**{31.8.61-ตอนพิเศษนอกเล่ม๒ คู่รอง} Cinderella man and the beast
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: **{31.8.61-ตอนพิเศษนอกเล่ม๒ คู่รอง} Cinderella man and the beast  (อ่าน 37526 ครั้ง)

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
โดนดูดแล้วมันหายเจ็บนี่ จริงปะ อยากรู้ ๆ  :m17:

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa


ตอนที่ ๑๓

เสียงรถยนต์คันคุ้นชินแล่นเข้ามาจอดอยู่หน้าบ้าน ทำให้แม่ต้อยได้ทราบว่าเจ้านายที่หายออกไปได้พักหนึ่งกลับมาแล้ว จากที่คิดไว้ คงออกไปส่งวิริยะกลับห้องพักกระมัง พักนี้เห็นทั้งสองพูดจาและเข้าขากันดีราวรู้จักมักจี่กันมานาน ทั้งที่ก็เพิ่งได้เจอกันเมื่อไม่นานมานี้เอง

สิ้นเสียงรถยนต์คันใหญ่ ไม่นานก็ปรากฏร่างของเชษฐ์ไชยภายในบ้าน ร่างสูงเดินมาทรุดนั่งบนโต๊ะอาหารที่กำลังจัดเตรียมรออย่างรู้เวลา แต่ที่แปลกไปคือสีหน้าเจ้านายของนางนั้นกลับกำลังเคร่งเครียด ทั้งที่เมื่อครู่เจอเรื่องใหญ่มา ยังไม่มีท่าทีเช่นนี้เลย

แม่ต้อยหยิบโถข้าวที่แบ่งไว้ ยกไปตักใส่จานของเจ้านายจำนวนพอเหมาะ ทั้งที่มีข้าวปลาอาหารครบถ้วนล่อตาล่อใจ ไหนจะกลิ่นหอมหวน หากทว่าเชษฐ์ไชยกลับทำหน้าเคร่ง ใจลอยครุ่นคิดอะไรไปเรื่อยโดยไม่สนใจสิ่งของตรงหน้าแม้แต่นิด เห็นเช่นนั้นแล้วถึงรู้ว่ามีบางอย่างผิดไป แม่ต้อยคิดพลางยื่นของในมือให้เด็กเอาไปเก็บ โน้มลงสอบถามเชษฐ์ไชยอย่างตรงไปตรงมา

“นายเชษฐ์ มีอะไรไม่สบายใจรึเปล่าคะ”

คนฟังชะงัก ผละไปสบตานาง เงียบไปพักหนึ่งแล้วจึงค่อยตอบ “เปล่า ไม่มีอะไรหรอก”

“ไม่มีอะไร แล้วทำไมทำหน้าเครียดอย่างนั้นล่ะคะ บอกต้อยได้นะคะ” นางทำเสียงอ่อน

“ไม่มีอะไร ฉันก็แค่คิดอะไรไปเรื่อย”

ต้อยถอนใจ มองคนตัวใหญ่ขยับตัวหยิบช้อนขึ้นถือทำท่าจะตักอาหารทาน แล้วก็ใจลอยขึ้นมาเสียดื้อ ๆ ถือมันไว้อย่างนั้นไม่ทานอะไรสักที ทุกอย่างสวนทางกับคำพูดอย่างนี้นางจะเชื่อคำเจ้านายได้อย่างไรกัน

แต่ดูเหมือนเชษฐ์ไชยจะรู้ตัวว่าแม่ต้อยกำลังกังวลใจ เจ้านายหยิบตักอาหารทานเมื่อปัดความคิดในสมองออกไปได้ ซึ่งนั่นแหละ เมื่อได้เห็นว่าชายหนุ่มดีขึ้นแล้วนางจึงเดินละไปทำงานอื่นต่อ ทั้งที่ท่าทีหนักอกหนักใจชองเชษฐ์ไชยยังไม่หายไปอย่างสนิทเท่าไรนัก แต่ก็ดีกว่าเมื่อครู่อยู่

แม่ต้อยไม่ค่อยเห็นเชษฐ์ไชยมีอาการนี้เท่าใดนัก ส่วนใหญ่เมื่อไม่พอใจอะไรจะเหวี่ยง โผงผาง เสียงดัง และพูดในสิ่งที่ต้องการอย่างตรงไปตรงมา ผิดวิสัยคนขี้โมโหไปเช่นนี้ คงมีเรื่องทำให้ไม่สบายใจ หรือกำลังคิดมากจนทำให้ไม่เป็นตัวของตัวเอง ซึ่งมันมีปัจจัยน้อยมากเหลือเกินที่จะทำให้เชษฐ์ไชยเป็นเช่นนั้นได้

เมื่อไม่รู้ต้นสายปลายเหตุอาการเซื่องซึมของเจ้านาย ต้อยก็ไม่รู้ว่าจะช่วยอย่างไรดี

นางเหลือบมองทีท่านั้นแล้วได้แต่ทอดถอนใจ หากรู้และสามารถช่วยได้ นางก็ยินดี

 

วิริยะรู้สึกตัวตื่นตามเวลาของทุกวัน บวกกับรู้สึกระบมบาดแผลตามลำตัวด้วย เด็กหนุ่มนอนเล่นกับพี่เสืออยู่พักหนึ่งก็ลุกขึ้นจัดแจง เตรียมตัวไปทำงานอย่างเช่นทุกวัน ถึงจะโดนกระทืบมาจนปวดเจ็บตามเนื้อตัว สภาพตอนนี้ก็ไม่ต่างจากช่วงแรก ๆ ที่เข้ามาทำงาน สักพักก็คงหาย แล้วก็กลับมาตัวเบาเหมือนเดิมได้

“ไปหาเจ้านายแกดี ๆ นะ” เด็กหนุ่มเปิดประตู พูดกับพี่เสือ มันเดินออกไปอย่างเชื่องช้าราวกับขี้เกียจ อาจเป็นเพราะความอ้วนที่สั่งสมมาตลอดก็เป็นได้ เมื่อเห็นก้นใหญ่ ๆ ส่ายดุ๊กดิ๊กเดินไปจนลับส่ายตา วิริยะก็ออกไปอาบน้ำ แล้วเดินไปช่วยคนงานคนอื่นเก็บผัก

ช่วงหนึ่งเด็กหนุ่มเหลือบไปเห็นใครยืนกอดอกอยู่โรงครัว ซึ่งเมื่ออีกฝ่ายเห็นเขาก็มองเขม็งราวกับต้องการหาเรื่อง ไอ้ชาติที่เป็นคู่กรณีชกต่อยกับเขาเมื่อวาน วิริยะรู้ตัวดีว่าสิ่งที่เขาทำเป็นการแส่หาเรื่อง ทำให้มันรู้สึกว่าเขาเป็นศัตรู แต่จะให้ทำยังไง เขาทนเห็นเด็กผู้หญิงโดนมันลวนลามไม่ได้

จากต่างคนต่างอยู่ วิริยะกลายเป็นคู่อริของมันไปแล้ว

“วิว! มาช่วยเก็บผักเหรอ ไป...พี่ไปด้วย” เหนือวิ่งมากอดคอ สัมผัสโดนบริเวณที่เป็นแผลจนวิริยะเผลอครวญไปด้วยความเจ็บ ทำให้คนพี่ตกใจว่าเกิดอะไรขึ้น โน้มลงพินิจใบหน้าของวิริยะแล้วเบิกตาตกใจ “เฮ้ย ไปโดนอะไรมาวะวิว เมื่อวานยังเล่นน้ำกันดี ๆ อยู่เลย”

วิริยะยกยิ้มเล็กน้อย “คือ...”

“หรือว่านี่ฝีมือนายเชษฐ์ ที่นายเชษฐ์ลากออกมาก่อนเพราะงี้เหรอ”

“บ้า!”

“ไปทำอะไรให้นายเชษฐ์โกรธขนาดนี้วะเนี่ย” เหนือเหลือกตา

“ไม่ใช่ คือ...เมื่อวานตอนเย็นมีเรื่องนิดหน่อย”

“มีเรื่อง” คนตัวสูงกว่าย้อน “มีเรื่องกับใคร ใครมันกล้าทำน้องพี่ ไอ้ระยำที่ไหน!” วิริยะไม่คิดว่าเหนือจะกล้าโหวกเหวกโวยวายขนาดนี้ได้ เด็กหนุ่มยกมือกุมหน้าตัวเองเมื่อทุกสายตาหันมาเหลือบมอง ไม่เว้นแม้กระทั่งไอ้ชาติ

“มีหยัง เกิดอีหยังขึ้น” ดำมาสมทบ

เหนือจับตัววิริยะให้หันไปหา ทำเสียงดังฟ้องดำอีกต่อหนึ่ง “มึงดู ไอ้เหี้ยที่ไหนไม่รู้มาหยามเรา มันฝากตีนไว้ที่หน้าน้อง ทำแบบนี้ต้องการประกาศศึกกับเรานี่หว่า ทำใครไม่ทำ ทำเด็กของเทพบุตร กูไม่ยอมเว้ย!”

“พี่เหนือ!” วิริยะทำเสียงกึ่งเอ็ดกึ่งรำคาญความเล่นใหญ่ของพี่ชายกล้ามโต หนำซ้ำดำก็บ้าไปกับเขาด้วย ทำหน้าราวกับถูกเผาบ้าน กัดฟันจนกรามปูดพูดว่า “รู้จักกลุ่มหมู่กูน้อยไปแล้ว บอกอ้ายมาว่ามันเป็นไผ อ้ายจะเอาตีนไปจอดบนหน้ามัน วิว” ดำหันมาถามวิริยะหน้าจริงจัง

“ไม่ต้องหรอกพี่”

“บ่ต้องได้จั่งใด๋ วิวบ่แม่นพวกหาเรื่องไผก่อน มันต้องมาหาเรื่องวิวก่อนแท้ ๆ” ดำส่ายหน้า

“เรื่องมันยาวว่ะพี่ ไป...ไปเก็บผักกัน เดี๋ยวสาย”

“ผู้ใด๋อยู่แถวนี้แล้วมุดหัวอยู่ใต้ผ้าซิ่นฟังไว้ มึงโตใด๋กล้ามายุ่งน้องกู แข่วมึงหล่นแน่!”

วิริยะถอนใจ บังคับจูงสองพี่ชายตัวใหญ่ยักษ์เดินไปยังแปลงผักอย่างรู้สึกอาย ก็ดีใจอยู่หรอกที่ทุกคนเป็นห่วงเขาขนาดนี้ แต่ยิ่งทำแบบนี้ไอ้ชาติหมามันก็ยิ่งเคืองมากขึ้นไปอีกน่ะซี ป่านนี้คงคิดว่าเขาฟ้องรุ่นพี่กลุ่มนี้เรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มคิด แล้วเหลือบไปเห็นคนที่ถูกกล่าวหาว่ามุดอยู่ใต้ผ้าถุงนั้น กำลังเลือดขึ้นหน้าอย่างสุดขีด

“บ่เห็นเป็นหยังเลย บ่ต้องย่าน บ่ต้องเกรงใจว่ามันเป็นไผ เดี๋ยวหมู่อ้ายจะซ่อยวิวเอง บอกอ้ายมาเถาะว่าบักนั่นมันเป็นไผ อ้ายจะได้คอยระวังให้นำ” วิริยะทำหน้ายู่เดินมาพร้อมพี่ชายที่พยายามหว่านล้อมถามปนบ่น เด็กหนุ่มถอนใจ หยิบตะกร้ามาตัดผักคะน้าทีละต้น พูดว่า “เดี๋ยวพวกพี่ไปหาเรื่องมัน ผมอยากให้มันจบอะ”

“หาเรื่องอีหยัง หมู่อ้ายบ่แมนนักเลง เห็นอ้ายเป็นคนแบบนั้นเบาะ”

“อือ” วิริยะยิ้ม ตอบตัดบทด้วยการกวนประสาท

“เอ๋า” ดำทำหน้ายู่ “บ่บอกก็บ่ต้องบอก ถ้ามันมาหาเรื่องอีกกะมาบอกอ้าย เพราะตอนนั้นก็หมายควมว่ามันบ่อยากให้จบดี ๆ แล้ว เข้าใจบ่ บ่ต้องย่านว่าหมู่อ้ายสิลำบาก เพราะกลุ่มอ้ายมีหลายคน มีหลายส้นตีน”

“คร้าบ จะรีบวิ่งแจ้นไปบอกเลย”

“ฉันถามว่าฝีมือใคร!”

วิริยะละรอยยิ้ม มองไปยังบ้านไม้หลังใหญ่ตรงกันข้ามอย่างแปลกใจที่เห็นนายใหญ่หงุดหงิดตั้งแต่เช้า ร่างสูงใหญ่ยืนเท้าสะเอวมองเด็กสาวแม่บ้านคนหนึ่ง อาการของเธอดูตื่นกลัวเอาเสียมาก ก้มหน้าก้มตามองพื้นให้เชษฐ์ไชยตวาด

“หนูไม่รู้ค่ะนายเชษฐ์ เห็นมันเป็นแบบนี้ตั้งแต่เลิกเรียนกลับมาแล้ว” หล่อนตอบ

เชษฐ์ไชยกำหมัด “จะไม่รู้ได้ยังไง ก็เฝ้าบ้านกันอยู่แท้ ๆ ไปตามทุกคนมาให้ครบ ฉันจะเอาเรื่องมันให้ถึงที่สุด!”

“ค่ะ” แล้วเด็กสาวคนนั้นก็เดินเช็ดน้ำตา ตัวสั่นงกเข้าไปในบ้าน

“นายเซษฐ์โหดอีกแล้ว เด็กน้อยเฮ็ดหยังบ่ถืกใจอีกน้อ” ดำบ่นปนยิ้ม แล้วแยกออกไปเก็บผักชนิดอื่นกับเหนือ ในขณะที่วิริยะย่นหน้า นึกได้ว่าช่วงแรก ๆ เชษฐ์ไชยก็ชอบหาเรื่องต่อว่าเขาแบบนี้เหมือนกัน รู้สึกสงสารเด็กผู้หญิงคนนั้นขึ้นมาเลย

ไม่นาน แม่บ้านทุกคนไม่เว้นแม้ระทั่งแม่ต้อยก็เดินออกมายืนเรียงกันอยู่หน้าบ้าน ดูเหมือนเชษฐ์ไชยกำลังหัวเสียเอามาก ๆ พูดกับพวกหล่อนทั้งหลายตามอารมณ์ว่า “อยู่บ้านกันตลอด มีใครเห็นสักคนไหมว่าใครหน้าไหนมันมายุ่งกับของของฉัน ฉันบอกกี่ทีแล้วว่าห้ามใครมาแตะต้อง!”

ทุกคนเงียบกริบ ไม่มีใครพูดขึ้นมาสักเเอะราวสิ้นชีวิตไปหมดแล้ว จนเชษฐ์ไชยหยิบแก้วกาแฟเหวี่ยงลงพื้นถึงได้พากันสะดุ้ง ตอบชายหนุ่มได้ “ไม่ทราบค่ะนายเชษฐ์ พวกเราก็มัวแต่ทำงานอยู่ในบ้าน”

“จะไม่รู้ได้ยังไง มันมาเหยียบถึงหน้าบ้านเลยนะ อีกหน่อยโจรบุกมาพวกเธอคงนอนรอความตายในนั้นนั่นแหละ!”

พวกหล่อนทั้งหลายก้มหน้าเงียบ

“นายเชษฐ์คะ...”

“แม่ต้อยก็ด้วย เป็นแม่บ้านใหญ่แท้ ๆ แต่กลับรักษาของในบ้านไม่ได้ แย่!” เจ้าของเสียงทุ้มตวาดดังขึ้นมากกว่าเดิมอีก เมื่อเห็นเป็นแม่ต้อยที่ควรมีความรับผิดชอบกว่าคนอื่นเอ่ยจะออกความเห็น

วิริยะชะโงกคอมองไปยังฝั่งตรงกันข้าม ทรัพย์สินอะไรเสียหาย แพงขนาดไหนคนหน้าดุถึงได้โกรธเป็นฟืนเป็นไฟขนาดนั้น กระทั่งเห็นสองแม่ลูกปั่นจักรยานซ้อนท้ายกันผ่านมา ดูเหมือนจะตระเตรียมข้าวของไปบิณฑบาตที่ถนนลาดยางอีกหนึ่งกิโลเมตรข้างนอก แม่บ้านทั้งหลายมองตามทั้งสองราวกับเจอผี เรียกให้นัยน์ตาคมดุหันมาทางนี้ด้วย

ครั้นเห็นแม่ลูกทั้งสองแล้ว เชษฐ์ไชยโกรธยิ่งกว่าเก่า “หยุด หยุดเดี๋ยวนี้!” พูดพลางเดินไปดักหน้าจักรยานคันเก่าของทั้งสอง วิริยะลุกขึ้นยืนตกใจ ซึ่งไม่ต่างจากคนถูกกระทำเท่าใดนัก เกือบจะล้มกันไปแล้ว

“นะ นายเชษฐ์มีอะไรกับดิฉันเหรอคะ” นางก้มหน้าก้มตาถาม

ร่างสูงเดินไปค้นหยิบของในถุงพลาสติกใส ซึ่งบรรจุด้วยข้าวสุก กับข้าวแบบถุง และดอกกุหลาบสีขาวสะพรั่งหลายดอก ถูกมัดแบ่งไว้สองสามกำ มือหนาหยิบของที่ตามหาขึ้นมาถือ จ้องตาแม่สาวใหญ่ตรงหน้าราวกับจะกินเลือดกินเนื้อ “ใครใช้ให้เธอขโมยมันไป ของของฉัน เธอกล้าดียังไง!”

หล่อนสะดุ้งโหยง “ดอกไม้นี่เหรอคะ”

“ก็เออน่ะสิ!”

นางหน้าซีดขึ้นอีกระดับ ไม่กล้าบอกความจริงว่าเหตุใดจึงกล้าแอบมาเด็ดดอกไม้อันเป็นของรักของหวงหนึ่งเดียวของเจ้านาย หากทว่าสายตามีพิรุธ แอบเหลือบมองไปยังเด็กน้อยวัยเก้าขวบที่ยืนอยู่ข้างกัน เห็นแล้วเชษฐ์ไชยก็ถึงบางอ้อ กระตุกดึงเด็กตรงหน้าขยับเข้ามาใกล้ “ฝีมือแกเองเหรอ หา! หัดเป็นโจรตั้งแต่เด็กเลยงั้นเหรอ!”

เด็กตรงหน้าร้องไห้โฮเสียงดัง แต่ถึงอย่างนั้นเชษฐ์ไชยก็ไม่หายโกรธ กลับหงุดหงิดขึ้นกว่าเก่า

“ไปหักต้นกระถินตรงนั้นมา ไปเลือกมาว่าอยากโดนตีด้วยไม้แบบไหน!” ชายหนุ่มบอกคนร้องไห้ ซึ่งเด็กตรงหน้าก็เอาแต่แหกปากไม่ยอมตอบรับ

“นายเชษฐ์คะ ดิฉันขอโทษจริง ๆ ดิฉันไม่รู้ว่ามันจะกล้ามาขโมย...” แม่เด็กเริ่มน้ำตาไหล ตัวสั่นยกมือประนมไหว้ “วันนี้เป็นวันครบรอบวันตายของพ่อมัน นายเชษฐ์อภัยให้มันเถิดนะคะ มันแค่อยากได้ดอกไม้สวย ๆ ไปให้พ่อของมันเท่านั้นเอง เห็นแก่ความกตัญญูของมันเถิดนะคะ” คนพูดพยายามจะก้มลงกราบขอขมา หากทว่าเชษฐ์ไชยถอยกรูดหลบ

ความรู้สึกหนึ่งประดังประเดเข้ามาในหัว หวนนึกถึงลูกสาวที่จากเขาไปอย่างไม่มีวันกลับเช่นกัน

ใจร้อน ๆ ก็พลันสงบขึ้นมาเสียเฉย ๆ

อีกอย่าง นี่เขาจะมัวหวงก้างของพรรค์นี้ไปเพื่ออะไร ในเมื่อเขาไม่มีเยื่อใยให้กับมันแล้ว มันคนนั้น...คนที่ขอร้องให้เขาปลูกประดับบ้าน มีความใฝ่ฝันว่าอยากมีบ้านที่รายรอบไปด้วยดอกกุหลาบสีขาว และครอบครัวแสนสุข ชายหนุ่มถอนใจ สุดท้ายก็ถูกอดีตครอบงำอีกตามเคย

ชายหนุ่มปรับสีหน้า มองแม่สาวใหญ่ตรงหน้าออกคำสั่ง “คราวหลังอย่าปล่อยให้มันมาขโมยอีก”

“ค่ะ ขอบพระคุณมากค่ะนายเชษฐ์”

“ไปให้พ้นหน้าฉัน” ถึงจะปากร้าย แต่ชายหนุ่มสามารถสงบจิตสงบใจได้ลงแล้ว ขณะที่ปล่อยให้สองแม่ลูกได้ไปทำบุญใส่บาตรให้ทันพระตอนเช้า เชษฐ์ไชยยกมือสางผมบอกตัวเองให้หยุดเป็นหมาบ้าสักที ประจวบเหมาะกับนัยน์ตาคมเหลือบไปเห็นวิริยะที่ยืนอยู่อีกมุม อารมณ์ก็เปลี่ยนไปอย่างไม่รู้ว่าทำไม

ชายหนุ่มนิ่ง ทำใจอยู่นานว่าจะเดินไปหาอีกฝ่ายหรือไม่ เมื่อวิริยะเห็นว่าเชษฐ์ไชยเจอเขาแล้ว ก็ทรุดตัวลงนั่งตั้งใจเก็บผักต่อไป แล้วนี่อย่าบอกว่าจะไปทำงานในสภาพนี้ ทั้งที่เนื้อตัวก็บวมช้ำ ต้องระบมและปวดเมื่อยเป็นแน่ คิดได้แล้วชายหนุ่มก็ถอนใจ เดินตรงไปหาคนที่ทำเป็นง่วนอยู่กับการทำงานเบื้องหน้า

“ไม่ว่าง”

ไปถึงก็เจอคำทักทายอย่างเป็นมิตรจากวิริยะเลย

“ไม่ได้ถาม” คนตัวสูงกอดอก มองวิริยะที่เก็บได้เต็มตะกร้าแล้วก็ยกขึ้นถือ หลับตาชังใส่ราวกับเป็นผู้หญิงแล้วจะหมุนตัวเดินหนีไปที่โรงครัว หากทว่าชายหนุ่มเดินไปดักหน้า ไม่ยอมให้ไป ซึ่งนั่นก็ทำให้บรรยากาศของทั้งสองดูครุกรุ่น ต่างจากบรรยากาศเมื่อวานไปอย่างสิ้นเชิง

เอ...หรือจะถูกโกรธ

นัยน์ตาดุงุดลงไปมองคนตัวเล็กที่ทำหน้าบึ้ง แล้วบังเอิญไปเจอรอยแดงบนคอที่ตัวเองทำทิ้งไว้ก็นิ่งไป ยิ่งเช้า ทุกคนก็คงยิ่งเห็นชัดขึ้น แล้วนี่ เจ้าตัวซื่อบื้อตรงหน้าจะรู้ตัวหรือเปล่าว่าบนคอตัวเองมีอะไร ไม่ทันได้สังเกตหรือไง ชายหนุ่มคิดแล้วหน้าเริ่มร้อนขึ้นมาแปลก ๆ ทั้งที่เมื่อกี้ตอนโกรธไม่เห็นเป็น

“นายเซษฐ์ นายเซษฐ์ครับ ดำมีเรื่องจะฟ้อง” เสียงโหวกเหวกของดำตัดปัญหาของทั้งสองไป ให้สนใจคนตัวคล้ำกล้ามใหญ่ที่เดินเข้ามาทำเสียงเง้าเสียงงอด “มีผู้ใด๋บ่ฮู้มันแกล้งน้องดำ ดำบ่ยอมเด้อ นายเซษฐ์ต้องจัดการให้ดำ” ว่าพลางจับหน้าวิริยะให้หันไปหาเชษฐ์ไชยเป็นการแสดงหลักฐาน “เบิ่งเลย ส้นตีนเต็มหน้า”

“แค่มือเหอะพี่” เด็กหนุ่มมุ่นคิ้วเถียงดำ จ้องตาคนตรงหน้าอย่างเสียมิได้

“เรื่องนี้กูรู้แล้ว กูเป็นคนไปห้ามเอง วิวมีเรื่องกับไอ้ชาติเมื่อวาน”

“ฮะ อีหลีติ” ดำเบิกตา “บักซาตินี่มันหมาแท้ ๆ บักซาติหมา”

“มึงก็รู้ว่าไอ้ชาติมันหน้าตัวเมียขนาดไหน นี่ก็ยังไม่เคลียร์ดี อย่าให้มันมากวนน้องของมึงก็แล้วกัน”

“อาเชษฐ์!” ยิ่งยุแบบนี้ วิริยะล่ะกลัวใจของดำเหลือเกิน

“ได้ครับ เดี๋ยวดำสิดูแลน้องซายของดำเอง”

“ส่วนเธอ” เชษฐ์ไชยยกนิ้วชี้ชี้หน้าคนอายุน้อยที่สุด กล่าวต่ออีกว่า “วันนี้ไม่ต้องทำงาน นอนพักที่ห้องนั่นแหละ”

“เฮ้ย! ไม่เอา ไม่ทำงานก็ไม่ได้ตังค์น่ะสิ ไม่เอาหรอก ผมทำไหว” วิริยะรีบโคลงศีรษะ

“อย่ามางกจนทำอะไรเกินตัวไปหน่อยเลย ฉันสั่งก็ทำตามซะ”

“ไม่หรอก ผมอยากทำ”

“อย่ามีปัญหาให้มากนักนะวิว!” เชษฐ์ไชยกัดฟันเมื่อยังเห็นว่าเด็กตรงหน้าดื้อดึงขัดคำสั่ง นี่เป็นสิ่งเดียวที่ใคร ๆ ไม่กล้าทำ แต่อวดเก่งได้คราวเดียว เมื่อเห็นหน้าโหดของเจ้านายแล้ว วิริยะหน้าหงอเหลือสองนิ้วอย่างอัตโนมัติ ยอมพยักหน้ารับความหวังดีแต่โดยง่าย

“ก็ได้ครับ วันนี้จะพักก่อน”

เมื่อเห็นสถานการณ์ของทั้งสอง ดำก็รีบพูด “ปะ...เดี๋ยวบ่ได้กินข้าวกันพอดี ไปก่อนเด้อนายเซษฐ์” แล้วก็ยักคิ้วหลิ่วตาชวนให้เท้ากระตุกใส่เสียเหลือเกิน

คนพี่ที่มาจากอีสานกอดคอวิริยะพาหมุนตัวไป หากจะเดินไปยังโรงครัวอย่างที่หวัง หนังหัวของดำกลับถูกเจ้านายกระตุกกลับ ยังดีที่กำกลุ่มผมกลุ่มใหญ่เลยไม่รู้สึกเจ็บ เพียงแค่หงายเงิบกลับไปหาเชษฐ์ไชยก็เท่านั้นเอง

ตาคมเหลือบมองวิริยะ เมื่อเห็นว่าเด็กหนุ่มไม่รู้ตัว จึงกระซิบลูกน้องว่า

“เอามือออก...”

ดำหันกลับมายิ้มแห้ง ๆ ราวกับนึกอะไรขึ้นมาได้ แล้วพยักหน้ารับน้อย ๆ เป็นเชิงรู้กันว่าหมายความอย่างไร เมื่อเห็นเช่นนั้นแล้ว เจ้านายก็คลายสีหน้าแสดงความไม่พอใจออก ให้ดำรู้แล้วว่าที่โดนหมั่นไส้มาตลอดนั้น เพราะเรื่องนี้นี่เอง

ครั้นออกมากันได้ไกลพอควรแล้ว วิริยะก็เหลือบไปเห็นเชษฐ์ไชยเดินกลับไปยังหน้าบ้าน ก้ม ๆ เงย ๆ สำรวจความเสียหายของต้นดอกกุหลาบทั้งหลายท่าทีวิตกและดูหวงแหน เห็นแล้วเด็กหนุ่มก็รู้สึกไม่เข้าใจ ทำไมถึงได้หวงของพรรค์นั้นขนาดเกือบพลั้งมือตีเด็กได้ ต้นกุหลาบสีขาวเหล่านั้นมีความหมายสำหรับเชษฐ์ไชยอย่างไรกันหนอ

“พี่ดำ”

คนที่เดินข้างกายหันไปหา “อีหยัง”

เห็นวิริยะทำหน้ากำลังครุ่นคิดบางอย่างอยู่ แล้วพูดกับดำว่า

“ต้นกุหลาบที่อยู่หน้าบ้านนั่น สำคัญกับอาเชษฐ์ขนาดนั้นเลยเหรอ”

“อ๋อ เห็นว่าเมียเก่ามักหลาย นายเชษฐ์เลยปลูกตามใจ”

เด็กหนุ่มนิ่งไป แล้วผุดคำถามขึ้นมาใหม่ “ก็ไหนว่าเลิกกันหลายปีแล้ว”

“กะบ่เซิงว่าเลิกกันดอก นายหญิงเพิ่นหนีตามตัวผู้ไปก่อน บ่ได้บอกลานายเซษฐ์เลย อ้ายคิดว่านายเซษฐ์เพิ่นคงสิฝังใจกับเมียคนนี้แฮงอยู่คือกัน แต่ก่อนก็ฮักกะหลงจนโงหัวบ่ขึ้น สิให้ตัดใจง่ายๆ มันก็เฮ็ดยาก” ดำเล่าตามที่เห็น

“แล้วพี่คิดว่าอาเชษฐ์จะยังรักเมียคนนี้อยู่ปะ” เด็กหนุ่มถามเล่น ๆ

“อ้ายว่ายังฮัก วิวลองคิดเบิ่งว่าจะมีซักกี่คนที่เฮ็ดให้นายเซษฐ์ต้องปล่อยเนื้อปล่อยโต บ่สนใจโตเอง เฮ็ดงานงก ๆ ประซดซีวิตบ่สนใจผู้ใด๋ได้ แล้วที่ผ่านมานายเซษฐ์บ่เคยซายตาเบิ่งผู้สาวทางใด๋ นอกจากคุณรตรี”

“แล้วคุณรตรีอะไรนั่น สวยไหม”

“สวย เฉี่ยว ฉลาด แต่แรดโพด”

“พูดตรงเกินไปแล้ว” วิริยะหัวเราะคิก

“กะอ้ายเว้าความจริง บ่เซื่อลองถามบักเหนือเบิ่ง มันเคยโดนคุณรตรีอ่อยมาแล้ว”

เหนือของพี่ตาน่ะหรือ

วิริยะยิ้มไม่ออกเมื่อได้ยินเช่นนั้น รีบเปลี่ยนเรื่องพูดขึ้นมาเพราะไม่อยากให้มันยาว เขาไม่รู้ว่าหล่อนจะเลวจริงหรือไม่ รู้เพียงว่าเด็กหนุ่มคิดเช่นเดียวกับดำ ท่าทีของเชษฐ์ไชยเป็นเอามาก ดูเหมือนคนที่ไม่สามารถสะบัดเอาอดีตออกไปได้เลยแม้แต่เพียงนิด เชษฐ์ไชยยังรักเธอคนนั้น

แล้วที่ผ่านมา เขาก็แค่ถูกแกล้งไปตามระเบียบแค่นั้นกระมัง คงคิดเข้าข้างตัวเองอย่างที่เชษฐ์ไชยพูดจริง ๆ

แล้วนี่เขาเป็นอะไร ทำไมถึงได้รู้สึกโหวงอยู่ภายในใจอย่างน่าประหลาด...

เขารู้สึกสงสารเชษฐ์ไชยอยู่ หรือกำลังรู้สึกอะไรกันแน่ วิริยะไม่เข้าใจตัวเอง


--๕๐--

--------------------------------------------------------

มาอัพแล้ว และดึกมากกกกก พอดีไม่มีคนทวง ไม่มีคอมเม้นเป็นกำลังใจเลยไม่ค่อยมีแรงเขียนเท่าไหร่เลยค่ะ เศร้าาาาาาา อะล้อเล่น อิอิอิอิ ความจริงคือเมื่อวานไปดริ๊งค์มา เมาแอ๋ ไม่ได้อัพ ฮ่าๆๆๆ (เด็กๆอย่าทำเป็นเยี่ยงอย่างนะคะ)

มาเม้าความอาเชษฐ์กันเถอะ ทำไมเกิดเชื่องซึงซึมขึ้นมา เดี๋ยวอีกห้าสิบที่เหลือจะบอกค่ะว่าทำไม คือมันก็จะฟินหน่อย ๆ หน่วงนิด ๆ เพราะเริ่มมากลางเรื่องแล้ว ก็ต้องมีอะไรต่าง ๆ มาทำให้เกิดรสชาติมากขึ้นเนาะ อย่างเช่นชะนี เป็นต้น อิอิ

ทุกคนต้องเม้น ไม่เม้นคือไม่รักหนูนา งอนมาก หยอก ๆ

แต่ก็อยากอ่านฟีดแบคแต่ละตอนของทุกคนนะว่าว่าตอนไหนมันดรอป ตอนไหนมันสนุก ตอนไหนมันฟิน เพื่อการพัฒนาในช่วงรีไรต์เนาะ หากนักอ่านร่วมมือ หนูนาจะดีใจมาก ๆ เลย

ขอบคุณค่ะ เจอกันอีกห้าสิบที่เหลือเด้อออออ

ออฟไลน์ ●GreenTEA●

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 684
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ทำเอาใจวิวหวิวไปเลย คงคิดว่าตัวเองจนสู้เมียเก่าอาไม่ได้  :เฮ้อ:

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
ถ้าคุณเชษฐ์จะก้าวต่อไป คุณเชษฐ์ต้องเริ่มปรับความเคยชินเดิมๆ ได้แล้วนะ ชัดเจนด้วย ท่องไว้ๆ

ถ้าทำน้องวิวเสียใจ เราจะยึด!

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
คุ้มดีคุ้มร้ายเสียจริง

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
--ต่อ--

วันนี้วิริยะไม่ได้เข้าไร่ไปทำงานด้วย ดำรู้สึกเหงาปากหน่อย ๆ ไม่มีเพื่อนรู้ใจที่เล่นมุกด้วยกันได้ และอย่างที่คิดเลย เมื่อไม่มีวิริยะ อย่าหวังว่าจะได้เห็นเงานายเชษฐ์ไปบริเวณที่พวกเขาทำงาน คงไปหมกตัวอยู่ในโรงเพาะ หรือไม่ก็คอกม้าอีกตามเคย

ยามนี้เที่ยงแล้ว ทุกคนต้องกลับมาทานที่โรงอาหารและเริ่มทำงานช่วงบ่ายโมงครึ่ง จะได้ไม่ร้อนมาก พี่ชายที่แสนดีอย่างเขาจึงอาสาเอากับข้าวกับปลาใส่ปิ่นโตเดินมาให้ถึงห้องพัก โดยมีหมอกมาด้วย คิดว่าวิริยะอาจนอนอยู่คงไม่รู้เวลา เดี๋ยวกับข้าวจะหมดเสียก่อน

หลังตรวจตราว่าปิดเรียบร้อยแล้วสองหนุ่มเพื่อนซี้ก็ยกปิ่นโตมุ่งหน้าไปยังหอพักทันที หากทว่าไปถึง หมอกกระตุกมือเรียกให้ดำหยุดดูก่อน เมื่อเห็นมีใครสองสามคนเดินวนเวียนอยู่หน้าห้องพักของวิริยะ เคาะเรียก ยังดีที่หมอกพกโทรศัพท์มาด้วย จึงโทรไปหาเชษฐ์ไชยรายงานว่าเกิดอะไรขึ้น

ไม่นานวิริยะก็เปิดประตู เห็นเช่นนั้นแล้วคนพี่ที่ยืนมองดูลาดเลาก็ทนไม่ได้ แต่ก็ถูกหมอกดึงไว้

“อย่าเพิ่งไป ให้นายเชษฐ์มาก่อน”

ดำพยายามใจเย็น มองดูไปก่อน

กระทั่งหมดความอดทน ดำไม่สนว่าของในมือจะเป็นอย่างไร ชายหนุ่มปล่อยปิ่นโตแล้วพุ่งไปอย่างไม่คิดชีวิต เมื่อเห็นวิริยะกำลังถูกกลุ่มของไอ้ชาติที่เพิ่งถูกปล่อยพักพร้อมกันนั้น กระชากออกจากประตูห้องพักเตรียมตัวจะหมาหมู่กันเต็มที่ พวกมันมีสาม แต่ดำก็พุ่งเอาเท้าไปเหยียบหน้าไอ้หัวโจกเป็นการเปิดเกมก่อน ก่อนที่มันจะได้ต่อยวิริยะ

“บักสัตว์! มึงเฮ็ดหยังน้องกู”

“แล้วมึงเสือกอะไรด้วยวะ!” ไอ้ชาติต่อยสวน

“พี่ดำ พี่...” ไม่ทันจะได้ห้ามปราม วิริยะโดนใครสักคนเตะเข้าช่องท้องจนเจ็บจุก ทรุดตัวลงนอนไม่มีเรี่ยวแรง แล้วมันก็เดินมาซ้ำด้วยการต่อยจนรู้สึกมึนงงไปขณะหนึ่ง เหลือบไปเห็นดำกำลังโดนผู้ชายสองคนรุมอยู่ แถมพวกมันก็เล่นใช้ไม้หน้าสามที่ไปหยิบจากไหนก็ไม่ทราบด้วย ต่อให้ดำตัวโตและแข็งแรงขนาดไหนก็สู้ไม่ได้

“ชอบเสือกเรื่องคนอื่นดีนักนะมึง!” คนตรงหน้าว่าพลางต่อยวิริยะซ้ำอีกครั้ง เด็กหนุ่มนับไม่ได้ว่าโดนไปกี่ที นานเท่าไรที่นอนแน่นิ่งอยู่บนพื้น สมองเขามึนเบลอไปช่วงหนึ่ง แล้วก็เห็นว่าคนที่ขึ้นคร่อมทับทำร้ายเขาปลิวว่อนล้มลงพื้นไปเพราะเท้าใครสักคน จากนั้นก็ปรากฏร่างของผู้มาช่วย ผู้ที่ใหญ่โตทั้งตัวและอำนาจมีเด็ดขาดในไร่แห่งนี้

“พวกมึงทำบ้าอะไร!” เชษฐ์ไชยเสียงดัง เรียกสติที่ดับหายของวิริยะกลับมา

เด็กหนุ่มประคองตัวเองลุกขึ้นนั่ง นึกขอบใจที่เชษฐ์ไชยจัดการคนที่ทำร้ายเขา แต่เอาไปเอามา วิริยะเริ่มสงสารหมอนั่นขึ้นมา เมื่อไม่เห็นทีท่าว่าเชษฐ์ไชยจะหยุดทำร้ายมันเลย ราวกับเสือบ้าคลั่งกำลังตะครุบเหยื่อด้วยความหิวโหย

“ชอบนักใช่ไหม!” เชษฐ์ไชยตะโกนเสียงดัง กระแทกหมัดใส่หน้าไม่ยั้ง ในขณะที่เพื่อนคนอื่นรีบวิ่งมายังจุดเกิดเหตุเพราะหมอกไปตาม ครั้นมาถึง สองคนที่เหลือรวมไอ้ชาติก็เละเป็นโจ๊กตามไปติด ๆ เพราะเท้าที่นับได้ศิริรวมเกินสิบ

“อาเชษฐ์...”

“มึงอยากตายสินะ อยากตายคามือกูใช่ไหม!” ดูเหมือนเชษฐ์ไชยคลั่งไปแล้ว

“อาเชษฐ์ อาเชษฐ์!”

วิริยะวิ่งกระเผลกไปปราม เกรงว่าเชษฐ์ไชยจะพลั้งมือฆ่ามันไปจริง ๆ “อาเชษฐ์ หยุดนะ”

เด็กหนุ่มดึงกำปั้นแข็งแรงของคนโกรธให้หยุดแต่ทว่าไม่สามารถทำได้เลย เชษฐ์ไชยเหมือนกำลังหูดับและอยู่ในโลกของความโกรธ ท้ายที่สุดวิริยะก็เอื้อมอ้อมกอดไม่มีแรงไปสวมกอด ดึงคนตัวโตจากด้านหลังให้ถอยออกมา พร้อมกับพี่ ๆ คนอื่นที่ร่วมด้วยช่วยกัน ก่อนที่คนด้านใต้จะตายคามือหนัก ๆ ของเชษฐ์ไชย

“อาเชษฐ์” เมื่อจับแยกกันได้แล้ว เด็กหนุ่มสัมผัสได้ว่าคนที่นั่งอยู่บนพื้นหอบเหนื่อยราวกับหมดแรง จ้องร่างที่นอนเลือดอาบหน้าบนพื้นราวตั้งใจจะฆ่ามันจริง ๆ

แต่ที่ตัวสั่นเทาราวลูกนกเช่นนี้ เป็นเพราะกาย หรือที่ใจกันแน่หนอ วิริยะไม่รู้เลย

รู้เพียงว่าเขากอดเชษฐ์ไชยไว้แน่นเพื่อไม่ให้ขยับไปไหน และอีกฝ่ายก็รับรู้ ซุกหน้าอยู่ในอกราวกับกำลังเชื่อฟัง สวมกอดเขาราวกับกำลังกลัวว่าจะได้จากกันเสียอย่างนั้น ไม่อยากคิดเข้าข้างตัวเองเลย ว่าที่เชษฐ์ไชยเป็นอยู่ตอนนี้เพราะเป็นห่วงเขา เพราะโกรธที่ปกป้องไม่ได้ เพราะกลัวว่าเขาจะเป็นอะไรไป

แต่ก็รู้อีกนั่นแหละ ว่ามันคงไม่ใช่แบบนั้น

อย่างน้อยวิริยะก็ดีใจ ที่พี่ชายคนนี้ดีกับเขาอย่างที่สุด พี่หนวดคนเดิมผู้ซึ่งไม่เคยหายไปไหน...

“อาเชษฐ์โอเคไหมครับ” เด็กหนุ่มถามขึ้น

คนตัวใหญ่ในอกพยักหน้าอยู่สองสามครั้ง ผละถอยออกเพื่อรักษาระยะห่างหลังอารมณ์สงบ ร่างสูงลุกขึ้นยืนสางผมยุ่ง ปรับลมหายใจให้เป็นปกติทั้งที่ยังนึกหงุดหงิดให้กับความหุนหันพลันแล่นไม่คิดหน้าคิดหลังของตัวเอง เพียงแค่เห็นวิริยะถูกทำร้ายต่อหน้าต่อตาก็โกรธเป็นฟืนเป็นไฟ อยากฆ่ามันให้ตายเสียอย่างนั้น

ตอนนี้เขาควรใจเย็นลงแล้วจัดการทุกอย่าง เขาเป็นผู้นำ จะทำให้ใครว่าไม่ได้ ชายหนุ่มหันไปมองสามนักเลงที่นั่งอยู่บนพื้น แววตาเต็มไปด้วยความเด็ดขาดกล่าวว่า “ไสหัวไปให้พ้นจากไร่กูซะ ก่อนตะวันตกดิน ถ้ากูยังเห็นพวกมึงป้วนเปี้ยนในไร่กูอีก หัวพวกมึงเป็นรูแน่”

สองคนที่ตามติดไอ้ชาติมาทำหน้าตกใจ ไม่คิดว่าจะถูกไล่ออก “นะ นายเชษฐ์ครับ”

“กูบอกให้ออกไป!”

ไอ้ชาติมันขบกรามจนปูด เงยจ้องตา “คิดว่ากูทำแบบนี้แล้วจะอยู่รอให้มึงไล่เหรอ”

“เออ ถ้าเก่งนักก็ออกไป!”

“กูไปแน่แหละ! แต่มึงต้องเสียใจทำกับกูแบบนี้”

“กูน่าจะยินดีมากกว่า มึงก็รู้นี่ว่ากูเหม็นขี้หน้ามึงเต็มทีแล้ว อันที่จริงก็ควรจะคิดได้ตั้งแต่ปู่ตายแล้วแท้ ๆ ยังเสือกหน้าด้านอยู่อีก ไอ้พวกทรพี กินบนเรือนขี้รดบนหลังคา!”

“ไอ้เชษฐ์!” ชาติกัดฟันกรอด “จำไว้ มึงต้องเสียใจที่ทำแบบนี้กับกู!”

ว่าแล้วก็ลุกเดินหนีไป ปล่อยให้ลูกไล่ทั้งสองนั่งหน้างงไม่รู้จะทำอย่างไรดี ท้ายที่สุดพวกมันก็ล้มลุกคลุกคลานวิ่งตามไอ้ชาติไป คงรู้ดีว่าเชษฐ์ไชยไม่ต้อนรับมันอีกแล้ว ชายหนุ่มผู้เป็นเจ้าของไร่เองก็รู้ดีว่าจะเกิดอะไรขึ้นหลังจากนี้ แต่เขาเตรียมพร้อมไว้แล้ว ไม่ว่าจะเป็นอะไร เชษฐ์ไชยจะไม่มีทางให้มันเกิดขึ้นอย่างแน่นอน

ดูเหมือนดำจะได้รับบาดเจ็บมากกว่าที่คิด หัวแตก และร้องเสียงหลงเมื่อเพื่อนพยุงให้ลุกขึ้น เชษฐ์ไชยหมุนตัวกลับมาด้านหลัง เห็นเด็กที่เป็นต้นเรื่องยืนหน้าหงอยสบตาเขาอยู่ คงจะรู้และสำนึกได้ว่าทำให้ใครลำบากไปบ้าง

“อาเชษฐ์โอเคไหม” วิริยะถามซ้ำเพราะเห็นสีหน้าของเชษฐ์ไชยยังไม่ค่อยดีอย่างที่ควร ยกมือเช็ดเลือดที่มุมปากตัวเองไปพลางจะขยับไปแตะหลังมือที่เปื้อนเลือดของคนอายุมากกว่าไปพลาง

“ห่วงตัวเองก่อนเถอะ” คนตัวโตใช้เสียงเรียบตอบและขยับมือหลบ เด็กหนุ่มพูดไม่ออกไปพักหนึ่ง ไม่คิดว่าเชษฐ์ไชยจะทำแบบนี้ แต่ก็ไม่ได้คิดมาก เลือกหันมองไปยังดำอย่างนึกเป็นห่วง เห็นไอ้ตัวใหญ่เท่าหมีร้องครวญราวลูกหมาเวลาเพื่อนแตะ

เชษฐ์ไชยส่ายหน้า “ต้องไปโรงพยาบาลแล้วมั้ง เห็นร้องเวลาเพื่อนโดนแขน สงสัยจะหัก”

“เอ้า แล้วทำไมอาเชษฐ์ถึงใจเย็นอย่างนี้เล่า!” วิริยะหน้าตื่น จะเดินไปหาดำ

“ไปหาไม้กับผ้าขาวม้ามา จะดามแขนไว้ก่อน” ได้ยิน เด็กหนุ่มรีบพยักหน้า กุมท้องตัวเองจะหมุนตัวไป เชษฐ์ไชยก็เพิ่งนึกได้ว่าใช้ผิดคน ชายหนุ่มรีบดึงวิริยะกลับ “ไม่ต้องไปแล้ว นั่งพักอยู่ตรงนี้ รอไปโรงพยาบาลพร้อมไอ้ดำดีกว่า ไอ้ไท! ไปหาผ้าขาวม้ามาซักผืน...”

“นายเซษฐ์สิอยากอาบน้ำหยังตอนนี้ ดำเจ็บแขน ฟ้าวพาดำไปโรงบาลเร็ว ๆ” ดำร้อง

“ไอ้ห่า จะตายอยู่ละยังมาตลก” เชษฐ์ไชยเดินแยกไปหาคนเจ็บอีกฝั่ง ทำท่าจะเขกมะเหงกซ้ำไปทีอย่างอารมณ์เสีย “ต้องดามแขนก่อน แต่ปากเก่งแบบนี้ไม่ต้องไปแล้วมั้ง”

“ไปครับนายเซษฐ์ ไป” ดำทำเสียงระโหย

วิริยะทำตามที่เชษฐ์ไชยบอก รอจนเจ้านายดามแขนให้ดำเสร็จก็ขึ้นรถไปโรงพยาบาลพร้อมกัน บาดแผลของเขาไม่ได้ร้ายแรงนัก ได้ยาทา และยาแก้ปวดมานิด ๆ หน่อย ๆ และอย่างที่เชษฐ์ไชยคิด ดำแขนหักและต้องใส่เฝือกถึงสามอาทิตย์ เมื่อรู้ดังนั้นความรู้สึกแรกคือโทษตัวเองที่เป็นต้นเหตุ หากดำไม่มาช่วยเขา คงไม่ต้องเจ็บตัวถึงขนาดนี้

ตลอดเวลาที่นั่งรถกลับบ้าน ไม่รู้ว่าเด็กหนุ่มคิดไปเองหรือไม่ว่าเชษฐ์ไชยซึมลงไป ไม่พูดมากเหมือนเมื่อก่อน แถมเอาแต่ตีหน้าเคร่งราวกับคิดอะไรอยู่ตลอดเวลา เด็กหนุ่มลอบมองคนนั่งข้างแล้วได้แต่หลุบตาลงตักอย่างไม่เข้าใจ เห็นอีกฝ่ายทำอย่างนี้ก็พลอยทำให้ไม่กล้าพูดด้วย

ตั้งแต่เกิดเรื่องวิริยะก็ถูกสั่งให้นอนพักอย่างเดียว ส่วนดำเองก็คงทำงานไม่ได้ไปอีกหลายวัน แม้แต่จะช่วยเหลือตัวเองยังไม่ค่อยจะได้ เจ้าของไร่ก็หายเงียบเข้ากลีบเมฆ สองสามวันมานี้เชษฐ์ไชยไม่ได้เดินมาที่ห้องเลย วิริยะก็ได้แค่ถามพี่เสือว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ทั้งที่ก่อนหน้านี้เขารู้สึกรำคาญทุกทีที่เปิดประตูต้อนรับอีกฝ่าย แต่ตอนนี้กลายเป็นว่าเหงาเหลือเกินเมื่อไม่ได้ต่อปากต่อคำด้วย

วิริยะรู้สึกดีขึ้นมากแล้ว เด็กหนุ่มเดินออกมาสูดอากาศข้างนอกในขณะที่คนงานคนอื่นกำลังทำงาน เหลือบไปยังคอกม้า แปลกใจที่เห็นคนตัวใหญ่เอนพิงต้นไม้ต้นเดิมนอนหลับหันหลังให้ บนใบหน้ามีหมวกทรงคาวบอยปิดอยู่ ว่างขนาดนี้แล้วทำไมถึงแล้งน้ำใจ ไม่มาเหลียวแลเยี่ยมเยียนเขาเลยสักนิด

เด็กหนุ่มใช้วิชาตีนแมวเดินไปหยุดอยู่ใกล้ ทรุดนั่งยองย่อเหลือบมองคนหลับอย่างเงียบเชียบ มือยาวก็ขยับไปหยิบวัตถุที่ปิดบังใบหน้าคมคายนั้นออกเพราะอยากจะแกล้ง ครั้นมันเปิดออกเผยให้เห็นใบหน้าที่เคยสะอาดสะอ้านเริ่มมีหนวดขึ้นมาปกคลุมแล้ว คงตั้งใจไม่ดูแลตัวเองอีกตามเคย เห็นแล้ววิริยะก็เผลอถอนหายใจอย่างรู้สึกเห็นใจ แต่กลายเป็นการปลุกเชษฐ์ไชยเสียอย่างนั้น

นัยน์ตาคมขยับอยู่สองสามทีก็ลืมตา เห็นวิริยะทำหน้าหงอยมองพื้นราวกับคิดอะไรอยู่

“ทำอะไร” เชษฐ์ไชยขยับตัวนั่งดี ๆ

คนถูกเรียกตกใจ “ฮะ อ๋อ...” เด็กหนุ่มทำตาลอกแลก “มาเช็กความหล่อให้”

“หล่อแล้วไง จะช่วยหาเมียให้งั้นเหรอ” คนตัวโตย้อน มองตามวิริยะที่ถือวิสาสะขยับมานั่งข้าง พิงต้นไม้ต้นเดียวกัน ไม่ทันได้มองว่าเด็กหนุ่มมีสีหน้าแปลกใจอย่างไร

“มีคนบอกว่าอาเชษฐ์เคยมีเมียแล้ว” เด็กหนุ่มพูดเสียงเบา

“ก็ใช่ ลูกก็มี” เชษฐ์ไชยตอบตามตรง วิริยะไม่กล้าพูดอะไรต่อ กลัวว่าจะเป็นการก้าวก่ายเรื่องส่วนตัวมากเกินไป หากทว่าคนนั่งข้างก็พูดกับเขาต่อ “ถ้าได้ยินข่าวเรื่องฉันมีเมีย ก็น่าจะรู้อะไรมากกว่านั้นแล้วน่ะสิ”

เด็กหนุ่มอึกอัก “...อ๋อ ก็ได้ยินมาบ้าง”

“แล้วคิดว่าฉันโง่ไหม”

“ไม่เห็นจำเป็นต้องอยากรู้เลยว่าตัวเองโง่ไหม คนเราต่อให้เก่งขนาดไหน พอมีความรักก็เป็นคนโง่ทั้งนั้นแหละ” เด็กหนุ่มตอบพลางก้มลงเด็ดต้นไม้ใบหญ้าบริเวณที่ตัวเองนั่งไปพลาง ไม่ทันได้รู้ว่าคนนั่งข้างเหลือบมองอยู่ “แล้วปล่อยหนวดยาวรุงรังแบบนี้คนเขาก็กลัวกันหมดสิ ทำไมไม่โกนให้หล่อเหมือนเดิม”

เชษฐ์ไชยมองคนกล่าว กระตุกยิ้ม “สรุปคือยอมรับแล้วเหรอว่าฉันหล่อ”

เด็กหนุ่มเบิกตา หันมองคนถาม “ก็ดูดีกว่าตอนเป็นลิงป้ะ”

“ไม่เห็นต่างจากเดิมตรงไหน”

“ต่างสิ ตอนไม่มีหนวดหล่อกว่าตั้งเยอะ โกนเถอะ”

“ไม่เอาล่ะ เบื่อพวกชอบตัดสินคนที่หน้าตา” เชษฐ์ไชยกอดอกเอนหลังพิงต้นไม้ มองออกไปยังทุ่งกว้างเบื้องหน้าบอกว่าจบบทสนทนาตั้งแต่ตอนนั้น เมื่อได้เห็น วิริยะถอนใจรู้ว่ายังไงคนอายุมากกว่าก็ไม่ฟังคำของเด็กหนุ่มอยู่แล้ว เห็นเช่นนั้นวิริยะก็เอนหลังพิงพักบ้าง

ระหว่างที่สองเงียบไปพักหนึ่ง ในขณะที่ลมเย็นพัดเข้ามาสู่ร่างทั้งสองให้รู้สึกผ่อนคลาย วิริยะได้มีโอกาสนึกถึงเมื่อก่อน ตั้งแต่เกิดเรื่องคืนนั้น ความสัมพันธ์ของทั้งสองก็เปลี่ยนไปอย่างลิบลับจนวิริยะแอบคิดว่ามันเลวร้ายเหลือเกิน แต่ก็ถูกอย่างที่อัฐษไชยบอก เดี๋ยวทุกอย่างก็กลับมาดีเหมือนเดิมเอง เพราะเชษฐ์ไชยไม่ใช่คนเลวร้าย

แค่ปากหมา ทำตัวโผงผาง ป่าเถื่อน ไร้มารยาทก็เท่านั้นเอง

สรุปว่าเป็นคนดีรึเปล่าเนี่ย เด็กหนุ่มคิดแล้วนึกขันอยู่ในใจ พลอยเรียกคนที่นั่งเงียบมันมามองด้วยความสงสัยว่าเขาเป็นบ้าอะไร จู่ ๆ ก็หัวเราะคิกขึ้นมาอยู่คนเดียว ทั้งที่ไม่ได้คุยเรื่องอะไรน่าขำกันสักนิด

วิริยะเอนหัวพิงไหล่แข็งแรงเมื่อรู้สึกง่วง บวกกับลมเย็นที่พัดมากระทบทำให้รู้สึกผ่อนคลายจนอยากจะหลับ น่าแปลกที่เชษฐ์ไชยไม่ทักท้วงหรือบ่นว่ารำคาญอย่างเคย ปล่อยให้เขาพริ้มตาลงหลับไป

แม้อากาศจะเย็นเพราะลมเพียงไหน วิริยะยังคงเป็นคนขี้ร้อนอยู่ดี แก้มของเด็กหนุ่มแดงปลั่งขับเลือดฝาด มีเหงื่อชื้นผุดขึ้นตามไรผม ยิ่งหลับไปพักหนึ่งเหงื่อเริ่มเยอะขึ้นจนคนมองอยู่ต้องเอื้อมไปหยิบหมวกขึ้นมาพัดวีให้ นานเท่าไรไม่ทราบที่ชายหนุ่มทำเช่นนั้น กระทั่งเห็นว่าเหงื่อบนหน้าแห้งเหือดไป

และความเย็นสบายนั้นเอง กลับปลุกให้วิริยะลืมตาสลึมสลือเงยมองเจ้าของไหล่ราวกำลังสงสัยอะไรสักอย่าง หากทว่าไม่ได้พูดจา และสีหน้ายามง่วงนั้นแลดูน่ารักน่ามองแปลก ๆ

เชษฐ์ไชยนิ่ง ชะงักมือ ไม่เข้าใจสีหน้าของเด็กหนุ่มที่เพิ่งตื่น กำลังจะพูดแก้ตัวให้ตัวเอง วิริยะก็ขยับล้มตัวลงนอนบนตักของชายหนุ่มต่อ อาจจะเพราะความเมื่อยคอ และแววตาเมื่อครู่คงอยากจะขออนุญาต แต่ด้วยความเป็นคนดื้อและหน้ามึนเป็นทุนเดิม เลยถือวิสาสะทิ้งหัวลงนอนเลย คงรู้อยู่แล้วว่าหากชายหนุ่มจะไม่ยอมก็คงโวยวายออกมาเอง

เชษฐ์ไชยหลุบมองคนหลับแล้วถอนใจ อะไรจะรู้จักเขาดีปานนั้น

มือหนาขยับพัดวีให้ลมไปพลาง ก้มลงมองคนนอนหลับไปพลาง

“นี่ไม่ใช่แม่นมนะเว้ย...” ชายหนุ่มบ่นเสียงเบา

ทำไมต้องใจดีกับเด็กนี่ด้วย เขาไม่เข้าใจตัวเองเลย

หากแต่กลับส่ายหน้าอันประสมด้วยรอยยิ้มน้อย ๆ ให้ตัวเอง แล้วเคลื่อนขยับชายเสื้อแขนยาวที่ไม่ได้ติดกระดุมไปปรกหน้า ไม่ให้แสงสว่างสาดกระทบดวงตาอันเป็นการรบกวนเวลาพักผ่อนของคนบนตัก สรุปว่าเขาเป็นอะไร ทำไมถึงได้มีความสุขยามได้ดูแลเด็กดื้อจอมต่อปากต่อคำตรงหน้าด้วย

หรือสิ่งที่เขาพยายามจะเลี่ยงมาโดยตลอดนั้น ได้เกิดขึ้นแล้ว

ที่ผ่านมา เขาพยายามฝืนใจตัวเองไม่ให้คิดอะไรมาก พยายามถอยออกห่าง เมื่อเริ่มรู้สึกตัวว่ามีบางสิ่งบางอย่างพิเศษกำลังก่อตัวขึ้นภายในใจ แล้วความรู้สึกกังวลใจก็ตามมาให้รำลึกว่าเขาเป็นใคร มีภาระหน้าที่อะไรที่ต้องทำ หากเขาคิดอะไรกับวิริยะมากกว่านี้แล้วคนรอบข้างจะรับได้หรือไม่ การตัดสินตามใจของเขาอาจไปกระทบกับเรื่องไหนบ้าง ไม่เพียงสะท้อนกลับมาสู่เขา นั่นอาจส่งผลไปถึงวิริยะด้วย

เขาต้องคิดหน้าคิดหลังให้ดี

เพราะอย่างนั้น ชายหนุ่มจะรั้นเอาแต่ใจเหมือนเมื่อก่อนไม่ได้อีกแล้ว

แค่คิดถึงความเป็นไปไม่ได้ของทั้งสอง เชษฐ์ไชยก็รู้สึกใจหวิวขึ้นมานิด ๆ

--๑๐๐--


---------------------------------------------------------------------------------------

แงงงงงง กว่าจะได้อัพ ปัญหามากมายเกิดขึ้นเยอะแย่มว๊ากกกกก

ยังไงก็ขอบคุณนักอ่านที่น่ารักที่ให้กำลังใจ คอยแวะมาทวง มาบอกว่ากำลังรออยู่ ทำให้หนูนาฮึดเขียนขึ้นมาได้ แม้ว่าจะมีความขี้เกียจเขียนไปบ้าง เถลไถลไปนิดหน่อย อิอิ

นายเชษฐ์คนหวงเมีย2k17 ก็มีความดูแลเมียไปอีก มีความคิดมากไปอีก เจอความแมวน้อยของน้องวิวิเข้าไป คนขี้หึงแอบเสียศูนย์นิดหน่อย แต่ไม่ต้องคิดว่าจะดราม่าอะไรนะคะ นี่นิยายเบาสมองเด้อ อิอิ

สุดท้าย รออ่านฟีดแบคอยู่เด้อ แนะนำได้เด้อว่าอยากให้ไปในทิศทางไหน มีกำลังใจเยอะก็มีแรงฮึดปั่นเยอะ แล้วจะพยายามตอบกลับความเห็นทุกคนให้ครบนะคะ


บายเด้ออออออออออ(ทำเสียงวิว)

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
เป็นห่วงดำจังเลย ใครจะว่าอะไรก็ช่าง เรา fc ดำ อิอิอิ
 :o8: :o8:

ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
คุณเชษฐ์คนซึน ที่ใกล้จะเลิกซึนแล้วหรือเปล่าคะ?

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
น้องดำแขนหักเลย  น่าฉงฉานจะมีหญิงใดมาช่วยดูแลไหมเนี่ย  :hao5:

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
ต่างคนต่างคิดมากเนอะ

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa

ตอนที่ ๑๔

เมื่อย่างเข้าเดือนเมษา เดือนที่ใครก็รู้ว่าเป็นเวลาที่ไม่ควรออกจากบ้าน ตอนกลางวันอากาศยิ่งร้อนอบอ้าวมากขึ้นไปอีกเท่าตัว วิริยะไม่รู้ว่าร่างกายคนงานคนอื่นทำด้วยอะไร เหตุใดจึงไม่สะทกสะท้านต่อความร้อนของอากาศเลย ตั้งแต่เริ่มงานมา เด็กหนุ่มไม่เคยได้ยินข่าวว่าใครทำงานกลางแดดจนเป็นลมสักที มีแต่เขานี่แหละที่จะไม่ไหวเสียเอง

“วิว ไหวรึเปล่า ไปนั่งพักในร่มก่อนไป” เหนือร้องบอกเมื่อเด็กหนุ่มเดินเซ

วิริยะไม่รั้น เพราะรู้ขีดจำกัดของร่างกายตัวเองดี “ครับพี่”

เด็กหนุ่มรู้สึกหน้ามืด ทิ้งตัวนั่งลงพักแล้วหยิบน้ำเกลือแร่ขึ้นดื่มเอาแรง น้ำเกลือแร่ที่ลุงแสวงเอามาไว้ให้ ทำหน้าที่แทนเจ้านายที่ไม่รู้ว่าหายไปไหน หายไปแบบไร้ตัวตนจนวิริยะแปลกใจ

พักนี้เชษฐ์ไชยหายไปจากวงโคจรของเด็กหนุ่มอย่างสิ้นเชิง ตั้งแต่ตื่นขึ้นมาจากหลับอย่างลำพังคราวนั้น ดูเหมือนทั้งสองจะหันหลังให้กันอย่างเป็นทางการแล้ว และวิริยะพยายามพร่ำบอกกับตัวเองว่าดีแล้วนี่ ที่ต่างคนต่างอยู่ ถึงจะรู้สึกเหมือนขาดอะไรไปก็ตามที แต่ช่างมัน

ช่วงกลางวันวิริยะเห็นดำนั่งทานอาหารอยู่ก่อนแล้ว เด็กหนุ่มยกยิ้ม ถอดหมวกที่สวมแล้วดึงแขนส้มและพี่สาวคนอื่น ๆ เดินตรงไปหาคนป่วย ส้มเบิกตาตกใจที่เด็กหนุ่มทำอย่างนั้น แต่ก็ไม่ขัด เหลือบมองไปยังกุ้งกำลังทำหน้าไม่ถูกอยู่อีกฝั่ง แต่ก็ยอมทรุดตัวนั่งพร้อมกับเพื่อนคนอื่นท่ามกลางสายตางุนงงของดำ

“พี่ดำกินถนัดไหม” ดูเหมือนวิริยะมีแผน แอบหันมาขยิบตาให้ส้มอยู่สองสามที

“กะกินได้อยู่ บ่มีปัญหาหยัง” ที่จริงดำถนัดมือซ้าย และแขนที่หักก็ข้างซ้ายพอดี ซึ่งวิริยะคิดว่านี่อาจเป็นช่องให้พี่สาวบางคนทำคะแนนนำผู้หญิงคนอื่นไปก่อนได้ เด็กหนุ่มคิดแล้วทำท่ากระแอม หันไปพูดกับกุ้ง “พี่กุ้ง ป้อนพี่ดำหน่อยสิ เห็นไหมพี่ดำกินข้าวไม่ถนัด”

“บ่ บ่เป็นหยัง”

“เถอะน่า...” ส้มทำท่ารู้ทัน ดันตัวกุ้งเดินไป คนถูกจับคู่หน้าเหวอสั่นหัวไม่กล้า ให้ทรุดนั่งข้างพ่อหนุ่มหล่อจากอีสาน ฝ่ายดำงุนงง ส่งสายตาอันเต็มไปด้วยคำถามให้เด็กหนุ่มแต่ก็ไม่กล้าพูดมากนัก นอกจากจะหันไปยกยิ้มให้คนที่นั่งลงข้างกายเล็กน้อยอย่างรักษาน้ำใจ

ภาพเก้ ๆ กัง ๆ ของทั้งดำและกุ้งทำให้คนมองยิ้มอย่างนึกพอใจ หลังจากทำตัวเป็นพ่อสื่อให้พี่ที่รักทั้งสองฝ่ายแล้วนั้น วิริยะกลับเข้ามาทำงานดังเดิม เด็กหนุ่มพยายามกินอาหารและน้ำให้เพียงพอต่อพลังงานที่เสียไป ดื่มเกลือแร่ที่ลุงแสวงนำมาให้อย่างคุ้มค่า ในขณะนั้น เขาเหลือบไปเห็นแกแอบคุยอะไรเคร่งเครียดกับหัวหน้าคนงานคนอื่น ๆ

มีอะไรเรื่องใหญ่เกิดขึ้นหรือเปล่า วิริยะมองแล้วผละมาสนใจทำงานต่อ

เสร็จงาน เพราะไม่อยากต่อคิวอาบน้ำ วิริยะยืมจักรยานของตา ปั่นลงเนินไปยังน้ำตกคนเดียว ครั้นเสร็จก็ปั่นกินลมชมสองข้างทางกลับมายังหอพัก เก็บข้าวของเครื่องใช้แล้วออกมาเดินเล่น เหลือบไปยังโรงครัว เห็นดำกับกุ้งที่อาบน้ำผลัดเปลี่ยนผ้าในชุดสวยแล้ว กำลังนั่งคุยกันอย่างออกรส

เด็กหนุ่มยกยิ้มพอใจ ไม่อยากเข้าไปขัดเวลาที่ดีของทั้งสอง เลือกเดินไปอีกฝั่ง

เดินมาถึงคอกม้า วิริยะเห็นพี่เสือวิ่งไล่ผีเสื้ออยู่ที่ลานแถวนั้น ใจรู้สึกหวิวขึ้นมาอย่างน่าแปลก เมื่อคิดว่าจะได้เจอเชษฐ์ไชย แต่สุดท้ายก็ไร้ร่างใหญ่โตที่เด็กหนุ่มนึกถึง วิริยะไม่รู้ว่าตัวเองถอนใจทำไม เขาเดินเข้าไปหาพี่เสือเพื่อหยอกล้อกับมัน ซึ่งเมื่อเห็นเด็กหนุ่ม มันก็กระโจนเข้าหาอย่างคุ้นเคย ให้วิริยะโอบอุ้ม เล่นขนฟูฟ่องนุ่มนิ่มของมันไปพลาง แล้วหวนนึกถึงทุกอย่างไปพลาง

“พี่เชษฐ์...พี่เชษฐ์คะ”

วิริยะเบิกตา ได้ยินเสียงใครสักคนแต่ไกล ไม่รู้ทำไมราวกับเป็นสัญชาติญาณให้เด็กหนุ่มกระเถิบเข้าไปหลบหลังต้นไม้ เมื่อได้ยืนฝีเท้าเข้ามาใกล้ และชื่อของผู้ที่ถูกขานเรียกทำให้ใจเขาเต้นตึก

“พี่เชษฐ์ รอรตรีก่อน”

รตรี ภรรยาเก่าของเชษฐ์ไชยน่ะหรือ

“แล้วเธอจะตามฉันมาทำไม อยากกลับมาก็นอนเล่นอยู่ที่บ้านโน่น”

“ก็รตรีอยากรู้นี่คะว่าพี่เชษฐ์จะมาทำอะไรบ้าง จะอาบน้ำให้อาเธอร์เหรอ เดี๋ยวรตรีช่วย...”

“ไม่ต้อง แล้วก็เลิกมาเกาะแกะฉันสักที รำคาญ”

“ไม่ได้อยู่ต่อหน้ายายต้อยแล้ว ไม่ต้องทำเป็นไม่คิดถึงรตรีก็ได้นี่คะ รตรีรู้นะว่าพี่คิดถึงรตรีแค่ไหน...” ขนาดเธอยังรู้เลยว่าเชษฐ์ไชยเป็นอย่างไร หลังจากถูกทิ้ง วิริยะเหลือบมองออกไป เห็นเชษฐ์ไชยและหญิงสาวคนหนึ่งพูดคุยกันอยู่ไม่ไกลนัก ในแววตาของนายใหญ่แห่งไร่อรุณีมีอะไรบางอย่างที่คาดเดาไม่ได้ ยามถูกรุกล้ำจากผู้หญิงที่ขึ้นชื่อว่าเคยเป็นเมีย

“แล้วทำไมไม่โกนหนวดสักที บอกแล้วไงว่าไม่ชอบคนไว้หนวดไว้เครา กลับไปเดี๋ยวรตรีโกนให้นะคะ จะได้หล่อเหมือนเดิม”

เธอสวยอย่างที่ดำว่า ยิ่งเวลาทำตาหวาน ออดอ้อนเชษฐ์ไชย ไม่แปลกที่คนหน้าดุอย่างเสือจะกลายร่างเป็นแมวได้ เด็กหนุ่มหันกลับมาทอดถอนใจ บางทีเชษฐ์ไชยอาจกำลังอยากคืนดีกับเธอคนนั้นก็เป็นได้

“แล้วทำไมไม่ใส่ชุดดี ๆ ที่รตรีซื้อมาให้ ใส่ทำไมไอ้ชุดเก่า ๆ ขาด ๆ แบบนี้ สกปรก ไม่หล่อเลย”

มือขาวเอื้อมลูบขนพี่เสือไปด้วยขบคิดถึงความสัมพันธ์ของคนด้านหลังไปด้วย ไม่รู้ทำไมจึงรู้สึกหวิวโหวงอยู่ข้างใน จะรู้สึกห่วงทำไม ก็ดีแล้วนี่ที่เชษฐ์ไชยจะไม่เศร้า ไม่ทำร้ายตัวเอง ตกอยู่ในอดีตอย่างเมื่อก่อน

ในขณะที่ครุ่นคิด พี่เสือเหลือบเห็นเหยื่อที่เคยวิ่งไล่บินมาโฉบล้อก็กระโดดออกจากตักเด็กหนุ่มออกไป

วิริยะเบิกตา “พี่เสือ!” ร้องเรียกด้วยความตกใจ เป็นอันสิ้นสุดการหลบเลี่ยงที่จะเป็นก้างขวางคอของเชษฐ์ไชยในบัดดล เด็กหนุ่มหน้าหงอย ดวงตากวาดไปเห็นคุณรตรีอะไรนั่นกำลังโอบกอดรอบคอเชษฐ์ไชย ใบหน้าอยู่ใกล้กันเพียงไม่กี่คืบ ไม่เดาก็รู้ว่ากำลังจะจูบกัน

เพราะเสียงของวิริยะทำให้ทั้งสองหันมามอง เด็กหนุ่มหน้าร้อนฉ่าเมื่อจู่ ๆ ก็เป็นเป้าสายตา ลุกขึ้นยืนปรับสีหน้าเป็นปกติ เมื่อยามเชษฐ์ไชยผลักหล่อนออกห่างด้วยความแปลกใจที่เห็นเขา แล้วอีกฝ่ายก็เอ่ยถามขึ้นมาเสียเฉย ๆ ราวเมื่อครู่ไม่มีอะไรเกิดขึ้น “มาทำอะไรที่นี่”

วิริยะอึกอัก หลบตาไปทางอื่น “มาเดินเล่น”

“กลับไปได้แล้ว อีกเดี๋ยวก็มืด เกิดเจองูขึ้นมาจะอันตราย” ได้ฟัง เด็กหนุ่มเชยตาสบคนกล่าว กำลังเป็นห่วงเขาอยู่หรือ

“แล้วอาเชษฐ์ออกมาทำไม”

เชษฐ์ไชยนิ่ง ผละมองคนยืนข้าง “เรื่องของฉัน”

“ใครเหรอคะ ทำไมเรียกพี่ว่าอาได้ด้วย” หญิงสาวหนึ่งเดียวในวงสนทนาเอ่ยแทรก ในขณะที่พูดก็ก้มลงมองวิริยะตั้งแต่หัวจรดเท้าอย่างไม่ปิดบังท่าที พลอยให้เด็กหนุ่มรู้สึกอับอายขึ้นมาเสียอย่างนั้น “ดูท่าทางผิวพรรณไม่น่าใช่คนแถวนี้ด้วย เป็นใครมาจากไหน” หล่อนสบตาวิริยะ

เด็กหนุ่มทำท่าจะตอบ หากทว่าเพียงแค่อ้าปากได้

“แค่คนงานที่ไร่” เชษฐ์ไชยชิงพูด

คนงานงั้นเหรอ วิริยะย่นคิ้วเงยมองคนตัวโตที่ยังคงทำหน้าไม่รู้สึกรู้สา นี่ลืมน้องชายผู้เคยร่วมทุกข์ร่วมสุขกันมาหลายครั้งไปแล้วงั้นเหรอ เพียงเพราะเจอเมียเก่า ทำให้เด็กหนุ่มกลายเป็นคนอื่นขึ้นมาเสียอย่างนั้น ยิ่งเห็นรตรีหัวเราะยามชายตามอง เด็กหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกเคือง

“ตายจริง คนงานสมัยนี้โมเมเรียกเจ้านายว่าคุณอาได้ด้วยเหรอคะ”

วิริยะนิ่ง ปรับสีหน้าเมื่อเสียงหัวเราะของหล่อนยังคงไม่หายไป แต่เขาก็เป็นแค่คนงานอย่างที่เชษฐ์ไชยพูดจริง ๆ นี่ อาจเป็นฝ่ายวิริยะเท่านั้นที่เผลอคิดและทำตัวสนิทสนมกับเชษฐ์ไชย อันที่จริงระหว่างทั้งสองไม่เคยเป็นอะไรมากกว่าเจ้านายและลูกน้อง อย่างที่เชษฐ์ไชยพูดไปเมื่อครู่

“เธอยังเด็กอยู่ พี่เชษฐ์เลยไม่ถือ แต่คราวหน้าคราวหลังอย่าไปเรียกให้ใครได้ยินรู้ไหมจ๊ะ ต้องรู้ด้วยว่าตัวเองเป็นใคร หรือถ้าฉันได้ยินอีกที ฉันจะไม่ใจดีเหมือนเขานะจ๊ะ” สุ้มเสียงของเธอไม่ใจดีอย่างที่พูดเลย

“กลับไปได้แล้วรตรี อย่ามาเกาะแกะ รำคาญ”

เชษฐ์ไชยดึงมือที่กอดแขนออก มองตาเด็กหนุ่มแล้วผละไปเสียเฉย ๆ

คงจะบอกเป็นนัยยะว่าควรออกไปจากที่ตรงนี้

วิริยะรู้สึกหน้าชาอย่างไม่เข้าใจตัวเอง เด็กหนุ่มผละเดินออกมาเสียดื้อ ๆ โดยไม่ได้เอ่ยลา อาจเพราะคิดว่ามันไม่จำเป็น ในเมื่อเขาทั้งสองไม่เคยเกี่ยวข้องอะไรกัน จะอยู่หรือไปก็ไม่ได้สลักสำคัญอะไรต่อเชษฐ์ไชยนักหรอก แต่สำหรับเขา วิริยะไม่รู้ว่ามันสำคัญอย่างไร ถึงได้ทำให้หัวใจหวิวโหวงได้แบบนี้

เด็กหนุ่มกลับมาที่โรงอาหารเพื่อทานข้าวแล้วจะได้กลับไปนอนพักผ่อน ในขณะที่ยืนต่อคิวเข้าแถว น่าแปลกที่คนงานกำลังพูดถึงคุณรตรีที่กลับมากันทั้งนั้น และวิริยะก็เพิ่งได้รู้ว่าหล่อนมาอยู่ที่นี่ได้เป็นอาทิตย์แล้ว พอดีกับช่วงที่เชษฐ์ไชยหายไปเลย

“ลูกสาวฉันที่ไปทำงานในบ้านก็มาบอกนะ ว่าจู่ ๆ นายเชษฐ์ก็ปรึกษาแม่ต้อยว่าอยากจะมีเมียอีก นี่ละมั้งเหตุผลที่นายเชษฐ์ซึม ๆ ไป เก็บตัวอยู่แต่ในบ้าน แม่เอ๊ย...ใครจะคิดละว่าเมียใหม่ที่ว่าก็คือคนเก่า”

“แล้วอย่างนี้พวกเราจะไม่ซวยกันหมดเหรอ อีคุณรตรีมันโขกสับเรายังไง แกจำไม่ได้เหรอ”

“ฉันไม่มีทางยอมรับมันแน่”

“คนอย่างแกเจ้านายคงต้องรอขออนุญาตก่อนหรอก ถ้าจะเอาอีนังนี่กลับมา พวกเราก็คงต้องยอมรับให้ได้” พูดกันไปก็ถอนใจกันไป วิริยะเดินถือชามอาหารกลับมานั่งคนเดียวที่โต๊ะ ยังไม่ได้สัมผัสจากตัวเองว่าบุคคลที่ทุกคนพูดถึงนั้นร้ายเพียงไหน แต่แค่เห็นแววตาก็รู้อยู่ว่าพอสมควร

อย่างที่คนงานคนอื่นพูด ก็คงต้องยอมรับกันให้ได้

วิริยะเดินกลับมาที่ห้องพักตนเองก็ตอนมืดแล้ว เหลือบออกไปเห็นร่างสูงใหญ่ในชุดเดียวกันกับเมื่อครู่ยืนรออยู่ในความสลัว ครั้นได้ยินเสียงฝีเท้าของเด็กหนุ่ม อีกฝ่ายก็รีบหันขวับมาราวกับว่ากำลังตั้งหน้าตั้งตารออยู่ วิริยะมุ่นคิ้วไม่เข้าใจ เดินไปหยุดอยู่ตรงหน้าเชษฐ์ไชยด้วยความใคร่ทราบว่ามีธุระอะไร “มาทำไมเหรอ”

เชษฐ์ไชยนิ่งไปพักหนึ่ง “เห็นไอ้เหนือมันบอกว่าเป็นลมนี่”

“บ้า ก็แค่หน้ามืดนิดหน่อย แดดมันร้อน” วิริยะส่ายหน้า

“พรุ่งนี้ย้ายไปทำงานที่โรงเพาะ”

“ฮะ” เด็กหนุ่มย้อน

“รู้ใช่ไหมว่าโรงเพาะอยู่ตรงไหน เดินไป ไปถึงเดี๋ยวหัวหน้าคนงานที่นั่นจะสั่งงานเอง”

วิริยะย่นคิ้ว ไม่อยากคิดว่าที่อีกฝ่ายทำแบบนี้เพราะเป็นห่วง “ที่จริงผมทำที่เดิมต่อก็ได้”

“ไม่ไหวก็อย่าฝืน จะลำบากคนอื่นซะเปล่า ๆ” สิ้นคำของเจ้านาย วิริยะก็ถึงบางอ้อ

เด็กหนุ่มพยักหน้ารับน้อย ๆ “เข้าใจแล้วครับ นายเชษฐ์”

“ไม่ต้องมาประชดกันเลย” เชษฐ์ไชยเพิ่มระดับเสียง ทำหน้าดุจ้องตาวิริยะ

“ไม่ได้ประชดสักหน่อย ทำไมผมต้องประชดด้วย”

“ก็ทำอยู่นี่ไงเรียกว่าประชด” นิ้วชี้เรียวชี้ที่ตัวเด็กหนุ่มให้รับผิด

วิริยะย่นหน้า พูดตามความเป็นจริงว่า “ก็เรียกเจ้านายมันผิดตรงไหน ที่จริงผมควรเรียกแบบนี้ตั้งนานแล้วด้วย” หากเชษฐ์ไชยมีธุระแค่นี้ก็ไม่อยากมีเรื่อง ครั้นคุยจบเด็กหนุ่มจึงหันไปไขกุญแจห้องตัวเองจะเข้าไปพัก เพื่อตัดบทหรือเลิกต่อล้อต่อเถียงกับอีกฝ่ายสักที

“โกรธกันรึไง” มือใหญ่แตะที่ต้นแขน วิริยะจึงหันไปมองคนข้างกาย

“ทำไมต้องคิดว่าผมโกรธด้วย มีเหตุผลอะไรเหรอ”

คนฟังขบฟันราวกำลังไม่พอใจ “อย่ามาย้อนฉันนะวิว”

“ปล่อย ผมจะเข้าไปพัก ไม่อยากคุยด้วยแล้ว” เมื่อได้ยินเด็กหนุ่มพูดตามตรง เชษฐ์ไชยชะงัก มองดวงตากลมที่งุดลงมองจ้องมือของเขายามรั้งเจ้าตัวไว้ ชายหนุ่มจำยอมปล่อยอย่างที่วิริยะต้องการ

นึกต่อว่าตัวเองที่ทำตามใจอีกตามเคย ทั้งที่ตัดสินใจถอยออกห่างจากวิริยะแล้วแท้ ๆ แต่เพียงเห็นแววตาผิดหวังของเด็กหนุ่มเมื่อครู่ใหญ่ก็ทำเอาเชษฐ์ไชยไปไม่เป็น อยากเห็นว่าวิริยะเป็นอย่างไร โกรธหรือไม่

ทั้งที่ก็น่าจะรู้อยู่แล้วว่าเด็กหนุ่มไม่ใช่คนคิดมาก และที่สำคัญไม่เคยคิดอะไรเกินเลยกับเขา

วิริยะไม่มีทางหึง ซึ่งก็จริง มีแต่ความเคืองใจที่ถูกทำตัวไม่มีเหตุผลใส่เผยออกมาจากเด็กหนุ่มเท่านั้น เชษฐ์ไชยยกมือสางผมสั้นอย่างนึกรำคาญความงี่เง่านี้ของตัวเอง พลางมองประตูที่ปิดลงไปด้วยน้ำมือของเด็กหนุ่มที่ก้าวเข้ามามีบทบาทสำคัญต่อชีวิตของเขาเกินไป จนทำให้ชายหนุ่มต้องเลือกที่จะถอยเว้นระยะห่างให้กลับมาสู่สภาพเดิม

เพื่อตัวเขา และวิริยะเอง

ทรมานตัวเองตอนนี้ ดีกว่าเจ็บปวดปางตายในวันข้างหน้า

เชษฐ์ไชยคิดแล้วทอดถอนใจ เดินกลับไปยังรถคันเดิมแล้วขับบึ่งออกไปยังบ้านพัก เห็นแม่บ้านกำลังตระเตรียมมื้อค่ำไว้รอชายหนุ่มอยู่ บนโต๊ะมีหญิงสาวคนเดิมกำลังนั่งรอรับประทาน หล่อนคลี่ยิ้มหวานรอให้ชายหนุ่มไปร่วมโต๊ะด้วย หากทว่าเชษฐ์ไชยเดินเลยไปยังบันได มุ่งไปสู่ห้องพักของตัวเองเพราะยังไม่รู้สึกหิวตอนนี้ ทำให้แม่ต้อยรู้สึกแปลกใจกับท่าทีนี้ของเจ้านาย

นางมองตามร่างของเชษฐ์ไชยจนลับไปจากสายตา ก็ไหนเคยบอกว่าอยากมีเมีย ไม่อยากเหงาใจเหมือนเมื่อก่อน แล้วไหงไอ้อาการเศร้าซึมยังไม่หายไปเมื่อรตรีกลับมาอยู่ด้วย นางคิดแล้วลอบถอนใจ หลังสั่งแม่บ้านจัดเสิร์ฟอาหารให้แขก นางก็เตรียมส่วนของเชษฐ์ไชยใส่ถาดแล้วยกขึ้นเดินไปด้านบนด้วยความเป็นห่วงเป็นใยเจ้านาย ยิ่งพักหลังเชษฐ์ไชยยิ่งเหมือนหุ่นยนต์ไปทุกที

แม่ต้อยเคาะประตูพอเป็นพิธี แล้วเปิดเข้าไปด้านใน เห็นเชษฐ์ไชยกำลังนั่งดูอะไรสักอย่างในโทรศัพท์มือถือ เมื่อเห็นว่าเป็นนางเดินเข้าไปก็วางมันลงแล้วทำเป็นปกติราวไม่ได้มีอะไรเกิดขึ้น อาการพิลึกลงไปเรื่อย

“ต้อยเอาข้าวเย็นมาให้นายเชษฐ์ค่ะ ทานเถอะนะคะ” นางวางไว้บนโต๊ะข้างหัวเตียง

“ฉันยังไม่หิวนี่ต้อย ยกขึ้นมาทำไม”

“ทานสักคำเถอะนะคะ” พูดยังไม่จบดี เสียงโทรศัพท์ของเชษฐ์ไชยก็สั่นครืดบอกว่ามีใครต้องการคุยด้วย เจ้าของของมันหงายขึ้นมาดู เมื่อเห็นว่าเป็นอัฐษไชยก็รีบโยนออกห่างราวเห็นเป็นของน่าแขยง

“เอ้า ทำไมไม่รับสายละคะ” นางถาม

“ก็คงจะโทรมาด่าฉันเรื่องไล่ไอ้ชาติออกเหมือนเดิมน่ะซี นี่ฉันชักจะงงแล้วนะ สรุปว่าใครเป็นพี่มัน ฉัน หรือไอ้ชาติหมานั่น ทำไมไอ้อัฐษ์มันถึงได้ห่วงนักหนา”

“ก็คนงานคนโปรดของคุณไกรนี่คะ”

“มันทำงานเก่งก็จริงอยู่ต้อย แต่สันดานมันไม่ดี เลี้ยงไม่เชื่อง” เชษฐ์ไชยหงุดหงิดกดปิดเครื่องไปเลย คนมองเห็นแล้วเพียงส่ายหน้า วางสำรับไว้แล้วลอบสังเกตทีท่าของเจ้านายว่าเป็นอย่างไร ตั้งแต่เอ่ยปากถามนางว่าถ้าเจ้าตัวจะมีเมียใหม่ ทุกคนคิดเห็นอย่างไร และนางก็ตอบไปเพียงว่าหากทำให้เชษฐ์ไชยมีความสุขนางก็ไม่ขัดใจ หลังจากวันนั้นเชษฐ์ไชยก็ไม่ได้รีบร้อนพาใครมาเปิดตัว นอกจากคุณรตรีที่จู่ ๆ ก็โผล่มาในรอบหลายปี

โดยอ้างว่าจะมาเยี่ยมหลุมศพลูกสาวในวันครบรอบ ทั้งที่หลายปีก่อนก็ไม่เคยเห็นมา

เมื่อหวนคิดถึงเรื่องราวเมื่อก่อน ต้อยไม่อยากคิดเลย ที่รตรีกลับมาก็เพราะเห็นข่าวเชษฐ์ไชยในทีวี ว่าชายหนุ่มคือทายาทที่แท้จริงของไร่รุ่งอรุณี คนฉลาดอย่างรตรีเมื่อมาถึงและเห็นสภาพความเป็นอยู่ของเจ้านายนาง อาจรู้อยู่ก่อนแล้วว่าเชษฐ์ไชยลบหล่อนออกจากความทรงจำไม่ได้ คงง่ายที่จะกลับมา

เชษฐ์ไชยรักหล่อนแค่ไหน รตรีรู้ดี

“ต้อย...”

เสียงเชษฐ์ไชยเอ่ยขัดความคิดของต้อย เรียกให้นางผละไปหาเจ้านาย

“นายเชษฐ์จะเอาอะไรเพิ่มเหรอคะ”

เจ้านายถือช้อนและจ้องมันราวไม่เคยเห็นมาก่อน สีหน้าเหมือนกำลังขบคิด ว่าจะพูดหรือไม่พูดดี ท้ายที่สุดเหมือนกำลังรวบรวมความกล้า กล่าวกับนางออกมา “ถ้าเกิดฉัน...จะมีเมียอีกครั้งจริง ๆ ต้อยจะรับฉันได้ไหม”

ดูเหมือนเชษฐ์ไชยคงจะกลัดกลุ้มกับมันจริง ๆ ต้อยเห็นแล้วรู้สึกปวดใจ

“โถ...นายเชษฐ์คะ ต้อยรับได้เสมอแหละค่ะ นายเชษฐ์ไม่ต้องคิดมาก”

เชษฐ์ไชยงุดลงมองชามข้าวอยู่สักพัก “สมมตินะ ถ้าให้เลือกระหว่างฉันคืนดีกับรตรี กับถ้าฉันเป็นเกย์ ต้อยคิดว่าคนที่นี่จะรับเรื่องไหนได้มากกว่ากัน”

ต้อยอ้าปากเหวอไปกับสิ่งที่ได้ยิน เมื่อเชษฐ์ไชยเชยตาขึ้นมาสบราวกับว่ามันไม่ใช่เรื่องสมมติ นางคลี่ยิ้มให้แห้ง ๆ แล้วหลบตาไปครุ่นคิดอยู่พักหนึ่ง จึงเงยขึ้นมาสบตาเจ้านายอีกครั้ง ตอบว่า “สำหรับต้อยคิดว่าแบบไหนถ้าทำให้นายเชษฐ์มีความสุข ต้อยรับได้หมดเลยค่ะ แต่สำหรับคนงานคนอื่นในไร่ ต้อยคิดว่าพวกเขาอาจจะอยากให้เป็นแค่เรื่องสมมติเท่านั้น ไม่อยากเลือกสักอย่างละมั้งคะ”

ได้ฟัง เชษฐ์ไชยก็พยักหน้ารับ “อย่างนี้นี่เอง”

“แต่นายเชษฐ์ไม่ต้องห่วงเรื่องคนอื่น แค่ทำตามหัวใจตัวเองก็พอเถอะค่ะ”

“ฉันอยากจะทำตามใจตัวเองจะตายอยู่แล้วต้อย แต่ฉันจะไม่ทำ...” เขาไม่อยากกลายเป็นยักษ์มารในสายตาคนงานใต้ความดูแลอีกต่อไปแล้ว ชายหนุ่มคิดแล้วตักข้าวปลาทานอย่างเงียบสงบ แม้จะไม่รู้สึกอร่อยก็ตามที

คิดได้แล้วว่าตอนนี้ยังพยายามไม่มากพอ เขาต้องถอยออกห่างจากวิริยะอย่างเด็ดขาดกว่านี้

ทรมานตอนนี้ ดีกว่าต้องเจ็บทุรนทุรายปางตายข้างหน้า

ชายหนุ่มหวังว่า การตัดสินใจตั้งแต่รู้สึกเพียงข้างเดียวเช่นนี้ จะเป็นหนทางที่ดีที่สุด และถูกต้อง

ไม่ว่ายังไงก็ต้องเจ็บปวดอยู่ดี...


--๕๐--


_______________________________________________

ถ้านายเชษฐ์ได้รู้ว่าวิวคิดเหมือนกัน ใจตรงกัน นางอาจจะไม่ตัดสินใจแบบนี้ก็ได้นะ นางแค่ป้องกันความรู้สึกตัวเองก่อนที่จะเจ็บปวด คือเรื่องนี้ คนเคยอกหักจะเข้าใจ ก็รู้กันอยู่ว่าปมของนายเชษฐ์มันใหญ่และฝังใจมาก

ส่วนน้องวิวก็อยู่ในช่วง คิดว่าตัวเองชอบอิกมาก สับสน เห็นเชษฐ์ไชยเป็นพี่ที่ใจดี

มาดูกันเถอะว่าวิวจะฝังปมอดีตของคนพี่ยังไง ในตอนหน้า อีกห้าสิบเปอร์เซ็นต์ที่เหลือก็กลับมาฮาเหมือนเดิมแล้ว อิอิ

อย่าลืมทิ้งคอมเม้นไว้เป็นกำลังใจกับหนูนาด้วยนะคะ รักคนอ่านทุกคนค่า


ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
 :z6:

ออฟไลน์ muiko

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +98/-3
เห้ออออ
ทำไมต้องยอมให้ยัยรตีมาอยุ่ด้วยเนี่ย
ถึงอ้างว่าวันครบรอบวันตายลูก แต่แบบบบบ
ทำตัววางท่าชะมัด
อาเชษฐ์อย่าพึ่งยอมแพ้สิ
เจ็บตอนนี้กะอนาคตก็เจ็บเหมือนกันแหละ
อย่ถอยห่างจากวิวเลยน้าาา
ถ้าเปนคนงานในไร่ ถ้าต้องเลือกจริงๆ
คงอยากให้อาเชษฐ์เปนเกย์ มากกว่ากลับไปคบยัยรตีแน่ๆ
 :monkeysad:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ก่อนจะปรับความเข้าใจกับวิว ไปจัดการอดีตเมียตัวเองก่อนจะดีกว่าไหม นายหัว  :katai1:

ออฟไลน์ k2blove

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1868
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +41/-3
สับสนความคิดตัวเองตีรวนใช่ไหมนายเชษฐ์
ไม่ต้องคิดมากหรอก ดำเองก็รู้ว่านายคิดยังไงกับริว
เอ๊ะ ทำไมต้องเอ่ยถึงดำ ก็เรา fc ดำนี่นา อิอิอิ
 :z2: :z2: :z2:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: **{28.3.61-ตอนที่ ๑๔--๕๐/๑๐๐ } Cinderella man and the beast
« ตอบ #109 เมื่อ: 28-03-2018 09:26:45 »





ออฟไลน์ BAKA

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3025
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +66/-10
โอ้ยยยยนายเชษฐ์ ทำไมตอนนี้ดูสับสนน่าสงสารขนาดนี้

แต่คนเราเดินหน้าแล้วต้องไม่หันหลังกลับเนอะ คนเคยทำเราเจ็บแล้วต้องจำ (หมายความว่าเราไม่เอารตรีนะนายเชษฐ์...ฮาาาา)

ออฟไลน์ ●GreenTEA●

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 684
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +27/-2
 :เฮ้อ:

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
ถึงไม่คิดจะสานต่อกับวิว
แต่ก็ไม่เห็นจำเป็นต้องเอารตีกลับมานี่???

ออฟไลน์ ่jum

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 3709
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +53/-4
ถอยง่ายจังเลย  :m16:

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa
(ต่อ)

วิริยะเดินมาที่โรงเพาะตามที่เชษฐ์ไชยสั่งเมื่อวาน พอเข้ามา นึกตกใจกับความใหญ่กว้างของมัน เด็กหนุ่มอ้าปากหวอ กวาดสายตามองรอบกายอย่างตื่นตาตื่นใจ มีทั้งแปลงต้นกล้าอยู่หลายแปลง รถบรรทุกที่มีคนงานขนใส่ถุงเตรียมขนส่ง และอีกฝั่งมีคนงานกำลังกรอกดินใส่ถุงที่มีต้นเล็ก ๆ เตรียมเลี้ยงให้โต หนึ่งในนั้นมีคนงานที่คุ้นหน้าคุ้นตาวิริยะอย่างดี

เด็กหนุ่มคลี่ยิ้มกว้าง วิ่งไปกอดคอคนที่กำลังง่วนอยู่กับการตักดินใส่ถุงดำ

“พี่ดำ!”

คนถูกทักทายเงยหน้าขึ้นมอง “เอ้า วิว! เป็นหยังคือได้มาเฮ็ดอยู่นี่”

เด็กหนุ่มละรอยยิ้มไปพักหนึ่ง แล้วกลับมาทำหน้าบานกว่าเก่า

“อ๋อ ถูกสั่งให้มา เมื่อวานแค่หน้ามืดนิดเดียวเอง”

“คือกันกับอ้ายเลย บ่นว่าอยากเฮ็ดงาน นายเซษฐ์เลยส่งมาม่องนี้ อ้ายเซ็งหลาย มีแต่ผู้เฒ่า”

ดำพยักเพยิดให้มองรอบกาย มีลุงป้านั่งล้อมกองดินสีดำอันผสมขี้ไก่เรียบร้อยแล้ว กำลังตักใส่ถุงกันอย่างขะมักเขม้น ฝ่ายถัดมาคือเอากล้าเล็กใส่ถุง แล้วยื่นให้ทางดำที่ต้องตักดินกลบอีกที แล้วจะมีคนมาทยอยเอาไปเรียงไว้ให้มันฝังราก หากมันไม่ตาย ก็จะได้นำออกไปจำหน่าย

กล้าพวกนี้เป็นพืชพันธุ์ผลไม้ที่เชษฐ์ไชยคิดค้นทดลองว่าแข็งแรง ออกผลดี บ่มเลี้ยงให้โตอีกหน่อยค่อยเปลี่ยนใส่ถุงที่ใหญ่ขึ้น เตรียมเอาออกไปขายให้ชาวไร่ในราคาถูกกว่าที่อื่น

การออกไปเที่ยวและรับฟังเรื่องเล่าจากลุงแสวงช่วงนั้น วิริยะนึกภาพความยิ่งใหญ่ของเชษฐ์ไชยไม่ออกเลย กระทั่งได้มาเจอด้วยตัวเองวันนี้

ดูเหมือนนอกจากทำนา การปลูกผลไม้ในจังหวัดนี้เป็นที่แพร่หลายกันมาก แต่ส่วนใหญ่ไร่รุ่งอรุณีจะมีเนื้อที่เยอะ คุณภาพในการคัดเกรดสูง และสามารถส่งออกในปริมาณมากกว่า ถึงอย่างนั้นเพื่อความสะดวกของชาวไร่ละแวกใกล้เคียง เชษฐ์ไชยจะส่งหัวหน้าคนงานไปรับซื้อต่อจากชาวไร่มาอีกทอดหนึ่ง แล้วค่อยนำมาคิดอีกทีว่าจะส่งออกไปที่ไหน ห้างสรรพสินค้า หรือต่างประเทศ หรือเอามาคิดค้นแปรรูปอีกที เพื่อไม่ให้ลำบากต้องนำออกไปขายข้างหน้ากับพ่อค้าคนกลาง เสี่ยงต่อการถูกกดราคา

งานทั่วทั้งไร่ วิริยะคิดว่าตรงนี้ง่ายและสบายที่สุด แต่ต้องอาศัยความใจเย็น อดทนอดกลั้นอยู่เหมือนกัน ก็แค่ตัก ๆ ดินใส่ถุงเท่านั้นเอง ทนเหม็นขี้ไก่อันเป็นปุ๋ยธรรมชาติหน่อยคงไม่เป็นไร อยู่ในร่มสบายกว่าคนตากแดดใช้แรงข้างนอกตั้งเยอะ นั่นกระมัง ถึงได้มีป้า ๆ ลุง ๆ ทั้งหลายอยู่ในนี้เต็มไปหมด

“โอ้โห แค่ตักดินก็ต้องอาศัยความชำนาญเหมือนกันนะเนี่ย ดูสิ มีแต่คนทำสวย ๆ แถมเหมือนกันทุกอันเลย” วิริยะบอกดำ แล้วก้มลงมองถุงที่ถูกดินอัดจนแน่นของตัวเอง บ้างก็เยอะเกิน บ้างก็น้อยเกิน สภาพไม่น่าผ่านคิวซีไปได้ เห็นแล้วป้า ๆ ก็หัวเราะ

“ทำไปเรื่อย ๆ เดี๋ยวก็กะน้ำหนักมือได้ลูก”

วิริยะฉีกยิ้มเมื่อเห็นรอยยิ้มเอ็นดูของทุกคนยามมองเขา “แล้ววัน ๆ นึงพวกป้าทำได้กันกี่ถุงครับ”

“ก็ราว ๆ หกเจ็ดร้อย มากสุดก็พันนึง นายเชษฐ์เขาไม่ให้เร่ง ทำไปสบาย ๆ ก็พอ”

“โห...เก่งอะ” วิริยะเบิกตาโตอย่างนับถือ “แล้วเยอะอย่างนี้เอาไปไว้ไหนหมดครับ”

“ก็เอาไปไว้ให้โตขึ้น เรียงเป็นแปลงแบบตรงโน้น”

วิริยะมองตามนิ้วของคุณป้า เห็นแปลงต้นกล้าที่เริ่มโตขึ้นมาอีกนิดหนึ่งเรียงกันยาวแทบสุดลูกหูลูกตา “พอมันโต ก็เปลี่ยนถุงอันใหญ่ให้ดูใหม่ขึ้น แล้วขายนั่นแหละจ้า วัน ๆ นึงมีต้นกล้าขายออกเป็นพันสองพันต้น ไหนจะเอาไปลงที่สวนเราเองก็เยอะเป็นทุนเดิมอยู่แล้ว ไหนจะต้นที่ป่วย ต้องคัดออกด้วย” ป้าผู้ใจดีอธิบาย ได้ฟังแล้ววิริยะก็พยักหน้ารับอย่างเข้าใจ ภายใต้ชื่อของรุ่งอรุณีนี่มันยิ่งใหญ่จริง ๆ เด็กหนุ่มคิดแล้วเปลี่ยนท่านั่งเพราะเหน็บกิน รู้สึกชามาถึงก้นซ้ายแล้ว

“วิวนี่ก็เก่งนะ อยู่มาถึงตอนนี้ได้ เป็นเดือนแล้วยังสู้ไม่ยอมถอยเลย เป็นเด็กคนอื่นน่ะเหรอ อยู่กลางแดดครึ่งวันก็วิ่งโร่กลับไปนอนตากพัดลมอยู่บ้านแล้ว” ป้าคนหนึ่งพูดด้วย เด็กหนุ่มยิ้มแห้ง ๆ เป็นการตอบรับ ซึ่งตอนนี้ความชาเริ่มลามมาถึงไข่แล้ว เขาควรลุกขึ้นยืน เหยียดขา หรือทำอะไรสักอย่างหนึ่ง ไม่ใช่นั่งพับขาอยู่เช่นนี้

“เอ้า มีใครอาสามาขนกล้าขึ้นรถ”

“ผมครับ!” วิริยะยกมือราวนักเรียนกำลังตั้งใจตอบคำถาม ยิ้มแป้นแล้นส่งให้หัวหน้าคนงาน

รีบลุกวิ่งไปหาลุงคนเดียวกันที่ยืนคุยหน้าดำคร่ำเครียดกับแสวงเมื่อวาน เด็กหนุ่มพยายามเก็บอาการขากะเผลก แต่มันปิดไม่มิด ทำเอาป้า ๆ ที่เห็นพากันสะกิดดูแล้วเราะแซวกันยกใหญ่ ส่วนวิริยะ ทำได้เพียงยิ้มแห้ง ๆ ให้ทุกคนแก้เขินอายเท่านั้น

เมื่อเดินไปถึงบริเวณแปลงกล้าโต ส่วนหนึ่งถูกนับเรียงรวมกันใส่ถุงหูหิ้วใบใหญ่เรียบร้อยแล้ว เด็กหนุ่มตั้งใจจะเอื้อมหยิบ หากทว่าสายตาก็ดีเหลือเกิน เหลือบไปเห็นตัวอะไรดำ ๆ กำลังเลื้อยเข้าไปในถุง

“อ๊ากกกก งู! ช่วยด้วย ในถุงมีงู!”

วิริยะกระโดดถอยออกห่าง ลืมไปว่าขากำลังชาเพราะเหน็บ หงายเงิบล้มลงไปในแปลงต้นกล้า ด้วยความที่กลัวว่ามันจะตกใจเสียงของเขาแล้วเลื้อยตามออกมา แม้ไม่มีแรงขาพาตัวเองวิ่งหนี เด็กหนุ่มพยายามกลิ้งหลุน ๆ ผ่านกล้าอ่อนไปทั่วจนถึงท้ายแปลง ท่ามกลางความตกใจแตกตื่นของคนงานคนอื่น

กว่าจะต้อนและจับงูได้ ลุงป้าก็มาช่วยพยุงวิริยะให้ลุกขึ้นออกจากแปลงสีหน้าตกใจ ห่วงว่าต้นกล้าจะเสียไปมากกว่านี้ ตอนแรกเด็กหนุ่มก็น้อยใจที่ทุกคนห่วงทรัพย์สินมากกว่าชีวิตของเขา แต่ครั้นวิริยะเหลือบเห็นความเสียหายราคาร่วมหมื่นกองอยู่ตรงหน้า ก็เริ่มรู้สึกกลัวกอริลล่าเจ้าของไร่มากกว่างูแล้ว

หน้าวิริยะถอดสี เขาต้องโดนเล่นงานแน่!

ภาพต้นกล้าหักเละเทะทั่วทั้งแปลงตรงหน้านั้น ลุงหัวหน้าคนงานบอกว่านับได้รวมเกือบสองหมื่นบาท วิริยะเหงื่อตกไม่เป็นอันทำงาน ในขณะที่ดำกอดบ่าปลอบใจว่าเป็นใครก็ต้องตกใจกันทั้งนั้น แล้วเขาจะเชื่อและรู้สึกดีขึ้นได้ไงเล่า ขนาดดำมีแขนแค่ข้างเดียว แต่เป็นคนหนุ่มคนเดียวที่พึ่งได้ตอนนั้น วิ่งเข้าไปไล่จับมันอย่างไม่นึกกลัว ท่ามกลางเสียงกรี๊ดของป้าและลุงที่ร้องลั่นโรงเพาะ

เด็กหนุ่มยกมือกุมปิดหน้าตัวเอง รับความซวยที่จะมาในไม่ช้านี้

ซึ่งความซวยก็มาทันตายิ่งกว่ากรรมเสียอีก เมื่อเงยขึ้น วิริยะเห็นเจ้าของไร่หน้าโหดเดินเข้ามาด้วยความขึงขัง หลังได้ทราบข่าวจากหัวหน้าคนงาน แต่น่าแปลกใจ ที่เชษฐ์ไชยไม่ได้มีหนวดเครารุงรังเหมือนเมื่อวาน ใบหน้าสะอาดสะอ้าน และยังสวมเสื้อผ้าตัวใหม่ ไม่ใช้ตัวเก่า ๆ ขาด ๆ เหมือนเมื่อก่อนแล้ว

คงกลับไปโกนหนวด แล้วลองเสื้อผ้าใหม่ ๆ กับคุณรตรีอะไรนั่นกันสนุกสนานเลยซีนะ

วิริยะรีบลุกขึ้นยืน เห็นนายใหญ่ของไร่เคี้ยวฟันแสดงความขึ้งโกรธมาแต่ไกล เมื่อกวาดสายตาเห็นว่าเด็กหนุ่มอยู่ตรงนี้ เชษฐ์ไชยก็ดิ่งมาหา พูดเสียงโมโหว่า “ทำไมถึงได้สร้างเรื่องไม่เว้นแต่ละวันเลยหา สนุกมากเลยรึไงที่เห็นคนอื่นคอยแก้ปัญหาของเธอ”

วิริยะนิ่ง ไม่คิดว่าเชษฐ์ไชยจะต่อว่าเช่นนี้

“ขะ ขอโทษครับ” เด็กหนุ่มเสียงอ่อน ไม่เห็นต้องโหดขนาดนั้น แค่นี้เขาก็สำนึกผิดจะแย่อยู่แล้ว แต่เชษฐ์ไชยคงจะโกรธมากจริง ๆ ทรัพย์สินเสียหายมากมายขนาดนั้น “ก็ผมตกใจที่เห็นงู งูตัวเบ้อเร่อด้วย เป็นใครก็ต้องวิ่งหนีกันทั้งนั้น ต่อให้เป็น...นายเชษฐ์ก็เถอะ”

“ไม่ต้องมาแก้ตัว ฉันไม่อยากฟัง”

“ฮะ” วิริยะย้อน “ผมก็แค่อธิบายนะ ไม่ได้จะแก้ตัวอะไรเลย”

“เงียบ!” คนตรงหน้าชี้นิ้วออกคำสั่ง “แค่อันเก่ายังไม่มีปัญญาจะจ่าย แล้วนี่ยังจะมาสร้างหนี้อันใหม่อีก ฉันว่าถึงเวลาแล้วที่เธอควรออกไปจากไร่แล้วจริง ๆ ฉันไล่เธอออก!”

วิริยะอ้าปากค้าง ไม่คิดว่าจะได้ยินคำนี้อีกครั้ง

“ก็บอกแล้วไงว่าไม่ไป ผมจะอยู่จนกว่าเปิดเทอม”

“ฉันไม่ได้อยากรู้ว่าเธอจะอยู่หรือไม่อยู่ ฉันไล่ก็ต้องออกไป กลับเก็บเสื้อผ้าเดี๋ยวนี้” คนตรงหน้าจริงจัง แวบหนึ่งวิริยะเห็นแววเฉยชาจากนัยน์ตาชายตรงหน้า ซึ่งไม่ใช่เชษฐ์ไชยคนก่อน เด็กหนุ่มไม่เข้าใจว่าเหตุใดคนตรงหน้าจึงทำเช่นนี้ ในเมื่อเป็นพี่ชายที่ดีคนเดิมมันก็ไม่ได้ทำให้ภาพลักษณ์นายใหญ่ของไร่แห่งนี้เสียหายถึงเพียงนั้น แล้วเหตุผลไหน ที่ทำให้เชษฐ์ไชยเลือกกลับมาร้ายดังเดิม

เด็กหนุ่มมุ่นคิ้ว รู้ว่าลึก ๆ เชษฐ์ไชยไม่ใจร้ายอย่างที่กำลังแสร้งทำอยู่ตอนนี้

“งั้น เดี๋ยวผมหายออกไปจากสายตานายเชษฐ์สักสองสามวัน แล้วพอนายเชษฐ์ใจดีขึ้น จะกลับมาทำงานใช้หนี้ ไม่ต้องให้ค่าแรงผมอีกต่อไปแล้วก็ได้นะครับ” วิริยะทำหน้าขอร้อง จะเดินไปแตะตัวอย่างเคยก็ไม่ได้ คนหน้าดุทำท่ายักษ์รอไว้อยู่ อาจโดนหลังแหวนได้

“อยู่ไปก็รังแต่จะทำข้าวของเสียหาย ทำให้คนอื่นวุ่นวายลำบากไปด้วย”

“แต่ว่าผมอยากอยู่ที่นี่ต่อจริง ๆ นะครับ” วิริยะทำเสียงอ่อนและเงยขึ้นมาจ้องหน้า เว้าวอนเสียงเล็กเสียงน้อยราวลูกหมากำลังขอข้าวกิน ยิ่งทำให้คนตั้งใจทำเมินรู้สึกลำบากไปอีกเท่าตัว เชษฐ์ไชยขบฟันพยายามสุดฤทธิ์ที่จะเบี่ยงสายตาไปมองทางอื่น ในขณะที่วิริยะทำหน้าทำตาละห้อยขอร้อง ท้ายที่สุดคนตัวเล็กกว่าก็ใช้ไม้ตาย กระเถิบมาใกล้แล้วกุมจับแขนเขาทำตาปริบ ๆ

เชษฐ์ไชยตกใจ กระตุกแขนกลับ “ก็บอกว่าไม่ไง ถอยออกไป!”

วิริยะแปลกใจ หน้าถอดสีกับระดับเสียงของชายหนุ่ม ซึ่งเรียกทุกสายตาหันมามองยังทิศนี้

“ทำไมทำแบบนี้อีกแล้ววะ ก็ไหนบอกว่าตัวเองไว้ใจได้ไง”

เด็กหนุ่มมุ่นคิ้ว พูดตามตรงในสิ่งที่ตัวเองรู้สึก

คนฟังใจหาย “แล้วไง...”

กัดฟันพูดตรงกันข้ามกับความรู้สึกอีกครั้ง

เด็กหนุ่มจ้องตาเชษฐ์ไชย เริ่มยิ้มไม่ออก คิดในทางที่ดีไม่ได้

“สรุปก็แค่ไม่อยากให้ผมอยู่ที่นี่อีกต่อไปแล้วใช่ไหม ผมจะไปได้ไป” เด็กหนุ่มถามเสียงเบาให้ได้ยินเพียงแค่สองคน เมื่อเห็นทีท่าเมินเฉยของเจ้านาย ในขณะที่จ้องตากันเขม็งไม่ได้พูดจาอยู่ครู่หนึ่งนั้น วิริยะรู้สึกเหมือนหน้าร้อนขึ้นมาเพราะอะไรมิทราบ อาจเป็นเพราะความโกรธที่ถูกกระทำอันไร้เหตุผลด้วย หรืออาจกำลังใจเสียที่สุดท้าย คนที่คิดว่าเป็นคนดีเลือกที่จะทำร้าย

เชษฐ์ไชยไม่ได้ตอบอะไรเด็กหนุ่ม แต่ถึงอย่างนั้น สีหน้าเย็นชาของอีกฝ่ายก็บอกได้เป็นอย่างดี

“สรุปที่ผ่านมาก็โกหกผมใช่ป้ะ” เด็กหนุ่มถามอีกครั้ง

สีหน้าของเชษฐ์ไชยไม่ยินดียินร้ายเมื่อเห็นวิริยะน้ำตาไหล อันที่จริงวิริยะไม่รู้ว่าทำไมเป็นแบบนั้น เมื่อได้รับคำตอบจากท่าทางของเจ้าของสถานที่แห่งนี้

“ขอบคุณ แล้วผมจะจำไว้” เด็กหนุ่มถอดถุงมือ เช็ดน้ำตาบ้า ๆ ที่ไหลเพราะไม่ได้ดังใจออกจากใบหน้า แล้วตัดสินใจเดินฉับออกมา หมดคำพูดที่ต้องคุยกันตั้งแต่วันนี้

“ห้ามใครหน้าไหนไปส่งเด็ดขาด ถ้าฉันรู้ว่าใครไปส่ง ฉันไล่มันออก!”

ลำขายาวชะงักกึกเมื่อได้ยินทำสั่งทิ้งท้ายของเจ้านาย แต่ก็เท่านั้น วิริยะไม่รู้ว่าถูกทำเช่นนี้เพราะอะไร แต่เด็กหนุ่มโกรธและยอมกลับบ้าน ดีกว่าถูกสายตาเยือกเย็นไร้ความรู้สึกนั้นมอง แล้วเขาก็รับไม่ได้กับไอ้อาการผีเข้าผีออก เดี๋ยวดีเดี๋ยวร้ายของไอ้อสูรบ้านั่นอีกต่อไปแล้ว ไร้เหตุผลสิ้นดี!

“นายเซษฐ์ครับ นายเซษฐ์!”

ดำลุกเดินตามเจ้านายไปอีกฝั่งเมื่อเห็นวิริยะเดินกระแทกเท้าดุ่มออกจากโรงเพาะไป ไม่คิดแม้แต่จะหันหลังกลับมาขออยู่ต่ออย่างเคย ชายหนุ่มเห็นว่าเจ้านายไม่ได้ดีใจหรือโล่งใจที่ตัดสินทำแบบนี้ และรู้ว่าเขาคนเดียวที่สามารถเกลี้ยกล่อมให้เชษฐ์ไชยตามวิริยะออกไปได้ แต่เมื่อเดินไปถึง ดูเหมือนเจ้านายจะรู้ทันว่าดำกำลังจะพูดอะไร

“ไม่ต้องมาเปลี่ยนใจกู กูไม่เปลี่ยน” เชษฐ์ไชยพูดพลางก้มลงเก็บซากต้นไม้

“แต่ว่าน้องบ่ได้ตั้งใจเฮ็ดเด้นายเซษฐ์”

ถ้าไม่ได้เจอวิริยะเลย เชษฐ์ไชยคิดว่ามันจะดีกว่า

“ไม่ใช่แค่เรื่องนี้เรื่องเดียว ที่ทำให้กูตัดสินใจแบบนี้”

“เป็นหยัง เพราะว่านายเซษฐ์สิคืนดีกับคุณรตรีเบาะ”

นายใหญ่ชะงักมือ ขมวดมุ่นคิ้วกับสิ่งที่ได้ยิน “ใครบอกมึง”

“คนเขาฮู้กันทั่วไร่แล้ว แม้แต่วิวมันกะฮู้คือกัน”

“มันรู้รึไม่รู้จะสำคัญอะไร กูไม่สนใจ...” แม้จะแอบสะเทือนใจหน่อย ๆ ก็เถอะ คนกล่าวงุดลงมองต้นไม้เบื้องหน้า ทำทีง่วนอยู่กับการเก็บซากที่หักพังไปด้วย เงี่ยหูฟังในสิ่งที่ดำพูดด้วย

“นายเซษฐ์แน่ใจแล้วแม่นบ่ว่าความรู้สึกวิวมันบ่สำคัญ แต่ดำบอกไว้ก่อนเลย ว่าที่นายเซษฐ์เฮ็ดแบบนี้บ่ถืกต้อง”

ได้ฟัง เชษฐ์ไชยก็นิ่ง “กูมีเหตุผลของกู”

“เหตุผลของนายเซษฐ์ สิบ่เฮ็ดให้นายเซษฐ์เสียใจแม่นบ่” ดำถามเสียงแผ่ว

เจ้านายเงยมองคนถาม “ไม่มีทางไหนที่กูไม่เสียใจหรอก เจ็บตอนนี้กับเจ็บข้างหน้าก็ไม่ต่างกัน”

“ดำหมายถึง นายเซษฐ์ได้คิดเผื่อบ่ ว่านายเซษฐ์สิเจ็บโดนปานใด๋ นายเซษฐ์คิดเผื่อไว้บ่ ว่าการตัดสินใจเถื่อนี้สิผิดพลาด จนเฮ็ดให้นายเชษฐ์เสียใจไปตลอดชีวิต แล้วตอนที่นายเซษฐ์มานึกขึ้นได้ทีหลัง นายเซษฐ์จะได้คิดแค่ว่าบ่น่าตัดสินใจแบบนั้นเลย ฮู้แบบนี้ น่าจะลองทำไปก่อนดีกั่ว พอมาคิดได้ มันกะสายไปเบิ่ดแล้ว อาจบ่แค่สาย อาจจะแลงไปเลยกะได้” ดำพูดโดยไม่เปิดช่องไฟให้เชษฐ์ไชยเถียง คนฟังทำท่าง่วนอยู่กับการเก็บกวาดสิ่งตรงหน้า แต่แอบคิดตามในสิ่งที่ลูกน้องบอกไปด้วย

“ไม่รู้เว้ย! กูทำแบบนี้แล้ว ไม่มีทางกลับมาคิดทีหลังหรอก คนแบบกูมีแต่จะก้าวหน้า ไม่ถอยหลัง” เจ้านายรำคาญ ลุกขึ้นจะเดินหนีไปทางอื่นไม่ยอมให้ดำเกลี้ยกล่อมแต่โดยง่าย

“โธ่! นายเซษฐ์ อย่ารั้นกับดำแบบนี้” คนพูดทำเสียงเสียดาย มองตามคนตัวใหญ่เจ้าของสถานที่กำลังเดินเอาเศษซากต้นไม้ที่หักพังไปทิ้งข้างนอก หันมาว่ากับดำไปด้วย

“หุบปากไปเลย กูไม่อยากพูดเรื่องนี้ มัวแต่อู้เดี๋ยวกูหักค่าแรงมึงนะ”

“ถ้าวิวมันไปอีหลีล่ะ” คนพี่ห่วงน้องชายนัก

“คิดว่ามันมีปัญญาไปเองได้รึไง หัดคิดซะบ้าง”

ดำชะงักฉุกคิด เดี๋ยวซี หรือที่ทำแบบนี้เพราะเชษฐ์ไชยคิดไว้ก่อนแล้ว หนุ่มอีสานมองตามคนหน้าบึ้งราวโกรธใครมาเป็นชาติอีกฝั่งอย่างไม่ค่อยเข้าใจ ไม่รู้ว่าเจ้านายกำลังคิดอะไรอยู่ ไล่วิริยะออกจากงาน แต่ไม่ยอมให้ใครออกไปส่ง ทั้งที่ทางออกก็ไม่มีรถผ่านนอกจากรถของไร่ ต้องปั่นจักรยานหรือเดินเอาเท่านั้น ซึ่งระยะทางก็ไกลและร้อนมากด้วย

ดูเผิน ๆ เหมือนเป็นการกลั่นแกล้ง

แต่ถ้ามาคิดให้รอบคอบ ทำแบบนี้อย่างกับไม่อยากให้ไปเลยนี่หว่า

ป่านนี้น้องชายสุดท้องของเขาคงแอบไปร้องไห้ขี้มูกโป่งอยู่ที่ไหนสักที่เพราะถูกแกล้งกระมัง นายเชษฐ์นี่ร้ายเกินไปแล้ว แถมเจ้าเล่ห์อีกต่างหาก แต่ถึงอย่างนั้น เมื่อดำไตร่ตรองได้แล้วก็รู้สึกโล่งใจไปนิดหน่อย เขาไม่คิดว่าวิริยะผู้ขี้ร้อนจะกล้าเดินตากแดดออกไปถนนใหญ่คนเดียวแน่

เศษซากต้นไม้ถูกโยนลงไปในกองขยะที่ซึ่งลับตาคนแล้ว เชษฐ์ไชยยกมือสางผมตัวเองออกคำสั่งให้ใจเย็นลงอีกนิด ปัดภาพไอ้ตัวเล็กน้ำตาคลอเต็มเบ้าเงยจ้องตา สีหน้าบอกว่ากำลังเสียใจที่เขาไม่มีเหตุผลนั้นออกไปจากสมองให้เร็วที่สุด ใจชายหนุ่มเต้นตึกจนต้องเดินไปมาเพราะไม่รู้จะทำอย่างไรดี พร่ำบอกตัวเองว่าวิธีไร้เหตุผลแบบนี้แหละที่จะทำให้เข้มแข็งได้

ต่อจากนี้ จะได้ต่างคนต่างอยู่ ไม่ต้องข้องเกี่ยวกันอีก

ชายหนุ่มไม่คิดว่าวิริยะจะไป แต่ใจหนึ่งก็แอบรู้สึกดีที่วิริยะจะคิดได้ว่าเขาร้าย แล้วไปจากที่นี่เสีย

ไปเลย ไปแบบไม่ต้องลาแบบนี้น่ะดีแล้ว

ถึงจะคิดแบบนั้น แต่ถ้อยคำของดำกลับบาดลึกเข้าไปในอกของเชษฐ์ไชย ตลอดทั้งวันไม่มีใครกล้าเข้าใกล้ชายหนุ่มแม้แต่คนเดียว อาจเป็นเพราะใบหน้าที่เอาแต่ขมวดคิ้วมุ่น ท่าทีหงุดหงิดอยู่ตลอดเวลานี้ก็เป็นได้ ซึ่งเชษฐ์ไชยเองก็ไม่เข้าใจความรู้สึกของตัวเองเลย แต่รู้...ว่ามันต้องใช้เวลาสักพักหนึ่งเหมือนความรักครั้งก่อน

ชายหนุ่มยอมรับกับคำพูดของดำ เขาไม่รู้ว่าเวลาระยะหนึ่งที่ว่านั้น มันยาวนานแค่ไหน

อาจจะเสียใจไปตลอดชีวิตอย่างที่ดำพูดก็ได้

เมื่อใช้เวลาหวนคิดตามในสิ่งที่ลูกน้องกล่าว จากสิบนาที เป็นหนึ่งชั่วโมง จากชั่วโมง เป็นสอง สามชั่วโมง เชษฐ์ไชยก็ยิ่งตระหนักได้ว่าตัวเองตัดสินใจไม่ถูกต้องจริง ๆ และชายหนุ่มรู้สึกว่า เขาไม่อยากให้วิริยะคิดว่าที่เขาร้ายต่ออีกฝ่ายเพราะอยากคืนดีกับรตรี คนอย่างนายเชษฐ์แห่งไร่รุ่งอรุณี ไม่มีทางถอยหลังไปอยู่จุดเดิมอย่างแน่นอน

เขาไม่มีทางคืนดีกับรตรี เชษฐ์ไชยอยากบอกวิริยะ แม้ว่าอีกฝ่ายจะไม่อยากรู้ก็ตาม

ชายหนุ่มมองนาฬิกาบนข้อมือบอกว่าสิบเอ็ดโมงกว่าแล้ว รู้สึกใจเต้นตึกจนแทบจะทะลุออกจากอก คิดว่าควรไปหรือไม่ไปดี ท้ายที่สุดชายหนุ่มก็ทิ้งข้าวของในมือลงพื้น หมุนตัววิ่งออกไปข้างนอกเมื่อคิดได้ว่าหากวิริยะตัดสินใจจริง ๆ ต่อให้กลัวความร้อนแค่ไหน คนโกรธก็ต้องไปจากที่นี่อย่างแน่นอน แล้วหากเป็นเช่นนั้นชายหนุ่มจะไม่ได้เจอ ไม่ได้มีโอกาสขอโทษอีกเป็นครั้งที่สอง

ร่างสูงไม่ได้กระโดดขึ้นรถอย่างที่เคย เพราะคิดว่าเป็นการเสียเวลา มุ่งตรงไปยังหอพักที่บัดนี้เงียบสงัดเพราะคนงานคนอื่นอยู่ที่ไร่ เห็นประตูห้องวิริยะถูกเปิดทิ้งไว้ก็รู้สึกโล่ง ดีใจที่เด็กหนุ่มไม่ได้โกรธถึงขั้นเก็บเสื้อผ้าหนี

เมื่อวิ่งไปถึง ถึงเชษฐ์ไชยก็เข้าไปด้านในด้วยความใจร้อน หากทว่ามันว่างเปล่า ใจที่ว่าชื้นวูบหาย ลงไปกองที่ตาตุ่มเมื่อไม่เห็นวิริยะ เป้ใบเดียวที่เป็นสัมภาระก็หายไปด้วย นอกนั้นของอย่างอื่นก็อยู่ดีทุกอย่าง วิริยะไม่ได้เอาอะไรไปสักชิ้น

มันจะสายไปแล้วจริงหรือ

“วิว!”

เชษฐ์ไชยตะโกน ตอนนี้เขาไม่สนแล้วว่าใครจะได้ยินหรือมองยังไง

“วิว ตอบพี่มาเดี๋ยวนี้เลย!”

ไม่มีเสียงตอบรับจากเด็กหนุ่มที่เขาเรียกหา ตัวเชษฐ์ไชยเริ่มสั่น เอาแต่นึกถึงดวงตากลมที่ถูกกลบไปด้วยน้ำ หากนับตั้งแต่ช่วงที่ทะเลาะกันก็ผ่านมานานหลายชั่วโมงแล้ว วิริยะอาจไปถึงถนนใหญ่ โบกรถไปในเมืองแล้วก็ได้ มือหนาขยับสางผมที่ปอนเปียกไปด้วยเหงื่อ ไม่ยอมตัดใจปล่อยให้เป็นเช่นนั้น ฮึดวิ่งกลับไปที่โรงเพาะแล้วกระโดดขึ้นรถคู่ใจ ขับบึ่งออกไปข้างนอกด้วยความเร็วที่สุด

“วิว อย่าเพิ่งไป...”

ดวงตาคมกวาดมองสองข้างทางหา

อย่าไปไหน อย่าเพิ่งไปไหน

เชษฐ์ไชยหน้าร้อนเมื่อนึกเช่นนั้น หวังว่าวิริยะจะไปไม่ถึงไหน

เขาหวังเหลือเกิน

 
--๗๕--
ตัวอักษรเกินเจ้าค่ะ ขอต่อกระทู้นะเจ้าคะ

ออฟไลน์ noonaaRP

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 262
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-1
    • fanpage Noonaa

(ต่อ)

“ไอ้เจ้านายบ้าเอ๊ย บ้าอำนาจ! ไม่ต้องเจอะต้องเจอกันอีกเลย”

วิริยะยกแขนเสื้อเช็ดน้ำตาของตัวเองอย่างอารมณ์เสีย แต่เมื่อเห็นว่าเสื้อแขนยาวที่ใส่เช็ดน้ำตาเป็นของใคร เด็กหนุ่มก็ยิ่งรู้สึกโมโหขึ้นมาอีกเท่าหนึ่ง เสียใจขึ้นมาอีกเท่าหนึ่ง อารมณ์มันผสมปนเปจนงุนงง ทำได้แค่ปล่อยให้น้ำตาไหลออกมา

วิริยะกำสายสะพายของเป้แน่นมองออกไปข้างนอก ในที่สุดก็เห็นถนนลาดยางสักที เด็กหนุ่มเดินไปทรุดตัวนั่งอยู่ที่ศาลาตรงหัวมุมสุดทางของไร่พักเหนื่อย ยกน้ำดื่ม ก้มลงนวดเท้าที่เดิน ๆ หยุด ๆ จนเมื่อยนั้น แล้วค่อยโบกรถยนต์ที่แล่นมุ่งตรงไปยังในเมือง เพื่อไปที่บขส. อีกทีเมื่อหายเหนื่อย

วิริยะไม่รู้ว่าตัวเองร้องไห้ทำไม ตั้งแต่เกิดมาเขาไม่เคยโกรธใครจนร้องไห้เป็นผีบ้าขนาดนี้มาก่อน ความรู้สึกหนึ่งก็เหมือนจะน้อยใจ อีกความรู้สึกก็เหมือนโกรธนิด ๆ เสียใจหน่อย ๆ รวมแล้วเด็กหนุ่มไม่เข้าใจว่าตัวเองเป็นอะไร แต่มันก็คล้ายช่วงที่ถูกอัศวินปฏิเสธเหมือนกัน วิริยะคิดว่า ความรู้สึกของคนที่ผิดหวังก็ไม่ต่างกันมากนักหรอก ไม่ว่าจะกรณีไหน อกหัก หรือถูกคนไว้ใจทำร้าย

เสียงรถยนต์แล่นจากถนนใหญ่ผ่านไป เสียดายที่ไม่มีคันที่มุ่งไปยังในเมืองเลย

วิริยะเช็ดหน้าตัวเองให้สะอาดสะอ้าน เมื่อสงบจิตสงบใจได้แล้วก็ชะเง้อคอรถตรงหน้าอย่างตั้งอกตั้งใจ เพราะเด็กหนุ่มตัดสินใจแล้วว่าจะไป จะไม่อยู่ต่อ อย่างน้อยเชษฐ์ไชยก็ถูก เรื่องที่เขาเอาแต่สร้างความเดือดร้อนให้คนอื่นลำบาก ต่อจากนี้วิริยะคงไม่ทำให้เจ้าตัวเหนื่อยอกเหนื่อยใจอีก ดีแล้ว...เขาตัดสินใจถูกแล้ว

วิริยะย่นหน้า ที่สำคัญ เขาโกรธเชษฐ์ไชยที่ไม่มีเหตุผลจนไม่อยากเจอกันอีกแล้ว

เด็กหนุ่มมุ่นคิ้ว รีบเงยหน้าขึ้นเมื่อได้ยินเสียงรถยนต์แล่นเข้ามาใกล้ หากทว่าไม่ได้มาจากถนนลาดยางเบื้องหน้า เป็นรถยนต์ที่ออกมาจากไร่รุ่งอรุณี เมื่อเหลือบไปเห็นแล้ววิริยะอ้าปากเหวอยิ่งกว่าเห็นผี เป็นรถปิ๊กอัพยกสูงคันคุ้นตาแล่นออกมาด้วยความเร็วสูง ด้านหลังคือฝุ่นสีแดงขโมงโฉงเฉงราวเป็นจรวด กำลังลงเนินมาทางทิศนี้

“ฉิบหาย!” หน้าวิริยะเต็มไปด้วยเหงื่อ แม้จะพักได้ครู่ใหญ่แล้วก็ตาม เด็กหนุ่มรู้สึกถึงลางไม่ค่อยดีเมื่อเห็นรถของอดีตเจ้านายมุ่งตรงมาทางนี้ เขาไม่อยากเจอ ไม่อยากคุยอะไรกับเชษฐ์ไชยตอนนี้

“วิว!”

ดูเหมือนเชษฐ์ไชยจะเห็นเด็กหนุ่มแล้ว วิริยะขนลุกซู่เมื่อได้ยินเสียงตะโกนแต่ไกล

หรือว่าอีกฝ่ายจะนึกเปลี่ยนใจ เลิกยกหนี้แล้วกลับมาเอาเรื่องเด็กหนุ่มกัน แบบนี้มันไม่ค่อยแฟร์เท่าไรเลย คิดแล้ววิริยะลุกขึ้นยืนอยู่ไม่ติดที่ ยามมองรถคันไกลสุดสายตาแล่นเข้ามาใกล้ทุกที ในขณะนั้นเชษฐ์ไชยก็ตะโกนอะไรบางอย่างฟังไม่ได้ศัพท์อยู่ อาจจะเป็นคำต่อว่า หรืออะไรสักอย่างเหมือนก่อนหน้านี้ก็เป็นได้

“วิว!”

เชษฐ์ไชยเร่งความเร็วขึ้นไปอีกเมื่อเห็นวิริยะอยู่ที่ศาลาสุดเส้นทางของไร่ ใจเต้นตึกจนทำอะไรไม่ถูก จ้องร่างที่ตัวแข็งมองมายังเขาราวกับเห็นสัตว์ประหลาด เขาอยากจะปรับความเข้าใจและให้เด็กคนนี้มองเสียใหม่ กลับมาเป็นวิริยะคนเดิมอีกครั้ง ชายหนุ่มบังคับยานพาหนะคู่ใจไปจอดกึกอยู่หน้าศาลา แล้วเปิดประตูวิ่งฝ่าฝุ่นสีแดงที่พัดมาตามลมไปหาเด็กหนุ่มตรงนั้นเพื่อคุยด้วย

“วิว...” มือเชษฐ์ไชยปัดควันฝุ่นให้มันคลายออก มองหาเด็กหนุ่ม หากทว่าไร้ร่างไอ้ตัวดีที่ทำหน้าเหวออยู่ตรงนี้ เหลือบไปเห็นหลังไว ๆ ของวิริยะวิ่งอยู่บนถนน ร้องเรียกรถคันหนึ่ง ซึ่งคนถูกเรียกก็จอดรับวิริยะเสียด้วย

เชษฐ์ไชยส่ายหน้า รีบวิ่งขึ้นรถขับตามไอ้เด็กบ้านั่นอีกครั้งอย่างไม่ยอม

ขนาดมาตามแล้วยังหนี นี่ไม่คิดจะเจอเขาอีกแล้วใช่ไหมเนี่ย!

“ไปเลยครับลุง ไปเลย!” วิริยะรีบบอกลุงคนขับผู้ใจดีไม่รู้เวลา หลังจากวิ่งขึ้นมานั่งบนเบาะข้างกัน ซึ่งสภาพรถของแกไม่น่าจะขับเร็วถึงเก้าสิบกิโลเมตรต่อชั่วโมงได้ด้วยซ้ำ แต่อย่างน้อยเขาก็หลุดรอดจากเงื้อมมือของอสูรร้ายมาได้แล้ว วิริยะคิดแล้วถอนใจอย่างโล่งอก

รถของคุณลุงขนลูกเจี๊ยบสีเหลืองอยู่เต็มกระบะ วิริยะมองสองข้างทางที่เต็มไปด้วยทุ่งนาพลางสูดลมเข้าเต็มปอด แม้เสียงเครื่องยนต์ของลุงแกจะดังกระหึ่มขัดความสุนทรีย์ไปบ้างก็ไม่เป็นไร เขาหลุดจากขุมนรกแล้ว หลุดจากไอ้หน้าหนวดเอาแต่ใจนั่นแล้วโว้ย!

ปิ๊นนนนนน!

วิริยะสะดุ้ง ชะโงกหน้าออกจากหน้าต่างรถออกไปด้านหลัง อ้าปากค้างเมื่อยังเห็นเงายมทูตตามมาไม่ยอมถอย เด็กหนุ่มรีบหันกลับมา เหงื่อแตกอีกครั้ง ร้องบอกคุณลุงลั่นรถ “ลุง! ขับเร็วกว่านี้หน่อยได้ไหมครับ”

“ทำไมล่ะไอ้หนุ่ม”

“ขอร้องละครับลุง ช่วยผมหน่อย มีคนโรคจิตกำลังตามผมมา นั่นไง” วิริยะชี้กระจกให้คุณลุงดูหลักฐาน เห็นรถปิ๊กอัพยกสูงของผู้ถูกกล่าวหาว่าเป็นโรคจิตตามมา แถมบีบแตรไล่พวกเขาอีกต่างหาก เห็นดังนั้นคุณลุงผู้ใจดีก็ยอมเพิ่มความเร็วให้ทั้งบ่นไปด้วย “เอ้อ คนสมัยนี้มันบ้าดีเดือดได้ขนาดนี้เลยเหรอวะเนี่ย ไปทำอะไรให้เขาล่ะ”

“ผมเปล่า ผมต่างหากที่ถูกกดขี่ข่มเหงทางความรู้สึก ก็เลยหนีมา”

ปิ๊นนนนนนนน!

ยิ่งได้ยินเสียงแตรกดดันจากด้านหลัง วิริยะก็แทบเป็นบ้า ไม่รู้ว่าเชษฐ์ไชยต้องการอะไร ก็เขาออกมาจากที่นั่นแล้วไง ต้องการอะไรอีก เด็กหนุ่มมุ่นคิ้วมองกระจกหลัง เห็นอีกฝ่ายที่ไล่ตามนั้น เพิ่มความเร็วจนสามารถข้ามเลนมาตีขนาบข้างได้ เมื่อเห็นดังนั้นวิริยะหน้าเหวอ ยามเชษฐ์ไชยเปิดกระจกแล้วบีบแตร ตะโกนออกมาว่า “จอดรถ!”

“เฮ้ย ชักไม่ชอบมาพากลแล้วไอ้หนุ่ม นั่นมันนายเชษฐ์ไร่รุ่งอรุณีนี่หว่า” คุณลุงเหลือบมองคนหัวร้อนที่บังคับรถอยู่ข้างกัน ดีหน่อยที่เป็นบ้านนอก รถราไม่เยอะเหมือนในเมือง

“ไม่ต้องจอดนะลุง ผมขอร้อง”

“วิว บอกให้เขาจอดรถ!” คนหน้าดุบังคับเสียงดัง ทุกอย่างแลดูโกลาหล ไหนจะเสียงลม ไหนจะเสียงไอ้หนวดบีบแตรรถไล่บี้ ไหนจะเสียงเครื่องยนต์ราวเครื่องบินของคุณลุง ทุกอย่างผสมกันวินาทีนั้นทำเอาวิริยะปวดหัว

เด็กหนุ่มส่ายหน้า ยกมือกุมหูไม่รับรู้อะไรอีกต่อไปแล้ว คนขับรถอีกฝั่งก็ขบฟันจนกรามปูด หันมาหาเด็กหนุ่มท่ามกลางรถที่ยังแล่นขนาบข้างกันอยู่ “ถ้าไม่ยอมจอดฉันแจ้งตำรวจแน่ ลุง! อยากโดนข้อหาช่วยโจรหนีเหรอ จอดรถเดี๋ยวนี้เลย!”

ได้ยิน วิริยะหน้าเหวอเมื่อเชษฐ์ไชยเปลี่ยนเป้าหมาย เด็กหนุ่มรีบส่ายหน้าบอกคนขับข้างกาย

“ไม่จริงนะลุง ผมไม่ได้ขโมยอะไรทั้งนั้น”

“ละ ลุงว่าจอดรถคุยกันไหม” คุณลุงเริ่มงุนงง หันมาถามวิริยะ

“ไม่ได้ ผมไม่อยากคุยอะไรทั้งนั้น มันจบแล้วอาเชษฐ์ จบแล้ว!” เด็กหนุ่มหันไปหาเชษฐ์ไชยอีกฝั่ง ซึ่งเมื่อได้ยินแล้ว แทนที่จะเป็นฝ่ายยอมล่าถอย คนตัวใหญ่ทำหน้าดุเคร่งเครียด แล้วกดแตรบีบดังลั่นถนน กดดันทั้งลุงผู้ขนลูกเจี๊ยบและวิริยะทางนี้จนสะดุ้ง

“ลุง! ถ้าช่วยโจรหนีฉันเล่นงานลุงแน่!”

“เฮ้ย เอาไงดี นั่นนายเชษฐ์นะไอ้หนุ่ม” แกหันมาทำตาเหลือกใส่วิริยะ

เด็กหนุ่มหันหน้าไปหาอดีตเจ้านาย ไม่รู้ว่าเชษฐ์ไชยคิดอะไรอยู่ ยิ่งเห็นสีหน้าของอีกฝ่าย วิริยะยิ่งคิดว่าไม่ควรให้คุณลุงจอดรถ เขาอาจถูกเชษฐ์ไชยบี้เละคากรงเล็บคม ๆ นั้น แค่ได้มองตาดุยามร้องออกคำสั่งให้หยุดตอนนี้ขนก็ลุกเกรียวกราวแล้ว ในขณะที่ขบคิดอย่างร้อนรนในใจ วิริยะเหลือบไปมองทางข้างหน้า ตาเบิกกว้างขึ้นไปอีกระดับพร้อมกับใจที่ร่วงลงไปอยู่ตาตุ่ม

“อาเชษฐ์ รถมา!”

วิริยะรีบหันไปบอกคนที่เอาแต่ใจ

“อ๊ากกกกก!”

ไม่รู้เสียงใครต่อใครบ้าง วิริยะร้องจนตาเหลือกผสานเสียงพร้อมกับคุณลุง เมื่อเห็นรถบรรทุกคันใหญ่แล่นสวนมาข้างหน้า ทั้งสองคันที่ขับขนาบข้างไม่ยอมกันนั้น แยกไปคนละทางด้วยความเร็ว เพื่อให้ไอ้รถคันใหญ่ตรงหน้าผ่านพ้นไป

เด็กหนุ่มร้องลั่นไม่กลัวเจ็บคอ เกาะรถแน่น เมื่อมันพาไถลลงข้างทาง ข้างหน้าเป็นทุ่งนาเขียวชอุ่ม ความเร็วของรถที่แล่นมาเมื่อตกร่องน้ำแล้วทำให้พลิกข้าง ทว่าพาพวกเขาวิ่งฝ่าเข้าไปในทุ่งนาที่เต็มไปด้วยโคลนถึงได้ช่วยหยุดความเร็วของรถได้ ยังดีที่มันกลับมาตั้งอย่างปกติได้

เมื่อรถหยุดนิ่ง วิริยะกุมจับตัวเองตรวจตราว่าเจ็บหรือส่วนไหนหักพังบ้าง สรุปว่าทุกอย่างปกติ เขายังไม่ตาย เมื่อได้สติแล้วเด็กหนุ่มนึกถึงอีกคนที่อยู่อีกฝั่งของถนน ไม่รู้จะเป็นตายร้ายดีอย่างไร

“ลุง เดี๋ยวผมมานะครับ!”

เด็กหนุ่มเปิดประตูวิ่งลุยโคลนออกไป ข้ามถนนไปยังอีกฝั่งที่ต่ำกว่าบริเวณจอดรถของพวกเขามาก ใจหาย เมื่อเห็นรถปิ๊กอัพยกสูงของเชษฐ์ไชยหงายท้องแน่นิ่ง อยู่กลางทุ่งนาสีเขียว ลำขาวิริยะก้าวออกไปหาอีกฝ่ายอย่างไม่ลังเลแม้แต่นิดเดียว “อาเชษฐ์ อาเชษฐ์!”

ยังไม่ทันได้ถึงดี เด็กหนุ่มก็ได้ยินเสียงตอบรับ

“วิว ไม่เป็นอะไรใช่ไหม วิว!” ใจเด็กหนุ่มชื้นขึ้นมารู้ว่าเชษฐ์ไชยไม่ได้เป็นอะไร ทว่ายังไม่สามารถขยับออกจากรถเพราะเข็มขัดนิรภัยรัดตัวอยู่ เด็กหนุ่มทรุดอยู่ข้างหน้าต่าง เห็นคนตัวใหญ่ห้อยหัวโตงเตงลงพื้น พยายามแกะเข็มขัดให้หลุดหากทว่าไม่สามารถทำได้ เด็กหนุ่มวิ่งไปอีกฝั่ง มือไม้สั่น ช่วยอีกแรงจนร่างใหญ่ร่วงลงมาได้

“ทำไมทำแบบนี้ ถ้าหลบไม่พ้นจะทำยังไง!” วิริยะร้องใส่คนตรงหน้า ตัวสั่นเพราะนึกกลัว

เด็กหนุ่มยังจำความรู้สึกเมื่อนึกถึงเชษฐ์ไชยเมื่อครู่ได้ เขาเจ็บปวด เมื่อคิดขึ้นว่าจะสูญเสียไอ้บ้าตรงหน้าไป

ครั้นเชษฐ์ไชยตั้งสติได้ก็ดึงวิริยะเข้ากอด กอดแน่น รับฟังเสียงต่อว่าของวิริยะด้วยตัวที่สั่นเทาไม่ต่างคนในอกเท่าไรนัก เหตุการณ์กะทันหันเมื่อครู่ทำให้เชษฐ์ไชยฉุกคิดอะไรขึ้นมาได้หลายอย่าง เขาไม่ควรตัดโอกาสของตัวเองเมื่อยังไม่ได้ลองทำ หากเมื่อครู่เกิดอะไรขึ้นกับวิริยะ ชายหนุ่มจะโทษตัวเอง ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเป็นความผิดเขาทั้งหมด

เมื่อรถพลิกคว่ำ เชษฐ์ไชยนึกถึงวิริยะเป็นสิ่งแรก อยากจะรีบออกไปช่วย แต่ตัวเองยังจะเอาไม่รอด ชายหนุ่มคิดด้วยดวงใจที่สั่นหวิวขณะพยายามแกะเข็มขัดนิรภัยให้ตัวเอง และเมื่อได้รู้ว่าวิริยะปลอดภัย เชษฐ์ไชยก็รู้สึกเหมือนเกิดใหม่ และให้คำสัตย์กับตัวเองว่าจะไม่ทำอะไรตรงกันข้ามกับใจอีกต่อไปแล้ว...

“อาเชษฐ์ไม่ได้เจ็บตรงไหนใช่ไหม”

คนโกรธถามฝ่าความเงียบ ในขณะที่เริ่มรู้สึกแปลกเมื่อถูกกอด

เชษฐ์ไชยส่ายหน้า “ไม่ ไม่ได้เจ็บ”

วิริยะผละตัวออก เบนสายตาไปมองที่อื่นเมื่อคนตรงหน้ายังไม่ผละสายตาไปไหน กล่าวกับเขาว่า “เมื่อเช้าฉันโกรธก็เลยพูดแรงไป ถ้านั่นทำให้เธอเสียใจ ฉันก็...ขอโทษ เธอจะกลับไปทำงานที่ไร่ต่ออีกก็ได้ ฉันไม่ว่าอะไรแล้ว”

คนฟังถอนใจ “ได้ไง ผมไม่กลับไปแล้ว อีกหน่อยอาเชษฐ์ก็คืนดีกับเมีย เดี๋ยวก็มีเรื่องวุ่นวายเกิดขึ้นอีก กลับบ้านตั้งแต่ตอนนี้ยังดีกว่า” วิริยะยู่หน้า โคลงศีรษะปฏิเสธคำของคนตรงหน้าอย่างตรงไปตรงมา เมื่อได้ยิน เชษฐ์ไชยเลิกคิ้ว รีบแก้เรื่องที่ถูกเข้าใจผิด

“ใครบอกว่าฉันจะคืนดีกับเมีย ฉันไม่มีทางคืนดีกับรตรีอีกแน่นอน”

วิริยะนิ่ง มองคนทำตาโตจริงจังตรงหน้าอย่างไม่ไว้ใจ ถ้าไม่ได้คิดจะคืนดีกันจริง ทำไมถึงได้ทำสีหน้ามีพิรุธ ลุกลี้ลุกลนอยากให้เขาเชื่อกันนัก เด็กหนุ่มหลุบมองที่มือตนเอง ลืมไปสนิทว่ากำลังถูกคนตรงหน้ากุมจับอยู่ วิริยะย่นคิ้ว สบตาคนอายุมากกว่าเบื้องหน้าอยู่พักหนึ่ง

“ถ้ามีอีก คราวหน้าผมกลับจริง ๆ”

“เฮ้ย! อย่าเพิ่งคุยอะไรกันเลยไอ้หนุ่ม มาช่วยลุงจับลูกเจี๊ยบก่อน ตายแน่ เจ้านายเล่นงานฉันเละแน่เลยคราวนี้!”

วิริยะหันไปตามเสียงอีกฝั่ง นึกขึ้นมาได้ว่าเมื่อครู่รถยนต์ของคุณลุงเทกระจาดทั้งคัน นึกถึงสภาพตัวเองร้องตาเหลือกโหวกเหวกประสานเสียงกับลุงเมื่อครู่แล้วนึกขัน เด็กหนุ่มหันกลับมาเห็นหน้าเชษฐ์ไชย ผุดรอยยิ้มขึ้นมาอย่างควบคุมไม่ได้ เมื่อเห็นว่าทุกคนรอดกันหมด ทั้งที่ผ่านเรื่องราวบ้า ๆ ด้วยกันมาอย่างฉิวเฉียด

“ไปช่วยผมจับเลย ความผิดอาเชษฐ์นั่นแหละ”

 วิริยะทำเป็นตีหน้าตึงชี้นิ้วไปอีกฝั่งเป็นการสั่ง เห็นเชษฐ์ไชยส่ายหัวเซ็งหลังได้ฟัง แต่อีกฝ่ายก็เอื้อมมาจับมือ พาเขาคลานออกจากรถไปโดยไม่มีคำปฏิเสธใดอีก ทำแบบนี้ ไม่บอกวิริยะก็รู้ว่าเจ้าตัวอยากให้เขาอยู่ต่อขนาดไหน เห็นแล้วคนโกรธก็ลดทอนความรู้สึกลงไปได้นิดหน่อย

แต่ก็ยังโกรธ

ครั้นได้เห็นอสูรตัวใหญ่ยักษ์วุ่นวายกับการวิ่งไล่ตะครุบจับลูกเจี๊ยบราวร้อยตัวเบื้องหน้า จากหล่อ ๆ ตอนนี้เปื้อนไปด้วยโคลนตม สภาพไม่เหลือเค้านายใหญ่แห่งไร่รุงอรุณีเลย หากมีคนงานมาเห็น คงมีคนหัวเราะกันเหมือนเขาตอนนี้ ประกอบด้วยคำบ่นแล้วบ่นอีกของอีกฝ่าย ได้เรียกรอยยิ้มและเสียงหัวเราะของวิริยะได้เป็นอย่างดี

เมื่อได้เห็นเชษฐ์ไชยทุ่มเทขนาดนี้ จะยอมหายโกรธให้ก็ได้

คิดแล้ววิริยะก็ส่ายหน้า ผุดรอยยิ้มขึ้นมาอีกครั้ง


--๑๐๐--


----------------------------------------------------------------

เป็นการตามง้อที่ค่อนข้าง...ฮาร์ดคอร์เหลือเกิน ฮ่าๆๆๆๆๆ

หลังจากเข้าใจกันแล้ว สถานการณ์ก็จะกลับมาเหมือนเดิม เพิ่มเติมคือมีชะนีมาเป็นก้าง แต่หลังจากนี้ ความสามีจะเริ่มออกนอกหน้าขึ้นมาอีกระดับ การหึง การหวง การเรียกร้องความสนใจ มาหมดไม่เกรงใจคนในไร่แล้ว อิอิ ซึ่งน้องวิวก็เริมฉุกคิดขึ้นมาได้ทีละนิดแล้ว ว่าสรุป ตัวเองได้ชอบอาเชษฐ์ไหม

มาคอยเชียร์ความรักอุตลุดของอสูรปากแข็ง กับเจ้าหญิงซื่อบื้อกันต่อนะคะ หลังจากนี้น้องวิวจะได้เป็นเจ้าหญิงของเจ้าชายอสูรเต็มตัวแล้วค่าาาา

ชอบไหมเอ่ย อย่าลืมแบ่งเพื่อนคนอื่นอ่าน

ที่สำคัญ ทิ้งคอมเม้นให้หนูนาอ่านด้วยนะคะ จะตั้งใจอ่านเลยค่าาา


ออฟไลน์ muiko

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1089
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +98/-3
กว่าจะคิดได้นะอาเชษฐ์
เล่นเอาเกือบตายกันหมด 5555
สมน้ำหน้าไล่จับลูกเจี๊ยบให้ลุงแกไปเลย
 :laugh:

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
นายหัว จะทำเรื่องงี่เง่าให้มันมากเรื่องทำไม ถ้าไม่ทำเรื่องงี่เง่า ก็คงไม่ต้องมาไล่จับลูกเจี้ยบให้มันเหนื่อยแบบนี้หรอก :hao3:

ออฟไลน์ mild-dy

  • ☆ ทาสแมว ☆
  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8896
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +389/-80

ออฟไลน์ nunda

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3004
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-2
คุณเชษฐ์ต้องตั้งสติดีๆนะคะ เฮัออออ

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด