด้านในที่กำลังหลอมละลายเข้าหากัน เสียงครางหอบประสานไม่เป็นภาษา ความร้อนภายในพุ่งทะยานจนเอ่อล้นออกมา ผมได้แต่กดเสียงครางต่ำอยู่บนบ่าของร่างที่ครางถี่และหอบหายใจหนักหน่วงไม่แพ้กัน

   ระหว่างที่คลื่นความร้อนในท้องน้อยดันตัวออกไปหลายระลอก ผมยังคงนอนกอดร่างที่ฟุบอย่างหมดแรงจากด้านหลัง รับรู้ถึงผนังนุ่มที่ยังคงตอดระริก ของเหลวอุ่นจัดเอ่อล้นอยู่ข้างใน แม้จะรู้สึกเหนียวเหนอะหนะ แต่กลับไม่อยากถอนตัวออกมา

   "ตัวโคตรหนักยังจะนอนทับอยู่ได้ กูจะแบนเป็นกล้วยปิ้งอยู่แล้ว" พอเริ่มปรับจังหวะการหายใจได้ คนพูดมากก็เริ่มด่า ผมจึงค่อยๆ ถอยตัวเองออกมาแม้จะแอบโยกเบาๆ เรียกเสียงครางทิ้งท้าย สุดท้ายจึงขยับตัวลงมานอนด้านข้าง โดยโอบกอดร่างในอ้อมแขนเอาไว้เหมือนเดิม

   "พรุ่งนี้ไปเที่ยวกันนะ" ผมลองเอ่ยชวนเบาๆ อยากจะออกไปเที่ยวด้วยกันสองคนแบบที่เรียกเต็มปากว่า 'เดท' ได้บ้าง

   "พรุ่งนี้กูต้องกลับไปเฝ้าบ้าน เดี๋ยวตอนบ่ายจะมีช่างมาซ่อมแอร์" มันพึมพำตอบด้วยเสียงเนือยๆ เหมือนยังเหนื่อยกับกิจกรรมที่เพิ่งผ่านไป

   "ไหนว่าเข้าบ้านไม่ได้" ผมลอบยิ้ม เมื่อใครบางคนเผยไต๋ออกมาให้จับผิดได้ง่ายๆ พอๆ กับหางหมาที่โผล่ออกมาจากกระเป๋าของมันนั่นแหละ

   "ก็... ต้องเรียกช่างกุญแจมาด้วยไง" มันยังแถไปได้แบบสีข้างถลอก จนผมต้องพยายามเก็บเสียงหัวเราะลงบนบ่าของคนในอ้อมแขน

   "กูรักมึงนะ" ผมกระซิบบอกข้างหู ร่างที่ถูกกอดอยู่หยุดนิ่งอึ้งไป อาจจะสตั้นเพราะตามไม่ทัน แต่พอตั้งสติได้ก็เปลี่ยนเรื่องได้ไวกว่าแบบหน้าด้านๆ

   "มึงหยิบทิชชูให้กูที มันจะไหล" พูดจาเฉไฉในหัวข้อที่ไม่อายปาก แถมยังกลบเกลื่อนสีแดงเรื่อที่ระบายมาถึงหลังหูด้วยการบ่นต่ออีกยาว

   "กูบอกกี่ทีแล้วว่าให้ใส่ถุง มึงก็ไม่ยอมซื้อมา ดูดิ๊ เลอะเทอะไปหมด ผ้าปูเตียงก็เปื้อน แล้วนี่คืนนี้จะนอนกันยังไง" ไอ้ที่เปื้อนเตียงน่ะของมัน ส่วนของผมน่ะยังอยู่ข้างใน แต่เอาเถอะ คราวหน้าจะซื้อมาซะหนึ่งกล่องใหญ่ หนึ่งร้อยชิ้น คนสั่งก็เตรียมตัวรับผิดชอบด้วยละกัน

   "มึงยิ้มอะไร" มันถามด้วยน้ำเสียงหาเรื่อง ระหว่างที่ผมเอื้อมไปหยิบทิชชูมาช่วยเช็ดบนหน้าท้อง และกำลังจะลามลงไปเช็ดต่ำกว่านั้น

   "เฮ่ย!? กูจัดการเอง!" มันร้องเสียงหลงพร้อมกับพลิกตัวหนี ก่อนจะหลุดครางขึ้นจมูก เมื่อดูท่าว่าอะไรที่ตกค้างอยู่ข้างในจะไหลย้อนกลับออกมาจริงๆ ร่างเปลือยเปล่าจึงรีบลุกเดินทุลักทุเลไปทางห้องน้ำ ก่อนจะจัดการปิดประตูลงกลอนอย่างรู้ทัน

   ผมจึงหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ แต่กลัวคนในห้องน้ำได้ยินแล้วจะพาลโมโห จึงเปลี่ยนเป็นการอมยิ้ม

   ถึงแม้มันจะไม่เคยยอมพูดหรือแสดงออกมาตรงๆ จนผมไม่แน่ใจว่ามันจะรู้สึกแบบเดียวกันบ้างหรือเปล่า แต่อย่างน้อย มันก็ยอมผมอย่างที่ไม่เคยยอมใครแบบนี้มาก่อน และไม่เคยยอมใครมากขนาดนี้มาก่อน

   ผมเหลือบมองกระเป๋าบนโต๊ะเตี้ยที่มีหางตุ๊กตาหมาแพลมออกมาอย่างอารมณ์ดี

   
----------


   แจ็คออกจะน่ารักนะ ...น่ารักออกไปหมด  :laugh:
   ความน่ารักอาจจะอยู่ลึกไปหน่อย ต้องขุดลึกหลายชั้น เพราะหน้ามันคอนกรีตเสริมใยเหล็ก :laugh:



ออฟไลน์ em1979

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
ให้อภัยในความซึนถ้าแจ๊คจะซึนได้น่ารักขนาดนี่

ออฟไลน์ nevergoodbye

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
ฮึ่มม แจ็คดื้อ เป็นเด็กไม่น่ารักสำหรับเรา  o18

ออฟไลน์ @moment

  • แอทโมเม้นท์
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
    • https://www.facebook.com/at.moment.writer/
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer/
   

   ตอนที่ 19 หมามองเครื่องบิน

   

   "อืออออ ตื่นแล้ว..." เสียงงัวเงียขานรับเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว แต่ฟังยังไงก็ไม่น่าไว้วางใจ หลังจากอาบน้ำเสร็จผมจึงลองโทรไปปลุกคนขี้เซาอีกรอบ

   "เหี้ย! ทำไมมึงเพิ่งจะโทรมาปลุกกูป่านนี้!?" เป็นอย่างที่คิด โยนความผิดกันหน้าด้านๆ เปิดกรงปล่อยตัวเงินตัวทองออกมาวิ่งเพ่นพ่านแต่เช้า

   "ก็บอกแล้วว่าให้นอนด้วยกันที่นี่" เมื่อวานหลังเลิกเรียนมันแวะมานั่งเล่นที่ห้องของผม แต่พอตกเย็นก็เผ่นกลับบ้าน บอกว่าพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า แล้วดูมันยอมตื่นซะที่ไหน พอพูดจบผมก็ได้ยินเสียงดังโครมครามจากปลายสาย ไม่รู้ว่าใครเดินสะดุดขาตัวเองหัวทิ่ม หรือกำลังจะพังห้องกันแน่

   "เหอะ! ถ้าอยู่ห้องมึงคงจะได้นอนหรอก" เสียงแจ็คโต้ตอบกลับมา ก่อนจะกล่าวต่ออย่างรวบรัด "แค่นี้นะ แล้วเจอกัน เหี้ยกูจะไปทันรถออกไหมวะ!?" มันยังสบถอีกครั้งก่อนตัดบทวางสาย

   ผมได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา แต่บ้านมันอยู่ไม่ไกลจากมหาลัย ถ้าไม่โอ้เอ้เจ้าสำอางก็น่าจะทัน เพราะยังเหลืออีกเกือบหนึ่งชั่วโมงก่อนเวลานัด ณ ลานหน้าหอประชุม เพื่อไปช่วยงานค่ายอาสาเป็นเวลาสามวันสองคืน

   เมื่อเก็บแปรงสีฟันและของใช้จำเป็นที่เหลือใส่กระเป๋าเสร็จ ผมจึงตรวจตราความเรียบร้อยครั้งสุดท้ายก่อนออกจากห้อง ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือพอให้แวะกินข้าวเช้าแถวหน้าปากซอย ผมตัดสินใจแวะซื้อขนมปังติดกระเป๋าไปด้วย เพราะคนตื่นสายคงไม่ทันได้กินอะไรก่อนขึ้นรถแน่ๆ

   ผมเดินไปเรื่อยจนถึงรั้วมหาลัย ขณะนั้นก็มีรถสปอร์ตสุดหรูคันหนึ่งเลี้ยวผ่านหน้าเข้าไปก่อน ผมจึงมองตามเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักศึกษาบางคนจะเป็นลูกหลานคนรวย แต่ในวันหยุดที่ไม่ค่อยมีรถวิ่งภายในคณะแบบนี้ รถคันสวยจึงกลายเป็นจุดเด่นดึงดูดสายตา

   ผมเดินเข้ามาในคณะจนเห็นรถคันเดิมอีกครั้งจอดอยู่ในลานจอดรถใกล้กับหอประชุม ใจหนึ่งคิดว่าอาจเป็นคนที่มาร่วมทริปเดียวกัน แต่ลองคิดอีกทีก็ไม่น่าจะใช่ อาจเป็นแค่คนที่มาส่ง หรือไม่ก็คนที่เข้าคณะมาทำรายงานเฉยๆ เพราะใครจะเอารถหรูมาจอดทิ้งไว้ตั้งหลายวัน ต่อให้มียามเฝ้าก็ยังไม่ปลอดภัยอยู่ดี

   "อ้าวตึก! มาพอดีเลย มาช่วยกันยกของขึ้นรถหน่อยสิ" ผมหันกลับไปตามเสียงร้องทักของเพื่อนคนหนึ่ง พอเห็นหน้าปุ๊บก็เรียกใช้แรงงานปั๊บ ผมจึงขานรับสั้นๆ ก่อนจะหาที่วางกระเป๋าและเดินเข้าไปช่วย

   พวกเราช่วยกันยกกล่องข้าวของขึ้นรถบัสคันใหญ่ ระหว่างนั้นก็มีการแนะนำตัวคนที่ยังไม่รู้จักกันบ้าง งานนี้มีคนมาช่วยเยอะเลยทีเดียว ทั้งเพื่อนร่วมรุ่น ทั้งน้องๆ ปีหนึ่งปีสอง ทั้งเพื่อนในคณะและต่างคณะ น่าจะเต็มคันรถ

   "อ้าว ต้น เป็นยังไงบ้าง ไม่ได้เจอกันตั้งนาน" เสียงหวานๆ เรียกชื่อเล่นของผมที่แทบจะไม่เหลือใครเรียก เมื่อหันกลับไปผมจึงได้พบเพื่อนผู้หญิงต่างคณะคนหนึ่ง จำได้ว่าเธอชื่อ 'แก้ว' เคยเจอกันตอนที่ไปช่วยงานละครเวทีของมหาลัย

   "คราวก่อนชมรมอาสาก็ไปช่วยงานชมรมเรา คราวนี้เราก็เลยมาช่วยบ้าง แลกกัน" แก้วยิ้มพลางอธิบาย ระหว่างที่พวกเรายังช่วยกันยกของขึ้นรถ

   ตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ทั้งๆ ที่ตาข้างขวาก็ไม่ได้ขยิบ แต่แล้วไม่กี่นาทีถัดมาผมก็ต้องเชื่อในความกลมของโลกใบนี้ เพราะต่อให้อยู่ต่างคณะ แต่ยังไงก็อยู่ในรั้วมหาลัยเดียวกัน สักวันก็ต้องวนเวียนมาเจอกันอีกจนได้

   "หมอน! ทางนี้ๆ" แก้วโบกมือเรียกเพื่อนอีกคนที่เพิ่งเดินเข้ามาพอดี

   หมอน... เป็นเพื่อนของแก้ว เป็นผู้ชายรูปร่างผอมบาง ส่วนสูงเกินมาตรฐานชายไทย แต่ด้วยบุคลิกที่เรียบๆ เรื่อยๆ หัวอ่อน ยิ้มง่าย กับดวงตาสองชั้นที่ปรือจนเหมือนคนง่วงนอนตลอดเวลา ทำให้ร่างนั้นแลดูตัวเล็กและเด็กกว่าอายุจริงหลายปี

   "ขอโทษนะแก้วที่มาช้า อ่ะ เอ่อ ต้น... มางานนี้ด้วยเหรอ" ร่างบางยิ้มทักทายเพื่อน ก่อนจะชะงักไปเมื่อหันมาเห็นผม สีหน้าอ้ำอึ้งหันมองซ้ายขวา แต่เมื่อมองแล้วไม่พบใครจึงลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก

   ผมกลับยิ่งหนักใจ เพราะรู้ว่าหมอนกำลังกลัวอะไร

   หรือถ้าจะพูดให้ชัดก็คือกลัว 'ใคร'

   และใครคนที่ว่าก็กำลังจะมาถึงในอีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงนี้

   "พี่หงส์มาส่งหมอนเหรอ" หนึ่งสาวที่ไม่ได้สังเกตเห็นถึงบรรยากาศแปลกๆ ระหว่างพวกเราเอ่ยแซวเพื่อนของตัวเอง ดึงความสนใจจากร่างบางได้เป็นอย่างดี ทำให้สีหน้ากังวลใจของหมอนแปรเปลี่ยนเป็นอาการอ้ำอึ้งในอีกความหมายหนึ่ง

   "เห็นรถของพี่หงส์มาจอดอยู่ตั้งนานแล้ว แต่ไม่เห็นมีใครลงมาซะที ไม่รู้ว่ามัวทำอะไรกันอยู่" แก้วยังคงแซวไม่เลิก ทำให้ใบหน้าของคนขี้อายกลายเป็นสีแดงระเรื่อ คนแซวเลยหัวเราะคิกคัก

   "ไปช่วยกันขนของดีกว่า" แกล้งเพื่อนจนพอใจแล้วแก้วจึงชวนหมอนเดินไปหาเพื่อนคนอื่นต่อ หมอนหันมายิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตรอีกครั้งก่อนจะเดินจากไป

   ผมได้แต่มองตามร่างนั้นด้วยความหนักใจ ใจหนึ่งอยากภาวนาขอให้รถติด รถเสีย หรือเกิดเหตุขัดข้องอะไรก็ได้ ทำให้แจ็คมาไม่ทันนัด ถึงแม้จะพร่ำบอกตัวเองอยู่ในใจว่าอย่าตีตนไปก่อนไข้ อย่ากังวลเกินกว่าเหตุ เพราะเรื่องที่เคยเกิดขึ้นก็ผ่านมานานแล้ว จบไปนานแล้ว

   แต่ความกลัวที่เริ่มก่อตัวขึ้น คงเป็นเพราะผมรู้ดีอยู่แก่ใจ

   มันไม่เคยลืม... คนที่เป็นรักฝังใจ

   

   นับครั้งไม่ถ้วน เวลาอกหักแจ็คมักจะแบกขวดกลมๆ มาที่ห้องของผม พอเมาแล้วก็ยิ่งเพิ่มเลเวลความปากหมา ด่าโชคชะตาฟ้าดิน ด่าคนที่ทิ้งมันว่ามีตาหามีแววไม่ ด่าบุคคลที่สามว่าเป็นตัวการทำลายความรัก

   มีอยู่วันหนึ่ง ตอนแรกมันก็มาอีหรอบเดิม

   "หมอนหลงรักคนแบบนั้นเข้าไปได้ยังไง!? ไอ้เหี้ยนั่นมันทั้งแรด! ทั้งร่าน! ใครๆ ก็รู้ว่ามันมั่วผู้ชายเกือบครึ่งค่อนโรงเรียน! เกเรก่อเรื่องจนเกือบจะเรียนไม่จบ ถ้าพ่อมันไม่รวยคับฟ้าป่านนี้ถูกไล่ออกไปนานแล้ว"

   มันด่าใครบางคนอย่างสาดเสียเทเสีย ขุดสารพัดสิ่งขึ้นมาเผา จับใจความได้ว่าคนที่ถูกด่าเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนเก่า ถึงแม้ว่าเรื่องที่เล่ามาจะไม่รู้ว่าใส่สีตีไข่มากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าเป็นจริงก็เข้มข้นยิ่งกว่าละครที่มีตัวเอกเป็นเด็กใจแตกเสียอีก

   พอเมาหนัก สักพักมันก็ร้องไห้...

   แต่คราวนี้มาแปลก เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นมันด่าตัวเอง

   "กูมันเลว... กูทำแบบนั้นกับหมอนได้ยังไง... หมอนคงจะเกลียดกูแล้ว... เหี้ยเอ๊ย! กูแม่งเหี้ยสัดๆ หมอนต้องเกลียดกูแล้วแน่ๆ ไอ้ถึก ทำไงดี กูอยากตาย..."

   มันร้องไห้ด่าตัวเองซ้ำไปซ้ำมา พูดจาวกวนจนฟังแทบไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าตกลงมันทำอะไรลงไปกันแน่ จนกระทั่งเสียงอ้อแอ้ยานคางสารภาพความผิดของตัวเองออกมา ผมจึงได้แต่นิ่งอึ้ง ฟังจบแล้วอยากด่าซ้ำว่า 'มึงมันเหี้ย!' แต่ก็กลัวคนเมาจะบ้าจี้โดดตึกตายขึ้นมาจริงๆ จึงได้แต่นั่งฟังอย่างเงียบๆ ปล่อยให้มันร้องไห้คร่ำครวญจนเมาฟุบหลับไปกับโต๊ะ

   ผมได้แต่ถอนหายใจและส่ายหน้าอย่างสงสารปนสมเพช เมาแล้วขาดสติ ทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด แถมยังจะเมาซ้ำด้วยความสำนึกผิด แต่สิ่งที่มันทำก็ร้ายแรงถึงขั้นที่ว่า ถ้าผมเป็นหมอน คงจะตัดขาดกับมันแบบชาตินี้ไม่ขอเผาผี หรืออย่าให้เจอหน้ากันที่ไหนมีได้อัดให้น่วมตายคาตีนแน่ๆ

   ทว่าสุดท้ายก็เหนือความคาดหมาย เพราะคนใจดีกลับยอมให้อภัย ทั้งยังยอมรับมันกลับมาเป็นเพื่อนอีกครั้ง ถึงแม้จะรับรู้ได้ว่าหมอนลำบากใจเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากัน สาเหตุสำคัญคงเป็นเพราะคนรักของหมอนเกลียดไอ้แจ็คเข้าไส้ ซึ่งก็สมเหตุสมผล สมควรสมน้ำหน้า

   แต่ดูท่ามันจะไม่เคยเข็ด

   "หมอน..."

   ร่างสูงที่เพิ่งเดินทางมาถึงชะงักไปอย่างตกใจ ไม่ต่างกับคนที่หันกลับไปตามเสียงเรียก สีหน้านิ่งอึ้งอย่างเห็นได้ชัด

   "เอ่อ ไม่ได้เจอกันนานเลย... หมอนสบายดีหรือเปล่า" คนพูดมากเป็นฝ่ายตั้งตัวได้ก่อน น้อยครั้งที่จะเห็นมันอ้ำอึ้งราวกับเลือกคำพูดไม่ถูก แต่สุดท้ายก็คลี่ยิ้มทักทาย

   สีหน้าท่าทางของแจ็คในตอนนี้ ทำให้ผมนึกถึงหมาตัวใหญ่ที่อยากกระโจนใส่เจ้าของใจจะขาด หูตั้ง สะบัดหางแรงๆ จนหางแทบหลุด แลบลิ้นแฮ่กๆ จนน้ำลายแทบหยด แต่ด้วยความผิดติดตัวจึงทำได้แค่ยืนหน้าสลด หูลู่ หางตก

   แต่ไอ้หมาตัวดี มันคงลืมสนิทว่าตอนนี้ใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของ

   "ก็... สบายดี เอ่อ กูไปช่วยเขายกของก่อนนะ อีกเดี๋ยวรถจะออกแล้ว" หมอนยิ้มตอบแจ็คด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ แบบไม่รู้ว่าควรทำตัวยังไง ก่อนจะหาเหตุผลปลีกตัวออกไปจากสถานการณ์ที่ตั้งตัวรับไม่ทัน

   ผมเห็นไอ้แจ็คมองตามตาละห้อย ไม่สนใจคนที่ยืนหัวโด่เป็นหัวหลักหัวตออยู่ตรงนี้เลยสักนิด

   "อะไร" แจ็คอุทานเมื่อผมยกแขนพาดรอบบ่า ดึงรั้งให้มันหันหน้ากลับมาหา

   "มาสายแล้วยังจะยืนอู้อยู่อีก ไปช่วยกันทำงาน" ผมถือโอกาสต่อว่าพร้อมดึงแจ็คให้เดินออกไปอีกทาง ถึงแม้ว่าร่างสูงจะยังแอบเหลียวหลัง ชะเง้อคอยาวเป็นยีราฟ มองหาใครบางคนที่เดินห่างออกไปไกลสุดสายตา จนผมต้องออกแรงฉุดกึ่งลาก มันถึงได้ยอมเดินตามมา

   แต่จนแล้วจนรอด มันก็ยังไม่ยอมละความพยายาม

   หลังจากขนของเสร็จทุกคนจึงพากันทยอยขึ้นรถ ไอ้หมาตัวดีก็ใช้สกิลความหน้าด้าน ถ้าบังเอิญที่นั่งข้างหมอนไม่ได้ถูกจับจองอยู่ก่อนแล้ว มันคงตีมึนไปนั่งข้างๆ แล้วด้วยซ้ำ โชคดีที่หมอนมากับแก้ว เมื่อเพื่อนเลือกนั่งลงบนเบาะตัวหนึ่งริมหน้าต่าง หมอนจึงเดินตามไปนั่งข้างๆ กัน

   "อะ ขอบใจนะ..." หมอนเอ่ยขอบคุณเบาๆ ระหว่างที่กำลังจะยกกระเป๋าขึ้นไปเก็บบนชั้นวางของเหนือศีรษะ ไอ้แจ็คก็รีบเสนอหน้า แต่ด้วยส่วนสูงที่ได้เปรียบมากกว่า ทำให้ผมชิงตัดหน้าช่วยหมอนได้ก่อน

   มันเหล่มองเล็กน้อยอย่างขัดใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ อยากจะนั่งเบาะข้างๆ ก็ดันไม่ว่าง สุดท้ายก็ยังจะดื้อด้านดันทุรังนั่งเบาะถัดมาด้านหลัง แถมยังเลือกที่นั่งฝั่งริมหน้าต่าง คงกะระยะแล้วว่า ถ้ามองลอดผ่านช่องว่างระหว่างเบาะก็จะสามารถเห็นเสี้ยวหน้าของหมอนได้พอดี

   "ใช้แรงงานนิดเดียวก็หิวแล้วอ่ะ หมอนกินอะไรมาหรือยัง กินขนมไหม" แก้วชวนคุยพลางเปิดกระเป๋าควานหาขนม

   "ยังเลย เมื่อเช้าปอร์เช่วิ่งซนชนกรอบรูปตกแตก กว่าจะเก็บกวาดเสร็จก็หมดเวลาพอดี" หมอนเล่าด้วยน้ำเสียงเจือความเอ็นดูมากกว่าจะโมโห แต่คนฟังทำหน้างงว่าปอร์เช่คือใคร เสียงเดิมจึงอธิบายขยายความ "หมาที่เลี้ยงไว้น่ะ"

   "เอ๋ หอพักอนุญาตให้เลี้ยงหมาได้ด้วยเหรอ" เสียงหวานใสถามกลับไปทันที บทสนทนาจึงกลับกลายเป็นความเงียบชั่วขณะ เพราะหอพักนักศึกษาส่วนใหญ่ห้ามเลี้ยงสัตว์ และคาดเดาจากรถสปอร์ตคันหรูที่มาส่งเมื่อเช้า ดูท่าว่าตอนนี้คนที่อ้ำอึ้งไปจะไม่ได้พักอยู่หอ หรืออาจจะแค่ 'เคยอยู่'

   "เอ่อ เราซื้อแซนวิชมาด้วย แก้วกินด้วยกันไหม" เป็นวิธีการเปลี่ยนเรื่องที่เต็มไปด้วยพิรุธสุดๆ หนึ่งสาวจึงหัวเราะคิกคัก แต่ก็ไม่ได้แกล้งแหย่ให้เพื่อนต้องเขินอายไปมากกว่านี้

   ส่วนอีกคนที่แอบมองจากด้านหลัง... ผมเห็นมันนั่งกัดฟัน ราวกับเก็บกลั้นความไม่พอใจ หึง หวง อิจฉา และอีกหลากหลายความรู้สึก โดยเฉพาะสายตาที่ฉายแววเศร้าอย่างปิดไม่มิด

   "หิวไหม" ผมหยิบขนมปังและขวดน้ำจากในกระเป๋าออกมายื่นให้ เห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ แจ็คไม่ได้พูดอะไร แค่หันกลับมามองมือผมเล็กน้อย ก่อนจะยอมรับขนมปังไปแกะกินแต่โดยดี

   ตอนนี้ ผมสงสารมัน พอๆ กับที่สงสารตัวเอง

   
----------


   เรื่องราวของพี่หงส์กับน้องหมอนอยู่ในเรื่อง Love Magnet - รับได้ก็รัก (จบแล้ว) ถ้าใครสนใจอ่านก็ลองกูเกิ้ลหาดูได้เน้อ
   มีแจ็คไปเป็นตัวป่วนนิดหน่อย ตามคอนเซ็ป 'สร้างความร้าวฉานคืองานของแจ็ค' 555 แต่ถึงไม่อ่านก็น่าจะรู้เรื่องแหละ เพราะแจ็คมันก็ได้แต่รักเขาข้างเดียวเป็นหมามองเครื่องบิน หรือถ้าอ่านแล้วอาจจะอยากฆาตรกรรมแจ็คมากขึ้นก็เป็นได้ 555555 (ยื่นมีด)  o18
   ใครเห็นความน่ารักของแจ็คคือต้องใช้ฟิลเตอร์ถึกมากๆ กร๊าก :laugh:


ออฟไลน์ @moment

  • แอทโมเม้นท์
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
    • https://www.facebook.com/at.moment.writer/
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer/
   

   ตอนที่ 20 แจ็คผู้ฆ่ายักษ์

   

   ระหว่างการเดินทาง สายตาคู่เดิมยังคงลอบมองไปที่เบาะด้านหน้าเป็นระยะ เข้าทำนองว่ายิ่งมองก็ยิ่งเจ็บ แต่จะไม่มองก็ห้ามตัวเองไม่ได้ ไม่ต่างจากผมที่ทำได้เพียงลอบมองคนข้างๆ

   สักพักผมก็เห็นแจ็คนั่งหลับตา อาจจะง่วงเพราะวันนี้ต้องตื่นเช้ากว่าปรกติ ไม่นานนักก็ผลอยหลับไป ผมจึงดึงศีรษะที่โงนเงนให้เอนซบลงมาบนบ่าของตัวเอง

   ถึงตอนเที่ยง รถบัสจึงแวะจอดที่ปั้มน้ำมันแห่งหนึ่งเพื่อให้สมาชิกได้พักกินข้าวและเข้าห้องน้ำตามอัธยาศัย ทิวทัศน์สองข้างทางกลายเป็นทุ่งนา เห็นภูเขาอยู่ไกลลิบๆ โรงเรียนที่พวกเราจะไปคราวนี้อยู่ห่างจากกรุงเทพไม่กี่ชั่วโมง แต่กลับดูห่างไกลความเจริญมากกว่าที่คิด ยังดีที่รถสามารถวิ่งเข้าไปในตัวหมู่บ้านได้ แม้จะเป็นถนนลูกรังที่มีแต่ฝุ่นสีแดงตลบฟุ้ง

   กว่าจะถึงที่หมายก็เป็นเวลาบ่ายกว่าๆ พวกเราจึงเริ่มงานกันทันที เริ่มจากช่วยกันขนของลงจากรถ แบ่งกลุ่มรับผิดชอบงานส่วนต่างๆ กลุ่มแรกคือคนครัว มีหน้าที่จัดเตรียมอาหารสำหรับเลี้ยงเด็กๆ ถัดมาคือกลุ่มทำความสะอาด เตรียมพร้อมก่อนการซ่อมแซมและทาสีโรงเรียนใหม่ในวันพรุ่งนี้ รวมถึงจัดเตรียมที่พักสำหรับชาวค่ายโดยขอยืมเสื่อจากวัดมาปูนอนกันในห้องเรียน ส่วนกลุ่มสุดท้ายมีหน้าที่แจกจ่ายของบริจาครวมทั้งจัดกิจกรรมสันทนาการให้กับเด็กๆ ก่อนจะถึงเวลาอาหารเย็น

   หมอนกับแก้วเข้าร่วมกลุ่มทำครัว ตอนแรกไอ้แจ็คก็ทำท่าจะตามไปด้วย แต่ดูน้ำหน้าคนที่จับมีดก็แทบจะหั่นนิ้วตัวเอง จุดไฟตั้งเตาก็แทบจะเผาบ้าน ขืนปล่อยให้เข้าครัวก็คงจะมีแต่พังกับพินาศ มันเลยถูกสกัดดาวรุ่ง(ริ่ง)ให้ไปช่วยแจกของบริจาคแทน

   "ขอบคุณค่ะ พี่ชายสุดหล่อ"

   อาศัยข้อดีที่มีอยู่น้อยนิดทำให้แจ็คกลายเป็นขวัญใจของเด็กๆ อย่างรวดเร็ว เด็กผู้หญิงร่างเล็กคนหนึ่งน่าจะอายุไม่เกินสิบขวบ คลี่ยิ้มสวยพร้อมยกมือไหว้ขอบคุณ หน้าตามอมแมมเล็กน้อยแต่รอยยิ้มน่ารักสมวัย พอโดนชมว่าหล่อเข้าหน่อยคนบ้ายอก็เริ่มยิ้ม อารมณ์ขุ่นข้องเริ่มจางหาย กลายเป็นแจกของไปก็แจกรอยยิ้มไปด้วย

   "หน้าขาววอกเป็นลิงอย่างนี้เนี่ยนะหล่อ ข้ายังหล่อกว่าตั้งเยอะ!" ตรงกับสำนวนที่ว่ามีคนรักย่อมมีคนชัง ยิ่งโดดเด่นก็ยิ่งโดนเขม่น เด็กหัวปิงปองคนหนึ่งตะโกนโพล่งขึ้นมากลางแถว ยืนเท้าเอววางท่าราวกับเป็นหัวโจกของกลุ่มเด็กทโมน

   "ตัวกะเปี๊ยกแค่นี้ กลับไปกินนมให้สูงเท่าพี่ก่อนแล้วค่อยทำซ่าดีไหม" แจ็คตอบโต้ด้วยการเอื้อมมือออกไปขยี้หัวเกรียนๆ แต่พอเด็กหัวปิงปองพยายามปัดออกและต่อยตีกลับมา มันก็เลยยันหัวกลมๆ เอาไว้ ทำให้แขนขาที่สั้นกว่าเอื้อมไปทำร้ายไม่ถึง

   พรรคพวกเด็กผู้ชายอีกสองสามคนจึงรีบก้าวออกมาช่วยเพื่อน แต่ฝั่งเด็กผู้หญิงก็ออกมาปกป้องพี่ชายสุดหล่อ จนกลายเป็นการก่อสงครามขนาดย่อม แต่แทนที่ไอ้เด็กโข่งจะห้ามทัพ กลับร่วมวงทะเลาะด้วยเหมือนเด็กๆ พอเด็กกวนตีนมามันก็กวนตีนกลับ น่าสงสัยว่าอายุสมองคงจะใกล้เคียงกัน

   ตอนแรกผมนึกภาพไม่ออกเลยว่าไอ้แจ็คกับเด็กเกรียนจะอยู่ร่วมโลกกันได้ยังไง แต่ไปๆ มาๆ การทะเลาะเบาะแว้งกลับกลายเป็นการวิ่งเล่นไล่จับ เด็กคนหนึ่งกระโดดเกาะขาพะรุงพะรัง อีกคนก็กระโจนขึ้นขี่คอ วิ่งไล่วนรอบสนาม เด็กคนอื่นพลอยวิ่งตามกันเป็นพรวน

   ตั้งแต่ออกเดินทางเพิ่งจะได้เห็นมันยิ้มกว้างและหัวเราะสุดเสียงก็คราวนี้

   พอดีกับที่คนอื่นๆ ช่วยกันแจกจ่ายของบริจาคเสร็จ พวกเราจึงเริ่มแบ่งกลุ่มกันทำกิจกรรมสันทนาการ กลุ่มเด็กโตหน่อยก็ไปเตะบอลฉลองลูกบอลใหม่ ส่วนกลุ่มเด็กเล็กก็ยังคงเดินล้อมหน้าล้อมหลังไอ้แจ็คอยู่ไม่ห่าง

   เด็กเล็กคนหนึ่งได้รับของบริจาคเป็นหนังสือนิทาน แต่ยังอ่านหนังสือไม่คล่อง จึงอ้อนขอให้พี่สุดหล่อช่วยอ่านให้ฟัง คนบ้ายอเลยได้ใช้ความพูดมากให้เป็นประโยชน์ก็วันนี้

   "เล่าเรื่องนี้ละกัน เรื่องนี้พี่เป็นพระเอก"

   คนพูดกระหยิ่มยิ้มย่องระหว่างหยิบหนังสือนิทานเล่มหนึ่งขึ้นมา

   บนหน้าปกเขียนว่า 'แจ็คผู้ฆ่ายักษ์'

   "ไอ้ถึก! มึงดูนี่ดิ บทนี้โคตรเหมาะกับมึงมากเลย" มันหันมาตะโกนเรียกผมก่อนระเบิดหัวเราะลั่น

   ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นบทไหน จะมีอะไรอีกถ้าไม่ใช่ 'ยักษ์'

   ผมพยักหน้ารับแกนๆ พลางเดินเข้าไปฟังมันเล่านิทานสักหน่อย ไม่อยากขัดศรัทธา แต่เพียงแค่เริ่มต้นเรื่องไม่กี่ประโยค ผมก็ถึงกับต้องกุมขมับ

   "กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายหนุ่มรูปงามนามว่า 'แจ็ค' นิสัยดี มีเสน่ห์ เป็นที่รักของทุกคน"

   ดูมัน ใส่สีตีไข่ ยกหางตัวเองหน้าด้านๆ สงสารก็แต่เด็กน้อยตาดำๆ ที่ต้องมานั่งฟังนิทานเวอร์ชั่นสุดเพี้ยน แถมเล่าไปพลางมันก็ทำท่าทางประกอบอย่างออกรสชาติ พอเล่าถึงตอนที่แจ็คปีนต้นถั่ว มันก็ทำท่าจะปีนต้นไม้ จนผมต้องคอยดึงไว้เพราะกลัวว่าเด็กจะเอาเป็นเยี่ยงอย่าง

   "หนูจำได้แล้ว! ตอนจบแจ็คถูกยักษ์จับกินใช่ไหม!?" เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งลุ้นตามจนตัวโก่ง พูดโพล่งขึ้นมาอย่างตื่นเต้น

   "ใช่ที่ไหน แจ็คตกเถาวัลย์ตายต่างหาก" เด็กผู้ชายอีกคนเถียง

   "ไม่ใช่! แจ็คกับยักษ์ต้องได้ครองรักกันอย่างมีความสุขชั่วนิรันดร์สิ!" เด็กผู้หญิงอีกคนตะโกนเถียงเสียงดัง คงจะติดจินตนาการจากนิทานเจ้าหญิงเจ้าชาย แต่เป็นคำตอบที่ทำให้ผมลอบยิ้ม

   "ไม่ใช่สักอย่างนั่นแหละ! ตอนจบแจ็คฆ่ายักษ์และชิงห่านทองคำมาได้ กลายเป็นเศรษฐีต่างหาก" ไอ้แจ็คก็พลอยเถียงไปกับเขาด้วย แต่ดันกลายเป็นการสปอยตอนจบ ทำให้เด็กหลายคนโห่ร้องออกมาด้วยความเซ็ง

   "อ่ะๆ พวกเราไปกินข้าวกันดีกว่า กลิ่นหอมลอยมาถึงนี่เชียว เด็กๆ หิวกันแล้วหรือยัง" มันจึงรีบเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็วหนีความผิด ถึงแม้เด็กบางคนจะยังงอแง แต่พอมีของกินมาล่อก็ลืมเรื่องขุ่นข้องใจไปจนหมด

   ต้องขอบคุณเด็กๆ ที่ทำให้แจ็คหัวหมุนจนไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องอื่น มันจึงไม่ได้พยายามมองหาใครบางคนอีก ทั้งตอนที่นั่งกินข้าวเย็น หรือตลอดจนกระทั่งโบกมือลาส่งเด็กๆ กลับบ้าน กว่าจะรู้ตัวอีกครั้งดวงอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้า

   "ไอ้ถึก กูว่ากูใช้พลังงานชีวิตหมดโควต้าแล้วว่ะ" เพิ่งจะผ่านไปแค่วันแรกมันก็ทรุดลงนั่งยองๆ ลงกับพื้นอย่างหมดแรง ผมจึงปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งอยู่ตรงนั้น ก่อนจะเดินเลยไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ที่ตั้งอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย

   "อ้าวเหี้ยนี่ มีเก้าอี้ก็ไม่บอก" มึงไม่มองเองต่างหาก

   เมื่อผมแอบยิ้มมันจึงมองเขม่นกลับมา แต่ด้วยความเหนื่อยจัดจึงลากขาเดินมานั่งข้างๆ อย่างไม่อิดออด

   ท้องฟ้าในต่างจังหวัดมืดเร็วกว่ากรุงเทพมาก ยังไม่ดึกเท่าไหร่ก็เปลี่ยนเป็นสีดำสนิท บรรยากาศเงียบสงัด สายลมเย็นสบายพัดผ่าน มีเพียงแสงไฟและเสียงของผู้คนแว่วดังมาจากตัวอาคาร ร่างด้านข้างนั่งหาวปากกว้าง ก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดแทบไม่มิด

   "ถ้าง่วงก็ไปอาบน้ำนอนซะ" ผมบอกสั้นๆ ทว่าแจ็คกลับนั่งเฉย ไม่ขยับเขยื้อน

   "ขืนเข้าไปตอนนี้ก็มีงานรออีกเพียบ แอบอู้อยู่ตรงนี้ดีกว่า" ดูมัน ผมได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอา

   ถึงแม้อีกใจหนึ่งก็จะอดแปลกใจไม่ได้ เพราะตั้งแต่เช้าก็เห็นมันพยายามเสนอหน้าเข้าไปใกล้ชิดหมอนทุกครั้งที่มีโอกาส ทั้งๆ ที่ตอนนี้หมอนน่าจะกำลังช่วยเก็บกวาดล้างจานอยู่ในครัว แต่มันกลับนั่งหาว และทำท่าเหมือนจะแอบงีบอยู่ตรงนี้

   สักพัก ศีรษะของคนด้านข้างก็เอนพิงลงมาบนบ่าของผม

   ผมจึงก้มลงมองใบหน้าของคนที่นั่งหลับตา แก้มเนียนใสถูกบดบังด้วยเส้นผมที่ปรกลงมา ผมจึงยกมือข้างหนึ่งเกลี่ยปอยผมนุ่มขึ้นไปทัดไว้ข้างหู แต่ปลายนิ้วเจ้ากรรมกลับไม่อยากผละจาก เผลอไล้บนกรอบหน้าอย่างอ้อยอิ่งแผ่วเบา

   จังหวะนั้นเองที่แจ็คปรือตาขึ้นมา

   เมื่อผมจ้องมอง มันก็ไม่ได้หลบตา

   เมื่อผมโน้มหน้าลงไปใกล้ มันก็ไม่ได้ถอยหนี

   ริมฝีปากของพวกเราจึงสัมผัสกันแผ่วเบา

   

   ตอนแรกผมยังอดหวั่นใจไม่ได้ว่าคนที่ทำตัวดีมาตลอดบ่ายจะลงท้ายด้วยอาการดีแตก แอบย่องเข้าหาเป้าหมายกลางดึก แต่ผมคงจะกังวลมากเกินไป เพราะห้องเรียนที่ถูกประยุกต์เป็นห้องนอนด้วยการปูเสื่อมีคนเต็มห้องนอนเรียงกันยาวเป็นแพ ไม่เปิดโอกาสให้ใครย่องไปไหนได้

   อีกทั้งการสู้รบกับเด็กๆ ทั้งวันคงทำให้มันเหนื่อยจัด พอหัวถึงหมอนก็นอนหลับเป็นตาย คืนนั้นผมจึงได้นอนหลับอย่างสบายใจโดยมีมันนอนอยู่ข้างกายอีกหนึ่งคืน

   เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเราจึงเริ่มลงมือปรับปรุงพัฒนาโรงเรียนโดยแบ่งกลุ่มกันทำงานเหมือนเดิม ผู้หญิงส่วนหนึ่งยังคงดูแลงานในครัว ส่วนงานใช้แรงประเภทซ่อมแซมอาคาร ผนัง พื้นไม้ บันได หลังคา ตลอดจนการทาสีตัวตึกใหม่ นำทีมโดยคนในชมรมอาสาซึ่งออกค่ายหลายครั้งจนเชี่ยวชาญ

   ผมกับหมอนเคยมีประสบการณ์การทำฉากประกอบละครเวทีมาก่อน จึงมาช่วยงานในส่วนนี้ด้วย ส่วนแจ็คที่กลายเป็นขวัญใจเด็กๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ จำต้องไปรับหน้าที่ปรับสภาพพงหญ้ารกร้างหลังโรงเรียนให้กลายเป็นแปลงผักสวนครัว โดยมีเด็กๆ เป็นลูกมือ

   วันนี้ท้องฟ้าสดใส งานดำเนินไปอย่างราบรื่น ถึงแม้ว่าอากาศจะร้อนจนเหงื่อออกโซมกาย แต่เมื่อได้พักกินอาหารกลางวัน ก็ทำให้มีแรงกลับมาสานงานต่อในช่วงบ่าย

   "สีใกล้หมดแล้ว เดี๋ยวกูไปเอามาเพิ่มให้นะ" ผมปาดเหงื่อ พลางเงยหน้าบอกอีกคนที่กำลังปีนขึ้นบันไดไปทาสีขอบหน้าต่าง

   "ขอบใจนะ" หมอนก้มลงมายิ้มให้พร้อมกล่าวขอบคุณ ผมจึงพยักหน้าเล็กน้อยก่อนเดินออกจากบริเวณนั้น เพื่อไปเบิกสีกระป๋องใหม่จากส่วนกลาง

   ระหว่างทางเห็นเพื่อนร่วมค่ายต่างช่วยกันทำงานคนละไม้คนละมือ แม้แต่อดีตพงหญ้ารกๆ หลังโรงเรียนก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง เด็กๆ ช่วยกันพรวนดิน ร่างสูงของใครบางคนก็กำลังนั่งยองๆ ก้มๆ เงยๆ ตอกรั้วแปลงผักอยู่

   ใบหน้าเปื้อนดินมอมแมมเงยกลับขึ้นมา พอดีสบตากันเข้า มันก็ยักคิ้วมาให้ แปลความหมายได้ว่า 'เป็นไงฝีมือกู เจ๋งไหมล่ะ' ผมเลยได้แต่ยักยิ้มพลางส่ายหน้าเล็กน้อยอย่างอ่อนใจ

   ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี จนถึงตอนที่ผมเดินหิ้วกระป๋องสีกลับไป จังหวะนั้นเองที่ผมได้ยินเสียงตะโกนดังลั่นมาจากบนหลังคา

   "เฮ่ย!? ข้างล่าง! ระวัง!"

   เมื่อเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงผมก็ได้เห็นเศษกระเบื้องหลังคาหรือก้อนอิฐอะไรสักอย่างร่วงตกลงมา  ใกล้กับตำแหน่งหน้าต่างที่หมอนกำลังทาสีอยู่

   "หมอน!? ระวัง!"

   เสียงใครบางคนร้องเตือนดังลั่น ร่างที่นั่งอยู่บนบันไดลิงจึงเบี่ยงตัวหลบตามสัญชาติญาณ ถึงแม้สิ่งที่ร่วงลงพื้นจะห่างจากศีรษะไปเกือบคืบ ทว่าเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วกลับทำให้ร่างนั้นเสียหลักทรงตัว บันไดสูงโงนเงน กระป๋องสีร่วงหลุดมือ ตามด้วยเสียงร้องอุทานอย่างตกใจ

   ปฏิกิริยาอัตโนมัติทำให้ผมกระโจนออกไปด้านหน้า

   "หมอน!" "ไอ้ตึก!?" "โอ๊ย!"

   โครม! อึก!

   วัตถุขนาดใหญ่ร่วงหล่นลงมาในเวลาไล่เลี่ยกัน แรงกระแทกทำให้ร่างกายของผมปวดร้าวไปครึ่งซีก สมองมึนเบลอไปชั่วขณะ จุกจนร้องไม่ออก

   ภาพที่ผมเห็นเมื่อค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา คือร่างของหมอนที่นั่งกองหมิ่นเหม่ทับแขนของผม รอบตัวมีทั้งบันไดที่ล้มพับ กระป๋องสี แปรงทาสี อุปกรณ์ต่างๆ ร่วงเกลื่อนกลาด ยังโชคดีที่บนพื้นเปื้อนด้วยสีฟ้า ไม่มีสีแดงเจิ่งนองผสม

   "กูขอโทษ! เป็นอะไรมากไหม!?" ต้นตอของอุบัติเหตุชะเง้อมองมาจากบนหลังคาอย่างร้อนรน เมื่อมองรอบตัวผมจึงเห็นใครหลายคนมายืนมุงอยู่รอบๆ แจ็คเองก็รีบวิ่งมาทางนี้

   "กูไม่เป็นไร" ผมกัดฟันตอบพลางพยุงตัวลุกขึ้น เพื่อนอีกคนรีบเข้ามาช่วย ตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกเจ็บแปลบตั้งแต่หัวไหล่ไปจนถึงข้อศอกข้างขวา อาจเป็นส่วนที่รับน้ำหนักลงกระแทกพื้นพอดี

   "กูก็ไม่เป็นอะไรมาก ไม่ต้องห่วง... โอ๊ย!" หมอนตอบเช่นเดียวกัน ทว่าระหว่างที่กำลังพยายามลุกขึ้นก็กลับทรุดร่วงลงไปอีกครั้ง อาจจะเจ็บที่ข้อเท้า ทำให้ใครบางคนพรวดพราดเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง

   "หมอน!? มากูช่วย" แจ็คกล่าวพลางคว้าแขนข้างหนึ่งของหมอนขึ้นมาพาดบ่าของตัวเอง ก่อนจะใช้มืออีกข้างโอบกระชับรอบเอวเพื่อช่วยพยุง หมอนมีท่าทางอึกอักเล็กน้อย แต่ด้วยความจำเป็นจึงยอมรับความช่วยเหลือ

   "โอ๊ย" เสียงร้องสั้นๆ ดังขึ้นอีกครั้งเมื่อขาข้างที่เจ็บเหยียบลงบนพื้น

   "เหวออออ" หมอนอุทานอีกครั้งอย่างตกใจเมื่อร่างของตัวเองลอยขึ้นสูงจากพื้น เมื่อใครที่เคยช่วยพยุงตัดสินใจเปลี่ยนเป็นการอุ้ม พาเข้าไปปฐมพยาบาลด้านใน

   ผมได้แต่มองตามสองร่างที่ออกเดินนำไปด้านหน้า แขนซีกขวาปวดร้าวจนเริ่มชา ทว่ายังคงน้อยกว่าความเจ็บแปลบกลางหน้าอกด้านซ้าย

   ถึงแม้ผมจะพยายามบอกกับตัวเองว่า อุบัติเหตุเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น คนเจ็บจำเป็นต้องมีคนช่วย ไม่ว่าใครก็ต้องเป็นห่วงทั้งนั้น

   แต่ผมก็หลอกตัวเองไม่ได้ว่า

   มันห่วงหมอน มากกว่าห่วงผม

   
-----------

    ยื่นมีด o18

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ em1979

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
ทำไมมันเป็นแบบนี้... แจ๊คใจร้ายมากเหอะ

ออฟไลน์ winndy

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1129
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +89/-3
มันหน่วง แจ็คทำยักษ์น้อยใจซะแล้ว 
ได้อ่านผลงานของคุณนักเขียนที่เด็กดี เรื่องมังกรไร้ขา อยากบอกว่าสนุกมากค่ะ เดินเรื่องกระชับ มีเนื้อเรื่อง โครงเรื่องที่ดูแน่น มีที่มาที่ไป แนวแฟนตาซี จีน อ่านแล้วเพลินมาก เหมือนได้ผจญภัยไปกับตัวละครเลย ฟินกับความสัมพันธ์ของตัวเอกด้วย อ่านจนถึงตอนปัจจุบันแล้วอยากบอกว่า ชอบมาก

ออฟไลน์ @moment

  • แอทโมเม้นท์
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
    • https://www.facebook.com/at.moment.writer/
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer/
   

   ตอนที่ 21 เจ็บแล้วทนคือควาย

   

   "ขอบใจมากนะต้น ถ้าไม่ได้ต้นช่วยไว้กูต้องแย่กว่านี้แน่ๆ" หมอนยังคงกล่าวขอบคุณอีกหลายครั้ง ถึงแม้ผมจะบอกว่าไม่เป็นไร

   หลังจากเกิดอุบัติเหตุครูใหญ่ก็รีบพาพวกเราไปทำแผลที่อนามัย บนเนื้อตัวมีทั้งแผลถลอกและรอยฟกช้ำหลายแห่ง แต่ที่หนักคงจะเป็นแขนขวาของผมกับข้อเท้าของหมอน จากการตรวจอาการภายนอกพบว่ากระดูกไม่น่าจะหัก แต่เพื่อความแน่ใจเจ้าหน้าที่ประจำอนามัยก็แนะนำให้พวกเราไปตรวจเอ็กซเรย์ที่โรงพยาบาลอีกครั้ง

   ตอนแรกผมคิดว่าเอาไว้กลับถึงกรุงเทพค่อยไปตรวจก็ได้ แต่ครูใหญ่ก็ขันอาสาขับรถพาพวกเราเข้าไปโรงพยาบาลในตัวจังหวัด ผมเกรงใจแต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธน้ำใจ พวกเราจึงใช้เวลาเกือบชั่วโมงในการนั่งรถ และอีกหลายชั่วโมงในการต่อคิวเพื่อเข้ารับการตรวจรักษา คิวยาวกว่าที่คิดไว้มาก โรงพยาบาลในต่างจังหวัดมีจำนวนบุคลากรและอุปกรณ์ไม่เพียงพอต่อจำนวนคนไข้อย่างเห็นได้ชัด

   โชคดีที่ผลเอ็กซเรย์พบว่ากระดูกไม่มีรอยหักหรือร้าว แต่มีอาการของกล้ามเนื้ออักเสบ หมอจึงจ่ายยาแก้ปวดและแก้อักเสบมาให้ ผมต้องใส่ผ้าคล้องบ่าเพื่อช่วยพยุงแขนชั่วคราว ส่วนหมอนเองก็ต้องพันผ้ารอบข้อเท้าและห้ามเดินลงน้ำหนักที่ขาข้างนั้นอีกหลายวัน

   หลังตรวจเสร็จพวกเราจึงกลับมานั่งรอคิวรับยาและจ่ายเงิน ครูใหญ่ขอตัวแวะไปทำธุระเมื่อหลายชั่วโมงก่อน บอกว่าจะกลับมารับพวกเราอีกครั้งตอนหัวค่ำ ตอนนี้จึงเหลือแค่ผม หมอน และแก้ว ที่นั่งรอ ส่วนแจ็คเพิ่งจะลุกออกไปหาซื้อน้ำดื่ม เผื่อว่าผมและหมอนจะได้กินยาแก้ปวดเลยหลังจากได้รับยา

   "... พี่หงส์?"

   เสียงพึมพำเบาหวิวจากคนด้านข้างพร้อมกับสายตาที่นิ่งค้าง เมื่อหันมองตามผมก็ได้พบกับร่างสูงโปร่งของใครบางคนใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแล็คขายาวสีดำ กระดุมคอสองเม็ดบนถูกเปิดออก เช่นเดียวกับเนคไทที่ถูกคลายหลวมลงมาเกือบถึงกึ่งกลางหน้าอก

   ใบหน้าของผู้ชายที่สวยสะดุดตาหันกลับมาทางนี้พอดี แต่แล้วดวงตาคมฉายแววดุที่ตวัดกลับมาก็เผยให้เห็นอีกมุมที่หล่อจัด เรียกได้ว่าทั้งหล่อทั้งสวยอยู่ในคนๆ เดียวกัน จนสายตาหลายคู่ของคนในโรงพยาบาลเหลียวมองตาม แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้ใส่ใจ

   "พี่หงส์... มาที่นี่ได้ยังไงครับ..." หมอนพึมพำถามแผ่วเบา ราวกับยังไม่แน่ใจว่าภาพตรงหน้าคือความจริงหรือความฝัน จนกระทั่งร่างนั้นเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า

   "เอ่อ คือว่า...เราเป็นคนโทรไปบอกเองแหละ" แก้วแอบสารภาพเสียงค่อย สายตามองคนที่มาใหม่ด้วยความปลาบปลื้ม ราวกับแฟนคลับที่ได้เจอดารานักร้องในดวงใจหรืออะไรทำนองนั้น ก่อนจะหันมาฉีกยิ้มแหยให้เพื่อนอย่างสำนึกผิด คงจะนึกไม่ถึงว่าคนๆ นี้จะดั้นด้นมาถึงที่นี่จริงๆ

   "แล้วแก้วมีเบอร์ของพี่หงส์ได้ยังไง" สีหน้าเหวอๆ ถามต่ออย่างอึ้งๆ

   "กูเป็นคนขอเบอร์เพื่อนมึงไว้เอง บอกแล้วว่าไม่อยากให้มาก็ยังดื้อ แล้วเป็นไง เกิดเรื่องขึ้นจนได้ นี่ยังดีนะที่ขาแข้งไม่หัก ไม่เป็นอะไรมากกว่านี้" คนสวยดุอย่างหัวเสีย ทำให้คนฟังยิ่งหน้าเจื่อน คอตกอย่างสำนึกผิด

   แต่เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่พูดมาทั้งหมดเกิดจากความเป็นห่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแววตาและน้ำเสียงที่เอ่ยถามประโยคสุดท้าย "เจ็บมากไหม"

   หมอนจึงส่ายหน้าและตอบให้อีกฝ่ายคลายกังวล "ไม่เป็นไรแล้วครับ"

   "ขาเจ็บแบบนี้แล้วจะอยู่ช่วยงานอะไรใครได้ กลับกรุงเทพคืนนี้เลยก็แล้วกัน" ร่างสูงโปร่งกล่าวพลางถอนหายใจ ดูเหมือนอารมณ์จะเริ่มเย็นลงพอสมควรแล้ว ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่เดาได้ไม่ยากว่าตั้งใจขับรถมารับ

   "แต่..." หมอนหันไปมองแก้วอย่างลังเล ไม่อยากทิ้งเพื่อนกลางครัน

   "หมอนกลับเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้พองานเสร็จพวกเราก็กลับแล้ว" แก้วจึงกล่าวสนับสนุน

   ยังไม่ทันที่หมอนจะได้ให้คำตอบใดๆ บทสนทนาก็ต้องสะดุดลงเมื่อร่างสูงของใครบางคนถือถุงพลาสติกเดินกลับเข้ามา

   ทันใดนั้นบรรยากาศที่เพิ่งเริ่มดีขึ้นจึงพลิกกลับตาลปัตรยิ่งกว่าดิ่งลงเหว ใบหน้าของหมอนซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด แจ็คชักสีหน้าจ้องผู้มาใหม่ด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ขณะที่ใบหน้าของคนสวยนิ่งสนิท เย็นยะเยือกยิ่งกว่าน้ำแข็งขั้วโลก ตรงข้ามกับดวงตาที่เป็นประกายวาววาบ ราวกับลูกปรมาณูที่พร้อมจะระเบิดทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากอง

   "พี่หงส์ คือ ผมไม่..." หมอนหน้าเสีย พยายามจะอธิบาย แต่กลับร้อนรนจนนึกคำพูดไม่ออก

   "หมอน" น้ำเสียงนิ่งเรียบ ที่แม้แต่คนฟังอย่างผมยังขนลุกแทน คงจะมีก็แต่แก้วที่นั่งงงด้วยความไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

   "กลับบ้าน" เสียงเดิมกล่าวห้วนสั้น ราวกับกำลังพยายามข่มอารมณ์อย่างสุดความสามารถ

   หมอนจึงขยับตัวลุกขึ้นอย่างว่าง่าย ก่อนจะเซเล็กน้อยเพราะต้องคอยประคองขาที่เจ็บ คนสวยจึงปราดเข้าไปช่วยพยุง ไอ้แจ็คเองก็ขยับตัวเหมือนกัน แต่ก็ต้องชะงักค้างเพราะระยะห่างที่มากกว่า และเห็นอยู่ว่าอีกฝ่ายเต็มใจให้ใครช่วยมากกว่า

   "เอ่อ พี่หงส์คะ คือว่า เรายังต้องรอรับยา" แก้วทักท้วงขึ้นมาอย่างหวาดๆ พอดีกับเสียงประกาศเรียกชื่อหมอนที่ดังขึ้นราวกับระฆังสวรรค์ช่วยชีวิต แก้วจึงรีบเดินนำทางไป บรรยากาศน่าอึดอัดจะได้จบลงโดยเร็ว

   ระหว่างทางเดินดูเหมือนหมอนจะหันไปพูดอะไรบางอย่างกับคนข้างๆ ระยะห่างจากตรงนี้ทำให้ผมไม่สามารถได้ยินบทสนทนานั้น ทว่าคนที่เคยทำหน้าตาน่ากลัวราวกับอยากจะฆ่าคนกลับค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ ยกมือขึ้นขยี้หัวอีกฝ่ายด้วยแววตาอ่อนแสงลง ทำให้หมอนคลี่ยิ้มออกมาได้

   แจ็คที่ทำท่าจะเดินตามไปในตอนแรกจึงหยุดยืนอยู่กับที่ ถึงแม้จะยืนมองจนสองร่างนั้นห่างออกไปไกล แต่สุดท้ายก็กลับมาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ

   ไม่มีใครพูดอะไร ระหว่างพวกเราจึงมีแต่ความเงียบ

   ผ่านไปอีกพักใหญ่ผมก็ได้ยินเสียงประกาศเรียกชื่อของตัวเองจึงลุกเดินไปจ่ายเงินที่ช่องรับยา แขนขวายังคงปวดหนึบทุกครั้งที่ขยับ การเปิดกระเป๋าสตางค์ด้วยมือข้างเดียวจึงเป็นไปอย่างล่าช้า ต้องอาศัยการวางพักกระเป๋าบนเคาน์เตอร์

   "ต้องกินยาเลยไหม ยาก่อนหรือหลังอาหาร" แจ็คเอ่ยถามเมื่อผมเดินกลับมานั่ง แต่อาจจะขี้เกียจรอฟังคำตอบชักช้าไม่ทันใจ จึงถือวิสาสะคว้าถุงยาจากมือของผมไปเปิดอ่าน มีทั้งยาทา ยาทาน ทั้งแบบก่อนอาหารและหลังอาหาร หนึ่งในนั้นมียาแก้ปวดที่หมอบอกให้ทานได้เลยทันที

   มันจึงยื่นขวดน้ำที่เพิ่งซื้อมาให้ แต่พอมองสภาพคนรับก็ดูเหมือนจะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าแขนของผมใช้การได้เพียงข้างเดียว จึงจัดการแกะยาออกจากซอง พร้อมเปิดขวดน้ำยื่นมาให้อีกครั้ง

   "มึงหิวแล้วหรือยัง ไม่รู้ว่าครูใหญ่จะเสร็จธุระกี่โมง ถ้ายังอีกนานกูว่าเราไปหาอะไรกินกันเลยดีกว่า มึงจะได้กินยาหลังอาหารด้วย" แจ็คพูดพลางรอรับขวดน้ำกลับไปปิดฝา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผม เมื่อผมยังนั่งเงียบ ไม่ได้ให้คำตอบหรือความคิดเห็นใดๆ

   "มึงห่วงกูด้วยเหรอ"

   ปรกติแล้วผมคงไม่ใช่คนที่จะพูดอะไรทำนองนี้ แต่อาจเป็นเพราะอาการปวดที่ทำให้อารมณ์แปรปรวน หรือไม่ก็เป็นเพราะตะกอนขุ่นๆ ที่สะสมเพิ่มพูนจนเริ่มมองไม่เห็นก้นบึ้ง

   "ถามแปลก ไม่ห่วงมึงแล้วจะให้ห่วงใคร" มันเลิกคิ้วพร้อมยอกย้อนยียวนกลับมา

   'ห่วงใคร' คำถามที่ผมเห็นคำตอบอยู่คาตา แต่ไม่อยากตอกย้ำให้ต่างคนต่างต้องปวดใจ

   "ช่างเหอะ" ผมจึงตัดบทสนทนาลงแต่เพียงเท่านั้น

   ตอนนี้ผมเหนื่อยเกินกว่าจะพูดหรือหาเรื่องใส่ตัวไปมากกว่านี้ ไหนๆ หมอนก็กลับไปแล้ว อดีตคือสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ก็ควรปล่อยให้ผ่านไป ทุกอย่างควรกลับมาเป็นปรกติเหมือนเดิม ไม่มีประโยชน์ใดๆ ที่จะกวนตะกอนให้บ่อน้ำใสกลายเป็นสีขุ่นดำ

   ถึงแม้ว่าตะกอนจะยังคงตกค้างอยู่ข้างใน ไม่เคยจางหายไป

   มันทำท่าเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่แก้วก็เดินกลับมาได้จังหวะพอดี บทสนทนาจึงเปลี่ยนหัวข้อไป

   แก้วบอกว่าลองโทรไปหาครูใหญ่แล้ว ครูใหญ่บอกว่าอีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็คงจะมาถึง ให้พวกเราหาอะไรทานก่อนได้เลย เพราะกว่าจะกลับถึงโรงเรียนก็คงจะดึกมากแล้ว

   

   ยาแก้ปวดช่วยบรรเทาอาการได้บางส่วน แต่เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ความปวดก็แปรเปลี่ยนเป็นความระบม ผมรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว ไม่เฉพาะแขนข้างขวาที่ขยับไม่ไหว แต่ยังลามไปทั่วร่างกายที่มีแผลถลอกและรอยฟกช้ำ

   สภาพแบบนี้คงจะช่วยงานใครไม่ได้ แต่ผมก็ไม่อยากนั่งเฉยๆ จึงไปช่วยฝ่ายพัสดุตรวจนับของเพื่อเคลียร์สถานที่ก่อนกลับ อย่างน้อยก็เป็นงานที่ไม่ต้องใช้แรงมากนัก ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป อาการปวดก็ยิ่งลุกลามขึ้นไปถึงศีรษะ ปวดตุบๆ เหมือนหัวจะระเบิด

   "เดี้ยงแล้วยังจะดันทุรัง มึงกลับไปนอนเลยดีกว่า นั่งเกะกะคนอื่นเปล่าๆ" แจ็คที่เดินแบกกล่องผ่านมาร้องทัก เมื่อเห็นผมนั่งกุมขมับแทบจะฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะ

   ปากหมาเห่าหาเรื่องตามปรกติ ครึ่งหนึ่งแฝงความห่วงใย แต่ตอนนี้สภาพร่างกายและจิตใจของผมคงจะสัมผัสกับความห่วงใยที่อยู่ลึกเกินไปไม่ถึง ผมจึงค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นเดินโซเซกลับเข้าไปในห้อง หวังจะกินยาแก้ปวดอีกสักเม็ด แจ็คไม่ได้เดินตามเข้ามาด้วย คงเพราะยังมีงานค้างอยู่

   ตั้งแต่เมื่อคืนพวกเราไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันตามลำพังอีก แต่ก็ดีแล้ว เพราะผมยังไม่อยากจะพูดอะไรตอนนี้ ในสภาพที่ยังเอาตัวไม่รอด ไม่รู้เลยว่าจะเผลอพูดอะไรออกไปบ้าง

   แม้แต่ตอนที่นั่งรถบัสกลับกรุงเทพ ผมยังรู้สึกว่าเครื่องปรับอากาศทำงานดีเกินไป ร่างกายหนาวจัด ขณะที่ศีรษะกลับร้อนจัดราวกับไฟฟ้าลัดวงจร ไม่สามารถทำได้แม้กระทั่งจะตอบคำถามของคนข้างๆ ที่ถามว่ากินยาแล้วหรือยัง

   ผมได้แต่นั่งหลับตา หลับๆ ตื่นๆ มาตลอดทาง พอได้นอนพักบ้างก็ดูเหมือนว่าอาการจะเริ่มดีขึ้น อย่างน้อยเมื่อถึงจุดหมายปลายทางก็สามารถลุกเดินลงจากรถเองได้

   "เดี๋ยวกูไปส่งที่หอ" แจ็คพูด ขณะที่คนอื่นๆ เริ่มทยอยแยกย้ายกันกลับบ้าน เหลือเพียงบางส่วนที่ยังช่วยกันขนของกลับไปเก็บที่ชมรม

   "มึงกลับบ้านเหอะ กูกลับเองได้" ผมตอบพลางสะพายกระเป๋าของตัวเองขึ้นพาดบ่า ลำคอแห้งผากจนไม่อยากจะพูดอะไรไปมากกว่านั้น

   ทว่ามันกลับแย่งกระเป๋าไปจากมือของผม ทั้งยังออกเดินนำหน้าไป ผมจึงจำต้องเดินตามร่างนั้นไปอย่างไม่มีทางเลือก

   "มึงโกรธกูเหรอ"

   เดินเงียบไปได้ไม่ถึงห้านาที คนที่ทนความเงียบไม่ไหวก็เป็นฝ่ายพูดโพล่งขึ้นมา มันหยุดยืนอยู่กลางทาง ผมเดินตามไปช้าๆ แต่ไม่ได้หยุดฝีเท้า สักพักจึงกลายเป็นฝ่ายแซงหน้า จนกระทั่งถูกดึงแขนเอาไว้

   "มึงโกรธกูเหรอ เรื่องหมอน"

   แจ็คถามซ้ำ เมื่อผมไม่ตอบมันจึงเป็นฝ่ายพูดต่อเสียเอง

   "กูห่วงหมอน แต่ก็ไม่ได้แปลว่ากูจะไม่ห่วงมึงนี่หว่า" มันรื้อฟื้นเรื่องที่ค้างคาขึ้นมาพูดอีกครั้ง ไม่ต่างจากการกวนตะกอนใต้น้ำให้ขุ่น

   "ก็เห็นอยู่ว่าหมอนเจ็บขาเดินไม่ไหว แต่มึงยังเดินเองได้" พูดไปก็ไม่ต่างจากข้ออ้าง ตอนนี้ผมก็ยังเดินเองได้ และอยากจะเดินต่อไป ไม่อยากจะพูดหรือฟังอะไรอีก แต่มันก็ยังกระตุกรั้งแขนของผมให้หันกลับไปเผชิญหน้า

   "สมมติว่ากูกับหมอนจมน้ำพร้อมกัน มึงจะกระโดดลงไปช่วยใคร"

   สมองที่ระบบรวนสั่งการให้ผมพูดออกไปอย่างนั้น สิ่งที่ตกค้างอยู่ในใจถูกก่อกวนจนปั่นป่วน

   แค่เห็นมันเงียบ... ผมก็รู้คำตอบ

   "มึงว่ายน้ำแข็งจะตาย กูรู้ว่ามึงเอาตัวรอดได้"

   แจ็คพูดถูก คำถามของผมอาจเป็นการยกตัวอย่างที่แย่เกินไป แต่ตอนนี้ผมกลับแปลความหมายจากคำตอบของมันได้เพียงอย่างเดียว

   "ไม่ใช่หรอก เพราะมึงรักหมอน"

   ไม่ได้รักผม

   ไม่มีคำตอบหลุดออกจากปากของคนพูดมาก ไม่มีคำปฏิเสธ ไม่มีข้อโต้แย้ง มาถึงขั้นนี้แล้วผมคงไม่อาจหลอกตัวเองได้อีก

   ต่อให้พยายามแค่ไหน 'คนที่ไม่ใช่ ต่อให้ตายแล้วเกิดใหม่ก็ไม่มีทางใช่'

   "กูเข้าใจแล้ว" ผมพูดพลางดึงกระเป๋าคืนมาจากมือของแจ็ค

   "เฮ่ย มึงเข้าใจว่ายังไง เดี๋ยวดิ ไอ้ถึก! คุยกันให้รู้เรื่องก่อน"

   "มึงกลับไปเหอะ กูอยากอยู่คนเดียว" ผมหันหลังเดินต่อไปโดยไม่รอฟังคำพูดแสลงใจอีก

   "กูเอาตัวรอดได้" ประโยคสุดท้าย ผมพึมพำบอกตัวเอง

   แค่อกหัก ไม่ถึงกับตาย

   ก็แค่เจ็บเจียนตาย

   
----------

>> winndy

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นค่า ดีใจที่ชอบนะคะ ^^
มังกรไร้ขาเป็นแนวจีนโบราณเรื่องแรกของเราเลย ตอนนี้ยังค่อยๆ กระดึ๊บไปอย่างเชื่องช้า...ตามสปีดคนแต่ง ><"
ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ  :mew1:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 29-03-2018 21:12:20 โดย @moment »

ออฟไลน์ em1979

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁
«ตอบ #53 เมื่อ28-03-2018 01:03:04 »

เจ็บจริงๆ เจอแบบนี้
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 28-03-2018 01:12:30 โดย em1979 »

ออฟไลน์ @moment

  • แอทโมเม้นท์
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
    • https://www.facebook.com/at.moment.writer/
   

   ตอนที่ 22 ตบหัวแล้วลูบหลัง

   

   ว่ากันว่า 'กำลังใจ' คือสิ่งที่ทำให้ร่างกายมีแรงต่อสู้กับโรคภัย แต่เมื่อร่างกายอ่อนแอ หัวใจย่ำแย่ อาการก็ยิ่งพาลเลวร้าย สภาพของผมในตอนนี้จึงแทบไม่ต่างอะไรไปจากซากศพ แค่ลากสังขารกลับมาถึงห้องได้ก็สลบไสลไม่ได้สติ

   ไม่เหลือเรี่ยวแรงขยับเคลื่อนไหว หนาวจนจับสั่น ร้อนจนเหงื่อโซมกาย สลับกันไปมาอย่างทรมาน ภายใต้สติสัมปชัญญะที่ริบหรี่ ในความฝันอันยุ่งเหยิง ผมกลับฝันถึงใครบางคน

   คนที่เพิ่งจะออกปากไล่ แต่ใจจริงกลับอยากให้มันมาอยู่ข้างๆ

   ถึงขั้นเก็บไปฝันอะไรบ้าๆ ฝันว่าพวกเราไปนั่งกินไอศกรีมด้วยกัน ร่างตรงข้ามโน้มตัวเข้ามาใกล้จนศีรษะแทบจะชนกัน เพื่อดื่มน้ำจากหลอดที่ปักอยู่ในแก้วเดียวกัน ก่อนจะตักไอศกรีมและยื่นช้อนออกมาด้านหน้า พร้อมทำเสียง 'อ้ำาาาา'

    สวีทหวานแหววแบบที่ชีวิตจริงให้ตายก็ไม่มีทางเป็นไปได้ และผมเองก็ไม่เคยมีความคิดจะทำแบบนั้น ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ฝันหวานเลี่ยนขนาดนี้

   แต่ในเมื่อทุกอย่างเป็นแค่ความฝัน ผมจึงปล่อยให้มันเป็นไป

   อ้าปากรับไอศกรีมหวานๆ เย็นๆ รสชาติหอมกรุ่นละลายบนลิ้น และไม่ปฏิเสธเมื่ออีกฝ่ายเปลี่ยนใจป้อนคำถัดไปด้วยปาก สัมผัสอุ่นนุ่ม ชุ่มชื้น รู้สึกดีจนไม่อยากผละจาก อยากจะจูบคนตรงหน้าแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ

   แต่แล้วฝันดีก็มักจะอยู่กับเราได้ไม่นาน

   ภาพที่ผมเห็นเมื่อลืมตาขึ้นมามีเพียงความมืดสลัว ศีรษะยังคงหนักอึ้งแม้ว่าอาการปวดจะทุเลาลงมากแล้ว ร่างกายยังคงปวดเมื่อยแต่ก็พอขยับเคลื่อนไหวได้ ผมจึงเอื้อมมือออกไปควานหาโทรศัพท์เพื่อกดดูเวลาบนหน้าจอ เห็นเลขห้า... ห้าโมงเย็น? ตีห้า?

   ประตูระเบียงและหน้าต่างยังคงปิดสนิทเหมือนเดิมตั้งแต่ก่อนออกไปค่าย ทำให้มองไม่เห็นแสงจากภายนอก แต่เมื่อวานกว่าจะกลับถึงหอก็เย็นมากแล้ว แปลว่าผมหลับยาวข้ามวัน ตั้งแต่เย็นวานยันตีห้า?

   ผมพยายามยันตัวขึ้นอย่างเชื่องช้า ตั้งใจจะลุกไปเข้าห้องน้ำ ทว่าจังหวะที่ก้าวขาเหยียบลงบนพื้นกลับมีเสียงร้องลั่น

   "โอ๊ย!"

   เสียงโหยหวนอย่างกับหมาถูกเหยียบหาง ใต้ฝ่าเท้าไม่ใช่พื้นแข็งๆ แต่กลับเป็นวัตถุบางอย่าง ทำให้ผมเซถอยกลับมานั่งลงบนเตียง ยังดีที่ไม่สะดุดล้มหน้าคะมำ

   "เหี้ย! ใครเหยียบกูวะ!? อ่ะ อ้าว ไอ้ถึก ตื่นแล้วเหรอ" เสียงในความมืดสลัวทำให้ผมย่นหัวคิ้วเข้าหากัน จนกระทั่งร่างนั้นเดินไปเปิดไฟ แสงสว่างจึงปรากฏให้เห็นภาพของคนที่เคยนอนอยู่บนพื้นข้างเตียง

   ผมยังคงนั่งงงอย่างไม่แน่ใจว่าภาพตรงหน้าคือความจริงหรือความฝัน ร่างของแจ็คสวมเสื้อยืดคอย้วยกับกางเกงบอลขาสั้น ภาพด้านหลังก็เป็นห้องของผม กวาดมองไปจนสะดุดเข้ากับกะละมังใบเล็กบนโต๊ะเตี้ย มีผ้าขนหนูผืนเล็กวางพาดอยู่ข้างๆ และเมื่อก้มลงมองตัวเอง เสื้อผ้าที่ผมสวมอยู่ไม่ใช่ชุดที่ใส่กลับจากค่ายเมื่อวาน แต่เป็นเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นที่ใช้สวมนอนเป็นประจำ

   "ตัวยังรุมๆ อยู่เลย" มันนาบมือลงมาบนหน้าผากของผมพลางบ่นพึมพำ ก่อนจะพล่ามต่อ

   "กินยาลดไข้อีกรอบแล้วกัน มึงหิวไหม กูซื้อโจ๊กมาด้วย เออ แต่ป่านนี้เย็นหมดแล้วแน่เลย ซื้อมาตั้งกะเมื่อคืน" มันเดินไปหยิบขวดน้ำกลับมาพร้อมถุงยา เมื่อผมยังคงนั่งมึนไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ มันจึงแกะยาจับยัดใส่ปาก

   ก่อนที่จะถูกจับกรอกน้ำตามผมจึงยื่นมือออกไปรับแก้วน้ำมาถือ

   เมื่อน้ำในอุณหภูมิห้องไหลผ่านลำคอที่แห้งผาก ประสาทสัมผัสเหมือนจริงบอกให้ผมรับรู้ได้ว่า ภาพตรงหน้าไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นความจริง

   "โชคดีนะที่ป้าเจ้าของหอจำหน้ากูได้เลยยอมไขกุญแจเปิดประตูให้ ไม่งั้นพรุ่งนี้มีหวังมึงได้เป็นข่าวหน้าหนึ่งแน่ 'นักศึกษาตายขึ้นอืดคาหอ!' แต่ป้าแกแม่งก็เขี้ยวชะมัด มีขู่ด้วยนะว่าถ้ามานอนค้างแค่ครั้งคราวแกไม่ว่า แต่ถ้าจะมาอยู่กินทำเสียงดังแกจะขึ้นค่าเช่าห้อง"

   มันเดินไปแกะถุงโจ๊กใส่ชาม ทำไปก็บ่นไป แถมทำท่าจะนำหายนะมาให้ด้วย ถ้าเกิดป้าแกขึ้นค่าเช่าจริงๆ คนที่ซวยก็ผมทั้งนั้น

   "อ้าว แล้วนั่นมึงจะไปไหน" มันร้องถามไล่หลัง เมื่อเดินยกชามโจ๊กกลับมาแต่ผมกลับขยับลุกเดินไปอีกทาง แม้ว่าการเคลื่อนไหวจะเป็นไปอย่างเชื่องช้า จนอีกฝ่ายวางชามลงบนโต๊ะเตี้ยและเดินตามมาทัน

   "ห้องน้ำ" ผมเค้นเสียบแหบแห้งตอบคำถามสั้นๆ แต่มันก็ยังมายืนรออยู่หน้าประตู ผมไม่เหลือเรี่ยวแรงเล่นตัวจึงปล่อยให้มันช่วยพยุงสังขารกลับมานั่งลงบนเตียง จากนั้นมันจึงเลื่อนโต๊ะเตี้ยที่วางชามโจ๊กอยู่มาตั้งเบื้องหน้า

   "กินซะ จะได้กินยาหลังอาหาร" แจ็คกล่าวย้ำเมื่อผมยังคงนั่งนิ่ง

   แวบหนึ่งสมองของผมหวนนึกถึงภาพในความฝัน ภาพใครบางคนยื่นช้อนออกมาด้านหน้าพร้อมทำเสียง 'อ้ำาาาา' คิดอะไรบ้าๆ ความฝันไร้สาระที่ไม่มีทางเป็นจริง ผมแค่นยิ้มอยู่ในใจ ก่อนจะชะงักเมื่ออะไรบางอย่างเคลื่อนมาหยุดอยู่ตรงหน้า

   "อ้าปากดิ อย่าบอกนะว่าแค่แขนเดี้ยง ปากก็เดี้ยงตามไปด้วย" มันพูดพลางทำท่าจะยัดช้อนเข้ามา เหมือนหลอกด่าที่ผมไม่ยอมพูดด้วย ผมจึงจำต้องอ้าปากรับช้อนเข้าไปก่อนที่โจ๊กจะหกรดเสื้อ โชคดีที่โจ๊กเย็นหมดแล้วจึงไม่ร้อนลวกปาก ทว่ารสชาติที่เย็นชืด กลับทำให้หัวใจของผมรู้สึกอบอุ่น พร้อมๆ กับเจ็บแปลบขึ้นมาอีกครั้ง

   ก็เพราะมันเป็นคนแบบนี้ ปากหมา หน้าด้าน กวนตีน ตอแหล แถได้ไม่สิ้นสุด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีโอเอซิสซ่อนตัวอยู่กลางทะเลทราย ถ้าหากใครทนนิสัยแย่ๆ ของมันได้ สิ่งที่จะได้รับกลับมาก็คือความจริงใจ

   นึกถึงตอนที่ผมถูกแฟนเก่าทิ้ง ตอนนั้นผมเสียศูนย์ไปพักใหญ่ มองจากภายนอกอาจดูเหมือนไม่รู้สึกอะไร ด้วยความที่เป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยระบายความในใจ ก็มีแต่ไอ้แจ็คที่คอยมาวุ่นวาย กวนตีน กวนใจ อกหักก็หอบเหล้ามาร้องห่มร้องไห้ จนไม่รู้ว่าใครเป็นฝ่ายปลอบใครกันแน่ แต่ก็ทำให้ผมลืมเรื่องเศร้าไปได้

   เพราะมันเป็นคนแบบนี้ ต่อให้บางครั้งจะปากเสียจนน่าเลาะฟันทิ้ง แต่ผมก็ไม่เคยโกรธมันจริงจังได้เลยสักครั้ง

   แม้แต่ตอนนี้ผมก็ไม่ได้โกรธ

   แค่เหนื่อยกับการคาดหวัง เหนื่อยกับความผิดหวัง

   ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ความผิดของแจ็คเลยสักนิด มันมีสิทธิ์จะรักหรือไม่รักใครก็ได้ ผมคงผิดเองที่เกิดมารูปร่างหน้าตาหรือแม้แต่นิสัยก็ตรงข้ามกับสเปคของมันทุกอย่าง กระทั่งตัวแทนก็ยังเป็นไม่ได้ บางทีถ้าผมเป็นโซระ หรือมีส่วนคล้ายกับหมอนสักนิด มันอาจจะรักผมบ้างก็ได้

   "พวกเรา... กลับมาเป็นเพื่อนกันไหม"

   ความคิดวูบหนึ่งสั่งให้ผมพูดออกไปอย่างนั้น

   ถึงแม้คำว่า 'เพื่อน' จะไม่ได้ต่อท้ายด้วยคำว่า 'เหมือนเดิม' เพราะผมรู้ดีอยู่แก่ใจว่าไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ อาจจะกลับไปเป็นเพื่อนที่พูดคุยกันตามปรกติ เวลาเจอหน้ากันก็ทักทาย พอเรียนจบก็แยกย้ายกันไป...

   'ทำไมมึงต้องชอบกูด้วยวะ! เป็นเพื่อนกันมันไม่ดีตรงไหน'

   ผมคิดว่าแจ็คคงจะตอบตกลงด้วยความดีใจ เพราะมันเคยพูดอย่างนั้น มันเป็นฝ่ายที่ต้องการแบบนั้นมาตลอด ทว่ามือที่จับช้อนโจ๊กกลับนิ่งค้าง สายตาแปลความหมายไม่ออกจ้องมองกลับมา

   "ได้... จริงดิ?"

   แทนที่จะตอบรับหรือปฏิเสธ เสียงพึมพำกลับย้อนถาม

   แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไร คนที่เงียบไปชั่วอึดใจก็กลับทิ้งช้อนในมือกลับลงไปในชาม เม้มปากแน่น ก่อนจะพรวดพราดลุกขึ้นยืน ทำให้ผมกลายเป็นฝ่ายต้องเงยหน้าขึ้นมอง

   "มึงอย่ามาตอแหลให้ยาก! คิดว่ากูจะเชื่องั้นเหรอ ไอ้เรื่องตอแหลมึงยังห่างกูอยู่หลายขุม กะจะหลอกกูให้ตายใจแล้วค่อยหายหน้าไปเงียบๆ ใจจริงตั้งใจจะทิ้งกูใช่ไหม!? กูรู้หรอก ปากบอกว่า 'กลับไปเป็นเพื่อน' แต่อย่างมึงให้ตายก็ไม่มีทาง 'กลับไปเป็นเหมือนเดิม'"

   ด้วยความที่คบกันจนรู้สันดาน แค่อ้าปากก็เห็นไปถึงไส้ติ่ง ผมจึงไม่มีอะไรจะโต้เถียง ความเงียบกลายเป็นคำตอบ ทำให้สีหน้าของคนที่ยืนอยู่ยิ่งทวีความเกรี้ยวกราด

   "กูเคยบอกแล้วไง! ถ้ามึงได้แล้วกล้าทิ้ง กูจะด่าให้เสียหมา ด่าหูดับตับไหม้ ด่ายันลูกบวช ด่าให้ไม่ต้องได้ผุดได้เกิดเลย!"

   "แล้วมึงจะเอายังไง" ผมย้อนถามกลับไปด้วยความไม่เข้าใจ ผมต่างหากที่เป็นฝ่ายเสียใจ แต่ไหงถึงกลายเป็นฝ่ายถูกด่าซะได้

   "ไม่รู้ล่ะ! ยังไงกูก็ไม่ยอมให้มึงทิ้งกูง่ายๆ แน่" มันตะเบ็งเสียงอย่างเอาแต่ใจ ปิดท้ายด้วยการกัดฟันกรอด กำหมัดแน่น แวบหนึ่งทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แต่ก็เพียงแค่แวบเดียวจนผมคิดว่าตัวเองอาจจะตาฝาด

   เพราะถึงแม้จะเคยเห็นมันร้องไห้อยู่หลายครั้ง แต่ส่วนใหญ่น้ำตามักจะมาพร้อมกับขวดเหล้า เมาเหมือนหมา ร้องไห้คร่ำครวญจะเป็นจะตาย แต่แล้วไม่นานก็ฟื้นคืนชีพออกไปลั้ลลาได้อีกครั้ง

   วัฏจักรเดิมๆ

   ผมก็เป็นได้แค่ที่ซับน้ำตา

   มันอาจจะไม่อยากสูญเสียผ้าขี้ริ้วส่วนตัว แต่ผมอาจจะเห็นแก่ตัว เพราะไม่อยากเป็นผ้าเน่าๆ ที่เป็นได้แค่ 'ของตาย' เหมือนที่ผ่านมา

   "มึงยังโกรธเรื่องเมื่อวานอยู่อีกเหรอไง นี่กูก็อุตส่าห์มาง้อแล้วนะ จะเอายังไงอีก ตัวใหญ่ซะเปล่าทำเป็นขี้ใจน้อยไปได้ จะงอนไปถึงไหนวะ!?" ปลายเสียงตวัดอย่างไม่พอใจพอๆ กับสีหน้า

   แน่ใจนะว่านี่คือการง้อ

   "ถ้ามึงคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ไม่จำเป็นต้องง้อ" ไม่บ่อยนักที่ผมจะเถียงกลับไป ส่วนใหญ่มักจะเป็นการพูดเพื่อตัดรำคาญ ครั้งนี้ก็ไม่ต่างกันมากนัก เพิ่มความเหนื่อยทั้งร่างกายและจิตใจ ทั้งๆ ที่ไม่อยากคาดหวัง แต่ในใจลึกๆ กลับยังแอบคาดหวัง

   "เออ! งอนได้งอนไป กูไม่ง้อแล้ว! ถ้าหิวก็ตักกินเองละกัน จะกินยาหรือไม่กินก็ตามใจมึง กูกลับบ้านแล้ว! แม่ง" มันสบถทิ้งท้าย เดินกระฟัดกระเฟียดไปหยิบกระเป๋าเป้ของตัวเองขึ้นพาดบ่า ระหว่างมุ่งหน้าไปทางประตูก็ยังสบถด่าอีกหลายคำอย่างหัวเสีย

    ปัง! เมื่อประตูถูกปิดลงด้วยการกระแทกอย่างแรง ผมจึงทิ้งแผ่นหลังลงบนเตียง ถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยล้า พาลปวดหัวตุบๆ เหมือนไข้จะตีกลับ

   ทว่าเสี้ยวนาทีถัดมาประตูกลับถูกเปิดกว้างอีกครั้ง ผมจึงเบนหน้ากลับไปมอง นึกว่าอีกฝ่ายลืมอะไร

   "อย่าคิดว่าแค่นี้ก็จะทิ้งกูสำเร็จนะ! งอนได้งอนไป แต่กูไม่ยอมให้เลิกง่ายๆ หรอกเว่ย!"

   ปัง! เสียงประตูปิดดังลั่นรอบที่สอง

   ผมได้แต่ยกมือขึ้นมากุมขมับด้วยความปวดหัว ตามอารมณ์ไม่ทัน มันจะเอายังไงของมันกันแน่วะ

   ชามโจ๊กที่พร่องลงไปไม่กี่คำยังวางนิ่งอยู่บนโต๊ะ ข้างกันมีซองยากับแก้วน้ำวางระเกะระกะ ใต้โต๊ะก็ยังมีกะละมังใบเล็กกับผ้าขนหนูพาดอยู่เหมือนเดิม ทิ้งซากเอาไว้ให้ดูต่างหน้า

   สภาพครึ่งๆ กลางๆ ค้างๆ คาๆ

   เหมือนความรู้สึกของแจ็คที่ผมไม่เคยแน่ใจเลยสักครั้ง รู้ว่ามันเป็นห่วง ไม่ใช่ไม่ห่วง แต่ 'รัก'...? ยังไม่เคยได้ยินเลยแม้แต่ครั้งเดียว พอผมอยากจะเลิกหวัง มันก็กลับมาให้ความหวัง พออยากจะปล่อย มันก็กลับไม่ยอมให้ปล่อย

   ผมชักรู้ซึ้งถึงคำว่า ฝ่ายหลงรักมักพ่ายแพ้

   หัวใจไม่รักดีชอบยอมอ่อนลงให้มันทุกที...

   อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าคราวนี้ผมแกล้งทำเป็นใจแข็ง มันจะทำยังไงต่อไป

   
----------

>> em1979 : เจ็บจริงๆ เจอแบบนี้

พี่ต้นถึกและทนมาก... ถ้าเป็นคนอื่นแจ็คคงโดนเทไปหลายรอบแล้ว  :laugh:


ออฟไลน์ @moment

  • แอทโมเม้นท์
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
    • https://www.facebook.com/at.moment.writer/

   

   ตอนที่ 23 กลสงคราม

   

   สงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร

   สถานการณ์ระหว่างผมกับแจ็คกลายเป็นสงครามเย็นขนาดย่อมๆ เมื่อผมไม่ยอมพูดด้วย มันก็เลยทำหยิ่งไม่ยอมพูดก่อนเหมือนกัน ทุกครั้งที่เจอหน้ากันจึงมีเพียงสายตาหงุดหงิดจ้องมองกลับมา แต่คิดเหรอว่าเล่นมุกนี้แล้วจะชนะ ความเงียบกับผมเป็นของคู่กันอยู่แล้ว ยกนี้ผมได้เปรียบกว่าเห็นๆ

   และแล้วก็เป็นอย่างที่คิด คนปากมากทนน้ำลายบูดอยู่ได้ไม่กี่วันก็เริ่มเปลี่ยนกลยุทธ์มาเป็นการพาดพิงผ่านบุคคลที่สาม

   "เจ๊เคยเจอแฟนงอนงี่เง่าไร้สาระไหม แบบง้อแล้วก็ยังไม่ยอมหายโกรธ โคตรน่าเบื่อเป็นบ้า" มันหลอกด่าเสียงดังฟังชัด พูดกับพี่มินนี่ แต่ปรายตามองมาทางผม

   "ยังมีใครงี่เง่าไร้สาระมากกว่าแกอีกเหรอ" แต่ดูเหมือนจะเลือกตัวกลางผิดคน

   "โหยเจ๊ จิกกัดน้องตลอดเลยอ่ะ" มันจึงทำท่าโอดครวญ

   "ว่าแต่แกไปได้แฟนใหม่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นเอารูปมาอวดเหมือนทุกที อ่ะ แต่คงไม่ต้องแล้วมั้ง มาอีหรอบนี้เห็นแววถูกทิ้งอยู่รำไร" เจ๊จัดไปอีกหนึ่งดอก

   "เจ๊~!" คนโดนตอกกลับจึงร้องเสียงหลงอย่างกับหมาโดนเหยียบหาง เจอคำว่า 'ถูกทิ้ง' ยิ่งกว่าโดนทิงเจอร์ราดลงบนแผลสด ถึงขั้นเถียงต่อไม่ออก แวบหนึ่งสายตาของแจ็คตวัดมามองผมอย่างตัดพ้อ ผมจึงแกล้งมองเมินไปอีกทาง

   "ถ้าไม่อยากถูกทิ้ง ก็มีทางเลือกอยู่สองทาง" พี่มินนี่ยกยิ้มอย่างเป็นต่อ

   "อะไรเหรอครับ" แจ็คหันกลับไปถามอย่างกระตือรือร้น

   "หนึ่ง... ง้อ" คนสวยกล่าวพลางชูนิ้วชี้ขึ้นมาด้านหน้า

   ก่อนจะค่อยๆ ยกอีกนิ้วขึ้นตามพร้อมคลี่ยิ้มหวาน

   "สอง... ง้อต่อไป" ชูสองนิ้วข้างแก้ม แทนสัญลักษณ์ 'สู้ๆ'

   "โหย เจ๊!? ช่วยได้มากเลยเหอะ!" คนที่อุตส่าห์นั่งลุ้นอยู่นานจึงกระแทกแผ่นหลังลงบนพนักพิงด้วยความเซ็งจัด ผมเกือบจะหลุดขำ แต่ก็ต้องรีบปั้นหน้านิ่ง ก้มอ่านหนังสือต่อด้วยท่าทางไม่รู้ไม่ชี้

   "เอ้า! ถ้าไม่งั้นก็ หนึ่ง 'ง้อ' สอง 'เลิก' จะเอาอย่างนั้นไหมล่ะ"

   ไม่เสียแรงที่ผมนับถือพี่มินนี่มานาน พูดทุกอย่างได้ตรงเผงถูกใจ ทำเอาคนฟังหน้าหงิกแล้วหงิกอีก

   "ก็ไม่รู้จะง้อยังไงแล้ว" แจ็คบ่นอุบอิบ ก่อนจะถามต่อเสียงอ่อย "แล้วปรกติเวลาง้อแฟน เจ๊ง้อยังไงอ่ะ"

   "มันก็มีหลายเลเวล ถ้าเอาแบบเบสิกสุดๆ ก็พูดออกไปตรงๆ เลยว่า 'ขอโทษ' แต่ที่สำคัญคือต้องพูดอย่างจริงใจด้วยนะ ห้ามตอแหล" แค่ขั้นเบสิกก็ยากสำหรับไอ้แจ็คแล้ว

   "แล้วถ้าเลเวลสูงสุดล่ะ" มันถามข้ามขั้น

   "ถึงบอกไปแกก็คงไม่ได้ใช้หรอกมั้ง~ อันนี้ท่าไม้ตาย เอาไว้ 'ง้อผัว' โดยเฉพาะ" พี่มินนี่อมยิ้ม จีบปากจีบคออย่างมีเลศนัย คนฟังชะงักไปชั่วครู่ แต่ก็ยังถามต่อตามประสาคนหน้าด้าน

   "ว่ามาเหอะเจ๊ อย่าลีลา" มันเร่งขอคำตอบ

   "แกถามเองนะ" พี่มินนี่ยังคงยึกยัก

   แจ็คเลยพยักหน้าส่งๆ ทำนองว่าพูดมาเหอะ เร็วๆ

   "ไม่ยากหรอก ก็แค่อ่อยหนักๆ ยั่วให้ผัวจัดหนักจัดเต็มสักสองสามยก แค่นี้เดี๋ยวก็หายงอนแล้ว" คนสวยคลี่ยิ้มหวาน

   สีหน้าปั้นยากของแจ็คทำให้ผมเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา ก่อนจะตกเป็นฝ่ายเสียท่าผมจึงรีบกล่าวตัดบท

   "ผมไปห้องสมุดก่อนนะครับ" ผมกล่าวลาสั้นๆ ก่อนจะลุกเดินออกมาจากบริเวณนั้น

   คราวนี้แจ็คไม่ได้เงยหน้ามองตามมา ผมเหลือบเห็นมันกัดฟันกรอดๆ บ่นอะไรงุบงิบพึมพำอยู่คนเดียว เดาว่าถ้าไม่ใช่การสาปแช่งพี่รหัสของตัวเองอยู่ในใจ ก็คงจะไม่พ้นการสบถด่าผมอยู่เป็นแน่

   ฮัดเช่ย! พูดยังไม่ทันขาดคำ แรงอาฆาตก็ออกฤทธิ์ทันที

   แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ถ้าเกิดมันบ้ายุใช้ท่าไม้ตายของพี่มินนี่ขึ้นมาจริงๆ ผมอาจจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำให้กับสงครามครั้งนี้ก็ได้

   

   ความจริงผมก็ไม่ได้อยากแกล้งงอนให้มันต้องมาตามง้อ เพราะใจจริงผมก็ไม่ได้โกรธอะไรมากมายแล้ว ก็แค่ยังน้อยใจ

   ดูมันพูดคำว่า 'แฟน' ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ แต่การกระทำกลับไม่มีอะไรใกล้เคียงกับคำๆ นั้นเลยสักนิด ชวนไปกินข้าวมันก็แรดไปอ่อยเด็ก ชวนไปเดทก็บอกว่าติดธุระ พอชวนไปค่ายด้วยกัน ก็กลับกลายเป็นอย่างนี้อีก

   ไปๆ มาๆ ความสัมพันธ์ของพวกเราแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากคำว่า 'เพื่อน' คงจะมีเพียงอย่างเดียวที่เพื่อนธรรมดาเขาไม่ทำกัน ก็คือ 'เรื่องบนเตียง'

   ซึ่งทุกครั้งก็มีแต่ผมที่เป็นฝ่ายเริ่ม

   ผมไม่ได้หวังจะให้มันทำอะไรอย่างที่พี่มินนี่แนะนำหรอก เพราะความจริงสิ่งที่ผมต้องการก็ไม่ใช่แค่ร่างกาย แต่เป็นคำพูดสั้นๆ หรืออะไรก็ได้ ที่บ่งบอกว่ามันมีใจให้ผมบ้าง

   แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าจะไม่เคยเข้าใจอะไรเลยสักนิด

   "มึงจะโกรธไปถึงไหนวะ" ในที่สุดมันก็เป็นฝ่ายยอมเปิดปากพูดกับผมก่อน หลังจากอุตส่าห์เดินตามมาถึงห้องสมุด นั่งหน้าหงิก น้ำลายบูดอยู่หลายชั่วโมง สุดท้ายก็คงทนแรงกดดันจากบรรยากาศรอบตัวที่เงียบสงัดไม่ไหว

   แต่มันอาจจะลืมไปแล้วว่าห้องสมุดมีกฎห้ามใช้เสียงดัง สายตาจากโต๊ะข้างๆ จึงเหล่มองมาอย่างตำหนิ ผมจึงถอนหายใจเล็กน้อยแทนการตอบคำถาม

   "แปลว่าอะไร? ไม่พอใจอะไรมึงก็พูดออกมาดิวะ!" แต่มันกลับไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่ผมต้องการสื่อ แถมยังทำตรงกันข้าม ตะเบ็งเสียงดังขึ้นตามระดับอารมณ์ ทำให้คนข้างๆ มองมาอีกครั้งด้วยสายตาไม่พอใจ ผมจึงตัดสินใจรวบหนังสือบนโต๊ะ ลุกขึ้นเดินออกจากห้องสมุด

   "มึงอย่าเดินหนีกูแบบนี้ดิวะ! คุยกันให้รู้เรื่องก่อน!" ร่างสูงโปร่งลุกเดินกึ่งวิ่งตามออกมา ขณะที่ผมเดินด้วยความเร็วตามปรกติ อีกฝ่ายจึงรีบรุดอ้อมขึ้นมายืนขวางหน้า

   ผมจึงเบี่ยงตัวไปอีกทางโดยไม่มองตอบ ก่อนจะรู้สึกถึงแรงฉุดรั้งที่ต้นแขนดึงให้หันกลับไปเผชิญหน้า ถึงแม้จะไม่รุนแรงถึงขั้นกระชาก แต่การกดน้ำหนักบนรอยช้ำที่ยังไม่หายสนิทก็ทำให้ผมเผลอนิ่วหน้า มันคงเพิ่งจะนึกขึ้นได้จึงรีบคลายมือออก

   "ขอโทษ" เสียงพึมพำสั้นๆ ก่อนกัดปากล่างของตัวเองอย่างชั่งใจ

   "กูขอโทษ! มึงอยากจะให้กูทำอะไร ต้องทำยังไงมึงถึงจะหายโกรธ มึงบอกกูมาเลยดีกว่า! เล่นเงียบแบบนี้ กูอ่านใจมึงไม่ออกหรอกนะ!" มันพูดออกมาอย่างหมดท่า ถึงแม้น้ำเสียงจะยังคงแข็งกระด้างเหมือนไม่อยากยอมแพ้ แต่สายตาอย่างกับลูกหมากลัวถูกทิ้งที่มองมาก็ทำให้ผมใจอ่อนยวบ

   สีหน้าเศร้าสร้อยของคนตรงหน้าทำให้ผมเผลอเอื้อมมือออกไป วางปลายนิ้วลงบนข้างแก้ม เกือบลืมไปเลยด้วยซ้ำว่าตอนนี้พวกเรายืนอยู่ที่ไหน เพิ่งจะก้าวพ้นประตูห้องสมุดของคณะออกมาแค่ไม่กี่ก้าว ยังมีคนเดินผ่านไปมาเป็นระยะ หนึ่งในนั้นอาจจะมีเพื่อนหรือคนรู้จักรวมอยู่ด้วยก็ได้

   เมื่อฉุกนึกถึงเวลาและสถานที่ ผมจึงหยุดชะงักและตั้งใจจะดึงมือของตัวเองกลับมา แต่จังหวะนั้นมันกลับรีบคว้ามือของผมเอาไว้ ราวกับจะไม่ยอมปล่อยให้โอกาสตรงหน้าหลุดลอยไป

   โอกาสที่จะพลิกกลับมาเป็นฝ่ายชนะ

   ก่อนที่ผมจะทันตั้งตัว สัมผัสนุ่มชื้นก็แนบลงมากลางฝ่ามือ

   ผมได้แต่นิ่งงันกับภาพตรงหน้า มองตามริมฝีปากที่ค่อยๆ ผละจากฝ่ามือของผม มองตามใบหน้าและสายตาของแจ็คที่จับจ้องมาโดยยังมีมือของผมแนบค้างอยู่ข้างแก้ม

   ตอนนั้นเองที่ผมเริ่มเฉลียวใจ...ว่ามันกำลังจะบ้าระห่ำทำตามคำแนะนำของพี่รหัส

   ผมลืมไปได้ยังไงว่าข้อดี(?)ของแจ็คคือ 'หน้าด้าน'!

   แต่กว่าจะคิดได้ก็สายเกินไป สายตาที่จ้องมองมาราวกับมีแรงดึงดูดให้ไม่อาจถอยหนี ยิ่งร่างด้านหน้าขยับเข้ามาใกล้ ขนตายาวเป็นแพค่อยๆ ปรับระดับต่ำลงมา คล้ายมองเป้าหมายใหม่ที่อยู่ใกล้แค่ใต้จมูก ผมได้แต่นิ่งมองภาพระยะประชิดอย่างไม่อาจถอนสายตา

   'หยุด หรือว่าจะเดินต่อไป หยุด ไม่รู้จะเอายังไง ใจมัน...'

   เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์กลายเป็นระฆังเรียกสติ ผมสะดุ้งถอยหลังออกมากดรับสาย โดยไม่ทันได้มองด้วยซ้ำว่าใครโทรมา

   "อ้อ เอิร์ธเหรอ" ผมพึมพำชื่อของอีกฝ่าย สายตาพลันเหลือบไปเห็นแจ็คจิ๊ปากอย่างขัดใจ อาจจะหงุดหงิดที่ถูกขัดจังหวะ หรือ...ถ้ามีความหึงหวงปนอยู่บ้างก็คงจะดี

   "หืม เย็นนี้? ได้สิ พี่ว่าง อืม โอเค งั้นไว้เจอกัน" ผมตอบสั้นๆ ตอบตกลงสัญญาที่เคยติดค้างกันอยู่เรื่องนัดกินข้าว

   ประจวบจังหวะพอเหมาะพอดี ตอนนี้ผมกำลังต้องการกำลังเสริมอย่างเร่งด่วน ขืนปล่อยให้มันใช้ท่าไม้ตายขึ้นมาจริงๆ มีหวังผมได้ใจง่าย พ่ายแพ้อย่างหมดทางสู้แน่ๆ

   

   ผมรีบคว้าตัวช่วยเอาไว้อย่างไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง ไม่คิดเลยว่าการกระทำนั้นจะไม่ต่างอะไรไปจากการหลับหูหลับตาวางหมากสีดำตัวหนึ่งลงบนกระดาน แต่เมื่อลืมตาขึ้นกลับได้เห็นหมากสีขาวอีกตัวปรากฏบนตำแหน่งรุกฆาตอย่างไม่คาดฝัน จากที่กลัวพ่ายแพ้ก็กลับยิ่งเพลี่ยงพล้ำ หมากเกมนี้ยิ่งยุ่งเหยิง มองไม่เห็นหนทางที่จะพลิกกลับมาเป็นฝ่ายชนะ แทบไม่ต่างอะไรไปจากการขุดหลุมฝังตัวเอง

   แจ็คดึงดันจะตามไปที่ร้านอาหารด้วย ซึ่งนั่นก็ถือว่าเข้าแผนของผมพอดี ตอนแรกผมยังแอบดีใจด้วยซ้ำว่ามันทำแบบนั้นเพราะความหึง ทว่าสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของผมก็คือ ก่อนจะถึงร้านอาหารไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเอิร์ธกลับส่งข้อความมา

   'ขอโทษจริงๆ ครับพี่ต้น'

   ประโยคเกริ่นส่อเค้าลางร้าย ตอนแรกผมยังนึกว่าเอิร์ธอาจจำเป็นต้องเลื่อนนัดเพราะติดธุระกะทันหัน ทว่าข้อความถัดมากลับเป็นอะไรที่ควรเรียกว่า 'หายนะ'

   'โซระขอตามไปด้วย... ผมปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ขอโทษนะครับ'

   


ออฟไลน์ @moment

  • แอทโมเม้นท์
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
    • https://www.facebook.com/at.moment.writer/

   

   ตอนที่ 24 ล้มกระดาน

   

   นับตั้งแต่วันที่ถูกหักอก นี่คงถือเป็นครั้งแรกที่แจ็คได้เผชิญหน้ากับโซระ ความหวาดหวั่นทำให้ผมนึกอยากยกเลิกนัดกลางครัน แต่อีกใจก็อยากรู้ว่ามันจะมีปฏิกิริยายังไง จะหึงผมกับเอิร์ธบ้างไหม หรือจะยังคงสนใจโซระอยู่... ยิ่งคิดผมก็ยิ่งไม่มั่นใจกับการเดิมพันครั้งนี้เลย

   แวบแรกที่ได้เห็นอดีตเป้าหมาย สีหน้าของแจ็คชะงักไปด้วยความตกใจอย่างเห็นได้ชัด ทว่าอีกไม่กี่นาทีถัดมาก็สามารถปั้นยิ้มทักทายได้อย่างลื่นไหล ราวกับไม่เคยถูกคนตรงหน้าปฏิเสธรักมาก่อน

   "ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน น้องโซระสบายดีไหมครับ" ถ้อยคำไพเราะเสนาะหู จอมปลอมพอๆ กับรอยยิ้มสุภาพบุรุษบนหน้ามันนั่นแหละ

   ผมปรายตามองคนด้านข้าง เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วไอ้หมาตัวไหนมันยังพยายามตามง้อผมอยู่วะ!? แล้วดูตอนนี้ดันกลายพันธุ์ เปลี่ยนสีไวยิ่งกว่าตุ๊กแก เป็นเพราะความตอแหลในสันดาน หรือเป็นเพราะมันยังไม่ยอมตัดใจกันแน่! แม้แต่เอิร์ธก็ยังแอบเบ้ปาก ก่อนจะก้าวขึ้นมาแทรกขวางด้านหน้า

    "ผมชักจะหิวแล้ว พวกเรารีบเข้าร้านกันเถอะนะครับ" เอิร์ธวางมือลงบนแขนของผมอย่างสนิทสนม ออกแรงดึงเบาๆ เป็นสัญญาณให้ออกเดิน โดยมืออีกข้างก็ไม่ลืมที่จะดึงมือเพื่อนของตนให้เดินตามเข้าไปด้วย

   ผมมองไม่เห็นปฏิกิริยาของแจ็คหลังจากนั้นเพราะถูกรุนหลังให้เดินอยู่ด้านหน้าสุด แต่จากประสบการณ์ก็พอทำให้เดาได้ว่า มันคงจะหน้าหงิกงอเป็นตูดหมา เพราะโดน 'ก้างเจ้าเก่าขวางคอ' เมื่อลองเอี้ยวตัวกลับไปก็ได้เห็นมันมองตามมาด้วยสีหน้าบึ้งตึงจริงๆ

   เมื่อเดินเข้าไปถึงโต๊ะเอิร์ธก็ชิงเลือกเก้าอี้ให้โซระกับตัวเองก่อน กันไว้ดีกว่าแก้ ต่อให้หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่มีทางยอมให้ 'เพื่อนรัก' นั่งข้างบุคคลอันตรายอย่างแน่นอน สุดท้ายตำแหน่งที่นั่งของพวกเราจึงไม่ต่างจากทุกครั้งที่ผ่านมา เอิร์ธนั่งลงด้านข้างโซระ ฝั่งตรงข้ามเป็นผมนั่งอยู่ข้างแจ็ค

   มื้อนี้พวกเราเลือกร้านเนื้อย่างยากินิคุ หลังจากสั่งอาหารไม่นาน เนื้อสไลด์แผ่นบางหลายจานก็ทยอยวางลงมาบนโต๊ะ เมื่อเนื้อนุ่มๆ ถูกวางลงบนตะแกรงร้อนๆ หยดน้ำมันก็กลั่นตัวกระทบเปลวไฟ ก่อเสียงยั่วเย้า ส่งกลิ่นหอมหวนลอยมาแตะจมูก กระตุ้นความอยากอาหารได้เป็นอย่างดี

   ผมเริ่มลงมือดำเนินตามแผน โดยคีบเนื้อชิ้นหนึ่งไปวางลงบนจานของเอิร์ธพร้อมคลี่ยิ้มให้ เอิร์ธก็รับมุกด้วยการตั้งใจทำแบบเดียวกันตอบ

   ทว่าจังหวะที่ตะเกียบในมือของเอิร์ธกำลังจะแตะเนื้อบนเตา กลับมีตะเกียบอีกคู่หนึ่งชิงตัดหน้า

   "น้องโซระทานเยอะๆ นะครับ เนื้อร้านนี้อร่อยมาก" เนื้อที่กำลังสุกได้ที่ลอยผ่านหน้าของผมไปทอดตัวลงบนจานของโซระ ขณะที่คนคีบก็ส่งยิ้มหวานหยดให้อย่างไม่เกรงใจใคร ทำเอาผมฉุนกึกจนเกือบจะเผลอหักตะเกียบในมือทิ้ง

   "เอาชิ้นนี้ดีกว่านะโซระ ติดมันน้อยกว่า กินแล้วจะได้ไม่ 'เลี่ยน'" เอิร์ธยังคงหัวไวด้วยการชิงคีบเนื้ออีกชิ้นให้เพื่อน แลกกันกับเนื้อเจ้าปัญหา แอบเน้นเสียงย้ำคำสุดท้าย กระทบคนที่ปากยังคงฉีกยิ้มแต่ฟันเริ่มกัดกันกรอดๆ แต่มีหรือผู้ได้เปรียบจะใส่ใจ เอิร์ธยิ่งโหมไฟด้วยการคีบเนื้ออีกชิ้นส่งให้ผมตามความตั้งใจเดิม

   "เอิร์ธก็กินบ้างสิ เอาแต่คีบให้คนโน้นคนนี้ ตัวเองยังไม่เห็นกินเลย" คราวนี้โซระเป็นฝ่ายคีบส่งให้เอิร์ธบ้าง และด้วยความที่เป็นเด็กดี หรือด้วยธรรมเนียมรุ่นน้องบริการรุ่นพี่ หรือด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่ โซระยังเผื่อแผ่คีบเนื้อมาให้ผมกับแจ็คด้วยคนละชิ้น

   มองจากภายนอกคงดูเหมือนพวกเรารักใคร่กลมเกลียวกันดี เดี๋ยวผมคีบให้เอิร์ธ เอิร์ธคีบให้ผมและโซระ โซระคีบให้ทุกคน แม้แต่แจ็คก็ยังปั้นหน้ากากคนดี คีบให้โซระและเอิร์ธ ก่อนจะหย่อนเนื้อที่เกือบไหม้ลงมาในจานของผมด้วย

   ขอถามอีกที หลายวันมานี้ไอ้หมาตัวไหนมันเคยพยายามง้อผมวะ!?

   พอ! พอกันที! เนื้อย่างลอยวนไปมายิ่งกว่าซูชิสายพาน โต๊ะจีนจานหมุน ทำเอาผมเวียนหัวจนหมดอารมณ์จะเล่นละครอีก สุดท้ายผมจึงก้มหน้าก้มตากินเนื้อที่พูนอยู่ในจาน เพราะมัวแต่คีบส่งไปมาจนแทบจะไม่ได้กิน

   สงครามกลางโต๊ะจึงเข้าสู่ช่วงพักรบ เมื่อแต่ละคนเริ่มลงมือจัดการกับเนื้อในจานของตนเองบ้าง

   ผมนั่งกินเงียบๆ จนกระทั่งรู้สึกถึงสายตาของใครบางคนที่จ้องมองมา พอมองกลับไปก็ต้องเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เพราะเจ้าของสายตาคู่นั้นไม่ใช่ทั้งคู่กรณีหรือผู้สมรู้ร่วมคิด แต่กลับกลายเป็นคนที่อยู่เหนือความคาดหมายอย่างโซระ

   ดวงตากลมโตหลุบลงต่ำทันทีที่สบตากันเข้า แต่ครั้นผมก้มหน้ากินข้าวก็กลับรู้สึกได้ว่ามีคนมองมาอีกครั้ง มองๆ หลบๆ ราวกับเล่นซ่อนแอบกันอยู่นาน ผมจึงเลิกคิ้วอย่างสงสัย ก่อนจะยิ่งรู้สึกแปลกประหลาดใจมากขึ้น เมื่อสังเกตเห็นว่าพอผมกินข้าวคำนึง โซระก็จะก้มหน้ากินข้าวคำนึง พอผมคีบเนื้อเข้าปากหลายชิ้น ร่างเล็กก็จะก้มหน้าก้มตากินให้ได้ปริมาณเท่ากันหรือมากกว่า ผมได้แต่ลอบมองท่าทางเหล่านั้นอย่างไม่เข้าใจ

   ดูเหมือนว่าท่าทางประหลาดนี้ก็จะมีใครอีกคนสังเกตเห็นเหมือนกัน

   แจ็คขมวดคิ้วมองโซระ ก่อนจะขมวดคิ้วยุ่งกว่าเดิมเมื่อหันมาทางผม แต่พอสบตากันเข้า มันกลับทิ้งสายตาขุ่นไว้ก่อนจะเบนหน้าหนีไปมองทางอื่น

   บรรยากาศบนโต๊ะอาหารยังคงดำเนินไปอย่างลุ่มๆ ดอนๆ เหมือนเรือลำน้อยที่ลอยคว้างอยู่กลางแม่น้ำ ถูกคลื่นโหมซัดจนเกือบพลิกคว่ำหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ลอยมาเกยตื้นริมฝั่ง เตากลางโต๊ะเหลือเพียงควันจางๆ จานว่างเปล่าหลายใบวางซ้อนกันอยู่ เมื่อไม่มีใครคิดจะสั่งอะไรเพิ่ม ผมจึงกวักมือเรียกพนักงานมาคิดเงิน

   "ไม่เป็นไร มื้อนี้พี่เลี้ยงเอง" ผมรีบพูดดักคอเมื่อเห็นเอิร์ธตั้งท่าจะหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมา

   "ได้ยังไงกันครับ ผมเป็นคนชวนพี่ต้นเพราะอยากขอบคุณเรื่องหนังสือแถมพี่ยังช่วยติวให้ผมอีก" เอิร์ธยืนยันตามความตั้งใจเดิม

   "เอาไว้คราวหน้าก็แล้วกัน" ผมบอกผลัดออกไป เหตุผลหนึ่งเพราะวันนี้มีตัวแถมอย่างแจ็คมาด้วย จะปล่อยให้เอิร์ธคนเดียวเลี้ยงทั้งโต๊ะก็กะไรอยู่ และที่สำคัญผมก็ไม่เคยคิดจะให้รุ่นน้องต้องเลี้ยงรุ่นพี่อยู่แล้ว

   เอิร์ธทำท่าจะไม่ยอม ผมจึงใช้ความเงียบแทนการตัดบท แต่จังหวะที่กำลังนั่งรอใบเสร็จอยู่นั่นเอง เสียงโครมครามก็ดังขึ้นจากด้านข้าง ตามด้วยความเย็นวาบบนต้นแขน

   "ขอโทษครับ!" พนักงานเสิร์ฟร้องอุทานอย่างลนลาน ผมได้แต่ก้มมองเสื้อของตัวเองที่เปียกเปื้อนด้วยสีชาเป็นแถบ ตามด้วยก้อนน้ำแข็งและน้ำที่เจิ่งนองอยู่บนพื้น

   ผู้หญิงอีกคนก็เอ่ยขอโทษด้วยท่าทางตกใจเช่นกัน ดูเหมือนเธอกำลังจะลุกออกจากโต๊ะแต่ดันชนเข้ากับพนักงานเสิร์ฟที่เดินมาจากทางด้านหลัง ยังดีที่พนักงานคนนั้นมือไวคว้าแก้วน้ำเอาไว้ได้ทัน แต่ถึงแก้วจะไม่ตกแตก น้ำชาเกินครึ่งก็สาดลงมาอยู่บนเสื้อของผมแล้ว

   "ไม่เป็นไรครับ" ผมบอกทั้งสองคนที่ยังคงกล่าวคำขอโทษไม่หยุดอย่างไม่ถือสา พนักงานอีกคนรีบเข้ามาช่วยเก็บกวาดน้ำที่เปียกนองอยู่บนพื้น เอิร์ธที่ตั้งสติได้ก่อนรีบคว้าทิชชูหลายแผ่นยื่นให้ผม โชคดีที่แก้วนั้นเป็นเพียงน้ำชาจึงไม่เหนียวเหนอะหนะ ทว่าสีน้ำตาลจางๆ ขืนปล่อยทิ้งให้แห้งไปอย่างนี้คงกลายเป็นคราบที่ยากจะซักออก

   "กูไปห้องน้ำก่อนนะ ฝากจ่ายเงินด้วย" ผมไม่แน่ใจจำนวนเงินที่ต้องจ่ายจึงโยนกระเป๋าสตางค์ให้แจ็คไปทั้งใบ ฉวยโอกาสไม่ให้เอิร์ธปฏิเสธได้อีก

   กับคนที่เข้านอกออกในห้องของผมจนเหมือนเป็นห้องของตัวเอง อยากจะรื้อค้นอะไร หรือต่อให้อยากยกเค้าทีเผลอก็ยังทำได้ ผมจึงไม่มีความจำเป็นต้องระแวงหรือคิดเล็กคิดน้อย บางครั้งเวลามันเมาเหมือนหมา ผมเองก็ถือวิสาสะค้นกระเป๋าสตางค์ของมันออกมาจ่ายค่าเหล้าเหมือนกัน

   เมื่อเดินมาถึงห้องน้ำผมจึงเริ่มจัดการกับคราบสีชาบนเสื้อ วักน้ำขึ้นมาพรมก่อนซับออกด้วยกระดาษทิชชู ทำซ้ำหลายครั้งจนร่องรอยเริ่มจางลงไป แต่ในขณะเดียวกันเสื้อเชิ้ตสีขาวก็ยิ่งเปียกชื้นเป็นวงกว้าง ผ้าฝ้ายโปร่งบางส่องทะลุให้เห็นผิวสีเนื้อ ผมได้แต่ถอนหายใจ แบบนี้รีบกลับหอไปถอดซักเลยน่าจะง่ายกว่า เพราะถึงยังไงก็คงไม่มีใครอยากจะเดินเที่ยวต่ออยู่แล้ว สงครามบนโต๊ะอาหารเผาผลาญพลังงานชีวิตมากกว่าที่คิด

   นึกแล้วผมก็ต้องถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ แม้แต่ตัวช่วยที่เป็นความหวังสุดท้ายอย่างเอิร์ธก็ยังแทบไม่ช่วยอะไร ไอ้สุภาพบุรุษจอมปลอมยังคงตอแหลได้โล่ ถึงแม้ท่าทางของมันที่มีต่อโซระจะไม่ได้ระริกระรี้น้ำลายไหลอยากตะครุบเหยื่อใจจะขาดเท่าเมื่อก่อน แต่นั่นอาจเป็นเพราะมันเคยถูกปฏิเสธมาแล้วหนึ่งครั้ง แต่พนันได้เลยว่าถ้าเกิดโซระเปลี่ยนใจตอบตกลงขึ้นมา ไอ้หมาตัวดีจะต้องกระโจนเข้าใส่โดยไม่เสียเวลายั้งคิดแน่นอน

   แล้วผมควรจะทำยังไง...?

   ปล่อยให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราคลุมเครืออย่างนี้ต่อไป เป็นอะไรที่มากกว่าเพื่อน เรียกเต็มปากว่าแฟน แต่ไม่เข้าใกล้คำว่า 'คนรัก'

   ผมถอนหายใจเป็นรอบที่ล้าน คว้าทิชชูมาซับมือปิดท้ายก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องน้ำ พอดีกับที่ใครบางคนเปิดประตูเดินเข้ามา ผมจึงเบี่ยงตัวหลบทางให้

   ไม่นึกว่าร่างนั้นจะหยุดยืนอยู่กับที่ เมื่อเห็นชัดว่าคนตรงหน้าคือใครผมก็ต้องเลิกคิ้วอีกครั้ง

   "เอ่อ คือเสื้อ... พี่ต้นรอแป๊บนึงนะครับ เอิร์ธกำลังซื้อเสื้ออยู่" โซระกล่าวอย่างตะกุกตะกักเล็กน้อย แต่ยังพอปะติดปะต่อความได้

   คงเป็นเพราะผมไม่ยอมให้ออกเงินค่าอาหาร ประจวบกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น เอิร์ธถึงคิดจะซื้อเสื้อตัวใหม่มาให้เปลี่ยนแทน และคราวนี้ก็ไม่เหลือเหตุผลให้ผมปฏิเสธน้ำใจได้อีก ผมจึงเผลอยักยิ้มเล็กน้อยให้กับความฉลาดของอีกฝ่าย

   ไม่นึกว่าท่าทางนั้นจะทำให้คนที่ลอบมองอยู่กัดริมฝีปากล่างของตนเอง ผมไม่ทันสังเกตจึงเพียงแค่แปลกใจว่าทำไมร่างเล็กจึงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ได้เดินเลยไปทำธุระส่วนตัว แต่กลับขวางอยู่หน้าประตูทำให้ผมไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ด้วย

   โซระยังคงยืนเงียบ เงยหน้ามองผม สลับกับก้มลงขมวดคิ้ว เหมือนมีเรื่องอยากพูดแต่ก็ไม่พูดออกมา ท่าทางอ้ำอึ้งยิ่งทำให้ผมสงสัย เพราะปรกติแล้วโซระเป็นเด็กร่าเริง ออกจะคุยเก่งซะด้วยซ้ำ

   ยังไม่ทันที่ผมจะได้ถามอะไรออกไป ร่างเล็กก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน

   "พี่ต้นชอบเอิร์ธหรือเปล่าครับ" คำถามตรงๆ ทำให้ผมชะงักเล็กน้อย

   ถ้าถามว่าชอบหรือเปล่า แน่นอนว่าผมชอบเอิร์ธ

   แต่ชอบแบบน้องชาย ไม่ใช่ชอบในความหมายเดียวกันกับคำถามนี้แน่นอน และเมื่อลองพิจารณาว่าทำไมโซระถึงถามแบบนี้ หาเหตุผลให้กับท่าทางแปลกประหลาดทั้งหมด สันนิษฐานที่ฉายแวบขึ้นมาในสมองของผมก็มีเพียงไม่กี่ข้อ

   หนึ่ง ถามเพราะเป็นห่วงเพื่อน

   สอง ถามเพราะห่วงมากกว่าเพื่อน

   "โซระชอบเอิร์ธเหรอ" ผมลองโยนหินถามทาง ย้อนถามแทนการตอบ

   ทันทีที่จบประโยค ผมก็ได้เห็นใบหน้าใสกลายเป็นสีแดงจัด ถ้ามีสเปเชี่ยลเอฟเฟคคงจะได้เห็นกลุ่มควันระเบิดบึ้มอยู่ด้านหลัง เรียวปากแดงอ้าค้าง ก่อนจะเม้มกลั้นหายใจ สลับกันไปมาราวกับปลาทองตัวน้อยที่อ้าปากพะงาบๆ ปฏิกิริยาน่าเอ็นดูทำให้ผมระบายยิ้มออกมา

   ดูท่าว่าน้องของผมจะไม่ได้แอบรักข้างเดียวซะแล้ว

   "พี่ชอบเอิร์ธแบบน้องชาย ไม่ได้ชอบแบบ...เดียวกับโซระหรอก"

   ยิ่งพูดลองใจ ผมก็ยิ่งได้เห็นสีแดงวิ่งลามไปถึงหู ไล่ลงไปถึงต้นคอ ไม่มีคำตอบรับหรือปฏิเสธ แต่สีหน้าท่าทางชัดเจนยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด พาลให้ผมเอื้อมมือออกไปลูบศีรษะเล็กเบื้องหน้าอย่างเอ็นดู

   จังหวะนั้นเอง ประตูก็ถูกดันเปิดเข้ามา แรงกระแทกทำให้ร่างเล็กที่ยืนขวางทางอยู่เซถลามาปะทะกลางอกของผม ปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติทำให้ผมเลื่อนมือมาประคองศีรษะของคนในอ้อมแขน ป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นซ้ำ

   ความตกใจทำให้โซระเงยหน้าขึ้น สวนทางกับผมที่ก้มลงไป ปลายจมูกของผมจึงปัดผ่านแก้มเนียนใสไปอย่างฉิวเฉียด

   "ไอ้ถึก!"

   เสียงตะคอกดังทำให้หัวใจของผมกระตุกวูบ

   บางครั้งความบังเอิญก็ร้ายกาจเกินไป

   ต่อให้ไม่มีเจตนา ภาพตรงหน้าก็คงไม่ต่างจากการกอดจูบ สีหน้าของแจ็คบ่งบอกว่ามันเห็นและเข้าใจแบบนั้น ก่อนจะทันได้อธิบายหรือพูดอะไรร่างของผมก็ถูกผลักให้เซถอยหลังไปหลายก้าว

   เมื่อเงยหน้าขึ้นผมก็ต้องเผชิญกับสายตาที่จ้องมาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ ด้านหลังห่างออกไปเป็นโซระที่ยืนนิ่งอย่างงุนงงตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

   "ที่แท้มึงไม่ได้คบกับเอิร์ธก็เพราะมึงชอบโซระใช่ไหม!? มึงกล้าทำแบบนี้ได้ยังไง!? รู้ทั้งรู้ว่ากูชอบโซระ! หรือว่าทั้งหมดเป็นแผนการของมึง? ไอ้เลว! ไอ้ตอแหล! ไอ้เหี้ย! มึงเห็นกูเป็นตัวอะไร!? เห็นกูโง่มากเลยใช่ไหม!?"

   โทสะเกรี้ยวกราดโหมเข้าใส่พร้อมแรงกระแทกที่ผลักผมออกไปจนแผ่นหลังชนกับฝาผนัง กระเทือนต้นแขนขวาที่ยังไม่หายสนิทให้กลับมาปวดร้าวอีกครั้ง ผมกัดฟันข่มความเจ็บ อยากอธิบายว่าทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิด แต่คนที่ด่ากราดอย่างไม่เว้นจังหวะหายใจก็ไม่เปิดโอกาส

   "ไอ้เหี้ย! กูไม่น่าเชื่อมึงเลย! กูไม่น่าหลง..."

   เสียงด่าแผ่วเบาลง เมื่อคำสุดท้ายถูกกลืนหายกลับเข้าไป

   นาทีนั้นเอง มือที่เคยออกแรงผลักก็เปลี่ยนเป็นการกำหมัดแน่น ตามด้วยเสียงเนื้อหุ้มกระดูกที่กระทบกันดั่งลั่น มุมปากของผมเจ็บจนชาพร้อมส่งกลิ่นคาวเลือดออกมา

   "ไอ้เพื่อนทรยศ!"

   เสียงแหบแห้งกึ่งตะโกนกึ่งคำราม ผมไม่ทันได้เห็นสีหน้าของแจ็ค เพราะพอหันกลับมาผมก็เห็นเพียงแผ่นหลังที่หายลับไป ตามด้วยบานประตูที่ปิดตัวลงมาดังโครม

   น่าแปลกที่ความเจ็บจากต้นแขนและมุมปากรวมกัน ยังน้อยกว่าคำพูดคำนั้นเพียงคำเดียว

   'เพื่อนทรยศ'

   สุดท้าย ผมก็ยังเป็นได้แค่ 'เพื่อน'

   และต่อจากนี้ไป อาจไม่ได้เป็นแม้กระทั่งเพื่อน

   ผมยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดมุมปากลวกๆ ไหนๆ ก็เปื้อนคราบชาอยู่แล้ว เพิ่มคราบเลือดเข้าไปอีกก็คงไม่ต่างกัน สภาพของผมและความสัมพันธ์ของพวกเราในตอนนี้ ไม่ต่างอะไรไปจากหมากบนกระดานที่ล้มระเนระนาด

   

   

ออฟไลน์ @moment

  • แอทโมเม้นท์
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
    • https://www.facebook.com/at.moment.writer/

   

   ตอนที่ 25 ปากกับใจ

   

   คงเป็นคราวซวยซ้ำซวยซ้อนของผมที่กระเป๋าสตางค์ทั้งใบหายสาบสูญไปพร้อมกับไอ้แจ็ค ยังโชคดีอยู่บ้างที่โทรศัพท์มือถือกับกุญแจห้องยังอยู่กับตัว ผมจึงมียังที่ซุกหัวนอน และเศษเงินที่ตกค้างอยู่ในห้องก็พอให้ใช้ประทังชีวิตได้อีกหลายวัน

   หลังจากวันนั้นคนที่เข้าใจผิดหนีหายเข้ากลับเมฆ ไม่มีการติดต่อ ไม่มาที่ห้องของผมอีก แทบไม่โผล่หัวมาเรียนเลยด้วยซ้ำ ปัญหาระหว่างพวกเราจึงยังคงค้างคา

   "ทะเลาะกับไอ้ลูกหมาเหรอ" พี่มินนี่ชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นรอยช้ำบนมุมปากของผม

   แผลด้านนอกทุเลาลงไปมากแล้ว แต่แผลด้านในกระพุ้งแก้มยังคงปวดตึงๆ ทุกครั้งที่ขยับ พลอยให้ผมที่พูดน้อยเป็นทุนยิ่งประหยัดคำพูดจนแทบจะกลายเป็นคนใบ้ เมื่อได้รับคำตอบเป็นความเงียบ พี่มินนี่จึงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

   "ตัดหางปล่อยวัดมันไปเหอะ~" เสียงเดิมพูดต่อพลางสะบัดมือข้างศีรษะอย่างไม่จริงจังนัก

   ทว่าประโยคล้อเล่นกลับทำให้ผมทบทวนอย่างเหม่อลอย

   หรือว่าถึงเวลา... ที่ผมควรจะปล่อยมือแล้วจริงๆ

   "วุ้ย ตายยากจริงๆ อิแจ็ค!" คนตายยากพูดถึงปุ๊บก็โผล่มาปั๊บ พี่มินนี่ตะโกนเรียกเสียงดังตามปรกติ แต่คนที่เดินผ่านอีกฟากหนึ่งของถนนกลับชะงักไปทันทีที่หันมาเห็นผม จังหวะนั้นผมจึงมีโอกาสได้เห็นใบหน้าซูบเซียว รอบตาดำคล้ำคล้ายคนอดนอนติดต่อกันหลายวัน

   "ผมไปเรียนก่อนนะครับ" เห็นมันยืนนิ่งเม้มปากแน่น ผมก็รู้ว่ามันไม่มีทางเดินเข้ามาถ้าผมยังนั่งอยู่ตรงนี้ ผมจึงเป็นฝ่ายกล่าวลาพี่มินนี่ก่อนจะลุกออกไป

   "... ผมไปก่อนนะเจ๊! ต้องไปส่งรายงาน" เสียงแจ็คตะโกนตอบกลับมา แต่ผมไม่ได้หันกลับไปมอง

   บนโต๊ะเก้าอี้หินจึงเหลือเพียงพี่มินนี่นั่งเกาหัวแกรกๆ ก่อนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หันมองน้องรักสองคนคนหนึ่งเดินไปทางซ้ายอีกคนเดินไปทางขวา ยิ่งเดินก็ยิ่งแยกห่างกันไปคนละทาง

   

   ผ่านไปหลายวันความคิดของผมก็ยังคงวนเวียนอยู่ที่เดิม

   จบแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ตัดขาดกันอย่างสิ้นเชิง ไม่เหลือแม้แต่ความเป็นเพื่อน ผมควรปล่อยให้ทุกอย่างจบลงตรงนี้ ดีกว่ายิ่งยื้อต่อไปก็ยิ่งเจ็บ... แต่อีกใจผมก็ยังอยากเคลียร์กับมันให้รู้เรื่อง ถ้าจะต้องจบกันจริงๆ อย่างน้อยผมก็ไม่อยากให้เรื่องของเราต้องจบลงด้วยความเข้าใจผิด... แล้วจะเคลียร์กันไปให้ได้อะไร? ถ้าไม่ว่ายังไงคนที่มันรักก็ไม่ใช่ผม

   "..."

   ความคิดวุ่นวายโต้เถียงกันไม่หยุด เหมือนเดินวกวนอยู่ในเขาวงกต มองไม่เห็นทางออก ผมได้แต่ทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างอ่อนล้า

   แวบหนึ่งผมหวนนึกถึงเรื่องในอดีต ตอนที่เลิกกับแฟนคนก่อน

   รอยร้าวเริ่มต้นจากช่องว่างของเวลาและระยะทาง นานเข้ากลับกลายเป็นความห่างเหิน นับวันความเข้าใจผิดก็ยิ่งสะสม แต่ตอนนั้นผมกลับนิ่งเฉย ปล่อยให้ความสัมพันธ์จบลงไปโดยไม่ได้พยายามเหนี่ยวรั้ง

   ผมเคยคิดว่า ปัญหาเกิดจากนิสัยของผมที่ไม่ชอบพูดมาก มาตอนนี้ผมถึงได้รู้ตัว เป็นความผิดของผมเองที่ไม่เคยยื้อ ไม่เคยตื้อ ยอมปล่อยมือง่ายๆ อย่างกับไม่ได้รัก

   หรือบางที ผมอาจจะไม่ได้รัก...

   ความรู้สึกผิดหวนย้อนกลับมาพร้อมกับการสมน้ำหน้าตัวเอง ผมเคยทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งต้องเสียใจและเสียเวลาไปหลายปี มาตอนนี้เวรกรรมคงตามทัน ถึงได้รักใครไม่รัก ดันไปหลงรักผู้ชายที่ทั้งปากหมา หน้าด้าน ตอแหล หาดีไม่ได้ อ้อ ยังมีดีที่หน้าตา

   ผมหลุดยักยิ้มมุมปาก อาการปากหมาอาจเป็นโรคติดต่อ ตั้งแต่รู้จักกันมาผมก็หลอกด่ามันในใจนับครั้งไม่ถ้วน

   แต่ผมก็รักมันมากจริงๆ

   มากถึงขั้นที่รู้อยู่แก่ใจว่าควรปล่อย แต่กลับตัดใจปล่อยไม่ได้สักที

   จนถึงตอนนี้ผมก็ยังคิดถึงแต่เรื่องของมัน ผมรู้ว่าแจ็คเป็นคนปากหมา ปากเสียเป็นนิสัย หลายครั้งก็ปากไม่ตรงกับใจ พูดอะไรไม่คิด ชอบทำผิดแล้วกลับมาร้องไห้คร่ำครวญเสียใจภายหลัง

   'ไอ้เพื่อนทรยศ!'

   คำพูดที่ทำร้ายคนฟัง แล้วตอนนี้คนพูดจะกำลังรู้สึกแบบไหน

   โกรธ... เสียใจ... ร้องไห้...?

   ผมเอื้อมคว้าโทรศัพท์ขึ้นมา ไม่มีประวัติโทรเข้าออกหลายวัน แต่ต่อให้โทรไปมันก็คงจะไม่ยอมรับสาย ผมจ้องมองหน้าจออยู่นาน ลังเลอีกพักใหญ่ สุดท้ายจึงตัดสินใจส่งข้อความสั้นๆ

   'กูต้องใช้บัตรนักศึกษาเข้าสอบอาทิตย์หน้า'

   ถ้าแจ้งหายแล้วทำบัตรใหม่ก็ยังทันถมเถ ผมแค่ต้องการข้ออ้างให้ตัวเอง

   ทันทีที่ข้อความถูกส่งออกไปเครื่องหมายถูกเปิดอ่านก็ปรากฏสู่สายตา ตามด้วยเสียงหมาเห่าระงม ครั้งนี้ไม่ใช่แค่คำเปรียบเปรยถึงใครบางคน ผมหมายถึงได้ยินเสียงเห่าดังมาจากด้านล่างของหอพักจริงๆ

   ผมเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ ไม่ใช่ว่าแถวนี้ไม่มีสุนัขจรจัด เพียงแต่ปรกติมักจะเห็นพวกมันจับจองถิ่นอยู่แถบร้านแผงลอยหน้าปากซอย ไม่ค่อยเข้ามาลึกถึงข้างในนี้ ทว่าเสียงที่ได้ยินกลับก้องดังอยู่ใกล้ๆ ราวกับพวกมันพร้อมใจกันยกโขยงมาอยู่ใต้หอ

   ลางสังหรณ์บางอย่างทำให้ผมลองเดินออกไปนอกระเบียง กวาดตามองลงไปด้านล่าง แต่สิ่งที่เห็นกลับมีเพียงแสงไฟข้างทางส่องรำไรในความมืดสลัว ไม่เห็นแม้แต่เงาของหมาสักตัว

   นั่นยิ่งน่าแปลก ผมจึงตัดสินใจกดโทรศัพท์ออกไปยังปลายทางเดียวกับข้อความเมื่อครู่ แนบหูฟังเสียงเรียกเข้า ทันใดนั้นเสียงเพลงทำนองเดียวกันก็ดังแว่วผ่านมาตามสายลม เพียงแค่ไม่กี่วินาทีก่อนที่เสียงทั้งหมดจะหยุดลง พร้อมๆ กับหน้าจอที่ขึ้นเครื่องหมายถูกตัดสาย

   ไม่จริงน่า...

   ผมคว้ากุญแจเดินออกจากห้อง ก้าวลงบันไดไปตามทิศทางของเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่ นึกภาพใครบางคนกำลังสะดุ้งลุกลี้ลุกลนตัดสายอย่างร้อนตัว

   ภาพที่เห็นแตกต่างจากสิ่งที่เคยคิดไว้เล็กน้อย

   ณ มุมตึกลับตาคน บนพื้นปูนต่างระดับ ผมเห็นแผ่นหลังของใครบางคนกำลังนั่งหมดอาลัยตายอยาก บ่ากว้างลู่ลงภายใต้ความมืด ข้างกายมีเบียร์หลายกระป๋องวางระเกะระกะ เกินครึ่งเป็นกระป๋องว่างเปล่าที่ล้มกลิ้งอยู่ ใกล้กันมีซากถุงพลาสติกที่คาดว่าเป็นอดีตลูกชิ้นปิ้ง ตอนนี้เหลือเพียงไม้เสียบว่างเปล่า ห่างออกไปเล็กน้อยมีลูกชิ้นขาดแหว่งที่สุนัขจรจัดหลายตัวรุมแย่งกันกินอยู่

   ภาพเบื้องหน้าเรียกประโยคหนึ่งกลับเข้ามาในความทรงจำ

   'ถ้าคราวนี้อกหักอีก...แล้วกูจะไปร้องไห้กับหมาที่ไหน!?'

   ความรู้สึกหลากหลายผุดขึ้นมาพร้อมกัน ทั้งหวานฝาดเฝื่อนและขมปร่า สุดท้ายมันก็กลับมาตายรัง ไม่ว่าจะเป็นเพราะไม่มีที่ไปหรือเพราะอะไรก็ตาม สุดท้ายมันก็ย้อนกลับมาหาผม

   แต่ตอนนี้ผมกลับโลภมาก ผมไม่พอใจแค่นั้น ผมต้องการมากกว่านั้น

   ผมก้าวเท้าด้วยจังหวะสม่ำเสมอเดินไปหยุดยืนด้านหลัง คนที่เพิ่งรู้สึกตัวหันขวับกลับมา เผยให้เห็นดวงตาทั้งสองข้างที่แดงก่ำ ไม่ได้มีหยดน้ำคลออยู่ด้านใน ทำให้ผมไม่แน่ใจว่านั่นเป็นแค่อาการเมาหรือเพราะเคยผ่านการร้องไห้มาก่อน

   บรรยากาศระหว่างเรามีเพียงความเงียบงัน เมื่อผมไม่ได้พูดอะไรและแจ็คก็นิ่งเงียบอย่างผิดวิสัย รอบตัวจึงมีเพียงเสียงครางหงิงจากสุนัขจรจัดที่ยังไม่อิ่มท้อง บางตัวก็เดินเข้ามาใช้จมูกเขี่ยดมซากถุงพลาสติก มองหน้าคนที่เคยโยนลูกชิ้นให้ แต่เมื่อพบว่าไม่เหลืออาหารแล้วพวกมันจึงพากันเดินจากไป

   ผมนึกถึงคำว่า 'แม้แต่หมาก็ยังเมิน'

   "กระเป๋าสตางค์กูล่ะ" ผมทำลายความเงียบด้วยคำถามห้วนสั้น

   คนฟังเม้มปากแน่น ก้มหน้าลงพลางใช้ท่อนแขนยันกายลุกขึ้นด้วยท่าทางโงนเงน พอเริ่มทรงตัวได้ก็โยนสิ่งของที่อยู่ในมือออกมาด้านหน้า ยังดีที่ผมเอื้อมมือออกไปรับเอาไว้ได้ทัน ผมจึงจ้องหน้ามันเล็กน้อย ก่อนก้มลงเสียบกระเป๋าสตางค์เข้าไปในกางเกง

   มันยังคงยืนนิ่งไม่ยอมเปิดปากพูดอะไร ผมจึงตัดบทด้วยการหมุนตัวกลับไปในทิศทางเดิม ออกเดินได้ไม่กี่ก้าวก็มีเสียงตะโกนไล่หลัง

   "ไม่เปิดดูข้างในหน่อยเหรอ" เสียงนั้นฟังดูแหบแห้งกว่าปรกติ

   เมื่อผมยังคงยืนหันหลังให้ เสียงเดิมจึงดังขึ้นอีกครั้ง

   "กูเอาเงินมึงซื้อลูกชิ้นเลี้ยงหมาหมดแล้วนะ"

   คราวนี้ผมจึงหันกลับไปเผชิญหน้า มุมปากของแจ็คยกขึ้นเล็กน้อย เกือบจะเป็นรอยยิ้มกวนตีน แต่มองแล้วกลับดูเหมือนการแค่นยิ้มมากกว่า นัยน์ตายิ่งไม่ยิ้ม แวบหนึ่งฉายแววถือดี แต่อีกแวบหนึ่งกลับดูเศร้าสร้อยเหมือนหมาแก่ที่ถูกเจ้าของทอดทิ้ง

   ก่อนจะเผลอใจอ่อนอีกครั้งผมจึงปรับสายตาลงมองพื้น เศษขยะกลาดเกลื่อน ไม่รู้ว่ามันมานั่งอยู่ตรงนี้นานแค่ไหน จะว่าไปในถุงก็มีซากไม้เสียบลูกชิ้นเยอะผิดปรกติ อาจพอให้เลี้ยงหมาได้ทั้งซอย คงผลาญเงินไปหลายร้อย แต่เดิมทีในกระเป๋าของผมก็ไม่น่าจะมีเงินสดเหลืออยู่มากมาย

   "ถือซะว่ากูเลี้ยงมึงละกัน" ผมตอบสั้นๆ รอยยิ้มของคนตรงข้ามพลันสะดุดกึก

   "มึงด่ากูเป็นหมา!?" คนเมาถลาเข้ามาหาเรื่อง

   แค่ยืนปรกติก็ยังเอียงกะเท่เร่ พอมันโถมตัวมาด้านหน้า ทั้งร่างจึงเซล้มมาปะทะกลางอกของผม กำปั้นพลาดเป้าหมายกลายเป็นการพาดแขนลงบนบ่า

   "มึงจะชกกูอีกแล้วนะ" ผมพูดด้วยน้ำเสียงคาดโทษ

   คนเมากลับทิ้งน้ำหนักศีรษะลงมา มือที่เคยชูกำปั้นเปลี่ยนเป็นขยำคอเสื้อยืดของผมแทน

   "มึงชอบโซระเหรอ" เสียงอู้อี้เหมือนคนคัดจมูกเอ่ยขึ้น ชกไปแล้วเพิ่งคิดจะมาถาม

   "แล้วมึงคิดว่าไงล่ะ" ผมจึงตอบกลับด้วยการย้อนถาม

   ถ้ายังมีสติมันก็น่าจะคิดเองได้ ผมเป็นคนแบบไหน พวกเราไม่ได้เพิ่งจะรู้จักกันเมื่อวาน

   "...โซระเป็นเด็กน่ารัก ขนาดกูยังชอบเลย"

   ผมได้ยินเสียงของความสิ้นหวัง ทั้งๆ ที่ผมพยายามใจเย็น แต่มันก็ยังชอบยั่วขีดความอดทนของผมด้วยการตอกย้ำ! ไม่ต้องพูดบ่อยๆ ผมก็รู้ ผมไม่ใช่คนน่ารัก ไม่มีอะไรตรงสเปคมันเลยสักอย่าง ห่างไกลจากเป้าหมายของมันยิ่งกว่าฟ้ากับเหว

   "มึงก็น่าจะรู้ว่ากูเป็นคนยังไง! กูเคยบอกว่ารักใครก็คือรักคนนั้น กูไม่ใช่คนตอแหล ไม่ใช่คนหน้าด้าน" ผมแค่นเสียงอย่างเหนื่อยล้า

   "มาถึงขั้นนี้แล้วกูก็ไม่ด้านพอจะยื้อ...คนที่ไม่มีทางหันมารักกูเลยด้วย..."

   ผมดันบ่าของคนในอ้อมแขนออกห่าง

   แต่มือของแจ็คกลับยังคงขยำเสื้อของผมแน่น ตอนนั้นเองที่ผมสังเกตเห็นว่านิ้วเรียวสวยกำลังสั่น และใบหน้าที่เงยกลับขึ้นมาก็เปียกเปื้อนไปด้วยน้ำตา

   ถ้าผมยังใจอ่อนเหมือนเดิม ทุกอย่างก็คงวนเข้าสู่จุดเดิม

   มีแต่จะเจ็บไม่รู้จบ

   "กูว่าพอแค่นี้เหอะแจ็ค..."

   ผมปล่อยมือ แต่มันกลับไม่ยอมปล่อย ใบหน้าเหยเกราวกับทำนบเขื่อนที่กำลังจะพังทลายลงมา

   "แล้วใครใช้ให้มึงเอากูวะ!?" มันกระชากคอเสื้อของผมเข้าหาพร้อมตะโกนใส่หน้า "ไอ้เพื่อนเฮงซวย! ไอ้ฟันแล้วทิ้ง! มึงก็รู้ว่ากูชอบเด็กน่ารัก ตัวเล็กๆ น่าทะนุถนอม แล้วดูมึงดิ๊ ตัวโตเป็นตึก เงียบเป็นเป่าสาก แถมยังชอบหลอกด่ากูตลอด ด่ากูปากหมา! ตอแหล! หน้าด้าน! ...แล้วมีดีตรงไหนเหลือให้รักวะ!? พอด่าเสร็จสมใจก็จะเขี่ยทิ้ง มึงไม่รู้หรอกว่ากูรู้สึกยังไง!?"

   ยิ่งพูดน้ำตาก็ยิ่งไหล แต่คนโวยวายกลับไม่ใส่ใจที่จะเช็ด

   "มึงไม่รู้หรอกว่ากูหลงรักหมอนมากี่ปี เคยคิดว่าตัดใจได้แต่เอาเข้าจริงกูก็ทำไม่ได้ กูโคตรเกลียดคนที่หมอนรัก โคตรเจ็บเวลาที่เห็นหมอนอยู่กับคนอื่น แต่มึงรู้อะไรไหม พอมีมึงอยู่ด้วย กูกลับรู้สึกว่ามันก็ไม่ได้เจ็บมากเท่าที่คิด"

   เสียงนั้นขาดหายไป พร้อมกับประโยคที่ทำให้ผมเริ่มมีความหวัง

   "ตอนที่เห็นมึงกอดกับโซระ... กูกลับเจ็บยิ่งกว่า"

   ดวงตาแดงก่ำที่มองมา ฉายแววปวดร้าวชัดเจนกว่าคำพูด

   ผมเคยบอกตัวเองให้เลิกหวัง เพราะว่ามันไม่เคยลืมรักแรก เพราะมันยังรักหมอน เพราะมันชอบคนน่ารัก เพราะมันไม่มีทางหันมารักผม แต่สิ่งที่ได้ยิน กลับโน้มน้าวให้ผมถามออกไป

   "เพราะอะไร"

   "เพราะกูรักโซระมากเลยมั้ง ไอ้ควาย!"

   มันตะคอกกลับมาดังลั่น พร้อมผลักอย่างแรงจนผมเซถอยหลังไปหนึ่งก้าว แต่เวรกรรมก็ตามทันติดจรวด เพราะร่างที่เมาจนทรงตัวไม่อยู่พลันต้องเซล้มตามลงมาอยู่ในอ้อมกอดของผมอีกครั้ง

   คำตอบผสมคำด่า ทำให้ผมเอือมระอา

   แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่ ก็ทำให้ใบหน้าของผมผุดยิ้มขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

   เหมือนคนสิ้นหวังในเขาวงกตที่ได้เห็นแสงสว่างปลายทางรำไร ผมเป็นคนโลภมากที่ไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย ผมแค่อยากรู้ว่าตัวเองไม่ได้รักมันอยู่ข้างเดียว แค่อยากรู้ว่ามันมีใจให้ผมบ้าง แค่อยากได้ยินสักคำ

   "บอกรักกูดีๆ สักครั้งมึงจะขาดใจตายไหม"

   ผมผ่อนเสียงถอนหายใจ ก่อนจะถูกคนหัวรั้นดันทุรังออกแรงผลักอีกรอบ ไม่ได้สำนึกเลยว่าถ้าผมเซล้มลงตัวเองก็จะไม่เหลือหลักยึด ผมจึงโอบกอดร่างนั้นแน่นเข้า ไม่ให้คนเมาแผลงฤทธิ์ได้อีก

   เมื่อหมดทางสู้มันจึงทิ้งศีรษะลงมาบนบ่า ขยำคอเสื้อผมดึงเข้าหาตัวเอง ใช้เสื้อยืดของผมแทนผ้าขี้ริ้ว สั่งน้ำมูก เช็ดน้ำตา ปากก็ยังพึมพำคำขู่ไม่หยุด ถ้ากล้าทิ้งมันจะด่าให้เสียหมา ถ้ากล้านอกใจมันจะซัดให้น่วม ยิ่งพูดยิ่งอู้อี้จนฟังไม่ได้ศัพท์

   แต่สุดท้าย ผมก็ได้ยินสียงอู้อี้พึมพำคำหนึ่งคำ

   คำที่ทำให้ผมคลี่ยิ้มกว้าง ในขณะที่คนพูดทำท่าอยากจะกัดลิ้นตาย

   

ออฟไลน์ @moment

  • แอทโมเม้นท์
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
    • https://www.facebook.com/at.moment.writer/
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer/
   

   ตอนที่ 26 แจ็คก็คือแจ็ค

   

   "มาม่าอีกแล้ว!? เมื่อวานก็มาม่า อย่าบอกนะว่ามึงจะแดกอย่างนี้ยันสิ้นเดือน!?" คนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะเตี้ยโวยวายลั่นเมื่อเห็นหม้อไฟฟ้ากลมๆ กับซองสี่เหลี่ยมที่คุ้นตาวางลงตรงหน้า

   มีให้แดกก็บุญแล้ว ผมตอบแบบนั้นด้วยสายตา ก่อนจะย้อนถามด้วยคำพูดสั้นๆ "เพราะใครล่ะ"

   ฝีมือไอ้หมาตัวไหนผลาญเงินในกระเป๋าของผมจนเหลือแค่เศษเหรียญเป็นที่ระลึก อ้อ ยังมีแบงก์ยี่สิบอีกสองใบที่ส่วนหนึ่งกลายสภาพมาเป็นบะหมี่ในหม้อ

   อันที่จริงผมก็ไม่ได้สิ้นเนื้อประดาตัวขนาดนั้น ยังมีเงินเหลือในบัญชีให้กดใช้ได้ แต่อยากดัดนิสัยมันมากกว่า ให้รู้สำนึกบ้างว่าทำผิดก็ต้องยอมรับผิด

   "กะ...ก็ตอนนั้นกูกำลังโมโห" ถ้าเปลี่ยนจากคำว่าโมโหเป็นคำว่า 'หึง' ผมอาจจะเผลอใจอ่อนยอมอภัยให้มันง่ายๆ

   "นี่กูก็กำลังไถ่โทษแล้วไง ไข่ไก่สองฟองกะลูกชิ้นอีกตั้งหนึ่งถุง เอาน่า อร่อยเหมือนกัน กูเลี้ยงง่าย กินอะไรก็ได้" เจริญ! ชดใช้แทนกันได้มากเลย ลูกชิ้นถุงเดียวปริมาณยังไม่ถึงหนึ่งในสิบของที่มันโยนให้หมากินเลยด้วยมั้ง

   เมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มลงมือกินด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย ผมจึงได้แต่ส่ายหน้า ขี้เกียจจะพูดมากความ อย่างน้อยก็ถือว่าปฏิกิริยาของมันยังมีพัฒนาการ เพราะเมื่อวานทันที่เห็นบะหมี่ยี่ห้อเดิมติดต่อกันเป็นมื้อที่สองมันก็บ่นอุบว่า "กูกลับไปกินข้าวบ้านดีกว่า"

   ว่ากันว่าฝ่ายรักมักแพ้

   คนที่หลงรักข้างเดียวอย่างผมเคยตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้มาตลอด เมื่อก่อนแค่อยากจะรั้งให้มันอยู่ด้วยกันยังต้องงัดสารพัดวิธีขึ้นมาใช้ ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง ล่อด้วยของกินบ้าง บังคับขู่เข็ญด้วยกำลังบ้าง

   มาวันนี้สมการได้เปลี่ยนไป ถือว่าพวกเราเสมอกัน แต่ในเมื่อผมเคยเป็นฝ่ายเสียเปรียบมาตั้งนาน ถ้าจะขอถอนทุนคืนบ้างก็คงไม่ผิดใช่ไหม

   "ตามใจสิ อยากกลับก็กลับ" พอผมตอบด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่ใส่ใจ มันก็ทำหน้าอึ้ง ผมเลยแกล้งหยอดอีกเล็กๆ น้อยๆ ประมาณว่าดีเหมือนกัน ผมจะได้ออกไปข้างนอกบ้าง ไปหาเอิร์ธบ้างอะไรบ้าง เท่านั้นคนฟังก็หน้าหงิกฉับพลัน เดินกลับมาหย่อนก้นนั่งตามเดิม ก้มหน้าก้มตากิน ถึงแม้จะแอบบ่นงึมงำลับหลัง

   เป็นฝ่ายชนะบ้างมันก็รู้สึกดีแบบนี้นี่เอง

   "ไหนมึงบอกไม่มีตังค์ไง แล้วนี่ซื้อเสื้อใหม่ตั้งแต่เมื่อไหร่" แจ็คเอ่ยขึ้นระหว่างคีบบะหมี่ค้างอยู่กลางอากาศ สายตาเหลือบมองเสื้อยืดที่ผมสวมอยู่พลางย่นหัวคิ้วเล็กน้อย

   "ก็ที่วันก่อนน้ำหกใส่ เอิร์ธเลยซื้อมาให้เปลี่ยน" ผมตอบพลางคีบบะหมี่ขึ้นมากินบ้าง พูดโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่พอพูดแล้วก็อดลอบมองปฏิกิริยาของอีกฝ่ายไม่ได้

   "อ้อ เหรอ" คนพูดมากกลับเพียงแค่พยักหน้ารับรู้

   ผ่านไปหลายนาทีจนผมเกือบลืมหัวข้อสนทนานี้ไปแล้ว ถ้าแจ็คจะไม่สูดบะหมี่เสียงดัง ปลายเส้นสะบัดแกว่งไกวจนน้ำซุปกระเด็นมาใส่ผม ดีที่ไม่เข้าตา ทว่าเสื้อยืดสีขาวก็เปื้อนเป็นรอยเลอะเล็กๆ หลายจุด

   "เฮ่ย! มึงรีบถอดไปหย่อนซักเร็ว เดี๋ยวซักไม่ออก" ลีลาเนียนมาก ถ้าไม่รู้จักสันดานกันดีผมคงนึกว่ามันห่วงใยอย่างจริงใจ

   "ขยี้น้ำนิดเดียวก็โอเคแล้ว" ผมตอบพลางลุกเดินไปทางห้องน้ำ จัดการอยู่พักหนึ่งก่อนจะกลับมานั่งด้วยเสื้อยืดตัวเดิมที่มีรอยเปียกเป็นด่างดวงแทนรอยเปื้อน

   คิดแล้วผมก็แอบขำตัวเองไม่ได้ ทำอะไรไร้สาระ เปลี่ยนเสื้อใหม่ง่ายและสบายตัวกว่าการต้องสวมเสื้อชื้นๆ แบบนี้ตั้งเยอะ แต่ผมกลับมีความสุขที่ได้เห็นมันนั่งหน้าคว่ำที่แผนการของตัวเองไม่ได้ผล

   ความจริงถ้ามันพูดออกมาตรงๆ บอกว่า 'หึง' ไม่อยากให้ใส่เสื้อของคนอื่น แค่นั้นผมคงยินดีทำตามความต้องการของมันทุกอย่าง

   แต่แจ็คก็ยังคงเป็นแจ็คอยู่วันยังค่ำ

   ปากมากทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องที่ตรงกับใจ

   

   คืนนั้นมันเป็นฝ่ายถอดเสื้อยืดของผม ดึงออกผ่านทางศีรษะก่อนเริ่มต้นกิจกรรมที่ไม่จำเป็นต้องสวมเสื้อผ้า และก็ไม่รู้ว่ามันโยนเสื้อตัวนั้นทิ้งไปที่ไหน เพราะริมฝีปากที่แนบลงมาดึงความสนใจของผมไปซะหมด ลืมเลือนเรื่องแพ้ชนะ สนใจแต่คนตรงหน้า

   แต่หลังจากวันนั้น ผมก็ไม่เคยได้เห็นเสื้อยืดตัวนั้นอีกเลย


----------   


   คู่นี้จะมีบทหวานกับเขาบ้างไหม  :laugh:


ออฟไลน์ @moment

  • แอทโมเม้นท์
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
    • https://www.facebook.com/at.moment.writer/
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer/
   

   บทส่งท้าย

   แฟนครับ


   

   หนึ่งสัปดาห์ก่อนสอบ ถือเป็นระยะดิ้นรนเฮือกสุดท้ายของนักศึกษาที่ความรู้ไม่เคยซึมเข้าสู่ขี้เลื่อย บ้างก็กลายเป็นซอมบี้เดนตายติวหนังสือหามรุ่งหามค่ำ บ้างก็กลายเป็นเปรตขอส่วนบุญจากชีทที่ปลิวว่อนทั่วภาค พวกผมก็ไม่ได้มีสภาพต่างจากนั้นเท่าใดนัก และด้วยความที่เรียนอยู่คนละภาค ลงเรียนคนละวิชา ทำให้พักนี้ผมกับแจ็คแทบจะไม่ได้เจอหน้ากันในมหาวิทยาลัย

   ปรกติแล้วผมมักจะนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ อยู่ที่หอหรือไม่ก็ห้องสมุด ในขณะที่แจ็คนิยมตระเวนติวกับกลุ่มเพื่อนภาค ถึงแม้ว่าปากมันจะเคยสร้างคดีแค้นเอาไว้นับไม่ถ้วน แต่นาทีนี้อะไรที่ลืมได้ก็ลืมไปก่อน ลงเรือลำเดียวกันแล้วเป้าหมายเบื้องหน้าสำคัญกว่า

   แจ็คเองก็ไม่ใช่คนหัวทึบ หัวข้อไหนที่เข้าใจแล้วก็สามารถสอนคนอื่นต่อได้ด้วยซ้ำ ผลการเรียนของมันจัดอยู่ในเกณฑ์ปานกลางแค่พอถูไถ แต่ความจริงถ้ามันขยันตั้งใจเรียนให้ได้สักครึ่งของที่เพียรพยายามตามจีบเด็ก ป่านนี้อาจจะมีลุ้นเกียรตินิยมแล้วก็ได้

   ช่วงนี้แจ็คเลยไม่ค่อยได้กลับบ้าน มาอาศัยห้องของผมเป็นฐานทัพชั่วคราว พวกเราจึงยังได้เจอกันเวลาที่มันกลับมาอาบน้ำนอน บ้างก็ได้กินข้าวพร้อมหน้าก่อนจะแยกย้ายกันไปอ่านหนังสือสอบ แต่บางทีมันก็ไปติวที่หอเพื่อนข้ามคืน กว่าจะกลับมาก็เกือบเช้า

   ปรกติผมจะมีกุญแจสำรองดอกหนึ่งวางอยู่บนชั้นหนังสือ วันไหนที่มันมาค้างและผมต้องออกไปเรียนก่อน ตอนออกจากห้องมันก็จะจัดการล็อกประตูและสอดกุญแจคืนกลับเข้ามาด้านใน หรือช่วงไหนที่มาค้างหลายวันมันก็จะออกปากขอยืมกุญแจไปใช้ นานวันเข้าก็หยิบยืมไปโดยไม่จำเป็นต้องบอกกล่าว อย่างคราวนี้มันก็เอากุญแจไปด้วย

   นอกจากจะเต็มใจแล้วผมก็ยังแอบคิดในใจ ถ้ามันยึดไปเป็นการถาวร ไม่ต้องคืนได้เลยก็ยิ่งดี

   กึ่ก แกร่ก

   เสียงไขกุญแจทำให้ผมหรี่ตาขึ้นมาในความมืดสลัว เห็นแสงไฟด้านนอกลอดผ่านบานประตูที่เปิดแง้มเข้ามา ผมไม่แน่ใจว่าตอนนั้นเป็นเวลากี่โมงแล้ว เพราะเงาร่างสูงไม่ได้กดเปิดไฟ เพียงแค่เดินเลยไปวางกระเป๋า ก่อนจะก้าวมาทิ้งตัวนอนลงบนเตียง

   "ไม่อาบน้ำเหรอ" ผมพึมพำถามด้วยเสียงแหบแห้งแบบคนเพิ่งตื่น ขยับพลิกตัวโอบแขนเข้ากับรอบเอวของอีกฝ่าย ไม่ได้ถามเพราะรังเกียจความซกมก แค่แปลกใจเพราะปรกติคนเจ้าสำอางมักจะรักความสะอาด

   "ง่วงจะตายห่- กูทำมึงตื่นเหรอ โทษที" เสียงง่วงงุนตอบกลับมาพร้อมคำสบถอย่างติดเป็นนิสัย ดูท่าทางมันจะง่วงจริงๆ ผมจึงเลิกกวนใจ

   "ถ้าง่วงก็นอนเถอะ" ผมกล่าวสั้นๆ ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง

   คนปากมากไม่ได้พูดมากความอีก สักพักภายในห้องจึงเหลือเพียงเสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ

   ความสัมพันธ์ของพวกเรายังคงเป็นแบบนี้ ไม่มีความหวานมากมาย เพราะนิสัยคนเราใช่ว่าจะเปลี่ยนกันได้ง่ายๆ ถ้าวันไหนหมาในฟาร์มของแจ็คเลิกเห่า วันนั้นดอกพิกุลของผมก็คงร่วงหมดต้น ฉันใดก็ฉันนั้น

   แต่ก็ใช่ว่าบางอย่างจะไม่มีการพัฒนา อย่างน้อยสิ่งที่ผมได้ลืมตาตื่นขึ้นมาเห็นเป็นอันดับแรกก็ไม่ใช่ 'ตีน' เหมือนเมื่อก่อน อย่างน้อยตอนนี้ผมก็ได้นอนกอดคนในอ้อมแขนอย่างสบายใจ ไม่ต้องทนฟังคำก่นด่าว่าอึดอัดบ้างร้อนบ้าง

   อย่างน้อย พวกเราก็กลายเป็นแฟนกันแล้วจริงๆ

   ผมหมายถึง 'แฟน' แบบที่ไม่ใช่คำพูดปากเปล่าอย่างที่คนปากหมาหน้าด้านเคยพูดได้ไม่อายปากแต่ไม่เคยคิดอย่างที่พูด

   แต่หมายถึง 'แฟน' แบบที่แปลว่า 'คนรัก' กันจริงๆ

   

   "ไอ้ถึก! กูไม่ไหวแล้ว! เย็นนี้ไปกินชาบูกันเหอะ กูกำลังต้องการพลังงานชีวิตอย่างเร่งด่วน" เพิ่งจะสอบเสร็จวิชาแรกมันก็ทำหน้าอย่างกับผีดิบขาดสารอาหาร เดินเข้ามาฟุบหน้าลงกับโต๊ะในสภาพหมดแรง แต่จะว่าไปช่วงนี้มันก็ผอมลงจริงๆ

   ทว่ายังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไร ก็มีเสียงทักทายดังขึ้นจากใครบางคนที่เดินเข้ามาในโรงอาหาร

   "ไงตึก ชีทที่พี่เคยให้ไปออกสอบบ้างไหม อ้าว แจ็ค หายไปไหนมาไม่เห็นหน้าซะตั้งนาน" พี่มินนี่เอ่ยทักผม ก่อนจะมองเลยไปเห็นอีกคนที่นอนฟุบหน้าอยู่

   "สวัสดีครับพี่มินนี่คนสวย" แจ็คเงยขึ้นมาฉีกยิ้มทักทายพี่รหัส ถึงแม้สีหน้าจะเนือยๆ แต่ยังคงรักษาความตอแหลเอาไว้ได้ดุจเกลือรักษาความเค็ม

   "แล้วนี่คืนดีกันตั้งแต่เมื่อไหร่" พี่มินนี่เลิกคิ้วเล็กน้อย เพราะล่าสุดที่เจอกันผมยังมีรอยช้ำอยู่บนมุมปาก

   "โธ่ ฉันละก็อุตส่าห์ดีใจ นึกว่าตึกจะได้หมดทุกข์หมดโศก เลิกเห็นกรงจักรเป็นดอกบัว หมดเวรหมดกรรมกับตัวเห็บเหลือบริ้นไรซะที" ยังดีที่ไม่เรียก 'เสนียดจัญไร' ให้รู้แล้วรู้รอด

   "อ้าวเจ๊!? พูดอย่างนี้ก็สวยสิครับ เดี๋ยวผมก็อวยพรให้ผัวเจ๊ตาสว่างบ้างหรอก" ผีดิบผุดลุกขึ้นมาแยกเขี้ยว ลับฝีปากกลับอย่างไม่ยอมแพ้

   "อ้าวอินี่!? ฉันก็แค่บอกให้ตึกเลือกคบเพื่อนดีๆ เรื่องอะไรจะมาแช่งให้ฉันถูกผัวทิ้งยะ! แต่เอ๊ะ...? เดี๋ยวนะ..." พี่มินนี่เถียงกลับไปตามปรกติก่อนจะสะดุดกึก เลิกคิ้วสูงราวกับฉุกคิดอะไรบางอย่าง

   ฉันแช่งให้มันถูกตึกทิ้ง... แล้วไหงมันแช่งให้ฉันถูกผัวทิ้ง...?

   หืม...??? เดี๋ยวนะ

   ไม่ใช่มั้ง ไม่จริงน่า...

   "นี่พวกแกเป็น...ผัวเมียกัน...?"

   พี่มินนี่พูดออกมาด้วยความตกใจ มองหน้าผมที่คำว่า 'ผัว' ก่อนมองหน้าแจ็คที่คำว่า 'เมีย' ปากยังคงพึมพำเลื่อนลอยอย่างสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ตั้งแต่เมื่อไหร่...? ไม่จริงน่า...

   คนช่างเถียงกลับกลายเป็นฝ่ายอ้าปากค้าง จากคนพูดมากกลายเป็นพูดไม่ออก กลายสภาพเป็นผีดิบจีนหน้าซีดที่ถูกลงยันต์แปะกลางหน้าผาก เป็นใบ้เฮือกใหญ่ ก่อนจะพูดโพล่งขึ้นมาว่าต้องเตรียมตัวสอบคาบบ่าย ตามด้วยการกระโดดเด้งดึ๋งๆ เผ่นจากไปอย่างไม่เหลียวหลัง

   ทิ้งให้พี่มินนี่เบนหน้ากลับมามองทางผม

   เมื่อไม่มีคำปฏิเสธ ก็เท่ากับเป็นการยอมรับ

   "ไม่จริง...ใช่ไหม โธ่... ตึกของเจ๊! จะหันมาอนุรักษ์ป่าไม้ทั้งทีทำไมถึงเสียของอย่างนี้!? สวยและดีอย่างเจ๊มีอีกถมเถ ทำไมถึงได้เลือกกินของแสลงอย่างนั้น กลับตัวกลับใจตอนนี้ยังทันนะ โธ่"

   พี่มินนี่ยังโอดครวญอีกยืดยาว ผมได้แต่นั่งนิ่งอย่างปั้นหน้าไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรแสดงปฏิกิริยาแบบไหน จึงได้แต่ยิ้มแห้งพลางตอบในใจว่า

   'ไม่ทันแล้วครับ'

   

   หนีกลับไปตั้งหลักตลอดบ่าย พอตกเย็นคนหน้าหนาโบกปูนเสริมใยเหล็กก็กลับมาชวนผมไปกินชาบูตามที่ได้ลั่นวาจาไว้ น่าเสียดายที่พี่มินนี่ไม่ได้อยู่ขึ้นสังเวียนกับมันอีกยก พวกเราจึงนั่งรถออกมายังห้างใกล้มหาลัยกันอย่างสงบสุข

   "สอบเสร็จแล้วไปเที่ยวกันไหม" ผมเปิดประเด็นชวนคุยระหว่างที่แจ็คกำลังจัดการกับหมูในหม้อ สารพัดจานค่อยๆ หายสาบสูญไปจากโต๊ะ

   "ไปไหนอ่ะ" มันถามกลับสั้นๆ ก่อนจะคีบหมูชิ้นโตเข้าปาก

   "...ไปเที่ยวบ้านกูไหม"

   เด็กต่างจังหวัดอย่างผมปีนึงจะได้กลับบ้านสักสองสามครั้ง แต่ในช่วงเวลาแบบนี้ผมไม่อยากอยู่ห่างจากมันนานๆ สำหรับคนทั่วไปอาจเรียกได้ว่าเป็นช่วงข้าวใหม่ปลามัน ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ แต่สำหรับผมกลับถือว่าอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ

   "บ้านมึงอะนะ มีอะไรให้เที่ยว ไปดูควายไถนาเหรอ"

   ก็ดูปากมัน! จนบัดนี้ยังไม่เคยพูดจาหวานหูให้ชื่นใจสักครั้ง พูดจบยังมีหน้ามายักคิ้วกวนตีนก่อนคีบหมูอีกชิ้นเข้าปากเคี้ยวแก้มตุ่ย

   แต่เอาเถอะ คิดว่าผมรู้จักนิสัยมันดีแค่ไหน ถ้าสะทกสะท้านกับคำพูดแค่นี้คงจะตัดขาดกันไปแล้วเป็นรอบที่ล้าน คำพูดก็เหมือนดาบสองคม ก็แค่สะท้อนคมดาบกลับไป

   "ไปแนะนำตัวลูกสะใภ้"

   พรวด! พูดไม่ทันขาดคำคนตรงข้ามก็สำลักออกมาอย่างแรง ไม่ใช่แค่น้ำแต่เป็นเศษเนื้อ ยังดีที่ผมตั้งหลักอยู่แล้วจึงถอยหลบทัน ส่วนคนที่สำลักยังคงไอจนหน้าดำหน้าแดง

   ผมคว้าทิชชูหลายแผ่นยื่นออกไปด้านหน้า ทว่าปล่อยให้มือที่ยืนออกมารับลอยค้างอยู่กลางอากาศ เพราะเป้าหมายของผมไม่ใช่มือ แต่เป็นแก้มและปาก

   พอผมช่วยเช็ดให้ ใบหน้าของคนที่แดงอยู่แล้วจึงยิ่งแดงก่ำ

   จนไม่รู้ว่าเป็นเพราะไอ หรือเป็นเพราะอาย

   

   หลังจากกินอิ่มแล้วพวกเราจึงออกมาเดินเล่นย่อยอาหาร แจ็คยังคงมีสีหน้าปั้นยาก ยิ่งพอผมบอกว่าไม่ได้พูดเล่น ถ้ามันยอมไปจริงผมก็ตั้งใจจะทำอย่างที่พูดจริงๆ พ่อแม่ของผมเป็นคนทันสมัย น่าจะยอมรับเรื่องแบบนี้ได้ไม่ยาก แต่มันกลับเฉไฉไม่ยอมพูดถึงเรื่องนี้อีก ผมจึงไม่เซ้าซี้ ปล่อยให้มันได้มีเวลาคิดบ้าง

   ระหว่างที่เดินดูหนังสืออยู่แจ็คก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ แต่จนกระทั่งผมหยิบหนังสือไปจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยก็ยังไม่เห็นอีกฝ่ายกลับมา มองหาจนทั่วก็ไม่เจอ ผมจึงเดินออกมาหน้าร้านและตั้งใจจะโทรไปตาม

   จังหวะนั้นเอง ผมเหลือบไปเห็นแผ่นหลังของแจ็คยืนอยู่ข้างบันไดเลื่อน ทว่าไม่ได้อยู่ตามลำพัง ยังมีเด็กวัยรุ่นผู้ชายสองคนในชุดนักศึกษายืนอยู่ด้วย กำลังพูดคุยอะไรกันบางอย่างด้วยรอยยิ้ม

   ผมขมวดคิ้วระหว่างที่เดินเข้าไปใกล้ จนได้เห็นใบหน้าอีกฝ่ายชัดเจนจึงเริ่มรู้สึกคุ้นตา พยายามทบทวนความทรงจำจนนึกออกว่าเคยเจอรุ่นน้องสองคนนี้ที่ไหนมาก่อน เด็กปีหนึ่งต่างคณะที่เคยมาร่วมงานค่ายอาสาที่ผ่านมานั่นเอง

   "ถ้ามีอะไรก็โทรมาได้ พี่ว่างตลอดแหละ" แจ็คยิ้มพลางยื่นโทรศัพท์คืนกลับไปให้น้องคนหนึ่ง

   บทสนทนาที่ได้ยินทำเอาผมฉุนกึก เผลอแวบเดียวมันแจกเบอร์จีบเด็กอีกแล้ว!?

   "อ่ะ พี่ต้น สวัสดีครับ" น้องที่สังเกตเห็นผมเอ่ยทัก ผมจึงพยักหน้ารับเล็กน้อย พลางเดินไปหยุดยืนอยู่ข้างไอ้แจ็ค ไอ้หมาตัวดี!

   มันหน้าเจื่อนชั่ววูบก่อนจะปั้นหน้ายิ้มแย้มตามปรกติ เหมือนไม่ได้ทำความผิดอะไร ไม่ได้มีชนักติดหลัง ผมจึงวางสีหน้านิ่งเรียบตามปรกติเช่นกัน ถึงแม้ภายในใจจะเริ่มเดือดปุดๆ รุ่นน้องยังคงชวนคุยอีกสองสามประโยค แต่แทบไม่ได้เข้าหูผมเลยสักอย่าง

   "เอ่อ... พี่ต้นครับ คือเพื่อนผมอยากจะขอเบอร์พี่ด้วย ได้ไหมครับ" น้องคนเดิมเอ่ยถามแทนเพื่อนอีกคนที่กำลังยืนอ้ำอึ้งเขินอาย

   "ได้สิ" ผมเหล่มองคนข้างกายแวบหนึ่งก่อนจะตอบโดยแทบไม่ต้องคิด

   "ศูนย์แปด..." ระหว่างที่ผมกล่าวต่อเสียงเรียบ กลับมีเสียงพูดโพล่งผ่ากลางวงขึ้นมา

   "ถ้าน้องมีอะไรโทรหาพี่ก็ได้ พี่กับไอ้ถึกอยู่ด้วยกันตลอดเวลาอยู่แล้ว" แจ็คพูดพลางฉีกยิ้มหวาน เสี้ยวหนึ่งแอบคล้ายการแยกเขี้ยวมากกว่า

   "พี่แจ็คกับพี่ต้น... เป็นรูมเมทกันเหรอครับ" น้องสองคนชะงักไปเล็กน้อย แต่ยังคงพยายามตีความไปในทางที่ดี

   "ก็ไม่เชิงครับ คือพี่สองคนอยู่ด้วยกัน กินด้วยกัน นอนด้วยกัน..." ยิ่งเห็นน้องคนที่เคยยืนหน้าแดงเริ่มหน้าซีด ไอ้แจ็คก็ยิ่งใส่ไฟอย่างสนุกปาก

   "นอนเตียงเดียวกัน อาบน้ำด้วยกัน มีอะไร..."

   "เป็นแฟนกันครับ"

   ผมสรุปให้สั้นๆ ก่อนที่คนหน้าด้านจะพูดจาไม่อายปากไปมากกว่านี้

   "ขอโทษนะครับน้อง พี่สองคนขอตัวก่อนนะ" ผมพูดพลางลากคอไอ้ตัวดีเดินออกจากบริเวณนั้น ใบหน้าที่ยังมียางไม่รู้ว่าควรจะยิ้มหรือหัวเราะ ควรอายแทนหรือควรจะดีใจที่มันทำลงไปเพราะความ 'หึง'

   "มึงพูดแบบนั้นไม่คิดจะจีบเด็กแล้วเหรอ" ผมเอ่ยถามลอยๆ

   อย่าว่าแต่จีบเลย ต่อจากนี้คงไม่มีทางมองหน้าน้องสองคนนั้นติดอีกแล้วแน่ๆ

   "กูจีบที่ไหน ก็แค่รุ่นน้องมาขอเบอร์ กูก็เลยให้" มันยังแถไปได้แบบหน้าด้านๆ

   แต่เอาเถอะ ผมขี้เกียจถือสา เพราะตอนนี้ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ติดใจมากกว่า

   "เราเคยอาบน้ำด้วยกันด้วยเหรอ" พอถูกถามปุ๊บมันก็ทำหน้าเหวอ

   "มึงก็รู้ว่ากูตอแหล" แถมด้วยการตีหน้ามึน ตอบอย่างไม่รู้ไม่ชี้

   "มึงก็รู้ว่ากูไม่ใช่คนตอแหล พูดแล้วก็ต้องทำให้ได้อย่างที่พูด" พูดจบผมก็ล็อกคอคนที่ยืนตัวแข็งให้ออกเดินต่อ พอตั้งสติได้มันก็เริ่มออกแรงดิ้น

   "คือว่ากูไม่ได้กลับบ้านมาหลายวันแล้ว วันนี้กูว่ากูกลับบ้านดีกว่า!"

   ปล่อยให้มันพล่ามไป แต่คิดเหรอว่าผมจะยอมปล่อย คนที่ยังไม่ยอมรับชะตากรรมของตัวเองยังพยายามดิ้นมุดหนีออกทางใต้แขน ผมจึงเลื่อนมือลงมาโอบรอบเอวแทน ดึงร่างนั้นเข้ามาประชิดตัว ก่อนจะก้มลงไปกระซิบ

   "ถ้ามึงยังดิ้นอีก กูจะเปลี่ยนจากห้องน้ำที่หอเป็นห้องน้ำในห้างแทนนะ"

   มันหันขวับกลับมามองผมอย่างไม่เชื่อสายตา ทว่าระยะห่างเท่านั้นทำให้แก้มเนียนปัดผ่านปลายจมูกของผมไป ทำให้คนในอ้อมแขนชะงักถอยหลัง แต่ก็ไม่กล้าดิ้นอีก

   สายตาของผมสื่อความหมายชัดเจน และมันก็ไม่ได้โง่พอที่จะไม่เข้าใจ

   ผมพูดถึง 'ห้องน้ำ' แต่ไม่ได้หมายถึงแค่การ 'อาบน้ำ'

   "ไอ้ถึก ไอ้ยักษ์หื่น" มันเบนหน้าหลบการจ้องมอง ปากยังคงแอบด่าไม่หยุด แต่สุดท้ายก็จำยอมออกเดินแต่โดยดี

   ปล่อยให้มันด่าไปเถอะ

   เพราะถึงยังไงมันก็ทำได้แค่ 'ดีแต่ปาก' เท่านั้นแหละ

   
----------

   
เรื่องของคู่หลัก ต้นกับแจ็ค ก็จะจบแต่เพียงเท่านี้ ถ้าหวานกว่านี้คงจะเป็นตัวปลอม หรือไม่แจ็คก็กินยาผิด :laugh:
ยังเหลือเรื่องของคู่เด็กน้อยอีกนิดหน่อย เอิร์ธกับโซระ เอาไว้จะทยอยมาลงต่อวันหลังนะคะ
วันนี้ใช้โควต้าความขยันหมดแล้ว เฮือกกกกก ต้องรีบไปดูคุณพี่หมื่น  :katai4:

ลงจบแล้วก็แปะโฆษณา~~
แจ็คจะมีวางขายในงานสัปดาห์หนังสือที่จะถึงนี้ (29มีนา-8เมษา ณ ศูนย์สิริกิติ์)
ฝากวางสามบูธ นานานาริส เซ้นส์ B2S รายละเอียดลองแวะไปดูได้ที่เพจจ้า
https://www.facebook.com/at.moment.writer/posts/1659540980802362

ในเล่มหลักก็จะมีตอนพิเศษ5ตอน60กว่าหน้า เล่มเล็กมี44หน้าเป็นตอนพิเศษทั้งเล่ม (ตัวอย่างตอนพิเศษอยู่ในเพจอีกเช่นกัน)
ป.ล. เล่มเล็กมีจำนวนจำกัด ถ้าเหลือจากงานหนังสืออาจมีขายที่เว็บของสนพ.ฟาไฉ แต่ถ้าหมดแล้วก็หมดเลยจ้า

ขอบคุณค่ะ  :pig4:  :L1:



 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด