☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ [สนพ.ฟาไฉ] แจ้งข่าวอีบุ๊คออกแล้วนะคะ P.3
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ [สนพ.ฟาไฉ] แจ้งข่าวอีบุ๊คออกแล้วนะคะ P.3  (อ่าน 24564 ครั้ง)

ออฟไลน์ aorpp

  • เป็ดนักขาย
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1276
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +250/-3
นามปากกานี้ คุ้นมากกกเลยค่ะ ชอบงานแปลนิยายวายของคุณ @moment มาก ใช่คนเดียวกันหรือป่าวคะ

ออฟไลน์ em1979

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
แจ๊คเอ้ย... กว่าจะเลิกปากแข็ง  555
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆ นะคะ
และขอตามไปอ่านเรื่อง มังกรไร้ขา ต่อเลย

ออฟไลน์ @moment

  • แอทโมเม้นท์
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
    • https://www.facebook.com/at.moment.writer/
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer/


   เอิร์ธกับโซระ ตอน รถไฟเหาะ

   

   [เอิร์ธ]

   

   "โซระกับเอิร์ธอยู่โรงเรียนเดียวกันเหรอ ดูสนิทกันมากเลย" หนึ่งในสองสาวที่นั่งอยู่โต๊ะด้านหน้าหันกลับมาชวนคุย ระหว่างที่ผมกำลังเก็บชีทใส่กระเป๋าเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน

   "อื้อ พวกเราสนิทกันมาตั้งแต่ม.ต้นแล้ว เนอะเอิร์ธ" ร่างที่นั่งอยู่ด้านข้างผมคลี่ยิ้มตอบด้วยอัธยาศัยอันดี ก่อนที่ปลายประโยคจะหันกลับมาขอเสียงสนับสนุน โดยมือข้างหนึ่งก็วางลงมาบนบ่าของผมเพื่อยืนยันความสนิทสนม

   ผมจึงพยักหน้าตอบรับเรียบๆ พลางปรายตามองมือที่ยังคงวางอยู่บนบ่าของตนเองเล็กน้อย ปรกติแล้วโซระเป็นคนร่าเริง สดใส ไม่ถือตัว การแตะเนื้อต้องตัวกันแบบเพื่อนจึงไม่ใช่เรื่องแปลก คงจะมีเพียงผมฝ่ายเดียวที่คิดมาก ฟุ้งซ่าน หวั่นไหวไปกับแค่การสัมผัสเล็กๆ น้อยๆ

   ทั้งๆ ที่อุตส่าห์ลงเรียนกวดวิชาตั้งมากมายเพื่อไม่ให้ตัวเองว่าง สมองจะได้ไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องของใครบางคน แต่แล้วคนๆ นั้นกลับดันตามมาเรียนด้วยกัน เลยกลายเป็นว่าพวกเราต้องเจอหน้ากันทุกวัน จันทร์ถึงศุกร์ ไม่เว้นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ไม่มีเวลาห่างกันเลยสักนิด ทำให้ผมยิ่งรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองอ่อนแอลงทุกวัน

   บางครั้งก็เต้นแรงยิ่งกว่านั่งรถไฟเหาะ

   แต่บางครั้งก็บีบรัดจนรู้สึกเจ็บ

   "พวกเราว่าจะไปกินไอศกรีม โซระกับเอิร์ธไปด้วยกันนะ" สาวคนเดิมเริ่มหงายการ์ดรุก ต่างจากอีกหนึ่งสาวที่ยังนั่งซ่อนรอยยิ้มด้วยท่าทางเขินอาย

   "ขอโทษจริงๆ คือวันนี้เรากับเอิร์ธมีนัดแล้ว" โซระยิ้มแหยตอบสองสาวอย่างเกรงใจ ขณะที่ผมได้แต่หันไปมองคนข้างๆ อย่างงงๆ ว่าพวกเรามีนัดตั้งแต่เมื่อไหร่? กับใคร? ที่ไหน? อะไรยังไง?

   "เหรอ น่าเสียดายจัง" สีหน้าของสองสาวจึงเจื่อนลงไป

   โซระขอโทษขอโพยอีกหลายครั้ง ก่อนจะขอตัวกลับพร้อมดันหลังให้ผมออกเดินไปพร้อมกัน

   เมื่อเดินออกมาจากโรงเรียนกวดวิชาซึ่งตั้งอยู่กลางย่านร้านค้าของวัยรุ่น ส่วนใหญ่เด็กที่เพิ่งเลิกเรียนพิเศษจึงมักจะแวะผ่อนกลายด้วยการหาอะไรนั่งกินบ้าง เดินเลือกซื้อของบ้าง ผมยังคงเดินผ่านหน้าร้านต่างๆ เมื่อมือที่วางอยู่บนแผ่นหลังยังไม่ผละออกไป จนกระทั่งผมเริ่มชะลอฝีเท้าและหันกลับไปขอคำอธิบาย คนด้านข้างจึงยอมตอบเสียงอ่อย

   "ก็... เราไม่อยากให้ความหวัง" คำตอบสั้นๆ ที่ฟังดูมีเหตุผล

   เพราะถึงยังไงโซระหรือผมก็คงไม่มีทางชอบพอพวกเธอมากไปกว่าความเป็นเพื่อน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังอดเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจไม่ได้ เพราะตามปรกติแล้วโซระมักจะตอบรับคำชวน เพราะไม่อยากปฏิเสธให้คนชวนต้องเสียใจ

   "เราหิวแล้ว ไปหาอะไรกินกันนะ" เมื่ออีกฝ่ายกล่าวแบบนั้นผมจึงปัดความสงสัยออกจากสมอง ไม่อยากจะคิดมากให้วุ่นวาย ทว่าเมื่อพยักหน้ารับ กลับถูกจูงมือให้ออกเดินต่อ ทำให้ผมต้องก้มลงมองมือของตัวเองที่ถูกเกาะกุมโดยมือของคนข้างๆ

   นี่เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผมพยายามไม่คิด ย้ำบอกตัวเองว่าอย่าคิดไปเอง แม้จะรู้สึกว่าการสัมผัสเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นบ่อยเกินไป

   ยิ่งพักหลังมานี้ อาการใจสั่นยิ่งกำเริบถี่ จนน่ากลัวว่าหัวใจจะวายเข้าสักวัน

   

   "ข้าวหน้าเนื้อกับก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ครับ" พอได้ที่นั่งโซระก็จัดการสั่งเผื่อผมเรียบร้อย เมนูประจำทุกครั้งที่พวกเรามาทานร้านนี้ เมื่อจดรับรายการอาหารเสร็จพนักงานจึงเดินกลับออกไป

   "หมู่นี้... ไม่ค่อยเห็นพี่ต้นเลยนะ ทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า" ระหว่างนั่งรออาหารมาเสิร์ฟ โซระก็เปิดบทสนทนาขึ้นมา

   ทว่าเป็นคำถามที่ผมได้แต่อ้ำอึ้ง เพราะเรื่องระหว่างผมกับพี่ต้นเป็นแค่สิ่งที่ถูกกุขึ้นมา เป็นแค่แผนการ จะให้บอกได้ยังไงว่าทั้งหมด... คือเรื่องโกหก

   "แล้ว... โซระกับพี่แจ็คล่ะเป็นยังไงบ้าง" ผมได้แต่เบี่ยงเบนคำถามด้วยการย้อนถาม ถึงแม้จะเคยได้ยินข่าวจากพี่ต้นว่าใครคนนั้นอกหักจากโซระ แต่ผมก็ยังไม่เคยกล้าถามรายละเอียดโดยตรงจากคนตรงหน้าเลยสักครั้ง

   "เรื่องของเรากับพี่แจ็คคงเป็นไปไม่ได้หรอก" โซระตอบด้วยรอยยิ้มจาง

   "ทำไมล่ะ" ผมถามต่อ แม้จะพอรู้เรื่องอยู่บ้าง แต่พอได้ยินจากปาก หัวใจก็อดโลดเต้นด้วยความยินดีไม่ได้

   โซระนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะกล่าวประโยคถัดมาด้วยรอยยิ้มที่สดใสกว่าเดิม

   "เพราะเรามีคนที่ชอบอยู่แล้ว"

   ถ้าหากเปรียบหัวใจของผมเหมือนกำลังเคลื่อนขึ้นไปหยุด ณ จุดสูงสุดของรางรถไฟ วินาทีที่ได้ยินคำตอบนั้น กลางอกก็วูบโหวง ราวกับก้อนเนื้อข้างในถูกปล่อยทิ้งให้ร่วงหล่นลงมาอย่างรวดเร็วและรุนแรง

   

   ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมต้องรับรู้ว่าโซระชอบใครบางคน

   แม้กระทั่งครั้งแรกที่พวกเรารู้จักกัน ก็เป็นความบังเอิญที่ผมเก็บกระเป๋าสตางค์ใบหนึ่งได้ เมื่อลองเปิดดูจึงรู้ว่าเป็นของเพื่อนร่วมชั้น แต่ในนั้นกลับมีรูปถ่ายของรุ่นพี่คนหนึ่งอยู่ด้วย ตอนแรกผมก็ยังไม่ได้เอะใจ จนกระทั่งนำไปคืนแล้วเพื่อนที่แทบไม่เคยคุยกันมาก่อนกลับพยายามตามตีสนิท ทำให้ผมพอจะผูกเรื่องจากท่าทางแปลกๆ ของอีกฝ่ายได้

   "นายไม่ต้องมานั่งเฝ้าเราทุกวันแบบนี้ก็ได้นะ เราไม่บอกใครหรอก"

   ความลับของรูปถ่าย รูปของรุ่นพี่ผู้ชาย เจ้าของกระเป๋าก็เป็นผู้ชาย

   "เราก็เป็นเหมือนกับนาย"

   อุตส่าห์บอกความลับของผมให้เขารู้เพื่อความเสมอภาค เขาจะได้ไม่ต้องมาเสียเวลากับผมอีก แต่แล้วสิ่งที่ได้ยินกลับเหนือความคาดหมาย

   "เดี๋ยวสิเอิร์ธ! เราอยากเป็นเพื่อนกับนายจริงๆ นะ!"

   หลังจากวันนั้นโลกที่เต็มไปด้วยหนังสือของผมจึงมีใครคนหนึ่งก้าวเข้ามา บางครั้งก็เอาการ์ตูนมานั่งอ่านข้างๆ หัวเราะเสียงดังจนต้องเงยหน้าขึ้นมามอง หลายครั้งก็ชอบทำอะไรไร้สาระจนผมต้องส่ายหน้า แต่แล้วความร่าเริงสดใสและรอยยิ้มจริงใจก็ทำให้อดยิ้มตามไม่ได้ ยิ่งเวลาผ่านไปพวกเราก็ยิ่งสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ

   แม้ว่าความรักของโซระจะจบลงเมื่อรุ่นพี่คนนั้นย้ายไปเรียนต่อม.ปลายที่อื่น แต่นั่นก็ไม่ใช่ครั้งเดียวที่โซระชอบใครสักคน

   ในขณะที่โซระกำลังเริ่มต้นความรักครั้งใหม่ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้...ที่ผมเริ่มหลงรักเพื่อนของตัวเอง

   อาจถือเป็นความโชคดีบนความโชคร้าย เพราะความรักของโซระมักจะอยู่ในโลกของความฝัน แค่ได้แอบมองก็พอใจ แค่ได้เห็นใครคนนั้นยิ้มก็มีความสุข แม้จะเศร้าเมื่อรู้ว่าเขาคบกับคนอื่น แต่ไม่นานนักก็ทำใจและเปิดใจมองหารักใหม่ได้

   "เอาแต่นั่งรอเจ้าชายในฝันแบบนี้ แล้วเมื่อไหร่จะมีแฟนกับเขาสักที"

   ผมเคยถอนหายใจพลางพูดอย่างนั้น หลังจากที่เพิ่งจะปลอบคนอกหักมาหมาดๆ แต่วันถัดมาเจ้าตัวกลับไปปิ๊งรักแรกพบเมื่อสบตากับพนักงานในร้านกาแฟ ถึงขั้นไปนั่งที่ร้านนั้นทุกวันหลังเลิกเรียนต่อเนื่องกันเป็นอาทิตย์

   ร่างเล็กกลับย่นจมูกใส่พลางบอกว่า "ถ้าเบื่อก็ไม่ต้องมาด้วยกันก็ได้"

   โซระอาจจะคิดว่าผมเบื่อหรือเหนื่อยหน่ายที่ต้องมาคอยตามปลอบใจ แต่คงไม่เคยรู้หรอกว่า แท้จริงแล้วคำพูดเหล่านั้นเกิดขึ้นจากความน้อยใจ

   เพราะผมรู้ว่าตัวเองห่างไกลจากภาพเจ้าชายในฝัน และเจ้าหญิงก็ไม่เคยหันกลับมามองคนข้างๆ เลยสักครั้ง

   เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ศัตรูหัวใจรายล่าสุดดันเป็นหมาป่าในคราบของเจ้าชาย แถมยังเป็นฝ่ายเข้ามาจีบโซระก่อนด้วย ทำเอาผมร้อนใจจนทนอยู่เฉยไม่ได้ ยังโชคดีที่คราวนี้มีพี่ต้นคอยช่วย และโซระเองก็ไม่ได้ไปหลงคารมคนพรรค์นั้น

   แต่แล้วความดีใจก็ผ่านมาเพียงแค่ชั่ววูบ

   เมื่อตอนนี้ โซระกลับไปชอบใครอีกคน...

   

   "ซดนมเป็นลิตรแบบนี้ คิดอยากจะสูงกับเขาบ้างเหรอไงฮะตัวเล็ก" เพื่อนคนหนึ่งที่เดินผ่านเอ่ยแซว กลายเป็นเรื่องปรกติไปแล้วที่โซระมักจะถูกเรียกว่า 'ตัวเล็ก' บ้าง 'เตี้ย' บ้าง แต่เพราะรู้ว่าเพื่อนเรียกด้วยความสนิทสนม ไม่ใช่การด่าหาเรื่อง จึงไม่ได้ถือสา

   "ชิ อย่าให้เกิดมาสูงมั่งละกัน" ทว่าวันนี้คนน่ารักที่มักจะยิ้มรับกลับบ่นหน้างอ

   ผมจึงเงยหน้าจากหนังสือขึ้นมามองคนที่ยกนมกล่องลิตรขึ้นดื่มอีกหลายอึกใหญ่ ปรกติไม่เคยเห็นโซระชอบดื่มนมมาก่อน แต่หมู่นี้ไม่รู้เป็นอะไรถึงได้ขยันดื่มทุกวัน แทบจะเรียกได้ว่าดื่มนมต่างน้ำ

   "กินเยอะอย่างนั้นเดี๋ยวก็ไม่ย่อยหรอก" ผมทักท้วงเมื่อเห็นอาหารกลางวันจานโตที่สั่งแบบเพิ่มพิเศษ แต่คนตรงข้ามก็ยังนั่งเคี้ยวตุ้ยๆ แถมตอนหลังกลัวจะหมดเวลาพักหรือยังไงก็ไม่รู้ จัดการยัดแบบแทบไม่ทันได้เคี้ยวด้วยซ้ำ

   ยิ่งมองก็ยิ่งน่าสงสัยว่าพฤติกรรมแปลกประหลาดเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความรักครั้งใหม่หรือเปล่า แต่ถึงผมจะลองเลียบเคียงถามว่าคนๆ นั้นคือใคร โซระกลับปิดปากเงียบ ทั้งๆ ที่พวกเราไม่เคยมีอะไรปิดบังกันมาก่อน

   สุดท้ายความเป็นห่วงของผมก็กลายเป็นจริงเข้าจนได้

   "อะไรนะ!? โซระอยู่ห้องพยาบาล!?" ผมอุทานอย่างตกใจ เมื่อได้รับรู้ข่าวจากเพื่อนคนหนึ่งหลังเลิกเรียน บอกว่าโซระปวดท้องอย่างหนักตั้งแต่ตอนบ่ายๆ สงสัยว่าจะอาหารเป็นพิษ

   "ไม่เป็นอะไรมากแล้วล่ะ แต่วันนี้ก็อย่าเพิ่งกินอะไร ดื่มแต่น้ำเกลือแร่อย่างเดียวก็พอ" หลังจากที่รีบวิ่งมาไกลจนต้องยืนหอบหายใจ ครูประจำห้องพยาบาลจึงอธิบายให้ฟังคร่าวๆ โชคดีที่อาการไม่รุนแรงนัก ไม่ถึงขั้นต้องพาส่งโรงพยาบาล

   'เตือนแล้วก็ไม่เคยฟัง' แม้ใจหนึ่งผมอยากจะดุคนหัวดื้อมากแค่ไหน แต่พอเห็นใบหน้าซีดเซียวของร่างเล็กที่นอนขดตัวคุดคู้อยู่บนเตียง มือกดกุมอยู่บนหน้าท้อง เท่านั้นทั้งความเป็นห่วงและสงสารก็ทำให้ดุไม่ออก พอผมเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างเตียง คนที่นอนอยู่จึงปรือตาขึ้นมามองด้วยใบหน้าสลด

   "ลุกไหวไหม" เมื่อโซระพยักหน้ารับผมจึงโน้มตัวลงไปช่วยพยุง ร่างนั้นพยายามขยับลุกขึ้นนั่งทั้งๆ ที่ยังขดตัวงอเป็นกุ้ง

   "เดินไหวไหม เดี๋ยวเราไปส่งที่บ้าน" ใบหน้าซีดเซียวพยักรับอีกครั้ง ผมจึงยกมือไหว้ขอบคุณคุณครูพร้อมกล่าวลา ก่อนจะหยิบกระเป๋าของโซระและตัวเองมาถือ พาคนที่ค่อยๆ เดินอย่างเชื่องช้ากลับบ้าน ปรกติพวกเราจะนั่งรถไฟฟ้า แต่ดูท่าวันนี้คงต้องใช้บริการแท็กซี่

   "ขอโทษนะ เราทำให้เอิร์ธลำบากอีกแล้ว..." ระหว่างนั่งอยู่บนรถ คนข้างๆ ก็พูดขึ้นมาเสียงอ่อย ผมจึงได้แต่ถอนหายใจ ว่าจะไม่ดุแต่ก็อดบ่นไม่ได้

   "คิดยังไงถึงได้กินเยอะจนปวดท้องขนาดนี้" ทั้งข้าวจานโต ทั้งนมเป็นลิตรๆ ยังไม่นับขนมปิดท้ายอีก ถ้าย่อยทันก็เก่งเกินไปแล้ว คิดแล้วผมก็พาลโมโหตัวต้นเหตุที่ทำให้โซระต้องเป็นแบบนี้

   "ก็เรา... อยากจะตัวสูงๆ แบบพี่ต้นบ้าง" เสียงแผ่วเบาตอบอุบอิบ ทำให้ผมหันกลับไปมอง ถ้าจะให้ตอบตามหลักความจริง ต่อให้กินนมอีกกี่ปีร่างเล็กก็คงไม่มีทางสูงขึ้นได้ขนาดนั้น เพราะกรรมพันธุ์ของคนเราไม่เหมือนกัน แต่ถ้าจะตอบแบบให้กำลังใจ วัยรุ่นอย่างพวกเราก็ยังพอมีโอกาสสูงขึ้นได้อีกหลายปี

   แต่ประเด็นสำคัญก็คือ ทำไมโซระถึงได้อยากเป็นเหมือนคนอื่น

   "นายเป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้วนี่นา" ผมพูดจากใจจริง ไม่เห็นจำเป็นต้องพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อใคร แค่นี้โซระก็น่ารักมากเกินพออยู่แล้ว

   'นายเป็นคนดีนะเอิร์ธ' ตอนนั้นเองที่ประโยคหนึ่งดังย้อนกลับเข้ามาในความคิด พี่ต้นอาจจะต้องการบอกแบบเดียวกัน ไม่มีประโยชน์ที่จะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนๆ นั้นคือใคร ดีพอให้โซระทุ่มเทมากขนาดนี้หรือเปล่า

   "แล้วถ้าเทียบระหว่างเรากับพี่ต้น... เอิร์ธชอบใครมากกว่ากันล่ะ" แต่คนด้านข้างก็ยังไม่เลิกเปรียบเทียบ ปลายเสียงซ่อนแววน้อยใจอย่างกับเด็กหวงเพื่อน แต่จะว่าไป สาเหตุที่ทำให้โซระรีบร้อนทำอะไรเกินตัว ก็อาจเป็นเพราะเพื่อนสนิทมีแฟนไปแล้ว ในขณะที่ตัวเองยังไม่มีบ้างสักที

   สายตาตัดพ้อที่มองมา ทำให้ผมยิ่งรู้สึกผิดกับการโกหก

   "โซระ... คือว่า เราไม่ได้เป็นแฟนกับพี่ต้นหรอก" ผมตัดสินใจสารภาพความจริง แม้สีหน้างงจัดของอีกฝ่ายจะทำให้ผมไม่กล้าอธิบายทุกอย่างออกไป

   "คือ พวกเราเหมาะจะเป็นพี่น้องกันมากกว่าน่ะ" ผมตัดสินใจเล่าต่อโดยหลีกเลี่ยงความจริงบางส่วน แต่สิ่งที่พูดล้วนเป็นความจริง ผมกับพี่ต้นห่วงใยกันแบบพี่น้อง และไม่มีทางเป็นได้มากกว่านั้น เพราะเราสองคนต่างก็หลงรักใครบางคนไปแล้ว

   "จริงเหรอเอิร์ธ!?" ริมฝีปากที่ยังคงซีดเซียวคลี่ยิ้มกว้างอย่างดีใจ โผเข้ามาจับมือผมแน่น ก่อนจะเบ้หน้าและขดตัวกลับลงไปด้วยความปวดท้อง

   "อีกนิดเดียวก็ถึงบ้านแล้ว กลับไปดื่มน้ำเกลือแร่ กินยา แล้วก็รีบเข้านอนนะ" ผมทวนคำพูดที่ครูเคยบอกไว้อย่างเป็นห่วง โซระเม้มปากพลางพยักหน้ารับโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

   หลังจากนั้นผมจึงปล่อยให้อีกฝ่ายได้นั่งพักเงียบๆ ก่อนจะก้มลงมองมือของตัวเองที่ยังคงถูกอีกฝ่ายกุมเอาไว้แน่น ยิ่งไปกว่านั้น สักพักร่างด้านข้างที่นั่งหลับตากลับเอนศีรษะลงมาพิงบนบ่าของผม

   ทำให้ผมรู้สึกว่า รถไฟเหาะที่วิ่งวนไปมาอย่างไม่เคยเข็ด กำลังไต่ระดับความสูงขึ้นอีกครั้ง

   
----------

   หลังจากนี้จะเป็นเรื่องราวของคู่รอง เอิร์ธกับโซระนะคะ มีไม่กี่ตอนจบ
   คู่นี้จะออกเด็กน้อยใสๆ มุ้งมิ้ง หวานนิดๆ ใจสั่นหน่อยๆ

   ความจริงตอนนี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นราวๆ ตอนที่19ของคู่หลัก (แต่เราลืมเอามาลง...)  :a5:
   แต่อ่านย้อนหลังก็ไม่เป็นไร ยังไงเนื้อเรื่องก็ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับคู่หลักแล้ว แยกอ่านได้แหละเนอะ ^^"
   
>> aorpp : นามปากกานี้ คุ้นมากกกเลยค่ะ ชอบงานแปลนิยายวายของคุณ @moment มาก ใช่คนเดียวกันหรือป่าวคะ

เราเคยแปลวายญี่ปุ่นอยู่ไม่กี่เรื่องเมื่อนานมาแล้วค่ะ แต่ไม่แน่ใจว่าใช่เรื่องเดียวกับที่คุณaorpp เคยอ่านหรือเปล่านะคะ ^^"
พักหลังแอบอู้ไปนานมากจนหมดไฟ...เลยไม่ได้รับแปลต่อแล้วค่ะ T^T (พูดถึงแล้วก็รู้สึกผิด ฮือออออ)

>> em1979

มังกรไร้ขายังแต่งไม่จบนะคะ ยังค่อยๆ กระดึ๊บไปอย่างเชื่องช้า...
กว่าจะจบคงอีกพักใหญ่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ (ไม้ยมกจะเยอะไปไหน)
แจ็คเป็นนิยายที่จบแล้วเลยทยอยเอามาลงได้เร็ว แต่เรื่องนั้นต้องใจเย็นนิดนึงน้า...
ขอบคุณที่ติดตามค่า  :pig4:



ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ @moment

  • แอทโมเม้นท์
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
    • https://www.facebook.com/at.moment.writer/
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer/
   

   เอิร์ธกับโซระ ตอน เส้นผมบังภูเขา

   

   [เอิร์ธ]
   

   ถึงขั้นอาหารเป็นพิษไปแล้วครั้งหนึ่งโซระก็ยังไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจ ยังคงตั้งหน้าตั้งตาขุนตัวเองต่อไป แต่อย่างน้อยก็ปรับปรุงวิธีการไปในทางที่ดีขึ้น เลิกกินแบบสักแต่จะยัด หันมาเลือกทานอาหารที่เป็นประโยชน์ เน้นโปรตีนอย่างเนื้อ นม ไข่ขาว และออกกำลังกายมากขึ้น อย่างตอนพักกลางวันก็ไปเล่นบาส หรือเย็นวันไหนที่ไม่มีเรียนพิเศษก็ออกไปวิ่งบ้าง

   "เอิร์ธ~! เอิร์ธดูนี่สิ!" ใบหน้าใสคลี่ยิ้มกว้างพลางเดินกึ่งวิ่งมาทางผม

   น่าเสียดายผิวขาวๆ ที่กลายเป็นสีคร้ามแดด ทว่าไม่ใช่สีแทนหรือสีน้ำผึ้ง แต่เป็นสีขาวอมชมพูเข้มจนเกือบจะแดงเถือกมากกว่า จนผมต้องคอยเตือนให้อีกฝ่ายทาครีมกันแดดบ้าง ไม่อย่างนั้นผิวของโซระอาจจะไหม้จนลอก ทั้งแสบทั้งคันทรมาน เหมือนอย่างที่เคยเป็นตอนช่วงงานกีฬาสี

   "อะไรเหรอ" ผมถามยังไม่ทันจบประโยคโซระก็รีบอวดให้ดูรูปใบหนึ่งจากโทรศัพท์มือถือ เป็นรูปถ่ายของร่างเล็กในห้องนอน กำลังยืนตัวตรงแนบแผ่นหลังพิงกับกำแพง เมื่อซูมเข้ามาจึงเห็นรอยขีดข้างเสา กำกับวันที่และตัวเลข

   "เอิร์ธเห็นไหม!? เทียบกับเดือนที่แล้วเราสูงขึ้นตั้งครึ่งเซนต์แน่ะ!"

   น้ำเสียงตื่นเต้นดีใจทำให้ผมกำลังจะคลี่ยิ้มตอบปนกึ่งขำกึ่งเอ็นดู 'ก็บอกแล้วว่าวัยอย่างพวกเรายังสูงขึ้นได้อีก'

   แต่เมื่อหันหน้าไปกลับต้องเผชิญกับรอยยิ้มสว่างสดใสในระยะประชิด เมื่อโซระไม่เพียงแต่จะอวดรูปในมือถือ แต่ยังชะโงกศีรษะเข้ามาดูด้วย จนแก้มของพวกเราแทบจะแนบชิดกัน และเมื่อผมหันไปพร้อมๆ กับที่โซระหันมา จมูกของพวกเราจึงแทบจะชนกัน

   วินาทีนั้น หัวใจของผมแกว่งวูบ

   ผมได้แต่กลั้นหายใจพลางถอยใบหน้าออกมา ขณะที่โซระยิ้มเก้อเขินชั่วครู่ ก่อนจะพูดออกมาด้วยแววตามุ่งมั่น

   "อีกนิดเดียวเราก็จะสูงเท่าเอิร์ธแล้วนะ"

   คำพูดนั้นไม่ใช่แค่การคุยโม้โอ้อวด เพราะจะว่าไปแล้วตอนนี้ความสูงของพวกเราก็ห่างกันอยู่แค่สองเซนต์ ถ้าโซระยังเล่นสูงแบบก้าวกระโดดอย่างนี้ สักวันผมอาจจะถูกแซงหน้าก็ได้

   

   'เชื่อพี่สิ เอิร์ธสารภาพความรู้สึกกับโซระตามตรงเถอะ'

   พี่ต้นเคยพูดกับผมแบบนั้น ให้กำลังใจด้วยน้ำเสียงหนักแน่น บอกว่าทุกอย่างจะต้องเป็นไปได้ด้วยดี ไม่รู้ว่าพี่เขาไปเอาความมั่นใจมากมายนั้นมาจากที่ไหน แต่เรื่องแบบนี้ ...ใช่ว่าพูดง่ายแล้วจะทำง่าย

   ใช่ว่าทุกคนจะโชคดีเหมือนพี่ต้นที่สารภาพรักแล้วได้สมหวัง

   เอ่อ ควรเรียกว่าโชคดีหรือเปล่า? เพราะจนถึงทุกวันนี้ผมก็ยังคงรู้สึกแบบเดียวกับวันแรกที่พวกเราพบกัน

   'ผมคิดว่ารสนิยมของพี่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่'

   แต่เอาเถอะ เห็นพี่ชายมีความสุขผมเองก็ดีใจด้วย

   ถือได้ว่าแผนการที่พวกเราสมรู้ร่วมคิดกันสำเร็จลุล่วงลงด้วยดี แต่ถ้าจะมีเรื่องผิดแผนอยู่เพียงอย่างเดียวก็คือ แทนที่ผมจะเบาใจว่ากำจัดศัตรูหัวใจออกไปได้ สุดท้ายกลับต้องมาเจอศัตรูที่อันตรายยิ่งกว่า แถมยังน่ากลัวกว่าเดิมหลายร้อยเท่า เพราะคราวนี้เป็นคนที่โซระรัก...

   ซุนวู ปราชญ์แห่งพิชัยยุทธ์เคยกล่าวไว้ 'รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง'

   ปัญหาคือ ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับศัตรูคนนี้เลย

   ถึงแม้จะเคยลองพยายามหลอกถามหลายครั้ง แต่โซระกลับกลบเกลื่อนไปได้ทุกครั้ง ทั้งๆ ที่ปรกติแล้วโซระเป็นคนอ่านง่าย มีอะไรในใจก็มักจะแสดงออกผ่านสีหน้าท่าทาง แต่คราวนี้ผมลองจับตาดูอยู่นานกลับไม่เห็นโซระมีท่าทีกับใครเป็นพิเศษ

   "เวลาจีบใครเราควรทำยังไงบ้างเหรอ" คนที่ไม่ได้รับรู้ความรู้สึกของคนอื่นบ้างเลยยังจะมีหน้ามาถาม

   ด้วยความหงุดหงิดปนขุ่นเคืองผมจึงตอบส่งๆ ไปว่า "ชวนไปดูหนัง? ฟังเพลง? ให้ของขวัญ? ไม่รู้สิเราก็ไม่เคยจีบใครเหมือนกัน" ผมอยากจะแถมค้อนส่งท้าย แต่อีกฝ่ายกลับคลี่ยิ้มกว้างจนแก้มทั้งสองข้างกดเป็นรอยบุ๋ม

   ถือโอกาสนั้นผมจึงลอบสังเกตการณ์ว่าโซระจะทำแบบที่ผมแนะนำกับใครบ้างหรือเปล่า แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นโซระจะลงมือทำอะไรสักอย่าง จนกระทั่งวันเสาร์หลังเลิกเรียนพิเศษ คนน่ารักและน่าโมโหในเวลาเดียวกันกลับมาชวนผมไปดูหนัง

   "...ทำไม จะลองซ้อมดูก่อนเหรอ หรือว่าชวนคนนั้นแล้วไม่สำเร็จเลยมาชวนเราแทน" ผมเผลอตอบแกมประชด แต่พอเห็นอีกฝ่ายยิ้มเจื่อนก็อดเสียใจกับคำพูดของตัวเองไม่ได้

   "เรียนเครียดมาทั้งวัน ไปดูหนังคลายเครียดบ้างก็ดีเหมือนกันนะ" ผมจึงปรับเสียงของตัวเองให้นุ่มนวลขึ้น และได้เห็นโซระยิ้มอย่างสดใสมากกว่าเดิม ผมจึงพลอยคลี่ยิ้มออกมาได้

   ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่เห็นแก่ตัวมาก ทั้งๆ ที่อยากเห็นโซระยิ้ม แต่กลับไม่อยากแบ่งปันรอยยิ้มนี้ให้แก่คนอื่น

   ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นเพื่อนที่แย่มาก ทั้งๆ ที่อยากเห็นเพื่อนมีความสุข แต่กลับต้องการขัดขวางความรักของโซระ

   

   ปรกติแล้วเวลาที่โซระแอบชอบใครสักคนก็มักจะชอบไปป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้คนๆ นั้น ผมจึงลองตีวงผู้ต้องสงสัยให้แคบลง ตอนนี้บุคคลที่น่าสงสัยมากที่สุดจึงเป็นคนในชมรมบาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งที่ชื่อว่า 'วิน'

   วินเป็นคนรูปร่างไม่สูงมาก หากแต่วิ่งได้เร็วและกระโดดได้สูงกว่าใคร บุคลิกกระฉับกระเฉง เปิดเผยเป็นกันเอง คล้ายกับ...รุ่นพี่ที่เป็นรักแรกของโซระ

   "เอิร์ธจะลงเล่นด้วยเหรอ!?" โซระอุทานอย่างตกใจ

   หลังจากผมนั่งสังเกตการณ์อยู่ข้างสนามได้พักใหญ่ บังเอิญมีเพื่อนคนหนึ่งถูกครูเรียกพบ ตำแหน่งในทีมฝั่งตรงข้ามของโซระจึงว่างลงและกำลังต้องการผู้เล่นเสริมพอดี

   ผมพยักหน้ารับพลางขยับแว่นให้กระชับเข้ากับสันจมูก ถึงแม้ว่าผมจะไม่ค่อยสันทัดกีฬาทุกประเภท แต่นี่เป็นแค่การเล่นบาสระหว่างพักกลางวัน ไม่ใช่การแข่งขันจริงจัง จึงไม่จำเป็นต้องกังวลถึงผลแพ้ชนะมากนัก

   "ขอบใจนะเอิร์ธ กำลังขาดคนพอดี" วินเดินมาตบบ่าผมเบาๆ

   จากนั้นเกมที่หยุดชะงักจึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

   ต้องยอมรับตามตรงว่าผมไม่มีประโยชน์ในสนามมากนัก ได้แต่วิ่งไล่ลูกสีส้มกลมๆ อย่างมากก็แค่รับบอลมาแล้วส่งต่อ เท่านี้ก็ทำให้คนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายอย่างผมเริ่มหายใจผิดจังหวะ เหงื่อเริ่มซึมขึ้นมาบนหน้าผาก

   ต่างจากวินที่กระโดดชู้ตลูกบาสลงห่วงไปแล้วหลายแต้ม ยิ่งกว่านั้นแต้มล่าสุดโซระเป็นคนส่งบอลต่อให้ เมื่อชู้ตเสร็จวินจึงวิ่งมาแปะมือกับร่างเล็กอย่างสนิทสนม โซระเองก็คลี่ยิ้มตอบอย่างร่าเริง

   หยดเหงื่อที่ร่วงเข้าตาทำให้ภาพเบื้องหน้าพร่ามัว กลางอกบีบรัด อึดอัดจนผมแทบหายใจไม่ออก

   "เอิร์ธ!!!"

   เสียงตะโกนเรียกดังลั่นพร้อมๆ กับเงาสีดำที่พุ่งเข้ามากลางใบหน้า แต่สิ่งที่พุ่งชนให้ผมล้มลงคือแรงกระแทกจากด้านข้าง ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนมองแทบไม่ทัน ใครบางคนส่งบอลมาให้ พร้อมกับที่ใครอีกคนวิ่งเข้ามาแย่ง หากจะโทษว่าเป็นความผิดของใคร ก็คงต้องโทษการเสียสมาธิของตัวผมเอง

   คราวนี้ภาพที่พร่ามัวไม่ได้มีสาเหตุจากหยดเหงื่อ หากแต่เป็นเพราะสิ่งที่ควรอยู่บนใบหน้ากลับไม่อยู่ในที่ที่ควรอยู่ ลางสังหรณ์เลวร้ายแล่นวูบเข้ามาพร้อมๆ กับเสียงอะไรบางอย่างถูกเหยียบดัง กร่อบ!

   "เฮ้ย!? เอิร์ธ กูขอโทษ!" เพื่อนคนหนึ่งร้องอุทาน ผมเงยหน้าขึ้นหรี่ตามองแต่กลับมองเห็นใบหน้าของเขาได้ไม่ชัด ไม่สิ ต้องบอกว่าโลกทั้งใบกลายเป็นภาพเบลอ

   ผมยังไม่มีกะจิตกะใจจะใส่ใจกับหัวเข่าและข้อศอกที่เริ่มเจ็บแปลบ ได้แต่พยายามเพ่งมองหาสิ่งที่ควรหล่นอยู่ข้างตัว ทว่าสิ่งที่เพื่อนคนนั้นหยิบคืนมาให้ กลับกลายเป็นแว่นที่กรอบบิดเบี้ยว เลนส์แตกไปหนึ่งข้าง

   "เอิร์ธเป็นอะไรมากไหม!?" โซระรีบวิ่งเข้ามาหาอย่างร้อนรน ช่วยพยุงตัวผมขึ้นจากพื้นแทนเพื่อนอีกคนที่เคยอยู่ใกล้มากกว่า ก่อนจะสำรวจบาดแผลบนเนื้อตัวอย่างเป็นห่วง

   "ไม่เป็นอะไรมากหรอก ทุกคนไปเรียนเถอะ" ผมตอบเมื่อได้ยินเสียงออดหมดเวลาพักดังขึ้นพอดี ลองฝืนลุกเดินออกจากสนาม ถึงแม้จะเดินกะเผลกอยู่บ้างแต่ก็พอทนไหว ปัญหาใหญ่คือซากแว่นในมือมากกว่า

   "ไปทำแผลที่ห้องพยาบาลก่อนดีกว่านะ" วินพูดขึ้นเมื่อเห็นหัวเข่าและข้อศอกของผมมีเลือดไหลซิบๆ บาดแผลไม่ลึกแต่ก็ถลอกเป็นทางยาว

   "วินไปเรียนเถอะ เดี๋ยวเราพาเอิร์ธไปเอง" โซระกล่าวอย่างเกรงใจ

   "โซระไปเรียนเถอะ เราไปคนเดียวไหว" ผมพูดขัดขึ้นมา เพราะไม่อยากเป็นภาระของใครไปมากกว่านี้

   "เอิร์ธมองเห็นทางเหรอ ไหนบอกมาว่านี่กี่นิ้ว" โซระโบกมือไปมาด้านหน้า ก่อนที่ผมจะเพ่งมองภาพพร่ามัวได้ว่าเป็นอะไร ร่างเล็กก็พูดต่ออย่างไม่รอฟังคำตอบ

   "ขืนเดินสะดุดอะไรเข้าจะยิ่งได้แผลเพิ่มซะเปล่าๆ" พูดจบโซระก็พยุงให้ผมออกเดินโดยไม่ยอมฟังคำคัดค้านอีก

   พอเดินมาส่งถึงห้องพยาบาล โซระก็ยังยืนยันจะนั่งรอจนครูทำแผลให้ผมเสร็จเรียบร้อย ก่อนจะพยุงพาผมกลับไปยังห้องเรียน ทั้งๆ ที่ผมพยายามบอกหลายครั้งแล้วว่าเดินเองไหว โซระก็ยังจะมาหาว่าผมดื้อ ไม่รู้ว่าคนที่ดื้อน่ะใครกันแน่

   แผลแค่นี้ถือเป็นเรื่องเล็ก แต่การมองไม่เห็นนี่สิเรื่องใหญ่

   หลังจากลองดัดแว่นให้กลับเข้าสู่รูปร่างเดิมก็พอจะใส่ได้ แต่เลนส์ข้างหนึ่งที่ร้าวแทบละเอียดก็ทำให้ผมมองเห็นภาพชัดเจนอยู่เพียงข้างเดียว ยิ่งเพ่งกระดานดำนานเข้าก็ยิ่งปวดหัว แถมแว่นเยินๆ ก็ยิ่งทำให้สภาพของผมน่าเวทนาเกินทน มีแต่คนมองมาอย่างสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายผมจึงตัดปัญหาด้วยการถอดแว่นเก็บใส่กระเป๋า ทนมองภาพเบลอเสียเลยยังจะดีกว่า

   "โอ๊ย!" เอาเข้าจนได้ หลังเลิกเรียนผมเดินชนเก้าอี้ของใครบางคนที่ตั้งเกะกะขวางทางอยู่

   "เห็นไหม แล้วแบบนี้จะกลับบ้านคนเดียวได้ยังไง เดี๋ยวเราไปส่ง" โซระดึงกระเป๋าจากมือของผมไปถือให้ ซ้ำร้ายยังจูงมือให้ผมเดินตาม ผมได้แต่ก้มลงมองมือของตัวเองที่ถูกเกาะกุมไว้ พลางมองแผ่นหลังของร่างเล็กเบื้องหน้า

   โซระก็เป็นแบบนี้ ไม่เคยรู้ตัวเลยว่ากำลังทำให้ใครหวั่นไหว

   ใจหนึ่งผมก็อยากกระชับมือให้แน่นเข้า แต่สมองก็ต้องสั่งตนเองให้ห้ามใจ และท้ายที่สุดเหตุผลก็เป็นฝ่ายชนะ เพราะถึงแม้จะเห็นภาพไม่ชัด แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าคนรอบข้างมองมาด้วยสายตาแปลกๆ เพราะโซระเล่นจูงมือผมตลอดทางไม่ยอมปล่อย แม้กระทั่งตอนนี้ที่พวกเราขึ้นมายืนบนรถไฟฟ้าที่มีคนจำนวนมากยืนเบียดเสียดกันอยู่

   "โซระ..." ผมกระตุกมือของตัวเองเบาๆ แทนสัญญาณบอกให้อีกฝ่ายปล่อยมือได้แล้ว

   "หืม? อะไรเหรอ" คนที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยกลับยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้

   ทั้งๆ ที่เดิมทีเราก็ยืนเบียดจนลำตัวชิดกันอยู่แล้ว ตอนนี้คางของโซระจึงแทบจะเกยอยู่บนบ่าของผม

   "ไม่ต้องใกล้ขนาดนี้ก็ได้" ทำเอาผมลืมไปเลยว่าอยากจะพูดอะไรกันแน่

   "ก็เรากลัวเอิร์ธมองไม่เห็น" ต่อให้มองเห็นไม่ชัด แต่ฟังจากน้ำเสียงผมก็เดาว่าตอนนี้โซระกำลังยิ้ม และภาพรอยยิ้มจากความทรงจำก็ปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจน

   "เอิร์ธ... เอิร์ธไม่คิดจะเปลี่ยนไปใส่คอนแทคเลนส์บ้างเหรอ" อยู่ดีๆ โซระก็ถามขึ้นมา ผมไม่รู้ว่าร่างเล็กกำลังมีสีหน้าแบบไหน แต่ก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมองใบหน้าของผมอยู่

   "คอนแทคเลนส์? ทำไมล่ะ" ผมทวนคำถามพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าไม่เคยลอง แต่ยังไงผมก็ไม่รู้สึกชินกับการติดสิ่งแปลกปลอมเข้าไปบนลูกตา ถึงแม้การใส่แว่นจะสะดวกน้อยกว่า แต่ก็สบายใจมากกว่า

   "ก็..." พูดออกมาเพียงเท่านั้นแล้วโซระก็นิ่งเงียบไปพักใหญ่

   "เอิร์ธใส่แว่นดีกว่า อืม ใส่แว่นไว้น่ะดีแล้ว อย่าถอดแว่นให้คนอื่นเห็นเลยนะ" ประโยคท้ายๆ โซระบ่นอะไรงุบงิบงึมงำเหมือนพูดกับตัวเองคนเดียว ทั้งยังควานหาแว่นเยินๆ ของผมออกมาจากกระเป๋า ก่อนจัดการสวมให้เสร็จสรรพ

   "มองเห็นข้างเดียวแล้วมันปวดหัว" เมื่อตั้งสติได้ผมจึงเอ่ยค้าน ตั้งท่าจะถอดแว่นออก แต่อีกฝ่ายกลับคว้ามือของผมไปกุมไว้ดังเก่า

   "ก็ไม่เห็นต้องมองเลย หลับตาก็ได้ เดี๋ยวเราพาเดินเอง"

   ...พูดอะไรอย่างนั้น ไม่มีเหตุผลเลย

   แต่ยังไม่ทันที่ผมจะค้านอะไรต่อรถไฟฟ้าก็เปิดประตูยังสถานีที่ต้องลงแล้ว ผมจึงได้แต่เคลื่อนตัวตามแรงฝูงชน เดินตามการจูงมือนำทางของอีกฝ่าย และทำได้เพียงมองตามแผ่นหลังของร่างเล็กอีกครั้ง

   แว่นที่ร้าวข้างชัดข้าง ยิ่งทำให้สมองของผมสับสน และยิ่งทำให้หัวใจของผมหวั่นไหว

   

   "ทำไมฝนต้องมาตกตอนนี้ด้วยเนี่ย" หญิงวัยกลางคนบ่นพึมพำพลางมองออกไปยังท้องถนนที่มีสายฝนสาดเทลงมาไม่หยุด

   หลังเดินลงจากรถไฟฟ้าไม่ทันไรผมก็เห็นเมฆดำคืบคลานมาแต่ไกล ฝนปรอยๆ ตั้งเค้าชั่วอึดใจก่อนจะเทโครมลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาราวกับฟ้ารั่ว ทำให้คนจำนวนมากรวมถึงผมและโซระติดแหงกอยู่ในสถานี ไม่สามารถออกไปไหนได้

   ตอนแรกผมกะจะลองโทรศัพท์หาแม่ให้ช่วยแวะมารับ พ่อกับแม่ของผมเป็นพนักงานบริษัท ส่วนใหญ่แม่จะเลิกงานตรงเวลาและกลับถึงบ้านแต่หัวค่ำ แต่ถ้าฝนตกหนักแบบนี้น่ากลัวว่ารถจะติด และก็เป็นอย่างที่นึกกลัว เพราะก่อนที่ผมจะโทรไปแม่ก็ส่งข้อความมาว่า 'รถไม่ขยับเลย กว่าจะถึงบ้านคงดึกแน่ๆ ถ้าหิวก็กินข้าวเย็นก่อนได้เลยนะไม่ต้องรอ'

   ผมได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนเหลือบหันไปมองร่างเล็กด้านข้าง บ้านของโซระต้องนั่งรถไฟย้อนกลับอีกหลายป้าย ในขณะที่บ้านของผมต้องต่อรถสองแถวและเดินเข้าหมู่บ้านไปอีก

   "โซระกลับบ้านไปก่อนเถอะ ไม่รู้ว่าฝนจะหยุดตกเมื่อไหร่" ผมครุ่นคิดก่อนตัดสินใจกล่าวออกมา เพราะไม่อยากให้โซระต้องลำบากไปมากกว่านี้

   "ฝนซาพอดีเลย พวกเรารีบไปกันเถอะ" ไม่รู้ว่าไม่ได้ยินที่ผมพูดหรือแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินกันแน่ คนน่ารักที่บางครั้งก็ดื้อจนน่าโมโหกลับดึงมือผมให้ออกเดิน พอดีกับจังหวะที่ฝนซาลงไป เหลือเพียงหยดน้ำเม็ดเล็กประปราย คนบางส่วนยังคงรีรออย่างลังเล แต่อีกส่วนก็ตัดสินใจเสี่ยงเดินกึ่งวิ่งลุยฝนออกไปเช่นเดียวกัน

   "โซระ" ผมพยายามเรียกรั้ง หากเจ้าของชื่อกลับไม่ยอมหันกลับมา หนำซ้ำปฏิกิริยายังเป็นไปในทางตรงกันข้าม มือที่เกาะกุมมือของผมอยู่กระชับแน่นเข้า ผมจึงจำต้องเดินตามแรงดึงไปอย่างปฏิเสธไม่ได้

   โชคดีที่พวกเราขึ้นรถสองแถวได้โดยไม่ต้องยืนรอนานนัก แต่ถึงอย่างนั้นเสื้อนักเรียนสีขาวก็เปียกเปื้อนเป็นจุดๆ ละอองน้ำเกาะพราวอยู่บนเส้นผมและแว่นร้าวๆ ผมจึงถอดแว่นออกมาเช็ดก่อนใส่กลับเข้าไปใหม่อีกครั้ง

   เมื่อภาพชัดเจนขึ้นผมจึงหันไปมองคนด้านข้าง สภาพของโซระเองก็เปียกฝนไม่ต่างกัน ทว่าเจ้าตัวกลับฉีกยิ้มแป้นแล้นอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ผมจึงได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างจนใจ

   โชคร้ายที่โชคดีไม่อยู่กับพวกเรานานนัก หลังลงจากรถสองแถวไม่นานฝนก็เริ่มกระหน่ำลงมาอีกครั้ง มาถึงขั้นนี้แล้วผมจึงทำได้แต่วิ่งลุยฝนต่อไปอย่างไม่มีทางเลือกอื่น

   "ฮัดเช่ย!" ร่างเล็กจามออกมา สภาพของพวกเราในตอนนี้แทบไม่ต่างอะไรไปจากลูกหมาตกน้ำ เนื้อตัวเปียกมะลอกมะแลก เส้นผมลู่ลีบลงแนบกับศีรษะ เสื้อขาวโปร่งบางมองทะลุเห็นไปถึงไหนต่อไหน ผมได้แต่เสมองไปทางอื่น

   "โซระไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วกัน" เมื่อเข้าบ้านได้ผมจึงรีบเดินขึ้นไปหยิบเสื้อกับผ้าเช็ดตัวออกมาให้คนที่ยืนรออยู่ด้านล่าง โซระยื่นมือมารับก่อนจะเดินไปทางห้องน้ำอย่างไม่อิดออด

   ความจริงสมัยก่อนโซระเคยมาเที่ยวเล่นที่บ้านของผมบ่อยๆ ผมเองก็เคยไปบ้านของโซระหลายครั้ง มาตอนหลังเป็นผมเองที่บ่ายเบี่ยงหลีกเลี่ยงไม่ให้อีกฝ่ายมาหา และก็ไม่พยายามไปที่บ้านของโซระอีก

   ตั้งแต่ที่ผมเริ่มรู้ตัวว่า... คิดไม่ซื่อกับเพื่อนของตัวเอง

   ผมรื้อหาแว่นเก่าของเมื่อสองสามปีก่อนออกมาใส่แทนชั่วคราว ถึงแม้สายตาที่สั้นลงจะทำให้มองเห็นภาพได้ไม่คมชัดเท่าเดิม แต่ก็ยังดีกว่าแว่นเยินๆ หรือตาเปล่าที่โลกทั้งใบกลายเป็นภาพเบลอไปหมด

   "เอิร์ธมานั่งนี่สิ เดี๋ยวเราทำแผลให้" ถึงอย่างนั้นร่างเล็กก็ยังจะจูงมือผมเดินไปยังโซฟา ทำอย่างกับว่าผมมองอะไรไม่เห็น หรือไม่ที่นี่ก็ไม่ใช่บ้านที่ผมคุ้นเคยมาตลอดทั้งชีวิต

   ผมไม่อยากขัดใจอีกฝ่ายจึงเดินตามมานั่งลงอย่างไม่อิดออด พลางก้มมองแผลถลอกบนข้อศอกและหัวเข่าที่เกือบจะแห้งและตกสะเก็ดแล้ว แต่พอเจอฝนบวกกับอาบน้ำเข้าไปจึงกลายเป็นแผลสีม่วงช้ำที่มีเลือดซิบๆ ซึมออกมา สภาพไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่

   "ซี๊ด" ผมเผลอสูดปากโดยอัตโนมัติเมื่อสำลีชุบแอลกอฮอล์เย็นๆ ทาบลงมาใกล้กับบริเวณปากแผล

   "ขอโทษนะ! เจ็บมากไหม" โซระชะงักมือฉับพลัน ผมจึงรีบส่ายหน้าเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องเป็นห่วง

   "ไม่เจ็บหรอก โซระทำต่อเถอะ" ถึงแม้ว่าผมจะตอบอย่างนั้นร่างเล็กก็ยังคงขมวดคิ้วยุ่ง

   "ถ้าเจ็บก็บอกนะ เราจะพยายามทำเบาๆ" โซระกล่าวก่อนจะเริ่มเช็ดแผลและทายาต่อไปอย่างเบามือ

   ผมพยายามนั่งนิ่งๆ ไม่นิ่วหน้าแม้จะแสบอยู่บ้างเล็กน้อย จนกระทั่งทำแผลเสร็จเรียบร้อยจึงค่อยหายใจได้ทั่วท้องมากกว่าเดิม

   "อ่ะใช่ เรามีอะไรจะให้เอิร์ธด้วย" ระหว่างเก็บกล่องยาโซระก็พูดโพล่งขึ้นมาราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ ก่อนจะหันไปคว้ากระเป๋านักเรียนมารื้อหาอะไรบางอย่าง

   "อะไรเหรอ" ผมถามอย่างสงสัย สักพักถุงกระดาษใบหนึ่งก็ถูกยื่นออกมาตรงหน้า

   "ของขวัญ" ร่างเล็กพูดพลางคลี่ยิ้มกว้าง

   ผมได้แต่เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ของขวัญ? เนื่องในโอกาสอะไร? ยังอีกตั้งหลายเดือนกว่าจะถึงวันเกิดของผม

   จังหวะนั้นเอง สิ่งที่โซระเคยถามและผมเคยตอบพลันฉายแวบเข้ามาในความคิด

   'เวลาจีบใครเราควรทำยังไงบ้างเหรอ'

   'ชวนไปดูหนัง? ฟังเพลง? ให้ของขวัญ?'

   ชวนไปดูหนัง... ให้ของขวัญ...

   ผมไม่แน่ใจว่าตอนนั้นตัวเองกำลังทำหน้าแบบไหน จนกระทั่งประโยคถัดมาดึงผมกลับออกมาจากความคิดฟุ้งซ่าน

   "ก็หลายวันก่อนเอิร์ธเคยให้เรายืมปากกาไง จำได้ไหม"

   "...อย่าบอกนะว่าทำหาย"

   ที่แท้ก็แค่ซื้อมาคืน ผมคิดในใจพลางก้มมองปากกาในมือ

   ความรู้สึกของผมในตอนนั้นคงคล้ายกับฟองสบู่ที่พองลมลอยละล่องในอากาศ เสี้ยวนาทีถัดมากลับแตกวับหายไป เหลือเพียงความวูบโหวงกลางอก แยกแยะไม่ออกว่าเป็นเพราะความโล่งใจ หรือว่าความผิดหวัง...

   "เปล่าซะหน่อย! เรายังเก็บปากกาของเอิร์ธเอาไว้อย่างดีเลยนะ เลยซื้อปากกาด้ามใหม่มาแลกกันไง ก็...เราอยากเก็บไว้เป็นเครื่องราง... เอ่อ ก็...เอิร์ธเรียนเก่ง เผื่อว่าเราจะทำข้อสอบได้บ้าง เผื่อจะสอบติดที่เดียวกับเอิร์ธไง"

   ปรกติแล้วผมค่อนข้างเป็นคนหัวไว แต่ข้อความที่เชื่อมโยงไปมาอย่างสับสน กำลังทำให้สมองของผมปั่นป่วน

   การสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีอัตราการแข่งขันสูงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ไม่สิ นั่นไม่ใช่ใจความสำคัญ คำพูดของโซระแฝงความหมายอะไรไว้ ผมไม่กล้าคิด ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองอีกครั้ง กลัวว่าทุกอย่างจะพังทลาย

   "เอิร์ธ... ไม่ชอบเหรอ"

   ผมอาจจะก้มมองปากกาอยู่นานเกินไป โซระจึงเอ่ยถามด้วยเสียงลังเลแผ่วเบา ทว่าผมก็ยังคงทำได้แค่เพียงก้มหน้าอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้เส้นผมที่เริ่มแห้งหมาดๆ ร่วงลงมาปรกบนใบหน้า ปกปิดความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ข้างใน และกำลังจะเอ่อล้นออกมา

   "ชอบสิ..."

   กว่าจะรู้ตัวผมก็หลุดพูดคำหนึ่งคำ โชคไม่ดีเลยที่ตอนนั้นโซระเอื้อมมือมาปัดเส้นผมที่ยุ่งเหยิงของผมไปทัดข้างหู ทำให้สายตาของพวกเราประสานกันเข้าพอดี

   ว่ากันว่าดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ

   เมื่อไม่เหลือม่านใดๆ ขวางกั้น ความรู้สึกจึงสะท้อนผ่านกระจกใส

   "เราชอบ..."

   ผมพูดได้เพียงเท่านั้นก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงบีบแตรดังขึ้นจากหน้าบ้าน ราวกับเสียงระฆังที่ทำให้ซินเดอเรลล่าตื่นจากภวังค์ คลายเวทมนต์ให้รถม้ากลับคืนสู่สภาพฟักทอง ความฝันสวยหรูแตกสลายกลายเป็นขี้เถ้าก้นครัว

   "เดี๋ยวเราไปเปิดรั้วให้แม่ก่อน เอ่อ ขอบใจนะสำหรับปากกา เรา...ชอบมาก"

   ความรู้สึกเดิมประดังเข้ามาหาผมอีกครั้ง ทั้งผิดหวัง ทั้งโล่งใจ ทั้งอยากด่าตัวเองที่ขี้ขลาด พร้อมๆ กับอยากด่าตัวเองว่าเกือบจะทำอะไรลงไป ผมยังไม่พร้อมจะเสียความสัมพันธ์ในตอนนี้ ถ้าหากทั้งหมดเป็นแค่ความคิดเข้าข้างตัวเอง

   

   "สวัสดีครับ" เมื่อแม่ของผมเดินเข้ามาในบ้าน โซระจึงรีบลุกขึ้นไหว้ทักทาย

   "อ้าวโซระ สวัสดีลูก ไปยังไงมายังไงไม่เห็นมาเที่ยวที่บ้านซะนาน" แม่รับไหว้พร้อมรอยยิ้ม ด้วยความที่โซระเป็นคนน่ารัก ช่างพูดช่างเจรจา แม่ของผมจึงค่อนข้างเอ็นดูโซระมาก บางครั้งเวลาที่มาร่วมโต๊ะอาหาร ยังคุยกันยาวกว่าที่แม่คุยกับผมและพ่อรวมกันทั้งอาทิตย์ซะอีก เพราะทั้งพ่อและผมไม่ใช่คนที่ช่างพูดมากนัก

   "กินอะไรกันแล้วหรือยัง แม่ซื้อกับข้าวมาหลายอย่าง ไม่ต้องรอพ่อแล้วล่ะป่านนี้ยังอยู่บนทางด่วนอยู่เลย" แม่พูดพลางเดินเข้าไปล้างมือในครัว ผมจึงเอาถุงพลาสติกที่ถือลงจากรถไปวางบนโต๊ะ โซระจึงเดินตามเข้ามาช่วยแกะกับข้าวใส่จาน

   ระหว่างมื้ออาหารแม่ก็ยังชวนโซระคุยอีกหลายอย่าง ในขณะที่ผมถนัดเป็นผู้ฟังมากกว่า

   "น้ำท่วมเกือบมิดฟุตบาท แม่นึกว่ารถจะดับกลางทางซะแล้ว ยังดีที่ลุยน้ำเข้ามาถึงบ้านจนได้ แล้วนี่โซระจะกลับยังไง ให้แม่ไปส่งที่รถไฟฟ้าไหม แต่ฝนยังตกหนักอยู่เลย ไม่รู้จะหยุดเมื่อไหร่ แม่ว่าคืนนี้โซระค้างที่นี่ดีกว่าไหม"

   ประโยคสุดท้ายทำให้ผมแทบสำลักกับข้าวที่ยังไม่ทันได้กลืนลงไป เมื่อหันกลับไปมองคนข้างๆ ก็ได้เห็นโซระคลี่ยิ้มกว้าง

   "ถ้าอย่างนั้นผมขอโทรศัพท์ไปบอกที่บ้านก่อนนะครับ ยังไงพรุ่งนี้ก็ไม่มีเรียนพิเศษด้วย ผมจะได้ไปร้านแว่นเป็นเพื่อนเอิร์ธ" ก่อนที่ผมจะได้คัดค้านอะไรโซระก็ตอบรับขึ้นมา จากนั้นหัวข้อสนทนาจึงกลายเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นวันนี้ เรื่องที่โรงเรียน การเรียน การสอบ สารพัดสัพเพเหระ แม่คุยกับโซระเพลินจนไม่ได้สนใจท่าทางอึดอัดใจของผมเลยด้วยซ้ำ จนผมชักไม่แน่ใจว่าลูกชายของแม่คือคนไหนกันแน่

   หันไปมองต้นเหตุของความเครียด คนน่ารักก็ดันส่งยิ้มมาให้ ทำให้ผมยิ่งเครียด

   แล้วคืนนี้ผมจะนอนหลับลงได้ยังไง!?

   
-----------------


   คู่นี้ก็จะออกแนวน่ารัก แอบมองตากันไปมาเป็นปลากัด 55555   :mew1:


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 30-03-2018 22:49:08 โดย @moment »

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

กับเรื่องของคนอื่นเนี่ยฉลาดเป็นกรด  แต่พอเรื่องตัวเองเนี่ยนะ  นุ้งเอิร์ธ

ออฟไลน์ aoihimeko

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3133
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +155/-9

ออฟไลน์ zuu_zaa

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2003
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +115/-1

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ @moment

  • แอทโมเม้นท์
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
    • https://www.facebook.com/at.moment.writer/
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer/
   

   เอิร์ธกับโซระ ตอน ฉลาดแกมโกง

    

   [เอิร์ธ]
    

   "เด็กๆ ก่อนขึ้นนอนอย่าลืมปิดทีวี ปิดไฟให้เรียบร้อยด้วยนะ" แม่หันมาพูดกับพวกผมก่อนที่จะเดินขึ้นบันได นอกหน้าต่างยังมีเสียงสายฝนแทรกเข้ามาประปราย ทุกครั้งที่รถขับผ่านจะได้ยินเสียงน้ำขังสาดกระทบฟุตบาท พ่อกลับมาถึงบ้านแล้ว แต่เพราะเหนื่อยจากการผจญภัยรถติดมานานหลายชั่วโมง หลังจากกินข้าวเสร็จจึงอาบน้ำขึ้นนอนทันที

   "แล้วก็อย่านอนให้ดึกนักนะ อ้อ ห้ามหลับคาโซฟาด้วย ขึ้นไปนอนข้างบนดีๆ เข้าใจไหม" ประโยคสุดท้ายคล้ายการพูดดักคอ อย่างกับรู้ทันว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่

   แล้วจะให้ผมทำยังไง...!? แค่นึกถึง 'ห้องนอน' ผมก็อยากจะบ้าตาย!

   ผมได้แต่ขานรับแกนๆ อย่างอึดอัด กุมขมับระหว่างฟังเสียงฝีเท้าก้าวขึ้นบันได ตามด้วยเสียงประตูที่ปิดตัวลงมา ทิ้งให้ในห้องนั่งเล่นเหลือเพียงพวกเราสองคน เสียงโทรทัศน์ช่วยให้บรรยากาศไม่เงียบงันเกินไปนัก และช่วยกลบเสียงหัวใจของผมที่เริ่มแกว่งเป็นจังหวะประหลาด

   ไม่ใช่ครั้งแรกที่โซระมาค้างที่นี่ ผมพร่ำบอกกับตัวเอง

   เมื่อก่อนพวกเราต่างก็เป็นเด็กค่อนข้างผอม การนอนเบียดกันสองคนบนเตียงเดียวจึงไม่เป็นปัญหา ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปร่างกายก็ย่อมเติบโตตามวัย หลายปีมานี้ผมสูงขึ้นไม่น้อย โซระเองก็เหมือนกัน แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่

    ไม่ใช่...จนกระทั่งวันที่ผมเริ่มเข้าใจความรู้สึกของตัวเอง

    และร่างกายของผู้ชายก็ซื่อตรงต่อความรู้สึกจนน่ากลัว

    ห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ห้องเดิม เตียงเดี่ยวเล็กๆ เตียงเดิม กลับกลายเป็นเครื่องมือทรมานอย่างแสนสาหัส การต้องข่มตานอนให้หลับทั้งๆ ที่ร่างกายกำลัง 'ตื่น' โดยมีตัวต้นเหตุนอนเบียดอยู่ข้างๆ ให้ตายเถอะ ถ้าใครไม่เคยเจอกับตัวไม่มีทางรู้ว่ามันยิ่งกว่าตกนรกทั้งเป็น ผมได้แต่พยายามหลีกเลี่ยงมาตลอด

    ผมเหลือบมองคนด้านข้าง ร่างเล็กนั่งอยู่บนโซฟาตัวเดียวกันห่างออกไปไม่ถึงหนึ่งช่วงแขน ใบหน้าเนียนใสจับจ้องไปยังจอสี่เหลี่ยมที่ฉายภาพการแข่งขันบาส สักพักราวกับรู้สึกตัวว่ากำลังถูกมองอยู่จึงหันกลับมา คลี่ยิ้มใสซื่อ ไม่รู้ไม่ชี้ ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่ได้รู้บ้างเลยว่าทำให้ใครต้องเก็บกดมากแค่ไหน

    ผมบังคับสายตาให้หันกลับมามองโทรทัศน์ด้วยสีหน้านิ่งเรียบตามปรกติ ตรงข้ามกับความคิดสับสนวุ่นวาย ยิ่งพยายามหาทางออกก็ยิ่งเหมือนกับวิ่งวกวนอยู่ในเขาวงกต

    ถ่วงเวลา คือหนทางเดียวที่ผมคิดออกในตอนนี้

    หรือจะแกล้งหลับไปเลยดี อย่างมากพรุ่งนี้ก็แค่ต้องทนฟังแม่บ่น ยังดีกว่าเสี่ยงขึ้นไปนอนข้างบนหลายเท่า

    "ฮัดเช่ย!" เสียงจามจากคนด้านข้างเรียกสติของผมกลับมา ภาพในจอโทรทัศน์เบื้องหน้ากลายเป็นรายการเพลงตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

    "ดื่มอะไรอุ่นๆ หน่อยไหม" ใจหนึ่งผมอยากจะไล่ให้โซระขึ้นไปนอน แต่นั่นก็แปลว่าผมต้องขึ้นไปด้วย แมงเม่าบินเข้ากองไฟชัดๆ ผมจึงเบี่ยงประเด็นด้วยการถ่วงเวลาต่อไปอีกนิด เมื่อโซระไม่ปฏิเสธ ผมจึงลุกเดินเข้าไปในครัว ชงโกโก้ร้อนกลับมาสองแก้ว

    ต่างคนต่างจิบโกโก้ สายตามองทีวีไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้สนใจฟังเพลงมากนัก แต่ฉากในมิวสิควีดีโอก็ทำให้ผมคลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง หนังรักวัยรุ่น เกี่ยวกับความรักของหนุ่มสาว รักระหว่างเพื่อน มีทั้งความรักที่สมหวัง และการแอบรักข้างเดียว

    ผมเผลอลอบมองคนด้านข้างหลายครั้ง จนกระทั่งครั้งหนึ่งต้องหลุดยิ้มออกมา เมื่อเห็นคราบสีน้ำตาลเกาะเป็นทางอยู่บนริมฝีปากสีแดงสด อย่างกับคนไว้หนวด

    ดูเหมือนโซระจะรู้ตัวว่าถูกหัวเราะ จึงยกนิ้วโป้งขึ้นปาดเช็ดรอบปากตัวเองลวกๆ แต่นอกจากจะทำให้มือเลอะโดยใช่เหตุ คราบโกโก้ก็ยังคงติดค้างอยู่อีกหลายหย่อม

    ผมจึงคว้ากระดาษทิชชูหนึ่งแผ่นส่งให้ใช้เช็ดมือ พร้อมกับยื่นอีกแผ่นออกไปช่วยเช็ดรอยเปื้อนบนปาก ปฏิกิริยาตามธรรมชาติเกิดขึ้นจากความเคยชิน ก่อนจะสะดุดลงกะทันหัน เพราะโซระยกมือขึ้นมาเช็ดปากตัวเอง แต่กลับกลายเป็นการวางซ้อนอยู่บนมือของผม

    ชั่วขณะนั้นลมหายใจของผมหยุดกึก หัวใจราวกับจะเต้นช้าลง ก่อนที่เสี้ยวนาทีถัดมาจะเหวี่ยงอย่างแรงจนแทบกระเด็นออกมานอกอก ทันทีที่รับรู้ว่ามือของตัวเองถูกกุมไว้ด้วยมือของอีกคน ปลายนิ้วแตะโดนริมฝีปากนุ่มๆ ไล้ด้วยลมหายใจอุ่นๆ

    สมองของผมกลายเป็นคอมพิวเตอร์ที่เออเรอร์ แฮงก์ บลูสกรีน ไม่สามารถประมวลผลได้ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าโซระปล่อยมือออกตั้งแต่เมื่อไหร่ มือของตัวเองกลับมาวางอยู่ข้างตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ ในขณะที่สติยังไม่ค่อยสมประกอบ ผมก็ได้ยินเสียงพูดจากคนข้างๆ

    "เอิร์ธ... เคยจูบใครไหม"

    หัวใจของผมทำงานหนักเกินไป ผ่านไปอีกหลายวินาทีประโยคนั้นถึงได้ผ่านเข้าสู่สมอง ทันใดนั้นภาพของคืนหนึ่งที่เสม็ดก็ย้อนกลับเข้ามา คืนที่ใครบางคนเมาจนผมต้องประคองกลับห้องพัก ใครคนนั้นเดินโซเซ สะดุด ล้มลงมา...

    "เคยสิ..." ผมตอบเบาๆ สัมผัสในความทรงจำยังคงติดค้างอยู่บนริมฝีปาก

    "กับใครเหรอ" คำถามถัดมา ทำให้รสชาตินุ่มๆ หวานๆ กลับกลายเป็นความขมปร่า ดวงตากลมโตจ้องมองมาอย่างลุ้นๆ กึ่งอยากรู้อยากเห็น กึ่งคาดหวัง ยิ่งทำให้กลางอกของผมรู้สึกเจ็บแปลบ เพราะความทรงจำนั้นเป็นของผมแค่เพียงฝ่ายเดียว โซระเมาจนจำอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำ ถึงได้ถามแบบนี้

    "บอกไปแล้วโซระจะรู้จักเหรอ" ผมจึงตอบเลี่ยงอย่างกำกวม

    "ใคร!?" ทว่าร่างเล็กกลับถามซ้ำด้วยน้ำเสียงคาดคั้น ใบหน้าที่เคยเปื้อนยิ้มกลับขมวดคิ้วยับยู่ เม้มปากแน่นเหมือนไม่พอใจคำตอบที่ได้ยิน ขยับพรวดเข้ามาหาจนผมผงะถอยหลังออกไปเล็กน้อย

    ความตกใจกลับช่วยให้ผมตั้งสติได้ ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในสมอง เป็นความคิดดีๆ ที่ออกจะชั่วร้าย เพราะผมเองก็มีคำถามที่อยากรู้คำตอบอยู่เหมือนกัน

    "เอาอย่างนี้ดีกว่า เพื่อความยุติธรรม" ผมตั้งหลักด้วยการยืดตัวขึ้นเล็กน้อย ลอบสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนพูดประโยคถัดไป

    "เราบอกก็ได้ ถ้าโซระยอมบอกว่า... แอบชอบใครอยู่" ทำไมผมถึงเป็นคนแบบนี้ ผมได้แต่ด่าตัวเองพร้อมแอบขอโทษโซระอยู่ในใจ ร่างเล็กนิ่งอึ้งไป ราวกับกำลังลังเล ชั่งใจ ก่อนจะนิ่งเงียบไปนานจนผมเองชักใจไม่ดี

    ผมควรหยุดคาดคั้น ควรพูดว่า 'ล้อเล่นน่า' อาจจะโกหกว่า 'โซระไม่รู้จักหรอก' หรือสารภาพความจริงแล้วหัวเราะเหมือนมันไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร 'จูบกับคนเมา ไม่นับๆ' ร้อยแปดพันวิธีที่จะหยุดยั้งบรรยากาศน่าอึดอัดนี้ได้

    "เอิร์ธ..." แต่ก่อนที่ผมจะพูดอะไร เสียงคนด้านข้างก็ดังขึ้นมา

    "เอิร์ธอยากรู้จริงๆ เหรอ..." โซระกล่าวพึมพำ ผมทันเห็นแววตาของคนพูดแค่เพียงแวบเดียว ก่อนที่โซระก้มหน้าก้มตา คว้ามือถือขึ้นมากดอะไรบางอย่าง

    ใครคนนั้น อาจจะเป็นคนที่บอกชื่อไปผมก็ไม่รู้จัก... โซระถึงต้องเปิดหารูป

    ตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกว่า ไม่อยากรู้แล้ว ผมไม่อยากรับรู้ จะรู้ไปทำไมให้ยิ่งเจ็บกว่าเดิม แต่กว่าจะคิดได้ก็สายไปซะแล้ว เพราะโซระยื่นโทรศัพท์เครื่องเล็กออกมา ยัดใส่มือของผม

    "โซระ...? นี่...อะไร"

    ภาพในมือทำให้ผมเลิกคิ้วอย่างงงงัน แวบหนึ่งคิดว่านิ้วของตัวเองพลาดกดไปโดนปุ่มอะไรเข้า เพราะบนหน้าจอไม่ใช่รูปถ่าย แต่เป็นภาพเคลื่อนไหวเบลอๆ จนเริ่มมองออกว่านั่นเป็นโหมดกล้องถ่ายรูป...แบบเซลฟี่

    แทนที่จะตอบคำถาม คนที่นั่งเม้มปากแน่นกลับจับมือของผมให้อยู่นิ่งๆ ก่อนจะกดปุ่มด้านข้าง ก่อให้เกิดเสียงชัตเตอร์ดังขึ้นหนึ่งครั้ง จากนั้นหน้าจอจึงเปลี่ยนเป็นรูปภาพเบลอๆ ถ่ายติดคิ้วกับแว่นตาของผมไปแค่เสี้ยวเดียว แทบมองไม่ออกว่าเป็นรูปอะไร

   "เราตอบแล้วไง!"

   เสียงกึ่งกระแทกกระทั้นดังขึ้นเมื่อผมยังคงนั่งนิ่งอย่างกับถูกแช่แข็ง

   ดวงตากลมโตวูบไหวจ้องมองตรงมา ผิวสีคร้ามแดดยิ่งแดงเข้มขึ้นอีกหนึ่งระดับ น้ำเสียงและสายตาคาดคั้นมองตรงมา ราวกับต้องการทวงคำตอบของตนเองบ้าง

   "หยุด! เราไม่อยากฟัง"

   แต่เพียงแค่ผมขยับปากที่อ้าค้างอยู่ ยังไม่ทันได้เปล่งเสียงใดๆ โซระก็กลับพูดแทรกขึ้นมา ไม่เปิดโอกาสให้ผมได้ตอบ...ว่าเคยจูบกับใคร

    "เราไม่อยากได้ยินชื่อของคนอื่น!"

   ไม่เปิดโอกาสให้ผมได้คิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความฝัน หรือเป็นแค่ความคิดเข้าข้างตัวเอง เพราะระยะห่างเกือบครึ่งแขนหายวับไป ปิดลงมาด้วยสัมผัสนุ่มๆ ลมหายใจอุ่นๆ ครั้งนี้สัมผัสไม่ได้ลูบไล้อยู่บนนิ้ว หากแต่แนบสนิทอยู่บนริมฝีปาก

    ไม่ได้เกิดขึ้นจากความเมา ไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นความตั้งใจ

    ถึงจะเป็นเพียงสัมผัสบางเบาอย่างคนไม่ประสีประสา แถมยังมีแว่นเกะกะอยู่ตรงกลาง แต่รสชาติหวานละมุนก็ทำให้ผมเอียงใบหน้าให้สัมผัสยิ่งแนบชิดขึ้น จนเมื่ออีกฝ่ายผละถอยจากไปก็ยังเผลอขยับตามติดอย่างเสียดาย

    "เราชอบโซระ" ความมั่นใจที่ก่อตัวขึ้นทำให้ผมกล้าที่จะสารภาพ ถึงแม้ความจริงผมก็เป็นแค่คนที่ไม่เอาไหน ขี้ขลาด ฉลาดแกมโกง ฉวยโอกาสตอนที่แน่ใจ ชิงเป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน

    แต่คำพูดนั้นก็ทำให้ผมได้เห็นใบหน้าสดใสคลี่ยิ้มกว้าง และได้รับของแถมเหนือความคาดหมายเป็นอ้อมกอดอบอุ่น เสียงใสๆ ดังกังวานอยู่ข้างหู

    "เอิร์ธรู้ไหมว่าเรากลัวมากแค่ไหน ถ้าเอิร์ธปฏิเสธเราจะทำยังไง เราไม่อยากเสียเพื่อน แต่เราก็ไม่อยากเสียเอิร์ธให้คนอื่น รู้ไหมว่าเราหึงมากแค่ไหน ตอนที่..." เสียงพึมพำขาดหายไปชั่วขณะ ก่อนจะพูดต่ออีกหลายประโยคที่ความหมายวนเวียนไม่ต่างจากเดิมมากนัก

    น่าเสียดายที่ผมไม่ใช่คนพูดเก่ง และโซระก็ยังไม่เปิดโอกาสให้ผมได้พูดบ้าง ไม่อย่างนั้นผมอาจจะค่อยๆ อธิบาย บอกว่าผมเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน บอกว่าผมชอบโซระมานานมากแล้ว บอกว่าโซระไม่จำเป็นต้องหึง เพราะว่านั่นจะกลายเป็นการ 'หึงตัวเอง'

   
-------------

>> DrSlump : กับเรื่องของคนอื่นเนี่ยฉลาดเป็นกรด  แต่พอเรื่องตัวเองเนี่ยนะ  นุ้งเอิร์ธ

คนฉลาดมักจะตกม้าตายเรื่องของตัวเอง 555
ตอนนี้เอิร์ธเริ่มฉลาดแล้ว แต่...กับบางเรื่องความฉลาดก็ไม่ได้ช่วยอะไร (โปรดติดตามตอนต่อไป) 55555555  o18


ออฟไลน์ yin

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 125
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
คู่ใหญ่เค้าดับเครื่องชนไปแล้ว คู่เบบี้เมื่อไหร่จะถึงเส้นชัยซะทีล่ะลูก

ออฟไลน์ songte

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1425
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +20/-1
ยักษ์นี่ลำบากเนอะ รักคนปากหมานี่เหนื่อยจริงๆ แต่รักไปแล้วอะไรก็ดีละเนอะ ขี้หึงขี้หวงอีก

ออฟไลน์ บีเวอร์

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 394
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-1

ออฟไลน์ @moment

  • แอทโมเม้นท์
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
    • https://www.facebook.com/at.moment.writer/
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer/
   

   เอิร์ธกับโซระ ตอน วัยกำลังโต

   

   [เอิร์ธ]
   

   "โซระ ถ้าไม่รีบทำให้เสร็จ เดี๋ยวก็ไม่มีการบ้านส่งหรอก" ผมกดเสียงเข้มงวด เรียกคนที่แกล้งนอนฟุบอยู่กับโต๊ะ คนน่ารักจึงยอมเงยหน้าขึ้นมา พลางทำปากยื่น บ่นพึมพำว่า 'ก็มันยากนี่นา'

   "ถ้าเมื่อวานเอิร์ธไม่ไล่เรากลับบ้าน ป่านนี้ก็เสร็จไปแล้ว" โซระพูดอย่างงอนๆ แถมด้วยค้อนอีกหนึ่งวง ก่อนจะก้มลงขมวดคิ้วยุ่งกับสมุดตรงหน้า ยอมหยิบปากกาขึ้นมาเขียนหยุกหยิกแก้โจทย์เลข

   ผมได้แต่ลอบถอนหายใจ ใช่ว่าผมอยากไล่ ใช่ว่าไม่อยากอยู่ใกล้ๆ ...แต่ผมไม่กล้าทดสอบขีดความอดทนของตัวเองไปมากกว่านี้

   หลังจากที่ได้รับรู้ว่าต่างฝ่ายต่างใจตรงกัน ความสัมพันธ์ของพวกเราก็ก้าวหน้าขึ้นอีกหนึ่งขั้น นอกจากจะได้เจอกันทุกวันที่โรงเรียน หลังเลิกเรียนโซระก็ยังมาเที่ยวเล่นที่บ้านของผมบ่อยๆ บางครั้งผมเองก็เป็นฝ่ายไปที่บ้านของโซระ แต่เท่านั้นยังไม่ถือว่าแตกต่างจากเมื่อก่อนมากนัก

   สิ่งที่ต่างไปจากเดิมก็คือ... ความสนิทสนม 'เกินเพื่อน'

   หลายครั้งดวงตากลมโตชอบจ้องมองมา พอสบตากันเข้ากันก็ส่งยิ้มหวานมาให้ ทำเอาสมาธิของผมกระจัดกระจาย อ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง หรือบางครั้งเวลาสอนการบ้าน ร่างกายแบบบางก็เอนเข้ามาใกล้จนผมได้กลิ่นแชมพูอ่อนๆ ไอร้อนส่งผ่านบ่าที่แนบชิดติดกัน ปลายนิ้วที่จับปากกาแตะต้องกันบ้างเป็นบางครั้ง

   หรืออย่างเมื่อคืน... จูบที่เคยเป็นเพียงการสัมผัสผิวเผินแผ่วเบา นานวันเข้าก็พัฒนาเป็นการแลกลิ้นอุ่นๆ ความขัดเขินถูกบดบังด้วยความลึกซึ้ง มือไม้ที่เคยวางเกะกะข้างลำตัวเริ่มทำหน้าที่โอบกอด ลูบไล้

   ทว่าทุกอย่างต้องสะดุดกึก เมื่อได้ยินเสียงแม่ตะโกนเรียกให้ลงไปกินข้าว ดึงสติของผมกลับมา หลังหมดมื้อเย็นผมจึงตัดสินใจดันหลังให้โซระกลับบ้านไป

   ผมไม่ใช่พระอิฐพระปูน ต่อให้เป็นเด็กคงแก่เรียน หนอนหนังสือ เด็กเนิร์ด แต่ผมก็เป็นผู้ชาย วัยที่ฮอร์โมนกำลังพลุ่งพล่าน อยากรู้ อยากลอง อยาก...

   ทว่าโลกความจริงไม่ได้สวยงามเหมือนในความฝัน ไม่ได้ง่ายดายเหมือนในนิยาย ผมไม่เคยมีประสบการณ์ไม่ว่าจะกับผู้หญิงหรือผู้ชาย โซระเองก็เหมือนกัน ที่สำคัญ ร่างกายของผู้ชายไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาให้เหมาะกับ...การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย

   ผมเคยเห็นโซระแอบอ่านการ์ตูน เอ่อ ชายรักชาย หรือที่เรียกว่าการ์ตูนวาย บางเล่มมีฉากเรทโจ่งแจ้ง แต่ส่วนใหญ่เกินจริงทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นจะเรียกว่าการ์ตูนเหรอ ยิ่งสำหรับครั้งแรกด้วยแล้ว ถ้าขืนทำอย่างในการ์ตูนมีหวังคงมีแต่เจ็บกับเจ็บกับเจ็บเจียนตาย ดีไม่ดีเลือดออก อักเสบ ฉีกขาด แล้วจะแบกหน้าที่ไหนไปหาหมอ!?

   ผมไม่อยากทำให้โซระเจ็บ...

   ผมอยากให้พวกเราพร้อมที่จะเรียนรู้ไปด้วยกันอย่างค่อยเป็นค่อยไป

   แต่ผมก็เป็นคนไม่เอาไหน ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง อีกใจผมก็กลัวว่าโซระจะรับได้หรือเปล่า ถ้าความจริงไม่ได้สวยงามเหมือนความฝัน ถ้าผมทำได้ไม่ดี ทำให้ต้องเจ็บ โซระจะเกลียดผมหรือเปล่า...

   

   "เฮ่ย โซระ! วันนี้ไปบ้านไอ้วินไหม" ระหว่างทางก่อนกลับบ้าน ยังไม่ทันเดินพ้นประตูโรงเรียนก็มีเสียงตะโกนเรียกดังมาจากทางด้านหลัง เมื่อหันกลับไปผมก็เห็นเพื่อนตัวสูงใหญ่เดินเข้ามาตบบ่าร่างเล็กอย่างสนิทสนม ใครคนนั้นคือ 'ซี' เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มที่โซระไปเล่นบาสด้วยอยู่บ่อยๆ

   ผมแอบสะดุดกับชื่อที่ได้ยินเล็กน้อย ทั้งๆ ที่รู้ว่าโซระไม่ได้ชอบวิน ทั้งหมดเป็นแค่ความเข้าใจผิดของผมเอง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังอดลอบมองท่าทีของร่างด้านข้างไม่ได้ คงเพราะเมื่อวันก่อนโซระก็เพิ่งจะไปบ้านวินมา ผมรู้แค่ว่ากลุ่มบาสไปกันหลายคน แต่ไม่รู้รายละเอียดมากกว่านั้น

   "ไปดิ! อ่ะ เอ่อ วันนี้เอิร์ธกลับคนเดียวได้ไหม" น้ำเสียงอ้ำอึ้ง ไม่ได้ทำให้ผมขมวดคิ้วมากเท่ากับท่าทางแปลกๆ ถ้าผมไม่ได้ตาฝาดหรือคิดไปเอง ผมเห็นโซระหน้าแดงขึ้นมาแวบหนึ่ง ตวัดสายตามองผมก่อนจะเบนหลบไปทางอื่นอย่างมีพิรุธ

   "เราไปด้วยคนได้ไหม" ผมลองถามหยั่งเชิง ทันใดนั้นก็ได้เห็นโซระอ้าปากกว้าง แม้แต่ซีก็ยังมองมาอย่างประหลาดใจ

   "เด็กเรียนอย่างเอิร์ธสนใจอะไรแบบนี้ด้วย!?" ซีอุทานด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นคลี่ยิ้มแปลกๆ ก้าวเข้ามาหาพวกผมด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ ลดเสียงพูดลงจนเหลือเพียงเสียงกระซิบ พร้อมเปิดแง้มกระเป๋านักเรียนให้เห็นของด้านใน

   "วันนี้แผ่นแท้เมดอินเจแปนเลยนะเว้ย ภาพคมชัด เสียงใสแจ๋ว เด็ดสุดๆ" ทิ้งท้ายด้วยเสียงหัวเราะในลำคอ ก่อนจะรีบปิดกระเป๋าอย่างรวดเร็ว มองซ้ายขวาราวกับกลัวว่าใครจะมาเห็นเข้า แต่เพียงแค่แวบเดียวผมก็ทันเห็นของที่ว่านั่นอย่างชัดเจน

   กล่องดีวีดีสองสามแผ่น แผ่นแรกสุดเป็นรูปผู้หญิงกึ่งเปลือยกายโพสท่าทางยั่วยวน ในกรอบเล็กๆ เป็นรูปของเธอกับผู้ชายในจังหวะกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม

   ผมหันไปมองหน้าใสที่กลายเป็นสีแดงจัดสลับกับซีดเผือด ในขณะที่หน้าของผมคงกลายเป็นสีเขียวคล้ำ

   "เอิร์ธ... เดี๋ยวสิเอิร์ธ! ซี โทษที! วันนี้เราไม่ไปแล้ว เอิร์ธรอด้วย!" เสียงเรียกดังไล่หลังตามมา ผมยังก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ ไม่พูดไม่จา

   "เอิร์ธโกรธเหรอ... เราขอโทษ!" ร่างเล็กวิ่งตามมาจนทัน พลางกล่าวขอโทษซ้ำๆ อีกหลายครั้ง

   ผมไม่ได้โกรธที่โซระดูหนังโป๊ แต่โมโหที่โซระไปดูกับพวกเพื่อนผู้ชายเป็นฝูง แล้วในสถานการณ์อย่างนั้น อย่างดีก็ผลัดเวียนกันเข้าห้องน้ำ อย่างด้านก็ชักกันต่อหน้าต่อตา หรืออย่างบ้ากว่านั้น...

   ผมไม่อยากคิด แค่คิดว่ามีใครได้เห็นใบหน้าใสตอนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์... คิดเท่านั้นหัวของผมก็ร้อนจนแทบจะไหม้

   "เอิร์ธ..." เสียงเรียกแผ่วเบาลงไป คงเพราะรู้ว่าผมเป็นประเภทที่ยิ่งโมโหก็ยิ่งเงียบ พูดอะไรตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ สุดท้ายร่างเล็กจึงได้แต่เดินตามต้อยๆ ลอบมองผมด้วยสีหน้าจ๋อยๆ

   ผมนิ่งเงียบตลอดทางจนกระทั่งถึงบ้าน จังหวะที่ผมไขกุญแจเปิดประตู ร่างเล็กก็รีบเดินตามเข้ามาติดๆ ราวกับกลัวถูกทิ้งอยู่ข้างนอก ผมจึงพูดออกมาเป็นประโยคแรก

   "รู้ไหมว่าทำไมเราถึงโกรธ"

   "เอิร์ธอย่าโกรธเลยนะ... เอิร์ธก็รู้ว่าเราไม่ได้สนใจหนังโป๊นั่นเลยสักนิด เราไม่ได้ชอบผู้หญิง แล้วก็ไม่ได้ชอบพวกซีหรือวินแบบนั้นด้วย ...เราชอบเอิร์ธ" น้ำเสียงอ้อนๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสามคำสุดท้าย ตอกย้ำให้ผมรู้ตัวว่า ไม่เคยโกรธโซระได้นานเลยสักครั้ง

   เมื่อเห็นสีหน้าของผมอ่อนลง โซระก็รีบอธิบายต่อ

   "เราก็แค่อยากรู้... แต่เราไม่รู้จะไปถามใคร พอดีพวกนั้นมาชวน ก็เลย...ถือว่าเปิดหูเปิดตาไว้บ้าง ก็ยังดีกว่าไม่รู้อะไรเลยใช่ไหมล่ะ..." เสียงอ้อมแอ้มพูดไปก็เริ่มหน้าแดงไป แต่กลับทำให้ผมเริ่มปวดหัวตุบๆ เพราะไม่รู้ว่าโซระรู้อะไรจากใครมาแค่ไหนบ้าง ดีหรือร้าย

   "ก็เรากับเอิร์ธคบกันแล้ว... คนรักกัน... ก็แบบ... อยากจะรักกัน..." ดวงตากลมโตจ้องมากึ่งประหม่ากึ่งกลัวว่าผมจะยังโกรธอยู่ แต่ประโยคที่พูดออกมาทำให้อาการหน้าแดงกลายเป็นโรคติดต่อ ผมลอบสูบลมหายใจเข้า ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

   "เอิร์ธ...?" เสียงใสๆ เอ่ยเรียกชื่อของผมอย่างงุนงง คงเพราะว่าครั้งนี้ผมเป็นฝ่ายจูงมือของโซระให้เดินตามขึ้นบันไดไปด้านบนด้วยกัน

   เรื่องที่เกิดขึ้นผลักดันให้ผมตัดสินใจ ถ้าต้องเสี่ยงปล่อยให้โซระไปเรียนรู้อะไรจากใครคนอื่น สู้เสี่ยงให้พวกเราเรียนรู้ไปพร้อมกันจะดีกว่า

   
----------------------

เหลืออีกตอนเดียวก็จะจบแล้น  :o8:
   
>> yin : คู่ใหญ่เค้าดับเครื่องชนไปแล้ว คู่เบบี้เมื่อไหร่จะถึงเส้นชัยซะทีล่ะลูก

ใกล้แว้วว คู่นี้ไม่เล่นตัวลวดลายลีลาเยอะเหมือนนุงแจ็ค 55555

>> songte : ยักษ์นี่ลำบากเนอะ รักคนปากหมานี่เหนื่อยจริงๆ แต่รักไปแล้วอะไรก็ดีละเนอะ ขี้หึงขี้หวงอีก

ความรักทำให้ยักษ์ตาบอด  :เฮ้อ:


ออฟไลน์ PanGii

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 67
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
อ่านยาวจนถึงตอนล่าสุดแล้ว  รอตอนจบของหนูเอิร์ธกับหนูเอิร์ธอยู่นะคะ

ยักษ์ของเราช่างน่าสงสาร ต้องเผชิญกับเจ้าของฟาร์มหมาอย่างแจ็คไปอีกนาน ดูท่าจะเลิกรักยากด้วย

ออฟไลน์ @moment

  • แอทโมเม้นท์
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
    • https://www.facebook.com/at.moment.writer/
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer/

คำเตือน: เนื้อหาในตอนนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุมากกว่า 18 ปีขึ้นไป

     

   เอิร์ธกับโซระ ตอน วัยเติบโต

   

   [เอิร์ธ]
   

   บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความขัดเขินกระอักกระอ่วน พวกเรานั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง มีโน้ตบุ๊ควางอยู่เบื้องหน้า บนหน้าจอฉายภาพแฟ้มเอกสารที่ตั้งชื่อด้วยอักษรย่อสั้นๆ คงมีแต่ผมที่อ่านแล้วเข้าใจว่าในนั้นจัดแบ่งหมวดหมู่ออกเป็นไฟล์ข้อมูลภาษาไทย ภาษาอังกฤษ อีบุ๊ค คลิปวีดีโอแยกตามแต่ละประเทศ

   ข้อมูลภาษาไทยส่วนใหญ่หนักไปทางเรื่องเล่าประสบการณ์เสียวที่หาสาระไม่ค่อยได้ ตรงกันข้าม กระทู้ที่ต้องการคำปรึกษาจริงจังบ้างก็กลับถูกล้อเลียนเหยียดเพศ บ้างก็ไล่ให้เลิกหมกมุ่น บ้างก็ตอบไม่ตรงคำถาม ข้อมูลเชิงลึกที่เป็นประโยชน์จึงต้องไปขวนขวายหาอ่านเอาจากภาษาอังกฤษ

   หนังสือหลายเล่มเขียนเรื่องที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน เจาะลึกประสบการณ์จริง ตอบข้อสงสัยอย่างตรงไปตรงมา เริ่มต้นด้วยการอธิบายสรีระร่างกาย กล้ามเนื้อ รวมถึงโครงสร้างภายใน...ช่องทางด้านหลัง สิ่งที่ควรทำ ไม่ควรทำ การเตรียมพร้อมต่างๆ แต่เพราะโซระไม่ค่อยสันทัดภาษาอังกฤษ ผมจึงตัดสินใจเลื่อนข้ามข้อมูลเหล่านั้น เปิดไปยังโฟลเดอร์ที่เป็นคลิปวีดีโอ

   ในนั้นมีจำนวนไฟล์อยู่ไม่น้อย แต่เกินครึ่งเป็นคลิปที่เปิดมาก็ตัดเข้ากลางกิจกรรม เกินแปดสิบเปอร์เซ็นต์ฝ่ายรับก็เคยชินจนไม่จำเป็นต้องใช้เวลาเตรียมพร้อมมากมาย สุดท้ายผมจึงตัดสินใจเลือกคลิปวีดีโอกึ่งฮาวทูอันหนึ่ง ถึงจะเป็นภาษาอังกฤษแต่ก็คงพอทำความเข้าใจจากรูปได้ไม่ยากนัก

   "เอ่อ โซระเคยดูหนังเกย์ไหม" ก่อนจะกดปุ่มเพลย์ ผมลองถามหยั่งเชิงขึ้นมา เพราะลึกๆ ยังกลัวคนด้านข้างจะรับไม่ได้

   "...อื้อ" ทว่าเสียงตอบรับในลำคอเบาๆ กลับเหนือความคาดหมาย

   "ก็ พอพวกซีชวนไปดู เอ่อ กลับมาเราก็เลย ลองหามาดูบ้าง" โซระอธิบายต่ออ้อมแอ้ม แก้มใสระบายสีแดงระเรื่อ ลอบมองมากึ่งกังวลว่าผมจะยังโกรธอยู่หรือเปล่า

   ผมพยายามคิดในแง่ดีว่าถึงยังไงพวกนั้นก็ชอบผู้หญิง ไม่ได้ชอบผู้ชาย และต่อให้ดูหนังโป๊ชายหญิงโซระก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ไม่เหมือนสถานการณ์ระหว่างพวกเราในตอนนี้

   นึกแล้วผมก็เผลอดันกรอบแว่นขึ้นเล็กน้อยเพื่อปกปิดความขัดเขิน

   "ถ้างั้นลองดูอันนี้ก็แล้วกันนะ" ผมตัดบทด้วยการกดเปิดคลิป

   ต่อให้เตรียมใจไว้แล้วก็ยังอดประหม่าไม่ได้ หน้าจอฉายภาพผู้ชายยุโรปรูปร่างกำยำล่ำสันสองคน เริ่มต้นจากการกอดจูบลูบคลำ ไม่นานนักร่างกายของทั้งคู่ก็เปลือยเปล่า เอนตัวนอนลงบนเตียง เล้าโลมกันทีละขั้นตอน

   เสียงพากย์เนิบนาบอธิบายแต่ละฉากราวกับรายการสารคดี แต่ดนตรีประกอบก็เร่งเร้าอารมณ์อยู่ไม่น้อย ผมไม่ค่อยได้สนใจภาพเบื้องหน้าเพราะว่าเคยมาดูมาก่อนแล้ว จึงฉวยโอกาสนี้แอบลอบมองปฏิกิริยาของคนด้านข้าง ดวงตากลมโตจ้องแป๋วอยู่บนจอสี่เหลี่ยม จวบจนเสียงครางดังขึ้นเป็นจังหวะ พาลให้ผมชักหายใจได้ไม่ทั่วท้อง กระทั่งจะกลืนน้ำลายยังไม่กล้าทำให้เกิดเสียง ต้องขยับตัวเล็กน้อยเพื่อคลายความอึดอัด

   จังหวะนั้นเอง มือของพวกเราที่วางอยู่ข้างลำตัวก็กระทบกันเบาๆ

   จุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่ทำให้โซระหันกลับมา ทำให้สายตาของพวกเราประสานกัน

   นาทีนั้นราวกับมีแรงดึงดูด กว่าจะรู้ตัวอีกครั้งสัมผัสนุ่มก็แนบลงมาบนริมฝีปาก ไม่แน่ใจว่าใครเป็นฝ่ายเริ่ม แต่ยิ่งนานเข้าจูบก็ยิ่งลึกซึ้ง สองแขนทำหน้าที่โอบกอด สองมือเริ่มสะเปะสะปะ ดึงชายเสื้อของฝ่ายตรงข้ามออกจากขอบกางเกง

   วิดีโอเพิ่งเล่นไปได้แค่ครึ่งทาง คนร้อนวิชากลับอยากลงสนามลองภาคปฏิบัติ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าอุณหภูมิร่างกายของผมก็ไต่ระดับสูงขึ้นไม่แพ้กัน ลมหายใจขาดห้วงผละห่างจากกันชั่วครู่ ปลายนิ้วเงอะงะงุ่มง่าม เป็นโซระที่ใจร้อนกว่า หมดความอดทนกับกระดุมที่ช่างแกะยากเย็น เปลี่ยนเป็นดึงเสื้อเชิ้ตผ่านออกทางศีรษะ ก่อนจะหันมาดึงเสื้อของผมออกไปด้วย

   วิดีโอยังคงเล่นไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับพวกเราที่เร่งรุดไปทีละขั้น เสียงครางจากโน้ตบุ๊คยังแว่วมาให้ได้ยิน แต่ความสนใจทั้งหมดของผมกลับอยู่ที่คนตรงหน้า ริมฝีปากอุ่นชื้นเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นแก้ม คาง คอ บ่า ไล่ตามแนวไหปลาร้า เรื่อยมาจนถึงหน้าอก

   หัวใจของผมแกว่งรุนแรงราวกับนั่งอยู่บนไวกิ้ง โลกทั้งใบหมุนคว้าง จนกระทั่งแผ่นหลังสัมผัสลงกับผ้าปูที่นอนสากๆ สติของผมจึงหวนกลับคืนมา ผมได้แต่กะพริบตาหลายครั้ง ยังเห็นเงาย้อนแสงของคนตัวเล็กกว่าคร่อมอยู่ด้านบน

   "เอ่อ โซระ"

   ผมชักสังหรณ์ใจ ว่าควรถามอะไรบางอย่าง เพื่อความแน่ใจ

   "โซระ... อยากเป็นฝ่ายรุกเหรอ"

   ทันทีที่จบประโยคนั้น คนที่นั่งคร่อมอยู่บนตัวผมก็ชะงักไปครู่ใหญ่ สีหน้าเหมือนไม่เข้าใจคำถาม สักพักจึงกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะย้อนถามกลับมาเสียงค่อย

   "ไม่ได้เหรอ"

   คราวนี้กลายเป็นผมที่เป็นฝ่ายอึ้ง

   ผมไม่เคยคิดถึงกรณีนั้นมาก่อน ไม่สิ ต้องบอกว่าผมไม่เคยมีความคิดนั้นอยู่ในสมองเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ใช่ว่ารังเกียจการเป็นฝ่ายรับ หรือยึดติดกับการเป็นฝ่ายรุก แต่ควรเรียกว่า 'นึกไม่ถึง' มากกว่า

   ระหว่างที่ผมเงียบไปนาน โซระก็เริ่มหน้าเสีย

   ตอนนั้นเองที่ผมเริ่มลนลาน บวกลบคูณหารในใจอย่างรวดเร็ว สุดท้ายสมองที่สับสนวุ่นวายกลับหยุดลงที่ความคิดหนึ่ง 'ผมรักโซระ' แค่เพียงความรู้สึกนั้นก็มีน้ำหนักมากกว่าอะไรทั้งหมด ผมไม่อยากทำให้โซระเจ็บ ไม่อยากให้โซระเกลียด ถ้าเปลี่ยนให้ผมเป็นฝ่ายเจ็บแทนซะเอง อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีก็ได้...

   ผมได้แต่ปั้นยิ้มอย่างยากลำบาก กลั้นใจพยักหน้าแทนการตอบคำถาม

   ตอนนั้นเองที่ผมได้เห็นใบหน้าหงอยๆ ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้าง กระจายไปถึงดวงตาและสองแก้มที่กดบุ๋มลงอย่างน่ารัก ทำให้ผมได้แต่ปลงให้กับตัวเองอยู่ในใจ เพราะไม่เคยมีเลยสักครั้งที่ผมจะเอาชนะรอยยิ้มนั้นได้

   

   เมื่อผมเบนหน้าไปด้านข้างเพื่อหลบหนีภาพเบื้องหน้า ก็เข้าทำนองสุภาษิตที่ว่า 'หนีเสือปะจระเข้' เพราะของสองสิ่งบนเตียงที่ปรากฏสู่สายตายิ่งทำให้ความปั่นป่วนในช่องท้องพุ่งสูง เนื่องด้วยทั้งหมดเป็นของที่ผมซื้อมาเอง แต่ไม่เคยคิดว่าเวลานี้จะถูกนำมาใช้กับตัวเอง

   สิ่งแรก เป็นกล่องสี่เหลี่ยมขนาดเล็กที่เปิดอ้า กับซองแบนที่ถูกฉีกกลาง

   สิ่งที่สอง เป็นหลอดเล็กลักษณะคล้ายครีมทามือ ถูกเปิดฝาทิ้งไว้

   ผมได้แต่หลับตาข่มความความรู้สึกในใจ ไม่อยากนึกถึงสภาพน่าอายของตัวเองในตอนนี้ ใครจะไปคิดว่าชีวิตนี้วันหนึ่งจะต้องมานอนแผ่หลาอ้าซ่า ถ่างขาอย่างกับกบหงายท้อง ซ้ำร้ายยังมีสายตาของคนที่รักจ้องมาไม่วางตา

   "เอิร์ธ... เจ็บไหม" เสียงระคนความห่วงใยเอ่ยถาม

   "ไม่เป็นไร" ผมกัดฟันตอบด้วยเสียงที่พยายามบังคับให้คงที่

   ทว่าการหลับตาคือการกระทำที่ผิดมหันต์ เพราะนั่นยิ่งกระตุ้นให้ประสาทสัมผัสด้านอื่นตื่นตัว

   เริ่มแรกที่ความเย็นวาบพร้อมกับนิ้วหนึ่งผ่านเข้ามา ผมยังรู้สึกแค่หน่วงๆ แต่เมื่อจำนวนนิ้วเพิ่มขึ้น ทั้งยังขยับเคลื่อนไหวไปมาอยู่ข้างใน ทั้งความอึดอัดและความรู้สึกแปลกประหลาดเกินบรรยาย ทำให้สมองของผมแทบคิดอะไรไม่ออก ผมพยายามตั้งสติทบทวนหนังสือที่เคยอ่านมา

   เจลลื่นๆ ช่วยลดแรงเสียดทานที่เกิดจากผิวสัมผัสของยางบางๆ ตามทฤษฏีแล้วการใช้ถุงยางนอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงของการถูกเล็บครูด ยังช่วยป้องกันสิ่งสกปรกต่างๆ

   "อื้อ" ความคิดของผมสะดุดลงพร้อมกับเสียงครางขึ้นจมูก เมื่อปลายนิ้วด้านในลากผ่านผนังใต้ท้องน้อย ราวกับมีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านทุกรูขุมขน ชาวาบขึ้นไปถึงหนังศีรษะ ตามทฤษฏีแล้วนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เป็นปฏิกิริยาตามธรรมชาติ เพราะในร่างกายของผู้ชายเองก็มีจุดที่เรียกว่าจีสปอตอยู่

   "เอิร์ธไหวไหม" ผมได้ยินเสียงแผ่วใสกระซิบถาม พร้อมกับความอึดอัดที่เพิ่มขึ้นจนแทบจะถึงขีดสุด เดาว่าจำนวนนิ้วได้กลายเป็นสาม ผมพยายามผ่อนคลายความเกร็งเครียดของร่างกายอย่างสุดความสามารถ ทำตามข้อแนะนำที่เคยอ่านมา หายใจเข้าออกลึกๆ ไม่เจ็บ ไม่เจ็บ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร

   ไม่เป็นไรบ้านมันเหอะ!

   หนังสือบ้าบอ! พูดง่ายแต่ใครจะไปทำได้!?

   ผมได้แต่สบถอยู่ในใจ เริ่มรู้ซึ้งถึงคำว่า 'ปลาตายน้ำตื้น' 'ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด' ต่อให้ทฤษฏีแน่นแค่ไหนก็ใช่ว่าจะปฏิบัติตามกันได้ง่ายๆ

   "ไหว..." ผมฝืนตอบตรงข้ามกับความรู้สึก เพราะรู้ดีว่าโซระเองก็กำลังพยายามอย่างดีที่สุด เห็นได้จากใบหน้าแดงก่ำ น้ำเสียงสั่นไหว รวมไปถึงความแข็งขึงที่ปัดผ่านต้นขาของผมหลายครั้ง บ่งบอกว่าคนถามเองก็กำลังจะไม่ไหว

   และก็เป็นอย่างที่คิด เมื่อนิ้วที่เคลื่อนไหวอยู่ภายในเริ่มขยับได้คล่องตัวมากขึ้น เสียงกระซิบแผ่วก็ดังอยู่ข้างหู

   "เราเข้าไปได้ไหม..." คำพูดถูกเอ่ยขึ้นพร้อมกับสายตาที่ทอดมองมาอย่างอ้อนวอน ทำให้ผมทำได้เพียงพยักหน้ารับ ทันใดนั้นความอึดอัดทั้งหมดก็หายวับไป

   ผมสะดุ้งหอบหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ก่อนที่นาทีถัดมาจะหายใจไม่ออก

   เจ็บ...!

   นั่นคือความรู้สึกแรกสุด ไม่ใช่ความเจ็บแบบถูกมีดกรีด แต่เจ็บเหมือนถูกค้อนหนักๆ ทุบลงมาบนท้องน้อย ทั้งจุก ทั้งแน่น ยิ่งสิ่งแปลกปลอมคืบคลานเข้ามาก็ยิ่งอึดอัดทรมาน ผมเผลอถอยสะโพกหนีตามสัญชาติญาณ แต่นั่นกลับก่อให้เกิดการเสียดสีที่อยู่นอกเหนือการควบคุม ส่งผลให้ร่างด้านบนครางแผ่ว

   "เอิร์ธ... เอิร์ธ..." เสียงพึมพำเรียกชื่อของผมซ้ำๆ ทำให้ผมลืมตาขึ้น เห็นคนน่ารักขมวดคิ้วยับยู่ ใบหน้าเหยเก สีหน้าทรมานไม่ต่างกัน

   แวบหนึ่งผมอดคิดไม่ได้ว่าทำไมพวกเราถึงต้องมาทนทำอะไรที่ทรมานขนาดนี้ แต่อีกใจก็ตอบคำถามนั้น เพราะว่าผมอยากให้พวกเราเป็นหนึ่งเดียวกัน อยากเป็นของกันและกัน อยากให้โซระมีความสุข อยากเห็นโซระรู้สึกดี ขอเพียงแค่เราก้าวข้ามผ่านจุดนี้ไปให้ได้

   ผมจึงค่อยๆ ผ่อนคลายตัวเอง ยกสะโพกขึ้นเล็กน้อย พอดีกับจังหวะที่ร่างด้านบนขยับตัว สิ่งนั้นจึงพาลเคลื่อนพรวดเข้ามารวดเดียวเกินครึ่ง ผมหลุดอุทานเป็นเสียงครางสูง โซระกัดฟันแน่นกดเสียงครางอยู่ในลำคอ แวบหนึ่งในความทรมานนั้น กลับมีบางอย่างซุกซ่อนอยู่ ราวกับประกายไฟที่สว่างวาบขึ้นมาวูบหนึ่งภายใต้ความมืดมิด

   ส่วนที่เชื่อมต่อกันร้อนระอุ แต่ปลายนิ้วที่วางอยู่บนต้นขาของผมกลับเย็นเฉียบ บ่งบอกให้รู้ว่าร่างเล็กตรงหน้าทั้งตื่นเต้นและประหม่ามากแค่ไหน ถึงอย่างนั้นก็เริ่มเคลื่อนไหวสะโพกราวกับควบคุมตัวเองไม่อยู่ ความจุกแน่นเบียดเข้าออก แรงเสียดสีจุดประกายไฟใต้ม่านตาให้สว่างวาบขึ้นเป็นระยะ ผมนึกถึงไฟเย็นที่พวกเราเคยเล่นด้วยกันตอนวันลอยกระทง นึกถึงคำอธิษฐานที่กลายเป็นความจริง

   "อะ อะ" ผมปล่อยให้เสียงสั้นๆ หลุดรอดออกมาตามธรรมชาติ ก่อนฝืนตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อเอื้อมโอบรอบคออีกฝ่ายให้โน้มตัวลงมาหา

   ก่อนที่ริมฝีปากของพวกเราจะสัมผัสกัน ผมก็ได้ยินเสียงพึมพำ

   "อะ เอิร์ธ... มะ ไม่ไหว... เราไม่ไหว..."

   เสียงตะกุกตะกักเค้นผ่านไรฟัน ปลายนิ้วเย็นเฉียบเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อกดแน่นลงบนสะโพกของผม ตามด้วยเสียงครางต่ำคำรามดังในลำคอ พร้อมกับร่างเล็กที่กระตุกอย่างแรง

   กว่าผมจะทำความเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทุกอย่างก็จบลงเสียแล้ว

   

   หลายนาทีผ่านไป ภาพที่ผมเห็นคือด้านหลังของคนที่นั่งกอดเข่าคุดคู้ ก้มหน้าชิดหัวเตียง ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมมิดถึงศีรษะ ราวกับซุกซ่อนตัวอยู่ในถ้ำมืด ตัดขาดจากโลกภายนอก

   ผมได้แต่เฝ้ามองแผ่นหลังเล็กอย่างเงียบๆ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรหรือควรปลอบยังไง เพราะถ้าเหตุการณ์เดียวกันเกิดขึ้นกับผม ผมคงจะอับอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนี หรือไม่ก็หายตัวไปจากโลกใบนี้

   ศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายจมดิ่งไปพร้อมกับเรือที่ล่มปากอ่าว เอ่อ อาจดีกว่ากันเล็กน้อยตรงที่กรณีนี้... เรือแล่นออกมาล่มอยู่กลางทะเล

   "โซระ..." ผมเรียกเบาๆ พลางเขยิบตัวเข้าไปนั่งข้างๆ

   มนุษย์ผ้าห่มกลับยิ่งขดตัวเล็กลง ไม่ขานตอบ ไม่เงยหน้าขึ้นมา

   "โซระหิวไหม... อยากกินอะไรไหม หรือว่า อยากอาบน้ำไหม" ผมลองชวนคุย เพราะพวกเรายังไม่ได้กินข้าวเย็น แถมยังนั่งเปลือยเปล่ากันอยู่ทั้งคู่ ทว่ามนุษย์ผ้าห่มก็ยังคงไม่ยอมตอบ เอาแต่ก้มหน้าเงียบไม่พูดจา

   เป็นข้อเสียของผมที่พูดไม่เก่ง ไม่รู้ตอนนี้ว่าควรพูดอะไรเพื่อแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้น สุดท้ายจึงได้แต่ลอบถอนหายใจ เอนศีรษะพิงลงบนบ่าที่มีผ้าห่มขวางกั้น

   ผ่านไปนาน ในที่สุดเสียงอู้อี้ก็ดังลอดผ้าห่มออกมา

   "เอิร์ธ..." เป็นเสียงที่เศร้าสร้อย เหงาหงอย หวาดหวั่น สักพักผ้าห่มจึงลดระดับลงมาอยู่บนบ่า เผยให้เห็นสีหน้าและแววตาที่ย่ำแย่ไม่ต่างจากน้ำเสียง

   "เอิร์ธ...อยากเป็นฝ่ายรุกไหม ...เราสลับกันดีไหม"

   ถ้าเป็นปรกติผมคงตอบตกลงอย่างดีใจโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด

   แต่ตอนนี้ถ้าผมพยักหน้า ก็คงไม่ต่างอะไรจากการเหยียบย่ำซ้ำเติม ฝังกลบศักดิ์ศรีของโซระให้จมมิดดิน หรือในกรณีเลวร้าย เรื่องวันนี้อาจจะกลายเป็นปมฝังใจที่ไม่มีวันรักษาหาย

   "เอาไว้คราวหน้าก็ได้" ผมยิ้มตอบด้วยท่าทางผ่อนคลาย เรื่องของเราเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น พวกเรายังมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกนาน ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน

   "วันนี้... แม่ไปสัมมนาต่างจังหวัด ไม่กลับบ้าน... ส่วนพ่อก็คงกลับดึกตามเคย..." ผมเกริ่นต่อพลางขยับเข้าไปอีกนิด เบียดตัวเข้าไปอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน คราวนี้ดวงตากลมโตยอมมองตอบกลับมา ไม่ได้ก้มหน้าหนีอีก

   "เรามาลองกันใหม่อีกครั้งไหม" ผมถามต่อเบาๆ

   ต่อให้เป็นการหาเรื่องใส่ตัว หาเหาใส่หัว แต่ถ้าทำให้โซระยิ้มได้ มันก็คุ้มค่า

   ถึงแม้รอยยิ้มจะยังไม่กลับมาทั้งหมด แต่สีหน้าเศร้าๆ ก็ดูดีขึ้นกว่าเดิม กลายเป็นความลังเล กล้าๆ กลัวๆ ไม่มั่นใจ ผมจึงโน้มไปหน้าเข้าไปใกล้ เริ่มต้นจากการจูบเบาๆ ก่อนจะคลี่ยิ้มมากกว่าเดิมเมื่ออีกฝ่ายจูบตอบกลับมา

   

   ถ้าบอกว่าไม่เจ็บเลยคงจะเป็นการโกหก แต่ครั้งนี้การรุกล้ำดำเนินไปได้ราบรื่นกว่าเดิมมาก อาจเป็นเพราะพวกเราผ่อนคลายมากขึ้น รวมทั้งช่องทางคับแคบก็ยังคงนุ่มลื่นด้วยเจลที่ตกค้างอยู่ข้างใน

   ผมดึงรั้งร่างเล็กเข้ามากอด มือของพวกเราวางซ้อนกันอยู่บนข้างแก้ม ส่งผ่านความอบอุ่นผ่านปลายนิ้วและผิวกายที่แนบชิดกัน ริมฝีปากยังคงจูบกันเป็นระยะ ปะปนกับเสียงขึ้นจมูก แว่วดังเป็นจังหวะเดียวกับการเคลื่อนไหวช้าๆ

   ผมไม่ได้คิดไปเองเรื่องประกายไฟ และครั้งนี้ราวกับมีเชื้อเพลิงจุดไฟให้ลุกไหม้ หลอมร่างกายให้อ่อนปวกเปียก ส่วนที่เชื่อมต่อกันร้อนระอุจนแทบละลาย ยิ่งเสียดสีก็ยิ่งร้อน คนที่เริ่มเรียกความมั่นใจของตัวเองกลับมาได้ เริ่มรู้จักเรียนรู้จากการสังเกต เบียดจุดไหนแล้วร่างกายของผมสั่นสะท้าน กระแทกจุดไหนแล้วทำให้ผมกลั้นเสียงครางเอาไว้ไม่อยู่

   ความทรมานยังคงอยู่ทว่าเปลี่ยนรูปแบบ ไม่ได้มีแค่ความเจ็บปวดอีกต่อไป แต่กลายเป็นความสุขวาบหวามที่ทรมานแทบขาดใจ

   เสียงครางอู้อี้ลอดผ่านปากและลิ้นร้อนๆ ที่ยังคงเกี่ยวพัน ผมได้แต่โอบกอดร่างที่โถมตัวเข้ามา ยิ่งแรงเสียดสีโหมเข้าใส่ ท้องน้อยก็ยิ่งปั่นป่วนกว่านั่งไวกิ้งต่อด้วยรถไฟเหาะตีลังกาสิบตลบ ประกายไฟระเบิดออกเป็นพลุสว่างจ้า ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าของเหลวสีขาวขุ่นเปรอะเปื้อนทั่วหน้าท้องตั้งแต่เมื่อไหร่ ร่างกายยังกระตุกรัว ตอดรัดสิ่งที่ยังกระทุ้งเข้าออกไม่ยอมหยุด

   "อ๊า อะ อา... อา..." ผมไม่แน่ใจว่านั่นเป็นเสียงของตัวเองหรือเปล่า ฟังดูหวานกระเส่า เหมือนดังแว่วมาจากที่ไกล

   จนกระทั่งร่างด้านบนยอมปล่อย... ถึงตอนนั้นผมก็แทบไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่จะเปล่งเสียงอีก ได้ยินเพียงเสียงหัวใจของตัวเองก้องดังในโสตประสาท ตอนที่ร่างเล็กทิ้งน้ำหนักตัวลงมา ผมถึงได้รับรู้ผ่านแผ่นอกที่แนบชิดกันว่าหัวใจของโซระเองก็กำลังเต้นแรงไม่แพ้กัน

   ผมหอบหายใจเนิ่นนาน จนกระทั่งหัวใจเริ่มปรับลดจังหวะการเต้น คนด้านบนยกใบหน้าที่ซบอยู่บนบ่าขึ้นมาจูบผมเบาๆ

   "เอิร์ธ...รู้สึกดีไหม" ร่างเล็กพลิกตัวลงไปนอนข้างๆ ก่อนจะกระซิบถามอยู่ข้างหู

   ตอนนี้ผมยังคงหน้าแดง ผิวแดงจัดไปทั้งตัวจากเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไป จึงไม่ต้องกลัวว่าตัวเองจะแดงไปมากกว่านี้

   ผมไม่ได้ตอบคำถามนั้น เพราะร่างกายคงตอบแทนไปหมดแล้ว

   "เรารู้สึกดีที่สุดเลย" ใบหน้าใสเองก็แดงระเรื่อ แต่ยังคงกระซิบต่อไปเรื่อยๆ

   "เรารักเอิร์ธที่สุดเลย" ประโยคนั้นทำให้ผมเอนใบหน้ากลับไปมอง จึงได้เห็นรอยยิ้มสว่างไสวที่คุ้นเคย หากมองเท่าไหร่ก็ไม่เคยเบื่อ และอยากจะมองแบบนี้ตลอดไป

   

   "ในตู้เย็นไม่มีกับข้าวเหลือเลย เราเลยต้มโจ๊กมาแทน" เสียงเปิดและปิดประตูดังขึ้น ขณะที่ผมยังคงนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียง ร่างกายท่อนล่างยังคงปวดระบม ไม่ถึงขั้นลุกเดินไม่ไหว แต่ก็ไม่อยากขยับถ้าไม่จำเป็น

   ผมควรขอบคุณทฤษฏีจากหนังสือพวกนั้น อย่างน้อยก็ไม่มีเลือดออก ไม่มีบาดแผล แค่ยังคงแสบเล็กน้อย

   "เอิร์ธลุกไหวไหม" โซระพูดพลางวางถาดที่บรรจุโจ๊กสองชามลงบนโต๊ะข้างเตียง ผมจึงพยักหน้ารับและค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเป็นห่วง ถึงแม้ความเจ็บแปลบจะทำให้เผลอนิ่วหน้าเล็กน้อย แต่ผมก็รับชามโจ๊กมาถือก่อนตักกินเงียบๆ พยายามไม่แสดงความผิดปรกติออกไป

   ผมเผลอมองสภาพเตียงที่ยับยู่ แอบเหลือบไปเห็นคราบ...เป็นรอยด่างดวงหลายจุด จึงได้แต่หลุบตาลงพลางคิดในใจ คงต้องถอดผ้าปูที่นอนออกไปซักก่อนที่แม่จะกลับมา ไม่รู้ว่าใจตรงกันหรือเปล่า สักพักโซระก็เดินไปเปิดแง้มหน้าต่างเล็กน้อยทั้งๆ ที่ในห้องยังคงเปิดแอร์อยู่ เพื่อระบายความอบอ้าวและกลิ่นคาวที่ยังคงตลบอบอวล

   ขากลับร่างเล็กกลับเดินสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง เป็นโน้ตบุคที่ถูกวางทิ้งไว้บนพื้น

   หน้าจอสีดำสว่างวาบขึ้นมาอีกครั้ง คงเพราะโซระเหยียบไปโดนปุ่มอะไรเข้า ทันใดนั้นเสียงครางกระเส่าก็ดังสนั่น ผมมองเห็นไม่ชัดเพราะไม่ได้สวมแว่นตา แต่คิดว่านั่นไม่ใช่คลิปเดิมที่เคยถูกเปิดค้างไว้ โซระรีบหยิบโน้ตบุ๊คขึ้นมากดหยุด บรรยากาศเงียบสงบพลันแปรเปลี่ยนเป็นความขัดเขิน

   ผมแสร้งกินโจ๊กต่อไปอย่างไม่รู้ไม่ชี้ แต่แทนที่โซระจะปิดหน้าจอลง กลับหยิบโน้ตบุ๊คขึ้นมาวางบนเตียง ในนั้นเต็มไปด้วยไฟล์มากมาย ระหว่างกินโจ๊กไปดวงตากลมโตก็กวาดมองอย่างสนใจ

   "เอิร์ธ เราขอไรท์ไปได้ไหม" อยู่ดีๆ คนน่ารักก็เงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยดวงตาเป็นประกาย ถึงแม้จะอึ้งไปครู่ใหญ่แต่ผมจะทำอะไรได้นอกจากพยักหน้า

   นาทีถัดมาผมก็ชักไม่แน่ใจว่าตัวเองคิดถูกหรือคิดผิด เมื่อหวนนึกถึงความมุ่งมั่นพยายามประหลาดๆ ที่ผ่านมาของโซระ อย่างเช่น การไปนั่งกินกาแฟร้านเดิมติดต่อหลายสัปดาห์เพียงแค่ขอให้ได้เห็นหน้าคนที่ชอบ การขุนตัวเองอย่างหนักจนกระทั่งอาหารเป็นพิษ การขยันออกกำลังกายทุกวันเพราะอยากตัวสูงใหญ่ขึ้นกว่าเดิม หรือแม้แต่การไปนั่งดูหนังโป๊กับพวกทีมบาสด้วยความอยากรู้อยากเห็น

   ถ้าผมเป็นพวกที่ชอบศึกษาทฤษฏี โซระก็คงเป็นพวกที่ชอบลงมือปฏิบัติ

   ยิ่งคิดผมก็ยิ่งรู้สึกหวั่นๆ

   ไม่รู้ว่าล่วงรู้ถึงความคิดของผมหรือเปล่า แต่เมื่อบังเอิญสบตากันเข้าอีกครั้ง คนน่ารักก็ส่งยิ้มกว้างมาให้

   ดวงตากลมโตหรี่ลงเป็นเส้นโค้งแพรวพราวระยิบระยับ อวดรอยบุ๋มข้างแก้มที่กดลึกราวกับหลุมพรางกับดัก ทำให้คนที่เผลอร่วงตกลงไปไม่มีทางปีนกลับขึ้นมาได้

   
-------------------


   หึหึหึ 5555555 :laugh: เชื่อว่าต้องมีคนเดาผิดข้างแน่ๆ  :laugh: :laugh: :laugh:
   เด็กน้อยน่ารักน่ารังแกมาก น่ารังแกทั้งคู่เลย~~
   ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ ^^
   ขอบคุณทุกสำหรับคอมเม้นด้วย เห็นคอมเม้นทีไรก็ยังทำให้ยิ้มได้ทุกที ฟีดแบ็คจากผู้อ่านคือกำลังใจของผู้แต่งจริงๆ นะ
   :กอด1:

   ท่านใดสนใจอุดหนุนแจ็คยังสามารถแวะไปสอยได้ที่งานสัปดาห์หนังสือนะคะ 29มีนา-8เมษา2561 ณ ศูนย์สิริกิติ์ ฝากวางขาย3บูธคือ B2S/Sense/ธารอักษร(นานานาริส)

   สำหรับตอนพิเศษในเล่มก็จะมีทั้งหมด5ตอน(60กว่าหน้า)
   1) ตอนพูดจริงทำจริง (ต้นxแจ็ค NC)
   2) ตอนความรักกับอัญมณี (เอิร์ธ+โซระ หวานละมุนสไตล์เด็กน้อย)
   3) ตอนคำสาปแช่งของพี่มินนี่ คำอวยพรของแจ็ค (เจ๊มินนี่มีเมีย)
   4) ตอนแจ็คเป็นของยักษ์ (เล่าด้วยมุมมองของแจ็ค)
   5) ภาคพิสดาร นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าทิ้งถั่วไม่เป็นที่เป็นทาง
   
   ส่วนเล่มเล็กจะเป็นตอนพิเศษทั้งหมด 44 หน้า แบ่งเป็นมุมมองของต้นกับมุมมองของแจ็ค
   พาลูกสะใภ้ไปแนะนำตัว~~5555 มีncกล้อมแกล้มประปราย มีโอกาสต้องจับมันกดทิ้งท้าย!!!

   เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเอาตัวอย่างตอนพิเศษมาลงนะคะ ^^
   ขอบคุณค่า :pig4:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-04-2018 22:36:19 โดย @moment »

ออฟไลน์ mint_852

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 735
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
มาต่อตอนสุดท้ายของคู่เด็กแล้ว
แปะไว้ก่อน เดี๋ยวมาอ่านอีกที

ออฟไลน์ Bb nale

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 559
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +9/-0
โธ่ เอิร์ธ เสร็จโซระซะได้55 จะได้รุกบ้างไหมใจอ่อนขนาดนี้แค่ยิ้มก็ยอมแล้ว55

ออฟไลน์ mint_852

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 735
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-1
อ่านจบแล้ว ช็อคเลย
นี่ถ้าแจ็ครู้ว่าโซระรุกคงช็อค
ได้ปิดฟาร์มหมาชั่วคราวแน่นอน
อนาคตโซระคงเหมือนต้น
ขอบคุณที่เอามาลงให้อ่านนะคะ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ @moment

  • แอทโมเม้นท์
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
    • https://www.facebook.com/at.moment.writer/
   

   ตัวอย่างตอนพิเศษในเล่ม
   ทั้งหมดมี 5 ตอน รวมประมาณ60+หน้า


   ตัวอย่าง (1/5)
   ตอนพูดจริงทำจริง


   "เด็กสมัยนี้มั่วเป็นบ้า เจอกันหนเดียวก็เสียบ หาเด็กน่ารักใสๆ ยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร" ปากมันยังพล่ามไปเรื่อย ในขณะที่ผมฟังแล้วสะดุดกึก ปรายตามองคนพูด นึกถึงเด็กน้อยน่ารักอย่างโซระที่มันเคยเพียรพยายามจีบ

   "แต่พวกใจง่ายก็ดีอยู่อย่าง ลีลาดี อ่ะ มีคลิปด้วย หูย เด็ดใช่ย่อย" มันไม่ได้เปิดเสียง ผมเองก็มองไม่เห็นหน้าจอเลยไม่รู้ว่าเป็นคลิปจริงหรือเป็นแค่คนสวมรอยเรียกไลค์ ผมเคยชินกับความปากหมา ไม่ได้คาดหวังให้สำนึกบกพร่องของมันคิดได้ว่า ลบคลิปเถอะ สงสารน้องเขา หรืออะไรทำนองนั้น และสิ่งที่ทำให้ผมสะดุดกึกเป็นรอบที่สองก็ไม่ใช่เรื่องนั้น

   "มึงเคยเหรอ" ถึงมันจะชอบเด็กเรียบร้อยน่ารักแต่ก็ใช่จะไม่เคยแวะกินรายทาง ผมรู้ว่ามันเคยทำตัวเหลวไหลมาก่อน แต่พอนึกถึงก็ยังอดหงุดหงิดไม่ได้

   "หา?" แจ็คเงยหน้าขึ้นมาอย่างงงๆ เหมือนตามไม่ทันว่าผมถามถึงอะไร

   "นัดเด็กมาเสียบในห้องน้ำ" ผมถามเรียบๆ ปรายตามองโทรศัพท์ในมือมันแวบหนึ่ง ก่อนเงยขึ้นมองหน้ามัน

   แจ็คอ้าปากค้าง สักพักจึงหุบปาก ราวกับเพิ่งสำนึกได้ว่าปากตัวเองกำลังหาเรื่องใส่ตัวอีกครั้ง

   "กู... ไปอาบน้ำก่อนนะ" พูดจบมันก็กระเด้งลงจากเตียง กระโดดเผ่นแน่บเข้าห้องน้ำไป

   นั่นแหละคือการหาเรื่องใส่ตัวอย่างแท้จริง

   เพราะประโยคนั้นต่างอะไรจากการชวนผมเข้าห้องน้ำ?


   - ☁ - ☁ - ☁ - ☁ - ☁ -


   ตัวอย่าง (2/5)
   ตอนความรักกับอัญมณี


   [โซระ]

   ความจริงแล้วผมก็ไม่ได้อยากไปเที่ยวที่ไหนเป็นพิเศษ ก็แค่... อยากจะชวนเดต

   "นี่ก็ใกล้จะสอบแล้ว เอาไว้พวกเราค่อยไปกันหลังสอบเสร็จดีไหม" เอิร์ธตอบกลับมาอย่างมีเหตุผล ทำให้ผมได้แต่อ้ำอึ้ง ถึงอยากจะค้านก็ค้านไม่ออก

   เพราะผมรู้ดีว่าเอิร์ธพูดถูกต้องทุกอย่าง ตอนนี้พวกเราต้องเตรียมตัวอย่างหนักเพื่อการสอบที่ใกล้เข้ามาถึง ยิ่งคณะที่เอิร์ธต้องการสอบเข้ามีอัตราการแข่งขันสูงมาก ถ้าผมยังอยากจะเรียนต่อที่เดียวกันกับเอิร์ธ ผมก็ยิ่งต้องพยายามมากกว่าเดิมไม่รู้อีกกี่เท่า เพราะผลการเรียนของผมอยู่แค่ในระดับปานกลาง ทำให้เอิร์ธนอกจากจะต้องอ่านหนังสือของตัวเองแล้วยังต้องมาคอยติวให้ผมอีก

   แต่วันอาทิตย์หน้า... เอิร์ธจำได้หรือเปล่าว่าเป็นวันอะไร...

   ผมพยายามปลอบใจตัวเองว่าถึงยังไงพวกเราก็ได้อยู่ด้วยกันตลอด ทั้งที่โรงเรียน ทั้งตอนเรียนพิเศษ หรือหลังเลิกเรียนก็มักจะไปติวหนังสือที่บ้านของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

   ผมจึงเปลี่ยนความคิดใหม่ ปรับเปลี่ยนแผนในใจ อาทิตย์หน้าถ้าผมชวนเอิร์ธมาติวหนังสือที่บ้าน อย่างน้อยพวกเราก็จะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน

   ถึงแม้ว่าเอิร์ธอาจจะลืมวันเกิดของตัวเอง ซึ่งบังเอิญตรงกับวันที่พวกเราคบกันได้สามเดือนพอดี


   - ☁ - ☁ - ☁ - ☁ - ☁ -


   ตัวอย่าง (3/5)
   ตอนคำสาปแช่งของพี่มินนี่ คำอวยพรของแจ็ค


   "โฮ ผู้ชายแม่งไม่มีดีสักคน!" ผมยาวยุ่งเหยิงสยายลงบนโต๊ะกว้าง ท่ามกลางกองทิชชูก้อนกลมกลาดเกลื่อน ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างไม่แคร์สายตาใคร ผู้ชายสองคนที่กำลังนั่งปลอบอยู่จึงได้แต่เหลือบมองหน้ากัน

   เพราะกูก็ผู้ชาย มึงก็ผู้ชาย คนที่ร้องไห้อยู่...ก็ 'ผู้ชาย'

   "จริงของเจ๊! ผัวเจ๊แต่ละคนแม่งไม่มีดีเลยสักคน" แจ็ครีบร้องรับเป็นลูกคู่ ช่วยด่าสาดเสียเทเสีย แต่ประโยคถัดมากลับชักใบให้เรือเสีย

   "เชื่อผมสิเจ๊ เลิกหาผัวเถอะ หาเมียดีกว่า!"

   ไอ้นี่วอนหาตีน! ถึกหรือต้นที่นั่งอยู่ด้านข้างได้แต่ปรายตามองคนพูดพลางส่ายหน้าเอือมระอา

   มันรู้ทั้งรู้ว่าพี่เขามีปมก็ยังชอบล้อ เพราะพี่มินนี่มีชื่อจริงว่า 'แมน' ต่อให้สวยมากแค่ไหนก็ยังไม่เคยผ่าและไม่เคยเฉาะ เพราะกลัวป๊าจะหัวใจวายตาย เวลากลับบ้านต่างจังหวัดยังต้องแปลงร่างกลับไปเป็นลูกชายให้ป๊าสบายใจ แถมม้าก็ยังคอยพร่ำถามว่าเมื่อไหร่จะมีแฟน พยายามจับลูกชายคลุมถุงชนหลายต่อหลายครั้ง

   พี่มินนี่ยังคงร้องห่มร้องไห้จนหมดทิชชูไปเป็นกล่องที่สาม แต่ครั้งนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็เหนื่อยจะนับ เพราะสถิติความอาภัพรักของสองพี่น้องรหัสคู่นี้แทบไม่แตกต่างกัน ถ้าแจ็คเป็นพ่อพวงมาลัยลอยชายที่โดนเขี่ยทิ้งลงถังขยะ พี่มินนี่ก็คงเป็นดอกไม้ใส่พานที่ถวายใครก็โดนเทกระจาดกลับมา

   พูดไปแล้วก็เหลือเชื่อ ใครจะรู้ว่าสุดท้ายความรักของแจ็คจะสมหวังตามคำสาปแช่งของพี่มินนี่ และความรักของพี่มินนี่จะสัมฤทธิผลตามคำอวยพรของแจ็ค

   'สาธุ! ฉันขอสาปแช่งให้แกมีผัวเป็นตัวเป็นตน!'

   'ส้าธุ! ผมก็ขออวยพรให้เจ๊มีเมียเป็นตัวเป็นตน!'


   - ☁ - ☁ - ☁ - ☁ - ☁ -


   ตัวอย่าง (4/5)
   ตอนแจ็คเป็นของยักษ์


   [แจ็ค]

   ไอ้เหี้ย! มันได้ฟังที่ผมเพิ่งพูดไปหรือเปล่าว่ารุ่นนี้หาซื้อไม่ได้แล้ว!? ด่าไปไมเกรนก็ขึ้นกบาล ผมจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะผ่อนออกพร้อมกับความปลงเฮือกใหญ่ พลางเดินโขยกเขยกไปทางห้องน้ำ

   ทำไมผมถึงต้องเดินขาถ่างเป็นไก่ย่างโดนเสียบอย่างนี้นะเหรอ? คุณลองหันกลับไปดูไอ้ตัวการ ตอนตั้งท้องแม่มันกินอิฐกินปูนเป็นอาหารว่างหรือยังไง ถึงได้คลอดออกมาตัวใหญ่ยักษ์เป็นตึก แถมยังถึกไม่บันยะบันยัง มันเคยสงสารก้นน้อยๆ ของผมบ้างไหม? แค่ไม่ได้เอากันสามอาทิตย์ มันเล่นจัดหนักจัดเต็ม ถอนทุนแถมคิดดอกเบี้ยทบต้นทบดอก ถึงขั้นผมแทบคลานลงจากเตียงก็ยังโดนดึงกลับขึ้นไป นี่ถ้าวันไหนผมตายคาเตียง บอกได้เลยว่ามันคือฆาตกร!

   ผมปล่อยให้สายน้ำจากฝักบัวกลบเสียงก่นด่า เสียงซี้ดรอดผ่านไรฟัน ล้างก้นไปก็ยังแสบไม่หาย ได้แต่ด่าไปอาบน้ำไป แต่พอได้ล้างคราบเหงื่อรวมถึงคราบอะไรต่อมิอะไรก็ค่อยรู้สึกสบายตัวขึ้นหน่อย

   ช่วงนี้พวกเราแทบจะไม่ได้เจอหน้ากันเพราะต่างคนต่างก็ยุ่งอยู่กับการฝึกงาน บริษัทที่ผมทำอยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนักจึงไม่ค่อยมีปัญหา แต่บริษัทที่ถึกทำอยู่ไกลถึงชานเมือง บวกเวลารถติดเข้าไปอีก ทุกวันจึงต้องตื่นตั้งแต่ตีห้ากว่าจะกลับถึงหอก็เกือบห้าทุ่มกว่า เรียกได้ว่าแค่เวลานอนยังมีไม่พอ

   พวกเราจึงเหลือเวลาเจอหน้ากันแค่เสาร์อาทิตย์ แต่อาทิตย์ก่อนโน้นผมยุ่งอยู่กับการปั่นรายงานส่งอาจารย์ ส่วนอาทิตย์ถัดมามันก็เป็นฝ่ายติดธุระ ไปๆ มาๆ เมื่อคืนวันศุกร์หลังเลิกงานผมเลยแวะเข้ามาที่หอ เช่าการ์ตูนมาอ่าน นั่งๆ นอนๆ รอมันกลับจากบริษัท

   

   

   - ☁ - ☁ - ☁ - ☁ - ☁ -


   ตัวอย่าง (5/5)
   นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าทิ้งถั่วไม่เป็นที่เป็นทาง


   แจ็ค เป็นเด็กหนุ่มชาวบ้านที่แสนจะธรรมดา ฐานะปานกลาง ค่อนข้างยากจนเป็นบางครั้ง ยังดีหน่อยก็ตรงที่รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา มีอาชีพหลักคือทำฟาร์มสุนัข ความจริงเมื่อก่อนครอบครัวเคยทำฟาร์มเลี้ยงแกะ แต่สุนัขที่เลี้ยงไว้ดันเลี้ยงไม่เชื่อง เห่าซี้ซั้วจนแกะเตลิดหนีไปหมด สุดท้ายเลยต้องเปลี่ยนอาชีพมาทำฟาร์มสุนัขแทน

   คนในหมู่บ้านต่างก็ไม่ชอบเดินผ่านหน้าบ้านของแจ็ค เพราะผ่านทีไรเป็นต้องโดนหมาเห่าไล่ตลอด เมื่อไม่ค่อยมีลูกค้า กิจการของแจ็คจึงค่อนข้างเงียบเหงา เคยพยายามย้อมหมาขายอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ตอนที่เป็นลูกหมาตาดำๆ ตัวเล็กๆ ก็น่ารักน่าเอ็นดูดีอยู่หรอก แต่พอหางโผล่เมื่อไหร่เป็นต้องออกฤทธิ์ ทั้งเห่าทั้งกัดจนเจ้าของจับตัดหางปล่อยวัดอยู่เป็นประจำ

   ด้วยความชอกช้ำในโชคชะตา วันหนึ่งแจ็คจึงมาตั้งโต๊ะกินเหล้าอยู่หน้าบ้าน ตอนนั้นเป็นเวลาหัวค่ำ ซึ่งปกติก็แทบไม่มีใครเดินผ่านไปมาอยู่แล้ว

   ทว่าท่ามกลางความมืดสลัว กลับมีชายแปลกหน้าใต้เสื้อคลุมมิดชิดปิดถึงศีรษะคนหนึ่งเดินเข้ามา

   "พ่อหนุ่ม สนใจซื้อถั่วเป็นกับแกล้มหน่อยไหม" เสียงแหบแห้งที่ฟังแล้วเดาอายุไม่ออกเอ่ยขึ้น


   - ☁ - ☁ - ☁ - ☁ - ☁ -


   ทั้งหมด 5 ตอนนี้เป็นตอนพิเศษในเล่มหลักนะคะ


>> Bb nale : โธ่ เอิร์ธ เสร็จโซระซะได้55 จะได้รุกบ้างไหมใจอ่อนขนาดนี้แค่ยิ้มก็ยอมแล้ว55

ใดๆ ในโลกล้วนไม่แน่นอน หุหุ หึหึ

>> mint_852 : อ่านจบแล้ว ช็อคเลย นี่ถ้าแจ็ครู้ว่าโซระรุกคงช็อค ได้ปิดฟาร์มหมาชั่วคราวแน่นอน

โบราณว่ารู้หน้าไม่รู้ใจ อย่าตัดสินใครจากเพียงภายนอก หน้าใสใจเสือเชื่อไม่ได้  :laugh: :laugh: :laugh:


คันปากอยากสปอย ในเล่มยังมีเรื่องให้ช็อคอีกนะคะ ว่าแล้วก็เผ่นนนนน :katai5:


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 06-04-2018 22:33:43 โดย @moment »

ออฟไลน์ @moment

  • แอทโมเม้นท์
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
    • https://www.facebook.com/at.moment.writer/
แจกนิยาย แจ็คเป็นของยักษ์ 2 รางวัล
รางวัลพิเศษสำหรับท่านที่ซื้อนิยายแล้ว 1 รางวัล

ระยะเวลาร่วมสนุกถึง 29 เมษา 2561

อ่านรายละเอียดและร่วมสนุกได้ทางเพจและทวิตนะคะ
https://www.facebook.com/at.moment.writer/posts/1674542289302231
https://twitter.com/atmoment_writer/status/983713349253742593

ขอบคุณค่า

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-04-2018 21:32:35 โดย @moment »

ออฟไลน์ @moment

  • แอทโมเม้นท์
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
    • https://www.facebook.com/at.moment.writer/
[แจ้งข่าว]

แจ็ครอบสต๊อกสามารถสั่งซื้อได้แล้วผ่านทางเว็บของสนพ.ฟาไฉ
http://www.facainovels.com/

ส่วนอีบุ๊ค คาดว่าอีกสักพักน่าจะมีข่าวดีนะคะ

ขอบคุณค่า :pig4:

ออฟไลน์ @moment

  • แอทโมเม้นท์
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
    • https://www.facebook.com/at.moment.writer/
[แจ้งข่าว] แจ็คออกอีบุ๊คแล้วนะคะ
สามารถซื้อผ่านทาง meb ได้เลย

https://www.mebmarket.com/ebook-74447-

ขอบคุณค่า  :pig4:


ออฟไลน์ MyLavenderLand

  • ฉันสุขใจ เมื่อได้ Log in เล้า
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1582
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +84/-1
เราเพิ่งได้อ่านเรื่องนี้ ชอบนะคะ ดีเลย คือมันสนุกบทจะหน่วงก็บีบหัวใจเบาๆได้เหมือนกัน กล้ามชนกล้าม เพื่อนรักเพื่อน ของแท้เลยเรื่องนี้ คนเขียนเขียนดีค่ะ ลื่นไหล สนุก ขอบคุณนะคะ เสียดายไม่ติดตามตั้งแต่ไลฟ์ออนแอร์ สนุกมากค่าาา ขอบคุณค่าาา  o13 :mew1:

ออฟไลน์ FeRnChOi

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 25
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
พึ่งได้อ่านตอนที่เรื่องจบแล้ว เลยขอเม้นท์ทีเดียวเลย
เราชอบต้นนะ นับถือในความใจเย็น
คือโดนแต่ละอย่างก็ยังสู้ นับถือใจ
ขอบคุณนะคะที่แต่งเรื่องดีๆแบบนี้มาให้อ่าน

❤️❤️❤️❤️❤️❤️❤️

ออฟไลน์ zaturday

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 230
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-1
ชอบมากกก สนุกมากค่ะ อ่านรวดเดียวเลย ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ

ออฟไลน์ มนุษย์บิน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 408
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
เหมือนแจ็คจะโดนยักษ์กินมากกว่านะหลังๆนี้ 55555

ออฟไลน์ abc_b

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 177
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
โธ่เอิร์ทททท อุส่าห์มองว่าเป็นรุกอยู่ตั้งนาน

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด