☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ [สนพ.ฟาไฉ] แจ้งข่าวอีบุ๊คออกแล้วนะคะ P.3
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ [สนพ.ฟาไฉ] แจ้งข่าวอีบุ๊คออกแล้วนะคะ P.3  (อ่าน 24588 ครั้ง)

ออฟไลน์ @moment

  • แอทโมเม้นท์
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
    • https://www.facebook.com/at.moment.writer/
อ้างถึง
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
#แจ็คเป็นของยักษ์

by @moment

แวะไปกดไลค์กดฟอลกันได้น้า
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer

| สารบัญ |
ต้นxแจ็ค 27 ตอนจบ
โซระ+เอิร์ธ 5 ตอนจบ
ทั้งหมดอยู่ในหน้า 1-3 คงไม่ต้องทำสารบัญเนอะ ^^"
(ขยันมากกกก)

Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-05-2018 12:30:05 โดย @moment »

ออฟไลน์ @moment

  • แอทโมเม้นท์
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
    • https://www.facebook.com/at.moment.writer/
☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁
«ตอบ #1 เมื่อ09-03-2018 21:21:40 »




Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
#แจ็คเป็นของยักษ์

by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer


นิยายเรื่องนี้ออกแนวหื่นฮา แซบซ่าสดใส ไร้สาระ ไม่เน้นดราม่า
แต่ถ้าอ่านแล้วอยากฆาตกรรมนายเอกเราก็จะยื่นมีดให้ ฮ่าาาาา

‘แจ็ค’ (นายเอก) - ปากหมา หน้าด้าน ตอแหล มีดีอย่างเดียวคือหน้าตา
‘ต้น’ (พระเอก) - ตึก ถึก ยักษ์ปักหลั่น เงียบเป็นเป่าสาก

“มึงด่ากูปากหมา! เจอหมากูกัดหน่อยเป็นไง!”
= ปากกระแทกปาก

ควายถึก ยักษ์จำศีล ฤๅษีเฝ้าถ้ำ สารพัดคำที่มันสรรหามาเรียก
แต่ถ้าจะหาว่าผมตบะแตก ก็ต้องโทษมันคนเดียวที่เป็นตัวต้นเหตุ

นิยายเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับ ‘แจ็คผู้ฆ่ายักษ์’
เพราะว่างานนี้แจ็คจะถูกยักษ์คร่า เพราะว่าแจ็คเป็นของยักษ์


[อัพเดท] แจ็ครวมเล่มกับสนพ.ฟาไฉ สามารถสั่งซื้อรอบสต๊อกได้ทางเว็บสนพ.
http://www.facainovels.com/

[อัพเดท] อีบุ๊คออกแล้วนะคะ
https://www.mebmarket.com/ebook-74447-

ขอบคุณค่ะ  :pig4:

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 13-05-2018 12:28:22 โดย @moment »

ออฟไลน์ @moment

  • แอทโมเม้นท์
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
    • https://www.facebook.com/at.moment.writer/
   

   ตอนที่ 1 หมากัดปาก

   

   'ไอ้ตึก' ฉายานี้ผมได้มาจากใครคนหนึ่งซึ่งกลายมาเป็นเพื่อนซี้ได้ยังไงก็ไม่รู้ ซี้กันจริงหรือเปล่าก็ยังไม่แน่ใจ รู้แต่ว่าพวกเราไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ เรียนด้วยกัน กินด้วยกัน เที่ยวด้วยกัน เมาด้วยกัน นอนด้วยกัน

   อย่าเพิ่งทำหน้าแบบนั้น ผมหมายถึงนอนหลับธรรมดา กลิ้งเตะกันบ้าง ก่ายกันบ้าง ตามประสาเพื่อนผู้ชาย

   อาจเป็นเพราะมันปากหมาจนไม่มีใครกล้าคบ สุดท้ายก็เลยมาติดแหงกอยู่กับผม เพราะผมเป็นคนเงียบๆ ง่ายๆ อะไรก็ได้ ไม่ใช่ว่าไม่สู้คน แต่ผมรำคาญ ขี้เกียจต่อปากต่อคำ มันอยากจะด่าก็ปล่อยให้มันด่าไป เพราะถึงแม้ว่ามันจะปากเสีย แต่จริงๆ แล้วนิสัยของมันก็ไม่ได้เลวร้าย

   อย่างน้อยมันก็เป็นคนจริงใจ รักใครแล้วรักจริง ผมรู้ว่ามันรักใครคนหนึ่งมาตั้งแต่สมัยมัธยม จนถึงตอนนี้ก็ยังคงรักอยู่ ตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอก เห็นมันคบๆ เลิกๆ กับใครหลายคน จนกระทั่งเริ่มสังเกตเห็นว่าคนที่มันคบด้วยมักจะมีหลายส่วนที่คล้ายคลึงกัน คือเป็นคนเรียบร้อย รูปร่างบาง ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู

   อ้อ คนที่มันคบเป็นผู้ชายนะครับ

   มันเป็นเกย์ แต่ผมไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ในเมื่อมันก็ไม่ได้คิดจะปล้ำผมสักหน่อย (หรือต่อให้คิดยังไงมันก็สู้แรงผมไม่ได้อยู่แล้ว ผมก็เลยชิลๆ) และที่สำคัญสเปคของมันห่างไกลกับผู้ชายอย่างผมลิบลับ รูปร่างของผมสูงใหญ่อย่างที่ถูกตั้งฉายาว่า 'ตึก' นิสัยก็ถึกๆ ห่ามๆ แบบผู้ชายทั่วไป

   "ไอ้ถึก! กูหิวแล้ว ไปหาไรกินกัน" ใครบางคนที่กำลังนินทาถึงอยู่ในใจ ตะโกนเรียกผมก่อนที่ตัวจะเดินมาถึงหลายสิบก้าว

   ความจริงแล้วผมชื่อว่า 'ต้น' แต่มันเป็นคนเริ่มเรียกผมว่า 'ตึก' ทำให้เพื่อนคนอื่นต่างพากันเรียกตาม จนตอนนี้แทบจะไม่มีใครเรียกผมด้วยชื่อจริงแล้ว ต่อมามันก็เรียกผมว่า 'ถึก' ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่อยากเรียกซ้ำกับคนอื่น บางครั้งมันก็เติมคำขึ้นต้นให้ว่า 'ควายถึก' บางทีก็ผันเป็น 'หมีควาย' หรือเรียกสั้นๆ ก็ 'ควาย'

   เอ้า มันอยากจะเรียกอะไรก็เรียกไป ตามแต่ศรัทธา

   ขอแค่อย่าทำ 'สระอา' หายก็พอ

   "แหมอิแจ็ค! ชวนแต่เพื่อนไม่เห็นหัวพี่เลยนะยะ" พี่มินนี่ที่นั่งอยู่ข้างผมร้องทักตอบ พี่มินนี่เป็นพี่รหัสของแจ็ค เป็นรุ่นพี่ภาคของผม เป็นสาวสวยมากและมั่นมาก หนึ่งในไม่กี่คนที่กล้าลับฝีปากกับแจ็ค

   "โถเจ๊สุดสวยครับ~ ก็เจ๊ตัวเล็กนิดเดียวผมเลยมองไม่เห็น และที่ไม่ชวนก็เพราะรักเจ๊หรอกนะ ไม่อยากให้มวลเพิ่ม เดี๋ยวหมดสวย 'ผัวทิ้ง' แล้วจะมาด่าผม" มันฉีกยิ้มประจบ แต่น่าจะเป็นการประจบเบื้องล่างเสียมากกว่า

   "หนอยอีนี่!" พี่มินนี่โมโหจนผุดลุกขึ้นยืน เพราะโดนสะกิดแผลสดที่เพิ่งถูกแฟนทิ้งมาหมาดๆ ฟิวส์ขาดจนนึกคำด่าไม่ออก จึงโต้ตอบกลับไปด้วยการสาปแช่ง

   "สาธุ! ฉันขอสาปแช่งให้แกมีผัวเป็นตัวเป็นตน!"

   "ส๊าธุ! ผมก็ขออวยพรให้เจ๊มีเมียเป็นตัวเป็นตน"

   แจ็คสวนตอบกลับทันควัน ยังไม่ทันขาดคำจึงถูกพี่มินนี่ปาหนังสือใส่หัว แต่ไอ้คนมือไวก็รับเอาไว้ได้ทัน แถมยังมีหน้ามาหัวเราะระรื่นใส่พี่เขาอีก พอทำอะไรไม่ได้พี่มินนี่เลยได้แต่ขมุบขมิบปากร่ายมนต์ดำใส่ด้วยความแค้น

   ไอ้แจ็คมันก็ปากเหลือร้าย รู้ว่าพี่เขามีปมก็ยังจะชอบแหย่

   เพราะถึงแม้พี่มินนี่... หรือชื่อจริงคือ 'พี่แมน' จะสวยแค่ไหนก็ยังไม่ได้ผ่าและไม่ได้เฉาะ เพราะกลัวว่าป๊าจะหัวใจวายตาย เวลากลับบ้านต่างจังหวัดเลยยังต้องแปลงร่างกลับไปเป็นลูกชายให้ป๊าสบายใจ

   "ถึก! เร็วดิวะ! เดี๋ยวกลับมาไม่ทันคาบบ่าย" แจ็คหันมาเร่งผมอีกครั้ง ผมจึงพยักหน้าส่งๆ พลางคว้าหนังสือจากมือของมันมาวางคืนพี่มินนี่ ก่อนจะลุกเดินตามไป

   

   ผมคิดว่าเวรกรรมคงจะตามทัน หรือไม่ก็คำสาปแช่งของพี่มินนี่สัมฤทธิ์ผล

   ยังครับ มันยังไม่ได้มีผัว แค่ถูกน้องแจ๊สที่เพิ่งจีบติดไม่ถึงเดือนสลัดรัก

   "ไอ้ถึก~! ทำไมชีวิตรักกูถึงได้อาภัพอย่างนี้~!"

   ตกค่ำมันเลยหอบขวดเหล้าพร้อมกับแกล้มมาหาผมที่ห้องอีกตามเคย เมาแล้วก็คร่ำครวญเรื่องเดิมๆ พอเลิกกับใครทีไรมันเป็นต้องมาชวนผมดื่มเหล้าย้อมใจอย่างนี้ทุกที จนผมขี้เกียจจะนับแล้วว่าครั้งนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่

   "กูอุตส่าห์คิดว่าคนนี้ใช่! ชื่อก็คล้องกับกูอย่างกะอะไรดี แจ็คกับแจ๊ส ออกจะเพราะ! มึงว่าไหม?! แล้วทำไมเขาถึงทิ้งกู~"

   ผมชงเหล้าใส่แก้วยื่นส่งให้มันอีกครั้ง ถ้าแก้วไม่ว่างปากมันก็จะได้ไม่ว่าง ยิ่งเมาหลับเร็วได้เท่าไหร่ผมก็จะได้หูชาน้อยลง ไม่นานนักขวดกลมๆ จึงเกือบจะเกลี้ยง มันล่อไปคนเดียวเกินครึ่งขวด ส่วนที่เหลือเป็นฝีมือของผมเอง เพราะผมเองก็นั่งดื่มเป็นเพื่อนมันด้วย ของฟรีผมไม่เกี่ยงอยู่แล้ว

   แต่ดูเหมือนว่าวันนี้แจ็คจะไม่ยอมหลับง่ายๆ ยิ่งเมาก็ยิ่งโวยวาย

   "กูไม่ดีตรงไหน~! หน้าตาก็ดี! เรียนก็พอใช้! กีฬาก็พอถูไถ! พ่อก็ไม่จน! แล้วทำไมเขาถึงไม่รักกู~!"

   ผมว่าที่พูดมาทั้งหมด นอกจากหน้าตาแล้วก็ยังหาข้อดีไม่เจอ

   "แถมปากหมาด้วย" ผมเลยช่วยมันต่อคำ

   "เออ! ปากหมาด้วย~ เฮ่ย! นี่มึงด่ากูนี่หว่า!?"

   แถมยังความรู้สึกช้าอีกต่างหาก ผมแอบยิ้มเมื่อหลอกด่ามันได้สำเร็จ

   "ไอ้ถึก! มึงหัวเราะเยาะกู! มึงด่ากูปากหมา!" มันยกนิ้วชี้หน้า ผมจึงปัดนิ้วของมันออก ผมก็แค่พูดความจริง

   "วอนซะแล้ว! เจอหมากัดหน่อยเป็นไง!"

   โบราณว่าอย่าถือคนบ้าอย่าว่าคนเมา แล้วผมควรจะทำยังไงเมื่อคนเมากำลังทำอะไรบ้าๆ

   "!!!?!?" เสียงอุทานขาดหายเมื่อผมถูกหมากัด

   เอ๊ย! ...ถูกมันจูบ!?

   มันกระชากคอเสื้อของผมเข้าหาอย่างแรงจนผมเสียหลัก เซล้มลงปากกระแทกปาก แล้วมันก็กัด!

   กัดดึงริมฝีปากล่างเพื่อเปิดทาง ก่อนควานหาลิ้นด้านในออกมากัดซ้ำ ผมเจ็บระบมไปทั้งปากทั้งลิ้น ไม่รู้ว่ามีเลือดซึมออกมาบ้างหรือเปล่า แต่ผมเองก็เป็นผู้ชาย ยิ่งพอเมาๆ แล้วถูกกระตุ้น จึงตอบโต้ด้วยการจูบกลับไปรุนแรงไม่แพ้กัน

   "อื้อ!" เสียงอื้ออึงดังอู้อี้ เมื่อลิ้นของมันยังอยู่ในปากของผม และลิ้นของผมก็ยังอยู่ในปากของมัน การกัดกลับกลายเป็นการดูดดึงและขบเม้ม ผมเบียดใบหน้าไปใกล้ ใช้มือใหญ่กดรั้งศีรษะของอีกฝ่ายเข้ามาชิดมากยิ่งขึ้น มือของมันยังคงกำแน่นอยู่บนสาบเสื้อของผม ลมหายใจของพวกเราเจือปนเหล้ากลิ่นเดียวกัน

   ผมยอมรับว่าตอนนี้ผมทั้งมึน ทั้งเมา และก็อาจจะ...เคลิ้ม

   จนกระทั่งความรู้สึกหวิวกลายเป็นความรู้สึกเหวอเหมือนถูกถีบร่วงหล่นหน้าผา เมื่อมันผลักหน้าอกของผมออกอย่างแรง

   "กูจะ...อุ๊บ!"

   มันดึงมือขึ้นมาปิดปากตัวเองก่อนจะ... อ้วกกกกกกกกกก! ไอ้เหี้ย!

   ต่อให้ใช้มือปิดก็ไม่มิด ของเหลวปนกากและกลิ่นไม่พึงประสงค์พรวดเลอะเต็มทั้งเสื้อและกางเกง ทั้งของมันและของผม เหี้ยนี่! มึงเห็นกูเป็นกระโถนหรือไง!? ดีนะที่ไม่อ้วกใส่ปากกูซะเลย!

   "ไอ้แจ็ค!" กลิ่นเหม็นฉุนทำให้ผมรีบยกมือขึ้นปิดจมูก แทบหายเมาเป็นปลิดทิ้ง แต่ไอ้คนเมากลับฟุบหน้าลงมาบนบ่าของผม ไม่อยากบอกว่าหน้ามันจิ้มใส่กองอ้วกของตัวเองด้วยซ้ำ

   เหี้ย! ไม่รู้ว่าผมสบถคำนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่ สุดท้ายผมก็ได้แต่ส่ายหน้าทั้งๆ ที่ยังใช้มือบีบจมูก จัดการถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกอย่างทะลักทุเล รวมไปถึงเสื้อและกางเกงของมันด้วย ต้องตามเช็ดคราบเปรี้ยวบนพื้น แถมยังต้องเช็ดตัวให้มันอีก เจริญจริงๆ

   นี่มันเวรกรรมอะไรของผมวะ!?

   

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-03-2018 21:41:13 โดย @moment »

ออฟไลน์ @moment

  • แอทโมเม้นท์
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
    • https://www.facebook.com/at.moment.writer/
   ตอนที่ 2 พิษสุนัขบ้า

   

   เยี่ยม... ภาพแรกที่ปรากฏสู่สายตาของผมยามเช้าวันนี้ก็คือ 'ตีน'

   "ไอ่แจ็ค" เสียงแหบแห้งแบบคนเพิ่งตื่นถูกเปล่งออกจากลำคอแห้งผาก

   ผมขยับขาเพื่อเขย่าหัวใครบางคนที่นอนหนุนหน้าแข้งของผมแทนหมอน ศีรษะหนักๆ จึงเอนร่วงลงไปกองลงบนฟูก แต่ยังคงแน่นิ่งไม่ขยับเคลื่อนไหว ผมจึงเบนหน้าออกห่างจากตีนของมันอีกนิด ขมวดคิ้วด้วยความปวดหัวจากอาการเมาค้าง

   ผมและแจ็คไม่ได้นอนดิ้นจนกลับหัวกลับหาง แต่นี่เป็นตำแหน่งประจำของพวกเรา

   เพราะถึงเตียงที่นอนอยู่จะมีขนาดควีนไซส์ แต่ต่อให้นอนคนเดียวผมก็ยังต้องนอนแนวทแยงมุมถึงจะยืดตัวได้เต็มความสูง แล้วจะให้ผู้ชายตัวใหญ่ยักษ์อย่างผมนอนเบียดกับผู้ชายที่ตัวก็ไม่ได้เล็กอย่างมันอีท่าไหน ถ้านอนทิศเดียวกันก็สิงร่างกันเลยเหอะ

   พอไล่ลงไปนอนที่พื้นมันก็ไม่ยอม แล้วเรื่องอะไรที่เจ้าของห้องอย่างผมจะต้องยอมเสียสละเตียงด้วย ไปๆ มาๆ พวกเราก็เลยจบลงด้วยท่านี้

   ผมกะพริบตาไล่ความง่วงออกจากสมอง มองเห็นภาพด้านหน้าได้ชัดเจนยิ่งขึ้น อาจเป็นเพราะเห็นจนชินตา ผมจึงรู้สึกเฉยๆ กับของต่ำอย่างตีนที่มาวางอยู่ข้างของสูงอย่างศีรษะ

   มองไปมองมาผมก็คิดว่านิ้วเท้าของมันสวยดี

   มันเป็นคนนิ้วสวย ปลายนิ้วเรียวยาวทั้งมือและเท้า ไม่ได้สวยบอบบางแบบนิ้วของผู้หญิง แต่เหมือนนิ้วของผู้ชายที่เล่นกีต้าร์หรืออะไรทำนองนั้นมากกว่า ข้อนิ้วโปนเล็กน้อย เล็บตัดสั้นเป็นระเบียบสะอาดสะอ้าน

   "ไอ้แจ็ค ตื่นได้แล้ว"

   ผมยันตัวลุกขึ้นนั่ง ผ้าห่มจึงร่นลงไปกองอยู่ที่เอว เผยให้เห็นร่างกายท่อนบนที่ไม่ได้สวมเสื้อผ้า เพราะเมื่อคืนกว่าจะเก็บกวาดจัดการกับกองอ้วกของมันเสร็จ ผมก็ง่วงจนแทบลืมตาไม่ขึ้น เลยคลานขึ้นเตียงทั้งอย่างนั้น

   ผมใช้หน้าแข้งสะกิดหัวของแจ็คอีกครั้ง ก่อนจะได้ยินเสียงตอบรับเป็นการครางในลำคออย่างไม่พอใจ มันใช้มือกดข้อเท้าของผมให้อยู่นิ่งๆ แถมยังดึงหน้าแข้งไปกอดหนุนแทนหมอน เมื่อมันพลิกตัวตะแคงข้าง ผ้าห่มจึงเลิกออกกว้าง เปิดให้เห็นแผ่นหลังเปลือยเปล่า ไล่ตามแนวกระดูกสันหลังลงไปจนเกือบสุดก้นกบ ใต้เอวสอบ เนินสะโพก เผยร่องเนื้อเนียนรำไร

   ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยเห็นตอนมันเปลือย ขนาดกอดคอกันวิ่งแก้ผ้าลงทะเลตอนรับน้องก็เคยมาแล้ว มองยังไงก็เป็นร่างกายของผู้ชายเหมือนกัน และผมก็ไม่เคยคิดพิศวาสเพศเดียวกัน ทว่าตอนนี้ภาพตรงหน้า... กลับทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ

   หรือผมจะติดเชื้อบ้า เพราะว่าโดนหมากัด

   "ตื่นโว้ย! ไม่ไปเรียนเหรอไง" ผมส่ายหน้าไล่ความคิดไร้สาระออกจากสมอง เขย่าขาแรงๆ อีกหลายครั้ง จนเรือนผมนุ่มพลิ้วไหวตามแรงสั่นสะเทือน

   "อือออออ" เสียงครางในลำคอบ่งบอกว่าสมองของมันยังไม่ตื่น แต่ผมคิดว่าร่างกายของมันตื่น เพราะอะไรบางอย่างที่เบียดชิดอยู่แถวต้นขาของผมกำลังยืนตรงเคารพธงชาติ

   "กูไม่ใช่ตุ๊กตายางมึง ไม่ต้องเบียด!" ผมกระเถิบตัวออกห่าง ด้วยสรีระของผู้ชายทำให้ผมมีสภาพหลังตื่นไม่ต่างกันมากนัก

   เป็นธรรมชาติของผู้ชาย ไม่ได้มีเหตุผลอื่นเลยจริงๆ

   "โอ๊ย! แล้วมึงจะถีบทำเหี้ยไร!? ไอ้ห่-นี่!" ในที่สุดแจ็คก็ยันตัวลุกขึ้นมา พอตื่นปุ๊บหมาก็เห่าปั๊บ มันยกมือขึ้นกุมหัวด้วยท่าทางงัวเงีย อาจจะเจ็บเพราะถูกถีบ หรืออาจยังปวดหนึบจากอาการเมาค้าง หรือไม่ก็ทั้งสองอย่าง

   แต่พอร่างนั้นลุกขึ้นนั่ง ผ้าห่มจึงยิ่งเปิดกว้างให้เห็นทุกสัดส่วนของร่างกาย มีผ้าเหลือติดตัวอยู่เพียงหนึ่งชิ้นสุดท้ายคือกางเกงใน ถ้ามันใส่แบบบ็อกเซอร์ ผมก็อาจจะได้เห็นแค่ผ้าป่องกลาง แต่เป็นเพราะมันสวมกางเกงลิงตัวจ้อย นกน้อยจึงเจียนจะโผล่หน้าออกมาทักทาย

   ผมโยนหมอนปิดภาพอุจาดตาแทบไม่ทัน

   "...ทำไมมึงเปลือย" มันนั่งขัดสมาธิ มีหมอนปิดอยู่ตรงกลาง ขมวดคิ้วเหมือนกำลังงงๆ มองหน้าผม ก่อนจะก้มลงมองตัวเอง

   "...แล้วทำไมกูเปลือย" คราวนี้มันเอียงหัวอย่างมึนๆ ยกมือขึ้นกุมหน้าผาก ก่อนจะเงยหน้ามองผมอีกครั้ง

   "อย่าบอกนะว่า...!? มึงปล้ำกู!? ไม่นะ~! กูไม่อยากมีเมียถึก!" มันยกมือสองข้างขึ้นมาทาบแก้ม เบิกตาอ้าปากกว้าง ทำท่าอย่างกับเจ้าหนูน้อยโฮมอโลน

   "ประสาท!" ว่างๆ สงสัยผมคงต้องพามันไปเช็คสมองที่โรงพยาบาลบ้าง คิดมาได้ว่าจะเอาผมทำเมีย!? เทียบไซส์ยังไงผมก็เหมาะจะเป็นผัวมันมากกว่า

   ไม่ใช่ละ... ผมคิดว่าอาจจะต้องพาตัวเองไปโรงพยาบาลเหมือนกัน

   "แล้วเสื้อผ้ากูไปไหน" แจ็คหันมองซ้ายมองขวา

   "ตากอยู่โน่น" ผมจึงพยักพเยิดไปทางระเบียง เสื้อผ้าของมันตากรวมอยู่กับเสื้อผ้าของผม

   "อย่าบอกนะ...ว่ามึงจำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้" ผมนิ่วหน้า มองร่างตรงข้ามที่ยังนั่งทำหน้ามึน

   "ทำไม? อย่าบอกนะว่ากูปล้ำมึงจริงๆ" พูดจบมันก็หัวเราะร่วน

   "...มึงอ้วกใส่กู!" ผมตอบความจริงแค่ครึ่งหนึ่ง ขี้เกียจรื้อฟื้นเรื่องบางเรื่องที่ควรปล่อยให้ผ่านไป

   "จริงดิ มั่วป่าว มึงอ้วกใส่กูแล้วโบ้ยว่ากูอ้วกใส่มึงอะดิ"

   ผมนี่อยากจะโบกมันจริงๆ แล้วใครหน้าไหนวะที่ลำบากเช็ดอ้วกให้มึงเมื่อคืน!? ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ

   "มึงไปอาบน้ำเลยไป โคตรเหม็น" ผมถีบไล่มันอีกครั้ง

   มันก็ช่างกล้า เดินลงจากเตียงโทงๆ ทั้งเนื้อทั้งตัวสวมกางเกงในตัวเดียว ยังดีที่เห็นแค่ด้านหลัง ไม่อย่างนั้นผมอาจจะต้องเป็นตากุ้งยิงเพราะถูกนกน้อยของมันจิกตาเข้าให้อีก

   หลังจากนั้นผมยังคงนั่งอยู่บนเตียงอีกพักใหญ่ รอให้ธรรมชาติยามเช้าของผู้ชายสงบลง

   

   ผมคงจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นได้ไม่ยาก ถ้ามันไม่ได้ฝากแผลเอาไว้ด้วย เจ็บฉิบ! ริมฝีปากล่างด้านในยังคงห้อเลือดเป็นรอยฟัน พาลแสบๆ คันๆ ตลอดเวลาที่เคี้ยวข้าว

   "ปากมึงเป็นอะไร" ไอ้ตัวต้นเหตุกลับถามตาใส

   "โดนหมากัด!" ผมตอบส่งๆ

   "ห๊ะ!? หมาที่ไหนวะกัดปาก"

   หมาในปากมึงนั่นแหละ! ผมตอบในใจ

   "อย่าลืมไปฉีดยานะเว่ย อากาศร้อนๆ แบบนี้โรคหมาบ้ายิ่งระบาดอยู่" ไม่รู้ว่ามันพูดพาซื่อหรือว่าจงใจกวนตีนกันแน่

   "เออ" ผมแค่ตอบรับสั้นๆ ขี้เกียจต่อความยาวสาวความยืด

   เมื่อผมก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ มันจึงก้มลงกินก๋วยเตี๋ยวของตัวเองบ้าง

   ไม่รู้ว่ามันจะรู้สึกตัวบ้างหรือเปล่า ว่าวันนี้ปากของตัวเองเจ่อๆ บวมๆ แดงๆ ยิ่งตอนที่มันห่อปากเป่าลมใส่เส้นก๋วยเตี๋ยว หรือตอนที่อ้าปากแลบลิ้นเล็กน้อยเพื่อสูดเส้นเข้าไป หรือตอนที่เลียปากเพื่อกำจัดคราบมัน... ปากมันโคตรน่ากัดเป็นบ้า

   ผมอาจจะต้องไปฉีดยารอบสะดือจริงๆ

   "มองอะไร" มันเงยหน้าขึ้นมาเลิกคิ้วอย่างสงสัย

   ผมเบนสายตาออกจากปากที่กำลังดูดน้ำโอเลี้ยงขึ้นจากหลอด มันจึงเอี้ยวตัวกลับไปมองด้านหลัง บังเอิญปะกับสาวทรงดูมๆ ในชุดนักศึกษารัดติ้ว กระโปรงสั้นเสมอหู นั่งไขว่ห้างกินข้าวอยู่โต๊ะถัดไป

   "วิ้วววววววว~ควายถึกคึกคัก~ยักษ์จะเลิกจำศีลแล้วครับพี่น้อง~" มันผิวปากแซวเป็นเพลง

   ผมได้แต่ส่ายหน้า บังคับสายตาให้ก้มกลับลงมามองจานข้าว

   ถ้ายักษ์เลิกจำศีลเมื่อไหร่ ผมว่ามันนั่นแหละ คนแรกที่จะเดือดร้อน

   

   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-03-2018 21:41:49 โดย @moment »

ออฟไลน์ @moment

  • แอทโมเม้นท์
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
    • https://www.facebook.com/at.moment.writer/

   ตอนที่ 3 หมากัดต้องกัดตอบ

   

   ควายถึกทึนทึก ยักษ์จำศีล ฤๅษีเฝ้าถ้ำ สารพัดคำที่มันสรรหามาเรียก

   อาจเป็นเพราะผมไม่ได้คบกับใครมานานแรมปี หลังจากเลิกกับแฟนเก่าที่คบกันมาตั้งแต่สมัยม.ปลาย ด้วยระยะห่างที่มากขึ้น เวลาว่างไม่ตรงกัน ยิ่งผมเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูดอะไรเพราะไม่อยากชวนทะเลาะ กลับยิ่งถูกมองว่าไม่เอาใจใส่ พอเลิกรากันไปผมก็ไม่ได้คบกับใครอีก

   ผมไม่ได้อกหักช้ำรักจนไม่อยากรักใคร หรือเป็นพวกรักฝังใจอย่างมันหรอก แค่อาจจะยังไม่เจอคนที่คิดว่าใช่ ก็เลยไม่ได้เริ่มจีบใคร และผมก็ไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไรกับชีวิตโสดด้วย

   อีกเหตุผลหนึ่ง อาจเป็นเพราะผมไปไหนมาไหนกับแจ็คบ่อยเกินไปเลยไม่มีสาวที่ไหนกล้าเข้าใกล้ เพราะว่ากลัวถูกหมากัด ผมหมายถึงเจอปากหมาๆ ของมันแซวซะจนเสียผู้เสียคน

   แต่ถ้ามันเรียกผมว่า 'ควายถึก'

   ตัวมันก็คงจะเป็น 'หมาแรด'

   เพราะมันเล่นเปลี่ยนแฟนบ่อยอย่างกับเปลี่ยนทิชชู ที่พอสั่งขี้มูกเสร็จก็ขยำทิ้งลงถังขยะ (ส่วนใหญ่มันจะเป็นทิชชู) หลังจากถูกน้องแจ๊สสลัดรักได้แค่ไม่กี่วัน มันก็ลั้ลลาเปลี่ยนไปหาเป้าหมายใหม่ได้อย่างรวดเร็ว

   คราวนี้เป็นเด็กม.ปลายหน้าใส ใส่แว่นด้วย ท่าทางเป็นเด็กเรียน เรียบร้อย ตรงสเปคมันเลยล่ะ

   "น่ารักใช่ม๊า~ คนนี้แหละใช่ชัวร์~" มันอวดรูปในมือถือให้ดู ผมได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอา เห็นคบกับใครก็พูดอย่างนี้ทุกที แต่ก็ไม่เห็นจะไปกันรอดสักราย

   "ถึก~ วันนี้กูกลับก่อนนะ~ ต้องรีบไปรับน้องพี~" พออารมณ์ดีมันก็เรียกผมเสียงหวาน ท่าทางกระดี๊กระด๊า โลกใบนี้เป็นสีชมพูสดใส น่าหมั่นไส้เป็นบ้า

   "ระวังเห๊อะจะถูกเด็กหลอก ไม่เคยได้ยินเหรอยะ หน้าใสใจเสือเชื่อไม่ได้" พี่มินนี่ถือโอกาสเหน็บแนมเบาๆ

   "เจ๊ครับ~ หน้าตาใช้วัดคนไม่ได้หรอกนะครับ ลองดูอย่างผัวเก่าเจ๊สิครับ หน้าเหียกขนาดนั้นมันยังนอกใจเจ๊ได้เลย" คงเพราะตอนนี้กำลังอารมณ์ดีจัด แจ็คจึงแค่ยอกย้อนเบาๆ ด้วยภาษาที่เกือบจะสุภาพ

   พี่มินนี่เองก็ตอบโต้เบาๆ ด้วยการดีดน้ำจากหลอดใส่หน้า แจ็คเปียกนิดหน่อยแต่ก็ยังฉีกยิ้มหวาน แถมยังส่งจูบลาก่อนจะคว้ากระเป๋าเป้เดินลั้ลลาออกไป น่าเสียดายที่วันนี้พี่มินนี่ไม่ได้ขมุบขมิบปากร่ายมนต์ดำใส่มันด้วย อาจเป็นเพราะตอนนี้เพิ่งได้รักใหม่มาดามใจ เลยเลิกแคร์แผลเก่าแล้ว

   

   ต่อให้หมั่นไส้มันมากแค่ไหน แต่สาบานได้ว่าผมยังไม่เคยแช่งมันเลยสักนิด

   คราวนี้กรรมเก่าอาจจะแรง หรือไม่ก็สวรรค์มีตาฟ้าเป็นใจ

   เพราะมันทำลายสถิติใหม่ ผ่านไปไม่ถึงสองอาทิตย์ก็แบกขวดกลมๆ พร้อมกับแกล้มมาที่ห้องของผมอีกครั้ง เป็นไปตามคำเตือนของพี่มินนี่ไม่มีผิดเพี้ยน

   "มึงไม่รู้ว่ากูช็อคแค่ไหน!? ตอนที่เห็นมันนัวเนียแลกลิ้นจนแทบจะกินกันอยู่ในรถ! พอจับได้คาหนังคาเขามันก็บอกเลิกกูด้วยเหตุผลเหี้ยๆ ว่ากูไม่มีรถหรูๆ ขับไปรับไปส่ง!" ตอนเช้ามันยังเรียก 'น้องพี' อย่างนั้น 'น้องพี' อย่างนี้ ตอนนี้สรรพนามพลิกเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังตีน

   "กูเหรออุตส่าห์เฝ้าทะนุถนอม จูบซักครั้งก็ยังไม่เคย! ถ้ารู้ว่ามันจะร่านขนาดนี้กูน่าจะเสียบสักทีสองทีให้สาแก่ใจ! เหี้ยเอ๊ย! ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นโว้ยยยยยยยย!" สรุปว่าที่แหกปากโวยวายอยู่นี่เป็นเพราะเสียใจหรือเสียดายที่ยังไม่เคยได้แอ้มเขากันแน่? ผมได้แต่ส่ายหน้าระอา

   "มึงไม่ต้องมาทำหน้าอย่างนั้นใส่กูเลย! ก็กูไม่ได้จำศีลเหมือนมึงเหอะถึงจะได้เลิกเงี่ยน!" พูดจบแจ็คก็กระดกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด ยิ่งเมา ปากมันก็ยิ่งร้าย หน้ามันก็ยิ่งไร้ยางอาย ผมหมายถึงปรกติก็ไม่ค่อยจะมีอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ยิ่งไม่หลงเหลือ

   แต่มันอาจจะไม่พูดแบบนั้น ถ้ารู้ว่าผมกำลังนั่งรินเหล้าให้ด้วยความคิดแบบไหน

   "กูถามจริงเถอะ มึงไม่แบบ เงี่ยนมั่งอะไรมั่งเหรอวะ" มันเปลี่ยนมาแส่ เอ่อ ถามเรื่องของผมแทน อาจเป็นเพราะต้องการเปลี่ยนหัวข้อสนทนา จะได้ไม่ต้องนึกถึงเรื่องเดิมให้เจ็บช้ำหัวใจ

   แต่ผมคิดว่าปากของมันกำลังจะหาเรื่องใส่ตัว

   "ทำไมจะไม่ กูก็เป็นผู้ชาย" ผมตอบเรียบๆ สั้นๆ

   ในขณะที่แจ็คยังกระดกแก้วขึ้นดื่มเรื่อยๆ และผมก็คอยรินเติมให้อยู่เรื่อยๆ ไม่ปล่อยให้แก้วของมันว่าง

   "ก็กูไม่เห็นมึงมีแฟนมาตั้งนานแล้ว เที่ยวกลางคืนหรือก็ไม่ หิ้วหญิงมากกหรือก็ไม่เคย ถ้าไม่ใช่กามตายด้าน กูก็ว่ามึงคงใกล้จะบรรลุแล้วล่ะ"

   มึงนั่นแหละที่หมกมุ่นมากเกินไป ...ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมอาจจะด่ามันได้เต็มปากเต็มคำกว่านี้

   "พิสูจน์ไหมล่ะ" ผมถามเสียงเรียบ

   "ห๊ะ?" มันทำหน้าเอ๋อ ความมึนๆ เมาๆ อาจทำให้อึ้งไปชั่วขณะ

   "พิสูจน์ไหมว่ากูไม่ได้ตายด้าน" ผมย้ำถามคำเดิม

   "พิสูจน์? ยังไง? มึงจะเล่นหนังสดให้กูดูเหรอ" พอหายเอ๋อปากเสียๆ ก็เริ่มทำงานอีกครั้ง

   "กูก็ไม่อยากจะขัดศรัทธาหรอกนะ แต่มึงลืมอะไรไปหรือเปล่าว่า 'กู' กับ 'มึง' มันคนละสปีชี่กัน!"

   มันยกนิ้วขึ้นชี้หน้าตัวเองตอนพูดคำว่า 'กู' ก่อนจะจิ้มบนหน้าผากของผมตอนพูดคำว่า 'มึง' ผมยกมือขึ้นปัดตามสัญชาติญาณ แต่จิตใต้สำนึกกลับสั่งให้ทำมากกว่านั้น ด้วยการจับมือของมันเอาไว้

   "กูก็ไม่ได้หมายความอย่างนั้น และก็ไม่ได้มีรสนิยมชอบโชว์ด้วย แต่กูหมายถึง... พิสูจน์แบบ... อืม อย่างเช่น 'เทียบขนาด' เป็นไง"

   ผมเอ่ยถึงสิ่งที่บังเอิญผุดขึ้นมาในสมอง การละเล่นห่ามๆ ที่แม้แต่ตอนฝึกรด.หรือตอนรับน้องก็เคยผ่านมาแล้ว แต่ตอนนั้นผมไม่ได้สนใจว่าของใครจะเป็นยังไง ก็แค่ทำเพื่อให้ผ่านพ้นไป

   "จะได้รู้กันไปว่า 'กู' ไม่ได้ 'ตายด้าน' อย่างที่ 'มึง' หยาม"

   ผมจับนิ้วของมันให้ชี้เข้าหาตัวผม ก่อนจะจับหันกลับไปจิ้มคืนบนหน้าผากของมัน

   "เหอะ! มึงก็ขี้โกงอะดิ มึงตัวใหญ่กว่ากูตั้งเยอะ กูเสียเปรียบเห็นๆ"

   "งั้นกูต่อให้มึงนิ้วนึงก็ได้"

   ผมยักยิ้ม ทั้งๆ ที่ใครหลายคนเคยเรียกผมว่าเสือยิ้มยาก

   "เหี้ยยยยย! หยามกันชัดๆ! พูดแบบนี้มึงเอาตีนเหยียบหน้ากูเลยดีกว่า!" ใบหน้าที่แดงอยู่แล้วเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ยิ่งแดงก่ำ และสาเหตุคงไม่ได้เป็นเพราะความอาย

   "เออ! ได้! กูรับคำท้า! ถ้าแพ้มึงก็เตรียมตัวฟังกูล้อเจ็ดชั่วโคตรได้เลย! เริ่มเลยดีกว่านับถอยหลังอีกห้านาทีเจอกัน!" มันเค้นเสียงคำรามในลำคอ

   ทันทีที่พูดจบมันก็เริ่มนับเวลา ไม่เปิดโอกาสให้ผมถามเลยด้วยซ้ำว่าถ้าชนะแล้วผมจะได้อะไร แต่อันที่จริงสำหรับผมเรื่องแพ้ชนะก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ...

   จากนั้นพวกเราจึงนั่งหันหลังให้กัน มีแค่โต๊ะเตี้ยตัวเล็กคั่นกลาง ต่างคนต่างจัดการกับตัวเองเพื่อให้พร้อมที่สุดสำหรับการ 'วัด'

   ผมขอสารภาพตามตรงว่า... วันนี้ผมตั้งใจจะมอมเหล้ามัน  เพราะต้องการพิสูจน์อะไรบางอย่าง แล้วโอกาสก็หล่นโครมลงมาตรงหน้า แต่ยิ่งเวลาผ่านไป ผมก็ยิ่งเริ่มแน่ใจว่าผลลัพธ์ที่รออยู่น่ากลัวกว่าที่เคยคิดไว้หลายเท่า

   ผมไม่ได้จินตนาการถึงภาพผู้หญิงเลยด้วยซ้ำ ประสาทสัมผัสกลับจับจดอยู่กับร่างด้านหลัง ได้ยินเสียงรูดซิป เสียงผ้าขยับสวบสาบ เสียงผิวเนื้อถูกถูไถ เสียงผ่อนลมหายใจเข้าออก และที่น่ากลัวที่สุด ร่างกายของผมกำลังตื่นตัวตอบรับเสียงเหล่านั้น

   ห้านาทีผ่านไปอย่างรวดเร็วและเนิ่นนานจนผมแทบลืมหายใจ

   "มึงส่งไม้บรรทัดมาดิ๊" มันตะโกนสั่งทั้งๆ ที่ยังไม่ได้หันกลับมา

   "...แล้วกูจะรู้ได้ยังไงว่ามึงจะไม่โกง" ผมบังคับเสียงของตัวเองไม่ให้แหบพร่า

   "ก็ได้ ถ้างั้นผลัดกันวัด" จากทิศทางเสียง ผมคิดว่ามันหันหน้ากลับมาทางผม

   ผมจึงเอื้อมมือไปหยิบไม้บรรทัดจากชั้นหนังสือ กลั้นหายใจ ก่อนหันหลังกลับไปเผชิญหน้า

   ผมมองหน้าแจ็ค แต่มันไม่ได้มองตอบ เพราะสายตากำลังจ้องมองส่วนล่าง เทียบกับของตัวเองพลางกัดฟันกรอดๆ อย่างขัดใจ

   ไม้บรรทัดอยู่ในมือของผม ผมจึงเป็นฝ่ายวัดขนาดของมันก่อน

   ผมต้องพยายามบังคับตัวเองอย่างสุดความสามารถไม่ให้มือสั่น ข่มเสียงให้ราบเรียบเอ่ยบอกตัวเลขที่วัดได้ ถือว่าไม่เล็กสำหรับมาตรฐานชายไทย

   มันกระตุกไม้บรรทัดไปจากมือของผมก่อนจะลงมือวัดเช่นเดียวกัน ทว่าตอนที่ปลายนิ้วเรียวยาวถือไม้บรรทัดมาวางเทียบอยู่ข้างๆ ผมคิดว่าตัวเองขยายขนาดขึ้นอีก จนต้องกัดฟันแน่นด้วยความปวดหนึบ

   "เหี้ย! ไอ้ที่เพิ่มมาหลังหมดเวลานี่กูไม่นับนะ! ผิดกติกา!" มันพยายามเข้าข้างตัวเองสุดๆ

   "เสมอ! เสมอๆๆๆ" มันโวยวายพลางโยนไม้บรรทัดทิ้งลงบนพื้น

   หักลบส่วนที่ต่อให้มันด้วย ถ้านับขนาดสุดท้ายแล้วผมคิดว่าตัวเองชนะ แต่ตอนนี้มันอยากจะพูดอะไรก็ปล่อยให้มันพูดไป เพราะผมไม่มีสติเหลือพอจะเถียง แค่ท่องยุบหนอพองหนอในใจผมก็แทบจะคลั่ง

   "มึงจะทำอะไร" มันเลิกคิ้วถามเมื่อผมขยับใบหน้าเข้าไปใกล้

   "...มึงก็เห็นแล้วว่ากูไม่ได้ตายด้าน เพราะงั้นมึงก็น่าจะรู้ ...ว่าอะไรที่ถูกปลุกแล้วมันก็อยากจะปล่อย" ผมพึมพำเสียงเบา

   "มือใครมือมันดิ" มันตอบห้วนสั้นแบบขวานผ่าไม่เหลือซาก

   แต่เมื่อผมลองขยับเข้าไปใกล้จนปลายจมูกเฉี่ยวชนกัน มันก็ไม่ได้เบี่ยงตัวหลบหรือปฏิเสธ

   "มึงไม่ได้เป็นเกย์ไม่ใช่เหรอไง" แจ็คลดระดับเสียงลง เพราะถ้าขยับมากกว่านั้นปากของเราคงจะสัมผัสกัน

   นั่นแหละคือคำถามที่ผมกลัว

   และกลัวมากที่สุดว่าผมกำลังจะได้คำตอบ

   "...ก็แค่สร้างบรรยากาศ"

   ผมกดจูบลงไปโดยไม่เปิดโอกาสให้มันพูดอะไรต่อ และเมื่อมันจูบตอบกลับมาผมก็ไม่อยากจะคิดอะไรอีก

   ถึงแม้จะยังไม่อยากยอมรับ แต่ร่างกายกลับซื่อตรงมากกว่าคำพูด และกำลังทำหน้าที่ตอบคำถาม

   ระหว่างยอมรับว่าผมอาจจะเป็นเกย์ กับยอมรับว่าผมอาจจะสิ้นคิดหลงผิดไปชอบผู้ชายปากหมาอย่างมัน คุณคิดว่าผมจะทำใจยอมรับคำตอบไหนได้ง่ายกว่ากัน

   เรื่องนั้นช่างมันก่อน

   ตอนนี้ผมยังเมามันกับการกัดกับหมา เอ่อ จูบกับมัน และภาวนาขอให้มันไม่เมาจนอ้วกใส่ผมอีกครั้งก็พอ

   

   

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-03-2018 21:42:57 โดย @moment »

ออฟไลน์ @moment

  • แอทโมเม้นท์
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
    • https://www.facebook.com/at.moment.writer/

   ตอนที่ 4 หมาทดลอง

   

   เยี่ยม ภาพแรกที่ปรากฏสู่สายตาของผมในเช้าวันนี้ก็คือ 'ตีน' อีกแล้ว

   ทุกอย่าง(เกือบ)เป็นปรกติเพราะพวกเรายังมีเสื้อผ้าติดตัว(เกือบ)ครบทุกชิ้น ผมสวมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นตัวเดียวกับเมื่อวาน ในขณะที่แจ็คสวมเสื้อยืด แต่คาดว่าท่อนล่างที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่มน่าจะเหลือแค่กางเกงในตัวจ้อย เพราะผมเห็นกางเกงยีนส์ของมันกองยับยู่อยู่กับพื้น

   ขวดเหล้า ขวดโซดา แก้วน้ำ เศษกับแกล้ม สารพัดขยะยังคงกองเกลื่อนอยู่บนโต๊ะเตี้ย ผมมองภาพนั้นพลางยันกายลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะก้มมองคนที่ยังนอนหนุนหน้าแข้งของผมแทนหมอน

   ผมไม่แน่ใจว่ามันจะจำเรื่องที่เกิดขึ้นได้หรือเปล่า

   เมื่อคืนผมตั้งใจมอมเหล้า และมันก็เมามาก แต่อาจจะไม่มากเท่ากับวันที่อ้วกใส่ผม เพราะอย่างน้อยคราวนี้มันก็ไม่ได้อ้วก และก็ไม่ได้ฟุบหลับไปกลางคัน

   ผมเองก็ดื่มไปไม่น้อย แต่แค่พอมึนๆ ยังไม่ถึงขั้นเมา ผมคิดว่าสติของตัวเองเหลือครบเต็มร้อย จนกระทั่งแลกจูบกับมัน

   ถ้าผมเมา ก็คงต้องโทษรสชาติเหล้าจากปากของมัน

   พวกเราจูบกันนานแค่ไหนผมเองก็จำไม่ได้ แต่คงจะไม่เหลือซอกมุมใดในปากของแจ็คที่ผมไม่ได้สำรวจ เขี้ยวมันคมใช่ย่อย เกือบจะบาดลิ้นอยู่หลายครั้ง แต่ผมก็ยังชอบเลียผ่านแนวไรฟัน พลางตวัดขึ้นไปดุนดันบนเพดานปาก จุดไวต่อสัมผัสที่กระตุ้นให้มันเปล่งเสียงผ่านลำคอ ก้องสะท้อนตรงเข้าสู่โสตประสาทของผม

   "อือออออ" เสียงครางอู้อี้ของคนที่นอนอยู่ดึงสติของผมกลับมา

   อาการของผมตอนนี้ราวกับคนยังไม่สร่างเมา ทั้งๆ ที่แทบไม่เหลือแอลกอฮอล์ตกค้างอยู่ในร่างกาย ผมชะงักมือที่วางอยู่บนข้อเท้า อาจจะเผลอลูบขึ้นไป ถ้าร่างนั้นไม่ได้ขยับพลิกตัวพอดี

   แจ็คปรือตาขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะหลับตาลงไปอีกครั้งเหมือนว่ายังอยากนอนต่อ

   ทว่าวินาทีถัดมาดวงตาที่ปิดลงก็เบิกกว้าง พร้อมดีดตัวขึ้นมาจ้องหน้าผม

   "มึงเป็นเกย์!? จริงดิ!? ทำไมกูไม่เคยรู้!?" เสียงอุทานดังลั่นแทนคำทักทาย บ่งบอกให้รู้ว่าครั้งนี้มันจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้

   ผมได้แต่นั่งนิ่ง ไม่รู้จะตอบยังไง เพราะผมเองก็ไม่รู้

   "หรือว่ามึงเมา อ่ะ หรือจะเมาจนจำอะไรไม่ได้ นี่มึงยังแฮงค์อยู่หรือเปล่า ได้ยินที่กูถามไหม ฮัลโหลๆ เฮ่ย! ตอบด้วย!" มันโบกมือไปมา แถมยังเอานิ้วชี้จิ้มลงมากลางหน้าผาก ผมจึงปัดมือของมันออก

   "กูไม่ได้เมา กูจำได้" ผมตอบสั้นๆ

   "งั้นมึงก็เป็นเกย์?" แจ็คถามคำถามเดิมซ้ำอีกครั้ง

   "มึงชอบผู้ชาย?" มันเปลี่ยนคำถามเมื่อผมไม่ตอบ

   "แต่มึงก็เคยมีแฟนเป็นผู้หญิงนี่หว่า หรือว่ามึงจะเป็นไบ?"

   "เหี้ยนี่! ตอบหน่อยดิวะ กูอยากรู้!"

   มันเตะสะโพกของผม เมื่อผมไม่ยอมตอบอะไร

   แต่พอมันขยับตัวโดยไม่ระวัง ผ้าห่มที่คลุมอยู่บนตักจึงเลิกขึ้นไปเกือบถึงโคนขา ยังโชคดีที่เมื่อคืนทหารเพิ่งผ่านศึกมาหมาดๆ จึงไม่มีพลังเหลือเฟือพอตื่นขึ้นมาเคารพธงชาติ ผมพยายามละสายตาจากเงาใต้ผ้าห่ม

   "แล้วมึงคิดว่ากูเป็นไหมล่ะ" ผมลองถามกลับ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ

   ถ้าถามว่าผมมีอารมณ์กับมันหรือเปล่า คงจำใจต้องตอบว่า 'ใช่' แต่ถ้าถามว่าผมมีอารมณ์กับผู้ชายคนอื่นหรือเปล่า ตอบได้เลยว่า 'ไม่' แล้วอย่างนี้ผมควรจะจัดตัวเองอยู่ในหมวดไหน เกย์? ไบ?

   "แต่ว่าเกย์ดาร์กูไม่กระดิกเลยนะ อย่างเวลาเจอคนน่ารัก ก่อนจะเข้าไปทักกูก็ต้องสัมผัสได้ก่อนว่า เออ คนนี้พวกเดียวกันนะ จีบได้ ประมาณว่าผีเห็นผี แต่อย่างมึงเนี่ย" สายตาของมันไล่มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า

   "กูไม่เห็นผีว่ะ เห็นแต่หมีควาย ฮ่าๆๆ" มันเล่นเอง ชงเอง ระเบิดหัวเราะเอง

   แต่ผมคิดว่าเรดาร์ของมันคงจะเสีย

   "หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะว่ามึงไม่ใช่สเปคกู กูก็เลยดูไม่ออก" มันพูดพลางยักไหล่

   ไม่ต้องตอกย้ำผมก็รู้ ว่าสเปคของมันคนละขั้วกับผมโดยสิ้นเชิง

   "อย่างนี้ก็ต้องหาวิธีพิสูจน์" มันขมวดคิ้วครุ่นคิด แต่นัยน์ตากลับฉายแวววิบวับราวกับถูกกระตุ้นต่อมขี้เสือก แต่มันไม่รู้เองต่างหากว่าผมได้พิสูจน์ไปแล้ว

   "ยังไง" ผมลองถามกลับไป ถ้ามันจะยอมใช้ตัวเองพิสูจน์(อีกที) ผมจะไม่ปฏิเสธ

   มันเงียบลงเหมือนกำลังใช้ความคิด ก่อนจะถูกขัดจังหวะด้วยเสียงท้องร้อง

   "เดี๋ยวค่อยคิด ตอนนี้หิวแล้วคิดไม่ออกว่ะ ไปหาไรกินกันเหอะ" พูดจบแจ็คก็ก้าวลงจากเตียง เดินตัวปลิวไม่ได้แคร์เลยว่าท่อนล่างสวมแค่กางเกงในตัวจ้อย เหมือนมันเพิ่งจะรู้ตัวด้วยซ้ำตอนเดินสะดุดกางเกงยีนส์ที่กองยับยู่ยี่อยู่บนพื้น จึงก้มหยิบก่อนเดินต่อไปทางห้องน้ำ

   มันทำท่าเหมือนไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเลยสักนิด

   สำหรับแจ็คนั่นอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ ก็แค่การจูบกับผู้ชาย แล้วก็แค่...อะไรที่เริ่มต้นด้วย 'มือใครมือมัน' ถูกบรรยากาศพาไปจนลงท้ายด้วย 'ช่วยกันคนละไม้คนละมือ'

   สัมผัสแข็งๆ หยุ่นๆ ลื่นๆ ชาตินี้ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะต้องมาจับของผู้ชายด้วยกัน แค่คิดก็สยอง และสิ่งที่สยองมากที่สุดคือ ผมกลับไม่รู้สึกรังเกียจเลยสักนิด กลับกัน ทั้งเสียงและสีหน้าของมันกลับกระตุ้นให้ผมยิ่งเร่งมือ และมือของมันก็ทำให้ผมร้อนจนแทบจะระเบิด ...ไม่ใช่ 'แทบจะ' หรอก ผมก็แค่เปรียบเทียบ

   เอาเป็นว่าผมได้พิสูจน์แล้ว และผลลัพธ์ก็ค่อนข้างน่ากลัวมาก

   เพราะนอกจากจะไม่รังเกียจ ผมยังอยากได้ยิน อยากเห็น และก็อยากทำมากกว่านั้นอีก

   

   ผมไม่นึกว่าแจ็คจะเอาจริง เพราะตลอดทั้งวันก็ไม่เห็นมันจะพูดถึง ผมเองก็เกือบลืมไปแล้วซะด้วยซ้ำ จวบจนกระทั่งหลังเลิกเรียน

   "คืนนี้ทุ่มนึง เดี๋ยวกูไปรับมึงที่หอนะ" แจ็คพูดโพล่งขึ้นมาระหว่างที่พวกเรากำลังเดินลงจากตึก

   ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย เพราะมันใช้คำว่า 'ไปรับ' ไม่ใช่คำว่า 'มาหา' และตามปรกติทุกครั้งมันนึกอยากจะมาก็มา ไม่เคยนัดล่วงหน้าก่อนเลยสักครั้ง

   "แต่งตัวให้หล่อนะจ๊ะพ่อหนุ่ม เดี๋ยวเจ๊จะพาไปเปิดหูเปิดตา" มันขยิบตาให้ผมแบบรู้กัน ผมไม่รู้อะไรกับมันด้วยหรอก แต่พอจะนึกขึ้นได้ว่ามันคงหมายถึงเรื่องที่พูดค้างไว้เมื่อเช้า

   'อย่างนี้ก็ต้องหาวิธีพิสูจน์'

   เอาสิ ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะพิสูจน์ยังไง

   หลังจากนั้นพวกเราจึงแยกย้ายกันที่หน้าตึก ผมตรงกลับหอ ส่วนแจ็คก็กลับบ้านของมันไป

   มันเคยบ่นว่าอยากจะอยู่หอเหมือนกัน แต่แม่ไม่ยอมให้อยู่ บอกว่าจะอยู่หอทำไมให้สิ้นเปลือง ไปเช้าเย็นกลับเอาก็ได้ เพราะบ้านของแจ็คอยู่ห่างจากมหาลัยไปไม่ถึงชั่วโมง วันไหนที่ขี้เกียจกลับบ้านมันก็ชอบมาสิงที่ห้องของผม จนเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ที่มันทิ้งเอาไว้มีเพิ่มมากขึ้นทุกวัน

   พอได้เวลาทุ่มเศษแจ็คก็มายืนเคาะประตูอยู่หน้าห้อง วันนี้มันแต่งตัวมาแบบจัดเต็ม ใส่เสื้อยืดแขนกุดสีขาวทับด้วยเสื้อกั๊กสีเทาเข้ม เปิดต้นแขนอวดกล้ามเล็กน้อย แถมยังห้อยสร้อยสีเงินยาวลงมาถึงกลางหน้าอกเป็นจี้ลวดลายเก๋ไก๋ สวมกางเกงยีนส์เข้ารูปสีดำ รองเท้าผ้าใบสูงราวข้อเท้า ผมแทบนึกว่ามันหลุดออกมาจากปกซีดีนักร้องเกาหลี

   ในขณะที่ผมสวมเสื้อยืดธรรมดา ตามด้วยกางเกงยีนส์กับรองเท้าผ้าใบสีซีด มันมองสภาพผมแล้วก็ส่ายหน้า

   "กูบอกให้แต่งหล่อๆ ไง" พูดจบมันก็ลากแขนผมกลับเข้าห้อง ถือวิสาสะเปิดรื้อตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อหลายตัวออกมาพิจารณา มองแล้วก็ส่ายหน้าก่อนยัดเก็บกลับเข้าไป หยิบบางตัวออกมาทาบบนบ่าของผม ก่อนที่สุดท้ายจะยื่นเสื้อยืดสีดำเข้ารูปกับเสื้อเชิ้ตตัวหนึ่งมาให้

   ผมได้แต่ถอนหายใจ ขี้เกียจเรื่องมาก จึงถอดเสื้อยืดตัวที่สวมอยู่ออก และรับเสื้อจากมือของมันมาสวมแทน

   เท่านั้นยังไม่พอ มันยังกดบ่าผมให้นั่งลงบนเตียง คว้าเจลจัดแต่งทรงผมมาถูบนมือทั้งสองข้าง ก่อนละเลงลงบนศีรษะอย่างมันมือ ขยำขยี้อยู่พักหนึ่ง สุดท้ายจึงถอยออกมายืนชมผลงานของตัวเองด้วยความพอใจ

   "วันนี้กูใจดี ยอมให้มึงหล่อเกือบเท่ากูวันนึงละกัน" แจ็คพูดพลางยักยิ้ม ยื่นมือหนึ่งออกมาจับปอยผมหน้าของผมเล่นไม่เลิก

   "จะไปกันได้หรือยัง" ผมจึงยืนยืดตัวขึ้นเต็มความสูง มันจะได้เล่นหัวผมไม่ได้อีก

   "แหมใจร้อนจริง~ อยากจะไปแรดแล้วละสิ~" ผมคิดว่าตัวเองเคยชินกับปากของมันแล้ว แต่ดูเหมือนว่าวันนี้มันจะจงใจใช้ภาษาและน้ำเสียงที่ 'กระแดะ' มากเป็นพิเศษ

   "ไปซะที จะพาไปแรดที่ไหนก็ไป" แต่ผมก็ยังบ้าจี้รับมุก ทำให้แจ็คหัวเราะร่วนก่อนเดินออกจากห้อง

   พวกเราแวะกินข้าวเย็นกันแถวหน้าหอ เพราะมันบอกว่าไปถึงแล้วเน้นดื่มไม่เน้นกิน หลังจากกินอะไรรองท้องเสร็จพวกเราจึงกวักเรียกรถแท็กซี่ มันให้เหตุผลว่า 'ร่วมรณรงค์นโยบายเมาแล้วไม่ขับ' แต่ผมคิดว่าวันนี้มันจิ๊กรถแม่มาขับไม่สำเร็จมากกว่า

   สถานที่ที่มันพามา ไม่แตกต่างจากสิ่งที่ผมคาดการณ์เอาไว้มากนัก

   เป็นผับขนาดกลางแห่งหนึ่ง ภายในค่อนข้างมืดสลัว มีแสงหลากสีสันสาดสลับไปมาเป็นจังหวะเคล้ากับเสียงเพลง พื้นที่ตรงกลางเป็นลานโล่งกว้าง ทว่าแน่นขนัดไปด้วยผู้คนที่ยืนเต้นกันอยู่กลางฟลอร์ รอบด้านเป็นโต๊ะตัวเล็กเรียงราย มีคนนั่งดื่มกันอยู่อย่างครึกครื้น

   มองแวบแรกก็เหมือนผับทั่วไป เพียงแต่มีลูกค้าผู้ชายมากกว่าผู้หญิง จนกระทั่งผมเหลือบไปเห็นสาวสวยสองคนกำลังนั่งจูบกันดูดดื่ม และบนฟลอร์ก็มีผู้ชายยืนเต้นเนื้อแนบเนื้อแทบจะรวมร่างกันอยู่มะรอมมะร่อ ผมจึงแน่ใจว่าอะไรๆ ที่คิดไม่ผิดไปจากที่คาดเดา

   "เอาล่ะ ทีนี้ก็สอดส่องหาเป้าหมาย" พวกเราสั่งเครื่องดื่มกันคนละแก้ว แจ็คยกแก้วในมือขึ้นจิบพลางกวาดตามองรอบร้าน แจกยิ้มให้กับคนที่สบตากันโดยบังเอิญหรืออาจจะจงใจ สุดท้ายจึงวกกลับมามองผม

   "กูนึกว่ามึงชอบเด็กเรียบร้อยซะอีก" ผมถามอย่างแปลกใจจริงๆ เพราะคิดว่าสเปคของแจ็คไม่น่าจะหาเจอจากแถวนี้ ปรกติเห็นมันชอบจีบเด็กน่ารัก เรียบร้อย ใสๆ

   "ไอ้คุณถึกครับ อันนั้นคือสเปคเมียที่เคารพ ส่วนอันนี้อาหารจานด่วน กินเอามัน ฟอร์ฟัน ฟันจบแล้วก็ทางใครทางมัน มึงไม่เคยได้ยินเหรอแบบน้ำแตกแล้วแยกทางอ่ะ"

   ยิ่งฟังมันพูด คิ้วของผมก็ยิ่งขมวดเข้าหากัน ไม่ใช่ว่ายังไม่ชินกับความปากจัด แต่พอนึกภาพว่ามันเคยทำอย่างที่พูด ผมก็ชักจะไม่ชอบสถานที่แบบนี้ และไม่อยากให้มันทำแบบนั้นอีก

   "มึงมาที่นี่บ่อยเหรอ" ผมถามกลับเสียงเรียบ

   "ไม่อ่ะ" แจ็คตอบพลางยักไหล่ ผมจึงเลิกคิ้ว หืม เป็นคนดีกว่าที่คิด?

   "ไม่มีตังค์" มันพูดต่อหน้าตาเฉย ผมเลยได้แต่ส่ายหน้า

   "เอาน่า กูอุตส่าห์พามึงมาถึงนี่ก็เพื่อจะได้พิสูจน์ให้รู้แจ้งเห็นจริงกันไปเลยไง ถ้าอยากรู้ผลลัพธ์แบบฉับไวมันก็ต้องทดลอง มึงมองแล้วถูกใจใครบ้างไหมล่ะ อย่างคนตัวเล็กที่นั่งดื่มอยู่ตรงนั้น หรือคนหน้าหวานที่ยืนอยู่ตรงโน้น หรือว่าคนขาวๆ ที่เต้นอยู่กลางฟลอร์" มันชี้นิ้วให้ผมมองตาม

   แต่มันคงไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ผมมอง... คือปลายนิ้วเรียวสวยของมัน

   "ถ้ามึงสนใจคนไหนก็เข้าไปจีบซะ กูอุตส่าห์แต่งหล่อให้ซะขนาดนี้น่าจะตกเหยื่อได้ไม่ยาก อ้อ แล้วก็อย่าลืมใส่ถุงด้วยนะ คนสมัยนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ" มันพล่ามต่อหน้าตาเฉย ทำเอาผมกระจ่างแจ้งชัดเจนเลยว่ามันตั้งใจให้ผม 'ทดลอง' ด้วยวิธีไหน

   "ได้ผลลัพธ์ว่าไงก็อย่าลืมบอกกูด้วย ตอนนี้กูขอตัวไปแรดก่อนละ"

   อ้าว เวร พอพูดจบมันก็ทิ้งให้ผมนั่งอยู่คนเดียว ทิ้งความรับผิดชอบซะงั้น เอาผมมาปล่อยเกาะกลางผับเฉยๆ ส่วนตัวมันเองเดินเข้าไปหาผู้ชายร่างเล็กที่เมื่อกี้แอบสบตากันอยู่หลายครั้ง

   แจ็คเป็นคนปากหมา แต่ข้อดี(?)ของมันคือ 'หน้าด้าน'

   ผมเห็นมันเดินเข้าไปทักทายก่อนจะถือวิสาสะนั่งร่วมโต๊ะกับเขาอย่างเนียนๆ ถ้ามองแค่รูปลักษณ์ภายนอกก็ถือว่าผู้ชายคนนั้นน่ารักตรงสเปคมันเลยทีเดียว และถ้าล่ามโซ่เอาไว้ไม่ปล่อยให้หมาในปากออกมาเห่าเพ่นพ่าน แจ็คก็จัดว่าเป็นคนหน้าตาดีในระดับที่ใครๆ คงยินดีเปิดโอกาสให้เข้าไปนั่งคุยด้วยได้ไม่ยาก

   ผมนั่งมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกโคตรเซ็ง

   ถ้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ผมคงไม่มากับมันด้วยหรอก ผมได้แต่ทิ้งแผ่นหลังลงบนพนักพิงเพื่อระบายอารมณ์ สั่งเหล้าอีกแก้วมาดื่มดับความหงุดหงิด ก่อนจะกวาดตามองไปรอบร้านเรื่อยเปื่อย ผมไม่ได้รังเกียจเพศที่สาม มองเห็นผู้ชายยืนนัวเนียกันก็ยังรู้สึกเฉยๆ

   เพียงแต่รู้สึกเฉยๆ แบบ 'ไม่รู้สึกอะไรเลย'

   ไม่เหมือนตอนที่ผมจูบกับมัน หรือทำอะไรกันมากกว่านั้น...นิดหน่อย

   "ขอนั่งด้วยคนได้ไหมครับ" ผมดึงสายตากลับมาหาต้นเสียง พบกับผู้ชายคนหนึ่ง รูปร่างสูงโปร่งเกือบเท่าแจ็ค แต่ค่อนข้างผอมบาง และหน้าตาออกหวานกว่า แถมยังแต่งตัวเปิดเผย สวมเสื้อยืดเนื้อผ้าบาง คว้านคอกว้างลึกลงมาเกือบถึงกึ่งกลางหน้าอก

   เมื่อผมไม่ได้ตอบปฏิเสธ ร่างบางจึงเดินมานั่งลงด้านข้าง แทนที่นั่งเดิมของแจ็ค ก่อนจะแนะนำตัวเองว่าชื่อ 'พีท' พีทชวนคุยหลายอย่าง ผมตอบรับสั้นๆ หรือบ้างก็พยักหน้าตามมารยาท

   "ปรกติต้นเป็นคนเงียบอย่างนี้อยู่แล้วเหรอ" พีทถามพลางอมยิ้มมองผม

   "หรือว่ากำลังเขิน... เพราะดูท่าทางต้นไม่ใช่คนชอบเที่ยว มาเที่ยวที่นี่เป็นครั้งแรกใช่ไหม" ผมพยักหน้าให้กับหลายคำถาม ถึงแม้จะตอบปฏิเสธบางคำถามอยู่ในใจ ผมไม่ได้เขิน แค่มักจะเงียบเป็นปรกติอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ยังไม่ค่อยคุ้นเคยกันมากนัก

   "ถ้าต้นไม่ชอบที่นี่ พวกเราไปหาที่อื่นนั่งคุยกันเงียบๆ ดีไหม" ใบหน้าหวานยังคงแย้มยิ้ม และยิ่งขยับตัวเข้ามาใกล้ จนผมได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ก่อนจะรู้สึกถึงสัมผัสจากมือที่วางแนบลงมาบนหน้าขา

   มือของพีทขาวเนียนคล้ายมือของผู้หญิง แต่ผมกลับไม่รู้สึกอะไรเลยนอกจากความอึดอัด

   "คือ ผมนั่งรอเพื่อนอยู่" ผมเริ่มพยายามหาข้ออ้าง

   "เพื่อนคนที่นั่งอยู่ด้วยกันเมื่อกี้หรือเปล่า แต่ดูท่าทางคืนนี้เขาคงจะไม่กลับพร้อมต้นแล้วมั้ง" รอยยิ้มและสายตาของพีทแลดูหยอกเย้า แต่เมื่อผมมองตามไปยังมุมหนึ่งของร้านก็เริ่มเข้าใจความหมาย เพราะดูเหมือนไอ้คนที่พาผมมาปล่อยเกาะ มันกำลังจะเริ่มเข้าด้ายเข้าเข็ม

   ผมเห็นแจ็คจูบกับคนตัวเล็ก...

   ที่ผ่านมาผมรู้ว่าแจ็คมีแฟนเป็นผู้ชาย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเคยเห็นกับตาว่ามันจูบกับผู้ชาย

   ผมไม่ได้รังเกียจภาพผู้ชายจูบกับผู้ชาย แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกไม่ชอบเอามากๆ มากจนแทบอยากจะตรงเข้าไปกระชากสองคนนั้นออกจากกัน

   "ขอโทษนะพีท ผมคงต้องกลับแล้วล่ะ" ผมยังระงับอารมณ์ของตัวเองได้ค่อนข้างดี แต่อาจจะไม่ดีพอ เพราะพอพูดจบผมก็ผลุดลุกจากโต๊ะ เดินตรงเข้าไปหาคนสองคนที่กำลังแลกลิ้นกันอยู่

   ถ้าวันนี้มันพาผมมาเพื่อพิสูจน์ ผมก็คิดว่าตัวเองได้ข้อสรุปเพิ่มขึ้นอีกสองข้อ

   หนึ่ง ผมไม่ได้รู้สึกอะไรเลยกับผู้ชายคนอื่น

   สอง ผมคิดว่าผมกำลังหึง ค่อนข้างมาก

   และถ้ามันอยากจะพิสูจน์ว่าผมเป็นเกย์หรือเปล่า จากสองข้อที่ว่ามาผมก็คิดว่าวิธีการพิสูจน์ขั้นต่อไม่น่าจะยาก

   แค่จำเป็นต้องใช้มันมาเป็น 'ตัวทดลอง' ก็เท่านั้นเอง

   

« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 09-03-2018 21:43:19 โดย @moment »

ออฟไลน์ @moment

  • แอทโมเม้นท์
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
    • https://www.facebook.com/at.moment.writer/


   ตอนที่ 5 ยักษ์จะออกจากถ้ำ

   

   ผมเดินมาหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะได้พักใหญ่ แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีใครหันมาสนใจ อาจเป็นเพราะกำลังกัดกันเพลินไม่ลืมหูลืมตา ไม่ได้ใส่ใจคนรอบข้าง จนกระทั่งคนตัวเล็กเป็นฝ่ายสังเกตเห็นผมก่อน จึงถอยห่างจากแจ็คเล็กน้อย หันมาเอียงคอมองผมด้วยท่าทางน่ารัก

   "แจ็คนั่นเพื่อนคุณหรือเปล่า" ริมฝีปากที่ยังเงาวับเป็นประกายหันไปกระซิบถามคนข้างๆ พลางคลี่ยิ้มมาให้ แต่ผมยิ้มตอบไม่ออก

   ส่วนไอ้เพื่อนตัวดีหันกลับมามองผมด้วยแววตาแบบ 'มึงจะมาเป็นก้างเพื่อ?'

   ซ้ำร้ายที่สุดมันส่ายหน้าตอบว่า "ไม่รู้จัก"

   ไอ้ห่-! ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนใจเย็นจนบางครั้งถูกมันเรียกว่าก้อนหิน แต่ตอนนี้ผมชักอยากจะเอาก้อนหินปาใส่หน้ามันแทน! แต่ผมก็ยังรักษาท่าทางภายนอกให้นิ่งอยู่ได้

   เอาสิ ในเมื่อมันพูดแบบนั้นได้ ผมก็พูดได้เหมือนกัน

   "ไม่ใช่เพื่อนหรอก แต่เป็นแฟน"

   "เฮ่ยยยยยยยไอ้ถึก! มึงพูดบ้าอะไร!? ไม่จริงนะครับ มันโกหก มึงตั้งใจจะเล่นบ้าอะไรเนี่ย!?" มันรีบหันไปแก้ตัวกับคนตัวเล็กก่อนจะหันกลับมาด่าผมอีกครั้ง

   แต่ประโยคที่พูดออกมาก็ฟ้องอยู่โทนโท่ว่ามันนั่นแหละที่โกหก

   คนตัวเล็กหันมองผมสลับกับแจ็คอย่างงงๆ ราวกับกำลังชั่งใจว่าควรจะเชื่อใครมากกว่า สุดท้ายร่างนั้นก็หันไปยิ้มหวานให้แจ็คที่นั่งอยู่ด้านข้าง

   "ถึงผมจะเป็นคนรักสนุก แต่โทษทีนะ ผมโสดเลือกได้ และก็เกลียดผู้ชายหลายใจที่สุด!" รอยยิ้มพลันบูดบึ้ง พูดจบก็สะบัดหน้าลุกเดินออกไป ยังถือว่าโชคดีที่คนสวยไม่ได้ตวัดแก้วน้ำหรือนิ้วทั้งห้าใส่หน้าใครเหมือนในละครด้วย

   "เฮ้ เดี๋ยวก่อนสิ!" แจ็คทำท่าจะลุกตาม ผมจึงคว้าแขนของมันเอาไว้

   มันชักสีหน้าใส่ผมด้วยท่าทางไม่พอใจพร้อมพยายามสะบัดแขนออก ผมจึงพยักพเยิดให้มันก้มลงมองโต๊ะ แทนคำบอกว่าคนที่ลุกออกไปไม่ได้ทิ้งเงินเอาไว้ด้วย แปลว่าของที่สั่งมาทั้งหมดมันต้องเป็นคนจ่าย แจ็คจึงกลอกตาอย่างเซ็งจัด ก่อนจะกระแทกตัวกลับลงไปนั่งด้วยความหัวเสีย

   "มึงเล่นบ้าอะไรเนี่ย!? ดูดิ๊ เหยื่ออุตส่าห์ติดเบ็ดแล้วเชียว! หลุดมือไปเฉยเลย เซ็งโว้ย โคตรของโคตรเซ็ง! นั่นปากหรือหูรูดพูดออกมาได้ว่ากูกับมึงเป็นแฟนกัน!? ฟ้าจะได้ผ่ากลางวันแสกๆ สยอง!" มันทั้งบ่นทั้งกร่นด่ายิ่งกว่าหมีกินรังแตน

   "พูดอย่างกับมึงไม่ได้โกหกงั้นล่ะ" ผมก็ยังเคืองที่มันพูดออกมาได้ว่า 'ไม่รู้จัก'

   "ก็หมูจะหามใครใช้ให้มึงเอาคานเข้ามาสอด ว่าแต่มึงจะมาหากูทำไม บอกแล้วว่าถ้าสนใจใครก็ให้เข้าไปจีบ ไร้น้ำยาอีกดิ" ปากหมาได้อีก

   "แล้วมึงคิดจะพากูมาปล่อยเกาะแบบนี้เนี่ยนะ มึงก็รู้ว่ากูไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้า"

   มันหยุดมองผมแบบ...เหมือนกับยอมรับว่าไม่ทันได้คิด เพราะจะว่าไปตอนที่เรารู้จักกันใหม่ๆ มันก็เป็นฝ่ายเดียวที่พูด พูด พูด และบังเอิญว่าผมเป็นคนเดียวที่ทนฟังมันไหวก็เลยยังคบกันมาได้จนถึงทุกวันนี้

   "ก็มึงอยากจะพิสูจน์ไม่ใช่เหรอไง ถ้าไม่ใช้วิธีนี้แล้วจะให้ใช้วิธีไหน" แต่มันก็ยังตั้งหน้าตั้งตาเถียงต่อ

   "...กลับกันเหอะ" เพราะวิธีที่ผมอยากใช้ คงไม่จำเป็นต้องมาถึงที่นี่

   "อ้าว จะรีบกลับไปไหน เพิ่งมาถึงยังไม่ทันได้สนุกเลย" มันโวยวาย

   แต่ถ้าคำว่า 'สนุก' ของมันคือการทำแบบเมื่อกี้และอาจจะมากกว่านั้นกับคนอื่น ผมคิดว่าคงไม่มีทางสนุกไปกับมันด้วยแน่ๆ มีแต่ยิ่งอยู่ยิ่งเห็นก็จะยิ่งเซ็งและหงุดหงิดมากกว่า

   "ตามใจ ถ้ามึงไม่อยากกลับกูกลับคนเดียวก็ได้" ใจจริงผมอยากจะบังคับลากคอมันกลับไปด้วยกัน แต่อีกใจก็อาจจะอยากลองใจ ดูสิว่ามันจะแคร์ผมบ้างหรือเปล่า

   "อะไรว๊าาา เออๆ กลับก็ได้ มาด้วยกันก็ต้องกลับด้วยกันดิ โห่ เซ็งฉิบ" มันยังบ่นไม่เลิก แต่คำตอบที่ได้รับก็ทำให้ผมแอบยักยิ้ม

   "ขืนมึงกลับไปก่อนแล้วใครจะอยู่ช่วยกูจ่าย โต๊ะนี้แม่งสั่งไปกี่ตังค์ก็ไม่รู้" ประโยคถัดมาทำให้ผมต้องหุบยิ้มฉับพลัน เปลี่ยนเป็นการส่ายหน้า ชักจะไม่แน่ใจว่ามันแคร์ผมหรือว่าแคร์ตังค์ในกระเป๋าของตัวเองกันแน่

   สุดท้ายพวกเราก็กวักแท็กซี่กลับไปที่หอของผม ตลอดทางแจ็คก็ยังบ่นไม่เลิกว่ามาเสียเที่ยว ด่าผมที่เข้าไปขัดจังหวะ ตบท้ายด้วยการนินทาว่าขืนกลับบ้านในสภาพนี้ต้องถูกท่านแม่บังเกิดเกล้าบ่นจนหูชาแน่ๆ

   อันที่จริงพวกเราก็ดื่มกันไปแค่คนละไม่กี่แก้ว ยังไม่ทันได้เมา แถมเจอใบเสร็จเข้าไปก็ทำเอาเกือบสร่าง เพราะร้านที่มันพามาถือว่าค่อนข้างแพงสำหรับนักศึกษาที่ยังไม่มีรายได้ พอลงจากรถมันก็เลยแวะเข้าร้านเจ๊หมวยเจ้าประจำ ซื้อเหล้าเน้นดีกรีไม่เน้นราคา พร้อมกับแกล้มติดไม้ติดมือมาด้วย

   "คืนนี้ไม่ได้เอา ได้เมาก็ยังดีวะ" พอเข้าห้องมาแจ็คก็จับจองที่นั่งข้างโต๊ะเตี้ยมุมเดิม ชงเหล้าเองดื่มเองเสร็จสรรพ ก่อนจะชงเผื่อผมด้วยตามความเคยชิน

   แต่มันจะรู้ตัวบ้างหรือเปล่า ว่าพูดอะไรทำอะไรแต่ละอย่าง มีแต่หาเรื่องใส่ตัวชัดๆ

   ทั้งโอกาส สถานการณ์ สถานที่ กำลังบั่นทอนความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของผม แถมมันยังไม่รู้จักระวังตัวเลยสักนิด เหมือนตั้งใจจะยั่วกันชัดๆ นั่งมึนๆ เมาๆ หน้าแดงๆ ปากแดงๆ น่าจูบเป็นบ้า

   แต่พอเผลอนึกถึงภาพที่ปากแดงๆ กำลังแลกลิ้นอยู่กับคนอื่น ผมก็เผลอกระดกแก้วในมือขึ้นดื่มจนหมด

   "กูอุตส่าห์หวังดีพาไปเปิดหูเปิดตา แล้วดูดิ๊ เสียตังค์ฟรีแถมยังอดแดกอีก เออ เลยไม่ได้พิสูจน์ด้วยว่ามึงเป็นเกย์หรือเปล่า" มันบ่นยืดยาวก่อนจะพูดเหมือนนึกขึ้นได้ แต่ก็ยังไม่หยุดพล่ามต่อ

   "มึงก็อย่ากระแดะนักเลยน่า ขนาดเด็กม.ปลายสมัยนี้มันนัดบอดเจอกันยังจิ้มกันจนพรุน แล้วดูมึงดิ ไอ้โรคนั่งเงียบเป็นเป่าสาก ไม่ชอบเสวนากับคนแปลกหน้า หมกตัวอยู่แต่ในถ้ำอย่างนี้แล้วเมื่อไหร่จะมีแฟนกับเขาซะที นี่ขนาดจะฝักใฝ่เพศไหนมึงก็ยังสับสนตัวเองอยู่เลย"

   "ก็มีมึงอยู่ทั้งคน" ผมพูดโพล่งขึ้นมา

   "หา?" มันชะงักไปด้วยสีหน้างงจัด

   "กูหมายถึง... ไม่เห็นต้องหาคนแปลกหน้าที่ไหนมาช่วยพิสูจน์ ในเมื่อกูมีเพื่อนเป็นเกย์อยู่ตรงนี้ทั้งคน"

   ผมยกแก้วในมือขึ้นดื่มอีกครั้ง ตีสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเรื่องที่พูดออกไปไม่ใช่เรื่องใหญ่ ทั้งๆ ที่อารมณ์ภายในกำลังปั่นป่วนอย่างหนัก ความยับยั้งชั่งใจกำลังพ่ายแพ้ต่อความหงุดหงิด ความเซ็ง ความอยากรู้ ผมเองก็อยากพิสูจน์ ไม่ใช่เรื่องที่ตัวเองเป็นเกย์หรือเปล่า แต่เป็นเรื่องที่... ผมรู้สึกยังไงกับมันกันแน่

   และผมก็คงจะไม่ใช่คนที่ดีนัก กำลังตั้งใจจะใช้ข้ออ้างบังหน้าเพื่อพิสูจน์ทางร่างกาย ก่อนที่จะคิดจะถามหัวใจ

   "เอ่อ กูคิดว่า... มึงยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรนิดหน่อยนะ คือแบบ มึงอาจจะไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับเกย์เท่าไหร่" พอหายงงมันก็เริ่มพูดอะไรที่ทำให้ผมเริ่มจะงงแทน

   "คือแบบว่าเกย์เนี่ย ก็คือผู้ชายกับผู้ชายใช่ป่ะ เวลาฟีเจอริ่งกันมันก็ต้องมีฝ่ายหนึ่งทำหน้าที่แทนผู้หญิง อย่างที่เขาเรียกกันว่าคิงกับควีน หรือรุกกับรับ อะไรอย่างงี้ พูดง่ายๆ ก็คือแบบฝ่าย 'เสียบ' กับฝ่าย 'ถูกเสียบ' อ่ะ"

   ไม่ต้องถึงขั้นทำมือประกอบแบบเลขหนึ่งจิ้มเลขศูนย์ผมก็เข้าใจ

   "แล้วคือกูเป็นรุก หมายถึงเป็นฝ่ายเสียบอะนะ แต่น้ำหน้าอย่างมึงกูก็คงเสียบไม่ลง" มันเห็นผมนิ่วหน้าจึงปรับคำพูดใหม่

   "คืออย่างมึงก็คงไม่ได้อยากจะถูกใครเสียบใช่ไหมล่ะ เพราะฉะนั้นที่มึงบอกจะให้กูช่วยพิสูจน์อ่ะ มึงอ่านปากกูนะ -มัน-เป็น-ไป-ไม่-ได้-" มันชี้นิ้วที่ปากของตัวเองพร้อมพูดย้ำทีละคำ ช้าๆ ชัดๆ

   "แล้วมึงไม่เคยลองเป็นรับเหรอ" แวบแรกผมถามด้วยความสงสัย แต่พอเผลอจินตนาการภาพแจ็คอยู่ใต้ร่างของใครคนอื่น แค่คิดผมก็ฉุนกึก ยิ่งกว่าตอนที่เห็นมันแลกลิ้นกับคนตัวเล็กน่ารักนั่นซะอีก

   "ก็ไม่เคย" มันตอบพลางยักไหล่ ทำให้ผมลอบถอนหายใจ

   "ไม่เคยลองแล้วรู้ได้ไงว่าเป็นไปไม่ได้" ผมลองถามต่อ

   "มึงเข้าใจคำว่ารสนิยมป่ะ อย่างมึงเกลียดแมลงสาบก็ไม่มีเหตุผล ถ้ามีคนบอกให้มึงลองเลี้ยงแมลงสาบไว้ดูเล่น มึงจะลองไหมล่ะ" มันพูดถึงไอ้ตัวน่าขยะแขยงสีดำที่แค่คิดผมก็ขนลุก

   "มึงเปรียบเทียบอย่างนั้นก็ไม่ถูก ทีอย่างกูไม่เคยคิดว่าตัวเองจะชอบผู้ชาย มึงยังคะยั้นคะยอให้กูพิสูจน์เลย" ผมพูดวกกลับเข้าเรื่อง ตามด้วยชักแม่น้ำทั้งห้าก่อนที่มันจะเถียงต่อ

   "กูก็อาจจะไม่ได้เป็นเกย์ หรือมึงก็อาจจะไม่ได้เป็นรับ แต่ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้... ถ้าเกิดลองแล้วไม่ใช่ ไม่เวิร์ค ก็ยังหยุดกลางคันได้ ดีกว่าไปลองกับคนอื่นให้เสี่ยงโดนตบด้วย"

   "แต่กูไม่ได้อยากลองนี่หว่า" มันขมวดคิ้ว ไม่ยอมตกหลุมพรางง่ายๆ

   "ก็ถือซะว่าเป็นผลพลอยได้ ได้ช่วยเพื่อน แถมได้ลองอะไรใหม่ๆ ด้วย"

   "ผลพลอยได้บ้านพ่อ-งดิ" มันด่ากลับทันควัน

   ผมเริ่มขี้เกียจจะสรรหาข้ออ้างอีก จึงเริ่มใช้วิธีลัดโดยการวางแก้วในมือลงบนโต๊ะ ก่อนจะขยับตัวเข้าไปใกล้ ค่อยๆ โน้มใบหน้าเข้าไปหา และคนหน้าด้านอย่างมันก็ไม่เคยหลบ

   "เอาจริงดิ" มันถามด้วยเสียงที่เบาลงเล็กน้อย เพราะระยะห่างที่น้อยลง

   ผมจึงตอบรับสั้นๆ แค่ในลำคอ "อือ"

   "ถ้าไม่ใช่ ไม่เวิร์ค มึงหยุดแน่นะ" มันถามอย่างลังเล

   ผมตอบด้วยเสียงในลำคอเหมือนเดิม ถึงแม้ว่าครั้งนี้จะเป็นการตอบเพื่อตัดบทมากกว่า เพราะไม่อยากเปิดโอกาสให้มันได้พูดอะไรอีก และผมคิดว่าโอกาส 'หยุด' ก็คงจะเหลือน้อยเต็มที

   
-------------------------
   
   เฮือกกกกก จัดบรรทัดใหม่เหนื่อยมาก ค่อยๆ กระดึ๊บไปแล้วกัน  :z10:



ออฟไลน์ @moment

  • แอทโมเม้นท์
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
    • https://www.facebook.com/at.moment.writer/


คำเตือน: เนื้อหาในตอนนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุมากกว่า 18 ปีขึ้นไป

   

   ตอนที่ 6 ตบะแตก

   

   "กูว่าไม่เวิร์กว่ะ เลิกเหอะ"

   เสียงพึมพำในลำคอ ทำให้ประโยคนั้นฟังดูไม่มีน้ำหนักเลยสักนิด และอะไรๆ ที่อยู่ตรงกลางระหว่างพวกเราก็เป็นหลักฐานฟ้องอยู่โทนโท่ จากการเริ่มต้นด้วยมือใครมือมัน สิ่งนั้นกำลังร้อนรุ่มและเรียกร้องสัมผัสมากกว่าการช่วยกันคนละไม้คนละมือ

   "มึงป๊อดละสิ" ผมพยายามข่มเสียงของตัวเองไม่ให้แหบพร่า ตั้งใจเลือกใช้คำพูดกวนโทสะ เพราะรู้ว่ามันไม่ชอบให้ใครมาหยาม

   "กูไม่ได้ป๊อด!" ได้ผล ถึงแม้ว่ามันจะยังขมวดคิ้วยุ่ง ก้มมองตรงกลางระหว่างพวกเราตาขวาง ก่อนจะกัดฟันกรอดๆ อย่างหมั่นไส้แกมไม่พอใจ

   "เหี้ยมึงดูความจริงมั่งดิ๊ ตัวใหญ่เป็นควายยักษ์อย่างนี้ ขืนเสียบใครมีหวังได้ช้ำในไส้แตกตายห่-" ปากหมาๆ ยังคงพูดจาทำลายบรรยากาศ รูปประโยคเหมือนจะด่า แต่เนื้อหาคงจะกระทบศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย มันถึงได้ทำท่าฮึดฮัดขัดใจ เหมือนไม่อยากยอมรับว่าขนาดของตัวเองแพ้ แต่ของมันเห็นๆ กันอยู่เต็มตา

   "มึงป๊อด" ครั้งนี้ผมจึงแถมรอยยิ้มมุมปาก และก็ได้รับคำตอบตามที่คาด

   "กูไม่ได้ป๊อด!" แต่มันก็ยังไม่ยอมติดกับดักง่ายๆ

   "กูว่าเอาอย่างนี้ดีกว่า ถึงรูปร่างหน้าตามึงจะห่างไกลจากสเปคกูไปหน่อย แต่กูน่าจะพอทำใจเสียบไหว แล้วตัวกูก็แบบไม่ใหญ่เกินไป ไซส์กำลังพอดี๊พอดี แถมยังมีประสบการณ์มากกว่า มึงก็ได้พิสูจน์ด้วย กูก็ไม่ต้องเจ็บตัวด้วย วินวินจะตาย เนอะ" มันเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นการตะล่อมหว่านล้อม แต่ถ้าผมยอมก็บ้าไปแล้ว

   "กูว่าอย่างที่ตกลงกันไว้น่ะดีแล้ว ในเมื่อกูต้องลองอะไรใหม่ๆ มึงก็ควรจะลองอะไรใหม่ๆ ยุติธรรมดีออก" ผมพูดรวบรัด ไม่อยากจะสรรหาข้ออ้างมาเถียงกับมันอีก จึงเริ่มขยับมือสานต่อกิจกรรมอีกครั้ง

   "ยุติธรรมตรงไหนวะ อะ" มันยังรั้นจะเถียง ผมจึงกดน้ำหนักมือ กำรูดรอบส่วนที่แข็งขึง เปลี่ยนให้ปลายประโยคกลายเป็นเสียงอุทานขึ้นจมูก

   "ยุติธรรมตรงที่มึงถอดกูก็ถอด" ผมพูดตัดบทด้วยความอดทนที่เริ่มจะเหลือน้อยเต็มที ดึงเสื้อยืดของตัวเองผ่านออกทางศีรษะ ก่อนรั้งกางเกงที่เกะกะให้หลุดออกไปจากร่างกาย พูดจบก็เอื้อมไปดึงกางเกงของมันที่ร่นลงมาอยู่ใต้สะโพกให้ร่วงลงไปถึงหัวเข่า

   "แม่งโคตรจะยุติธรรม" ปากมันยังคงบ่นขมุบขมิบอิดออด แต่ความฆ่าได้หยามไม่ได้อาจจะค้ำคอ มันถึงได้ดึงกางเกงของตัวเองให้พ้นออกจากข้อเท้า ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะถอดเสื้อตาม ร่างกายของพวกเราจึงเปลือยเปล่า

   ผมมองภาพด้านหน้าด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นตอนมันเปลือย แต่ไม่ใช่ในสภาวะอารมณ์แบบนี้

   ทั้งๆ ที่ร่างเบื้องหน้ามองยังไงก็เป็นร่างกายของผู้ชาย ไม่ได้อ้อนแอ้นบอบบางเหมือนผู้หญิง หน้าอกแบนเรียบ มีกล้ามเนื้อตกแต่งพอประมาณ แถมยังมีอะไรชี้โด่เด่อยู่กลางลำตัวเหมือนๆ กับผม มองยังไงก็ไม่ใช่ภาพที่น่ามองเลยสักนิด แต่ผมกลับละสายตาไม่ได้ ซ้ำร้ายเลือดในกายกลับยิ่งสูบฉีดหนักหน่วง

   "ไม่เวิร์กใช่ป่ะ เห็นแล้วหมดอารมณ์ใช่ป่ะ กูว่าแล้ว~ มึงไม่ได้เป็นเกย์หรอก หยุดตอนนี้ก็ยังทันนะ" มันอาจจะเข้าใจความหมายของการที่ผมนิ่งอึ้งผิดไป หรือไม่ก็ตีความเข้าข้างตัวเอง

   ผมจึงเบียดสะโพกเข้าหาต้นขาของมันแทนการตอบคำถาม และคำตอบนั้นก็ทำให้มันยอมหุบปากไปได้ชั่วคราว แต่กันเอาไว้ก่อนดีกว่าแก้ ผมจึงโน้มใบหน้าเข้าไป ใช้ปากลงกลอนปิดฟาร์มสุนัขเอาไว้ เพราะลางสังหรณ์บอกว่าสิ่งที่กำลังจะทำต่อไปจะทำให้มันแหกปากโวยวาย

   และก็เป็นอย่างที่คิด เมื่อผมเลื่อนแขนลงไปดันต้นขาสองข้างให้ขยับห่างออกจากกัน ลูบมือลงบนช่องทางด้านหลังก่อนกดแทรกนิ้วเข้าไป ปากประตูปิดสนิทแม้กระทั่งนิ้วก็ยังเบียดเข้าไปลำบาก เสียงอู้อี้จึงร้องลั่นอยู่ในลำคอ

   สารภาพตามตรงผมแทบจะไม่รู้ว่าเซ็กส์ระหว่างผู้ชายกับผู้ชายทำกันยังไง ถึงพอจะรู้ว่าต้องใช้ด้านหลังแทนด้านหน้า แต่ก็เคยคิดว่าคงจะไม่แตกต่างอะไรจากเซ็กส์กับผู้หญิง มาถึงตอนนี้ผมจึงได้รู้ตัวว่าคิดผิดถนัด เพราะช่องทางนั้นไม่ได้นุ่มลื่นตามธรรมชาติ แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้าไปทั้งอย่างนี้ แต่ตอนนี้ผมก็อยากเข้าไปจนแทบจะหยุดตัวเองไม่อยู่

   "โอ๊ย!" เป็นเสียงร้องของผม เมื่อเขี้ยวคมๆ ของมันบาดลงบนริมฝีปาก จนผมเกือบจะได้เลือด

   "ไอ้เหี้ย! กูเจ็บ! ถ้ามึงทำไม่เป็นก็หยุดไปเลยเหอะ"

   เออ ผมยอมรับว่าทำไม่เป็น แต่ถ้าจะให้หยุดตอนนี้ก็ฆ่ากันเลยดีกว่า

   "มึงก็บอกมาสิว่าต้องทำยังไงบ้าง" ผมยอมถอยการรุกล้ำออกมาเป็นการลูบไล้บนต้นขา เลือกใช้ไม้อ่อนแทนไม้แข็ง โน้มใบหน้าเข้าไปใกล้อีกครั้ง ยังไม่กล้าจูบเพราะกลัวว่าจะถูกกัดเอาอีก เพียงแค่มองหน้า ให้สายตาและร่างกายสื่อสารแทนว่าตอนนี้ผมมาไกลเกินกว่าจะหยุด

   "...มึงมีโลชั่นหรืออะไรไหมล่ะ" มันพูดส่งๆ เหมือนไม่ค่อยอยากจะพูด ผมนิ่งคิดชั่วครู่ ก่อนจะเอื้อมไปหยิบโลชั่นทาผิวมาจากบนโต๊ะ อันที่จริงก็เป็นของมันที่เอามาทิ้งไว้ เพราะมันเป็นคนผิวแห้งและเจ้าสำอางกว่าผมเยอะ

   มันมองขวดในมือของผมโดยไม่พูดอะไรต่อ ผมจึงลองผิดลองถูกด้วยการเทโลชั่นลงบนฝ่ามือ ก่อนจะแทรกนิ้วกลับเข้าไปในช่องทางเดิม มันเม้มปากแน่น แต่ผมคิดว่าครั้งนี้แรงต่อต้านลดน้อยลง อีกมือหนึ่งของผมที่เปื้อนโลชั่นเช่นกันจึงนวดเฟ้นด้านหน้าไปพลางเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ

   "ไม่ไหว... กูว่าไม่เวิร์ก" มันร้องประท้วง เมื่อจำนวนนิ้วค่อยๆ เพิ่มขึ้น แต่ผมแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน

   "อื้อ!" เสียงร้องดังขึ้นจมูก เมื่อจับจุดได้ผมจึงลองกดเบาๆ ผ่านบริเวณเดิมอีกครั้ง เรียกเสียงโทนสูงกว่าปรกติให้ดังเล็ดลอดออกมา ใบหน้าแดงก่ำกับริมฝีปากแดงจัด ทำให้ผมอดใจไม่ไหว โน้มตัวกลับลงไปจูบมันอีกครั้ง เสียงอู้อี้จึงถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอ มันจูบตอบราวกับต้องการระบายความอึดอัด

   จนกระทั่งผมถอนนิ้วทั้งหมดออกมา ชโลมโลชั่นมากกว่าเดิมลงบนปากทาง พร้อมทั้งส่วนที่ขยายขนาดจนปวดหนึบเพราะต้องการเข้าไปด้านใน

   "เดี๋ยว! เดี๋ยวๆๆๆ มึงใส่ถุงด้วย!" มันร้องลั่นระหว่างหยุดหอบหายใจ

   "...ไม่มีว่ะ" ผมตอบสั้นๆ

   มันทำท่าจะถีบ ผมจึงคว้าข้อเท้าของมันเอาไว้

   "กูมีอยู่ในกระเป๋า" มันกัดฟันพูดต่อ

   "...ไซส์มึงกูคงจะใส่ได้หรอก" ผมตอบเท่านั้นและไม่ยอมให้มันได้พูดอะไรต่อ รีบฉวยโอกาสก่อนที่มันจะด่าหรือออกแรงดิ้นมากกว่านี้

   "ไอ้...!!!"

   เสียงด่าขาดหายไปพร้อมกับลมหายใจที่หยุดชะงัก เมื่อผมออกแรงกดร่างเข้าไปทีเดียวเกือบครึ่ง ถึงแม้อยากจะเข้าไปลึกกว่านั้น แต่แรงต่อต้านที่รัดแน่นก็ทำให้ผมนิ่วหน้าและกัดฟันกรอด ขนาดผมยังเจ็บ ไม่ต้องเดาเลยว่ามันคงจะจุกจนร้องไม่ออก

   ผมจึงเอื้อมมือออกไปหาแก่นกลางลำตัวของมัน ได้แต่หวังว่าจะช่วยบรรเทาความเจ็บ ดูเหมือนจะได้ผล เพราะช่องทางด้านหลังค่อยๆ ผ่อนคลาย ถึงแม้จะยังบีบรัดตามจังหวะที่มันพยายามผ่อนลมหายใจ

   "ไอ้ถึก! ไอ้เหี้ย! แม่งโคตรจะเจ็บ! ไหนมึงบอกว่าถ้าไม่ใช่ไม่เวิร์กแล้วมึงจะหยุดไง!? ไอ้ตอแหล!" เริ่มมีแรงด่า แสดงว่าไม่เจ็บมากเท่าไหร่แล้ว ผมจึงขยับตัวออกเล็กน้อยก่อนจะดันกลับเข้าไปลึกกว่าเดิม ทำให้เสียงโวยวายกลายเป็นเสียงคราง

   "ไม่เวิร์กตรงไหน ใครกันแน่ที่ตอแหล" ผมถามกลับ เมื่อจับความรู้สึกจากเสียงนั้นได้ว่าไม่ได้มีแค่ความเจ็บเพียงอย่างเดียว สะโพกที่ถอยหนีบางครั้งก็ดีดตัวตอบรับการเคลื่อนไหว

   "โอ๊ย!" ผมร้องอุทาน เพราะคราวนี้มันเล่นฝังเขี้ยวลงมาบนบ่า

   "กูเจ็บมึงก็เจ็บ ยุติธรรมดีไหมล่ะ" ยังมีหน้ามาย้อน เอาสิ จะเล่นแบบนี้ก็ได้

   "ไอ้ถึก...!? อะ ไอ้! อ๊ะ... อะ... ไอ้เหี้ย! อะ ไอ้ยักษ์! ไอ้หมีควาย!... อะ อ๊ะ อ๊า" ด่าได้ด่าไป ดูสิว่าเสียงด่ากับเสียงครางอย่างไหนจะชนะ

   ผมถอยตัวออกจนเกือบสุดก่อนดันกลับเข้าไปจนมิด เบียดเข้าออกซ้ำๆ ยิ่งเสียดสีก็ยิ่งร้อน ยิ่งถูกแรงสุญญากาศดูดดึงเข้าไปด้านใน เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผมได้รู้จักความแตกต่างระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย สรีระของผู้หญิงมีขีดจำกัด เมื่อขยับเข้าไปจนชนกำแพงก็เป็นอันสุดทาง ทว่าช่องทางด้านหลังกลับรับมือกับความลึกได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เส้นทางแคบคดเคี้ยวคล้ายทางตัน แต่ยิ่งดึงดันเดินหน้าก็ยิ่งถูกดึงดูดให้ถลำลึก สติที่หลงเหลือน้อยนิดยิ่งกระจัดกระจาย

   เสียงสบถด่ามั่วซั่วขาดหายเป็นห้วงๆ ตามจังหวะการโยกไหว สุดท้ายก็เหลือเพียงเสียงครางขึ้นจมูกไร้เรี่ยวแรง แต่ยังคงอวดเก่งทำอย่างที่เคยพูดว่า 'กูเจ็บมึงก็เจ็บ'

   เล็บที่ตัดสั้นเป็นระเบียบข่วนซะจนผมแสบหลัง ไม่นับคมเขี้ยวที่กัดซ้ำรอยเดิมบนบ่า แถมยังเพิ่มรอยใหม่ลงมาสะเปะสะปะ ผมจึงเอาคืนด้วยการดูดเม้ม ทิ้งร่องรอยเอาไว้บนผิวแดงๆ ทั้งบนซอกคอ หลังหู เรื่อยลงมาจนถึงหน้าอก

   ผมเร่งความเร็วตอบรับเสียงครางถี่ มือข้างหนึ่งก็ยังคอยกระตุ้นส่วนกลางลำตัวของมัน จนกระทั่งมันส่ายหน้าไปมา ดันมือลงบนหน้าอกของผมเหมือนต้องการให้ช้าลง แต่ปลายนิ้วเรียวแทบไม่เหลือเรี่ยวแรง สัมผัสแผ่วเบาจึงแทบไม่ต่างจากการลูบไล้ ผมดึงมือสวยๆ ของมันขึ้นมาจูบ ขบกัดและเลียบนแต่ละนิ้วอย่างหมั่นเขี้ยว มันหรี่ตาขึ้นมามองผมเหมือนกับไม่อยากจะเชื่อสายตา

   ควายถึก ยักษ์จำศีล ฤๅษีเฝ้าถ้ำ หรืออะไรก็ตามที่มันเคยสรรหามาเรียก

   ถ้าจะหาว่าผมตบะแตก ก็ต้องโทษมันคนเดียวที่เป็นตัวต้นเหตุ

   "อะ... อ... อะ อ..." เสียงครางแหบขาดห้วง ของเหลวสีขาวขุ่นหยดเปื้อนลงบนหน้าท้อง ยังคงเอ่อล้นออกมาอีกหลายครั้งตามจังหวะการกระแทก ภาพตรงหน้าทำให้ผมยิ่งเร่งความเร็วเพื่อตามไปให้ทัน เสียงขาดหายจึงยิ่งฟังไม่ได้ศัพท์ ปะปนกับเสียงคำรามในลำคอของผม ความร้อนอัดแน่นถึงขีดสุด ร่างกายเกร็งแน่นเมื่อถึงจุดระเบิด

   ผมหอบหายใจอย่างหนัก เผลอครางต่ำเมื่อผนังด้านในยังคงตอดรัดราวกับจะรีดทุกหยาดหยดออกจากร่างกาย ผมจึงขยับเบียดเข้าไปลึกอีกหลายครั้ง จนไม่เหลืออะไรให้ปลดปล่อย ก่อนจะถอนตัวออกมาในท้ายที่สุด ปากทางที่เคยปิดสนิทยังคงสั่นระริก เปรอะเปื้อนด้วยโลชั่นและของเหลวที่ซึมล้นออกมา

   ปากแดงๆ หอบหายใจพะงาบๆ เหมือนอยากจะด่าแต่ไม่มีแรงเหลือ ผมจึงก้มกลับลงไปจูบมันอีกครั้ง

   "กูคิดว่า 'ใช่' ว่ะ"

   ผมกระซิบบอกด้วยเสียงพึมพำ มันยังคงนอนหลับตาหอบหายใจโดยไม่ได้โต้ตอบ อาจจะเบลอจนสมองคิดตามไม่ทัน หรืออาจจะคิดว่าหมายถึงผลลัพธ์ของการพิสูจน์ว่า 'ผมเป็นเกย์หรือเปล่า'

   ความจริงแล้วสิ่งที่ผมพูด ไม่ใช่การตอบคำถามของมัน แต่เป็นการตอบคำถามของตัวเอง

   คำถามที่ว่า 'ผมชอบมันหรือเปล่า'

   ผมคิดว่า 'ใช่'

   และอาจจะต้องทำใจยอมรับ

   ว่าผลลัพธ์อาจจะน่ากลัวมากกว่าคำว่า 'ชอบ'

   
-------------

   เล้าลง nc ได้ใช่ไหม ใช่เนอะ...ไม่เป็นไรเนอะ  :katai5:


ออฟไลน์ @moment

  • แอทโมเม้นท์
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
    • https://www.facebook.com/at.moment.writer/

   

   ตอนที่ 7 หมาสันหลังหวะ

   

   ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาพบกับภาพที่ไม่คุ้นเคย แม้พื้นหลังจะเป็นห้องของตัวเอง ทว่าสิ่งที่บดบังสายตาในเช้าวันนี้กลับไม่ใช่ 'ตีน' แต่กลับเป็นก้อนสีดำยุ่งๆ วัตถุต้องสงสัยที่ทำให้ผมต้องหรี่ตาลงเพื่อปรับภาพเบื้องหน้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ก่อนจะประมวลผลได้ว่าสิ่งนั้นคือเส้นผมของใครบางคน

   ความทรงจำเมื่อคืนค่อยๆ เรียงลำดับกลับเข้ามาอย่างแจ่มชัด

   เมื่อไล่มองจากต้นคอ ท้ายทอย  เรื่อยไปถึงบ่าเปลือยเปล่าที่ยังปรากฏรอยแดงช้ำ รอยจูบ ที่ไม่ต้องเดาว่าเป็นของใคร... ยิ่งมองก็ยิ่งทำให้เผลออยากจูบซ้ำ

   แต่ยังไม่ทันที่ปากของผมจะได้แนบลงบนบ่า ร่างนั้นก็พลิกตัวกลับมา ทำให้เป้าหมายคลาดเคลื่อนไป ปลายจมูกไล้เฉียดผ่านข้างแก้ม มันขมวดคิ้วยุ่งทั้งๆ ที่ยังคงหลับตา เหมือนกับรำคาญที่ถูกรบกวนการนอนหลับ

   โชคดีที่มันยังคงหลับต่อ เปิดโอกาสให้ผมได้สำรวจใบหน้าของคนที่กำลังหลับใหล

   คิ้วคมเข้มรับกับจมูกโด่ง ขนตายาวเป็นแพ ผิวหน้าเรียบเนียนตามแบบฉบับหนุ่มเจ้าสำอาง ริมฝีปากแดงไม่หนาหรือบางจนเกินไป เวลาที่ปิดปากสนิทไม่ปล่อยให้สุนัขในฟาร์มออกมาเห่าเพ่นพ่าน มันก็ยิ่งดูน่ารักขึ้นเป็นกอง

   น่ารัก...?

   ผมมองว่ามันน่ารักเข้าไปได้ยังไง

   มองยังไงๆ ภาพตรงหน้าก็เป็นภาพของผู้ชาย อาจจะหน้าตาดี เออ ยอมรับก็ได้ว่ามันหล่อ แต่ก็ไม่ได้เฉียดเข้าใกล้กับคำว่า 'น่ารัก' ในสายตาของผู้ชายด้วยกันเลยสักนิด

   ยิ่งคิดผมก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าตัวเองหลงผิดไปชอบมันได้ยังไง

   แต่ร่างกายอาจจะซื่อตรงต่อหัวใจมากกว่าสมอง ยิ่งมองหน้ามัน ผมก็ยิ่งอยากขยับเข้าไปใกล้ และครั้งนี้เป้าหมายคือริมฝีปาก

   หากจังหวะนั้นคนตรงหน้ากลับลืมตาขึ้นมา แวบแรกสีหน้างงๆ เหมือนสมองยังไม่เริ่มทำงานดีนัก วินาทีถัดมาถึงได้ผงะถอยหลัง พร้อมดีดตัวพรวดพราดลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะขดงอตัวกลับลงมา

   "โอ๊ย! เหี้ยเอ๊ย..." เป็นคำทักทายยามเช้าที่ยอดเยี่ยม

   แต่ปลายเสียงที่แผ่วลงกลายเป็นการโอดครวญ ดูเหมือนการลุกนั่งโดยทิ้งน้ำหนักลงบนสะโพกอย่างกะทันหัน จะกระทบกระเทือนไปถึงส่วนที่ยังคงเจ็บระบม

   "ยังเจ็บอยู่เหรอ" ผมถามอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้

   "ถามมาได้! กูแหกปากร้องตั้งกี่รอบว่าเจ็บ แล้วมึงหยุดไหม!? ไอ้ถึก! ไอ้เหี้ย! ไอ้ไซส์ควายแม่งยัดเข้ามาได้! ไอ้ตอแหล! ไหนบอกว่าถ้าไม่เวิร์กแล้วมึงจะหยุดไง!? ไอ้หื่น! กูฟันธงว่ามึงเป็นเกย์ชัวร์ ถ้าไม่เกย์มึงก็ไบ แต่ที่แน่ๆ ไอ้ห่-! กูเจ็บโว๊ยยยยยยยยยย!"

   ถามคำเดียวมันเล่นด่ากลับมาเป็นชุด ลงท้ายด้วยการแหกปากลั่นเหมือนต้องการระบายความเจ็บปวด แต่ร้องเองก็คงสะเทือนจนเจ็บเอง มันถึงได้กัดปากตัวเองอย่างเจ็บใจ

   ได้ข่าวว่าเมื่อคืนมันไม่ได้ร้องเพราะความเจ็บอย่างเดียวซะหน่อย แถมยังเสร็จก่อนผมเสียด้วยซ้ำ แต่ผมไม่อยากจะตอกย้ำซ้ำเติมให้มันต้องด่าเองเจ็บเองอีก เพราะถึงยังไงผมก็เป็นคนทำให้มันเจ็บ

   ผมจึงนั่งนิ่งๆ ไม่มีปากเสียง ทอดมองร่างเบื้องหน้าที่มีรอยช้ำเป็นจ้ำๆ อยู่ทั่วร่างกาย อันที่จริงสภาพของผมก็คงแทบไม่ต่างจากคนที่เพิ่ง 'ฟัดกับหมา' เพราะมันเล่นฝากรอยเขี้ยวไว้หลายรอยบนบ่า แถมด้วยรอยข่วนที่ยังคงแสบซิบๆ บนแผ่นหลัง แต่ร่องรอยเหล่านั้นก็เป็นเครื่องยืนยันว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเป็นความจริง

   "กูว่ามึงควรรีบมีแฟนโดยด่วน"

   "หา?"

   อยู่ๆ แจ็คก็พูดโพล่งขึ้นมา ทำให้ผมงงจัด

   "กูว่ามึงเก็บกด หรือไม่ก็จำศีลจนตายอดตายอยาก! ควายถึกมันถึงได้คึกไม่เลิก! ไอ้หื่นเงียบ!"

   มันกระชากผ้าห่มขึ้นมาคลุมตำแหน่งกลางลำตัวของผม เมื่อก้มลงมองตัวเองผมจึงได้เห็นว่าทหารที่เพิ่งผ่านศึกหนักมาหมาดๆ กำลังลุกขึ้นยืนตรงเคารพธงชาติ ทว่าการดึงผ้าห่มมาฝั่งนี้ ทำให้ผ้าผืนเดียวกันบนตัวของมันร่นต่ำลงไป จนเห็นไรขนอ่อนๆ ใต้ท้องน้อยอยู่รำไร พาลให้ทหารแทบอยากกระโจนลงสนามรบอีกรอบ

   "เหี้ย กูไปดีกว่า อยู่ตรงนี้แม่งไม่ปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน" มันพูดพลางรีบลุกลงจากเตียง

   "เหี้ยเอ๊ย!" สรรพสัตว์ยังพากันขับขานเมื่อร่างนั้นเข่าอ่อนทรุดแทบจะลงไปกองอยู่กับพื้น ก่อนจะกัดฟันยันตัวลุกขึ้นมาเดินกระโผลกกระเผลก คงจะเจ็บจริง เพราะมันไม่ได้ก้มเก็บชิ้นส่วนที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นเลยด้วยซ้ำ เดินตัวเปล่าๆ เปลือยๆ หายลับเข้าห้องน้ำไป

   ใจหนึ่งผมก็อยากเข้าไปช่วยพยุง แต่ถ้าขืนเข้าใกล้มันตอนนี้คงจะได้ช่วยซ้ำแผลเก่าซะมากกว่า ผมจึงเลือกนั่งอยู่บนเตียงเหมือนเดิม มองตามบานประตูที่ปิดตัวลงไป อีกใจก็ยังอึ้งกับคำพูดของมันไม่หาย

   'กูว่ามึงควรรีบมีแฟนโดยด่วน'

   ทั้งคำพูดและท่าทางของมัน ยังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่มีความหวั่นไหว ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิด หรือจะบอกว่าสำหรับมันแล้วเรื่องเมื่อคืนไม่ใช่เรื่องสำคัญ ก็แค่มีอะไรกับผู้ชายเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน อย่างที่มันเคยพูดว่า

   'ฟอร์ฟัน ฟันจบแล้วก็ทางใครทางมัน มึงไม่เคยได้ยินเหรอแบบน้ำแตกแล้วแยกทางอ่ะ'

   "..."

   

   "หมู่นี้อิปาท่องโก๋หายไปไหนซะล่ะตึก ไม่เห็นหน้าตั้งหลายวันแล้ว" พี่มินนี่ถามขึ้นมาขณะที่ผมกำลังนั่งจ่อมอยู่แถวโต๊ะภาค ผมได้แต่ส่ายหน้าแทนคำตอบ เพราะผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

   ผมขอถอนคำพูดที่ว่าแจ็คทำตัวเหมือนเดิมทุกอย่าง เพราะมันแค่ 'เกือบจะ' เหมือนเดิมทุกอย่าง คือเวลาเจอกันมันก็ยังปากหมาหน้าด้านโดยสันดาน เพียงแต่ตอนนี้ผมไม่ได้เจอหน้ามันมาหลายวันแล้ว

   ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนขนาดเรียนกันคนละวิชา คนละภาค คนละตึก มันก็ยังอุตส่าห์ถ่อมาลากผมไปกินข้าวด้วยเกือบทุกวัน แต่พักหลังมานี้แม้แต่ห้องของผมมันก็ไม่ได้มา ทั้งๆ ที่ปรกติแล้วพอขี้เกียจกลับบ้านเมื่อไหร่มันเป็นต้องมาสิงอยู่ที่ห้องของผม มานอนกลิ้งเอกเขนก ทำตัวอย่างกับเป็นเจ้าของห้อง หรือไม่ก็หอบขวดกลมๆ มาชวนผมดื่มอยู่เป็นประจำ

   ส่วนใหญ่มันมักจะหายหัวไปบ่อยๆ ตอนที่มีแฟน...

   แต่ถ้ามี ป่านนี้ก็น่าจะกระดี๊กระด๊าเอารูปมาอวดไปทั่ว ไม่ใช่เล่นหายไปดื้อๆ แบบนี้

   "อ้าว อินี่ตายยาก พูดถึงปุ๊บก็โผล่มาปั๊บ"

   ผมหันกลับไปเห็นร่างสูงของแจ็คเข้าพอดี แต่ดูเหมือนมันตั้งท่าจะเดินผ่านไปถ้าพี่มินนี่ไม่ได้ร้องทัก แจ็คชะงักหันกลับมา ก่อนจะฉีกยิ้มหวานให้พี่รหัส

   "สวัสดีครับเจ๊~ ไม่ได้เจอกันหลายวัน ยังสวยเหมือนเดิมเลยนะคร๊าบ~" มันเดินมาพลางยกมือไหว้ท่วมหัว ทำท่าทางและน้ำเสียงอย่างกับหนุ่มบ้านนอกเข้ากรุง

   "โถๆ ไหว้พระเถอะจ้ะพ่อหนุ่ม" พี่มินนี่รับมุก แต่หารู้ไม่ว่านั่นเป็นการเปิดทางให้คนปากดีจัดไปอีกหนึ่งดอก

   "เจ๊จะบวชเหรอ!? จะเลิกเป็นสาวแล้วจริงดิ!? ถ้างั้นผมขออนุโมทนาบุญด้วยนะ ส๊า~ธุ"

   "หนอยอีนี่! เล่นด้วยหน่อยไม่ได้เป็นต้องลามปาม!" ถ้ามีอะไรอยู่ใกล้มือคงบินใส่หัวมันไปแล้ว แต่เมื่อไม่มีพี่มินนี่จึงได้แต่พ่นควันออกหู

   "อ้าว ไอ้ผมก็แค่อยากจะแสดงความยินดี นึกว่าเจ๊จะบวชก่อนเบียดเพราะถูกคุณป๋าจับใส่ตะกร้าล้างน้ำ เอ๊ย คลุมถุงชนสำเร็จแล้วซะอีก" แต่แจ็คก็ยังเล่นไม่เลิก แถมพูดจบก็หัวเราะร่า ไม่แคร์สายตาลุกวาวของแม่เสือสาวที่อยากจะขย้ำคอหมาเต็มแก่

   "อิบ้า! อิปากเสีย! ถ้าฉันจะต้องมีเมียนะ ฉันขอสาปแช่งให้แกมีผัว! ขอให้ถูกจับกดจนลุกจากเตียงไม่ขึ้นได้แต่ครางหงิงๆ เป็นไอ้ลูกหมาไม่กล้าเห่าเลยคอยดู!"

   "แค่ก! แค่ก! แค่ก!" เสียงหัวเราะร่วนพลันกลับกลายเป็นเสียงไอ เหมือนสำลักอะไรบางอย่าง

   "สำลักน้ำลายตัวเองเหรอไง สมน้ำหน้า!" พี่มินนี่กล่าวซ้ำเติม

   มันยังไอไม่หยุดแบบสำลักจริงจังจนหน้าแดง ผมจึงยื่นแก้วน้ำของตัวเองไปให้ แจ็คเหลือบมองมาแวบหนึ่งก่อนจะรับไปดื่มโดยไม่พูดอะไร

   "จะสายแล้ว ผมไปก่อนนะเจ๊" พอหยุดไอแจ็คก็พูดตัดบท น้อยครั้งที่มันจะเลิกต่อปากต่อคำทั้งๆ ที่ยังตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ

   "จะไปแรดที่ไหนอีกล่ะ" พี่มินนี่ถามแบบไม่ใส่ใจคำตอบมากนัก แต่เป็นคำถามที่ผมเองก็อยากรู้อยู่เหมือนกัน

   "เจ๊นี่รู้ใจจริงๆ ผมไปละนะ เดี๋ยวน้องเขาจะรอนาน" มันยักคิ้วหลิ่วตาพลางคว้ากระเป๋าเป้ลุกออกไป

   "กูไปด้วย" ผมลุกขึ้นพร้อมพูดโพล่งออกมา

   "แล้วมึงจะไปทำไม" มันย่นคิ้วอย่างแปลกใจ พี่มินนี่เองก็มองมาอย่างสงสัย

   "มึงจะไปจีบเด็กไม่ใช่เหรอ กูก็...ว่าจะไปจีบมั่ง เด็กมึงคงจะมีเพื่อนน่ารักๆ บ้างไม่ใช่เหรอไง"

   มันเบิกตากว้างอย่างตกใจ ในขณะที่พี่มินนี่จ้องมาตาแทบถลน อ้าปากค้างแบบไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน อาจจะช็อกสองต่อทั้งเรื่องที่ผมจะ 'จีบใคร' และมีแนวโน้มว่าผมอาจจะ 'จีบผู้ชาย'

   "มึงกินยาผิดหรือเปล่า ว่างๆ ไปเช็คสมองมั่งนะ" พูดจบมันก็หันหลังโกยแน่บ

   "มึงรอด้วยดิ กูไปด้วย" ผมจึงก้าวยาวๆ ตามคนที่เดินกึ่งวิ่งออกไป ปล่อยให้พี่มินนี่นั่งอึ้งอยู่คนเดียว

   ไม่รู้ว่าพี่มินนี่จะระแคะระคายบ้างหรือเปล่าว่าสิ่งที่เฝ้าสาปแช่งมันมานานสัมฤทธิ์ผล แต่ผมก็อยากให้พี่มินนี่แช่งมันอีกบ่อยๆ และถ้าเพิ่มออปชั่นเข้าไปด้วยก็จะดีมาก

   นอกจาก 'ขอให้มีผัวเป็นตัวเป็นตน'

   ขอเพิ่ม 'มีผัวคนเดียว' และ 'ไม่กล้าหาเมียอีก' จะดีมากที่สุด

   

   


ออฟไลน์ nevergoodbye

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
ติดตามนะคะ  :katai4:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ Himbeere20

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 ชอบบบบบ ติดตาม :katai2-1:

ออฟไลน์ ซีเนียร์

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 767
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +11/-0
ติดตามจ้า  :L2:

ออฟไลน์ @moment

  • แอทโมเม้นท์
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
    • https://www.facebook.com/at.moment.writer/
   

   ตอนที่ 8 ก้างชิ้นยักษ์

   

   "ขอแนะนำให้รู้จัก น้องโซระ น้องเอิร์ธ ส่วนนี่เพื่อนพี่เองครับชื่อถึ... เอ่อ ต้น หรือจะเรียกว่าตึกก็ได้เพราะเพื่อนๆ ก็เรียกกันอย่างนี้ทั้งนั้น คงไม่ต้องสงสัยนะครับว่าฉายานี้มีที่มายังไง" พูดจบมันก็หัวเราะระรื่นด้วยท่าทางแบบหนุ่มมีอารมณ์ขัน

   ทำเป็นวางมาดดี พูดจาไพเราะ แทนตัวเองด้วย 'พี่' ลงท้ายด้วย 'ครับ' โคตรน่าหมั่นไส้ มองหน้ามันตอนนี้แล้วพาลให้นึกถึงฟาร์มสุนัขที่แขวนป้ายหน้าประตูรั้วว่า 'ตอแหล'

   ผมอยากจะถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อย ไม่รู้อีท่าไหนถึงได้หลวมตัวมาอยู่ที่นี่ จริงอยู่ที่ว่าหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ ตอนที่ได้ยินมันบอกว่า 'มีนัดกับเด็ก' ด้วยความฉุนผมเลยเผลอโพล่งออกไปว่า 'งั้นกูไปด้วย'

   แต่ผมนึกไม่ถึงว่ามันจะเอาจริง

   มันตั้งท่าจะจีบเด็กจริงๆ และทำท่าเหมือนอยากให้ผมหาแฟนจริงๆ

   "น้องโซระอยากทานอะไรครับ ลองเลือกดูก่อนนะ" แจ็คยื่นเมนูให้เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ลูกครึ่งญี่ปุ่น ผิวขาวใส ดวงตากลมโต หน้าตาแบบที่ผู้ชายด้วยกันอย่างผมยังรู้สึกว่าน่ารัก นี่ถ้าไม่บอกว่าอยู่ม.ปลายผมคงนึกว่ามันริจะพรากผู้เยาว์

   "กินอะไรดีอ่ะเอิร์ธ" โซระหันไปถามเพื่อนที่นั่งอยู่ด้านข้าง อายุเท่ากันแต่ดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่า ท่าทางเหมือนเด็กคงแก่เรียน สวมแว่นสีดำกรอบหนา นั่งเงียบๆ ไม่ค่อยพูดจา แต่ถ้าถอดแว่นออกไปก็คงจัดว่าเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาดีทีเดียว และแววตาภายใต้กรอบแว่นก็ดูฉลาดเอาเรื่อง ไม่ได้เซื่องๆ เหมือนกับรูปลักษณ์ภายนอก

   "เอาฟิชแอนด์ชิปส์ดีกว่า เอิร์ธเอาเหมือนกันเนาะ" เมื่อเพื่อนพยักหน้ารับ โซระจึงสรุปเองเสร็จสรรพ ก่อนจะหันไปสั่งอาหารกับพนักงานที่ยืนรออยู่

   "ถ้างั้นผมขอสเต็กหมูพริกไทยดำ แล้วมึงล่ะเอาอะไร" แจ็คหันกลับมาถามผม

   "เอาเหมือนมึงละกัน" ผมขี้เกียจเลือกจึงตอบกลับไปสั้นๆ เมื่อทวนรายการอาหารเสร็จพนักงานจึงเดินกลับออกไป

   "น้องโซระกับน้องเอิร์ธไปตักสลัดกันก่อนก็ได้นะครับ เดี๋ยวพวกพี่นั่งเฝ้าโต๊ะให้" ดูมันพูดจาเป็นสุภาพบุรุษ ยิ้มหวานปานน้ำผึ้ง รอจนน้องๆ ลุกออกไปถึงเลิกปั้นหน้าและหันกลับมาหาผม

   "บอกไว้ก่อนนะว่าน้องโซระอ่ะของกู คนนี้กูจอง ส่วนน้องเนิร์ดนี่กูยกให้ แม่งเงียบกริบเหมือนมึงเลย แบบนี้คงจะส่งกระแสจิตคุยกันรู้เรื่อง" ลับหลังไม่ทันไรมันก็นินทาเพื่อนเขาซะเสียหาย แถมยังเปลี่ยนชื่อใหม่ให้เสร็จสรรพ

   แต่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสเปคของมันน่ะคนไหน แบบที่ตรงกันข้ามกับผมคนละขั้วโลก

   "มึงไม่คิดจะลองเปลี่ยนสเปคมั่งเหรอ" ผมลองถามพลางมองตาคนข้างๆ

   "ทำไม อย่าบอกนะว่ามึงสนใจน้องโซระ" แต่มันกลับนิ่วหน้าและตีความหมายไปคนละอย่าง

   "ไม่ใช่อย่างนั้น" ผมปฏิเสธ

   แจ็คหรี่ตามองมาอย่างจับผิด แต่เมื่อผมจ้องกลับไปนิ่งๆ สักพักมันก็กลับเป็นฝ่ายเบนหน้าหนีไปทางอื่น

   "ไม่ใช่ก็ดีแล้ว งั้นกูไปทำคะแนนดีกว่า ส่วนมึงอ่ะนั่งเฝ้าโต๊ะไปเลย" พูดจบร่างสูงก็ลุกขึ้นยืน ผมเห็นมันเดินเข้าไปหาโซระ ช่วยถือจาน ช่วยตักโน่นนี่ เดินหน้าจีบเต็มที่

   เมื่อเอิร์ธกลับมาที่โต๊ะ ผมจึงผลัดเวรลุกขึ้นไปตักสลัดบ้าง จนกระทั่งทุกคนเวียนกลับมานั่งพร้อมหน้ากันเรียบร้อย ตลอดการทานอาหารแจ็คก็ยังขยันชวนโซระคุย เอาอกเอาใจอย่างออกนอกหน้า ถึงแม้ผมจะยอมรับว่าน้องคนนี้น่ารักจริง ยิ้มแล้วโลกสดใส ช่างพูดช่างคุย นอกจากหน้าตาแล้วนิสัยก็ยังดูน่ารักน่าคบหาอีกด้วย

   แต่ถ้าจะตัดสินกันอย่างมีอคติ ผมคิดว่าน้องคนนี้ดีเกินไป ไม่เหมาะกับสุภาพบุรุษจอมปลอมอย่างมันหรอก

   ยิ่งมองภาพของคนข้างๆ ผมก็ยิ่งหงุดหงิด จนชักจะอยากขอยืมคำสาปแช่งของพี่มินนี่มาใช้ อยากรู้นักว่าคราวนี้ถ้าอกหักรักคุด มันจะยอมหอบหิ้วขวดกลมๆ มาที่ห้องของผมอีกหรือเปล่า

   "ทานขนมหรือผลไม้อะไรไหมครับ เดี๋ยวผมไปตักมาให้" โซระกล่าวขึ้นเมื่อของคาวเริ่มหมดไปจากโต๊ะ

   "ถ้างั้นเดี๋ยวพี่ไปช่วยถือ" ไม่ต้องรอให้ใครขอ มันก็รีบขันอาสาอย่างกับกลัวว่าจะถูกแย่งหน้าที่

   พอแจ็คกับโซระเดินออกไป บรรยากาศบนโต๊ะจึงกลับกลายเป็นความเงียบ เมื่อผมและเอิร์ธต่างก็นั่งนิ่ง ตลอดเวลากินข้าวพวกเราคุยกันแทบนับคำได้ แต่บรรยากาศกลับไม่ได้น่าอึดอัด เพียงแค่ต่างฝ่ายต่างทำตัวเป็นปรกติตามธรรมชาติ ถ้ามีเรื่องอยากพูดก็พูด ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องพูด ไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเอง

   "โซระคงอยากให้พวกเราดับเบิ้ลเดท แต่พี่คงไม่ได้คิดจะจีบผมจริงๆ หรอก ใช่ไหมครับ" เอิร์ธเป็นฝ่ายชวนคุยขึ้นมาก่อน โทนเสียงราบเรียบเหมือนประโยคบอกเล่ามากกว่าจะเป็นประโยคคำถาม ผมจึงเลิกคิ้วเล็กน้อยแทนคำตอบ

   "เพราะพี่ไม่มีทางชอบผม และผมก็ไม่มีทางชอบพี่ พูดกันตรงๆ เลยก็คือ ผมชอบโซระ" ประโยคถัดมายิ่งทำให้ผมเลิกคิ้วขึ้นสูง แม้สายตาที่มองตรงมาจะทำให้เริ่มเข้าใจความหมาย

   "แล้วนายมาบอกพี่ทำไม" ผมลองถามกลับไปอย่างหยั่งเชิง

   "เพราะผมคิดว่ารสนิยมของพี่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พวกเราเลยน่าจะร่วมมือกันได้"

   ไอ้เด็กนี่มันฉลาดเป็นกรด นอกจากจะอ่านใจผมออกยังหลอกด่าไปถึงศัตรูหัวใจอีกต่างหาก แต่ผมไม่มีข้อโต้แย้ง เพราะจนป่านนี้ก็ยังตอบตัวเองไม่ได้เลยว่าผมหลงผิดไปชอบไอ้แจ็คได้ยังไง

   "แล้วนายคิดจะทำยังไง" เมื่อผมไม่ปฏิเสธ เด็กหนุ่มตรงหน้าจึงยักยิ้มเล็กน้อย

   "ตอนนี้ก็ยอมดับเบิ้ลเดทไปก่อนครับ อย่างน้อยก็ดีกว่าปล่อยให้สองคนนั้นไปไหนมาไหนกันตามลำพัง"

   "นายคิดจะกันท่า?"

   "จะเรียกว่าก.ข.ค.ย่อมาจาก 'กว้างขวางคอ' ก็ได้ครับ ถือซะว่าเป็นแผนการขั้นแรก ส่วนขั้นต่อไปอาจปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์" เอิร์ธพูดพลางใช้ปลายนิ้วดันกรอบแว่นขึ้นเล็กน้อย แต่แล้วบทสนทนาก็ต้องหยุดชะงักลงเพียงเท่านั้น เมื่อคู่กรณีเดินกลับมาเสียก่อน

   "คุยอะไรกันอยู่ ท่าทางสนุกเชียว" โซระถามพลางวางจานผลไม้ลงบนโต๊ะ

   "ก็ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่เรื่องเมื่อกี้พี่ต้นตกลงนะครับ" เอิร์ธตอบพลางคลี่ยิ้มบางๆ ผมจึงพยักหน้ารับ

   "เรื่องอะไรเหรอ" โซระถามอีกครั้งอย่างสงสัย

   "เอ่อ ก็เรื่องสอบเข้าไง เราอยากขอคำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องคณะ มหาวิทยาลัย อะไรทำนองนั้น ถ้างั้นผมขอเบอร์พี่ต้นได้ไหมครับ" เอิร์ธเปลี่ยนเรื่องได้อย่างรวดเร็ว ผมจึงเออออไปตามบท

   "ได้สิ" ผมยื่นโทรศัพท์ออกไปเพื่อแลกเบอร์โทรศัพท์กับเอิร์ธ ในขณะที่แจ็คมองมาด้วยความอึ้งปนทึ่ง อาจจะไม่อยากเชื่อสายตา เพราะปรกติแล้วผมเป็นคนที่สนิทกับคนอื่นค่อนข้างยากมาก แต่ตอนนี้กลับถึงขั้นแลกเบอร์กับคนที่เพิ่งเคยเจอกันเป็นครั้งแรก

   ถือได้ว่าเป็นกรณีพิเศษ เพราะมีผลประโยชน์ร่วมกัน

   

   แผนของเอิร์ธเข้าท่า ทำให้ผมได้เจอหน้าแจ็คบ่อยเกือบเท่าเมื่อก่อน เพราะเวลามันจะไปไหนมาไหนกับโซระก็ต้องคอยพ่วงผมกับเอิร์ธไปด้วยเสมอ หรืออย่างตอนอยู่มหาลัยมันก็ไม่ได้พยายามหลบหน้า พูดจาทักทายตามปรกติ อาจจะเริ่มเบาใจที่เห็นว่าผมกำลังจะมีแฟนแล้วก็ได้

   ติดอยู่อย่างเดียวคือ ตั้งแต่คืนนั้น มันก็ไม่เคยมาที่ห้องของผมอีก

   "ถึก! เสาร์อาทิตย์หน้ามึงว่างไหม" ผมหันกลับไปตามเสียงเรียก เจอกับคนที่กำลังนึกถึงอยู่พอดี แต่สีหน้าของมันดูอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่

   "คือกูชวนน้องโซระไปเที่ยวเสม็ด แต่น้องบอกว่าขอไปชวนน้องเนิร์ดก่อน นั่นก็แปลว่ากูต้องมาชวนมึงด้วยเนี่ย" พูดจบมันก็กระแทกตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ผมเริ่มเข้าใจเหตุผลที่มันหน้าหงิก คงคิดอยากจะชวนโซระไปเที่ยวสองต่อสองสิท่า หรือว่ามันริจะใช้แผน 'เสม็ด เสร็จทุกราย'

   แต่อย่าได้คิดเลยว่าจะสมหวัง

   "เอิร์ธเพิ่งโทรมาชวน และกูก็ตอบตกลงไปแล้ว" ผมเอ่ยตอบด้วยเสียงราบเรียบตามปรกติ อันที่จริงผมอยากจะให้เอิร์ธปฏิเสธ เพราะถ้าไม่มีเพื่อนไปด้วยโซระก็จะได้ไม่ไป ไอ้แจ็คก็จะได้กินแห้ว แต่เอิร์ธกลับบอกว่า 'น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือขวาง' ผมเลยต้องพลอยตามน้ำไปด้วย

   "แลดูมึงจะสนิทสนมกับน้องเนิร์ดจังเลยนะ ตกลงคบกันแล้วเหรอไง" แจ็คเหล่มองมาด้วยสายตาหงุดหงิด ผมอยากคิดเข้าข้างตัวเองว่ามันหึง แต่ก็ต้องหยุดความคิดเมื่อได้ยินประโยคถัดมา

   "ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี มึงจะได้กันน้องเนิร์ดของมึงออกไปให้ห่างๆ น้องโซระของกูหน่อย แม่งไม่รู้ว่าเป็นเพื่อนหรือเป็นพ่อ ตามห่วงซะอย่างกับจงอางหวงไข่" มันบ่นอุบเป็นหมีกินผึ้ง แต่คนที่มันพูดถึงแน่นอนว่าไม่ใช่พ่อ และก็ไม่ได้อยากเป็นแค่เพื่อน

   ก็เหมือนกับคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ มีแต่มันที่ไม่เคยรับรู้

   "ไม่รู้ล่ะ ทริปเสม็ดคราวนี้จะต้องเสร็จ! กูจะทำให้น้องโซระยอมตกลงเป็นแฟนกูให้ได้!"

   

   "ทะเล~ นี่ผมไม่ได้มาเที่ยวทะเลนานมากแล้วนะครับ สวยมากเลย โชคดีที่วันนี้อากาศดีด้วย" โซระยิ้มกว้างอย่างสดใส ทันทีที่ก้าวลงจากรถเสียงคลื่นและกลิ่นไอทะเลก็พัดผ่านมาพร้อมสายลม วันนี้แจ็คเป็นคนขับรถมา พวกเราจึงต้องจอดรถทิ้งไว้ที่ท่าเรือ ก่อนจะขึ้นเรือนั่งต่อไปยังเกาะ

   "ต่อให้ทะเลสวยแค่ไหนก็สู้ 'ท้องฟ้า' ไม่ได้หรอกครับ" พอสบโอกาสมันก็หยอดคำหวานไปอีกหนึ่งหยด ชื่อของโซระเป็นภาษาญี่ปุ่นแปลว่า 'ท้องฟ้า' ผมแอบเห็นเอิร์ธกลอกตามองบนอย่างหมั่นไส้

   "ไปขึ้นเรือกันเถอะครับ เดี๋ยวสายแล้วแดดจะยิ่งแรงไปกว่านี้" เอิร์ธกล่าวตัดบทพลางหยิบกระเป๋าของตัวเองและของโซระไปถือ เมื่อถูกแย่งหน้าที่แจ็คจึงได้แต่คว้ากระเป๋าของตัวเองก่อนรีบเดินตามไปประกบเป้าหมาย ผมจึงหยิบกระเป๋าขึ้นพาดบ่าและเดินตามไปเป็นคนสุดท้าย

   ตลอดเวลาที่นั่งอยู่บนเรือแจ็คก็ยังคงคอยเอาอกเอาใจ 'น้องโซระร้อนไหมครับเดี๋ยวพี่พัดให้' 'แดดแรงอย่างนี้ทาครีมกันแดดดีกว่านะครับ' 'เมาเรือหรือเปล่าครับพี่มียา' บลาๆๆ น่าเบื่อที่สุด ผมเห็นเอิร์ธแค่นั่งเงียบกันไม่ให้สองคนนั้นมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง แต่ต่อให้อยู่ท่ามกลางสายตาสาธารณชน คนหน้าด้านก็ยังแจกน้ำตาลหวานเจี๊ยบไม่เกรงใจใคร น่าหมั่นไส้ที่สุด

   จนกระทั่งเดินทางถึงที่พัก ปัญหาใหม่คือพวกเราได้กุญแจมาสองดอก เป็นรีสอร์ทหลังเล็กที่ตั้งอยู่ใกล้กันสองหลังสำหรับนอนห้องละสองคน ยังดีที่เอิร์ธชิงรับกุญแจเอาไว้ ก่อนจะยื่นมาให้ผมหนึ่งดอก

   "พวกเราขอตัวไปเก็บกระเป๋าก่อนนะครับ เสร็จแล้วค่อยออกมาเจอกันอีกที" เอิร์ธพูดรวบรัดพร้อมเดินตรงไปยังห้องพัก ผมรู้ว่าแจ็คไม่พอใจแต่ก็ยังเก็บอาการไว้ เดินตามไปส่งโซระถึงหน้าห้อง พอลับหลังเท่านั้นมันก็ทำหน้าเซ็งจัดอย่างไม่ปิดบัง

   แต่เมื่อเดินต่อมาถึงห้องของพวกเราและเปิดประตูเข้าไป ผมเห็นแจ็คหยุดชะงัก เพราะภาพด้านหน้าคือ 'เตียงคู่' ที่มีขนาดใหญ่กว่าเตียงในห้องผมแค่ไม่ถึงคืบ

   ผมเดินนำเข้าไปวางกระเป๋าลงบนพื้นข้างเตียง แจ็คจึงเดินตามเข้ามา เมื่อไม่มีใครพูดอะไรบรรยากาศระหว่างพวกเราจึงกลายเป็นความเงียบ จะว่าไปแล้วตั้งแต่คืนนั้น... พวกเราก็ไม่เคยได้อยู่ด้วยกันตามลำพังในพื้นที่แคบๆ แบบนี้อีก

   การมาเที่ยวทะเลครั้งนี้ อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้

   "มึงไม่ต้องเอาของออกจากกระเป๋าหรอก" สักพักมันก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมา ผมเลิกคิ้วให้กับประโยคที่ไม่เข้าใจความหมาย

   "คืนนี้มึงเตรียมตัวแลกห้องไว้ได้เลย" มันพูดโดยไม่ได้หันกลับมามองผม ก่อนจะลุกเดินออกจากห้องไป

   ทันทีที่เข้าใจความหมายของประโยคนั้น คิ้วของผมจึงขมวดเข้าหากันแน่น

   แต่ผมคิดว่าเอิร์ธคงจะไม่ยอม และผมเองก็ไม่มีทางยอม

   

   

ออฟไลน์ JUST_M

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
สนุกๆ

รอตอนต่อไปเลยยย

ออฟไลน์ nevergoodbye

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
พี่ยักษ์คะ มาขนาดนี้ ต้องได้ค่ะ
อย่าปล่อยให้หลุดมือ  :ling1:

ออฟไลน์ @moment

  • แอทโมเม้นท์
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
    • https://www.facebook.com/at.moment.writer/

    ตอนที่ 9 ใครเสร็จใคร

   

   "โซระอยากไปเที่ยวที่ไหนก่อนดีครับ จะเดินเล่นรอบเกาะ ชมรูปปั้นพระอภัยมณี ดูเต่าทะเลที่ศูนย์วิจัยกรมประมง หรือว่าจะลองไปดำน้ำดูปะการัง หรือถ้าอยากลองเล่นอะไรที่ผาดโผนหน่อยก็มีทั้งเจ็ทสกี บานาน่าโบ๊ท และกีฬาทางน้ำอีกหลายอย่างเลยนะครับ"

   สุภาพบุรุษจอมปลอมยังคงรักษาฟอร์มเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวด้วยข้อมูลที่เตรียมมาพร้อม ทำท่ากางแผนที่เกาะ แต่จุดประสงค์แอบแฝงคือจงใจให้โซระโน้มตัวเข้ามาใกล้มากกว่า ยังดีที่เอิร์ธเองก็พกหนังสือท่องเที่ยวมาด้วยเลยชิงยื่นให้ตัดหน้า โซระยิ้มรับหนังสือจากมือเพื่อน ผมเลยได้เห็นคนที่ถูกสกัดดาวรุ่งแอบกัดฟันกรอดๆ

   "น่าสนใจทุกอย่างเลยครับ อ่ะ แต่... เอิร์ธว่ายน้ำไม่เป็นนี่นา" โซระเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ หันมองเพื่อนพลางพึมพำท้ายประโยคด้วยเสียงแผ่ว

   "มาทะเลแต่ว่ายน้ำไม่เป็นเนี่ยนะ" คนปากหมาหลุดเหน็บแนมด้วยความปากไว ก่อนจะรีบแถต่อไปอย่างรวดเร็ว

   "อ้อ แต่ไม่ต้องกลัวนะครับ เพื่อนของพี่คนนี้ว่ายน้ำเก่งมาก รับรองว่าดูแลปกป้องน้องเอิร์ธได้สบายหายห่วงแน่นอน" มันถือโอกาสผลักไสเอิร์ธมาให้ผมอย่างเนียน พอผมเลิกคิ้วและจ้องหน้าถามแทนคำพูด มันกลับเบนหน้าหนีหันไปยิ้มให้โซระ ไม่ยอมมองตอบผมด้วยซ้ำ

   "ตอนนี้แดดยังแรงอยู่เลย พวกเราเดินเล่นรอบๆ เกาะกันก่อนดีกว่าไหมครับ" โซระเอ่ยตัวเลือกที่ฟังดูเป็นกลางที่สุด

   "ได้สิครับ พี่ตามใจโซระทุกอย่างอยู่แล้ว" มันคลี่ยิ้มหวานปานน้ำเชื่อม ต่างจากน้ำผึ้งตรงที่ไม่เป็นธรรมชาติ เห็นแล้วน่าหมั่นไส้เป็นที่สุด

   ผมถอนหายใจพลางเบนหน้าไปมองทางอื่น บังเอิญสบตากับเอิร์ธที่ใช้ปลายนิ้วดันกรอบแว่นขึ้นพอดี ผมรู้ว่าแผนของพวกเราคือ 'ก้างขวางคอ' แต่ผมก็ไม่ถนัดกับการทำอะไรแบบนี้เลย ให้ตายสิ

   ผมจึงได้แต่เดินตามสองคนนั้นไปเรื่อยๆ ในขณะที่เอิร์ธเองก็ลดฝีเท้าลงมาเดินอยู่ด้านข้างผม คงเป็นเพราะวันนี้ทั้งวันจงใจขัดจังหวะอย่างออกนอกหน้ามากเกินไปหลายครั้ง จนน่ากลัวว่าจะถูกจับผิดได้ ตอนหลังเอิร์ธจึงเริ่มปล่อยบ้างเล็กน้อย จะขัดก็แค่เฉพาะจังหวะที่จำเป็นจริงๆ

   ทว่าไม่นานนักจังหวะนั้นก็เวียนมาถึงอีกครั้ง

   หลังจากที่พวกเราเดินเล่นมาไกล แวะพักกินข้าวและเดินย่อยอีกพักใหญ่ จนมาถึงชายหาดที่เป็นแหล่งบันเทิง มีกีฬาทางน้ำแบบปรกติและผาดโผนหลายอย่าง เสียงหัวเราะเฮฮาพร้อมเสียงกรี๊ดดังแว่วมาแต่ไกล ดูท่าทางโซระเองก็สนใจและอยากเล่นอยู่ไม่น้อย

   "ทางนั้นมีเจ็ทสกีให้เช่าด้วยนะครับ" กีฬามีสารพัด แต่มันกลับเลือกเสนออะไรที่แค่อ้าปากก็เห็นไปถึงไส้ติ่ง ตั้งใจจะให้ซ้อนท้ายแบบแนบชิดกันสองต่อสองละสิไม่ว่า

   "แต่ว่าเอิร์ธ..." โซระยังคงหันมองไปทางเพื่อนอย่างเป็นห่วง

   "ไม่ต้องห่วงหรอกครับ มีเสื้อชูชีพด้วย ปลอดภัยแน่นอน ให้เอิร์ธนั่งซ้อนไปกับถึกก็ได้" นั่นไงล่ะ เข้าทางมันเลย

   "นั่นสิโซระ ถ้ามีเสื้อชูชีพเราก็ไม่เป็นไรหรอก ไหนๆ ก็มาเที่ยวทะเลทั้งที ไปเล่นกันให้สนุกดีกว่านะ อ่ะ แต่เราอยากลองเล่นอันนั้นจัง" เอิร์ธพูดพลางชี้นิ้วไปอีกทาง

   "บานาน่าโบ๊ท? น่าสนุกนะ" โซระยิ้มกว้าง สนับสนุนความคิดเห็นของเพื่อน

   แน่นอนว่าไอ้คนคิดไม่ซื่อจึงจำต้องกินแห้ว ได้แต่ฉีกยิ้มแห้งตอบว่า "ตามใจโซระสิครับ"

   ผมแอบยกนิ้วโป้งให้เอิร์ธอยู่ในใจ นอกจากจะขัดขวางไม่ให้สองคนนั้นได้อยู่ใกล้ชิดกันตามลำพัง ยังจัดลำดับที่นั่งได้ยอดเยี่ยม โดยใช้เหตุผลว่า 'เรียงลำดับความสูง' ทำให้โซระนั่งอยู่ด้านหน้าสุด ตามด้วยเอิร์ธ แจ็ค และผมปิดรั้งท้าย

   ด้วยความที่ไม่อยากให้เสื้อเปียกพวกเราจึงตัดสินใจถอดเสื้อวางไว้พร้อมกับรองเท้า เอิร์ธเองก็ถอดแว่นวางไว้ด้วย ผมแอบเห็นไอ้แจ็คจ้องมองโซระที่เปลือยท่อนบนตาเป็นมัน ก่อนจะได้สมน้ำหน้าเพราะไม่นานนักภาพนั้นก็ถูกบดบังด้วยเสื้อชูชีพ แถมยังมีเอิร์ธมานั่งขวางหูขวางตาอยู่เต็มๆ

   เจ็ทสกีลากเรือทรงกล้วยออกไปด้วยความเร็วแรกเริ่มที่ไม่สูงมากนัก จนกระทั่งถึงกลางทะเลจึงเริ่มเร่งเครื่อง ตามด้วยการปาดซ้ายขวากระแทกเกลียวคลื่นอย่างหวาดเสียว เสียงเฮฮาดังลั่นพร้อมกับน้ำทะเลเค็มๆ ที่สาดกระเซ็นกระทบใบหน้า ทุกคนยังคงเกาะราวจับแน่นหนึบ ไม่มีใครร่วงตกลงไป แผ่นหลังของแจ็คเซล้มมากระทบกลางอกของผมหลายครั้ง ดูเหมือนมันจะพยายามขืนตัวออกห่างในตอนแรก แต่คงจะต้านแรงลมไม่ไหว ส่วนผมเองก็คงจะต้านหัวใจของตัวเองไม่ไหว ถึงได้ถือโอกาสเบียดตัวเข้าไปใกล้ ค่อยๆ ยืดแขนออกไปโอบรอบเอวของมันแทน

   "เหวออออออออออ!"

   จังหวะนั้นเองที่เรือกล้วยถูกเหวี่ยงหมุนกลับเกือบสามร้อยหกสิบองศา ผมได้ยินเสียงร้องดังจากด้านหน้าตามมาด้วยเสียงดัง ตูม! ร่างกายเสียศูนย์ร่วงลงกระแทกผืนน้ำอย่างแรง

   เสื้อชูชีพช่วยให้พยุงตัวขึ้นมาได้ไม่ยากนัก ร่างกายซีกหนึ่งจะยังคงเจ็บและจุกอยู่ไม่น้อย แถมยังเค็มปะแล่มด้วยน้ำทะเลที่สาดเข้าปากคำใหญ่ เมื่อลืมตาผมก็ได้เห็นภาพบานาน่าโบ๊ทว่างเปล่าลอยห่างออกไป แจ็คโผล่ขึ้นมาจากผืนน้ำใกล้กัน โซระกระเด็นออกไปอีกทิศ แต่สิ่งผิดปรกติที่ฉายเข้าสู่สายตาของผมคือร่างหนึ่งที่กำลังตะกุยตะกายตีน้ำเป็นวงกว้าง แทนที่จะปล่อยให้เสื้อชูชีพช่วยพยุง การดิ้นรนกลับกลายเป็นการกดน้ำหนักให้เจียนจะจมลงไปอยู่หลายครั้ง

   "เอิร์ธ!?" ทันทีที่ตั้งสติได้ผมจึงรีบว่ายน้ำเข้าไปหาร่างนั้น

   "ชะ ช่วยด้วย! ขะ ขาผม" ยิ่งร้องก็ยิ่งพาลให้สำลักน้ำ เมื่อไม่มีทางเลือกผมจึงใช้ท่อนแขนล็อกรอบคออีกฝ่ายจากด้านหลัง เพราะถ้าหากถูกคนที่กำลังดิ้นดึงรั้งให้จมลงไปพร้อมกันจะยิ่งแล้วใหญ่

   "ใจเย็นๆ เกาะแขนพี่ไว้ พวกเราใส่เสื้อชูชีพอยู่ ไม่เป็นไร" ผมร้องปลอบร่างในอ้อมแขนให้เริ่มสงบลง ก่อนจะค่อยๆ พาว่ายกลับไปยังบานาน่าโบ๊ทที่วนกลับมารอรับ

   "เอิร์ธ!? ไม่เป็นไรนะ" โซระที่รีบว่ายกลับเข้ามาร้องถามเพื่อนอย่างเป็นห่วง

   "สงสัยขาจะเป็นตะคริว" ผมตอบคำถามแทนคนที่สำลักน้ำจนจมูกแดง ตาแดง น้ำตาคลอเบ้า

   "พี่ครับ ช่วยขับกลับฝั่งเลยครับ" แจ็คเป็นคนร้องบอกคนขับ ผมช่วยพยุงเอิร์ธกลับขึ้นไปนั่งบนเรืออย่างทุลักทุเล ไม่มีใครทันใส่ใจกับตำแหน่งที่นั่งที่สลับกับตอนขามา

   แม้กระทั่งตอนกลับถึงฝั่ง เอิร์ธก็ยังลุกเดินไม่ไหวแทบจะร่วงลงไปกองกลางทะเล ผมจึงตัดสินใจช้อนร่างนั้นขึ้นอุ้มเดินพาไปนั่งบนชายหาด

   "โอ้ย!" เอิร์ธร้องลั่น เมื่อผมจับขาข้างที่เป็นตะคริวให้เหยียดตรงและดันฝ่าเท้าเข้าไปหาลำตัว

   "ทนแป้บเดียว จะได้หาย" ผมบอกสั้นๆ เงยขึ้นมองดวงตาแดงก่ำที่มองตอบกลับมา

   "ไม่เป็นไรนะเอิร์ธ" โซระเองก็คอยลูบหลังลูบบ่าเพื่อนอย่างปลอบใจ หลังเห็นว่าเอิร์ธเริ่มมีสีหน้าดีขึ้นจึงกล่าวต่อ

   "เดี๋ยวผมไปหยิบเสื้อกับรองเท้ามาให้นะครับ" พอผมพยักหน้ารับพร้อมกล่าวขอบใจ โซระจึงลุกเดินไปยังทิศที่พวกเราฝากของเอาไว้ ตอนแรกผมนึกว่าแจ็คจะอาสาตามไปด้วย แต่มันกลับนั่งเก้ๆ กังๆ เหมือนกับไม่รู้จะทำอะไรที่ดีกว่านั้น

   "มีอะไรให้กูช่วยไหม" มันถามระหว่างที่ผมยังคงช่วยนวดขาให้เอิร์ธอยู่

   "มึงไปช่วยโซระถือของเถอะ" ผมตอบไปตามเหตุผล เพราะจะให้คนๆ เดียวที่มีแค่สองมือถือข้าวของพร้อมรองเท้าสี่คู่มายังไงไหว แจ็คกลับเหลือบมองหน้าผมแวบหนึ่ง ก่อนจะก้มลงมองพื้นทรายหรือไม่ก็มือของผมที่อยู่บนขาของเอิร์ธ จากนั้นจึงยันตัวลุกขึ้นหันหลังออกเดินตามโซระไป

   "ผมไม่เป็นไรแล้ว ขอบคุณพี่ต้นมากนะครับ" เอิร์ธกล่าวพึมพำ ดูท่าทางจะหมดฤทธิ์ไปเยอะ

   "นายนี่ก็นะ ว่ายน้ำไม่เป็นก็ไม่เห็นจะต้องฝืนขนาดนี้" ผมพูดตามความเป็นจริง ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าที่เอิร์ธทำลงไปทั้งหมดเพราะอะไร และผมเองก็เป็นคนที่พลอยเห็นดีเห็นงามด้วย ตอนนี้จึงได้แต่ช่วยพยุงร่างบางให้ลุกขึ้นยืน พลางช่วยปัดคราบทรายที่เลอะเทอะอยู่ทั่วตัวออก

   ทำยังไงได้ ก็ผมกับเอิร์ธมันหัวอกเดียวกัน รักเขาข้างเดียวเหมือนกัน

   

   ด้วยสภาพร่างกายของคนในกลุ่มที่ไม่เอื้ออำนวย พวกเราจึงต้องหยุดพักการเที่ยวเล่นลงแต่เพียงเท่านั้น คราบทรายและน้ำทะเลเริ่มแห้งเกรอะเหนียวไปทั้งตัว พอเดินกลับไปถึงหน้ารีสอร์ทผมจึงบอกให้แจ็คกลับห้องไปอาบน้ำก่อน เพราะผมยังต้องช่วยพยุงเอิร์ธไปส่งที่ห้องพัก

   "กูก็จะเดินไปส่งโซระเหมือนกัน" เห็นเงียบมาตลอดทาง นึกว่ามันจะยอมสงบปากสงบคำ แต่จนแล้วจนรอดก็ดูเหมือนมันจะยังไม่เลิกพยายามทำคะแนนอยู่ดี

   "ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ใช่คนเจ็บซะหน่อยส่งแค่นี้ก็พอแล้ว พี่แจ็คไปอาบน้ำเถอะครับ" โดนเป้าหมายปฏิเสธเข้าไปมันถึงกับยิ้มไม่ออก ยอมก้มหน้ารับคำโดยดี มันเหลือบมองผมแวบหนึ่งก่อนจะหันหลังเดินแยกกลับห้องไป

   หลังจากส่งเอิร์ธและโซระเสร็จผมจึงเดินกลับห้องบ้าง ระหว่างที่กำลังก้มเปิดกระเป๋าเพื่อเตรียมเสื้อผ้าออกมาต่อคิวอาบน้ำ ร่างหนึ่งก็เดินออกมาจากห้องน้ำพอดี แจ็คชะงักไปชั่วครู่ คงไม่นึกว่าผมจะกลับมาแล้วถึงได้เดินออกมาในสภาพนั้น

   ร่างสูงโปร่งมีแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันรอบเอว หยดน้ำยังเกาะพราวอยู่ทั่วตัว อันที่จริงผมควรจะเห็นภาพนั้นจนชินตา เพราะเวลาที่มันมาสิงห้องของผมก็ทำตัวตามสบายอย่างกับเป็นบ้านของตัวเอง บางครั้งเวลาอากาศร้อนๆ ใส่แค่กางเกงขาสั้นตัวเดียวนอนก็บ่อยไป

   แต่ไม่ใช่ตอนที่ผมรู้สึกกับมันแบบนี้

   ผมอาจจะเผลอมองภาพตรงหน้านานเกินไป มันถึงได้ดึงผ้าขนหนูผืนเล็กที่พาดอยู่บนหัวอยู่ลงมาเช็ดตัว ก่อนจะสวมเสื้อยืดทับทั้งๆ ที่เนื้อตัวยังไม่ทันแห้งดีด้วยซ้ำ เมื่อดึงสติและสายตาของตัวเองกลับมาได้ ผมจึงลุกเดินสวนเข้าห้องน้ำไปบ้าง ตอนนี้ผมต้องการอาบน้ำ ต้องการให้น้ำเย็นๆ ช่วยลดความร้อนของร่างกาย

   ผมปล่อยให้สายน้ำสาดลงมานานกว่าสิบนาที กลับออกมาอีกทีก็ไม่เห็นใครอยู่ในห้องแล้ว หลังแต่งตัวเสร็จผมจึงเดินออกไปข้างนอก มองหารอบบริเวณก็ไม่เจอ จนกระทั่งสายตาสะดุดเข้ากับใครบางคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ม้าหิน หันหน้าออกหาชายหาด

   "ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้คนเดียวล่ะเอิร์ธ" ผมเอ่ยทักพลางเดินเข้าไปนั่งลงด้านข้าง ร่างนั้นหันกลับมาตามเสียงเรียกพร้อมกับหรี่ตาลงเล็กน้อย ผมจึงสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างขาดหายไปจากบนใบหน้า

   "พี่ต้น? ขอโทษครับผมมองไม่ค่อยเห็น คือผมทำแว่นหาย ไม่แน่ใจว่าลืมไว้ตรงที่เล่นบานาน่าโบ๊ทหรือเปล่า ตอนนี้โซระเลยเดินกลับไปหาให้อยู่ครับ... เพื่อนพี่ก็ไปด้วย" เสียงของเอิร์ธเผยความไม่ค่อยพอใจนักในตอนท้าย แต่คงจะทำอะไรไม่ได้ ไม่รู้จะซวยซ้ำซวยซ้อนอะไรหนักหนา ขาก็เจ็บ ตาก็ยังมองอะไรไม่ชัดอีก

   "แล้วขาเป็นยังไงบ้าง หายเจ็บหรือยัง" ผมถามเปลี่ยนเรื่อง

   "ยังชาอยู่นิดหน่อยแต่ก็ดีขึ้นมากแล้วครับ ขอบคุณนะครับ" เอิร์ธพูดพลางยิ้มตอบ

   ภาพตรงหน้าทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ คงเพราะปรกติพวกเราค่อนข้างคล้ายกันตรงที่เป็นเสือยิ้มยาก เงียบๆ ไม่ค่อยพูดมาก เอิร์ธจึงมักจะดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัว แต่ตอนนี้ใบหน้าใสที่ไม่มีแว่นสีดำกรอบหนาบดบัง กลับแลดูอ่อนเยาว์สมวัย เส้นผมที่เพิ่งสระเสร็จใหม่ๆ แห้งด้วยสายลมตามธรรมชาติ อาจจะดูยุ่งๆ ไม่ค่อยเป็นทรง แต่ผมว่าดูน่ารักมากกว่าตอนที่เอิร์ธหวีผมเรียบๆ ตามปรกติเสียอีก

   จะว่าไปเอิร์ธก็จัดเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาดี โซระเองก็ดูเป็นห่วงเป็นใยเอิร์ธอยู่ไม่น้อย บางครั้งผมก็คิดว่าแทนที่จะมาคอยกันท่าอยู่แบบนี้ ทำไมเอิร์ธถึงไม่ลองเดินหน้าจีบโซระเองซะเลย

   "นายเคยคิดจะสารภาพความในใจกับโซระบ้างไหม" ผมลองถามขึ้นเรียบๆ เอิร์ธนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยตอบกลับมา

   "แล้วพี่ล่ะครับ" คำตอบสั้นๆ ราวกับลูกศรที่ย้อนกลับมาแทงเข้ากลางอกของผมเต็มๆ

   ผมถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจ... ถ้าถามตัวเองก็คงได้คำตอบเดียวกัน

   ไม่กล้า เพราะรู้ว่าเขาไม่เคยเห็นเราอยู่ในสายตา

   กลัวว่าถ้าบอกออกไปแล้วจะไม่เหลือแม้แต่คำว่า 'เพื่อน'

   ผมจึงเอื้อมมือออกไปขยี้หัวร่างด้านข้างกึ่งหมั่นเขี้ยว โทษฐานที่กล้ายอกย้อนผู้ใหญ่ ถึงแม้รู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ชอบให้ใครเล่นหัว เพราะผมเองก็ไม่ชอบ แต่ไม่รู้สิ ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกเอ็นดูเอิร์ธเหมือนน้องชาย เหตุการณ์วันนี้อาจทำให้พวกเราสนิทใจกันมากขึ้น เอิร์ธจึงแค่เพียงส่ายหน้าหลบ ไม่ได้โต้ตอบไปมากกว่านั้น

   "เอิร์ธ! ขอโทษนะรอนานไหม เราลืมหยิบแว่นมาจริงๆ ด้วย มันหล่นไปอยู่บนพื้นตรงที่ฝากของ โชคดีนะที่ไม่หายไปไหน" โซระเดินเข้ามาทางพวกเราก่อนยื่นแว่นคืนให้เจ้าของ

   "ขอบใจนะโซระ" เอิร์ธรับแว่นมาเช็ดเลนส์ก่อนสวมกลับประจำตำแหน่ง ภาพตรงหน้าจึงกลับมาเป็นหนุ่มแว่นที่คุ้นตา

   "เอิร์ธเดินไหวไหม เมื่อกี้ตอนเดินกลับมาเราเห็นร้านอาหารน่าอร่อยหลายร้านเลย เราไปหาอะไรทานกันนะครับ" โซระพูดกับเพื่อนก่อนจะหันมาถามความเห็นของทุกคน นี่ก็ได้เวลาอาหารเย็นพอดี ผมจึงพยักหน้ารับ

   ส่วนร่างสูงที่เดินกลับมาพร้อมโซระ นึกว่าจะทำหน้าระรื่นเพราะเพิ่งได้ใช้เวลาใกล้ชิดกับเป้าหมายสองต่อสอง แต่มันกลับทำหน้าบูดบึ้งราวกับไม่พอใจอะไรบางอย่าง หรือว่าจะหงุดหงิดที่ต้องกลับมาเจอไม้กันหมาอีก

   

   พวกเราเดินออกมาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง มาถึงเกาะทั้งทีก็ต้องกินอาหารทะเล บรรยากาศริมชายหาด เสียงคลื่นแทรกมาพร้อมกับเสียงดนตรี ทุกอย่างเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะเดิม แจ็คก็ยังคอยเอาอกเอาใจโซระชนิดบริการทุกระดับประทับใจเหมือนเดิม ส่วนเอิร์ธก็ยังคงกันท่าเป็นบางเวลา ในขณะที่ผมได้แต่คอยเฝ้ามองสถานการณ์จากรอบนอก

   เหตุการณ์ทุกอย่างดูจะเป็นปรกติดี ถ้าไอ้ตัวดีจะไม่เริ่มออกลาย

   "โซระอยากดื่มอะไรไหมครับ มีทั้งน้ำผลไม้ พั้นซ์ และก็ค็อกเทลแปลกๆ หลายอย่างเลย" แจ็คหยิบเมนูเครื่องดื่มขึ้นมา เนื่องจากร้านแถวนี้เป็นร้านอาหารกึ่งผับเสียส่วนใหญ่ไม่เว้นแม้แต่ร้านนี้ รายการเครื่องดื่มจึงมีให้เลือกมากมายหลายหน้ากระดาษ

   ผมขมวดคิ้วให้กับประโยคที่ได้ยิน ต่อให้พวกเราอยู่ในชุดลำลองและคงไม่มีใครคิดจะมาตรวจอายุกันตอนนี้ แต่ฟังดูก็รู้ว่าคนพูดมีเจตนาอะไรแอบแฝง

   "มีมะนาวปั่นด้วยนะโซระ นายชอบไม่ใช่เหรอ" โชคดีที่เอิร์ธหัวไว ทำหน้าที่ของตัวเองทันที

   "แก้วสีฟ้าๆ ที่พนักงานถือผ่านไปเมื่อกี้คืออะไรครับ สีสวยจัง" โชคร้ายที่ดูเหมือนว่าคราวนี้ เด็กดีริอยากจะลองออกนอกกรอบ

   "สีฟ้าเหรอครับ ถ้างั้นลองบลูกามิกาเซ่ไหม เดี๋ยวพี่สั่งให้นะ" พูดจบแจ็คก็รีบกวักมือเรียกพนักงานอย่างรวดเร็วราวกับกลัวถูกใครขัดจังหวะ แถมยังเล่นของแรงซะด้วย เลือกค็อกเทลที่มีส่วนผสมของว็อดก้ากับเตกิล่า กลบด้วยรสชาติหวานอมเปรี้ยวแบบน้ำผลไม้ ถ้าคอไม่แข็งมีหวังได้เมาเอาง่ายๆ แบบไม่ทันรู้ตัวเลยทีเดียว

   "เดี๋ยวก็เมาหรอกโซระ" เอิร์ธกล่าวด้วยเสียงดุ

   "ลองจิบนิดเดียวเองเอิร์ธ นะๆ" โซระยิ้มแหยก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นการยิ้มประจบ เมื่อทำอะไรไม่ได้เอิร์ธจึงหันมามองผมด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ ผมเองก็คิดหนักไม่แพ้กัน

   "ถ้างั้นก็ลองจิบเฉยๆ ที่เหลือเดี๋ยวพี่ดื่มต่อเองก็แล้วกัน" ผมเอ่ยหนทางที่ดีที่สุดเท่าที่พอจะนึกออกในตอนนั้น

   ไม่รู้ว่าคำพูดของผมไปจุดประกายความคิดอะไรเข้าให้ ตอนแรกเอิร์ธทำท่าเหมือนจะสั่งน้ำผลไม้แต่แล้วก็กลับเปลี่ยนเป็นสั่งค็อกเทลเบาๆ แถมยังรบเร้าให้ผมสั่งเครื่องดื่มของตัวเองอีกหนึ่งแก้ว กลายเป็นว่าทุกคนสั่งเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์กันคนละแก้ว พอจิบไปได้สักพักเอิร์ธก็พูดสิ่งที่ผมคาดไม่ถึงอีกครั้ง

   "ลองดื่มอย่างอื่นดูไหมโซระ อันที่ผสมน้ำสัปปะรดด้วยก็น่าอร่อยดีนะ" เอิรธ์พูดขึ้นมาทั้งๆ ที่แก้วเดิมเพิ่งจิบไปได้แค่ไม่กี่ครั้ง ยังพร่องไปไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน

   "แต่เรายังดื่มไม่หมดเลยนะ" โซระทำหน้างง ไม่ต่างจากความรู้สึกของผมถึงแม้จะไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า

   "พี่ต้นช่วยดื่มต่อได้ไหมครับ" เอิร์ธพูดพลางเลื่อนแก้วของตัวเองมาทางผมก่อนจะกล่าวต่อ

   "แต่ถ้าให้พี่ต้นดื่มคนเดียวหมดก็คงจะเมาแย่เลย พี่แจ็คช่วยโซระดื่มต่อได้ไหมครับ หวังว่าพี่คงจะไม่รังเกียจ"

   ประโยคมัดมือชกทำเอาคนที่ถูกพาดพิงถึงขั้นเหวอ แต่เมื่อผมรับแก้วจากเอิรธ์มาดื่มโดยไม่พูดอะไร แจ็คก็เลยต้องปั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถ "ได้สิครับ พี่ยินดีอยู่แล้ว"

   จากนั้นก็ไม่รู้ว่าใครเป็นฝ่ายมอมเหล้าใครกันแน่ หรือกลายเป็นการดวลเหล้ากันไปแล้วก็ไม่รู้ เพราะยิ่งเอิร์ธเล่นสนุกชวนโซระสั่งค็อกเทลมาลองอีกหลายแก้ว ผมก็ได้แต่รับมาดื่มอย่างต่อเนื่อง ทำให้แจ็คเหล่มองและกระดกแก้วในปริมาณเดียวกันอย่างไม่ยอมแพ้

   แต่ผมคิดว่าเอิร์ธฉลาดกว่า ในขณะที่สั่งเครื่องดื่มให้ผมแบบเบาๆ แต่กลับสั่งให้แจ็คแบบจัดหนักจัดเต็ม ผมแอบชูนิ้วโป้งสองมือให้เอิรธ์อยู่ในใจกับการพลิกวิกฤตเป็นโอกาสครั้งนี้

   "พอแล้วล่ะเอิร์ธ เราว่าเราชักจะมึนๆ แล้ว" ขนาดคนที่แค่จิบยังมึน ไม่ต้องเดาเลยว่าคนที่ดื่มอย่างกับอาบจะเมาหนักขนาดไหน

   "ถ้างั้นโซระดื่มน้ำเปล่าแก้วนี้ให้หมดก่อน แล้วเรากลับกันเถอะนะครับ" ท้ายประโยคเอิร์ธหันมาพูดกับผม ส่วนคนที่เคยปากเก่งตอนนี้เมาจนนอนฟุบอยู่กับโต๊ะ

   สุดท้ายมื้อนั้นผมเลยต้องรับหน้าที่ควักกระเป๋าตังค์จ่าย ถึงแม้ตัวเลขหลายหลักอาจทำให้ต้องจนกรอบไปทั้งเดือน แต่ผมว่ามันก็คุ้ม อย่างน้อยผมก็ได้แบกร่างที่เดินโซซัดโซเซจนแทบจะพากันกลิ้งลงทะเลหลายครั้งกลับห้อง ไม่ต้องย้ายที่นอนอย่างที่คนปากดีหรือดีแต่ปากเคยประกาศเอาไว้

   
-------------

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม และขอบคุณสำหรับคอมเม้นด้วยนะคะ

>> nevergoodbye : พี่ยักษ์คะ มาขนาดนี้ ต้องได้ค่ะ อย่าปล่อยให้หลุดมือ

คันปากอยากสปอยแต่ต้องเก็บไว้ อ่านไปอีกสักพักแล้วความคิดท่านจะเปลี่ยนไป 555  :laugh:


ออฟไลน์ Himbeere20

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
 สมนํ้าหน้าอิแจ็ค :hao7:โดนเด็กมอมเหล้าเองซะ
ขอให้นกตลอดทริปนะ

ออฟไลน์ @moment

  • แอทโมเม้นท์
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
    • https://www.facebook.com/at.moment.writer/

   ตอนที่ 10 หมาหวงก้าง

   

   "ตัวหนักเป็นบ้า" ผมหอบหายใจพลางปล่อยร่างของคนเมาแอ๋ให้ล้มนอนลงบนเตียง

   ตัวมันก็ไม่ใช่เล็กๆ ถึงจะได้อุ้มแบบส่งตัวเจ้าสาวไหว ถ้าให้อุ้มพาดบ่าแบบกระสอบข้าวสารก็คงพอได้ แต่กลัวจะทำให้ของเก่าขย้อนออกมาตามแรงโน้มถ่วงของโลกเสียก่อน สุดท้ายผมเลยจำต้องหิ้วปีกมันเดินทุลักทุเลมาไกลเกือบกิโล จากร้านอาหารจนถึงห้องพัก

   โซระเองก็ดูมึนๆ อยู่ไม่น้อย ถึงจะมีสติพูดจารู้เรื่องแต่ก็เดินไม่ค่อยจะตรงทาง จนเอิร์ธต้องคอยดึงมือไว้ไม่ให้ร่างเล็กสะดุดล้มลงไปนอนกลางทะเล เห็นแล้วก็น่าเป็นห่วง แต่ตอนนี้ผมเป็นห่วงคนตรงหน้ามากกว่า

   "นอนดีๆ" ผมส่ายหน้าเมื่อเห็นมันนอนแผ่ขวางอยู่กลางเตียง

   "ฮื่อ" เสียงคนเมาคำรามในลำคออย่างไม่พอใจ แต่พอปรือตาขึ้นมาเห็นหน้าผม ไม่รู้ว่าด้วยความเคยชินหรือจิตใต้สำนึกหรืออะไร มันถึงได้กระเถิบพาตัวเองไปนอนในทิศประจำ คือตีนอยู่ที่หัวเตียง หัวอยู่ที่ปลายเตียง

   เออ เอาเข้าไป

   ผมได้แต่กุมขมับ มันนอนถูกทิศ แต่เห็นแล้วขัดใจ ผมอยากจะลืมตาขึ้นมาเห็นหน้ามันเหมือนเช้าวันนั้น มากกว่าจะต้องเห็นตีนมันเหมือนเมื่อก่อน

   "ไอ้แจ็ค ลุก" ผมพยายามดึงแขนมันขึ้นมาอีกครั้ง แต่กลับมีเพียงเสียงฮึ่มฮั่มขัดใจตอบกลับมา และครั้งนี้มันก็นอนนิ่งไม่ยอมขยับเขยื้อน สุดท้ายผมจึงจำต้องล้มเลิกความตั้งใจ

   เอาวะ ในเมื่อมันไม่ยอมเปลี่ยนทิศ ผมนอนทิศเดียวกับมันเองก็ได้

   ผมถอนหายใจพลางทิ้งตัวลงนอนบ้าง ด้วยความเหนื่อยล้าที่แบกร่างหนักเดินมาไกล และตัวเองก็มึนไม่ใช่เล่น ถึงดีกรีเหล้าจะเบากว่า แต่ผมก็ดื่มไปในปริมาณที่ไม่ได้น้อยกว่ากันเลย ถือเสียว่าคนเมาทำอะไรก็ไม่ผิด ผมจึงถือโอกาสพลิกตัวไปด้านข้าง ดึงร่างของคนที่นอนไม่ได้สติเข้ามากอดในอ้อมแขน

   ทั้งๆ ที่ตัวผมและแจ็คก็เหม็นกลิ่นเหล้าคละคลุ้งเหมือนกัน แถมด้วยกลิ่นเหงื่ออีกต่างหาก แต่ผมกลับอยากซุกปลายจมูกลงบนบ่ากว้าง สูดดมจนได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของโคโลญที่มันชอบใช้

   "ร้อน! อึดอัด!" คนเมาเริ่มดิ้น ขยับพลิกตัวกลับมา ทำให้ใบหน้าของพวกเราอยู่ห่างกันแค่คืบ

   แต่เมื่อปรือตาขึ้นมาเห็นว่าใครอยู่ตรงหน้า มันกลับเอาฝ่ามือยันกลางหน้าผากของผมอย่างแรง จนผมเกือบจะหงายหลัง

   "แม่ง เหม็นหน้าว่ะ! ไปไกลๆ จะไปไหนก็ไป" เสียงอู้อี้ฟังแทบไม่รู้เรื่อง แต่พอจับศัพท์ได้ว่า 'ไล่'

   "อะไรของมึงวะ" ผมย้อนถามกลับอย่างหงุดหงิดที่ถูกยันกระเด็น คนเมาไม่ตอบแต่กลับยันตัวลุกขึ้นนั่งอย่างโงนเงน ผมจึงลุกตามบ้าง

   "เมื่อไหร่มึงจะมีแฟน"

   "ห๊ะ?" อยู่ดีๆ มันก็พูดโพล่งขึ้นมาจนผมตามอารมณ์ไม่ทัน

   "น้องเนิร์ดก็น่ารักดี ดูมีใจให้มึงด้วย กูว่ามึงรีบๆ เป็นแฟนกันไปเลยเหอะ"

   มึงเป็นบ้าอะไร!? ฟังแล้วผมก็ชักจะเริ่มโมโห ใจคอมันจะไล่ให้ผมมีแฟนให้ได้เลยเหรอไง!?

   "เหมาะกันจะตาย เงียบเป็นท่อนไม้กับเงียบเป็นเป่าสาก แค่มองตาก็รู้ใจ~ แม่ง ไปสวีทกันไกลๆ เลยไป เกะกะลูกตา เหม็นขี้หน้าว่ะ"

   นี่ผมเมาจนฟังไม่รู้เรื่อง หรือว่ามันเมาจนพูดไม่รู้เรื่องกันแน่ จะเชียร์หรือจะด่า จะปากหมาหรือจะอิจฉาตามประสาคนอยากมีแฟน หรือว่ามันจะ...

   "...หึง?"

   "หึงบ้านพ่อ-งดิ!"

   มันยื่นมือมายันหน้าผากของผมอีกครั้ง แต่ใครจะโง่ยอมเป็นเป้านิ่งซ้ำสอง พอพลาดเป้าหมายเลยกลายเป็นว่ามันเซล้มลงมาปะทะหน้าอกของผมเต็มๆ หรือจะเรียกว่าซบลงกลางอ้อมกอดเลยก็ได้

   "เหี้ยนี่! ปล่อยดิ๊!" เรื่องอะไรจะปล่อยให้มันยิ่งออกฤทธิ์ ผมถือโอกาสกระชับอ้อมแขนแน่นเข้า

   "ไอ้ถึก! ไอ้ยักษ์หื่น! กับเพื่อนมึงก็ยังหื่น! ไอ้เพื่อนเฮงซวย ไอ้ห่วยแตก เกิดมากูยังไม่เคยเสียท่าใคร แล้วดูมึงใช้กูเป็นหนูทดลอง!? เออ! กูดันแส่หาเรื่องเอง! เพราะงั้นมึงรีบมีแฟนแล้วก็ไปหื่นกับแฟนมึงเลยไป! ไอ้เก็บกด! ตายอดตายอยาก อยากนักก็ไปหาน้องเนิร์ดของมึงโน่นเลยไป!" ยิ่งด่าก็ยิ่งดิ้น แล้วแรงมันก็ไม่ใช่น้อยๆ ทุบกำปั้นลงมากลางหลังจนผมแทบจุก

   "อุ๊บ!"

   ผมอยากจะปิดปากช่างด่าด้วยปาก แต่ยังไม่ทันได้ทำ มันก็ยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเอง

   "เหี้ย เอาอีกแล้วจริงดิ!?"

   อุทานยังไม่ทันจบก็ต้องเบนหน้าหนีแทบไม่ทัน เพราะว่ามันอ้วก... เออ อ้วกใส่ผมอีกแล้ว เต็มๆ เลย

   ผมควรจะสงสารตัวเองที่ไม่รู้ว่าหลงรักมันเข้าไปได้ยังไง ไม่รู้ว่าต้องถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ สรุปแล้วก็เป็นผมที่ต้องจัดการเก็บกวาดเสื้อผ้าของตัวเอง ของมัน และก็ผ้าห่มของโรงแรมด้วย ยังดีที่ไม่ได้เปื้อนลงไปถึงฟูก กว่าจะเรียบร้อยผมก็ทิ้งตัวลงนอนอย่างหมดแรงข้างคนที่หลับไม่รู้เรื่อง

   สุดท้ายแล้วคืนนั้นพวกเราเลยจำต้องนอนแบบไม่มีผ้าห่ม เพราะฉะนั้นก็ใช้เนื้อห่มเนื้อนี่แหละ อุ่นดี ตื่นขึ้นมาอย่าโวยวายก็แล้วกัน ถือเป็นความผิดของมัน ไม่ใช่ความผิดของผมด้วย

   แต่ก่อนที่จะหลับลงตามคนในอ้อมแขน คำถามเดิมก็ย้อนกลับขึ้นมาในความคิด

   มัน... หึง...?

   

   เช้าวันรุ่งขึ้นผมเป็นฝ่ายตื่นขึ้นมาก่อน ภาพแรกที่ผ่านเข้าสู่สายตาคือใบหน้าของคนในอ้อมแขน ตอนนอนหลับนิ่งๆ แบบนี้มันก็น่ารักดี ทั้งๆ ที่หน้าตาไม่ใช่แนวน่ารักเลยสักนิด ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมผมถึงได้ตาฝ้าฟางมองเข้าไปได้ว่ามันน่ารัก และยิ่งมองก็ยิ่งอยากมองแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ

   ผ่านไปสักพัก ร่างในอ้อมแขนก็เริ่มขยับเคลื่อนไหว แวบหนึ่งผมอยากรู้ว่ามันจะมีปฏิกิริยายังไง จะจำเหตุการณ์เมื่อคืนหรือสิ่งที่พูดออกมาได้หรือเปล่า ผมจึงตัดสินใจหลับตาลงและแกล้งหลับต่อ

   ผ่านไปอีกหลายวินาที ร่างในอ้อมแขนยังคงนอนนิ่ง จนผมนึกว่ามันอาจจะยังไม่ตื่น ทว่าเสี้ยวนาทีถัดมาร่างนั้นกลับลุกพรวดพราดขึ้นนั่ง อาจจะเมาค้างจนสมองสั่งการช้ากว่าปรกติ หรือไม่ก็กำลังช็อคกับภาพตรงหน้า แต่ผิดคาดตรงที่มันไม่ได้โวยวายหรือว่าหันมาถีบผมตกเตียง

   แต่สิ่งที่มันทำ คือการ... เผ่นแนบ

   ผมลืมตาขึ้นมาทันเห็นแค่แผ่นหลังเปลือยเปล่าโกยอ้าวเข้าห้องน้ำไป

   ปฏิกิริยาของแจ็คทำเอาผมอึ้งไปเหมือนกัน หลังจากนั้นมันก็หายเข้าห้องน้ำไปนานจนผมตัดสินใจลุกขึ้นไปเคาะประตู ได้ยินเสียงฝักบัวเปิดอยู่ แต่ไม่มีเสียงตอบรับ จนกระทั่งเคาะเรียกครั้งที่สองจึงมีเสียงของคนด้านในตะโกนกลับมา

   "กูขี้อยู่!"

   "..."

   ขี้บ้านมันสิต้องเปิดน้ำทิ้งไว้ด้วย ผมถอนหายใจพลางเดินกลับมานั่งที่เตียง รอจนกระทั่งมันยอมโผล่หัวออกมาจากห้องน้ำ แต่ประโยคแรกที่มันพูดหลังจากยอมเหลือบมองหน้าผมแค่แวบเดียวก็คือ "กูหิวแล้ว ไปหาไรกินก่อนนะ" ก่อนเผ่นออกจากห้องไปโดยไม่รอให้ผมได้พูดอะไรเลยด้วยซ้ำ

   มันอาจจะรู้ตัวแล้วว่าเมื่อคืนพวกเราไม่ได้มีอะไรกัน เพราะเสื้อผ้าของผมกับมันก็ยังแขวนผึ่งลมอยู่ และที่สำคัญสภาพร่างกายก็ไม่ได้มีอะไรบุบสลาย หรือต่อให้เกิดอะไรขึ้นจริง มันก็อาจจะแกล้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ได้

   นี่ผมควรจะทำยังไงกับมันดี

   ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป พนันได้เลยว่ามันต้องเดินหน้าจีบโซระและพยายามยัดเยียดเอิร์ธมาให้ผมอีกแน่ๆ

   "..."

   เอาอย่างนั้นก็ได้ ถ้ามันต้องการแบบนั้น

   

   "อะไรนะครับ แผนสอง" ดวงตาใต้กรอบแว่นสีดำเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจ

   "อืม แผนสอง แกล้งเป็นแฟนกัน" ผมชี้นิ้วที่ตัวเองและร่างด้านหน้าแทนคำว่า 'พวกเรา' พร้อมทวนคำพูดเดิมอีกครั้ง ครั้งนี้เอิร์ธจึงนิ่งเงียบไปเหมือนกำลังใช้ความคิด

   "แต่ถ้าเอิร์ธลำบากใจก็ไม่เป็นไรนะ จะทำตามแผนเดิมก็ได้" ผมพูดต่อเพราะสังเกตเห็นถึงท่าทางที่แปลกไปของเอิร์ธและโซระตั้งแต่เช้า ทั้งอ้ำๆ อึ้งๆ เดินห่างกันผิดปรกติ ไม่ตัวติดกันตลอดเวลาเหมือนเมื่อก่อน พอผมถาม เอิร์ธก็ตอบแค่ว่า

   "ไม่มีอะไรครับ แค่...อุบัติเหตุนิดหน่อย"

   แต่อาการหน้าแดงและการเผลอยกมือขึ้นมาแตะริมฝีปากอย่างลืมตัวอยู่บ่อยครั้ง บอกผมว่าเมื่อคืนต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ นี่อาจจะไม่ใช่จังหวะที่ดีสำหรับเอิร์ธ ถ้าผมอยากจะเริ่มแผนใหม่

   "โอเคครับ ว่าไงว่าตามกัน" แต่เอิร์ธกลับตอบตกลง "ขนาดพี่ต้นยังยอมทำตามแผนของผมเลย และถ้าได้ผล เพื่อนพี่ก็จะได้เลิกยุ่งกับโซระซะทีด้วย" เอิร์ธตอบพลางใช้นิ้วดันกรอบแว่นขึ้นด้วยท่าทางที่ติดเป็นนิสัย

   ผมอดแปลกใจไม่ได้เหมือนกันที่เอิร์ธไม่ถามด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ๆ ผมถึงได้นึกอยากใช้แผนนี้ บางทีผมก็อดนึกถึงคำพูดของแจ็คไม่ได้ 'แค่มองตาก็รู้ใจ' น่าเสียดายที่นั่นไม่ใช่ใจของคนที่เราอยากรู้ เอิร์ธเองก็อาจจะคิดเหมือนกัน เพราะยิ่งเป็นคนสำคัญก็ยิ่งไม่แน่ใจ ไม่กล้าคิด กลัวว่าสิ่งที่คิดจะไม่เป็นอย่างที่หวัง

   แต่เมื่อเลือกที่จะเดินหน้าแล้วก็ต้องไม่ถอยหลัง

   

   "มาครับเดี๋ยวพี่ช่วยถือ"

   เหตุการณ์วันนี้ก็เป็นอย่างที่ผมคาดคิดไม่ผิดเพี้ยน ไอ้แจ็คยังดันทุรังเดินหน้าจีบโซระเหมือนเคย คอยดูแลเทคแคร์ตั้งแต่ตอนเช็คเอ้าท์ แวะกินอาหารเช้า นั่งเรือกลับขึ้นฝั่ง ตลอดจนแวะซื้อของฝากมันก็ยังเดินอ้อมหน้าอ้อมหลังคอยช่วยถือของ

   ผมข่มความหงุดหงิดในใจ ก่อนจะเริ่มดำเนินการตามแผนสอง

   "มาพี่ช่วยถือ" ผมกล่าวสั้นๆ เอิร์ธเองก็ให้ความร่วมมือด้วยการยื่นของในมือมาให้ พวกเราจึงเดินทิ้งห่างจากสองคนด้านหน้าเล็กน้อย ทำทีเป็นช่วยกันเลือกซื้อของฝาก

   เวลาผ่านไปสถานการณ์ก็ยิ่งเหมือนดับเบิ้ลเดทจริงๆ มากขึ้นไปทุกที

   ตอนหลังไอ้แจ็คชักจะลามปาม ตีเนียนอ้อมมือไปโอบบ่าร่างเล็ก ผมเห็นเอิร์ธมองตามตาขวางจนน่ากลัวว่าจะเสียแผน จึงคว้าหมวกใบหนึ่งในร้านมาทำทีเป็นลองสวมให้

   "น่ารักดี" ผมพูดตามบท แต่ส่วนหนึ่งในใจก็รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ หมวกแก๊ปยีนส์สีดำปักเหลื่อม ดูแปลกตาต่างจากชุดเรียบร้อยจนออกเชยที่เอิร์ธชอบใส่ ทำให้นึกถึงภาพใบหน้าใสตอนที่ไม่ได้สวมแว่น ปล่อยให้เส้นผมปลิวไปตามสายลม ตอนขยับหมวกให้เข้าที่ผมจึงถือโอกาสปัดเส้นผมที่เรียบแปล้ให้ปรกลงมาเล็กน้อย

   ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนที่พวกเรายังไม่สนิทใจกัน เอิร์ธอาจจะไม่พอใจกับการกระทำแบบนี้ แต่ตอนนี้กลับแค่ยืนเฉยๆ ปล่อยให้ผมเล่นตามบทไปตามใจชอบ และพึมพำขอบคุณเมื่อผมบอกว่าจะซื้อให้

   เอิร์ธทำท่าจะหาซื้ออะไรคืนเป็นการตอบแทน แต่ผมห้ามไว้ทัน สุดท้ายพวกเราจึงพบกันครึ่งทางด้วยการเลี้ยงน้ำหนึ่งแก้ว

   ระหว่างแวะนั่งพักดื่มน้ำที่ร้านข้างทาง ผมมองไปก็ยังเห็นแจ็คเดินตามติดเป้าหมายตลอด โซระหันมองกลับมาทางพวกเราบ้างเป็นระยะ ต่างจากไอ้ตัวดีที่แทบจะไม่สนใจมองมาทางนี้เลยสักนิด

   ผมชักจะไม่มั่นใจเลยว่าแผนนี้จะได้ผล

   

   พวกเรายังคงดำเนินการตามแผนเดิม หลังกลับจากเสม็ดผมก็ยังคงนัดเจอกับเอิร์ธอีกหลายครั้ง ทำทีว่าไปเดทกันสองต่อสอง แต่แท้จริงแล้วคือไปช่วยเลือกซื้อหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย ช่วยแนะนำโรงเรียนกวดวิชา หรืออะไรทำนองนั้น

   และอีกหนึ่งวาระสำคัญก็คือ 'การติดตามความคืบหน้า'

   ทางฝั่งผมยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างดูจะวนกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกรอบ คือแจ็คกลับมาทำตัวเกือบเป็นปรกติ ไม่ได้พยายามหลบหน้า เวลาเจอกันก็ยังพูดมากปากหมาเหมือนเคย แต่แน่นอนว่าไม่เคยไปหาผมที่ห้องอีก

   ส่วนทางฝั่งเอิร์ธ ผมคิดว่าสถานการณ์ดูไม่ค่อยดีนัก สังเกตจากสีหน้าอึดอัดตอนเล่าถึงเหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้น

   "โซระถาม..."

   "ผมเลยตอบไปว่า... พวกเราเป็นแฟนกันแล้ว..."

   ผมได้แต่นั่งนิ่ง ไม่กล้าถามต่อว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น เพราะท่าทางของเอิร์ธที่เงียบลงไป ไม่ได้เปิดปากเล่าต่อ แต่ถึงอย่างนั้นเอิร์ธก็ไม่ได้เอ่ยขอให้ล้มเลิกแผนการทั้งหมด

   นับวันผมยิ่งไม่แน่ใจกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือคิดผิด นอกจากจะสร้างปัญหาให้เอิร์ธ แจ็คก็ยังคงไม่มีท่าทีอะไร จนผมเริ่มกลัว... หรือว่าทั้งหมดคือการคิดเข้าข้างตัวเอง

   มันไม่เคยหึง

   ไม่เคยคิดอะไรกับผมเลยสักนิด

   

   ฟางเส้นสุดท้าย จะกระตุกให้ขาดหรือจะปล่อย จะไปต่อหรือว่าจะหยุด ผมยังคงมืดแปดด้าน ได้แต่สานสิ่งที่ตัวเองเริ่มต้นต่อไปอย่างไม่รู้ทิศทาง

   "ตึก!" ระหว่างเดินผ่านโรงอาหารผมก็ได้ยินเสียงเรียก หันกลับไปจึงได้เจอกับพี่มินนี่ ก่อนจะต้องสะดุดเล็กน้อยเมื่อเห็นอีกร่างที่นั่งอยู่ด้วยกัน

   "เออ ปาท่องโก๋ครบคู่สักที หมู่นี้ไม่ค่อยเห็นหน้า คนนึงมาอีกคนนึงไป สวนกันอย่างกับเดินสวนสนาม" พี่มินนี่บ่นไปเรื่อย ส่วนแจ็คเหลือบมองผมแค่แวบเดียวก่อนจะหันกลับไปคุยกับพี่รหัสของตัวเองต่อ

   "ตกลงเสาร์นี้เจ๊ว่างนะ น้องมันนัดเลี้ยงสายมาหลายทีแล้ว ไม่ครบองค์ประชุมซักที"

   "แล้วใครล่ะยะที่ไม่เคยว่างตรงกับคนอื่น เอาแต่แรดตะแล๊ดแต๊ดแต๋ไปทั่ว"

   "แหมทุกทีเจ๊ก็เห็นผัวดีกว่าน้องเหมือนกันแหละ ถึงตาผมจีบว่าที่น้องสะใภ้ให้เจ๊อยู่ เจ๊ก็อย่าเพิ่งบ่นเลยน่า เดี๋ยวตีนกาขึ้นก่อนวัยนะ"

   "ก่อนที่ตีนกาจะขึ้นหน้าฉัน หน้าแกจะต้องมีรอยตีนขึ้นก่อนแน่!" สองพี่น้องสายรหัสยังคงลับฝีปากกันอย่างเมามัน ผมจึงหาจังหวะกล่าวแทรกสั้นๆ

   "ผมไปก่อนนะครับพี่ พอดีมีธุระ" ผมกล่าวพลางลุกขึ้นยืน ทั้งๆ ที่เพิ่งนั่งลงได้ไม่กี่นาที เพราะว่าวันนี้มีนัดกับเอิร์ธ

   "อ้าวจะไปไหนล่ะตึก ยังไม่ทันได้คุยกันเลย"

   "อย่าไปรั้งมันเลยเจ๊ สงสัยจะมีนัดกับแฟน พวกเห็นแฟนดีกว่าพี่ดีกว่าเพื่อนก็งี้แหละ" แจ็คกล่าวด้วยน้ำเสียงยียวนตามปรกติ แต่เนื้อหาแดกดัน ไม่อยากจะด่ากลับว่า มันนั่นแหละที่ทำตัวแบบนั้นมาตลอด

   "แฟน...?" พี่มินนี่หันขวับกลับมามองผม

   "ตึกมีแฟน!?" ก่อนจะอุทานเสียงดังด้วยสีหน้าตกใจราวกับเห็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก

   "จริงสิ!? เมื่อไหร่!? ที่ไหน!? ยังไง!? ใคร!? เจ๊รู้จักไหม!? เหลามาให้แหลม!" น้ำเสียงตื่นเต้นรัวคำถามเป็นชุด

   "...ผมไปก่อนนะครับ จะสายแล้ว" ผมจึงกล่าวตัดบท

   แต่การไม่ปฏิเสธ ก็เท่ากับการยอมรับ

   พี่มินนี่จึงร้องกรี๊ดกร๊าดพร้อมทวนคำอีกหลายครั้งว่า "ตึกมีแฟน!?"

   "โอ๊ย เจ๊ดีใจอ่ะ! อยากเห็นหน้าน้องสะใภ้ เจ๊มั่นใจว่าจะต้องน่ารัก รักยั่งยืน ไม่สามวันดีสี่วันแห้วเหมือนไอ้หมาหัวเน่าบางตัวแถวนี้" พี่มินนี่ยังคงแอบจิกกัดคนข้างๆ

   คนถูกพาดพิงกัดฟันกรอดๆ ด้วยท่าทางไม่พอใจ แต่น่าแปลกที่มันไม่ได้ตอบโต้

   "กูไปด้วย!" อยู่ดีๆ มันกลับพูดโพล่งพร้อมลุกพรวดขึ้นมา ทำเอาทั้งผมและพี่มินนี่งงไปพร้อมๆ กัน

   "ก็... มึงจะไปหาเอิร์ธไม่ใช่เหรอ กูก็ว่าจะไปหาโซระอยู่พอดี ทางเดียวกัน ไปพร้อมกันเลยก็ได้" มันกล่าวต่อ ฟังดูดีมีเหตุผล แม้ลึกๆ ในใจผมอยากให้นั่นเป็นเพียงข้ออ้าง

   "ถ้างั้นก็คงจะคนละทาง เพราะว่าวันนี้กูจะไปหาเอิร์ธที่บ้าน" ผมตอบไปตามความจริง เพราะวันนี้มีนัดติวหนังสือกันที่บ้านของเอิร์ธ

   แต่คนฟังจะคิดอะไรไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ พี่มินนี่ยกสองมือขึ้นมาปิดปากด้วยดวงตาแวววับเป็นประกาย ส่วนแจ็คยืนนิ่งอ้าปากค้าง

   "โอ๊ยตาย หรือนี่เจ๊จะได้น้องสะใภ้ทางพฤตินัย ไม่อยากจะเชื่อ เห็นนางเงียบๆ ฟาดเรียบนะคะ~" พี่มินนี่แซวเป็นเพลงพลางหัวเราะคิกคัก ผมได้แต่ส่ายหน้าอย่างไม่จริงจังมากนัก ก่อนจะลุกเดินออกมาเพราะใกล้จะสายแล้วจริงๆ

   ตอนนั้นผมยังไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฟางเส้นสุดท้าย


----------

>> Himbeere20 : สมนํ้าหน้าอิแจ็ค โดนเด็กมอมเหล้าเองซะ ขอให้นกตลอดทริปนะ
   
จะว่าไปมันก็นกตลอดนะคะ 5555 กินแห้วตลอด โดนเทตลอด แต่ไม่เคยหลาบจำ  :laugh:


----------
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer
----------
   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 11-03-2018 21:52:53 โดย @moment »

ออฟไลน์ cavalli

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 5358
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +195/-19

ออฟไลน์ JUST_M

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 495
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ nevergoodbye

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
แจ็คจะมีปฏิกิริยายังไงนะ

ออฟไลน์ @moment

  • แอทโมเม้นท์
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
    • https://www.facebook.com/at.moment.writer/
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer/
----------


   ตอนที่ 11 ผิดแผน

   

   [โซระ]

   

   "หมู่นี้เอิร์ธกับพี่ต้นดูสนิทกันมากเลยนะ" ผมลองเลียบเคียงถามสิ่งที่คาใจมานานหลายวัน ตั้งแต่กลับจากเสม็ด เอิร์ธก็ไปไหนมาไหนกับรุ่นพี่รูปร่างสูงใหญ่คนนั้นบ่อยครั้ง ผมยอมรับว่าพวกเขาสองคนมีหลายอย่างที่คล้ายกัน เป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูด แต่ก็มักใส่ใจคนรอบข้างอยู่เสมอ

   "ก็...อืม" เอิร์ธตอบคำถามสั้นๆ

   "คบกันแล้วใช่ไหม~ บอกมาซะดีๆ" ผมจึงเอ่ยแซวต่อพร้อมอมยิ้มอย่างรู้ทัน แม้ว่าความรู้สึกหวาดหวั่นในใจจะไม่ค่อยสัมพันธ์กับสีหน้า

   "เอ่อ ก็...อืม..." คำตอบเดิม ไม่ใช่การปฏิเสธ แต่เป็นการยอมรับ

   'จริงสิ!? ดีใจด้วยนะ!' ผมควรพูดแบบนั้น ควรแสดงความยินดี ควรดีใจกับความสุขของเพื่อน เพราะผมเป็นคนสนับสนุนให้พวกเขาได้รู้จักกันด้วยซ้ำ

   แต่ทำไมตอนนี้... ผมถึงกลับยิ้มไม่ออก

   

   ตอนเด็กๆ ผมมักจะถูกจับใส่กระโปรงและแต่งตัวแบบเด็กผู้หญิง อาจเป็นเพราะแม่ของผมเคยอยากมีลูกสาวมาก หรืออาจเพราะใครๆ ต่างก็บอกว่าผมน่ารักเหมือนตุ๊กตา ผิวขาว ตาโต แก้มยุ้ย ปากแดง จนกระทั่งย่างเข้าสู่วัยเรียน ผมถึงได้เรียนรู้ว่า แท้จริงแล้วตัวเองเป็นผู้ชาย

   ถึงแม้ตอนนี้ผมจะสวมกางเกงและแต่งตัวแบบเด็กผู้ชายทั่วไป แต่ความเคยชินบางอย่างในวัยเด็กก็อาจจะติดกลายเป็นนิสัย ทำให้ผมชอบอะไรๆ ที่น่ารัก อย่างพวกริบบิ้น ดอกไม้ ลูกหมาลูกแมวตัวเล็กๆ สมัยม.ต้น ผมเคยคบกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เธอตัวเล็กกว่าผม หน้าตาน่ารัก อยู่ด้วยแล้วอารมณ์ดี มีความสุข

   แต่ยิ่งคบกันนานเข้า ผมกลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่...

   ผมชอบเธอเพราะว่าเธอน่ารัก แต่ผมไม่ได้รักเธอแบบที่ผู้ชายรักผู้หญิง ไม่เคยใจเต้นแรง ไม่เคยอยากกอด อยากจูบ หรืออยากลองทำอะไรมากกว่านั้น เธอเองก็อาจจะรู้สึกได้ถึงความห่างเหิน ไม่นานนักพวกเราจึงเลิกรากันไป

   จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมเริ่มสงสัยว่าตัวเองอาจจะชอบผู้ชาย

   วันแรกที่ได้พบกับเขา ราวกับผมเห็นดวงดาวอยู่เต็มท้องฟ้า

   ไม่ได้เพ้อไปเองนะ ผมเห็นจริงๆ เพราะลูกบาสลูกหนึ่งลอยพ้นขอบสนามออกมากระแทกกับศีรษะของผมเข้าอย่างจัง เหมือนฉากในการ์ตูนตาหวานไม่มีผิด พอลืมตาขึ้นมาผมก็ได้เห็นภาพเบลอๆ ที่ค่อยๆ แจ่มชัด เป็นภาพของผู้ชายคนหนึ่งพร้อมด้วยดวงดาวระยิบระยับอยู่ด้านหลัง

   เขาขอโทษขอโพยยกใหญ่ ก่อนจะช่วยพยุงพาผมไปที่ห้องพยาบาล ถึงจะเจ็บตัวแต่ผมกลับไม่โกรธเขาเลยสักนิด กลับกัน ผมรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นแรงแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมคิดว่านั่นคือรักแรกพบ

   หลังจากนั้นทุกครั้งที่เดินผ่านสนามบาส สายตาของผมก็มักจะมองหาเขาอยู่เสมอ หรือต่อให้ไม่มีเหตุจำเป็นต้องเดินผ่านไปแถวนั้น ผมก็ยังพยายามเดินอ้อมรอบโลกเพื่อให้ได้ไปแอบมองอยู่ห่างๆ เขาเป็นรุ่นพี่อายุมากกว่าผมหนึ่งปี ตัวสูงกว่าผมไม่มาก แต่กลับกระโดดได้สูง แถมยังวิ่งได้เร็วกว่าใคร ผมปลื้มเขามากถึงขั้นแอบพบรูปถ่ายของเขาเอาไว้ในกระเป๋าสตางค์

   และแล้ววันหนึ่งก็เป็นเรื่อง เมื่อผมทำกระเป๋าสตางค์หล่นหาย

   คนที่เก็บได้เป็นเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดน่าจะชื่อ เอิร์ธ ผมเคยเห็นเขา แต่พวกเราไม่เคยคุยกัน เพราะเอิร์ธเป็นคนเงียบๆ มักจะนั่งหลบมุมอ่านหนังสืออยู่คนเดียว ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แต่ที่ผมจำได้ก็เพราะว่าเขาเรียนดีติดอันดับต้นๆ ของชั้น

   เขายื่นกระเป๋าสตางค์คืนให้ผมพร้อมด้วยคำพูดสั้นๆ ว่า 'เห็นมันหล่นอยู่'

   ผมไม่กล้าถามว่าเขาได้เปิดดูข้างในหรือเปล่า เห็นอะไรไหม แต่ต่อให้ไม่ถาม ผมก็รู้คำตอบ เพราะถ้าไม่ได้เปิดดูจะรู้ได้ยังไงว่านี่เป็นกระเป๋าของใคร ตอนนั้นผมกลัวมาก เขาจะต้องรู้ความลับของผมแล้วแน่ๆ เขาจะเอาเรื่องนี้ไปบอกคนอื่นหรือเปล่า เรื่องที่ผมชอบใคร... เรื่องที่ผมชอบผู้ชาย

   เอิร์ธเป็นคนเงียบๆ ผมได้แต่หวังว่าเขาจะไม่บอกใคร แต่ก็ยังไม่กล้าวางใจ หลังจากนั้นผมจึงคอยตามติดเอิร์ธเพื่อเฝ้าสังเกตการณ์ หรือจะเรียกว่าพยายามตีสนิทก็ได้

   "เรานั่งด้วยได้ไหม" อย่างเวลาที่เอิร์ธนั่งกินข้าวคนเดียว ผมก็ลองเข้าไปขอนั่งด้วย

   "อ่านอะไรอยู่เหรอ" หรือเวลาที่เห็นเขานั่งอ่านหนังสือ ผมก็ลองเข้าไปชวนคุย

   ผมคิดว่าเอิร์ธน่าจะรำคาญ แต่ก็ไม่เห็นเขาจะว่าอะไร เพียงแค่พยักหน้ารับ หรือไม่ก็ตอบคำถามสั้นๆ แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นการถามคำตอบคำ แต่เอิร์ธก็ไม่เคยไล่หรือแสดงท่าทางไม่พอใจเลยสักครั้ง

   พักหลังผมเลยหอบหนังสือการ์ตูนไปนั่งอ่านกับเขาด้วย ผมหมายถึง เอิร์ธก็นั่งอ่านหนังสือมีสาระของเขาไป ส่วนผมก็นั่งอ่านการ์ตูนไร้สาระของผมไป ดูเหมือนจะน่าเบื่อ แต่น่าแปลกที่ผมกลับรู้สึกชอบบรรยากาศแบบนี้

   เงียบๆ แต่ไม่เหงา

   เหตุการณ์ดำเนินไปแบบนั้นหลายวัน จนผมเกือบลืมไปแล้วว่าเหตุผลที่เข้ามาตีสนิทกับเอิร์ธคืออะไร ถ้าเขาไม่เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน

   "นายไม่ต้องมานั่งเฝ้าเราทุกวันแบบนี้ก็ได้นะ เราไม่บอกใครหรอก" แวบแรกผมได้แต่กะพริบตาปริบๆ งงว่าเอิร์ธกำลังพูดถึงเรื่องอะไร จนกระทั่งเริ่มนึกขึ้นได้

   "ถ้านายยังไม่เชื่อ เราจะบอกอะไรให้ก็ได้" เขาอาจจะแปลความหมายจากสีหน้าและความเงียบของผมผิดเพี้ยนไป ถึงได้กล่าวต่อเรียบๆ

   "เราก็เป็นเหมือนกับนาย"

   ประโยคถัดมายิ่งทำให้ผมงงหนักกว่าเดิม เอิร์ธจึงขยายความต่ออีกนิด

   "ทีนี้เราต่างคนต่างก็กุมความลับของอีกฝ่ายเอาไว้ นายก็ไม่ต้องกลัวแล้วว่าเราจะไปเล่าให้ใครฟัง" พูดจบเอิร์ธก็ปิดหนังสือของตัวเอง และลุกขึ้นเดินออกไป

   ผมควรจะโล่งใจกับสิ่งที่ได้ยิน ทว่าตอนนั้นผมกลับรู้สึกกลัวมากกว่า กลัวว่าเอิร์ธจะไม่ยอมให้ผมมานั่งอยู่ด้วยกันแบบนี้อีก

   "เดี๋ยวสิเอิร์ธ! เราอยากเป็นเพื่อนกับนายจริงๆ นะ!" ผมรีบลุกขึ้นและตะโกนเรียกเขาไว้

   เอิร์ธไม่ได้ตอบอะไร แต่หันกลับมายิ้มให้ผม

   เป็นครั้งแรกที่ผมเคยเห็นเอิร์ธยิ้ม

   ผมอาจจะพรวดพราดลุกขึ้นเร็วเกินไป บวกกับการนอนน้อยเพราะเมื่อคืนมัวแต่เล่นเกมจนดึก นาทีนั้นผมถึงได้รู้สึกวูบๆ เหมือนหัวใจเต้นผิดจังหวะ

   

   ความรักครั้งแรกของผมจบลงเมื่อรุ่นพี่คนนั้นย้ายไปเรียนต่อม.ปลายที่อื่น แต่มิตรภาพระหว่างผมกับเอิร์ธยังคงดำเนินต่อเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ และยิ่งสนิทกันมากขึ้น จนกลายมาเป็นเพื่อนซี้

   บางครั้งผมก็อดคิดไม่ได้ว่า มิตรภาพยั่งยืนกว่าความรัก

   เพราะหลังจากนั้นผมก็ยังเคยแอบปลื้มใครอีกหลายคน ทว่าความสัมพันธ์ก็ไม่เคยพัฒนาไปไหน ก็แน่ล่ะ เพราะผมไม่รู้ว่าอีกฝ่ายชอบผู้ชายเหมือนกันหรือเปล่า และการได้เฝ้ามองอยู่ห่างๆ แบบนี้ผมก็มีความสุขดีอยู่แล้ว

   เอิร์ธกลับชอบหาว่าผมเป็นพวกโลกสวย เพ้อฝันถึงความรักแบบในนิยาย ประเภทรักแรกพบเมื่อสบตา เอาแต่เฝ้ารอเจ้าชายขี่ม้าขาวเข้ามาบอกรัก ถึงได้อกหักรักคุดอยู่อย่างนี้... เชอะ! เอิร์ธก็พูดได้สิ ก็วันๆ เห็นสนใจแต่ตำรา ไม่เคยจะสนใจมองใคร ผมว่าที่เอิร์ธพูดแบบนั้นเพราะยังไม่เคยรักใครมากกว่า

   แต่คำพูดของเอิร์ธก็ทำให้ผมย้อนกลับมาคิด หรือผมควรจะหันกลับมามองโลกของความจริงอย่างที่เอิร์ธว่า ประจวบกับตอนนั้นมีรุ่นพี่คนหนึ่งเข้ามาชวนคุย ยอมรับว่าผมอาจจะโลกสวย แต่ก็ไม่ได้ซื่อบื้อถึงขั้นไม่รู้ว่าเขาน่าจะเข้ามา...จีบ

   พี่แจ็คเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย อายุมากกว่าพวกเราหลายปี รู้จักกันผ่านเพื่อนของเพื่อนอีกที เป็นคนหน้าตาดี คุยเก่ง มีอารมณ์ขัน ถึงผมจะไม่ได้ปิ๊งเขาแบบรักแรกพบ หรือรู้สึกอะไรเป็นพิเศษ แต่ก็อย่างที่เอิร์ธว่า ผมควรจะเลิกรอเจ้าชายในฝันที่ไม่มีตัวตนอยู่จริงได้แล้ว

   อีกอย่าง พี่แจ็คแนะนำให้พวกเรารู้จักกับพี่ต้นด้วย อาจถือเป็นโอกาสดีที่เพื่อนของผมจะได้ลองมีความรักกับเขาบ้างสักที

   ผมรู้สึกสนุกเวลาที่พวกเราได้ไปไหนมาไหนด้วยกันสี่คน อย่างตอนที่พี่แจ็คมาชวนไปเที่ยวเสม็ด ตอนแรกผมก็ยังลังเล แต่พอรู้ว่าเอิร์ธจะไปด้วย ผมก็คิดว่านั่นต้องเป็นทริปที่สนุกมากแน่ๆ

   ทั้งๆ ที่เคยคิดแบบนั้น... แต่ตอนนี้ผมชักจะไม่แน่ใจ...

   

   "รอนานไหมครับโซระ" เสียงของพี่แจ็คเรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นจากความคิดของตัวเอง

   "ยังมีเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนหนังจะฉาย เราไปหาอะไรทานกันนะครับ" พี่แจ็คพูดพลางเก็บตั๋วหนังสองใบลงในกระเป๋า ผมจึงพยักหน้ารับ พร้อมพยายามบังคับใบหน้าให้คลี่ยิ้ม

   ผมเคยคิดว่าถ้าพวกเราคบกัน ผมกับพี่แจ็ค เอิร์ธกับพี่ต้น พวกเราสี่คนก็จะยังได้ไปเที่ยวด้วยกันแบบดับเบิ้ลเดทเหมือนอย่างที่ผ่านมา แต่ผมคงจะอ่านการ์ตูนมากเกินไปอย่างที่เอิร์ธว่า... เพราะตั้งแต่เอิร์ธเป็นแฟนกับพี่ต้น พวกเขาก็ไปไหนมาไหนด้วยกันสองคน และคงจะอยากอยู่ด้วยกันสองต่อสอง

   ผมควรจะดีใจที่ได้เห็นเพื่อนมีความสุข พี่ต้นคงจะดูแลเอิร์ธได้ดี ผมสังเกตเห็นตั้งแต่ตอนอยู่ที่เสม็ด ตอนที่เอิร์ธจมน้ำพี่ต้นก็เป็นคนแรกที่ว่ายเข้าไปถึงก่อนใคร คอยเป็นห่วงเป็นใยและดูแลเอิร์ธอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ตอนที่ผมทำตัวเป็นเด็กขี้อิจฉา เรียกร้องความสนใจด้วยการสั่งเหล้ามาดื่ม พี่ต้นก็ยังเข้ามาช่วยดื่มแทน

   คืนนั้นผมเมามากจนเดินไม่ตรงทาง ร่างกายโงนเงน สมองมึนตื้อ เวียนหัว คลื่นไส้ แต่ก็ใช่ว่าจะจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้...

   "เมาจนจูบกันเนี่ยนะ!?" เสียงสาวๆ จากโต๊ะด้านข้างอุทานดังจนผมสะดุ้งหันกลับไปมอง

   "แล้วไงต่อๆ ซัมติงรองแฮพเพ่นไหมแก~!?" สาวอีกคนกรี๊ดกร๊าด

   "บ้าดิ! แกก็รู้ว่าอีพีทเป็นยังไง" พูดจบคนพูดก็ดีดนิ้วก้อยขึ้นมากรีดกราย

   "เพื่อนสาวกินกันเองฟ้าจะได้ผ่าตายละสิไม่ว่า" หญิงสาวคนเดิมกล่าวพลางหัวเราะร่วน

   ประโยคนั้นทำให้ผมคิด ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับเอิร์ธก็คงไม่ต่างกัน

   เป็นแค่อุบัติเหตุ

   เพราะพวกเราเป็นเพื่อนกัน

   

   ปรกติแล้วผมเป็นคนที่อินกับการ์ตูนหรือนิยายค่อนข้างง่าย บางครั้งก็เผลอยิ้มกว้างหรือหัวเราะออกมาเสียงดัง บางครั้งก็ถึงขั้นเสียน้ำตาให้กับฉากซาบซึ้งสะเทือนใจ แต่นั่นคือตอนที่ผมนั่งอ่านอยู่คนเดียว หรืออยู่กับใครบางคนตามลำพัง ไม่ใช่การร้องไห้กลางโรงหนังที่มีคนนั่งด้วยเกือบร้อย

   "ขอบคุณครับ" ผมกล่าวด้วยเสียงอู้อี้พลางยื่นมือออกไปรับผ้าเช็ดหน้าที่พี่แจ็คส่งมาให้ ถึงแม้จะแวะเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาแล้ว แต่ตอนนี้สภาพของผมคงจะดูไม่ได้ ทั้งตาทั้งจมูกคงจะยังแดงก่ำ เพราะน้ำตาเจ้ากรรมเล่นไหลไม่ยอมหยุดตั้งแต่ครึ่งเรื่อง จนดูหนังแทบไม่รู้เรื่อง

   ทั้งๆ ที่เป็นหนังรักโรแมนติก จบแฮปปี้เอนดิ้ง พระเอกกับนางเอกมีความสุขสมหวัง แต่ผมกลับร้องไห้เพราะสงสารเพื่อนของพระเอกที่แอบหลงรักพระเอกอยู่เพียงข้างเดียว โดยที่อีกฝ่ายไม่เคยรับรู้ แต่เธอกลับคอยช่วยเหลือและทำทุกอย่าง เพื่อให้คนที่เธอรักได้สมหวังในความรัก

   "นั่งพักตรงนี้ก่อนไหมครับ เดี๋ยวพี่ไปซื้อน้ำมาให้" พี่แจ็คยังคงกล่าวอย่างเป็นห่วง

   "ไม่เป็นไรครับ เรากลับกันเถอะ ผมอยากกลับบ้านแล้ว" ผมตอบคำถามด้วยการส่ายหน้า ร่างสูงจึงพยักหน้ารับและพาผมเดินออกมาจากโซนโรงหนัง

   ทว่าระหว่างที่กำลังเดินลงบันไดเลื่อน ผ่านโซนร้านค้า สายตาของผมกลับสะดุดเข้ากับร่างของคนสองคนที่เดินออกมาจากร้านหนังสือ ร่างสูงใหญ่พ้นศีรษะของคนรอบข้าง กับอีกร่างของคนที่คุ้นเคย

   คนตัวสูงยื่นมือออกไปรับถุงกระดาษมาช่วยถือ ชั่วขณะหนึ่งจึงมองเผินๆ คล้ายกับการเดินจูงมือ

   อยู่ดีๆ น้ำตาที่เคยหยุดไหลไปแล้วกลับหยดร่วงลงมา จนผมต้องรีบเบนหน้าไปมองทางอื่น รีบยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปาดมันทิ้ง แต่อาจจะช้าเกินไป เพราะสองคนนั้นหันมาเห็นพวกเราพอดี และดูท่าจะเดินตรงมาทางนี้

   "ถึก? น้องเอิร์ธ? โลกกลมจริงๆ มาเที่ยวที่เดียวกันเลย" พี่แจ็คเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายก่อน

   "โซระ? เป็นอะไร ทำไมตาแดงอย่างนั้น ใครทำอะไร" เอิร์ธอุทานอย่างตกใจ หันไปมองร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่ข้างผมตาขวาง พร้อมเดินเข้ามาหาผมด้วยท่าทางเป็นห่วง ผมจึงขยับถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก่อนที่มือของเอิร์ธจะเอื้อมมาแตะลงบนแขน

   "ไม่มีอะไรหรอก คือเมื่อกี้เพิ่งไปดูหนังมาน่ะ หนังเศร้ามากเลย" ผมตอบปฏิเสธพร้อมพยายามปั้นยิ้ม เอิร์ธจึงลดมือกลับไปวางข้างตัว พอดีกับที่พี่ต้นเดินตามมายืนอยู่เคียงข้าง

   "พวกเราก็เพิ่งซื้อหนังสือเสร็จ กำลังจะไปหาอะไรกินพอดีเลย ไปด้วยกันนะ" เอิร์ธเอ่ยชวน แต่แวบหนึ่งหันไปมองคนด้านข้างอย่างขอความเห็น พี่ต้นไม่ได้พูดอะไร แต่ผมกลับรู้สึกว่าทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันผ่านทางสายตา

   คงเหมือนกับที่เขาเรียกกันว่า 'มองตาก็รู้ใจ'

   "พวกเรากินมาแล้วล่ะ กำลังจะกลับพอดี" ผมตอบปฏิเสธ แม้ว่ามื้อที่เพิ่งกินก่อนเข้าโรงหนังจะเป็นแค่ขนมและเครื่องดื่มรองท้อง แต่ตอนนี้ผมอยากกลับบ้านมากกว่า ไม่อยากอยู่มองภาพตรงหน้านานไปมากกว่านี้

   "น้องเอิร์ธไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ เดี๋ยวพี่จะพาโซระไปส่งให้ถึงบ้าน จะดูแลอย่างดีแบบยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม รับรองว่าปลอดภัย วางใจได้ครับ" พี่แจ็คพูดพลางโปรยยิ้มให้เพื่อนของผมและเพื่อนของตัวเอง ก่อนจะโอบรอบบ่า พาผมเดินออกมาจากตรงนั้น

   ปรกติแล้วพี่แจ็คเป็นคนช่างพูด ช่างคุย มีอารมณ์ขัน ทำให้ผมหัวเราะได้อยู่เสมอ ถึงแม้บางครั้งก็จะแอบพูดแรงเกินไปบ้าง แต่วันนี้ตลอดทางที่ขับรถ พี่แจ็คกลับไม่ได้ชวนคุยเหมือนเคย อาจเป็นเพราะผมเองก็นั่งเงียบ ภายในรถจึงมีเพียงเสียงเพลงจากวิทยุ จนกระทั่งทำนองเพลงหนึ่งดังขึ้น เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ที่พวกเราเพิ่งจะดูไป

   ภาพในหนังหวนย้อนขึ้นมา ฉากที่พระเอกกับนางเอกทะเลาะกันเพราะความเข้าใจผิด พระเอกเสียใจจนเมาหัวราน้ำ เมื่อเพื่อนของพระเอกพยายามเข้าไปปลอบโยน จึงเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ทั้งคู่เกือบจะจูบกัน

   "ถ้าเพื่อนจูบกับเพื่อน... จะยังเป็นเพื่อนกันได้หรือเปล่า..." ผมเผลอพึมพำความคิดออกมาเป็นคำพูด โชคดีที่คนด้านข้างคงไม่ทันได้ยิน เพราะรถยังคงเคลื่อนตัวตามปรกติ ก่อนจะหักเลี้ยวเข้าซอยของหมู่บ้าน

   "พี่ก็เห็นฝรั่งจูบทักทายกันเป็นปรกตินะ" นาทีถัดมาผมก็ต้องสะดุ้งกับคำตอบที่ดังขึ้นอย่างกะทันหัน ถึงแม้พี่แจ็คจะตอบด้วยน้ำเสียงกึ่งล้อเล่น ทว่าจังหวะเว้นว่างก่อนและหลังคำตอบกลับนานเกินกว่าปรกติ

   "ขอบคุณนะครับที่มาส่ง" ผมพูดขึ้นทำลายความเงียบอีกครั้งเมื่อรถจอดลงที่หน้าบ้าน

   "โซระ..." ทว่าจังหวะที่กำลังจะเปิดประตู กลับมีอีกมือหนึ่งวางทาบลงมาบนมือของผม พร้อมกับโน้มตัวเข้ามาใกล้ ท่าทางคล้ายกับจะช่วยเปิดประตูให้ แต่ก็ใกล้จนเกือบจะ...จูบ

   ตอนนั้นผมตกใจจนไม่กล้าขยับตัว ถ้าอีกฝ่ายโน้มเข้ามาอีกแค่นิดเดียวผมอาจจะตอบโต้ด้วยการผลัก แต่พี่แจ็คก็หยุดอยู่เพียงเท่านั้น

   "พี่ชอบโซระ"

   ประโยคถัดมากลับทำให้ผมตกใจยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า เพราะไม่ได้เตรียมใจว่าจะได้ยินคำนี้ ตอนนี้ ไม่คิดว่าฉากสารภาพรักในการ์ตูนตาหวาน จะกลายเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงตรงหน้า

   "เราเป็นแฟนกันนะ"

   เสียงเดิมยังคงพูดประโยคที่ทำให้ผมรู้สึกหูอื้อ ตาลาย ตกใจจนพูดอะไรไม่ออก สับสนจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่นั่งนิ่งเป็นรูปปั้นหินที่ถูกสาป

   จนกระทั่งร่างด้านข้างโน้มตัวเข้ามาใกล้ ทำให้ที่เหลืออยู่น้อยนิดหมดลง

   
----------

ความแจ็คจะค่อยๆ shipหายวายป่วงขึ้นเรื่อยๆ  :laugh:
   

   

ออฟไลน์ mirage

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 135
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-1
Omg อยากกรีดร้องดังๆ  :impress2:
ฟางเส้นสุดท้าย แจ๊คเอ่ย รู้สึกแล้วสินะ 
อย่าปล่อยพี่ตึกรอนาน เดี๋ยวนกอีกนะ
ติดตามเด้อ

 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ @moment

  • แอทโมเม้นท์
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
    • https://www.facebook.com/at.moment.writer/
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer/
   

   ตอนที่ 12 เก็บศพ

   

   เข็มบนหน้าปัดนาฬิกาบ่งบอกเวลาเที่ยงคืนเศษ ผมเพิ่งเดินออกจากห้องน้ำและกำลังจะเตรียมตัวเข้านอน จังหวะนั้นกลับมีเสียงเรียกเข้าดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือ หน้าจอปรากฏชื่อที่ทำให้ผมต้องเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ แต่ก็ยังน้อยกว่าประโยคที่ได้ยิน

   'ตึก! มาช่วยเจ๊เก็บศพหมาหน่อย!'

   ศพหมา...?

   หมาที่ไหน ผมไม่ยักจะรู้ว่าพี่มินนี่เลี้ยงหมาด้วย

   คำขยายความต่อมาเพิ่มความกระจ่างมากขึ้นเล็กน้อย พร้อมๆ กับหัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน จากนั้นผมจึงเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า เปลี่ยนจากชุดนอนมาสวมเสื้อยืดกับกางเกงยีน ก่อนออกไปกวักเรียกแท็กซี่หน้าปากซอย และอีกครึ่งชั่วโมงถัดมาจึงเดินทางมาถึงหน้าผับแห่งหนึ่ง

   "ตึก! ทางนี้!"

   ผมหันกลับไปตามเสียงเรียก เห็นพี่มินนี่นั่งอยู่กับใครอีกคนที่นอนฟุบหน้าอยู่ บนโต๊ะมีแก้วเปล่าและจานกับแกล้มหลายใบวางระเกะระกะ ไม่ต้องรอให้ถาม กลิ่นเหล้าก็โชยออกมาฟ้องภาพที่เห็น

   ไม่ใช่ศพหมาที่ไหน... แต่เป็นใครบางคนที่เมาเหมือนหมา

   "ตอนเย็นก็นัดกินข้าวเลี้ยงสายกันอยู่ดีๆ พอกินเสร็จอีนี่ดันชวนน้องออกมาเที่ยวเปิดหูเปิดตา แต่มาถึงร้านมันกลับเล่นกระดกแก้วพรวดๆ ไม่รู้ว่าจะดื่มหรืออาบกันแน่ จนน้องๆ ขอตัวกลับกันไปก่อนหมดแล้ว ละดูสภาพมัน พี่ไม่รู้จะลากกลับอีท่าไหนเนี่ย"

   พี่มินนี่เล่าพลางถอนหายใจ ก่อนจะบ่นต่ออีกหลายประโยคทำนองว่า 'ตัวหนักเป็นบ้า จะให้สาวน้อยบอบบางอย่างฉันแบกกลับยังไงไหว'

   ผมจึงเดินไปนั่งลงด้านข้าง ลองเอื้อมมือไปเขย่าบ่าของแจ็คเบาๆ แต่ดูท่ามันจะเมาหลับไม่รู้เรื่อง นิ่งสนิท ไร้ปฏิกิริยาตอบโต้

   "ตึกช่วยพามันไปส่งหน่อยสิ รู้จักบ้านมันใช่ไหม" บ้านของแจ็คอยู่ไม่ไกลจากมหาลัยมากนัก ผมเองก็เคยไปที่บ้านมันอยู่หลายครั้ง แต่ปัญหาคือ ถ้าขืนพามันกลับบ้านในสภาพนี้ ท่านแม่บังเกิดเกล้าของมันคงจะได้จัดการฌาปนกิจศพ จับฝังทั้งเป็นไม่ต้องได้ผุดได้เกิดแน่ๆ

   "เมาขนาดนี้ เดี๋ยวผมพากลับหอดีกว่าครับ" ผมตอบพลางพยุงร่างที่ไม่ได้สติให้ลุกขึ้นยืน ยกแขนของแจ็คขึ้นโอบรอบบ่า ยื่นมืออีกข้างออกไปโอบกระชับรอบเอว กลายเป็นท่าหิ้วปีกที่อีกฝ่ายทิ้งน้ำหนักตัวเข้าหาผมเต็มๆ

   พี่มินนี่จัดการเคลียร์บิลค่าเครื่องดื่ม โดยดึงเอากระเป๋าสตางค์ของไอ้คนเมาไปด้วย ไม่รู้จะพอจ่ายหรือเปล่า ยังดีที่เพิ่งจะต้นเดือน แต่ผมขอเดาว่าถ้าสร่างเมาเมื่อไหร่มันต้องได้แหกปากโอดครวญลั่นซอยแน่ๆ เพราะเดือนนี้ทั้งเดือนมีหวังคงได้กินแกลบเปิดฟาร์มเลี้ยงหมูแทนเลี้ยงหมา

   หลังจากกวักเรียกแท็กซี่และช่วยกันยัดร่างของแจ็คเข้าไปในรถได้สำเร็จ ผมกับพี่มินนี่จึงกล่าวลาแยกย้ายกันที่หน้าร้านอาหาร พอถึงแท็กซี่จอดลงหน้าหอจึงกลายเป็นภาระของผมที่ต้องแบกมันขึ้นห้องอีก ยังดีที่คนเมาแค่หลับไม่รู้เรื่อง ไม่ได้อ้วกหรือแผลงฤทธิ์อะไรออกมาระหว่างการเดินทาง

   กว่าจะแบกร่างหนักๆ มาทิ้งลงบนเตียงได้ ผมก็ต้องถอนหายใจยาว ทั้งเหนื่อย ทั้งหนัก ถ้ามันตัวเบาเท่าเอิร์ธหรือโซระจะไม่บ่นสักคำ แต่ทำไงได้ เพราะคนที่ผมหลงรักดันไม่ใช่เอิร์ธหรือโซระ แต่เป็นไอ้ศพหมาที่ชอบสร้างเรื่องปวดหัวให้ไม่หยุดหย่อน

   "แจ็ค" ผมลองเรียกมันอีกครั้ง หลังจากจัดการถอดรองเท้าและเอาผ้าขนหนูชุบน้ำมาเช็ดตัวให้ เมื่อผ้าเย็นสัมผัสกับผิวร้อนๆ จนคนที่นอนอยู่ปรือตาขึ้นมา แต่แล้วก็พลิกหน้าหนีไปอีกทาง

   ว่าแต่มันเป็นอะไร อารมณ์ไหนถึงได้ดื่มเหมือนอาบขนาดนี้

   ผมได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ เพราะหน้าปัดนาฬิกาบอกเวลาล่วงเลยตีสองกว่า ถึงพรุ่งนี้จะเป็นวันหยุดไม่จำเป็นต้องตื่นเช้า แต่ผมก็ชักจะเหนื่อยและง่วงเต็มที จึงเดินไปปิดไฟและกลับมาทิ้งตัวลงนอนบ้าง

   แสงไฟสลัวจากด้านนอก เปิดโอกาสให้ผมได้ลอบมองใบหน้าของคนที่ยังคงหลับใหล นับตั้งแต่เหตุการณ์ในคืนนั้น... นี่ถือเป็นครั้งแรกที่มันมานอนบนเตียงนี้

   ภาพในความทรงจำหวนย้อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ร่างกายเปลือยเปล่าที่บิดเร้าด้วยอารมณ์ ทั้งๆ ที่ไม่ได้บอบบางหรือมีส่วนเว้าส่วนโค้งแบบผู้หญิง แต่กลับสะกดให้ไม่อาจละสายตา ปากที่ชอบแกว่งเท้าหาเสี้ยน เห่ากัดคนอื่นไปทั่ว ถูกกลบด้วยเสียงครางขาดห้วงอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่

   ผมเผลอตัวเบียดเข้าไปใกล้และดึงร่างนั้นเข้ามากอด จังหวะเดียวกันกับที่คนเมานอนพลิกตัวหันกลับมา ทำให้แก้มเนียนปัดผ่านปลายจมูกของผมไป และทำให้ริมฝีปากของพวกเราอยู่ห่างกันแค่ระยะลมหายใจคั่น

   มันปรือตาขึ้นมามองหน้าผม พร้อมกับพึมพำอะไรบางอย่าง

   "โซระ..."

   ผมฉุนกึก! มันมองหน้าผมแต่กลับเพ้อถึงคนอื่น!?

   ทำไมมันถึงได้ขยันยั่วโมโห! บั่นทอนสำนึกผิดชอบชั่วดีที่หลงเหลืออยู่น้อยนิดให้ร่อยหรอลงไปทุกที และตอนนี้ผมก็ดันอยู่ในอารมณ์ที่ยั่วขึ้นซะด้วย!

   ระยะห่างที่เหลืออยู่น้อยนิดจึงหมดลง เมื่อผมจัดการปิดปากหมาด้วยปาก ดุนดันลิ้นร้อนๆ เข้าไปด้านใน ขยับเกี่ยวพันเรียกร้องการตอบสนอง เปลี่ยนเสียงพึมพำให้กลายเป็นเสียงครางอู้อี้อยู่ในลำคอ

   "ฮื่อ... ไอ้ถึก"

   เสียงขึ้นจมูกที่เปลี่ยนชื่อไป เกือบทำให้ผมยักยิ้ม

   ถ้าจะไม่มีคำอื่นดังตามมา

   "ไอ้เหี้ย...!"

   เออ เอากับมันสิ! เพ้อถึงคนอื่นเสียงหวาน แต่พอละเมอถึงผมกลับตบท้ายด้วยคำด่า!? แถมยังบ่นอะไรงึมงำอีกหลายคำ จับศัพท์ไม่ได้ แต่คงไม่แคล้วเป็นเสียงเห่าหอนของบรรดาสุนัขในฟาร์ม

   ผมจึงกดจูบหนักๆ ลงไปอีกครั้งอย่างหมั่นไส้ พอดีกับที่มันเบนหน้าหนี ริมฝีปากจึงพลาดเป้าหมายมาจรดลงบนต้นคอ ผมจึงจัดการขบเม้มบริเวณนั้นอย่างหมั่นเขี้ยว ฝากรอยแดงช้ำเอาไว้ ได้ยินเสียงครางประท้วง ก่อนที่มันจะพลิกตัวหนีไปอีกทาง

   ผมจึงตามไปดึงรั้งร่างนั้นเข้ามากอดจากด้านหลัง ก่อนจะพรมจูบอีกหลายครั้ง เรื่อยจากท้ายทอยจนถึงบ่า สูดดมกลิ่นกายที่พลอยทำให้รู้สึกมึนเมาจนยากจะถอนตัว ร่างในอ้อมแขนยังคงขยับหนี แต่ความแนบชิดส่งผลให้บั้นท้ายเบียดอยู่บนต้นขา ชักนำความร้อนให้แล่นเข้ามารวมกันที่กึ่งกลางร่างกาย จนลมหายใจของผมสะดุดกึก

   ผมได้แต่กัดฟันกรอด กลั้นหายใจ สะกดอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างสุดความสามารถ ก่อนจะตัดสินใจ ผุดลุกไปอาบน้ำอีกรอบตอนตีสาม

   ขณะอยู่ในห้องน้ำ บางครั้งผมก็ยังอดคิดไม่ได้ว่า นี่มันเวรกรรมอะไรทำไมผมถึงต้องมาหลงรักมันด้วย แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ... ผมรักมันมากกว่าที่คิด

   อยากทำให้มันเป็นของผม ไม่ใช่แค่เพียงร่างกาย

   แม้อีกใจก็อยากจะจับปล้ำให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ต้องข่มใจ

   ไม่ใช่ว่าเป็นคนดี ไม่ได้กลัวโดนด่าเจ็ดชั่วโคตร แต่กลัวมันจะไม่ยอมมองหน้าผมอีกเลยต่างหาก

   

   ด้วยความที่กว่าจะได้นอนฟ้าก็เกือบสาง กว่าจะรู้สึกตัวตื่นอีกครั้งจึงย่างเข้าสู่ช่วงบ่าย ภายในใจลึกๆ ผมแอบหวังว่าจะได้ลืมตาขึ้นมาเห็นใครบางคนนอนอยู่เคียงข้าง ต่อให้ไม่ได้เห็นหน้า ขอแค่ได้เห็นตีนก็ยังดี... แต่สิ่งที่คิดก็เป็นได้แค่หวังลมๆ แล้งๆ เพราะผมไม่ได้เห็นทั้งสองอย่าง

   ภาพที่ปรากฏสู่สายตามีเพียงความว่างเปล่า ลองกวาดตามองรอบห้อง นอกระเบียง ในห้องน้ำ ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของใคร ผมจึงได้แต่ถอนหายใจหนักหน่วง

   อีหรอบเดิมแน่ๆ มันเผ่นหนีไปอีกแล้ว...

   หลังจากนั่งเซ็งอยู่พักใหญ่ ผมจึงนึกขึ้นได้ถึงคำถามที่ยังค้างคาใจ ตกลงเมื่อคืนทำไมมันถึงได้เมามากขนาดนั้น เกิดอะไรขึ้น ถ้าจะบอกว่าดื่มสังสรรค์กับรุ่นน้อง ก็ดูจะหนักมือเกินไป หนำซ้ำยังเมาแล้วเพ้อเรียกชื่อใครบางคน...

   ผมจึงลองโทรศัพท์ไปสืบความจากผู้สมรู้ร่วมคิด

   "ไม่ทราบเหมือนกันครับ ผมไม่ได้คุยกับโซระมาหลายวันแล้ว"

   เอิร์ธตอบด้วยโทนเสียงราบเรียบตามปรกติ แต่ผมกลับรู้สึกว่าเสียงนั้นเซื่องซึมจนน่าเป็นห่วง และยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด เพราะเอิร์ธกับโซระอยู่โรงเรียนเดียวกัน น่าจะได้เจอกันทุกวัน แต่ทำไมถึงไม่ได้คุยกัน ...ผมไม่กล้าถาม

   "ยังไงผมจะลองถามดูนะครับ" เอิร์ธพูดต่อเบาๆ หลังจากนั้นระหว่างพวกเราจึงเหลือแต่ความเงียบ

   เป็นความผิดของผมเองที่เสนอแผนการนี้ขึ้นมา นอกจากจะไม่ช่วยทำให้อะไรดีขึ้น ทุกอย่างกลับจะมีแต่ยิ่งแย่ลง หรือผมควรหยุด ก่อนที่ความสัมพันธ์ระหว่างเอิร์ธกับโซระจะแย่ไปมากกว่านี้

   "พวกเรา... ล้มเลิกแผนการทั้งหมดดีไหม" ผมลองถามขึ้นมาทำลายความเงียบ

   "ถ้าล้มเลิกแล้ว... เราควรจะทำยังไงต่อไปดีล่ะครับ" ปลายสายถามกลับมา

   ทั้งๆ ที่เอิร์ธเป็นเด็กฉลาดเกินวัย บางครั้งก็คิดเรื่องที่ผมนึกไม่ถึงด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้กลับดูราวกับคนหมดท่า คิดอะไรไม่ออกเลยสักอย่าง

   "อ่ะ เดี๋ยวนะครับ มีสายซ้อน" เสียงของเอิร์ธสะดุดไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยต่อ

   "โซระ" เสียงเบาหวิวราวกับอุทานกับตัวเองมากกว่า

   "ถ้างั้นเอิร์ธไปคุยกับโซระเถอะ เดี๋ยวพี่ค่อยโทรไปใหม่" ผมพูดทั้งๆ ที่ไม่แน่ใจว่าปลายสายจะยังคงฟังอยู่หรือเปล่า จนกระทั่งได้ยินเสียงขานรับสั้นๆ ผมจึงกดวางสาย

   หลังจากนั้นผมยังคงนั่งมองโทรศัพท์ก่อนถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ เมื่อไม่รู้จะทำอะไรที่ดีกว่านั้นจึงลุกขึ้นไปอาบน้ำ แต่งตัวออกไปหาอะไรกินข้างนอก แวะซื้อของใช้อีกเล็กน้อย เมื่อกลับมาถึงห้องจึงจัดการซักผ้า ตากผ้า เก็บกวาดห้องพอเป็นพิธี ไม่ให้รกเป็นรังหนูจนเกินไป

   กิจวัตรประจำวันหยุดของผมก็มีอยู่เท่านี้ ถ้าไม่มีนัดล่วงหน้าส่วนใหญ่ผมก็มักจะอยู่ติดหอ อาจติดเป็นนิสัย เพราะเคยมีใครบางคนชอบมาเคาะประตูห้องแบบไม่บอกล่วงหน้า อยากจะมาเมื่อไหร่ก็มา มานอนเอกเขนกเหมือนเป็นห้องของตัวเอง บ้างก็หอบขวดเหล้าพร้อมกับแกล้มมาชวนเมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่มันอกหัก...

   ผมได้แต่ส่ายหน้าให้กับความคิดของตัวเอง มันคงจะมาหรอก เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องคืนนั้น ถ้าไม่นับเมื่อคืน มันก็ไม่เคยมาเหยียบที่ห้องนี้อีก

   ปึง! ปึง!

   เสียงทุบประตูหน้าห้องเกือบทำให้ผมสะดุ้ง

   แต่เมื่อเดินไปเปิดประตู ภาพที่ปรากฏก็ทำให้อึ้งยิ่งกว่าเก่า คิดว่าตัวเองตาฝาด หรือไม่ก็ฝัน เพราะคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า คือคนที่นอนอยู่ด้วยกันเมื่อคืน คนที่อยากลืมตาตื่นขึ้นมาเห็น คนที่ไม่คิดว่ามันจะยอมมาเหยียบที่ห้องนี้อีก

   ในมือถือโซดาสองขวด น้ำแข็งหนึ่งถุง กับมาม่าอีกสองห่อ

   "...กูจำได้ว่า มีเหล้าเหลืออยู่ที่ห้องมึงขวดนึงใช่ปะ"

   มองมองหน้าผมแวบเดียว ก่อนจะถือวิสาสะเดินเข้ามาข้างใน สารพัดข้าวของเครื่องใช้ของมันก็ถูกทิ้งอยู่ในห้องของผมเยอะแยะไปหมดนั่นแหละ รวมถึงเหล้าที่เคยซื้อมาแต่กินไม่หมดด้วย

   ผมยังคงยืนค้างอยู่หลังบานประตู มองตามร่างที่เดินไปรื้อหาขวดเหล้าพร้อมแก้วน้ำ ยกทั้งหมดออกมาวางบนโต๊ะเตี้ย ก่อนปักหลักนั่งลง ณ มุมประจำ จัดแจงชงเหล้าเข้ากับโซดาที่หอบมาด้วย

   สักพักผมจึงได้ถึงบางอ้อ

   อ๋อ มันคงจะกรอบสนิทจนไม่เหลือเงินซื้อเหล้า ถึงได้ยอมด้านหน้ากลับมาเหยียบห้องนี้อีก


----------

   ความขยันมีมาเป็นวูบจริงๆ ตอนแรกตั้งใจว่าลงอย่างน้อยวันละตอน แต่เริ่มจะขี้เกียจอีกแล้ว :z13: แค่จัดบรรทัดยังจะขี้เกียจอ่ะคนเรา =..=

   
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-03-2018 21:08:20 โดย @moment »

ออฟไลน์ em1979

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 464
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-1
สนุกค่า มาต่อไวๆ นะ จะรออ่าน

ออฟไลน์ nevergoodbye

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2

ออฟไลน์ @moment

  • แอทโมเม้นท์
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 39
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
    • https://www.facebook.com/at.moment.writer/
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer/
   

   ตอนที่ 13 เปลี่ยนแผน

   

   พอถือวิสาสะเดินเข้ามานั่งลง ณ มุมประจำเรียบร้อย มันก็คว้ารีโมตขึ้นมาเปิดดูรายการประกวดร้องเพลงอะไรสักอย่าง ทำตัวตามสบายอย่างกับเป็นห้องของตัวเอง ราวกับว่าไม่เคยมี 'อะไร' เกิดขึ้นในห้องนี้ 'บนเตียง' ที่มันนั่งพิงอยู่ด้วยซ้ำ

   พอผมเดินตามกลับเข้ามา มันก็เงยหน้าขึ้นมาฉีกยิ้ม

   "กูรู้ว่ามึงยังไม่ได้กินข้าวเย็นใช่ม๊า" พูดพลางชูมาม่าสองซองขึ้นข้างแก้ม

   ผมจึงส่ายหน้า ไม่เชิงตอบคำถาม แต่กำลังเหนื่อยใจมากกว่า คบกันมานานก็รู้อยู่ว่ามัน 'หน้าด้าน' แต่ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจกับสถานการณ์ตอนนี้

   ควรจะดีใจที่มันยังยอมมาหาผมที่ห้อง หรือควรจะเสียใจเพราะนี่อาจแปลว่า... มันเลิกใส่ใจเรื่องที่เคยเกิดขึ้นแล้วจริงๆ

   ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้ง ก่อนจะเดินไปหยิบหม้อไฟฟ้าออกมาตั้งบนโต๊ะ จัดการต้มมาม่าที่มัน 'อุตส่าห์' ซื้อมาฝาก แต่ผู้ชายตัวโตสองคนกับมาม่าสองห่อคงจะพอยาไส้ ผมจึงหยิบไข่ไก่มาตอกเพิ่มลงไปอีกสองฟอง แถมไส้กรอกจากในตู้เย็นให้ด้วย ถือซะว่าทำบุญทำทานแก่สัตว์โลกผู้ยากไร้

   มันหลับตาพริ้มสูดกลิ่นหอมฉุยจากมาม่าผัดในหม้อ ระหว่างรอก็จัดแจงเปิดขวดโซดา ชงเหล้าให้ตัวเองและเผื่อผมอีกหนึ่งแก้ว ผมจึงเผลอย่นคิ้วเข้าหากัน เพราะเมื่อคืนมันก็เมามากซะขนาดนั้น นี่เพิ่งจะสร่างไม่ทันไรก็ตั้งท่าจะดื่มต่ออีกแล้ว? ทั้งๆ ที่ท้องฟ้าด้านนอกเพิ่งจะเริ่มมืดได้ไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ

   "เอ้า ชนแก้ว! โอกาสแบบนี้ต้องฉลอง~"

   ฉลองอะไร? ผมได้แต่เลิกคิ้ว

   "ก็ฉลองเนื่องในโอกาสที่เพื่อนถึกมีแฟนเป็นตัวเป็นตนกับเขาซะที! ถือเป็นความดีความชอบของกูเลยนะ ที่ทำให้มึงรู้แจ้งกับเพศสภาพของตัวเอง แถมยังแนะนำให้รู้จักกับน้องเนิร์ดสุดที่รักของมึงอีก"

   กูต้องขอบใจมึงงั้นสิ?

   ผมอยากจะเซ็งโลกเป็นรอบที่ล้านแปด จึงคว้าแก้วเหล้าที่มัน 'อุตส่าห์' ชงให้ขึ้นมาดื่มรวดเดียวจนหมด เผื่อว่าจะช่วยดับความเซ็งได้บ้าง แต่มันอาจจะเข้าใจว่าผมยินดีฉลองด้วย ถึงได้ยกแก้วของตัวเองขึ้นดื่ม แถมยังชงแก้วต่อไปตามมาติดๆ

   หลังจากนั้นมันก็หันไปสนใจมาม่าในหม้อ กินไปพลาง กระดกแก้วไปพลาง ดูโทรทัศน์ไปพลาง บทสนทนาจึงเงียบลงไปอย่างผิดวิสัย ปรกติแล้วเวลาดูหนังมันยังชอบวิจารณ์พระนางแบบสาดเสียเทเสีย แต่วันนี้มาแปลก แทนที่จะดูไปด่าไป กลับฮัมเพลงตามไปด้วย

   ผมคิดว่าแจ็คน่าจะเริ่มเมาได้ที่ เพราะพอจัดการกับของกินเกลี้ยงหม้อ เหล้าก็พร่องลงไปเกือบครึ่งขวด แถมหลังๆ โซดาหมด มันเลยเล่นซดเพียวๆ แบบออนเดอะร็อค

   รายการในโทรทัศน์จบไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่มันอาจจะติดลมเลยหันไปคว้ากีต้าร์มาดีดเล่น อ้อ กีต้าร์ของผมเอง เป็นมรดกตกทอดจากรุ่นพี่ที่เรียนจบไปแล้ว แต่ผมไม่ค่อยได้เล่นหรอก พอนึกครึ้มทีไรไอ้แจ็คก็ชอบหยิบออกมาดีดเล่น บอกว่าหัดไว้เกี้ยวเด็ก แต่ผมว่า...อย่าเอาไปดีดให้ใครฟังเลยจะดีกว่า คือเสียงกีต้าร์ก็เพราะดีอยู่หรอก แต่เสียงร้องของมันดีกว่าเสียงหมาหอนหน่อยเดียว ถึงจะไม่เข้าขั้นร้องเพี้ยน แต่ก็ไม่ได้มีความไพเราะเอาซะเลย

   ผมเองก็คงดื่มไปไม่น้อยจนชักจะเริ่มมึน จึงได้แต่นั่งมองแจ็คเล่นกีต้าร์ไปเรื่อยเปื่อย อย่างที่เคยบอกว่าผมชอบมองนิ้วของมัน... ปลายนิ้วเรียวสวยรับกับเล็บตัดสั้นเป็นระเบียบ ขยับเคลื่อนไหวอยู่บนสายกีต้าร์

   เผลอมองเพลิน รู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนที่เสียงเพลงหยุดลงไป เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็บังเอิญสบตากับคนที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว แต่ก็เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น ก่อนที่มันจะหันไปคว้าแก้วบนโต๊ะ

   "เอ้า ชนแก้ว! ฉลอง~!"

   ฉลองอะไรอีก?

   พอกระดกแก้วขึ้นดื่มจนหมดแจ็คกลับหันมาจ้องหน้าผม ไม่ได้จ้องแบบประสานสายตาหวานซึ้ง แต่เป็นการจ้องแบบ เขม่นหน้าหาเรื่องมากกว่า

   "ฉลองสละโสดให้มึง... และก็ฉลองความโสดให้กู"

   เดี๋ยวนะ มันว่าไงนะ

   "ทำไมกูถึงได้เกิดมาอาภัพแบบนี้!? หน้าตาก็ออกจะดี หล่อกว่ามึงตั้งเยอะ! แล้วทำไมมึงถึงได้กินเด็กแต่กูต้องกินแห้ววะ!? ทั้งๆ ที่กูเจอโซระก่อนมึงจะรู้จักเนิร์ดด้วยซ้ำ สวรรค์แม่งไม่ยุติธรรมเลย! เหี้ยเอ๊ย แล้วทำไมกูต้องรู้สึกแบบนี้ด้วย!? เพราะมึงคนเดียวเลยไอ้ถึก! แบบนี้มันต้องฉลอง ไม่เมาไม่เลิก!"

   ผมสลับสวิตช์ตามไม่ทัน จากโหมดดีดกีต้าร์ร้องเพลงกลายเป็นโหมดแหกปากคร่ำครวญ แถมประโยคที่พล่ามก็ยังฟังดูมั่วพิลึก แต่ถ้าจับใจความไม่ผิด แปลว่ามันอกหักจากโซระ...?

   ผมยังนั่งนิ่งด้วยความอึ้ง มันจึงหยิบแก้วเหล้ามายัดใส่มือของผม บังคับให้ดื่มเป็นเพื่อน จังหวะนั้นเองที่ผมเผลอคว้ามือของมันเอาไว้ เร็วกว่าที่สมองจะคิดตามทัน

   "แล้วถ้ากูบอกว่า... กูกับเอิร์ธไม่ได้เป็นแฟนกันล่ะ"

   คนฟังทำหน้าเหวอแบบงงจัด

   "ก็มึงบอกเองว่าคบกับเอิร์ธแล้ว" มันย้อนถามอย่างสับสน

   "กูไม่เคยพูดสักคำ" ผมตอบกลับไปสั้นๆ พลางต่อประโยคในใจ... ก็แค่ไม่เคยปฏิเสธ

   แจ็คยังคงมองหน้าผมอย่างนิ่งอึ้ง อาจจะกำลังทบทวนความทรงจำ จนกระทั่งระลึกได้ว่ามือของตัวเองยังอยู่ในมือของผม มันจึงพยายามดึงมือกลับไป แต่นาทีนี้ คิดเหรอว่าผมจะยอมปล่อย

   "ในเมื่อมึงยังโสด กูก็ยังโสด... เรามาลองคบกันดูไหม"

   ตอนนั้นผมอาจจะฉุกคิดอะไรบ้าๆ ในเมื่อแผนก้างขวางคอก็ไม่สำเร็จ แผนยั่วให้หึงก็ไม่ได้ผล ก็อาจถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแผน โดยขอยืมวิธีที่มันชอบใช้มาลองใช้ดูบ้าง

   แผนรุกแบบหน้าด้านๆ

   "คบ!? ... อ๋อ มึงเล่นมุกดิ กูกับมึงก็คบกันอยู่แล้วไง เป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน" มันร้องตอบเสียงหลง สะบัดมือจนหลุดพร้อมกระเด้งถอยหลังไปอีกคืบใหญ่ แต่สุดท้ายก็หมดทางหนีเมื่อแผ่นหลังชนกับขอบเตียง ผมจึงขยับตามเข้าไปใกล้

   "มึงก็รู้ว่ากูหมายความว่ายังไง" มันก็ไม่ได้โง่ นอกจากจะแกล้งโง่

   "กูกับมึงเนี่ยนะ!? หยึย แค่คิดก็สยอง" มันทำท่าขนลุกขนพอง ให้ตายเหอะ โคตรน่าหมั่นไส้

   "เหรอ แต่คืนนั้นออกจะสยิว" ผมโต้กลับด้วยเสียงราบเรียบ แต่มุมปากอาจยกขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าถ้าผมปากหมา ก็เป็นเพราะติดเชื้อบ้าจากมันนั่นแหละ

   มันอ้าปากค้าง อึ้งไปครู่ใหญ่ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ยอมแพ้

   "หรือว่าคบแบบ...เซ็กเฟรนด์? ยุคนี้กำลังฮิต เพื่อนพ้องท้องติดกัน" มันยังขยันกวนตีนไม่เลิก

   ทั้งๆ ที่ถ้าผมตอบว่า 'ใช่' คนที่จะต้องเสียใจก็คือตัวมันเองทั้งนั้น เพราะผมรู้ว่ามันไม่ใช่คนแบบนั้น ถึงจะเที่ยวจีบดะไปทั่วอย่างกับพ่อพวงมาลัยลอยชาย แต่แท้จริงแล้วมันก็เป็นแค่พวงมาลัยช้ำๆ ที่อยากสมหวังในความรัก

   "พอดีว่ากูนิยมผัวเดียวเมียเดียว" ผมยืนยันอีกครั้ง

   "ถ้าเอากันครั้งเดียวแล้วนับเป็นผัวเมีย ป่านนี้กูคงจะมีเมียเป็นโหล" แต่ปากมันก็ยังชักใบให้เรือเสีย

   ความปากหมาคงจะเป็นสันดานที่แก้ไม่หาย แต่ก็ดี เพราะนิสัยแบบนี้คงจะมีแค่ไม่กี่คนที่รับได้ และบังเอิญว่าผมก็ชินซะแล้ว

   "ถ้างั้นก็เอากันหลายๆ ที" เผื่อว่าจะนับ หรือว่าไม่ต้องนับ เพราะนับไม่ถ้วน

   "มึงเอาจริงดิ!?" มันอุทานถามแต่กลับไม่เว้นจังหวะให้ตอบ "กูรู้แล้ว มึงอำเล่นใช่ไหม ก็ทีเมื่อคืน... หรืออย่างคืนที่เสม็ด ไม่เห็นมึงจะมาพิศวาสอะไรกูสักนิด ไม่ต้องมาอำ ไม่ขำ กูไม่บ้าจี้กับมึงด้วยหรอก" มันยังคงพล่ามไม่หยุด สีหน้าลุกลี้ลุกลนปนบิดเบี้ยวด้วยอารมณ์หลากหลายที่ผมเองก็ทำความเข้าใจได้ไม่หมด

   ความผิดกูงั้นสิที่ปล่อยให้เนื้อรอดปากเสือ

   ผมหมดอารมณ์จะพูดต่อ อธิบายด้วยการกระทำน่าจะเร็วกว่า ผมจึงวางมือทั้งสองข้างลงบนขอบเตียงเพื่อปิดกั้นทางหนี พร้อมย่นระยะห่างที่เหลืออยู่น้อยนิดให้หมดลง กดริมฝีปากหนักๆ ลงบนรอยเก่าที่เคยทำไว้เมื่อคืนนี้ แจ็คผงะอย่างตกใจพร้อมยกมือขึ้นมาปิดบนต้นคอ

   "อย่าบอกนะว่ารอยนี่มึง...!? อื้อ!" ปลายเสียงเปลี่ยนเป็นการอุทานขึ้นจมูก เมื่อมีสิ่งกีดขวางผมจึงจัดการตวัดลิ้นเลียลงบนง่ามนิ้ว และเมื่อมันชักมือหนีจึงเป็นการเปิดทางให้ผมดูดเม้มลงบนเป้าหมายเดิมอีกครั้ง

   "ไอ้ถึก?!? ไอ้หื่น! อะ" ปากมันก็ยังจะด่า แต่ด่าได้ด่าไป เพราะตอนนี้ผมก็คงจะเป็นอย่างที่มันด่า แต่ทั้งหมดทั้งมวล มันก็คือตัวต้นเหตุที่ทำให้ผมต้องเป็นแบบนี้

   "กูหื่นกับมึงคนเดียว" ผมกระซิบบอกข้างหู แต่ไม่แน่ใจว่ามันยังเหลือสติรับฟังหรือเปล่า เพราะระหว่างที่ผมยันมือข้างหนึ่งบนขอบเตียงเพื่อกั้นไม่ให้คนตรงหน้าหนีไปไหน มืออีกข้างก็เริ่มรุกด้วยการกดน้ำหนักลงบนหน้าตัก ลูบผ่านโคนขาขึ้นไปถึงกึ่งกลางลำตัว

   และร่างกายของผู้ชายก็ซื่อตรงต่อความรู้สึกมากกว่าคำพูด แรงขัดขืนเริ่มลดน้อยลงไป กลายเป็นการให้ความร่วมมือมากขึ้น เมื่อผมลองจูบลงบนเรียวปาก เล็มลิ้นลงบนไรฟัน มันก็ยอมเปิดทางให้เข้าไปด้านใน ก่อนโต้ตอบด้วยการจูบตอบกลับมา

   กลิ่นเหล้าคละเคล้ากลิ่นเหงื่อ เจือด้วยกลิ่นหอมของโคโลญอ่อนๆ กำลังทำให้ผมมึนเมาจนเริ่มหยุดตัวเองไม่อยู่อีกครั้ง... แต่ครั้งนี้ผมก็ไม่ได้คิดจะหยุด

   ผมเคยบอกว่า อยากทำให้มันเป็นของผมทั้งตัวและหัวใจ

   แต่ตอนนี้ผมขอเริ่มต้นด้วยอย่างแรกที่เป็นรูปธรรมก่อนก็แล้วกัน

   

   ผมอยากลืมตาขึ้นมาเห็นหน้ามันในตอนเช้า และประสบการณ์ก็สอนว่าถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง ไอ้ตัวดีจะต้องเผ่นหนีไปอีกแน่ๆ งานนี้แผนเฉพาะกิจจึงถูกงัดขึ้นมาใช้

   ขั้นตอนแรกก็เป็นต้นว่า  เอาให้มันลุกไม่ขึ้น หมดฤทธิ์จนต้องนอนฟุบกับเตียงอย่างหมดแรง ขั้นตอนถัดมาก็อย่างเช่น จับล่ามโซ่ขึงเอาไว้... ล้อเล่น ก็แค่จับขังไว้ในอ้อมแขนตลอดทั้งคืน ไม่ปล่อยให้หนีไปไหนได้ เช้านี้ผมจึงได้ตื่นขึ้นมาเห็นหน้าคนที่อยากเห็นสมใจ

   "ตกลงว่าเราคบกันนะ"

   ฉวยโอกาสตอนที่มันลืมตาขึ้นมาด้วยสีหน้ามึนๆ แบบคนเพิ่งตื่นแถมด้วยอาการเมาค้าง สมองยังไม่ทำงานเต็มที่ ทวนคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบอีกครั้ง เผื่อว่าครั้งนี้มันจะหลวมตัวตอบตกลง

   "...ขอกูแกล้งตายแป๊บ"

   พูดจบมันก็หลับคร่อก ปิดหูปิดตาหนีความจริงตรงหน้า พอรู้ตัวว่าดิ้นไปไหนไม่รอดก็เล่นมุกนี้ ดีเหมือนกัน ถ้างั้นผมจะรับบทเป็นหมียักษ์ เริ่มต้นจากการพิสูจน์กลิ่นเหยื่อ กดปลายจมูกลงบนแก้ม ดมเรื่อยมาจนถึงหลังใบหูและต้นคอ

   "ไอ้ถึก!? ไอ้หื่น! หยุดเลยมึง! ไม่เอาแล้วนะ! เหี้ยกูยังแสบอยู่เลย"

   มันด่าเสียงหลง เมื่อมือของผมที่กอดอยู่รอบตัว เริ่มลูบผ่านแผ่นหลังเปลือยเปล่าเรื่อยลงไปถึงแก้มก้น จังหวะนั้นมันจึงใช้มือยันหน้าผากผมกระเด็น ใจจริงคงอยากจะลุกหนีไปเลยด้วยซ้ำ แต่ติดที่สังขารไม่เอื้ออำนวย เลยทำได้มากสุดแค่ยันตัวลุกขึ้นนั่ง

   "เออ! กูอยากมีแฟน! แต่มึงเข้าใจไหมว่ากูอยากมีแฟนแบบตัวเล็กๆ น่ารัก บอบบาง น่าเอ็นดู น่าทะนุถนอม" มันพูดพลางทำหน้าตาเพ้อฝันน่าหมั่นไส้ พอหนีไปไหนไม่รอดก็เริ่มใช้วาจาเป็นอาวุธ ไม่ต้องตอกย้ำก็รู้ว่าสเปคของมันห่างไกลจากคนอย่างผมลิบลับสุดขอบโลก เปรียบเทียบด้วยดวงอาทิตย์กับดาวพลูโตที่ถูกปลดออกจากระบบสุริยะเลยก็ได้

   "กูอยากมีเมียโว๊ย! ไม่ได้อยากเป็นเมีย~!"

   มันเริ่มโวยวาย ขณะที่ผมยังคงนั่งเงียบ ปล่อยให้มันพล่ามไปคนเดียวจนพอใจ

   "มึงเองก็เหมือนกันเถอะ กูรู้นะ ถึงมึงจะไม่ได้เปิดปากด่าแต่ในใจก็รำคาญกูจะตาย! มึงชอบคนไม่เรื่องมาก ไม่ต้องพูดมากก็รู้ใจ... แบบเอิร์ธ... แล้วไง? ผิดหวังจากเอิร์ธ เลยหันมาคว้าของใกล้มือแทนงั้นเหรอ? หรือว่าอยากจะถนอมตัวจริงไว้ก็เลยหาที่ระบายแก้ขัด หรือว่าพอได้ลองเอาผู้ชายแล้วติดใจ อยากลองซ้ำ แต่ก็คบใครเล่นๆ ไม่เป็นก็เลยมา...ขอคบ?"

   ยิ่งพูดก็ยิ่งไปกันใหญ่ จับแพะชนแกะให้มั่วไปหมด

   แต่มันรู้ตัวบ้างหรือเปล่าว่ายิ่งพูด ปลายเสียงก็ยิ่งแผ่วเบาลงไป เช่นเดียวกับสายตาที่หลุบต่ำ กลายเป็นการก้มลงมองสภาพของตัวเองที่ยังคงฟ้องชัดถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ก่อนจะเบนหน้าหนีไปมองทางอื่น

   มันพูดถูกส่วนหนึ่ง ผมนึกรำคาญมันอยู่บ่อยๆ ส่วนใหญ่ที่เงียบก็เพราะขี้เกียจต่อล้อต่อเถียง และระหว่างผมกับเอิร์ธ ด้วยนิสัยที่คล้ายกันทำให้เราสนิทกันได้ไม่ยาก

   แต่สิ่งที่มันคิดผิดก็คือ ผมไม่ได้ชอบเอิร์ธแบบเดียวกับที่ชอบมัน แบบที่ผมก็ยังตอบตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำว่าชอบเข้าไปได้ยังไง ทว่านับวันความรู้สึกกลับยิ่งชัดเจน เกินกว่าคำว่าชอบไปอีกหลายเท่า

   "กูรักมึง"

   ผมเคยคิดจะใช้แผนรุกแบบหน้าด้านๆ แต่ตอนนี้ในสมองกลับไม่หลงเหลือความคิดเหล่านั้น เพราะในใจกำลังเต็มไปด้วยความรู้สึกที่มีต่อคนตรงหน้า

   เมื่อสมองไม่ได้สั่งการตามแผน คำพูดจึงเป็นสิ่งที่ตรงออกมาจากใจ

   "เราคบกันนะ"

   

   

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6
รีบบอกรัก ก่อนจะงง ไปกว่านี้

 :L2: :pig4:

ออฟไลน์ nevergoodbye

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1240
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
ตอนนี้สั้นนน

พี่ยักษ์ของเราตรงดีจริงๆ ไม่มีอ้อมไม่มีค้อมใดๆ

ออฟไลน์ Himbeere20

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
แจ็คจะยอมเชื่อไหมเนี่ย

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด