พิมพ์หน้านี้ - ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ [สนพ.ฟาไฉ] แจ้งข่าวอีบุ๊คออกแล้วนะคะ P.3

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: @moment ที่ 09-03-2018 21:09:18

หัวข้อ: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ [สนพ.ฟาไฉ] แจ้งข่าวอีบุ๊คออกแล้วนะคะ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: @moment ที่ 09-03-2018 21:09:18
อ้างถึง
***************************************************************************************
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ


ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิ์ส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด
การสนใจและชื่นชอบนิยายและเรื่องเล่าของคนในเรื่องควรมีขอบเขตที่จะไม่สร้างความเดือดร้อนให้เจ้าของเรื่อง เช่นเดียวกับเป็ดที่ตอนนี้ถูกรังควานตามหาตัวจากคนด้านต่างๆ จนตัดสินใจไม่เล่าเรื่องต่อ.........เนื่องจากบางเรื่องเป็นเรื่องเล่า.....................บางคนไม่ได้เปิดเผยตัวตน  เขาพอใจจะมีความสุขในที่เล็กๆแห่งนี้โดยไม่ได้ตั้งใจให้คนภายนอกได้รับรู้เรื่องราวแล้วนำไปพูดต่อ   เพราะปฎิเสธไม่ได้ว่าสังคมไม่ได้ยอมรับพวกเราสักเท่าไหร่

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรูปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ
หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสต์กระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด
การกระทำเช่นนั้นอาจทำให้คุณแบนทันที และถาวร . หมายเลข IP ของทุกโพสต์จะถูกบันทึกเพื่อใช้เป็นหลักฐาน
ในความเป็นจริงเป็นไปได้ยากมากที่จะให้แต่ละคนมีความคิดเห็นตรงกันทั้งหมด   คนเรามากมายต่างความคิดต่างความเห็น เติบโตมาภายใต้ภาวะแวดล้อมต่างกันการแสดงความคิดเห็นที่แตกต่าง   จึงควรทำเพื่อให้เกิดความเข้าใจกัน แบ่งปันประสบการณ์และมิตรภาพเพื่ออาจเป็นประโยชน์ในการใช้ชีวิต  และไม่ว่าจะอย่างไรก็ควรเคารพในความคิดเห็นที่แตกต่างของบุคคลอื่นช่วยกันสร้างให้บอร์ดนี้มีแต่ความรักนะครับ   

เรื่องบางเรื่องอาจจะเป็นทั้งเรื่องแต่งหรือเรื่องเล่าใดๆก็ขอให้ระลึกเสมอว่า  อ่านเพื่อความบันเทิงและเก็บประสบการณ์ชีวิตที่คุณไม่ต้องไปเจอความเจ็บปวดเล่านั้นเองเพื่อเป็นข้อเตือนใจ สอนใจในการตัดสินใจใช้ชีวิต   จึงไม่ต้องพยายามสืบหาว่าเรื่องจริงหรือเรื่องแต่งส่วนการพูดคุยนั้น   ก็ประมาณอย่าทำให้กระทู้กลายพันธุ์ห้ามเอาเรื่องส่วนตัวมาปรึกษาพูดคุยกันโดยที่ไม่เกี่ยวพันกับเรื่องในกระทู้นิยาย  ถ้าจะวิจารณ์หรือแสดงความคิดเห็นทุกคนมีสิทธิแต่ขอให้ไปตั้งกระทู้ที่บอร์ดอื่นที่ไม่ใช่ที่นี่นะครับ

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพสต์ หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรักชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเว็บแห่งนี้นะครับ

4.ห้ามแจกเบอร์ แลกเมล์ บอกเมล์ แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของแต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้ามจั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิดเดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม
เพราะแม้จะเป็นเรื่องที่เขียนจากเรื่องจริง เมื่อนำมาพิมพ์เป็นเรื่องผ่านตัวอักษร ย่อมเลี่ยงไม่ได้ที่จะมีการเพิ่มเติมเพื่อให้เกิดสีสันในเนื้อเรื่อง ทางเล้าถือว่านั่นคือการเพิ่มเติมเนื้อเรื่อง จึงไม่อนุญาตให้จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” แต่สามารถแจ้งว่าเป็น “นิยายที่อ้างอิงมาจากชีวิตจริง” ได้  มีคนมากกมายทะเลาะเสียความรู้สึกเพราะเรื่องนี้มามากแล้ว

6.การพูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสต์นิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insert quote ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอมให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้ามลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เว็บ http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อขายซะ หรือถ้าม้อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเว็บ แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ดนิยายที่โพสต์จนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสต์ในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรื่องบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยายที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสต์นิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสต์ให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเว็บบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เว็บไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง
....ในกรณีที่เป็นบทความที่ถูกอ้างอิงต่อมาจากเวปไซต์อื่นๆ
- ถ้ามีแหล่งต้นตอของเจ้าของบทความ  ให้โพสต์ชื่อเจ้าของต้นตอของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ  พร้อมทั้งเว็บไซต์ที่อ้างอิง 
  (กรณีนี้จะโพสต์อ้างอิงชื่อผู้โพสต์หรือเว็บไซต์ที่เรานำมาหรือไม่ก็ได้ แต่ควรมั่นใจว่าชื่อต้นตอของที่มาถูกต้อง)
- ถ้าไม่สามารถหาชื่อต้นตอของรูปภาพหรือเว็บไซต์ที่นำมาได้ ควรอ้างอิงชื่อผู้โพสต์และเว็บไซต์จากแหล่งที่เรานำมาเสมอ
- ควรขออนุญาติเจ้าของภาพหรือเจ้าของบทความก่อนนำมาโพสต์ค่ะ(ถ้าเป็นไปได้) ยกเว้นพวกเว็บไซต์สาธารณะ เช่น  หนังสือพิมพ์ออนไลน์ ฯลฯ ที่เปิดให้คนทั่วไปได้อ่านเป็นสาธารณะ ก็นำมาโพสต์ได้ แต่ให้อ้างอิงเจ้าของชื่อและแหล่งที่มาค่ะ
- ไม่ควรดัดแปลงหรือแก้ไขเครดิตที่ติดมากับรูปหรือบทความก่อนนำมาโพสต์
- ถ้าเป็น FW mail  ก็บอกไปเลยว่าเอามาจาก FW mail

16.นิยายเรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมดออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้ามแจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฎการซื้อขายของเล้าก่อน ด้วยนะคะ)
ว่าด้วยเรื่องการจะรวมเล่มนิยายขายในเล้า จะต้องมี ID ซื้อขายก่อน ถึงจะสามารถประกาศ ..แจ้งข่าว.. ที่บนหัวกระทู้ของนิยายได้ ในกรณีที่ รวมเล่มกับ สนพ. ที่มี  ID ซื้อขายของเล้าแล้ว นักเขียนก็สามารถใช้ หมายเลข  ID ของ สนพ. ลงแจ้งในหน้าที่มีเนื้อหารายละเอียดการสั่งจองนิยายได้

18.ใครจะโพสต์เรื่องสั้นให้มาโพสต์ที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสต์แรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฎทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17



เว็บไซต์แห่งนี้เป็นเว็บไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฎหมายภายในและระหว่างประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเว็บไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเว็บไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเว็บไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม

*****************************************************************************************


Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
#แจ็คเป็นของยักษ์ (https://twitter.com/search?vertical=default&q=%23%E0%B9%81%E0%B8%88%E0%B9%87%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C&src=typd)

by @moment

แวะไปกดไลค์กดฟอลกันได้น้า
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/ (https://www.facebook.com/at.moment.writer/)
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer (https://twitter.com/atmoment_writer)

| สารบัญ |
ต้นxแจ็ค 27 ตอนจบ
โซระ+เอิร์ธ 5 ตอนจบ
ทั้งหมดอยู่ในหน้า 1-3 คงไม่ต้องทำสารบัญเนอะ ^^"
(ขยันมากกกก)

หัวข้อ: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁
เริ่มหัวข้อโดย: @moment ที่ 09-03-2018 21:21:40

(http://i39.photobucket.com/albums/e177/at_moment/Jack-dd.jpg)

Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
#แจ็คเป็นของยักษ์ (https://twitter.com/search?vertical=default&q=%23%E0%B9%81%E0%B8%88%E0%B9%87%E0%B8%84%E0%B9%80%E0%B8%9B%E0%B9%87%E0%B8%99%E0%B8%82%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A2%E0%B8%B1%E0%B8%81%E0%B8%A9%E0%B9%8C&src=typd)

by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/ (https://www.facebook.com/at.moment.writer/)
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer (https://twitter.com/atmoment_writer)


นิยายเรื่องนี้ออกแนวหื่นฮา แซบซ่าสดใส ไร้สาระ ไม่เน้นดราม่า
แต่ถ้าอ่านแล้วอยากฆาตกรรมนายเอกเราก็จะยื่นมีดให้ ฮ่าาาาา

‘แจ็ค’ (นายเอก) - ปากหมา หน้าด้าน ตอแหล มีดีอย่างเดียวคือหน้าตา
‘ต้น’ (พระเอก) - ตึก ถึก ยักษ์ปักหลั่น เงียบเป็นเป่าสาก

“มึงด่ากูปากหมา! เจอหมากูกัดหน่อยเป็นไง!”
= ปากกระแทกปาก

ควายถึก ยักษ์จำศีล ฤๅษีเฝ้าถ้ำ สารพัดคำที่มันสรรหามาเรียก
แต่ถ้าจะหาว่าผมตบะแตก ก็ต้องโทษมันคนเดียวที่เป็นตัวต้นเหตุ

นิยายเรื่องนี้ไม่เกี่ยวข้องกับ ‘แจ็คผู้ฆ่ายักษ์’
เพราะว่างานนี้แจ็คจะถูกยักษ์คร่า เพราะว่าแจ็คเป็นของยักษ์


[อัพเดท] แจ็ครวมเล่มกับสนพ.ฟาไฉ สามารถสั่งซื้อรอบสต๊อกได้ทางเว็บสนพ.
http://www.facainovels.com/

[อัพเดท] อีบุ๊คออกแล้วนะคะ
https://www.mebmarket.com/ebook-74447-

ขอบคุณค่ะ  :pig4:

หัวข้อ: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 1 หมากัดปาก
เริ่มหัวข้อโดย: @moment ที่ 09-03-2018 21:24:40
   

   ตอนที่ 1 หมากัดปาก

   

   'ไอ้ตึก' ฉายานี้ผมได้มาจากใครคนหนึ่งซึ่งกลายมาเป็นเพื่อนซี้ได้ยังไงก็ไม่รู้ ซี้กันจริงหรือเปล่าก็ยังไม่แน่ใจ รู้แต่ว่าพวกเราไปไหนมาไหนด้วยกันเสมอ เรียนด้วยกัน กินด้วยกัน เที่ยวด้วยกัน เมาด้วยกัน นอนด้วยกัน

   อย่าเพิ่งทำหน้าแบบนั้น ผมหมายถึงนอนหลับธรรมดา กลิ้งเตะกันบ้าง ก่ายกันบ้าง ตามประสาเพื่อนผู้ชาย

   อาจเป็นเพราะมันปากหมาจนไม่มีใครกล้าคบ สุดท้ายก็เลยมาติดแหงกอยู่กับผม เพราะผมเป็นคนเงียบๆ ง่ายๆ อะไรก็ได้ ไม่ใช่ว่าไม่สู้คน แต่ผมรำคาญ ขี้เกียจต่อปากต่อคำ มันอยากจะด่าก็ปล่อยให้มันด่าไป เพราะถึงแม้ว่ามันจะปากเสีย แต่จริงๆ แล้วนิสัยของมันก็ไม่ได้เลวร้าย

   อย่างน้อยมันก็เป็นคนจริงใจ รักใครแล้วรักจริง ผมรู้ว่ามันรักใครคนหนึ่งมาตั้งแต่สมัยมัธยม จนถึงตอนนี้ก็ยังคงรักอยู่ ตอนแรกผมก็ไม่รู้หรอก เห็นมันคบๆ เลิกๆ กับใครหลายคน จนกระทั่งเริ่มสังเกตเห็นว่าคนที่มันคบด้วยมักจะมีหลายส่วนที่คล้ายคลึงกัน คือเป็นคนเรียบร้อย รูปร่างบาง ท่าทางน่ารักน่าเอ็นดู

   อ้อ คนที่มันคบเป็นผู้ชายนะครับ

   มันเป็นเกย์ แต่ผมไม่ได้เก็บมาใส่ใจ ในเมื่อมันก็ไม่ได้คิดจะปล้ำผมสักหน่อย (หรือต่อให้คิดยังไงมันก็สู้แรงผมไม่ได้อยู่แล้ว ผมก็เลยชิลๆ) และที่สำคัญสเปคของมันห่างไกลกับผู้ชายอย่างผมลิบลับ รูปร่างของผมสูงใหญ่อย่างที่ถูกตั้งฉายาว่า 'ตึก' นิสัยก็ถึกๆ ห่ามๆ แบบผู้ชายทั่วไป

   "ไอ้ถึก! กูหิวแล้ว ไปหาไรกินกัน" ใครบางคนที่กำลังนินทาถึงอยู่ในใจ ตะโกนเรียกผมก่อนที่ตัวจะเดินมาถึงหลายสิบก้าว

   ความจริงแล้วผมชื่อว่า 'ต้น' แต่มันเป็นคนเริ่มเรียกผมว่า 'ตึก' ทำให้เพื่อนคนอื่นต่างพากันเรียกตาม จนตอนนี้แทบจะไม่มีใครเรียกผมด้วยชื่อจริงแล้ว ต่อมามันก็เรียกผมว่า 'ถึก' ด้วยเหตุผลที่ว่าไม่อยากเรียกซ้ำกับคนอื่น บางครั้งมันก็เติมคำขึ้นต้นให้ว่า 'ควายถึก' บางทีก็ผันเป็น 'หมีควาย' หรือเรียกสั้นๆ ก็ 'ควาย'

   เอ้า มันอยากจะเรียกอะไรก็เรียกไป ตามแต่ศรัทธา

   ขอแค่อย่าทำ 'สระอา' หายก็พอ

   "แหมอิแจ็ค! ชวนแต่เพื่อนไม่เห็นหัวพี่เลยนะยะ" พี่มินนี่ที่นั่งอยู่ข้างผมร้องทักตอบ พี่มินนี่เป็นพี่รหัสของแจ็ค เป็นรุ่นพี่ภาคของผม เป็นสาวสวยมากและมั่นมาก หนึ่งในไม่กี่คนที่กล้าลับฝีปากกับแจ็ค

   "โถเจ๊สุดสวยครับ~ ก็เจ๊ตัวเล็กนิดเดียวผมเลยมองไม่เห็น และที่ไม่ชวนก็เพราะรักเจ๊หรอกนะ ไม่อยากให้มวลเพิ่ม เดี๋ยวหมดสวย 'ผัวทิ้ง' แล้วจะมาด่าผม" มันฉีกยิ้มประจบ แต่น่าจะเป็นการประจบเบื้องล่างเสียมากกว่า

   "หนอยอีนี่!" พี่มินนี่โมโหจนผุดลุกขึ้นยืน เพราะโดนสะกิดแผลสดที่เพิ่งถูกแฟนทิ้งมาหมาดๆ ฟิวส์ขาดจนนึกคำด่าไม่ออก จึงโต้ตอบกลับไปด้วยการสาปแช่ง

   "สาธุ! ฉันขอสาปแช่งให้แกมีผัวเป็นตัวเป็นตน!"

   "ส๊าธุ! ผมก็ขออวยพรให้เจ๊มีเมียเป็นตัวเป็นตน"

   แจ็คสวนตอบกลับทันควัน ยังไม่ทันขาดคำจึงถูกพี่มินนี่ปาหนังสือใส่หัว แต่ไอ้คนมือไวก็รับเอาไว้ได้ทัน แถมยังมีหน้ามาหัวเราะระรื่นใส่พี่เขาอีก พอทำอะไรไม่ได้พี่มินนี่เลยได้แต่ขมุบขมิบปากร่ายมนต์ดำใส่ด้วยความแค้น

   ไอ้แจ็คมันก็ปากเหลือร้าย รู้ว่าพี่เขามีปมก็ยังจะชอบแหย่

   เพราะถึงแม้พี่มินนี่... หรือชื่อจริงคือ 'พี่แมน' จะสวยแค่ไหนก็ยังไม่ได้ผ่าและไม่ได้เฉาะ เพราะกลัวว่าป๊าจะหัวใจวายตาย เวลากลับบ้านต่างจังหวัดเลยยังต้องแปลงร่างกลับไปเป็นลูกชายให้ป๊าสบายใจ

   "ถึก! เร็วดิวะ! เดี๋ยวกลับมาไม่ทันคาบบ่าย" แจ็คหันมาเร่งผมอีกครั้ง ผมจึงพยักหน้าส่งๆ พลางคว้าหนังสือจากมือของมันมาวางคืนพี่มินนี่ ก่อนจะลุกเดินตามไป

   

   ผมคิดว่าเวรกรรมคงจะตามทัน หรือไม่ก็คำสาปแช่งของพี่มินนี่สัมฤทธิ์ผล

   ยังครับ มันยังไม่ได้มีผัว แค่ถูกน้องแจ๊สที่เพิ่งจีบติดไม่ถึงเดือนสลัดรัก

   "ไอ้ถึก~! ทำไมชีวิตรักกูถึงได้อาภัพอย่างนี้~!"

   ตกค่ำมันเลยหอบขวดเหล้าพร้อมกับแกล้มมาหาผมที่ห้องอีกตามเคย เมาแล้วก็คร่ำครวญเรื่องเดิมๆ พอเลิกกับใครทีไรมันเป็นต้องมาชวนผมดื่มเหล้าย้อมใจอย่างนี้ทุกที จนผมขี้เกียจจะนับแล้วว่าครั้งนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่

   "กูอุตส่าห์คิดว่าคนนี้ใช่! ชื่อก็คล้องกับกูอย่างกะอะไรดี แจ็คกับแจ๊ส ออกจะเพราะ! มึงว่าไหม?! แล้วทำไมเขาถึงทิ้งกู~"

   ผมชงเหล้าใส่แก้วยื่นส่งให้มันอีกครั้ง ถ้าแก้วไม่ว่างปากมันก็จะได้ไม่ว่าง ยิ่งเมาหลับเร็วได้เท่าไหร่ผมก็จะได้หูชาน้อยลง ไม่นานนักขวดกลมๆ จึงเกือบจะเกลี้ยง มันล่อไปคนเดียวเกินครึ่งขวด ส่วนที่เหลือเป็นฝีมือของผมเอง เพราะผมเองก็นั่งดื่มเป็นเพื่อนมันด้วย ของฟรีผมไม่เกี่ยงอยู่แล้ว

   แต่ดูเหมือนว่าวันนี้แจ็คจะไม่ยอมหลับง่ายๆ ยิ่งเมาก็ยิ่งโวยวาย

   "กูไม่ดีตรงไหน~! หน้าตาก็ดี! เรียนก็พอใช้! กีฬาก็พอถูไถ! พ่อก็ไม่จน! แล้วทำไมเขาถึงไม่รักกู~!"

   ผมว่าที่พูดมาทั้งหมด นอกจากหน้าตาแล้วก็ยังหาข้อดีไม่เจอ

   "แถมปากหมาด้วย" ผมเลยช่วยมันต่อคำ

   "เออ! ปากหมาด้วย~ เฮ่ย! นี่มึงด่ากูนี่หว่า!?"

   แถมยังความรู้สึกช้าอีกต่างหาก ผมแอบยิ้มเมื่อหลอกด่ามันได้สำเร็จ

   "ไอ้ถึก! มึงหัวเราะเยาะกู! มึงด่ากูปากหมา!" มันยกนิ้วชี้หน้า ผมจึงปัดนิ้วของมันออก ผมก็แค่พูดความจริง

   "วอนซะแล้ว! เจอหมากัดหน่อยเป็นไง!"

   โบราณว่าอย่าถือคนบ้าอย่าว่าคนเมา แล้วผมควรจะทำยังไงเมื่อคนเมากำลังทำอะไรบ้าๆ

   "!!!?!?" เสียงอุทานขาดหายเมื่อผมถูกหมากัด

   เอ๊ย! ...ถูกมันจูบ!?

   มันกระชากคอเสื้อของผมเข้าหาอย่างแรงจนผมเสียหลัก เซล้มลงปากกระแทกปาก แล้วมันก็กัด!

   กัดดึงริมฝีปากล่างเพื่อเปิดทาง ก่อนควานหาลิ้นด้านในออกมากัดซ้ำ ผมเจ็บระบมไปทั้งปากทั้งลิ้น ไม่รู้ว่ามีเลือดซึมออกมาบ้างหรือเปล่า แต่ผมเองก็เป็นผู้ชาย ยิ่งพอเมาๆ แล้วถูกกระตุ้น จึงตอบโต้ด้วยการจูบกลับไปรุนแรงไม่แพ้กัน

   "อื้อ!" เสียงอื้ออึงดังอู้อี้ เมื่อลิ้นของมันยังอยู่ในปากของผม และลิ้นของผมก็ยังอยู่ในปากของมัน การกัดกลับกลายเป็นการดูดดึงและขบเม้ม ผมเบียดใบหน้าไปใกล้ ใช้มือใหญ่กดรั้งศีรษะของอีกฝ่ายเข้ามาชิดมากยิ่งขึ้น มือของมันยังคงกำแน่นอยู่บนสาบเสื้อของผม ลมหายใจของพวกเราเจือปนเหล้ากลิ่นเดียวกัน

   ผมยอมรับว่าตอนนี้ผมทั้งมึน ทั้งเมา และก็อาจจะ...เคลิ้ม

   จนกระทั่งความรู้สึกหวิวกลายเป็นความรู้สึกเหวอเหมือนถูกถีบร่วงหล่นหน้าผา เมื่อมันผลักหน้าอกของผมออกอย่างแรง

   "กูจะ...อุ๊บ!"

   มันดึงมือขึ้นมาปิดปากตัวเองก่อนจะ... อ้วกกกกกกกกกก! ไอ้เหี้ย!

   ต่อให้ใช้มือปิดก็ไม่มิด ของเหลวปนกากและกลิ่นไม่พึงประสงค์พรวดเลอะเต็มทั้งเสื้อและกางเกง ทั้งของมันและของผม เหี้ยนี่! มึงเห็นกูเป็นกระโถนหรือไง!? ดีนะที่ไม่อ้วกใส่ปากกูซะเลย!

   "ไอ้แจ็ค!" กลิ่นเหม็นฉุนทำให้ผมรีบยกมือขึ้นปิดจมูก แทบหายเมาเป็นปลิดทิ้ง แต่ไอ้คนเมากลับฟุบหน้าลงมาบนบ่าของผม ไม่อยากบอกว่าหน้ามันจิ้มใส่กองอ้วกของตัวเองด้วยซ้ำ

   เหี้ย! ไม่รู้ว่าผมสบถคำนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่ สุดท้ายผมก็ได้แต่ส่ายหน้าทั้งๆ ที่ยังใช้มือบีบจมูก จัดการถอดเสื้อผ้าของตัวเองออกอย่างทะลักทุเล รวมไปถึงเสื้อและกางเกงของมันด้วย ต้องตามเช็ดคราบเปรี้ยวบนพื้น แถมยังต้องเช็ดตัวให้มันอีก เจริญจริงๆ

   นี่มันเวรกรรมอะไรของผมวะ!?

   

หัวข้อ: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 2 พิษสุนัขบ้า
เริ่มหัวข้อโดย: @moment ที่ 09-03-2018 21:27:38
   ตอนที่ 2 พิษสุนัขบ้า

   

   เยี่ยม... ภาพแรกที่ปรากฏสู่สายตาของผมยามเช้าวันนี้ก็คือ 'ตีน'

   "ไอ่แจ็ค" เสียงแหบแห้งแบบคนเพิ่งตื่นถูกเปล่งออกจากลำคอแห้งผาก

   ผมขยับขาเพื่อเขย่าหัวใครบางคนที่นอนหนุนหน้าแข้งของผมแทนหมอน ศีรษะหนักๆ จึงเอนร่วงลงไปกองลงบนฟูก แต่ยังคงแน่นิ่งไม่ขยับเคลื่อนไหว ผมจึงเบนหน้าออกห่างจากตีนของมันอีกนิด ขมวดคิ้วด้วยความปวดหัวจากอาการเมาค้าง

   ผมและแจ็คไม่ได้นอนดิ้นจนกลับหัวกลับหาง แต่นี่เป็นตำแหน่งประจำของพวกเรา

   เพราะถึงเตียงที่นอนอยู่จะมีขนาดควีนไซส์ แต่ต่อให้นอนคนเดียวผมก็ยังต้องนอนแนวทแยงมุมถึงจะยืดตัวได้เต็มความสูง แล้วจะให้ผู้ชายตัวใหญ่ยักษ์อย่างผมนอนเบียดกับผู้ชายที่ตัวก็ไม่ได้เล็กอย่างมันอีท่าไหน ถ้านอนทิศเดียวกันก็สิงร่างกันเลยเหอะ

   พอไล่ลงไปนอนที่พื้นมันก็ไม่ยอม แล้วเรื่องอะไรที่เจ้าของห้องอย่างผมจะต้องยอมเสียสละเตียงด้วย ไปๆ มาๆ พวกเราก็เลยจบลงด้วยท่านี้

   ผมกะพริบตาไล่ความง่วงออกจากสมอง มองเห็นภาพด้านหน้าได้ชัดเจนยิ่งขึ้น อาจเป็นเพราะเห็นจนชินตา ผมจึงรู้สึกเฉยๆ กับของต่ำอย่างตีนที่มาวางอยู่ข้างของสูงอย่างศีรษะ

   มองไปมองมาผมก็คิดว่านิ้วเท้าของมันสวยดี

   มันเป็นคนนิ้วสวย ปลายนิ้วเรียวยาวทั้งมือและเท้า ไม่ได้สวยบอบบางแบบนิ้วของผู้หญิง แต่เหมือนนิ้วของผู้ชายที่เล่นกีต้าร์หรืออะไรทำนองนั้นมากกว่า ข้อนิ้วโปนเล็กน้อย เล็บตัดสั้นเป็นระเบียบสะอาดสะอ้าน

   "ไอ้แจ็ค ตื่นได้แล้ว"

   ผมยันตัวลุกขึ้นนั่ง ผ้าห่มจึงร่นลงไปกองอยู่ที่เอว เผยให้เห็นร่างกายท่อนบนที่ไม่ได้สวมเสื้อผ้า เพราะเมื่อคืนกว่าจะเก็บกวาดจัดการกับกองอ้วกของมันเสร็จ ผมก็ง่วงจนแทบลืมตาไม่ขึ้น เลยคลานขึ้นเตียงทั้งอย่างนั้น

   ผมใช้หน้าแข้งสะกิดหัวของแจ็คอีกครั้ง ก่อนจะได้ยินเสียงตอบรับเป็นการครางในลำคออย่างไม่พอใจ มันใช้มือกดข้อเท้าของผมให้อยู่นิ่งๆ แถมยังดึงหน้าแข้งไปกอดหนุนแทนหมอน เมื่อมันพลิกตัวตะแคงข้าง ผ้าห่มจึงเลิกออกกว้าง เปิดให้เห็นแผ่นหลังเปลือยเปล่า ไล่ตามแนวกระดูกสันหลังลงไปจนเกือบสุดก้นกบ ใต้เอวสอบ เนินสะโพก เผยร่องเนื้อเนียนรำไร

   ไม่ใช่ว่าผมไม่เคยเห็นตอนมันเปลือย ขนาดกอดคอกันวิ่งแก้ผ้าลงทะเลตอนรับน้องก็เคยมาแล้ว มองยังไงก็เป็นร่างกายของผู้ชายเหมือนกัน และผมก็ไม่เคยคิดพิศวาสเพศเดียวกัน ทว่าตอนนี้ภาพตรงหน้า... กลับทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ

   หรือผมจะติดเชื้อบ้า เพราะว่าโดนหมากัด

   "ตื่นโว้ย! ไม่ไปเรียนเหรอไง" ผมส่ายหน้าไล่ความคิดไร้สาระออกจากสมอง เขย่าขาแรงๆ อีกหลายครั้ง จนเรือนผมนุ่มพลิ้วไหวตามแรงสั่นสะเทือน

   "อือออออ" เสียงครางในลำคอบ่งบอกว่าสมองของมันยังไม่ตื่น แต่ผมคิดว่าร่างกายของมันตื่น เพราะอะไรบางอย่างที่เบียดชิดอยู่แถวต้นขาของผมกำลังยืนตรงเคารพธงชาติ

   "กูไม่ใช่ตุ๊กตายางมึง ไม่ต้องเบียด!" ผมกระเถิบตัวออกห่าง ด้วยสรีระของผู้ชายทำให้ผมมีสภาพหลังตื่นไม่ต่างกันมากนัก

   เป็นธรรมชาติของผู้ชาย ไม่ได้มีเหตุผลอื่นเลยจริงๆ

   "โอ๊ย! แล้วมึงจะถีบทำเหี้ยไร!? ไอ้ห่-นี่!" ในที่สุดแจ็คก็ยันตัวลุกขึ้นมา พอตื่นปุ๊บหมาก็เห่าปั๊บ มันยกมือขึ้นกุมหัวด้วยท่าทางงัวเงีย อาจจะเจ็บเพราะถูกถีบ หรืออาจยังปวดหนึบจากอาการเมาค้าง หรือไม่ก็ทั้งสองอย่าง

   แต่พอร่างนั้นลุกขึ้นนั่ง ผ้าห่มจึงยิ่งเปิดกว้างให้เห็นทุกสัดส่วนของร่างกาย มีผ้าเหลือติดตัวอยู่เพียงหนึ่งชิ้นสุดท้ายคือกางเกงใน ถ้ามันใส่แบบบ็อกเซอร์ ผมก็อาจจะได้เห็นแค่ผ้าป่องกลาง แต่เป็นเพราะมันสวมกางเกงลิงตัวจ้อย นกน้อยจึงเจียนจะโผล่หน้าออกมาทักทาย

   ผมโยนหมอนปิดภาพอุจาดตาแทบไม่ทัน

   "...ทำไมมึงเปลือย" มันนั่งขัดสมาธิ มีหมอนปิดอยู่ตรงกลาง ขมวดคิ้วเหมือนกำลังงงๆ มองหน้าผม ก่อนจะก้มลงมองตัวเอง

   "...แล้วทำไมกูเปลือย" คราวนี้มันเอียงหัวอย่างมึนๆ ยกมือขึ้นกุมหน้าผาก ก่อนจะเงยหน้ามองผมอีกครั้ง

   "อย่าบอกนะว่า...!? มึงปล้ำกู!? ไม่นะ~! กูไม่อยากมีเมียถึก!" มันยกมือสองข้างขึ้นมาทาบแก้ม เบิกตาอ้าปากกว้าง ทำท่าอย่างกับเจ้าหนูน้อยโฮมอโลน

   "ประสาท!" ว่างๆ สงสัยผมคงต้องพามันไปเช็คสมองที่โรงพยาบาลบ้าง คิดมาได้ว่าจะเอาผมทำเมีย!? เทียบไซส์ยังไงผมก็เหมาะจะเป็นผัวมันมากกว่า

   ไม่ใช่ละ... ผมคิดว่าอาจจะต้องพาตัวเองไปโรงพยาบาลเหมือนกัน

   "แล้วเสื้อผ้ากูไปไหน" แจ็คหันมองซ้ายมองขวา

   "ตากอยู่โน่น" ผมจึงพยักพเยิดไปทางระเบียง เสื้อผ้าของมันตากรวมอยู่กับเสื้อผ้าของผม

   "อย่าบอกนะ...ว่ามึงจำเรื่องเมื่อคืนไม่ได้" ผมนิ่วหน้า มองร่างตรงข้ามที่ยังนั่งทำหน้ามึน

   "ทำไม? อย่าบอกนะว่ากูปล้ำมึงจริงๆ" พูดจบมันก็หัวเราะร่วน

   "...มึงอ้วกใส่กู!" ผมตอบความจริงแค่ครึ่งหนึ่ง ขี้เกียจรื้อฟื้นเรื่องบางเรื่องที่ควรปล่อยให้ผ่านไป

   "จริงดิ มั่วป่าว มึงอ้วกใส่กูแล้วโบ้ยว่ากูอ้วกใส่มึงอะดิ"

   ผมนี่อยากจะโบกมันจริงๆ แล้วใครหน้าไหนวะที่ลำบากเช็ดอ้วกให้มึงเมื่อคืน!? ทำคุณบูชาโทษแท้ๆ

   "มึงไปอาบน้ำเลยไป โคตรเหม็น" ผมถีบไล่มันอีกครั้ง

   มันก็ช่างกล้า เดินลงจากเตียงโทงๆ ทั้งเนื้อทั้งตัวสวมกางเกงในตัวเดียว ยังดีที่เห็นแค่ด้านหลัง ไม่อย่างนั้นผมอาจจะต้องเป็นตากุ้งยิงเพราะถูกนกน้อยของมันจิกตาเข้าให้อีก

   หลังจากนั้นผมยังคงนั่งอยู่บนเตียงอีกพักใหญ่ รอให้ธรรมชาติยามเช้าของผู้ชายสงบลง

   

   ผมคงจะลืมเรื่องที่เกิดขึ้นได้ไม่ยาก ถ้ามันไม่ได้ฝากแผลเอาไว้ด้วย เจ็บฉิบ! ริมฝีปากล่างด้านในยังคงห้อเลือดเป็นรอยฟัน พาลแสบๆ คันๆ ตลอดเวลาที่เคี้ยวข้าว

   "ปากมึงเป็นอะไร" ไอ้ตัวต้นเหตุกลับถามตาใส

   "โดนหมากัด!" ผมตอบส่งๆ

   "ห๊ะ!? หมาที่ไหนวะกัดปาก"

   หมาในปากมึงนั่นแหละ! ผมตอบในใจ

   "อย่าลืมไปฉีดยานะเว่ย อากาศร้อนๆ แบบนี้โรคหมาบ้ายิ่งระบาดอยู่" ไม่รู้ว่ามันพูดพาซื่อหรือว่าจงใจกวนตีนกันแน่

   "เออ" ผมแค่ตอบรับสั้นๆ ขี้เกียจต่อความยาวสาวความยืด

   เมื่อผมก้มหน้าก้มตากินข้าวต่อ มันจึงก้มลงกินก๋วยเตี๋ยวของตัวเองบ้าง

   ไม่รู้ว่ามันจะรู้สึกตัวบ้างหรือเปล่า ว่าวันนี้ปากของตัวเองเจ่อๆ บวมๆ แดงๆ ยิ่งตอนที่มันห่อปากเป่าลมใส่เส้นก๋วยเตี๋ยว หรือตอนที่อ้าปากแลบลิ้นเล็กน้อยเพื่อสูดเส้นเข้าไป หรือตอนที่เลียปากเพื่อกำจัดคราบมัน... ปากมันโคตรน่ากัดเป็นบ้า

   ผมอาจจะต้องไปฉีดยารอบสะดือจริงๆ

   "มองอะไร" มันเงยหน้าขึ้นมาเลิกคิ้วอย่างสงสัย

   ผมเบนสายตาออกจากปากที่กำลังดูดน้ำโอเลี้ยงขึ้นจากหลอด มันจึงเอี้ยวตัวกลับไปมองด้านหลัง บังเอิญปะกับสาวทรงดูมๆ ในชุดนักศึกษารัดติ้ว กระโปรงสั้นเสมอหู นั่งไขว่ห้างกินข้าวอยู่โต๊ะถัดไป

   "วิ้วววววววว~ควายถึกคึกคัก~ยักษ์จะเลิกจำศีลแล้วครับพี่น้อง~" มันผิวปากแซวเป็นเพลง

   ผมได้แต่ส่ายหน้า บังคับสายตาให้ก้มกลับลงมามองจานข้าว

   ถ้ายักษ์เลิกจำศีลเมื่อไหร่ ผมว่ามันนั่นแหละ คนแรกที่จะเดือดร้อน

   

   
หัวข้อ: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 3 หมากัดต้องกัดตอบ
เริ่มหัวข้อโดย: @moment ที่ 09-03-2018 21:34:21

   ตอนที่ 3 หมากัดต้องกัดตอบ

   

   ควายถึกทึนทึก ยักษ์จำศีล ฤๅษีเฝ้าถ้ำ สารพัดคำที่มันสรรหามาเรียก

   อาจเป็นเพราะผมไม่ได้คบกับใครมานานแรมปี หลังจากเลิกกับแฟนเก่าที่คบกันมาตั้งแต่สมัยม.ปลาย ด้วยระยะห่างที่มากขึ้น เวลาว่างไม่ตรงกัน ยิ่งผมเป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูดอะไรเพราะไม่อยากชวนทะเลาะ กลับยิ่งถูกมองว่าไม่เอาใจใส่ พอเลิกรากันไปผมก็ไม่ได้คบกับใครอีก

   ผมไม่ได้อกหักช้ำรักจนไม่อยากรักใคร หรือเป็นพวกรักฝังใจอย่างมันหรอก แค่อาจจะยังไม่เจอคนที่คิดว่าใช่ ก็เลยไม่ได้เริ่มจีบใคร และผมก็ไม่ได้รู้สึกเดือดร้อนอะไรกับชีวิตโสดด้วย

   อีกเหตุผลหนึ่ง อาจเป็นเพราะผมไปไหนมาไหนกับแจ็คบ่อยเกินไปเลยไม่มีสาวที่ไหนกล้าเข้าใกล้ เพราะว่ากลัวถูกหมากัด ผมหมายถึงเจอปากหมาๆ ของมันแซวซะจนเสียผู้เสียคน

   แต่ถ้ามันเรียกผมว่า 'ควายถึก'

   ตัวมันก็คงจะเป็น 'หมาแรด'

   เพราะมันเล่นเปลี่ยนแฟนบ่อยอย่างกับเปลี่ยนทิชชู ที่พอสั่งขี้มูกเสร็จก็ขยำทิ้งลงถังขยะ (ส่วนใหญ่มันจะเป็นทิชชู) หลังจากถูกน้องแจ๊สสลัดรักได้แค่ไม่กี่วัน มันก็ลั้ลลาเปลี่ยนไปหาเป้าหมายใหม่ได้อย่างรวดเร็ว

   คราวนี้เป็นเด็กม.ปลายหน้าใส ใส่แว่นด้วย ท่าทางเป็นเด็กเรียน เรียบร้อย ตรงสเปคมันเลยล่ะ

   "น่ารักใช่ม๊า~ คนนี้แหละใช่ชัวร์~" มันอวดรูปในมือถือให้ดู ผมได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอา เห็นคบกับใครก็พูดอย่างนี้ทุกที แต่ก็ไม่เห็นจะไปกันรอดสักราย

   "ถึก~ วันนี้กูกลับก่อนนะ~ ต้องรีบไปรับน้องพี~" พออารมณ์ดีมันก็เรียกผมเสียงหวาน ท่าทางกระดี๊กระด๊า โลกใบนี้เป็นสีชมพูสดใส น่าหมั่นไส้เป็นบ้า

   "ระวังเห๊อะจะถูกเด็กหลอก ไม่เคยได้ยินเหรอยะ หน้าใสใจเสือเชื่อไม่ได้" พี่มินนี่ถือโอกาสเหน็บแนมเบาๆ

   "เจ๊ครับ~ หน้าตาใช้วัดคนไม่ได้หรอกนะครับ ลองดูอย่างผัวเก่าเจ๊สิครับ หน้าเหียกขนาดนั้นมันยังนอกใจเจ๊ได้เลย" คงเพราะตอนนี้กำลังอารมณ์ดีจัด แจ็คจึงแค่ยอกย้อนเบาๆ ด้วยภาษาที่เกือบจะสุภาพ

   พี่มินนี่เองก็ตอบโต้เบาๆ ด้วยการดีดน้ำจากหลอดใส่หน้า แจ็คเปียกนิดหน่อยแต่ก็ยังฉีกยิ้มหวาน แถมยังส่งจูบลาก่อนจะคว้ากระเป๋าเป้เดินลั้ลลาออกไป น่าเสียดายที่วันนี้พี่มินนี่ไม่ได้ขมุบขมิบปากร่ายมนต์ดำใส่มันด้วย อาจเป็นเพราะตอนนี้เพิ่งได้รักใหม่มาดามใจ เลยเลิกแคร์แผลเก่าแล้ว

   

   ต่อให้หมั่นไส้มันมากแค่ไหน แต่สาบานได้ว่าผมยังไม่เคยแช่งมันเลยสักนิด

   คราวนี้กรรมเก่าอาจจะแรง หรือไม่ก็สวรรค์มีตาฟ้าเป็นใจ

   เพราะมันทำลายสถิติใหม่ ผ่านไปไม่ถึงสองอาทิตย์ก็แบกขวดกลมๆ พร้อมกับแกล้มมาที่ห้องของผมอีกครั้ง เป็นไปตามคำเตือนของพี่มินนี่ไม่มีผิดเพี้ยน

   "มึงไม่รู้ว่ากูช็อคแค่ไหน!? ตอนที่เห็นมันนัวเนียแลกลิ้นจนแทบจะกินกันอยู่ในรถ! พอจับได้คาหนังคาเขามันก็บอกเลิกกูด้วยเหตุผลเหี้ยๆ ว่ากูไม่มีรถหรูๆ ขับไปรับไปส่ง!" ตอนเช้ามันยังเรียก 'น้องพี' อย่างนั้น 'น้องพี' อย่างนี้ ตอนนี้สรรพนามพลิกเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังตีน

   "กูเหรออุตส่าห์เฝ้าทะนุถนอม จูบซักครั้งก็ยังไม่เคย! ถ้ารู้ว่ามันจะร่านขนาดนี้กูน่าจะเสียบสักทีสองทีให้สาแก่ใจ! เหี้ยเอ๊ย! ยิ่งคิดก็ยิ่งแค้นโว้ยยยยยยยย!" สรุปว่าที่แหกปากโวยวายอยู่นี่เป็นเพราะเสียใจหรือเสียดายที่ยังไม่เคยได้แอ้มเขากันแน่? ผมได้แต่ส่ายหน้าระอา

   "มึงไม่ต้องมาทำหน้าอย่างนั้นใส่กูเลย! ก็กูไม่ได้จำศีลเหมือนมึงเหอะถึงจะได้เลิกเงี่ยน!" พูดจบแจ็คก็กระดกแก้วขึ้นดื่มรวดเดียวจนหมด ยิ่งเมา ปากมันก็ยิ่งร้าย หน้ามันก็ยิ่งไร้ยางอาย ผมหมายถึงปรกติก็ไม่ค่อยจะมีอยู่แล้ว ตอนนี้ก็ยิ่งไม่หลงเหลือ

   แต่มันอาจจะไม่พูดแบบนั้น ถ้ารู้ว่าผมกำลังนั่งรินเหล้าให้ด้วยความคิดแบบไหน

   "กูถามจริงเถอะ มึงไม่แบบ เงี่ยนมั่งอะไรมั่งเหรอวะ" มันเปลี่ยนมาแส่ เอ่อ ถามเรื่องของผมแทน อาจเป็นเพราะต้องการเปลี่ยนหัวข้อสนทนา จะได้ไม่ต้องนึกถึงเรื่องเดิมให้เจ็บช้ำหัวใจ

   แต่ผมคิดว่าปากของมันกำลังจะหาเรื่องใส่ตัว

   "ทำไมจะไม่ กูก็เป็นผู้ชาย" ผมตอบเรียบๆ สั้นๆ

   ในขณะที่แจ็คยังกระดกแก้วขึ้นดื่มเรื่อยๆ และผมก็คอยรินเติมให้อยู่เรื่อยๆ ไม่ปล่อยให้แก้วของมันว่าง

   "ก็กูไม่เห็นมึงมีแฟนมาตั้งนานแล้ว เที่ยวกลางคืนหรือก็ไม่ หิ้วหญิงมากกหรือก็ไม่เคย ถ้าไม่ใช่กามตายด้าน กูก็ว่ามึงคงใกล้จะบรรลุแล้วล่ะ"

   มึงนั่นแหละที่หมกมุ่นมากเกินไป ...ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมอาจจะด่ามันได้เต็มปากเต็มคำกว่านี้

   "พิสูจน์ไหมล่ะ" ผมถามเสียงเรียบ

   "ห๊ะ?" มันทำหน้าเอ๋อ ความมึนๆ เมาๆ อาจทำให้อึ้งไปชั่วขณะ

   "พิสูจน์ไหมว่ากูไม่ได้ตายด้าน" ผมย้ำถามคำเดิม

   "พิสูจน์? ยังไง? มึงจะเล่นหนังสดให้กูดูเหรอ" พอหายเอ๋อปากเสียๆ ก็เริ่มทำงานอีกครั้ง

   "กูก็ไม่อยากจะขัดศรัทธาหรอกนะ แต่มึงลืมอะไรไปหรือเปล่าว่า 'กู' กับ 'มึง' มันคนละสปีชี่กัน!"

   มันยกนิ้วขึ้นชี้หน้าตัวเองตอนพูดคำว่า 'กู' ก่อนจะจิ้มบนหน้าผากของผมตอนพูดคำว่า 'มึง' ผมยกมือขึ้นปัดตามสัญชาติญาณ แต่จิตใต้สำนึกกลับสั่งให้ทำมากกว่านั้น ด้วยการจับมือของมันเอาไว้

   "กูก็ไม่ได้หมายความอย่างนั้น และก็ไม่ได้มีรสนิยมชอบโชว์ด้วย แต่กูหมายถึง... พิสูจน์แบบ... อืม อย่างเช่น 'เทียบขนาด' เป็นไง"

   ผมเอ่ยถึงสิ่งที่บังเอิญผุดขึ้นมาในสมอง การละเล่นห่ามๆ ที่แม้แต่ตอนฝึกรด.หรือตอนรับน้องก็เคยผ่านมาแล้ว แต่ตอนนั้นผมไม่ได้สนใจว่าของใครจะเป็นยังไง ก็แค่ทำเพื่อให้ผ่านพ้นไป

   "จะได้รู้กันไปว่า 'กู' ไม่ได้ 'ตายด้าน' อย่างที่ 'มึง' หยาม"

   ผมจับนิ้วของมันให้ชี้เข้าหาตัวผม ก่อนจะจับหันกลับไปจิ้มคืนบนหน้าผากของมัน

   "เหอะ! มึงก็ขี้โกงอะดิ มึงตัวใหญ่กว่ากูตั้งเยอะ กูเสียเปรียบเห็นๆ"

   "งั้นกูต่อให้มึงนิ้วนึงก็ได้"

   ผมยักยิ้ม ทั้งๆ ที่ใครหลายคนเคยเรียกผมว่าเสือยิ้มยาก

   "เหี้ยยยยย! หยามกันชัดๆ! พูดแบบนี้มึงเอาตีนเหยียบหน้ากูเลยดีกว่า!" ใบหน้าที่แดงอยู่แล้วเพราะฤทธิ์แอลกอฮอล์ยิ่งแดงก่ำ และสาเหตุคงไม่ได้เป็นเพราะความอาย

   "เออ! ได้! กูรับคำท้า! ถ้าแพ้มึงก็เตรียมตัวฟังกูล้อเจ็ดชั่วโคตรได้เลย! เริ่มเลยดีกว่านับถอยหลังอีกห้านาทีเจอกัน!" มันเค้นเสียงคำรามในลำคอ

   ทันทีที่พูดจบมันก็เริ่มนับเวลา ไม่เปิดโอกาสให้ผมถามเลยด้วยซ้ำว่าถ้าชนะแล้วผมจะได้อะไร แต่อันที่จริงสำหรับผมเรื่องแพ้ชนะก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญ...

   จากนั้นพวกเราจึงนั่งหันหลังให้กัน มีแค่โต๊ะเตี้ยตัวเล็กคั่นกลาง ต่างคนต่างจัดการกับตัวเองเพื่อให้พร้อมที่สุดสำหรับการ 'วัด'

   ผมขอสารภาพตามตรงว่า... วันนี้ผมตั้งใจจะมอมเหล้ามัน  เพราะต้องการพิสูจน์อะไรบางอย่าง แล้วโอกาสก็หล่นโครมลงมาตรงหน้า แต่ยิ่งเวลาผ่านไป ผมก็ยิ่งเริ่มแน่ใจว่าผลลัพธ์ที่รออยู่น่ากลัวกว่าที่เคยคิดไว้หลายเท่า

   ผมไม่ได้จินตนาการถึงภาพผู้หญิงเลยด้วยซ้ำ ประสาทสัมผัสกลับจับจดอยู่กับร่างด้านหลัง ได้ยินเสียงรูดซิป เสียงผ้าขยับสวบสาบ เสียงผิวเนื้อถูกถูไถ เสียงผ่อนลมหายใจเข้าออก และที่น่ากลัวที่สุด ร่างกายของผมกำลังตื่นตัวตอบรับเสียงเหล่านั้น

   ห้านาทีผ่านไปอย่างรวดเร็วและเนิ่นนานจนผมแทบลืมหายใจ

   "มึงส่งไม้บรรทัดมาดิ๊" มันตะโกนสั่งทั้งๆ ที่ยังไม่ได้หันกลับมา

   "...แล้วกูจะรู้ได้ยังไงว่ามึงจะไม่โกง" ผมบังคับเสียงของตัวเองไม่ให้แหบพร่า

   "ก็ได้ ถ้างั้นผลัดกันวัด" จากทิศทางเสียง ผมคิดว่ามันหันหน้ากลับมาทางผม

   ผมจึงเอื้อมมือไปหยิบไม้บรรทัดจากชั้นหนังสือ กลั้นหายใจ ก่อนหันหลังกลับไปเผชิญหน้า

   ผมมองหน้าแจ็ค แต่มันไม่ได้มองตอบ เพราะสายตากำลังจ้องมองส่วนล่าง เทียบกับของตัวเองพลางกัดฟันกรอดๆ อย่างขัดใจ

   ไม้บรรทัดอยู่ในมือของผม ผมจึงเป็นฝ่ายวัดขนาดของมันก่อน

   ผมต้องพยายามบังคับตัวเองอย่างสุดความสามารถไม่ให้มือสั่น ข่มเสียงให้ราบเรียบเอ่ยบอกตัวเลขที่วัดได้ ถือว่าไม่เล็กสำหรับมาตรฐานชายไทย

   มันกระตุกไม้บรรทัดไปจากมือของผมก่อนจะลงมือวัดเช่นเดียวกัน ทว่าตอนที่ปลายนิ้วเรียวยาวถือไม้บรรทัดมาวางเทียบอยู่ข้างๆ ผมคิดว่าตัวเองขยายขนาดขึ้นอีก จนต้องกัดฟันแน่นด้วยความปวดหนึบ

   "เหี้ย! ไอ้ที่เพิ่มมาหลังหมดเวลานี่กูไม่นับนะ! ผิดกติกา!" มันพยายามเข้าข้างตัวเองสุดๆ

   "เสมอ! เสมอๆๆๆ" มันโวยวายพลางโยนไม้บรรทัดทิ้งลงบนพื้น

   หักลบส่วนที่ต่อให้มันด้วย ถ้านับขนาดสุดท้ายแล้วผมคิดว่าตัวเองชนะ แต่ตอนนี้มันอยากจะพูดอะไรก็ปล่อยให้มันพูดไป เพราะผมไม่มีสติเหลือพอจะเถียง แค่ท่องยุบหนอพองหนอในใจผมก็แทบจะคลั่ง

   "มึงจะทำอะไร" มันเลิกคิ้วถามเมื่อผมขยับใบหน้าเข้าไปใกล้

   "...มึงก็เห็นแล้วว่ากูไม่ได้ตายด้าน เพราะงั้นมึงก็น่าจะรู้ ...ว่าอะไรที่ถูกปลุกแล้วมันก็อยากจะปล่อย" ผมพึมพำเสียงเบา

   "มือใครมือมันดิ" มันตอบห้วนสั้นแบบขวานผ่าไม่เหลือซาก

   แต่เมื่อผมลองขยับเข้าไปใกล้จนปลายจมูกเฉี่ยวชนกัน มันก็ไม่ได้เบี่ยงตัวหลบหรือปฏิเสธ

   "มึงไม่ได้เป็นเกย์ไม่ใช่เหรอไง" แจ็คลดระดับเสียงลง เพราะถ้าขยับมากกว่านั้นปากของเราคงจะสัมผัสกัน

   นั่นแหละคือคำถามที่ผมกลัว

   และกลัวมากที่สุดว่าผมกำลังจะได้คำตอบ

   "...ก็แค่สร้างบรรยากาศ"

   ผมกดจูบลงไปโดยไม่เปิดโอกาสให้มันพูดอะไรต่อ และเมื่อมันจูบตอบกลับมาผมก็ไม่อยากจะคิดอะไรอีก

   ถึงแม้จะยังไม่อยากยอมรับ แต่ร่างกายกลับซื่อตรงมากกว่าคำพูด และกำลังทำหน้าที่ตอบคำถาม

   ระหว่างยอมรับว่าผมอาจจะเป็นเกย์ กับยอมรับว่าผมอาจจะสิ้นคิดหลงผิดไปชอบผู้ชายปากหมาอย่างมัน คุณคิดว่าผมจะทำใจยอมรับคำตอบไหนได้ง่ายกว่ากัน

   เรื่องนั้นช่างมันก่อน

   ตอนนี้ผมยังเมามันกับการกัดกับหมา เอ่อ จูบกับมัน และภาวนาขอให้มันไม่เมาจนอ้วกใส่ผมอีกครั้งก็พอ

   

   

หัวข้อ: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 4 หมาทดลอง
เริ่มหัวข้อโดย: @moment ที่ 09-03-2018 21:36:47

   ตอนที่ 4 หมาทดลอง

   

   เยี่ยม ภาพแรกที่ปรากฏสู่สายตาของผมในเช้าวันนี้ก็คือ 'ตีน' อีกแล้ว

   ทุกอย่าง(เกือบ)เป็นปรกติเพราะพวกเรายังมีเสื้อผ้าติดตัว(เกือบ)ครบทุกชิ้น ผมสวมเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นตัวเดียวกับเมื่อวาน ในขณะที่แจ็คสวมเสื้อยืด แต่คาดว่าท่อนล่างที่ซ่อนอยู่ใต้ผ้าห่มน่าจะเหลือแค่กางเกงในตัวจ้อย เพราะผมเห็นกางเกงยีนส์ของมันกองยับยู่อยู่กับพื้น

   ขวดเหล้า ขวดโซดา แก้วน้ำ เศษกับแกล้ม สารพัดขยะยังคงกองเกลื่อนอยู่บนโต๊ะเตี้ย ผมมองภาพนั้นพลางยันกายลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะก้มมองคนที่ยังนอนหนุนหน้าแข้งของผมแทนหมอน

   ผมไม่แน่ใจว่ามันจะจำเรื่องที่เกิดขึ้นได้หรือเปล่า

   เมื่อคืนผมตั้งใจมอมเหล้า และมันก็เมามาก แต่อาจจะไม่มากเท่ากับวันที่อ้วกใส่ผม เพราะอย่างน้อยคราวนี้มันก็ไม่ได้อ้วก และก็ไม่ได้ฟุบหลับไปกลางคัน

   ผมเองก็ดื่มไปไม่น้อย แต่แค่พอมึนๆ ยังไม่ถึงขั้นเมา ผมคิดว่าสติของตัวเองเหลือครบเต็มร้อย จนกระทั่งแลกจูบกับมัน

   ถ้าผมเมา ก็คงต้องโทษรสชาติเหล้าจากปากของมัน

   พวกเราจูบกันนานแค่ไหนผมเองก็จำไม่ได้ แต่คงจะไม่เหลือซอกมุมใดในปากของแจ็คที่ผมไม่ได้สำรวจ เขี้ยวมันคมใช่ย่อย เกือบจะบาดลิ้นอยู่หลายครั้ง แต่ผมก็ยังชอบเลียผ่านแนวไรฟัน พลางตวัดขึ้นไปดุนดันบนเพดานปาก จุดไวต่อสัมผัสที่กระตุ้นให้มันเปล่งเสียงผ่านลำคอ ก้องสะท้อนตรงเข้าสู่โสตประสาทของผม

   "อือออออ" เสียงครางอู้อี้ของคนที่นอนอยู่ดึงสติของผมกลับมา

   อาการของผมตอนนี้ราวกับคนยังไม่สร่างเมา ทั้งๆ ที่แทบไม่เหลือแอลกอฮอล์ตกค้างอยู่ในร่างกาย ผมชะงักมือที่วางอยู่บนข้อเท้า อาจจะเผลอลูบขึ้นไป ถ้าร่างนั้นไม่ได้ขยับพลิกตัวพอดี

   แจ็คปรือตาขึ้นมาเล็กน้อย ก่อนจะหลับตาลงไปอีกครั้งเหมือนว่ายังอยากนอนต่อ

   ทว่าวินาทีถัดมาดวงตาที่ปิดลงก็เบิกกว้าง พร้อมดีดตัวขึ้นมาจ้องหน้าผม

   "มึงเป็นเกย์!? จริงดิ!? ทำไมกูไม่เคยรู้!?" เสียงอุทานดังลั่นแทนคำทักทาย บ่งบอกให้รู้ว่าครั้งนี้มันจำเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนได้

   ผมได้แต่นั่งนิ่ง ไม่รู้จะตอบยังไง เพราะผมเองก็ไม่รู้

   "หรือว่ามึงเมา อ่ะ หรือจะเมาจนจำอะไรไม่ได้ นี่มึงยังแฮงค์อยู่หรือเปล่า ได้ยินที่กูถามไหม ฮัลโหลๆ เฮ่ย! ตอบด้วย!" มันโบกมือไปมา แถมยังเอานิ้วชี้จิ้มลงมากลางหน้าผาก ผมจึงปัดมือของมันออก

   "กูไม่ได้เมา กูจำได้" ผมตอบสั้นๆ

   "งั้นมึงก็เป็นเกย์?" แจ็คถามคำถามเดิมซ้ำอีกครั้ง

   "มึงชอบผู้ชาย?" มันเปลี่ยนคำถามเมื่อผมไม่ตอบ

   "แต่มึงก็เคยมีแฟนเป็นผู้หญิงนี่หว่า หรือว่ามึงจะเป็นไบ?"

   "เหี้ยนี่! ตอบหน่อยดิวะ กูอยากรู้!"

   มันเตะสะโพกของผม เมื่อผมไม่ยอมตอบอะไร

   แต่พอมันขยับตัวโดยไม่ระวัง ผ้าห่มที่คลุมอยู่บนตักจึงเลิกขึ้นไปเกือบถึงโคนขา ยังโชคดีที่เมื่อคืนทหารเพิ่งผ่านศึกมาหมาดๆ จึงไม่มีพลังเหลือเฟือพอตื่นขึ้นมาเคารพธงชาติ ผมพยายามละสายตาจากเงาใต้ผ้าห่ม

   "แล้วมึงคิดว่ากูเป็นไหมล่ะ" ผมลองถามกลับ เพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ

   ถ้าถามว่าผมมีอารมณ์กับมันหรือเปล่า คงจำใจต้องตอบว่า 'ใช่' แต่ถ้าถามว่าผมมีอารมณ์กับผู้ชายคนอื่นหรือเปล่า ตอบได้เลยว่า 'ไม่' แล้วอย่างนี้ผมควรจะจัดตัวเองอยู่ในหมวดไหน เกย์? ไบ?

   "แต่ว่าเกย์ดาร์กูไม่กระดิกเลยนะ อย่างเวลาเจอคนน่ารัก ก่อนจะเข้าไปทักกูก็ต้องสัมผัสได้ก่อนว่า เออ คนนี้พวกเดียวกันนะ จีบได้ ประมาณว่าผีเห็นผี แต่อย่างมึงเนี่ย" สายตาของมันไล่มองผมตั้งแต่หัวจรดเท้า

   "กูไม่เห็นผีว่ะ เห็นแต่หมีควาย ฮ่าๆๆ" มันเล่นเอง ชงเอง ระเบิดหัวเราะเอง

   แต่ผมคิดว่าเรดาร์ของมันคงจะเสีย

   "หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะว่ามึงไม่ใช่สเปคกู กูก็เลยดูไม่ออก" มันพูดพลางยักไหล่

   ไม่ต้องตอกย้ำผมก็รู้ ว่าสเปคของมันคนละขั้วกับผมโดยสิ้นเชิง

   "อย่างนี้ก็ต้องหาวิธีพิสูจน์" มันขมวดคิ้วครุ่นคิด แต่นัยน์ตากลับฉายแวววิบวับราวกับถูกกระตุ้นต่อมขี้เสือก แต่มันไม่รู้เองต่างหากว่าผมได้พิสูจน์ไปแล้ว

   "ยังไง" ผมลองถามกลับไป ถ้ามันจะยอมใช้ตัวเองพิสูจน์(อีกที) ผมจะไม่ปฏิเสธ

   มันเงียบลงเหมือนกำลังใช้ความคิด ก่อนจะถูกขัดจังหวะด้วยเสียงท้องร้อง

   "เดี๋ยวค่อยคิด ตอนนี้หิวแล้วคิดไม่ออกว่ะ ไปหาไรกินกันเหอะ" พูดจบแจ็คก็ก้าวลงจากเตียง เดินตัวปลิวไม่ได้แคร์เลยว่าท่อนล่างสวมแค่กางเกงในตัวจ้อย เหมือนมันเพิ่งจะรู้ตัวด้วยซ้ำตอนเดินสะดุดกางเกงยีนส์ที่กองยับยู่ยี่อยู่บนพื้น จึงก้มหยิบก่อนเดินต่อไปทางห้องน้ำ

   มันทำท่าเหมือนไม่ได้ใส่ใจเรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเลยสักนิด

   สำหรับแจ็คนั่นอาจจะไม่ใช่เรื่องใหญ่ ก็แค่การจูบกับผู้ชาย แล้วก็แค่...อะไรที่เริ่มต้นด้วย 'มือใครมือมัน' ถูกบรรยากาศพาไปจนลงท้ายด้วย 'ช่วยกันคนละไม้คนละมือ'

   สัมผัสแข็งๆ หยุ่นๆ ลื่นๆ ชาตินี้ผมไม่เคยคิดมาก่อนเลยว่าจะต้องมาจับของผู้ชายด้วยกัน แค่คิดก็สยอง และสิ่งที่สยองมากที่สุดคือ ผมกลับไม่รู้สึกรังเกียจเลยสักนิด กลับกัน ทั้งเสียงและสีหน้าของมันกลับกระตุ้นให้ผมยิ่งเร่งมือ และมือของมันก็ทำให้ผมร้อนจนแทบจะระเบิด ...ไม่ใช่ 'แทบจะ' หรอก ผมก็แค่เปรียบเทียบ

   เอาเป็นว่าผมได้พิสูจน์แล้ว และผลลัพธ์ก็ค่อนข้างน่ากลัวมาก

   เพราะนอกจากจะไม่รังเกียจ ผมยังอยากได้ยิน อยากเห็น และก็อยากทำมากกว่านั้นอีก

   

   ผมไม่นึกว่าแจ็คจะเอาจริง เพราะตลอดทั้งวันก็ไม่เห็นมันจะพูดถึง ผมเองก็เกือบลืมไปแล้วซะด้วยซ้ำ จวบจนกระทั่งหลังเลิกเรียน

   "คืนนี้ทุ่มนึง เดี๋ยวกูไปรับมึงที่หอนะ" แจ็คพูดโพล่งขึ้นมาระหว่างที่พวกเรากำลังเดินลงจากตึก

   ผมเลิกคิ้วเล็กน้อย เพราะมันใช้คำว่า 'ไปรับ' ไม่ใช่คำว่า 'มาหา' และตามปรกติทุกครั้งมันนึกอยากจะมาก็มา ไม่เคยนัดล่วงหน้าก่อนเลยสักครั้ง

   "แต่งตัวให้หล่อนะจ๊ะพ่อหนุ่ม เดี๋ยวเจ๊จะพาไปเปิดหูเปิดตา" มันขยิบตาให้ผมแบบรู้กัน ผมไม่รู้อะไรกับมันด้วยหรอก แต่พอจะนึกขึ้นได้ว่ามันคงหมายถึงเรื่องที่พูดค้างไว้เมื่อเช้า

   'อย่างนี้ก็ต้องหาวิธีพิสูจน์'

   เอาสิ ผมก็อยากรู้เหมือนกันว่ามันจะพิสูจน์ยังไง

   หลังจากนั้นพวกเราจึงแยกย้ายกันที่หน้าตึก ผมตรงกลับหอ ส่วนแจ็คก็กลับบ้านของมันไป

   มันเคยบ่นว่าอยากจะอยู่หอเหมือนกัน แต่แม่ไม่ยอมให้อยู่ บอกว่าจะอยู่หอทำไมให้สิ้นเปลือง ไปเช้าเย็นกลับเอาก็ได้ เพราะบ้านของแจ็คอยู่ห่างจากมหาลัยไปไม่ถึงชั่วโมง วันไหนที่ขี้เกียจกลับบ้านมันก็ชอบมาสิงที่ห้องของผม จนเสื้อผ้าข้าวของเครื่องใช้ที่มันทิ้งเอาไว้มีเพิ่มมากขึ้นทุกวัน

   พอได้เวลาทุ่มเศษแจ็คก็มายืนเคาะประตูอยู่หน้าห้อง วันนี้มันแต่งตัวมาแบบจัดเต็ม ใส่เสื้อยืดแขนกุดสีขาวทับด้วยเสื้อกั๊กสีเทาเข้ม เปิดต้นแขนอวดกล้ามเล็กน้อย แถมยังห้อยสร้อยสีเงินยาวลงมาถึงกลางหน้าอกเป็นจี้ลวดลายเก๋ไก๋ สวมกางเกงยีนส์เข้ารูปสีดำ รองเท้าผ้าใบสูงราวข้อเท้า ผมแทบนึกว่ามันหลุดออกมาจากปกซีดีนักร้องเกาหลี

   ในขณะที่ผมสวมเสื้อยืดธรรมดา ตามด้วยกางเกงยีนส์กับรองเท้าผ้าใบสีซีด มันมองสภาพผมแล้วก็ส่ายหน้า

   "กูบอกให้แต่งหล่อๆ ไง" พูดจบมันก็ลากแขนผมกลับเข้าห้อง ถือวิสาสะเปิดรื้อตู้เสื้อผ้า หยิบเสื้อหลายตัวออกมาพิจารณา มองแล้วก็ส่ายหน้าก่อนยัดเก็บกลับเข้าไป หยิบบางตัวออกมาทาบบนบ่าของผม ก่อนที่สุดท้ายจะยื่นเสื้อยืดสีดำเข้ารูปกับเสื้อเชิ้ตตัวหนึ่งมาให้

   ผมได้แต่ถอนหายใจ ขี้เกียจเรื่องมาก จึงถอดเสื้อยืดตัวที่สวมอยู่ออก และรับเสื้อจากมือของมันมาสวมแทน

   เท่านั้นยังไม่พอ มันยังกดบ่าผมให้นั่งลงบนเตียง คว้าเจลจัดแต่งทรงผมมาถูบนมือทั้งสองข้าง ก่อนละเลงลงบนศีรษะอย่างมันมือ ขยำขยี้อยู่พักหนึ่ง สุดท้ายจึงถอยออกมายืนชมผลงานของตัวเองด้วยความพอใจ

   "วันนี้กูใจดี ยอมให้มึงหล่อเกือบเท่ากูวันนึงละกัน" แจ็คพูดพลางยักยิ้ม ยื่นมือหนึ่งออกมาจับปอยผมหน้าของผมเล่นไม่เลิก

   "จะไปกันได้หรือยัง" ผมจึงยืนยืดตัวขึ้นเต็มความสูง มันจะได้เล่นหัวผมไม่ได้อีก

   "แหมใจร้อนจริง~ อยากจะไปแรดแล้วละสิ~" ผมคิดว่าตัวเองเคยชินกับปากของมันแล้ว แต่ดูเหมือนว่าวันนี้มันจะจงใจใช้ภาษาและน้ำเสียงที่ 'กระแดะ' มากเป็นพิเศษ

   "ไปซะที จะพาไปแรดที่ไหนก็ไป" แต่ผมก็ยังบ้าจี้รับมุก ทำให้แจ็คหัวเราะร่วนก่อนเดินออกจากห้อง

   พวกเราแวะกินข้าวเย็นกันแถวหน้าหอ เพราะมันบอกว่าไปถึงแล้วเน้นดื่มไม่เน้นกิน หลังจากกินอะไรรองท้องเสร็จพวกเราจึงกวักเรียกรถแท็กซี่ มันให้เหตุผลว่า 'ร่วมรณรงค์นโยบายเมาแล้วไม่ขับ' แต่ผมคิดว่าวันนี้มันจิ๊กรถแม่มาขับไม่สำเร็จมากกว่า

   สถานที่ที่มันพามา ไม่แตกต่างจากสิ่งที่ผมคาดการณ์เอาไว้มากนัก

   เป็นผับขนาดกลางแห่งหนึ่ง ภายในค่อนข้างมืดสลัว มีแสงหลากสีสันสาดสลับไปมาเป็นจังหวะเคล้ากับเสียงเพลง พื้นที่ตรงกลางเป็นลานโล่งกว้าง ทว่าแน่นขนัดไปด้วยผู้คนที่ยืนเต้นกันอยู่กลางฟลอร์ รอบด้านเป็นโต๊ะตัวเล็กเรียงราย มีคนนั่งดื่มกันอยู่อย่างครึกครื้น

   มองแวบแรกก็เหมือนผับทั่วไป เพียงแต่มีลูกค้าผู้ชายมากกว่าผู้หญิง จนกระทั่งผมเหลือบไปเห็นสาวสวยสองคนกำลังนั่งจูบกันดูดดื่ม และบนฟลอร์ก็มีผู้ชายยืนเต้นเนื้อแนบเนื้อแทบจะรวมร่างกันอยู่มะรอมมะร่อ ผมจึงแน่ใจว่าอะไรๆ ที่คิดไม่ผิดไปจากที่คาดเดา

   "เอาล่ะ ทีนี้ก็สอดส่องหาเป้าหมาย" พวกเราสั่งเครื่องดื่มกันคนละแก้ว แจ็คยกแก้วในมือขึ้นจิบพลางกวาดตามองรอบร้าน แจกยิ้มให้กับคนที่สบตากันโดยบังเอิญหรืออาจจะจงใจ สุดท้ายจึงวกกลับมามองผม

   "กูนึกว่ามึงชอบเด็กเรียบร้อยซะอีก" ผมถามอย่างแปลกใจจริงๆ เพราะคิดว่าสเปคของแจ็คไม่น่าจะหาเจอจากแถวนี้ ปรกติเห็นมันชอบจีบเด็กน่ารัก เรียบร้อย ใสๆ

   "ไอ้คุณถึกครับ อันนั้นคือสเปคเมียที่เคารพ ส่วนอันนี้อาหารจานด่วน กินเอามัน ฟอร์ฟัน ฟันจบแล้วก็ทางใครทางมัน มึงไม่เคยได้ยินเหรอแบบน้ำแตกแล้วแยกทางอ่ะ"

   ยิ่งฟังมันพูด คิ้วของผมก็ยิ่งขมวดเข้าหากัน ไม่ใช่ว่ายังไม่ชินกับความปากจัด แต่พอนึกภาพว่ามันเคยทำอย่างที่พูด ผมก็ชักจะไม่ชอบสถานที่แบบนี้ และไม่อยากให้มันทำแบบนั้นอีก

   "มึงมาที่นี่บ่อยเหรอ" ผมถามกลับเสียงเรียบ

   "ไม่อ่ะ" แจ็คตอบพลางยักไหล่ ผมจึงเลิกคิ้ว หืม เป็นคนดีกว่าที่คิด?

   "ไม่มีตังค์" มันพูดต่อหน้าตาเฉย ผมเลยได้แต่ส่ายหน้า

   "เอาน่า กูอุตส่าห์พามึงมาถึงนี่ก็เพื่อจะได้พิสูจน์ให้รู้แจ้งเห็นจริงกันไปเลยไง ถ้าอยากรู้ผลลัพธ์แบบฉับไวมันก็ต้องทดลอง มึงมองแล้วถูกใจใครบ้างไหมล่ะ อย่างคนตัวเล็กที่นั่งดื่มอยู่ตรงนั้น หรือคนหน้าหวานที่ยืนอยู่ตรงโน้น หรือว่าคนขาวๆ ที่เต้นอยู่กลางฟลอร์" มันชี้นิ้วให้ผมมองตาม

   แต่มันคงไม่รู้หรอกว่าสิ่งที่ผมมอง... คือปลายนิ้วเรียวสวยของมัน

   "ถ้ามึงสนใจคนไหนก็เข้าไปจีบซะ กูอุตส่าห์แต่งหล่อให้ซะขนาดนี้น่าจะตกเหยื่อได้ไม่ยาก อ้อ แล้วก็อย่าลืมใส่ถุงด้วยนะ คนสมัยนี้รู้หน้าไม่รู้ใจ" มันพล่ามต่อหน้าตาเฉย ทำเอาผมกระจ่างแจ้งชัดเจนเลยว่ามันตั้งใจให้ผม 'ทดลอง' ด้วยวิธีไหน

   "ได้ผลลัพธ์ว่าไงก็อย่าลืมบอกกูด้วย ตอนนี้กูขอตัวไปแรดก่อนละ"

   อ้าว เวร พอพูดจบมันก็ทิ้งให้ผมนั่งอยู่คนเดียว ทิ้งความรับผิดชอบซะงั้น เอาผมมาปล่อยเกาะกลางผับเฉยๆ ส่วนตัวมันเองเดินเข้าไปหาผู้ชายร่างเล็กที่เมื่อกี้แอบสบตากันอยู่หลายครั้ง

   แจ็คเป็นคนปากหมา แต่ข้อดี(?)ของมันคือ 'หน้าด้าน'

   ผมเห็นมันเดินเข้าไปทักทายก่อนจะถือวิสาสะนั่งร่วมโต๊ะกับเขาอย่างเนียนๆ ถ้ามองแค่รูปลักษณ์ภายนอกก็ถือว่าผู้ชายคนนั้นน่ารักตรงสเปคมันเลยทีเดียว และถ้าล่ามโซ่เอาไว้ไม่ปล่อยให้หมาในปากออกมาเห่าเพ่นพ่าน แจ็คก็จัดว่าเป็นคนหน้าตาดีในระดับที่ใครๆ คงยินดีเปิดโอกาสให้เข้าไปนั่งคุยด้วยได้ไม่ยาก

   ผมนั่งมองภาพนั้นด้วยความรู้สึกโคตรเซ็ง

   ถ้ารู้ว่าจะเป็นอย่างนี้ผมคงไม่มากับมันด้วยหรอก ผมได้แต่ทิ้งแผ่นหลังลงบนพนักพิงเพื่อระบายอารมณ์ สั่งเหล้าอีกแก้วมาดื่มดับความหงุดหงิด ก่อนจะกวาดตามองไปรอบร้านเรื่อยเปื่อย ผมไม่ได้รังเกียจเพศที่สาม มองเห็นผู้ชายยืนนัวเนียกันก็ยังรู้สึกเฉยๆ

   เพียงแต่รู้สึกเฉยๆ แบบ 'ไม่รู้สึกอะไรเลย'

   ไม่เหมือนตอนที่ผมจูบกับมัน หรือทำอะไรกันมากกว่านั้น...นิดหน่อย

   "ขอนั่งด้วยคนได้ไหมครับ" ผมดึงสายตากลับมาหาต้นเสียง พบกับผู้ชายคนหนึ่ง รูปร่างสูงโปร่งเกือบเท่าแจ็ค แต่ค่อนข้างผอมบาง และหน้าตาออกหวานกว่า แถมยังแต่งตัวเปิดเผย สวมเสื้อยืดเนื้อผ้าบาง คว้านคอกว้างลึกลงมาเกือบถึงกึ่งกลางหน้าอก

   เมื่อผมไม่ได้ตอบปฏิเสธ ร่างบางจึงเดินมานั่งลงด้านข้าง แทนที่นั่งเดิมของแจ็ค ก่อนจะแนะนำตัวเองว่าชื่อ 'พีท' พีทชวนคุยหลายอย่าง ผมตอบรับสั้นๆ หรือบ้างก็พยักหน้าตามมารยาท

   "ปรกติต้นเป็นคนเงียบอย่างนี้อยู่แล้วเหรอ" พีทถามพลางอมยิ้มมองผม

   "หรือว่ากำลังเขิน... เพราะดูท่าทางต้นไม่ใช่คนชอบเที่ยว มาเที่ยวที่นี่เป็นครั้งแรกใช่ไหม" ผมพยักหน้าให้กับหลายคำถาม ถึงแม้จะตอบปฏิเสธบางคำถามอยู่ในใจ ผมไม่ได้เขิน แค่มักจะเงียบเป็นปรกติอยู่แล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกับคนที่ยังไม่ค่อยคุ้นเคยกันมากนัก

   "ถ้าต้นไม่ชอบที่นี่ พวกเราไปหาที่อื่นนั่งคุยกันเงียบๆ ดีไหม" ใบหน้าหวานยังคงแย้มยิ้ม และยิ่งขยับตัวเข้ามาใกล้ จนผมได้กลิ่นน้ำหอมอ่อนๆ ก่อนจะรู้สึกถึงสัมผัสจากมือที่วางแนบลงมาบนหน้าขา

   มือของพีทขาวเนียนคล้ายมือของผู้หญิง แต่ผมกลับไม่รู้สึกอะไรเลยนอกจากความอึดอัด

   "คือ ผมนั่งรอเพื่อนอยู่" ผมเริ่มพยายามหาข้ออ้าง

   "เพื่อนคนที่นั่งอยู่ด้วยกันเมื่อกี้หรือเปล่า แต่ดูท่าทางคืนนี้เขาคงจะไม่กลับพร้อมต้นแล้วมั้ง" รอยยิ้มและสายตาของพีทแลดูหยอกเย้า แต่เมื่อผมมองตามไปยังมุมหนึ่งของร้านก็เริ่มเข้าใจความหมาย เพราะดูเหมือนไอ้คนที่พาผมมาปล่อยเกาะ มันกำลังจะเริ่มเข้าด้ายเข้าเข็ม

   ผมเห็นแจ็คจูบกับคนตัวเล็ก...

   ที่ผ่านมาผมรู้ว่าแจ็คมีแฟนเป็นผู้ชาย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมเคยเห็นกับตาว่ามันจูบกับผู้ชาย

   ผมไม่ได้รังเกียจภาพผู้ชายจูบกับผู้ชาย แต่ตอนนี้ผมกลับรู้สึกไม่ชอบเอามากๆ มากจนแทบอยากจะตรงเข้าไปกระชากสองคนนั้นออกจากกัน

   "ขอโทษนะพีท ผมคงต้องกลับแล้วล่ะ" ผมยังระงับอารมณ์ของตัวเองได้ค่อนข้างดี แต่อาจจะไม่ดีพอ เพราะพอพูดจบผมก็ผลุดลุกจากโต๊ะ เดินตรงเข้าไปหาคนสองคนที่กำลังแลกลิ้นกันอยู่

   ถ้าวันนี้มันพาผมมาเพื่อพิสูจน์ ผมก็คิดว่าตัวเองได้ข้อสรุปเพิ่มขึ้นอีกสองข้อ

   หนึ่ง ผมไม่ได้รู้สึกอะไรเลยกับผู้ชายคนอื่น

   สอง ผมคิดว่าผมกำลังหึง ค่อนข้างมาก

   และถ้ามันอยากจะพิสูจน์ว่าผมเป็นเกย์หรือเปล่า จากสองข้อที่ว่ามาผมก็คิดว่าวิธีการพิสูจน์ขั้นต่อไม่น่าจะยาก

   แค่จำเป็นต้องใช้มันมาเป็น 'ตัวทดลอง' ก็เท่านั้นเอง

   

หัวข้อ: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 5 ยักษ์จะออกจากถ้ำ
เริ่มหัวข้อโดย: @moment ที่ 09-03-2018 21:57:44


   ตอนที่ 5 ยักษ์จะออกจากถ้ำ

   

   ผมเดินมาหยุดยืนอยู่หน้าโต๊ะได้พักใหญ่ แต่ก็ยังไม่มีวี่แววว่าจะมีใครหันมาสนใจ อาจเป็นเพราะกำลังกัดกันเพลินไม่ลืมหูลืมตา ไม่ได้ใส่ใจคนรอบข้าง จนกระทั่งคนตัวเล็กเป็นฝ่ายสังเกตเห็นผมก่อน จึงถอยห่างจากแจ็คเล็กน้อย หันมาเอียงคอมองผมด้วยท่าทางน่ารัก

   "แจ็คนั่นเพื่อนคุณหรือเปล่า" ริมฝีปากที่ยังเงาวับเป็นประกายหันไปกระซิบถามคนข้างๆ พลางคลี่ยิ้มมาให้ แต่ผมยิ้มตอบไม่ออก

   ส่วนไอ้เพื่อนตัวดีหันกลับมามองผมด้วยแววตาแบบ 'มึงจะมาเป็นก้างเพื่อ?'

   ซ้ำร้ายที่สุดมันส่ายหน้าตอบว่า "ไม่รู้จัก"

   ไอ้ห่-! ผมคิดว่าตัวเองเป็นคนใจเย็นจนบางครั้งถูกมันเรียกว่าก้อนหิน แต่ตอนนี้ผมชักอยากจะเอาก้อนหินปาใส่หน้ามันแทน! แต่ผมก็ยังรักษาท่าทางภายนอกให้นิ่งอยู่ได้

   เอาสิ ในเมื่อมันพูดแบบนั้นได้ ผมก็พูดได้เหมือนกัน

   "ไม่ใช่เพื่อนหรอก แต่เป็นแฟน"

   "เฮ่ยยยยยยยไอ้ถึก! มึงพูดบ้าอะไร!? ไม่จริงนะครับ มันโกหก มึงตั้งใจจะเล่นบ้าอะไรเนี่ย!?" มันรีบหันไปแก้ตัวกับคนตัวเล็กก่อนจะหันกลับมาด่าผมอีกครั้ง

   แต่ประโยคที่พูดออกมาก็ฟ้องอยู่โทนโท่ว่ามันนั่นแหละที่โกหก

   คนตัวเล็กหันมองผมสลับกับแจ็คอย่างงงๆ ราวกับกำลังชั่งใจว่าควรจะเชื่อใครมากกว่า สุดท้ายร่างนั้นก็หันไปยิ้มหวานให้แจ็คที่นั่งอยู่ด้านข้าง

   "ถึงผมจะเป็นคนรักสนุก แต่โทษทีนะ ผมโสดเลือกได้ และก็เกลียดผู้ชายหลายใจที่สุด!" รอยยิ้มพลันบูดบึ้ง พูดจบก็สะบัดหน้าลุกเดินออกไป ยังถือว่าโชคดีที่คนสวยไม่ได้ตวัดแก้วน้ำหรือนิ้วทั้งห้าใส่หน้าใครเหมือนในละครด้วย

   "เฮ้ เดี๋ยวก่อนสิ!" แจ็คทำท่าจะลุกตาม ผมจึงคว้าแขนของมันเอาไว้

   มันชักสีหน้าใส่ผมด้วยท่าทางไม่พอใจพร้อมพยายามสะบัดแขนออก ผมจึงพยักพเยิดให้มันก้มลงมองโต๊ะ แทนคำบอกว่าคนที่ลุกออกไปไม่ได้ทิ้งเงินเอาไว้ด้วย แปลว่าของที่สั่งมาทั้งหมดมันต้องเป็นคนจ่าย แจ็คจึงกลอกตาอย่างเซ็งจัด ก่อนจะกระแทกตัวกลับลงไปนั่งด้วยความหัวเสีย

   "มึงเล่นบ้าอะไรเนี่ย!? ดูดิ๊ เหยื่ออุตส่าห์ติดเบ็ดแล้วเชียว! หลุดมือไปเฉยเลย เซ็งโว้ย โคตรของโคตรเซ็ง! นั่นปากหรือหูรูดพูดออกมาได้ว่ากูกับมึงเป็นแฟนกัน!? ฟ้าจะได้ผ่ากลางวันแสกๆ สยอง!" มันทั้งบ่นทั้งกร่นด่ายิ่งกว่าหมีกินรังแตน

   "พูดอย่างกับมึงไม่ได้โกหกงั้นล่ะ" ผมก็ยังเคืองที่มันพูดออกมาได้ว่า 'ไม่รู้จัก'

   "ก็หมูจะหามใครใช้ให้มึงเอาคานเข้ามาสอด ว่าแต่มึงจะมาหากูทำไม บอกแล้วว่าถ้าสนใจใครก็ให้เข้าไปจีบ ไร้น้ำยาอีกดิ" ปากหมาได้อีก

   "แล้วมึงคิดจะพากูมาปล่อยเกาะแบบนี้เนี่ยนะ มึงก็รู้ว่ากูไม่ชอบคุยกับคนแปลกหน้า"

   มันหยุดมองผมแบบ...เหมือนกับยอมรับว่าไม่ทันได้คิด เพราะจะว่าไปตอนที่เรารู้จักกันใหม่ๆ มันก็เป็นฝ่ายเดียวที่พูด พูด พูด และบังเอิญว่าผมเป็นคนเดียวที่ทนฟังมันไหวก็เลยยังคบกันมาได้จนถึงทุกวันนี้

   "ก็มึงอยากจะพิสูจน์ไม่ใช่เหรอไง ถ้าไม่ใช้วิธีนี้แล้วจะให้ใช้วิธีไหน" แต่มันก็ยังตั้งหน้าตั้งตาเถียงต่อ

   "...กลับกันเหอะ" เพราะวิธีที่ผมอยากใช้ คงไม่จำเป็นต้องมาถึงที่นี่

   "อ้าว จะรีบกลับไปไหน เพิ่งมาถึงยังไม่ทันได้สนุกเลย" มันโวยวาย

   แต่ถ้าคำว่า 'สนุก' ของมันคือการทำแบบเมื่อกี้และอาจจะมากกว่านั้นกับคนอื่น ผมคิดว่าคงไม่มีทางสนุกไปกับมันด้วยแน่ๆ มีแต่ยิ่งอยู่ยิ่งเห็นก็จะยิ่งเซ็งและหงุดหงิดมากกว่า

   "ตามใจ ถ้ามึงไม่อยากกลับกูกลับคนเดียวก็ได้" ใจจริงผมอยากจะบังคับลากคอมันกลับไปด้วยกัน แต่อีกใจก็อาจจะอยากลองใจ ดูสิว่ามันจะแคร์ผมบ้างหรือเปล่า

   "อะไรว๊าาา เออๆ กลับก็ได้ มาด้วยกันก็ต้องกลับด้วยกันดิ โห่ เซ็งฉิบ" มันยังบ่นไม่เลิก แต่คำตอบที่ได้รับก็ทำให้ผมแอบยักยิ้ม

   "ขืนมึงกลับไปก่อนแล้วใครจะอยู่ช่วยกูจ่าย โต๊ะนี้แม่งสั่งไปกี่ตังค์ก็ไม่รู้" ประโยคถัดมาทำให้ผมต้องหุบยิ้มฉับพลัน เปลี่ยนเป็นการส่ายหน้า ชักจะไม่แน่ใจว่ามันแคร์ผมหรือว่าแคร์ตังค์ในกระเป๋าของตัวเองกันแน่

   สุดท้ายพวกเราก็กวักแท็กซี่กลับไปที่หอของผม ตลอดทางแจ็คก็ยังบ่นไม่เลิกว่ามาเสียเที่ยว ด่าผมที่เข้าไปขัดจังหวะ ตบท้ายด้วยการนินทาว่าขืนกลับบ้านในสภาพนี้ต้องถูกท่านแม่บังเกิดเกล้าบ่นจนหูชาแน่ๆ

   อันที่จริงพวกเราก็ดื่มกันไปแค่คนละไม่กี่แก้ว ยังไม่ทันได้เมา แถมเจอใบเสร็จเข้าไปก็ทำเอาเกือบสร่าง เพราะร้านที่มันพามาถือว่าค่อนข้างแพงสำหรับนักศึกษาที่ยังไม่มีรายได้ พอลงจากรถมันก็เลยแวะเข้าร้านเจ๊หมวยเจ้าประจำ ซื้อเหล้าเน้นดีกรีไม่เน้นราคา พร้อมกับแกล้มติดไม้ติดมือมาด้วย

   "คืนนี้ไม่ได้เอา ได้เมาก็ยังดีวะ" พอเข้าห้องมาแจ็คก็จับจองที่นั่งข้างโต๊ะเตี้ยมุมเดิม ชงเหล้าเองดื่มเองเสร็จสรรพ ก่อนจะชงเผื่อผมด้วยตามความเคยชิน

   แต่มันจะรู้ตัวบ้างหรือเปล่า ว่าพูดอะไรทำอะไรแต่ละอย่าง มีแต่หาเรื่องใส่ตัวชัดๆ

   ทั้งโอกาส สถานการณ์ สถานที่ กำลังบั่นทอนความรู้สึกผิดชอบชั่วดีของผม แถมมันยังไม่รู้จักระวังตัวเลยสักนิด เหมือนตั้งใจจะยั่วกันชัดๆ นั่งมึนๆ เมาๆ หน้าแดงๆ ปากแดงๆ น่าจูบเป็นบ้า

   แต่พอเผลอนึกถึงภาพที่ปากแดงๆ กำลังแลกลิ้นอยู่กับคนอื่น ผมก็เผลอกระดกแก้วในมือขึ้นดื่มจนหมด

   "กูอุตส่าห์หวังดีพาไปเปิดหูเปิดตา แล้วดูดิ๊ เสียตังค์ฟรีแถมยังอดแดกอีก เออ เลยไม่ได้พิสูจน์ด้วยว่ามึงเป็นเกย์หรือเปล่า" มันบ่นยืดยาวก่อนจะพูดเหมือนนึกขึ้นได้ แต่ก็ยังไม่หยุดพล่ามต่อ

   "มึงก็อย่ากระแดะนักเลยน่า ขนาดเด็กม.ปลายสมัยนี้มันนัดบอดเจอกันยังจิ้มกันจนพรุน แล้วดูมึงดิ ไอ้โรคนั่งเงียบเป็นเป่าสาก ไม่ชอบเสวนากับคนแปลกหน้า หมกตัวอยู่แต่ในถ้ำอย่างนี้แล้วเมื่อไหร่จะมีแฟนกับเขาซะที นี่ขนาดจะฝักใฝ่เพศไหนมึงก็ยังสับสนตัวเองอยู่เลย"

   "ก็มีมึงอยู่ทั้งคน" ผมพูดโพล่งขึ้นมา

   "หา?" มันชะงักไปด้วยสีหน้างงจัด

   "กูหมายถึง... ไม่เห็นต้องหาคนแปลกหน้าที่ไหนมาช่วยพิสูจน์ ในเมื่อกูมีเพื่อนเป็นเกย์อยู่ตรงนี้ทั้งคน"

   ผมยกแก้วในมือขึ้นดื่มอีกครั้ง ตีสีหน้าเรียบเฉยเหมือนเรื่องที่พูดออกไปไม่ใช่เรื่องใหญ่ ทั้งๆ ที่อารมณ์ภายในกำลังปั่นป่วนอย่างหนัก ความยับยั้งชั่งใจกำลังพ่ายแพ้ต่อความหงุดหงิด ความเซ็ง ความอยากรู้ ผมเองก็อยากพิสูจน์ ไม่ใช่เรื่องที่ตัวเองเป็นเกย์หรือเปล่า แต่เป็นเรื่องที่... ผมรู้สึกยังไงกับมันกันแน่

   และผมก็คงจะไม่ใช่คนที่ดีนัก กำลังตั้งใจจะใช้ข้ออ้างบังหน้าเพื่อพิสูจน์ทางร่างกาย ก่อนที่จะคิดจะถามหัวใจ

   "เอ่อ กูคิดว่า... มึงยังไม่ค่อยเข้าใจอะไรนิดหน่อยนะ คือแบบ มึงอาจจะไม่ค่อยรู้เรื่องเกี่ยวกับเกย์เท่าไหร่" พอหายงงมันก็เริ่มพูดอะไรที่ทำให้ผมเริ่มจะงงแทน

   "คือแบบว่าเกย์เนี่ย ก็คือผู้ชายกับผู้ชายใช่ป่ะ เวลาฟีเจอริ่งกันมันก็ต้องมีฝ่ายหนึ่งทำหน้าที่แทนผู้หญิง อย่างที่เขาเรียกกันว่าคิงกับควีน หรือรุกกับรับ อะไรอย่างงี้ พูดง่ายๆ ก็คือแบบฝ่าย 'เสียบ' กับฝ่าย 'ถูกเสียบ' อ่ะ"

   ไม่ต้องถึงขั้นทำมือประกอบแบบเลขหนึ่งจิ้มเลขศูนย์ผมก็เข้าใจ

   "แล้วคือกูเป็นรุก หมายถึงเป็นฝ่ายเสียบอะนะ แต่น้ำหน้าอย่างมึงกูก็คงเสียบไม่ลง" มันเห็นผมนิ่วหน้าจึงปรับคำพูดใหม่

   "คืออย่างมึงก็คงไม่ได้อยากจะถูกใครเสียบใช่ไหมล่ะ เพราะฉะนั้นที่มึงบอกจะให้กูช่วยพิสูจน์อ่ะ มึงอ่านปากกูนะ -มัน-เป็น-ไป-ไม่-ได้-" มันชี้นิ้วที่ปากของตัวเองพร้อมพูดย้ำทีละคำ ช้าๆ ชัดๆ

   "แล้วมึงไม่เคยลองเป็นรับเหรอ" แวบแรกผมถามด้วยความสงสัย แต่พอเผลอจินตนาการภาพแจ็คอยู่ใต้ร่างของใครคนอื่น แค่คิดผมก็ฉุนกึก ยิ่งกว่าตอนที่เห็นมันแลกลิ้นกับคนตัวเล็กน่ารักนั่นซะอีก

   "ก็ไม่เคย" มันตอบพลางยักไหล่ ทำให้ผมลอบถอนหายใจ

   "ไม่เคยลองแล้วรู้ได้ไงว่าเป็นไปไม่ได้" ผมลองถามต่อ

   "มึงเข้าใจคำว่ารสนิยมป่ะ อย่างมึงเกลียดแมลงสาบก็ไม่มีเหตุผล ถ้ามีคนบอกให้มึงลองเลี้ยงแมลงสาบไว้ดูเล่น มึงจะลองไหมล่ะ" มันพูดถึงไอ้ตัวน่าขยะแขยงสีดำที่แค่คิดผมก็ขนลุก

   "มึงเปรียบเทียบอย่างนั้นก็ไม่ถูก ทีอย่างกูไม่เคยคิดว่าตัวเองจะชอบผู้ชาย มึงยังคะยั้นคะยอให้กูพิสูจน์เลย" ผมพูดวกกลับเข้าเรื่อง ตามด้วยชักแม่น้ำทั้งห้าก่อนที่มันจะเถียงต่อ

   "กูก็อาจจะไม่ได้เป็นเกย์ หรือมึงก็อาจจะไม่ได้เป็นรับ แต่ถ้าไม่ลองก็ไม่รู้... ถ้าเกิดลองแล้วไม่ใช่ ไม่เวิร์ค ก็ยังหยุดกลางคันได้ ดีกว่าไปลองกับคนอื่นให้เสี่ยงโดนตบด้วย"

   "แต่กูไม่ได้อยากลองนี่หว่า" มันขมวดคิ้ว ไม่ยอมตกหลุมพรางง่ายๆ

   "ก็ถือซะว่าเป็นผลพลอยได้ ได้ช่วยเพื่อน แถมได้ลองอะไรใหม่ๆ ด้วย"

   "ผลพลอยได้บ้านพ่อ-งดิ" มันด่ากลับทันควัน

   ผมเริ่มขี้เกียจจะสรรหาข้ออ้างอีก จึงเริ่มใช้วิธีลัดโดยการวางแก้วในมือลงบนโต๊ะ ก่อนจะขยับตัวเข้าไปใกล้ ค่อยๆ โน้มใบหน้าเข้าไปหา และคนหน้าด้านอย่างมันก็ไม่เคยหลบ

   "เอาจริงดิ" มันถามด้วยเสียงที่เบาลงเล็กน้อย เพราะระยะห่างที่น้อยลง

   ผมจึงตอบรับสั้นๆ แค่ในลำคอ "อือ"

   "ถ้าไม่ใช่ ไม่เวิร์ค มึงหยุดแน่นะ" มันถามอย่างลังเล

   ผมตอบด้วยเสียงในลำคอเหมือนเดิม ถึงแม้ว่าครั้งนี้จะเป็นการตอบเพื่อตัดบทมากกว่า เพราะไม่อยากเปิดโอกาสให้มันได้พูดอะไรอีก และผมคิดว่าโอกาส 'หยุด' ก็คงจะเหลือน้อยเต็มที

   
-------------------------
   
   เฮือกกกกก จัดบรรทัดใหม่เหนื่อยมาก ค่อยๆ กระดึ๊บไปแล้วกัน  :z10:


หัวข้อ: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 6 ตบะแตก
เริ่มหัวข้อโดย: @moment ที่ 09-03-2018 22:17:21


คำเตือน: เนื้อหาในตอนนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุมากกว่า 18 ปีขึ้นไป

   

   ตอนที่ 6 ตบะแตก

   

   "กูว่าไม่เวิร์กว่ะ เลิกเหอะ"

   เสียงพึมพำในลำคอ ทำให้ประโยคนั้นฟังดูไม่มีน้ำหนักเลยสักนิด และอะไรๆ ที่อยู่ตรงกลางระหว่างพวกเราก็เป็นหลักฐานฟ้องอยู่โทนโท่ จากการเริ่มต้นด้วยมือใครมือมัน สิ่งนั้นกำลังร้อนรุ่มและเรียกร้องสัมผัสมากกว่าการช่วยกันคนละไม้คนละมือ

   "มึงป๊อดละสิ" ผมพยายามข่มเสียงของตัวเองไม่ให้แหบพร่า ตั้งใจเลือกใช้คำพูดกวนโทสะ เพราะรู้ว่ามันไม่ชอบให้ใครมาหยาม

   "กูไม่ได้ป๊อด!" ได้ผล ถึงแม้ว่ามันจะยังขมวดคิ้วยุ่ง ก้มมองตรงกลางระหว่างพวกเราตาขวาง ก่อนจะกัดฟันกรอดๆ อย่างหมั่นไส้แกมไม่พอใจ

   "เหี้ยมึงดูความจริงมั่งดิ๊ ตัวใหญ่เป็นควายยักษ์อย่างนี้ ขืนเสียบใครมีหวังได้ช้ำในไส้แตกตายห่-" ปากหมาๆ ยังคงพูดจาทำลายบรรยากาศ รูปประโยคเหมือนจะด่า แต่เนื้อหาคงจะกระทบศักดิ์ศรีลูกผู้ชาย มันถึงได้ทำท่าฮึดฮัดขัดใจ เหมือนไม่อยากยอมรับว่าขนาดของตัวเองแพ้ แต่ของมันเห็นๆ กันอยู่เต็มตา

   "มึงป๊อด" ครั้งนี้ผมจึงแถมรอยยิ้มมุมปาก และก็ได้รับคำตอบตามที่คาด

   "กูไม่ได้ป๊อด!" แต่มันก็ยังไม่ยอมติดกับดักง่ายๆ

   "กูว่าเอาอย่างนี้ดีกว่า ถึงรูปร่างหน้าตามึงจะห่างไกลจากสเปคกูไปหน่อย แต่กูน่าจะพอทำใจเสียบไหว แล้วตัวกูก็แบบไม่ใหญ่เกินไป ไซส์กำลังพอดี๊พอดี แถมยังมีประสบการณ์มากกว่า มึงก็ได้พิสูจน์ด้วย กูก็ไม่ต้องเจ็บตัวด้วย วินวินจะตาย เนอะ" มันเปลี่ยนน้ำเสียงเป็นการตะล่อมหว่านล้อม แต่ถ้าผมยอมก็บ้าไปแล้ว

   "กูว่าอย่างที่ตกลงกันไว้น่ะดีแล้ว ในเมื่อกูต้องลองอะไรใหม่ๆ มึงก็ควรจะลองอะไรใหม่ๆ ยุติธรรมดีออก" ผมพูดรวบรัด ไม่อยากจะสรรหาข้ออ้างมาเถียงกับมันอีก จึงเริ่มขยับมือสานต่อกิจกรรมอีกครั้ง

   "ยุติธรรมตรงไหนวะ อะ" มันยังรั้นจะเถียง ผมจึงกดน้ำหนักมือ กำรูดรอบส่วนที่แข็งขึง เปลี่ยนให้ปลายประโยคกลายเป็นเสียงอุทานขึ้นจมูก

   "ยุติธรรมตรงที่มึงถอดกูก็ถอด" ผมพูดตัดบทด้วยความอดทนที่เริ่มจะเหลือน้อยเต็มที ดึงเสื้อยืดของตัวเองผ่านออกทางศีรษะ ก่อนรั้งกางเกงที่เกะกะให้หลุดออกไปจากร่างกาย พูดจบก็เอื้อมไปดึงกางเกงของมันที่ร่นลงมาอยู่ใต้สะโพกให้ร่วงลงไปถึงหัวเข่า

   "แม่งโคตรจะยุติธรรม" ปากมันยังคงบ่นขมุบขมิบอิดออด แต่ความฆ่าได้หยามไม่ได้อาจจะค้ำคอ มันถึงได้ดึงกางเกงของตัวเองให้พ้นออกจากข้อเท้า ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะถอดเสื้อตาม ร่างกายของพวกเราจึงเปลือยเปล่า

   ผมมองภาพด้านหน้าด้วยความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก ไม่ใช่ว่าไม่เคยเห็นตอนมันเปลือย แต่ไม่ใช่ในสภาวะอารมณ์แบบนี้

   ทั้งๆ ที่ร่างเบื้องหน้ามองยังไงก็เป็นร่างกายของผู้ชาย ไม่ได้อ้อนแอ้นบอบบางเหมือนผู้หญิง หน้าอกแบนเรียบ มีกล้ามเนื้อตกแต่งพอประมาณ แถมยังมีอะไรชี้โด่เด่อยู่กลางลำตัวเหมือนๆ กับผม มองยังไงก็ไม่ใช่ภาพที่น่ามองเลยสักนิด แต่ผมกลับละสายตาไม่ได้ ซ้ำร้ายเลือดในกายกลับยิ่งสูบฉีดหนักหน่วง

   "ไม่เวิร์กใช่ป่ะ เห็นแล้วหมดอารมณ์ใช่ป่ะ กูว่าแล้ว~ มึงไม่ได้เป็นเกย์หรอก หยุดตอนนี้ก็ยังทันนะ" มันอาจจะเข้าใจความหมายของการที่ผมนิ่งอึ้งผิดไป หรือไม่ก็ตีความเข้าข้างตัวเอง

   ผมจึงเบียดสะโพกเข้าหาต้นขาของมันแทนการตอบคำถาม และคำตอบนั้นก็ทำให้มันยอมหุบปากไปได้ชั่วคราว แต่กันเอาไว้ก่อนดีกว่าแก้ ผมจึงโน้มใบหน้าเข้าไป ใช้ปากลงกลอนปิดฟาร์มสุนัขเอาไว้ เพราะลางสังหรณ์บอกว่าสิ่งที่กำลังจะทำต่อไปจะทำให้มันแหกปากโวยวาย

   และก็เป็นอย่างที่คิด เมื่อผมเลื่อนแขนลงไปดันต้นขาสองข้างให้ขยับห่างออกจากกัน ลูบมือลงบนช่องทางด้านหลังก่อนกดแทรกนิ้วเข้าไป ปากประตูปิดสนิทแม้กระทั่งนิ้วก็ยังเบียดเข้าไปลำบาก เสียงอู้อี้จึงร้องลั่นอยู่ในลำคอ

   สารภาพตามตรงผมแทบจะไม่รู้ว่าเซ็กส์ระหว่างผู้ชายกับผู้ชายทำกันยังไง ถึงพอจะรู้ว่าต้องใช้ด้านหลังแทนด้านหน้า แต่ก็เคยคิดว่าคงจะไม่แตกต่างอะไรจากเซ็กส์กับผู้หญิง มาถึงตอนนี้ผมจึงได้รู้ตัวว่าคิดผิดถนัด เพราะช่องทางนั้นไม่ได้นุ่มลื่นตามธรรมชาติ แทบเป็นไปไม่ได้เลยที่จะเข้าไปทั้งอย่างนี้ แต่ตอนนี้ผมก็อยากเข้าไปจนแทบจะหยุดตัวเองไม่อยู่

   "โอ๊ย!" เป็นเสียงร้องของผม เมื่อเขี้ยวคมๆ ของมันบาดลงบนริมฝีปาก จนผมเกือบจะได้เลือด

   "ไอ้เหี้ย! กูเจ็บ! ถ้ามึงทำไม่เป็นก็หยุดไปเลยเหอะ"

   เออ ผมยอมรับว่าทำไม่เป็น แต่ถ้าจะให้หยุดตอนนี้ก็ฆ่ากันเลยดีกว่า

   "มึงก็บอกมาสิว่าต้องทำยังไงบ้าง" ผมยอมถอยการรุกล้ำออกมาเป็นการลูบไล้บนต้นขา เลือกใช้ไม้อ่อนแทนไม้แข็ง โน้มใบหน้าเข้าไปใกล้อีกครั้ง ยังไม่กล้าจูบเพราะกลัวว่าจะถูกกัดเอาอีก เพียงแค่มองหน้า ให้สายตาและร่างกายสื่อสารแทนว่าตอนนี้ผมมาไกลเกินกว่าจะหยุด

   "...มึงมีโลชั่นหรืออะไรไหมล่ะ" มันพูดส่งๆ เหมือนไม่ค่อยอยากจะพูด ผมนิ่งคิดชั่วครู่ ก่อนจะเอื้อมไปหยิบโลชั่นทาผิวมาจากบนโต๊ะ อันที่จริงก็เป็นของมันที่เอามาทิ้งไว้ เพราะมันเป็นคนผิวแห้งและเจ้าสำอางกว่าผมเยอะ

   มันมองขวดในมือของผมโดยไม่พูดอะไรต่อ ผมจึงลองผิดลองถูกด้วยการเทโลชั่นลงบนฝ่ามือ ก่อนจะแทรกนิ้วกลับเข้าไปในช่องทางเดิม มันเม้มปากแน่น แต่ผมคิดว่าครั้งนี้แรงต่อต้านลดน้อยลง อีกมือหนึ่งของผมที่เปื้อนโลชั่นเช่นกันจึงนวดเฟ้นด้านหน้าไปพลางเพื่อเบี่ยงเบนความสนใจ

   "ไม่ไหว... กูว่าไม่เวิร์ก" มันร้องประท้วง เมื่อจำนวนนิ้วค่อยๆ เพิ่มขึ้น แต่ผมแกล้งทำเป็นไม่ได้ยิน

   "อื้อ!" เสียงร้องดังขึ้นจมูก เมื่อจับจุดได้ผมจึงลองกดเบาๆ ผ่านบริเวณเดิมอีกครั้ง เรียกเสียงโทนสูงกว่าปรกติให้ดังเล็ดลอดออกมา ใบหน้าแดงก่ำกับริมฝีปากแดงจัด ทำให้ผมอดใจไม่ไหว โน้มตัวกลับลงไปจูบมันอีกครั้ง เสียงอู้อี้จึงถูกกลืนหายเข้าไปในลำคอ มันจูบตอบราวกับต้องการระบายความอึดอัด

   จนกระทั่งผมถอนนิ้วทั้งหมดออกมา ชโลมโลชั่นมากกว่าเดิมลงบนปากทาง พร้อมทั้งส่วนที่ขยายขนาดจนปวดหนึบเพราะต้องการเข้าไปด้านใน

   "เดี๋ยว! เดี๋ยวๆๆๆ มึงใส่ถุงด้วย!" มันร้องลั่นระหว่างหยุดหอบหายใจ

   "...ไม่มีว่ะ" ผมตอบสั้นๆ

   มันทำท่าจะถีบ ผมจึงคว้าข้อเท้าของมันเอาไว้

   "กูมีอยู่ในกระเป๋า" มันกัดฟันพูดต่อ

   "...ไซส์มึงกูคงจะใส่ได้หรอก" ผมตอบเท่านั้นและไม่ยอมให้มันได้พูดอะไรต่อ รีบฉวยโอกาสก่อนที่มันจะด่าหรือออกแรงดิ้นมากกว่านี้

   "ไอ้...!!!"

   เสียงด่าขาดหายไปพร้อมกับลมหายใจที่หยุดชะงัก เมื่อผมออกแรงกดร่างเข้าไปทีเดียวเกือบครึ่ง ถึงแม้อยากจะเข้าไปลึกกว่านั้น แต่แรงต่อต้านที่รัดแน่นก็ทำให้ผมนิ่วหน้าและกัดฟันกรอด ขนาดผมยังเจ็บ ไม่ต้องเดาเลยว่ามันคงจะจุกจนร้องไม่ออก

   ผมจึงเอื้อมมือออกไปหาแก่นกลางลำตัวของมัน ได้แต่หวังว่าจะช่วยบรรเทาความเจ็บ ดูเหมือนจะได้ผล เพราะช่องทางด้านหลังค่อยๆ ผ่อนคลาย ถึงแม้จะยังบีบรัดตามจังหวะที่มันพยายามผ่อนลมหายใจ

   "ไอ้ถึก! ไอ้เหี้ย! แม่งโคตรจะเจ็บ! ไหนมึงบอกว่าถ้าไม่ใช่ไม่เวิร์กแล้วมึงจะหยุดไง!? ไอ้ตอแหล!" เริ่มมีแรงด่า แสดงว่าไม่เจ็บมากเท่าไหร่แล้ว ผมจึงขยับตัวออกเล็กน้อยก่อนจะดันกลับเข้าไปลึกกว่าเดิม ทำให้เสียงโวยวายกลายเป็นเสียงคราง

   "ไม่เวิร์กตรงไหน ใครกันแน่ที่ตอแหล" ผมถามกลับ เมื่อจับความรู้สึกจากเสียงนั้นได้ว่าไม่ได้มีแค่ความเจ็บเพียงอย่างเดียว สะโพกที่ถอยหนีบางครั้งก็ดีดตัวตอบรับการเคลื่อนไหว

   "โอ๊ย!" ผมร้องอุทาน เพราะคราวนี้มันเล่นฝังเขี้ยวลงมาบนบ่า

   "กูเจ็บมึงก็เจ็บ ยุติธรรมดีไหมล่ะ" ยังมีหน้ามาย้อน เอาสิ จะเล่นแบบนี้ก็ได้

   "ไอ้ถึก...!? อะ ไอ้! อ๊ะ... อะ... ไอ้เหี้ย! อะ ไอ้ยักษ์! ไอ้หมีควาย!... อะ อ๊ะ อ๊า" ด่าได้ด่าไป ดูสิว่าเสียงด่ากับเสียงครางอย่างไหนจะชนะ

   ผมถอยตัวออกจนเกือบสุดก่อนดันกลับเข้าไปจนมิด เบียดเข้าออกซ้ำๆ ยิ่งเสียดสีก็ยิ่งร้อน ยิ่งถูกแรงสุญญากาศดูดดึงเข้าไปด้านใน เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผมได้รู้จักความแตกต่างระหว่างผู้หญิงกับผู้ชาย สรีระของผู้หญิงมีขีดจำกัด เมื่อขยับเข้าไปจนชนกำแพงก็เป็นอันสุดทาง ทว่าช่องทางด้านหลังกลับรับมือกับความลึกได้อย่างไม่มีที่สิ้นสุด เส้นทางแคบคดเคี้ยวคล้ายทางตัน แต่ยิ่งดึงดันเดินหน้าก็ยิ่งถูกดึงดูดให้ถลำลึก สติที่หลงเหลือน้อยนิดยิ่งกระจัดกระจาย

   เสียงสบถด่ามั่วซั่วขาดหายเป็นห้วงๆ ตามจังหวะการโยกไหว สุดท้ายก็เหลือเพียงเสียงครางขึ้นจมูกไร้เรี่ยวแรง แต่ยังคงอวดเก่งทำอย่างที่เคยพูดว่า 'กูเจ็บมึงก็เจ็บ'

   เล็บที่ตัดสั้นเป็นระเบียบข่วนซะจนผมแสบหลัง ไม่นับคมเขี้ยวที่กัดซ้ำรอยเดิมบนบ่า แถมยังเพิ่มรอยใหม่ลงมาสะเปะสะปะ ผมจึงเอาคืนด้วยการดูดเม้ม ทิ้งร่องรอยเอาไว้บนผิวแดงๆ ทั้งบนซอกคอ หลังหู เรื่อยลงมาจนถึงหน้าอก

   ผมเร่งความเร็วตอบรับเสียงครางถี่ มือข้างหนึ่งก็ยังคอยกระตุ้นส่วนกลางลำตัวของมัน จนกระทั่งมันส่ายหน้าไปมา ดันมือลงบนหน้าอกของผมเหมือนต้องการให้ช้าลง แต่ปลายนิ้วเรียวแทบไม่เหลือเรี่ยวแรง สัมผัสแผ่วเบาจึงแทบไม่ต่างจากการลูบไล้ ผมดึงมือสวยๆ ของมันขึ้นมาจูบ ขบกัดและเลียบนแต่ละนิ้วอย่างหมั่นเขี้ยว มันหรี่ตาขึ้นมามองผมเหมือนกับไม่อยากจะเชื่อสายตา

   ควายถึก ยักษ์จำศีล ฤๅษีเฝ้าถ้ำ หรืออะไรก็ตามที่มันเคยสรรหามาเรียก

   ถ้าจะหาว่าผมตบะแตก ก็ต้องโทษมันคนเดียวที่เป็นตัวต้นเหตุ

   "อะ... อ... อะ อ..." เสียงครางแหบขาดห้วง ของเหลวสีขาวขุ่นหยดเปื้อนลงบนหน้าท้อง ยังคงเอ่อล้นออกมาอีกหลายครั้งตามจังหวะการกระแทก ภาพตรงหน้าทำให้ผมยิ่งเร่งความเร็วเพื่อตามไปให้ทัน เสียงขาดหายจึงยิ่งฟังไม่ได้ศัพท์ ปะปนกับเสียงคำรามในลำคอของผม ความร้อนอัดแน่นถึงขีดสุด ร่างกายเกร็งแน่นเมื่อถึงจุดระเบิด

   ผมหอบหายใจอย่างหนัก เผลอครางต่ำเมื่อผนังด้านในยังคงตอดรัดราวกับจะรีดทุกหยาดหยดออกจากร่างกาย ผมจึงขยับเบียดเข้าไปลึกอีกหลายครั้ง จนไม่เหลืออะไรให้ปลดปล่อย ก่อนจะถอนตัวออกมาในท้ายที่สุด ปากทางที่เคยปิดสนิทยังคงสั่นระริก เปรอะเปื้อนด้วยโลชั่นและของเหลวที่ซึมล้นออกมา

   ปากแดงๆ หอบหายใจพะงาบๆ เหมือนอยากจะด่าแต่ไม่มีแรงเหลือ ผมจึงก้มกลับลงไปจูบมันอีกครั้ง

   "กูคิดว่า 'ใช่' ว่ะ"

   ผมกระซิบบอกด้วยเสียงพึมพำ มันยังคงนอนหลับตาหอบหายใจโดยไม่ได้โต้ตอบ อาจจะเบลอจนสมองคิดตามไม่ทัน หรืออาจจะคิดว่าหมายถึงผลลัพธ์ของการพิสูจน์ว่า 'ผมเป็นเกย์หรือเปล่า'

   ความจริงแล้วสิ่งที่ผมพูด ไม่ใช่การตอบคำถามของมัน แต่เป็นการตอบคำถามของตัวเอง

   คำถามที่ว่า 'ผมชอบมันหรือเปล่า'

   ผมคิดว่า 'ใช่'

   และอาจจะต้องทำใจยอมรับ

   ว่าผลลัพธ์อาจจะน่ากลัวมากกว่าคำว่า 'ชอบ'

   
-------------

   เล้าลง nc ได้ใช่ไหม ใช่เนอะ...ไม่เป็นไรเนอะ  :katai5:

หัวข้อ: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 7 หมาสันหลังหวะ
เริ่มหัวข้อโดย: @moment ที่ 10-03-2018 12:35:11

   

   ตอนที่ 7 หมาสันหลังหวะ

   

   ผมขมวดคิ้วเล็กน้อยเมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาพบกับภาพที่ไม่คุ้นเคย แม้พื้นหลังจะเป็นห้องของตัวเอง ทว่าสิ่งที่บดบังสายตาในเช้าวันนี้กลับไม่ใช่ 'ตีน' แต่กลับเป็นก้อนสีดำยุ่งๆ วัตถุต้องสงสัยที่ทำให้ผมต้องหรี่ตาลงเพื่อปรับภาพเบื้องหน้าให้ชัดเจนยิ่งขึ้น ก่อนจะประมวลผลได้ว่าสิ่งนั้นคือเส้นผมของใครบางคน

   ความทรงจำเมื่อคืนค่อยๆ เรียงลำดับกลับเข้ามาอย่างแจ่มชัด

   เมื่อไล่มองจากต้นคอ ท้ายทอย  เรื่อยไปถึงบ่าเปลือยเปล่าที่ยังปรากฏรอยแดงช้ำ รอยจูบ ที่ไม่ต้องเดาว่าเป็นของใคร... ยิ่งมองก็ยิ่งทำให้เผลออยากจูบซ้ำ

   แต่ยังไม่ทันที่ปากของผมจะได้แนบลงบนบ่า ร่างนั้นก็พลิกตัวกลับมา ทำให้เป้าหมายคลาดเคลื่อนไป ปลายจมูกไล้เฉียดผ่านข้างแก้ม มันขมวดคิ้วยุ่งทั้งๆ ที่ยังคงหลับตา เหมือนกับรำคาญที่ถูกรบกวนการนอนหลับ

   โชคดีที่มันยังคงหลับต่อ เปิดโอกาสให้ผมได้สำรวจใบหน้าของคนที่กำลังหลับใหล

   คิ้วคมเข้มรับกับจมูกโด่ง ขนตายาวเป็นแพ ผิวหน้าเรียบเนียนตามแบบฉบับหนุ่มเจ้าสำอาง ริมฝีปากแดงไม่หนาหรือบางจนเกินไป เวลาที่ปิดปากสนิทไม่ปล่อยให้สุนัขในฟาร์มออกมาเห่าเพ่นพ่าน มันก็ยิ่งดูน่ารักขึ้นเป็นกอง

   น่ารัก...?

   ผมมองว่ามันน่ารักเข้าไปได้ยังไง

   มองยังไงๆ ภาพตรงหน้าก็เป็นภาพของผู้ชาย อาจจะหน้าตาดี เออ ยอมรับก็ได้ว่ามันหล่อ แต่ก็ไม่ได้เฉียดเข้าใกล้กับคำว่า 'น่ารัก' ในสายตาของผู้ชายด้วยกันเลยสักนิด

   ยิ่งคิดผมก็ยิ่งไม่เข้าใจว่าตัวเองหลงผิดไปชอบมันได้ยังไง

   แต่ร่างกายอาจจะซื่อตรงต่อหัวใจมากกว่าสมอง ยิ่งมองหน้ามัน ผมก็ยิ่งอยากขยับเข้าไปใกล้ และครั้งนี้เป้าหมายคือริมฝีปาก

   หากจังหวะนั้นคนตรงหน้ากลับลืมตาขึ้นมา แวบแรกสีหน้างงๆ เหมือนสมองยังไม่เริ่มทำงานดีนัก วินาทีถัดมาถึงได้ผงะถอยหลัง พร้อมดีดตัวพรวดพราดลุกขึ้นนั่ง ก่อนจะขดงอตัวกลับลงมา

   "โอ๊ย! เหี้ยเอ๊ย..." เป็นคำทักทายยามเช้าที่ยอดเยี่ยม

   แต่ปลายเสียงที่แผ่วลงกลายเป็นการโอดครวญ ดูเหมือนการลุกนั่งโดยทิ้งน้ำหนักลงบนสะโพกอย่างกะทันหัน จะกระทบกระเทือนไปถึงส่วนที่ยังคงเจ็บระบม

   "ยังเจ็บอยู่เหรอ" ผมถามอย่างอดเป็นห่วงไม่ได้

   "ถามมาได้! กูแหกปากร้องตั้งกี่รอบว่าเจ็บ แล้วมึงหยุดไหม!? ไอ้ถึก! ไอ้เหี้ย! ไอ้ไซส์ควายแม่งยัดเข้ามาได้! ไอ้ตอแหล! ไหนบอกว่าถ้าไม่เวิร์กแล้วมึงจะหยุดไง!? ไอ้หื่น! กูฟันธงว่ามึงเป็นเกย์ชัวร์ ถ้าไม่เกย์มึงก็ไบ แต่ที่แน่ๆ ไอ้ห่-! กูเจ็บโว๊ยยยยยยยยยย!"

   ถามคำเดียวมันเล่นด่ากลับมาเป็นชุด ลงท้ายด้วยการแหกปากลั่นเหมือนต้องการระบายความเจ็บปวด แต่ร้องเองก็คงสะเทือนจนเจ็บเอง มันถึงได้กัดปากตัวเองอย่างเจ็บใจ

   ได้ข่าวว่าเมื่อคืนมันไม่ได้ร้องเพราะความเจ็บอย่างเดียวซะหน่อย แถมยังเสร็จก่อนผมเสียด้วยซ้ำ แต่ผมไม่อยากจะตอกย้ำซ้ำเติมให้มันต้องด่าเองเจ็บเองอีก เพราะถึงยังไงผมก็เป็นคนทำให้มันเจ็บ

   ผมจึงนั่งนิ่งๆ ไม่มีปากเสียง ทอดมองร่างเบื้องหน้าที่มีรอยช้ำเป็นจ้ำๆ อยู่ทั่วร่างกาย อันที่จริงสภาพของผมก็คงแทบไม่ต่างจากคนที่เพิ่ง 'ฟัดกับหมา' เพราะมันเล่นฝากรอยเขี้ยวไว้หลายรอยบนบ่า แถมด้วยรอยข่วนที่ยังคงแสบซิบๆ บนแผ่นหลัง แต่ร่องรอยเหล่านั้นก็เป็นเครื่องยืนยันว่า เรื่องที่เกิดขึ้นเมื่อคืนเป็นความจริง

   "กูว่ามึงควรรีบมีแฟนโดยด่วน"

   "หา?"

   อยู่ๆ แจ็คก็พูดโพล่งขึ้นมา ทำให้ผมงงจัด

   "กูว่ามึงเก็บกด หรือไม่ก็จำศีลจนตายอดตายอยาก! ควายถึกมันถึงได้คึกไม่เลิก! ไอ้หื่นเงียบ!"

   มันกระชากผ้าห่มขึ้นมาคลุมตำแหน่งกลางลำตัวของผม เมื่อก้มลงมองตัวเองผมจึงได้เห็นว่าทหารที่เพิ่งผ่านศึกหนักมาหมาดๆ กำลังลุกขึ้นยืนตรงเคารพธงชาติ ทว่าการดึงผ้าห่มมาฝั่งนี้ ทำให้ผ้าผืนเดียวกันบนตัวของมันร่นต่ำลงไป จนเห็นไรขนอ่อนๆ ใต้ท้องน้อยอยู่รำไร พาลให้ทหารแทบอยากกระโจนลงสนามรบอีกรอบ

   "เหี้ย กูไปดีกว่า อยู่ตรงนี้แม่งไม่ปลอดภัยต่อชีวิตและทรัพย์สิน" มันพูดพลางรีบลุกลงจากเตียง

   "เหี้ยเอ๊ย!" สรรพสัตว์ยังพากันขับขานเมื่อร่างนั้นเข่าอ่อนทรุดแทบจะลงไปกองอยู่กับพื้น ก่อนจะกัดฟันยันตัวลุกขึ้นมาเดินกระโผลกกระเผลก คงจะเจ็บจริง เพราะมันไม่ได้ก้มเก็บชิ้นส่วนที่กระจัดกระจายอยู่บนพื้นเลยด้วยซ้ำ เดินตัวเปล่าๆ เปลือยๆ หายลับเข้าห้องน้ำไป

   ใจหนึ่งผมก็อยากเข้าไปช่วยพยุง แต่ถ้าขืนเข้าใกล้มันตอนนี้คงจะได้ช่วยซ้ำแผลเก่าซะมากกว่า ผมจึงเลือกนั่งอยู่บนเตียงเหมือนเดิม มองตามบานประตูที่ปิดตัวลงไป อีกใจก็ยังอึ้งกับคำพูดของมันไม่หาย

   'กูว่ามึงควรรีบมีแฟนโดยด่วน'

   ทั้งคำพูดและท่าทางของมัน ยังคงเหมือนเดิมทุกอย่าง ไม่มีความหวั่นไหว ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปเลยสักนิด หรือจะบอกว่าสำหรับมันแล้วเรื่องเมื่อคืนไม่ใช่เรื่องสำคัญ ก็แค่มีอะไรกับผู้ชายเพิ่มขึ้นอีกหนึ่งคน อย่างที่มันเคยพูดว่า

   'ฟอร์ฟัน ฟันจบแล้วก็ทางใครทางมัน มึงไม่เคยได้ยินเหรอแบบน้ำแตกแล้วแยกทางอ่ะ'

   "..."

   

   "หมู่นี้อิปาท่องโก๋หายไปไหนซะล่ะตึก ไม่เห็นหน้าตั้งหลายวันแล้ว" พี่มินนี่ถามขึ้นมาขณะที่ผมกำลังนั่งจ่อมอยู่แถวโต๊ะภาค ผมได้แต่ส่ายหน้าแทนคำตอบ เพราะผมเองก็ไม่รู้เหมือนกัน

   ผมขอถอนคำพูดที่ว่าแจ็คทำตัวเหมือนเดิมทุกอย่าง เพราะมันแค่ 'เกือบจะ' เหมือนเดิมทุกอย่าง คือเวลาเจอกันมันก็ยังปากหมาหน้าด้านโดยสันดาน เพียงแต่ตอนนี้ผมไม่ได้เจอหน้ามันมาหลายวันแล้ว

   ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนขนาดเรียนกันคนละวิชา คนละภาค คนละตึก มันก็ยังอุตส่าห์ถ่อมาลากผมไปกินข้าวด้วยเกือบทุกวัน แต่พักหลังมานี้แม้แต่ห้องของผมมันก็ไม่ได้มา ทั้งๆ ที่ปรกติแล้วพอขี้เกียจกลับบ้านเมื่อไหร่มันเป็นต้องมาสิงอยู่ที่ห้องของผม มานอนกลิ้งเอกเขนก ทำตัวอย่างกับเป็นเจ้าของห้อง หรือไม่ก็หอบขวดกลมๆ มาชวนผมดื่มอยู่เป็นประจำ

   ส่วนใหญ่มันมักจะหายหัวไปบ่อยๆ ตอนที่มีแฟน...

   แต่ถ้ามี ป่านนี้ก็น่าจะกระดี๊กระด๊าเอารูปมาอวดไปทั่ว ไม่ใช่เล่นหายไปดื้อๆ แบบนี้

   "อ้าว อินี่ตายยาก พูดถึงปุ๊บก็โผล่มาปั๊บ"

   ผมหันกลับไปเห็นร่างสูงของแจ็คเข้าพอดี แต่ดูเหมือนมันตั้งท่าจะเดินผ่านไปถ้าพี่มินนี่ไม่ได้ร้องทัก แจ็คชะงักหันกลับมา ก่อนจะฉีกยิ้มหวานให้พี่รหัส

   "สวัสดีครับเจ๊~ ไม่ได้เจอกันหลายวัน ยังสวยเหมือนเดิมเลยนะคร๊าบ~" มันเดินมาพลางยกมือไหว้ท่วมหัว ทำท่าทางและน้ำเสียงอย่างกับหนุ่มบ้านนอกเข้ากรุง

   "โถๆ ไหว้พระเถอะจ้ะพ่อหนุ่ม" พี่มินนี่รับมุก แต่หารู้ไม่ว่านั่นเป็นการเปิดทางให้คนปากดีจัดไปอีกหนึ่งดอก

   "เจ๊จะบวชเหรอ!? จะเลิกเป็นสาวแล้วจริงดิ!? ถ้างั้นผมขออนุโมทนาบุญด้วยนะ ส๊า~ธุ"

   "หนอยอีนี่! เล่นด้วยหน่อยไม่ได้เป็นต้องลามปาม!" ถ้ามีอะไรอยู่ใกล้มือคงบินใส่หัวมันไปแล้ว แต่เมื่อไม่มีพี่มินนี่จึงได้แต่พ่นควันออกหู

   "อ้าว ไอ้ผมก็แค่อยากจะแสดงความยินดี นึกว่าเจ๊จะบวชก่อนเบียดเพราะถูกคุณป๋าจับใส่ตะกร้าล้างน้ำ เอ๊ย คลุมถุงชนสำเร็จแล้วซะอีก" แต่แจ็คก็ยังเล่นไม่เลิก แถมพูดจบก็หัวเราะร่า ไม่แคร์สายตาลุกวาวของแม่เสือสาวที่อยากจะขย้ำคอหมาเต็มแก่

   "อิบ้า! อิปากเสีย! ถ้าฉันจะต้องมีเมียนะ ฉันขอสาปแช่งให้แกมีผัว! ขอให้ถูกจับกดจนลุกจากเตียงไม่ขึ้นได้แต่ครางหงิงๆ เป็นไอ้ลูกหมาไม่กล้าเห่าเลยคอยดู!"

   "แค่ก! แค่ก! แค่ก!" เสียงหัวเราะร่วนพลันกลับกลายเป็นเสียงไอ เหมือนสำลักอะไรบางอย่าง

   "สำลักน้ำลายตัวเองเหรอไง สมน้ำหน้า!" พี่มินนี่กล่าวซ้ำเติม

   มันยังไอไม่หยุดแบบสำลักจริงจังจนหน้าแดง ผมจึงยื่นแก้วน้ำของตัวเองไปให้ แจ็คเหลือบมองมาแวบหนึ่งก่อนจะรับไปดื่มโดยไม่พูดอะไร

   "จะสายแล้ว ผมไปก่อนนะเจ๊" พอหยุดไอแจ็คก็พูดตัดบท น้อยครั้งที่มันจะเลิกต่อปากต่อคำทั้งๆ ที่ยังตกเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำ

   "จะไปแรดที่ไหนอีกล่ะ" พี่มินนี่ถามแบบไม่ใส่ใจคำตอบมากนัก แต่เป็นคำถามที่ผมเองก็อยากรู้อยู่เหมือนกัน

   "เจ๊นี่รู้ใจจริงๆ ผมไปละนะ เดี๋ยวน้องเขาจะรอนาน" มันยักคิ้วหลิ่วตาพลางคว้ากระเป๋าเป้ลุกออกไป

   "กูไปด้วย" ผมลุกขึ้นพร้อมพูดโพล่งออกมา

   "แล้วมึงจะไปทำไม" มันย่นคิ้วอย่างแปลกใจ พี่มินนี่เองก็มองมาอย่างสงสัย

   "มึงจะไปจีบเด็กไม่ใช่เหรอ กูก็...ว่าจะไปจีบมั่ง เด็กมึงคงจะมีเพื่อนน่ารักๆ บ้างไม่ใช่เหรอไง"

   มันเบิกตากว้างอย่างตกใจ ในขณะที่พี่มินนี่จ้องมาตาแทบถลน อ้าปากค้างแบบไม่อยากจะเชื่อสิ่งที่ได้ยิน อาจจะช็อกสองต่อทั้งเรื่องที่ผมจะ 'จีบใคร' และมีแนวโน้มว่าผมอาจจะ 'จีบผู้ชาย'

   "มึงกินยาผิดหรือเปล่า ว่างๆ ไปเช็คสมองมั่งนะ" พูดจบมันก็หันหลังโกยแน่บ

   "มึงรอด้วยดิ กูไปด้วย" ผมจึงก้าวยาวๆ ตามคนที่เดินกึ่งวิ่งออกไป ปล่อยให้พี่มินนี่นั่งอึ้งอยู่คนเดียว

   ไม่รู้ว่าพี่มินนี่จะระแคะระคายบ้างหรือเปล่าว่าสิ่งที่เฝ้าสาปแช่งมันมานานสัมฤทธิ์ผล แต่ผมก็อยากให้พี่มินนี่แช่งมันอีกบ่อยๆ และถ้าเพิ่มออปชั่นเข้าไปด้วยก็จะดีมาก

   นอกจาก 'ขอให้มีผัวเป็นตัวเป็นตน'

   ขอเพิ่ม 'มีผัวคนเดียว' และ 'ไม่กล้าหาเมียอีก' จะดีมากที่สุด

   

   

หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 7 (10/3/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 10-03-2018 13:24:16
ติดตามนะคะ  :katai4:
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 7 (10/3/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Himbeere20 ที่ 10-03-2018 14:54:54
 ชอบบบบบ ติดตาม :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 7 (10/3/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: ซีเนียร์ ที่ 10-03-2018 16:44:20
ติดตามจ้า  :L2:
หัวข้อ: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 8 ก้างชิ้นยักษ์
เริ่มหัวข้อโดย: @moment ที่ 10-03-2018 20:53:47
   

   ตอนที่ 8 ก้างชิ้นยักษ์

   

   "ขอแนะนำให้รู้จัก น้องโซระ น้องเอิร์ธ ส่วนนี่เพื่อนพี่เองครับชื่อถึ... เอ่อ ต้น หรือจะเรียกว่าตึกก็ได้เพราะเพื่อนๆ ก็เรียกกันอย่างนี้ทั้งนั้น คงไม่ต้องสงสัยนะครับว่าฉายานี้มีที่มายังไง" พูดจบมันก็หัวเราะระรื่นด้วยท่าทางแบบหนุ่มมีอารมณ์ขัน

   ทำเป็นวางมาดดี พูดจาไพเราะ แทนตัวเองด้วย 'พี่' ลงท้ายด้วย 'ครับ' โคตรน่าหมั่นไส้ มองหน้ามันตอนนี้แล้วพาลให้นึกถึงฟาร์มสุนัขที่แขวนป้ายหน้าประตูรั้วว่า 'ตอแหล'

   ผมอยากจะถอนหายใจเป็นรอบที่ร้อย ไม่รู้อีท่าไหนถึงได้หลวมตัวมาอยู่ที่นี่ จริงอยู่ที่ว่าหนึ่งชั่วโมงก่อนหน้านี้ ตอนที่ได้ยินมันบอกว่า 'มีนัดกับเด็ก' ด้วยความฉุนผมเลยเผลอโพล่งออกไปว่า 'งั้นกูไปด้วย'

   แต่ผมนึกไม่ถึงว่ามันจะเอาจริง

   มันตั้งท่าจะจีบเด็กจริงๆ และทำท่าเหมือนอยากให้ผมหาแฟนจริงๆ

   "น้องโซระอยากทานอะไรครับ ลองเลือกดูก่อนนะ" แจ็คยื่นเมนูให้เด็กหนุ่มที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้าม ลูกครึ่งญี่ปุ่น ผิวขาวใส ดวงตากลมโต หน้าตาแบบที่ผู้ชายด้วยกันอย่างผมยังรู้สึกว่าน่ารัก นี่ถ้าไม่บอกว่าอยู่ม.ปลายผมคงนึกว่ามันริจะพรากผู้เยาว์

   "กินอะไรดีอ่ะเอิร์ธ" โซระหันไปถามเพื่อนที่นั่งอยู่ด้านข้าง อายุเท่ากันแต่ดูเป็นผู้ใหญ่มากกว่า ท่าทางเหมือนเด็กคงแก่เรียน สวมแว่นสีดำกรอบหนา นั่งเงียบๆ ไม่ค่อยพูดจา แต่ถ้าถอดแว่นออกไปก็คงจัดว่าเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาดีทีเดียว และแววตาภายใต้กรอบแว่นก็ดูฉลาดเอาเรื่อง ไม่ได้เซื่องๆ เหมือนกับรูปลักษณ์ภายนอก

   "เอาฟิชแอนด์ชิปส์ดีกว่า เอิร์ธเอาเหมือนกันเนาะ" เมื่อเพื่อนพยักหน้ารับ โซระจึงสรุปเองเสร็จสรรพ ก่อนจะหันไปสั่งอาหารกับพนักงานที่ยืนรออยู่

   "ถ้างั้นผมขอสเต็กหมูพริกไทยดำ แล้วมึงล่ะเอาอะไร" แจ็คหันกลับมาถามผม

   "เอาเหมือนมึงละกัน" ผมขี้เกียจเลือกจึงตอบกลับไปสั้นๆ เมื่อทวนรายการอาหารเสร็จพนักงานจึงเดินกลับออกไป

   "น้องโซระกับน้องเอิร์ธไปตักสลัดกันก่อนก็ได้นะครับ เดี๋ยวพวกพี่นั่งเฝ้าโต๊ะให้" ดูมันพูดจาเป็นสุภาพบุรุษ ยิ้มหวานปานน้ำผึ้ง รอจนน้องๆ ลุกออกไปถึงเลิกปั้นหน้าและหันกลับมาหาผม

   "บอกไว้ก่อนนะว่าน้องโซระอ่ะของกู คนนี้กูจอง ส่วนน้องเนิร์ดนี่กูยกให้ แม่งเงียบกริบเหมือนมึงเลย แบบนี้คงจะส่งกระแสจิตคุยกันรู้เรื่อง" ลับหลังไม่ทันไรมันก็นินทาเพื่อนเขาซะเสียหาย แถมยังเปลี่ยนชื่อใหม่ให้เสร็จสรรพ

   แต่ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าสเปคของมันน่ะคนไหน แบบที่ตรงกันข้ามกับผมคนละขั้วโลก

   "มึงไม่คิดจะลองเปลี่ยนสเปคมั่งเหรอ" ผมลองถามพลางมองตาคนข้างๆ

   "ทำไม อย่าบอกนะว่ามึงสนใจน้องโซระ" แต่มันกลับนิ่วหน้าและตีความหมายไปคนละอย่าง

   "ไม่ใช่อย่างนั้น" ผมปฏิเสธ

   แจ็คหรี่ตามองมาอย่างจับผิด แต่เมื่อผมจ้องกลับไปนิ่งๆ สักพักมันก็กลับเป็นฝ่ายเบนหน้าหนีไปทางอื่น

   "ไม่ใช่ก็ดีแล้ว งั้นกูไปทำคะแนนดีกว่า ส่วนมึงอ่ะนั่งเฝ้าโต๊ะไปเลย" พูดจบร่างสูงก็ลุกขึ้นยืน ผมเห็นมันเดินเข้าไปหาโซระ ช่วยถือจาน ช่วยตักโน่นนี่ เดินหน้าจีบเต็มที่

   เมื่อเอิร์ธกลับมาที่โต๊ะ ผมจึงผลัดเวรลุกขึ้นไปตักสลัดบ้าง จนกระทั่งทุกคนเวียนกลับมานั่งพร้อมหน้ากันเรียบร้อย ตลอดการทานอาหารแจ็คก็ยังขยันชวนโซระคุย เอาอกเอาใจอย่างออกนอกหน้า ถึงแม้ผมจะยอมรับว่าน้องคนนี้น่ารักจริง ยิ้มแล้วโลกสดใส ช่างพูดช่างคุย นอกจากหน้าตาแล้วนิสัยก็ยังดูน่ารักน่าคบหาอีกด้วย

   แต่ถ้าจะตัดสินกันอย่างมีอคติ ผมคิดว่าน้องคนนี้ดีเกินไป ไม่เหมาะกับสุภาพบุรุษจอมปลอมอย่างมันหรอก

   ยิ่งมองภาพของคนข้างๆ ผมก็ยิ่งหงุดหงิด จนชักจะอยากขอยืมคำสาปแช่งของพี่มินนี่มาใช้ อยากรู้นักว่าคราวนี้ถ้าอกหักรักคุด มันจะยอมหอบหิ้วขวดกลมๆ มาที่ห้องของผมอีกหรือเปล่า

   "ทานขนมหรือผลไม้อะไรไหมครับ เดี๋ยวผมไปตักมาให้" โซระกล่าวขึ้นเมื่อของคาวเริ่มหมดไปจากโต๊ะ

   "ถ้างั้นเดี๋ยวพี่ไปช่วยถือ" ไม่ต้องรอให้ใครขอ มันก็รีบขันอาสาอย่างกับกลัวว่าจะถูกแย่งหน้าที่

   พอแจ็คกับโซระเดินออกไป บรรยากาศบนโต๊ะจึงกลับกลายเป็นความเงียบ เมื่อผมและเอิร์ธต่างก็นั่งนิ่ง ตลอดเวลากินข้าวพวกเราคุยกันแทบนับคำได้ แต่บรรยากาศกลับไม่ได้น่าอึดอัด เพียงแค่ต่างฝ่ายต่างทำตัวเป็นปรกติตามธรรมชาติ ถ้ามีเรื่องอยากพูดก็พูด ถ้าไม่มีก็ไม่ต้องพูด ไม่จำเป็นต้องฝืนตัวเอง

   "โซระคงอยากให้พวกเราดับเบิ้ลเดท แต่พี่คงไม่ได้คิดจะจีบผมจริงๆ หรอก ใช่ไหมครับ" เอิร์ธเป็นฝ่ายชวนคุยขึ้นมาก่อน โทนเสียงราบเรียบเหมือนประโยคบอกเล่ามากกว่าจะเป็นประโยคคำถาม ผมจึงเลิกคิ้วเล็กน้อยแทนคำตอบ

   "เพราะพี่ไม่มีทางชอบผม และผมก็ไม่มีทางชอบพี่ พูดกันตรงๆ เลยก็คือ ผมชอบโซระ" ประโยคถัดมายิ่งทำให้ผมเลิกคิ้วขึ้นสูง แม้สายตาที่มองตรงมาจะทำให้เริ่มเข้าใจความหมาย

   "แล้วนายมาบอกพี่ทำไม" ผมลองถามกลับไปอย่างหยั่งเชิง

   "เพราะผมคิดว่ารสนิยมของพี่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่ พวกเราเลยน่าจะร่วมมือกันได้"

   ไอ้เด็กนี่มันฉลาดเป็นกรด นอกจากจะอ่านใจผมออกยังหลอกด่าไปถึงศัตรูหัวใจอีกต่างหาก แต่ผมไม่มีข้อโต้แย้ง เพราะจนป่านนี้ก็ยังตอบตัวเองไม่ได้เลยว่าผมหลงผิดไปชอบไอ้แจ็คได้ยังไง

   "แล้วนายคิดจะทำยังไง" เมื่อผมไม่ปฏิเสธ เด็กหนุ่มตรงหน้าจึงยักยิ้มเล็กน้อย

   "ตอนนี้ก็ยอมดับเบิ้ลเดทไปก่อนครับ อย่างน้อยก็ดีกว่าปล่อยให้สองคนนั้นไปไหนมาไหนกันตามลำพัง"

   "นายคิดจะกันท่า?"

   "จะเรียกว่าก.ข.ค.ย่อมาจาก 'กว้างขวางคอ' ก็ได้ครับ ถือซะว่าเป็นแผนการขั้นแรก ส่วนขั้นต่อไปอาจปรับเปลี่ยนได้ตามสถานการณ์" เอิร์ธพูดพลางใช้ปลายนิ้วดันกรอบแว่นขึ้นเล็กน้อย แต่แล้วบทสนทนาก็ต้องหยุดชะงักลงเพียงเท่านั้น เมื่อคู่กรณีเดินกลับมาเสียก่อน

   "คุยอะไรกันอยู่ ท่าทางสนุกเชียว" โซระถามพลางวางจานผลไม้ลงบนโต๊ะ

   "ก็ไม่มีอะไรหรอก ว่าแต่เรื่องเมื่อกี้พี่ต้นตกลงนะครับ" เอิร์ธตอบพลางคลี่ยิ้มบางๆ ผมจึงพยักหน้ารับ

   "เรื่องอะไรเหรอ" โซระถามอีกครั้งอย่างสงสัย

   "เอ่อ ก็เรื่องสอบเข้าไง เราอยากขอคำปรึกษาเกี่ยวกับเรื่องคณะ มหาวิทยาลัย อะไรทำนองนั้น ถ้างั้นผมขอเบอร์พี่ต้นได้ไหมครับ" เอิร์ธเปลี่ยนเรื่องได้อย่างรวดเร็ว ผมจึงเออออไปตามบท

   "ได้สิ" ผมยื่นโทรศัพท์ออกไปเพื่อแลกเบอร์โทรศัพท์กับเอิร์ธ ในขณะที่แจ็คมองมาด้วยความอึ้งปนทึ่ง อาจจะไม่อยากเชื่อสายตา เพราะปรกติแล้วผมเป็นคนที่สนิทกับคนอื่นค่อนข้างยากมาก แต่ตอนนี้กลับถึงขั้นแลกเบอร์กับคนที่เพิ่งเคยเจอกันเป็นครั้งแรก

   ถือได้ว่าเป็นกรณีพิเศษ เพราะมีผลประโยชน์ร่วมกัน

   

   แผนของเอิร์ธเข้าท่า ทำให้ผมได้เจอหน้าแจ็คบ่อยเกือบเท่าเมื่อก่อน เพราะเวลามันจะไปไหนมาไหนกับโซระก็ต้องคอยพ่วงผมกับเอิร์ธไปด้วยเสมอ หรืออย่างตอนอยู่มหาลัยมันก็ไม่ได้พยายามหลบหน้า พูดจาทักทายตามปรกติ อาจจะเริ่มเบาใจที่เห็นว่าผมกำลังจะมีแฟนแล้วก็ได้

   ติดอยู่อย่างเดียวคือ ตั้งแต่คืนนั้น มันก็ไม่เคยมาที่ห้องของผมอีก

   "ถึก! เสาร์อาทิตย์หน้ามึงว่างไหม" ผมหันกลับไปตามเสียงเรียก เจอกับคนที่กำลังนึกถึงอยู่พอดี แต่สีหน้าของมันดูอารมณ์ไม่ค่อยดีเท่าไหร่

   "คือกูชวนน้องโซระไปเที่ยวเสม็ด แต่น้องบอกว่าขอไปชวนน้องเนิร์ดก่อน นั่นก็แปลว่ากูต้องมาชวนมึงด้วยเนี่ย" พูดจบมันก็กระแทกตัวนั่งลงบนเก้าอี้ฝั่งตรงข้าม ผมเริ่มเข้าใจเหตุผลที่มันหน้าหงิก คงคิดอยากจะชวนโซระไปเที่ยวสองต่อสองสิท่า หรือว่ามันริจะใช้แผน 'เสม็ด เสร็จทุกราย'

   แต่อย่าได้คิดเลยว่าจะสมหวัง

   "เอิร์ธเพิ่งโทรมาชวน และกูก็ตอบตกลงไปแล้ว" ผมเอ่ยตอบด้วยเสียงราบเรียบตามปรกติ อันที่จริงผมอยากจะให้เอิร์ธปฏิเสธ เพราะถ้าไม่มีเพื่อนไปด้วยโซระก็จะได้ไม่ไป ไอ้แจ็คก็จะได้กินแห้ว แต่เอิร์ธกลับบอกว่า 'น้ำเชี่ยวอย่าเอาเรือขวาง' ผมเลยต้องพลอยตามน้ำไปด้วย

   "แลดูมึงจะสนิทสนมกับน้องเนิร์ดจังเลยนะ ตกลงคบกันแล้วเหรอไง" แจ็คเหล่มองมาด้วยสายตาหงุดหงิด ผมอยากคิดเข้าข้างตัวเองว่ามันหึง แต่ก็ต้องหยุดความคิดเมื่อได้ยินประโยคถัดมา

   "ถ้าเป็นอย่างนั้นก็ดี มึงจะได้กันน้องเนิร์ดของมึงออกไปให้ห่างๆ น้องโซระของกูหน่อย แม่งไม่รู้ว่าเป็นเพื่อนหรือเป็นพ่อ ตามห่วงซะอย่างกับจงอางหวงไข่" มันบ่นอุบเป็นหมีกินผึ้ง แต่คนที่มันพูดถึงแน่นอนว่าไม่ใช่พ่อ และก็ไม่ได้อยากเป็นแค่เพื่อน

   ก็เหมือนกับคนที่นั่งอยู่ตรงนี้ มีแต่มันที่ไม่เคยรับรู้

   "ไม่รู้ล่ะ ทริปเสม็ดคราวนี้จะต้องเสร็จ! กูจะทำให้น้องโซระยอมตกลงเป็นแฟนกูให้ได้!"

   

   "ทะเล~ นี่ผมไม่ได้มาเที่ยวทะเลนานมากแล้วนะครับ สวยมากเลย โชคดีที่วันนี้อากาศดีด้วย" โซระยิ้มกว้างอย่างสดใส ทันทีที่ก้าวลงจากรถเสียงคลื่นและกลิ่นไอทะเลก็พัดผ่านมาพร้อมสายลม วันนี้แจ็คเป็นคนขับรถมา พวกเราจึงต้องจอดรถทิ้งไว้ที่ท่าเรือ ก่อนจะขึ้นเรือนั่งต่อไปยังเกาะ

   "ต่อให้ทะเลสวยแค่ไหนก็สู้ 'ท้องฟ้า' ไม่ได้หรอกครับ" พอสบโอกาสมันก็หยอดคำหวานไปอีกหนึ่งหยด ชื่อของโซระเป็นภาษาญี่ปุ่นแปลว่า 'ท้องฟ้า' ผมแอบเห็นเอิร์ธกลอกตามองบนอย่างหมั่นไส้

   "ไปขึ้นเรือกันเถอะครับ เดี๋ยวสายแล้วแดดจะยิ่งแรงไปกว่านี้" เอิร์ธกล่าวตัดบทพลางหยิบกระเป๋าของตัวเองและของโซระไปถือ เมื่อถูกแย่งหน้าที่แจ็คจึงได้แต่คว้ากระเป๋าของตัวเองก่อนรีบเดินตามไปประกบเป้าหมาย ผมจึงหยิบกระเป๋าขึ้นพาดบ่าและเดินตามไปเป็นคนสุดท้าย

   ตลอดเวลาที่นั่งอยู่บนเรือแจ็คก็ยังคงคอยเอาอกเอาใจ 'น้องโซระร้อนไหมครับเดี๋ยวพี่พัดให้' 'แดดแรงอย่างนี้ทาครีมกันแดดดีกว่านะครับ' 'เมาเรือหรือเปล่าครับพี่มียา' บลาๆๆ น่าเบื่อที่สุด ผมเห็นเอิร์ธแค่นั่งเงียบกันไม่ให้สองคนนั้นมีโอกาสได้อยู่ด้วยกันตามลำพัง แต่ต่อให้อยู่ท่ามกลางสายตาสาธารณชน คนหน้าด้านก็ยังแจกน้ำตาลหวานเจี๊ยบไม่เกรงใจใคร น่าหมั่นไส้ที่สุด

   จนกระทั่งเดินทางถึงที่พัก ปัญหาใหม่คือพวกเราได้กุญแจมาสองดอก เป็นรีสอร์ทหลังเล็กที่ตั้งอยู่ใกล้กันสองหลังสำหรับนอนห้องละสองคน ยังดีที่เอิร์ธชิงรับกุญแจเอาไว้ ก่อนจะยื่นมาให้ผมหนึ่งดอก

   "พวกเราขอตัวไปเก็บกระเป๋าก่อนนะครับ เสร็จแล้วค่อยออกมาเจอกันอีกที" เอิร์ธพูดรวบรัดพร้อมเดินตรงไปยังห้องพัก ผมรู้ว่าแจ็คไม่พอใจแต่ก็ยังเก็บอาการไว้ เดินตามไปส่งโซระถึงหน้าห้อง พอลับหลังเท่านั้นมันก็ทำหน้าเซ็งจัดอย่างไม่ปิดบัง

   แต่เมื่อเดินต่อมาถึงห้องของพวกเราและเปิดประตูเข้าไป ผมเห็นแจ็คหยุดชะงัก เพราะภาพด้านหน้าคือ 'เตียงคู่' ที่มีขนาดใหญ่กว่าเตียงในห้องผมแค่ไม่ถึงคืบ

   ผมเดินนำเข้าไปวางกระเป๋าลงบนพื้นข้างเตียง แจ็คจึงเดินตามเข้ามา เมื่อไม่มีใครพูดอะไรบรรยากาศระหว่างพวกเราจึงกลายเป็นความเงียบ จะว่าไปแล้วตั้งแต่คืนนั้น... พวกเราก็ไม่เคยได้อยู่ด้วยกันตามลำพังในพื้นที่แคบๆ แบบนี้อีก

   การมาเที่ยวทะเลครั้งนี้ อาจจะเป็นเรื่องดีก็ได้

   "มึงไม่ต้องเอาของออกจากกระเป๋าหรอก" สักพักมันก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมา ผมเลิกคิ้วให้กับประโยคที่ไม่เข้าใจความหมาย

   "คืนนี้มึงเตรียมตัวแลกห้องไว้ได้เลย" มันพูดโดยไม่ได้หันกลับมามองผม ก่อนจะลุกเดินออกจากห้องไป

   ทันทีที่เข้าใจความหมายของประโยคนั้น คิ้วของผมจึงขมวดเข้าหากันแน่น

   แต่ผมคิดว่าเอิร์ธคงจะไม่ยอม และผมเองก็ไม่มีทางยอม

   

   
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 8 (10/3/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 11-03-2018 07:11:07
สนุกๆ

รอตอนต่อไปเลยยย
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 8 (10/3/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 11-03-2018 08:19:38
พี่ยักษ์คะ มาขนาดนี้ ต้องได้ค่ะ
อย่าปล่อยให้หลุดมือ  :ling1:
หัวข้อ: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 9 ใครเสร็จใคร
เริ่มหัวข้อโดย: @moment ที่ 11-03-2018 11:21:58

    ตอนที่ 9 ใครเสร็จใคร

   

   "โซระอยากไปเที่ยวที่ไหนก่อนดีครับ จะเดินเล่นรอบเกาะ ชมรูปปั้นพระอภัยมณี ดูเต่าทะเลที่ศูนย์วิจัยกรมประมง หรือว่าจะลองไปดำน้ำดูปะการัง หรือถ้าอยากลองเล่นอะไรที่ผาดโผนหน่อยก็มีทั้งเจ็ทสกี บานาน่าโบ๊ท และกีฬาทางน้ำอีกหลายอย่างเลยนะครับ"

   สุภาพบุรุษจอมปลอมยังคงรักษาฟอร์มเอาไว้ได้อย่างดีเยี่ยม แนะนำสถานที่ท่องเที่ยวด้วยข้อมูลที่เตรียมมาพร้อม ทำท่ากางแผนที่เกาะ แต่จุดประสงค์แอบแฝงคือจงใจให้โซระโน้มตัวเข้ามาใกล้มากกว่า ยังดีที่เอิร์ธเองก็พกหนังสือท่องเที่ยวมาด้วยเลยชิงยื่นให้ตัดหน้า โซระยิ้มรับหนังสือจากมือเพื่อน ผมเลยได้เห็นคนที่ถูกสกัดดาวรุ่งแอบกัดฟันกรอดๆ

   "น่าสนใจทุกอย่างเลยครับ อ่ะ แต่... เอิร์ธว่ายน้ำไม่เป็นนี่นา" โซระเงยหน้าขึ้นจากหนังสือ หันมองเพื่อนพลางพึมพำท้ายประโยคด้วยเสียงแผ่ว

   "มาทะเลแต่ว่ายน้ำไม่เป็นเนี่ยนะ" คนปากหมาหลุดเหน็บแนมด้วยความปากไว ก่อนจะรีบแถต่อไปอย่างรวดเร็ว

   "อ้อ แต่ไม่ต้องกลัวนะครับ เพื่อนของพี่คนนี้ว่ายน้ำเก่งมาก รับรองว่าดูแลปกป้องน้องเอิร์ธได้สบายหายห่วงแน่นอน" มันถือโอกาสผลักไสเอิร์ธมาให้ผมอย่างเนียน พอผมเลิกคิ้วและจ้องหน้าถามแทนคำพูด มันกลับเบนหน้าหนีหันไปยิ้มให้โซระ ไม่ยอมมองตอบผมด้วยซ้ำ

   "ตอนนี้แดดยังแรงอยู่เลย พวกเราเดินเล่นรอบๆ เกาะกันก่อนดีกว่าไหมครับ" โซระเอ่ยตัวเลือกที่ฟังดูเป็นกลางที่สุด

   "ได้สิครับ พี่ตามใจโซระทุกอย่างอยู่แล้ว" มันคลี่ยิ้มหวานปานน้ำเชื่อม ต่างจากน้ำผึ้งตรงที่ไม่เป็นธรรมชาติ เห็นแล้วน่าหมั่นไส้เป็นที่สุด

   ผมถอนหายใจพลางเบนหน้าไปมองทางอื่น บังเอิญสบตากับเอิร์ธที่ใช้ปลายนิ้วดันกรอบแว่นขึ้นพอดี ผมรู้ว่าแผนของพวกเราคือ 'ก้างขวางคอ' แต่ผมก็ไม่ถนัดกับการทำอะไรแบบนี้เลย ให้ตายสิ

   ผมจึงได้แต่เดินตามสองคนนั้นไปเรื่อยๆ ในขณะที่เอิร์ธเองก็ลดฝีเท้าลงมาเดินอยู่ด้านข้างผม คงเป็นเพราะวันนี้ทั้งวันจงใจขัดจังหวะอย่างออกนอกหน้ามากเกินไปหลายครั้ง จนน่ากลัวว่าจะถูกจับผิดได้ ตอนหลังเอิร์ธจึงเริ่มปล่อยบ้างเล็กน้อย จะขัดก็แค่เฉพาะจังหวะที่จำเป็นจริงๆ

   ทว่าไม่นานนักจังหวะนั้นก็เวียนมาถึงอีกครั้ง

   หลังจากที่พวกเราเดินเล่นมาไกล แวะพักกินข้าวและเดินย่อยอีกพักใหญ่ จนมาถึงชายหาดที่เป็นแหล่งบันเทิง มีกีฬาทางน้ำแบบปรกติและผาดโผนหลายอย่าง เสียงหัวเราะเฮฮาพร้อมเสียงกรี๊ดดังแว่วมาแต่ไกล ดูท่าทางโซระเองก็สนใจและอยากเล่นอยู่ไม่น้อย

   "ทางนั้นมีเจ็ทสกีให้เช่าด้วยนะครับ" กีฬามีสารพัด แต่มันกลับเลือกเสนออะไรที่แค่อ้าปากก็เห็นไปถึงไส้ติ่ง ตั้งใจจะให้ซ้อนท้ายแบบแนบชิดกันสองต่อสองละสิไม่ว่า

   "แต่ว่าเอิร์ธ..." โซระยังคงหันมองไปทางเพื่อนอย่างเป็นห่วง

   "ไม่ต้องห่วงหรอกครับ มีเสื้อชูชีพด้วย ปลอดภัยแน่นอน ให้เอิร์ธนั่งซ้อนไปกับถึกก็ได้" นั่นไงล่ะ เข้าทางมันเลย

   "นั่นสิโซระ ถ้ามีเสื้อชูชีพเราก็ไม่เป็นไรหรอก ไหนๆ ก็มาเที่ยวทะเลทั้งที ไปเล่นกันให้สนุกดีกว่านะ อ่ะ แต่เราอยากลองเล่นอันนั้นจัง" เอิร์ธพูดพลางชี้นิ้วไปอีกทาง

   "บานาน่าโบ๊ท? น่าสนุกนะ" โซระยิ้มกว้าง สนับสนุนความคิดเห็นของเพื่อน

   แน่นอนว่าไอ้คนคิดไม่ซื่อจึงจำต้องกินแห้ว ได้แต่ฉีกยิ้มแห้งตอบว่า "ตามใจโซระสิครับ"

   ผมแอบยกนิ้วโป้งให้เอิร์ธอยู่ในใจ นอกจากจะขัดขวางไม่ให้สองคนนั้นได้อยู่ใกล้ชิดกันตามลำพัง ยังจัดลำดับที่นั่งได้ยอดเยี่ยม โดยใช้เหตุผลว่า 'เรียงลำดับความสูง' ทำให้โซระนั่งอยู่ด้านหน้าสุด ตามด้วยเอิร์ธ แจ็ค และผมปิดรั้งท้าย

   ด้วยความที่ไม่อยากให้เสื้อเปียกพวกเราจึงตัดสินใจถอดเสื้อวางไว้พร้อมกับรองเท้า เอิร์ธเองก็ถอดแว่นวางไว้ด้วย ผมแอบเห็นไอ้แจ็คจ้องมองโซระที่เปลือยท่อนบนตาเป็นมัน ก่อนจะได้สมน้ำหน้าเพราะไม่นานนักภาพนั้นก็ถูกบดบังด้วยเสื้อชูชีพ แถมยังมีเอิร์ธมานั่งขวางหูขวางตาอยู่เต็มๆ

   เจ็ทสกีลากเรือทรงกล้วยออกไปด้วยความเร็วแรกเริ่มที่ไม่สูงมากนัก จนกระทั่งถึงกลางทะเลจึงเริ่มเร่งเครื่อง ตามด้วยการปาดซ้ายขวากระแทกเกลียวคลื่นอย่างหวาดเสียว เสียงเฮฮาดังลั่นพร้อมกับน้ำทะเลเค็มๆ ที่สาดกระเซ็นกระทบใบหน้า ทุกคนยังคงเกาะราวจับแน่นหนึบ ไม่มีใครร่วงตกลงไป แผ่นหลังของแจ็คเซล้มมากระทบกลางอกของผมหลายครั้ง ดูเหมือนมันจะพยายามขืนตัวออกห่างในตอนแรก แต่คงจะต้านแรงลมไม่ไหว ส่วนผมเองก็คงจะต้านหัวใจของตัวเองไม่ไหว ถึงได้ถือโอกาสเบียดตัวเข้าไปใกล้ ค่อยๆ ยืดแขนออกไปโอบรอบเอวของมันแทน

   "เหวออออออออออ!"

   จังหวะนั้นเองที่เรือกล้วยถูกเหวี่ยงหมุนกลับเกือบสามร้อยหกสิบองศา ผมได้ยินเสียงร้องดังจากด้านหน้าตามมาด้วยเสียงดัง ตูม! ร่างกายเสียศูนย์ร่วงลงกระแทกผืนน้ำอย่างแรง

   เสื้อชูชีพช่วยให้พยุงตัวขึ้นมาได้ไม่ยากนัก ร่างกายซีกหนึ่งจะยังคงเจ็บและจุกอยู่ไม่น้อย แถมยังเค็มปะแล่มด้วยน้ำทะเลที่สาดเข้าปากคำใหญ่ เมื่อลืมตาผมก็ได้เห็นภาพบานาน่าโบ๊ทว่างเปล่าลอยห่างออกไป แจ็คโผล่ขึ้นมาจากผืนน้ำใกล้กัน โซระกระเด็นออกไปอีกทิศ แต่สิ่งผิดปรกติที่ฉายเข้าสู่สายตาของผมคือร่างหนึ่งที่กำลังตะกุยตะกายตีน้ำเป็นวงกว้าง แทนที่จะปล่อยให้เสื้อชูชีพช่วยพยุง การดิ้นรนกลับกลายเป็นการกดน้ำหนักให้เจียนจะจมลงไปอยู่หลายครั้ง

   "เอิร์ธ!?" ทันทีที่ตั้งสติได้ผมจึงรีบว่ายน้ำเข้าไปหาร่างนั้น

   "ชะ ช่วยด้วย! ขะ ขาผม" ยิ่งร้องก็ยิ่งพาลให้สำลักน้ำ เมื่อไม่มีทางเลือกผมจึงใช้ท่อนแขนล็อกรอบคออีกฝ่ายจากด้านหลัง เพราะถ้าหากถูกคนที่กำลังดิ้นดึงรั้งให้จมลงไปพร้อมกันจะยิ่งแล้วใหญ่

   "ใจเย็นๆ เกาะแขนพี่ไว้ พวกเราใส่เสื้อชูชีพอยู่ ไม่เป็นไร" ผมร้องปลอบร่างในอ้อมแขนให้เริ่มสงบลง ก่อนจะค่อยๆ พาว่ายกลับไปยังบานาน่าโบ๊ทที่วนกลับมารอรับ

   "เอิร์ธ!? ไม่เป็นไรนะ" โซระที่รีบว่ายกลับเข้ามาร้องถามเพื่อนอย่างเป็นห่วง

   "สงสัยขาจะเป็นตะคริว" ผมตอบคำถามแทนคนที่สำลักน้ำจนจมูกแดง ตาแดง น้ำตาคลอเบ้า

   "พี่ครับ ช่วยขับกลับฝั่งเลยครับ" แจ็คเป็นคนร้องบอกคนขับ ผมช่วยพยุงเอิร์ธกลับขึ้นไปนั่งบนเรืออย่างทุลักทุเล ไม่มีใครทันใส่ใจกับตำแหน่งที่นั่งที่สลับกับตอนขามา

   แม้กระทั่งตอนกลับถึงฝั่ง เอิร์ธก็ยังลุกเดินไม่ไหวแทบจะร่วงลงไปกองกลางทะเล ผมจึงตัดสินใจช้อนร่างนั้นขึ้นอุ้มเดินพาไปนั่งบนชายหาด

   "โอ้ย!" เอิร์ธร้องลั่น เมื่อผมจับขาข้างที่เป็นตะคริวให้เหยียดตรงและดันฝ่าเท้าเข้าไปหาลำตัว

   "ทนแป้บเดียว จะได้หาย" ผมบอกสั้นๆ เงยขึ้นมองดวงตาแดงก่ำที่มองตอบกลับมา

   "ไม่เป็นไรนะเอิร์ธ" โซระเองก็คอยลูบหลังลูบบ่าเพื่อนอย่างปลอบใจ หลังเห็นว่าเอิร์ธเริ่มมีสีหน้าดีขึ้นจึงกล่าวต่อ

   "เดี๋ยวผมไปหยิบเสื้อกับรองเท้ามาให้นะครับ" พอผมพยักหน้ารับพร้อมกล่าวขอบใจ โซระจึงลุกเดินไปยังทิศที่พวกเราฝากของเอาไว้ ตอนแรกผมนึกว่าแจ็คจะอาสาตามไปด้วย แต่มันกลับนั่งเก้ๆ กังๆ เหมือนกับไม่รู้จะทำอะไรที่ดีกว่านั้น

   "มีอะไรให้กูช่วยไหม" มันถามระหว่างที่ผมยังคงช่วยนวดขาให้เอิร์ธอยู่

   "มึงไปช่วยโซระถือของเถอะ" ผมตอบไปตามเหตุผล เพราะจะให้คนๆ เดียวที่มีแค่สองมือถือข้าวของพร้อมรองเท้าสี่คู่มายังไงไหว แจ็คกลับเหลือบมองหน้าผมแวบหนึ่ง ก่อนจะก้มลงมองพื้นทรายหรือไม่ก็มือของผมที่อยู่บนขาของเอิร์ธ จากนั้นจึงยันตัวลุกขึ้นหันหลังออกเดินตามโซระไป

   "ผมไม่เป็นไรแล้ว ขอบคุณพี่ต้นมากนะครับ" เอิร์ธกล่าวพึมพำ ดูท่าทางจะหมดฤทธิ์ไปเยอะ

   "นายนี่ก็นะ ว่ายน้ำไม่เป็นก็ไม่เห็นจะต้องฝืนขนาดนี้" ผมพูดตามความเป็นจริง ถึงแม้จะรู้อยู่แก่ใจว่าที่เอิร์ธทำลงไปทั้งหมดเพราะอะไร และผมเองก็เป็นคนที่พลอยเห็นดีเห็นงามด้วย ตอนนี้จึงได้แต่ช่วยพยุงร่างบางให้ลุกขึ้นยืน พลางช่วยปัดคราบทรายที่เลอะเทอะอยู่ทั่วตัวออก

   ทำยังไงได้ ก็ผมกับเอิร์ธมันหัวอกเดียวกัน รักเขาข้างเดียวเหมือนกัน

   

   ด้วยสภาพร่างกายของคนในกลุ่มที่ไม่เอื้ออำนวย พวกเราจึงต้องหยุดพักการเที่ยวเล่นลงแต่เพียงเท่านั้น คราบทรายและน้ำทะเลเริ่มแห้งเกรอะเหนียวไปทั้งตัว พอเดินกลับไปถึงหน้ารีสอร์ทผมจึงบอกให้แจ็คกลับห้องไปอาบน้ำก่อน เพราะผมยังต้องช่วยพยุงเอิร์ธไปส่งที่ห้องพัก

   "กูก็จะเดินไปส่งโซระเหมือนกัน" เห็นเงียบมาตลอดทาง นึกว่ามันจะยอมสงบปากสงบคำ แต่จนแล้วจนรอดก็ดูเหมือนมันจะยังไม่เลิกพยายามทำคะแนนอยู่ดี

   "ไม่เป็นไรหรอกครับ ผมไม่ใช่คนเจ็บซะหน่อยส่งแค่นี้ก็พอแล้ว พี่แจ็คไปอาบน้ำเถอะครับ" โดนเป้าหมายปฏิเสธเข้าไปมันถึงกับยิ้มไม่ออก ยอมก้มหน้ารับคำโดยดี มันเหลือบมองผมแวบหนึ่งก่อนจะหันหลังเดินแยกกลับห้องไป

   หลังจากส่งเอิร์ธและโซระเสร็จผมจึงเดินกลับห้องบ้าง ระหว่างที่กำลังก้มเปิดกระเป๋าเพื่อเตรียมเสื้อผ้าออกมาต่อคิวอาบน้ำ ร่างหนึ่งก็เดินออกมาจากห้องน้ำพอดี แจ็คชะงักไปชั่วครู่ คงไม่นึกว่าผมจะกลับมาแล้วถึงได้เดินออกมาในสภาพนั้น

   ร่างสูงโปร่งมีแค่ผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันรอบเอว หยดน้ำยังเกาะพราวอยู่ทั่วตัว อันที่จริงผมควรจะเห็นภาพนั้นจนชินตา เพราะเวลาที่มันมาสิงห้องของผมก็ทำตัวตามสบายอย่างกับเป็นบ้านของตัวเอง บางครั้งเวลาอากาศร้อนๆ ใส่แค่กางเกงขาสั้นตัวเดียวนอนก็บ่อยไป

   แต่ไม่ใช่ตอนที่ผมรู้สึกกับมันแบบนี้

   ผมอาจจะเผลอมองภาพตรงหน้านานเกินไป มันถึงได้ดึงผ้าขนหนูผืนเล็กที่พาดอยู่บนหัวอยู่ลงมาเช็ดตัว ก่อนจะสวมเสื้อยืดทับทั้งๆ ที่เนื้อตัวยังไม่ทันแห้งดีด้วยซ้ำ เมื่อดึงสติและสายตาของตัวเองกลับมาได้ ผมจึงลุกเดินสวนเข้าห้องน้ำไปบ้าง ตอนนี้ผมต้องการอาบน้ำ ต้องการให้น้ำเย็นๆ ช่วยลดความร้อนของร่างกาย

   ผมปล่อยให้สายน้ำสาดลงมานานกว่าสิบนาที กลับออกมาอีกทีก็ไม่เห็นใครอยู่ในห้องแล้ว หลังแต่งตัวเสร็จผมจึงเดินออกไปข้างนอก มองหารอบบริเวณก็ไม่เจอ จนกระทั่งสายตาสะดุดเข้ากับใครบางคนที่นั่งอยู่บนเก้าอี้ม้าหิน หันหน้าออกหาชายหาด

   "ทำไมมานั่งอยู่ตรงนี้คนเดียวล่ะเอิร์ธ" ผมเอ่ยทักพลางเดินเข้าไปนั่งลงด้านข้าง ร่างนั้นหันกลับมาตามเสียงเรียกพร้อมกับหรี่ตาลงเล็กน้อย ผมจึงสังเกตเห็นว่ามีบางอย่างขาดหายไปจากบนใบหน้า

   "พี่ต้น? ขอโทษครับผมมองไม่ค่อยเห็น คือผมทำแว่นหาย ไม่แน่ใจว่าลืมไว้ตรงที่เล่นบานาน่าโบ๊ทหรือเปล่า ตอนนี้โซระเลยเดินกลับไปหาให้อยู่ครับ... เพื่อนพี่ก็ไปด้วย" เสียงของเอิร์ธเผยความไม่ค่อยพอใจนักในตอนท้าย แต่คงจะทำอะไรไม่ได้ ไม่รู้จะซวยซ้ำซวยซ้อนอะไรหนักหนา ขาก็เจ็บ ตาก็ยังมองอะไรไม่ชัดอีก

   "แล้วขาเป็นยังไงบ้าง หายเจ็บหรือยัง" ผมถามเปลี่ยนเรื่อง

   "ยังชาอยู่นิดหน่อยแต่ก็ดีขึ้นมากแล้วครับ ขอบคุณนะครับ" เอิร์ธพูดพลางยิ้มตอบ

   ภาพตรงหน้าทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ คงเพราะปรกติพวกเราค่อนข้างคล้ายกันตรงที่เป็นเสือยิ้มยาก เงียบๆ ไม่ค่อยพูดมาก เอิร์ธจึงมักจะดูเป็นผู้ใหญ่เกินตัว แต่ตอนนี้ใบหน้าใสที่ไม่มีแว่นสีดำกรอบหนาบดบัง กลับแลดูอ่อนเยาว์สมวัย เส้นผมที่เพิ่งสระเสร็จใหม่ๆ แห้งด้วยสายลมตามธรรมชาติ อาจจะดูยุ่งๆ ไม่ค่อยเป็นทรง แต่ผมว่าดูน่ารักมากกว่าตอนที่เอิร์ธหวีผมเรียบๆ ตามปรกติเสียอีก

   จะว่าไปเอิร์ธก็จัดเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาดี โซระเองก็ดูเป็นห่วงเป็นใยเอิร์ธอยู่ไม่น้อย บางครั้งผมก็คิดว่าแทนที่จะมาคอยกันท่าอยู่แบบนี้ ทำไมเอิร์ธถึงไม่ลองเดินหน้าจีบโซระเองซะเลย

   "นายเคยคิดจะสารภาพความในใจกับโซระบ้างไหม" ผมลองถามขึ้นเรียบๆ เอิร์ธนิ่งเงียบไปครู่หนึ่งก่อนเอ่ยตอบกลับมา

   "แล้วพี่ล่ะครับ" คำตอบสั้นๆ ราวกับลูกศรที่ย้อนกลับมาแทงเข้ากลางอกของผมเต็มๆ

   ผมถามทั้งๆ ที่รู้อยู่แก่ใจ... ถ้าถามตัวเองก็คงได้คำตอบเดียวกัน

   ไม่กล้า เพราะรู้ว่าเขาไม่เคยเห็นเราอยู่ในสายตา

   กลัวว่าถ้าบอกออกไปแล้วจะไม่เหลือแม้แต่คำว่า 'เพื่อน'

   ผมจึงเอื้อมมือออกไปขยี้หัวร่างด้านข้างกึ่งหมั่นเขี้ยว โทษฐานที่กล้ายอกย้อนผู้ใหญ่ ถึงแม้รู้ว่าอีกฝ่ายคงไม่ชอบให้ใครเล่นหัว เพราะผมเองก็ไม่ชอบ แต่ไม่รู้สิ ตอนนี้ผมเริ่มรู้สึกเอ็นดูเอิร์ธเหมือนน้องชาย เหตุการณ์วันนี้อาจทำให้พวกเราสนิทใจกันมากขึ้น เอิร์ธจึงแค่เพียงส่ายหน้าหลบ ไม่ได้โต้ตอบไปมากกว่านั้น

   "เอิร์ธ! ขอโทษนะรอนานไหม เราลืมหยิบแว่นมาจริงๆ ด้วย มันหล่นไปอยู่บนพื้นตรงที่ฝากของ โชคดีนะที่ไม่หายไปไหน" โซระเดินเข้ามาทางพวกเราก่อนยื่นแว่นคืนให้เจ้าของ

   "ขอบใจนะโซระ" เอิร์ธรับแว่นมาเช็ดเลนส์ก่อนสวมกลับประจำตำแหน่ง ภาพตรงหน้าจึงกลับมาเป็นหนุ่มแว่นที่คุ้นตา

   "เอิร์ธเดินไหวไหม เมื่อกี้ตอนเดินกลับมาเราเห็นร้านอาหารน่าอร่อยหลายร้านเลย เราไปหาอะไรทานกันนะครับ" โซระพูดกับเพื่อนก่อนจะหันมาถามความเห็นของทุกคน นี่ก็ได้เวลาอาหารเย็นพอดี ผมจึงพยักหน้ารับ

   ส่วนร่างสูงที่เดินกลับมาพร้อมโซระ นึกว่าจะทำหน้าระรื่นเพราะเพิ่งได้ใช้เวลาใกล้ชิดกับเป้าหมายสองต่อสอง แต่มันกลับทำหน้าบูดบึ้งราวกับไม่พอใจอะไรบางอย่าง หรือว่าจะหงุดหงิดที่ต้องกลับมาเจอไม้กันหมาอีก

   

   พวกเราเดินออกมาที่ร้านอาหารแห่งหนึ่ง มาถึงเกาะทั้งทีก็ต้องกินอาหารทะเล บรรยากาศริมชายหาด เสียงคลื่นแทรกมาพร้อมกับเสียงดนตรี ทุกอย่างเริ่มกลับเข้าสู่สภาวะเดิม แจ็คก็ยังคอยเอาอกเอาใจโซระชนิดบริการทุกระดับประทับใจเหมือนเดิม ส่วนเอิร์ธก็ยังคงกันท่าเป็นบางเวลา ในขณะที่ผมได้แต่คอยเฝ้ามองสถานการณ์จากรอบนอก

   เหตุการณ์ทุกอย่างดูจะเป็นปรกติดี ถ้าไอ้ตัวดีจะไม่เริ่มออกลาย

   "โซระอยากดื่มอะไรไหมครับ มีทั้งน้ำผลไม้ พั้นซ์ และก็ค็อกเทลแปลกๆ หลายอย่างเลย" แจ็คหยิบเมนูเครื่องดื่มขึ้นมา เนื่องจากร้านแถวนี้เป็นร้านอาหารกึ่งผับเสียส่วนใหญ่ไม่เว้นแม้แต่ร้านนี้ รายการเครื่องดื่มจึงมีให้เลือกมากมายหลายหน้ากระดาษ

   ผมขมวดคิ้วให้กับประโยคที่ได้ยิน ต่อให้พวกเราอยู่ในชุดลำลองและคงไม่มีใครคิดจะมาตรวจอายุกันตอนนี้ แต่ฟังดูก็รู้ว่าคนพูดมีเจตนาอะไรแอบแฝง

   "มีมะนาวปั่นด้วยนะโซระ นายชอบไม่ใช่เหรอ" โชคดีที่เอิร์ธหัวไว ทำหน้าที่ของตัวเองทันที

   "แก้วสีฟ้าๆ ที่พนักงานถือผ่านไปเมื่อกี้คืออะไรครับ สีสวยจัง" โชคร้ายที่ดูเหมือนว่าคราวนี้ เด็กดีริอยากจะลองออกนอกกรอบ

   "สีฟ้าเหรอครับ ถ้างั้นลองบลูกามิกาเซ่ไหม เดี๋ยวพี่สั่งให้นะ" พูดจบแจ็คก็รีบกวักมือเรียกพนักงานอย่างรวดเร็วราวกับกลัวถูกใครขัดจังหวะ แถมยังเล่นของแรงซะด้วย เลือกค็อกเทลที่มีส่วนผสมของว็อดก้ากับเตกิล่า กลบด้วยรสชาติหวานอมเปรี้ยวแบบน้ำผลไม้ ถ้าคอไม่แข็งมีหวังได้เมาเอาง่ายๆ แบบไม่ทันรู้ตัวเลยทีเดียว

   "เดี๋ยวก็เมาหรอกโซระ" เอิร์ธกล่าวด้วยเสียงดุ

   "ลองจิบนิดเดียวเองเอิร์ธ นะๆ" โซระยิ้มแหยก่อนจะเปลี่ยนมาเป็นการยิ้มประจบ เมื่อทำอะไรไม่ได้เอิร์ธจึงหันมามองผมด้วยสายตาขอความช่วยเหลือ ผมเองก็คิดหนักไม่แพ้กัน

   "ถ้างั้นก็ลองจิบเฉยๆ ที่เหลือเดี๋ยวพี่ดื่มต่อเองก็แล้วกัน" ผมเอ่ยหนทางที่ดีที่สุดเท่าที่พอจะนึกออกในตอนนั้น

   ไม่รู้ว่าคำพูดของผมไปจุดประกายความคิดอะไรเข้าให้ ตอนแรกเอิร์ธทำท่าเหมือนจะสั่งน้ำผลไม้แต่แล้วก็กลับเปลี่ยนเป็นสั่งค็อกเทลเบาๆ แถมยังรบเร้าให้ผมสั่งเครื่องดื่มของตัวเองอีกหนึ่งแก้ว กลายเป็นว่าทุกคนสั่งเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์กันคนละแก้ว พอจิบไปได้สักพักเอิร์ธก็พูดสิ่งที่ผมคาดไม่ถึงอีกครั้ง

   "ลองดื่มอย่างอื่นดูไหมโซระ อันที่ผสมน้ำสัปปะรดด้วยก็น่าอร่อยดีนะ" เอิรธ์พูดขึ้นมาทั้งๆ ที่แก้วเดิมเพิ่งจิบไปได้แค่ไม่กี่ครั้ง ยังพร่องไปไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน

   "แต่เรายังดื่มไม่หมดเลยนะ" โซระทำหน้างง ไม่ต่างจากความรู้สึกของผมถึงแม้จะไม่ได้แสดงออกทางสีหน้า

   "พี่ต้นช่วยดื่มต่อได้ไหมครับ" เอิร์ธพูดพลางเลื่อนแก้วของตัวเองมาทางผมก่อนจะกล่าวต่อ

   "แต่ถ้าให้พี่ต้นดื่มคนเดียวหมดก็คงจะเมาแย่เลย พี่แจ็คช่วยโซระดื่มต่อได้ไหมครับ หวังว่าพี่คงจะไม่รังเกียจ"

   ประโยคมัดมือชกทำเอาคนที่ถูกพาดพิงถึงขั้นเหวอ แต่เมื่อผมรับแก้วจากเอิรธ์มาดื่มโดยไม่พูดอะไร แจ็คก็เลยต้องปั้นยิ้มอย่างสุดความสามารถ "ได้สิครับ พี่ยินดีอยู่แล้ว"

   จากนั้นก็ไม่รู้ว่าใครเป็นฝ่ายมอมเหล้าใครกันแน่ หรือกลายเป็นการดวลเหล้ากันไปแล้วก็ไม่รู้ เพราะยิ่งเอิร์ธเล่นสนุกชวนโซระสั่งค็อกเทลมาลองอีกหลายแก้ว ผมก็ได้แต่รับมาดื่มอย่างต่อเนื่อง ทำให้แจ็คเหล่มองและกระดกแก้วในปริมาณเดียวกันอย่างไม่ยอมแพ้

   แต่ผมคิดว่าเอิร์ธฉลาดกว่า ในขณะที่สั่งเครื่องดื่มให้ผมแบบเบาๆ แต่กลับสั่งให้แจ็คแบบจัดหนักจัดเต็ม ผมแอบชูนิ้วโป้งสองมือให้เอิรธ์อยู่ในใจกับการพลิกวิกฤตเป็นโอกาสครั้งนี้

   "พอแล้วล่ะเอิร์ธ เราว่าเราชักจะมึนๆ แล้ว" ขนาดคนที่แค่จิบยังมึน ไม่ต้องเดาเลยว่าคนที่ดื่มอย่างกับอาบจะเมาหนักขนาดไหน

   "ถ้างั้นโซระดื่มน้ำเปล่าแก้วนี้ให้หมดก่อน แล้วเรากลับกันเถอะนะครับ" ท้ายประโยคเอิร์ธหันมาพูดกับผม ส่วนคนที่เคยปากเก่งตอนนี้เมาจนนอนฟุบอยู่กับโต๊ะ

   สุดท้ายมื้อนั้นผมเลยต้องรับหน้าที่ควักกระเป๋าตังค์จ่าย ถึงแม้ตัวเลขหลายหลักอาจทำให้ต้องจนกรอบไปทั้งเดือน แต่ผมว่ามันก็คุ้ม อย่างน้อยผมก็ได้แบกร่างที่เดินโซซัดโซเซจนแทบจะพากันกลิ้งลงทะเลหลายครั้งกลับห้อง ไม่ต้องย้ายที่นอนอย่างที่คนปากดีหรือดีแต่ปากเคยประกาศเอาไว้

   
-------------

ขอบคุณทุกท่านที่ติดตาม และขอบคุณสำหรับคอมเม้นด้วยนะคะ

>> nevergoodbye : พี่ยักษ์คะ มาขนาดนี้ ต้องได้ค่ะ อย่าปล่อยให้หลุดมือ

คันปากอยากสปอยแต่ต้องเก็บไว้ อ่านไปอีกสักพักแล้วความคิดท่านจะเปลี่ยนไป 555  :laugh:

หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 9 (11/3/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Himbeere20 ที่ 11-03-2018 14:11:33
 สมนํ้าหน้าอิแจ็ค :hao7:โดนเด็กมอมเหล้าเองซะ
ขอให้นกตลอดทริปนะ
หัวข้อ: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 10 หมาหวงก้าง
เริ่มหัวข้อโดย: @moment ที่ 11-03-2018 21:17:29

   ตอนที่ 10 หมาหวงก้าง

   

   "ตัวหนักเป็นบ้า" ผมหอบหายใจพลางปล่อยร่างของคนเมาแอ๋ให้ล้มนอนลงบนเตียง

   ตัวมันก็ไม่ใช่เล็กๆ ถึงจะได้อุ้มแบบส่งตัวเจ้าสาวไหว ถ้าให้อุ้มพาดบ่าแบบกระสอบข้าวสารก็คงพอได้ แต่กลัวจะทำให้ของเก่าขย้อนออกมาตามแรงโน้มถ่วงของโลกเสียก่อน สุดท้ายผมเลยจำต้องหิ้วปีกมันเดินทุลักทุเลมาไกลเกือบกิโล จากร้านอาหารจนถึงห้องพัก

   โซระเองก็ดูมึนๆ อยู่ไม่น้อย ถึงจะมีสติพูดจารู้เรื่องแต่ก็เดินไม่ค่อยจะตรงทาง จนเอิร์ธต้องคอยดึงมือไว้ไม่ให้ร่างเล็กสะดุดล้มลงไปนอนกลางทะเล เห็นแล้วก็น่าเป็นห่วง แต่ตอนนี้ผมเป็นห่วงคนตรงหน้ามากกว่า

   "นอนดีๆ" ผมส่ายหน้าเมื่อเห็นมันนอนแผ่ขวางอยู่กลางเตียง

   "ฮื่อ" เสียงคนเมาคำรามในลำคออย่างไม่พอใจ แต่พอปรือตาขึ้นมาเห็นหน้าผม ไม่รู้ว่าด้วยความเคยชินหรือจิตใต้สำนึกหรืออะไร มันถึงได้กระเถิบพาตัวเองไปนอนในทิศประจำ คือตีนอยู่ที่หัวเตียง หัวอยู่ที่ปลายเตียง

   เออ เอาเข้าไป

   ผมได้แต่กุมขมับ มันนอนถูกทิศ แต่เห็นแล้วขัดใจ ผมอยากจะลืมตาขึ้นมาเห็นหน้ามันเหมือนเช้าวันนั้น มากกว่าจะต้องเห็นตีนมันเหมือนเมื่อก่อน

   "ไอ้แจ็ค ลุก" ผมพยายามดึงแขนมันขึ้นมาอีกครั้ง แต่กลับมีเพียงเสียงฮึ่มฮั่มขัดใจตอบกลับมา และครั้งนี้มันก็นอนนิ่งไม่ยอมขยับเขยื้อน สุดท้ายผมจึงจำต้องล้มเลิกความตั้งใจ

   เอาวะ ในเมื่อมันไม่ยอมเปลี่ยนทิศ ผมนอนทิศเดียวกับมันเองก็ได้

   ผมถอนหายใจพลางทิ้งตัวลงนอนบ้าง ด้วยความเหนื่อยล้าที่แบกร่างหนักเดินมาไกล และตัวเองก็มึนไม่ใช่เล่น ถึงดีกรีเหล้าจะเบากว่า แต่ผมก็ดื่มไปในปริมาณที่ไม่ได้น้อยกว่ากันเลย ถือเสียว่าคนเมาทำอะไรก็ไม่ผิด ผมจึงถือโอกาสพลิกตัวไปด้านข้าง ดึงร่างของคนที่นอนไม่ได้สติเข้ามากอดในอ้อมแขน

   ทั้งๆ ที่ตัวผมและแจ็คก็เหม็นกลิ่นเหล้าคละคลุ้งเหมือนกัน แถมด้วยกลิ่นเหงื่ออีกต่างหาก แต่ผมกลับอยากซุกปลายจมูกลงบนบ่ากว้าง สูดดมจนได้กลิ่นหอมอ่อนๆ ของโคโลญที่มันชอบใช้

   "ร้อน! อึดอัด!" คนเมาเริ่มดิ้น ขยับพลิกตัวกลับมา ทำให้ใบหน้าของพวกเราอยู่ห่างกันแค่คืบ

   แต่เมื่อปรือตาขึ้นมาเห็นว่าใครอยู่ตรงหน้า มันกลับเอาฝ่ามือยันกลางหน้าผากของผมอย่างแรง จนผมเกือบจะหงายหลัง

   "แม่ง เหม็นหน้าว่ะ! ไปไกลๆ จะไปไหนก็ไป" เสียงอู้อี้ฟังแทบไม่รู้เรื่อง แต่พอจับศัพท์ได้ว่า 'ไล่'

   "อะไรของมึงวะ" ผมย้อนถามกลับอย่างหงุดหงิดที่ถูกยันกระเด็น คนเมาไม่ตอบแต่กลับยันตัวลุกขึ้นนั่งอย่างโงนเงน ผมจึงลุกตามบ้าง

   "เมื่อไหร่มึงจะมีแฟน"

   "ห๊ะ?" อยู่ดีๆ มันก็พูดโพล่งขึ้นมาจนผมตามอารมณ์ไม่ทัน

   "น้องเนิร์ดก็น่ารักดี ดูมีใจให้มึงด้วย กูว่ามึงรีบๆ เป็นแฟนกันไปเลยเหอะ"

   มึงเป็นบ้าอะไร!? ฟังแล้วผมก็ชักจะเริ่มโมโห ใจคอมันจะไล่ให้ผมมีแฟนให้ได้เลยเหรอไง!?

   "เหมาะกันจะตาย เงียบเป็นท่อนไม้กับเงียบเป็นเป่าสาก แค่มองตาก็รู้ใจ~ แม่ง ไปสวีทกันไกลๆ เลยไป เกะกะลูกตา เหม็นขี้หน้าว่ะ"

   นี่ผมเมาจนฟังไม่รู้เรื่อง หรือว่ามันเมาจนพูดไม่รู้เรื่องกันแน่ จะเชียร์หรือจะด่า จะปากหมาหรือจะอิจฉาตามประสาคนอยากมีแฟน หรือว่ามันจะ...

   "...หึง?"

   "หึงบ้านพ่อ-งดิ!"

   มันยื่นมือมายันหน้าผากของผมอีกครั้ง แต่ใครจะโง่ยอมเป็นเป้านิ่งซ้ำสอง พอพลาดเป้าหมายเลยกลายเป็นว่ามันเซล้มลงมาปะทะหน้าอกของผมเต็มๆ หรือจะเรียกว่าซบลงกลางอ้อมกอดเลยก็ได้

   "เหี้ยนี่! ปล่อยดิ๊!" เรื่องอะไรจะปล่อยให้มันยิ่งออกฤทธิ์ ผมถือโอกาสกระชับอ้อมแขนแน่นเข้า

   "ไอ้ถึก! ไอ้ยักษ์หื่น! กับเพื่อนมึงก็ยังหื่น! ไอ้เพื่อนเฮงซวย ไอ้ห่วยแตก เกิดมากูยังไม่เคยเสียท่าใคร แล้วดูมึงใช้กูเป็นหนูทดลอง!? เออ! กูดันแส่หาเรื่องเอง! เพราะงั้นมึงรีบมีแฟนแล้วก็ไปหื่นกับแฟนมึงเลยไป! ไอ้เก็บกด! ตายอดตายอยาก อยากนักก็ไปหาน้องเนิร์ดของมึงโน่นเลยไป!" ยิ่งด่าก็ยิ่งดิ้น แล้วแรงมันก็ไม่ใช่น้อยๆ ทุบกำปั้นลงมากลางหลังจนผมแทบจุก

   "อุ๊บ!"

   ผมอยากจะปิดปากช่างด่าด้วยปาก แต่ยังไม่ทันได้ทำ มันก็ยกมือขึ้นมาปิดปากตัวเอง

   "เหี้ย เอาอีกแล้วจริงดิ!?"

   อุทานยังไม่ทันจบก็ต้องเบนหน้าหนีแทบไม่ทัน เพราะว่ามันอ้วก... เออ อ้วกใส่ผมอีกแล้ว เต็มๆ เลย

   ผมควรจะสงสารตัวเองที่ไม่รู้ว่าหลงรักมันเข้าไปได้ยังไง ไม่รู้ว่าต้องถอนหายใจเป็นรอบที่เท่าไหร่ สรุปแล้วก็เป็นผมที่ต้องจัดการเก็บกวาดเสื้อผ้าของตัวเอง ของมัน และก็ผ้าห่มของโรงแรมด้วย ยังดีที่ไม่ได้เปื้อนลงไปถึงฟูก กว่าจะเรียบร้อยผมก็ทิ้งตัวลงนอนอย่างหมดแรงข้างคนที่หลับไม่รู้เรื่อง

   สุดท้ายแล้วคืนนั้นพวกเราเลยจำต้องนอนแบบไม่มีผ้าห่ม เพราะฉะนั้นก็ใช้เนื้อห่มเนื้อนี่แหละ อุ่นดี ตื่นขึ้นมาอย่าโวยวายก็แล้วกัน ถือเป็นความผิดของมัน ไม่ใช่ความผิดของผมด้วย

   แต่ก่อนที่จะหลับลงตามคนในอ้อมแขน คำถามเดิมก็ย้อนกลับขึ้นมาในความคิด

   มัน... หึง...?

   

   เช้าวันรุ่งขึ้นผมเป็นฝ่ายตื่นขึ้นมาก่อน ภาพแรกที่ผ่านเข้าสู่สายตาคือใบหน้าของคนในอ้อมแขน ตอนนอนหลับนิ่งๆ แบบนี้มันก็น่ารักดี ทั้งๆ ที่หน้าตาไม่ใช่แนวน่ารักเลยสักนิด ไม่เข้าใจตัวเองเหมือนกันว่าทำไมผมถึงได้ตาฝ้าฟางมองเข้าไปได้ว่ามันน่ารัก และยิ่งมองก็ยิ่งอยากมองแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ

   ผ่านไปสักพัก ร่างในอ้อมแขนก็เริ่มขยับเคลื่อนไหว แวบหนึ่งผมอยากรู้ว่ามันจะมีปฏิกิริยายังไง จะจำเหตุการณ์เมื่อคืนหรือสิ่งที่พูดออกมาได้หรือเปล่า ผมจึงตัดสินใจหลับตาลงและแกล้งหลับต่อ

   ผ่านไปอีกหลายวินาที ร่างในอ้อมแขนยังคงนอนนิ่ง จนผมนึกว่ามันอาจจะยังไม่ตื่น ทว่าเสี้ยวนาทีถัดมาร่างนั้นกลับลุกพรวดพราดขึ้นนั่ง อาจจะเมาค้างจนสมองสั่งการช้ากว่าปรกติ หรือไม่ก็กำลังช็อคกับภาพตรงหน้า แต่ผิดคาดตรงที่มันไม่ได้โวยวายหรือว่าหันมาถีบผมตกเตียง

   แต่สิ่งที่มันทำ คือการ... เผ่นแนบ

   ผมลืมตาขึ้นมาทันเห็นแค่แผ่นหลังเปลือยเปล่าโกยอ้าวเข้าห้องน้ำไป

   ปฏิกิริยาของแจ็คทำเอาผมอึ้งไปเหมือนกัน หลังจากนั้นมันก็หายเข้าห้องน้ำไปนานจนผมตัดสินใจลุกขึ้นไปเคาะประตู ได้ยินเสียงฝักบัวเปิดอยู่ แต่ไม่มีเสียงตอบรับ จนกระทั่งเคาะเรียกครั้งที่สองจึงมีเสียงของคนด้านในตะโกนกลับมา

   "กูขี้อยู่!"

   "..."

   ขี้บ้านมันสิต้องเปิดน้ำทิ้งไว้ด้วย ผมถอนหายใจพลางเดินกลับมานั่งที่เตียง รอจนกระทั่งมันยอมโผล่หัวออกมาจากห้องน้ำ แต่ประโยคแรกที่มันพูดหลังจากยอมเหลือบมองหน้าผมแค่แวบเดียวก็คือ "กูหิวแล้ว ไปหาไรกินก่อนนะ" ก่อนเผ่นออกจากห้องไปโดยไม่รอให้ผมได้พูดอะไรเลยด้วยซ้ำ

   มันอาจจะรู้ตัวแล้วว่าเมื่อคืนพวกเราไม่ได้มีอะไรกัน เพราะเสื้อผ้าของผมกับมันก็ยังแขวนผึ่งลมอยู่ และที่สำคัญสภาพร่างกายก็ไม่ได้มีอะไรบุบสลาย หรือต่อให้เกิดอะไรขึ้นจริง มันก็อาจจะแกล้งทำเป็นเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นก็ได้

   นี่ผมควรจะทำยังไงกับมันดี

   ขืนปล่อยให้เป็นแบบนี้ต่อไป พนันได้เลยว่ามันต้องเดินหน้าจีบโซระและพยายามยัดเยียดเอิร์ธมาให้ผมอีกแน่ๆ

   "..."

   เอาอย่างนั้นก็ได้ ถ้ามันต้องการแบบนั้น

   

   "อะไรนะครับ แผนสอง" ดวงตาใต้กรอบแว่นสีดำเบิกกว้างขึ้นอย่างตกใจ

   "อืม แผนสอง แกล้งเป็นแฟนกัน" ผมชี้นิ้วที่ตัวเองและร่างด้านหน้าแทนคำว่า 'พวกเรา' พร้อมทวนคำพูดเดิมอีกครั้ง ครั้งนี้เอิร์ธจึงนิ่งเงียบไปเหมือนกำลังใช้ความคิด

   "แต่ถ้าเอิร์ธลำบากใจก็ไม่เป็นไรนะ จะทำตามแผนเดิมก็ได้" ผมพูดต่อเพราะสังเกตเห็นถึงท่าทางที่แปลกไปของเอิร์ธและโซระตั้งแต่เช้า ทั้งอ้ำๆ อึ้งๆ เดินห่างกันผิดปรกติ ไม่ตัวติดกันตลอดเวลาเหมือนเมื่อก่อน พอผมถาม เอิร์ธก็ตอบแค่ว่า

   "ไม่มีอะไรครับ แค่...อุบัติเหตุนิดหน่อย"

   แต่อาการหน้าแดงและการเผลอยกมือขึ้นมาแตะริมฝีปากอย่างลืมตัวอยู่บ่อยครั้ง บอกผมว่าเมื่อคืนต้องเกิดอะไรขึ้นแน่ๆ นี่อาจจะไม่ใช่จังหวะที่ดีสำหรับเอิร์ธ ถ้าผมอยากจะเริ่มแผนใหม่

   "โอเคครับ ว่าไงว่าตามกัน" แต่เอิร์ธกลับตอบตกลง "ขนาดพี่ต้นยังยอมทำตามแผนของผมเลย และถ้าได้ผล เพื่อนพี่ก็จะได้เลิกยุ่งกับโซระซะทีด้วย" เอิร์ธตอบพลางใช้นิ้วดันกรอบแว่นขึ้นด้วยท่าทางที่ติดเป็นนิสัย

   ผมอดแปลกใจไม่ได้เหมือนกันที่เอิร์ธไม่ถามด้วยซ้ำว่าเกิดอะไรขึ้น ทำไมอยู่ๆ ผมถึงได้นึกอยากใช้แผนนี้ บางทีผมก็อดนึกถึงคำพูดของแจ็คไม่ได้ 'แค่มองตาก็รู้ใจ' น่าเสียดายที่นั่นไม่ใช่ใจของคนที่เราอยากรู้ เอิร์ธเองก็อาจจะคิดเหมือนกัน เพราะยิ่งเป็นคนสำคัญก็ยิ่งไม่แน่ใจ ไม่กล้าคิด กลัวว่าสิ่งที่คิดจะไม่เป็นอย่างที่หวัง

   แต่เมื่อเลือกที่จะเดินหน้าแล้วก็ต้องไม่ถอยหลัง

   

   "มาครับเดี๋ยวพี่ช่วยถือ"

   เหตุการณ์วันนี้ก็เป็นอย่างที่ผมคาดคิดไม่ผิดเพี้ยน ไอ้แจ็คยังดันทุรังเดินหน้าจีบโซระเหมือนเคย คอยดูแลเทคแคร์ตั้งแต่ตอนเช็คเอ้าท์ แวะกินอาหารเช้า นั่งเรือกลับขึ้นฝั่ง ตลอดจนแวะซื้อของฝากมันก็ยังเดินอ้อมหน้าอ้อมหลังคอยช่วยถือของ

   ผมข่มความหงุดหงิดในใจ ก่อนจะเริ่มดำเนินการตามแผนสอง

   "มาพี่ช่วยถือ" ผมกล่าวสั้นๆ เอิร์ธเองก็ให้ความร่วมมือด้วยการยื่นของในมือมาให้ พวกเราจึงเดินทิ้งห่างจากสองคนด้านหน้าเล็กน้อย ทำทีเป็นช่วยกันเลือกซื้อของฝาก

   เวลาผ่านไปสถานการณ์ก็ยิ่งเหมือนดับเบิ้ลเดทจริงๆ มากขึ้นไปทุกที

   ตอนหลังไอ้แจ็คชักจะลามปาม ตีเนียนอ้อมมือไปโอบบ่าร่างเล็ก ผมเห็นเอิร์ธมองตามตาขวางจนน่ากลัวว่าจะเสียแผน จึงคว้าหมวกใบหนึ่งในร้านมาทำทีเป็นลองสวมให้

   "น่ารักดี" ผมพูดตามบท แต่ส่วนหนึ่งในใจก็รู้สึกอย่างนั้นจริงๆ หมวกแก๊ปยีนส์สีดำปักเหลื่อม ดูแปลกตาต่างจากชุดเรียบร้อยจนออกเชยที่เอิร์ธชอบใส่ ทำให้นึกถึงภาพใบหน้าใสตอนที่ไม่ได้สวมแว่น ปล่อยให้เส้นผมปลิวไปตามสายลม ตอนขยับหมวกให้เข้าที่ผมจึงถือโอกาสปัดเส้นผมที่เรียบแปล้ให้ปรกลงมาเล็กน้อย

   ถ้าเป็นเมื่อก่อนตอนที่พวกเรายังไม่สนิทใจกัน เอิร์ธอาจจะไม่พอใจกับการกระทำแบบนี้ แต่ตอนนี้กลับแค่ยืนเฉยๆ ปล่อยให้ผมเล่นตามบทไปตามใจชอบ และพึมพำขอบคุณเมื่อผมบอกว่าจะซื้อให้

   เอิร์ธทำท่าจะหาซื้ออะไรคืนเป็นการตอบแทน แต่ผมห้ามไว้ทัน สุดท้ายพวกเราจึงพบกันครึ่งทางด้วยการเลี้ยงน้ำหนึ่งแก้ว

   ระหว่างแวะนั่งพักดื่มน้ำที่ร้านข้างทาง ผมมองไปก็ยังเห็นแจ็คเดินตามติดเป้าหมายตลอด โซระหันมองกลับมาทางพวกเราบ้างเป็นระยะ ต่างจากไอ้ตัวดีที่แทบจะไม่สนใจมองมาทางนี้เลยสักนิด

   ผมชักจะไม่มั่นใจเลยว่าแผนนี้จะได้ผล

   

   พวกเรายังคงดำเนินการตามแผนเดิม หลังกลับจากเสม็ดผมก็ยังคงนัดเจอกับเอิร์ธอีกหลายครั้ง ทำทีว่าไปเดทกันสองต่อสอง แต่แท้จริงแล้วคือไปช่วยเลือกซื้อหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาวิทยาลัย ช่วยแนะนำโรงเรียนกวดวิชา หรืออะไรทำนองนั้น

   และอีกหนึ่งวาระสำคัญก็คือ 'การติดตามความคืบหน้า'

   ทางฝั่งผมยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง ทุกอย่างดูจะวนกลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกรอบ คือแจ็คกลับมาทำตัวเกือบเป็นปรกติ ไม่ได้พยายามหลบหน้า เวลาเจอกันก็ยังพูดมากปากหมาเหมือนเคย แต่แน่นอนว่าไม่เคยไปหาผมที่ห้องอีก

   ส่วนทางฝั่งเอิร์ธ ผมคิดว่าสถานการณ์ดูไม่ค่อยดีนัก สังเกตจากสีหน้าอึดอัดตอนเล่าถึงเหตุการณ์ล่าสุดที่เกิดขึ้น

   "โซระถาม..."

   "ผมเลยตอบไปว่า... พวกเราเป็นแฟนกันแล้ว..."

   ผมได้แต่นั่งนิ่ง ไม่กล้าถามต่อว่าเกิดอะไรขึ้นหลังจากนั้น เพราะท่าทางของเอิร์ธที่เงียบลงไป ไม่ได้เปิดปากเล่าต่อ แต่ถึงอย่างนั้นเอิร์ธก็ไม่ได้เอ่ยขอให้ล้มเลิกแผนการทั้งหมด

   นับวันผมยิ่งไม่แน่ใจกับสิ่งที่กำลังทำอยู่ ไม่รู้ว่าคิดถูกหรือคิดผิด นอกจากจะสร้างปัญหาให้เอิร์ธ แจ็คก็ยังคงไม่มีท่าทีอะไร จนผมเริ่มกลัว... หรือว่าทั้งหมดคือการคิดเข้าข้างตัวเอง

   มันไม่เคยหึง

   ไม่เคยคิดอะไรกับผมเลยสักนิด

   

   ฟางเส้นสุดท้าย จะกระตุกให้ขาดหรือจะปล่อย จะไปต่อหรือว่าจะหยุด ผมยังคงมืดแปดด้าน ได้แต่สานสิ่งที่ตัวเองเริ่มต้นต่อไปอย่างไม่รู้ทิศทาง

   "ตึก!" ระหว่างเดินผ่านโรงอาหารผมก็ได้ยินเสียงเรียก หันกลับไปจึงได้เจอกับพี่มินนี่ ก่อนจะต้องสะดุดเล็กน้อยเมื่อเห็นอีกร่างที่นั่งอยู่ด้วยกัน

   "เออ ปาท่องโก๋ครบคู่สักที หมู่นี้ไม่ค่อยเห็นหน้า คนนึงมาอีกคนนึงไป สวนกันอย่างกับเดินสวนสนาม" พี่มินนี่บ่นไปเรื่อย ส่วนแจ็คเหลือบมองผมแค่แวบเดียวก่อนจะหันกลับไปคุยกับพี่รหัสของตัวเองต่อ

   "ตกลงเสาร์นี้เจ๊ว่างนะ น้องมันนัดเลี้ยงสายมาหลายทีแล้ว ไม่ครบองค์ประชุมซักที"

   "แล้วใครล่ะยะที่ไม่เคยว่างตรงกับคนอื่น เอาแต่แรดตะแล๊ดแต๊ดแต๋ไปทั่ว"

   "แหมทุกทีเจ๊ก็เห็นผัวดีกว่าน้องเหมือนกันแหละ ถึงตาผมจีบว่าที่น้องสะใภ้ให้เจ๊อยู่ เจ๊ก็อย่าเพิ่งบ่นเลยน่า เดี๋ยวตีนกาขึ้นก่อนวัยนะ"

   "ก่อนที่ตีนกาจะขึ้นหน้าฉัน หน้าแกจะต้องมีรอยตีนขึ้นก่อนแน่!" สองพี่น้องสายรหัสยังคงลับฝีปากกันอย่างเมามัน ผมจึงหาจังหวะกล่าวแทรกสั้นๆ

   "ผมไปก่อนนะครับพี่ พอดีมีธุระ" ผมกล่าวพลางลุกขึ้นยืน ทั้งๆ ที่เพิ่งนั่งลงได้ไม่กี่นาที เพราะว่าวันนี้มีนัดกับเอิร์ธ

   "อ้าวจะไปไหนล่ะตึก ยังไม่ทันได้คุยกันเลย"

   "อย่าไปรั้งมันเลยเจ๊ สงสัยจะมีนัดกับแฟน พวกเห็นแฟนดีกว่าพี่ดีกว่าเพื่อนก็งี้แหละ" แจ็คกล่าวด้วยน้ำเสียงยียวนตามปรกติ แต่เนื้อหาแดกดัน ไม่อยากจะด่ากลับว่า มันนั่นแหละที่ทำตัวแบบนั้นมาตลอด

   "แฟน...?" พี่มินนี่หันขวับกลับมามองผม

   "ตึกมีแฟน!?" ก่อนจะอุทานเสียงดังด้วยสีหน้าตกใจราวกับเห็นสิ่งมหัศจรรย์ของโลก

   "จริงสิ!? เมื่อไหร่!? ที่ไหน!? ยังไง!? ใคร!? เจ๊รู้จักไหม!? เหลามาให้แหลม!" น้ำเสียงตื่นเต้นรัวคำถามเป็นชุด

   "...ผมไปก่อนนะครับ จะสายแล้ว" ผมจึงกล่าวตัดบท

   แต่การไม่ปฏิเสธ ก็เท่ากับการยอมรับ

   พี่มินนี่จึงร้องกรี๊ดกร๊าดพร้อมทวนคำอีกหลายครั้งว่า "ตึกมีแฟน!?"

   "โอ๊ย เจ๊ดีใจอ่ะ! อยากเห็นหน้าน้องสะใภ้ เจ๊มั่นใจว่าจะต้องน่ารัก รักยั่งยืน ไม่สามวันดีสี่วันแห้วเหมือนไอ้หมาหัวเน่าบางตัวแถวนี้" พี่มินนี่ยังคงแอบจิกกัดคนข้างๆ

   คนถูกพาดพิงกัดฟันกรอดๆ ด้วยท่าทางไม่พอใจ แต่น่าแปลกที่มันไม่ได้ตอบโต้

   "กูไปด้วย!" อยู่ดีๆ มันกลับพูดโพล่งพร้อมลุกพรวดขึ้นมา ทำเอาทั้งผมและพี่มินนี่งงไปพร้อมๆ กัน

   "ก็... มึงจะไปหาเอิร์ธไม่ใช่เหรอ กูก็ว่าจะไปหาโซระอยู่พอดี ทางเดียวกัน ไปพร้อมกันเลยก็ได้" มันกล่าวต่อ ฟังดูดีมีเหตุผล แม้ลึกๆ ในใจผมอยากให้นั่นเป็นเพียงข้ออ้าง

   "ถ้างั้นก็คงจะคนละทาง เพราะว่าวันนี้กูจะไปหาเอิร์ธที่บ้าน" ผมตอบไปตามความจริง เพราะวันนี้มีนัดติวหนังสือกันที่บ้านของเอิร์ธ

   แต่คนฟังจะคิดอะไรไปถึงไหนแล้วก็ไม่รู้ พี่มินนี่ยกสองมือขึ้นมาปิดปากด้วยดวงตาแวววับเป็นประกาย ส่วนแจ็คยืนนิ่งอ้าปากค้าง

   "โอ๊ยตาย หรือนี่เจ๊จะได้น้องสะใภ้ทางพฤตินัย ไม่อยากจะเชื่อ เห็นนางเงียบๆ ฟาดเรียบนะคะ~" พี่มินนี่แซวเป็นเพลงพลางหัวเราะคิกคัก ผมได้แต่ส่ายหน้าอย่างไม่จริงจังมากนัก ก่อนจะลุกเดินออกมาเพราะใกล้จะสายแล้วจริงๆ

   ตอนนั้นผมยังไม่รู้หรอกว่าจะเกิดอะไรขึ้นกับฟางเส้นสุดท้าย


----------

>> Himbeere20 : สมนํ้าหน้าอิแจ็ค โดนเด็กมอมเหล้าเองซะ ขอให้นกตลอดทริปนะ
   
จะว่าไปมันก็นกตลอดนะคะ 5555 กินแห้วตลอด โดนเทตลอด แต่ไม่เคยหลาบจำ  :laugh:


----------
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/ (https://www.facebook.com/at.moment.writer/)
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer (https://twitter.com/atmoment_writer)
----------
   
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 10 (11/3/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: cavalli ที่ 11-03-2018 23:22:18
 :katai2-1:
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 10 (11/3/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: JUST_M ที่ 12-03-2018 04:11:43
 :katai2-1: :katai2-1:

หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 10 (11/3/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 12-03-2018 19:31:24
แจ็คจะมีปฏิกิริยายังไงนะ
หัวข้อ: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 11 ผิดแผน
เริ่มหัวข้อโดย: @moment ที่ 12-03-2018 21:25:25
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/ (https://www.facebook.com/at.moment.writer/)
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer/ (https://twitter.com/atmoment_writer/)
----------


   ตอนที่ 11 ผิดแผน

   

   [โซระ]

   

   "หมู่นี้เอิร์ธกับพี่ต้นดูสนิทกันมากเลยนะ" ผมลองเลียบเคียงถามสิ่งที่คาใจมานานหลายวัน ตั้งแต่กลับจากเสม็ด เอิร์ธก็ไปไหนมาไหนกับรุ่นพี่รูปร่างสูงใหญ่คนนั้นบ่อยครั้ง ผมยอมรับว่าพวกเขาสองคนมีหลายอย่างที่คล้ายกัน เป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยพูด แต่ก็มักใส่ใจคนรอบข้างอยู่เสมอ

   "ก็...อืม" เอิร์ธตอบคำถามสั้นๆ

   "คบกันแล้วใช่ไหม~ บอกมาซะดีๆ" ผมจึงเอ่ยแซวต่อพร้อมอมยิ้มอย่างรู้ทัน แม้ว่าความรู้สึกหวาดหวั่นในใจจะไม่ค่อยสัมพันธ์กับสีหน้า

   "เอ่อ ก็...อืม..." คำตอบเดิม ไม่ใช่การปฏิเสธ แต่เป็นการยอมรับ

   'จริงสิ!? ดีใจด้วยนะ!' ผมควรพูดแบบนั้น ควรแสดงความยินดี ควรดีใจกับความสุขของเพื่อน เพราะผมเป็นคนสนับสนุนให้พวกเขาได้รู้จักกันด้วยซ้ำ

   แต่ทำไมตอนนี้... ผมถึงกลับยิ้มไม่ออก

   

   ตอนเด็กๆ ผมมักจะถูกจับใส่กระโปรงและแต่งตัวแบบเด็กผู้หญิง อาจเป็นเพราะแม่ของผมเคยอยากมีลูกสาวมาก หรืออาจเพราะใครๆ ต่างก็บอกว่าผมน่ารักเหมือนตุ๊กตา ผิวขาว ตาโต แก้มยุ้ย ปากแดง จนกระทั่งย่างเข้าสู่วัยเรียน ผมถึงได้เรียนรู้ว่า แท้จริงแล้วตัวเองเป็นผู้ชาย

   ถึงแม้ตอนนี้ผมจะสวมกางเกงและแต่งตัวแบบเด็กผู้ชายทั่วไป แต่ความเคยชินบางอย่างในวัยเด็กก็อาจจะติดกลายเป็นนิสัย ทำให้ผมชอบอะไรๆ ที่น่ารัก อย่างพวกริบบิ้น ดอกไม้ ลูกหมาลูกแมวตัวเล็กๆ สมัยม.ต้น ผมเคยคบกับเด็กผู้หญิงคนหนึ่ง เธอตัวเล็กกว่าผม หน้าตาน่ารัก อยู่ด้วยแล้วอารมณ์ดี มีความสุข

   แต่ยิ่งคบกันนานเข้า ผมกลับรู้สึกว่ามันไม่ใช่...

   ผมชอบเธอเพราะว่าเธอน่ารัก แต่ผมไม่ได้รักเธอแบบที่ผู้ชายรักผู้หญิง ไม่เคยใจเต้นแรง ไม่เคยอยากกอด อยากจูบ หรืออยากลองทำอะไรมากกว่านั้น เธอเองก็อาจจะรู้สึกได้ถึงความห่างเหิน ไม่นานนักพวกเราจึงเลิกรากันไป

   จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมเริ่มสงสัยว่าตัวเองอาจจะชอบผู้ชาย

   วันแรกที่ได้พบกับเขา ราวกับผมเห็นดวงดาวอยู่เต็มท้องฟ้า

   ไม่ได้เพ้อไปเองนะ ผมเห็นจริงๆ เพราะลูกบาสลูกหนึ่งลอยพ้นขอบสนามออกมากระแทกกับศีรษะของผมเข้าอย่างจัง เหมือนฉากในการ์ตูนตาหวานไม่มีผิด พอลืมตาขึ้นมาผมก็ได้เห็นภาพเบลอๆ ที่ค่อยๆ แจ่มชัด เป็นภาพของผู้ชายคนหนึ่งพร้อมด้วยดวงดาวระยิบระยับอยู่ด้านหลัง

   เขาขอโทษขอโพยยกใหญ่ ก่อนจะช่วยพยุงพาผมไปที่ห้องพยาบาล ถึงจะเจ็บตัวแต่ผมกลับไม่โกรธเขาเลยสักนิด กลับกัน ผมรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองเต้นแรงแบบที่ไม่เคยเป็นมาก่อน ผมคิดว่านั่นคือรักแรกพบ

   หลังจากนั้นทุกครั้งที่เดินผ่านสนามบาส สายตาของผมก็มักจะมองหาเขาอยู่เสมอ หรือต่อให้ไม่มีเหตุจำเป็นต้องเดินผ่านไปแถวนั้น ผมก็ยังพยายามเดินอ้อมรอบโลกเพื่อให้ได้ไปแอบมองอยู่ห่างๆ เขาเป็นรุ่นพี่อายุมากกว่าผมหนึ่งปี ตัวสูงกว่าผมไม่มาก แต่กลับกระโดดได้สูง แถมยังวิ่งได้เร็วกว่าใคร ผมปลื้มเขามากถึงขั้นแอบพบรูปถ่ายของเขาเอาไว้ในกระเป๋าสตางค์

   และแล้ววันหนึ่งก็เป็นเรื่อง เมื่อผมทำกระเป๋าสตางค์หล่นหาย

   คนที่เก็บได้เป็นเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่ง ถ้าจำไม่ผิดน่าจะชื่อ เอิร์ธ ผมเคยเห็นเขา แต่พวกเราไม่เคยคุยกัน เพราะเอิร์ธเป็นคนเงียบๆ มักจะนั่งหลบมุมอ่านหนังสืออยู่คนเดียว ไม่ค่อยสุงสิงกับใคร แต่ที่ผมจำได้ก็เพราะว่าเขาเรียนดีติดอันดับต้นๆ ของชั้น

   เขายื่นกระเป๋าสตางค์คืนให้ผมพร้อมด้วยคำพูดสั้นๆ ว่า 'เห็นมันหล่นอยู่'

   ผมไม่กล้าถามว่าเขาได้เปิดดูข้างในหรือเปล่า เห็นอะไรไหม แต่ต่อให้ไม่ถาม ผมก็รู้คำตอบ เพราะถ้าไม่ได้เปิดดูจะรู้ได้ยังไงว่านี่เป็นกระเป๋าของใคร ตอนนั้นผมกลัวมาก เขาจะต้องรู้ความลับของผมแล้วแน่ๆ เขาจะเอาเรื่องนี้ไปบอกคนอื่นหรือเปล่า เรื่องที่ผมชอบใคร... เรื่องที่ผมชอบผู้ชาย

   เอิร์ธเป็นคนเงียบๆ ผมได้แต่หวังว่าเขาจะไม่บอกใคร แต่ก็ยังไม่กล้าวางใจ หลังจากนั้นผมจึงคอยตามติดเอิร์ธเพื่อเฝ้าสังเกตการณ์ หรือจะเรียกว่าพยายามตีสนิทก็ได้

   "เรานั่งด้วยได้ไหม" อย่างเวลาที่เอิร์ธนั่งกินข้าวคนเดียว ผมก็ลองเข้าไปขอนั่งด้วย

   "อ่านอะไรอยู่เหรอ" หรือเวลาที่เห็นเขานั่งอ่านหนังสือ ผมก็ลองเข้าไปชวนคุย

   ผมคิดว่าเอิร์ธน่าจะรำคาญ แต่ก็ไม่เห็นเขาจะว่าอะไร เพียงแค่พยักหน้ารับ หรือไม่ก็ตอบคำถามสั้นๆ แม้ว่าส่วนใหญ่จะเป็นการถามคำตอบคำ แต่เอิร์ธก็ไม่เคยไล่หรือแสดงท่าทางไม่พอใจเลยสักครั้ง

   พักหลังผมเลยหอบหนังสือการ์ตูนไปนั่งอ่านกับเขาด้วย ผมหมายถึง เอิร์ธก็นั่งอ่านหนังสือมีสาระของเขาไป ส่วนผมก็นั่งอ่านการ์ตูนไร้สาระของผมไป ดูเหมือนจะน่าเบื่อ แต่น่าแปลกที่ผมกลับรู้สึกชอบบรรยากาศแบบนี้

   เงียบๆ แต่ไม่เหงา

   เหตุการณ์ดำเนินไปแบบนั้นหลายวัน จนผมเกือบลืมไปแล้วว่าเหตุผลที่เข้ามาตีสนิทกับเอิร์ธคืออะไร ถ้าเขาไม่เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน

   "นายไม่ต้องมานั่งเฝ้าเราทุกวันแบบนี้ก็ได้นะ เราไม่บอกใครหรอก" แวบแรกผมได้แต่กะพริบตาปริบๆ งงว่าเอิร์ธกำลังพูดถึงเรื่องอะไร จนกระทั่งเริ่มนึกขึ้นได้

   "ถ้านายยังไม่เชื่อ เราจะบอกอะไรให้ก็ได้" เขาอาจจะแปลความหมายจากสีหน้าและความเงียบของผมผิดเพี้ยนไป ถึงได้กล่าวต่อเรียบๆ

   "เราก็เป็นเหมือนกับนาย"

   ประโยคถัดมายิ่งทำให้ผมงงหนักกว่าเดิม เอิร์ธจึงขยายความต่ออีกนิด

   "ทีนี้เราต่างคนต่างก็กุมความลับของอีกฝ่ายเอาไว้ นายก็ไม่ต้องกลัวแล้วว่าเราจะไปเล่าให้ใครฟัง" พูดจบเอิร์ธก็ปิดหนังสือของตัวเอง และลุกขึ้นเดินออกไป

   ผมควรจะโล่งใจกับสิ่งที่ได้ยิน ทว่าตอนนั้นผมกลับรู้สึกกลัวมากกว่า กลัวว่าเอิร์ธจะไม่ยอมให้ผมมานั่งอยู่ด้วยกันแบบนี้อีก

   "เดี๋ยวสิเอิร์ธ! เราอยากเป็นเพื่อนกับนายจริงๆ นะ!" ผมรีบลุกขึ้นและตะโกนเรียกเขาไว้

   เอิร์ธไม่ได้ตอบอะไร แต่หันกลับมายิ้มให้ผม

   เป็นครั้งแรกที่ผมเคยเห็นเอิร์ธยิ้ม

   ผมอาจจะพรวดพราดลุกขึ้นเร็วเกินไป บวกกับการนอนน้อยเพราะเมื่อคืนมัวแต่เล่นเกมจนดึก นาทีนั้นผมถึงได้รู้สึกวูบๆ เหมือนหัวใจเต้นผิดจังหวะ

   

   ความรักครั้งแรกของผมจบลงเมื่อรุ่นพี่คนนั้นย้ายไปเรียนต่อม.ปลายที่อื่น แต่มิตรภาพระหว่างผมกับเอิร์ธยังคงดำเนินต่อเรื่อยมาจนถึงทุกวันนี้ และยิ่งสนิทกันมากขึ้น จนกลายมาเป็นเพื่อนซี้

   บางครั้งผมก็อดคิดไม่ได้ว่า มิตรภาพยั่งยืนกว่าความรัก

   เพราะหลังจากนั้นผมก็ยังเคยแอบปลื้มใครอีกหลายคน ทว่าความสัมพันธ์ก็ไม่เคยพัฒนาไปไหน ก็แน่ล่ะ เพราะผมไม่รู้ว่าอีกฝ่ายชอบผู้ชายเหมือนกันหรือเปล่า และการได้เฝ้ามองอยู่ห่างๆ แบบนี้ผมก็มีความสุขดีอยู่แล้ว

   เอิร์ธกลับชอบหาว่าผมเป็นพวกโลกสวย เพ้อฝันถึงความรักแบบในนิยาย ประเภทรักแรกพบเมื่อสบตา เอาแต่เฝ้ารอเจ้าชายขี่ม้าขาวเข้ามาบอกรัก ถึงได้อกหักรักคุดอยู่อย่างนี้... เชอะ! เอิร์ธก็พูดได้สิ ก็วันๆ เห็นสนใจแต่ตำรา ไม่เคยจะสนใจมองใคร ผมว่าที่เอิร์ธพูดแบบนั้นเพราะยังไม่เคยรักใครมากกว่า

   แต่คำพูดของเอิร์ธก็ทำให้ผมย้อนกลับมาคิด หรือผมควรจะหันกลับมามองโลกของความจริงอย่างที่เอิร์ธว่า ประจวบกับตอนนั้นมีรุ่นพี่คนหนึ่งเข้ามาชวนคุย ยอมรับว่าผมอาจจะโลกสวย แต่ก็ไม่ได้ซื่อบื้อถึงขั้นไม่รู้ว่าเขาน่าจะเข้ามา...จีบ

   พี่แจ็คเป็นนักศึกษามหาวิทยาลัย อายุมากกว่าพวกเราหลายปี รู้จักกันผ่านเพื่อนของเพื่อนอีกที เป็นคนหน้าตาดี คุยเก่ง มีอารมณ์ขัน ถึงผมจะไม่ได้ปิ๊งเขาแบบรักแรกพบ หรือรู้สึกอะไรเป็นพิเศษ แต่ก็อย่างที่เอิร์ธว่า ผมควรจะเลิกรอเจ้าชายในฝันที่ไม่มีตัวตนอยู่จริงได้แล้ว

   อีกอย่าง พี่แจ็คแนะนำให้พวกเรารู้จักกับพี่ต้นด้วย อาจถือเป็นโอกาสดีที่เพื่อนของผมจะได้ลองมีความรักกับเขาบ้างสักที

   ผมรู้สึกสนุกเวลาที่พวกเราได้ไปไหนมาไหนด้วยกันสี่คน อย่างตอนที่พี่แจ็คมาชวนไปเที่ยวเสม็ด ตอนแรกผมก็ยังลังเล แต่พอรู้ว่าเอิร์ธจะไปด้วย ผมก็คิดว่านั่นต้องเป็นทริปที่สนุกมากแน่ๆ

   ทั้งๆ ที่เคยคิดแบบนั้น... แต่ตอนนี้ผมชักจะไม่แน่ใจ...

   

   "รอนานไหมครับโซระ" เสียงของพี่แจ็คเรียกให้ผมเงยหน้าขึ้นจากความคิดของตัวเอง

   "ยังมีเวลาอีกหนึ่งชั่วโมงก่อนหนังจะฉาย เราไปหาอะไรทานกันนะครับ" พี่แจ็คพูดพลางเก็บตั๋วหนังสองใบลงในกระเป๋า ผมจึงพยักหน้ารับ พร้อมพยายามบังคับใบหน้าให้คลี่ยิ้ม

   ผมเคยคิดว่าถ้าพวกเราคบกัน ผมกับพี่แจ็ค เอิร์ธกับพี่ต้น พวกเราสี่คนก็จะยังได้ไปเที่ยวด้วยกันแบบดับเบิ้ลเดทเหมือนอย่างที่ผ่านมา แต่ผมคงจะอ่านการ์ตูนมากเกินไปอย่างที่เอิร์ธว่า... เพราะตั้งแต่เอิร์ธเป็นแฟนกับพี่ต้น พวกเขาก็ไปไหนมาไหนด้วยกันสองคน และคงจะอยากอยู่ด้วยกันสองต่อสอง

   ผมควรจะดีใจที่ได้เห็นเพื่อนมีความสุข พี่ต้นคงจะดูแลเอิร์ธได้ดี ผมสังเกตเห็นตั้งแต่ตอนอยู่ที่เสม็ด ตอนที่เอิร์ธจมน้ำพี่ต้นก็เป็นคนแรกที่ว่ายเข้าไปถึงก่อนใคร คอยเป็นห่วงเป็นใยและดูแลเอิร์ธอยู่ตลอดเวลา แม้แต่ตอนที่ผมทำตัวเป็นเด็กขี้อิจฉา เรียกร้องความสนใจด้วยการสั่งเหล้ามาดื่ม พี่ต้นก็ยังเข้ามาช่วยดื่มแทน

   คืนนั้นผมเมามากจนเดินไม่ตรงทาง ร่างกายโงนเงน สมองมึนตื้อ เวียนหัว คลื่นไส้ แต่ก็ใช่ว่าจะจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นไม่ได้...

   "เมาจนจูบกันเนี่ยนะ!?" เสียงสาวๆ จากโต๊ะด้านข้างอุทานดังจนผมสะดุ้งหันกลับไปมอง

   "แล้วไงต่อๆ ซัมติงรองแฮพเพ่นไหมแก~!?" สาวอีกคนกรี๊ดกร๊าด

   "บ้าดิ! แกก็รู้ว่าอีพีทเป็นยังไง" พูดจบคนพูดก็ดีดนิ้วก้อยขึ้นมากรีดกราย

   "เพื่อนสาวกินกันเองฟ้าจะได้ผ่าตายละสิไม่ว่า" หญิงสาวคนเดิมกล่าวพลางหัวเราะร่วน

   ประโยคนั้นทำให้ผมคิด ว่าสิ่งที่เกิดขึ้นระหว่างผมกับเอิร์ธก็คงไม่ต่างกัน

   เป็นแค่อุบัติเหตุ

   เพราะพวกเราเป็นเพื่อนกัน

   

   ปรกติแล้วผมเป็นคนที่อินกับการ์ตูนหรือนิยายค่อนข้างง่าย บางครั้งก็เผลอยิ้มกว้างหรือหัวเราะออกมาเสียงดัง บางครั้งก็ถึงขั้นเสียน้ำตาให้กับฉากซาบซึ้งสะเทือนใจ แต่นั่นคือตอนที่ผมนั่งอ่านอยู่คนเดียว หรืออยู่กับใครบางคนตามลำพัง ไม่ใช่การร้องไห้กลางโรงหนังที่มีคนนั่งด้วยเกือบร้อย

   "ขอบคุณครับ" ผมกล่าวด้วยเสียงอู้อี้พลางยื่นมือออกไปรับผ้าเช็ดหน้าที่พี่แจ็คส่งมาให้ ถึงแม้จะแวะเข้าห้องน้ำเพื่อล้างหน้าล้างตาแล้ว แต่ตอนนี้สภาพของผมคงจะดูไม่ได้ ทั้งตาทั้งจมูกคงจะยังแดงก่ำ เพราะน้ำตาเจ้ากรรมเล่นไหลไม่ยอมหยุดตั้งแต่ครึ่งเรื่อง จนดูหนังแทบไม่รู้เรื่อง

   ทั้งๆ ที่เป็นหนังรักโรแมนติก จบแฮปปี้เอนดิ้ง พระเอกกับนางเอกมีความสุขสมหวัง แต่ผมกลับร้องไห้เพราะสงสารเพื่อนของพระเอกที่แอบหลงรักพระเอกอยู่เพียงข้างเดียว โดยที่อีกฝ่ายไม่เคยรับรู้ แต่เธอกลับคอยช่วยเหลือและทำทุกอย่าง เพื่อให้คนที่เธอรักได้สมหวังในความรัก

   "นั่งพักตรงนี้ก่อนไหมครับ เดี๋ยวพี่ไปซื้อน้ำมาให้" พี่แจ็คยังคงกล่าวอย่างเป็นห่วง

   "ไม่เป็นไรครับ เรากลับกันเถอะ ผมอยากกลับบ้านแล้ว" ผมตอบคำถามด้วยการส่ายหน้า ร่างสูงจึงพยักหน้ารับและพาผมเดินออกมาจากโซนโรงหนัง

   ทว่าระหว่างที่กำลังเดินลงบันไดเลื่อน ผ่านโซนร้านค้า สายตาของผมกลับสะดุดเข้ากับร่างของคนสองคนที่เดินออกมาจากร้านหนังสือ ร่างสูงใหญ่พ้นศีรษะของคนรอบข้าง กับอีกร่างของคนที่คุ้นเคย

   คนตัวสูงยื่นมือออกไปรับถุงกระดาษมาช่วยถือ ชั่วขณะหนึ่งจึงมองเผินๆ คล้ายกับการเดินจูงมือ

   อยู่ดีๆ น้ำตาที่เคยหยุดไหลไปแล้วกลับหยดร่วงลงมา จนผมต้องรีบเบนหน้าไปมองทางอื่น รีบยกผ้าเช็ดหน้าขึ้นมาปาดมันทิ้ง แต่อาจจะช้าเกินไป เพราะสองคนนั้นหันมาเห็นพวกเราพอดี และดูท่าจะเดินตรงมาทางนี้

   "ถึก? น้องเอิร์ธ? โลกกลมจริงๆ มาเที่ยวที่เดียวกันเลย" พี่แจ็คเป็นฝ่ายเอ่ยทักทายก่อน

   "โซระ? เป็นอะไร ทำไมตาแดงอย่างนั้น ใครทำอะไร" เอิร์ธอุทานอย่างตกใจ หันไปมองร่างสูงโปร่งที่ยืนอยู่ข้างผมตาขวาง พร้อมเดินเข้ามาหาผมด้วยท่าทางเป็นห่วง ผมจึงขยับถอยหลังไปหนึ่งก้าว ก่อนที่มือของเอิร์ธจะเอื้อมมาแตะลงบนแขน

   "ไม่มีอะไรหรอก คือเมื่อกี้เพิ่งไปดูหนังมาน่ะ หนังเศร้ามากเลย" ผมตอบปฏิเสธพร้อมพยายามปั้นยิ้ม เอิร์ธจึงลดมือกลับไปวางข้างตัว พอดีกับที่พี่ต้นเดินตามมายืนอยู่เคียงข้าง

   "พวกเราก็เพิ่งซื้อหนังสือเสร็จ กำลังจะไปหาอะไรกินพอดีเลย ไปด้วยกันนะ" เอิร์ธเอ่ยชวน แต่แวบหนึ่งหันไปมองคนด้านข้างอย่างขอความเห็น พี่ต้นไม่ได้พูดอะไร แต่ผมกลับรู้สึกว่าทั้งสองคนกำลังพูดคุยกันผ่านทางสายตา

   คงเหมือนกับที่เขาเรียกกันว่า 'มองตาก็รู้ใจ'

   "พวกเรากินมาแล้วล่ะ กำลังจะกลับพอดี" ผมตอบปฏิเสธ แม้ว่ามื้อที่เพิ่งกินก่อนเข้าโรงหนังจะเป็นแค่ขนมและเครื่องดื่มรองท้อง แต่ตอนนี้ผมอยากกลับบ้านมากกว่า ไม่อยากอยู่มองภาพตรงหน้านานไปมากกว่านี้

   "น้องเอิร์ธไม่ต้องเป็นห่วงนะครับ เดี๋ยวพี่จะพาโซระไปส่งให้ถึงบ้าน จะดูแลอย่างดีแบบยุงไม่ให้ไต่ ไรไม่ให้ตอม รับรองว่าปลอดภัย วางใจได้ครับ" พี่แจ็คพูดพลางโปรยยิ้มให้เพื่อนของผมและเพื่อนของตัวเอง ก่อนจะโอบรอบบ่า พาผมเดินออกมาจากตรงนั้น

   ปรกติแล้วพี่แจ็คเป็นคนช่างพูด ช่างคุย มีอารมณ์ขัน ทำให้ผมหัวเราะได้อยู่เสมอ ถึงแม้บางครั้งก็จะแอบพูดแรงเกินไปบ้าง แต่วันนี้ตลอดทางที่ขับรถ พี่แจ็คกลับไม่ได้ชวนคุยเหมือนเคย อาจเป็นเพราะผมเองก็นั่งเงียบ ภายในรถจึงมีเพียงเสียงเพลงจากวิทยุ จนกระทั่งทำนองเพลงหนึ่งดังขึ้น เป็นเพลงประกอบภาพยนตร์ที่พวกเราเพิ่งจะดูไป

   ภาพในหนังหวนย้อนขึ้นมา ฉากที่พระเอกกับนางเอกทะเลาะกันเพราะความเข้าใจผิด พระเอกเสียใจจนเมาหัวราน้ำ เมื่อเพื่อนของพระเอกพยายามเข้าไปปลอบโยน จึงเกิดเหตุการณ์ที่ทำให้ทั้งคู่เกือบจะจูบกัน

   "ถ้าเพื่อนจูบกับเพื่อน... จะยังเป็นเพื่อนกันได้หรือเปล่า..." ผมเผลอพึมพำความคิดออกมาเป็นคำพูด โชคดีที่คนด้านข้างคงไม่ทันได้ยิน เพราะรถยังคงเคลื่อนตัวตามปรกติ ก่อนจะหักเลี้ยวเข้าซอยของหมู่บ้าน

   "พี่ก็เห็นฝรั่งจูบทักทายกันเป็นปรกตินะ" นาทีถัดมาผมก็ต้องสะดุ้งกับคำตอบที่ดังขึ้นอย่างกะทันหัน ถึงแม้พี่แจ็คจะตอบด้วยน้ำเสียงกึ่งล้อเล่น ทว่าจังหวะเว้นว่างก่อนและหลังคำตอบกลับนานเกินกว่าปรกติ

   "ขอบคุณนะครับที่มาส่ง" ผมพูดขึ้นทำลายความเงียบอีกครั้งเมื่อรถจอดลงที่หน้าบ้าน

   "โซระ..." ทว่าจังหวะที่กำลังจะเปิดประตู กลับมีอีกมือหนึ่งวางทาบลงมาบนมือของผม พร้อมกับโน้มตัวเข้ามาใกล้ ท่าทางคล้ายกับจะช่วยเปิดประตูให้ แต่ก็ใกล้จนเกือบจะ...จูบ

   ตอนนั้นผมตกใจจนไม่กล้าขยับตัว ถ้าอีกฝ่ายโน้มเข้ามาอีกแค่นิดเดียวผมอาจจะตอบโต้ด้วยการผลัก แต่พี่แจ็คก็หยุดอยู่เพียงเท่านั้น

   "พี่ชอบโซระ"

   ประโยคถัดมากลับทำให้ผมตกใจยิ่งกว่าเดิมหลายเท่า เพราะไม่ได้เตรียมใจว่าจะได้ยินคำนี้ ตอนนี้ ไม่คิดว่าฉากสารภาพรักในการ์ตูนตาหวาน จะกลายเป็นเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นจริงตรงหน้า

   "เราเป็นแฟนกันนะ"

   เสียงเดิมยังคงพูดประโยคที่ทำให้ผมรู้สึกหูอื้อ ตาลาย ตกใจจนพูดอะไรไม่ออก สับสนจนทำอะไรไม่ถูก ได้แต่นั่งนิ่งเป็นรูปปั้นหินที่ถูกสาป

   จนกระทั่งร่างด้านข้างโน้มตัวเข้ามาใกล้ ทำให้ที่เหลืออยู่น้อยนิดหมดลง

   
----------

ความแจ็คจะค่อยๆ shipหายวายป่วงขึ้นเรื่อยๆ  :laugh:
   

   
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 11 (12/3/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: mirage ที่ 13-03-2018 08:48:36
Omg อยากกรีดร้องดังๆ  :impress2:
ฟางเส้นสุดท้าย แจ๊คเอ่ย รู้สึกแล้วสินะ 
อย่าปล่อยพี่ตึกรอนาน เดี๋ยวนกอีกนะ
ติดตามเด้อ

 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 12 (13/3/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: @moment ที่ 13-03-2018 20:52:57
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/ (https://www.facebook.com/at.moment.writer/)
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer/ (https://twitter.com/atmoment_writer/)
   

   ตอนที่ 12 เก็บศพ

   

   เข็มบนหน้าปัดนาฬิกาบ่งบอกเวลาเที่ยงคืนเศษ ผมเพิ่งเดินออกจากห้องน้ำและกำลังจะเตรียมตัวเข้านอน จังหวะนั้นกลับมีเสียงเรียกเข้าดังขึ้นจากโทรศัพท์มือถือ หน้าจอปรากฏชื่อที่ทำให้ผมต้องเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ แต่ก็ยังน้อยกว่าประโยคที่ได้ยิน

   'ตึก! มาช่วยเจ๊เก็บศพหมาหน่อย!'

   ศพหมา...?

   หมาที่ไหน ผมไม่ยักจะรู้ว่าพี่มินนี่เลี้ยงหมาด้วย

   คำขยายความต่อมาเพิ่มความกระจ่างมากขึ้นเล็กน้อย พร้อมๆ กับหัวคิ้วที่ขมวดเข้าหากัน จากนั้นผมจึงเดินไปเปิดตู้เสื้อผ้า เปลี่ยนจากชุดนอนมาสวมเสื้อยืดกับกางเกงยีน ก่อนออกไปกวักเรียกแท็กซี่หน้าปากซอย และอีกครึ่งชั่วโมงถัดมาจึงเดินทางมาถึงหน้าผับแห่งหนึ่ง

   "ตึก! ทางนี้!"

   ผมหันกลับไปตามเสียงเรียก เห็นพี่มินนี่นั่งอยู่กับใครอีกคนที่นอนฟุบหน้าอยู่ บนโต๊ะมีแก้วเปล่าและจานกับแกล้มหลายใบวางระเกะระกะ ไม่ต้องรอให้ถาม กลิ่นเหล้าก็โชยออกมาฟ้องภาพที่เห็น

   ไม่ใช่ศพหมาที่ไหน... แต่เป็นใครบางคนที่เมาเหมือนหมา

   "ตอนเย็นก็นัดกินข้าวเลี้ยงสายกันอยู่ดีๆ พอกินเสร็จอีนี่ดันชวนน้องออกมาเที่ยวเปิดหูเปิดตา แต่มาถึงร้านมันกลับเล่นกระดกแก้วพรวดๆ ไม่รู้ว่าจะดื่มหรืออาบกันแน่ จนน้องๆ ขอตัวกลับกันไปก่อนหมดแล้ว ละดูสภาพมัน พี่ไม่รู้จะลากกลับอีท่าไหนเนี่ย"

   พี่มินนี่เล่าพลางถอนหายใจ ก่อนจะบ่นต่ออีกหลายประโยคทำนองว่า 'ตัวหนักเป็นบ้า จะให้สาวน้อยบอบบางอย่างฉันแบกกลับยังไงไหว'

   ผมจึงเดินไปนั่งลงด้านข้าง ลองเอื้อมมือไปเขย่าบ่าของแจ็คเบาๆ แต่ดูท่ามันจะเมาหลับไม่รู้เรื่อง นิ่งสนิท ไร้ปฏิกิริยาตอบโต้

   "ตึกช่วยพามันไปส่งหน่อยสิ รู้จักบ้านมันใช่ไหม" บ้านของแจ็คอยู่ไม่ไกลจากมหาลัยมากนัก ผมเองก็เคยไปที่บ้านมันอยู่หลายครั้ง แต่ปัญหาคือ ถ้าขืนพามันกลับบ้านในสภาพนี้ ท่านแม่บังเกิดเกล้าของมันคงจะได้จัดการฌาปนกิจศพ จับฝังทั้งเป็นไม่ต้องได้ผุดได้เกิดแน่ๆ

   "เมาขนาดนี้ เดี๋ยวผมพากลับหอดีกว่าครับ" ผมตอบพลางพยุงร่างที่ไม่ได้สติให้ลุกขึ้นยืน ยกแขนของแจ็คขึ้นโอบรอบบ่า ยื่นมืออีกข้างออกไปโอบกระชับรอบเอว กลายเป็นท่าหิ้วปีกที่อีกฝ่ายทิ้งน้ำหนักตัวเข้าหาผมเต็มๆ

   พี่มินนี่จัดการเคลียร์บิลค่าเครื่องดื่ม โดยดึงเอากระเป๋าสตางค์ของไอ้คนเมาไปด้วย ไม่รู้จะพอจ่ายหรือเปล่า ยังดีที่เพิ่งจะต้นเดือน แต่ผมขอเดาว่าถ้าสร่างเมาเมื่อไหร่มันต้องได้แหกปากโอดครวญลั่นซอยแน่ๆ เพราะเดือนนี้ทั้งเดือนมีหวังคงได้กินแกลบเปิดฟาร์มเลี้ยงหมูแทนเลี้ยงหมา

   หลังจากกวักเรียกแท็กซี่และช่วยกันยัดร่างของแจ็คเข้าไปในรถได้สำเร็จ ผมกับพี่มินนี่จึงกล่าวลาแยกย้ายกันที่หน้าร้านอาหาร พอถึงแท็กซี่จอดลงหน้าหอจึงกลายเป็นภาระของผมที่ต้องแบกมันขึ้นห้องอีก ยังดีที่คนเมาแค่หลับไม่รู้เรื่อง ไม่ได้อ้วกหรือแผลงฤทธิ์อะไรออกมาระหว่างการเดินทาง

   กว่าจะแบกร่างหนักๆ มาทิ้งลงบนเตียงได้ ผมก็ต้องถอนหายใจยาว ทั้งเหนื่อย ทั้งหนัก ถ้ามันตัวเบาเท่าเอิร์ธหรือโซระจะไม่บ่นสักคำ แต่ทำไงได้ เพราะคนที่ผมหลงรักดันไม่ใช่เอิร์ธหรือโซระ แต่เป็นไอ้ศพหมาที่ชอบสร้างเรื่องปวดหัวให้ไม่หยุดหย่อน

   "แจ็ค" ผมลองเรียกมันอีกครั้ง หลังจากจัดการถอดรองเท้าและเอาผ้าขนหนูชุบน้ำมาเช็ดตัวให้ เมื่อผ้าเย็นสัมผัสกับผิวร้อนๆ จนคนที่นอนอยู่ปรือตาขึ้นมา แต่แล้วก็พลิกหน้าหนีไปอีกทาง

   ว่าแต่มันเป็นอะไร อารมณ์ไหนถึงได้ดื่มเหมือนอาบขนาดนี้

   ผมได้แต่เก็บความสงสัยเอาไว้ในใจ เพราะหน้าปัดนาฬิกาบอกเวลาล่วงเลยตีสองกว่า ถึงพรุ่งนี้จะเป็นวันหยุดไม่จำเป็นต้องตื่นเช้า แต่ผมก็ชักจะเหนื่อยและง่วงเต็มที จึงเดินไปปิดไฟและกลับมาทิ้งตัวลงนอนบ้าง

   แสงไฟสลัวจากด้านนอก เปิดโอกาสให้ผมได้ลอบมองใบหน้าของคนที่ยังคงหลับใหล นับตั้งแต่เหตุการณ์ในคืนนั้น... นี่ถือเป็นครั้งแรกที่มันมานอนบนเตียงนี้

   ภาพในความทรงจำหวนย้อนขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้ ร่างกายเปลือยเปล่าที่บิดเร้าด้วยอารมณ์ ทั้งๆ ที่ไม่ได้บอบบางหรือมีส่วนเว้าส่วนโค้งแบบผู้หญิง แต่กลับสะกดให้ไม่อาจละสายตา ปากที่ชอบแกว่งเท้าหาเสี้ยน เห่ากัดคนอื่นไปทั่ว ถูกกลบด้วยเสียงครางขาดห้วงอย่างควบคุมตัวเองไม่อยู่

   ผมเผลอตัวเบียดเข้าไปใกล้และดึงร่างนั้นเข้ามากอด จังหวะเดียวกันกับที่คนเมานอนพลิกตัวหันกลับมา ทำให้แก้มเนียนปัดผ่านปลายจมูกของผมไป และทำให้ริมฝีปากของพวกเราอยู่ห่างกันแค่ระยะลมหายใจคั่น

   มันปรือตาขึ้นมามองหน้าผม พร้อมกับพึมพำอะไรบางอย่าง

   "โซระ..."

   ผมฉุนกึก! มันมองหน้าผมแต่กลับเพ้อถึงคนอื่น!?

   ทำไมมันถึงได้ขยันยั่วโมโห! บั่นทอนสำนึกผิดชอบชั่วดีที่หลงเหลืออยู่น้อยนิดให้ร่อยหรอลงไปทุกที และตอนนี้ผมก็ดันอยู่ในอารมณ์ที่ยั่วขึ้นซะด้วย!

   ระยะห่างที่เหลืออยู่น้อยนิดจึงหมดลง เมื่อผมจัดการปิดปากหมาด้วยปาก ดุนดันลิ้นร้อนๆ เข้าไปด้านใน ขยับเกี่ยวพันเรียกร้องการตอบสนอง เปลี่ยนเสียงพึมพำให้กลายเป็นเสียงครางอู้อี้อยู่ในลำคอ

   "ฮื่อ... ไอ้ถึก"

   เสียงขึ้นจมูกที่เปลี่ยนชื่อไป เกือบทำให้ผมยักยิ้ม

   ถ้าจะไม่มีคำอื่นดังตามมา

   "ไอ้เหี้ย...!"

   เออ เอากับมันสิ! เพ้อถึงคนอื่นเสียงหวาน แต่พอละเมอถึงผมกลับตบท้ายด้วยคำด่า!? แถมยังบ่นอะไรงึมงำอีกหลายคำ จับศัพท์ไม่ได้ แต่คงไม่แคล้วเป็นเสียงเห่าหอนของบรรดาสุนัขในฟาร์ม

   ผมจึงกดจูบหนักๆ ลงไปอีกครั้งอย่างหมั่นไส้ พอดีกับที่มันเบนหน้าหนี ริมฝีปากจึงพลาดเป้าหมายมาจรดลงบนต้นคอ ผมจึงจัดการขบเม้มบริเวณนั้นอย่างหมั่นเขี้ยว ฝากรอยแดงช้ำเอาไว้ ได้ยินเสียงครางประท้วง ก่อนที่มันจะพลิกตัวหนีไปอีกทาง

   ผมจึงตามไปดึงรั้งร่างนั้นเข้ามากอดจากด้านหลัง ก่อนจะพรมจูบอีกหลายครั้ง เรื่อยจากท้ายทอยจนถึงบ่า สูดดมกลิ่นกายที่พลอยทำให้รู้สึกมึนเมาจนยากจะถอนตัว ร่างในอ้อมแขนยังคงขยับหนี แต่ความแนบชิดส่งผลให้บั้นท้ายเบียดอยู่บนต้นขา ชักนำความร้อนให้แล่นเข้ามารวมกันที่กึ่งกลางร่างกาย จนลมหายใจของผมสะดุดกึก

   ผมได้แต่กัดฟันกรอด กลั้นหายใจ สะกดอารมณ์ที่กำลังพลุ่งพล่านขึ้นมาอย่างสุดความสามารถ ก่อนจะตัดสินใจ ผุดลุกไปอาบน้ำอีกรอบตอนตีสาม

   ขณะอยู่ในห้องน้ำ บางครั้งผมก็ยังอดคิดไม่ได้ว่า นี่มันเวรกรรมอะไรทำไมผมถึงต้องมาหลงรักมันด้วย แต่สิ่งที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ... ผมรักมันมากกว่าที่คิด

   อยากทำให้มันเป็นของผม ไม่ใช่แค่เพียงร่างกาย

   แม้อีกใจก็อยากจะจับปล้ำให้รู้แล้วรู้รอด แต่ก็ต้องข่มใจ

   ไม่ใช่ว่าเป็นคนดี ไม่ได้กลัวโดนด่าเจ็ดชั่วโคตร แต่กลัวมันจะไม่ยอมมองหน้าผมอีกเลยต่างหาก

   

   ด้วยความที่กว่าจะได้นอนฟ้าก็เกือบสาง กว่าจะรู้สึกตัวตื่นอีกครั้งจึงย่างเข้าสู่ช่วงบ่าย ภายในใจลึกๆ ผมแอบหวังว่าจะได้ลืมตาขึ้นมาเห็นใครบางคนนอนอยู่เคียงข้าง ต่อให้ไม่ได้เห็นหน้า ขอแค่ได้เห็นตีนก็ยังดี... แต่สิ่งที่คิดก็เป็นได้แค่หวังลมๆ แล้งๆ เพราะผมไม่ได้เห็นทั้งสองอย่าง

   ภาพที่ปรากฏสู่สายตามีเพียงความว่างเปล่า ลองกวาดตามองรอบห้อง นอกระเบียง ในห้องน้ำ ก็ไม่เห็นแม้แต่เงาของใคร ผมจึงได้แต่ถอนหายใจหนักหน่วง

   อีหรอบเดิมแน่ๆ มันเผ่นหนีไปอีกแล้ว...

   หลังจากนั่งเซ็งอยู่พักใหญ่ ผมจึงนึกขึ้นได้ถึงคำถามที่ยังค้างคาใจ ตกลงเมื่อคืนทำไมมันถึงได้เมามากขนาดนั้น เกิดอะไรขึ้น ถ้าจะบอกว่าดื่มสังสรรค์กับรุ่นน้อง ก็ดูจะหนักมือเกินไป หนำซ้ำยังเมาแล้วเพ้อเรียกชื่อใครบางคน...

   ผมจึงลองโทรศัพท์ไปสืบความจากผู้สมรู้ร่วมคิด

   "ไม่ทราบเหมือนกันครับ ผมไม่ได้คุยกับโซระมาหลายวันแล้ว"

   เอิร์ธตอบด้วยโทนเสียงราบเรียบตามปรกติ แต่ผมกลับรู้สึกว่าเสียงนั้นเซื่องซึมจนน่าเป็นห่วง และยิ่งคิดก็ยิ่งเครียด เพราะเอิร์ธกับโซระอยู่โรงเรียนเดียวกัน น่าจะได้เจอกันทุกวัน แต่ทำไมถึงไม่ได้คุยกัน ...ผมไม่กล้าถาม

   "ยังไงผมจะลองถามดูนะครับ" เอิร์ธพูดต่อเบาๆ หลังจากนั้นระหว่างพวกเราจึงเหลือแต่ความเงียบ

   เป็นความผิดของผมเองที่เสนอแผนการนี้ขึ้นมา นอกจากจะไม่ช่วยทำให้อะไรดีขึ้น ทุกอย่างกลับจะมีแต่ยิ่งแย่ลง หรือผมควรหยุด ก่อนที่ความสัมพันธ์ระหว่างเอิร์ธกับโซระจะแย่ไปมากกว่านี้

   "พวกเรา... ล้มเลิกแผนการทั้งหมดดีไหม" ผมลองถามขึ้นมาทำลายความเงียบ

   "ถ้าล้มเลิกแล้ว... เราควรจะทำยังไงต่อไปดีล่ะครับ" ปลายสายถามกลับมา

   ทั้งๆ ที่เอิร์ธเป็นเด็กฉลาดเกินวัย บางครั้งก็คิดเรื่องที่ผมนึกไม่ถึงด้วยซ้ำ แต่ตอนนี้กลับดูราวกับคนหมดท่า คิดอะไรไม่ออกเลยสักอย่าง

   "อ่ะ เดี๋ยวนะครับ มีสายซ้อน" เสียงของเอิร์ธสะดุดไปชั่วครู่ ก่อนจะเอ่ยต่อ

   "โซระ" เสียงเบาหวิวราวกับอุทานกับตัวเองมากกว่า

   "ถ้างั้นเอิร์ธไปคุยกับโซระเถอะ เดี๋ยวพี่ค่อยโทรไปใหม่" ผมพูดทั้งๆ ที่ไม่แน่ใจว่าปลายสายจะยังคงฟังอยู่หรือเปล่า จนกระทั่งได้ยินเสียงขานรับสั้นๆ ผมจึงกดวางสาย

   หลังจากนั้นผมยังคงนั่งมองโทรศัพท์ก่อนถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ เมื่อไม่รู้จะทำอะไรที่ดีกว่านั้นจึงลุกขึ้นไปอาบน้ำ แต่งตัวออกไปหาอะไรกินข้างนอก แวะซื้อของใช้อีกเล็กน้อย เมื่อกลับมาถึงห้องจึงจัดการซักผ้า ตากผ้า เก็บกวาดห้องพอเป็นพิธี ไม่ให้รกเป็นรังหนูจนเกินไป

   กิจวัตรประจำวันหยุดของผมก็มีอยู่เท่านี้ ถ้าไม่มีนัดล่วงหน้าส่วนใหญ่ผมก็มักจะอยู่ติดหอ อาจติดเป็นนิสัย เพราะเคยมีใครบางคนชอบมาเคาะประตูห้องแบบไม่บอกล่วงหน้า อยากจะมาเมื่อไหร่ก็มา มานอนเอกเขนกเหมือนเป็นห้องของตัวเอง บ้างก็หอบขวดเหล้าพร้อมกับแกล้มมาชวนเมา โดยเฉพาะอย่างยิ่งเวลาที่มันอกหัก...

   ผมได้แต่ส่ายหน้าให้กับความคิดของตัวเอง มันคงจะมาหรอก เพราะตั้งแต่เกิดเรื่องคืนนั้น ถ้าไม่นับเมื่อคืน มันก็ไม่เคยมาเหยียบที่ห้องนี้อีก

   ปึง! ปึง!

   เสียงทุบประตูหน้าห้องเกือบทำให้ผมสะดุ้ง

   แต่เมื่อเดินไปเปิดประตู ภาพที่ปรากฏก็ทำให้อึ้งยิ่งกว่าเก่า คิดว่าตัวเองตาฝาด หรือไม่ก็ฝัน เพราะคนที่ยืนอยู่ตรงหน้า คือคนที่นอนอยู่ด้วยกันเมื่อคืน คนที่อยากลืมตาตื่นขึ้นมาเห็น คนที่ไม่คิดว่ามันจะยอมมาเหยียบที่ห้องนี้อีก

   ในมือถือโซดาสองขวด น้ำแข็งหนึ่งถุง กับมาม่าอีกสองห่อ

   "...กูจำได้ว่า มีเหล้าเหลืออยู่ที่ห้องมึงขวดนึงใช่ปะ"

   มองมองหน้าผมแวบเดียว ก่อนจะถือวิสาสะเดินเข้ามาข้างใน สารพัดข้าวของเครื่องใช้ของมันก็ถูกทิ้งอยู่ในห้องของผมเยอะแยะไปหมดนั่นแหละ รวมถึงเหล้าที่เคยซื้อมาแต่กินไม่หมดด้วย

   ผมยังคงยืนค้างอยู่หลังบานประตู มองตามร่างที่เดินไปรื้อหาขวดเหล้าพร้อมแก้วน้ำ ยกทั้งหมดออกมาวางบนโต๊ะเตี้ย ก่อนปักหลักนั่งลง ณ มุมประจำ จัดแจงชงเหล้าเข้ากับโซดาที่หอบมาด้วย

   สักพักผมจึงได้ถึงบางอ้อ

   อ๋อ มันคงจะกรอบสนิทจนไม่เหลือเงินซื้อเหล้า ถึงได้ยอมด้านหน้ากลับมาเหยียบห้องนี้อีก


----------

   ความขยันมีมาเป็นวูบจริงๆ ตอนแรกตั้งใจว่าลงอย่างน้อยวันละตอน แต่เริ่มจะขี้เกียจอีกแล้ว :z13: แค่จัดบรรทัดยังจะขี้เกียจอ่ะคนเรา =..=

   
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 12 (13/3/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: em1979 ที่ 13-03-2018 23:24:58
สนุกค่า มาต่อไวๆ นะ จะรออ่าน
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 12 (13/3/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 14-03-2018 00:33:53
 :katai4:
หัวข้อ: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 13 เปลี่ยนแผน
เริ่มหัวข้อโดย: @moment ที่ 14-03-2018 21:11:25
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/ (https://www.facebook.com/at.moment.writer/)
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer/ (https://twitter.com/atmoment_writer/)
   

   ตอนที่ 13 เปลี่ยนแผน

   

   พอถือวิสาสะเดินเข้ามานั่งลง ณ มุมประจำเรียบร้อย มันก็คว้ารีโมตขึ้นมาเปิดดูรายการประกวดร้องเพลงอะไรสักอย่าง ทำตัวตามสบายอย่างกับเป็นห้องของตัวเอง ราวกับว่าไม่เคยมี 'อะไร' เกิดขึ้นในห้องนี้ 'บนเตียง' ที่มันนั่งพิงอยู่ด้วยซ้ำ

   พอผมเดินตามกลับเข้ามา มันก็เงยหน้าขึ้นมาฉีกยิ้ม

   "กูรู้ว่ามึงยังไม่ได้กินข้าวเย็นใช่ม๊า" พูดพลางชูมาม่าสองซองขึ้นข้างแก้ม

   ผมจึงส่ายหน้า ไม่เชิงตอบคำถาม แต่กำลังเหนื่อยใจมากกว่า คบกันมานานก็รู้อยู่ว่ามัน 'หน้าด้าน' แต่ไม่รู้ว่าควรจะดีใจหรือเสียใจกับสถานการณ์ตอนนี้

   ควรจะดีใจที่มันยังยอมมาหาผมที่ห้อง หรือควรจะเสียใจเพราะนี่อาจแปลว่า... มันเลิกใส่ใจเรื่องที่เคยเกิดขึ้นแล้วจริงๆ

   ผมถอนหายใจเฮือกใหญ่อีกครั้ง ก่อนจะเดินไปหยิบหม้อไฟฟ้าออกมาตั้งบนโต๊ะ จัดการต้มมาม่าที่มัน 'อุตส่าห์' ซื้อมาฝาก แต่ผู้ชายตัวโตสองคนกับมาม่าสองห่อคงจะพอยาไส้ ผมจึงหยิบไข่ไก่มาตอกเพิ่มลงไปอีกสองฟอง แถมไส้กรอกจากในตู้เย็นให้ด้วย ถือซะว่าทำบุญทำทานแก่สัตว์โลกผู้ยากไร้

   มันหลับตาพริ้มสูดกลิ่นหอมฉุยจากมาม่าผัดในหม้อ ระหว่างรอก็จัดแจงเปิดขวดโซดา ชงเหล้าให้ตัวเองและเผื่อผมอีกหนึ่งแก้ว ผมจึงเผลอย่นคิ้วเข้าหากัน เพราะเมื่อคืนมันก็เมามากซะขนาดนั้น นี่เพิ่งจะสร่างไม่ทันไรก็ตั้งท่าจะดื่มต่ออีกแล้ว? ทั้งๆ ที่ท้องฟ้าด้านนอกเพิ่งจะเริ่มมืดได้ไม่ถึงชั่วโมงด้วยซ้ำ

   "เอ้า ชนแก้ว! โอกาสแบบนี้ต้องฉลอง~"

   ฉลองอะไร? ผมได้แต่เลิกคิ้ว

   "ก็ฉลองเนื่องในโอกาสที่เพื่อนถึกมีแฟนเป็นตัวเป็นตนกับเขาซะที! ถือเป็นความดีความชอบของกูเลยนะ ที่ทำให้มึงรู้แจ้งกับเพศสภาพของตัวเอง แถมยังแนะนำให้รู้จักกับน้องเนิร์ดสุดที่รักของมึงอีก"

   กูต้องขอบใจมึงงั้นสิ?

   ผมอยากจะเซ็งโลกเป็นรอบที่ล้านแปด จึงคว้าแก้วเหล้าที่มัน 'อุตส่าห์' ชงให้ขึ้นมาดื่มรวดเดียวจนหมด เผื่อว่าจะช่วยดับความเซ็งได้บ้าง แต่มันอาจจะเข้าใจว่าผมยินดีฉลองด้วย ถึงได้ยกแก้วของตัวเองขึ้นดื่ม แถมยังชงแก้วต่อไปตามมาติดๆ

   หลังจากนั้นมันก็หันไปสนใจมาม่าในหม้อ กินไปพลาง กระดกแก้วไปพลาง ดูโทรทัศน์ไปพลาง บทสนทนาจึงเงียบลงไปอย่างผิดวิสัย ปรกติแล้วเวลาดูหนังมันยังชอบวิจารณ์พระนางแบบสาดเสียเทเสีย แต่วันนี้มาแปลก แทนที่จะดูไปด่าไป กลับฮัมเพลงตามไปด้วย

   ผมคิดว่าแจ็คน่าจะเริ่มเมาได้ที่ เพราะพอจัดการกับของกินเกลี้ยงหม้อ เหล้าก็พร่องลงไปเกือบครึ่งขวด แถมหลังๆ โซดาหมด มันเลยเล่นซดเพียวๆ แบบออนเดอะร็อค

   รายการในโทรทัศน์จบไปตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้ แต่มันอาจจะติดลมเลยหันไปคว้ากีต้าร์มาดีดเล่น อ้อ กีต้าร์ของผมเอง เป็นมรดกตกทอดจากรุ่นพี่ที่เรียนจบไปแล้ว แต่ผมไม่ค่อยได้เล่นหรอก พอนึกครึ้มทีไรไอ้แจ็คก็ชอบหยิบออกมาดีดเล่น บอกว่าหัดไว้เกี้ยวเด็ก แต่ผมว่า...อย่าเอาไปดีดให้ใครฟังเลยจะดีกว่า คือเสียงกีต้าร์ก็เพราะดีอยู่หรอก แต่เสียงร้องของมันดีกว่าเสียงหมาหอนหน่อยเดียว ถึงจะไม่เข้าขั้นร้องเพี้ยน แต่ก็ไม่ได้มีความไพเราะเอาซะเลย

   ผมเองก็คงดื่มไปไม่น้อยจนชักจะเริ่มมึน จึงได้แต่นั่งมองแจ็คเล่นกีต้าร์ไปเรื่อยเปื่อย อย่างที่เคยบอกว่าผมชอบมองนิ้วของมัน... ปลายนิ้วเรียวสวยรับกับเล็บตัดสั้นเป็นระเบียบ ขยับเคลื่อนไหวอยู่บนสายกีต้าร์

   เผลอมองเพลิน รู้สึกตัวอีกครั้งก็ตอนที่เสียงเพลงหยุดลงไป เมื่อเงยหน้าขึ้นมาก็บังเอิญสบตากับคนที่มองมาอยู่ก่อนแล้ว แต่ก็เพียงแค่แวบเดียวเท่านั้น ก่อนที่มันจะหันไปคว้าแก้วบนโต๊ะ

   "เอ้า ชนแก้ว! ฉลอง~!"

   ฉลองอะไรอีก?

   พอกระดกแก้วขึ้นดื่มจนหมดแจ็คกลับหันมาจ้องหน้าผม ไม่ได้จ้องแบบประสานสายตาหวานซึ้ง แต่เป็นการจ้องแบบ เขม่นหน้าหาเรื่องมากกว่า

   "ฉลองสละโสดให้มึง... และก็ฉลองความโสดให้กู"

   เดี๋ยวนะ มันว่าไงนะ

   "ทำไมกูถึงได้เกิดมาอาภัพแบบนี้!? หน้าตาก็ออกจะดี หล่อกว่ามึงตั้งเยอะ! แล้วทำไมมึงถึงได้กินเด็กแต่กูต้องกินแห้ววะ!? ทั้งๆ ที่กูเจอโซระก่อนมึงจะรู้จักเนิร์ดด้วยซ้ำ สวรรค์แม่งไม่ยุติธรรมเลย! เหี้ยเอ๊ย แล้วทำไมกูต้องรู้สึกแบบนี้ด้วย!? เพราะมึงคนเดียวเลยไอ้ถึก! แบบนี้มันต้องฉลอง ไม่เมาไม่เลิก!"

   ผมสลับสวิตช์ตามไม่ทัน จากโหมดดีดกีต้าร์ร้องเพลงกลายเป็นโหมดแหกปากคร่ำครวญ แถมประโยคที่พล่ามก็ยังฟังดูมั่วพิลึก แต่ถ้าจับใจความไม่ผิด แปลว่ามันอกหักจากโซระ...?

   ผมยังนั่งนิ่งด้วยความอึ้ง มันจึงหยิบแก้วเหล้ามายัดใส่มือของผม บังคับให้ดื่มเป็นเพื่อน จังหวะนั้นเองที่ผมเผลอคว้ามือของมันเอาไว้ เร็วกว่าที่สมองจะคิดตามทัน

   "แล้วถ้ากูบอกว่า... กูกับเอิร์ธไม่ได้เป็นแฟนกันล่ะ"

   คนฟังทำหน้าเหวอแบบงงจัด

   "ก็มึงบอกเองว่าคบกับเอิร์ธแล้ว" มันย้อนถามอย่างสับสน

   "กูไม่เคยพูดสักคำ" ผมตอบกลับไปสั้นๆ พลางต่อประโยคในใจ... ก็แค่ไม่เคยปฏิเสธ

   แจ็คยังคงมองหน้าผมอย่างนิ่งอึ้ง อาจจะกำลังทบทวนความทรงจำ จนกระทั่งระลึกได้ว่ามือของตัวเองยังอยู่ในมือของผม มันจึงพยายามดึงมือกลับไป แต่นาทีนี้ คิดเหรอว่าผมจะยอมปล่อย

   "ในเมื่อมึงยังโสด กูก็ยังโสด... เรามาลองคบกันดูไหม"

   ตอนนั้นผมอาจจะฉุกคิดอะไรบ้าๆ ในเมื่อแผนก้างขวางคอก็ไม่สำเร็จ แผนยั่วให้หึงก็ไม่ได้ผล ก็อาจถึงเวลาที่ต้องเปลี่ยนแผน โดยขอยืมวิธีที่มันชอบใช้มาลองใช้ดูบ้าง

   แผนรุกแบบหน้าด้านๆ

   "คบ!? ... อ๋อ มึงเล่นมุกดิ กูกับมึงก็คบกันอยู่แล้วไง เป็นเพื่อนกันมาตั้งนาน" มันร้องตอบเสียงหลง สะบัดมือจนหลุดพร้อมกระเด้งถอยหลังไปอีกคืบใหญ่ แต่สุดท้ายก็หมดทางหนีเมื่อแผ่นหลังชนกับขอบเตียง ผมจึงขยับตามเข้าไปใกล้

   "มึงก็รู้ว่ากูหมายความว่ายังไง" มันก็ไม่ได้โง่ นอกจากจะแกล้งโง่

   "กูกับมึงเนี่ยนะ!? หยึย แค่คิดก็สยอง" มันทำท่าขนลุกขนพอง ให้ตายเหอะ โคตรน่าหมั่นไส้

   "เหรอ แต่คืนนั้นออกจะสยิว" ผมโต้กลับด้วยเสียงราบเรียบ แต่มุมปากอาจยกขึ้นโดยไม่ได้ตั้งใจ ขอบอกไว้ก่อนเลยว่าถ้าผมปากหมา ก็เป็นเพราะติดเชื้อบ้าจากมันนั่นแหละ

   มันอ้าปากค้าง อึ้งไปครู่ใหญ่ แต่จนแล้วจนรอดก็ยังไม่ยอมแพ้

   "หรือว่าคบแบบ...เซ็กเฟรนด์? ยุคนี้กำลังฮิต เพื่อนพ้องท้องติดกัน" มันยังขยันกวนตีนไม่เลิก

   ทั้งๆ ที่ถ้าผมตอบว่า 'ใช่' คนที่จะต้องเสียใจก็คือตัวมันเองทั้งนั้น เพราะผมรู้ว่ามันไม่ใช่คนแบบนั้น ถึงจะเที่ยวจีบดะไปทั่วอย่างกับพ่อพวงมาลัยลอยชาย แต่แท้จริงแล้วมันก็เป็นแค่พวงมาลัยช้ำๆ ที่อยากสมหวังในความรัก

   "พอดีว่ากูนิยมผัวเดียวเมียเดียว" ผมยืนยันอีกครั้ง

   "ถ้าเอากันครั้งเดียวแล้วนับเป็นผัวเมีย ป่านนี้กูคงจะมีเมียเป็นโหล" แต่ปากมันก็ยังชักใบให้เรือเสีย

   ความปากหมาคงจะเป็นสันดานที่แก้ไม่หาย แต่ก็ดี เพราะนิสัยแบบนี้คงจะมีแค่ไม่กี่คนที่รับได้ และบังเอิญว่าผมก็ชินซะแล้ว

   "ถ้างั้นก็เอากันหลายๆ ที" เผื่อว่าจะนับ หรือว่าไม่ต้องนับ เพราะนับไม่ถ้วน

   "มึงเอาจริงดิ!?" มันอุทานถามแต่กลับไม่เว้นจังหวะให้ตอบ "กูรู้แล้ว มึงอำเล่นใช่ไหม ก็ทีเมื่อคืน... หรืออย่างคืนที่เสม็ด ไม่เห็นมึงจะมาพิศวาสอะไรกูสักนิด ไม่ต้องมาอำ ไม่ขำ กูไม่บ้าจี้กับมึงด้วยหรอก" มันยังคงพล่ามไม่หยุด สีหน้าลุกลี้ลุกลนปนบิดเบี้ยวด้วยอารมณ์หลากหลายที่ผมเองก็ทำความเข้าใจได้ไม่หมด

   ความผิดกูงั้นสิที่ปล่อยให้เนื้อรอดปากเสือ

   ผมหมดอารมณ์จะพูดต่อ อธิบายด้วยการกระทำน่าจะเร็วกว่า ผมจึงวางมือทั้งสองข้างลงบนขอบเตียงเพื่อปิดกั้นทางหนี พร้อมย่นระยะห่างที่เหลืออยู่น้อยนิดให้หมดลง กดริมฝีปากหนักๆ ลงบนรอยเก่าที่เคยทำไว้เมื่อคืนนี้ แจ็คผงะอย่างตกใจพร้อมยกมือขึ้นมาปิดบนต้นคอ

   "อย่าบอกนะว่ารอยนี่มึง...!? อื้อ!" ปลายเสียงเปลี่ยนเป็นการอุทานขึ้นจมูก เมื่อมีสิ่งกีดขวางผมจึงจัดการตวัดลิ้นเลียลงบนง่ามนิ้ว และเมื่อมันชักมือหนีจึงเป็นการเปิดทางให้ผมดูดเม้มลงบนเป้าหมายเดิมอีกครั้ง

   "ไอ้ถึก?!? ไอ้หื่น! อะ" ปากมันก็ยังจะด่า แต่ด่าได้ด่าไป เพราะตอนนี้ผมก็คงจะเป็นอย่างที่มันด่า แต่ทั้งหมดทั้งมวล มันก็คือตัวต้นเหตุที่ทำให้ผมต้องเป็นแบบนี้

   "กูหื่นกับมึงคนเดียว" ผมกระซิบบอกข้างหู แต่ไม่แน่ใจว่ามันยังเหลือสติรับฟังหรือเปล่า เพราะระหว่างที่ผมยันมือข้างหนึ่งบนขอบเตียงเพื่อกั้นไม่ให้คนตรงหน้าหนีไปไหน มืออีกข้างก็เริ่มรุกด้วยการกดน้ำหนักลงบนหน้าตัก ลูบผ่านโคนขาขึ้นไปถึงกึ่งกลางลำตัว

   และร่างกายของผู้ชายก็ซื่อตรงต่อความรู้สึกมากกว่าคำพูด แรงขัดขืนเริ่มลดน้อยลงไป กลายเป็นการให้ความร่วมมือมากขึ้น เมื่อผมลองจูบลงบนเรียวปาก เล็มลิ้นลงบนไรฟัน มันก็ยอมเปิดทางให้เข้าไปด้านใน ก่อนโต้ตอบด้วยการจูบตอบกลับมา

   กลิ่นเหล้าคละเคล้ากลิ่นเหงื่อ เจือด้วยกลิ่นหอมของโคโลญอ่อนๆ กำลังทำให้ผมมึนเมาจนเริ่มหยุดตัวเองไม่อยู่อีกครั้ง... แต่ครั้งนี้ผมก็ไม่ได้คิดจะหยุด

   ผมเคยบอกว่า อยากทำให้มันเป็นของผมทั้งตัวและหัวใจ

   แต่ตอนนี้ผมขอเริ่มต้นด้วยอย่างแรกที่เป็นรูปธรรมก่อนก็แล้วกัน

   

   ผมอยากลืมตาขึ้นมาเห็นหน้ามันในตอนเช้า และประสบการณ์ก็สอนว่าถ้าไม่ทำอะไรสักอย่าง ไอ้ตัวดีจะต้องเผ่นหนีไปอีกแน่ๆ งานนี้แผนเฉพาะกิจจึงถูกงัดขึ้นมาใช้

   ขั้นตอนแรกก็เป็นต้นว่า  เอาให้มันลุกไม่ขึ้น หมดฤทธิ์จนต้องนอนฟุบกับเตียงอย่างหมดแรง ขั้นตอนถัดมาก็อย่างเช่น จับล่ามโซ่ขึงเอาไว้... ล้อเล่น ก็แค่จับขังไว้ในอ้อมแขนตลอดทั้งคืน ไม่ปล่อยให้หนีไปไหนได้ เช้านี้ผมจึงได้ตื่นขึ้นมาเห็นหน้าคนที่อยากเห็นสมใจ

   "ตกลงว่าเราคบกันนะ"

   ฉวยโอกาสตอนที่มันลืมตาขึ้นมาด้วยสีหน้ามึนๆ แบบคนเพิ่งตื่นแถมด้วยอาการเมาค้าง สมองยังไม่ทำงานเต็มที่ ทวนคำถามที่ยังไม่ได้รับคำตอบอีกครั้ง เผื่อว่าครั้งนี้มันจะหลวมตัวตอบตกลง

   "...ขอกูแกล้งตายแป๊บ"

   พูดจบมันก็หลับคร่อก ปิดหูปิดตาหนีความจริงตรงหน้า พอรู้ตัวว่าดิ้นไปไหนไม่รอดก็เล่นมุกนี้ ดีเหมือนกัน ถ้างั้นผมจะรับบทเป็นหมียักษ์ เริ่มต้นจากการพิสูจน์กลิ่นเหยื่อ กดปลายจมูกลงบนแก้ม ดมเรื่อยมาจนถึงหลังใบหูและต้นคอ

   "ไอ้ถึก!? ไอ้หื่น! หยุดเลยมึง! ไม่เอาแล้วนะ! เหี้ยกูยังแสบอยู่เลย"

   มันด่าเสียงหลง เมื่อมือของผมที่กอดอยู่รอบตัว เริ่มลูบผ่านแผ่นหลังเปลือยเปล่าเรื่อยลงไปถึงแก้มก้น จังหวะนั้นมันจึงใช้มือยันหน้าผากผมกระเด็น ใจจริงคงอยากจะลุกหนีไปเลยด้วยซ้ำ แต่ติดที่สังขารไม่เอื้ออำนวย เลยทำได้มากสุดแค่ยันตัวลุกขึ้นนั่ง

   "เออ! กูอยากมีแฟน! แต่มึงเข้าใจไหมว่ากูอยากมีแฟนแบบตัวเล็กๆ น่ารัก บอบบาง น่าเอ็นดู น่าทะนุถนอม" มันพูดพลางทำหน้าตาเพ้อฝันน่าหมั่นไส้ พอหนีไปไหนไม่รอดก็เริ่มใช้วาจาเป็นอาวุธ ไม่ต้องตอกย้ำก็รู้ว่าสเปคของมันห่างไกลจากคนอย่างผมลิบลับสุดขอบโลก เปรียบเทียบด้วยดวงอาทิตย์กับดาวพลูโตที่ถูกปลดออกจากระบบสุริยะเลยก็ได้

   "กูอยากมีเมียโว๊ย! ไม่ได้อยากเป็นเมีย~!"

   มันเริ่มโวยวาย ขณะที่ผมยังคงนั่งเงียบ ปล่อยให้มันพล่ามไปคนเดียวจนพอใจ

   "มึงเองก็เหมือนกันเถอะ กูรู้นะ ถึงมึงจะไม่ได้เปิดปากด่าแต่ในใจก็รำคาญกูจะตาย! มึงชอบคนไม่เรื่องมาก ไม่ต้องพูดมากก็รู้ใจ... แบบเอิร์ธ... แล้วไง? ผิดหวังจากเอิร์ธ เลยหันมาคว้าของใกล้มือแทนงั้นเหรอ? หรือว่าอยากจะถนอมตัวจริงไว้ก็เลยหาที่ระบายแก้ขัด หรือว่าพอได้ลองเอาผู้ชายแล้วติดใจ อยากลองซ้ำ แต่ก็คบใครเล่นๆ ไม่เป็นก็เลยมา...ขอคบ?"

   ยิ่งพูดก็ยิ่งไปกันใหญ่ จับแพะชนแกะให้มั่วไปหมด

   แต่มันรู้ตัวบ้างหรือเปล่าว่ายิ่งพูด ปลายเสียงก็ยิ่งแผ่วเบาลงไป เช่นเดียวกับสายตาที่หลุบต่ำ กลายเป็นการก้มลงมองสภาพของตัวเองที่ยังคงฟ้องชัดถึงเหตุการณ์เมื่อคืน ก่อนจะเบนหน้าหนีไปมองทางอื่น

   มันพูดถูกส่วนหนึ่ง ผมนึกรำคาญมันอยู่บ่อยๆ ส่วนใหญ่ที่เงียบก็เพราะขี้เกียจต่อล้อต่อเถียง และระหว่างผมกับเอิร์ธ ด้วยนิสัยที่คล้ายกันทำให้เราสนิทกันได้ไม่ยาก

   แต่สิ่งที่มันคิดผิดก็คือ ผมไม่ได้ชอบเอิร์ธแบบเดียวกับที่ชอบมัน แบบที่ผมก็ยังตอบตัวเองไม่ได้ด้วยซ้ำว่าชอบเข้าไปได้ยังไง ทว่านับวันความรู้สึกกลับยิ่งชัดเจน เกินกว่าคำว่าชอบไปอีกหลายเท่า

   "กูรักมึง"

   ผมเคยคิดจะใช้แผนรุกแบบหน้าด้านๆ แต่ตอนนี้ในสมองกลับไม่หลงเหลือความคิดเหล่านั้น เพราะในใจกำลังเต็มไปด้วยความรู้สึกที่มีต่อคนตรงหน้า

   เมื่อสมองไม่ได้สั่งการตามแผน คำพูดจึงเป็นสิ่งที่ตรงออกมาจากใจ

   "เราคบกันนะ"

   

   
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 13 (14/3/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 14-03-2018 22:11:05
รีบบอกรัก ก่อนจะงง ไปกว่านี้

 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 13 (14/3/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 14-03-2018 23:44:43
ตอนนี้สั้นนน

พี่ยักษ์ของเราตรงดีจริงๆ ไม่มีอ้อมไม่มีค้อมใดๆ
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 13 (14/3/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Himbeere20 ที่ 15-03-2018 00:54:57
แจ็คจะยอมเชื่อไหมเนี่ย
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 13 (14/3/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: em1979 ที่ 15-03-2018 01:33:13
รุกหนักจริงๆ แต่แจ๊คก็ไม่ยอมรับสักที ต้องเจอแบบนี้แหละ
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 13 (14/3/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 15-03-2018 03:08:46
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 13.5 (15/3/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: @moment ที่ 15-03-2018 22:31:31
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/ (https://www.facebook.com/at.moment.writer/)
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer/ (https://twitter.com/atmoment_writer/)
   

   ตอนที่ 13.5 ฟุ้งซ่าน

   

   [โซระ]

   

   เคยมีใครบอกว่า คนเรามีอาการเมาแตกต่างกันออกไป บางคนก็เมาแล้วหลับ บางคนเมาแล้วโวยวาย บางคนเมาแล้วอ้วก เมาแล้วทำอะไรบ้าๆ หรือแม้แต่ทำอะไรลงไปบ้างก็จำไม่ได้

   สำหรับผม อาจจะเป็นประเภทที่เมาแล้วเซื่องซึม มึนๆ ตื้อๆ เหมือนสมองทำงานช้าลงกว่าเดิมหลายเท่า ควบคุมร่างกายของตัวเองไม่ค่อยได้ เดินโซเซจนเกือบจะกลิ้งลงทะเลไปหลายครั้ง ถ้าไม่ได้เอิร์ธคอยจูงมือเอาไว้

   แต่ถึงอย่างนั้นกลับยังคงมีสติดีครบถ้วน จำเรื่องที่เกิดขึ้นได้ทุกอย่าง

   ตอนที่อยู่ในร้านอาหาร ผมจิบเครื่องดื่มผสมแอลกอฮอล์ไปหลายแก้ว ใจหนึ่งอาจเป็นเพราะความอยากลอง แต่ใจจริงอาจเป็นเพราะอารมณ์ขุ่นมัวที่ตัวผมเองก็อธิบายไม่ถูก

   ตอนแรกผมคิดว่าความรู้สึกนั้นเกิดจากการโทษตัวเองที่ทำให้เอิร์ธต้องตกอยู่ในอันตราย ชวนเล่นบานาน่าโบ้ททั้งๆ ที่รู้อยู่ว่าเพื่อนว่ายน้ำไม่เป็น ซ้ำร้ายพอเกิดเรื่องขึ้นมาผมก็กลับช่วยอะไรไม่ได้เลยสักอย่าง คนแรกที่ตรงดิ่งเข้าไปถึงตัวเอิร์ธก่อนใครก็คือพี่ต้น หลังจากนั้นเขาก็ยังคอยดูแลและเป็นห่วงเอิร์ธอย่างเห็นได้ชัด

   แม้กระทั่งบนโต๊ะอาหาร พี่ต้นก็ยังช่วยเอิร์ธดื่มค็อกเทลหลายแก้ว ผมเห็นพวกเขามองสบตากันหลายครั้งอย่างมีความหมาย พาลให้ผมยิ่งอยากดื่ม อยากเมา เผื่อว่าสายตาคู่นั้นจะหันกลับมาสนใจผมบ้าง

   "พี่ต้นไปส่งพี่แจ็คเถอะครับ เดี๋ยวผมพาโซระกลับห้องเอง" เอิร์ธกล่าวเมื่อพวกเราเดินกลับมาถึงหน้ารีสอร์ท พี่ต้นมีท่าทางลังเลเล็กน้อย แต่สักพักก็พยักหน้ารับ ก่อนจะหิ้วปีกพาร่างของพี่แจ๊คที่เมาจัดเดินแยกออกไปอีกทาง เป็นอีกครั้งที่ผมเห็นพวกเขาสองคนคุยกันผ่านทางสายตา

   "โซระเดินไหวไหม อีกนิดเดียวก็ถึงแล้ว" เอิร์ธหันกลับมาถามผมที่ยืนซบอยู่กับเสาข้างทาง แทบจะทรงตัวไม่อยู่ถ้าไม่มีหลักยึด แต่ยังคงเหลือสติพยักหน้ารับ เอิร์ธจึงจูงกึ่งพยุงผมเดินกลับมาจนถึงห้องพัก

   "เอิร์ธ..." ผมพยายามเปล่งเสียงเรียก แม้จะฟังดูเนิบนาบด้วยความเมา คนด้านข้างเพียงแค่ขานรับในลำคอเบาๆ ระหว่างควานหากุญแจในกระเป๋า

   "เอิร์ธ... เคยชอบใครไหม" ผมเอ่ยถามต่อ เอนศีรษะพิงลงบนกำแพงด้วยความมึนตื้อ แต่ยังคงสังเกตได้ว่าคนตรงหน้าชะงักเงียบไปพักใหญ่

   "ทำไมถึงถามแบบนั้น" สุดท้ายเอิร์ธกลับตอบกลับมาด้วยคำถาม

   "เอิร์ธ... ชอบพี่ต้นไหม" ผมจึงระบุคำถามให้ชัดเจนมากขึ้น พลางทอดมองใบหน้าด้านข้างของคนที่ยังคงก้มหน้า ทว่าอีกฝ่ายกลับไม่ยอมตอบคำถามใดๆ ก้มหน้าก้มตาเปิดประตู ก่อนจะฉวยโอกาสยุติหัวข้อสนทนาด้วยการพยุงร่างของผมให้เดินเข้าไปด้านใน

   "เอิร์ธ..." ผมจึงเรียกชื่อเดิมซ้ำอีกครั้งราวกับเด็กงอแงที่ตอแยไม่ยอมเลิก

   "นายเมามากแล้วนะโซระ นอนได้แล้ว" เอิร์ธกล่าวเสียงเรียบ ก่อนจะขยับโน้มตัวลงเล็กน้อยเพื่อปล่อยให้ผมนอนลงบนเตียง

   "ไม่เอา ยังไม่อยากนอน" ผมขืนตัวออกด้วยความดื้อแพ่ง ทว่าจังหวะนั้นร่างกายที่โงนเงนกลับเสียสมดุลจนเซล้ม และสัญชาติญาณก็สั่งให้มือเอื้อมคว้าสิ่งที่อยู่ใกล้ที่สุดเป็นหลักยึด

   "เหวออออ"

   "โอ๊ย!"

   สิ่งที่ตั้งอยู่เบื้องหน้าคือเตียง แต่ทำไมสิ่งที่ผมล้มทับกลับไม่นุ่มอย่างที่คิด

   เมื่อลืมตาขึ้นผมจึงได้เห็นว่า สิ่งที่อยู่ใต้ร่างของผมไม่ใช่เตียง...แต่กลับเป็นร่างของใครอีกคน และตอนนี้ใบหน้าของพวกเราอยู่ห่างกันไม่ถึงคืบ

   เงาของผมทาบทับอยู่บนเสี้ยวหน้าของเอิร์ธ ดวงตาใต้กรอบแว่นสีดำจ้องกลับมาอย่างตกใจ และเมื่อผมลดระดับสายตาลงไปก็ได้เห็นเรียวปากแดงฉายชัดอยู่ตรงหน้า

   ความมึนเมาอาจทำให้สมองของผมเพ้ออะไรบ้าๆ เห็นภาพเบื้องหน้าพร่ามัวเหมือนมีแรงดึงดูดให้เข้าไปใกล้ เห็นชัดเจนแค่ริมฝีปากที่เผยอเล็กน้อยจากการร้องอุทานด้วยความตกใจ และความมึนเมาก็อาจจะทำให้ผมทำอะไรบ้าๆ ด้วยการปล่อยให้ร่างกายทรุดลงตามแรงโน้มถ่วง ตามแรงดึงดูด จนไม่เหลือช่องว่างระหว่างพวกเรา

   สัมผัสนุ่มๆ บนริมฝีปาก

   อ่อนหวานเหมือนปุยนุ่น ราวกับล่องลอยอยู่ในความฝัน

   แต่แล้วความมึนเมาก็ทำให้สมองของผมยิ่งเชื่องช้า หนักอึ้ง จนกระทั่งหยุดการทำงาน ภาพตรงหน้าจึงถูกแทนที่ด้วยสีดำและความมืดมิด

   

   ผมเมาจนเผลอหลับไปตั้งแต่ไม่ไหร่ก็ไม่รู้ ไม่รู้สึกตัวเลยสักนิด แต่ถึงอย่างนั้นกลับจดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นได้ครบถ้วนทุกอย่าง และเชื่อว่าเอิร์ธเองก็คงจะจำได้ เพราะคืนนั้นเอิร์ธไม่ได้เมาเลยด้วยซ้ำ

   เช้าวันถัดมา ผมคงไม่ได้คิดไปเองว่าบรรยากาศระหว่างพวกเราแปลกไป เหมือนกับมีช่องว่างเล็กๆ เกิดขึ้นตรงกลาง ทำให้ไม่กล้ามองหน้ากันตรงๆ ไม่กล้าใกล้ชิดสนิทสนมกันเหมือนเก่า ไม่ใช่ว่าอึดอัด แต่มันรู้สึก...ขัดๆ เขินๆ แปลกๆ

   ไม่มีใครพูดถึงเหตุการณ์เมื่อคืน เมื่อเอิร์ธไม่พูด ผมเองก็ไม่กล้า

   จนกระทั่งช่วงบ่าย พอได้เดินเที่ยวด้วยกันทั้งสี่คน บรรยากาศแปลกๆ จึงค่อยๆ จางลงไป กลับกลายมาเป็นดับเบิ้ลเดทอีกครั้ง ต้องขอบคุณพี่แจ็คกับพี่ต้นที่ช่วยทำให้บรรยากาศระหว่างผมกับเอิร์ธกลับมาเป็นเหมือนเดิม

   แต่จะเรียกว่าเหมือนเดิมเลย... ก็คงจะไม่ถูก

   เพราะดูเอิร์ธกับพี่ต้นจะสนิทกันมากขึ้น มากๆ

   ตอนที่แยกย้ายกันไปเลือกซื้อของฝาก ผมเห็นพวกเขาสองคนเดินเคียงข้างกัน เห็นพี่ต้นหยิบหมวกขึ้นมาลองสวมให้เอิร์ธ ก่อนจะมองสบตากันอย่างมีความหมาย ภาพที่เห็นทำให้ผมอธิบายความรู้สึกของตัวเองไม่ถูก ความอึดอัดที่ก่อตัวขึ้นกำลังทำให้ผมสับสน

   ในความฝัน ผมยังเผลอฝันถึงเหตุการณ์เดิมซ้ำๆ

   มองเห็นภาพรอบตัวพร่ามัว แจ่มชัดเพียงภาพของคนตรงหน้า เรียวปากนุ่มๆ รอยจูบหวานๆ สัมผัสแผ่วเบาซ้ำๆ เหมือนดึงดูดให้เข้าใกล้และไม่อยากผละจาก ดวงตาภายใต้กรอบแว่นสีดำที่ทอดมองมา คงจะยิ่งน่ามองถ้าหากไม่มีสิ่งใดบดบัง ไออุ่นที่ถ่ายทอดผ่านมาทางผิวกาย คงจะยิ่งอุ่นถ้าหากไม่มีสิ่งใดขวางกั้น...

   โซระ!?

   ฝันอะไรบ้าๆ นั่นมันเพื่อนสนิทของนายนะ!

   แต่นับวัน ความฝันก็ยิ่งเลยเถิดเกินการควบคุม

   ทว่าความจริงกลับเป็นสิ่งตรงกันข้าม เพราะตั้งแต่กลับจากเสม็ด เอิร์ธกับพี่ต้นก็ไปไหนมาไหนด้วยกันสองต่อสองบ่อยครั้ง ไม่มีผมหรือพี่แจ็คพ่วงไปด้วยเหมือนเมื่อก่อน ความสับสนเริ่มแปรเปลี่ยนเป็นความหวาดหวั่น นับวันก็ยิ่งเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งวันหนึ่ง ผมจึงตัดสินใจเอ่ยถาม

   "เอิร์ธกับพี่ต้นคบกันแล้วใช่ม๊า~"

   และความจริง... ก็กลับกลายเป็นฝันร้าย

   

   "โซระ..."

   เสียงเรียกที่คุ้นเคยดังแผ่วเบาอยู่ข้างหู ถึงแม้จะได้ยินชัดเจน หากร่างกายของผมกลับหนักอึ้งจนไม่อาจเคลื่อนไหว ไม่อาจเปล่งเสียงขานรับ ผมจึงได้แต่นอนนิ่งอยู่อย่างนั้น จนกระทั่งได้ยินเสียงเคาะประตูห้อง

   ก๊อกๆ

   ในความมืดสลัว ประสาทสัมผัสของผมรับรู้ได้ว่าพื้นเตียงที่นอนอยู่ยวบไหวขึ้นเล็กน้อย พร้อมกับไออุ่นข้างกายที่จางหายไป ตามด้วยเสียงพูดคุยของใครบางคน

   "พี่ต้น...?"

   "พี่ขอเข้าไปข้างในได้ไหม"

   ไม่มีคำตอบ มีเพียงเสียงฝีเท้าที่เดินเข้ามา ตามด้วยเสียงประตูที่ปิดตัวลง

   ผมพยายามเบนหน้าหันไปมองต้นเสียง ทว่าร่างกายกลับหนักอึ้งราวกับถูกทับด้วยหินก้อนใหญ่ ไม่สามารถขยับเขยื้อนได้ มีเพียงแสงสีส้มจากโคมไฟบนหัวเตียง ส่องให้เห็นเงาของคนสองคนที่เดินเข้ามาด้านใน เงาสูงใหญ่กับอีกเงาหนึ่งที่บอบบาง พอให้เดาได้ไม่ยากนักว่านั่นเป็นเงาของใคร

   ร่างที่ผมคุ้นเคยเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างเตียง แต่ร่างที่สูงใหญ่กว่ากลับเดินเข้ามาใกล้ จนเงาทั้งสองแทบจะแนบสนิทเป็นหนึ่งเดียวกัน

   "เราก็คบกันแล้ว... เอิร์ธจะว่าอะไรไหมถ้าพี่จะขอ..."

   เสียงพูดขาดหายไปเพียงเท่านั้น กลายเป็นการสื่อสารกันผ่านทางสายตา ราวกับว่าไม่จำเป็นต้องมีคำพูดก็สามารถสื่อความในใจ

   ไม่มีคำปฏิเสธ มีเพียงการตอบรับด้วยภาษากาย เมื่อสายตาใต้กรอบแว่นหลุบต่ำลง ร่างสูงใหญ่จึงเชยคางมนให้เงยขึ้นกลับมามองกันอีกครั้ง ก่อนจะโน้มใบหน้าลงไปใกล้ จนไม่เหลือช่องว่าง

   ความมืดสลัวฉายให้เห็นเงาที่หลอมรวมเป็นหนึ่งเดียว ผมรับรู้ถึงเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้นได้ พื้นเตียงข้างกายยวบลงไปด้วยน้ำหนักตัวของคนสองคนที่นอนแนบตามกันลงมา จากนั้นภาพบาดตาก็ปรากฏชัดเจนในระยะกระชั้นชิด เป็นร่างของคนสองคนที่กำลังกอด จูบ และกำลังสานต่อการกระทำที่มากกว่านั้น

   ทั้งๆ ที่ผมยังคงอยู่ตรงนี้ แต่พวกเขากลับทำราวกับว่าผมไม่มีตัวตน ทั้งๆ ที่ผมพยายามร้องตะโกนบอกให้หยุด! แต่กลับไม่มีเสียงใดๆ ลอดผ่านลำคอออกมา ไม่ว่าจะพยายามดิ้นรนแค่ไหน ร่างกายกลับไม่ยอมเคลื่อนไหว ทั้งๆ ที่ผมไม่อยากเห็น ไม่อยากได้ยิน ไม่อยากรับรู้ ไม่อยากให้เอิร์ธทำแบบนี้กับใคร

   ไม่อยากให้เอิร์ธทำแบบนี้กับคนอื่น... ที่ไม่ใช่ผม

   "โซระ... ร้องไห้ทำไม"

   ภาพพร่ามัว กลบไปด้วยหยดน้ำตา ครั้งนี้ผมได้ยินเสียงของตัวเองสะอื้นดังเหมือนเด็กๆ แต่เมื่อค่อยๆ ลืมตาขึ้น ภาพรอบตัวกลับกลายเป็นห้องสีขาวสว่างจ้า และเมื่อก้มลงมอง ก็ได้เห็นเอิร์ธเอื้อมมือขึ้นมาเช็ดน้ำตาบนแก้มของผมแผ่วเบาอย่างปลอบโยน

   ทว่าภาพเบื้องหน้ากลับทำให้ผมต้องกะพริบตาอีกหลายๆ ครั้ง ก่อนจะเบิกตากว้างอย่างตกใจ เพราะสิ่งที่เห็นคือพื้นเตียงขาวๆ กับผิวกายขาวๆ เพราะทั้งเอิร์ธทั้งผมต่างก็ไม่ได้สวมเสื้อผ้า

   ...แล้วพี่ต้นหายไปไหน

   ไม่ใช่แค่นั้น! ทำไมผมถึงได้มาอยู่อีท่านี้

   ตำแหน่งที่พี่ต้นอยู่เมื่อกี้!?

   "โซระ..."

   "ตื่นได้แล้ว! สายแล้ว! ตื่นได้แล้ว! สายแล้ว! ตื่นได้แล้ว!"

   โครม! "โอ๊ย!"

   เสียงนาฬิกาปลุก ตามด้วยเสียงโครมคราม ตามด้วยเสียงร้องของผมที่กลิ้งร่วงหล่นลงจากเตียง

   "ตื่นได้แล้ว! สายแล้ว! ตื่นได้แล้ว! สายแล้ว! ตื่น..."

   ผมยืดแขนออกไปกดปิดนาฬิกาที่ร้องดังลั่นน่ารำคาญ ก่อนจะพยุงร่างกายลุกขึ้นอย่างทุลักทุเล มือหนึ่งลูบสะโพกที่เจ็บจากการร่วงกระแทกพื้น อีกมือลูบท้ายทอยที่ยังคงปวดเมื่อยราวกับนอนตกหมอน ก่อนจะลูบผ่านไปบนใบหน้า

   ทันใดนั้นก็ต้องหยุดชะงักเมื่อสะดุดเข้ากับความเปียกชื้นข้างแก้ม ไม่ใช่แค่คราบเหงื่อ แต่เหมือนกับรอยน้ำตา

   พาลให้หวนนึกถึงภาพฝันเลือนลาง

   ฝันร้าย...? หรือว่าฝันดี...?

   ผมจำรายละเอียดในความฝันไม่ได้ จำได้แต่ว่าเป็นความฝันที่แปลกประหลาดมากๆ และก็เศร้ามากๆ แต่สิ่งหนึ่งที่จำได้อย่างชัดเจนก็คือ เสียงของใครคนหนึ่งที่เรียกชื่อของผมในความฝัน

   เสียงของคนที่ในความเป็นจริงพวกเราไม่ได้คุยกันมาหลายวันแล้ว เพราะผมยังไม่กล้าเผชิญหน้า ไม่รู้ว่าควรจะทำตัวยังไง ไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับความรู้สึกของตัวเองยังไง

   แต่ความรู้สึกหนึ่งที่ชัดเจนที่สุดในตอนนี้ก็คือ...

   ผมอยากได้ยินเสียงของเอิร์ธ

   
-----
   
   ตอนนี้เป็นเรื่องของคู่รอง ไม่เกี่ยวกับคู่หลักซะทีเดียว เลยขอแทรกไว้เป็นตอนที่ 13.5

   ส่วนคู่หลักนั้น บอกได้เพียงว่า ความเกรียนของแจ็คและความน่าสงสารของต้นเพิ่งจะเริ่มขึ้นเท่านั้น :laugh:


หัวข้อ: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 14 หลอกล่อ
เริ่มหัวข้อโดย: @moment ที่ 17-03-2018 00:30:18
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/ (https://www.facebook.com/at.moment.writer/)
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer/ (https://twitter.com/atmoment_writer/)
   

    ตอนที่ 14 หลอกล่อ

   

   "มึงอำกูใช่ไหม ต้องใช่แน่ๆ เดี๋ยวจะต้องมีพิธีกรโผล่มาพร้อมไมค์บอกว่า 'นี่คือรายการ...เราล้อคุณเล่น~!' แล้วไหนละกล้อง ซ่อนอยู่ที่ไหน? ไหน?"

   หลังจากอึ้งรับประทานไปนานหลายนาทีคนปากดีก็ยังไม่ยอมแพ้ แถมยังทำท่าหันมองซ้ายขวารอบห้อง เหลือเพียงทิศเดียวที่ไม่ยอมหันมา ก็คือข้างกายที่มีผมนั่งเป็นหัวหลักหัวตออยู่

   ดูมันพูดแต่ละคำ ได้ใช้สมองกลั่นกรองบ้างหรือเปล่า

   ถ้าขืนมีใครโผล่เข้ามาตอนนี้ ภาพที่จะได้เห็นก็คือร่างเปลือยเปล่าของผู้ชายสองคน นั่งอยู่บนเตียงในสภาพที่ไม่ต้องเดาให้เเสียเวลาว่าเพิ่งจะเกิดอะไรขึ้น พร้อมหลักฐานเป็นเสื้อผ้ายับยู่ที่หล่นกองอยู่รอบๆ และถ้ามีกล้องซ่อนอยู่ในห้องจริง สิ่งที่ถ่ายได้ก็คงเป็นหนังสดเรทยี่สิบบวก แถมด้วยซาวด์เอฟเฟ็คเป็นเสียงครางกระเส่าของใครบางคน

   เสียดายที่ผมไม่ได้มีรสนิยมชอบโชว์หรือชอบถ่ายเก็บไว้ ไม่งั้นก็จะได้รู้กันไปเลยว่าถ้าตกเป็นดาราจำเป็นจริงมันจะยังกล้าปากเก่งอย่างนี้อีกหรือเปล่า

   "อย่านอกเรื่อง มึงก็รู้ว่ากูจริงจัง"

   ทำก็แล้ว พูดก็แล้ว รุกแบบหน้าด้านๆ ก็แล้ว กลับยังไม่ได้รับคำตอบใดๆ แต่ในเมื่อด้านแล้วก็คงต้องด้านต่อไปให้ถึงที่สุด ผมจึงเอื้อมฝ่ามือที่ใหญ่กว่าไปจับปลายคางของอีกฝ่ายเพื่อดึงให้หันกลับมามองกัน มันขมวดคิ้วยุ่งโดยอัตโนมัติและตั้งท่าจะปัดมือออก แต่อาจจะสะดุดในจังหวะที่สายตาของพวกเราสบประสานกัน

   ผมยังคงจ้องมองแจ็คนิ่งๆ เหมือนกับตอนที่พูดว่า

   'กูรักมึง... เราคบกันนะ'

   คนที่ดีแต่ปากจึงนิ่งเงียบไปอีกครั้ง ไม่รู้ว่าครั้งนี้จะเงียบได้นานกี่นาที ผมจึงชิงตัดหน้ากล่าวตัดบทก่อน

   "ถ้าไม่ปฏิเสธก็แปลว่าตกลง" ประโยคที่มันชอบใช้กับผมอยู่บ่อยๆ คราวนี้ได้ทีผมเอามาใช้บ้าง

   "สรุปว่าเราเป็นแฟนกันแล้วนะ" อาศัยจังหวะที่มันยังอ้าปากค้างด้วยความเหวอ จรดจูบลงไปเพื่อปิดคำคัดค้าน จนเสียงโวยวายว่า "เฮ่ย!? กูยังมะ..." กลายเป็นแค่เสียงร้องอู้อี้ในลำคอ

   แต่ประสบการณ์ก็สอนผมว่าเขี้ยวคมๆ อาจจะบาดลิ้น และถ้าไม่ระวังอาจจะถูกหมาบ้ากัดเอาได้ ผมจึงตัดใจหยุดการรุกรานไว้เพียงเท่านั้น กดจูบหนักๆ บนริมฝีปากเป็นครั้งสุดท้ายอย่างอ้อยอิ่งก่อนจะผละออกมา

   "กูหิวแล้ว ไปหาไรกินกัน" ก่อนที่คนกำลังเบลอจะตั้งสติกลับมาโวยวาย ผมจึงหยิบยืมมุกที่มันชอบใช้ขึ้นมาอีกครั้ง และโชคดีที่เสียงท้องของมันร้องขึ้นมาได้จังหวะตรงเผง แต่ก็เลยไม่รู้ว่าสีแดงอ่อนๆ ที่เรื่ออยู่บนในหน้าเกิดจากความโกรธหรือความอาย เกิดจากเหตุการณ์เมื่อครู่หรือจากเสียงท้องร้องเมื่อกี้

   แต่เท่าที่รู้ คนหน้าด้านอย่างมันไม่ได้หน้าแดงง่ายๆ

   "ลุกเร็วๆ มื้อนี้เดี๋ยวกูเลี้ยงเอง" ผมจึงแอบเก็บรอยยิ้มเอาไว้ ยันตัวลุกจากเตียงพร้อมฉุดแขนของอีกร่างให้ลุกขึ้นตาม

   "มึงเห็นกูเป็นตัวอะไร คิดว่าเอาข้าวมื้อเดียวมาล่อแล้วกูจะติดกับงั้นเหรอ กูไม่ได้เห็นแก่กินขนาดนั้นนะเว่ย!" มันโวยวาย แต่อาจจะสู้แรงดึงไม่ไหวถึงได้ยอมลุกขึ้นมาอย่างทุลักทุเล ระหว่างนั้นก็ก้มคว้ากางเกงที่อยู่บนพื้นขึ้นมาสวม

   ผมจึงเลิกคิ้วเล็กน้อย เพราะปรกติเห็นมันเดินเปลือยโล่งโจ้งโทงๆ ไม่เคยแคร์สายตาใคร แต่จะว่าไปมันก็คิดถูกแล้วที่ทำแบบนั้น ไม่อย่างนั้นผมอาจจะเปลี่ยนใจจากการออกไปหาอะไรกินข้างนอก มาเป็นการกินอะไรๆ ในห้องแทน

   "แล้วเย็นนี้อยากกินอะไรล่ะ ไปกินซูชิกันไหม เดี๋ยวกูเลี้ยง หรือจะให้เลี้ยงทุกมื้อก็ยังได้" ผมรู้ว่าเดือนนี้มันจนกรอบถึงขีดสุด ข้อเสนอนี้จึงน่าจะล่อตาล่อใจอยู่ไม่มากก็น้อย แต่แจ็คกลับทำหน้าปั้นยาก

   อาจเป็นเพราะประโยคสุดท้าย แต่ผมหมายความตามที่พูด

   'ทุกมื้อ' ที่อาจแปลว่า จากนี้และตลอดไป

   ผมยอมรับว่ายังไม่ได้คิดไกลถึงขั้นนั้น แม้ในใจลึกๆ อยากจะให้เป็นอย่างนั้น แต่ตอนนี้ทุกอย่างเพิ่งจะเริ่มต้น และมันก็ยังไม่ยอมเอ่ยปากยอมรับเลยด้วยซ้ำ

   "มึงพูดเองนะ ถ้างั้นก็เตรียมตัวกระเป๋าฉีกได้เลย กูอยากกินซูชิ ชาบู หมูกระทะ เนื้อย่างวากิว กุ้งเผา ปูเผา เป่าฮื้อ หมูหัน หูฉลาม ไข่ปลาคาร์เวีย ฟัวกราส์"

   ผมได้แต่ส่ายหน้าและเหล่มองมันด้วยสายตาที่ว่า แบบนี้ถ้าไม่เรียกว่าเห็นแก่กินแล้วจะให้เรียกว่าอะไรวะ

   "มื้อนี้กินก๋วยจั๊บเจ้าเดิมไปก่อนก็แล้วกัน"

   พอผมพูดอย่างนั้นหมาทั้งฟาร์มจึงพร้อมใจกันเห่าประท้วง บ่นด่าไม่หยุดจนผมต้องดันแผ่นหลังให้แจ็คเดินเข้าห้องน้ำเพื่อตัดรำคาญ แต่มันกลับรู้ทันปิดประตูใส่หน้าก่อนที่ผมจะได้เดินตามเข้าไปข้างใน

   ระหว่างยืนฟังเสียงน้ำจากฝักบัวดังลอดผ่านแผ่นไม้บางๆ ผมจึงแอบระบายยิ้มออกมาอีกครั้ง เพราะอย่างน้อยมันก็ร่ายเมนูอาหารยาวเป็นหางว่าว แปลว่าพวกเราจะได้ไปกินข้าวด้วยกันอีกหลายมื้อ และที่สำคัญ

   'ถ้าไม่ปฏิเสธก็แปลว่าตกลง'

   มันไม่ได้ปฏิเสธ

   

   "ยินดีด้วยนะครับ" เอิร์ธกล่าวพร้อมคลี่ยิ้มบางอย่างจริงใจ

   "ยังไม่ถึงขั้นนั้นหรอก ก็แค่เปลี่ยนแผน" ผมตอบด้วยน้ำเสียงเนือยๆ

   เพราะหลังจากกินข้าวเที่ยงเสร็จ ฉวยโอกาสระหว่างที่ผมเดินไปจ่ายเงินบอกว่าจะไปเข้าห้องน้ำ ไอ้ตัวดีก็กินแล้วชักดาบ เผ่นหนีหายเข้ากลีบเมฆ โทรไปก็ไม่รับ ส่งข้อความไปก็อ่านแต่ไม่ยอมตอบ ผมจึงได้แต่ถอนหายใจ เพราะรู้ตัวอยู่เหมือนกันว่าเดินหน้ารุกหนักมากเกินไป ครั้งนี้จะถือว่าปล่อยนกปล่อยกา จะยอมปล่อยให้ไอ้ลูกหมาได้พักหายใจชั่วคราว

   ผมจึงโทรนัดเอิร์ธออกมาพบกันที่ร้านกาแฟแห่งหนึ่ง เพื่ออัพเดทข่าวคราวความคืบหน้าตามประสาผู้สมรู้ร่วมคิด มีหลายเรื่องเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วในเวลาสั้นๆ ทั้งเรื่องที่แจ็คอกหักจากโซระ เรื่องที่ผมสารภาพความจริงว่าไม่ได้คบกับเอิร์ธ ซ้ำยังบอกรักและมัดมือชกให้มันยอมเป็นแฟนด้วย

   "อย่างน้อยก็ถือว่าแผนการแยกสองคนนั้นออกจากกันประสบความสำเร็จ" เอิร์ธยิ้มด้วยสีหน้าที่สดชื่นมากกว่าเดิม ต่างจากตอนแรกที่ผมถามว่าเมื่อวานโซระโทรมามีอะไรหรือเปล่า แต่กลับได้รับคำตอบว่า 'แค่โทรมาถามการบ้านครับ...'

   "แล้วนายไม่คิดจะบอกความในใจกับโซระบ้างเหรอ" ผมลองถาม เพราะต่อให้ครั้งนี้จะสามารถกันแจ็คออกไปได้สำเร็จ ก็ใช่ว่าต่อไปจะไม่มีใครคนอื่นเข้ามาอีก หรือต่อให้คอยกันท่าทุกๆ คน ก็ใช่ว่าจะสำเร็จทุกครั้ง และที่สำคัญ ใช่ว่าทำแบบนี้แล้วความรักจะสมหวัง

   "ถ้าโซระได้เจอคนที่ดี... ผมอาจจะตัดใจได้..."

   หากคำตอบที่ได้รับ กลับทำให้ผมต้องถอนหายใจเฮือกใหญ่

   "นายเป็นคนดีนะเอิร์ธ"

   ผมวางมือบนบ่าของร่างเล็กตรงหน้าเบาๆ อีกฝ่ายจึงเงยขึ้นมองกลับมา และไม่จำเป็นต้องเอ่ยออกมาเป็นคำพูด เอิร์ธก็คงเข้าใจสิ่งที่ผมอยากบอก

   'ให้โอกาสตัวเองบ้าง... นายดีพอที่จะเป็นใครคนนั้น'

   แน่นอนว่า 'คนที่ดี' อาจจะไม่ใช่ 'คนที่ใช่' แต่เราไม่มีทางรู้ได้เลยว่าใช่หรือไม่ ถ้าหากไม่ลองค้นหาคำตอบด้วยตัวเอง ผมเองก็เคยกลัว... กลัวว่าผลลัพธ์จะไม่เป็นอย่างที่หวัง แม้กระทั่งตอนนี้ก็ยังคงกลัวอยู่

   "พี่ก็กลัวเหมือนกับนาย" ยิ่งคาดหวังก็ยิ่งกลัวผิดหวัง

   "แต่รู้ไหม... พี่ไม่เสียใจเลยกับสิ่งที่กำลังทำอยู่"

   ต่อให้เห็นโอกาสแค่เพียงริบหรี่ ผมก็อยากจะคว้าเอาไว้ จะเรียกว่าฉวยโอกาสก็ได้ แต่ผมรู้ดีว่าถ้าไม่อาศัยจังหวะนี้ทำอะไรสักอย่าง จะต้องกลายเป็นตัวเองที่ต้องเสียใจในภายหลัง

   เอิร์ธยังคงมีสีหน้าลังเลและไม่แน่ใจ ผมจึงไม่พูดอะไรไปมากกว่านั้น เพราะจะว่าไปแล้วสถานการณ์ของพวกเราสองคนก็อาจจะไม่เหมือนกัน จึงได้แต่กระชับมือบนบ่าเล็กเบาๆ อย่างให้กำลังใจ

   

   ตีเหล็ก ต้องตีตอนร้อน

   อุตส่าห์คั่นเวลาให้พักหายใจตั้งหลายชั่วโมง คราวนี้ก็ถึงเวลารุกของผมบ้าง โชคดีที่กระเป๋าสตางค์แบนๆ ของมันคงจะแห้งกรอบไปจนถึงสิ้นเดือน ผมเลยไม่ต้องกังวลว่ามันจะออกไปแรดจีบเด็กที่ไหน ปรกติแล้วพอไม่มีที่ไปมันก็มักจะไปสิงอยู่ที่ห้องของผม ซึ่งตอนนี้กลายเป็นสถานที่สุ่มเสี่ยง เพราะฉะนั้นก็คงเหลือแค่ไม่กี่ที่ที่มันจะหนีไปซุกหัวอยู่ได้

   "สวัสดีครับแม่" ผมยกมือไหว้หญิงวัยกลางคนรูปร่างท้วมเล็กน้อยที่เดินออกมาเปิดประตูรั้วให้

   "อ้าวตึก ไปยังไงมายังไงล่ะลูก มาหาแจ็คเหรอ" เธอยิ้มแย้มยกมือขึ้นรับไหว้ พลางเชื้อเชิญให้เข้าบ้านด้วยอัธยาศัยอันดี

   ผมเคยมาที่บ้านของแจ็คหลายครั้ง แม้พักหลังจะไม่ค่อยได้มาเพราะส่วนใหญ่มันมักจะเป็นฝ่ายไปสิงอยู่ที่หอของผมมากกว่า แต่อาจเป็นเพราะฉายาที่สอดคล้องกับรูปร่างสูงใหญ่ ทำให้จดจำได้ง่าย หรือไม่ก็อาจเป็นเพราะมันมีเพื่อนสนิทถึงขั้นพามาเที่ยวบ้านอยู่แค่ไม่กี่คน แม่ของแจ็คจึงจำผมได้

   "แม่กำลังทำกับข้าวพอดีเลย กินข้าวกินปลามาแล้วหรือยัง อยู่กินข้าวเย็นด้วยกันนะ แจ็คอยู่บนห้องน่ะ เห็นบ่นว่าต้องทำรายงานแต่ก็ยังนั่งเล่นเกมอยู่ได้ทั้งวัน เมื่อคืนก็ไม่รู้หายหัวไปไหนมา นี่กว่าจะกลับถึงบ้านก็ค่อนบ่าย ไม่รู้ว่าไปทำรายงานหรือเที่ยวเล่นเถลไถลที่ไหนกันแน่ ไอ้ลูกคนนี้ละเหลวไหลเป็นที่หนึ่ง แจ็คเอ๊ย~ มีเพื่อนมาหาน่ะลูก~ แจ็ค~! ไอ้ลูกแจ็คโว้ย~!"

   แม่ของแจ็คตะโกนเรียกจากด้านล่าง ปลายเสียงเพิ่มดีกรีความดังมากขึ้นเรื่อยๆ บทสนทนายิงยาวแบบไม่เว้นจังหวะให้ตอบ ไม่ต้องเดาก็รู้ว่าแจ็คได้เชื้อช่างเจรจามาจากใคร มันยังชอบนินทาอยู่เป็นประจำว่าอย่าทำให้ท่านแม่พิโรธ โดนด่าทีไรไฟแล่บหูชาไปสามวันสามคืน

   "ผมขอขึ้นไปหาแจ็คข้างบนนะครับ" ผมหาจังหวะเอ่ยขึ้นมาเมื่อยังไม่มีเสียงขานรับจากผู้ที่ถูกเรียก ทั้งๆ ที่เสียงตะโกนดังลั่นจนน่ากลัวว่าคนข้างบ้านจะช่วยขานแทน

   "ตามสบายเถอะจ้ะ ถ้าอย่างนั้นแม่ขอตัวไปทำกับข้าวต่อก่อนนะ อุ๊ยตาย ป่านนี้น้ำแกงไม่เดือดจนแห้งหมดแล้วเหรอเนี่ย!" ร่างท้วมอุทานพลางเดินหายไปทางหลังบ้าน ผมจึงถือโอกาสเดินขึ้นบันได ก้าวตรงไปยังห้องที่เคยมา

   ลองเคาะประตูเรียกตามมารยาท แต่กลับไม่มีสัญญาณตอบรับใดๆ มีเพียงเสียงจากโทรทัศน์หลุดรอดออกมาแผ่วเบา ผมลองบิดลูกหมุนดู พบว่าประตูไม่ได้ล็อก จึงตัดสินใจเปิดเข้าไปด้านใน

   ในที่สุดก็ได้เจอตัวคนที่หนีหายไปตั้งแต่เช้านอนหลับสนิทอยู่บนเตียง ปลายเท้ามีเครื่องเพลย์รุ่นเก่าและแผ่นเกมวางระเกะระกะ เพราะเครื่องรุ่นใหม่มันหอบเอาไปเล่นที่ห้องของผม โทรทัศน์ยังคงเปิดทิ้งไว้ เหมือนเผลอหลับไปทั้งอย่างนั้น อาจจะเพลียจัดเพราะเมื่อคืนก็ได้นอนไปแค่ไม่กี่ชั่วโมง มิน่าแม่เรียกถึงไม่ได้ไม่ขาน

   ผมเดินเข้าไปนั่งลงบนเตียง ทอดมองคนที่ยังนอนหลับไม่รู้เรื่องรู้ราว ร่างสมส่วนอยู่ในชุดเสื้อยืดย้วยๆ กับกางเกงบอลขาสั้น แบบที่ชอบใส่เป็นประจำเวลาอยู่บ้าน ต่างจากภาพลักษณ์หนุ่มหล่อใสสไตล์เกาหลีที่เอาไว้ใช้หลอกเด็กลิบลับ

   แต่ภาพตรงหน้ากลับทำให้ผมนึกถึงสุภาษิตที่ว่า 'ความรักทำให้คนตาบอด' เพราะตอนนี้ไม่ว่ามันจะอยู่ในสภาพไหน ผมก็ดันหน้ามืดตามัว มองว่าน่ารักเข้าไปได้

   น่าเสียดายที่เตียงนี้เป็นเตียงเดี่ยวขนาดมาตรฐาน ทำให้ผมนั่งได้เพียงครึ่งสะโพกก็เกือบจะทับแขนของคนที่นอนอยู่ก่อนแล้ว ถ้าอยากจะดันทุรังขึ้นไปนอนด้วย คงต้องใช้วิธีรวมร่างแบบแนบสนิทไม่เหลือช่องว่าง

   แต่จะว่าไป ก็เป็นไอเดียที่ดี

   ยังไม่ทันได้ทำอย่างที่คิด แค่เอื้อมปลายนิ้วออกไปเกลี่ยเส้นผมที่ตกลงมาปรกหน้าผาก คนที่นอนอยู่ก็พลิกตัวกลับมา ขยับปรือตาขึ้นมองมือของผม ย่นหัวคิ้วแบบยังงัวเงียและงงๆ แต่พอมองไล่ขึ้นมาเห็นว่าเป็นมือของใคร เท่านั้นแหละ คนขี้เซาก็ตาสว่างทันที

   "เฮ่ย!? มาได้ไง!?" ร่างที่นอนอยู่กระเด้งลุกขึ้นนั่ง ถอยหลังไปจนชนกำแพง

   "นั่งรถเมล์มาต่อมอเตอร์ไซค์" ผมจึงตอบด้วยน้ำเสียงที่นิ่งเรียบพอกับสีหน้า จงใจกวนตีนหน้าตายนั่นแหละ ก็ใครใช้ให้มันทำท่าอย่างนั้น เห็นหน้าผมแล้วทำหน้าอย่างกับเห็นผี ต่อให้ไม่ได้คาดหวังการต้อนรับ แต่เจอแบบนี้เข้าไปก็อดน้อยใจไม่ได้เหมือนกัน

   "มาทำไม แล้วมึงเข้ามาอยู่ในห้องกูได้ยังไง ใครอนุญาต แม่งไร้มารยาทว่ะ" ปากด่ากึ่งไล่ แต่ตัวตั้งท่าจะลุกหนี ผมจึงรั้งแขนของอีกฝ่ายให้ทรุดกลับมานั่งข้างกันอย่างเก่า

   "แม่มึงอนุญาตเอง แถมชวนกูกินข้าวเย็นด้วย" ผมตอบตามตรง แต่มันกลับหันขวับมาถลึงตาโต อ้าปากค้าง ยกนิ้วขึ้นชี้หน้า

   "อย่าบอกนะ ว่ามึง... มึงพูดอะไรกับแม่กูบ้าง!?"

   แล้วมันจะโวยวายทำไม ผมเลิกคิ้วอย่างไม่เข้าใจ

   กลัวว่าผมจะพูดอะไร? เพราะมันก็ไม่เคยปิดบังที่บ้านเรื่องที่เป็นเกย์ แถมยังเป็นท่านแม่ของมันเองด้วยซ้ำที่ต้องคอยจ้ำจี้จ้ำไชให้ลูกชายยืดอกพกถุง เพราะรู้ว่าคงไม่มีทางล่ามโซ่หมาแรดเอาไว้ได้ หรืออย่างสมัยที่มีแฟนเด็ก มีรักหวานชื่นปานจะกลืนกิน มันยังเคยโม้เลยว่าจะให้แม่ยกขันหมากไปสู่ขอลูกสะใภ้

   อ้อ... หรือกลัวแม่จะรู้ว่าคราวนี้ได้ 'ลูกเขย' แทน

   "เออ! ถ้ามึงไม่ได้พูดอะไรก็แล้วไป" มันอาจแปลความหมายจากสีหน้าของผมเป็นอย่างนั้นจึงกล่าวตัดบทพร้อมตั้งท่าจะลุกหนีไปอีกครั้ง ทำให้ผมต้องเหนื่อยออกแรงดึงแขนให้มันนั่งกลับลงมาอีกรอบ

   "เล่นเกมกันไหม" สายตาของผมเหลือบไปเห็นแผ่นเกมที่กองอยู่บนปลายเตียง หนึ่งในนั้นมีเกมต่อสู้แบบตัวต่อตัวที่เคยฮิตมากในอดีต ผมจึงหยิบขึ้นมาใช้เป็นหัวข้อเบี่ยงเบนความสนใจ ก่อนจะฉุกคิดอะไรบางอย่าง

   "มาประลองกันไหม" ผมเกริ่นหยั่งเชิง ก่อนตามด้วยประโยคยั่วยุ

   "ถ้ากูแพ้ กูสัญญาว่าจะเลิกตามตื้อ แต่ถ้ากูชนะ มึงต้องสัญญาว่าจะเลิกหนี"

   "ใครหนี!?" มันเถียงทันควันอย่างที่คิด

   "หรือมึงกลัวแพ้" ผมจึงจงใจราดน้ำมันซ้ำลงบนกองไฟ และก็ได้ผล เพราะคนที่มองตาขวางดึงแผ่นเกมจากมือของผมไปเสียบเข้าเครื่องเล่น ก่อนจะคว้าจอยสติ๊กขึ้นมาตั้งหน้าตั้งตาพร้อมรบ

   "มึงเตรียมตัวแพ้ได้เลย!" มันหันกลับมาแสยะยิ้ม ผมจึงหยิบจอยสติ๊กขึ้นมาด้วยใบหน้าเรียบเฉยตามปรกติธรรมดา

   ผมรู้ว่ามันเป็นนักเล่นเกมมือฉมัง

   แต่มันคงไม่รู้หรอกว่า... ผมเคยเป็นเซียนเกมนี้

   เริ่มต้นด้วยการเลือกตัวละคร เลือกฉาก ลงสนาม นับถอยหลัง สาม สอง หนึ่ง เปิดเกมฟาดฟันกันในทันที

   มันปล่อยหมัดทั้งต่อยและเตะเป็นชุด ผมกระโดดหลบก่อนหาจังหวะม้วนตัวตีลังกาเตะกลับหลัง โดนจังๆ จนมันกระเด็นถอยออกไปตั้งหลัก แต่ด้วยความใจร้อนจึงพุ่งกลับเข้ามาโดยเร็ว ผมเสียทีโดนปล่อยอาวุธใส่หลายครั้ง จนพลังชีวิตลดฮวบฮาบ แต่งานนี้จะแพ้ไม่ได้! ไม่มีการออมมือใดๆ ทั้งสิ้น ผมเล็งโอกาสพิฆาตคู่ต่อสู้ ตั้งรับรอจังหวะ เมื่อสบโอกาสก็ซัดท่าไม้ตายพ่วงคอมโบเข้าไปทั้งเซ็ต

   K.O.

   "เหี้ย!" เสียงสบถดังลั่นพร้อมเขวี้ยงจอยสติ๊กทิ้งลงบนเตียง

   ผมลอบถอนหายใจยาวอย่างโล่งอก ก่อนจะพยายามเก็บกลั้นรอยยิ้มเอาไว้อย่างสุดความสามารถ เพราะถ้าหันมาเห็น มันจะต้องแพ้แล้วพาลแน่ๆ

   "เออ ก็ได้! ลูกผู้ชายพูดแล้วไม่คืนคำ! กูจะไม่...ไม่ดิ คนอย่างกูไม่เคยหนีอยู่แล้ว!" เหรอ? งั้นไอ้ที่ผ่านมาคงไม่ใช่มึงแต่เป็นหมาสินะที่หนี

   ผมส่ายหน้าอย่างระอาอีกครั้ง แต่ตอนนี้กำลังอารมณ์ดีจนขี้เกียจจะฟื้นฝอยหาตะเข็บ ผมจึงเอนหลังนั่งพิงกำแพงอย่างสบายใจ

   ด้วยความที่เตียงมีขนาดไม่กว้างนัก ต้นแขนของผมจึงชนเข้ากับแขนของอีกคนที่นั่งอยู่ด้านข้าง มันทำท่าจะกระเถิบหนีโดยอัตโนมัติ แต่อาจติดที่ศักดิ์ศรีค้ำคอ เพิ่งพ่นออกไปหยกๆ จะกลืนน้ำลายทันทีก็เสียเชิงชาย เลยได้แต่บ่นพึมพำด่าแบบไร้เสียง แต่ก็ไม่ได้ขยับหนีไปไหน

   ผมจึงกระแซะใกล้เข้าไปอีกนิด และเมื่อมันไม่โต้ตอบจึงยิ่งได้ใจเบียดชิดเข้าไปอีกหน่อย จนต้นขาแทบจะเกยกลายเป็นการนั่งซ้อนตักกัน

   "มึงจะเบียดอะไรนักหนา!? ถ้าจะเบียดขนาดนี้มึงปล้ำกูเลยดีกว่า!"

   มันสบถออกมาอย่างหัวเสีย แต่คงไม่ทันคิดว่าความปากเสียของตัวเองจะกลายเป็นการ 'ชี้โพรงให้กระรอก'

   "ไอ้เหี้ย...! กูประชด! เข้าใจไหมว่ากูประชด!? ไอ้ถึก! อื้อ..."

   มันแหกปากลั่นเมื่อผมเอี้ยวตัวไปซุกจมูกลงบนบ่าพร้อมพลิกกลับขึ้นมาคร่อมทับ ก่อนจัดการปิดเสียงประท้วงด้วยการกลืนเข้าไปในลำคอ เสียงอู้อี้จึงร้องดังไม่หยุด เดาได้เลยว่าถ้าหลุดเป็นอิสระเมื่อไหร่ มันคงจะด่าเป็นชุด

   มันบอกว่าจะไม่หนี แต่ไม่ได้บอกว่าจะไม่ดิ้น ผมจึงต้องกันไว้ก่อนแก้ด้วยการแทรกตัวเข้าไปตรงกลางระหว่างต้นขา ดันเบียดเข่าเข้าไปชิด เพื่อให้พ้นรัศมีฝ่าเท้าที่อาจยกขึ้นมาถีบได้ กลายเป็นการสร้างกรงขังขนาดย่อม ข้างหลังเป็นกำแพง ข้างหน้าเป็นตัวผม พอหมดทางดิ้นก็คงเหลือวิธีต่อต้านอีกหนึ่งทางคือการ 'กัด'

   "มึงบอกเองนะว่าให้ 'ปล้ำ'"

   ผมถอยใบหน้าออกมาอย่างรู้ทัน คนที่ได้แต่กัดลมจึงจิ๊ปากอย่างขัดใจ และพอไม่มีอะไรปิดปาก เสียงอื้ออึ้งขึ้นจมูกจึงหลุดรอดออกมาอย่างชัดเจน

   ชุดที่มันใส่อยู่ก็ช่างเป็นใจ ทั้งเสื้อยืดหลวมๆ ที่แค่ดึงรั้งขึ้นไปก็ไม่เหลืออะไรปกปิดผิวกาย ทั้งกางเกงบอลขอบยางยืดเก่าๆ ที่สามารถสอดมือบุกรุกเข้าไปได้ง่ายๆ

   "อื้อ" เมื่อผมโน้มตัวกลับลงไปจูบอีกครั้ง คราวนี้มันจึงไม่ได้ต่อต้านหรือพยายามกัดอีก อาจเป็นเพราะตัวประกันที่อยู่ในมือของผม หรือไม่มันก็ไม่อยากได้ยินเสียงน่าอายของตัวเอง

   อุณหภูมิบนเตียงเริ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ ตามความร้อนที่ประทุขึ้นในร่างกาย เมื่อมันเริ่มให้ความร่วมมือ ผมเองก็เริ่มหยุดตัวเองไม่อยู่ เกือบจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตอนนี้พวกเราอยู่ที่ไหน ถ้าไม่มีเสียงหนึ่งตะโกนดังลั่น

   "แจ็คเอ๊ย~! เลิกเล่นเกมได้แล้วลูก! ลงมากินข้าวก่อน!"

   ทันทีที่ได้ยินเสียงนั้นราวกับทุกอย่างรอบตัวสะดุดกึก เหมือนใครเอาถังน้ำแข็งเย็นเฉียบมาสาดใส่ดังโครม ผมกับแจ็คได้แต่หยุดชะงักมองหน้ากัน

   โชคดีที่เสียงนั้นดังขึ้นมาจากด้านล่าง ตามด้วยเสียงบีบแตรรถยนต์ พ่อของแจ็คคงจะกลับมาถึงบ้านพอดี แม่เลยออกไปเปิดประตูรั้วให้ ยังดีที่ไม่ได้เดินขึ้นมาเรียกถึงหน้าห้อง

   "แม่งเอ๊ย หัวใจจะวาย เพราะมึงเลย! หื่นไม่เลือกที่!" พอตั้งสติได้มันก็เริ่มด่า ดูเหมือนว่าอารมณ์ก่อนหน้านี้จะหดหายไปหมดเกลี้ยง

   ผมไม่อยากเถียงจึงค่อยๆ ยันกายลุกขึ้น พลางมองคนที่ก้มหน้าก้มตาจัดการแต่งตัวให้เข้าที่ ถึงแม้ว่าเสื้อผ้าจะยับยู่ ทรงผมจะยุ่งเหยิง แต่ดูเผินๆ ก็เหมือนกับคนเพิ่งตื่นนอน

   ก่อนจะผละออกมาผมจึงแตะจูบแผ่วเบาลงบนปากของมันอีกครั้ง

   "งั้นคืนนี้ไปนอนห้องกูนะ"

   "...เหอะ! ไปให้โง่ดิ"

   "ไหนว่าจะไม่หนี"

   "...ไม่ได้หนีเว่ย! ก็... กูมีบ้านก็ต้องอยู่บ้านดิ... เออ แม่เรียกไปกินข้าวแล้ว ไปกันได้แล้ว เดี๋ยวคุณนายจะพิโรธ"

   มันก็ยังดิ้นแถไปได้เรื่อยๆ จนผมแอบถอนหายใจ แต่เอาเถอะ ถือซะว่าก้าวหน้าไปอีกหนึ่งขั้น ถ้ามันยังไม่ยอมหลงกล ผมก็จะหาวิธีมาหลอกล่อต่อไป เอาให้มันตกหลุมแบบปีนไม่ขึ้นเข้าสักวัน


   
-----
 :katai4:

หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 14 (17/3/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 17-03-2018 07:51:18
แจ็คนี่ดื้อจริงๆ
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 14 (17/3/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: NOPKAN ที่ 17-03-2018 19:27:16
มาตามอ่าน~~~~
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 14 (17/3/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 17-03-2018 22:13:10
 :pig4:
หัวข้อ: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 15 ตายแล้วเกิดใหม่
เริ่มหัวข้อโดย: @moment ที่ 18-03-2018 13:15:15
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/ (https://www.facebook.com/at.moment.writer/)
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer/ (https://twitter.com/atmoment_writer/)
   

   ตอนที่ 15 ตายแล้วเกิดใหม่

   

   แผนรุกแบบหน้าด้านๆ ดูท่าจะใช้ไม่ได้ผลกับคนที่เป็นต้นฉบับของความหน้าด้าน

   "ไอ้ถึก! กูหิวแล้ว ไปหาไรกินกัน" เมื่อหันกลับไปหาต้นเสียง ผมก็ได้พบกับรอยยิ้มหวานปานน้ำตาลที่ลอยหน้าลอยตานำมาแต่ไกล

   "อีนี่มาทีไรก็ทักแต่เพื่อน ไม่เคยเห็นหัวพี่มันสักที นี่ถ้าตึกไม่ได้มีแฟนเป็นตัวเป็นตนไปแล้วฉันคงกลัวมันจะหน้ามืดตามัวคว้าของแสลงมากินเข้าสักวัน" พี่มินนี่ขานรับแทนเป็นชุด จนคนฟังอย่างผมไม่รู้จะสะอึกคำไหนก่อนดี

   เพราะ 'แฟน' ที่ว่าก็คือคนที่ยังคงปั้นหน้าฉีกยิ้มค้าง

   คือ 'ของแสลง' ที่ผมกินไปแล้วและดันอยากกินอีกหลายๆ รอบด้วย

   "โธ่ ถ้าเจ๊สุดสวยจะใจดีเลี้ยงอาหารกลางวันเด็กน้อยน่ารักผู้ยากไร้คนนี้ผมก็จะมาทักเจ๊ทุกมื้อไม่ให้ขาดเลยอ่ะ" มันเนียนหลบตาผมด้วยการหันไปฉีกยิ้มประจบพี่รหัสแทน

   "ไอ้เห็นแก่กิน!" พี่มินนี่ด่าตรงๆ แต่คิดหรือว่าคนที่หน้าหนายิ่งกว่าฝาบ้านจะสะทกสะท้าน

   "เห็นแก่กินแบบหวังกินข้าวก็ยังดีกว่าพวกที่เลี้ยงข้าวแบบหวังกินตับป่ะเจ๊" เห่าทีเล่นเอาสะอึกกันเป็นแถบ ทั้งเพื่อนภาคร่วมโต๊ะที่แอบเลี้ยงกิ๊กตอนแฟนเผลอ ทั้งพี่มินนี่ที่ชอบทุ่มทุนเลี้ยงหนุ่มๆ หุ่นแซ่บ ทั้งผมที่คาดว่ามันจงใจด่ากระทบเต็มๆ

   "ไหนมึงบอกว่าหิวไง จะไปกันได้หรือยัง" ผมขี้เกียจต่อความยาวจึงกล่าวตัดบทพร้อมหยิบกระเป๋าเป้ขึ้นพาดบ่า ก่อนที่บทสนทนาจะกลายเป็นการเปิดศึกกลางโต๊ะ และน่าจะมีคนรอรุมยำมันอยู่เยอะซะด้วย

   ถ้าจะมีอยู่เรื่องเดียวที่ผมอยากเถียง ก็คงเป็นเรื่องที่มันได้กินฟรี แต่ผมยังไม่ได้กิน...

   พอติดสัญญาว่าจะไม่หนี ไอ้แจ็คก็เปลี่ยนมาใช้วิธี 'มึงด้านได้กูด้านกว่า' แถมยังหาทางดิ้นไปได้เรื่อยๆ แบบหน้าด้านๆ

   ตอนกลางวันก็ลอยหน้าลอยตามาชวนผมไปกินข้าว หรือพูดตรงๆ ก็คือลากไปให้ไปจ่ายตังค์ค่าข้าวนั่นแหละ แต่พอตกเย็นก็เสแสร้งแกล้งทำตัวเป็นลูกที่ดี กลับบ้านไปกินข้าวกับพ่อแม่ หลบอยู่หลังกันชน จนผมชักอยากจะประกาศขอฝากเนื้อฝากตัวเป็นลูกเขยซะให้รู้แล้วรู้รอด

   "เย็นนี้ไปกินซูชิกันไหม" ขืนชวนไปห้องของผมตรงๆ มันคงไม่มีทางยอม ผมจึงลองชวนอ้อมๆ เผื่อว่าอีกฝ่ายจะเผลอเห็นแก่กินมากกว่าห่วงสวัสดิภาพของตัวเอง หยิบยกเมนูที่เคยบอกว่าจะเลี้ยงแต่ยังไม่เคยได้ไป เพราะมื้อกลางวันส่วนใหญ่ก็มักจะเป็นข้าวในโรงอาหาร หรือไม่ก็ร้านใกล้มหาลัยที่ราคาไม่แพงมากนัก มันเลยชอบพูดว่า 'ไว้สิ้นเดือนเดี๋ยวกูเลี้ยงคืน ก๋วยจั๊บเจ้าเก่านะ' ดูท่าจะยังแค้นเรื่องก๋วยจั๊บอยู่ไม่หาย

   "เย็นนี้กูมีนัดแล้ว" ทว่าคำตอบที่ได้รับกลับกลายเป็นคนละเรื่อง ผมจึงย่นคิ้วเข้าหากัน ในขณะที่คนพูดยังตักข้าวเข้าปากเคี้ยวตุ้ยๆ

   "มิ้งค์ชวนไปงานวันเกิด บอกว่าจะเลี้ยง" มันอธิบายต่อพลางคว้าแก้วโอเลี้ยงมาดูดดับกระหาย คำว่า 'เลี้ยง' คงเป็นสาระสำคัญที่สุดของคนพูด แต่ตอนนี้ผมกลับพยายามทบทวนชื่อนั้นจากความทรงจำ

   มิ้งค์ เป็นเพื่อนรุ่นเดียวกับพวกเรา แต่เรียนอยู่คนละภาค จึงไม่ได้สนิทสนมกันมากนัก แต่ผมกลับจำหน้าตาน่ารักและรูปร่างเพรียวบางของมิ้งค์ได้ เพราะเป็นแบบที่ตรงสเปคของแจ็คทุกอย่าง ยังจำได้อีกว่าตอนปีหนึ่งมันเคยพยายามจีบมิ้งค์ด้วยซ้ำ แต่แล้วก็ต้องม้วนเสื่อกลับมาด้วยเหตุผลที่ว่า

   'หน้าตาก็ดี แม่งไม่น่าปากหมาเลยให้ตาย'

   มันน่าจะลองส่องกระจกก่อนพูดประโยคนั้น

   "มึงไปสนิทกับมิ้งค์ตั้งแต่เมื่อไหร่" ผมถามกลับ เพราะชื่อนี้ไม่ได้ปรากฏในสารบบของพวกเรามานานแล้ว

   "เจอกันในวิชาเลือกเมื่อวาน" มันตอบแบบไม่ใส่ใจมากนัก

   "ถ้างั้นกูไปด้วย" ในเมื่อเพื่อนที่ไม่สนิทกันมากนักอย่างแจ็คยังชวนได้ เพื่อนที่สนิทพอๆ กันอย่างผมก็น่าจะไปด้วยได้ เหตุผลอีกอย่างคือผมชักจะได้กลิ่นไม่ชอบมาพากลจากงานนี้ ไม่ว่าจะมีอะไรแอบแฝงหรือไม่ อย่างน้อยผมก็อยากไปดูให้เห็นกับตาว่ามันไปเพราะหวังกินข้าว ไม่ได้หวังกินอะไรๆ แบบที่เพิ่งจะด่าคนอื่น

   "เฮ่ย ได้ไง งานแบบนี้ต้องให้เจ้าภาพชวนดิ ไม่ใช่นึกอยากไปก็ไป สะกดเป็นหรือเปล่าคำว่ามารยาทน่ะ" พูดอย่างกับมันมีเยอะมากงั้นแหละ 'มารยาท' ถ้าตัดท.ทหารตัวสุดท้ายออกก็ว่าไปอย่าง

   "เดี๋ยวกูลองโทรถามมิ้งค์เอง" ผมตอบเรียบๆ ถึงแม้จะไม่มีเบอร์โทรศัพท์ของอีกฝ่าย แต่ลองถามจากเพื่อนรุ่นเดียวกันก็ไม่น่าจะยาก

   "มึงเอาจริงดิ" มันเลิกคิ้วมองหน้าผมแบบอึ้งๆ

   "ถ้ามึงไม่ได้คิดจะนอกใจ ก็ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัว" ผมตอบหน้าตาย แต่คนฟังทำท่าจะสำลักข้าวและโอเลี้ยงที่เพิ่งดูดเข้าไป ไอคอกแคกออกมาหลายครั้งจนต้องหยิบน้ำขึ้นมาดื่มตาม ก็รอดูไปว่างานนี้ใครจะด้านได้มากกว่ากัน

   แต่อันที่จริง ผมควรจะต้องใช้คำว่า 'นอกกาย' มากกว่า 'นอกใจ'

   เพราะคำว่า 'นอกใจ' มีไว้ใช้กับคนที่ 'มีใจ'

   ในขณะที่ผมยังไม่เคยได้หัวใจของมัน มาเป็นของผมจริงๆ เลยสักที

   

   ลางสังหรณ์ของผมเริ่มมีมูลมากขึ้นทุกขณะ ระหว่างลองถามเบอร์โทรของมิ้งค์จากเพื่อนร่วมรุ่น แม้จะได้มาโดยไม่ยากนัก ทว่ากลับไม่มีใครเคยได้ยินเรื่องงานเลี้ยงที่ว่านี่เลยสักคน หนำซ้ำยังมีบางคนถามกลับว่า 'มิ้งค์ไม่ได้เกิดเดือนพฤษภาหรอกเหรอ' ซึ่งนี่ก็เลยมาหลายเดือนแล้ว

   พอผมลองโทรไป มิ้งค์ก็รับสายอย่างงงๆ แต่พอลองเท้าความถึงแจ็คก็ดูเหมือนอีกฝ่ายจะเริ่มผูกเรื่องติด บอกว่าผมจะมาด้วยกันก็ได้ สรุปแล้วเย็นวันนั้นผมกับแจ็คจึงเดินทางไปยังร้านอาหารกึ่งผับแห่งหนึ่ง โดยแจ็คขับรถไปเอง คงเพราะทำตัวดีมาหลายวันท่านแม่จึงยอมคืนรถให้ใช้

   แต่พอมาถึงร้าน ลางสังหรณ์ที่เคยหวั่นใจก็ชักจะเริ่มกลายเป็นความจริง

   เมื่อบอกชื่อที่ใช้จอง พนักงานจึงพาพวกเราเดินไปยังมุมหนึ่งของร้าน ทว่าที่นั่นกลับไม่มีเพื่อนคนอื่นๆ อยู่เลยสักคน มีเพียงโต๊ะทรงกลมตัวหนึ่งโอบล้อมด้วยโซฟายาวรูปครึ่งวงกลม มีมิ้งค์นั่งอยู่ตรงกลางและผู้ชายอีกคนนั่งอยู่ด้านข้าง

   "นี่แจ็คกับตึก เป็นเพื่อนที่คณะของผมเอง ส่วนนี่พี่เอก เจ้ามืองานนี้" มิ้งค์แนะนำให้พวกเรารู้จักกับผู้ชายคนนั้น ก่อนจะเอื้อมดึงมือของแจ็คให้นั่งลงข้างๆ ผมจึงจำต้องนั่งถัดออกมาอีกทอดหนึ่ง

   ผู้ชายคนนั้นยิ้มให้พวกเราด้วยท่าทางสุภาพ ใบหน้าตี๋ๆ ตาตี่ๆ ยิ้มแล้วเป็นสระอิ ไม่มีความโดดเด่น แม้จะเป็นคนผิวขาวและคาดว่าคงสูงไม่น้อยไปกว่าแจ็ค สวมเสื้อเชิ้ตแขนยาวสีขาวกับกางเกงสแล็คสีดำ มองเผินๆ ดูเหมือนนักศึกษา แต่เมื่อลองมองดีๆ ก็คิดว่าน่าจะเป็นพนักงานบริษัทมากกว่า

   แต่สิ่งที่ผมฟังแล้วสะดุด กลับเป็นคำว่า 'เจ้ามือ'

   ไม่มีคำอธิบายมากกว่านั้น ไม่ระบุความสัมพันธ์ ไม่ว่าจะเป็นรุ่นพี่ ญาติ คนรู้จัก คนรัก...? หรือว่าอยู่ในฐานะไหน

   "สุขสันต์วันเกิดนะมิ้งค์ ขอโทษทีที่กูรู้กะทันหันไปหน่อยเลยไม่ทันได้เตรียมของขวัญเลย" แจ็คเป็นฝ่ายเริ่มชวนคุยตามประสาคนช่างพูด

   "ไม่ใช่วันเกิดกูหรอก วันเกิดพี่เอกน่ะ" มิ้งค์ตอบง่ายๆ

   "อ้าว" แจ็คอุทาน ไม่ต่างกับเสียงในความคิดของผม

   เอาแล้วไงล่ะ ว่าแล้วว่ามันต้องมีอะไรบางอย่างแปลกๆ แล้วแบบนี้มิ้งค์จะชวนคนนอกอย่างแจ็คหรือผมมาทำไม

   "ปีนี้พี่เอกก็สามสิบแล้วเนอะ" มิ้งค์พูดลอยๆ พาดพิงถึงคนข้างๆ

   "หา!? แก่มาก! เอ้อ มากกว่าที่คิด คือผมว่าพี่เอกหน้าเด็กมากเลย เนอะ มึงว่าไหม" คนปากไวหลุดเห่าตามนิสัย ก่อนจะรีบยั้งตัวเองเอาไว้ คงเพราะยังมีความเกรงใจให้กับเจ้ามืออยู่บ้าง หรือพูดตรงๆ ก็คงกลัว 'อดแดก' ท้ายประโยคจึงหันมาพยักพเยิดกับผมเพื่อหาแนวร่วม

   "ขอบคุณครับ ถ้าน้องๆ อยากทานอะไรก็สั่งกันได้เลยนะ ไม่ต้องเกรงใจ" คนมองโลกในแง่ดียังคงยิ้มให้อย่างจริงใจ ไม่มีแววประชดประชันหรือไม่พอใจเลยสักนิด

   ไม่นานนักพนักงานเสิร์ฟจึงเดินมารอรับรายการอาหาร ผมขอถอนคำพูดที่ว่าไอ้แจ็คยังมี 'ความเกรงใจ' เพราะมันเล่นสั่งอย่างกับตายอดตายอยาก ทั้งเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ และกับข้าวอีกหลายอย่าง มิ้งค์เองก็เป็นไปกับเขาด้วย สั่งอาหารมาเต็มโต๊ะ อย่างกับจงใจจะถล่มเจ้ามือ

   ซ้ำร้าย ถ้าผมไม่ได้คิดไปเอง สองคนที่นั่งอยู่ตรงกลางไม่จำเป็นต้องเบียดชิดกันขนาดนั้น ตอนก้มหน้าอ่านเมนูหน้าผากก็แทบจะชนกันอยู่แล้ว หรือแม้แต่ตอนกินข้าวก็ผลัดกันตักให้จนแทบจะกลายเป็นการป้อน

   มิ้งค์เป็นฝ่ายเริ่ม แต่ไอ้แจ็คก็ไม่มีทีท่าจะปฏิเสธ

   ผมมองภาพตรงหน้าด้วยอารมณ์ที่เริ่มขุ่นมัว ส่วนเจ้าภาพวันเกิดยังคงนั่งยิ้มและหัวเราะไปกับบทสนทนาของคนสองคนที่ได้รับฉายาว่า 'ปากหมาทั้งคู่' พูดคุยกันอย่างออกรสชาติ อย่างกับสวนสัตว์เปิด หยอกกัดกันเป็นระยะ พอให้ได้เลือดซิบๆ

   "ว่าแต่พี่เอกทำงานเกี่ยวกับอะไรเหรอครับ" แจ็คหันไปชวนเจ้าภาพคุยบ้าง อย่างน้อยก็ยังพอจะมีมารยา...ท อยู่บ้าง

   "พี่เป็นโปรแกรมเมอร์ครับ ทำงานอยู่ที่..." พี่เอกเอ่ยชื่อบริษัทซอฟแวร์ชื่อดังแห่งหนึ่งซึ่งคงมีน้อยคนในโลกโซเชียลที่จะไม่รู้จัก

   "โห มิน่าล่ะ หน้าตาพี่ดูฉลาดมากเลย" แจ็คอุทานอย่างโอเว่อร์ หาความจริงใจไม่เจอ ถ้ามองโลกในแง่ร้ายคงเข้าใจว่ามันแดกดัน เพราะว่าหน้าตาของพี่เอก... ออกจะเรียบๆ เชยๆ พอๆ กับบุคลิกที่เรียบง่ายเหมือนคนไม่ค่อยคิดมาก

   "หน้าที่การงานก็ดี อายุก็ปูนนี้ น่าจะแต่งงานมีหลานให้ป๊าม๊าชื่นใจได้แล้ว" มิ้งค์กล่าวขึ้นมา ประโยคที่ฟังดูแสนจะธรรมดาสำหรับคนทั่วไป แต่กลับทำให้ใบหน้าของคนที่เคยยิ้มอยู่ตลอดเวลาเจื่อนลง

   "สามสิบสมัยนี้ยังไม่ถือว่าแก่หรอก~ ยังสนุกกับความโสดได้อีกหลายปี" แจ็คยังคงเลียแข้งเลียขาประจบสอพลอ แม้จะหลุดตอกย้ำคำว่า 'แก่' ออกมาอีกรอบ

   "ก็จริง คนโสดอย่างพวกเราต้องใช้ชีวิตให้เต็มที่ สนุกให้สุดเหวี่ยง เอ้า มาดื่มฉลองความโสดกันดีกว่า" มิ้งค์เอ่ยชวนคนคอเดียวกันให้ชนแก้ว ไอ้แจ็คที่อยากอยู่แล้วก็เลยไม่ขัดศรัทธา

   พอมีเหล้าเข้าไปหล่อเลี้ยงคนปากมากก็ยิ่งพูดมาก ชวนคุยหัวร่อต่อกระซิกกันอยู่สองคน กระซิบข้างหูเหมือนแอบนินทาใคร ก่อนจะหัวเราะร่วนเอนศีรษะลงมาซบบนบ่า ภาพตรงหน้าทำให้ผมต้องนั่งท่องนับเลขหนึ่งถึงร้อยอยู่ในใจ รู้สึกเหมือนตัวเองเป็นหัวหลักหัวตอ พี่เอกเองก็คงจะรู้สึกไม่ต่างกัน ยิ่งเวลาผ่านไปรอยยิ้มบนใบหน้าจึงยิ่งเจือจาง

   "พี่ขอตัวไปเข้าห้องน้ำก่อนนะ" พี่เอกเอ่ยขึ้นมา มิ้งค์แค่หันไปพยักหน้าให้อย่างไม่ใส่ใจนัก ก่อนจะหันกลับมาคุยกับแจ็คต่อ ชายหนุ่มหน้าตี๋จึงเดินคอตกออกไป

   ทว่าหลังจากพี่เอกเดินจากไปแค่ไม่กี่นาที บทสนทนาอย่างออกรสชาติเมื่อครู่กลับค่อยๆ เงียบลงราวกับถูกปิดสวิตช์ มิ้งค์เอนหลังพิงโซฟาด้วยท่าทางเหนื่อยหน่าย

   "ถ้ามึงจะชวนกูมาเป็นไม้กันหมาก็ช่วยเตี๊ยมกันก่อนได้ไหม อ่อยมากเข้าเดี๋ยวกูก็เอาจริงหรอก" แจ็คเป็นฝ่ายพูดโพล่งขึ้นมา ถึงจะทำตัวปากหมาไร้สาระไปวันๆ แต่มันก็ไม่ใช่คนโง่ขนาดนั้น เหตุการณ์แปลกประหลาดตั้งแต่เริ่มต้น ตั้งแต่ตอนที่มิ้งค์คิดจะชวนแจ็คแล้ว และมาชัดเจนแจ่มแจ้งเอาก็นาทีนี้

   "ถ้ากูกับมึงจะเอากันจริงคงเสร็จไปตั้งแต่ตอนปีหนึ่งไม่ต้องรอให้ถึงป่านนี้หรอก ชวนมากินฟรีก็กินไปเหอะน่า อย่าพูดมาก" มิ้งค์ตอบกลับด้วยวาจาเผ็ดร้อน แต่คนนิสัยเหมือนกันมีเหรอจะยอมเงียบง่ายๆ

   "กลายเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดไปแล้วกูก็ต้องมีสิทธิรู้เปล่าวะ เรื่องเป็นยังไงมายังไงเล่ามาซะดีๆ ถ้ามึงไม่เล่า... กูจูบ!"

   เฮ่ย!? ผมคว้าคอเสื้อไอ้แจ็คเอาไว้แทบไม่ทัน แต่คนตัวเล็กกว่าก็ยันหน้าผากมันกลับมาทันที

   "...กูแค่อยากให้เขาเลิกยุ่งกับกูซะที" มิ้งค์ยอมตอบสั้นๆ แต่คนฟังดูเหมือนจะยังไม่พอใจกับคำตอบนั้น ทำท่าจะยื่นหน้าเข้าไปหาอีกรอบ จนผมต้องรีบกระตุกคอเสื้อมันเอาไว้

   "ก็แค่หลวมตัวมีอะไรด้วยครั้งเดียว! ไม่รู้จะจริงจังอะไรหนักหนา พูดมาได้ว่าจะรับผิดชอบ กูเป็นผู้ชายนะเว่ย!? ไม่ใช่สาวน้อยไร้เดียงสา ตามตื้ออยู่ได้น่ารำคาญ ด่าแล้วก็ยังยิ้มอยู่ได้ ไล่เท่าไหร่ก็ไม่ไป ปฏิเสธกี่ครั้งก็ยังจะดื้อด้าน พูดไม่เข้าใจเหรอไงว่าไม่ชอบ! คนที่ไม่ใช่ทำยังไงมันก็ไม่ใช่ ต่อให้"

   "ต่อให้ตายแล้วเกิดใหม่ ก็ไม่มีทางใช่"

   ประโยคสุดท้ายแจ็คเป็นคนพูดเสริมต่อจนจบ มิ้งค์พ่นลมหายใจออกมาแรงๆ แต่ไม่ได้ปฏิเสธว่านั่นคือสิ่งที่กำลังจะพูด เพียงแค่ยักไหล่และทิ้งแผ่นหลังลงบนพนักพิงอีกครั้ง

   จนกระทั่งสายตาของผมมองเลยโซฟาไปหยุดชะงักที่ร่างของใครบางคนที่เดินกลับเข้ามา ทำให้แจ็คเงยหน้าขึ้นมองบ้าง ตามด้วยมิ้งค์ที่หันหลังกลับไปมองเป็นคนสุดท้าย

   "พี่... ต้องกลับเข้าบริษัท... พอดีคนที่ทำงานโทรมาตาม บอกว่าเซิร์ฟเวอร์มีปัญหา... ยังไงพี่ฝากเงินเอาไว้ที่มิ้งค์ก็แล้วกันนะ... เท่านี้น่าจะพอ... ขอโทษด้วย..."

   ปลายเสียงแผ่วเบาจนขาดหาย ใบหน้าขาวซีดก้มมองมือของตัวเองที่หยิบแบงก์พันหลายใบออกจากกระเป๋า ไม่ได้ยื่นให้ เพราะมิ้งค์เองก็ไม่ได้ยื่นมือออกไปรับ เศษกระดาษที่ไม่มีใครสนใจจึงถูกวางลงบนโต๊ะ ก่อนที่ร่างสูงจะก้มหน้าหันหลังเดินออกไป

   โซฟายาวรูปครึ่งวงกลมที่เหลือคนนั่งอยู่เพียงสามคนจึงตกอยู่ในความเงียบ

   "มึงแม่ง... โคตรใจร้าย"

   แจ็คด่าขึ้นมา ไม่ได้ดูตัวเองเลยว่าเมื่อกี้ใครเป็นคนพูดอะไรออกมาบ้าง หมาตัวไหนเห่ารับเป็นลูกคู่ยิ่งกว่าคอรัสประสานเสียง

   "เจ็บทีเดียวแล้วจบ ยังดีกว่ายื้อต่อไปก็มีแต่จะยิ่งเจ็บ" มิ้งค์ไม่ได้ด่าตอบ แต่กลับพูดด้วยน้ำเสียงเรียบๆ เช่นเดียวกับสีหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ

   "สั่งมาตั้งเยอะก็ช่วยกันแดกให้หมดด้วย สงสารคนไม่มีอันจะกินบ้าง" ร่างเล็กกล่าวตัดบทเปลี่ยนเรื่อง แม้ว่าบรรยากาศหลังจากนั้นจะอึมครึมจนแทบไม่มีใครแตะต้องอาหารที่เหลือ แม้แต่คนพูดเองก็เน้นหนักไปทางเครื่องดื่ม ยกแก้วในมือขึ้นจรดริมฝีปากอีกครั้ง

   ระหว่างนั้นเองที่ผมเห็นมิ้งค์พึมพำอะไรบางอย่าง แทบไม่ออกเสียง ราวกับไม่ได้ต้องการให้ใครได้ยิน โดยเฉพาะคนที่ไม่ได้อยู่ฟัง

   อ่านปากได้ว่า 'สุขสันต์วันเกิด'

   ก่อนที่คำนั้นจะถูกกลืนหายไปพร้อมกับน้ำสีอำพัน ทำให้ผมนึกถึงคำพูดที่ใครบางคนเคยบอกว่า เหล้าช่วยลบความรู้สึก แม้จะช่วยได้เพียงชั่วคราวก็ตาม

   
----------
   
   ยื่นมีดให้แล้วเผ่น  o18

หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 15 (18/3/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: Himbeere20 ที่ 18-03-2018 13:54:57
เป็นตอนที่อ่านแล้วรู้สึกว่า ความรักไม่ใช่เรื่องง่ายเลย
หัวข้อ: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 16 หมามีเจ้าของ
เริ่มหัวข้อโดย: @moment ที่ 20-03-2018 00:39:42
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/ (https://www.facebook.com/at.moment.writer/)
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer/ (https://twitter.com/atmoment_writer/)
   

   ตอนที่ 16 หมามีเจ้าของ

   

   หลังจากขับรถพามิ้งค์ไปส่งที่บ้าน กว่าจะกลับมาถึงหอของผมก็เป็นเวลาห้าทุ่มกว่า รอบบริเวณจึงค่อนข้างเงียบสงัด มีเพียงนักศึกษาขี่มอเตอร์ไซด์ผ่านประปราย ต่างจากหน้าปากซอยที่ยังมีรถเข็นขายบะหมี่โต้รุ่งอยู่

   "มึงจะขึ้นไปข้างบนไหม"

   ถ้าเป็นเมื่อก่อนผมคงไม่ต้องเอ่ยถามประโยคนี้ เพราะมันมักจะเดินขึ้นไปแลนดิ้งบนที่นอนโดยไม่รอถามความเห็นชอบจากเจ้าของห้องด้วยซ้ำ ด้วยเหตุผลที่ว่าขี้เกียจกลับไปฟังแม่บ่น แถมอยู่ติดมหาลัยก็ตื่นสายได้อีกหลายสิบนาที

   "กูกลับบ้านดีกว่า ดึกแล้วเดี๋ยวแม่เป็นห่วง"

   ถ้าเป็นปรกติผมคงจะส่ายหน้าให้กับความตอแหล แถแบบหน้าด้านๆ หาข้ออ้างไปได้เรื่อยๆ ตามคอนเซ็ปลูกหนี้ ไม่มี ไม่หนี ไม่จ่าย

   แต่วันนี้ผมอาจจะเหนื่อยเกินไป...

   "มึงว่ามิ้งค์ใจร้าย แต่กูว่ามิ้งค์พูดถูก ยื้อต่อไปก็มีแต่จะยิ่งเจ็บ"

   คนที่ไม่ใช่ ต่อให้พยายามให้ตายก็ไม่มีทางใช่

   "ถ้าคำตอบของมึงคือ 'ไม่' ก็พูดออกมาตรงๆ เลยดีกว่า กูจะได้เลิกหวัง"

   มันเอาแต่หนี บ่ายเบี่ยง แต่ก็ไม่เคยปฏิเสธตรงๆ ออกมาเลยสักครั้ง ไม่ว่าจะเป็นตอนที่พวกเรามีอะไรกัน หรือแม้กระทั่งตอนที่ผมบอกรัก

   แจ็คหันกลับมามองผมเหมือนตั้งตัวไม่ทัน อ้าปากจะพูด แต่แล้วก็เงียบไป สุดท้ายก็เลือกพูดจาเฉไฉ

   "มึงโกรธเหรอ... ปรกติมึงไม่ใช่คนคิดเล็กคิดน้อยนี่หว่า"

   ผมเบื่อและหมดอารมณ์จะพูดอะไรต่ออีก จึงตัดสินใจก้าวลงจากรถ หันหลังเดินเข้าไปในหอ ผมไม่ได้โกรธ ไม่ได้โมโห ไม่ว่าจะเป็นสิ่งที่มันพูดหรือทำ เพราะผมรู้จักนิสัยของแจ็คดี มันก็แค่ชอบพูดไม่คิด ปากหมาพาลหาเรื่องไปทั่ว แต่ลึกๆ แล้วไม่ได้มีเจตนาร้าย

   แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ไม่ใช่ก้อนอิฐก้อนหิน ถึงจะได้ไม่รู้สึกรู้สาอะไร

   ผมก็เป็นแค่มนุษย์ธรรมดา... ที่รู้จักเจ็บเป็น

   ผมเดินกลับขึ้นห้องมานั่งสงบสติอารมณ์อยู่นาน จนคิดว่าแจ็คคงจะขับรถกลับบ้านไปแล้ว ความอึดอัดค้างคาทำให้ผมถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ ก่อนยันตัวลุกขึ้นไปคว้าผ้าเช็ดตัว ตั้งใจจะอาบน้ำเพื่อดับความเครียด แต่จังหวะนั้นเองเสียงเคาะประตูห้องก็ดังขึ้น

   เมื่อเปิดประตูออกไป ผมก็ได้พบกับ 'หมายืนทำหน้าจ๋อย'

   "ถ้าเราไม่เป็นแฟนกัน เราจะกลับไปเป็นเพื่อนกันเหมือนเดิมได้ไหม..."

   ประโยคนั้นทำให้ผมปิดประตูกลับลงไป

   "ไอ้ถึก~! มึงอย่าทำแบบนี้ดิ มึงจะเลิกคบกูจริงๆ เหรอ!?"

   คนโวยวายยังอุตส่าห์ดันทุรังแทรกแขนเข้ามาได้ทัน แถมยังยักแย่ยักยันเบียดตัวเข้ามาเกือบครึ่งบ่า ยื่นหน้าเข้ามาอีกครึ่งแก้ม

   "หยุดอยู่ตรงนั้นเลย ถ้ามึงเหยียบเข้ามาในห้องนี้ก็อย่าหาว่ากูไม่เตือน"

   ผมกล่าวเสียงห้วน ทำให้คนดิ้นรนหยุดชะงักฉับพลัน ไม่ต้องอธิบายให้มากความมันก็คงรู้ว่าผมหมายความว่ายังไง สาเหตุที่มันหาข้ออ้างข้างๆ คูๆ ไม่ยอมมาเหยียบที่นี่อีก

   ผมจึงปล่อยมือจากลูกบิด ปล่อยให้ประตูเป็นอิสระ ถ้าหากมันจะก้าวเข้ามาสามารถก็ทำได้ง่ายๆ หรือถ้าจะหันหลังกลับไป... ก็สามารถทำได้ง่ายๆ เช่นกัน

   แจ็คยังคงยืนคาอยู่ครึ่งๆ กลางๆ ทำหน้าอย่างกับตุ๊กแกถูกประตูหนีบ นัยน์ตาฉายแววสับสนลังเล แต่ผมขี้เกียจจะรอฟังคำพูดแสลงหูหาเรื่องออกทะเลของมันอีก ผมจึงตวัดผ้าเช็ดตัวขึ้นพาดบ่า พร้อมหันหลังเดินไปทางห้องน้ำ

   จังหวะนั้นเองที่ปลายผ้าถูกกระตุกอย่างแรง

   "มึงอย่าทำแบบนี้ดิ!" คนเรียกรั้งผวาถลาพรวดพราดเข้ามาราวกับลืมตัว

   "ถ้ามึงทิ้งกูอีกคน กูก็ไม่เหลือใครแล้วนะ" ประโยคตัดพ้อทำให้ผมหันกลับไปและได้เห็นขาข้างหนึ่งเผลอก้าวเข้ามาด้านในหนึ่งก้าว แต่แล้วเสียงเศร้าก็ถูกกลบทับด้วยอาการพาล

   "ทำไมมึงต้องชอบกูด้วยวะ! เป็นเพื่อนกันมันไม่ดีตรงไหน!?"

   เป็นความผิดของผมใช่ไหม?

   "ถ้าคราวนี้อกหักอีก... แล้วกูจะไปร้องไห้กับหมาที่ไหน..."

   สีหน้าของคนพูดต่างหากที่ยิ่งกว่าหมาละห้อย หมาหงอย หมาจ๋อย หมากลัวถูกทิ้ง ปลายเสียงแผ่วลงอย่างกับหมาครางหงิงๆ ฝ่าเท้าอีกข้างหนึ่งยังคงวางหมิ่นเหม่อยู่บนเขตคั่นประตู จนผมชักอยากจะกระชากผ้าในมือดึงให้มันเซล้มหน้าคะมำเข้ามาข้างใน แต่ก็ต้องข่มใจไว้ ไม่อย่างนั้นก็จะกลายเป็นข้ออ้างให้มันใช้ดิ้นได้ภายหลังอีก

   ผมไม่มีคำตอบให้กับคำถามนั้น เพราะผมไม่ใช่หมอดูถึงจะได้หยั่งรู้อนาคต ถ้าคบกันจริงๆ พวกเราจะคบกันไปได้นานแค่ไหน วันข้างหน้าจะเป็นยังไง หรือแม้แต่วันนี้ ตัวผมเองจะอกหักหรือเปล่าก็ยังไม่รู้

   สิ่งที่ผมทำได้จึงมีเพียงการยืนมองมันนิ่งๆ ณ ตำแหน่งเดิม

   เหมือนกับที่ผมเคยอยู่ตรงนี้มาตลอด วันดีคืนดีมันก็อยากจะมาก็มา มานอนกลิ้งเอกเขนก มาก่อกวน ก่อความวุ่นวาย ทิ้งของส่วนตัวเอาไว้ทั่ว ทำตัวอย่างกับเป็นเจ้าของห้อง

   กว่าจะรู้ตัวอีกที... มันก็บุกรุกเข้ามาอยู่ข้างในหัวใจ

   ยังเหลืออีกครึ่งก้าว แต่ผมรู้ตัวดี... ไม่ว่าจะก้าวไปข้างหน้าหรือว่าถอยหลัง ผมกับมันก็คงไม่มีทางกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้อีก

   สุดท้าย ฝ่าเท้าที่หมิ่นเหม่อยู่ด้านนอกก็ขยับเข้ามาข้างใน

   "ถ้ามึงได้แล้วกล้าทิ้งกูจะด่าให้เสียหมา! ด่าหูดับตับไหม้ ด่ายันลูกบวช ด่าไม่ให้ต้องได้ผุดได้... อื้อ!"

   เอาไว้ก่อน ตอนนี้มันยังไม่มีโอกาสได้ด่า เพราะผมดึงร่างด้านหน้าเข้ามากอดแน่นในอ้อมแขน ก่อนทำการปิดปากร้ายๆ ไม่ให้ออกฤทธิ์ได้อีก

   "กูเตือนมึงแล้วนะ" ผมกระซิบบอก จังหวะที่มันพักหายใจ

   ในเมื่อก้าวเข้ามาแล้ว ก็อย่าหวังว่าผมจะยอมปล่อยให้มันหนีไปไหนได้อีก

   

   "สิบโมงครึ่ง!? เหี้ยทำไมมึงไม่ปลุกกู!" เสียงแหกปากจากคนข้างๆ ทำให้ผมต้องขมวดคิ้วก่อนลืมตาขึ้นช้าๆ

    "กูปลุกแล้วตอนแปดโมง แต่มึงไม่ยอมตื่นเอง" ผมตอบตามความจริง ขนาดผมลุกไปอาบน้ำเสร็จกลับมาก็ยังเห็นคนขี้เซานอนหลับตาพริ้ม วันนี้ผมไม่มีเรียนเช้าจึงตัดสินใจล้มตัวลงบนเตียงอีกครั้ง นอนกอดคนในอ้อมแขนเล่น ไปๆ มาๆ ก็เผลอหลับโดยไม่รู้ตัว

   ว่าแต่มันจะโวยวายทำไม วันไหนขี้เกียจก็เห็นโดดเรียนอยู่บ่อยๆ

   "วิชานี้เช็คชื่อด้วย ขาดห้าทียัง D ขาดอีกที C you next term! เหี้ยกูขาดไปกี่ทีแล้ววะ!?" เพิ่งลืมตาตื่นขึ้นมาได้ไม่ถึงห้านาที มันก็ปล่อยตัวเงินตัวทองออกมาวิ่งเพ่นพ่านแล้วสองรอบ ทำท่าจะลุกพรวดพราด แต่แล้วก็กลับนิ่วหน้าเหมือนเจ็บจี๊ดที่บางตำแหน่งของร่างกาย

   "ยังไงก็ไปไม่ทันแล้วน่า" ผมจึงเอื้อมแขนไปโอบรอบเอว ดึงให้มันนั่งกลับลงมาอย่างเก่า หวนนึกถึงคำด่าที่เมื่อคืนได้ยินไม่รู้กี่รอบ

   'ไอ้ถึก! ไอ้ยักษ์ปักหลั่น! ไอ้ไซส์ควายแม่งยัดเข้ามาได้!'

   ถึงแม้พวกเราจะเคยมีอะไรกันหลายครั้ง แต่ดูเหมือนว่าขนาดของผมก็จะยังทำให้มันต้องเจ็บตัวอยู่ดี แต่นอกเหนือความเจ็บ ก็คงจะมีอะไรที่ดีกว่านั้นหลายอย่าง ไม่อย่างนั้นมันคงจะไม่ครางจนแทบไม่เหลือเสียงด่า

   "มึงไปอาบน้ำก่อนแล้วกัน เดี๋ยวกูออกไปซื้ออะไรมาให้กิน อยากกินอะไรล่ะ" ผมใช้ของกินมาล่อ เปลี่ยนเรื่องให้มันยอมอยู่ในห้องนี้ต่อนานขึ้นอีกสักนิด

   "ข้าวมันไก่" มันนั่งนึกก่อนจะตอบออกมาง่ายๆ

   ผมจึงพยักหน้ารับ ขยับลุกขึ้นไปหยิบกุญแจและกระเป๋าสตางค์เพื่อเดินออกไปหน้าปากซอย

   หลังจากซื้อเสร็จกลับมาก็ยังได้ยินเสียงฝักบัวจากในห้องน้ำ ผมจึงจัดการแกะข้าวมันไก่ใส่จาน ซื้อมาสามห่อ แบ่งกันคนละห่อครึ่งพอดี ปรกติมันไม่ชอบกินหนังไก่จึงมักจะเขี่ยมาใส่จานของผม วันนี้ผมจึงจัดการลอกออกมาใส่จานของตัวเองให้เสร็จสรรพ

   "โห มีมึงเป็นแฟนก็ดีอย่างนี้นี่เอง" พออาบน้ำสดชื่นออกมา ต่อมตอแหลก็ทำงานแต่เช้า เหมือนกับที่มันชอบยิ้มฉอเลาะประจบเวลาที่ขอให้ผมทำอะไรให้ อย่างน้อยก็ยังดีที่ในประโยคนั้นได้เลื่อนขั้นจาก 'เพื่อน' มาเป็น 'แฟน'

   "แล้วทำไมมึงใส่ชุดนั้น ไหนว่าไม่มีเรียนบ่าย" ผมขมวดคิ้วเมื่อเห็นร่างสูงสวมเสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงขายาวสีดำ แทนที่จะเป็นเสื้อยืดกางเกงขาสั้นแบบอยู่บ้าน หรือบางครั้งเวลาอากาศร้อนๆ มันก็ไม่ใส่เสื้อด้วยซ้ำ

   "กูว่าจะกลับบ้าน" คำตอบนั้นยิ่งทำให้ผมย่นหัวคิ้วเข้าหากัน

   "เดี๋ยวแม่ด่า เมื่อคืนก็ไม่ได้กลับ วันนี้กลับไปนอนบ้านเอาใจแม่ซะหน่อย" มันยังคงยกข้ออ้างข้างๆ คูๆ ทั้งๆ ที่เมื่อก่อนมานอนห้องผมบ้าง ออกไปแรดค้างที่อื่นบ้าง ไม่ได้กลับบ้านเป็นอาทิตย์ก็ยังเคย

   "มึงไม่ต้องทำหน้ายักษ์ขนาดนั้นได้ป่ะ... เออ กูตอแหล! แต่มึงลองมองสังขารกูบ้างดิวะ!? ให้เดินขาถ่างเป็นไก่ย่างถูกเสียบทุกวันอย่างงี้กูก็ไม่ไหว กูยังไม่อยากเป็นพรีเซนเตอร์โฆษณา 'ก็ลมมันเย็น~'" มันหยิบยกวลีฮิตสมัยพระเจ้าเหา จากโฆษณายาบรรเทาอาการ...ริดสีดวงทวาร

   "ก็ได้ กูสัญญาว่าจะไม่ทำอะไร ...ถ้ามึงไม่ยอม" ผมลองหาข้อตกลงที่ฟังดูเป็นกลางสำหรับทั้งสองฝ่าย

   "มึงพูดอย่างกับกูเคยไม่ยอม!" ก็จริง เพราะมันเป็นพวกศักดิ์ศรีค้ำคอ ฆ่าได้หยามไม่ได้ ซึ่งนั่นกลับกลายมาเป็นจุดอ่อนถ้ารู้จักยั่วให้ถูกจุด และต่อให้เคยดิ้นเคยแถยังไง แต่ถ้ามันตั้งใจจะไม่ยอมจริงๆ ป่านนี้คงได้มีการแลกหมัดแบบไม่ใครก็ใครต้องตายกันไปข้าง

   "เอาอย่างนี้ดีกว่า ถ้าวันไหนกูมีเรียนเช้า คืนก่อนหน้านั้น 'ห้าม'" มันต่อรอง

   "ก็ได้ ถ้ามึงไม่ได้เป็นฝ่ายเริ่ม" ผมตั้งข้อแม้ ถึงแม้ว่ามันจะทำหน้าเหยเกแบบ 'ไม่มีทาง'

   "ก็ได้" แต่สุดท้ายกลับยักไหล่ตอบง่ายๆ

   ง่ายจนน่าสงสัย

   "มึงเอาตารางเรียนมาให้กูด้วย แล้วก็อย่าคิดเขียนมั่วๆ ไม่งั้นกูจะไปถามจากเพื่อนภาคมึงเอง" ผมดักคออย่างรู้ทัน คนที่นั่งกระหยิ่มยิ้มย่องจึงหุบยิ้มฉับพลัน ก่อนจะสบถด่างึมงำอยู่ในลำคอ

   "วันนี้มึงอยู่ที่นี่แหละ เดี๋ยวกูเลิกเรียนแล้วไปกินซูชิกัน" ผมพูดเปลี่ยนเรื่อง หยิบยกเมนูล่อใจที่เคยพูดไว้แต่ยังไม่เคยได้ไปกันสักที

   "พรุ่งนี้กูมีเรียนเช้านะ" มันรีบพูดขึ้นมา แต่พอผมเลิกคิ้วแทนการย้อนถามกลับว่า 'กูเคยผิดสัญญา?' มันเลยรับคำอย่างเสียไม่ได้

   "เออๆ ก็ได้ กูจะเตรียมท้องไว้รอถล่มมึงเลย" พอพูดจบก็ตักข้าวมันไก่ใส่ปาก คงตั้งใจจะรวบเป็นมื้อเดียวทั้งเช้าทั้งเที่ยง เห็นมันตั้งหน้าตั้งตาเคี้ยว ผมจึงเริ่มลงมือกินบ้าง

   พอกินเสร็จผมจึงเดินไปหยิบชุดนักศึกษามาเปลี่ยน กลับออกมาจากห้องน้ำก็เห็นมันสวมเสื้อยืดกางเกงขาสั้น นอนกระดิกตีนอ่านการ์ตูนอยู่บนเตียง แต่เห็นอย่างนั้นก็ค่อยออกไปเรียนได้อย่างสบายใจว่ามันคงจะไม่คิดเผ่นหนีไปที่ไหนอีก

   

   
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 16 (20/3/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: em1979 ที่ 20-03-2018 01:09:37
เรื่องของพี่เอกกะมิงค์จบแค่นี้หรอ
หัวข้อ: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 17 ปลอกคอ
เริ่มหัวข้อโดย: @moment ที่ 21-03-2018 18:52:29
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/ (https://www.facebook.com/at.moment.writer/)
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer/ (https://twitter.com/atmoment_writer/)
   

   ตอนที่ 17 ปลอกคอ

   

   ผมรู้ว่ามันคงเตรียมตัวมาถล่มเต็มที่จึงตัดสินใจเลือกร้านซูชิแบบบุฟเฟ่ต์เพื่อควบคุมความเสี่ยงไม่ให้งบประมาณบานปลาย แต่ถึงอย่างนั้นราคารวมสองคนก็ยังพอให้กินข้าวมันไก่จนหน้าเป็นไก่ได้ทั้งอาทิตย์

   ต่อคิวจนได้ที่นั่งเรียบร้อย คนที่รอคอยเวลานี้มานานก็ตรงดิ่งไปคีบซูชิกลับมาเต็มจาน ทั้งโทโร่ ทาโกะ อานาโกะ ไข่กุ้ง ไข่ปลา และอีกสารพัดที่มองปริมาณแล้วไม่รู้จะยัดเข้าไปยังไงไหว แต่ผมเชื่อว่ามันสามารถ ต่อให้เดินไปกลับอีกสามรอบก็ยังสบายๆ

   "วันก่อนไอ้บิ๊กมาชวนไปค่ายอาสา ปีนี้มึงจะไปด้วยกันไหม" ผมเอ่ยชื่อเพื่อนคนหนึ่งที่เป็นเด็กกิจกรรมตัวยง ต่างจากผมที่ไม่ได้สังกัดชมรมใดๆ แต่ด้วยความที่เป็นเด็กหอ นอนอยู่ใกล้มหาลัย บางครั้งเวลาชมรมไหนมีงานหรือขาดคนก็มักจะมาขอแรงให้ช่วย ถ้าอยู่ว่างๆ ไม่ติดธุระอะไรผมก็ไปช่วยบ้าง

   "วันไหนล่ะ" มันถามพลางอ้าปากกว้าง ก่อนจะเขมือบซูชิชิ้นโตเข้าไปคำเดียวเกลี้ยงทั้งชิ้น

   "ศุกร์-เสาร์-อาทิตย์ สิ้นเดือนนี้" รวมวันหยุดราชการหนึ่งวันกลายเป็นวันหยุดยาวติดกันสามวันรวด

   "อ้อไออิ" เสียงอู้อี้ตอบไม่เป็นภาษาเพราะยังคงเคี้ยวตุ้ยๆ จับใจความได้ว่า 'ก็ไปดิ'

   กลืนยังไม่ทันหมดกระพุ้งแก้มก็คีบชิ้นต่อไปขึ้นมาจ่อรอต่อคิว ชิ้นแล้วชิ้นเล่า อันตรธานหายไปอย่างรวดเร็วไร้ร่องรอยราวกับหลุดเข้าไปอยู่ในหลุมดำ เรียกได้ว่าแดกไม่ห่วงภาพลักษณ์ ปากไม่ว่างเห่ากันเลยทีเดียว

   แต่ผมคงจะตาบอดเกินเยียวยา ยังอุตส่าห์มองเข้าไปได้ว่าน่ารักน่าเอ็นดู

   อันที่จริงเวลาออกมากินบุฟเฟ่ต์กันทีไรมันก็จัดเต็มคราบอย่างนี้ทุกทีอยู่แล้ว ตรงตัวตามสโลแกนโฆษณาที่ว่า 'กินไม่อั้น' เห็นจะมีก็แต่มื้อนั้นที่นัดโซระกับเอิร์ธที่สุภาพบุรุษจอมปลอมพยายามรักษาภาพลักษณ์สุดชีวิต

   พอหมดจานมันก็ลุกเดินตัวปลิวออกไปตักใหม่อีกรอบ แต่รอบล่าสุดหายไปนานผิดปรกติ ผ่านไปอีกครู่ใหญ่มันถึงได้กลับมาพร้อมกับซูชิในจานเพียงไม่กี่ชิ้น ผมเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจว่าทำไมวันนี้มันอิ่มเร็วจัง

   แต่แล้วสักพัก ผมกลับสังเกตเห็นสายตาของแจ็คมองเลยไปทางด้านหลังหลายครั้ง ตอนแรกผมยังนึกว่ามองหาพนักงานเสิร์ฟ จนกระทั่งเริ่มผิดสังเกต เมื่อเห็นมันนั่งยิ้ม

   พอลองหันกลับไปมอง ลางสังหรณ์ของผมก็ตรงเผง

   โต๊ะเยื้องไปทางด้านหลังเป็นกลุ่มเด็กผู้ชายในชุดนักเรียนม.ปลายกางเกงขาสั้นสีน้ำเงินนั่งกันอยู่หลายคน หนึ่งในนั้นเป็นหนุ่มน้อยหน้าตาดีที่ส่งยิ้มตอบกลับมาทางนี้ด้วย

   "ไอ้แจ็ค" ผมข่มอารมณ์เรียกเสียงต่ำ

   "อะไร" มันยังมีหน้ามาทำหน้าเหรอหรา ไม่รู้ไม่ชี้

   "มึงกินอิ่มแล้วหรือยัง ถ้าอิ่มแล้วก็จะได้กลับ" ผมเอ่ยถามรวบรัด

   "เดี๋ยวดิ มึงจะรีบไปไหน กูยังไม่อิ่มเลย" มันตอบพลางคีบซูชิเข้าปากอีกครั้ง แต่เผลอเป็นไม่ได้ ยังแอบส่งสายตาวิบวับหวานเยิ้มไปทางโต๊ะด้านหลังเป็นระยะ

   ไอ้ที่ว่าไม่อิ่มคือยังไม่อิ่มท้อง หรือยังไม่อิ่มอาหารตากันแน่!?

   "กินยังไงให้เลอะเทอะ ข้าวติดแก้ม" ผมพูดพลางเอื้อมมือออกไปด้านหน้า กดนิ้วโป้งไล้ลงบนแก้มเนียนเบาๆ ไม่ได้มีเมล็ดข้าวอะไรหรอก ก็แค่อยากจะแสดงความเป็นเจ้าของ ให้เด็กน้อยน่ารักนั่นเลิกส่งยิ้มมาซะที!

   "เฮ่ย ไหน" แต่มันกลับรีบยกมือขึ้นมาถูแก้มของตัวเองลวกๆ ไม่ได้มีความหวั่นไหวเลยสักนิด คงจะกลัวเสียฟอร์มต่อหน้าเด็กมากกว่า ผมเลยได้แต่ถอนหายใจ

   จนกระทั่งเด็กกลุ่มนั้นเดินออกไปจ่ายเงิน มันก็ยังมองตามตาละห้อย จนเด็กกลับกันไปหมดแล้วมันถึงได้หันกลับมาสนใจหัวหลักหัวตอที่นั่งอยู่ตรงหน้า ถ้าเป็นเมื่อก่อนมันคงจะระริกระรี้ตรงดิ่งเข้าไปขอเบอร์ นี่ผมควรจะดีใจใช่ไหมที่มันยังทำแค่มองและส่งยิ้ม!?

   "แล้วทำไมมึงไม่กินล่ะ อิ่มแล้วเหรอ ตักมาเหลือเดี๋ยวก็โดนปรับหรอก" มันพูดเมื่อเห็นซูชินอนนิ่งอยู่บนจานของผมอีกหลายชิ้น ก่อนจะถือวิสาสะคีบไปกินหน้าตาเฉย ผมจึงปล่อยให้มันกินไป เพราะเซ็งจัดจนชักจะหมดอารมณ์กิน

   ในที่สุดมันก็อิ่มแปล้จนต้องนั่งผึ่งพุง แต่ยังมีหน้าบอกว่าขอพักสิบนาที เดี๋ยวจะไปตักไอศกรีมมาปิดท้าย ผมละชักอยากจะขุนมันให้อ้วนๆ เผื่อจะได้เลิกปั้นหน้าหล่อใสโปรยยิ้มหวานหว่านเสน่ห์หลอกเด็กไปทั่วซะที

   "ฮัลโหล" ระหว่างที่กำลังเซ็งโทรศัพท์มือถือในกระเป๋ากางเกงของผมร้องดังขึ้นพอดี ผมจึงกดรับและขานห้วนสั้นโดยไม่ทันได้มองหน้าจอ

   "อ้อ เอิร์ธเองเหรอ มีอะไรหรือเปล่า" เมื่อรู้ว่าใครโทรมาผมจึงปรับเสียงให้ซอฟลงเล็กน้อย ก่อนจะเหลือบไปเห็นคนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามมองขวับมาทันทีทันใด

   เท่าที่รู้ ดูเหมือนว่าตั้งแต่ถูกหักอกคราวนั้นแจ็คก็จะไม่ได้ติดต่อกับโซระอีกเลย ต่างจากผมและเอิร์ธที่ยังคงติดต่อกันเป็นระยะ พูดคุยถามไถ่สารทุกสุกดิบตามประสาพี่น้อง ถึงแม้ว่าพักหลังจะเริ่มห่างกันไปบ้าง เพราะเอิร์ธเรียนกวดวิชามากขึ้นจึงมีเวลาว่างน้อยลง

   "ไม่เป็นไร เอิร์ธเก็บไว้เถอะ พี่ยกให้" ปลายสายบอกว่าอ่านหนังสือที่เคยยืมไปจบแล้วจึงอยากจะนำมาคืน แต่นั่นเป็นหนังสือเตรียมสอบเข้ามหาลัยซึ่งผมไม่มีความจำเป็นต้องใช้อีก เก็บไว้ก็ไม่รู้จะเอาไปทำอะไร

   "ไม่ต้องหรอก อืม เอาอย่างนั้นก็ได้" ถึงจะตอบว่าไม่เป็นไรแต่ปลายสายก็ยังยืนยันหนักแน่นว่าอยากเลี้ยงข้าวขอบคุณ ผมจึงออเออตกปากรับคำ ถึงแม้คิดในใจว่าจะไม่ยอมให้รุ่นน้องควักกระเป๋าสตางค์อยู่ฝ่ายเดียวแน่ แต่ที่ตอบรับอย่างนั้นก็เพราะอยากคุยกับเอิร์ธตามลำพัง แบบไม่มีสายตาของใครบางคนมองมาอย่างอยากรู้อยากเห็น

   "พี่ว่างอยู่แล้ว ถ้าเอิร์ธว่างวันไหนก็โทรมานัดก็แล้วกัน" พวกเราคุยกันอีกไม่กี่คำก่อนวางสาย

   เมื่อผมเก็บโทรศัพท์ใส่กระเป๋าและเงยหน้ากลับขึ้นมา คนที่นั่งอยู่ฝั่งตรงข้ามก็พลันตีเนียนเบนสายตาไปมองทางอื่น ทั้งๆ ที่โดยนิสัยแล้วน่าจะคันปากยิบๆ อยากถามตามประสาคนชอบใส่เกือก แต่จะว่าไป มันก็อาจจะไม่ได้อยากรับรู้เรื่องของโซระให้เจ็บแผลใจ ส่วนเรื่องของผมกับเอิร์ธ มันก็อาจจะไม่ได้สนใจ

   "ไปตักไอติมดีกว่า" พูดจบแจ็คก็ลุกเดินออกไป ผ่านไปพักใหญ่จึงกลับมาพร้อมถ้วยใบโตที่ซ้อนไอศกรีมหลายลูกสูงราวกับภูเขา ก่อนเริ่มลงมือตั้งหน้าตั้งตาจ้วงอย่างไม่แคร์สายตาใคร คงเพราะเด็กที่เล็งไว้ก็ไม่อยู่แล้ว เลยไม่จำเป็นต้องห่วงภาพลักษณ์อีก

   "เลอะหมดแล้ว" ผมเอื้อมมือออกไปด้านหน้าอีกครั้ง คราวนี้มีรอยเปื้อนอยู่บนแก้มจริงๆ แต่มันกลับปัดมือของผมออก ก่อนจะคว้าทิชชูมาเช็ดเองลวกๆ

   

   ตอนแรกผมนึกว่ามันจะบ่ายเบี่ยงหาเรื่องหนีกลับบ้านเหมือนเคย แต่กลับไม่เป็นอย่างที่คิด พอขับรถกลับมาถึงหอมันก็เดินดุ่มๆ ขึ้นบันได ตรงเข้าห้องไปนอนเอกเขนกอย่างถือวิสาสะเหมือนทุกครั้ง

   แต่ผิดปรกติเล็กน้อยตรงที่มันนอนจิ้มมือถือไม่พูดไม่จา ตลอดเวลาที่อยู่บนรถก็ไม่ชวนคุยสักคำ มีแค่คำกร่นด่าพ่อล่อแม่คนที่ขับแช่เลนขวาหรือแซงปาดหน้าตามปรกติ แต่จะว่าไปมันก็มีท่าทางแปลกๆ ตั้งแต่อยู่ในร้านแล้ว ตั้งแต่ตอนที่เอิร์ธโทรมาหาผม

   หรือว่ามันจะหึง...?

   ผมอยากจะเข้าใจแบบนั้น แต่ต่อให้ถามตามตรงก็คงไม่มีทางได้รับคำตอบแน่ๆ ผมจึงตัดสินใจเก็บความสงสัยเอาไว้ เดินไปคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าไปอาบน้ำ

   กลับออกมาอีกครั้งก็ยังเห็นคนบนเตียงนอนจิ้มมือถืออยู่ในท่าเดิม แต่คราวนี้ใบหน้าที่เคยเฉยเมยกลับเปลี่ยนเป็นการยิ้มน้อยยิ้มใหญ่ ไม่รู้ว่ามันเล่นเกมชนะหรืออะไร

   "ลุกขึ้นมานอนดีๆ" ผมพูดพลางเดินไปหยุดยืนอยู่ข้างเตียง ทว่าคนฟังกลับเงยขึ้นจากมือถือมาทำหน้างงๆ ผมจึงขยายความต่ออีกนิด

   "หมอนมีไว้หนุนหัว ไม่ใช่หนุนตีน" แถมตีนก็ยังไม่ได้ล้าง

   "กูก็นอนอย่างนี้ทุกที" มันเถียงพร้อมเลิกคิ้วขึ้นสูง และคราวนี้ไม่ใช่การเถียงข้างๆ คูๆ เพราะมันก็นอนของมันอย่างนี้ทุกทีจริงๆ หันหัวไปทางปลายเตียง ตีนชี้ไปทางหัวเตียง ตามทิศประจำตำแหน่ง

   แต่เห็นแล้วมันช่างขัดหูขัดตา

   ผมไม่อยากจะเถียงต่อ ในเมื่อมันไม่ยอมลุก ผมจึงเป็นฝ่ายทิ้งตัวลงไปนอนข้างๆ ในทิศทางเดียวกันเอง

   "อะไร ไหนมึงเคยเป็นคนด่ากูเองว่าเตียงแคบแค่นี้จะให้เบียดกันเข้าไปได้ยังไง" มันลุกขึ้นนั่งโวยวาย

   เออ ผมเคยพูดอย่างนั้นจริง แต่ตอนนี้ผมอยากเบียดนี่หว่า

   ยังไม่ทันได้ตอบโต้ สายตาของผมก็เหลือบไปเห็นโทรศัพท์ที่นอนหงายท้องอยู่บนเตียง ทว่าหน้าจอกลับไม่ใช่เกมอย่างที่คิด แต่เป็นแอพแชท และสิ่งที่ทำให้ผมต้องจ้องซ้ำ ก็คือรูปของคู่สนทนา

   หนุ่มน้อยหน้าใส อาจจะเป็นหนึ่งในบรรดากิ๊กเก่า แต่ความรู้สึกบอกว่าไม่น่าใช่

   "กูเปล่าขอนะ น้องเค้าให้มาเอง" มันรีบตอบอย่างร้อนตัว

   นั่นทำให้ผมแน่ใจทันทีว่าหนุ่มน้อยคนนี้คือเด็กม.ปลายที่มันนั่งส่งยิ้มให้ในร้านอาหาร!? ไปได้เบอร์มาตั้งแต่เมื่อไหร่ หรือว่า ตอนที่หายไปตักซูชิซะนาน มิน่าถึงไม่ต้องแล่นไปขอเบอร์ เพราะได้มาก่อนแล้วนี่เอง!

   "ก็แค่คุยกันเฉยๆ ...ทีมึงคุยกับเด็กมึง กูยังไม่เห็นว่าอะไรสักคำ" มันยังจะมีหน้ามาเถียง แถมยังลอยหน้าลอยตาโบ้ยความผิด

   "เฮ่ย! ไอ้ถึก!? โอ๊ย!" มันร้องลั่นเมื่อแผ่นหลังล้มลงกระแทกกับเตียง คราวนี้ศีรษะหันไปหาหัวเตียง ทิศทางที่ถูกต้องด้วย

   "มึงหึง ก็เลยยั่วให้กูหึงงั้นสิ"

   "หึงบ้านพ่อมึงดิ! ไอ้ถึก!? ปล่อยดิวะ!"

   พอสู้แรงไม่ไหว มันก็หันมาใช้ปากสู้

   "พรุ่งนี้กูมีเรียนเช้านะเว่ย! มึงจะผิดสัญญาเหรอไง!?"

   "กูเคยผิดสัญญาเหรอ"

   ผมย้อนถามสั้นๆ ก่อนจะซุกไซร้ปลายจมูกลงบนซอกคอ สองมือยังคงกำรอบข้อมือของคนที่พยายามดิ้น กดตรึงให้นอนอยู่กับเตียง ลงน้ำหนักตัวทับไม่ให้ดิ้นหลุดได้ง่ายๆ

   "พูดอย่างทำอย่าง! ไอ้ตอแหล! เชื่อถือไม่ได้! พูดออกมาได้ว่ารักษาสัญญา ถ้าไอ้ที่มึงทำอยู่นี่ไม่เรียกว่าปล้ำแล้วจะให้เรียกว่าทำหอกอะไรวะ!?" มันยังคงแหกปากลั่นจนผมชักอยากจะใช้ปากปิดปาก แต่น่าเสียดายที่ตอนนี้ปากของผมไม่ว่าง เพราะต้องทำบางอย่างที่สำคัญกว่า

   "กูไม่ได้ปล้ำ แค่ทำ 'ปลอกคอ'"

   ผมกระซิบตอบห้วนสั้น พร้อมจัดการกัดและดูดเม้มแรงๆ บนตำแหน่งที่ใกล้กับเส้นเลือดใหญ่ กดย้ำจนมั่นใจว่าผิวขาวๆ บนต้นคอจะกลายเป็นรอยช้ำ ก่อนจะทำแบบเดียวกันซ้ำ ณ บริเวณใกล้เคียงกันอีกหลายรอย

   "โอ๊ย! ไอ้เหี้ย!? กูเจ็บ! กัดเข้ามาได้!? มึงไม่อยากเป็นควายแต่อยากกลายพันธุ์เป็นหมาแทนเหรอไง!? แล้วปลอกคอเหี้ยไร กูเป็นคนนะเว่ยไม่ใช่หมา!?" มันทั้งดิ้นทั้งด่าให้มั่วไปหมด ผมจึงยังต้องออกแรงกดเอาไว้อย่างนั้น จนได้รอยสีกุหลาบช้ำบนคอหลายรอยสมใจ เอาให้รู้กันไปว่าเด็กที่ไหนเห็นแล้วยังจะกล้าส่งยิ้มให้อีก!

   จากนั้นผมจึงเปลี่ยนจากการกัดเป็นการเลียแผลให้เบาๆ เสียงด่าจึงถูกแทรกด้วยเสียงครางขึ้นจมูก

   "ถ้าคืนนี้มึงยังอยากนอนดีๆ ก็หยุดดิ้น หยุดด่า หยุดยั่วกูได้แล้ว"

   ใบหน้าแดงก่ำอ้าปากจะเถียง แต่สุดท้ายก็ยอมหุบปาก คงจะยังห่วงสวัสดิภาพของตัวเองอยู่บ้าง เมื่อเห็นร่างด้านล่างยอมสงบลง ผมจึงยอมปล่อยให้อีกฝ่ายเป็นอิสระ มันยกมือขึ้นมาลูบบนลำคอของตัวเองพลางทำหน้าเหยเก ดูท่าจะเจ็บอยู่ไม่น้อย ผมจึงจูบบนหลังมือนั้นอีกครั้งอย่างปลอบโยน

   "ทีหลังก็อย่าริไปอ่อยเด็กที่ไหนอีก" ผมกำชับกึ่งข่มขู่ปิดท้าย

   มันยังฮึดฮัดกัดฟันสะบัดหน้าหนีไปอีกทาง ผมจึงโน้มตัวลงไปกระซิบห้วนสั้นข้างหู

   "กูหึง"

   ใบหน้าของแจ็คหันขวับกลับมาเฉียดผ่านปลายจมูกของผมไป มันผงะเล็กน้อย แต่ศีรษะแนบอยู่กับเตียงจึงไม่มีทางเหลือให้ถอย สุดท้ายมันก็ก้มหน้าลงเถียงงึมงำแทน

   "แม่งไม่ยุติธรรม ทีมึงยังอ่อยเด็กเลย"

   "มึงว่าไงนะ" ผมลองถามแม้จะได้ยินอยู่เต็มสองหู

   "กูจะไปอาบน้ำ!" มันตอบกระแทกเสียงพร้อมยันตัวผมออกไปด้านข้าง พลันรีบลุกหนีไปก่อนที่ผมจะคว้าไว้ทัน

   จากนั้นเสียงประตูก็ปิดลงมาดังโครม ตามด้วยเสียงน้ำจากฝักบัวที่กลบเสียงกร่นด่าไว้ไม่มิด เหมือนกับสู้ซึ่งหน้าไม่ได้ขอด่าลับหลังก็ยังดี ผมรู้ตัวว่าใช้อารมณ์มากไป แต่ใครใช้ให้มันมายั่วกันก่อน ถ้าหึงก็บอกว่าหึงสิ ไม่ใช่หึงแล้วไปอ่อยคนอื่น

   ไม่สิ มันอ่อยก่อนหน้านั้นอีก แล้วหาเรื่องโยนความผิดกลับมามากกว่า

   ยิ่งคิดก็ยิ่งสับสน

   ผมหึงแทบเลือดขึ้นหน้า แต่สรุปว่ามันหึงผมบ้างหรือเปล่า...?

   
----------------

   >> em1979 : เรื่องของพี่เอกกะมิงค์จบแค่นี้หรอ

   จบแค่นี้ค่ะ ^^"
   เคยคิดจะแต่งต่อเหมือนกัน แต่ยังไม่ได้ฤกษ์สักที...

หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 17 (21/3/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: em1979 ที่ 21-03-2018 22:05:43
แจ๊คหึงไม่หึงเนี่ย เก็บอารมณ์เก่งเกินไปแล้ว ดูแทบไม่ออกว่ามีใจเลย 5555

p.s. เรื่องของพี่เอกกะมิงค์ ถ้าได้ฤกษ์แล้วบอกนะคะ จะตามไปอ่าน
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 17 (21/3/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: cocoaharry ที่ 21-03-2018 22:17:06
แจ๊คมัวแต่ซึน หึงก็บอกว่าหึงงง
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 17 (21/3/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 22-03-2018 07:20:49
แจ็คไม่น่ารักเลย
มันน่าจับตีให้เข็ด  :z3:
หัวข้อ: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 18 กลับเข้ากรง
เริ่มหัวข้อโดย: @moment ที่ 22-03-2018 21:32:16
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/ (https://www.facebook.com/at.moment.writer/)
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer/ (https://twitter.com/atmoment_writer/)
   

   ตอนที่ 18 กลับเข้ากรง


คำเตือน: เนื้อหาในตอนนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุมากกว่า 18 ปีขึ้นไป

   
   "อิแจ็ค นั่นคอไปโดนอะไรมา" ทันทีที่ได้ยินเสียงเรียก คนถูกทักก็รีบขยับปกเสื้อให้สูงขึ้นอีกนิดเพื่ออำพรางสายตา แต่ก็ช้าเกินไปเสียแล้ว เมื่อพี่มินนี่กรี๊ดกร๊าดแซวต่อเสียงดัง

   "ต๊าย~ เด็กสมัยนี้ร้อนแรงนะยะ~ แต่เอ๊ะ ไหนแกเคยบอกว่าชอบเด็กเงียบๆ หงิมๆ นี่เปลี่ยนสเปคตั้งแต่เมื่อไหร่" คนถามหรี่ตามองอย่างจับผิด แต่ก็ไม่ได้จริงจังอะไรมากนัก เพราะถึงจะเป็นที่รู้กันว่าไอ้แจ็คใฝ่ฝันอยากมีเมียน่ารักใสๆ ก็ใช่ว่ามันจะไม่เคยแวะกินรายทาง

   "ใช่ที่ไหนกันละเจ๊ นี่มันรอยหมากัด" เมื่อแจ็คตอบแบบนั้น คนถามเลยเบิกตาโตอย่างตกใจ หมาที่ไหนวะกระโดดกัดคอ อย่าบอกนะว่า หมาแวมไพร์!?

   "ผมหมายถึงแมลงกัดน่ะ แม่งตัวโตเท่าควาย กัดเจ็บเป็นบ้า" มันพูดพลางลูบต้นคอของตัวเองด้วยสีหน้าเหยเก ก่อนจะเหล่สายตาขุ่นเคืองมองมาทางผม ดูท่าจะยังไม่หายแค้นตั้งแต่เมื่อคืน

   "ผมกลับบ้านก่อนดีกว่า เดี๋ยวเย็นแล้วรถจะยิ่งติด" จากนั้นมันก็กล่าวตัดบททั้งๆ ที่เพิ่งหย่อนก้นนั่งได้ไม่ถึงห้านาที เก้าอี้ยังไม่ทันร้อน ราวกับจงใจเดินมาถึงที่นี่เพื่อพูดประโยคนี้มากกว่า

   หรือเรียกอีกอย่างว่า มาท้าทายกันซึ่งๆ หน้า

   เพราะพรุ่งนี้เป็นวันเสาร์ เท่ากับพวกเราไม่มีเรียน และ 'กลับบ้าน' ก็เท่ากับประกาศว่าคืนนี้จะไม่ยอมไปค้างที่ห้องของผม และชัดเจนที่สุด เมื่อมันจ้องมาอย่างไม่หลบตาพร้อมกับยักคิ้วให้อย่างกวนตีน

   "เออเนอะ มาไวไปไว ชิ่วๆ จะไปไหนก็ไป" พี่มินนี่สะบัดมือไล่อย่างไม่ไยดี

   "โหยเจ๊ ไล่น้องอย่างกับหมูกับหมา" แจ็คเลยหันไปตัดพ้อพี่รหัสแทน

   "ดีซะอีก ตึกของเจ๊จะได้มีเวลาเป็นส่วนตัวบ้าง นี่อะไรกัน มีแฟนกับเขาทั้งทียังต้องมาติดหนึบอยู่กับอีปาท่องโก๋เน่า นี่ถ้าเป็นผัวฉันนะ ฉันไม่มีทางยอมหรอก จะจับขังไว้บนเตียงไม่ให้ได้เห็นเดือนเห็นตะวันเลยคอยดู" คนพูดหันมาขยิบตาให้ผมก่อนหัวเราะคิกคัก เล่นเอาผมแอบขนลุกเบาๆ

   ตั้งแต่พี่มินนี่เข้าใจว่าผมมีแฟนเป็นผู้ชาย ดูเหมือนว่าผมจะถูกจัดหมวดหมู่ใหม่ให้กลายเป็นพวกเดียวกันเรียบร้อย จากเดิมที่เคยมีหน้าที่เป็นผู้ฟังที่ดีอยู่แค่รอบนอก พักหลังกลับถูกดึงให้เข้าไปคลุกวงในด้วยอยู่เรื่อย

   "ไหนบอกว่าจะกลับบ้านไง ไม่ไปซะทีล่ะ" พี่มินนี่เอ่ยไล่ไอ้หมาหัวเน่าอีกรอบ

   "เออไปแล้วก็ได้ฟะ" แจ็คจิ๊ปากอย่างขัดใจเมื่อไม่มีใครง้อ ผมเองก็ไม่ได้พูดอะไร เพียงแค่ส่งสายตาไปให้อย่างคาดโทษ ซึ่งมันก็เมินหน้าหนี

   แต่ผมไม่อยากจะทะเลาะอะไรด้วยตอนนี้ แค่เรื่องเมื่อคืนบรรยากาศมาคุก็ยังไม่จางหาย รอให้ต่างฝ่ายต่างอารมณ์เย็นลงกว่านี้ก่อนดีกว่า ไม่อย่างนั้น ผมก็ไม่แน่ใจตัวเองเหมือนกันว่าจะเผลอทำอะไรรุนแรงกว่าเดิมอีกหรือเปล่า

   ถือซะว่ายังไงมันก็กลับบ้าน ไม่ได้ออกไปแรดที่ไหน อย่างน้อยๆ ก็คงจนกว่ารอยจูบบนคอจะจางลงไป

   "ถ้างั้นผมก็ขอตัวกลับก่อนนะครับ" ผมพูดขึ้นบ้าง หลังจากที่อีกคนคว้ากระเป๋าลุกเดินออกไปได้ไม่กี่ก้าว

   "ฮั่นแน่~ จะไปหาแฟนละสิ~" พี่มินนี่ยังคงแซวไม่เลิก

   ผมไม่ได้ตอบรับหรือปฏิเสธ เพียงแค่ก้มลงเก็บหนังสือบนโต๊ะก่อนจะลุกเดินออกไปบ้าง เห็นแจ็คเหลียวหลังกลับมามองราวกับระแวงว่าจะถูกเดินตาม แต่เมื่อผมเดินแยกออกไปคนละทางกับลานจอดรถ ใบหน้าบึ้งตึงจึงสะบัดใส่และก้าวเดินต่อไปในทิศตรงกันข้าม

   

   ผมแวะหาอะไรกินระหว่างทางก่อนกลับหอ พรุ่งนี้วันหยุดอยู่ว่างๆ ไม่รู้จะทำอะไร เลยตัดสินใจเดินไปร้านเช่าหนังสือ ยืนเลือกการ์ตูนอยู่พักใหญ่ ก่อนจะเช่าติดไม้ติดมือกลับมาด้วยสี่ห้าเล่ม

   ทว่าเมื่อเดินกลับมาถึงหน้าห้อง ผมก็ต้องหยุดชะงักอย่างแปลกใจเมื่อเห็นร่างสูงของใครบางคนในชุดนักศึกษากำลังยืนทำหน้าหงิกอยู่

   "กูทำกุญแจบ้านหาย เข้าบ้านไม่ได้" มันชิงพูดก่อนที่จะมีใครถาม

   "พ่อกับแม่ไปงานแต่งคนรู้จักที่เชียงใหม่" มันอธิบายต่อทั้งๆ ที่ผมยังไม่ได้พูดอะไรสักคำ

   พอไขกุญแจเปิดประตูห้องให้ ร่างนั้นก็เดินดุ่มเข้าไปข้างใน ก้มๆ เงยๆ เหมือนพยายามมองหากุญแจที่ว่า ผมจึงเดินเอาของไปวางบนโต๊ะเตี้ย ก่อนลองกวาดตามองรอบห้องบ้าง ห้องของผมก็ไม่ได้กว้างขวางอะไรมากมาย มีแค่เตียง โต๊ะเตี้ย ตู้หนังสือ ตู้เสื้อผ้า เครื่องใช้ไฟฟ้าอีกไม่กี่ชิ้น เท่านี้ก็เต็มห้องแล้ว แต่มันก็ยังเดินไปเดินมา ทำท่าอย่างกับงมเข็มในมหาสมุทร

   ถ้าจำไม่ผิด สารพัดกุญแจของมันแขวนรวมกันอยู่กับตุ๊กตาหมาที่เคยคีบได้จากตู้เกม (เงินผม แต่มันคีบได้แล้วยึด) ตัวก็ไม่ใช่เล็กๆ ถ้าทำหล่นก็น่าจะรู้ตัว ไม่น่าจะหายง่ายๆ

   "ลืมไว้ที่บ้านหรือเปล่า" ผมลองออกความเห็น

   "ไม่รู้ดิ" มันตอบสั้นๆ ก่อนจะบ่นพึมพำเป็นหมีกินผึ้ง ระหว่างที่ยังก้มลงมองใต้เตียง ซอกข้างตู้หนังสือ หรือแม้กระทั่งคุ้ยถังขยะ

   "เกะกะ" ตั้งใจจะช่วยหาอีกแรงกลับพาลถูกด่าซะงั้น ผมเลยปล่อยให้มันรื้อต่อไป ก่อนหลบทางให้ด้วยการเดินไปอาบน้ำ

   พอกลับออกมาอีกครั้ง คนที่เคยรื้อของทั่วห้องกลับนอนเอกเขนกอยู่บนเตียง หยิบการ์ตูนที่ผมเช่ามาอ่านตามใจชอบ สงสัยจะหากุญแจไม่เจอเลยล้มเลิกความตั้งใจ

   "ถ้าจะนอนก็นอนดีๆ" ประโยคคุ้นๆ เหมือนผมเพิ่งจะพูดแบบเดียวกันนี้ไปเมื่อวาน เพราะมันก็ยังคงนอนทิศเดิม เอาตีนก่ายหมอนเหมือนเดิม แถมพูดแล้วก็ไม่ยอมฟัง ยังอ่านการ์ตูนต่ออย่างไม่สนใจ ผมจึงได้แต่ส่ายหน้าเพราะไม่อยากมีเรื่องกันอีกรอบ

   ระหว่างที่เดินเอาผ้าเช็ดตัวไปพาดบนราว บังเอิญเห็นกระเป๋าเป้ของมันถูกกองทิ้งอยู่กับพื้น ผมจึงก้มหยิบเอาไปวางบนโต๊ะให้ แต่จังหวะนั้นเองที่สายตาของผมเหลือบไปเห็นอะไรบางอย่างแพลมออกมาจากซิปกระเป๋าที่เปิดอ้า

   หาง... ตุ๊กตาหมา

   "ตกลงมึงหากุญแจไม่เจอเหรอ" ผมลองถามหยั่งเชิง ก่อนจะได้รับคำตอบเป็นเสียงในลำคอสั้นๆ ว่า 'อือ' จากคนที่ยังนอนกระดิกตีนอยู่ในท่าเดิม

   "ลุกขึ้นมานอนดีๆ หมอนมีไว้หนุนหัว ไม่ใช่หนุนตีน" ผมจึงเดินไปหยุดยืนอยู่ข้างเตียง ก่อนกล่าวประโยคเดิมอีกครั้ง ทว่าคนที่นอนอ่านการ์ตูนก็ยังทำเป็นหูทวนลม

   "แน่ใจนะว่าจะไม่ลุก" ผมถามย้ำเป็นครั้งสุดท้าย

   เมื่อไม่มีคำตอบ ผมจึงทิ้งตัวลงไปนอนบนเตียงบ้าง คราวนี้ไม่ใช่ข้างๆ แต่เป็นข้างบน และไม่ใช่ทิศทางเดียวกัน แต่เป็นทิศประจำตำแหน่งของผม

   หรือเรียกง่ายๆ ก็กลับหัวกลับหาง

   "เฮ่ย! มึงเล่นอะไร!?" คนที่นอนอยู่จึงร้องลั่น แต่ขยับลุกไม่ได้ เพราะแค่เงยหน้าขึ้นมาก็ติดหว่างขาของผมพอดี

   และพอดีว่าผมเป็นคนไม่ชอบพูดมาก ตอบด้วยการกระทำน่าจะเร็วกว่า ผมจึงเอื้อมมือออกไปหาหัวเข็มขัดเบื้องหน้า

   "ไอ้ถึก! มึงลุกไปเลย กูหนัก!" มันยังดิ้นรนหาทางรอด ก็ปล่อยให้มันดิ้นไป ตอนนี้ผมยังไม่ว่างต่อล้อต่อเถียง เพราะยังคงยุ่งอยู่กับการกำจัดสิ่งกีดขวาง เข็มขัด ซิป กางเกงตัวนอก ตัวใน ไม่นานนักส่วนลับเฉพาะก็ปรากฏสู่สายตา

   เสียงด่าชะงักขาดหาย สิ่งนั้นยังคงนอนสงบนิ่ง แต่แค่เพียงสะกิดเรียกและลูบหัวเบาๆ ไอ้หมาน้อยก็ผงกหน้าขึ้นมาทักทาย ทำเอาหมาตัวใหญ่ครางรับในลำคอพร้อมกัดฟันกรอดๆ ที่ร่างกายริอาจทรยศ ซื่อตรงต่อความรู้สึกมากกว่าคำพูดหรือท่าทาง

   นอกจากมันจะปากมาก ตอแหล แล้วมันก็ยังท่ามาก

   ผมจึงลงมือกะเทาะหน้ากากด้านๆ หนาๆ ออกทีละชั้น กำโดยรอบพลางรูดขึ้นมาเบาๆ เร่งเร้าให้ส่วนนั้นขยายขนาด ก่อนจะยิ่งเร่งมือเมื่อได้ยินเสียงครางรับ ไม่เคยคิดเลยว่าชีวิตนี้จะต้องมาอยู่ในท่านี้กับผู้ชายด้วยกัน แต่ปฏิกิริยาตอบสนองของคนตรงหน้าก็ทำให้สมองของผมลืมเลือนเรื่องพวกนั้นไปจนหมด ซ้ำร้ายยังเรียกความร้อนภายในร่างกายของผมให้วิ่งมารวมกัน ณ กึ่งกลางลำตัว

   "ไอ้ถึก!? มึงเอาจริงดิ!?" คนปากมากร้องเสียงหลง เมื่อผมลองแตะลิ้นลงบนส่วนปลาย

   เหี้ยเหอะ กลิ่นคาวๆ รสชาติปะแล่มเกินบรรยาย กลิ่นของผู้ชายด้วยกันที่ทำให้ขนลุกด้วยความสยอง แต่น่าแปลก พอคิดว่าเป็นของใครก็กลับไม่มีความรังเกียจเลยแม้แต่น้อย

   "มึงก็อย่าอู้" ผมก้มบอกสั้นๆ ก่อนจะเริ่มลองผิดลองถูกกับกิจกรรมตรงหน้า ยังคงใช้มือเป็นหลัก เพราะยังไงก็ถนัดมากกว่า ไม่รู้ว่าพวกดาราเอวีใช้ปากและลิ้นกันคล่องแคล่วขนาดนั้นได้ยังไง

   คนด้านล่างสบถด่าสองสามคำพอเป็นพิธี แต่ไม่ได้อิดออดนานนัก เพราะไม่ใช่นิสัยของมันที่จะมาทำเหนียมอาย สักพักขอบกางเกงขาสั้นของผมก็ถูกดึงรั้งลงไป ปลดปล่อยส่วนที่ขยายขนาดอยู่ครึ่งทางให้ดีดตัวออกมาโลดแล่นอยู่ในมือเรียวสวย

   "อึก" กลับกลายเป็นผมที่ต้องกลั้นหายใจ เพราะคนหน้าไม่อายเริ่มลงลิ้นอย่างไม่มีอาการลังเล สัมผัสอุ่นชื้นเลียผ่านจากโคนขึ้นไปถึงปลาย ตวัดหยอกเย้าเคล้าคลึงอยู่บนส่วนหัว ก่อนจะอมรับความใหญ่โตเข้าไปข้างใน ผนังนุ่มชื้นดูดรัดพร้อมขยับขึ้นลง ทำให้ผมต้องหยุดมือและก้มลงมองภาพด้านล่าง

   ให้ตายเหอะ แม่งโคตรรู้สึกดีเป็นบ้า!

   ผมไม่รู้จะสบถออกมาเป็นคำไหน เพราะไม่เคยมีใครทำให้ขนาดนี้มาก่อน แต่ขณะเดียวกัน อีกความรู้สึกที่พุ่งขึ้นตามกันมาติดๆ กลับเป็นความโมโห เมื่อคิดว่ามันเชี่ยวชาญขนาดนี้เพราะเคยทำให้ใครต่อใครมากี่คนแล้ว!?

   คนด่านล่างยังแสดงฝีมือแบบไม่มีกั๊ก ยักคิ้วให้ราวกับสะใจที่ทำให้ผมหลุดครางได้ ผมจึงกัดฟันสะกดความปั่นป่วนที่วิ่งพล่านอยู่ทั่วท้องน้อย กลับมาสานต่อกิจกรรมตรงหน้า ถึงแม้ผมจะไม่ได้จัดเจนสนามเท่า แต่อย่างน้อยก็มีหนึ่งอย่างที่แน่ใจได้ว่า มันไม่เคยทำกับคนอื่น

   ผมกระตุกกางเกงขายาวสีดำพร้อมชั้นในของอีกฝ่ายให้หลุดออกจากปลายเท้า คนที่ยังสนุกกับขนมชิ้นใหญ่ในปากไม่ได้ขัดขืน จนกระทั่งประตูที่ปิดสนิทด้านหลังถูกบุกรุก

   "อื้อ! ไอ้อึก! ไอ้อี้โอง!?" มันอุทานอู้อี้ เบนหน้าหนีจนสิ่งที่อมอยู่หลุดออกมาข้างแก้ม ก่อนจะไอหลายครั้งเหมือนกับสำลักน้ำลายตัวเอง

   "ไอ้ขี้โกง!" มันยังไอแค่กๆ ไม่หยุด ด่าคำเดิมซ้ำอีกครั้ง ก่อนจะกลายเป็นเสียงครางขึ้นจมูกเมื่อผมค่อยๆ กดนิ้วเข้าไปด้านในจนสุด สลับกับการลากผ่านครูดผนังด้านบนออกมาช้าๆ

   ผมถือโอกาสนี้พลิกตัวกลับขึ้นมา ใช้ต้นขาดันใต้สะโพกของคนที่นอนอยู่ เปิดทางให้นิ้วเดิมสอดเข้าไปได้สะดวกยิ่งขึ้น ขณะที่มืออีกข้างก็ยังคงกำรอบส่วนแข็งขึง เป็นตัวประกันไม่ให้มันถีบผมตกเตียง

   "ไอ้ อะ..." เสียงด่าขาดหายอีกครั้งเมื่อนิ้วที่บุกรุกอยู่เพิ่มจำนวนมากขึ้น ผมจึงโน้มตัวลงไปจูบปากแดงๆ กันเอาไว้ก่อนจะมีคำด่าตามมาอีกระรอก

   กลิ่นคาวจางๆ ที่ยังตกค้างอยู่ภายในปากทำให้จูบของพวกเรามีรสชาติแปลกๆ ทำให้ความร้อนกลางลำตัวของผมร่ำร้องอยากจะกลับเข้าไปสัมผัสกับปลายลิ้นนุ่มอีกครั้ง แต่ก็ต้องอดใจเอาไว้ เพราะตอนนี้ความอยากเข้าไปแทนที่สองนิ้วที่ถูกรัดแน่นก็มีอยู่มากพอกัน

   ผมคว้าโลชั่นที่เคยใช้จากโต๊ะข้างเตียง มาชโลมลงบนนิ้วและค่อยๆ เติมเข้าไปด้านใน จนแน่ใจว่าช่องทางนั้นนุ่มและลื่นมากพอแล้วจึงถอนนิ้วออกมา ไม่ปล่อยจังหวะให้ว่างนานนัก ก็ปิดทับทางเดิมด้วยสิ่งที่มีขนาดใหญ่กว่า

   "อื้อ!" ครั้งนี้เสียงร้องอุทานเจือปนความเจ็บปวด สะโพกด้านล่างขยับถอยหนี สิ่งที่มันชอบด่าว่า 'ไซส์ควาย' คงจะทำให้ช่องทางคับแคบไม่เคยชินสักที ผมเองก็ต้องกลั้นหายใจกับความอึดอัดที่บีบรัด พยายามเบี่ยงเบนความสนใจด้วยการพรมจูบลงบนปาก เรื่อยลงมาจนถึงลำคอ เลียบนรอยสีกุหลาบช้ำ ก่อนจะจูบซ้ำบนรอยเดิม

   สักพักจึงเริ่มขยับตัวได้คล่องมากขึ้น แต่ทุกครั้งที่ดันกายเข้าไปจนสุด สะโพกด้านล่างก็ยังถอยหนี แม้บางครั้งจะยกลอยขึ้นอย่างลืมตัว สวนทางกับแรงเสียดสีด้านใน เสียงครางแปรเปลี่ยนจากความเจ็บเป็นความเสียว ร้องรับจังหวะการกระแทก ส่วนที่แข็งจนบวมเป่งจึงยิ่งขยับโยกอย่างรุนแรง ดึงดันเข้าออกสุดความยาว ร้อนจัดจนแทบจะระเบิด

   คนที่ทนรับคลื่นอารมณ์ไม่ไหวเบนหน้าหนีไปซุกลงกับเตียง ผมจึงถอนตัวออกมาชั่วคราว ขยับพลิกให้ร่างนั้นนอนคว่ำหน้าอยู่บนหมอน ยกเฉพาะส่วนสะโพกขึ้นสูง เผยให้เห็นช่องทางด้านหลังที่เคยปิดสนิท เวลานี้กลับกลายเป็นรูลึกสีแดงจัด เปิดอ้าเกือบเท่ากับสิ่งที่เคยบุกรุกเข้าออกซ้ำๆ ราวกับดินน้ำมันที่ถูกปั้นให้เปลี่ยนไปตามรูปร่างของผม

   เสียงครางขึ้นจมูกดังแผ่วเมื่อจุดที่เคยร้อนจัดถูกแทนที่ด้วยอากาศเย็นวาบ ผมจึงลองสอดนิ้วเข้าไป สัมผัสกับความนุ่มชื้นและร้อนระอุด้านใน กระตุ้นให้เสียงครางดังขึ้นอีกครั้ง

   "เหี้ยมึงอย่าเล่น!" มันหันกลับมาร้องด่า

   แต่เมื่อใบหน้าแดงจัดหันมาสบตาก็เบี่ยงหนีกลับไปด้านข้าง ผมจึงยอมทำตามอย่างว่าง่าย เลิกเล่นและกลับมาเอาจริงด้วยการแทรกตัวกลับเข้าไปด้านใน ท่านี้ช่วยให้เข้าไปได้ง่ายและลึกกว่าเดิม ทำให้เผลอดันตัวเข้าไปรวดเดียวจนมิดด้าม เสียงด่าจึงกลายเป็นเสียงครางอู้อี้อยู่บนหมอน

   ผลของการเอาจริงทำให้ผมเริ่มหยุดตัวเองไม่อยู่ จับสะโพกที่แอ่นรับเอาไว้มั่น ก่อนจะตั้งหน้าตั้งตาซอยไม่ยั้ง จนกระทั่งทรุดตัวลงไปนอนทับทั้งๆ ที่ท่อนล่างก็ยังขยับดันเข้าไปลึกยิ่งขึ้น กลิ่นหอมอ่อนๆ จากท้ายทอยยั่วยวนให้ฝังปลายจมูกลงไป ผมใช้แขนโอบรั้งใบหน้าของคนข้างล่างให้หันกลับมาจูบกัน เสียงครางจึงดังเล็ดลอดปะปนสลับกับเสียงจูบ

   มือเรียวสวยกำแน่นอยู่บนหมอน ผมจึงสอดประสานนิ้วของตัวเองลงไปเกาะเกี่ยว แนบสนิทไม่ต่างจากด้านในที่กำลังหลอมละลายเข้าหากัน เสียงครางหอบประสานไม่เป็นภาษา ความร้อนภายในพุ่งทะยานจนเอ่อล้นออกมา ผมได้แต่กดเสียงครางต่ำอยู่บนบ่าของร่างที่ครางถี่และหอบหายใจหนักหน่วงไม่แพ้กัน

   ระหว่างที่คลื่นความร้อนในท้องน้อยดันตัวออกไปหลายระลอก ผมยังคงนอนกอดร่างที่ฟุบอย่างหมดแรงจากด้านหลัง รับรู้ถึงผนังนุ่มที่ยังคงตอดระริก ของเหลวอุ่นจัดเอ่อล้นอยู่ข้างใน แม้จะรู้สึกเหนียวเหนอะหนะ แต่กลับไม่อยากถอนตัวออกมา

   "ตัวโคตรหนักยังจะนอนทับอยู่ได้ กูจะแบนเป็นกล้วยปิ้งอยู่แล้ว" พอเริ่มปรับจังหวะการหายใจได้ คนพูดมากก็เริ่มด่า ผมจึงค่อยๆ ถอยตัวเองออกมาแม้จะแอบโยกเบาๆ เรียกเสียงครางทิ้งท้าย สุดท้ายจึงขยับตัวลงมานอนด้านข้าง โดยโอบกอดร่างในอ้อมแขนเอาไว้เหมือนเดิม

   "พรุ่งนี้ไปเที่ยวกันนะ" ผมลองเอ่ยชวนเบาๆ อยากจะออกไปเที่ยวด้วยกันสองคนแบบที่เรียกเต็มปากว่า 'เดท' ได้บ้าง

   "พรุ่งนี้กูต้องกลับไปเฝ้าบ้าน เดี๋ยวตอนบ่ายจะมีช่างมาซ่อมแอร์" มันพึมพำตอบด้วยเสียงเนือยๆ เหมือนยังเหนื่อยกับกิจกรรมที่เพิ่งผ่านไป

   "ไหนว่าเข้าบ้านไม่ได้" ผมลอบยิ้ม เมื่อใครบางคนเผยไต๋ออกมาให้จับผิดได้ง่ายๆ พอๆ กับหางหมาที่โผล่ออกมาจากกระเป๋าของมันนั่นแหละ

   "ก็... ต้องเรียกช่างกุญแจมาด้วยไง" มันยังแถไปได้แบบสีข้างถลอก จนผมต้องพยายามเก็บเสียงหัวเราะลงบนบ่าของคนในอ้อมแขน

   "กูรักมึงนะ" ผมกระซิบบอกข้างหู ร่างที่ถูกกอดอยู่หยุดนิ่งอึ้งไป อาจจะสตั้นเพราะตามไม่ทัน แต่พอตั้งสติได้ก็เปลี่ยนเรื่องได้ไวกว่าแบบหน้าด้านๆ

   "มึงหยิบทิชชูให้กูที มันจะไหล" พูดจาเฉไฉในหัวข้อที่ไม่อายปาก แถมยังกลบเกลื่อนสีแดงเรื่อที่ระบายมาถึงหลังหูด้วยการบ่นต่ออีกยาว

   "กูบอกกี่ทีแล้วว่าให้ใส่ถุง มึงก็ไม่ยอมซื้อมา ดูดิ๊ เลอะเทอะไปหมด ผ้าปูเตียงก็เปื้อน แล้วนี่คืนนี้จะนอนกันยังไง" ไอ้ที่เปื้อนเตียงน่ะของมัน ส่วนของผมน่ะยังอยู่ข้างใน แต่เอาเถอะ คราวหน้าจะซื้อมาซะหนึ่งกล่องใหญ่ หนึ่งร้อยชิ้น คนสั่งก็เตรียมตัวรับผิดชอบด้วยละกัน

   "มึงยิ้มอะไร" มันถามด้วยน้ำเสียงหาเรื่อง ระหว่างที่ผมเอื้อมไปหยิบทิชชูมาช่วยเช็ดบนหน้าท้อง และกำลังจะลามลงไปเช็ดต่ำกว่านั้น

   "เฮ่ย!? กูจัดการเอง!" มันร้องเสียงหลงพร้อมกับพลิกตัวหนี ก่อนจะหลุดครางขึ้นจมูก เมื่อดูท่าว่าอะไรที่ตกค้างอยู่ข้างในจะไหลย้อนกลับออกมาจริงๆ ร่างเปลือยเปล่าจึงรีบลุกเดินทุลักทุเลไปทางห้องน้ำ ก่อนจะจัดการปิดประตูลงกลอนอย่างรู้ทัน

   ผมจึงหลุดหัวเราะออกมาเบาๆ แต่กลัวคนในห้องน้ำได้ยินแล้วจะพาลโมโห จึงเปลี่ยนเป็นการอมยิ้ม

   ถึงแม้มันจะไม่เคยยอมพูดหรือแสดงออกมาตรงๆ จนผมไม่แน่ใจว่ามันจะรู้สึกแบบเดียวกันบ้างหรือเปล่า แต่อย่างน้อย มันก็ยอมผมอย่างที่ไม่เคยยอมใครแบบนี้มาก่อน และไม่เคยยอมใครมากขนาดนี้มาก่อน

   ผมเหลือบมองกระเป๋าบนโต๊ะเตี้ยที่มีหางตุ๊กตาหมาแพลมออกมาอย่างอารมณ์ดี

   
----------


   แจ็คออกจะน่ารักนะ ...น่ารักออกไปหมด  :laugh:
   ความน่ารักอาจจะอยู่ลึกไปหน่อย ต้องขุดลึกหลายชั้น เพราะหน้ามันคอนกรีตเสริมใยเหล็ก :laugh:


หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 18 (22/3/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: em1979 ที่ 22-03-2018 21:59:20
ให้อภัยในความซึนถ้าแจ๊คจะซึนได้น่ารักขนาดนี่
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 18 (22/3/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: nevergoodbye ที่ 23-03-2018 01:01:04
ฮึ่มม แจ็คดื้อ เป็นเด็กไม่น่ารักสำหรับเรา  o18
หัวข้อ: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 19 หมามองเครื่องบิน
เริ่มหัวข้อโดย: @moment ที่ 23-03-2018 21:32:29
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/ (https://www.facebook.com/at.moment.writer/)
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer/ (https://twitter.com/atmoment_writer/)
   

   ตอนที่ 19 หมามองเครื่องบิน

   

   "อืออออ ตื่นแล้ว..." เสียงงัวเงียขานรับเมื่อครึ่งชั่วโมงที่แล้ว แต่ฟังยังไงก็ไม่น่าไว้วางใจ หลังจากอาบน้ำเสร็จผมจึงลองโทรไปปลุกคนขี้เซาอีกรอบ

   "เหี้ย! ทำไมมึงเพิ่งจะโทรมาปลุกกูป่านนี้!?" เป็นอย่างที่คิด โยนความผิดกันหน้าด้านๆ เปิดกรงปล่อยตัวเงินตัวทองออกมาวิ่งเพ่นพ่านแต่เช้า

   "ก็บอกแล้วว่าให้นอนด้วยกันที่นี่" เมื่อวานหลังเลิกเรียนมันแวะมานั่งเล่นที่ห้องของผม แต่พอตกเย็นก็เผ่นกลับบ้าน บอกว่าพรุ่งนี้ต้องตื่นแต่เช้า แล้วดูมันยอมตื่นซะที่ไหน พอพูดจบผมก็ได้ยินเสียงดังโครมครามจากปลายสาย ไม่รู้ว่าใครเดินสะดุดขาตัวเองหัวทิ่ม หรือกำลังจะพังห้องกันแน่

   "เหอะ! ถ้าอยู่ห้องมึงคงจะได้นอนหรอก" เสียงแจ็คโต้ตอบกลับมา ก่อนจะกล่าวต่ออย่างรวบรัด "แค่นี้นะ แล้วเจอกัน เหี้ยกูจะไปทันรถออกไหมวะ!?" มันยังสบถอีกครั้งก่อนตัดบทวางสาย

   ผมได้แต่ส่ายหน้าอย่างเอือมระอา แต่บ้านมันอยู่ไม่ไกลจากมหาลัย ถ้าไม่โอ้เอ้เจ้าสำอางก็น่าจะทัน เพราะยังเหลืออีกเกือบหนึ่งชั่วโมงก่อนเวลานัด ณ ลานหน้าหอประชุม เพื่อไปช่วยงานค่ายอาสาเป็นเวลาสามวันสองคืน

   เมื่อเก็บแปรงสีฟันและของใช้จำเป็นที่เหลือใส่กระเป๋าเสร็จ ผมจึงตรวจตราความเรียบร้อยครั้งสุดท้ายก่อนออกจากห้อง ยังมีเวลาอีกเหลือเฟือพอให้แวะกินข้าวเช้าแถวหน้าปากซอย ผมตัดสินใจแวะซื้อขนมปังติดกระเป๋าไปด้วย เพราะคนตื่นสายคงไม่ทันได้กินอะไรก่อนขึ้นรถแน่ๆ

   ผมเดินไปเรื่อยจนถึงรั้วมหาลัย ขณะนั้นก็มีรถสปอร์ตสุดหรูคันหนึ่งเลี้ยวผ่านหน้าเข้าไปก่อน ผมจึงมองตามเล็กน้อย ไม่ใช่เรื่องแปลกที่นักศึกษาบางคนจะเป็นลูกหลานคนรวย แต่ในวันหยุดที่ไม่ค่อยมีรถวิ่งภายในคณะแบบนี้ รถคันสวยจึงกลายเป็นจุดเด่นดึงดูดสายตา

   ผมเดินเข้ามาในคณะจนเห็นรถคันเดิมอีกครั้งจอดอยู่ในลานจอดรถใกล้กับหอประชุม ใจหนึ่งคิดว่าอาจเป็นคนที่มาร่วมทริปเดียวกัน แต่ลองคิดอีกทีก็ไม่น่าจะใช่ อาจเป็นแค่คนที่มาส่ง หรือไม่ก็คนที่เข้าคณะมาทำรายงานเฉยๆ เพราะใครจะเอารถหรูมาจอดทิ้งไว้ตั้งหลายวัน ต่อให้มียามเฝ้าก็ยังไม่ปลอดภัยอยู่ดี

   "อ้าวตึก! มาพอดีเลย มาช่วยกันยกของขึ้นรถหน่อยสิ" ผมหันกลับไปตามเสียงร้องทักของเพื่อนคนหนึ่ง พอเห็นหน้าปุ๊บก็เรียกใช้แรงงานปั๊บ ผมจึงขานรับสั้นๆ ก่อนจะหาที่วางกระเป๋าและเดินเข้าไปช่วย

   พวกเราช่วยกันยกกล่องข้าวของขึ้นรถบัสคันใหญ่ ระหว่างนั้นก็มีการแนะนำตัวคนที่ยังไม่รู้จักกันบ้าง งานนี้มีคนมาช่วยเยอะเลยทีเดียว ทั้งเพื่อนร่วมรุ่น ทั้งน้องๆ ปีหนึ่งปีสอง ทั้งเพื่อนในคณะและต่างคณะ น่าจะเต็มคันรถ

   "อ้าว ต้น เป็นยังไงบ้าง ไม่ได้เจอกันตั้งนาน" เสียงหวานๆ เรียกชื่อเล่นของผมที่แทบจะไม่เหลือใครเรียก เมื่อหันกลับไปผมจึงได้พบเพื่อนผู้หญิงต่างคณะคนหนึ่ง จำได้ว่าเธอชื่อ 'แก้ว' เคยเจอกันตอนที่ไปช่วยงานละครเวทีของมหาลัย

   "คราวก่อนชมรมอาสาก็ไปช่วยงานชมรมเรา คราวนี้เราก็เลยมาช่วยบ้าง แลกกัน" แก้วยิ้มพลางอธิบาย ระหว่างที่พวกเรายังช่วยกันยกของขึ้นรถ

   ตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกสังหรณ์ใจแปลกๆ ทั้งๆ ที่ตาข้างขวาก็ไม่ได้ขยิบ แต่แล้วไม่กี่นาทีถัดมาผมก็ต้องเชื่อในความกลมของโลกใบนี้ เพราะต่อให้อยู่ต่างคณะ แต่ยังไงก็อยู่ในรั้วมหาลัยเดียวกัน สักวันก็ต้องวนเวียนมาเจอกันอีกจนได้

   "หมอน! ทางนี้ๆ" แก้วโบกมือเรียกเพื่อนอีกคนที่เพิ่งเดินเข้ามาพอดี

   หมอน... เป็นเพื่อนของแก้ว เป็นผู้ชายรูปร่างผอมบาง ส่วนสูงเกินมาตรฐานชายไทย แต่ด้วยบุคลิกที่เรียบๆ เรื่อยๆ หัวอ่อน ยิ้มง่าย กับดวงตาสองชั้นที่ปรือจนเหมือนคนง่วงนอนตลอดเวลา ทำให้ร่างนั้นแลดูตัวเล็กและเด็กกว่าอายุจริงหลายปี

   "ขอโทษนะแก้วที่มาช้า อ่ะ เอ่อ ต้น... มางานนี้ด้วยเหรอ" ร่างบางยิ้มทักทายเพื่อน ก่อนจะชะงักไปเมื่อหันมาเห็นผม สีหน้าอ้ำอึ้งหันมองซ้ายขวา แต่เมื่อมองแล้วไม่พบใครจึงลอบถอนหายใจอย่างโล่งอก

   ผมกลับยิ่งหนักใจ เพราะรู้ว่าหมอนกำลังกลัวอะไร

   หรือถ้าจะพูดให้ชัดก็คือกลัว 'ใคร'

   และใครคนที่ว่าก็กำลังจะมาถึงในอีกไม่เกินครึ่งชั่วโมงนี้

   "พี่หงส์มาส่งหมอนเหรอ" หนึ่งสาวที่ไม่ได้สังเกตเห็นถึงบรรยากาศแปลกๆ ระหว่างพวกเราเอ่ยแซวเพื่อนของตัวเอง ดึงความสนใจจากร่างบางได้เป็นอย่างดี ทำให้สีหน้ากังวลใจของหมอนแปรเปลี่ยนเป็นอาการอ้ำอึ้งในอีกความหมายหนึ่ง

   "เห็นรถของพี่หงส์มาจอดอยู่ตั้งนานแล้ว แต่ไม่เห็นมีใครลงมาซะที ไม่รู้ว่ามัวทำอะไรกันอยู่" แก้วยังคงแซวไม่เลิก ทำให้ใบหน้าของคนขี้อายกลายเป็นสีแดงระเรื่อ คนแซวเลยหัวเราะคิกคัก

   "ไปช่วยกันขนของดีกว่า" แกล้งเพื่อนจนพอใจแล้วแก้วจึงชวนหมอนเดินไปหาเพื่อนคนอื่นต่อ หมอนหันมายิ้มให้ผมอย่างเป็นมิตรอีกครั้งก่อนจะเดินจากไป

   ผมได้แต่มองตามร่างนั้นด้วยความหนักใจ ใจหนึ่งอยากภาวนาขอให้รถติด รถเสีย หรือเกิดเหตุขัดข้องอะไรก็ได้ ทำให้แจ็คมาไม่ทันนัด ถึงแม้จะพร่ำบอกตัวเองอยู่ในใจว่าอย่าตีตนไปก่อนไข้ อย่ากังวลเกินกว่าเหตุ เพราะเรื่องที่เคยเกิดขึ้นก็ผ่านมานานแล้ว จบไปนานแล้ว

   แต่ความกลัวที่เริ่มก่อตัวขึ้น คงเป็นเพราะผมรู้ดีอยู่แก่ใจ

   มันไม่เคยลืม... คนที่เป็นรักฝังใจ

   

   นับครั้งไม่ถ้วน เวลาอกหักแจ็คมักจะแบกขวดกลมๆ มาที่ห้องของผม พอเมาแล้วก็ยิ่งเพิ่มเลเวลความปากหมา ด่าโชคชะตาฟ้าดิน ด่าคนที่ทิ้งมันว่ามีตาหามีแววไม่ ด่าบุคคลที่สามว่าเป็นตัวการทำลายความรัก

   มีอยู่วันหนึ่ง ตอนแรกมันก็มาอีหรอบเดิม

   "หมอนหลงรักคนแบบนั้นเข้าไปได้ยังไง!? ไอ้เหี้ยนั่นมันทั้งแรด! ทั้งร่าน! ใครๆ ก็รู้ว่ามันมั่วผู้ชายเกือบครึ่งค่อนโรงเรียน! เกเรก่อเรื่องจนเกือบจะเรียนไม่จบ ถ้าพ่อมันไม่รวยคับฟ้าป่านนี้ถูกไล่ออกไปนานแล้ว"

   มันด่าใครบางคนอย่างสาดเสียเทเสีย ขุดสารพัดสิ่งขึ้นมาเผา จับใจความได้ว่าคนที่ถูกด่าเป็นรุ่นพี่ที่โรงเรียนเก่า ถึงแม้ว่าเรื่องที่เล่ามาจะไม่รู้ว่าใส่สีตีไข่มากน้อยแค่ไหน แต่ถ้าเป็นจริงก็เข้มข้นยิ่งกว่าละครที่มีตัวเอกเป็นเด็กใจแตกเสียอีก

   พอเมาหนัก สักพักมันก็ร้องไห้...

   แต่คราวนี้มาแปลก เป็นครั้งแรกที่ผมเห็นมันด่าตัวเอง

   "กูมันเลว... กูทำแบบนั้นกับหมอนได้ยังไง... หมอนคงจะเกลียดกูแล้ว... เหี้ยเอ๊ย! กูแม่งเหี้ยสัดๆ หมอนต้องเกลียดกูแล้วแน่ๆ ไอ้ถึก ทำไงดี กูอยากตาย..."

   มันร้องไห้ด่าตัวเองซ้ำไปซ้ำมา พูดจาวกวนจนฟังแทบไม่รู้เรื่อง ไม่รู้ว่าตกลงมันทำอะไรลงไปกันแน่ จนกระทั่งเสียงอ้อแอ้ยานคางสารภาพความผิดของตัวเองออกมา ผมจึงได้แต่นิ่งอึ้ง ฟังจบแล้วอยากด่าซ้ำว่า 'มึงมันเหี้ย!' แต่ก็กลัวคนเมาจะบ้าจี้โดดตึกตายขึ้นมาจริงๆ จึงได้แต่นั่งฟังอย่างเงียบๆ ปล่อยให้มันร้องไห้คร่ำครวญจนเมาฟุบหลับไปกับโต๊ะ

   ผมได้แต่ถอนหายใจและส่ายหน้าอย่างสงสารปนสมเพช เมาแล้วขาดสติ ทำอะไรโดยไม่ยั้งคิด แถมยังจะเมาซ้ำด้วยความสำนึกผิด แต่สิ่งที่มันทำก็ร้ายแรงถึงขั้นที่ว่า ถ้าผมเป็นหมอน คงจะตัดขาดกับมันแบบชาตินี้ไม่ขอเผาผี หรืออย่าให้เจอหน้ากันที่ไหนมีได้อัดให้น่วมตายคาตีนแน่ๆ

   ทว่าสุดท้ายก็เหนือความคาดหมาย เพราะคนใจดีกลับยอมให้อภัย ทั้งยังยอมรับมันกลับมาเป็นเพื่อนอีกครั้ง ถึงแม้จะรับรู้ได้ว่าหมอนลำบากใจเวลาที่ต้องเผชิญหน้ากัน สาเหตุสำคัญคงเป็นเพราะคนรักของหมอนเกลียดไอ้แจ็คเข้าไส้ ซึ่งก็สมเหตุสมผล สมควรสมน้ำหน้า

   แต่ดูท่ามันจะไม่เคยเข็ด

   "หมอน..."

   ร่างสูงที่เพิ่งเดินทางมาถึงชะงักไปอย่างตกใจ ไม่ต่างกับคนที่หันกลับไปตามเสียงเรียก สีหน้านิ่งอึ้งอย่างเห็นได้ชัด

   "เอ่อ ไม่ได้เจอกันนานเลย... หมอนสบายดีหรือเปล่า" คนพูดมากเป็นฝ่ายตั้งตัวได้ก่อน น้อยครั้งที่จะเห็นมันอ้ำอึ้งราวกับเลือกคำพูดไม่ถูก แต่สุดท้ายก็คลี่ยิ้มทักทาย

   สีหน้าท่าทางของแจ็คในตอนนี้ ทำให้ผมนึกถึงหมาตัวใหญ่ที่อยากกระโจนใส่เจ้าของใจจะขาด หูตั้ง สะบัดหางแรงๆ จนหางแทบหลุด แลบลิ้นแฮ่กๆ จนน้ำลายแทบหยด แต่ด้วยความผิดติดตัวจึงทำได้แค่ยืนหน้าสลด หูลู่ หางตก

   แต่ไอ้หมาตัวดี มันคงลืมสนิทว่าตอนนี้ใครกันแน่ที่เป็นเจ้าของ

   "ก็... สบายดี เอ่อ กูไปช่วยเขายกของก่อนนะ อีกเดี๋ยวรถจะออกแล้ว" หมอนยิ้มตอบแจ็คด้วยท่าทางเก้ๆ กังๆ แบบไม่รู้ว่าควรทำตัวยังไง ก่อนจะหาเหตุผลปลีกตัวออกไปจากสถานการณ์ที่ตั้งตัวรับไม่ทัน

   ผมเห็นไอ้แจ็คมองตามตาละห้อย ไม่สนใจคนที่ยืนหัวโด่เป็นหัวหลักหัวตออยู่ตรงนี้เลยสักนิด

   "อะไร" แจ็คอุทานเมื่อผมยกแขนพาดรอบบ่า ดึงรั้งให้มันหันหน้ากลับมาหา

   "มาสายแล้วยังจะยืนอู้อยู่อีก ไปช่วยกันทำงาน" ผมถือโอกาสต่อว่าพร้อมดึงแจ็คให้เดินออกไปอีกทาง ถึงแม้ว่าร่างสูงจะยังแอบเหลียวหลัง ชะเง้อคอยาวเป็นยีราฟ มองหาใครบางคนที่เดินห่างออกไปไกลสุดสายตา จนผมต้องออกแรงฉุดกึ่งลาก มันถึงได้ยอมเดินตามมา

   แต่จนแล้วจนรอด มันก็ยังไม่ยอมละความพยายาม

   หลังจากขนของเสร็จทุกคนจึงพากันทยอยขึ้นรถ ไอ้หมาตัวดีก็ใช้สกิลความหน้าด้าน ถ้าบังเอิญที่นั่งข้างหมอนไม่ได้ถูกจับจองอยู่ก่อนแล้ว มันคงตีมึนไปนั่งข้างๆ แล้วด้วยซ้ำ โชคดีที่หมอนมากับแก้ว เมื่อเพื่อนเลือกนั่งลงบนเบาะตัวหนึ่งริมหน้าต่าง หมอนจึงเดินตามไปนั่งข้างๆ กัน

   "อะ ขอบใจนะ..." หมอนเอ่ยขอบคุณเบาๆ ระหว่างที่กำลังจะยกกระเป๋าขึ้นไปเก็บบนชั้นวางของเหนือศีรษะ ไอ้แจ็คก็รีบเสนอหน้า แต่ด้วยส่วนสูงที่ได้เปรียบมากกว่า ทำให้ผมชิงตัดหน้าช่วยหมอนได้ก่อน

   มันเหล่มองเล็กน้อยอย่างขัดใจแต่ก็ทำอะไรไม่ได้ อยากจะนั่งเบาะข้างๆ ก็ดันไม่ว่าง สุดท้ายก็ยังจะดื้อด้านดันทุรังนั่งเบาะถัดมาด้านหลัง แถมยังเลือกที่นั่งฝั่งริมหน้าต่าง คงกะระยะแล้วว่า ถ้ามองลอดผ่านช่องว่างระหว่างเบาะก็จะสามารถเห็นเสี้ยวหน้าของหมอนได้พอดี

   "ใช้แรงงานนิดเดียวก็หิวแล้วอ่ะ หมอนกินอะไรมาหรือยัง กินขนมไหม" แก้วชวนคุยพลางเปิดกระเป๋าควานหาขนม

   "ยังเลย เมื่อเช้าปอร์เช่วิ่งซนชนกรอบรูปตกแตก กว่าจะเก็บกวาดเสร็จก็หมดเวลาพอดี" หมอนเล่าด้วยน้ำเสียงเจือความเอ็นดูมากกว่าจะโมโห แต่คนฟังทำหน้างงว่าปอร์เช่คือใคร เสียงเดิมจึงอธิบายขยายความ "หมาที่เลี้ยงไว้น่ะ"

   "เอ๋ หอพักอนุญาตให้เลี้ยงหมาได้ด้วยเหรอ" เสียงหวานใสถามกลับไปทันที บทสนทนาจึงกลับกลายเป็นความเงียบชั่วขณะ เพราะหอพักนักศึกษาส่วนใหญ่ห้ามเลี้ยงสัตว์ และคาดเดาจากรถสปอร์ตคันหรูที่มาส่งเมื่อเช้า ดูท่าว่าตอนนี้คนที่อ้ำอึ้งไปจะไม่ได้พักอยู่หอ หรืออาจจะแค่ 'เคยอยู่'

   "เอ่อ เราซื้อแซนวิชมาด้วย แก้วกินด้วยกันไหม" เป็นวิธีการเปลี่ยนเรื่องที่เต็มไปด้วยพิรุธสุดๆ หนึ่งสาวจึงหัวเราะคิกคัก แต่ก็ไม่ได้แกล้งแหย่ให้เพื่อนต้องเขินอายไปมากกว่านี้

   ส่วนอีกคนที่แอบมองจากด้านหลัง... ผมเห็นมันนั่งกัดฟัน ราวกับเก็บกลั้นความไม่พอใจ หึง หวง อิจฉา และอีกหลากหลายความรู้สึก โดยเฉพาะสายตาที่ฉายแววเศร้าอย่างปิดไม่มิด

   "หิวไหม" ผมหยิบขนมปังและขวดน้ำจากในกระเป๋าออกมายื่นให้ เห็นแล้วก็อดสงสารไม่ได้ แจ็คไม่ได้พูดอะไร แค่หันกลับมามองมือผมเล็กน้อย ก่อนจะยอมรับขนมปังไปแกะกินแต่โดยดี

   ตอนนี้ ผมสงสารมัน พอๆ กับที่สงสารตัวเอง

   
----------


   เรื่องราวของพี่หงส์กับน้องหมอนอยู่ในเรื่อง Love Magnet - รับได้ก็รัก (จบแล้ว) ถ้าใครสนใจอ่านก็ลองกูเกิ้ลหาดูได้เน้อ
   มีแจ็คไปเป็นตัวป่วนนิดหน่อย ตามคอนเซ็ป 'สร้างความร้าวฉานคืองานของแจ็ค' 555 แต่ถึงไม่อ่านก็น่าจะรู้เรื่องแหละ เพราะแจ็คมันก็ได้แต่รักเขาข้างเดียวเป็นหมามองเครื่องบิน หรือถ้าอ่านแล้วอาจจะอยากฆาตรกรรมแจ็คมากขึ้นก็เป็นได้ 555555 (ยื่นมีด)  o18
   ใครเห็นความน่ารักของแจ็คคือต้องใช้ฟิลเตอร์ถึกมากๆ กร๊าก :laugh:

หัวข้อ: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 20 แจ็คผู้ฆ่ายักษ์
เริ่มหัวข้อโดย: @moment ที่ 25-03-2018 12:57:23
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/ (https://www.facebook.com/at.moment.writer/)
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer/ (https://twitter.com/atmoment_writer/)
   

   ตอนที่ 20 แจ็คผู้ฆ่ายักษ์

   

   ระหว่างการเดินทาง สายตาคู่เดิมยังคงลอบมองไปที่เบาะด้านหน้าเป็นระยะ เข้าทำนองว่ายิ่งมองก็ยิ่งเจ็บ แต่จะไม่มองก็ห้ามตัวเองไม่ได้ ไม่ต่างจากผมที่ทำได้เพียงลอบมองคนข้างๆ

   สักพักผมก็เห็นแจ็คนั่งหลับตา อาจจะง่วงเพราะวันนี้ต้องตื่นเช้ากว่าปรกติ ไม่นานนักก็ผลอยหลับไป ผมจึงดึงศีรษะที่โงนเงนให้เอนซบลงมาบนบ่าของตัวเอง

   ถึงตอนเที่ยง รถบัสจึงแวะจอดที่ปั้มน้ำมันแห่งหนึ่งเพื่อให้สมาชิกได้พักกินข้าวและเข้าห้องน้ำตามอัธยาศัย ทิวทัศน์สองข้างทางกลายเป็นทุ่งนา เห็นภูเขาอยู่ไกลลิบๆ โรงเรียนที่พวกเราจะไปคราวนี้อยู่ห่างจากกรุงเทพไม่กี่ชั่วโมง แต่กลับดูห่างไกลความเจริญมากกว่าที่คิด ยังดีที่รถสามารถวิ่งเข้าไปในตัวหมู่บ้านได้ แม้จะเป็นถนนลูกรังที่มีแต่ฝุ่นสีแดงตลบฟุ้ง

   กว่าจะถึงที่หมายก็เป็นเวลาบ่ายกว่าๆ พวกเราจึงเริ่มงานกันทันที เริ่มจากช่วยกันขนของลงจากรถ แบ่งกลุ่มรับผิดชอบงานส่วนต่างๆ กลุ่มแรกคือคนครัว มีหน้าที่จัดเตรียมอาหารสำหรับเลี้ยงเด็กๆ ถัดมาคือกลุ่มทำความสะอาด เตรียมพร้อมก่อนการซ่อมแซมและทาสีโรงเรียนใหม่ในวันพรุ่งนี้ รวมถึงจัดเตรียมที่พักสำหรับชาวค่ายโดยขอยืมเสื่อจากวัดมาปูนอนกันในห้องเรียน ส่วนกลุ่มสุดท้ายมีหน้าที่แจกจ่ายของบริจาครวมทั้งจัดกิจกรรมสันทนาการให้กับเด็กๆ ก่อนจะถึงเวลาอาหารเย็น

   หมอนกับแก้วเข้าร่วมกลุ่มทำครัว ตอนแรกไอ้แจ็คก็ทำท่าจะตามไปด้วย แต่ดูน้ำหน้าคนที่จับมีดก็แทบจะหั่นนิ้วตัวเอง จุดไฟตั้งเตาก็แทบจะเผาบ้าน ขืนปล่อยให้เข้าครัวก็คงจะมีแต่พังกับพินาศ มันเลยถูกสกัดดาวรุ่ง(ริ่ง)ให้ไปช่วยแจกของบริจาคแทน

   "ขอบคุณค่ะ พี่ชายสุดหล่อ"

   อาศัยข้อดีที่มีอยู่น้อยนิดทำให้แจ็คกลายเป็นขวัญใจของเด็กๆ อย่างรวดเร็ว เด็กผู้หญิงร่างเล็กคนหนึ่งน่าจะอายุไม่เกินสิบขวบ คลี่ยิ้มสวยพร้อมยกมือไหว้ขอบคุณ หน้าตามอมแมมเล็กน้อยแต่รอยยิ้มน่ารักสมวัย พอโดนชมว่าหล่อเข้าหน่อยคนบ้ายอก็เริ่มยิ้ม อารมณ์ขุ่นข้องเริ่มจางหาย กลายเป็นแจกของไปก็แจกรอยยิ้มไปด้วย

   "หน้าขาววอกเป็นลิงอย่างนี้เนี่ยนะหล่อ ข้ายังหล่อกว่าตั้งเยอะ!" ตรงกับสำนวนที่ว่ามีคนรักย่อมมีคนชัง ยิ่งโดดเด่นก็ยิ่งโดนเขม่น เด็กหัวปิงปองคนหนึ่งตะโกนโพล่งขึ้นมากลางแถว ยืนเท้าเอววางท่าราวกับเป็นหัวโจกของกลุ่มเด็กทโมน

   "ตัวกะเปี๊ยกแค่นี้ กลับไปกินนมให้สูงเท่าพี่ก่อนแล้วค่อยทำซ่าดีไหม" แจ็คตอบโต้ด้วยการเอื้อมมือออกไปขยี้หัวเกรียนๆ แต่พอเด็กหัวปิงปองพยายามปัดออกและต่อยตีกลับมา มันก็เลยยันหัวกลมๆ เอาไว้ ทำให้แขนขาที่สั้นกว่าเอื้อมไปทำร้ายไม่ถึง

   พรรคพวกเด็กผู้ชายอีกสองสามคนจึงรีบก้าวออกมาช่วยเพื่อน แต่ฝั่งเด็กผู้หญิงก็ออกมาปกป้องพี่ชายสุดหล่อ จนกลายเป็นการก่อสงครามขนาดย่อม แต่แทนที่ไอ้เด็กโข่งจะห้ามทัพ กลับร่วมวงทะเลาะด้วยเหมือนเด็กๆ พอเด็กกวนตีนมามันก็กวนตีนกลับ น่าสงสัยว่าอายุสมองคงจะใกล้เคียงกัน

   ตอนแรกผมนึกภาพไม่ออกเลยว่าไอ้แจ็คกับเด็กเกรียนจะอยู่ร่วมโลกกันได้ยังไง แต่ไปๆ มาๆ การทะเลาะเบาะแว้งกลับกลายเป็นการวิ่งเล่นไล่จับ เด็กคนหนึ่งกระโดดเกาะขาพะรุงพะรัง อีกคนก็กระโจนขึ้นขี่คอ วิ่งไล่วนรอบสนาม เด็กคนอื่นพลอยวิ่งตามกันเป็นพรวน

   ตั้งแต่ออกเดินทางเพิ่งจะได้เห็นมันยิ้มกว้างและหัวเราะสุดเสียงก็คราวนี้

   พอดีกับที่คนอื่นๆ ช่วยกันแจกจ่ายของบริจาคเสร็จ พวกเราจึงเริ่มแบ่งกลุ่มกันทำกิจกรรมสันทนาการ กลุ่มเด็กโตหน่อยก็ไปเตะบอลฉลองลูกบอลใหม่ ส่วนกลุ่มเด็กเล็กก็ยังคงเดินล้อมหน้าล้อมหลังไอ้แจ็คอยู่ไม่ห่าง

   เด็กเล็กคนหนึ่งได้รับของบริจาคเป็นหนังสือนิทาน แต่ยังอ่านหนังสือไม่คล่อง จึงอ้อนขอให้พี่สุดหล่อช่วยอ่านให้ฟัง คนบ้ายอเลยได้ใช้ความพูดมากให้เป็นประโยชน์ก็วันนี้

   "เล่าเรื่องนี้ละกัน เรื่องนี้พี่เป็นพระเอก"

   คนพูดกระหยิ่มยิ้มย่องระหว่างหยิบหนังสือนิทานเล่มหนึ่งขึ้นมา

   บนหน้าปกเขียนว่า 'แจ็คผู้ฆ่ายักษ์'

   "ไอ้ถึก! มึงดูนี่ดิ บทนี้โคตรเหมาะกับมึงมากเลย" มันหันมาตะโกนเรียกผมก่อนระเบิดหัวเราะลั่น

   ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าเป็นบทไหน จะมีอะไรอีกถ้าไม่ใช่ 'ยักษ์'

   ผมพยักหน้ารับแกนๆ พลางเดินเข้าไปฟังมันเล่านิทานสักหน่อย ไม่อยากขัดศรัทธา แต่เพียงแค่เริ่มต้นเรื่องไม่กี่ประโยค ผมก็ถึงกับต้องกุมขมับ

   "กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีชายหนุ่มรูปงามนามว่า 'แจ็ค' นิสัยดี มีเสน่ห์ เป็นที่รักของทุกคน"

   ดูมัน ใส่สีตีไข่ ยกหางตัวเองหน้าด้านๆ สงสารก็แต่เด็กน้อยตาดำๆ ที่ต้องมานั่งฟังนิทานเวอร์ชั่นสุดเพี้ยน แถมเล่าไปพลางมันก็ทำท่าทางประกอบอย่างออกรสชาติ พอเล่าถึงตอนที่แจ็คปีนต้นถั่ว มันก็ทำท่าจะปีนต้นไม้ จนผมต้องคอยดึงไว้เพราะกลัวว่าเด็กจะเอาเป็นเยี่ยงอย่าง

   "หนูจำได้แล้ว! ตอนจบแจ็คถูกยักษ์จับกินใช่ไหม!?" เด็กผู้หญิงคนหนึ่งที่นั่งลุ้นตามจนตัวโก่ง พูดโพล่งขึ้นมาอย่างตื่นเต้น

   "ใช่ที่ไหน แจ็คตกเถาวัลย์ตายต่างหาก" เด็กผู้ชายอีกคนเถียง

   "ไม่ใช่! แจ็คกับยักษ์ต้องได้ครองรักกันอย่างมีความสุขชั่วนิรันดร์สิ!" เด็กผู้หญิงอีกคนตะโกนเถียงเสียงดัง คงจะติดจินตนาการจากนิทานเจ้าหญิงเจ้าชาย แต่เป็นคำตอบที่ทำให้ผมลอบยิ้ม

   "ไม่ใช่สักอย่างนั่นแหละ! ตอนจบแจ็คฆ่ายักษ์และชิงห่านทองคำมาได้ กลายเป็นเศรษฐีต่างหาก" ไอ้แจ็คก็พลอยเถียงไปกับเขาด้วย แต่ดันกลายเป็นการสปอยตอนจบ ทำให้เด็กหลายคนโห่ร้องออกมาด้วยความเซ็ง

   "อ่ะๆ พวกเราไปกินข้าวกันดีกว่า กลิ่นหอมลอยมาถึงนี่เชียว เด็กๆ หิวกันแล้วหรือยัง" มันจึงรีบเปลี่ยนเรื่องอย่างรวดเร็วหนีความผิด ถึงแม้เด็กบางคนจะยังงอแง แต่พอมีของกินมาล่อก็ลืมเรื่องขุ่นข้องใจไปจนหมด

   ต้องขอบคุณเด็กๆ ที่ทำให้แจ็คหัวหมุนจนไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องอื่น มันจึงไม่ได้พยายามมองหาใครบางคนอีก ทั้งตอนที่นั่งกินข้าวเย็น หรือตลอดจนกระทั่งโบกมือลาส่งเด็กๆ กลับบ้าน กว่าจะรู้ตัวอีกครั้งดวงอาทิตย์ก็ลับขอบฟ้า

   "ไอ้ถึก กูว่ากูใช้พลังงานชีวิตหมดโควต้าแล้วว่ะ" เพิ่งจะผ่านไปแค่วันแรกมันก็ทรุดลงนั่งยองๆ ลงกับพื้นอย่างหมดแรง ผมจึงปล่อยให้อีกฝ่ายนั่งอยู่ตรงนั้น ก่อนจะเดินเลยไปนั่งบนเก้าอี้ไม้ที่ตั้งอยู่ห่างออกไปเล็กน้อย

   "อ้าวเหี้ยนี่ มีเก้าอี้ก็ไม่บอก" มึงไม่มองเองต่างหาก

   เมื่อผมแอบยิ้มมันจึงมองเขม่นกลับมา แต่ด้วยความเหนื่อยจัดจึงลากขาเดินมานั่งข้างๆ อย่างไม่อิดออด

   ท้องฟ้าในต่างจังหวัดมืดเร็วกว่ากรุงเทพมาก ยังไม่ดึกเท่าไหร่ก็เปลี่ยนเป็นสีดำสนิท บรรยากาศเงียบสงัด สายลมเย็นสบายพัดผ่าน มีเพียงแสงไฟและเสียงของผู้คนแว่วดังมาจากตัวอาคาร ร่างด้านข้างนั่งหาวปากกว้าง ก่อนจะยกมือขึ้นมาปิดแทบไม่มิด

   "ถ้าง่วงก็ไปอาบน้ำนอนซะ" ผมบอกสั้นๆ ทว่าแจ็คกลับนั่งเฉย ไม่ขยับเขยื้อน

   "ขืนเข้าไปตอนนี้ก็มีงานรออีกเพียบ แอบอู้อยู่ตรงนี้ดีกว่า" ดูมัน ผมได้แต่ส่ายหน้าอย่างระอา

   ถึงแม้อีกใจหนึ่งก็จะอดแปลกใจไม่ได้ เพราะตั้งแต่เช้าก็เห็นมันพยายามเสนอหน้าเข้าไปใกล้ชิดหมอนทุกครั้งที่มีโอกาส ทั้งๆ ที่ตอนนี้หมอนน่าจะกำลังช่วยเก็บกวาดล้างจานอยู่ในครัว แต่มันกลับนั่งหาว และทำท่าเหมือนจะแอบงีบอยู่ตรงนี้

   สักพัก ศีรษะของคนด้านข้างก็เอนพิงลงมาบนบ่าของผม

   ผมจึงก้มลงมองใบหน้าของคนที่นั่งหลับตา แก้มเนียนใสถูกบดบังด้วยเส้นผมที่ปรกลงมา ผมจึงยกมือข้างหนึ่งเกลี่ยปอยผมนุ่มขึ้นไปทัดไว้ข้างหู แต่ปลายนิ้วเจ้ากรรมกลับไม่อยากผละจาก เผลอไล้บนกรอบหน้าอย่างอ้อยอิ่งแผ่วเบา

   จังหวะนั้นเองที่แจ็คปรือตาขึ้นมา

   เมื่อผมจ้องมอง มันก็ไม่ได้หลบตา

   เมื่อผมโน้มหน้าลงไปใกล้ มันก็ไม่ได้ถอยหนี

   ริมฝีปากของพวกเราจึงสัมผัสกันแผ่วเบา

   

   ตอนแรกผมยังอดหวั่นใจไม่ได้ว่าคนที่ทำตัวดีมาตลอดบ่ายจะลงท้ายด้วยอาการดีแตก แอบย่องเข้าหาเป้าหมายกลางดึก แต่ผมคงจะกังวลมากเกินไป เพราะห้องเรียนที่ถูกประยุกต์เป็นห้องนอนด้วยการปูเสื่อมีคนเต็มห้องนอนเรียงกันยาวเป็นแพ ไม่เปิดโอกาสให้ใครย่องไปไหนได้

   อีกทั้งการสู้รบกับเด็กๆ ทั้งวันคงทำให้มันเหนื่อยจัด พอหัวถึงหมอนก็นอนหลับเป็นตาย คืนนั้นผมจึงได้นอนหลับอย่างสบายใจโดยมีมันนอนอยู่ข้างกายอีกหนึ่งคืน

   เช้าวันรุ่งขึ้นพวกเราจึงเริ่มลงมือปรับปรุงพัฒนาโรงเรียนโดยแบ่งกลุ่มกันทำงานเหมือนเดิม ผู้หญิงส่วนหนึ่งยังคงดูแลงานในครัว ส่วนงานใช้แรงประเภทซ่อมแซมอาคาร ผนัง พื้นไม้ บันได หลังคา ตลอดจนการทาสีตัวตึกใหม่ นำทีมโดยคนในชมรมอาสาซึ่งออกค่ายหลายครั้งจนเชี่ยวชาญ

   ผมกับหมอนเคยมีประสบการณ์การทำฉากประกอบละครเวทีมาก่อน จึงมาช่วยงานในส่วนนี้ด้วย ส่วนแจ็คที่กลายเป็นขวัญใจเด็กๆ โดยไม่ได้ตั้งใจ จำต้องไปรับหน้าที่ปรับสภาพพงหญ้ารกร้างหลังโรงเรียนให้กลายเป็นแปลงผักสวนครัว โดยมีเด็กๆ เป็นลูกมือ

   วันนี้ท้องฟ้าสดใส งานดำเนินไปอย่างราบรื่น ถึงแม้ว่าอากาศจะร้อนจนเหงื่อออกโซมกาย แต่เมื่อได้พักกินอาหารกลางวัน ก็ทำให้มีแรงกลับมาสานงานต่อในช่วงบ่าย

   "สีใกล้หมดแล้ว เดี๋ยวกูไปเอามาเพิ่มให้นะ" ผมปาดเหงื่อ พลางเงยหน้าบอกอีกคนที่กำลังปีนขึ้นบันไดไปทาสีขอบหน้าต่าง

   "ขอบใจนะ" หมอนก้มลงมายิ้มให้พร้อมกล่าวขอบคุณ ผมจึงพยักหน้าเล็กน้อยก่อนเดินออกจากบริเวณนั้น เพื่อไปเบิกสีกระป๋องใหม่จากส่วนกลาง

   ระหว่างทางเห็นเพื่อนร่วมค่ายต่างช่วยกันทำงานคนละไม้คนละมือ แม้แต่อดีตพงหญ้ารกๆ หลังโรงเรียนก็เริ่มเป็นรูปเป็นร่าง เด็กๆ ช่วยกันพรวนดิน ร่างสูงของใครบางคนก็กำลังนั่งยองๆ ก้มๆ เงยๆ ตอกรั้วแปลงผักอยู่

   ใบหน้าเปื้อนดินมอมแมมเงยกลับขึ้นมา พอดีสบตากันเข้า มันก็ยักคิ้วมาให้ แปลความหมายได้ว่า 'เป็นไงฝีมือกู เจ๋งไหมล่ะ' ผมเลยได้แต่ยักยิ้มพลางส่ายหน้าเล็กน้อยอย่างอ่อนใจ

   ทุกอย่างเป็นไปด้วยดี จนถึงตอนที่ผมเดินหิ้วกระป๋องสีกลับไป จังหวะนั้นเองที่ผมได้ยินเสียงตะโกนดังลั่นมาจากบนหลังคา

   "เฮ่ย!? ข้างล่าง! ระวัง!"

   เมื่อเงยหน้าขึ้นมองตามเสียงผมก็ได้เห็นเศษกระเบื้องหลังคาหรือก้อนอิฐอะไรสักอย่างร่วงตกลงมา  ใกล้กับตำแหน่งหน้าต่างที่หมอนกำลังทาสีอยู่

   "หมอน!? ระวัง!"

   เสียงใครบางคนร้องเตือนดังลั่น ร่างที่นั่งอยู่บนบันไดลิงจึงเบี่ยงตัวหลบตามสัญชาติญาณ ถึงแม้สิ่งที่ร่วงลงพื้นจะห่างจากศีรษะไปเกือบคืบ ทว่าเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็วกลับทำให้ร่างนั้นเสียหลักทรงตัว บันไดสูงโงนเงน กระป๋องสีร่วงหลุดมือ ตามด้วยเสียงร้องอุทานอย่างตกใจ

   ปฏิกิริยาอัตโนมัติทำให้ผมกระโจนออกไปด้านหน้า

   "หมอน!" "ไอ้ตึก!?" "โอ๊ย!"

   โครม! อึก!

   วัตถุขนาดใหญ่ร่วงหล่นลงมาในเวลาไล่เลี่ยกัน แรงกระแทกทำให้ร่างกายของผมปวดร้าวไปครึ่งซีก สมองมึนเบลอไปชั่วขณะ จุกจนร้องไม่ออก

   ภาพที่ผมเห็นเมื่อค่อยๆ ลืมตาขึ้นมา คือร่างของหมอนที่นั่งกองหมิ่นเหม่ทับแขนของผม รอบตัวมีทั้งบันไดที่ล้มพับ กระป๋องสี แปรงทาสี อุปกรณ์ต่างๆ ร่วงเกลื่อนกลาด ยังโชคดีที่บนพื้นเปื้อนด้วยสีฟ้า ไม่มีสีแดงเจิ่งนองผสม

   "กูขอโทษ! เป็นอะไรมากไหม!?" ต้นตอของอุบัติเหตุชะเง้อมองมาจากบนหลังคาอย่างร้อนรน เมื่อมองรอบตัวผมจึงเห็นใครหลายคนมายืนมุงอยู่รอบๆ แจ็คเองก็รีบวิ่งมาทางนี้

   "กูไม่เป็นไร" ผมกัดฟันตอบพลางพยุงตัวลุกขึ้น เพื่อนอีกคนรีบเข้ามาช่วย ตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกเจ็บแปลบตั้งแต่หัวไหล่ไปจนถึงข้อศอกข้างขวา อาจเป็นส่วนที่รับน้ำหนักลงกระแทกพื้นพอดี

   "กูก็ไม่เป็นอะไรมาก ไม่ต้องห่วง... โอ๊ย!" หมอนตอบเช่นเดียวกัน ทว่าระหว่างที่กำลังพยายามลุกขึ้นก็กลับทรุดร่วงลงไปอีกครั้ง อาจจะเจ็บที่ข้อเท้า ทำให้ใครบางคนพรวดพราดเข้าไปหาด้วยความเป็นห่วง

   "หมอน!? มากูช่วย" แจ็คกล่าวพลางคว้าแขนข้างหนึ่งของหมอนขึ้นมาพาดบ่าของตัวเอง ก่อนจะใช้มืออีกข้างโอบกระชับรอบเอวเพื่อช่วยพยุง หมอนมีท่าทางอึกอักเล็กน้อย แต่ด้วยความจำเป็นจึงยอมรับความช่วยเหลือ

   "โอ๊ย" เสียงร้องสั้นๆ ดังขึ้นอีกครั้งเมื่อขาข้างที่เจ็บเหยียบลงบนพื้น

   "เหวออออ" หมอนอุทานอีกครั้งอย่างตกใจเมื่อร่างของตัวเองลอยขึ้นสูงจากพื้น เมื่อใครที่เคยช่วยพยุงตัดสินใจเปลี่ยนเป็นการอุ้ม พาเข้าไปปฐมพยาบาลด้านใน

   ผมได้แต่มองตามสองร่างที่ออกเดินนำไปด้านหน้า แขนซีกขวาปวดร้าวจนเริ่มชา ทว่ายังคงน้อยกว่าความเจ็บแปลบกลางหน้าอกด้านซ้าย

   ถึงแม้ผมจะพยายามบอกกับตัวเองว่า อุบัติเหตุเป็นเรื่องที่ไม่มีใครอยากให้เกิดขึ้น คนเจ็บจำเป็นต้องมีคนช่วย ไม่ว่าใครก็ต้องเป็นห่วงทั้งนั้น

   แต่ผมก็หลอกตัวเองไม่ได้ว่า

   มันห่วงหมอน มากกว่าห่วงผม

   
-----------

    ยื่นมีด o18
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 20 | ทยอยอัพจนจบ | (25/3/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: em1979 ที่ 25-03-2018 19:57:04
ทำไมมันเป็นแบบนี้... แจ๊คใจร้ายมากเหอะ
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 20 | ทยอยอัพจนจบ | (25/3/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: winndy ที่ 25-03-2018 22:22:01
มันหน่วง แจ็คทำยักษ์น้อยใจซะแล้ว 
ได้อ่านผลงานของคุณนักเขียนที่เด็กดี เรื่องมังกรไร้ขา อยากบอกว่าสนุกมากค่ะ เดินเรื่องกระชับ มีเนื้อเรื่อง โครงเรื่องที่ดูแน่น มีที่มาที่ไป แนวแฟนตาซี จีน อ่านแล้วเพลินมาก เหมือนได้ผจญภัยไปกับตัวละครเลย ฟินกับความสัมพันธ์ของตัวเอกด้วย อ่านจนถึงตอนปัจจุบันแล้วอยากบอกว่า ชอบมาก
หัวข้อ: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 21 เจ็บแล้วทนคือควาย
เริ่มหัวข้อโดย: @moment ที่ 27-03-2018 23:11:36
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/ (https://www.facebook.com/at.moment.writer/)
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer/ (https://twitter.com/atmoment_writer/)
   

   ตอนที่ 21 เจ็บแล้วทนคือควาย

   

   "ขอบใจมากนะต้น ถ้าไม่ได้ต้นช่วยไว้กูต้องแย่กว่านี้แน่ๆ" หมอนยังคงกล่าวขอบคุณอีกหลายครั้ง ถึงแม้ผมจะบอกว่าไม่เป็นไร

   หลังจากเกิดอุบัติเหตุครูใหญ่ก็รีบพาพวกเราไปทำแผลที่อนามัย บนเนื้อตัวมีทั้งแผลถลอกและรอยฟกช้ำหลายแห่ง แต่ที่หนักคงจะเป็นแขนขวาของผมกับข้อเท้าของหมอน จากการตรวจอาการภายนอกพบว่ากระดูกไม่น่าจะหัก แต่เพื่อความแน่ใจเจ้าหน้าที่ประจำอนามัยก็แนะนำให้พวกเราไปตรวจเอ็กซเรย์ที่โรงพยาบาลอีกครั้ง

   ตอนแรกผมคิดว่าเอาไว้กลับถึงกรุงเทพค่อยไปตรวจก็ได้ แต่ครูใหญ่ก็ขันอาสาขับรถพาพวกเราเข้าไปโรงพยาบาลในตัวจังหวัด ผมเกรงใจแต่ก็ไม่กล้าปฏิเสธน้ำใจ พวกเราจึงใช้เวลาเกือบชั่วโมงในการนั่งรถ และอีกหลายชั่วโมงในการต่อคิวเพื่อเข้ารับการตรวจรักษา คิวยาวกว่าที่คิดไว้มาก โรงพยาบาลในต่างจังหวัดมีจำนวนบุคลากรและอุปกรณ์ไม่เพียงพอต่อจำนวนคนไข้อย่างเห็นได้ชัด

   โชคดีที่ผลเอ็กซเรย์พบว่ากระดูกไม่มีรอยหักหรือร้าว แต่มีอาการของกล้ามเนื้ออักเสบ หมอจึงจ่ายยาแก้ปวดและแก้อักเสบมาให้ ผมต้องใส่ผ้าคล้องบ่าเพื่อช่วยพยุงแขนชั่วคราว ส่วนหมอนเองก็ต้องพันผ้ารอบข้อเท้าและห้ามเดินลงน้ำหนักที่ขาข้างนั้นอีกหลายวัน

   หลังตรวจเสร็จพวกเราจึงกลับมานั่งรอคิวรับยาและจ่ายเงิน ครูใหญ่ขอตัวแวะไปทำธุระเมื่อหลายชั่วโมงก่อน บอกว่าจะกลับมารับพวกเราอีกครั้งตอนหัวค่ำ ตอนนี้จึงเหลือแค่ผม หมอน และแก้ว ที่นั่งรอ ส่วนแจ็คเพิ่งจะลุกออกไปหาซื้อน้ำดื่ม เผื่อว่าผมและหมอนจะได้กินยาแก้ปวดเลยหลังจากได้รับยา

   "... พี่หงส์?"

   เสียงพึมพำเบาหวิวจากคนด้านข้างพร้อมกับสายตาที่นิ่งค้าง เมื่อหันมองตามผมก็ได้พบกับร่างสูงโปร่งของใครบางคนใต้เสื้อเชิ้ตสีขาวกับกางเกงสแล็คขายาวสีดำ กระดุมคอสองเม็ดบนถูกเปิดออก เช่นเดียวกับเนคไทที่ถูกคลายหลวมลงมาเกือบถึงกึ่งกลางหน้าอก

   ใบหน้าของผู้ชายที่สวยสะดุดตาหันกลับมาทางนี้พอดี แต่แล้วดวงตาคมฉายแววดุที่ตวัดกลับมาก็เผยให้เห็นอีกมุมที่หล่อจัด เรียกได้ว่าทั้งหล่อทั้งสวยอยู่ในคนๆ เดียวกัน จนสายตาหลายคู่ของคนในโรงพยาบาลเหลียวมองตาม แต่ดูเหมือนเจ้าตัวจะไม่ได้ใส่ใจ

   "พี่หงส์... มาที่นี่ได้ยังไงครับ..." หมอนพึมพำถามแผ่วเบา ราวกับยังไม่แน่ใจว่าภาพตรงหน้าคือความจริงหรือความฝัน จนกระทั่งร่างนั้นเดินมาหยุดอยู่ตรงหน้า

   "เอ่อ คือว่า...เราเป็นคนโทรไปบอกเองแหละ" แก้วแอบสารภาพเสียงค่อย สายตามองคนที่มาใหม่ด้วยความปลาบปลื้ม ราวกับแฟนคลับที่ได้เจอดารานักร้องในดวงใจหรืออะไรทำนองนั้น ก่อนจะหันมาฉีกยิ้มแหยให้เพื่อนอย่างสำนึกผิด คงจะนึกไม่ถึงว่าคนๆ นี้จะดั้นด้นมาถึงที่นี่จริงๆ

   "แล้วแก้วมีเบอร์ของพี่หงส์ได้ยังไง" สีหน้าเหวอๆ ถามต่ออย่างอึ้งๆ

   "กูเป็นคนขอเบอร์เพื่อนมึงไว้เอง บอกแล้วว่าไม่อยากให้มาก็ยังดื้อ แล้วเป็นไง เกิดเรื่องขึ้นจนได้ นี่ยังดีนะที่ขาแข้งไม่หัก ไม่เป็นอะไรมากกว่านี้" คนสวยดุอย่างหัวเสีย ทำให้คนฟังยิ่งหน้าเจื่อน คอตกอย่างสำนึกผิด

   แต่เห็นได้ชัดว่าสิ่งที่พูดมาทั้งหมดเกิดจากความเป็นห่วง โดยเฉพาะอย่างยิ่งแววตาและน้ำเสียงที่เอ่ยถามประโยคสุดท้าย "เจ็บมากไหม"

   หมอนจึงส่ายหน้าและตอบให้อีกฝ่ายคลายกังวล "ไม่เป็นไรแล้วครับ"

   "ขาเจ็บแบบนี้แล้วจะอยู่ช่วยงานอะไรใครได้ กลับกรุงเทพคืนนี้เลยก็แล้วกัน" ร่างสูงโปร่งกล่าวพลางถอนหายใจ ดูเหมือนอารมณ์จะเริ่มเย็นลงพอสมควรแล้ว ถึงแม้เจ้าตัวจะไม่ได้พูดออกมาตรงๆ แต่เดาได้ไม่ยากว่าตั้งใจขับรถมารับ

   "แต่..." หมอนหันไปมองแก้วอย่างลังเล ไม่อยากทิ้งเพื่อนกลางครัน

   "หมอนกลับเถอะ เดี๋ยวพรุ่งนี้พองานเสร็จพวกเราก็กลับแล้ว" แก้วจึงกล่าวสนับสนุน

   ยังไม่ทันที่หมอนจะได้ให้คำตอบใดๆ บทสนทนาก็ต้องสะดุดลงเมื่อร่างสูงของใครบางคนถือถุงพลาสติกเดินกลับเข้ามา

   ทันใดนั้นบรรยากาศที่เพิ่งเริ่มดีขึ้นจึงพลิกกลับตาลปัตรยิ่งกว่าดิ่งลงเหว ใบหน้าของหมอนซีดเผือดอย่างเห็นได้ชัด แจ็คชักสีหน้าจ้องผู้มาใหม่ด้วยสายตาไม่เป็นมิตร ขณะที่ใบหน้าของคนสวยนิ่งสนิท เย็นยะเยือกยิ่งกว่าน้ำแข็งขั้วโลก ตรงข้ามกับดวงตาที่เป็นประกายวาววาบ ราวกับลูกปรมาณูที่พร้อมจะระเบิดทุกอย่างให้ราบเป็นหน้ากอง

   "พี่หงส์ คือ ผมไม่..." หมอนหน้าเสีย พยายามจะอธิบาย แต่กลับร้อนรนจนนึกคำพูดไม่ออก

   "หมอน" น้ำเสียงนิ่งเรียบ ที่แม้แต่คนฟังอย่างผมยังขนลุกแทน คงจะมีก็แต่แก้วที่นั่งงงด้วยความไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น

   "กลับบ้าน" เสียงเดิมกล่าวห้วนสั้น ราวกับกำลังพยายามข่มอารมณ์อย่างสุดความสามารถ

   หมอนจึงขยับตัวลุกขึ้นอย่างว่าง่าย ก่อนจะเซเล็กน้อยเพราะต้องคอยประคองขาที่เจ็บ คนสวยจึงปราดเข้าไปช่วยพยุง ไอ้แจ็คเองก็ขยับตัวเหมือนกัน แต่ก็ต้องชะงักค้างเพราะระยะห่างที่มากกว่า และเห็นอยู่ว่าอีกฝ่ายเต็มใจให้ใครช่วยมากกว่า

   "เอ่อ พี่หงส์คะ คือว่า เรายังต้องรอรับยา" แก้วทักท้วงขึ้นมาอย่างหวาดๆ พอดีกับเสียงประกาศเรียกชื่อหมอนที่ดังขึ้นราวกับระฆังสวรรค์ช่วยชีวิต แก้วจึงรีบเดินนำทางไป บรรยากาศน่าอึดอัดจะได้จบลงโดยเร็ว

   ระหว่างทางเดินดูเหมือนหมอนจะหันไปพูดอะไรบางอย่างกับคนข้างๆ ระยะห่างจากตรงนี้ทำให้ผมไม่สามารถได้ยินบทสนทนานั้น ทว่าคนที่เคยทำหน้าตาน่ากลัวราวกับอยากจะฆ่าคนกลับค่อยๆ ผ่อนลมหายใจ ยกมือขึ้นขยี้หัวอีกฝ่ายด้วยแววตาอ่อนแสงลง ทำให้หมอนคลี่ยิ้มออกมาได้

   แจ็คที่ทำท่าจะเดินตามไปในตอนแรกจึงหยุดยืนอยู่กับที่ ถึงแม้จะยืนมองจนสองร่างนั้นห่างออกไปไกล แต่สุดท้ายก็กลับมาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ

   ไม่มีใครพูดอะไร ระหว่างพวกเราจึงมีแต่ความเงียบ

   ผ่านไปอีกพักใหญ่ผมก็ได้ยินเสียงประกาศเรียกชื่อของตัวเองจึงลุกเดินไปจ่ายเงินที่ช่องรับยา แขนขวายังคงปวดหนึบทุกครั้งที่ขยับ การเปิดกระเป๋าสตางค์ด้วยมือข้างเดียวจึงเป็นไปอย่างล่าช้า ต้องอาศัยการวางพักกระเป๋าบนเคาน์เตอร์

   "ต้องกินยาเลยไหม ยาก่อนหรือหลังอาหาร" แจ็คเอ่ยถามเมื่อผมเดินกลับมานั่ง แต่อาจจะขี้เกียจรอฟังคำตอบชักช้าไม่ทันใจ จึงถือวิสาสะคว้าถุงยาจากมือของผมไปเปิดอ่าน มีทั้งยาทา ยาทาน ทั้งแบบก่อนอาหารและหลังอาหาร หนึ่งในนั้นมียาแก้ปวดที่หมอบอกให้ทานได้เลยทันที

   มันจึงยื่นขวดน้ำที่เพิ่งซื้อมาให้ แต่พอมองสภาพคนรับก็ดูเหมือนจะเพิ่งนึกขึ้นได้ว่าแขนของผมใช้การได้เพียงข้างเดียว จึงจัดการแกะยาออกจากซอง พร้อมเปิดขวดน้ำยื่นมาให้อีกครั้ง

   "มึงหิวแล้วหรือยัง ไม่รู้ว่าครูใหญ่จะเสร็จธุระกี่โมง ถ้ายังอีกนานกูว่าเราไปหาอะไรกินกันเลยดีกว่า มึงจะได้กินยาหลังอาหารด้วย" แจ็คพูดพลางรอรับขวดน้ำกลับไปปิดฝา ก่อนจะเงยหน้าขึ้นมามองผม เมื่อผมยังนั่งเงียบ ไม่ได้ให้คำตอบหรือความคิดเห็นใดๆ

   "มึงห่วงกูด้วยเหรอ"

   ปรกติแล้วผมคงไม่ใช่คนที่จะพูดอะไรทำนองนี้ แต่อาจเป็นเพราะอาการปวดที่ทำให้อารมณ์แปรปรวน หรือไม่ก็เป็นเพราะตะกอนขุ่นๆ ที่สะสมเพิ่มพูนจนเริ่มมองไม่เห็นก้นบึ้ง

   "ถามแปลก ไม่ห่วงมึงแล้วจะให้ห่วงใคร" มันเลิกคิ้วพร้อมยอกย้อนยียวนกลับมา

   'ห่วงใคร' คำถามที่ผมเห็นคำตอบอยู่คาตา แต่ไม่อยากตอกย้ำให้ต่างคนต่างต้องปวดใจ

   "ช่างเหอะ" ผมจึงตัดบทสนทนาลงแต่เพียงเท่านั้น

   ตอนนี้ผมเหนื่อยเกินกว่าจะพูดหรือหาเรื่องใส่ตัวไปมากกว่านี้ ไหนๆ หมอนก็กลับไปแล้ว อดีตคือสิ่งที่ผ่านไปแล้ว ก็ควรปล่อยให้ผ่านไป ทุกอย่างควรกลับมาเป็นปรกติเหมือนเดิม ไม่มีประโยชน์ใดๆ ที่จะกวนตะกอนให้บ่อน้ำใสกลายเป็นสีขุ่นดำ

   ถึงแม้ว่าตะกอนจะยังคงตกค้างอยู่ข้างใน ไม่เคยจางหายไป

   มันทำท่าเหมือนจะพูดอะไรต่อ แต่แก้วก็เดินกลับมาได้จังหวะพอดี บทสนทนาจึงเปลี่ยนหัวข้อไป

   แก้วบอกว่าลองโทรไปหาครูใหญ่แล้ว ครูใหญ่บอกว่าอีกประมาณครึ่งชั่วโมงก็คงจะมาถึง ให้พวกเราหาอะไรทานก่อนได้เลย เพราะกว่าจะกลับถึงโรงเรียนก็คงจะดึกมากแล้ว

   

   ยาแก้ปวดช่วยบรรเทาอาการได้บางส่วน แต่เมื่อลืมตาตื่นขึ้นมาในตอนเช้า ความปวดก็แปรเปลี่ยนเป็นความระบม ผมรู้สึกปวดเมื่อยไปทั้งตัว ไม่เฉพาะแขนข้างขวาที่ขยับไม่ไหว แต่ยังลามไปทั่วร่างกายที่มีแผลถลอกและรอยฟกช้ำ

   สภาพแบบนี้คงจะช่วยงานใครไม่ได้ แต่ผมก็ไม่อยากนั่งเฉยๆ จึงไปช่วยฝ่ายพัสดุตรวจนับของเพื่อเคลียร์สถานที่ก่อนกลับ อย่างน้อยก็เป็นงานที่ไม่ต้องใช้แรงมากนัก ทว่าเมื่อเวลาผ่านไป อาการปวดก็ยิ่งลุกลามขึ้นไปถึงศีรษะ ปวดตุบๆ เหมือนหัวจะระเบิด

   "เดี้ยงแล้วยังจะดันทุรัง มึงกลับไปนอนเลยดีกว่า นั่งเกะกะคนอื่นเปล่าๆ" แจ็คที่เดินแบกกล่องผ่านมาร้องทัก เมื่อเห็นผมนั่งกุมขมับแทบจะฟุบหน้าลงไปกับโต๊ะ

   ปากหมาเห่าหาเรื่องตามปรกติ ครึ่งหนึ่งแฝงความห่วงใย แต่ตอนนี้สภาพร่างกายและจิตใจของผมคงจะสัมผัสกับความห่วงใยที่อยู่ลึกเกินไปไม่ถึง ผมจึงค่อยๆ ยันตัวลุกขึ้นเดินโซเซกลับเข้าไปในห้อง หวังจะกินยาแก้ปวดอีกสักเม็ด แจ็คไม่ได้เดินตามเข้ามาด้วย คงเพราะยังมีงานค้างอยู่

   ตั้งแต่เมื่อคืนพวกเราไม่มีโอกาสได้พูดคุยกันตามลำพังอีก แต่ก็ดีแล้ว เพราะผมยังไม่อยากจะพูดอะไรตอนนี้ ในสภาพที่ยังเอาตัวไม่รอด ไม่รู้เลยว่าจะเผลอพูดอะไรออกไปบ้าง

   แม้แต่ตอนที่นั่งรถบัสกลับกรุงเทพ ผมยังรู้สึกว่าเครื่องปรับอากาศทำงานดีเกินไป ร่างกายหนาวจัด ขณะที่ศีรษะกลับร้อนจัดราวกับไฟฟ้าลัดวงจร ไม่สามารถทำได้แม้กระทั่งจะตอบคำถามของคนข้างๆ ที่ถามว่ากินยาแล้วหรือยัง

   ผมได้แต่นั่งหลับตา หลับๆ ตื่นๆ มาตลอดทาง พอได้นอนพักบ้างก็ดูเหมือนว่าอาการจะเริ่มดีขึ้น อย่างน้อยเมื่อถึงจุดหมายปลายทางก็สามารถลุกเดินลงจากรถเองได้

   "เดี๋ยวกูไปส่งที่หอ" แจ็คพูด ขณะที่คนอื่นๆ เริ่มทยอยแยกย้ายกันกลับบ้าน เหลือเพียงบางส่วนที่ยังช่วยกันขนของกลับไปเก็บที่ชมรม

   "มึงกลับบ้านเหอะ กูกลับเองได้" ผมตอบพลางสะพายกระเป๋าของตัวเองขึ้นพาดบ่า ลำคอแห้งผากจนไม่อยากจะพูดอะไรไปมากกว่านั้น

   ทว่ามันกลับแย่งกระเป๋าไปจากมือของผม ทั้งยังออกเดินนำหน้าไป ผมจึงจำต้องเดินตามร่างนั้นไปอย่างไม่มีทางเลือก

   "มึงโกรธกูเหรอ"

   เดินเงียบไปได้ไม่ถึงห้านาที คนที่ทนความเงียบไม่ไหวก็เป็นฝ่ายพูดโพล่งขึ้นมา มันหยุดยืนอยู่กลางทาง ผมเดินตามไปช้าๆ แต่ไม่ได้หยุดฝีเท้า สักพักจึงกลายเป็นฝ่ายแซงหน้า จนกระทั่งถูกดึงแขนเอาไว้

   "มึงโกรธกูเหรอ เรื่องหมอน"

   แจ็คถามซ้ำ เมื่อผมไม่ตอบมันจึงเป็นฝ่ายพูดต่อเสียเอง

   "กูห่วงหมอน แต่ก็ไม่ได้แปลว่ากูจะไม่ห่วงมึงนี่หว่า" มันรื้อฟื้นเรื่องที่ค้างคาขึ้นมาพูดอีกครั้ง ไม่ต่างจากการกวนตะกอนใต้น้ำให้ขุ่น

   "ก็เห็นอยู่ว่าหมอนเจ็บขาเดินไม่ไหว แต่มึงยังเดินเองได้" พูดไปก็ไม่ต่างจากข้ออ้าง ตอนนี้ผมก็ยังเดินเองได้ และอยากจะเดินต่อไป ไม่อยากจะพูดหรือฟังอะไรอีก แต่มันก็ยังกระตุกรั้งแขนของผมให้หันกลับไปเผชิญหน้า

   "สมมติว่ากูกับหมอนจมน้ำพร้อมกัน มึงจะกระโดดลงไปช่วยใคร"

   สมองที่ระบบรวนสั่งการให้ผมพูดออกไปอย่างนั้น สิ่งที่ตกค้างอยู่ในใจถูกก่อกวนจนปั่นป่วน

   แค่เห็นมันเงียบ... ผมก็รู้คำตอบ

   "มึงว่ายน้ำแข็งจะตาย กูรู้ว่ามึงเอาตัวรอดได้"

   แจ็คพูดถูก คำถามของผมอาจเป็นการยกตัวอย่างที่แย่เกินไป แต่ตอนนี้ผมกลับแปลความหมายจากคำตอบของมันได้เพียงอย่างเดียว

   "ไม่ใช่หรอก เพราะมึงรักหมอน"

   ไม่ได้รักผม

   ไม่มีคำตอบหลุดออกจากปากของคนพูดมาก ไม่มีคำปฏิเสธ ไม่มีข้อโต้แย้ง มาถึงขั้นนี้แล้วผมคงไม่อาจหลอกตัวเองได้อีก

   ต่อให้พยายามแค่ไหน 'คนที่ไม่ใช่ ต่อให้ตายแล้วเกิดใหม่ก็ไม่มีทางใช่'

   "กูเข้าใจแล้ว" ผมพูดพลางดึงกระเป๋าคืนมาจากมือของแจ็ค

   "เฮ่ย มึงเข้าใจว่ายังไง เดี๋ยวดิ ไอ้ถึก! คุยกันให้รู้เรื่องก่อน"

   "มึงกลับไปเหอะ กูอยากอยู่คนเดียว" ผมหันหลังเดินต่อไปโดยไม่รอฟังคำพูดแสลงใจอีก

   "กูเอาตัวรอดได้" ประโยคสุดท้าย ผมพึมพำบอกตัวเอง

   แค่อกหัก ไม่ถึงกับตาย

   ก็แค่เจ็บเจียนตาย

   
----------

>> winndy

ขอบคุณสำหรับคอมเม้นค่า ดีใจที่ชอบนะคะ ^^
มังกรไร้ขาเป็นแนวจีนโบราณเรื่องแรกของเราเลย ตอนนี้ยังค่อยๆ กระดึ๊บไปอย่างเชื่องช้า...ตามสปีดคนแต่ง ><"
ยังไงก็ฝากติดตามด้วยนะคะ  :mew1:

หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁
เริ่มหัวข้อโดย: em1979 ที่ 28-03-2018 01:03:04
เจ็บจริงๆ เจอแบบนี้
หัวข้อ: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 22 ตบหัวแล้วลูบหลัง
เริ่มหัวข้อโดย: @moment ที่ 28-03-2018 18:55:19
   

   ตอนที่ 22 ตบหัวแล้วลูบหลัง

   

   ว่ากันว่า 'กำลังใจ' คือสิ่งที่ทำให้ร่างกายมีแรงต่อสู้กับโรคภัย แต่เมื่อร่างกายอ่อนแอ หัวใจย่ำแย่ อาการก็ยิ่งพาลเลวร้าย สภาพของผมในตอนนี้จึงแทบไม่ต่างอะไรไปจากซากศพ แค่ลากสังขารกลับมาถึงห้องได้ก็สลบไสลไม่ได้สติ

   ไม่เหลือเรี่ยวแรงขยับเคลื่อนไหว หนาวจนจับสั่น ร้อนจนเหงื่อโซมกาย สลับกันไปมาอย่างทรมาน ภายใต้สติสัมปชัญญะที่ริบหรี่ ในความฝันอันยุ่งเหยิง ผมกลับฝันถึงใครบางคน

   คนที่เพิ่งจะออกปากไล่ แต่ใจจริงกลับอยากให้มันมาอยู่ข้างๆ

   ถึงขั้นเก็บไปฝันอะไรบ้าๆ ฝันว่าพวกเราไปนั่งกินไอศกรีมด้วยกัน ร่างตรงข้ามโน้มตัวเข้ามาใกล้จนศีรษะแทบจะชนกัน เพื่อดื่มน้ำจากหลอดที่ปักอยู่ในแก้วเดียวกัน ก่อนจะตักไอศกรีมและยื่นช้อนออกมาด้านหน้า พร้อมทำเสียง 'อ้ำาาาา'

    สวีทหวานแหววแบบที่ชีวิตจริงให้ตายก็ไม่มีทางเป็นไปได้ และผมเองก็ไม่เคยมีความคิดจะทำแบบนั้น ไม่รู้ว่าอะไรดลใจให้ฝันหวานเลี่ยนขนาดนี้

   แต่ในเมื่อทุกอย่างเป็นแค่ความฝัน ผมจึงปล่อยให้มันเป็นไป

   อ้าปากรับไอศกรีมหวานๆ เย็นๆ รสชาติหอมกรุ่นละลายบนลิ้น และไม่ปฏิเสธเมื่ออีกฝ่ายเปลี่ยนใจป้อนคำถัดไปด้วยปาก สัมผัสอุ่นนุ่ม ชุ่มชื้น รู้สึกดีจนไม่อยากผละจาก อยากจะจูบคนตรงหน้าแบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ

   แต่แล้วฝันดีก็มักจะอยู่กับเราได้ไม่นาน

   ภาพที่ผมเห็นเมื่อลืมตาขึ้นมามีเพียงความมืดสลัว ศีรษะยังคงหนักอึ้งแม้ว่าอาการปวดจะทุเลาลงมากแล้ว ร่างกายยังคงปวดเมื่อยแต่ก็พอขยับเคลื่อนไหวได้ ผมจึงเอื้อมมือออกไปควานหาโทรศัพท์เพื่อกดดูเวลาบนหน้าจอ เห็นเลขห้า... ห้าโมงเย็น? ตีห้า?

   ประตูระเบียงและหน้าต่างยังคงปิดสนิทเหมือนเดิมตั้งแต่ก่อนออกไปค่าย ทำให้มองไม่เห็นแสงจากภายนอก แต่เมื่อวานกว่าจะกลับถึงหอก็เย็นมากแล้ว แปลว่าผมหลับยาวข้ามวัน ตั้งแต่เย็นวานยันตีห้า?

   ผมพยายามยันตัวขึ้นอย่างเชื่องช้า ตั้งใจจะลุกไปเข้าห้องน้ำ ทว่าจังหวะที่ก้าวขาเหยียบลงบนพื้นกลับมีเสียงร้องลั่น

   "โอ๊ย!"

   เสียงโหยหวนอย่างกับหมาถูกเหยียบหาง ใต้ฝ่าเท้าไม่ใช่พื้นแข็งๆ แต่กลับเป็นวัตถุบางอย่าง ทำให้ผมเซถอยกลับมานั่งลงบนเตียง ยังดีที่ไม่สะดุดล้มหน้าคะมำ

   "เหี้ย! ใครเหยียบกูวะ!? อ่ะ อ้าว ไอ้ถึก ตื่นแล้วเหรอ" เสียงในความมืดสลัวทำให้ผมย่นหัวคิ้วเข้าหากัน จนกระทั่งร่างนั้นเดินไปเปิดไฟ แสงสว่างจึงปรากฏให้เห็นภาพของคนที่เคยนอนอยู่บนพื้นข้างเตียง

   ผมยังคงนั่งงงอย่างไม่แน่ใจว่าภาพตรงหน้าคือความจริงหรือความฝัน ร่างของแจ็คสวมเสื้อยืดคอย้วยกับกางเกงบอลขาสั้น ภาพด้านหลังก็เป็นห้องของผม กวาดมองไปจนสะดุดเข้ากับกะละมังใบเล็กบนโต๊ะเตี้ย มีผ้าขนหนูผืนเล็กวางพาดอยู่ข้างๆ และเมื่อก้มลงมองตัวเอง เสื้อผ้าที่ผมสวมอยู่ไม่ใช่ชุดที่ใส่กลับจากค่ายเมื่อวาน แต่เป็นเสื้อยืดกับกางเกงขาสั้นที่ใช้สวมนอนเป็นประจำ

   "ตัวยังรุมๆ อยู่เลย" มันนาบมือลงมาบนหน้าผากของผมพลางบ่นพึมพำ ก่อนจะพล่ามต่อ

   "กินยาลดไข้อีกรอบแล้วกัน มึงหิวไหม กูซื้อโจ๊กมาด้วย เออ แต่ป่านนี้เย็นหมดแล้วแน่เลย ซื้อมาตั้งกะเมื่อคืน" มันเดินไปหยิบขวดน้ำกลับมาพร้อมถุงยา เมื่อผมยังคงนั่งมึนไม่มีปฏิกิริยาตอบรับใดๆ มันจึงแกะยาจับยัดใส่ปาก

   ก่อนที่จะถูกจับกรอกน้ำตามผมจึงยื่นมือออกไปรับแก้วน้ำมาถือ

   เมื่อน้ำในอุณหภูมิห้องไหลผ่านลำคอที่แห้งผาก ประสาทสัมผัสเหมือนจริงบอกให้ผมรับรู้ได้ว่า ภาพตรงหน้าไม่ใช่ความฝัน แต่เป็นความจริง

   "โชคดีนะที่ป้าเจ้าของหอจำหน้ากูได้เลยยอมไขกุญแจเปิดประตูให้ ไม่งั้นพรุ่งนี้มีหวังมึงได้เป็นข่าวหน้าหนึ่งแน่ 'นักศึกษาตายขึ้นอืดคาหอ!' แต่ป้าแกแม่งก็เขี้ยวชะมัด มีขู่ด้วยนะว่าถ้ามานอนค้างแค่ครั้งคราวแกไม่ว่า แต่ถ้าจะมาอยู่กินทำเสียงดังแกจะขึ้นค่าเช่าห้อง"

   มันเดินไปแกะถุงโจ๊กใส่ชาม ทำไปก็บ่นไป แถมทำท่าจะนำหายนะมาให้ด้วย ถ้าเกิดป้าแกขึ้นค่าเช่าจริงๆ คนที่ซวยก็ผมทั้งนั้น

   "อ้าว แล้วนั่นมึงจะไปไหน" มันร้องถามไล่หลัง เมื่อเดินยกชามโจ๊กกลับมาแต่ผมกลับขยับลุกเดินไปอีกทาง แม้ว่าการเคลื่อนไหวจะเป็นไปอย่างเชื่องช้า จนอีกฝ่ายวางชามลงบนโต๊ะเตี้ยและเดินตามมาทัน

   "ห้องน้ำ" ผมเค้นเสียบแหบแห้งตอบคำถามสั้นๆ แต่มันก็ยังมายืนรออยู่หน้าประตู ผมไม่เหลือเรี่ยวแรงเล่นตัวจึงปล่อยให้มันช่วยพยุงสังขารกลับมานั่งลงบนเตียง จากนั้นมันจึงเลื่อนโต๊ะเตี้ยที่วางชามโจ๊กอยู่มาตั้งเบื้องหน้า

   "กินซะ จะได้กินยาหลังอาหาร" แจ็คกล่าวย้ำเมื่อผมยังคงนั่งนิ่ง

   แวบหนึ่งสมองของผมหวนนึกถึงภาพในความฝัน ภาพใครบางคนยื่นช้อนออกมาด้านหน้าพร้อมทำเสียง 'อ้ำาาาา' คิดอะไรบ้าๆ ความฝันไร้สาระที่ไม่มีทางเป็นจริง ผมแค่นยิ้มอยู่ในใจ ก่อนจะชะงักเมื่ออะไรบางอย่างเคลื่อนมาหยุดอยู่ตรงหน้า

   "อ้าปากดิ อย่าบอกนะว่าแค่แขนเดี้ยง ปากก็เดี้ยงตามไปด้วย" มันพูดพลางทำท่าจะยัดช้อนเข้ามา เหมือนหลอกด่าที่ผมไม่ยอมพูดด้วย ผมจึงจำต้องอ้าปากรับช้อนเข้าไปก่อนที่โจ๊กจะหกรดเสื้อ โชคดีที่โจ๊กเย็นหมดแล้วจึงไม่ร้อนลวกปาก ทว่ารสชาติที่เย็นชืด กลับทำให้หัวใจของผมรู้สึกอบอุ่น พร้อมๆ กับเจ็บแปลบขึ้นมาอีกครั้ง

   ก็เพราะมันเป็นคนแบบนี้ ปากหมา หน้าด้าน กวนตีน ตอแหล แถได้ไม่สิ้นสุด แต่ถึงอย่างนั้นก็ยังมีโอเอซิสซ่อนตัวอยู่กลางทะเลทราย ถ้าหากใครทนนิสัยแย่ๆ ของมันได้ สิ่งที่จะได้รับกลับมาก็คือความจริงใจ

   นึกถึงตอนที่ผมถูกแฟนเก่าทิ้ง ตอนนั้นผมเสียศูนย์ไปพักใหญ่ มองจากภายนอกอาจดูเหมือนไม่รู้สึกอะไร ด้วยความที่เป็นคนเงียบๆ ไม่ค่อยระบายความในใจ ก็มีแต่ไอ้แจ็คที่คอยมาวุ่นวาย กวนตีน กวนใจ อกหักก็หอบเหล้ามาร้องห่มร้องไห้ จนไม่รู้ว่าใครเป็นฝ่ายปลอบใครกันแน่ แต่ก็ทำให้ผมลืมเรื่องเศร้าไปได้

   เพราะมันเป็นคนแบบนี้ ต่อให้บางครั้งจะปากเสียจนน่าเลาะฟันทิ้ง แต่ผมก็ไม่เคยโกรธมันจริงจังได้เลยสักครั้ง

   แม้แต่ตอนนี้ผมก็ไม่ได้โกรธ

   แค่เหนื่อยกับการคาดหวัง เหนื่อยกับความผิดหวัง

   ทั้งๆ ที่ไม่ใช่ความผิดของแจ็คเลยสักนิด มันมีสิทธิ์จะรักหรือไม่รักใครก็ได้ ผมคงผิดเองที่เกิดมารูปร่างหน้าตาหรือแม้แต่นิสัยก็ตรงข้ามกับสเปคของมันทุกอย่าง กระทั่งตัวแทนก็ยังเป็นไม่ได้ บางทีถ้าผมเป็นโซระ หรือมีส่วนคล้ายกับหมอนสักนิด มันอาจจะรักผมบ้างก็ได้

   "พวกเรา... กลับมาเป็นเพื่อนกันไหม"

   ความคิดวูบหนึ่งสั่งให้ผมพูดออกไปอย่างนั้น

   ถึงแม้คำว่า 'เพื่อน' จะไม่ได้ต่อท้ายด้วยคำว่า 'เหมือนเดิม' เพราะผมรู้ดีอยู่แก่ใจว่าไม่สามารถกลับไปเป็นเหมือนเดิมได้ อาจจะกลับไปเป็นเพื่อนที่พูดคุยกันตามปรกติ เวลาเจอหน้ากันก็ทักทาย พอเรียนจบก็แยกย้ายกันไป...

   'ทำไมมึงต้องชอบกูด้วยวะ! เป็นเพื่อนกันมันไม่ดีตรงไหน'

   ผมคิดว่าแจ็คคงจะตอบตกลงด้วยความดีใจ เพราะมันเคยพูดอย่างนั้น มันเป็นฝ่ายที่ต้องการแบบนั้นมาตลอด ทว่ามือที่จับช้อนโจ๊กกลับนิ่งค้าง สายตาแปลความหมายไม่ออกจ้องมองกลับมา

   "ได้... จริงดิ?"

   แทนที่จะตอบรับหรือปฏิเสธ เสียงพึมพำกลับย้อนถาม

   แต่ยังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไร คนที่เงียบไปชั่วอึดใจก็กลับทิ้งช้อนในมือกลับลงไปในชาม เม้มปากแน่น ก่อนจะพรวดพราดลุกขึ้นยืน ทำให้ผมกลายเป็นฝ่ายต้องเงยหน้าขึ้นมอง

   "มึงอย่ามาตอแหลให้ยาก! คิดว่ากูจะเชื่องั้นเหรอ ไอ้เรื่องตอแหลมึงยังห่างกูอยู่หลายขุม กะจะหลอกกูให้ตายใจแล้วค่อยหายหน้าไปเงียบๆ ใจจริงตั้งใจจะทิ้งกูใช่ไหม!? กูรู้หรอก ปากบอกว่า 'กลับไปเป็นเพื่อน' แต่อย่างมึงให้ตายก็ไม่มีทาง 'กลับไปเป็นเหมือนเดิม'"

   ด้วยความที่คบกันจนรู้สันดาน แค่อ้าปากก็เห็นไปถึงไส้ติ่ง ผมจึงไม่มีอะไรจะโต้เถียง ความเงียบกลายเป็นคำตอบ ทำให้สีหน้าของคนที่ยืนอยู่ยิ่งทวีความเกรี้ยวกราด

   "กูเคยบอกแล้วไง! ถ้ามึงได้แล้วกล้าทิ้ง กูจะด่าให้เสียหมา ด่าหูดับตับไหม้ ด่ายันลูกบวช ด่าให้ไม่ต้องได้ผุดได้เกิดเลย!"

   "แล้วมึงจะเอายังไง" ผมย้อนถามกลับไปด้วยความไม่เข้าใจ ผมต่างหากที่เป็นฝ่ายเสียใจ แต่ไหงถึงกลายเป็นฝ่ายถูกด่าซะได้

   "ไม่รู้ล่ะ! ยังไงกูก็ไม่ยอมให้มึงทิ้งกูง่ายๆ แน่" มันตะเบ็งเสียงอย่างเอาแต่ใจ ปิดท้ายด้วยการกัดฟันกรอด กำหมัดแน่น แวบหนึ่งทำหน้าเหมือนจะร้องไห้ แต่ก็เพียงแค่แวบเดียวจนผมคิดว่าตัวเองอาจจะตาฝาด

   เพราะถึงแม้จะเคยเห็นมันร้องไห้อยู่หลายครั้ง แต่ส่วนใหญ่น้ำตามักจะมาพร้อมกับขวดเหล้า เมาเหมือนหมา ร้องไห้คร่ำครวญจะเป็นจะตาย แต่แล้วไม่นานก็ฟื้นคืนชีพออกไปลั้ลลาได้อีกครั้ง

   วัฏจักรเดิมๆ

   ผมก็เป็นได้แค่ที่ซับน้ำตา

   มันอาจจะไม่อยากสูญเสียผ้าขี้ริ้วส่วนตัว แต่ผมอาจจะเห็นแก่ตัว เพราะไม่อยากเป็นผ้าเน่าๆ ที่เป็นได้แค่ 'ของตาย' เหมือนที่ผ่านมา

   "มึงยังโกรธเรื่องเมื่อวานอยู่อีกเหรอไง นี่กูก็อุตส่าห์มาง้อแล้วนะ จะเอายังไงอีก ตัวใหญ่ซะเปล่าทำเป็นขี้ใจน้อยไปได้ จะงอนไปถึงไหนวะ!?" ปลายเสียงตวัดอย่างไม่พอใจพอๆ กับสีหน้า

   แน่ใจนะว่านี่คือการง้อ

   "ถ้ามึงคิดว่าตัวเองไม่ได้ทำอะไรผิด ก็ไม่จำเป็นต้องง้อ" ไม่บ่อยนักที่ผมจะเถียงกลับไป ส่วนใหญ่มักจะเป็นการพูดเพื่อตัดรำคาญ ครั้งนี้ก็ไม่ต่างกันมากนัก เพิ่มความเหนื่อยทั้งร่างกายและจิตใจ ทั้งๆ ที่ไม่อยากคาดหวัง แต่ในใจลึกๆ กลับยังแอบคาดหวัง

   "เออ! งอนได้งอนไป กูไม่ง้อแล้ว! ถ้าหิวก็ตักกินเองละกัน จะกินยาหรือไม่กินก็ตามใจมึง กูกลับบ้านแล้ว! แม่ง" มันสบถทิ้งท้าย เดินกระฟัดกระเฟียดไปหยิบกระเป๋าเป้ของตัวเองขึ้นพาดบ่า ระหว่างมุ่งหน้าไปทางประตูก็ยังสบถด่าอีกหลายคำอย่างหัวเสีย

    ปัง! เมื่อประตูถูกปิดลงด้วยการกระแทกอย่างแรง ผมจึงทิ้งแผ่นหลังลงบนเตียง ถอนหายใจยาวอย่างเหนื่อยล้า พาลปวดหัวตุบๆ เหมือนไข้จะตีกลับ

   ทว่าเสี้ยวนาทีถัดมาประตูกลับถูกเปิดกว้างอีกครั้ง ผมจึงเบนหน้ากลับไปมอง นึกว่าอีกฝ่ายลืมอะไร

   "อย่าคิดว่าแค่นี้ก็จะทิ้งกูสำเร็จนะ! งอนได้งอนไป แต่กูไม่ยอมให้เลิกง่ายๆ หรอกเว่ย!"

   ปัง! เสียงประตูปิดดังลั่นรอบที่สอง

   ผมได้แต่ยกมือขึ้นมากุมขมับด้วยความปวดหัว ตามอารมณ์ไม่ทัน มันจะเอายังไงของมันกันแน่วะ

   ชามโจ๊กที่พร่องลงไปไม่กี่คำยังวางนิ่งอยู่บนโต๊ะ ข้างกันมีซองยากับแก้วน้ำวางระเกะระกะ ใต้โต๊ะก็ยังมีกะละมังใบเล็กกับผ้าขนหนูพาดอยู่เหมือนเดิม ทิ้งซากเอาไว้ให้ดูต่างหน้า

   สภาพครึ่งๆ กลางๆ ค้างๆ คาๆ

   เหมือนความรู้สึกของแจ็คที่ผมไม่เคยแน่ใจเลยสักครั้ง รู้ว่ามันเป็นห่วง ไม่ใช่ไม่ห่วง แต่ 'รัก'...? ยังไม่เคยได้ยินเลยแม้แต่ครั้งเดียว พอผมอยากจะเลิกหวัง มันก็กลับมาให้ความหวัง พออยากจะปล่อย มันก็กลับไม่ยอมให้ปล่อย

   ผมชักรู้ซึ้งถึงคำว่า ฝ่ายหลงรักมักพ่ายแพ้

   หัวใจไม่รักดีชอบยอมอ่อนลงให้มันทุกที...

   อยากรู้เหมือนกันว่าถ้าคราวนี้ผมแกล้งทำเป็นใจแข็ง มันจะทำยังไงต่อไป

   
----------

>> em1979 : เจ็บจริงๆ เจอแบบนี้

พี่ต้นถึกและทนมาก... ถ้าเป็นคนอื่นแจ็คคงโดนเทไปหลายรอบแล้ว  :laugh:

หัวข้อ: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 23 กลสงคราม
เริ่มหัวข้อโดย: @moment ที่ 28-03-2018 18:58:29

   

   ตอนที่ 23 กลสงคราม

   

   สงครามยังไม่จบ อย่าเพิ่งนับศพทหาร

   สถานการณ์ระหว่างผมกับแจ็คกลายเป็นสงครามเย็นขนาดย่อมๆ เมื่อผมไม่ยอมพูดด้วย มันก็เลยทำหยิ่งไม่ยอมพูดก่อนเหมือนกัน ทุกครั้งที่เจอหน้ากันจึงมีเพียงสายตาหงุดหงิดจ้องมองกลับมา แต่คิดเหรอว่าเล่นมุกนี้แล้วจะชนะ ความเงียบกับผมเป็นของคู่กันอยู่แล้ว ยกนี้ผมได้เปรียบกว่าเห็นๆ

   และแล้วก็เป็นอย่างที่คิด คนปากมากทนน้ำลายบูดอยู่ได้ไม่กี่วันก็เริ่มเปลี่ยนกลยุทธ์มาเป็นการพาดพิงผ่านบุคคลที่สาม

   "เจ๊เคยเจอแฟนงอนงี่เง่าไร้สาระไหม แบบง้อแล้วก็ยังไม่ยอมหายโกรธ โคตรน่าเบื่อเป็นบ้า" มันหลอกด่าเสียงดังฟังชัด พูดกับพี่มินนี่ แต่ปรายตามองมาทางผม

   "ยังมีใครงี่เง่าไร้สาระมากกว่าแกอีกเหรอ" แต่ดูเหมือนจะเลือกตัวกลางผิดคน

   "โหยเจ๊ จิกกัดน้องตลอดเลยอ่ะ" มันจึงทำท่าโอดครวญ

   "ว่าแต่แกไปได้แฟนใหม่ตั้งแต่เมื่อไหร่ ไม่เห็นเอารูปมาอวดเหมือนทุกที อ่ะ แต่คงไม่ต้องแล้วมั้ง มาอีหรอบนี้เห็นแววถูกทิ้งอยู่รำไร" เจ๊จัดไปอีกหนึ่งดอก

   "เจ๊~!" คนโดนตอกกลับจึงร้องเสียงหลงอย่างกับหมาโดนเหยียบหาง เจอคำว่า 'ถูกทิ้ง' ยิ่งกว่าโดนทิงเจอร์ราดลงบนแผลสด ถึงขั้นเถียงต่อไม่ออก แวบหนึ่งสายตาของแจ็คตวัดมามองผมอย่างตัดพ้อ ผมจึงแกล้งมองเมินไปอีกทาง

   "ถ้าไม่อยากถูกทิ้ง ก็มีทางเลือกอยู่สองทาง" พี่มินนี่ยกยิ้มอย่างเป็นต่อ

   "อะไรเหรอครับ" แจ็คหันกลับไปถามอย่างกระตือรือร้น

   "หนึ่ง... ง้อ" คนสวยกล่าวพลางชูนิ้วชี้ขึ้นมาด้านหน้า

   ก่อนจะค่อยๆ ยกอีกนิ้วขึ้นตามพร้อมคลี่ยิ้มหวาน

   "สอง... ง้อต่อไป" ชูสองนิ้วข้างแก้ม แทนสัญลักษณ์ 'สู้ๆ'

   "โหย เจ๊!? ช่วยได้มากเลยเหอะ!" คนที่อุตส่าห์นั่งลุ้นอยู่นานจึงกระแทกแผ่นหลังลงบนพนักพิงด้วยความเซ็งจัด ผมเกือบจะหลุดขำ แต่ก็ต้องรีบปั้นหน้านิ่ง ก้มอ่านหนังสือต่อด้วยท่าทางไม่รู้ไม่ชี้

   "เอ้า! ถ้าไม่งั้นก็ หนึ่ง 'ง้อ' สอง 'เลิก' จะเอาอย่างนั้นไหมล่ะ"

   ไม่เสียแรงที่ผมนับถือพี่มินนี่มานาน พูดทุกอย่างได้ตรงเผงถูกใจ ทำเอาคนฟังหน้าหงิกแล้วหงิกอีก

   "ก็ไม่รู้จะง้อยังไงแล้ว" แจ็คบ่นอุบอิบ ก่อนจะถามต่อเสียงอ่อย "แล้วปรกติเวลาง้อแฟน เจ๊ง้อยังไงอ่ะ"

   "มันก็มีหลายเลเวล ถ้าเอาแบบเบสิกสุดๆ ก็พูดออกไปตรงๆ เลยว่า 'ขอโทษ' แต่ที่สำคัญคือต้องพูดอย่างจริงใจด้วยนะ ห้ามตอแหล" แค่ขั้นเบสิกก็ยากสำหรับไอ้แจ็คแล้ว

   "แล้วถ้าเลเวลสูงสุดล่ะ" มันถามข้ามขั้น

   "ถึงบอกไปแกก็คงไม่ได้ใช้หรอกมั้ง~ อันนี้ท่าไม้ตาย เอาไว้ 'ง้อผัว' โดยเฉพาะ" พี่มินนี่อมยิ้ม จีบปากจีบคออย่างมีเลศนัย คนฟังชะงักไปชั่วครู่ แต่ก็ยังถามต่อตามประสาคนหน้าด้าน

   "ว่ามาเหอะเจ๊ อย่าลีลา" มันเร่งขอคำตอบ

   "แกถามเองนะ" พี่มินนี่ยังคงยึกยัก

   แจ็คเลยพยักหน้าส่งๆ ทำนองว่าพูดมาเหอะ เร็วๆ

   "ไม่ยากหรอก ก็แค่อ่อยหนักๆ ยั่วให้ผัวจัดหนักจัดเต็มสักสองสามยก แค่นี้เดี๋ยวก็หายงอนแล้ว" คนสวยคลี่ยิ้มหวาน

   สีหน้าปั้นยากของแจ็คทำให้ผมเกือบจะหลุดหัวเราะออกมา ก่อนจะตกเป็นฝ่ายเสียท่าผมจึงรีบกล่าวตัดบท

   "ผมไปห้องสมุดก่อนนะครับ" ผมกล่าวลาสั้นๆ ก่อนจะลุกเดินออกมาจากบริเวณนั้น

   คราวนี้แจ็คไม่ได้เงยหน้ามองตามมา ผมเหลือบเห็นมันกัดฟันกรอดๆ บ่นอะไรงุบงิบพึมพำอยู่คนเดียว เดาว่าถ้าไม่ใช่การสาปแช่งพี่รหัสของตัวเองอยู่ในใจ ก็คงจะไม่พ้นการสบถด่าผมอยู่เป็นแน่

   ฮัดเช่ย! พูดยังไม่ทันขาดคำ แรงอาฆาตก็ออกฤทธิ์ทันที

   แต่ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า ถ้าเกิดมันบ้ายุใช้ท่าไม้ตายของพี่มินนี่ขึ้นมาจริงๆ ผมอาจจะเป็นฝ่ายเพลี่ยงพล้ำให้กับสงครามครั้งนี้ก็ได้

   

   ความจริงผมก็ไม่ได้อยากแกล้งงอนให้มันต้องมาตามง้อ เพราะใจจริงผมก็ไม่ได้โกรธอะไรมากมายแล้ว ก็แค่ยังน้อยใจ

   ดูมันพูดคำว่า 'แฟน' ได้อย่างเต็มปากเต็มคำ แต่การกระทำกลับไม่มีอะไรใกล้เคียงกับคำๆ นั้นเลยสักนิด ชวนไปกินข้าวมันก็แรดไปอ่อยเด็ก ชวนไปเดทก็บอกว่าติดธุระ พอชวนไปค่ายด้วยกัน ก็กลับกลายเป็นอย่างนี้อีก

   ไปๆ มาๆ ความสัมพันธ์ของพวกเราแทบไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงไปจากคำว่า 'เพื่อน' คงจะมีเพียงอย่างเดียวที่เพื่อนธรรมดาเขาไม่ทำกัน ก็คือ 'เรื่องบนเตียง'

   ซึ่งทุกครั้งก็มีแต่ผมที่เป็นฝ่ายเริ่ม

   ผมไม่ได้หวังจะให้มันทำอะไรอย่างที่พี่มินนี่แนะนำหรอก เพราะความจริงสิ่งที่ผมต้องการก็ไม่ใช่แค่ร่างกาย แต่เป็นคำพูดสั้นๆ หรืออะไรก็ได้ ที่บ่งบอกว่ามันมีใจให้ผมบ้าง

   แต่ดูเหมือนคนตรงหน้าจะไม่เคยเข้าใจอะไรเลยสักนิด

   "มึงจะโกรธไปถึงไหนวะ" ในที่สุดมันก็เป็นฝ่ายยอมเปิดปากพูดกับผมก่อน หลังจากอุตส่าห์เดินตามมาถึงห้องสมุด นั่งหน้าหงิก น้ำลายบูดอยู่หลายชั่วโมง สุดท้ายก็คงทนแรงกดดันจากบรรยากาศรอบตัวที่เงียบสงัดไม่ไหว

   แต่มันอาจจะลืมไปแล้วว่าห้องสมุดมีกฎห้ามใช้เสียงดัง สายตาจากโต๊ะข้างๆ จึงเหล่มองมาอย่างตำหนิ ผมจึงถอนหายใจเล็กน้อยแทนการตอบคำถาม

   "แปลว่าอะไร? ไม่พอใจอะไรมึงก็พูดออกมาดิวะ!" แต่มันกลับไม่เข้าใจความหมายของสิ่งที่ผมต้องการสื่อ แถมยังทำตรงกันข้าม ตะเบ็งเสียงดังขึ้นตามระดับอารมณ์ ทำให้คนข้างๆ มองมาอีกครั้งด้วยสายตาไม่พอใจ ผมจึงตัดสินใจรวบหนังสือบนโต๊ะ ลุกขึ้นเดินออกจากห้องสมุด

   "มึงอย่าเดินหนีกูแบบนี้ดิวะ! คุยกันให้รู้เรื่องก่อน!" ร่างสูงโปร่งลุกเดินกึ่งวิ่งตามออกมา ขณะที่ผมเดินด้วยความเร็วตามปรกติ อีกฝ่ายจึงรีบรุดอ้อมขึ้นมายืนขวางหน้า

   ผมจึงเบี่ยงตัวไปอีกทางโดยไม่มองตอบ ก่อนจะรู้สึกถึงแรงฉุดรั้งที่ต้นแขนดึงให้หันกลับไปเผชิญหน้า ถึงแม้จะไม่รุนแรงถึงขั้นกระชาก แต่การกดน้ำหนักบนรอยช้ำที่ยังไม่หายสนิทก็ทำให้ผมเผลอนิ่วหน้า มันคงเพิ่งจะนึกขึ้นได้จึงรีบคลายมือออก

   "ขอโทษ" เสียงพึมพำสั้นๆ ก่อนกัดปากล่างของตัวเองอย่างชั่งใจ

   "กูขอโทษ! มึงอยากจะให้กูทำอะไร ต้องทำยังไงมึงถึงจะหายโกรธ มึงบอกกูมาเลยดีกว่า! เล่นเงียบแบบนี้ กูอ่านใจมึงไม่ออกหรอกนะ!" มันพูดออกมาอย่างหมดท่า ถึงแม้น้ำเสียงจะยังคงแข็งกระด้างเหมือนไม่อยากยอมแพ้ แต่สายตาอย่างกับลูกหมากลัวถูกทิ้งที่มองมาก็ทำให้ผมใจอ่อนยวบ

   สีหน้าเศร้าสร้อยของคนตรงหน้าทำให้ผมเผลอเอื้อมมือออกไป วางปลายนิ้วลงบนข้างแก้ม เกือบลืมไปเลยด้วยซ้ำว่าตอนนี้พวกเรายืนอยู่ที่ไหน เพิ่งจะก้าวพ้นประตูห้องสมุดของคณะออกมาแค่ไม่กี่ก้าว ยังมีคนเดินผ่านไปมาเป็นระยะ หนึ่งในนั้นอาจจะมีเพื่อนหรือคนรู้จักรวมอยู่ด้วยก็ได้

   เมื่อฉุกนึกถึงเวลาและสถานที่ ผมจึงหยุดชะงักและตั้งใจจะดึงมือของตัวเองกลับมา แต่จังหวะนั้นมันกลับรีบคว้ามือของผมเอาไว้ ราวกับจะไม่ยอมปล่อยให้โอกาสตรงหน้าหลุดลอยไป

   โอกาสที่จะพลิกกลับมาเป็นฝ่ายชนะ

   ก่อนที่ผมจะทันตั้งตัว สัมผัสนุ่มชื้นก็แนบลงมากลางฝ่ามือ

   ผมได้แต่นิ่งงันกับภาพตรงหน้า มองตามริมฝีปากที่ค่อยๆ ผละจากฝ่ามือของผม มองตามใบหน้าและสายตาของแจ็คที่จับจ้องมาโดยยังมีมือของผมแนบค้างอยู่ข้างแก้ม

   ตอนนั้นเองที่ผมเริ่มเฉลียวใจ...ว่ามันกำลังจะบ้าระห่ำทำตามคำแนะนำของพี่รหัส

   ผมลืมไปได้ยังไงว่าข้อดี(?)ของแจ็คคือ 'หน้าด้าน'!

   แต่กว่าจะคิดได้ก็สายเกินไป สายตาที่จ้องมองมาราวกับมีแรงดึงดูดให้ไม่อาจถอยหนี ยิ่งร่างด้านหน้าขยับเข้ามาใกล้ ขนตายาวเป็นแพค่อยๆ ปรับระดับต่ำลงมา คล้ายมองเป้าหมายใหม่ที่อยู่ใกล้แค่ใต้จมูก ผมได้แต่นิ่งมองภาพระยะประชิดอย่างไม่อาจถอนสายตา

   'หยุด หรือว่าจะเดินต่อไป หยุด ไม่รู้จะเอายังไง ใจมัน...'

   เสียงเรียกเข้าจากโทรศัพท์กลายเป็นระฆังเรียกสติ ผมสะดุ้งถอยหลังออกมากดรับสาย โดยไม่ทันได้มองด้วยซ้ำว่าใครโทรมา

   "อ้อ เอิร์ธเหรอ" ผมพึมพำชื่อของอีกฝ่าย สายตาพลันเหลือบไปเห็นแจ็คจิ๊ปากอย่างขัดใจ อาจจะหงุดหงิดที่ถูกขัดจังหวะ หรือ...ถ้ามีความหึงหวงปนอยู่บ้างก็คงจะดี

   "หืม เย็นนี้? ได้สิ พี่ว่าง อืม โอเค งั้นไว้เจอกัน" ผมตอบสั้นๆ ตอบตกลงสัญญาที่เคยติดค้างกันอยู่เรื่องนัดกินข้าว

   ประจวบจังหวะพอเหมาะพอดี ตอนนี้ผมกำลังต้องการกำลังเสริมอย่างเร่งด่วน ขืนปล่อยให้มันใช้ท่าไม้ตายขึ้นมาจริงๆ มีหวังผมได้ใจง่าย พ่ายแพ้อย่างหมดทางสู้แน่ๆ

   

   ผมรีบคว้าตัวช่วยเอาไว้อย่างไม่ได้คิดหน้าคิดหลัง ไม่คิดเลยว่าการกระทำนั้นจะไม่ต่างอะไรไปจากการหลับหูหลับตาวางหมากสีดำตัวหนึ่งลงบนกระดาน แต่เมื่อลืมตาขึ้นกลับได้เห็นหมากสีขาวอีกตัวปรากฏบนตำแหน่งรุกฆาตอย่างไม่คาดฝัน จากที่กลัวพ่ายแพ้ก็กลับยิ่งเพลี่ยงพล้ำ หมากเกมนี้ยิ่งยุ่งเหยิง มองไม่เห็นหนทางที่จะพลิกกลับมาเป็นฝ่ายชนะ แทบไม่ต่างอะไรไปจากการขุดหลุมฝังตัวเอง

   แจ็คดึงดันจะตามไปที่ร้านอาหารด้วย ซึ่งนั่นก็ถือว่าเข้าแผนของผมพอดี ตอนแรกผมยังแอบดีใจด้วยซ้ำว่ามันทำแบบนั้นเพราะความหึง ทว่าสิ่งที่อยู่เหนือความคาดหมายของผมก็คือ ก่อนจะถึงร้านอาหารไม่ถึงครึ่งชั่วโมงเอิร์ธกลับส่งข้อความมา

   'ขอโทษจริงๆ ครับพี่ต้น'

   ประโยคเกริ่นส่อเค้าลางร้าย ตอนแรกผมยังนึกว่าเอิร์ธอาจจำเป็นต้องเลื่อนนัดเพราะติดธุระกะทันหัน ทว่าข้อความถัดมากลับเป็นอะไรที่ควรเรียกว่า 'หายนะ'

   'โซระขอตามไปด้วย... ผมปฏิเสธไม่ได้จริงๆ ขอโทษนะครับ'

   

หัวข้อ: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 24 ล้มกระดาน
เริ่มหัวข้อโดย: @moment ที่ 28-03-2018 19:08:03

   

   ตอนที่ 24 ล้มกระดาน

   

   นับตั้งแต่วันที่ถูกหักอก นี่คงถือเป็นครั้งแรกที่แจ็คได้เผชิญหน้ากับโซระ ความหวาดหวั่นทำให้ผมนึกอยากยกเลิกนัดกลางครัน แต่อีกใจก็อยากรู้ว่ามันจะมีปฏิกิริยายังไง จะหึงผมกับเอิร์ธบ้างไหม หรือจะยังคงสนใจโซระอยู่... ยิ่งคิดผมก็ยิ่งไม่มั่นใจกับการเดิมพันครั้งนี้เลย

   แวบแรกที่ได้เห็นอดีตเป้าหมาย สีหน้าของแจ็คชะงักไปด้วยความตกใจอย่างเห็นได้ชัด ทว่าอีกไม่กี่นาทีถัดมาก็สามารถปั้นยิ้มทักทายได้อย่างลื่นไหล ราวกับไม่เคยถูกคนตรงหน้าปฏิเสธรักมาก่อน

   "ไม่ได้เจอกันตั้งหลายวัน น้องโซระสบายดีไหมครับ" ถ้อยคำไพเราะเสนาะหู จอมปลอมพอๆ กับรอยยิ้มสุภาพบุรุษบนหน้ามันนั่นแหละ

   ผมปรายตามองคนด้านข้าง เมื่อไม่กี่ชั่วโมงที่แล้วไอ้หมาตัวไหนมันยังพยายามตามง้อผมอยู่วะ!? แล้วดูตอนนี้ดันกลายพันธุ์ เปลี่ยนสีไวยิ่งกว่าตุ๊กแก เป็นเพราะความตอแหลในสันดาน หรือเป็นเพราะมันยังไม่ยอมตัดใจกันแน่! แม้แต่เอิร์ธก็ยังแอบเบ้ปาก ก่อนจะก้าวขึ้นมาแทรกขวางด้านหน้า

    "ผมชักจะหิวแล้ว พวกเรารีบเข้าร้านกันเถอะนะครับ" เอิร์ธวางมือลงบนแขนของผมอย่างสนิทสนม ออกแรงดึงเบาๆ เป็นสัญญาณให้ออกเดิน โดยมืออีกข้างก็ไม่ลืมที่จะดึงมือเพื่อนของตนให้เดินตามเข้าไปด้วย

   ผมมองไม่เห็นปฏิกิริยาของแจ็คหลังจากนั้นเพราะถูกรุนหลังให้เดินอยู่ด้านหน้าสุด แต่จากประสบการณ์ก็พอทำให้เดาได้ว่า มันคงจะหน้าหงิกงอเป็นตูดหมา เพราะโดน 'ก้างเจ้าเก่าขวางคอ' เมื่อลองเอี้ยวตัวกลับไปก็ได้เห็นมันมองตามมาด้วยสีหน้าบึ้งตึงจริงๆ

   เมื่อเดินเข้าไปถึงโต๊ะเอิร์ธก็ชิงเลือกเก้าอี้ให้โซระกับตัวเองก่อน กันไว้ดีกว่าแก้ ต่อให้หัวเด็ดตีนขาดก็ไม่มีทางยอมให้ 'เพื่อนรัก' นั่งข้างบุคคลอันตรายอย่างแน่นอน สุดท้ายตำแหน่งที่นั่งของพวกเราจึงไม่ต่างจากทุกครั้งที่ผ่านมา เอิร์ธนั่งลงด้านข้างโซระ ฝั่งตรงข้ามเป็นผมนั่งอยู่ข้างแจ็ค

   มื้อนี้พวกเราเลือกร้านเนื้อย่างยากินิคุ หลังจากสั่งอาหารไม่นาน เนื้อสไลด์แผ่นบางหลายจานก็ทยอยวางลงมาบนโต๊ะ เมื่อเนื้อนุ่มๆ ถูกวางลงบนตะแกรงร้อนๆ หยดน้ำมันก็กลั่นตัวกระทบเปลวไฟ ก่อเสียงยั่วเย้า ส่งกลิ่นหอมหวนลอยมาแตะจมูก กระตุ้นความอยากอาหารได้เป็นอย่างดี

   ผมเริ่มลงมือดำเนินตามแผน โดยคีบเนื้อชิ้นหนึ่งไปวางลงบนจานของเอิร์ธพร้อมคลี่ยิ้มให้ เอิร์ธก็รับมุกด้วยการตั้งใจทำแบบเดียวกันตอบ

   ทว่าจังหวะที่ตะเกียบในมือของเอิร์ธกำลังจะแตะเนื้อบนเตา กลับมีตะเกียบอีกคู่หนึ่งชิงตัดหน้า

   "น้องโซระทานเยอะๆ นะครับ เนื้อร้านนี้อร่อยมาก" เนื้อที่กำลังสุกได้ที่ลอยผ่านหน้าของผมไปทอดตัวลงบนจานของโซระ ขณะที่คนคีบก็ส่งยิ้มหวานหยดให้อย่างไม่เกรงใจใคร ทำเอาผมฉุนกึกจนเกือบจะเผลอหักตะเกียบในมือทิ้ง

   "เอาชิ้นนี้ดีกว่านะโซระ ติดมันน้อยกว่า กินแล้วจะได้ไม่ 'เลี่ยน'" เอิร์ธยังคงหัวไวด้วยการชิงคีบเนื้ออีกชิ้นให้เพื่อน แลกกันกับเนื้อเจ้าปัญหา แอบเน้นเสียงย้ำคำสุดท้าย กระทบคนที่ปากยังคงฉีกยิ้มแต่ฟันเริ่มกัดกันกรอดๆ แต่มีหรือผู้ได้เปรียบจะใส่ใจ เอิร์ธยิ่งโหมไฟด้วยการคีบเนื้ออีกชิ้นส่งให้ผมตามความตั้งใจเดิม

   "เอิร์ธก็กินบ้างสิ เอาแต่คีบให้คนโน้นคนนี้ ตัวเองยังไม่เห็นกินเลย" คราวนี้โซระเป็นฝ่ายคีบส่งให้เอิร์ธบ้าง และด้วยความที่เป็นเด็กดี หรือด้วยธรรมเนียมรุ่นน้องบริการรุ่นพี่ หรือด้วยเหตุผลใดก็ตามแต่ โซระยังเผื่อแผ่คีบเนื้อมาให้ผมกับแจ็คด้วยคนละชิ้น

   มองจากภายนอกคงดูเหมือนพวกเรารักใคร่กลมเกลียวกันดี เดี๋ยวผมคีบให้เอิร์ธ เอิร์ธคีบให้ผมและโซระ โซระคีบให้ทุกคน แม้แต่แจ็คก็ยังปั้นหน้ากากคนดี คีบให้โซระและเอิร์ธ ก่อนจะหย่อนเนื้อที่เกือบไหม้ลงมาในจานของผมด้วย

   ขอถามอีกที หลายวันมานี้ไอ้หมาตัวไหนมันเคยพยายามง้อผมวะ!?

   พอ! พอกันที! เนื้อย่างลอยวนไปมายิ่งกว่าซูชิสายพาน โต๊ะจีนจานหมุน ทำเอาผมเวียนหัวจนหมดอารมณ์จะเล่นละครอีก สุดท้ายผมจึงก้มหน้าก้มตากินเนื้อที่พูนอยู่ในจาน เพราะมัวแต่คีบส่งไปมาจนแทบจะไม่ได้กิน

   สงครามกลางโต๊ะจึงเข้าสู่ช่วงพักรบ เมื่อแต่ละคนเริ่มลงมือจัดการกับเนื้อในจานของตนเองบ้าง

   ผมนั่งกินเงียบๆ จนกระทั่งรู้สึกถึงสายตาของใครบางคนที่จ้องมองมา พอมองกลับไปก็ต้องเลิกคิ้วอย่างแปลกใจ เพราะเจ้าของสายตาคู่นั้นไม่ใช่ทั้งคู่กรณีหรือผู้สมรู้ร่วมคิด แต่กลับกลายเป็นคนที่อยู่เหนือความคาดหมายอย่างโซระ

   ดวงตากลมโตหลุบลงต่ำทันทีที่สบตากันเข้า แต่ครั้นผมก้มหน้ากินข้าวก็กลับรู้สึกได้ว่ามีคนมองมาอีกครั้ง มองๆ หลบๆ ราวกับเล่นซ่อนแอบกันอยู่นาน ผมจึงเลิกคิ้วอย่างสงสัย ก่อนจะยิ่งรู้สึกแปลกประหลาดใจมากขึ้น เมื่อสังเกตเห็นว่าพอผมกินข้าวคำนึง โซระก็จะก้มหน้ากินข้าวคำนึง พอผมคีบเนื้อเข้าปากหลายชิ้น ร่างเล็กก็จะก้มหน้าก้มตากินให้ได้ปริมาณเท่ากันหรือมากกว่า ผมได้แต่ลอบมองท่าทางเหล่านั้นอย่างไม่เข้าใจ

   ดูเหมือนว่าท่าทางประหลาดนี้ก็จะมีใครอีกคนสังเกตเห็นเหมือนกัน

   แจ็คขมวดคิ้วมองโซระ ก่อนจะขมวดคิ้วยุ่งกว่าเดิมเมื่อหันมาทางผม แต่พอสบตากันเข้า มันกลับทิ้งสายตาขุ่นไว้ก่อนจะเบนหน้าหนีไปมองทางอื่น

   บรรยากาศบนโต๊ะอาหารยังคงดำเนินไปอย่างลุ่มๆ ดอนๆ เหมือนเรือลำน้อยที่ลอยคว้างอยู่กลางแม่น้ำ ถูกคลื่นโหมซัดจนเกือบพลิกคว่ำหลายครั้ง แต่สุดท้ายก็ลอยมาเกยตื้นริมฝั่ง เตากลางโต๊ะเหลือเพียงควันจางๆ จานว่างเปล่าหลายใบวางซ้อนกันอยู่ เมื่อไม่มีใครคิดจะสั่งอะไรเพิ่ม ผมจึงกวักมือเรียกพนักงานมาคิดเงิน

   "ไม่เป็นไร มื้อนี้พี่เลี้ยงเอง" ผมรีบพูดดักคอเมื่อเห็นเอิร์ธตั้งท่าจะหยิบกระเป๋าสตางค์ขึ้นมา

   "ได้ยังไงกันครับ ผมเป็นคนชวนพี่ต้นเพราะอยากขอบคุณเรื่องหนังสือแถมพี่ยังช่วยติวให้ผมอีก" เอิร์ธยืนยันตามความตั้งใจเดิม

   "เอาไว้คราวหน้าก็แล้วกัน" ผมบอกผลัดออกไป เหตุผลหนึ่งเพราะวันนี้มีตัวแถมอย่างแจ็คมาด้วย จะปล่อยให้เอิร์ธคนเดียวเลี้ยงทั้งโต๊ะก็กะไรอยู่ และที่สำคัญผมก็ไม่เคยคิดจะให้รุ่นน้องต้องเลี้ยงรุ่นพี่อยู่แล้ว

   เอิร์ธทำท่าจะไม่ยอม ผมจึงใช้ความเงียบแทนการตัดบท แต่จังหวะที่กำลังนั่งรอใบเสร็จอยู่นั่นเอง เสียงโครมครามก็ดังขึ้นจากด้านข้าง ตามด้วยความเย็นวาบบนต้นแขน

   "ขอโทษครับ!" พนักงานเสิร์ฟร้องอุทานอย่างลนลาน ผมได้แต่ก้มมองเสื้อของตัวเองที่เปียกเปื้อนด้วยสีชาเป็นแถบ ตามด้วยก้อนน้ำแข็งและน้ำที่เจิ่งนองอยู่บนพื้น

   ผู้หญิงอีกคนก็เอ่ยขอโทษด้วยท่าทางตกใจเช่นกัน ดูเหมือนเธอกำลังจะลุกออกจากโต๊ะแต่ดันชนเข้ากับพนักงานเสิร์ฟที่เดินมาจากทางด้านหลัง ยังดีที่พนักงานคนนั้นมือไวคว้าแก้วน้ำเอาไว้ได้ทัน แต่ถึงแก้วจะไม่ตกแตก น้ำชาเกินครึ่งก็สาดลงมาอยู่บนเสื้อของผมแล้ว

   "ไม่เป็นไรครับ" ผมบอกทั้งสองคนที่ยังคงกล่าวคำขอโทษไม่หยุดอย่างไม่ถือสา พนักงานอีกคนรีบเข้ามาช่วยเก็บกวาดน้ำที่เปียกนองอยู่บนพื้น เอิร์ธที่ตั้งสติได้ก่อนรีบคว้าทิชชูหลายแผ่นยื่นให้ผม โชคดีที่แก้วนั้นเป็นเพียงน้ำชาจึงไม่เหนียวเหนอะหนะ ทว่าสีน้ำตาลจางๆ ขืนปล่อยทิ้งให้แห้งไปอย่างนี้คงกลายเป็นคราบที่ยากจะซักออก

   "กูไปห้องน้ำก่อนนะ ฝากจ่ายเงินด้วย" ผมไม่แน่ใจจำนวนเงินที่ต้องจ่ายจึงโยนกระเป๋าสตางค์ให้แจ็คไปทั้งใบ ฉวยโอกาสไม่ให้เอิร์ธปฏิเสธได้อีก

   กับคนที่เข้านอกออกในห้องของผมจนเหมือนเป็นห้องของตัวเอง อยากจะรื้อค้นอะไร หรือต่อให้อยากยกเค้าทีเผลอก็ยังทำได้ ผมจึงไม่มีความจำเป็นต้องระแวงหรือคิดเล็กคิดน้อย บางครั้งเวลามันเมาเหมือนหมา ผมเองก็ถือวิสาสะค้นกระเป๋าสตางค์ของมันออกมาจ่ายค่าเหล้าเหมือนกัน

   เมื่อเดินมาถึงห้องน้ำผมจึงเริ่มจัดการกับคราบสีชาบนเสื้อ วักน้ำขึ้นมาพรมก่อนซับออกด้วยกระดาษทิชชู ทำซ้ำหลายครั้งจนร่องรอยเริ่มจางลงไป แต่ในขณะเดียวกันเสื้อเชิ้ตสีขาวก็ยิ่งเปียกชื้นเป็นวงกว้าง ผ้าฝ้ายโปร่งบางส่องทะลุให้เห็นผิวสีเนื้อ ผมได้แต่ถอนหายใจ แบบนี้รีบกลับหอไปถอดซักเลยน่าจะง่ายกว่า เพราะถึงยังไงก็คงไม่มีใครอยากจะเดินเที่ยวต่ออยู่แล้ว สงครามบนโต๊ะอาหารเผาผลาญพลังงานชีวิตมากกว่าที่คิด

   นึกแล้วผมก็ต้องถอนหายใจอีกเฮือกใหญ่ แม้แต่ตัวช่วยที่เป็นความหวังสุดท้ายอย่างเอิร์ธก็ยังแทบไม่ช่วยอะไร ไอ้สุภาพบุรุษจอมปลอมยังคงตอแหลได้โล่ ถึงแม้ท่าทางของมันที่มีต่อโซระจะไม่ได้ระริกระรี้น้ำลายไหลอยากตะครุบเหยื่อใจจะขาดเท่าเมื่อก่อน แต่นั่นอาจเป็นเพราะมันเคยถูกปฏิเสธมาแล้วหนึ่งครั้ง แต่พนันได้เลยว่าถ้าเกิดโซระเปลี่ยนใจตอบตกลงขึ้นมา ไอ้หมาตัวดีจะต้องกระโจนเข้าใส่โดยไม่เสียเวลายั้งคิดแน่นอน

   แล้วผมควรจะทำยังไง...?

   ปล่อยให้ความสัมพันธ์ระหว่างพวกเราคลุมเครืออย่างนี้ต่อไป เป็นอะไรที่มากกว่าเพื่อน เรียกเต็มปากว่าแฟน แต่ไม่เข้าใกล้คำว่า 'คนรัก'

   ผมถอนหายใจเป็นรอบที่ล้าน คว้าทิชชูมาซับมือปิดท้ายก่อนจะหมุนตัวเดินออกจากห้องน้ำ พอดีกับที่ใครบางคนเปิดประตูเดินเข้ามา ผมจึงเบี่ยงตัวหลบทางให้

   ไม่นึกว่าร่างนั้นจะหยุดยืนอยู่กับที่ เมื่อเห็นชัดว่าคนตรงหน้าคือใครผมก็ต้องเลิกคิ้วอีกครั้ง

   "เอ่อ คือเสื้อ... พี่ต้นรอแป๊บนึงนะครับ เอิร์ธกำลังซื้อเสื้ออยู่" โซระกล่าวอย่างตะกุกตะกักเล็กน้อย แต่ยังพอปะติดปะต่อความได้

   คงเป็นเพราะผมไม่ยอมให้ออกเงินค่าอาหาร ประจวบกับอุบัติเหตุที่เกิดขึ้น เอิร์ธถึงคิดจะซื้อเสื้อตัวใหม่มาให้เปลี่ยนแทน และคราวนี้ก็ไม่เหลือเหตุผลให้ผมปฏิเสธน้ำใจได้อีก ผมจึงเผลอยักยิ้มเล็กน้อยให้กับความฉลาดของอีกฝ่าย

   ไม่นึกว่าท่าทางนั้นจะทำให้คนที่ลอบมองอยู่กัดริมฝีปากล่างของตนเอง ผมไม่ทันสังเกตจึงเพียงแค่แปลกใจว่าทำไมร่างเล็กจึงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม ไม่ได้เดินเลยไปทำธุระส่วนตัว แต่กลับขวางอยู่หน้าประตูทำให้ผมไม่สามารถออกไปข้างนอกได้ด้วย

   โซระยังคงยืนเงียบ เงยหน้ามองผม สลับกับก้มลงขมวดคิ้ว เหมือนมีเรื่องอยากพูดแต่ก็ไม่พูดออกมา ท่าทางอ้ำอึ้งยิ่งทำให้ผมสงสัย เพราะปรกติแล้วโซระเป็นเด็กร่าเริง ออกจะคุยเก่งซะด้วยซ้ำ

   ยังไม่ทันที่ผมจะได้ถามอะไรออกไป ร่างเล็กก็เป็นฝ่ายพูดขึ้นมาก่อน

   "พี่ต้นชอบเอิร์ธหรือเปล่าครับ" คำถามตรงๆ ทำให้ผมชะงักเล็กน้อย

   ถ้าถามว่าชอบหรือเปล่า แน่นอนว่าผมชอบเอิร์ธ

   แต่ชอบแบบน้องชาย ไม่ใช่ชอบในความหมายเดียวกันกับคำถามนี้แน่นอน และเมื่อลองพิจารณาว่าทำไมโซระถึงถามแบบนี้ หาเหตุผลให้กับท่าทางแปลกประหลาดทั้งหมด สันนิษฐานที่ฉายแวบขึ้นมาในสมองของผมก็มีเพียงไม่กี่ข้อ

   หนึ่ง ถามเพราะเป็นห่วงเพื่อน

   สอง ถามเพราะห่วงมากกว่าเพื่อน

   "โซระชอบเอิร์ธเหรอ" ผมลองโยนหินถามทาง ย้อนถามแทนการตอบ

   ทันทีที่จบประโยค ผมก็ได้เห็นใบหน้าใสกลายเป็นสีแดงจัด ถ้ามีสเปเชี่ยลเอฟเฟคคงจะได้เห็นกลุ่มควันระเบิดบึ้มอยู่ด้านหลัง เรียวปากแดงอ้าค้าง ก่อนจะเม้มกลั้นหายใจ สลับกันไปมาราวกับปลาทองตัวน้อยที่อ้าปากพะงาบๆ ปฏิกิริยาน่าเอ็นดูทำให้ผมระบายยิ้มออกมา

   ดูท่าว่าน้องของผมจะไม่ได้แอบรักข้างเดียวซะแล้ว

   "พี่ชอบเอิร์ธแบบน้องชาย ไม่ได้ชอบแบบ...เดียวกับโซระหรอก"

   ยิ่งพูดลองใจ ผมก็ยิ่งได้เห็นสีแดงวิ่งลามไปถึงหู ไล่ลงไปถึงต้นคอ ไม่มีคำตอบรับหรือปฏิเสธ แต่สีหน้าท่าทางชัดเจนยิ่งกว่าอะไรทั้งหมด พาลให้ผมเอื้อมมือออกไปลูบศีรษะเล็กเบื้องหน้าอย่างเอ็นดู

   จังหวะนั้นเอง ประตูก็ถูกดันเปิดเข้ามา แรงกระแทกทำให้ร่างเล็กที่ยืนขวางทางอยู่เซถลามาปะทะกลางอกของผม ปฏิกิริยาตอบสนองอัตโนมัติทำให้ผมเลื่อนมือมาประคองศีรษะของคนในอ้อมแขน ป้องกันอุบัติเหตุที่อาจเกิดขึ้นซ้ำ

   ความตกใจทำให้โซระเงยหน้าขึ้น สวนทางกับผมที่ก้มลงไป ปลายจมูกของผมจึงปัดผ่านแก้มเนียนใสไปอย่างฉิวเฉียด

   "ไอ้ถึก!"

   เสียงตะคอกดังทำให้หัวใจของผมกระตุกวูบ

   บางครั้งความบังเอิญก็ร้ายกาจเกินไป

   ต่อให้ไม่มีเจตนา ภาพตรงหน้าก็คงไม่ต่างจากการกอดจูบ สีหน้าของแจ็คบ่งบอกว่ามันเห็นและเข้าใจแบบนั้น ก่อนจะทันได้อธิบายหรือพูดอะไรร่างของผมก็ถูกผลักให้เซถอยหลังไปหลายก้าว

   เมื่อเงยหน้าขึ้นผมก็ต้องเผชิญกับสายตาที่จ้องมาอย่างกับจะกินเลือดกินเนื้อ ด้านหลังห่างออกไปเป็นโซระที่ยืนนิ่งอย่างงุนงงตกใจกับเหตุการณ์ที่เกิดขึ้น

   "ที่แท้มึงไม่ได้คบกับเอิร์ธก็เพราะมึงชอบโซระใช่ไหม!? มึงกล้าทำแบบนี้ได้ยังไง!? รู้ทั้งรู้ว่ากูชอบโซระ! หรือว่าทั้งหมดเป็นแผนการของมึง? ไอ้เลว! ไอ้ตอแหล! ไอ้เหี้ย! มึงเห็นกูเป็นตัวอะไร!? เห็นกูโง่มากเลยใช่ไหม!?"

   โทสะเกรี้ยวกราดโหมเข้าใส่พร้อมแรงกระแทกที่ผลักผมออกไปจนแผ่นหลังชนกับฝาผนัง กระเทือนต้นแขนขวาที่ยังไม่หายสนิทให้กลับมาปวดร้าวอีกครั้ง ผมกัดฟันข่มความเจ็บ อยากอธิบายว่าทั้งหมดเป็นเรื่องเข้าใจผิด แต่คนที่ด่ากราดอย่างไม่เว้นจังหวะหายใจก็ไม่เปิดโอกาส

   "ไอ้เหี้ย! กูไม่น่าเชื่อมึงเลย! กูไม่น่าหลง..."

   เสียงด่าแผ่วเบาลง เมื่อคำสุดท้ายถูกกลืนหายกลับเข้าไป

   นาทีนั้นเอง มือที่เคยออกแรงผลักก็เปลี่ยนเป็นการกำหมัดแน่น ตามด้วยเสียงเนื้อหุ้มกระดูกที่กระทบกันดั่งลั่น มุมปากของผมเจ็บจนชาพร้อมส่งกลิ่นคาวเลือดออกมา

   "ไอ้เพื่อนทรยศ!"

   เสียงแหบแห้งกึ่งตะโกนกึ่งคำราม ผมไม่ทันได้เห็นสีหน้าของแจ็ค เพราะพอหันกลับมาผมก็เห็นเพียงแผ่นหลังที่หายลับไป ตามด้วยบานประตูที่ปิดตัวลงมาดังโครม

   น่าแปลกที่ความเจ็บจากต้นแขนและมุมปากรวมกัน ยังน้อยกว่าคำพูดคำนั้นเพียงคำเดียว

   'เพื่อนทรยศ'

   สุดท้าย ผมก็ยังเป็นได้แค่ 'เพื่อน'

   และต่อจากนี้ไป อาจไม่ได้เป็นแม้กระทั่งเพื่อน

   ผมยกแขนเสื้อขึ้นมาเช็ดมุมปากลวกๆ ไหนๆ ก็เปื้อนคราบชาอยู่แล้ว เพิ่มคราบเลือดเข้าไปอีกก็คงไม่ต่างกัน สภาพของผมและความสัมพันธ์ของพวกเราในตอนนี้ ไม่ต่างอะไรไปจากหมากบนกระดานที่ล้มระเนระนาด

   

   
หัวข้อ: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 25 ปากกับใจ
เริ่มหัวข้อโดย: @moment ที่ 28-03-2018 19:19:39

   

   ตอนที่ 25 ปากกับใจ

   

   คงเป็นคราวซวยซ้ำซวยซ้อนของผมที่กระเป๋าสตางค์ทั้งใบหายสาบสูญไปพร้อมกับไอ้แจ็ค ยังโชคดีอยู่บ้างที่โทรศัพท์มือถือกับกุญแจห้องยังอยู่กับตัว ผมจึงมียังที่ซุกหัวนอน และเศษเงินที่ตกค้างอยู่ในห้องก็พอให้ใช้ประทังชีวิตได้อีกหลายวัน

   หลังจากวันนั้นคนที่เข้าใจผิดหนีหายเข้ากลับเมฆ ไม่มีการติดต่อ ไม่มาที่ห้องของผมอีก แทบไม่โผล่หัวมาเรียนเลยด้วยซ้ำ ปัญหาระหว่างพวกเราจึงยังคงค้างคา

   "ทะเลาะกับไอ้ลูกหมาเหรอ" พี่มินนี่ชะงักเล็กน้อยเมื่อเห็นรอยช้ำบนมุมปากของผม

   แผลด้านนอกทุเลาลงไปมากแล้ว แต่แผลด้านในกระพุ้งแก้มยังคงปวดตึงๆ ทุกครั้งที่ขยับ พลอยให้ผมที่พูดน้อยเป็นทุนยิ่งประหยัดคำพูดจนแทบจะกลายเป็นคนใบ้ เมื่อได้รับคำตอบเป็นความเงียบ พี่มินนี่จึงถอนหายใจเฮือกหนึ่ง

   "ตัดหางปล่อยวัดมันไปเหอะ~" เสียงเดิมพูดต่อพลางสะบัดมือข้างศีรษะอย่างไม่จริงจังนัก

   ทว่าประโยคล้อเล่นกลับทำให้ผมทบทวนอย่างเหม่อลอย

   หรือว่าถึงเวลา... ที่ผมควรจะปล่อยมือแล้วจริงๆ

   "วุ้ย ตายยากจริงๆ อิแจ็ค!" คนตายยากพูดถึงปุ๊บก็โผล่มาปั๊บ พี่มินนี่ตะโกนเรียกเสียงดังตามปรกติ แต่คนที่เดินผ่านอีกฟากหนึ่งของถนนกลับชะงักไปทันทีที่หันมาเห็นผม จังหวะนั้นผมจึงมีโอกาสได้เห็นใบหน้าซูบเซียว รอบตาดำคล้ำคล้ายคนอดนอนติดต่อกันหลายวัน

   "ผมไปเรียนก่อนนะครับ" เห็นมันยืนนิ่งเม้มปากแน่น ผมก็รู้ว่ามันไม่มีทางเดินเข้ามาถ้าผมยังนั่งอยู่ตรงนี้ ผมจึงเป็นฝ่ายกล่าวลาพี่มินนี่ก่อนจะลุกออกไป

   "... ผมไปก่อนนะเจ๊! ต้องไปส่งรายงาน" เสียงแจ็คตะโกนตอบกลับมา แต่ผมไม่ได้หันกลับไปมอง

   บนโต๊ะเก้าอี้หินจึงเหลือเพียงพี่มินนี่นั่งเกาหัวแกรกๆ ก่อนถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หันมองน้องรักสองคนคนหนึ่งเดินไปทางซ้ายอีกคนเดินไปทางขวา ยิ่งเดินก็ยิ่งแยกห่างกันไปคนละทาง

   

   ผ่านไปหลายวันความคิดของผมก็ยังคงวนเวียนอยู่ที่เดิม

   จบแบบนี้ก็ดีเหมือนกัน ตัดขาดกันอย่างสิ้นเชิง ไม่เหลือแม้แต่ความเป็นเพื่อน ผมควรปล่อยให้ทุกอย่างจบลงตรงนี้ ดีกว่ายิ่งยื้อต่อไปก็ยิ่งเจ็บ... แต่อีกใจผมก็ยังอยากเคลียร์กับมันให้รู้เรื่อง ถ้าจะต้องจบกันจริงๆ อย่างน้อยผมก็ไม่อยากให้เรื่องของเราต้องจบลงด้วยความเข้าใจผิด... แล้วจะเคลียร์กันไปให้ได้อะไร? ถ้าไม่ว่ายังไงคนที่มันรักก็ไม่ใช่ผม

   "..."

   ความคิดวุ่นวายโต้เถียงกันไม่หยุด เหมือนเดินวกวนอยู่ในเขาวงกต มองไม่เห็นทางออก ผมได้แต่ทิ้งตัวลงบนเตียงอย่างอ่อนล้า

   แวบหนึ่งผมหวนนึกถึงเรื่องในอดีต ตอนที่เลิกกับแฟนคนก่อน

   รอยร้าวเริ่มต้นจากช่องว่างของเวลาและระยะทาง นานเข้ากลับกลายเป็นความห่างเหิน นับวันความเข้าใจผิดก็ยิ่งสะสม แต่ตอนนั้นผมกลับนิ่งเฉย ปล่อยให้ความสัมพันธ์จบลงไปโดยไม่ได้พยายามเหนี่ยวรั้ง

   ผมเคยคิดว่า ปัญหาเกิดจากนิสัยของผมที่ไม่ชอบพูดมาก มาตอนนี้ผมถึงได้รู้ตัว เป็นความผิดของผมเองที่ไม่เคยยื้อ ไม่เคยตื้อ ยอมปล่อยมือง่ายๆ อย่างกับไม่ได้รัก

   หรือบางที ผมอาจจะไม่ได้รัก...

   ความรู้สึกผิดหวนย้อนกลับมาพร้อมกับการสมน้ำหน้าตัวเอง ผมเคยทำให้ผู้หญิงคนหนึ่งต้องเสียใจและเสียเวลาไปหลายปี มาตอนนี้เวรกรรมคงตามทัน ถึงได้รักใครไม่รัก ดันไปหลงรักผู้ชายที่ทั้งปากหมา หน้าด้าน ตอแหล หาดีไม่ได้ อ้อ ยังมีดีที่หน้าตา

   ผมหลุดยักยิ้มมุมปาก อาการปากหมาอาจเป็นโรคติดต่อ ตั้งแต่รู้จักกันมาผมก็หลอกด่ามันในใจนับครั้งไม่ถ้วน

   แต่ผมก็รักมันมากจริงๆ

   มากถึงขั้นที่รู้อยู่แก่ใจว่าควรปล่อย แต่กลับตัดใจปล่อยไม่ได้สักที

   จนถึงตอนนี้ผมก็ยังคิดถึงแต่เรื่องของมัน ผมรู้ว่าแจ็คเป็นคนปากหมา ปากเสียเป็นนิสัย หลายครั้งก็ปากไม่ตรงกับใจ พูดอะไรไม่คิด ชอบทำผิดแล้วกลับมาร้องไห้คร่ำครวญเสียใจภายหลัง

   'ไอ้เพื่อนทรยศ!'

   คำพูดที่ทำร้ายคนฟัง แล้วตอนนี้คนพูดจะกำลังรู้สึกแบบไหน

   โกรธ... เสียใจ... ร้องไห้...?

   ผมเอื้อมคว้าโทรศัพท์ขึ้นมา ไม่มีประวัติโทรเข้าออกหลายวัน แต่ต่อให้โทรไปมันก็คงจะไม่ยอมรับสาย ผมจ้องมองหน้าจออยู่นาน ลังเลอีกพักใหญ่ สุดท้ายจึงตัดสินใจส่งข้อความสั้นๆ

   'กูต้องใช้บัตรนักศึกษาเข้าสอบอาทิตย์หน้า'

   ถ้าแจ้งหายแล้วทำบัตรใหม่ก็ยังทันถมเถ ผมแค่ต้องการข้ออ้างให้ตัวเอง

   ทันทีที่ข้อความถูกส่งออกไปเครื่องหมายถูกเปิดอ่านก็ปรากฏสู่สายตา ตามด้วยเสียงหมาเห่าระงม ครั้งนี้ไม่ใช่แค่คำเปรียบเปรยถึงใครบางคน ผมหมายถึงได้ยินเสียงเห่าดังมาจากด้านล่างของหอพักจริงๆ

   ผมเลิกคิ้วขึ้นอย่างแปลกใจ ไม่ใช่ว่าแถวนี้ไม่มีสุนัขจรจัด เพียงแต่ปรกติมักจะเห็นพวกมันจับจองถิ่นอยู่แถบร้านแผงลอยหน้าปากซอย ไม่ค่อยเข้ามาลึกถึงข้างในนี้ ทว่าเสียงที่ได้ยินกลับก้องดังอยู่ใกล้ๆ ราวกับพวกมันพร้อมใจกันยกโขยงมาอยู่ใต้หอ

   ลางสังหรณ์บางอย่างทำให้ผมลองเดินออกไปนอกระเบียง กวาดตามองลงไปด้านล่าง แต่สิ่งที่เห็นกลับมีเพียงแสงไฟข้างทางส่องรำไรในความมืดสลัว ไม่เห็นแม้แต่เงาของหมาสักตัว

   นั่นยิ่งน่าแปลก ผมจึงตัดสินใจกดโทรศัพท์ออกไปยังปลายทางเดียวกับข้อความเมื่อครู่ แนบหูฟังเสียงเรียกเข้า ทันใดนั้นเสียงเพลงทำนองเดียวกันก็ดังแว่วผ่านมาตามสายลม เพียงแค่ไม่กี่วินาทีก่อนที่เสียงทั้งหมดจะหยุดลง พร้อมๆ กับหน้าจอที่ขึ้นเครื่องหมายถูกตัดสาย

   ไม่จริงน่า...

   ผมคว้ากุญแจเดินออกจากห้อง ก้าวลงบันไดไปตามทิศทางของเสียงที่ได้ยินเมื่อครู่ นึกภาพใครบางคนกำลังสะดุ้งลุกลี้ลุกลนตัดสายอย่างร้อนตัว

   ภาพที่เห็นแตกต่างจากสิ่งที่เคยคิดไว้เล็กน้อย

   ณ มุมตึกลับตาคน บนพื้นปูนต่างระดับ ผมเห็นแผ่นหลังของใครบางคนกำลังนั่งหมดอาลัยตายอยาก บ่ากว้างลู่ลงภายใต้ความมืด ข้างกายมีเบียร์หลายกระป๋องวางระเกะระกะ เกินครึ่งเป็นกระป๋องว่างเปล่าที่ล้มกลิ้งอยู่ ใกล้กันมีซากถุงพลาสติกที่คาดว่าเป็นอดีตลูกชิ้นปิ้ง ตอนนี้เหลือเพียงไม้เสียบว่างเปล่า ห่างออกไปเล็กน้อยมีลูกชิ้นขาดแหว่งที่สุนัขจรจัดหลายตัวรุมแย่งกันกินอยู่

   ภาพเบื้องหน้าเรียกประโยคหนึ่งกลับเข้ามาในความทรงจำ

   'ถ้าคราวนี้อกหักอีก...แล้วกูจะไปร้องไห้กับหมาที่ไหน!?'

   ความรู้สึกหลากหลายผุดขึ้นมาพร้อมกัน ทั้งหวานฝาดเฝื่อนและขมปร่า สุดท้ายมันก็กลับมาตายรัง ไม่ว่าจะเป็นเพราะไม่มีที่ไปหรือเพราะอะไรก็ตาม สุดท้ายมันก็ย้อนกลับมาหาผม

   แต่ตอนนี้ผมกลับโลภมาก ผมไม่พอใจแค่นั้น ผมต้องการมากกว่านั้น

   ผมก้าวเท้าด้วยจังหวะสม่ำเสมอเดินไปหยุดยืนด้านหลัง คนที่เพิ่งรู้สึกตัวหันขวับกลับมา เผยให้เห็นดวงตาทั้งสองข้างที่แดงก่ำ ไม่ได้มีหยดน้ำคลออยู่ด้านใน ทำให้ผมไม่แน่ใจว่านั่นเป็นแค่อาการเมาหรือเพราะเคยผ่านการร้องไห้มาก่อน

   บรรยากาศระหว่างเรามีเพียงความเงียบงัน เมื่อผมไม่ได้พูดอะไรและแจ็คก็นิ่งเงียบอย่างผิดวิสัย รอบตัวจึงมีเพียงเสียงครางหงิงจากสุนัขจรจัดที่ยังไม่อิ่มท้อง บางตัวก็เดินเข้ามาใช้จมูกเขี่ยดมซากถุงพลาสติก มองหน้าคนที่เคยโยนลูกชิ้นให้ แต่เมื่อพบว่าไม่เหลืออาหารแล้วพวกมันจึงพากันเดินจากไป

   ผมนึกถึงคำว่า 'แม้แต่หมาก็ยังเมิน'

   "กระเป๋าสตางค์กูล่ะ" ผมทำลายความเงียบด้วยคำถามห้วนสั้น

   คนฟังเม้มปากแน่น ก้มหน้าลงพลางใช้ท่อนแขนยันกายลุกขึ้นด้วยท่าทางโงนเงน พอเริ่มทรงตัวได้ก็โยนสิ่งของที่อยู่ในมือออกมาด้านหน้า ยังดีที่ผมเอื้อมมือออกไปรับเอาไว้ได้ทัน ผมจึงจ้องหน้ามันเล็กน้อย ก่อนก้มลงเสียบกระเป๋าสตางค์เข้าไปในกางเกง

   มันยังคงยืนนิ่งไม่ยอมเปิดปากพูดอะไร ผมจึงตัดบทด้วยการหมุนตัวกลับไปในทิศทางเดิม ออกเดินได้ไม่กี่ก้าวก็มีเสียงตะโกนไล่หลัง

   "ไม่เปิดดูข้างในหน่อยเหรอ" เสียงนั้นฟังดูแหบแห้งกว่าปรกติ

   เมื่อผมยังคงยืนหันหลังให้ เสียงเดิมจึงดังขึ้นอีกครั้ง

   "กูเอาเงินมึงซื้อลูกชิ้นเลี้ยงหมาหมดแล้วนะ"

   คราวนี้ผมจึงหันกลับไปเผชิญหน้า มุมปากของแจ็คยกขึ้นเล็กน้อย เกือบจะเป็นรอยยิ้มกวนตีน แต่มองแล้วกลับดูเหมือนการแค่นยิ้มมากกว่า นัยน์ตายิ่งไม่ยิ้ม แวบหนึ่งฉายแววถือดี แต่อีกแวบหนึ่งกลับดูเศร้าสร้อยเหมือนหมาแก่ที่ถูกเจ้าของทอดทิ้ง

   ก่อนจะเผลอใจอ่อนอีกครั้งผมจึงปรับสายตาลงมองพื้น เศษขยะกลาดเกลื่อน ไม่รู้ว่ามันมานั่งอยู่ตรงนี้นานแค่ไหน จะว่าไปในถุงก็มีซากไม้เสียบลูกชิ้นเยอะผิดปรกติ อาจพอให้เลี้ยงหมาได้ทั้งซอย คงผลาญเงินไปหลายร้อย แต่เดิมทีในกระเป๋าของผมก็ไม่น่าจะมีเงินสดเหลืออยู่มากมาย

   "ถือซะว่ากูเลี้ยงมึงละกัน" ผมตอบสั้นๆ รอยยิ้มของคนตรงข้ามพลันสะดุดกึก

   "มึงด่ากูเป็นหมา!?" คนเมาถลาเข้ามาหาเรื่อง

   แค่ยืนปรกติก็ยังเอียงกะเท่เร่ พอมันโถมตัวมาด้านหน้า ทั้งร่างจึงเซล้มมาปะทะกลางอกของผม กำปั้นพลาดเป้าหมายกลายเป็นการพาดแขนลงบนบ่า

   "มึงจะชกกูอีกแล้วนะ" ผมพูดด้วยน้ำเสียงคาดโทษ

   คนเมากลับทิ้งน้ำหนักศีรษะลงมา มือที่เคยชูกำปั้นเปลี่ยนเป็นขยำคอเสื้อยืดของผมแทน

   "มึงชอบโซระเหรอ" เสียงอู้อี้เหมือนคนคัดจมูกเอ่ยขึ้น ชกไปแล้วเพิ่งคิดจะมาถาม

   "แล้วมึงคิดว่าไงล่ะ" ผมจึงตอบกลับด้วยการย้อนถาม

   ถ้ายังมีสติมันก็น่าจะคิดเองได้ ผมเป็นคนแบบไหน พวกเราไม่ได้เพิ่งจะรู้จักกันเมื่อวาน

   "...โซระเป็นเด็กน่ารัก ขนาดกูยังชอบเลย"

   ผมได้ยินเสียงของความสิ้นหวัง ทั้งๆ ที่ผมพยายามใจเย็น แต่มันก็ยังชอบยั่วขีดความอดทนของผมด้วยการตอกย้ำ! ไม่ต้องพูดบ่อยๆ ผมก็รู้ ผมไม่ใช่คนน่ารัก ไม่มีอะไรตรงสเปคมันเลยสักอย่าง ห่างไกลจากเป้าหมายของมันยิ่งกว่าฟ้ากับเหว

   "มึงก็น่าจะรู้ว่ากูเป็นคนยังไง! กูเคยบอกว่ารักใครก็คือรักคนนั้น กูไม่ใช่คนตอแหล ไม่ใช่คนหน้าด้าน" ผมแค่นเสียงอย่างเหนื่อยล้า

   "มาถึงขั้นนี้แล้วกูก็ไม่ด้านพอจะยื้อ...คนที่ไม่มีทางหันมารักกูเลยด้วย..."

   ผมดันบ่าของคนในอ้อมแขนออกห่าง

   แต่มือของแจ็คกลับยังคงขยำเสื้อของผมแน่น ตอนนั้นเองที่ผมสังเกตเห็นว่านิ้วเรียวสวยกำลังสั่น และใบหน้าที่เงยกลับขึ้นมาก็เปียกเปื้อนไปด้วยน้ำตา

   ถ้าผมยังใจอ่อนเหมือนเดิม ทุกอย่างก็คงวนเข้าสู่จุดเดิม

   มีแต่จะเจ็บไม่รู้จบ

   "กูว่าพอแค่นี้เหอะแจ็ค..."

   ผมปล่อยมือ แต่มันกลับไม่ยอมปล่อย ใบหน้าเหยเกราวกับทำนบเขื่อนที่กำลังจะพังทลายลงมา

   "แล้วใครใช้ให้มึงเอากูวะ!?" มันกระชากคอเสื้อของผมเข้าหาพร้อมตะโกนใส่หน้า "ไอ้เพื่อนเฮงซวย! ไอ้ฟันแล้วทิ้ง! มึงก็รู้ว่ากูชอบเด็กน่ารัก ตัวเล็กๆ น่าทะนุถนอม แล้วดูมึงดิ๊ ตัวโตเป็นตึก เงียบเป็นเป่าสาก แถมยังชอบหลอกด่ากูตลอด ด่ากูปากหมา! ตอแหล! หน้าด้าน! ...แล้วมีดีตรงไหนเหลือให้รักวะ!? พอด่าเสร็จสมใจก็จะเขี่ยทิ้ง มึงไม่รู้หรอกว่ากูรู้สึกยังไง!?"

   ยิ่งพูดน้ำตาก็ยิ่งไหล แต่คนโวยวายกลับไม่ใส่ใจที่จะเช็ด

   "มึงไม่รู้หรอกว่ากูหลงรักหมอนมากี่ปี เคยคิดว่าตัดใจได้แต่เอาเข้าจริงกูก็ทำไม่ได้ กูโคตรเกลียดคนที่หมอนรัก โคตรเจ็บเวลาที่เห็นหมอนอยู่กับคนอื่น แต่มึงรู้อะไรไหม พอมีมึงอยู่ด้วย กูกลับรู้สึกว่ามันก็ไม่ได้เจ็บมากเท่าที่คิด"

   เสียงนั้นขาดหายไป พร้อมกับประโยคที่ทำให้ผมเริ่มมีความหวัง

   "ตอนที่เห็นมึงกอดกับโซระ... กูกลับเจ็บยิ่งกว่า"

   ดวงตาแดงก่ำที่มองมา ฉายแววปวดร้าวชัดเจนกว่าคำพูด

   ผมเคยบอกตัวเองให้เลิกหวัง เพราะว่ามันไม่เคยลืมรักแรก เพราะมันยังรักหมอน เพราะมันชอบคนน่ารัก เพราะมันไม่มีทางหันมารักผม แต่สิ่งที่ได้ยิน กลับโน้มน้าวให้ผมถามออกไป

   "เพราะอะไร"

   "เพราะกูรักโซระมากเลยมั้ง ไอ้ควาย!"

   มันตะคอกกลับมาดังลั่น พร้อมผลักอย่างแรงจนผมเซถอยหลังไปหนึ่งก้าว แต่เวรกรรมก็ตามทันติดจรวด เพราะร่างที่เมาจนทรงตัวไม่อยู่พลันต้องเซล้มตามลงมาอยู่ในอ้อมกอดของผมอีกครั้ง

   คำตอบผสมคำด่า ทำให้ผมเอือมระอา

   แต่ความหมายที่ซ่อนอยู่ ก็ทำให้ใบหน้าของผมผุดยิ้มขึ้นมาอย่างห้ามไม่ได้

   เหมือนคนสิ้นหวังในเขาวงกตที่ได้เห็นแสงสว่างปลายทางรำไร ผมเป็นคนโลภมากที่ไม่ได้ต้องการอะไรมากมาย ผมแค่อยากรู้ว่าตัวเองไม่ได้รักมันอยู่ข้างเดียว แค่อยากรู้ว่ามันมีใจให้ผมบ้าง แค่อยากได้ยินสักคำ

   "บอกรักกูดีๆ สักครั้งมึงจะขาดใจตายไหม"

   ผมผ่อนเสียงถอนหายใจ ก่อนจะถูกคนหัวรั้นดันทุรังออกแรงผลักอีกรอบ ไม่ได้สำนึกเลยว่าถ้าผมเซล้มลงตัวเองก็จะไม่เหลือหลักยึด ผมจึงโอบกอดร่างนั้นแน่นเข้า ไม่ให้คนเมาแผลงฤทธิ์ได้อีก

   เมื่อหมดทางสู้มันจึงทิ้งศีรษะลงมาบนบ่า ขยำคอเสื้อผมดึงเข้าหาตัวเอง ใช้เสื้อยืดของผมแทนผ้าขี้ริ้ว สั่งน้ำมูก เช็ดน้ำตา ปากก็ยังพึมพำคำขู่ไม่หยุด ถ้ากล้าทิ้งมันจะด่าให้เสียหมา ถ้ากล้านอกใจมันจะซัดให้น่วม ยิ่งพูดยิ่งอู้อี้จนฟังไม่ได้ศัพท์

   แต่สุดท้าย ผมก็ได้ยินสียงอู้อี้พึมพำคำหนึ่งคำ

   คำที่ทำให้ผมคลี่ยิ้มกว้าง ในขณะที่คนพูดทำท่าอยากจะกัดลิ้นตาย

   
หัวข้อ: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ ตอนที่ 26 แจ็คก็คือแจ็ค
เริ่มหัวข้อโดย: @moment ที่ 28-03-2018 19:32:14
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/ (https://www.facebook.com/at.moment.writer/)
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer/ (https://twitter.com/atmoment_writer/)
   

   ตอนที่ 26 แจ็คก็คือแจ็ค

   

   "มาม่าอีกแล้ว!? เมื่อวานก็มาม่า อย่าบอกนะว่ามึงจะแดกอย่างนี้ยันสิ้นเดือน!?" คนที่นั่งอยู่หลังโต๊ะเตี้ยโวยวายลั่นเมื่อเห็นหม้อไฟฟ้ากลมๆ กับซองสี่เหลี่ยมที่คุ้นตาวางลงตรงหน้า

   มีให้แดกก็บุญแล้ว ผมตอบแบบนั้นด้วยสายตา ก่อนจะย้อนถามด้วยคำพูดสั้นๆ "เพราะใครล่ะ"

   ฝีมือไอ้หมาตัวไหนผลาญเงินในกระเป๋าของผมจนเหลือแค่เศษเหรียญเป็นที่ระลึก อ้อ ยังมีแบงก์ยี่สิบอีกสองใบที่ส่วนหนึ่งกลายสภาพมาเป็นบะหมี่ในหม้อ

   อันที่จริงผมก็ไม่ได้สิ้นเนื้อประดาตัวขนาดนั้น ยังมีเงินเหลือในบัญชีให้กดใช้ได้ แต่อยากดัดนิสัยมันมากกว่า ให้รู้สำนึกบ้างว่าทำผิดก็ต้องยอมรับผิด

   "กะ...ก็ตอนนั้นกูกำลังโมโห" ถ้าเปลี่ยนจากคำว่าโมโหเป็นคำว่า 'หึง' ผมอาจจะเผลอใจอ่อนยอมอภัยให้มันง่ายๆ

   "นี่กูก็กำลังไถ่โทษแล้วไง ไข่ไก่สองฟองกะลูกชิ้นอีกตั้งหนึ่งถุง เอาน่า อร่อยเหมือนกัน กูเลี้ยงง่าย กินอะไรก็ได้" เจริญ! ชดใช้แทนกันได้มากเลย ลูกชิ้นถุงเดียวปริมาณยังไม่ถึงหนึ่งในสิบของที่มันโยนให้หมากินเลยด้วยมั้ง

   เมื่อเห็นอีกฝ่ายเริ่มลงมือกินด้วยท่าทางเอร็ดอร่อย ผมจึงได้แต่ส่ายหน้า ขี้เกียจจะพูดมากความ อย่างน้อยก็ถือว่าปฏิกิริยาของมันยังมีพัฒนาการ เพราะเมื่อวานทันที่เห็นบะหมี่ยี่ห้อเดิมติดต่อกันเป็นมื้อที่สองมันก็บ่นอุบว่า "กูกลับไปกินข้าวบ้านดีกว่า"

   ว่ากันว่าฝ่ายรักมักแพ้

   คนที่หลงรักข้างเดียวอย่างผมเคยตกเป็นฝ่ายพ่ายแพ้มาตลอด เมื่อก่อนแค่อยากจะรั้งให้มันอยู่ด้วยกันยังต้องงัดสารพัดวิธีขึ้นมาใช้ ทั้งไม้อ่อนไม้แข็ง ล่อด้วยของกินบ้าง บังคับขู่เข็ญด้วยกำลังบ้าง

   มาวันนี้สมการได้เปลี่ยนไป ถือว่าพวกเราเสมอกัน แต่ในเมื่อผมเคยเป็นฝ่ายเสียเปรียบมาตั้งนาน ถ้าจะขอถอนทุนคืนบ้างก็คงไม่ผิดใช่ไหม

   "ตามใจสิ อยากกลับก็กลับ" พอผมตอบด้วยน้ำเสียงเหมือนไม่ใส่ใจ มันก็ทำหน้าอึ้ง ผมเลยแกล้งหยอดอีกเล็กๆ น้อยๆ ประมาณว่าดีเหมือนกัน ผมจะได้ออกไปข้างนอกบ้าง ไปหาเอิร์ธบ้างอะไรบ้าง เท่านั้นคนฟังก็หน้าหงิกฉับพลัน เดินกลับมาหย่อนก้นนั่งตามเดิม ก้มหน้าก้มตากิน ถึงแม้จะแอบบ่นงึมงำลับหลัง

   เป็นฝ่ายชนะบ้างมันก็รู้สึกดีแบบนี้นี่เอง

   "ไหนมึงบอกไม่มีตังค์ไง แล้วนี่ซื้อเสื้อใหม่ตั้งแต่เมื่อไหร่" แจ็คเอ่ยขึ้นระหว่างคีบบะหมี่ค้างอยู่กลางอากาศ สายตาเหลือบมองเสื้อยืดที่ผมสวมอยู่พลางย่นหัวคิ้วเล็กน้อย

   "ก็ที่วันก่อนน้ำหกใส่ เอิร์ธเลยซื้อมาให้เปลี่ยน" ผมตอบพลางคีบบะหมี่ขึ้นมากินบ้าง พูดโดยไม่ได้ตั้งใจ แต่พอพูดแล้วก็อดลอบมองปฏิกิริยาของอีกฝ่ายไม่ได้

   "อ้อ เหรอ" คนพูดมากกลับเพียงแค่พยักหน้ารับรู้

   ผ่านไปหลายนาทีจนผมเกือบลืมหัวข้อสนทนานี้ไปแล้ว ถ้าแจ็คจะไม่สูดบะหมี่เสียงดัง ปลายเส้นสะบัดแกว่งไกวจนน้ำซุปกระเด็นมาใส่ผม ดีที่ไม่เข้าตา ทว่าเสื้อยืดสีขาวก็เปื้อนเป็นรอยเลอะเล็กๆ หลายจุด

   "เฮ่ย! มึงรีบถอดไปหย่อนซักเร็ว เดี๋ยวซักไม่ออก" ลีลาเนียนมาก ถ้าไม่รู้จักสันดานกันดีผมคงนึกว่ามันห่วงใยอย่างจริงใจ

   "ขยี้น้ำนิดเดียวก็โอเคแล้ว" ผมตอบพลางลุกเดินไปทางห้องน้ำ จัดการอยู่พักหนึ่งก่อนจะกลับมานั่งด้วยเสื้อยืดตัวเดิมที่มีรอยเปียกเป็นด่างดวงแทนรอยเปื้อน

   คิดแล้วผมก็แอบขำตัวเองไม่ได้ ทำอะไรไร้สาระ เปลี่ยนเสื้อใหม่ง่ายและสบายตัวกว่าการต้องสวมเสื้อชื้นๆ แบบนี้ตั้งเยอะ แต่ผมกลับมีความสุขที่ได้เห็นมันนั่งหน้าคว่ำที่แผนการของตัวเองไม่ได้ผล

   ความจริงถ้ามันพูดออกมาตรงๆ บอกว่า 'หึง' ไม่อยากให้ใส่เสื้อของคนอื่น แค่นั้นผมคงยินดีทำตามความต้องการของมันทุกอย่าง

   แต่แจ็คก็ยังคงเป็นแจ็คอยู่วันยังค่ำ

   ปากมากทุกเรื่อง ยกเว้นเรื่องที่ตรงกับใจ

   

   คืนนั้นมันเป็นฝ่ายถอดเสื้อยืดของผม ดึงออกผ่านทางศีรษะก่อนเริ่มต้นกิจกรรมที่ไม่จำเป็นต้องสวมเสื้อผ้า และก็ไม่รู้ว่ามันโยนเสื้อตัวนั้นทิ้งไปที่ไหน เพราะริมฝีปากที่แนบลงมาดึงความสนใจของผมไปซะหมด ลืมเลือนเรื่องแพ้ชนะ สนใจแต่คนตรงหน้า

   แต่หลังจากวันนั้น ผมก็ไม่เคยได้เห็นเสื้อยืดตัวนั้นอีกเลย


----------   


   คู่นี้จะมีบทหวานกับเขาบ้างไหม  :laugh:

หัวข้อ: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ บทส่งท้าย
เริ่มหัวข้อโดย: @moment ที่ 28-03-2018 19:53:00
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/ (https://www.facebook.com/at.moment.writer/)
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer/ (https://twitter.com/atmoment_writer/)
   

   บทส่งท้าย

   แฟนครับ


   

   หนึ่งสัปดาห์ก่อนสอบ ถือเป็นระยะดิ้นรนเฮือกสุดท้ายของนักศึกษาที่ความรู้ไม่เคยซึมเข้าสู่ขี้เลื่อย บ้างก็กลายเป็นซอมบี้เดนตายติวหนังสือหามรุ่งหามค่ำ บ้างก็กลายเป็นเปรตขอส่วนบุญจากชีทที่ปลิวว่อนทั่วภาค พวกผมก็ไม่ได้มีสภาพต่างจากนั้นเท่าใดนัก และด้วยความที่เรียนอยู่คนละภาค ลงเรียนคนละวิชา ทำให้พักนี้ผมกับแจ็คแทบจะไม่ได้เจอหน้ากันในมหาวิทยาลัย

   ปรกติแล้วผมมักจะนั่งอ่านหนังสือเงียบๆ อยู่ที่หอหรือไม่ก็ห้องสมุด ในขณะที่แจ็คนิยมตระเวนติวกับกลุ่มเพื่อนภาค ถึงแม้ว่าปากมันจะเคยสร้างคดีแค้นเอาไว้นับไม่ถ้วน แต่นาทีนี้อะไรที่ลืมได้ก็ลืมไปก่อน ลงเรือลำเดียวกันแล้วเป้าหมายเบื้องหน้าสำคัญกว่า

   แจ็คเองก็ไม่ใช่คนหัวทึบ หัวข้อไหนที่เข้าใจแล้วก็สามารถสอนคนอื่นต่อได้ด้วยซ้ำ ผลการเรียนของมันจัดอยู่ในเกณฑ์ปานกลางแค่พอถูไถ แต่ความจริงถ้ามันขยันตั้งใจเรียนให้ได้สักครึ่งของที่เพียรพยายามตามจีบเด็ก ป่านนี้อาจจะมีลุ้นเกียรตินิยมแล้วก็ได้

   ช่วงนี้แจ็คเลยไม่ค่อยได้กลับบ้าน มาอาศัยห้องของผมเป็นฐานทัพชั่วคราว พวกเราจึงยังได้เจอกันเวลาที่มันกลับมาอาบน้ำนอน บ้างก็ได้กินข้าวพร้อมหน้าก่อนจะแยกย้ายกันไปอ่านหนังสือสอบ แต่บางทีมันก็ไปติวที่หอเพื่อนข้ามคืน กว่าจะกลับมาก็เกือบเช้า

   ปรกติผมจะมีกุญแจสำรองดอกหนึ่งวางอยู่บนชั้นหนังสือ วันไหนที่มันมาค้างและผมต้องออกไปเรียนก่อน ตอนออกจากห้องมันก็จะจัดการล็อกประตูและสอดกุญแจคืนกลับเข้ามาด้านใน หรือช่วงไหนที่มาค้างหลายวันมันก็จะออกปากขอยืมกุญแจไปใช้ นานวันเข้าก็หยิบยืมไปโดยไม่จำเป็นต้องบอกกล่าว อย่างคราวนี้มันก็เอากุญแจไปด้วย

   นอกจากจะเต็มใจแล้วผมก็ยังแอบคิดในใจ ถ้ามันยึดไปเป็นการถาวร ไม่ต้องคืนได้เลยก็ยิ่งดี

   กึ่ก แกร่ก

   เสียงไขกุญแจทำให้ผมหรี่ตาขึ้นมาในความมืดสลัว เห็นแสงไฟด้านนอกลอดผ่านบานประตูที่เปิดแง้มเข้ามา ผมไม่แน่ใจว่าตอนนั้นเป็นเวลากี่โมงแล้ว เพราะเงาร่างสูงไม่ได้กดเปิดไฟ เพียงแค่เดินเลยไปวางกระเป๋า ก่อนจะก้าวมาทิ้งตัวนอนลงบนเตียง

   "ไม่อาบน้ำเหรอ" ผมพึมพำถามด้วยเสียงแหบแห้งแบบคนเพิ่งตื่น ขยับพลิกตัวโอบแขนเข้ากับรอบเอวของอีกฝ่าย ไม่ได้ถามเพราะรังเกียจความซกมก แค่แปลกใจเพราะปรกติคนเจ้าสำอางมักจะรักความสะอาด

   "ง่วงจะตายห่- กูทำมึงตื่นเหรอ โทษที" เสียงง่วงงุนตอบกลับมาพร้อมคำสบถอย่างติดเป็นนิสัย ดูท่าทางมันจะง่วงจริงๆ ผมจึงเลิกกวนใจ

   "ถ้าง่วงก็นอนเถอะ" ผมกล่าวสั้นๆ ก่อนจะหลับตาลงอีกครั้ง

   คนปากมากไม่ได้พูดมากความอีก สักพักภายในห้องจึงเหลือเพียงเสียงลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ

   ความสัมพันธ์ของพวกเรายังคงเป็นแบบนี้ ไม่มีความหวานมากมาย เพราะนิสัยคนเราใช่ว่าจะเปลี่ยนกันได้ง่ายๆ ถ้าวันไหนหมาในฟาร์มของแจ็คเลิกเห่า วันนั้นดอกพิกุลของผมก็คงร่วงหมดต้น ฉันใดก็ฉันนั้น

   แต่ก็ใช่ว่าบางอย่างจะไม่มีการพัฒนา อย่างน้อยสิ่งที่ผมได้ลืมตาตื่นขึ้นมาเห็นเป็นอันดับแรกก็ไม่ใช่ 'ตีน' เหมือนเมื่อก่อน อย่างน้อยตอนนี้ผมก็ได้นอนกอดคนในอ้อมแขนอย่างสบายใจ ไม่ต้องทนฟังคำก่นด่าว่าอึดอัดบ้างร้อนบ้าง

   อย่างน้อย พวกเราก็กลายเป็นแฟนกันแล้วจริงๆ

   ผมหมายถึง 'แฟน' แบบที่ไม่ใช่คำพูดปากเปล่าอย่างที่คนปากหมาหน้าด้านเคยพูดได้ไม่อายปากแต่ไม่เคยคิดอย่างที่พูด

   แต่หมายถึง 'แฟน' แบบที่แปลว่า 'คนรัก' กันจริงๆ

   

   "ไอ้ถึก! กูไม่ไหวแล้ว! เย็นนี้ไปกินชาบูกันเหอะ กูกำลังต้องการพลังงานชีวิตอย่างเร่งด่วน" เพิ่งจะสอบเสร็จวิชาแรกมันก็ทำหน้าอย่างกับผีดิบขาดสารอาหาร เดินเข้ามาฟุบหน้าลงกับโต๊ะในสภาพหมดแรง แต่จะว่าไปช่วงนี้มันก็ผอมลงจริงๆ

   ทว่ายังไม่ทันที่ผมจะได้ตอบอะไร ก็มีเสียงทักทายดังขึ้นจากใครบางคนที่เดินเข้ามาในโรงอาหาร

   "ไงตึก ชีทที่พี่เคยให้ไปออกสอบบ้างไหม อ้าว แจ็ค หายไปไหนมาไม่เห็นหน้าซะตั้งนาน" พี่มินนี่เอ่ยทักผม ก่อนจะมองเลยไปเห็นอีกคนที่นอนฟุบหน้าอยู่

   "สวัสดีครับพี่มินนี่คนสวย" แจ็คเงยขึ้นมาฉีกยิ้มทักทายพี่รหัส ถึงแม้สีหน้าจะเนือยๆ แต่ยังคงรักษาความตอแหลเอาไว้ได้ดุจเกลือรักษาความเค็ม

   "แล้วนี่คืนดีกันตั้งแต่เมื่อไหร่" พี่มินนี่เลิกคิ้วเล็กน้อย เพราะล่าสุดที่เจอกันผมยังมีรอยช้ำอยู่บนมุมปาก

   "โธ่ ฉันละก็อุตส่าห์ดีใจ นึกว่าตึกจะได้หมดทุกข์หมดโศก เลิกเห็นกรงจักรเป็นดอกบัว หมดเวรหมดกรรมกับตัวเห็บเหลือบริ้นไรซะที" ยังดีที่ไม่เรียก 'เสนียดจัญไร' ให้รู้แล้วรู้รอด

   "อ้าวเจ๊!? พูดอย่างนี้ก็สวยสิครับ เดี๋ยวผมก็อวยพรให้ผัวเจ๊ตาสว่างบ้างหรอก" ผีดิบผุดลุกขึ้นมาแยกเขี้ยว ลับฝีปากกลับอย่างไม่ยอมแพ้

   "อ้าวอินี่!? ฉันก็แค่บอกให้ตึกเลือกคบเพื่อนดีๆ เรื่องอะไรจะมาแช่งให้ฉันถูกผัวทิ้งยะ! แต่เอ๊ะ...? เดี๋ยวนะ..." พี่มินนี่เถียงกลับไปตามปรกติก่อนจะสะดุดกึก เลิกคิ้วสูงราวกับฉุกคิดอะไรบางอย่าง

   ฉันแช่งให้มันถูกตึกทิ้ง... แล้วไหงมันแช่งให้ฉันถูกผัวทิ้ง...?

   หืม...??? เดี๋ยวนะ

   ไม่ใช่มั้ง ไม่จริงน่า...

   "นี่พวกแกเป็น...ผัวเมียกัน...?"

   พี่มินนี่พูดออกมาด้วยความตกใจ มองหน้าผมที่คำว่า 'ผัว' ก่อนมองหน้าแจ็คที่คำว่า 'เมีย' ปากยังคงพึมพำเลื่อนลอยอย่างสติไม่อยู่กับเนื้อกับตัว ตั้งแต่เมื่อไหร่...? ไม่จริงน่า...

   คนช่างเถียงกลับกลายเป็นฝ่ายอ้าปากค้าง จากคนพูดมากกลายเป็นพูดไม่ออก กลายสภาพเป็นผีดิบจีนหน้าซีดที่ถูกลงยันต์แปะกลางหน้าผาก เป็นใบ้เฮือกใหญ่ ก่อนจะพูดโพล่งขึ้นมาว่าต้องเตรียมตัวสอบคาบบ่าย ตามด้วยการกระโดดเด้งดึ๋งๆ เผ่นจากไปอย่างไม่เหลียวหลัง

   ทิ้งให้พี่มินนี่เบนหน้ากลับมามองทางผม

   เมื่อไม่มีคำปฏิเสธ ก็เท่ากับเป็นการยอมรับ

   "ไม่จริง...ใช่ไหม โธ่... ตึกของเจ๊! จะหันมาอนุรักษ์ป่าไม้ทั้งทีทำไมถึงเสียของอย่างนี้!? สวยและดีอย่างเจ๊มีอีกถมเถ ทำไมถึงได้เลือกกินของแสลงอย่างนั้น กลับตัวกลับใจตอนนี้ยังทันนะ โธ่"

   พี่มินนี่ยังโอดครวญอีกยืดยาว ผมได้แต่นั่งนิ่งอย่างปั้นหน้าไม่ถูก ไม่รู้ว่าควรแสดงปฏิกิริยาแบบไหน จึงได้แต่ยิ้มแห้งพลางตอบในใจว่า

   'ไม่ทันแล้วครับ'

   

   หนีกลับไปตั้งหลักตลอดบ่าย พอตกเย็นคนหน้าหนาโบกปูนเสริมใยเหล็กก็กลับมาชวนผมไปกินชาบูตามที่ได้ลั่นวาจาไว้ น่าเสียดายที่พี่มินนี่ไม่ได้อยู่ขึ้นสังเวียนกับมันอีกยก พวกเราจึงนั่งรถออกมายังห้างใกล้มหาลัยกันอย่างสงบสุข

   "สอบเสร็จแล้วไปเที่ยวกันไหม" ผมเปิดประเด็นชวนคุยระหว่างที่แจ็คกำลังจัดการกับหมูในหม้อ สารพัดจานค่อยๆ หายสาบสูญไปจากโต๊ะ

   "ไปไหนอ่ะ" มันถามกลับสั้นๆ ก่อนจะคีบหมูชิ้นโตเข้าปาก

   "...ไปเที่ยวบ้านกูไหม"

   เด็กต่างจังหวัดอย่างผมปีนึงจะได้กลับบ้านสักสองสามครั้ง แต่ในช่วงเวลาแบบนี้ผมไม่อยากอยู่ห่างจากมันนานๆ สำหรับคนทั่วไปอาจเรียกได้ว่าเป็นช่วงข้าวใหม่ปลามัน ดื่มน้ำผึ้งพระจันทร์ แต่สำหรับผมกลับถือว่าอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อ

   "บ้านมึงอะนะ มีอะไรให้เที่ยว ไปดูควายไถนาเหรอ"

   ก็ดูปากมัน! จนบัดนี้ยังไม่เคยพูดจาหวานหูให้ชื่นใจสักครั้ง พูดจบยังมีหน้ามายักคิ้วกวนตีนก่อนคีบหมูอีกชิ้นเข้าปากเคี้ยวแก้มตุ่ย

   แต่เอาเถอะ คิดว่าผมรู้จักนิสัยมันดีแค่ไหน ถ้าสะทกสะท้านกับคำพูดแค่นี้คงจะตัดขาดกันไปแล้วเป็นรอบที่ล้าน คำพูดก็เหมือนดาบสองคม ก็แค่สะท้อนคมดาบกลับไป

   "ไปแนะนำตัวลูกสะใภ้"

   พรวด! พูดไม่ทันขาดคำคนตรงข้ามก็สำลักออกมาอย่างแรง ไม่ใช่แค่น้ำแต่เป็นเศษเนื้อ ยังดีที่ผมตั้งหลักอยู่แล้วจึงถอยหลบทัน ส่วนคนที่สำลักยังคงไอจนหน้าดำหน้าแดง

   ผมคว้าทิชชูหลายแผ่นยื่นออกไปด้านหน้า ทว่าปล่อยให้มือที่ยืนออกมารับลอยค้างอยู่กลางอากาศ เพราะเป้าหมายของผมไม่ใช่มือ แต่เป็นแก้มและปาก

   พอผมช่วยเช็ดให้ ใบหน้าของคนที่แดงอยู่แล้วจึงยิ่งแดงก่ำ

   จนไม่รู้ว่าเป็นเพราะไอ หรือเป็นเพราะอาย

   

   หลังจากกินอิ่มแล้วพวกเราจึงออกมาเดินเล่นย่อยอาหาร แจ็คยังคงมีสีหน้าปั้นยาก ยิ่งพอผมบอกว่าไม่ได้พูดเล่น ถ้ามันยอมไปจริงผมก็ตั้งใจจะทำอย่างที่พูดจริงๆ พ่อแม่ของผมเป็นคนทันสมัย น่าจะยอมรับเรื่องแบบนี้ได้ไม่ยาก แต่มันกลับเฉไฉไม่ยอมพูดถึงเรื่องนี้อีก ผมจึงไม่เซ้าซี้ ปล่อยให้มันได้มีเวลาคิดบ้าง

   ระหว่างที่เดินดูหนังสืออยู่แจ็คก็ขอตัวไปเข้าห้องน้ำ แต่จนกระทั่งผมหยิบหนังสือไปจ่ายเงินเสร็จเรียบร้อยก็ยังไม่เห็นอีกฝ่ายกลับมา มองหาจนทั่วก็ไม่เจอ ผมจึงเดินออกมาหน้าร้านและตั้งใจจะโทรไปตาม

   จังหวะนั้นเอง ผมเหลือบไปเห็นแผ่นหลังของแจ็คยืนอยู่ข้างบันไดเลื่อน ทว่าไม่ได้อยู่ตามลำพัง ยังมีเด็กวัยรุ่นผู้ชายสองคนในชุดนักศึกษายืนอยู่ด้วย กำลังพูดคุยอะไรกันบางอย่างด้วยรอยยิ้ม

   ผมขมวดคิ้วระหว่างที่เดินเข้าไปใกล้ จนได้เห็นใบหน้าอีกฝ่ายชัดเจนจึงเริ่มรู้สึกคุ้นตา พยายามทบทวนความทรงจำจนนึกออกว่าเคยเจอรุ่นน้องสองคนนี้ที่ไหนมาก่อน เด็กปีหนึ่งต่างคณะที่เคยมาร่วมงานค่ายอาสาที่ผ่านมานั่นเอง

   "ถ้ามีอะไรก็โทรมาได้ พี่ว่างตลอดแหละ" แจ็คยิ้มพลางยื่นโทรศัพท์คืนกลับไปให้น้องคนหนึ่ง

   บทสนทนาที่ได้ยินทำเอาผมฉุนกึก เผลอแวบเดียวมันแจกเบอร์จีบเด็กอีกแล้ว!?

   "อ่ะ พี่ต้น สวัสดีครับ" น้องที่สังเกตเห็นผมเอ่ยทัก ผมจึงพยักหน้ารับเล็กน้อย พลางเดินไปหยุดยืนอยู่ข้างไอ้แจ็ค ไอ้หมาตัวดี!

   มันหน้าเจื่อนชั่ววูบก่อนจะปั้นหน้ายิ้มแย้มตามปรกติ เหมือนไม่ได้ทำความผิดอะไร ไม่ได้มีชนักติดหลัง ผมจึงวางสีหน้านิ่งเรียบตามปรกติเช่นกัน ถึงแม้ภายในใจจะเริ่มเดือดปุดๆ รุ่นน้องยังคงชวนคุยอีกสองสามประโยค แต่แทบไม่ได้เข้าหูผมเลยสักอย่าง

   "เอ่อ... พี่ต้นครับ คือเพื่อนผมอยากจะขอเบอร์พี่ด้วย ได้ไหมครับ" น้องคนเดิมเอ่ยถามแทนเพื่อนอีกคนที่กำลังยืนอ้ำอึ้งเขินอาย

   "ได้สิ" ผมเหล่มองคนข้างกายแวบหนึ่งก่อนจะตอบโดยแทบไม่ต้องคิด

   "ศูนย์แปด..." ระหว่างที่ผมกล่าวต่อเสียงเรียบ กลับมีเสียงพูดโพล่งผ่ากลางวงขึ้นมา

   "ถ้าน้องมีอะไรโทรหาพี่ก็ได้ พี่กับไอ้ถึกอยู่ด้วยกันตลอดเวลาอยู่แล้ว" แจ็คพูดพลางฉีกยิ้มหวาน เสี้ยวหนึ่งแอบคล้ายการแยกเขี้ยวมากกว่า

   "พี่แจ็คกับพี่ต้น... เป็นรูมเมทกันเหรอครับ" น้องสองคนชะงักไปเล็กน้อย แต่ยังคงพยายามตีความไปในทางที่ดี

   "ก็ไม่เชิงครับ คือพี่สองคนอยู่ด้วยกัน กินด้วยกัน นอนด้วยกัน..." ยิ่งเห็นน้องคนที่เคยยืนหน้าแดงเริ่มหน้าซีด ไอ้แจ็คก็ยิ่งใส่ไฟอย่างสนุกปาก

   "นอนเตียงเดียวกัน อาบน้ำด้วยกัน มีอะไร..."

   "เป็นแฟนกันครับ"

   ผมสรุปให้สั้นๆ ก่อนที่คนหน้าด้านจะพูดจาไม่อายปากไปมากกว่านี้

   "ขอโทษนะครับน้อง พี่สองคนขอตัวก่อนนะ" ผมพูดพลางลากคอไอ้ตัวดีเดินออกจากบริเวณนั้น ใบหน้าที่ยังมียางไม่รู้ว่าควรจะยิ้มหรือหัวเราะ ควรอายแทนหรือควรจะดีใจที่มันทำลงไปเพราะความ 'หึง'

   "มึงพูดแบบนั้นไม่คิดจะจีบเด็กแล้วเหรอ" ผมเอ่ยถามลอยๆ

   อย่าว่าแต่จีบเลย ต่อจากนี้คงไม่มีทางมองหน้าน้องสองคนนั้นติดอีกแล้วแน่ๆ

   "กูจีบที่ไหน ก็แค่รุ่นน้องมาขอเบอร์ กูก็เลยให้" มันยังแถไปได้แบบหน้าด้านๆ

   แต่เอาเถอะ ผมขี้เกียจถือสา เพราะตอนนี้ยังมีอีกเรื่องหนึ่งที่ติดใจมากกว่า

   "เราเคยอาบน้ำด้วยกันด้วยเหรอ" พอถูกถามปุ๊บมันก็ทำหน้าเหวอ

   "มึงก็รู้ว่ากูตอแหล" แถมด้วยการตีหน้ามึน ตอบอย่างไม่รู้ไม่ชี้

   "มึงก็รู้ว่ากูไม่ใช่คนตอแหล พูดแล้วก็ต้องทำให้ได้อย่างที่พูด" พูดจบผมก็ล็อกคอคนที่ยืนตัวแข็งให้ออกเดินต่อ พอตั้งสติได้มันก็เริ่มออกแรงดิ้น

   "คือว่ากูไม่ได้กลับบ้านมาหลายวันแล้ว วันนี้กูว่ากูกลับบ้านดีกว่า!"

   ปล่อยให้มันพล่ามไป แต่คิดเหรอว่าผมจะยอมปล่อย คนที่ยังไม่ยอมรับชะตากรรมของตัวเองยังพยายามดิ้นมุดหนีออกทางใต้แขน ผมจึงเลื่อนมือลงมาโอบรอบเอวแทน ดึงร่างนั้นเข้ามาประชิดตัว ก่อนจะก้มลงไปกระซิบ

   "ถ้ามึงยังดิ้นอีก กูจะเปลี่ยนจากห้องน้ำที่หอเป็นห้องน้ำในห้างแทนนะ"

   มันหันขวับกลับมามองผมอย่างไม่เชื่อสายตา ทว่าระยะห่างเท่านั้นทำให้แก้มเนียนปัดผ่านปลายจมูกของผมไป ทำให้คนในอ้อมแขนชะงักถอยหลัง แต่ก็ไม่กล้าดิ้นอีก

   สายตาของผมสื่อความหมายชัดเจน และมันก็ไม่ได้โง่พอที่จะไม่เข้าใจ

   ผมพูดถึง 'ห้องน้ำ' แต่ไม่ได้หมายถึงแค่การ 'อาบน้ำ'

   "ไอ้ถึก ไอ้ยักษ์หื่น" มันเบนหน้าหลบการจ้องมอง ปากยังคงแอบด่าไม่หยุด แต่สุดท้ายก็จำยอมออกเดินแต่โดยดี

   ปล่อยให้มันด่าไปเถอะ

   เพราะถึงยังไงมันก็ทำได้แค่ 'ดีแต่ปาก' เท่านั้นแหละ

   
----------

   
เรื่องของคู่หลัก ต้นกับแจ็ค ก็จะจบแต่เพียงเท่านี้ ถ้าหวานกว่านี้คงจะเป็นตัวปลอม หรือไม่แจ็คก็กินยาผิด :laugh:
ยังเหลือเรื่องของคู่เด็กน้อยอีกนิดหน่อย เอิร์ธกับโซระ เอาไว้จะทยอยมาลงต่อวันหลังนะคะ
วันนี้ใช้โควต้าความขยันหมดแล้ว เฮือกกกกก ต้องรีบไปดูคุณพี่หมื่น  :katai4:

ลงจบแล้วก็แปะโฆษณา~~
แจ็คจะมีวางขายในงานสัปดาห์หนังสือที่จะถึงนี้ (29มีนา-8เมษา ณ ศูนย์สิริกิติ์)
ฝากวางสามบูธ นานานาริส เซ้นส์ B2S รายละเอียดลองแวะไปดูได้ที่เพจจ้า
https://www.facebook.com/at.moment.writer/posts/1659540980802362 (https://www.facebook.com/at.moment.writer/posts/1659540980802362)

ในเล่มหลักก็จะมีตอนพิเศษ5ตอน60กว่าหน้า เล่มเล็กมี44หน้าเป็นตอนพิเศษทั้งเล่ม (ตัวอย่างตอนพิเศษอยู่ในเพจอีกเช่นกัน)
ป.ล. เล่มเล็กมีจำนวนจำกัด ถ้าเหลือจากงานหนังสืออาจมีขายที่เว็บของสนพ.ฟาไฉ แต่ถ้าหมดแล้วก็หมดเลยจ้า

ขอบคุณค่ะ  :pig4:  :L1:


หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ บทส่งท้าย [27ตอนจบ] (28/3/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: aorpp ที่ 28-03-2018 23:25:30
นามปากกานี้ คุ้นมากกกเลยค่ะ ชอบงานแปลนิยายวายของคุณ @moment มาก ใช่คนเดียวกันหรือป่าวคะ
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ บทส่งท้าย [27ตอนจบ] (28/3/2018)
เริ่มหัวข้อโดย: em1979 ที่ 29-03-2018 00:05:57
แจ๊คเอ้ย... กว่าจะเลิกปากแข็ง  555
ขอบคุณสำหรับนิยายสนุกๆ นะคะ
และขอตามไปอ่านเรื่อง มังกรไร้ขา ต่อเลย
หัวข้อ: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ เอิร์ธกับโซระ ตอน รถไฟเหาะ
เริ่มหัวข้อโดย: @moment ที่ 29-03-2018 21:41:21
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/ (https://www.facebook.com/at.moment.writer/)
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer/ (https://twitter.com/atmoment_writer/)


   เอิร์ธกับโซระ ตอน รถไฟเหาะ

   

   [เอิร์ธ]

   

   "โซระกับเอิร์ธอยู่โรงเรียนเดียวกันเหรอ ดูสนิทกันมากเลย" หนึ่งในสองสาวที่นั่งอยู่โต๊ะด้านหน้าหันกลับมาชวนคุย ระหว่างที่ผมกำลังเก็บชีทใส่กระเป๋าเพื่อเตรียมตัวกลับบ้าน

   "อื้อ พวกเราสนิทกันมาตั้งแต่ม.ต้นแล้ว เนอะเอิร์ธ" ร่างที่นั่งอยู่ด้านข้างผมคลี่ยิ้มตอบด้วยอัธยาศัยอันดี ก่อนที่ปลายประโยคจะหันกลับมาขอเสียงสนับสนุน โดยมือข้างหนึ่งก็วางลงมาบนบ่าของผมเพื่อยืนยันความสนิทสนม

   ผมจึงพยักหน้าตอบรับเรียบๆ พลางปรายตามองมือที่ยังคงวางอยู่บนบ่าของตนเองเล็กน้อย ปรกติแล้วโซระเป็นคนร่าเริง สดใส ไม่ถือตัว การแตะเนื้อต้องตัวกันแบบเพื่อนจึงไม่ใช่เรื่องแปลก คงจะมีเพียงผมฝ่ายเดียวที่คิดมาก ฟุ้งซ่าน หวั่นไหวไปกับแค่การสัมผัสเล็กๆ น้อยๆ

   ทั้งๆ ที่อุตส่าห์ลงเรียนกวดวิชาตั้งมากมายเพื่อไม่ให้ตัวเองว่าง สมองจะได้ไม่มีเวลาคิดถึงเรื่องของใครบางคน แต่แล้วคนๆ นั้นกลับดันตามมาเรียนด้วยกัน เลยกลายเป็นว่าพวกเราต้องเจอหน้ากันทุกวัน จันทร์ถึงศุกร์ ไม่เว้นวันหยุดเสาร์อาทิตย์ ไม่มีเวลาห่างกันเลยสักนิด ทำให้ผมยิ่งรู้สึกว่าหัวใจของตัวเองอ่อนแอลงทุกวัน

   บางครั้งก็เต้นแรงยิ่งกว่านั่งรถไฟเหาะ

   แต่บางครั้งก็บีบรัดจนรู้สึกเจ็บ

   "พวกเราว่าจะไปกินไอศกรีม โซระกับเอิร์ธไปด้วยกันนะ" สาวคนเดิมเริ่มหงายการ์ดรุก ต่างจากอีกหนึ่งสาวที่ยังนั่งซ่อนรอยยิ้มด้วยท่าทางเขินอาย

   "ขอโทษจริงๆ คือวันนี้เรากับเอิร์ธมีนัดแล้ว" โซระยิ้มแหยตอบสองสาวอย่างเกรงใจ ขณะที่ผมได้แต่หันไปมองคนข้างๆ อย่างงงๆ ว่าพวกเรามีนัดตั้งแต่เมื่อไหร่? กับใคร? ที่ไหน? อะไรยังไง?

   "เหรอ น่าเสียดายจัง" สีหน้าของสองสาวจึงเจื่อนลงไป

   โซระขอโทษขอโพยอีกหลายครั้ง ก่อนจะขอตัวกลับพร้อมดันหลังให้ผมออกเดินไปพร้อมกัน

   เมื่อเดินออกมาจากโรงเรียนกวดวิชาซึ่งตั้งอยู่กลางย่านร้านค้าของวัยรุ่น ส่วนใหญ่เด็กที่เพิ่งเลิกเรียนพิเศษจึงมักจะแวะผ่อนกลายด้วยการหาอะไรนั่งกินบ้าง เดินเลือกซื้อของบ้าง ผมยังคงเดินผ่านหน้าร้านต่างๆ เมื่อมือที่วางอยู่บนแผ่นหลังยังไม่ผละออกไป จนกระทั่งผมเริ่มชะลอฝีเท้าและหันกลับไปขอคำอธิบาย คนด้านข้างจึงยอมตอบเสียงอ่อย

   "ก็... เราไม่อยากให้ความหวัง" คำตอบสั้นๆ ที่ฟังดูมีเหตุผล

   เพราะถึงยังไงโซระหรือผมก็คงไม่มีทางชอบพอพวกเธอมากไปกว่าความเป็นเพื่อน แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังอดเลิกคิ้วด้วยความแปลกใจไม่ได้ เพราะตามปรกติแล้วโซระมักจะตอบรับคำชวน เพราะไม่อยากปฏิเสธให้คนชวนต้องเสียใจ

   "เราหิวแล้ว ไปหาอะไรกินกันนะ" เมื่ออีกฝ่ายกล่าวแบบนั้นผมจึงปัดความสงสัยออกจากสมอง ไม่อยากจะคิดมากให้วุ่นวาย ทว่าเมื่อพยักหน้ารับ กลับถูกจูงมือให้ออกเดินต่อ ทำให้ผมต้องก้มลงมองมือของตัวเองที่ถูกเกาะกุมโดยมือของคนข้างๆ

   นี่เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ผมพยายามไม่คิด ย้ำบอกตัวเองว่าอย่าคิดไปเอง แม้จะรู้สึกว่าการสัมผัสเล็กๆ น้อยๆ เกิดขึ้นบ่อยเกินไป

   ยิ่งพักหลังมานี้ อาการใจสั่นยิ่งกำเริบถี่ จนน่ากลัวว่าหัวใจจะวายเข้าสักวัน

   

   "ข้าวหน้าเนื้อกับก๋วยเตี๋ยวคั่วไก่ครับ" พอได้ที่นั่งโซระก็จัดการสั่งเผื่อผมเรียบร้อย เมนูประจำทุกครั้งที่พวกเรามาทานร้านนี้ เมื่อจดรับรายการอาหารเสร็จพนักงานจึงเดินกลับออกไป

   "หมู่นี้... ไม่ค่อยเห็นพี่ต้นเลยนะ ทะเลาะอะไรกันหรือเปล่า" ระหว่างนั่งรออาหารมาเสิร์ฟ โซระก็เปิดบทสนทนาขึ้นมา

   ทว่าเป็นคำถามที่ผมได้แต่อ้ำอึ้ง เพราะเรื่องระหว่างผมกับพี่ต้นเป็นแค่สิ่งที่ถูกกุขึ้นมา เป็นแค่แผนการ จะให้บอกได้ยังไงว่าทั้งหมด... คือเรื่องโกหก

   "แล้ว... โซระกับพี่แจ็คล่ะเป็นยังไงบ้าง" ผมได้แต่เบี่ยงเบนคำถามด้วยการย้อนถาม ถึงแม้จะเคยได้ยินข่าวจากพี่ต้นว่าใครคนนั้นอกหักจากโซระ แต่ผมก็ยังไม่เคยกล้าถามรายละเอียดโดยตรงจากคนตรงหน้าเลยสักครั้ง

   "เรื่องของเรากับพี่แจ็คคงเป็นไปไม่ได้หรอก" โซระตอบด้วยรอยยิ้มจาง

   "ทำไมล่ะ" ผมถามต่อ แม้จะพอรู้เรื่องอยู่บ้าง แต่พอได้ยินจากปาก หัวใจก็อดโลดเต้นด้วยความยินดีไม่ได้

   โซระนิ่งเงียบไปพักใหญ่ ก่อนจะกล่าวประโยคถัดมาด้วยรอยยิ้มที่สดใสกว่าเดิม

   "เพราะเรามีคนที่ชอบอยู่แล้ว"

   ถ้าหากเปรียบหัวใจของผมเหมือนกำลังเคลื่อนขึ้นไปหยุด ณ จุดสูงสุดของรางรถไฟ วินาทีที่ได้ยินคำตอบนั้น กลางอกก็วูบโหวง ราวกับก้อนเนื้อข้างในถูกปล่อยทิ้งให้ร่วงหล่นลงมาอย่างรวดเร็วและรุนแรง

   

   ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมต้องรับรู้ว่าโซระชอบใครบางคน

   แม้กระทั่งครั้งแรกที่พวกเรารู้จักกัน ก็เป็นความบังเอิญที่ผมเก็บกระเป๋าสตางค์ใบหนึ่งได้ เมื่อลองเปิดดูจึงรู้ว่าเป็นของเพื่อนร่วมชั้น แต่ในนั้นกลับมีรูปถ่ายของรุ่นพี่คนหนึ่งอยู่ด้วย ตอนแรกผมก็ยังไม่ได้เอะใจ จนกระทั่งนำไปคืนแล้วเพื่อนที่แทบไม่เคยคุยกันมาก่อนกลับพยายามตามตีสนิท ทำให้ผมพอจะผูกเรื่องจากท่าทางแปลกๆ ของอีกฝ่ายได้

   "นายไม่ต้องมานั่งเฝ้าเราทุกวันแบบนี้ก็ได้นะ เราไม่บอกใครหรอก"

   ความลับของรูปถ่าย รูปของรุ่นพี่ผู้ชาย เจ้าของกระเป๋าก็เป็นผู้ชาย

   "เราก็เป็นเหมือนกับนาย"

   อุตส่าห์บอกความลับของผมให้เขารู้เพื่อความเสมอภาค เขาจะได้ไม่ต้องมาเสียเวลากับผมอีก แต่แล้วสิ่งที่ได้ยินกลับเหนือความคาดหมาย

   "เดี๋ยวสิเอิร์ธ! เราอยากเป็นเพื่อนกับนายจริงๆ นะ!"

   หลังจากวันนั้นโลกที่เต็มไปด้วยหนังสือของผมจึงมีใครคนหนึ่งก้าวเข้ามา บางครั้งก็เอาการ์ตูนมานั่งอ่านข้างๆ หัวเราะเสียงดังจนต้องเงยหน้าขึ้นมามอง หลายครั้งก็ชอบทำอะไรไร้สาระจนผมต้องส่ายหน้า แต่แล้วความร่าเริงสดใสและรอยยิ้มจริงใจก็ทำให้อดยิ้มตามไม่ได้ ยิ่งเวลาผ่านไปพวกเราก็ยิ่งสนิทกันมากขึ้นเรื่อยๆ

   แม้ว่าความรักของโซระจะจบลงเมื่อรุ่นพี่คนนั้นย้ายไปเรียนต่อม.ปลายที่อื่น แต่นั่นก็ไม่ใช่ครั้งเดียวที่โซระชอบใครสักคน

   ในขณะที่โซระกำลังเริ่มต้นความรักครั้งใหม่ ตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้...ที่ผมเริ่มหลงรักเพื่อนของตัวเอง

   อาจถือเป็นความโชคดีบนความโชคร้าย เพราะความรักของโซระมักจะอยู่ในโลกของความฝัน แค่ได้แอบมองก็พอใจ แค่ได้เห็นใครคนนั้นยิ้มก็มีความสุข แม้จะเศร้าเมื่อรู้ว่าเขาคบกับคนอื่น แต่ไม่นานนักก็ทำใจและเปิดใจมองหารักใหม่ได้

   "เอาแต่นั่งรอเจ้าชายในฝันแบบนี้ แล้วเมื่อไหร่จะมีแฟนกับเขาสักที"

   ผมเคยถอนหายใจพลางพูดอย่างนั้น หลังจากที่เพิ่งจะปลอบคนอกหักมาหมาดๆ แต่วันถัดมาเจ้าตัวกลับไปปิ๊งรักแรกพบเมื่อสบตากับพนักงานในร้านกาแฟ ถึงขั้นไปนั่งที่ร้านนั้นทุกวันหลังเลิกเรียนต่อเนื่องกันเป็นอาทิตย์

   ร่างเล็กกลับย่นจมูกใส่พลางบอกว่า "ถ้าเบื่อก็ไม่ต้องมาด้วยกันก็ได้"

   โซระอาจจะคิดว่าผมเบื่อหรือเหนื่อยหน่ายที่ต้องมาคอยตามปลอบใจ แต่คงไม่เคยรู้หรอกว่า แท้จริงแล้วคำพูดเหล่านั้นเกิดขึ้นจากความน้อยใจ

   เพราะผมรู้ว่าตัวเองห่างไกลจากภาพเจ้าชายในฝัน และเจ้าหญิงก็ไม่เคยหันกลับมามองคนข้างๆ เลยสักครั้ง

   เคราะห์ซ้ำกรรมซัด ศัตรูหัวใจรายล่าสุดดันเป็นหมาป่าในคราบของเจ้าชาย แถมยังเป็นฝ่ายเข้ามาจีบโซระก่อนด้วย ทำเอาผมร้อนใจจนทนอยู่เฉยไม่ได้ ยังโชคดีที่คราวนี้มีพี่ต้นคอยช่วย และโซระเองก็ไม่ได้ไปหลงคารมคนพรรค์นั้น

   แต่แล้วความดีใจก็ผ่านมาเพียงแค่ชั่ววูบ

   เมื่อตอนนี้ โซระกลับไปชอบใครอีกคน...

   

   "ซดนมเป็นลิตรแบบนี้ คิดอยากจะสูงกับเขาบ้างเหรอไงฮะตัวเล็ก" เพื่อนคนหนึ่งที่เดินผ่านเอ่ยแซว กลายเป็นเรื่องปรกติไปแล้วที่โซระมักจะถูกเรียกว่า 'ตัวเล็ก' บ้าง 'เตี้ย' บ้าง แต่เพราะรู้ว่าเพื่อนเรียกด้วยความสนิทสนม ไม่ใช่การด่าหาเรื่อง จึงไม่ได้ถือสา

   "ชิ อย่าให้เกิดมาสูงมั่งละกัน" ทว่าวันนี้คนน่ารักที่มักจะยิ้มรับกลับบ่นหน้างอ

   ผมจึงเงยหน้าจากหนังสือขึ้นมามองคนที่ยกนมกล่องลิตรขึ้นดื่มอีกหลายอึกใหญ่ ปรกติไม่เคยเห็นโซระชอบดื่มนมมาก่อน แต่หมู่นี้ไม่รู้เป็นอะไรถึงได้ขยันดื่มทุกวัน แทบจะเรียกได้ว่าดื่มนมต่างน้ำ

   "กินเยอะอย่างนั้นเดี๋ยวก็ไม่ย่อยหรอก" ผมทักท้วงเมื่อเห็นอาหารกลางวันจานโตที่สั่งแบบเพิ่มพิเศษ แต่คนตรงข้ามก็ยังนั่งเคี้ยวตุ้ยๆ แถมตอนหลังกลัวจะหมดเวลาพักหรือยังไงก็ไม่รู้ จัดการยัดแบบแทบไม่ทันได้เคี้ยวด้วยซ้ำ

   ยิ่งมองก็ยิ่งน่าสงสัยว่าพฤติกรรมแปลกประหลาดเหล่านี้เกี่ยวข้องกับความรักครั้งใหม่หรือเปล่า แต่ถึงผมจะลองเลียบเคียงถามว่าคนๆ นั้นคือใคร โซระกลับปิดปากเงียบ ทั้งๆ ที่พวกเราไม่เคยมีอะไรปิดบังกันมาก่อน

   สุดท้ายความเป็นห่วงของผมก็กลายเป็นจริงเข้าจนได้

   "อะไรนะ!? โซระอยู่ห้องพยาบาล!?" ผมอุทานอย่างตกใจ เมื่อได้รับรู้ข่าวจากเพื่อนคนหนึ่งหลังเลิกเรียน บอกว่าโซระปวดท้องอย่างหนักตั้งแต่ตอนบ่ายๆ สงสัยว่าจะอาหารเป็นพิษ

   "ไม่เป็นอะไรมากแล้วล่ะ แต่วันนี้ก็อย่าเพิ่งกินอะไร ดื่มแต่น้ำเกลือแร่อย่างเดียวก็พอ" หลังจากที่รีบวิ่งมาไกลจนต้องยืนหอบหายใจ ครูประจำห้องพยาบาลจึงอธิบายให้ฟังคร่าวๆ โชคดีที่อาการไม่รุนแรงนัก ไม่ถึงขั้นต้องพาส่งโรงพยาบาล

   'เตือนแล้วก็ไม่เคยฟัง' แม้ใจหนึ่งผมอยากจะดุคนหัวดื้อมากแค่ไหน แต่พอเห็นใบหน้าซีดเซียวของร่างเล็กที่นอนขดตัวคุดคู้อยู่บนเตียง มือกดกุมอยู่บนหน้าท้อง เท่านั้นทั้งความเป็นห่วงและสงสารก็ทำให้ดุไม่ออก พอผมเดินมาหยุดยืนอยู่ข้างเตียง คนที่นอนอยู่จึงปรือตาขึ้นมามองด้วยใบหน้าสลด

   "ลุกไหวไหม" เมื่อโซระพยักหน้ารับผมจึงโน้มตัวลงไปช่วยพยุง ร่างนั้นพยายามขยับลุกขึ้นนั่งทั้งๆ ที่ยังขดตัวงอเป็นกุ้ง

   "เดินไหวไหม เดี๋ยวเราไปส่งที่บ้าน" ใบหน้าซีดเซียวพยักรับอีกครั้ง ผมจึงยกมือไหว้ขอบคุณคุณครูพร้อมกล่าวลา ก่อนจะหยิบกระเป๋าของโซระและตัวเองมาถือ พาคนที่ค่อยๆ เดินอย่างเชื่องช้ากลับบ้าน ปรกติพวกเราจะนั่งรถไฟฟ้า แต่ดูท่าวันนี้คงต้องใช้บริการแท็กซี่

   "ขอโทษนะ เราทำให้เอิร์ธลำบากอีกแล้ว..." ระหว่างนั่งอยู่บนรถ คนข้างๆ ก็พูดขึ้นมาเสียงอ่อย ผมจึงได้แต่ถอนหายใจ ว่าจะไม่ดุแต่ก็อดบ่นไม่ได้

   "คิดยังไงถึงได้กินเยอะจนปวดท้องขนาดนี้" ทั้งข้าวจานโต ทั้งนมเป็นลิตรๆ ยังไม่นับขนมปิดท้ายอีก ถ้าย่อยทันก็เก่งเกินไปแล้ว คิดแล้วผมก็พาลโมโหตัวต้นเหตุที่ทำให้โซระต้องเป็นแบบนี้

   "ก็เรา... อยากจะตัวสูงๆ แบบพี่ต้นบ้าง" เสียงแผ่วเบาตอบอุบอิบ ทำให้ผมหันกลับไปมอง ถ้าจะให้ตอบตามหลักความจริง ต่อให้กินนมอีกกี่ปีร่างเล็กก็คงไม่มีทางสูงขึ้นได้ขนาดนั้น เพราะกรรมพันธุ์ของคนเราไม่เหมือนกัน แต่ถ้าจะตอบแบบให้กำลังใจ วัยรุ่นอย่างพวกเราก็ยังพอมีโอกาสสูงขึ้นได้อีกหลายปี

   แต่ประเด็นสำคัญก็คือ ทำไมโซระถึงได้อยากเป็นเหมือนคนอื่น

   "นายเป็นแบบนี้ก็ดีอยู่แล้วนี่นา" ผมพูดจากใจจริง ไม่เห็นจำเป็นต้องพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อใคร แค่นี้โซระก็น่ารักมากเกินพออยู่แล้ว

   'นายเป็นคนดีนะเอิร์ธ' ตอนนั้นเองที่ประโยคหนึ่งดังย้อนกลับเข้ามาในความคิด พี่ต้นอาจจะต้องการบอกแบบเดียวกัน ไม่มีประโยชน์ที่จะเอาตัวเองไปเปรียบเทียบกับคนอื่น ทั้งๆ ที่ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าคนๆ นั้นคือใคร ดีพอให้โซระทุ่มเทมากขนาดนี้หรือเปล่า

   "แล้วถ้าเทียบระหว่างเรากับพี่ต้น... เอิร์ธชอบใครมากกว่ากันล่ะ" แต่คนด้านข้างก็ยังไม่เลิกเปรียบเทียบ ปลายเสียงซ่อนแววน้อยใจอย่างกับเด็กหวงเพื่อน แต่จะว่าไป สาเหตุที่ทำให้โซระรีบร้อนทำอะไรเกินตัว ก็อาจเป็นเพราะเพื่อนสนิทมีแฟนไปแล้ว ในขณะที่ตัวเองยังไม่มีบ้างสักที

   สายตาตัดพ้อที่มองมา ทำให้ผมยิ่งรู้สึกผิดกับการโกหก

   "โซระ... คือว่า เราไม่ได้เป็นแฟนกับพี่ต้นหรอก" ผมตัดสินใจสารภาพความจริง แม้สีหน้างงจัดของอีกฝ่ายจะทำให้ผมไม่กล้าอธิบายทุกอย่างออกไป

   "คือ พวกเราเหมาะจะเป็นพี่น้องกันมากกว่าน่ะ" ผมตัดสินใจเล่าต่อโดยหลีกเลี่ยงความจริงบางส่วน แต่สิ่งที่พูดล้วนเป็นความจริง ผมกับพี่ต้นห่วงใยกันแบบพี่น้อง และไม่มีทางเป็นได้มากกว่านั้น เพราะเราสองคนต่างก็หลงรักใครบางคนไปแล้ว

   "จริงเหรอเอิร์ธ!?" ริมฝีปากที่ยังคงซีดเซียวคลี่ยิ้มกว้างอย่างดีใจ โผเข้ามาจับมือผมแน่น ก่อนจะเบ้หน้าและขดตัวกลับลงไปด้วยความปวดท้อง

   "อีกนิดเดียวก็ถึงบ้านแล้ว กลับไปดื่มน้ำเกลือแร่ กินยา แล้วก็รีบเข้านอนนะ" ผมทวนคำพูดที่ครูเคยบอกไว้อย่างเป็นห่วง โซระเม้มปากพลางพยักหน้ารับโดยไม่ได้พูดอะไรออกมาอีก

   หลังจากนั้นผมจึงปล่อยให้อีกฝ่ายได้นั่งพักเงียบๆ ก่อนจะก้มลงมองมือของตัวเองที่ยังคงถูกอีกฝ่ายกุมเอาไว้แน่น ยิ่งไปกว่านั้น สักพักร่างด้านข้างที่นั่งหลับตากลับเอนศีรษะลงมาพิงบนบ่าของผม

   ทำให้ผมรู้สึกว่า รถไฟเหาะที่วิ่งวนไปมาอย่างไม่เคยเข็ด กำลังไต่ระดับความสูงขึ้นอีกครั้ง

   
----------

   หลังจากนี้จะเป็นเรื่องราวของคู่รอง เอิร์ธกับโซระนะคะ มีไม่กี่ตอนจบ
   คู่นี้จะออกเด็กน้อยใสๆ มุ้งมิ้ง หวานนิดๆ ใจสั่นหน่อยๆ

   ความจริงตอนนี้เป็นเรื่องราวที่เกิดขึ้นราวๆ ตอนที่19ของคู่หลัก (แต่เราลืมเอามาลง...)  :a5:
   แต่อ่านย้อนหลังก็ไม่เป็นไร ยังไงเนื้อเรื่องก็ไม่ค่อยเกี่ยวข้องกับคู่หลักแล้ว แยกอ่านได้แหละเนอะ ^^"
   
>> aorpp : นามปากกานี้ คุ้นมากกกเลยค่ะ ชอบงานแปลนิยายวายของคุณ @moment มาก ใช่คนเดียวกันหรือป่าวคะ

เราเคยแปลวายญี่ปุ่นอยู่ไม่กี่เรื่องเมื่อนานมาแล้วค่ะ แต่ไม่แน่ใจว่าใช่เรื่องเดียวกับที่คุณaorpp เคยอ่านหรือเปล่านะคะ ^^"
พักหลังแอบอู้ไปนานมากจนหมดไฟ...เลยไม่ได้รับแปลต่อแล้วค่ะ T^T (พูดถึงแล้วก็รู้สึกผิด ฮือออออ)

>> em1979

มังกรไร้ขายังแต่งไม่จบนะคะ ยังค่อยๆ กระดึ๊บไปอย่างเชื่องช้า...
กว่าจะจบคงอีกพักใหญ่ๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆๆ (ไม้ยมกจะเยอะไปไหน)
แจ็คเป็นนิยายที่จบแล้วเลยทยอยเอามาลงได้เร็ว แต่เรื่องนั้นต้องใจเย็นนิดนึงน้า...
ขอบคุณที่ติดตามค่า  :pig4:


หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ (27ตอนจบ) ตอนพิเศษเอิร์ธกับโซระ 29/03/61
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 30-03-2018 01:02:38
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ (27ตอนจบ) ตอนพิเศษเอิร์ธกับโซระ 29/03/61
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 30-03-2018 18:27:02
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁[27ตอนจบ] ตอนพิเศษ เส้นผมบังภูเขา 30/03/61
เริ่มหัวข้อโดย: @moment ที่ 30-03-2018 22:02:56
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/ (https://www.facebook.com/at.moment.writer/)
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer/ (https://twitter.com/atmoment_writer/)
   

   เอิร์ธกับโซระ ตอน เส้นผมบังภูเขา

   

   [เอิร์ธ]
   

   ถึงขั้นอาหารเป็นพิษไปแล้วครั้งหนึ่งโซระก็ยังไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจ ยังคงตั้งหน้าตั้งตาขุนตัวเองต่อไป แต่อย่างน้อยก็ปรับปรุงวิธีการไปในทางที่ดีขึ้น เลิกกินแบบสักแต่จะยัด หันมาเลือกทานอาหารที่เป็นประโยชน์ เน้นโปรตีนอย่างเนื้อ นม ไข่ขาว และออกกำลังกายมากขึ้น อย่างตอนพักกลางวันก็ไปเล่นบาส หรือเย็นวันไหนที่ไม่มีเรียนพิเศษก็ออกไปวิ่งบ้าง

   "เอิร์ธ~! เอิร์ธดูนี่สิ!" ใบหน้าใสคลี่ยิ้มกว้างพลางเดินกึ่งวิ่งมาทางผม

   น่าเสียดายผิวขาวๆ ที่กลายเป็นสีคร้ามแดด ทว่าไม่ใช่สีแทนหรือสีน้ำผึ้ง แต่เป็นสีขาวอมชมพูเข้มจนเกือบจะแดงเถือกมากกว่า จนผมต้องคอยเตือนให้อีกฝ่ายทาครีมกันแดดบ้าง ไม่อย่างนั้นผิวของโซระอาจจะไหม้จนลอก ทั้งแสบทั้งคันทรมาน เหมือนอย่างที่เคยเป็นตอนช่วงงานกีฬาสี

   "อะไรเหรอ" ผมถามยังไม่ทันจบประโยคโซระก็รีบอวดให้ดูรูปใบหนึ่งจากโทรศัพท์มือถือ เป็นรูปถ่ายของร่างเล็กในห้องนอน กำลังยืนตัวตรงแนบแผ่นหลังพิงกับกำแพง เมื่อซูมเข้ามาจึงเห็นรอยขีดข้างเสา กำกับวันที่และตัวเลข

   "เอิร์ธเห็นไหม!? เทียบกับเดือนที่แล้วเราสูงขึ้นตั้งครึ่งเซนต์แน่ะ!"

   น้ำเสียงตื่นเต้นดีใจทำให้ผมกำลังจะคลี่ยิ้มตอบปนกึ่งขำกึ่งเอ็นดู 'ก็บอกแล้วว่าวัยอย่างพวกเรายังสูงขึ้นได้อีก'

   แต่เมื่อหันหน้าไปกลับต้องเผชิญกับรอยยิ้มสว่างสดใสในระยะประชิด เมื่อโซระไม่เพียงแต่จะอวดรูปในมือถือ แต่ยังชะโงกศีรษะเข้ามาดูด้วย จนแก้มของพวกเราแทบจะแนบชิดกัน และเมื่อผมหันไปพร้อมๆ กับที่โซระหันมา จมูกของพวกเราจึงแทบจะชนกัน

   วินาทีนั้น หัวใจของผมแกว่งวูบ

   ผมได้แต่กลั้นหายใจพลางถอยใบหน้าออกมา ขณะที่โซระยิ้มเก้อเขินชั่วครู่ ก่อนจะพูดออกมาด้วยแววตามุ่งมั่น

   "อีกนิดเดียวเราก็จะสูงเท่าเอิร์ธแล้วนะ"

   คำพูดนั้นไม่ใช่แค่การคุยโม้โอ้อวด เพราะจะว่าไปแล้วตอนนี้ความสูงของพวกเราก็ห่างกันอยู่แค่สองเซนต์ ถ้าโซระยังเล่นสูงแบบก้าวกระโดดอย่างนี้ สักวันผมอาจจะถูกแซงหน้าก็ได้

   

   'เชื่อพี่สิ เอิร์ธสารภาพความรู้สึกกับโซระตามตรงเถอะ'

   พี่ต้นเคยพูดกับผมแบบนั้น ให้กำลังใจด้วยน้ำเสียงหนักแน่น บอกว่าทุกอย่างจะต้องเป็นไปได้ด้วยดี ไม่รู้ว่าพี่เขาไปเอาความมั่นใจมากมายนั้นมาจากที่ไหน แต่เรื่องแบบนี้ ...ใช่ว่าพูดง่ายแล้วจะทำง่าย

   ใช่ว่าทุกคนจะโชคดีเหมือนพี่ต้นที่สารภาพรักแล้วได้สมหวัง

   เอ่อ ควรเรียกว่าโชคดีหรือเปล่า? เพราะจนถึงทุกวันนี้ผมก็ยังคงรู้สึกแบบเดียวกับวันแรกที่พวกเราพบกัน

   'ผมคิดว่ารสนิยมของพี่ไม่ค่อยดีเท่าไหร่'

   แต่เอาเถอะ เห็นพี่ชายมีความสุขผมเองก็ดีใจด้วย

   ถือได้ว่าแผนการที่พวกเราสมรู้ร่วมคิดกันสำเร็จลุล่วงลงด้วยดี แต่ถ้าจะมีเรื่องผิดแผนอยู่เพียงอย่างเดียวก็คือ แทนที่ผมจะเบาใจว่ากำจัดศัตรูหัวใจออกไปได้ สุดท้ายกลับต้องมาเจอศัตรูที่อันตรายยิ่งกว่า แถมยังน่ากลัวกว่าเดิมหลายร้อยเท่า เพราะคราวนี้เป็นคนที่โซระรัก...

   ซุนวู ปราชญ์แห่งพิชัยยุทธ์เคยกล่าวไว้ 'รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง'

   ปัญหาคือ ผมไม่รู้อะไรเกี่ยวกับศัตรูคนนี้เลย

   ถึงแม้จะเคยลองพยายามหลอกถามหลายครั้ง แต่โซระกลับกลบเกลื่อนไปได้ทุกครั้ง ทั้งๆ ที่ปรกติแล้วโซระเป็นคนอ่านง่าย มีอะไรในใจก็มักจะแสดงออกผ่านสีหน้าท่าทาง แต่คราวนี้ผมลองจับตาดูอยู่นานกลับไม่เห็นโซระมีท่าทีกับใครเป็นพิเศษ

   "เวลาจีบใครเราควรทำยังไงบ้างเหรอ" คนที่ไม่ได้รับรู้ความรู้สึกของคนอื่นบ้างเลยยังจะมีหน้ามาถาม

   ด้วยความหงุดหงิดปนขุ่นเคืองผมจึงตอบส่งๆ ไปว่า "ชวนไปดูหนัง? ฟังเพลง? ให้ของขวัญ? ไม่รู้สิเราก็ไม่เคยจีบใครเหมือนกัน" ผมอยากจะแถมค้อนส่งท้าย แต่อีกฝ่ายกลับคลี่ยิ้มกว้างจนแก้มทั้งสองข้างกดเป็นรอยบุ๋ม

   ถือโอกาสนั้นผมจึงลอบสังเกตการณ์ว่าโซระจะทำแบบที่ผมแนะนำกับใครบ้างหรือเปล่า แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่เห็นโซระจะลงมือทำอะไรสักอย่าง จนกระทั่งวันเสาร์หลังเลิกเรียนพิเศษ คนน่ารักและน่าโมโหในเวลาเดียวกันกลับมาชวนผมไปดูหนัง

   "...ทำไม จะลองซ้อมดูก่อนเหรอ หรือว่าชวนคนนั้นแล้วไม่สำเร็จเลยมาชวนเราแทน" ผมเผลอตอบแกมประชด แต่พอเห็นอีกฝ่ายยิ้มเจื่อนก็อดเสียใจกับคำพูดของตัวเองไม่ได้

   "เรียนเครียดมาทั้งวัน ไปดูหนังคลายเครียดบ้างก็ดีเหมือนกันนะ" ผมจึงปรับเสียงของตัวเองให้นุ่มนวลขึ้น และได้เห็นโซระยิ้มอย่างสดใสมากกว่าเดิม ผมจึงพลอยคลี่ยิ้มออกมาได้

   ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่เห็นแก่ตัวมาก ทั้งๆ ที่อยากเห็นโซระยิ้ม แต่กลับไม่อยากแบ่งปันรอยยิ้มนี้ให้แก่คนอื่น

   ผมรู้สึกว่าตัวเองเป็นเพื่อนที่แย่มาก ทั้งๆ ที่อยากเห็นเพื่อนมีความสุข แต่กลับต้องการขัดขวางความรักของโซระ

   

   ปรกติแล้วเวลาที่โซระแอบชอบใครสักคนก็มักจะชอบไปป้วนเปี้ยนอยู่ใกล้คนๆ นั้น ผมจึงลองตีวงผู้ต้องสงสัยให้แคบลง ตอนนี้บุคคลที่น่าสงสัยมากที่สุดจึงเป็นคนในชมรมบาส โดยเฉพาะอย่างยิ่งเพื่อนร่วมชั้นคนหนึ่งที่ชื่อว่า 'วิน'

   วินเป็นคนรูปร่างไม่สูงมาก หากแต่วิ่งได้เร็วและกระโดดได้สูงกว่าใคร บุคลิกกระฉับกระเฉง เปิดเผยเป็นกันเอง คล้ายกับ...รุ่นพี่ที่เป็นรักแรกของโซระ

   "เอิร์ธจะลงเล่นด้วยเหรอ!?" โซระอุทานอย่างตกใจ

   หลังจากผมนั่งสังเกตการณ์อยู่ข้างสนามได้พักใหญ่ บังเอิญมีเพื่อนคนหนึ่งถูกครูเรียกพบ ตำแหน่งในทีมฝั่งตรงข้ามของโซระจึงว่างลงและกำลังต้องการผู้เล่นเสริมพอดี

   ผมพยักหน้ารับพลางขยับแว่นให้กระชับเข้ากับสันจมูก ถึงแม้ว่าผมจะไม่ค่อยสันทัดกีฬาทุกประเภท แต่นี่เป็นแค่การเล่นบาสระหว่างพักกลางวัน ไม่ใช่การแข่งขันจริงจัง จึงไม่จำเป็นต้องกังวลถึงผลแพ้ชนะมากนัก

   "ขอบใจนะเอิร์ธ กำลังขาดคนพอดี" วินเดินมาตบบ่าผมเบาๆ

   จากนั้นเกมที่หยุดชะงักจึงเริ่มต้นขึ้นอีกครั้ง

   ต้องยอมรับตามตรงว่าผมไม่มีประโยชน์ในสนามมากนัก ได้แต่วิ่งไล่ลูกสีส้มกลมๆ อย่างมากก็แค่รับบอลมาแล้วส่งต่อ เท่านี้ก็ทำให้คนที่ไม่ค่อยได้ออกกำลังกายอย่างผมเริ่มหายใจผิดจังหวะ เหงื่อเริ่มซึมขึ้นมาบนหน้าผาก

   ต่างจากวินที่กระโดดชู้ตลูกบาสลงห่วงไปแล้วหลายแต้ม ยิ่งกว่านั้นแต้มล่าสุดโซระเป็นคนส่งบอลต่อให้ เมื่อชู้ตเสร็จวินจึงวิ่งมาแปะมือกับร่างเล็กอย่างสนิทสนม โซระเองก็คลี่ยิ้มตอบอย่างร่าเริง

   หยดเหงื่อที่ร่วงเข้าตาทำให้ภาพเบื้องหน้าพร่ามัว กลางอกบีบรัด อึดอัดจนผมแทบหายใจไม่ออก

   "เอิร์ธ!!!"

   เสียงตะโกนเรียกดังลั่นพร้อมๆ กับเงาสีดำที่พุ่งเข้ามากลางใบหน้า แต่สิ่งที่พุ่งชนให้ผมล้มลงคือแรงกระแทกจากด้านข้าง ทุกอย่างเกิดขึ้นรวดเร็วจนมองแทบไม่ทัน ใครบางคนส่งบอลมาให้ พร้อมกับที่ใครอีกคนวิ่งเข้ามาแย่ง หากจะโทษว่าเป็นความผิดของใคร ก็คงต้องโทษการเสียสมาธิของตัวผมเอง

   คราวนี้ภาพที่พร่ามัวไม่ได้มีสาเหตุจากหยดเหงื่อ หากแต่เป็นเพราะสิ่งที่ควรอยู่บนใบหน้ากลับไม่อยู่ในที่ที่ควรอยู่ ลางสังหรณ์เลวร้ายแล่นวูบเข้ามาพร้อมๆ กับเสียงอะไรบางอย่างถูกเหยียบดัง กร่อบ!

   "เฮ้ย!? เอิร์ธ กูขอโทษ!" เพื่อนคนหนึ่งร้องอุทาน ผมเงยหน้าขึ้นหรี่ตามองแต่กลับมองเห็นใบหน้าของเขาได้ไม่ชัด ไม่สิ ต้องบอกว่าโลกทั้งใบกลายเป็นภาพเบลอ

   ผมยังไม่มีกะจิตกะใจจะใส่ใจกับหัวเข่าและข้อศอกที่เริ่มเจ็บแปลบ ได้แต่พยายามเพ่งมองหาสิ่งที่ควรหล่นอยู่ข้างตัว ทว่าสิ่งที่เพื่อนคนนั้นหยิบคืนมาให้ กลับกลายเป็นแว่นที่กรอบบิดเบี้ยว เลนส์แตกไปหนึ่งข้าง

   "เอิร์ธเป็นอะไรมากไหม!?" โซระรีบวิ่งเข้ามาหาอย่างร้อนรน ช่วยพยุงตัวผมขึ้นจากพื้นแทนเพื่อนอีกคนที่เคยอยู่ใกล้มากกว่า ก่อนจะสำรวจบาดแผลบนเนื้อตัวอย่างเป็นห่วง

   "ไม่เป็นอะไรมากหรอก ทุกคนไปเรียนเถอะ" ผมตอบเมื่อได้ยินเสียงออดหมดเวลาพักดังขึ้นพอดี ลองฝืนลุกเดินออกจากสนาม ถึงแม้จะเดินกะเผลกอยู่บ้างแต่ก็พอทนไหว ปัญหาใหญ่คือซากแว่นในมือมากกว่า

   "ไปทำแผลที่ห้องพยาบาลก่อนดีกว่านะ" วินพูดขึ้นเมื่อเห็นหัวเข่าและข้อศอกของผมมีเลือดไหลซิบๆ บาดแผลไม่ลึกแต่ก็ถลอกเป็นทางยาว

   "วินไปเรียนเถอะ เดี๋ยวเราพาเอิร์ธไปเอง" โซระกล่าวอย่างเกรงใจ

   "โซระไปเรียนเถอะ เราไปคนเดียวไหว" ผมพูดขัดขึ้นมา เพราะไม่อยากเป็นภาระของใครไปมากกว่านี้

   "เอิร์ธมองเห็นทางเหรอ ไหนบอกมาว่านี่กี่นิ้ว" โซระโบกมือไปมาด้านหน้า ก่อนที่ผมจะเพ่งมองภาพพร่ามัวได้ว่าเป็นอะไร ร่างเล็กก็พูดต่ออย่างไม่รอฟังคำตอบ

   "ขืนเดินสะดุดอะไรเข้าจะยิ่งได้แผลเพิ่มซะเปล่าๆ" พูดจบโซระก็พยุงให้ผมออกเดินโดยไม่ยอมฟังคำคัดค้านอีก

   พอเดินมาส่งถึงห้องพยาบาล โซระก็ยังยืนยันจะนั่งรอจนครูทำแผลให้ผมเสร็จเรียบร้อย ก่อนจะพยุงพาผมกลับไปยังห้องเรียน ทั้งๆ ที่ผมพยายามบอกหลายครั้งแล้วว่าเดินเองไหว โซระก็ยังจะมาหาว่าผมดื้อ ไม่รู้ว่าคนที่ดื้อน่ะใครกันแน่

   แผลแค่นี้ถือเป็นเรื่องเล็ก แต่การมองไม่เห็นนี่สิเรื่องใหญ่

   หลังจากลองดัดแว่นให้กลับเข้าสู่รูปร่างเดิมก็พอจะใส่ได้ แต่เลนส์ข้างหนึ่งที่ร้าวแทบละเอียดก็ทำให้ผมมองเห็นภาพชัดเจนอยู่เพียงข้างเดียว ยิ่งเพ่งกระดานดำนานเข้าก็ยิ่งปวดหัว แถมแว่นเยินๆ ก็ยิ่งทำให้สภาพของผมน่าเวทนาเกินทน มีแต่คนมองมาอย่างสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้น สุดท้ายผมจึงตัดปัญหาด้วยการถอดแว่นเก็บใส่กระเป๋า ทนมองภาพเบลอเสียเลยยังจะดีกว่า

   "โอ๊ย!" เอาเข้าจนได้ หลังเลิกเรียนผมเดินชนเก้าอี้ของใครบางคนที่ตั้งเกะกะขวางทางอยู่

   "เห็นไหม แล้วแบบนี้จะกลับบ้านคนเดียวได้ยังไง เดี๋ยวเราไปส่ง" โซระดึงกระเป๋าจากมือของผมไปถือให้ ซ้ำร้ายยังจูงมือให้ผมเดินตาม ผมได้แต่ก้มลงมองมือของตัวเองที่ถูกเกาะกุมไว้ พลางมองแผ่นหลังของร่างเล็กเบื้องหน้า

   โซระก็เป็นแบบนี้ ไม่เคยรู้ตัวเลยว่ากำลังทำให้ใครหวั่นไหว

   ใจหนึ่งผมก็อยากกระชับมือให้แน่นเข้า แต่สมองก็ต้องสั่งตนเองให้ห้ามใจ และท้ายที่สุดเหตุผลก็เป็นฝ่ายชนะ เพราะถึงแม้จะเห็นภาพไม่ชัด แต่ผมก็รู้สึกได้ว่าคนรอบข้างมองมาด้วยสายตาแปลกๆ เพราะโซระเล่นจูงมือผมตลอดทางไม่ยอมปล่อย แม้กระทั่งตอนนี้ที่พวกเราขึ้นมายืนบนรถไฟฟ้าที่มีคนจำนวนมากยืนเบียดเสียดกันอยู่

   "โซระ..." ผมกระตุกมือของตัวเองเบาๆ แทนสัญญาณบอกให้อีกฝ่ายปล่อยมือได้แล้ว

   "หืม? อะไรเหรอ" คนที่ไม่ได้รู้เรื่องรู้ราวอะไรเลยกลับยื่นใบหน้าเข้ามาใกล้

   ทั้งๆ ที่เดิมทีเราก็ยืนเบียดจนลำตัวชิดกันอยู่แล้ว ตอนนี้คางของโซระจึงแทบจะเกยอยู่บนบ่าของผม

   "ไม่ต้องใกล้ขนาดนี้ก็ได้" ทำเอาผมลืมไปเลยว่าอยากจะพูดอะไรกันแน่

   "ก็เรากลัวเอิร์ธมองไม่เห็น" ต่อให้มองเห็นไม่ชัด แต่ฟังจากน้ำเสียงผมก็เดาว่าตอนนี้โซระกำลังยิ้ม และภาพรอยยิ้มจากความทรงจำก็ปรากฏขึ้นมาอย่างชัดเจน

   "เอิร์ธ... เอิร์ธไม่คิดจะเปลี่ยนไปใส่คอนแทคเลนส์บ้างเหรอ" อยู่ดีๆ โซระก็ถามขึ้นมา ผมไม่รู้ว่าร่างเล็กกำลังมีสีหน้าแบบไหน แต่ก็รับรู้ได้ว่าอีกฝ่ายกำลังจ้องมองใบหน้าของผมอยู่

   "คอนแทคเลนส์? ทำไมล่ะ" ผมทวนคำถามพลางขมวดคิ้วเล็กน้อย ไม่ใช่ว่าไม่เคยลอง แต่ยังไงผมก็ไม่รู้สึกชินกับการติดสิ่งแปลกปลอมเข้าไปบนลูกตา ถึงแม้การใส่แว่นจะสะดวกน้อยกว่า แต่ก็สบายใจมากกว่า

   "ก็..." พูดออกมาเพียงเท่านั้นแล้วโซระก็นิ่งเงียบไปพักใหญ่

   "เอิร์ธใส่แว่นดีกว่า อืม ใส่แว่นไว้น่ะดีแล้ว อย่าถอดแว่นให้คนอื่นเห็นเลยนะ" ประโยคท้ายๆ โซระบ่นอะไรงุบงิบงึมงำเหมือนพูดกับตัวเองคนเดียว ทั้งยังควานหาแว่นเยินๆ ของผมออกมาจากกระเป๋า ก่อนจัดการสวมให้เสร็จสรรพ

   "มองเห็นข้างเดียวแล้วมันปวดหัว" เมื่อตั้งสติได้ผมจึงเอ่ยค้าน ตั้งท่าจะถอดแว่นออก แต่อีกฝ่ายกลับคว้ามือของผมไปกุมไว้ดังเก่า

   "ก็ไม่เห็นต้องมองเลย หลับตาก็ได้ เดี๋ยวเราพาเดินเอง"

   ...พูดอะไรอย่างนั้น ไม่มีเหตุผลเลย

   แต่ยังไม่ทันที่ผมจะค้านอะไรต่อรถไฟฟ้าก็เปิดประตูยังสถานีที่ต้องลงแล้ว ผมจึงได้แต่เคลื่อนตัวตามแรงฝูงชน เดินตามการจูงมือนำทางของอีกฝ่าย และทำได้เพียงมองตามแผ่นหลังของร่างเล็กอีกครั้ง

   แว่นที่ร้าวข้างชัดข้าง ยิ่งทำให้สมองของผมสับสน และยิ่งทำให้หัวใจของผมหวั่นไหว

   

   "ทำไมฝนต้องมาตกตอนนี้ด้วยเนี่ย" หญิงวัยกลางคนบ่นพึมพำพลางมองออกไปยังท้องถนนที่มีสายฝนสาดเทลงมาไม่หยุด

   หลังเดินลงจากรถไฟฟ้าไม่ทันไรผมก็เห็นเมฆดำคืบคลานมาแต่ไกล ฝนปรอยๆ ตั้งเค้าชั่วอึดใจก่อนจะเทโครมลงมาอย่างไม่ลืมหูลืมตาราวกับฟ้ารั่ว ทำให้คนจำนวนมากรวมถึงผมและโซระติดแหงกอยู่ในสถานี ไม่สามารถออกไปไหนได้

   ตอนแรกผมกะจะลองโทรศัพท์หาแม่ให้ช่วยแวะมารับ พ่อกับแม่ของผมเป็นพนักงานบริษัท ส่วนใหญ่แม่จะเลิกงานตรงเวลาและกลับถึงบ้านแต่หัวค่ำ แต่ถ้าฝนตกหนักแบบนี้น่ากลัวว่ารถจะติด และก็เป็นอย่างที่นึกกลัว เพราะก่อนที่ผมจะโทรไปแม่ก็ส่งข้อความมาว่า 'รถไม่ขยับเลย กว่าจะถึงบ้านคงดึกแน่ๆ ถ้าหิวก็กินข้าวเย็นก่อนได้เลยนะไม่ต้องรอ'

   ผมได้แต่ถอนหายใจเฮือกใหญ่ก่อนเหลือบหันไปมองร่างเล็กด้านข้าง บ้านของโซระต้องนั่งรถไฟย้อนกลับอีกหลายป้าย ในขณะที่บ้านของผมต้องต่อรถสองแถวและเดินเข้าหมู่บ้านไปอีก

   "โซระกลับบ้านไปก่อนเถอะ ไม่รู้ว่าฝนจะหยุดตกเมื่อไหร่" ผมครุ่นคิดก่อนตัดสินใจกล่าวออกมา เพราะไม่อยากให้โซระต้องลำบากไปมากกว่านี้

   "ฝนซาพอดีเลย พวกเรารีบไปกันเถอะ" ไม่รู้ว่าไม่ได้ยินที่ผมพูดหรือแกล้งทำเป็นไม่ได้ยินกันแน่ คนน่ารักที่บางครั้งก็ดื้อจนน่าโมโหกลับดึงมือผมให้ออกเดิน พอดีกับจังหวะที่ฝนซาลงไป เหลือเพียงหยดน้ำเม็ดเล็กประปราย คนบางส่วนยังคงรีรออย่างลังเล แต่อีกส่วนก็ตัดสินใจเสี่ยงเดินกึ่งวิ่งลุยฝนออกไปเช่นเดียวกัน

   "โซระ" ผมพยายามเรียกรั้ง หากเจ้าของชื่อกลับไม่ยอมหันกลับมา หนำซ้ำปฏิกิริยายังเป็นไปในทางตรงกันข้าม มือที่เกาะกุมมือของผมอยู่กระชับแน่นเข้า ผมจึงจำต้องเดินตามแรงดึงไปอย่างปฏิเสธไม่ได้

   โชคดีที่พวกเราขึ้นรถสองแถวได้โดยไม่ต้องยืนรอนานนัก แต่ถึงอย่างนั้นเสื้อนักเรียนสีขาวก็เปียกเปื้อนเป็นจุดๆ ละอองน้ำเกาะพราวอยู่บนเส้นผมและแว่นร้าวๆ ผมจึงถอดแว่นออกมาเช็ดก่อนใส่กลับเข้าไปใหม่อีกครั้ง

   เมื่อภาพชัดเจนขึ้นผมจึงหันไปมองคนด้านข้าง สภาพของโซระเองก็เปียกฝนไม่ต่างกัน ทว่าเจ้าตัวกลับฉีกยิ้มแป้นแล้นอย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว ผมจึงได้แต่ถอนหายใจ ก่อนจะยิ้มออกมาอย่างจนใจ

   โชคร้ายที่โชคดีไม่อยู่กับพวกเรานานนัก หลังลงจากรถสองแถวไม่นานฝนก็เริ่มกระหน่ำลงมาอีกครั้ง มาถึงขั้นนี้แล้วผมจึงทำได้แต่วิ่งลุยฝนต่อไปอย่างไม่มีทางเลือกอื่น

   "ฮัดเช่ย!" ร่างเล็กจามออกมา สภาพของพวกเราในตอนนี้แทบไม่ต่างอะไรไปจากลูกหมาตกน้ำ เนื้อตัวเปียกมะลอกมะแลก เส้นผมลู่ลีบลงแนบกับศีรษะ เสื้อขาวโปร่งบางมองทะลุเห็นไปถึงไหนต่อไหน ผมได้แต่เสมองไปทางอื่น

   "โซระไปอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก่อนแล้วกัน" เมื่อเข้าบ้านได้ผมจึงรีบเดินขึ้นไปหยิบเสื้อกับผ้าเช็ดตัวออกมาให้คนที่ยืนรออยู่ด้านล่าง โซระยื่นมือมารับก่อนจะเดินไปทางห้องน้ำอย่างไม่อิดออด

   ความจริงสมัยก่อนโซระเคยมาเที่ยวเล่นที่บ้านของผมบ่อยๆ ผมเองก็เคยไปบ้านของโซระหลายครั้ง มาตอนหลังเป็นผมเองที่บ่ายเบี่ยงหลีกเลี่ยงไม่ให้อีกฝ่ายมาหา และก็ไม่พยายามไปที่บ้านของโซระอีก

   ตั้งแต่ที่ผมเริ่มรู้ตัวว่า... คิดไม่ซื่อกับเพื่อนของตัวเอง

   ผมรื้อหาแว่นเก่าของเมื่อสองสามปีก่อนออกมาใส่แทนชั่วคราว ถึงแม้สายตาที่สั้นลงจะทำให้มองเห็นภาพได้ไม่คมชัดเท่าเดิม แต่ก็ยังดีกว่าแว่นเยินๆ หรือตาเปล่าที่โลกทั้งใบกลายเป็นภาพเบลอไปหมด

   "เอิร์ธมานั่งนี่สิ เดี๋ยวเราทำแผลให้" ถึงอย่างนั้นร่างเล็กก็ยังจะจูงมือผมเดินไปยังโซฟา ทำอย่างกับว่าผมมองอะไรไม่เห็น หรือไม่ที่นี่ก็ไม่ใช่บ้านที่ผมคุ้นเคยมาตลอดทั้งชีวิต

   ผมไม่อยากขัดใจอีกฝ่ายจึงเดินตามมานั่งลงอย่างไม่อิดออด พลางก้มมองแผลถลอกบนข้อศอกและหัวเข่าที่เกือบจะแห้งและตกสะเก็ดแล้ว แต่พอเจอฝนบวกกับอาบน้ำเข้าไปจึงกลายเป็นแผลสีม่วงช้ำที่มีเลือดซิบๆ ซึมออกมา สภาพไม่ค่อยน่าดูเท่าไหร่

   "ซี๊ด" ผมเผลอสูดปากโดยอัตโนมัติเมื่อสำลีชุบแอลกอฮอล์เย็นๆ ทาบลงมาใกล้กับบริเวณปากแผล

   "ขอโทษนะ! เจ็บมากไหม" โซระชะงักมือฉับพลัน ผมจึงรีบส่ายหน้าเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายต้องเป็นห่วง

   "ไม่เจ็บหรอก โซระทำต่อเถอะ" ถึงแม้ว่าผมจะตอบอย่างนั้นร่างเล็กก็ยังคงขมวดคิ้วยุ่ง

   "ถ้าเจ็บก็บอกนะ เราจะพยายามทำเบาๆ" โซระกล่าวก่อนจะเริ่มเช็ดแผลและทายาต่อไปอย่างเบามือ

   ผมพยายามนั่งนิ่งๆ ไม่นิ่วหน้าแม้จะแสบอยู่บ้างเล็กน้อย จนกระทั่งทำแผลเสร็จเรียบร้อยจึงค่อยหายใจได้ทั่วท้องมากกว่าเดิม

   "อ่ะใช่ เรามีอะไรจะให้เอิร์ธด้วย" ระหว่างเก็บกล่องยาโซระก็พูดโพล่งขึ้นมาราวกับเพิ่งนึกขึ้นได้ ก่อนจะหันไปคว้ากระเป๋านักเรียนมารื้อหาอะไรบางอย่าง

   "อะไรเหรอ" ผมถามอย่างสงสัย สักพักถุงกระดาษใบหนึ่งก็ถูกยื่นออกมาตรงหน้า

   "ของขวัญ" ร่างเล็กพูดพลางคลี่ยิ้มกว้าง

   ผมได้แต่เลิกคิ้วอย่างแปลกใจ ของขวัญ? เนื่องในโอกาสอะไร? ยังอีกตั้งหลายเดือนกว่าจะถึงวันเกิดของผม

   จังหวะนั้นเอง สิ่งที่โซระเคยถามและผมเคยตอบพลันฉายแวบเข้ามาในความคิด

   'เวลาจีบใครเราควรทำยังไงบ้างเหรอ'

   'ชวนไปดูหนัง? ฟังเพลง? ให้ของขวัญ?'

   ชวนไปดูหนัง... ให้ของขวัญ...

   ผมไม่แน่ใจว่าตอนนั้นตัวเองกำลังทำหน้าแบบไหน จนกระทั่งประโยคถัดมาดึงผมกลับออกมาจากความคิดฟุ้งซ่าน

   "ก็หลายวันก่อนเอิร์ธเคยให้เรายืมปากกาไง จำได้ไหม"

   "...อย่าบอกนะว่าทำหาย"

   ที่แท้ก็แค่ซื้อมาคืน ผมคิดในใจพลางก้มมองปากกาในมือ

   ความรู้สึกของผมในตอนนั้นคงคล้ายกับฟองสบู่ที่พองลมลอยละล่องในอากาศ เสี้ยวนาทีถัดมากลับแตกวับหายไป เหลือเพียงความวูบโหวงกลางอก แยกแยะไม่ออกว่าเป็นเพราะความโล่งใจ หรือว่าความผิดหวัง...

   "เปล่าซะหน่อย! เรายังเก็บปากกาของเอิร์ธเอาไว้อย่างดีเลยนะ เลยซื้อปากกาด้ามใหม่มาแลกกันไง ก็...เราอยากเก็บไว้เป็นเครื่องราง... เอ่อ ก็...เอิร์ธเรียนเก่ง เผื่อว่าเราจะทำข้อสอบได้บ้าง เผื่อจะสอบติดที่เดียวกับเอิร์ธไง"

   ปรกติแล้วผมค่อนข้างเป็นคนหัวไว แต่ข้อความที่เชื่อมโยงไปมาอย่างสับสน กำลังทำให้สมองของผมปั่นป่วน

   การสอบเข้ามหาวิทยาลัยที่มีอัตราการแข่งขันสูงเป็นอันดับต้นๆ ของประเทศไม่ใช่เรื่องง่าย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ ไม่สิ นั่นไม่ใช่ใจความสำคัญ คำพูดของโซระแฝงความหมายอะไรไว้ ผมไม่กล้าคิด ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองอีกครั้ง กลัวว่าทุกอย่างจะพังทลาย

   "เอิร์ธ... ไม่ชอบเหรอ"

   ผมอาจจะก้มมองปากกาอยู่นานเกินไป โซระจึงเอ่ยถามด้วยเสียงลังเลแผ่วเบา ทว่าผมก็ยังคงทำได้แค่เพียงก้มหน้าอยู่อย่างนั้น ปล่อยให้เส้นผมที่เริ่มแห้งหมาดๆ ร่วงลงมาปรกบนใบหน้า ปกปิดความรู้สึกที่อัดแน่นอยู่ข้างใน และกำลังจะเอ่อล้นออกมา

   "ชอบสิ..."

   กว่าจะรู้ตัวผมก็หลุดพูดคำหนึ่งคำ โชคไม่ดีเลยที่ตอนนั้นโซระเอื้อมมือมาปัดเส้นผมที่ยุ่งเหยิงของผมไปทัดข้างหู ทำให้สายตาของพวกเราประสานกันเข้าพอดี

   ว่ากันว่าดวงตาคือหน้าต่างของหัวใจ

   เมื่อไม่เหลือม่านใดๆ ขวางกั้น ความรู้สึกจึงสะท้อนผ่านกระจกใส

   "เราชอบ..."

   ผมพูดได้เพียงเท่านั้นก็ต้องสะดุ้งสุดตัวเมื่อเสียงบีบแตรดังขึ้นจากหน้าบ้าน ราวกับเสียงระฆังที่ทำให้ซินเดอเรลล่าตื่นจากภวังค์ คลายเวทมนต์ให้รถม้ากลับคืนสู่สภาพฟักทอง ความฝันสวยหรูแตกสลายกลายเป็นขี้เถ้าก้นครัว

   "เดี๋ยวเราไปเปิดรั้วให้แม่ก่อน เอ่อ ขอบใจนะสำหรับปากกา เรา...ชอบมาก"

   ความรู้สึกเดิมประดังเข้ามาหาผมอีกครั้ง ทั้งผิดหวัง ทั้งโล่งใจ ทั้งอยากด่าตัวเองที่ขี้ขลาด พร้อมๆ กับอยากด่าตัวเองว่าเกือบจะทำอะไรลงไป ผมยังไม่พร้อมจะเสียความสัมพันธ์ในตอนนี้ ถ้าหากทั้งหมดเป็นแค่ความคิดเข้าข้างตัวเอง

   

   "สวัสดีครับ" เมื่อแม่ของผมเดินเข้ามาในบ้าน โซระจึงรีบลุกขึ้นไหว้ทักทาย

   "อ้าวโซระ สวัสดีลูก ไปยังไงมายังไงไม่เห็นมาเที่ยวที่บ้านซะนาน" แม่รับไหว้พร้อมรอยยิ้ม ด้วยความที่โซระเป็นคนน่ารัก ช่างพูดช่างเจรจา แม่ของผมจึงค่อนข้างเอ็นดูโซระมาก บางครั้งเวลาที่มาร่วมโต๊ะอาหาร ยังคุยกันยาวกว่าที่แม่คุยกับผมและพ่อรวมกันทั้งอาทิตย์ซะอีก เพราะทั้งพ่อและผมไม่ใช่คนที่ช่างพูดมากนัก

   "กินอะไรกันแล้วหรือยัง แม่ซื้อกับข้าวมาหลายอย่าง ไม่ต้องรอพ่อแล้วล่ะป่านนี้ยังอยู่บนทางด่วนอยู่เลย" แม่พูดพลางเดินเข้าไปล้างมือในครัว ผมจึงเอาถุงพลาสติกที่ถือลงจากรถไปวางบนโต๊ะ โซระจึงเดินตามเข้ามาช่วยแกะกับข้าวใส่จาน

   ระหว่างมื้ออาหารแม่ก็ยังชวนโซระคุยอีกหลายอย่าง ในขณะที่ผมถนัดเป็นผู้ฟังมากกว่า

   "น้ำท่วมเกือบมิดฟุตบาท แม่นึกว่ารถจะดับกลางทางซะแล้ว ยังดีที่ลุยน้ำเข้ามาถึงบ้านจนได้ แล้วนี่โซระจะกลับยังไง ให้แม่ไปส่งที่รถไฟฟ้าไหม แต่ฝนยังตกหนักอยู่เลย ไม่รู้จะหยุดเมื่อไหร่ แม่ว่าคืนนี้โซระค้างที่นี่ดีกว่าไหม"

   ประโยคสุดท้ายทำให้ผมแทบสำลักกับข้าวที่ยังไม่ทันได้กลืนลงไป เมื่อหันกลับไปมองคนข้างๆ ก็ได้เห็นโซระคลี่ยิ้มกว้าง

   "ถ้าอย่างนั้นผมขอโทรศัพท์ไปบอกที่บ้านก่อนนะครับ ยังไงพรุ่งนี้ก็ไม่มีเรียนพิเศษด้วย ผมจะได้ไปร้านแว่นเป็นเพื่อนเอิร์ธ" ก่อนที่ผมจะได้คัดค้านอะไรโซระก็ตอบรับขึ้นมา จากนั้นหัวข้อสนทนาจึงกลายเป็นอุบัติเหตุที่เกิดขึ้นวันนี้ เรื่องที่โรงเรียน การเรียน การสอบ สารพัดสัพเพเหระ แม่คุยกับโซระเพลินจนไม่ได้สนใจท่าทางอึดอัดใจของผมเลยด้วยซ้ำ จนผมชักไม่แน่ใจว่าลูกชายของแม่คือคนไหนกันแน่

   หันไปมองต้นเหตุของความเครียด คนน่ารักก็ดันส่งยิ้มมาให้ ทำให้ผมยิ่งเครียด

   แล้วคืนนี้ผมจะนอนหลับลงได้ยังไง!?

   
-----------------


   คู่นี้ก็จะออกแนวน่ารัก แอบมองตากันไปมาเป็นปลากัด 55555   :mew1:


หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁[27ตอนจบ] ตอนพิเศษ เส้นผมบังภูเขา 30/03/61
เริ่มหัวข้อโดย: mild-dy ที่ 30-03-2018 22:37:24
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁[27ตอนจบ] ตอนพิเศษ เส้นผมบังภูเขา 30/03/61
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 31-03-2018 00:59:16
 :pig4: :pig4: :pig4:

กับเรื่องของคนอื่นเนี่ยฉลาดเป็นกรด  แต่พอเรื่องตัวเองเนี่ยนะ  นุ้งเอิร์ธ
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁[27ตอนจบ] ตอนพิเศษ เส้นผมบังภูเขา 30/03/61
เริ่มหัวข้อโดย: aoihimeko ที่ 31-03-2018 12:40:17
 :pig4:
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁[27ตอนจบ] ตอนพิเศษ เส้นผมบังภูเขา 30/03/61
เริ่มหัวข้อโดย: zuu_zaa ที่ 31-03-2018 17:30:52
 :กอด1:
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ [27ตอนจบ]+ตอนฉลาดแกมโกง 31/03/61
เริ่มหัวข้อโดย: @moment ที่ 31-03-2018 19:26:36
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/ (https://www.facebook.com/at.moment.writer/)
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer/ (https://twitter.com/atmoment_writer/)
   

   เอิร์ธกับโซระ ตอน ฉลาดแกมโกง

    

   [เอิร์ธ]
    

   "เด็กๆ ก่อนขึ้นนอนอย่าลืมปิดทีวี ปิดไฟให้เรียบร้อยด้วยนะ" แม่หันมาพูดกับพวกผมก่อนที่จะเดินขึ้นบันได นอกหน้าต่างยังมีเสียงสายฝนแทรกเข้ามาประปราย ทุกครั้งที่รถขับผ่านจะได้ยินเสียงน้ำขังสาดกระทบฟุตบาท พ่อกลับมาถึงบ้านแล้ว แต่เพราะเหนื่อยจากการผจญภัยรถติดมานานหลายชั่วโมง หลังจากกินข้าวเสร็จจึงอาบน้ำขึ้นนอนทันที

   "แล้วก็อย่านอนให้ดึกนักนะ อ้อ ห้ามหลับคาโซฟาด้วย ขึ้นไปนอนข้างบนดีๆ เข้าใจไหม" ประโยคสุดท้ายคล้ายการพูดดักคอ อย่างกับรู้ทันว่าผมกำลังคิดอะไรอยู่

   แล้วจะให้ผมทำยังไง...!? แค่นึกถึง 'ห้องนอน' ผมก็อยากจะบ้าตาย!

   ผมได้แต่ขานรับแกนๆ อย่างอึดอัด กุมขมับระหว่างฟังเสียงฝีเท้าก้าวขึ้นบันได ตามด้วยเสียงประตูที่ปิดตัวลงมา ทิ้งให้ในห้องนั่งเล่นเหลือเพียงพวกเราสองคน เสียงโทรทัศน์ช่วยให้บรรยากาศไม่เงียบงันเกินไปนัก และช่วยกลบเสียงหัวใจของผมที่เริ่มแกว่งเป็นจังหวะประหลาด

   ไม่ใช่ครั้งแรกที่โซระมาค้างที่นี่ ผมพร่ำบอกกับตัวเอง

   เมื่อก่อนพวกเราต่างก็เป็นเด็กค่อนข้างผอม การนอนเบียดกันสองคนบนเตียงเดียวจึงไม่เป็นปัญหา ทว่าเมื่อเวลาผ่านไปร่างกายก็ย่อมเติบโตตามวัย หลายปีมานี้ผมสูงขึ้นไม่น้อย โซระเองก็เหมือนกัน แต่นั่นก็ยังไม่ใช่ปัญหาใหญ่

    ไม่ใช่...จนกระทั่งวันที่ผมเริ่มเข้าใจความรู้สึกของตัวเอง

    และร่างกายของผู้ชายก็ซื่อตรงต่อความรู้สึกจนน่ากลัว

    ห้องสี่เหลี่ยมแคบๆ ห้องเดิม เตียงเดี่ยวเล็กๆ เตียงเดิม กลับกลายเป็นเครื่องมือทรมานอย่างแสนสาหัส การต้องข่มตานอนให้หลับทั้งๆ ที่ร่างกายกำลัง 'ตื่น' โดยมีตัวต้นเหตุนอนเบียดอยู่ข้างๆ ให้ตายเถอะ ถ้าใครไม่เคยเจอกับตัวไม่มีทางรู้ว่ามันยิ่งกว่าตกนรกทั้งเป็น ผมได้แต่พยายามหลีกเลี่ยงมาตลอด

    ผมเหลือบมองคนด้านข้าง ร่างเล็กนั่งอยู่บนโซฟาตัวเดียวกันห่างออกไปไม่ถึงหนึ่งช่วงแขน ใบหน้าเนียนใสจับจ้องไปยังจอสี่เหลี่ยมที่ฉายภาพการแข่งขันบาส สักพักราวกับรู้สึกตัวว่ากำลังถูกมองอยู่จึงหันกลับมา คลี่ยิ้มใสซื่อ ไม่รู้ไม่ชี้ ไม่รู้ร้อนรู้หนาว ไม่ได้รู้บ้างเลยว่าทำให้ใครต้องเก็บกดมากแค่ไหน

    ผมบังคับสายตาให้หันกลับมามองโทรทัศน์ด้วยสีหน้านิ่งเรียบตามปรกติ ตรงข้ามกับความคิดสับสนวุ่นวาย ยิ่งพยายามหาทางออกก็ยิ่งเหมือนกับวิ่งวกวนอยู่ในเขาวงกต

    ถ่วงเวลา คือหนทางเดียวที่ผมคิดออกในตอนนี้

    หรือจะแกล้งหลับไปเลยดี อย่างมากพรุ่งนี้ก็แค่ต้องทนฟังแม่บ่น ยังดีกว่าเสี่ยงขึ้นไปนอนข้างบนหลายเท่า

    "ฮัดเช่ย!" เสียงจามจากคนด้านข้างเรียกสติของผมกลับมา ภาพในจอโทรทัศน์เบื้องหน้ากลายเป็นรายการเพลงตั้งแต่เมื่อไหร่ก็ไม่รู้

    "ดื่มอะไรอุ่นๆ หน่อยไหม" ใจหนึ่งผมอยากจะไล่ให้โซระขึ้นไปนอน แต่นั่นก็แปลว่าผมต้องขึ้นไปด้วย แมงเม่าบินเข้ากองไฟชัดๆ ผมจึงเบี่ยงประเด็นด้วยการถ่วงเวลาต่อไปอีกนิด เมื่อโซระไม่ปฏิเสธ ผมจึงลุกเดินเข้าไปในครัว ชงโกโก้ร้อนกลับมาสองแก้ว

    ต่างคนต่างจิบโกโก้ สายตามองทีวีไปเรื่อยเปื่อย ไม่ได้สนใจฟังเพลงมากนัก แต่ฉากในมิวสิควีดีโอก็ทำให้ผมคลับคล้ายคลับคลาว่าเป็นเพลงประกอบภาพยนตร์เรื่องหนึ่ง หนังรักวัยรุ่น เกี่ยวกับความรักของหนุ่มสาว รักระหว่างเพื่อน มีทั้งความรักที่สมหวัง และการแอบรักข้างเดียว

    ผมเผลอลอบมองคนด้านข้างหลายครั้ง จนกระทั่งครั้งหนึ่งต้องหลุดยิ้มออกมา เมื่อเห็นคราบสีน้ำตาลเกาะเป็นทางอยู่บนริมฝีปากสีแดงสด อย่างกับคนไว้หนวด

    ดูเหมือนโซระจะรู้ตัวว่าถูกหัวเราะ จึงยกนิ้วโป้งขึ้นปาดเช็ดรอบปากตัวเองลวกๆ แต่นอกจากจะทำให้มือเลอะโดยใช่เหตุ คราบโกโก้ก็ยังคงติดค้างอยู่อีกหลายหย่อม

    ผมจึงคว้ากระดาษทิชชูหนึ่งแผ่นส่งให้ใช้เช็ดมือ พร้อมกับยื่นอีกแผ่นออกไปช่วยเช็ดรอยเปื้อนบนปาก ปฏิกิริยาตามธรรมชาติเกิดขึ้นจากความเคยชิน ก่อนจะสะดุดลงกะทันหัน เพราะโซระยกมือขึ้นมาเช็ดปากตัวเอง แต่กลับกลายเป็นการวางซ้อนอยู่บนมือของผม

    ชั่วขณะนั้นลมหายใจของผมหยุดกึก หัวใจราวกับจะเต้นช้าลง ก่อนที่เสี้ยวนาทีถัดมาจะเหวี่ยงอย่างแรงจนแทบกระเด็นออกมานอกอก ทันทีที่รับรู้ว่ามือของตัวเองถูกกุมไว้ด้วยมือของอีกคน ปลายนิ้วแตะโดนริมฝีปากนุ่มๆ ไล้ด้วยลมหายใจอุ่นๆ

    สมองของผมกลายเป็นคอมพิวเตอร์ที่เออเรอร์ แฮงก์ บลูสกรีน ไม่สามารถประมวลผลได้ ไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าโซระปล่อยมือออกตั้งแต่เมื่อไหร่ มือของตัวเองกลับมาวางอยู่ข้างตัวตั้งแต่เมื่อไหร่ ในขณะที่สติยังไม่ค่อยสมประกอบ ผมก็ได้ยินเสียงพูดจากคนข้างๆ

    "เอิร์ธ... เคยจูบใครไหม"

    หัวใจของผมทำงานหนักเกินไป ผ่านไปอีกหลายวินาทีประโยคนั้นถึงได้ผ่านเข้าสู่สมอง ทันใดนั้นภาพของคืนหนึ่งที่เสม็ดก็ย้อนกลับเข้ามา คืนที่ใครบางคนเมาจนผมต้องประคองกลับห้องพัก ใครคนนั้นเดินโซเซ สะดุด ล้มลงมา...

    "เคยสิ..." ผมตอบเบาๆ สัมผัสในความทรงจำยังคงติดค้างอยู่บนริมฝีปาก

    "กับใครเหรอ" คำถามถัดมา ทำให้รสชาตินุ่มๆ หวานๆ กลับกลายเป็นความขมปร่า ดวงตากลมโตจ้องมองมาอย่างลุ้นๆ กึ่งอยากรู้อยากเห็น กึ่งคาดหวัง ยิ่งทำให้กลางอกของผมรู้สึกเจ็บแปลบ เพราะความทรงจำนั้นเป็นของผมแค่เพียงฝ่ายเดียว โซระเมาจนจำอะไรไม่ได้ด้วยซ้ำ ถึงได้ถามแบบนี้

    "บอกไปแล้วโซระจะรู้จักเหรอ" ผมจึงตอบเลี่ยงอย่างกำกวม

    "ใคร!?" ทว่าร่างเล็กกลับถามซ้ำด้วยน้ำเสียงคาดคั้น ใบหน้าที่เคยเปื้อนยิ้มกลับขมวดคิ้วยับยู่ เม้มปากแน่นเหมือนไม่พอใจคำตอบที่ได้ยิน ขยับพรวดเข้ามาหาจนผมผงะถอยหลังออกไปเล็กน้อย

    ความตกใจกลับช่วยให้ผมตั้งสติได้ ความคิดหนึ่งแวบเข้ามาในสมอง เป็นความคิดดีๆ ที่ออกจะชั่วร้าย เพราะผมเองก็มีคำถามที่อยากรู้คำตอบอยู่เหมือนกัน

    "เอาอย่างนี้ดีกว่า เพื่อความยุติธรรม" ผมตั้งหลักด้วยการยืดตัวขึ้นเล็กน้อย ลอบสูดหายใจเข้าลึกๆ ก่อนพูดประโยคถัดไป

    "เราบอกก็ได้ ถ้าโซระยอมบอกว่า... แอบชอบใครอยู่" ทำไมผมถึงเป็นคนแบบนี้ ผมได้แต่ด่าตัวเองพร้อมแอบขอโทษโซระอยู่ในใจ ร่างเล็กนิ่งอึ้งไป ราวกับกำลังลังเล ชั่งใจ ก่อนจะนิ่งเงียบไปนานจนผมเองชักใจไม่ดี

    ผมควรหยุดคาดคั้น ควรพูดว่า 'ล้อเล่นน่า' อาจจะโกหกว่า 'โซระไม่รู้จักหรอก' หรือสารภาพความจริงแล้วหัวเราะเหมือนมันไม่ใช่เรื่องสลักสำคัญอะไร 'จูบกับคนเมา ไม่นับๆ' ร้อยแปดพันวิธีที่จะหยุดยั้งบรรยากาศน่าอึดอัดนี้ได้

    "เอิร์ธ..." แต่ก่อนที่ผมจะพูดอะไร เสียงคนด้านข้างก็ดังขึ้นมา

    "เอิร์ธอยากรู้จริงๆ เหรอ..." โซระกล่าวพึมพำ ผมทันเห็นแววตาของคนพูดแค่เพียงแวบเดียว ก่อนที่โซระก้มหน้าก้มตา คว้ามือถือขึ้นมากดอะไรบางอย่าง

    ใครคนนั้น อาจจะเป็นคนที่บอกชื่อไปผมก็ไม่รู้จัก... โซระถึงต้องเปิดหารูป

    ตอนนั้นเองที่ผมรู้สึกว่า ไม่อยากรู้แล้ว ผมไม่อยากรับรู้ จะรู้ไปทำไมให้ยิ่งเจ็บกว่าเดิม แต่กว่าจะคิดได้ก็สายไปซะแล้ว เพราะโซระยื่นโทรศัพท์เครื่องเล็กออกมา ยัดใส่มือของผม

    "โซระ...? นี่...อะไร"

    ภาพในมือทำให้ผมเลิกคิ้วอย่างงงงัน แวบหนึ่งคิดว่านิ้วของตัวเองพลาดกดไปโดนปุ่มอะไรเข้า เพราะบนหน้าจอไม่ใช่รูปถ่าย แต่เป็นภาพเคลื่อนไหวเบลอๆ จนเริ่มมองออกว่านั่นเป็นโหมดกล้องถ่ายรูป...แบบเซลฟี่

    แทนที่จะตอบคำถาม คนที่นั่งเม้มปากแน่นกลับจับมือของผมให้อยู่นิ่งๆ ก่อนจะกดปุ่มด้านข้าง ก่อให้เกิดเสียงชัตเตอร์ดังขึ้นหนึ่งครั้ง จากนั้นหน้าจอจึงเปลี่ยนเป็นรูปภาพเบลอๆ ถ่ายติดคิ้วกับแว่นตาของผมไปแค่เสี้ยวเดียว แทบมองไม่ออกว่าเป็นรูปอะไร

   "เราตอบแล้วไง!"

   เสียงกึ่งกระแทกกระทั้นดังขึ้นเมื่อผมยังคงนั่งนิ่งอย่างกับถูกแช่แข็ง

   ดวงตากลมโตวูบไหวจ้องมองตรงมา ผิวสีคร้ามแดดยิ่งแดงเข้มขึ้นอีกหนึ่งระดับ น้ำเสียงและสายตาคาดคั้นมองตรงมา ราวกับต้องการทวงคำตอบของตนเองบ้าง

   "หยุด! เราไม่อยากฟัง"

   แต่เพียงแค่ผมขยับปากที่อ้าค้างอยู่ ยังไม่ทันได้เปล่งเสียงใดๆ โซระก็กลับพูดแทรกขึ้นมา ไม่เปิดโอกาสให้ผมได้ตอบ...ว่าเคยจูบกับใคร

    "เราไม่อยากได้ยินชื่อของคนอื่น!"

   ไม่เปิดโอกาสให้ผมได้คิดว่าสิ่งที่เกิดขึ้นเป็นเพียงความฝัน หรือเป็นแค่ความคิดเข้าข้างตัวเอง เพราะระยะห่างเกือบครึ่งแขนหายวับไป ปิดลงมาด้วยสัมผัสนุ่มๆ ลมหายใจอุ่นๆ ครั้งนี้สัมผัสไม่ได้ลูบไล้อยู่บนนิ้ว หากแต่แนบสนิทอยู่บนริมฝีปาก

    ไม่ได้เกิดขึ้นจากความเมา ไม่ใช่อุบัติเหตุ แต่เป็นความตั้งใจ

    ถึงจะเป็นเพียงสัมผัสบางเบาอย่างคนไม่ประสีประสา แถมยังมีแว่นเกะกะอยู่ตรงกลาง แต่รสชาติหวานละมุนก็ทำให้ผมเอียงใบหน้าให้สัมผัสยิ่งแนบชิดขึ้น จนเมื่ออีกฝ่ายผละถอยจากไปก็ยังเผลอขยับตามติดอย่างเสียดาย

    "เราชอบโซระ" ความมั่นใจที่ก่อตัวขึ้นทำให้ผมกล้าที่จะสารภาพ ถึงแม้ความจริงผมก็เป็นแค่คนที่ไม่เอาไหน ขี้ขลาด ฉลาดแกมโกง ฉวยโอกาสตอนที่แน่ใจ ชิงเป็นฝ่ายพูดออกมาก่อน

    แต่คำพูดนั้นก็ทำให้ผมได้เห็นใบหน้าสดใสคลี่ยิ้มกว้าง และได้รับของแถมเหนือความคาดหมายเป็นอ้อมกอดอบอุ่น เสียงใสๆ ดังกังวานอยู่ข้างหู

    "เอิร์ธรู้ไหมว่าเรากลัวมากแค่ไหน ถ้าเอิร์ธปฏิเสธเราจะทำยังไง เราไม่อยากเสียเพื่อน แต่เราก็ไม่อยากเสียเอิร์ธให้คนอื่น รู้ไหมว่าเราหึงมากแค่ไหน ตอนที่..." เสียงพึมพำขาดหายไปชั่วขณะ ก่อนจะพูดต่ออีกหลายประโยคที่ความหมายวนเวียนไม่ต่างจากเดิมมากนัก

    น่าเสียดายที่ผมไม่ใช่คนพูดเก่ง และโซระก็ยังไม่เปิดโอกาสให้ผมได้พูดบ้าง ไม่อย่างนั้นผมอาจจะค่อยๆ อธิบาย บอกว่าผมเองก็รู้สึกไม่ต่างกัน บอกว่าผมชอบโซระมานานมากแล้ว บอกว่าโซระไม่จำเป็นต้องหึง เพราะว่านั่นจะกลายเป็นการ 'หึงตัวเอง'

   
-------------

>> DrSlump : กับเรื่องของคนอื่นเนี่ยฉลาดเป็นกรด  แต่พอเรื่องตัวเองเนี่ยนะ  นุ้งเอิร์ธ

คนฉลาดมักจะตกม้าตายเรื่องของตัวเอง 555
ตอนนี้เอิร์ธเริ่มฉลาดแล้ว แต่...กับบางเรื่องความฉลาดก็ไม่ได้ช่วยอะไร (โปรดติดตามตอนต่อไป) 55555555  o18

หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁[ตีพิมพ์สนพ.ฟาไฉ] 27ตอนจบ+ตอนพิเศษ 31/3/61
เริ่มหัวข้อโดย: yin ที่ 31-03-2018 19:40:28
คู่ใหญ่เค้าดับเครื่องชนไปแล้ว คู่เบบี้เมื่อไหร่จะถึงเส้นชัยซะทีล่ะลูก
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁[ตีพิมพ์สนพ.ฟาไฉ] 27ตอนจบ+ตอนพิเศษ 31/3/61
เริ่มหัวข้อโดย: songte ที่ 31-03-2018 21:16:00
ยักษ์นี่ลำบากเนอะ รักคนปากหมานี่เหนื่อยจริงๆ แต่รักไปแล้วอะไรก็ดีละเนอะ ขี้หึงขี้หวงอีก
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁[ตีพิมพ์สนพ.ฟาไฉ] 27ตอนจบ+ตอนพิเศษ 31/3/61
เริ่มหัวข้อโดย: บีเวอร์ ที่ 01-04-2018 01:22:26
 :pig4:
หัวข้อ: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ เอิร์ธกับโซระ ตอน วัยกำลังโต
เริ่มหัวข้อโดย: @moment ที่ 01-04-2018 19:51:14
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/ (https://www.facebook.com/at.moment.writer/)
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer/ (https://twitter.com/atmoment_writer/)
   

   เอิร์ธกับโซระ ตอน วัยกำลังโต

   

   [เอิร์ธ]
   

   "โซระ ถ้าไม่รีบทำให้เสร็จ เดี๋ยวก็ไม่มีการบ้านส่งหรอก" ผมกดเสียงเข้มงวด เรียกคนที่แกล้งนอนฟุบอยู่กับโต๊ะ คนน่ารักจึงยอมเงยหน้าขึ้นมา พลางทำปากยื่น บ่นพึมพำว่า 'ก็มันยากนี่นา'

   "ถ้าเมื่อวานเอิร์ธไม่ไล่เรากลับบ้าน ป่านนี้ก็เสร็จไปแล้ว" โซระพูดอย่างงอนๆ แถมด้วยค้อนอีกหนึ่งวง ก่อนจะก้มลงขมวดคิ้วยุ่งกับสมุดตรงหน้า ยอมหยิบปากกาขึ้นมาเขียนหยุกหยิกแก้โจทย์เลข

   ผมได้แต่ลอบถอนหายใจ ใช่ว่าผมอยากไล่ ใช่ว่าไม่อยากอยู่ใกล้ๆ ...แต่ผมไม่กล้าทดสอบขีดความอดทนของตัวเองไปมากกว่านี้

   หลังจากที่ได้รับรู้ว่าต่างฝ่ายต่างใจตรงกัน ความสัมพันธ์ของพวกเราก็ก้าวหน้าขึ้นอีกหนึ่งขั้น นอกจากจะได้เจอกันทุกวันที่โรงเรียน หลังเลิกเรียนโซระก็ยังมาเที่ยวเล่นที่บ้านของผมบ่อยๆ บางครั้งผมเองก็เป็นฝ่ายไปที่บ้านของโซระ แต่เท่านั้นยังไม่ถือว่าแตกต่างจากเมื่อก่อนมากนัก

   สิ่งที่ต่างไปจากเดิมก็คือ... ความสนิทสนม 'เกินเพื่อน'

   หลายครั้งดวงตากลมโตชอบจ้องมองมา พอสบตากันเข้ากันก็ส่งยิ้มหวานมาให้ ทำเอาสมาธิของผมกระจัดกระจาย อ่านหนังสือไม่รู้เรื่อง หรือบางครั้งเวลาสอนการบ้าน ร่างกายแบบบางก็เอนเข้ามาใกล้จนผมได้กลิ่นแชมพูอ่อนๆ ไอร้อนส่งผ่านบ่าที่แนบชิดติดกัน ปลายนิ้วที่จับปากกาแตะต้องกันบ้างเป็นบางครั้ง

   หรืออย่างเมื่อคืน... จูบที่เคยเป็นเพียงการสัมผัสผิวเผินแผ่วเบา นานวันเข้าก็พัฒนาเป็นการแลกลิ้นอุ่นๆ ความขัดเขินถูกบดบังด้วยความลึกซึ้ง มือไม้ที่เคยวางเกะกะข้างลำตัวเริ่มทำหน้าที่โอบกอด ลูบไล้

   ทว่าทุกอย่างต้องสะดุดกึก เมื่อได้ยินเสียงแม่ตะโกนเรียกให้ลงไปกินข้าว ดึงสติของผมกลับมา หลังหมดมื้อเย็นผมจึงตัดสินใจดันหลังให้โซระกลับบ้านไป

   ผมไม่ใช่พระอิฐพระปูน ต่อให้เป็นเด็กคงแก่เรียน หนอนหนังสือ เด็กเนิร์ด แต่ผมก็เป็นผู้ชาย วัยที่ฮอร์โมนกำลังพลุ่งพล่าน อยากรู้ อยากลอง อยาก...

   ทว่าโลกความจริงไม่ได้สวยงามเหมือนในความฝัน ไม่ได้ง่ายดายเหมือนในนิยาย ผมไม่เคยมีประสบการณ์ไม่ว่าจะกับผู้หญิงหรือผู้ชาย โซระเองก็เหมือนกัน ที่สำคัญ ร่างกายของผู้ชายไม่ได้ถูกสร้างขึ้นมาให้เหมาะกับ...การมีเพศสัมพันธ์กับผู้ชาย

   ผมเคยเห็นโซระแอบอ่านการ์ตูน เอ่อ ชายรักชาย หรือที่เรียกว่าการ์ตูนวาย บางเล่มมีฉากเรทโจ่งแจ้ง แต่ส่วนใหญ่เกินจริงทั้งนั้น ไม่อย่างนั้นจะเรียกว่าการ์ตูนเหรอ ยิ่งสำหรับครั้งแรกด้วยแล้ว ถ้าขืนทำอย่างในการ์ตูนมีหวังคงมีแต่เจ็บกับเจ็บกับเจ็บเจียนตาย ดีไม่ดีเลือดออก อักเสบ ฉีกขาด แล้วจะแบกหน้าที่ไหนไปหาหมอ!?

   ผมไม่อยากทำให้โซระเจ็บ...

   ผมอยากให้พวกเราพร้อมที่จะเรียนรู้ไปด้วยกันอย่างค่อยเป็นค่อยไป

   แต่ผมก็เป็นคนไม่เอาไหน ไม่รู้จะเริ่มต้นยังไง อีกใจผมก็กลัวว่าโซระจะรับได้หรือเปล่า ถ้าความจริงไม่ได้สวยงามเหมือนความฝัน ถ้าผมทำได้ไม่ดี ทำให้ต้องเจ็บ โซระจะเกลียดผมหรือเปล่า...

   

   "เฮ่ย โซระ! วันนี้ไปบ้านไอ้วินไหม" ระหว่างทางก่อนกลับบ้าน ยังไม่ทันเดินพ้นประตูโรงเรียนก็มีเสียงตะโกนเรียกดังมาจากทางด้านหลัง เมื่อหันกลับไปผมก็เห็นเพื่อนตัวสูงใหญ่เดินเข้ามาตบบ่าร่างเล็กอย่างสนิทสนม ใครคนนั้นคือ 'ซี' เพื่อนคนหนึ่งในกลุ่มที่โซระไปเล่นบาสด้วยอยู่บ่อยๆ

   ผมแอบสะดุดกับชื่อที่ได้ยินเล็กน้อย ทั้งๆ ที่รู้ว่าโซระไม่ได้ชอบวิน ทั้งหมดเป็นแค่ความเข้าใจผิดของผมเอง แต่ถึงอย่างนั้นผมก็ยังอดลอบมองท่าทีของร่างด้านข้างไม่ได้ คงเพราะเมื่อวันก่อนโซระก็เพิ่งจะไปบ้านวินมา ผมรู้แค่ว่ากลุ่มบาสไปกันหลายคน แต่ไม่รู้รายละเอียดมากกว่านั้น

   "ไปดิ! อ่ะ เอ่อ วันนี้เอิร์ธกลับคนเดียวได้ไหม" น้ำเสียงอ้ำอึ้ง ไม่ได้ทำให้ผมขมวดคิ้วมากเท่ากับท่าทางแปลกๆ ถ้าผมไม่ได้ตาฝาดหรือคิดไปเอง ผมเห็นโซระหน้าแดงขึ้นมาแวบหนึ่ง ตวัดสายตามองผมก่อนจะเบนหลบไปทางอื่นอย่างมีพิรุธ

   "เราไปด้วยคนได้ไหม" ผมลองถามหยั่งเชิง ทันใดนั้นก็ได้เห็นโซระอ้าปากกว้าง แม้แต่ซีก็ยังมองมาอย่างประหลาดใจ

   "เด็กเรียนอย่างเอิร์ธสนใจอะไรแบบนี้ด้วย!?" ซีอุทานด้วยสีหน้าเหลือเชื่อ ก่อนจะเปลี่ยนเป็นคลี่ยิ้มแปลกๆ ก้าวเข้ามาหาพวกผมด้วยท่าทางลับๆ ล่อๆ ลดเสียงพูดลงจนเหลือเพียงเสียงกระซิบ พร้อมเปิดแง้มกระเป๋านักเรียนให้เห็นของด้านใน

   "วันนี้แผ่นแท้เมดอินเจแปนเลยนะเว้ย ภาพคมชัด เสียงใสแจ๋ว เด็ดสุดๆ" ทิ้งท้ายด้วยเสียงหัวเราะในลำคอ ก่อนจะรีบปิดกระเป๋าอย่างรวดเร็ว มองซ้ายขวาราวกับกลัวว่าใครจะมาเห็นเข้า แต่เพียงแค่แวบเดียวผมก็ทันเห็นของที่ว่านั่นอย่างชัดเจน

   กล่องดีวีดีสองสามแผ่น แผ่นแรกสุดเป็นรูปผู้หญิงกึ่งเปลือยกายโพสท่าทางยั่วยวน ในกรอบเล็กๆ เป็นรูปของเธอกับผู้ชายในจังหวะกำลังเข้าด้ายเข้าเข็ม

   ผมหันไปมองหน้าใสที่กลายเป็นสีแดงจัดสลับกับซีดเผือด ในขณะที่หน้าของผมคงกลายเป็นสีเขียวคล้ำ

   "เอิร์ธ... เดี๋ยวสิเอิร์ธ! ซี โทษที! วันนี้เราไม่ไปแล้ว เอิร์ธรอด้วย!" เสียงเรียกดังไล่หลังตามมา ผมยังก้าวเดินไปข้างหน้าอย่างเงียบๆ ไม่พูดไม่จา

   "เอิร์ธโกรธเหรอ... เราขอโทษ!" ร่างเล็กวิ่งตามมาจนทัน พลางกล่าวขอโทษซ้ำๆ อีกหลายครั้ง

   ผมไม่ได้โกรธที่โซระดูหนังโป๊ แต่โมโหที่โซระไปดูกับพวกเพื่อนผู้ชายเป็นฝูง แล้วในสถานการณ์อย่างนั้น อย่างดีก็ผลัดเวียนกันเข้าห้องน้ำ อย่างด้านก็ชักกันต่อหน้าต่อตา หรืออย่างบ้ากว่านั้น...

   ผมไม่อยากคิด แค่คิดว่ามีใครได้เห็นใบหน้าใสตอนที่เต็มเปี่ยมไปด้วยอารมณ์... คิดเท่านั้นหัวของผมก็ร้อนจนแทบจะไหม้

   "เอิร์ธ..." เสียงเรียกแผ่วเบาลงไป คงเพราะรู้ว่าผมเป็นประเภทที่ยิ่งโมโหก็ยิ่งเงียบ พูดอะไรตอนนี้ก็ไม่มีประโยชน์ สุดท้ายร่างเล็กจึงได้แต่เดินตามต้อยๆ ลอบมองผมด้วยสีหน้าจ๋อยๆ

   ผมนิ่งเงียบตลอดทางจนกระทั่งถึงบ้าน จังหวะที่ผมไขกุญแจเปิดประตู ร่างเล็กก็รีบเดินตามเข้ามาติดๆ ราวกับกลัวถูกทิ้งอยู่ข้างนอก ผมจึงพูดออกมาเป็นประโยคแรก

   "รู้ไหมว่าทำไมเราถึงโกรธ"

   "เอิร์ธอย่าโกรธเลยนะ... เอิร์ธก็รู้ว่าเราไม่ได้สนใจหนังโป๊นั่นเลยสักนิด เราไม่ได้ชอบผู้หญิง แล้วก็ไม่ได้ชอบพวกซีหรือวินแบบนั้นด้วย ...เราชอบเอิร์ธ" น้ำเสียงอ้อนๆ และโดยเฉพาะอย่างยิ่งสามคำสุดท้าย ตอกย้ำให้ผมรู้ตัวว่า ไม่เคยโกรธโซระได้นานเลยสักครั้ง

   เมื่อเห็นสีหน้าของผมอ่อนลง โซระก็รีบอธิบายต่อ

   "เราก็แค่อยากรู้... แต่เราไม่รู้จะไปถามใคร พอดีพวกนั้นมาชวน ก็เลย...ถือว่าเปิดหูเปิดตาไว้บ้าง ก็ยังดีกว่าไม่รู้อะไรเลยใช่ไหมล่ะ..." เสียงอ้อมแอ้มพูดไปก็เริ่มหน้าแดงไป แต่กลับทำให้ผมเริ่มปวดหัวตุบๆ เพราะไม่รู้ว่าโซระรู้อะไรจากใครมาแค่ไหนบ้าง ดีหรือร้าย

   "ก็เรากับเอิร์ธคบกันแล้ว... คนรักกัน... ก็แบบ... อยากจะรักกัน..." ดวงตากลมโตจ้องมากึ่งประหม่ากึ่งกลัวว่าผมจะยังโกรธอยู่ แต่ประโยคที่พูดออกมาทำให้อาการหน้าแดงกลายเป็นโรคติดต่อ ผมลอบสูบลมหายใจเข้า ก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่

   "เอิร์ธ...?" เสียงใสๆ เอ่ยเรียกชื่อของผมอย่างงุนงง คงเพราะว่าครั้งนี้ผมเป็นฝ่ายจูงมือของโซระให้เดินตามขึ้นบันไดไปด้านบนด้วยกัน

   เรื่องที่เกิดขึ้นผลักดันให้ผมตัดสินใจ ถ้าต้องเสี่ยงปล่อยให้โซระไปเรียนรู้อะไรจากใครคนอื่น สู้เสี่ยงให้พวกเราเรียนรู้ไปพร้อมกันจะดีกว่า

   
----------------------

เหลืออีกตอนเดียวก็จะจบแล้น  :o8:
   
>> yin : คู่ใหญ่เค้าดับเครื่องชนไปแล้ว คู่เบบี้เมื่อไหร่จะถึงเส้นชัยซะทีล่ะลูก

ใกล้แว้วว คู่นี้ไม่เล่นตัวลวดลายลีลาเยอะเหมือนนุงแจ็ค 55555

>> songte : ยักษ์นี่ลำบากเนอะ รักคนปากหมานี่เหนื่อยจริงๆ แต่รักไปแล้วอะไรก็ดีละเนอะ ขี้หึงขี้หวงอีก

ความรักทำให้ยักษ์ตาบอด  :เฮ้อ:

หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁[ตีพิมพ์สนพ.ฟาไฉ] 27ตอนจบ+ตอนพิเศษ 1/4/61
เริ่มหัวข้อโดย: PanGii ที่ 02-04-2018 00:27:26
อ่านยาวจนถึงตอนล่าสุดแล้ว  รอตอนจบของหนูเอิร์ธกับหนูเอิร์ธอยู่นะคะ

ยักษ์ของเราช่างน่าสงสาร ต้องเผชิญกับเจ้าของฟาร์มหมาอย่างแจ็คไปอีกนาน ดูท่าจะเลิกรักยากด้วย
หัวข้อ: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ เอิร์ธกับโซระ ตอน วัยเติบโต
เริ่มหัวข้อโดย: @moment ที่ 02-04-2018 22:05:50
Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์
by @moment
เพจ: https://www.facebook.com/at.moment.writer/ (https://www.facebook.com/at.moment.writer/)
ทวิต: https://twitter.com/atmoment_writer/ (https://twitter.com/atmoment_writer/)

คำเตือน: เนื้อหาในตอนนี้เหมาะสำหรับผู้ที่มีอายุมากกว่า 18 ปีขึ้นไป

     

   เอิร์ธกับโซระ ตอน วัยเติบโต

   

   [เอิร์ธ]
   

   บรรยากาศรอบตัวเต็มไปด้วยความขัดเขินกระอักกระอ่วน พวกเรานั่งขัดสมาธิอยู่บนเตียง มีโน้ตบุ๊ควางอยู่เบื้องหน้า บนหน้าจอฉายภาพแฟ้มเอกสารที่ตั้งชื่อด้วยอักษรย่อสั้นๆ คงมีแต่ผมที่อ่านแล้วเข้าใจว่าในนั้นจัดแบ่งหมวดหมู่ออกเป็นไฟล์ข้อมูลภาษาไทย ภาษาอังกฤษ อีบุ๊ค คลิปวีดีโอแยกตามแต่ละประเทศ

   ข้อมูลภาษาไทยส่วนใหญ่หนักไปทางเรื่องเล่าประสบการณ์เสียวที่หาสาระไม่ค่อยได้ ตรงกันข้าม กระทู้ที่ต้องการคำปรึกษาจริงจังบ้างก็กลับถูกล้อเลียนเหยียดเพศ บ้างก็ไล่ให้เลิกหมกมุ่น บ้างก็ตอบไม่ตรงคำถาม ข้อมูลเชิงลึกที่เป็นประโยชน์จึงต้องไปขวนขวายหาอ่านเอาจากภาษาอังกฤษ

   หนังสือหลายเล่มเขียนเรื่องที่ผมไม่เคยรู้มาก่อน เจาะลึกประสบการณ์จริง ตอบข้อสงสัยอย่างตรงไปตรงมา เริ่มต้นด้วยการอธิบายสรีระร่างกาย กล้ามเนื้อ รวมถึงโครงสร้างภายใน...ช่องทางด้านหลัง สิ่งที่ควรทำ ไม่ควรทำ การเตรียมพร้อมต่างๆ แต่เพราะโซระไม่ค่อยสันทัดภาษาอังกฤษ ผมจึงตัดสินใจเลื่อนข้ามข้อมูลเหล่านั้น เปิดไปยังโฟลเดอร์ที่เป็นคลิปวีดีโอ

   ในนั้นมีจำนวนไฟล์อยู่ไม่น้อย แต่เกินครึ่งเป็นคลิปที่เปิดมาก็ตัดเข้ากลางกิจกรรม เกินแปดสิบเปอร์เซ็นต์ฝ่ายรับก็เคยชินจนไม่จำเป็นต้องใช้เวลาเตรียมพร้อมมากมาย สุดท้ายผมจึงตัดสินใจเลือกคลิปวีดีโอกึ่งฮาวทูอันหนึ่ง ถึงจะเป็นภาษาอังกฤษแต่ก็คงพอทำความเข้าใจจากรูปได้ไม่ยากนัก

   "เอ่อ โซระเคยดูหนังเกย์ไหม" ก่อนจะกดปุ่มเพลย์ ผมลองถามหยั่งเชิงขึ้นมา เพราะลึกๆ ยังกลัวคนด้านข้างจะรับไม่ได้

   "...อื้อ" ทว่าเสียงตอบรับในลำคอเบาๆ กลับเหนือความคาดหมาย

   "ก็ พอพวกซีชวนไปดู เอ่อ กลับมาเราก็เลย ลองหามาดูบ้าง" โซระอธิบายต่ออ้อมแอ้ม แก้มใสระบายสีแดงระเรื่อ ลอบมองมากึ่งกังวลว่าผมจะยังโกรธอยู่หรือเปล่า

   ผมพยายามคิดในแง่ดีว่าถึงยังไงพวกนั้นก็ชอบผู้หญิง ไม่ได้ชอบผู้ชาย และต่อให้ดูหนังโป๊ชายหญิงโซระก็ไม่ได้รู้สึกอะไร ไม่เหมือนสถานการณ์ระหว่างพวกเราในตอนนี้

   นึกแล้วผมก็เผลอดันกรอบแว่นขึ้นเล็กน้อยเพื่อปกปิดความขัดเขิน

   "ถ้างั้นลองดูอันนี้ก็แล้วกันนะ" ผมตัดบทด้วยการกดเปิดคลิป

   ต่อให้เตรียมใจไว้แล้วก็ยังอดประหม่าไม่ได้ หน้าจอฉายภาพผู้ชายยุโรปรูปร่างกำยำล่ำสันสองคน เริ่มต้นจากการกอดจูบลูบคลำ ไม่นานนักร่างกายของทั้งคู่ก็เปลือยเปล่า เอนตัวนอนลงบนเตียง เล้าโลมกันทีละขั้นตอน

   เสียงพากย์เนิบนาบอธิบายแต่ละฉากราวกับรายการสารคดี แต่ดนตรีประกอบก็เร่งเร้าอารมณ์อยู่ไม่น้อย ผมไม่ค่อยได้สนใจภาพเบื้องหน้าเพราะว่าเคยมาดูมาก่อนแล้ว จึงฉวยโอกาสนี้แอบลอบมองปฏิกิริยาของคนด้านข้าง ดวงตากลมโตจ้องแป๋วอยู่บนจอสี่เหลี่ยม จวบจนเสียงครางดังขึ้นเป็นจังหวะ พาลให้ผมชักหายใจได้ไม่ทั่วท้อง กระทั่งจะกลืนน้ำลายยังไม่กล้าทำให้เกิดเสียง ต้องขยับตัวเล็กน้อยเพื่อคลายความอึดอัด

   จังหวะนั้นเอง มือของพวกเราที่วางอยู่ข้างลำตัวก็กระทบกันเบาๆ

   จุดเริ่มต้นเล็กๆ ที่ทำให้โซระหันกลับมา ทำให้สายตาของพวกเราประสานกัน

   นาทีนั้นราวกับมีแรงดึงดูด กว่าจะรู้ตัวอีกครั้งสัมผัสนุ่มก็แนบลงมาบนริมฝีปาก ไม่แน่ใจว่าใครเป็นฝ่ายเริ่ม แต่ยิ่งนานเข้าจูบก็ยิ่งลึกซึ้ง สองแขนทำหน้าที่โอบกอด สองมือเริ่มสะเปะสะปะ ดึงชายเสื้อของฝ่ายตรงข้ามออกจากขอบกางเกง

   วิดีโอเพิ่งเล่นไปได้แค่ครึ่งทาง คนร้อนวิชากลับอยากลงสนามลองภาคปฏิบัติ แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าอุณหภูมิร่างกายของผมก็ไต่ระดับสูงขึ้นไม่แพ้กัน ลมหายใจขาดห้วงผละห่างจากกันชั่วครู่ ปลายนิ้วเงอะงะงุ่มง่าม เป็นโซระที่ใจร้อนกว่า หมดความอดทนกับกระดุมที่ช่างแกะยากเย็น เปลี่ยนเป็นดึงเสื้อเชิ้ตผ่านออกทางศีรษะ ก่อนจะหันมาดึงเสื้อของผมออกไปด้วย

   วิดีโอยังคงเล่นไปเรื่อยๆ เช่นเดียวกับพวกเราที่เร่งรุดไปทีละขั้น เสียงครางจากโน้ตบุ๊คยังแว่วมาให้ได้ยิน แต่ความสนใจทั้งหมดของผมกลับอยู่ที่คนตรงหน้า ริมฝีปากอุ่นชื้นเปลี่ยนเป้าหมายมาเป็นแก้ม คาง คอ บ่า ไล่ตามแนวไหปลาร้า เรื่อยมาจนถึงหน้าอก

   หัวใจของผมแกว่งรุนแรงราวกับนั่งอยู่บนไวกิ้ง โลกทั้งใบหมุนคว้าง จนกระทั่งแผ่นหลังสัมผัสลงกับผ้าปูที่นอนสากๆ สติของผมจึงหวนกลับคืนมา ผมได้แต่กะพริบตาหลายครั้ง ยังเห็นเงาย้อนแสงของคนตัวเล็กกว่าคร่อมอยู่ด้านบน

   "เอ่อ โซระ"

   ผมชักสังหรณ์ใจ ว่าควรถามอะไรบางอย่าง เพื่อความแน่ใจ

   "โซระ... อยากเป็นฝ่ายรุกเหรอ"

   ทันทีที่จบประโยคนั้น คนที่นั่งคร่อมอยู่บนตัวผมก็ชะงักไปครู่ใหญ่ สีหน้าเหมือนไม่เข้าใจคำถาม สักพักจึงกะพริบตาปริบๆ ก่อนจะย้อนถามกลับมาเสียงค่อย

   "ไม่ได้เหรอ"

   คราวนี้กลายเป็นผมที่เป็นฝ่ายอึ้ง

   ผมไม่เคยคิดถึงกรณีนั้นมาก่อน ไม่สิ ต้องบอกว่าผมไม่เคยมีความคิดนั้นอยู่ในสมองเลยแม้แต่นิดเดียว ไม่ใช่ว่ารังเกียจการเป็นฝ่ายรับ หรือยึดติดกับการเป็นฝ่ายรุก แต่ควรเรียกว่า 'นึกไม่ถึง' มากกว่า

   ระหว่างที่ผมเงียบไปนาน โซระก็เริ่มหน้าเสีย

   ตอนนั้นเองที่ผมเริ่มลนลาน บวกลบคูณหารในใจอย่างรวดเร็ว สุดท้ายสมองที่สับสนวุ่นวายกลับหยุดลงที่ความคิดหนึ่ง 'ผมรักโซระ' แค่เพียงความรู้สึกนั้นก็มีน้ำหนักมากกว่าอะไรทั้งหมด ผมไม่อยากทำให้โซระเจ็บ ไม่อยากให้โซระเกลียด ถ้าเปลี่ยนให้ผมเป็นฝ่ายเจ็บแทนซะเอง อาจจะเป็นทางเลือกที่ดีก็ได้...

   ผมได้แต่ปั้นยิ้มอย่างยากลำบาก กลั้นใจพยักหน้าแทนการตอบคำถาม

   ตอนนั้นเองที่ผมได้เห็นใบหน้าหงอยๆ ค่อยๆ เปลี่ยนเป็นรอยยิ้มกว้าง กระจายไปถึงดวงตาและสองแก้มที่กดบุ๋มลงอย่างน่ารัก ทำให้ผมได้แต่ปลงให้กับตัวเองอยู่ในใจ เพราะไม่เคยมีเลยสักครั้งที่ผมจะเอาชนะรอยยิ้มนั้นได้

   

   เมื่อผมเบนหน้าไปด้านข้างเพื่อหลบหนีภาพเบื้องหน้า ก็เข้าทำนองสุภาษิตที่ว่า 'หนีเสือปะจระเข้' เพราะของสองสิ่งบนเตียงที่ปรากฏสู่สายตายิ่งทำให้ความปั่นป่วนในช่องท้องพุ่งสูง เนื่องด้วยทั้งหมดเป็นของที่ผมซื้อมาเอง แต่ไม่เคยคิดว่าเวลานี้จะถูกนำมาใช้กับตัวเอง

   สิ่งแรก เป็นกล่องสี่เหลี่ยมขนาดเล็กที่เปิดอ้า กับซองแบนที่ถูกฉีกกลาง

   สิ่งที่สอง เป็นหลอดเล็กลักษณะคล้ายครีมทามือ ถูกเปิดฝาทิ้งไว้

   ผมได้แต่หลับตาข่มความความรู้สึกในใจ ไม่อยากนึกถึงสภาพน่าอายของตัวเองในตอนนี้ ใครจะไปคิดว่าชีวิตนี้วันหนึ่งจะต้องมานอนแผ่หลาอ้าซ่า ถ่างขาอย่างกับกบหงายท้อง ซ้ำร้ายยังมีสายตาของคนที่รักจ้องมาไม่วางตา

   "เอิร์ธ... เจ็บไหม" เสียงระคนความห่วงใยเอ่ยถาม

   "ไม่เป็นไร" ผมกัดฟันตอบด้วยเสียงที่พยายามบังคับให้คงที่

   ทว่าการหลับตาคือการกระทำที่ผิดมหันต์ เพราะนั่นยิ่งกระตุ้นให้ประสาทสัมผัสด้านอื่นตื่นตัว

   เริ่มแรกที่ความเย็นวาบพร้อมกับนิ้วหนึ่งผ่านเข้ามา ผมยังรู้สึกแค่หน่วงๆ แต่เมื่อจำนวนนิ้วเพิ่มขึ้น ทั้งยังขยับเคลื่อนไหวไปมาอยู่ข้างใน ทั้งความอึดอัดและความรู้สึกแปลกประหลาดเกินบรรยาย ทำให้สมองของผมแทบคิดอะไรไม่ออก ผมพยายามตั้งสติทบทวนหนังสือที่เคยอ่านมา

   เจลลื่นๆ ช่วยลดแรงเสียดทานที่เกิดจากผิวสัมผัสของยางบางๆ ตามทฤษฏีแล้วการใช้ถุงยางนอกจากจะช่วยลดความเสี่ยงของการถูกเล็บครูด ยังช่วยป้องกันสิ่งสกปรกต่างๆ

   "อื้อ" ความคิดของผมสะดุดลงพร้อมกับเสียงครางขึ้นจมูก เมื่อปลายนิ้วด้านในลากผ่านผนังใต้ท้องน้อย ราวกับมีกระแสไฟฟ้าวิ่งผ่านทุกรูขุมขน ชาวาบขึ้นไปถึงหนังศีรษะ ตามทฤษฏีแล้วนั่นก็ไม่ใช่เรื่องแปลก เป็นปฏิกิริยาตามธรรมชาติ เพราะในร่างกายของผู้ชายเองก็มีจุดที่เรียกว่าจีสปอตอยู่

   "เอิร์ธไหวไหม" ผมได้ยินเสียงแผ่วใสกระซิบถาม พร้อมกับความอึดอัดที่เพิ่มขึ้นจนแทบจะถึงขีดสุด เดาว่าจำนวนนิ้วได้กลายเป็นสาม ผมพยายามผ่อนคลายความเกร็งเครียดของร่างกายอย่างสุดความสามารถ ทำตามข้อแนะนำที่เคยอ่านมา หายใจเข้าออกลึกๆ ไม่เจ็บ ไม่เจ็บ ไม่เป็นไร ไม่เป็นไร

   ไม่เป็นไรบ้านมันเหอะ!

   หนังสือบ้าบอ! พูดง่ายแต่ใครจะไปทำได้!?

   ผมได้แต่สบถอยู่ในใจ เริ่มรู้ซึ้งถึงคำว่า 'ปลาตายน้ำตื้น' 'ความรู้ท่วมหัวเอาตัวไม่รอด' ต่อให้ทฤษฏีแน่นแค่ไหนก็ใช่ว่าจะปฏิบัติตามกันได้ง่ายๆ

   "ไหว..." ผมฝืนตอบตรงข้ามกับความรู้สึก เพราะรู้ดีว่าโซระเองก็กำลังพยายามอย่างดีที่สุด เห็นได้จากใบหน้าแดงก่ำ น้ำเสียงสั่นไหว รวมไปถึงความแข็งขึงที่ปัดผ่านต้นขาของผมหลายครั้ง บ่งบอกว่าคนถามเองก็กำลังจะไม่ไหว

   และก็เป็นอย่างที่คิด เมื่อนิ้วที่เคลื่อนไหวอยู่ภายในเริ่มขยับได้คล่องตัวมากขึ้น เสียงกระซิบแผ่วก็ดังอยู่ข้างหู

   "เราเข้าไปได้ไหม..." คำพูดถูกเอ่ยขึ้นพร้อมกับสายตาที่ทอดมองมาอย่างอ้อนวอน ทำให้ผมทำได้เพียงพยักหน้ารับ ทันใดนั้นความอึดอัดทั้งหมดก็หายวับไป

   ผมสะดุ้งหอบหายใจเข้าเฮือกใหญ่ ก่อนที่นาทีถัดมาจะหายใจไม่ออก

   เจ็บ...!

   นั่นคือความรู้สึกแรกสุด ไม่ใช่ความเจ็บแบบถูกมีดกรีด แต่เจ็บเหมือนถูกค้อนหนักๆ ทุบลงมาบนท้องน้อย ทั้งจุก ทั้งแน่น ยิ่งสิ่งแปลกปลอมคืบคลานเข้ามาก็ยิ่งอึดอัดทรมาน ผมเผลอถอยสะโพกหนีตามสัญชาติญาณ แต่นั่นกลับก่อให้เกิดการเสียดสีที่อยู่นอกเหนือการควบคุม ส่งผลให้ร่างด้านบนครางแผ่ว

   "เอิร์ธ... เอิร์ธ..." เสียงพึมพำเรียกชื่อของผมซ้ำๆ ทำให้ผมลืมตาขึ้น เห็นคนน่ารักขมวดคิ้วยับยู่ ใบหน้าเหยเก สีหน้าทรมานไม่ต่างกัน

   แวบหนึ่งผมอดคิดไม่ได้ว่าทำไมพวกเราถึงต้องมาทนทำอะไรที่ทรมานขนาดนี้ แต่อีกใจก็ตอบคำถามนั้น เพราะว่าผมอยากให้พวกเราเป็นหนึ่งเดียวกัน อยากเป็นของกันและกัน อยากให้โซระมีความสุข อยากเห็นโซระรู้สึกดี ขอเพียงแค่เราก้าวข้ามผ่านจุดนี้ไปให้ได้

   ผมจึงค่อยๆ ผ่อนคลายตัวเอง ยกสะโพกขึ้นเล็กน้อย พอดีกับจังหวะที่ร่างด้านบนขยับตัว สิ่งนั้นจึงพาลเคลื่อนพรวดเข้ามารวดเดียวเกินครึ่ง ผมหลุดอุทานเป็นเสียงครางสูง โซระกัดฟันแน่นกดเสียงครางอยู่ในลำคอ แวบหนึ่งในความทรมานนั้น กลับมีบางอย่างซุกซ่อนอยู่ ราวกับประกายไฟที่สว่างวาบขึ้นมาวูบหนึ่งภายใต้ความมืดมิด

   ส่วนที่เชื่อมต่อกันร้อนระอุ แต่ปลายนิ้วที่วางอยู่บนต้นขาของผมกลับเย็นเฉียบ บ่งบอกให้รู้ว่าร่างเล็กตรงหน้าทั้งตื่นเต้นและประหม่ามากแค่ไหน ถึงอย่างนั้นก็เริ่มเคลื่อนไหวสะโพกราวกับควบคุมตัวเองไม่อยู่ ความจุกแน่นเบียดเข้าออก แรงเสียดสีจุดประกายไฟใต้ม่านตาให้สว่างวาบขึ้นเป็นระยะ ผมนึกถึงไฟเย็นที่พวกเราเคยเล่นด้วยกันตอนวันลอยกระทง นึกถึงคำอธิษฐานที่กลายเป็นความจริง

   "อะ อะ" ผมปล่อยให้เสียงสั้นๆ หลุดรอดออกมาตามธรรมชาติ ก่อนฝืนตัวขึ้นเล็กน้อยเพื่อเอื้อมโอบรอบคออีกฝ่ายให้โน้มตัวลงมาหา

   ก่อนที่ริมฝีปากของพวกเราจะสัมผัสกัน ผมก็ได้ยินเสียงพึมพำ

   "อะ เอิร์ธ... มะ ไม่ไหว... เราไม่ไหว..."

   เสียงตะกุกตะกักเค้นผ่านไรฟัน ปลายนิ้วเย็นเฉียบเปียกชุ่มไปด้วยเหงื่อกดแน่นลงบนสะโพกของผม ตามด้วยเสียงครางต่ำคำรามดังในลำคอ พร้อมกับร่างเล็กที่กระตุกอย่างแรง

   กว่าผมจะทำความเข้าใจได้ว่าเกิดอะไรขึ้น ทุกอย่างก็จบลงเสียแล้ว

   

   หลายนาทีผ่านไป ภาพที่ผมเห็นคือด้านหลังของคนที่นั่งกอดเข่าคุดคู้ ก้มหน้าชิดหัวเตียง ดึงผ้าห่มขึ้นมาคลุมมิดถึงศีรษะ ราวกับซุกซ่อนตัวอยู่ในถ้ำมืด ตัดขาดจากโลกภายนอก

   ผมได้แต่เฝ้ามองแผ่นหลังเล็กอย่างเงียบๆ ไม่รู้ว่าควรจะพูดอะไรหรือควรปลอบยังไง เพราะถ้าเหตุการณ์เดียวกันเกิดขึ้นกับผม ผมคงจะอับอายจนอยากแทรกแผ่นดินหนี หรือไม่ก็หายตัวไปจากโลกใบนี้

   ศักดิ์ศรีของลูกผู้ชายจมดิ่งไปพร้อมกับเรือที่ล่มปากอ่าว เอ่อ อาจดีกว่ากันเล็กน้อยตรงที่กรณีนี้... เรือแล่นออกมาล่มอยู่กลางทะเล

   "โซระ..." ผมเรียกเบาๆ พลางเขยิบตัวเข้าไปนั่งข้างๆ

   มนุษย์ผ้าห่มกลับยิ่งขดตัวเล็กลง ไม่ขานตอบ ไม่เงยหน้าขึ้นมา

   "โซระหิวไหม... อยากกินอะไรไหม หรือว่า อยากอาบน้ำไหม" ผมลองชวนคุย เพราะพวกเรายังไม่ได้กินข้าวเย็น แถมยังนั่งเปลือยเปล่ากันอยู่ทั้งคู่ ทว่ามนุษย์ผ้าห่มก็ยังคงไม่ยอมตอบ เอาแต่ก้มหน้าเงียบไม่พูดจา

   เป็นข้อเสียของผมที่พูดไม่เก่ง ไม่รู้ตอนนี้ว่าควรพูดอะไรเพื่อแก้ไขสถานการณ์ให้ดีขึ้น สุดท้ายจึงได้แต่ลอบถอนหายใจ เอนศีรษะพิงลงบนบ่าที่มีผ้าห่มขวางกั้น

   ผ่านไปนาน ในที่สุดเสียงอู้อี้ก็ดังลอดผ้าห่มออกมา

   "เอิร์ธ..." เป็นเสียงที่เศร้าสร้อย เหงาหงอย หวาดหวั่น สักพักผ้าห่มจึงลดระดับลงมาอยู่บนบ่า เผยให้เห็นสีหน้าและแววตาที่ย่ำแย่ไม่ต่างจากน้ำเสียง

   "เอิร์ธ...อยากเป็นฝ่ายรุกไหม ...เราสลับกันดีไหม"

   ถ้าเป็นปรกติผมคงตอบตกลงอย่างดีใจโดยไม่ต้องเสียเวลาคิด

   แต่ตอนนี้ถ้าผมพยักหน้า ก็คงไม่ต่างอะไรจากการเหยียบย่ำซ้ำเติม ฝังกลบศักดิ์ศรีของโซระให้จมมิดดิน หรือในกรณีเลวร้าย เรื่องวันนี้อาจจะกลายเป็นปมฝังใจที่ไม่มีวันรักษาหาย

   "เอาไว้คราวหน้าก็ได้" ผมยิ้มตอบด้วยท่าทางผ่อนคลาย เรื่องของเราเพิ่งจะเริ่มต้นขึ้น พวกเรายังมีเวลาอยู่ด้วยกันอีกนาน ไม่จำเป็นต้องรีบร้อน

   "วันนี้... แม่ไปสัมมนาต่างจังหวัด ไม่กลับบ้าน... ส่วนพ่อก็คงกลับดึกตามเคย..." ผมเกริ่นต่อพลางขยับเข้าไปอีกนิด เบียดตัวเข้าไปอยู่ใต้ผ้าห่มผืนเดียวกัน คราวนี้ดวงตากลมโตยอมมองตอบกลับมา ไม่ได้ก้มหน้าหนีอีก

   "เรามาลองกันใหม่อีกครั้งไหม" ผมถามต่อเบาๆ

   ต่อให้เป็นการหาเรื่องใส่ตัว หาเหาใส่หัว แต่ถ้าทำให้โซระยิ้มได้ มันก็คุ้มค่า

   ถึงแม้รอยยิ้มจะยังไม่กลับมาทั้งหมด แต่สีหน้าเศร้าๆ ก็ดูดีขึ้นกว่าเดิม กลายเป็นความลังเล กล้าๆ กลัวๆ ไม่มั่นใจ ผมจึงโน้มไปหน้าเข้าไปใกล้ เริ่มต้นจากการจูบเบาๆ ก่อนจะคลี่ยิ้มมากกว่าเดิมเมื่ออีกฝ่ายจูบตอบกลับมา

   

   ถ้าบอกว่าไม่เจ็บเลยคงจะเป็นการโกหก แต่ครั้งนี้การรุกล้ำดำเนินไปได้ราบรื่นกว่าเดิมมาก อาจเป็นเพราะพวกเราผ่อนคลายมากขึ้น รวมทั้งช่องทางคับแคบก็ยังคงนุ่มลื่นด้วยเจลที่ตกค้างอยู่ข้างใน

   ผมดึงรั้งร่างเล็กเข้ามากอด มือของพวกเราวางซ้อนกันอยู่บนข้างแก้ม ส่งผ่านความอบอุ่นผ่านปลายนิ้วและผิวกายที่แนบชิดกัน ริมฝีปากยังคงจูบกันเป็นระยะ ปะปนกับเสียงขึ้นจมูก แว่วดังเป็นจังหวะเดียวกับการเคลื่อนไหวช้าๆ

   ผมไม่ได้คิดไปเองเรื่องประกายไฟ และครั้งนี้ราวกับมีเชื้อเพลิงจุดไฟให้ลุกไหม้ หลอมร่างกายให้อ่อนปวกเปียก ส่วนที่เชื่อมต่อกันร้อนระอุจนแทบละลาย ยิ่งเสียดสีก็ยิ่งร้อน คนที่เริ่มเรียกความมั่นใจของตัวเองกลับมาได้ เริ่มรู้จักเรียนรู้จากการสังเกต เบียดจุดไหนแล้วร่างกายของผมสั่นสะท้าน กระแทกจุดไหนแล้วทำให้ผมกลั้นเสียงครางเอาไว้ไม่อยู่

   ความทรมานยังคงอยู่ทว่าเปลี่ยนรูปแบบ ไม่ได้มีแค่ความเจ็บปวดอีกต่อไป แต่กลายเป็นความสุขวาบหวามที่ทรมานแทบขาดใจ

   เสียงครางอู้อี้ลอดผ่านปากและลิ้นร้อนๆ ที่ยังคงเกี่ยวพัน ผมได้แต่โอบกอดร่างที่โถมตัวเข้ามา ยิ่งแรงเสียดสีโหมเข้าใส่ ท้องน้อยก็ยิ่งปั่นป่วนกว่านั่งไวกิ้งต่อด้วยรถไฟเหาะตีลังกาสิบตลบ ประกายไฟระเบิดออกเป็นพลุสว่างจ้า ผมไม่รู้ตัวด้วยซ้ำว่าของเหลวสีขาวขุ่นเปรอะเปื้อนทั่วหน้าท้องตั้งแต่เมื่อไหร่ ร่างกายยังกระตุกรัว ตอดรัดสิ่งที่ยังกระทุ้งเข้าออกไม่ยอมหยุด

   "อ๊า อะ อา... อา..." ผมไม่แน่ใจว่านั่นเป็นเสียงของตัวเองหรือเปล่า ฟังดูหวานกระเส่า เหมือนดังแว่วมาจากที่ไกล

   จนกระทั่งร่างด้านบนยอมปล่อย... ถึงตอนนั้นผมก็แทบไม่เหลือเรี่ยวแรงแม้แต่จะเปล่งเสียงอีก ได้ยินเพียงเสียงหัวใจของตัวเองก้องดังในโสตประสาท ตอนที่ร่างเล็กทิ้งน้ำหนักตัวลงมา ผมถึงได้รับรู้ผ่านแผ่นอกที่แนบชิดกันว่าหัวใจของโซระเองก็กำลังเต้นแรงไม่แพ้กัน

   ผมหอบหายใจเนิ่นนาน จนกระทั่งหัวใจเริ่มปรับลดจังหวะการเต้น คนด้านบนยกใบหน้าที่ซบอยู่บนบ่าขึ้นมาจูบผมเบาๆ

   "เอิร์ธ...รู้สึกดีไหม" ร่างเล็กพลิกตัวลงไปนอนข้างๆ ก่อนจะกระซิบถามอยู่ข้างหู

   ตอนนี้ผมยังคงหน้าแดง ผิวแดงจัดไปทั้งตัวจากเหตุการณ์ที่เพิ่งผ่านไป จึงไม่ต้องกลัวว่าตัวเองจะแดงไปมากกว่านี้

   ผมไม่ได้ตอบคำถามนั้น เพราะร่างกายคงตอบแทนไปหมดแล้ว

   "เรารู้สึกดีที่สุดเลย" ใบหน้าใสเองก็แดงระเรื่อ แต่ยังคงกระซิบต่อไปเรื่อยๆ

   "เรารักเอิร์ธที่สุดเลย" ประโยคนั้นทำให้ผมเอนใบหน้ากลับไปมอง จึงได้เห็นรอยยิ้มสว่างไสวที่คุ้นเคย หากมองเท่าไหร่ก็ไม่เคยเบื่อ และอยากจะมองแบบนี้ตลอดไป

   

   "ในตู้เย็นไม่มีกับข้าวเหลือเลย เราเลยต้มโจ๊กมาแทน" เสียงเปิดและปิดประตูดังขึ้น ขณะที่ผมยังคงนอนคว่ำหน้าอยู่บนเตียง ร่างกายท่อนล่างยังคงปวดระบม ไม่ถึงขั้นลุกเดินไม่ไหว แต่ก็ไม่อยากขยับถ้าไม่จำเป็น

   ผมควรขอบคุณทฤษฏีจากหนังสือพวกนั้น อย่างน้อยก็ไม่มีเลือดออก ไม่มีบาดแผล แค่ยังคงแสบเล็กน้อย

   "เอิร์ธลุกไหวไหม" โซระพูดพลางวางถาดที่บรรจุโจ๊กสองชามลงบนโต๊ะข้างเตียง ผมจึงพยักหน้ารับและค่อยๆ ขยับตัวลุกขึ้นเพราะไม่อยากให้อีกฝ่ายเป็นห่วง ถึงแม้ความเจ็บแปลบจะทำให้เผลอนิ่วหน้าเล็กน้อย แต่ผมก็รับชามโจ๊กมาถือก่อนตักกินเงียบๆ พยายามไม่แสดงความผิดปรกติออกไป

   ผมเผลอมองสภาพเตียงที่ยับยู่ แอบเหลือบไปเห็นคราบ...เป็นรอยด่างดวงหลายจุด จึงได้แต่หลุบตาลงพลางคิดในใจ คงต้องถอดผ้าปูที่นอนออกไปซักก่อนที่แม่จะกลับมา ไม่รู้ว่าใจตรงกันหรือเปล่า สักพักโซระก็เดินไปเปิดแง้มหน้าต่างเล็กน้อยทั้งๆ ที่ในห้องยังคงเปิดแอร์อยู่ เพื่อระบายความอบอ้าวและกลิ่นคาวที่ยังคงตลบอบอวล

   ขากลับร่างเล็กกลับเดินสะดุดเข้ากับอะไรบางอย่าง เป็นโน้ตบุคที่ถูกวางทิ้งไว้บนพื้น

   หน้าจอสีดำสว่างวาบขึ้นมาอีกครั้ง คงเพราะโซระเหยียบไปโดนปุ่มอะไรเข้า ทันใดนั้นเสียงครางกระเส่าก็ดังสนั่น ผมมองเห็นไม่ชัดเพราะไม่ได้สวมแว่นตา แต่คิดว่านั่นไม่ใช่คลิปเดิมที่เคยถูกเปิดค้างไว้ โซระรีบหยิบโน้ตบุ๊คขึ้นมากดหยุด บรรยากาศเงียบสงบพลันแปรเปลี่ยนเป็นความขัดเขิน

   ผมแสร้งกินโจ๊กต่อไปอย่างไม่รู้ไม่ชี้ แต่แทนที่โซระจะปิดหน้าจอลง กลับหยิบโน้ตบุ๊คขึ้นมาวางบนเตียง ในนั้นเต็มไปด้วยไฟล์มากมาย ระหว่างกินโจ๊กไปดวงตากลมโตก็กวาดมองอย่างสนใจ

   "เอิร์ธ เราขอไรท์ไปได้ไหม" อยู่ดีๆ คนน่ารักก็เงยหน้าขึ้นมามองผมด้วยดวงตาเป็นประกาย ถึงแม้จะอึ้งไปครู่ใหญ่แต่ผมจะทำอะไรได้นอกจากพยักหน้า

   นาทีถัดมาผมก็ชักไม่แน่ใจว่าตัวเองคิดถูกหรือคิดผิด เมื่อหวนนึกถึงความมุ่งมั่นพยายามประหลาดๆ ที่ผ่านมาของโซระ อย่างเช่น การไปนั่งกินกาแฟร้านเดิมติดต่อหลายสัปดาห์เพียงแค่ขอให้ได้เห็นหน้าคนที่ชอบ การขุนตัวเองอย่างหนักจนกระทั่งอาหารเป็นพิษ การขยันออกกำลังกายทุกวันเพราะอยากตัวสูงใหญ่ขึ้นกว่าเดิม หรือแม้แต่การไปนั่งดูหนังโป๊กับพวกทีมบาสด้วยความอยากรู้อยากเห็น

   ถ้าผมเป็นพวกที่ชอบศึกษาทฤษฏี โซระก็คงเป็นพวกที่ชอบลงมือปฏิบัติ

   ยิ่งคิดผมก็ยิ่งรู้สึกหวั่นๆ

   ไม่รู้ว่าล่วงรู้ถึงความคิดของผมหรือเปล่า แต่เมื่อบังเอิญสบตากันเข้าอีกครั้ง คนน่ารักก็ส่งยิ้มกว้างมาให้

   ดวงตากลมโตหรี่ลงเป็นเส้นโค้งแพรวพราวระยิบระยับ อวดรอยบุ๋มข้างแก้มที่กดลึกราวกับหลุมพรางกับดัก ทำให้คนที่เผลอร่วงตกลงไปไม่มีทางปีนกลับขึ้นมาได้

   
-------------------


   หึหึหึ 5555555 :laugh: เชื่อว่าต้องมีคนเดาผิดข้างแน่ๆ  :laugh: :laugh: :laugh:
   เด็กน้อยน่ารักน่ารังแกมาก น่ารังแกทั้งคู่เลย~~
   ขอบคุณทุกท่านที่ติดตามอ่านจนจบ ^^
   ขอบคุณทุกสำหรับคอมเม้นด้วย เห็นคอมเม้นทีไรก็ยังทำให้ยิ้มได้ทุกที ฟีดแบ็คจากผู้อ่านคือกำลังใจของผู้แต่งจริงๆ นะ
   :กอด1:

   ท่านใดสนใจอุดหนุนแจ็คยังสามารถแวะไปสอยได้ที่งานสัปดาห์หนังสือนะคะ 29มีนา-8เมษา2561 ณ ศูนย์สิริกิติ์ ฝากวางขาย3บูธคือ B2S/Sense/ธารอักษร(นานานาริส)

   สำหรับตอนพิเศษในเล่มก็จะมีทั้งหมด5ตอน(60กว่าหน้า)
   1) ตอนพูดจริงทำจริง (ต้นxแจ็ค NC)
   2) ตอนความรักกับอัญมณี (เอิร์ธ+โซระ หวานละมุนสไตล์เด็กน้อย)
   3) ตอนคำสาปแช่งของพี่มินนี่ คำอวยพรของแจ็ค (เจ๊มินนี่มีเมีย)
   4) ตอนแจ็คเป็นของยักษ์ (เล่าด้วยมุมมองของแจ็ค)
   5) ภาคพิสดาร นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าทิ้งถั่วไม่เป็นที่เป็นทาง
   
   ส่วนเล่มเล็กจะเป็นตอนพิเศษทั้งหมด 44 หน้า แบ่งเป็นมุมมองของต้นกับมุมมองของแจ็ค
   พาลูกสะใภ้ไปแนะนำตัว~~5555 มีncกล้อมแกล้มประปราย มีโอกาสต้องจับมันกดทิ้งท้าย!!!

   เดี๋ยวพรุ่งนี้จะเอาตัวอย่างตอนพิเศษมาลงนะคะ ^^
   ขอบคุณค่า :pig4:

หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁[สนพ.ฟาไฉ]27ตอนจบ+คู่เด็กน้อย5ตอนจบ 2/4/61
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 03-04-2018 09:01:14
มาต่อตอนสุดท้ายของคู่เด็กแล้ว
แปะไว้ก่อน เดี๋ยวมาอ่านอีกที
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁[สนพ.ฟาไฉ]27ตอนจบ+คู่เด็กน้อย5ตอนจบ 2/4/61
เริ่มหัวข้อโดย: Bb nale ที่ 03-04-2018 10:16:20
โธ่ เอิร์ธ เสร็จโซระซะได้55 จะได้รุกบ้างไหมใจอ่อนขนาดนี้แค่ยิ้มก็ยอมแล้ว55
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁[สนพ.ฟาไฉ]27ตอนจบ+คู่เด็กน้อย5ตอนจบ 2/4/61
เริ่มหัวข้อโดย: mint_852 ที่ 03-04-2018 11:03:12
อ่านจบแล้ว ช็อคเลย
นี่ถ้าแจ็ครู้ว่าโซระรุกคงช็อค
ได้ปิดฟาร์มหมาชั่วคราวแน่นอน
อนาคตโซระคงเหมือนต้น
ขอบคุณที่เอามาลงให้อ่านนะคะ
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁[สนพ.ฟาไฉ]27ตอนจบ+คู่เด็กน้อย5ตอนจบ 3/4/61
เริ่มหัวข้อโดย: @moment ที่ 03-04-2018 22:14:12
   

   ตัวอย่างตอนพิเศษในเล่ม
   ทั้งหมดมี 5 ตอน รวมประมาณ60+หน้า


   ตัวอย่าง (1/5)
   ตอนพูดจริงทำจริง


   "เด็กสมัยนี้มั่วเป็นบ้า เจอกันหนเดียวก็เสียบ หาเด็กน่ารักใสๆ ยากยิ่งกว่างมเข็มในมหาสมุทร" ปากมันยังพล่ามไปเรื่อย ในขณะที่ผมฟังแล้วสะดุดกึก ปรายตามองคนพูด นึกถึงเด็กน้อยน่ารักอย่างโซระที่มันเคยเพียรพยายามจีบ

   "แต่พวกใจง่ายก็ดีอยู่อย่าง ลีลาดี อ่ะ มีคลิปด้วย หูย เด็ดใช่ย่อย" มันไม่ได้เปิดเสียง ผมเองก็มองไม่เห็นหน้าจอเลยไม่รู้ว่าเป็นคลิปจริงหรือเป็นแค่คนสวมรอยเรียกไลค์ ผมเคยชินกับความปากหมา ไม่ได้คาดหวังให้สำนึกบกพร่องของมันคิดได้ว่า ลบคลิปเถอะ สงสารน้องเขา หรืออะไรทำนองนั้น และสิ่งที่ทำให้ผมสะดุดกึกเป็นรอบที่สองก็ไม่ใช่เรื่องนั้น

   "มึงเคยเหรอ" ถึงมันจะชอบเด็กเรียบร้อยน่ารักแต่ก็ใช่จะไม่เคยแวะกินรายทาง ผมรู้ว่ามันเคยทำตัวเหลวไหลมาก่อน แต่พอนึกถึงก็ยังอดหงุดหงิดไม่ได้

   "หา?" แจ็คเงยหน้าขึ้นมาอย่างงงๆ เหมือนตามไม่ทันว่าผมถามถึงอะไร

   "นัดเด็กมาเสียบในห้องน้ำ" ผมถามเรียบๆ ปรายตามองโทรศัพท์ในมือมันแวบหนึ่ง ก่อนเงยขึ้นมองหน้ามัน

   แจ็คอ้าปากค้าง สักพักจึงหุบปาก ราวกับเพิ่งสำนึกได้ว่าปากตัวเองกำลังหาเรื่องใส่ตัวอีกครั้ง

   "กู... ไปอาบน้ำก่อนนะ" พูดจบมันก็กระเด้งลงจากเตียง กระโดดเผ่นแน่บเข้าห้องน้ำไป

   นั่นแหละคือการหาเรื่องใส่ตัวอย่างแท้จริง

   เพราะประโยคนั้นต่างอะไรจากการชวนผมเข้าห้องน้ำ?


   - ☁ - ☁ - ☁ - ☁ - ☁ -


   ตัวอย่าง (2/5)
   ตอนความรักกับอัญมณี


   [โซระ]

   ความจริงแล้วผมก็ไม่ได้อยากไปเที่ยวที่ไหนเป็นพิเศษ ก็แค่... อยากจะชวนเดต

   "นี่ก็ใกล้จะสอบแล้ว เอาไว้พวกเราค่อยไปกันหลังสอบเสร็จดีไหม" เอิร์ธตอบกลับมาอย่างมีเหตุผล ทำให้ผมได้แต่อ้ำอึ้ง ถึงอยากจะค้านก็ค้านไม่ออก

   เพราะผมรู้ดีว่าเอิร์ธพูดถูกต้องทุกอย่าง ตอนนี้พวกเราต้องเตรียมตัวอย่างหนักเพื่อการสอบที่ใกล้เข้ามาถึง ยิ่งคณะที่เอิร์ธต้องการสอบเข้ามีอัตราการแข่งขันสูงมาก ถ้าผมยังอยากจะเรียนต่อที่เดียวกันกับเอิร์ธ ผมก็ยิ่งต้องพยายามมากกว่าเดิมไม่รู้อีกกี่เท่า เพราะผลการเรียนของผมอยู่แค่ในระดับปานกลาง ทำให้เอิร์ธนอกจากจะต้องอ่านหนังสือของตัวเองแล้วยังต้องมาคอยติวให้ผมอีก

   แต่วันอาทิตย์หน้า... เอิร์ธจำได้หรือเปล่าว่าเป็นวันอะไร...

   ผมพยายามปลอบใจตัวเองว่าถึงยังไงพวกเราก็ได้อยู่ด้วยกันตลอด ทั้งที่โรงเรียน ทั้งตอนเรียนพิเศษ หรือหลังเลิกเรียนก็มักจะไปติวหนังสือที่บ้านของฝ่ายใดฝ่ายหนึ่ง

   ผมจึงเปลี่ยนความคิดใหม่ ปรับเปลี่ยนแผนในใจ อาทิตย์หน้าถ้าผมชวนเอิร์ธมาติวหนังสือที่บ้าน อย่างน้อยพวกเราก็จะได้ใช้เวลาอยู่ด้วยกัน

   ถึงแม้ว่าเอิร์ธอาจจะลืมวันเกิดของตัวเอง ซึ่งบังเอิญตรงกับวันที่พวกเราคบกันได้สามเดือนพอดี


   - ☁ - ☁ - ☁ - ☁ - ☁ -


   ตัวอย่าง (3/5)
   ตอนคำสาปแช่งของพี่มินนี่ คำอวยพรของแจ็ค


   "โฮ ผู้ชายแม่งไม่มีดีสักคน!" ผมยาวยุ่งเหยิงสยายลงบนโต๊ะกว้าง ท่ามกลางกองทิชชูก้อนกลมกลาดเกลื่อน ร้องไห้สะอึกสะอื้นอย่างไม่แคร์สายตาใคร ผู้ชายสองคนที่กำลังนั่งปลอบอยู่จึงได้แต่เหลือบมองหน้ากัน

   เพราะกูก็ผู้ชาย มึงก็ผู้ชาย คนที่ร้องไห้อยู่...ก็ 'ผู้ชาย'

   "จริงของเจ๊! ผัวเจ๊แต่ละคนแม่งไม่มีดีเลยสักคน" แจ็ครีบร้องรับเป็นลูกคู่ ช่วยด่าสาดเสียเทเสีย แต่ประโยคถัดมากลับชักใบให้เรือเสีย

   "เชื่อผมสิเจ๊ เลิกหาผัวเถอะ หาเมียดีกว่า!"

   ไอ้นี่วอนหาตีน! ถึกหรือต้นที่นั่งอยู่ด้านข้างได้แต่ปรายตามองคนพูดพลางส่ายหน้าเอือมระอา

   มันรู้ทั้งรู้ว่าพี่เขามีปมก็ยังชอบล้อ เพราะพี่มินนี่มีชื่อจริงว่า 'แมน' ต่อให้สวยมากแค่ไหนก็ยังไม่เคยผ่าและไม่เคยเฉาะ เพราะกลัวป๊าจะหัวใจวายตาย เวลากลับบ้านต่างจังหวัดยังต้องแปลงร่างกลับไปเป็นลูกชายให้ป๊าสบายใจ แถมม้าก็ยังคอยพร่ำถามว่าเมื่อไหร่จะมีแฟน พยายามจับลูกชายคลุมถุงชนหลายต่อหลายครั้ง

   พี่มินนี่ยังคงร้องห่มร้องไห้จนหมดทิชชูไปเป็นกล่องที่สาม แต่ครั้งนี้เป็นครั้งที่เท่าไหร่แล้วก็เหนื่อยจะนับ เพราะสถิติความอาภัพรักของสองพี่น้องรหัสคู่นี้แทบไม่แตกต่างกัน ถ้าแจ็คเป็นพ่อพวงมาลัยลอยชายที่โดนเขี่ยทิ้งลงถังขยะ พี่มินนี่ก็คงเป็นดอกไม้ใส่พานที่ถวายใครก็โดนเทกระจาดกลับมา

   พูดไปแล้วก็เหลือเชื่อ ใครจะรู้ว่าสุดท้ายความรักของแจ็คจะสมหวังตามคำสาปแช่งของพี่มินนี่ และความรักของพี่มินนี่จะสัมฤทธิผลตามคำอวยพรของแจ็ค

   'สาธุ! ฉันขอสาปแช่งให้แกมีผัวเป็นตัวเป็นตน!'

   'ส้าธุ! ผมก็ขออวยพรให้เจ๊มีเมียเป็นตัวเป็นตน!'


   - ☁ - ☁ - ☁ - ☁ - ☁ -


   ตัวอย่าง (4/5)
   ตอนแจ็คเป็นของยักษ์


   [แจ็ค]

   ไอ้เหี้ย! มันได้ฟังที่ผมเพิ่งพูดไปหรือเปล่าว่ารุ่นนี้หาซื้อไม่ได้แล้ว!? ด่าไปไมเกรนก็ขึ้นกบาล ผมจึงสูดลมหายใจเข้าลึกๆ ก่อนจะผ่อนออกพร้อมกับความปลงเฮือกใหญ่ พลางเดินโขยกเขยกไปทางห้องน้ำ

   ทำไมผมถึงต้องเดินขาถ่างเป็นไก่ย่างโดนเสียบอย่างนี้นะเหรอ? คุณลองหันกลับไปดูไอ้ตัวการ ตอนตั้งท้องแม่มันกินอิฐกินปูนเป็นอาหารว่างหรือยังไง ถึงได้คลอดออกมาตัวใหญ่ยักษ์เป็นตึก แถมยังถึกไม่บันยะบันยัง มันเคยสงสารก้นน้อยๆ ของผมบ้างไหม? แค่ไม่ได้เอากันสามอาทิตย์ มันเล่นจัดหนักจัดเต็ม ถอนทุนแถมคิดดอกเบี้ยทบต้นทบดอก ถึงขั้นผมแทบคลานลงจากเตียงก็ยังโดนดึงกลับขึ้นไป นี่ถ้าวันไหนผมตายคาเตียง บอกได้เลยว่ามันคือฆาตกร!

   ผมปล่อยให้สายน้ำจากฝักบัวกลบเสียงก่นด่า เสียงซี้ดรอดผ่านไรฟัน ล้างก้นไปก็ยังแสบไม่หาย ได้แต่ด่าไปอาบน้ำไป แต่พอได้ล้างคราบเหงื่อรวมถึงคราบอะไรต่อมิอะไรก็ค่อยรู้สึกสบายตัวขึ้นหน่อย

   ช่วงนี้พวกเราแทบจะไม่ได้เจอหน้ากันเพราะต่างคนต่างก็ยุ่งอยู่กับการฝึกงาน บริษัทที่ผมทำอยู่ไม่ไกลจากบ้านมากนักจึงไม่ค่อยมีปัญหา แต่บริษัทที่ถึกทำอยู่ไกลถึงชานเมือง บวกเวลารถติดเข้าไปอีก ทุกวันจึงต้องตื่นตั้งแต่ตีห้ากว่าจะกลับถึงหอก็เกือบห้าทุ่มกว่า เรียกได้ว่าแค่เวลานอนยังมีไม่พอ

   พวกเราจึงเหลือเวลาเจอหน้ากันแค่เสาร์อาทิตย์ แต่อาทิตย์ก่อนโน้นผมยุ่งอยู่กับการปั่นรายงานส่งอาจารย์ ส่วนอาทิตย์ถัดมามันก็เป็นฝ่ายติดธุระ ไปๆ มาๆ เมื่อคืนวันศุกร์หลังเลิกงานผมเลยแวะเข้ามาที่หอ เช่าการ์ตูนมาอ่าน นั่งๆ นอนๆ รอมันกลับจากบริษัท

   

   

   - ☁ - ☁ - ☁ - ☁ - ☁ -


   ตัวอย่าง (5/5)
   นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า อย่าทิ้งถั่วไม่เป็นที่เป็นทาง


   แจ็ค เป็นเด็กหนุ่มชาวบ้านที่แสนจะธรรมดา ฐานะปานกลาง ค่อนข้างยากจนเป็นบางครั้ง ยังดีหน่อยก็ตรงที่รูปร่างหน้าตาหล่อเหลา มีอาชีพหลักคือทำฟาร์มสุนัข ความจริงเมื่อก่อนครอบครัวเคยทำฟาร์มเลี้ยงแกะ แต่สุนัขที่เลี้ยงไว้ดันเลี้ยงไม่เชื่อง เห่าซี้ซั้วจนแกะเตลิดหนีไปหมด สุดท้ายเลยต้องเปลี่ยนอาชีพมาทำฟาร์มสุนัขแทน

   คนในหมู่บ้านต่างก็ไม่ชอบเดินผ่านหน้าบ้านของแจ็ค เพราะผ่านทีไรเป็นต้องโดนหมาเห่าไล่ตลอด เมื่อไม่ค่อยมีลูกค้า กิจการของแจ็คจึงค่อนข้างเงียบเหงา เคยพยายามย้อมหมาขายอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่ประสบความสำเร็จ ตอนที่เป็นลูกหมาตาดำๆ ตัวเล็กๆ ก็น่ารักน่าเอ็นดูดีอยู่หรอก แต่พอหางโผล่เมื่อไหร่เป็นต้องออกฤทธิ์ ทั้งเห่าทั้งกัดจนเจ้าของจับตัดหางปล่อยวัดอยู่เป็นประจำ

   ด้วยความชอกช้ำในโชคชะตา วันหนึ่งแจ็คจึงมาตั้งโต๊ะกินเหล้าอยู่หน้าบ้าน ตอนนั้นเป็นเวลาหัวค่ำ ซึ่งปกติก็แทบไม่มีใครเดินผ่านไปมาอยู่แล้ว

   ทว่าท่ามกลางความมืดสลัว กลับมีชายแปลกหน้าใต้เสื้อคลุมมิดชิดปิดถึงศีรษะคนหนึ่งเดินเข้ามา

   "พ่อหนุ่ม สนใจซื้อถั่วเป็นกับแกล้มหน่อยไหม" เสียงแหบแห้งที่ฟังแล้วเดาอายุไม่ออกเอ่ยขึ้น


   - ☁ - ☁ - ☁ - ☁ - ☁ -


   ทั้งหมด 5 ตอนนี้เป็นตอนพิเศษในเล่มหลักนะคะ


>> Bb nale : โธ่ เอิร์ธ เสร็จโซระซะได้55 จะได้รุกบ้างไหมใจอ่อนขนาดนี้แค่ยิ้มก็ยอมแล้ว55

ใดๆ ในโลกล้วนไม่แน่นอน หุหุ หึหึ

>> mint_852 : อ่านจบแล้ว ช็อคเลย นี่ถ้าแจ็ครู้ว่าโซระรุกคงช็อค ได้ปิดฟาร์มหมาชั่วคราวแน่นอน

โบราณว่ารู้หน้าไม่รู้ใจ อย่าตัดสินใครจากเพียงภายนอก หน้าใสใจเสือเชื่อไม่ได้  :laugh: :laugh: :laugh:


คันปากอยากสปอย ในเล่มยังมีเรื่องให้ช็อคอีกนะคะ ว่าแล้วก็เผ่นนนนน :katai5:


หัวข้อ: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁[สนพ.ฟาไฉ] แจกนิยาย2รางวัล ถึง29/4/61
เริ่มหัวข้อโดย: @moment ที่ 11-04-2018 21:25:01
แจกนิยาย แจ็คเป็นของยักษ์ 2 รางวัล
รางวัลพิเศษสำหรับท่านที่ซื้อนิยายแล้ว 1 รางวัล

ระยะเวลาร่วมสนุกถึง 29 เมษา 2561

อ่านรายละเอียดและร่วมสนุกได้ทางเพจและทวิตนะคะ
https://www.facebook.com/at.moment.writer/posts/1674542289302231 (https://www.facebook.com/at.moment.writer/posts/1674542289302231)
https://twitter.com/atmoment_writer/status/983713349253742593 (https://twitter.com/atmoment_writer/status/983713349253742593)

ขอบคุณค่า

หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ [สนพ.ฟาไฉ] แจ้งข่าวรอบสต๊อก P.3
เริ่มหัวข้อโดย: @moment ที่ 30-04-2018 20:52:49
[แจ้งข่าว]

แจ็ครอบสต๊อกสามารถสั่งซื้อได้แล้วผ่านทางเว็บของสนพ.ฟาไฉ
http://www.facainovels.com/

ส่วนอีบุ๊ค คาดว่าอีกสักพักน่าจะมีข่าวดีนะคะ

ขอบคุณค่า :pig4:
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ [สนพ.ฟาไฉ] แจ้งข่าวอีบุ๊คออกแล้วนะคะ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: @moment ที่ 13-05-2018 12:40:38
[แจ้งข่าว] แจ็คออกอีบุ๊คแล้วนะคะ
สามารถซื้อผ่านทาง meb ได้เลย

https://www.mebmarket.com/ebook-74447- (https://www.mebmarket.com/ebook-74447-)

ขอบคุณค่า  :pig4:

(http://i39.photobucket.com/albums/e177/at_moment/jackmeb.jpg)
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ [สนพ.ฟาไฉ] แจ้งข่าวอีบุ๊คออกแล้วนะคะ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: MyLavenderLand ที่ 30-08-2018 22:57:31
เราเพิ่งได้อ่านเรื่องนี้ ชอบนะคะ ดีเลย คือมันสนุกบทจะหน่วงก็บีบหัวใจเบาๆได้เหมือนกัน กล้ามชนกล้าม เพื่อนรักเพื่อน ของแท้เลยเรื่องนี้ คนเขียนเขียนดีค่ะ ลื่นไหล สนุก ขอบคุณนะคะ เสียดายไม่ติดตามตั้งแต่ไลฟ์ออนแอร์ สนุกมากค่าาา ขอบคุณค่าาา  o13 :mew1:
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ [สนพ.ฟาไฉ] แจ้งข่าวอีบุ๊คออกแล้วนะคะ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: FeRnChOi ที่ 31-08-2018 18:48:30
พึ่งได้อ่านตอนที่เรื่องจบแล้ว เลยขอเม้นท์ทีเดียวเลย
เราชอบต้นนะ นับถือในความใจเย็น
คือโดนแต่ละอย่างก็ยังสู้ นับถือใจ
ขอบคุณนะคะที่แต่งเรื่องดีๆแบบนี้มาให้อ่าน

❤️❤️❤️❤️❤️❤️❤️
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ [สนพ.ฟาไฉ] แจ้งข่าวอีบุ๊คออกแล้วนะคะ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: zaturday ที่ 14-11-2018 20:26:47
ชอบมากกก สนุกมากค่ะ อ่านรวดเดียวเลย ขอบคุณสำหรับนิยายดีๆนะคะ
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ [สนพ.ฟาไฉ] แจ้งข่าวอีบุ๊คออกแล้วนะคะ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 14-11-2018 22:42:11
เหมือนแจ็คจะโดนยักษ์กินมากกว่านะหลังๆนี้ 55555
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ [สนพ.ฟาไฉ] แจ้งข่าวอีบุ๊คออกแล้วนะคะ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: abc_b ที่ 15-11-2018 00:54:21
โธ่เอิร์ทททท อุส่าห์มองว่าเป็นรุกอยู่ตั้งนาน
หัวข้อ: Re: ☁ Jack! The Giant's แจ็คเป็นของยักษ์ ☁ [สนพ.ฟาไฉ] แจ้งข่าวอีบุ๊คออกแล้วนะคะ P.3
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 14:29:04
 :pig4: