ตอนที่ 6 : อย่าเบียดเบียนซึ่งกันและกันเลย
“พ่อครับ แม่ครับ ผมอยากเรียนขับรถ”
งานเดินแบบจบลงด้วยดี การสัมภาษณ์แบบเนียนโฆษณาเช็กเมทซีซันสามก็ราบรื่น นิฌานพูดตามที่ผมเตรียมไว้เป๊ะทุกคำไม่มีตกหล่น แม้ว่าหลังจากนั้นจะถูกทางผู้จัดงานลากไปดุเพราะต้องรีบแต่งตัวเตรียมขึ้นเวทีไม่ทันต่อว่าก็ตาม
ตอนนั้นผมอยากจะเข้าไปร่วมยกมือไหว้ขอโทษขอโพยด้วย เพราะยังไงก็ทำใจไม่ได้ที่เห็นเขาพูดขอโทษทั้งที่ทำดีที่สุดแล้ว แต่สุดท้ายก็ถูกกันเป็นคนนอก ทางเจ้าของงานไม่เห็นเด็กอายุสิบแปดในสายตา พอผมมาถึงยังมองงงๆ ว่านี่หรือผู้จัดการคนใหม่ของนิฌาน ชาญชัย
หลังแวะไปงานอีเวนต์อีกที่ เขาก็ขับรถมาส่งถึงบ้านตอนสองทุ่มตรง สิ่งที่น่าผิดหวังที่สุดในวันนี้คือการที่ผมขับรถไม่เป็น! ตอนนั่งแท็กซี่กับนิฌานกลับสตูดิโอเพื่อเอารถนั้น...ยิ่งนึกก็ยิ่งรู้สึกรับไม่ได้ ผู้จัดการประสาอะไรต้องให้ดารารับส่ง เวลาไปทำงานก็นั่งเป็นตุ๊กตาหน้ารถ ไม่ทำอะไรเลยนอกจากเป็นภาระ!
ถึงจุดประสงค์ในการว่าจ้างของนิฌานคือต้องการเด็กไร้ประสบการณ์ นั่งทวนตารางงานไม่ยุ่งเกี่ยวกับเรื่องส่วนตัวหรือเรื่องอื่นๆ แต่ให้ผมเป็นตัวถ่วงก็ไม่ไหวเหมือนกัน ฉะนั้นผมจะไปเรียนขับรถ!
“ถ้าเจตัดสินใจแล้วก็เดินหน้าให้เต็มที่เถอะจ้ะ” แม่ผมบอก แม้จะไม่เข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นแต่ก็พร้อมสนับสนุน
“เจไปเรียนก็ดีเหมือนกัน บ้านเราไม่มีใครขับเป็นเลย เวลาเกิดเหตุฉุกเฉินอย่างน้อยก็มีคนที่ขับได้”
“แต่บ้านเราไม่มีรถนะจ๊ะพ่อ แบบนี้เจจะเอารถที่ไหนไปสอบใบขับขี่ล่ะ”
“พี่จิมีครับ” ผมพูดอย่างมั่นใจ เอ่ยถึงพี่ชายที่วันนี้ไปค้างบ้านแฟน “พี่จิเคยเล่าว่าได้ของขวัญจากเสี่ยเป็นรถหนึ่งคัน แม้จะปฏิเสธไปแล้วแต่เสี่ยก็ยัดเยียดให้ แต่เพราะที่บ้านเราไม่สะดวกจอดรถนานๆ เลยไปจอดที่บ้านเสี่ยแทน”
“เสี่ยเขาซื้อให้จิ เราเอาไปใช้อาจจะไม่ค่อยเหมาะนะลูก”
“ผมขอใช้ตอนสอบใบขับขี่เท่านั้น ระหว่างนี้ที่เรียนเขามีรถให้ยืม ตอนทำงานผมก็ใช้รถของพี่ฌานได้ครับ”
“เจลองพูดกับจิหรือยัง” แม่ยังนึกเกรงใจเสี่ย
“พี่จิไม่เคยปฏิเสธคำขอร้องของน้องชายอย่างผมหรอก” ผมกอดอก ไม่รู้ซะแล้วว่าใครอยู่เหนือห่วงโซ่อาหารระหว่างผม พี่จิ กับเสี่ย
ถึงจะถูกเรียกว่าเสี่ยแต่อำนาจในมือน่ะน้อยยิ่งกว่าน้อย เป็นจุดต่ำสุดของห่วงโซ่ไปนั่นแหละ!!
“แล้ว...มีปัญหาอะไรมั้ยลูก” พ่อหันมากวักมือเรียกไปคุยกระซิบกระซาบลับหลังแม่ “เจ้าจิมันโทรมาฟ้องว่ามีคนคิดเคลมเจ”
โธ่ พี่จิคนดีของผม ตอนเช้าทำทีเหมือนจะทรยศ แต่ในใจยังคิดห่วงอยู่สินะ
ผมซึ้งน้ำตาจะไหล น่าแปลกที่ครั้งไม่ยักจะอคติกับนิฌานเหมือนเดิม อารมณ์ฮึ่มแฮ่พร้อมจะตั้งป้อมใส่ก็หดหายน้อยลงมาก
“ไม่ต้องห่วงหรอกพ่อ นิฌานเขาไม่ใช่คนไม่ดี”
พูดจบผมก็ประหลาดใจตัวเอง ขมวดคิ้วนิดหน่อย ก่อนจะแก้คำเสียใหม่
“แต่ก็ไม่ใช่คนดี”
พ่อทำหน้ามึนใส่ผม ผมก็ทำตาประหลับประเหลือกใส่พ่อ สุดท้ายก็เป็นอันจบบทสนทนาด้วยความงุนงงทั้งพ่อและลูก
จะว่ายังไงดีล่ะ...เหตุการณ์วันนี้ทำให้ผมรู้สึกว่าไอ้ความไหลลื่นของเขานั้นก็ไม่ได้แย่มากนัก รอยยิ้มนั้นมีจุดประสงค์ ความเจ้าชู้ก็ทำไปเพื่อบรรลุผล แม้จะมีทั้งเพื่อส่วนตัวและส่วนรวม แต่ก็ไม่นับว่าเลวร้ายเกินรับไหว...ละมั้ง
หลังคุยกับพ่อแม่เสร็จผมก็ขึ้นห้องเปิดคอมพิวเตอร์หาที่เรียนใกล้บ้าน เจอสถานที่น่าสนใจนั่งรถเมล์ไปแค่สองป้ายเท่านั้น ราคาก็ไม่แพงมาก แถมยังสามารถสอบใบขับขี่ได้อีกด้วย หลังตกลงใจแล้วผมก็ไม่ลืมโทรไปขออนุญาตพี่ชายคนดี
แต่...พี่จิไม่รับ
แปลกมาก พี่จิผู้มากมารยาทนั้นมักไม่ปล่อยให้ปลายสายรอนาน เว้นแต่ว่า...ติดกิจกรรมบางอย่างอยู่
ผมเงยมองนาฬิกา เพิ่งจะสามทุ่มเท่านั้น เฮ้ยๆ แม้จะรู้แก่ใจว่าเวลาพี่ชายไปค้างบ้านแฟนนั้นย่อมไม่วายถูกจับกิน แต่จะรีบมุดโปงไวไปมั้ย!
ผมวางโทรศัพท์บนโต๊ะ ตั้งใจว่าจะอาบน้ำแล้วค่อยลองโทรใหม่ แต่เสียงเรียกเข้าดังแทรกก่อน ผมยิ้มกริ่ม กดรับทันทีโดยไม่ดูปลายสาย
“ทำไมพี่จิไม่รับโทรศัพท์ผม!”
มีความสุขกับเสี่ยไม่สนใจน้องนุ่งขนาดนี้ อดแกล้งให้พี่ชายลนลานรีบง้อไม่ได้จริงๆ
(( น้ำเสียงห้วนเชียว กำลังหงุดหงิดอะไรเหรอครับ ไม่ต้องห่วงนะ ถ้าเหงาก็โทรหาพี่ได้ รับรองว่าพี่จะไม่มีวันพลาดสายของน้องเจ ))
ผมชะงักไปครู่หนึ่ง ไม่ต้องดูชื่อคนโทรก็รู้ทันทีว่าเป็นใคร
“พี่ฌานไม่ได้อยู่ในงานเลี้ยงวันเกิดเพื่อนสนิทหรอกเหรอครับ” ผมเปลี่ยนเสียงเป็นเรียบเรื่อยทันควัน ถึงจะมองเขาในแง่เห็นอกเห็นใจมากขึ้น แต่การถูกแทะโลมนั้นมันน่าสยองขวัญค่อนไปทางเหนื่อยหน่าย ถ้าเป็นไปได้ผมอยากร่วมงานกันโดยไม่มีเรื่องชู้สาวมาข้องเกี่ยว
(( อยู่ครับ แต่ปลีกตัวมาโทรหาน้องเจ กลัวดึกกว่านี้จะไม่เหมาะ ))
“ถ้าโทรมาเพื่อคุยเล่น จะตอนไหนก็ไม่เหมาะทั้งนั้นแหละครับ”
(( โชคดีจัง เพราะพี่โทรมาเรื่องงาน แสดงว่าจะหลังจากนี้ต่อให้ดึกแค่ไหนพี่ก็โทรมากวนน้องเจได้ใช่มั้ยครับ ))
“ถ้ารู้กับอกว่ามันกวนใจผม อย่าโทรมาบ่อยๆ จะดีกว่าครับ”
(( โหดร้าย ))
เป็นคำตัดพ้อที่น่าถีบมากผมบอกเลย
(( พรุ่งนี้เช้าพี่จะไปรับน้องเจตอนเที่ยงนะครับ ))
“นี่คือเรื่องงานแล้วเหรอครับ”
(( ก็พี่มารับเราไปทำงานด้วยกันไง ))
ผมกลอกตา จำตารางของนิฌานได้ว่าเขามีอัดรายการตอนบ่ายโมงครึ่ง เพราะมีคิวเอาช่วงสายไงวันนี้ถึงได้หนีไปงานเลี้ยงเตรียมเมาเต็มที่
“ผมไม่คิดว่าการมารับผู้จัดการจะเป็นงานของดาราตั้งแต่เมื่อไหร่นะครับ” ผมตอบกลับด้วยน้ำเสียงไร้อารมณ์ “ถ้าพี่อยากมากินข้าวกับแม่ผมก็เชิญ เพราะผมมีธุระ ไม่รอคนตื่นสายมารับหรอก”
(( เอ๊ะ นี่น้องเจกำลังจะบอกให้พี่รีบกลับเพื่อจะได้ตื่นมารับแต่เช้ารึเปล่า ))
“ผมกำลังจะบอกว่านี่ไม่ใช้หน้าที่ของดารา ฉะนั้นพี่ไม่ต้องมารับผมต่างหาก”
(( งั้นพรุ่งนี้ตอนเจ็ดโมงครึ่งเหมือนเดิมดีมั้ยครับ ))
“สนุกกับงานเลี้ยงให้เต็มที่เถอะครับ ผมวางละ”
คร้านจะโต้เถียงกับคนที่รู้ดีแก่ใจว่าพูดไปเรื่อยแต่จะทำจริงหรือเปล่านั้นยังต้องคิดตลบอีกหลายชั้น เพราะไอ้คำหวานแสนเอาอกเอาใจเหมือนเป็นคนพิเศษแบบนี้ไงใครต่อใครถึงได้ตกเป็นเหยื่อ วันนี้รึอุตส่าห์มองนิฌานในแง่ดีขึ้น แต่ระหว่างความรับผิดชอบในงานกับความเจ้าชู้นั้นต้องแยกแยะ อย่าเอามาปนกันจนเกิดความเห็นใจ!
พลันเสียงโทรศัพท์ดังขึ้นอีกครั้ง
ผมมองชื่อบนหน้าจอแล้วถอนหายใจหนึ่งครั้งก่อนจะกดรับ
“สัพเพ สัตตา อะเวราโหนตุ”
(( น้องเจ... ))
“อัพยาปัชฌาโหนตุ”
(( เอ่อ... ))
“อะนีฆาโหนตุ”
(( .... ))
“สุขีอัตตานัง ปะริหะรันตุ”
(( สาธุ...เดี๋ยวๆ น้องแผ่เมตตาให้พี่ทำไมเหรอครับ ))
“จะได้ไม่ต้องมาเบียดเบียนซึ่งกันและกันไงครับ” ผมตอบกลับทันควัน เชื่อว่าคนฉลาดอย่างนิฌานจะต้องเข้าใจความหมาย แม้จะหลุดยิ้มเพราะคาดไม่ถึงว่าเขาจะรับมุกสาธุกันซะด้วย
(( ตกลงครับน้องเจ พรุ่งนี้เจอกันที่ทำงานนะครับ ))
“ขอบคุณที่เข้าใจอะไรง่ายนะครับ” ผมพยักหน้าอย่างพอใจที่ไม่ต้องงัดบทสวดชุดใหญ่ให้นิฌานเลิกตื๊อ
(( เดี๋ยวก่อนน้องเจ อย่าเพิ่งวาง! ))
“อยากให้ผมร่ายศีลห้าต่อเหรอ”
(( พี่แค่จะบอกว่าราตรีสวัสดิ์...ฝันดีนะครับน้องเจ ))
“แค่นี้ใช่มั้ย งั้นผมวางละ”
ผมลอบชมตัวเองในใจว่าทำดีหลังวางสาย ก่อนจะพนมมือไหว้พระที่ช่วยสร้างความสุขกายสุขใจ ขจัดปัดเป่าทุกข์ภัยได้รวดเร็วนัก
ส่วนพี่จิ...ขนาดผมอาบน้ำก็แล้ว นั่งเล่นเกมก็แล้ว ยังไม่คิดโทรกลับหาน้องเลย
ฮึ่ม ดูไว้นะครับ นี่เป็นตัวอย่างไม่ดีของคนติดแฟนจนลืมครอบครัว!
เช้านี้ผมตื่นตอนเจ็ดโมงไปวัดทำบุญตักบาตรกับแม่เพื่อสร้างกุศลให้ตัวเอง ก่อนจะนั่งรถเมล์ไปสนามฝึกขับรถเพื่อลองดูสถานที่และลองพูดคุยคร่าวๆ เนื่องจากผมมีเวลาว่างแค่ช่วงกลางคืนเท่านั้น โชคดีมากเพราะที่นี่เปิดถึงสามทุ่ม สามารถเลือกเวลาเรียนได้ตามสะดวก นอกจากนี้ยังสามารถสอบใบขับขี่ได้เลยโดยมีคนของทางกรมขนส่งมาประเมินเองถึงที่ สะดวกสบายสุดๆ
ผมนั่งเปิดตารางงานนิฌานมาเทียบเพื่อนัดเวลากับครูผู้สอน ภาคทฤษฎีไม่มีปัญหาเพราะวันนี้ผมว่าง จึงนั่งอบรมรวดถึงเที่ยง แต่ภาคปฏิบัติอีกสิบชั่วโมงนี่สิ...เฉลี่ยออกมาแล้วได้วันละสองชั่วโมง มีเว้นบางช่วงตามความว่างของนิฌานตลอดสัปดาห์ ซึ่งหากเรียนจบแล้วสามารถสอบใบขับขี่ในวันอาทิตย์ที่สนามฝึกแห่งนี้ได้เลย
...วันอาทิตย์งั้นเหรอการสอบใบขับขี่ใช้เวลาทั้งวัน แต่วันนั้นนิฌานติดงาน ถ้าขอลาชั่วคราวคงไม่เป็นไรหรอกมั้ง
เมื่อจ่ายเงินและอบรมเสร็จเรียบร้อยผมก็นั่งรถเมล์ไปที่บริษัทเอ็มเอชเอ็น เอนเตอร์เทนเมนต์ มาถึงตอนเที่ยงสี่สิบ ผมลูบท้องที่ป่องน้อยๆ จากการแวะกินข้าวร้านหน้าปากซอยก่อนจะเดินเข้าบริษัทแล้วโทรหาคุณเลขา
ไม่นานเลขาคมสันก็ลงมารับ พาขึ้นไปยังชั้นบนสุดเพราะพี่ชายกำลังรอง้อผมอยู่
“นี่ครับ บัตรของคุณเจ” เลขาคมสันยื่นบัตรแข็งร้อยเชือกให้ระหว่างอยู่ในลิฟต์ส่วนตัวสำหรับท่านประธานและผู้เกี่ยวข้อง “เนื่องจากคุณเซ็นสัญญากับคุณนิฌานโดยตรง รับเงินค่าจ้างเต็มๆ จึงไม่นับเป็นพนักงานของบริษัท ผมเลยทำบัตรผู้ช่วยพิเศษให้แทนครับ”
“ขอบคุณครับ” ผมรับมาห้อยคอ สาเหตุที่ไม่ยอมกรอกใบสมัครเป็นเด็กฝึกงานอย่างเป็นทางการ เซ็นสัญญาแต่กับนิฌานก็เพื่อจะได้ไม่โดนหักภาษีและค่านายหน้าไงล่ะ!
ส่วนเจ้าบัตรใบนี้ก็มีประโยชน์กับผมมาก เพราะปกติดารากับผู้จัดการสามารถเดินเข้าออกบริษัทนี้โดยใช้หน้าตาเป็นทางผ่าน แต่สำหรับเด็กใหม่อย่างผม อายุสิบแปดกำลังเอ๊าะๆ นั้นการจะติดต่อหรือพูดคุยงานจำเป็นต้องมีเจ้าสิ่งนี้ช่วยยืนยันตัวตนว่าผมนั้นมีตำแหน่ง ไม่ใช่เด็กฝึกงานทั่วไปนะเออ!
และแน่นอนว่าชั้นบนสุดของบริษัทแห่งนี้คือห้องทำงานของท่านประธาน เป็นกระจกทั้งชั้นเผยให้เห็นวิวกรุงเทพสวยงามอย่างที่พี่จิเคยอวด ด้านนอกคือโซฟารับรองแขก ด้านในคือโต๊ะเลขาขวางกั้นหน้าประตูเพื่อคัดกรองคนเข้าพบ ผมผงะเล็กน้อยเมื่อพี่จิวิ่งถลาเข้ามากอด หรือให้ขยายความหน่อยคือโผน้ำหนักใส่เต็มที่จนตัวแทบล้มกลิ้ง
“พี่จิ ผมเจ็บ” ผมกัดฟันบอกพี่ชายที่ตัวใหญ่กว่าน้องแต่ดันไม่ประมาณแรงเอาซะเลย เมื่อก่อนตอนเป็นก้ามปูยิ่งหนักใหญ่ จับผมล็อกคอเหวี่ยงไปเหวี่ยงมาอย่างกับน้องเป็นตุ๊กตา
“พี่ขอโทษที่ไม่รับโทรศัพท์ เจโกรธเหรอ ทำไมโทรกลับแล้วไม่รับสายล่ะ” พี่จิยอมปล่อยผมจากอ้อมกอด ก่อนจะทำตาปรอยน่าสงสาร
“พี่จิเล่นโทรมาตอนเก้าโมง ผมติดธุระแถมยังจัดการอะไรหลายๆ อย่างเสร็จเรียบร้อย ไม่ต้องรอปรึกษาพี่ชายที่ทิ้งน้องไปกกกับแฟนหรอก”
“เจ~~”
“อย่าพุ่งมาอีกนะ” ผมรีบยกมือตั้งฉากห้ามพี่ชาย ยอมสารภาพแต่โดยดี “ผมจะเรียนขับรถ เลยกะยืมรถพี่จิไปสอบใบขับขี่ แต่วันนี้ลองคุยแล้วว่ายืมรถที่สนามฝึกได้ทั้งตอนสอนและตอนสอบ ผมเลยไม่ต้องรบกวนพี่ พี่จิเองเถอะ เมื่อคืนทำอะไรตั้งแต่สามทุ่ม หากมีเรื่องฉุกเฉินจะทำยังไง”
“เมื่อคืนหนักไปหน่อยน่ะ” พี่จิลูบศีรษะพลางยิ้มแห้ง แต่ทางนี้กลับยิ้มไม่ออก เพราะว่า...
“นี่รอยอะไร!” ผมดึงแขนพี่ชายมาดูรอยบาดมีเลือดซิบๆ ตรงข้อมือ ภาพสยดสยองปรากฏในห้วงความคิด หรือว่าเสี่ยจะทารุณพี่จิอย่างโหดเหี้ยม มีรสนิยมชอบความรุนแรงทำร้ายร่างกายคนรักระหว่างมีเพศสัมพันธ์
ไม่ได้! ผมไม่ยอมให้พี่ชายต้องทนเจ็บตัวกับรักพิสดารอย่างเด็ดขาด มีรักที่ดีต้องเสริมสร้างสุขภาพจิตและสุขภาพกายสิ ไม่ใช่มาบั่นทอนกัน!!
ผมจับมือพี่จิลากเข้าห้องเสี่ยโดยไม่เคาะ ใบหน้าเต็มไปด้วยความกรุ่นโกรธ
“คุยเสร็จแล้วเหรอจิตริน...” แต่คนในห้องไม่รู้สักนิด เพราะเล่นทักทายผู้มาเยือนโดยไม่เงยหน้า หลงคิดว่าเป็นแฟนหารู้ไม่ว่าคือน้องชายแฟน
“เอ่อ เสี่ย เงยหน้าหน่อยเถอะครับ”
เจ้าของชื่อ(?)ทำตามคำขอ ก่อนจะขมวดคิ้วงุนงงเมื่อผมชูมือพี่ชายขึ้นแล้วชี้รอยบาดอย่างเอาเรื่อง
“นี่คืออะไรครับ ทำไมพี่จิถึงบาดเจ็บ!”
“เธอแน่ใจนะให้ฉันพูด” เสี่ยหันไปถามพี่จิ ข้ามหัวนายเจตรินซะงั้น
“เจ...ใจเย็นๆ นะ เสี่ยไม่ได้ทำร้ายร่างกายพี่”
“แล้วทำไมถึงมีแผลล่ะ” เสี่ยเมินผมได้ ผมก็เมินเสี่ยได้เหมือนกัน
“คือว่า...เมื่อคืนเราเล่นตำรวจจับผู้ร้ายกันน่ะ” พี่จิอธิบายอ้อมแอ้มด้วยความเก้อเขิน เพียงได้ยินภาพก็ปรากฏเป็นฉากๆ ใช่ว่าผมจะไม่เข้าใจเกี่ยวกับชีวิตคู่ที่เติมสีสันด้วยการสร้างบทบาทสมมติ
ตำรวจจับผู้ร้าย....ต้องมีกุญแจมือ แสดงว่าพี่ชายผมรับบทเป็นผู้ร้ายล่ะสิ
ผมนึกภาพพี่จิคนดีทำตัวชั่วช้าไม่ออกเลย
“พี่เล่นเป็นตำรวจ” พี่ชายช่วยไขข้อสงสัยให้ผม “เสี่ยเล่นเป็นผู้ร้ายน่ะ”
“แล้วทำไมพี่ถึงมีรอยบาดล่ะ”
“ก็...”
“เกมพลิกกะทันหัน เป็นผู้ร้ายจับตำรวจยังไงล่ะ” เสี่ยเอ่ยแทรก ก่อนจะเชิดหน้าอย่างพอใจในผลงาน
มองพี่จิที่ก้มหน้างุดๆ แล้วผมก็ตัดสินใจปล่อยมือพี่ชายมากุมขมับตัวเอง
ห่วงเสียของแท้ๆ เลย!
ตอนบ่ายโมงผมลงไปหานิฌานที่ชั้นหนึ่งเพื่อขึ้นลิฟต์ไปสตูดิโอถ่ายทำรายการพร้อมกัน มองคนตาโรย หน้าหมองคล้ำนิดหน่อยแล้วก็พอเดาได้ว่าคนที่เมื่อคืนหนักไปหน่อยไม่ใช่แค่พี่จิ แต่ยังมีนิฌาน ชาญชัยด้วย!
“น้องเจมองพี่ทำไมเหรอครับ หรือว่าพี่ดูหล่อขึ้น”
“ใต้ตาคล้ำเป็นหมีแพนด้ายังไม่รู้ตัวอีก เอ้านี่ ของฝากครับ” ผมหยิบขวดน้ำขนาดเล็กให้อย่างมีน้ำใจ
“ของฝาก?” นิฌานรับมาถืองงๆ พลิกดูสลากยี่ห้อแปลกตาที่ไม่เคยเห็นมาก่อน
“เมื่อเช้าผมไปวัดทำบุญกรวดน้ำอุทิศให้เจ้ากรรมนายเวรมา ก็เลยหยิบน้ำมนตร์มาฝากพี่” คนบาปหนาอย่างนี้คงไม่เคยเห็นน้ำมนตร์แปะยี่ห้อวัดแถวบ้านผมหรอก เพราะเป็นวัดใหญ่เลยวางแจกสำหรับทุกคนที่มาทำบุญโดยบริจาคเงินตามศรัทธา
“นี่น้องเจจะบอกว่าพี่เป็นเจ้ากรรมนายเวรรึเปล่า”
“แล้วแต่พี่จะคิด”
“งั้นพี่คิดว่าเป็นคู่สร้างคู่สมได้มั้ย...อย่าเพิ่งเบ้ปากขนาดนั้นพี่ล้อเล่นครับ ดูสิ ไม่ทันขาดคำก็มีเจ้ากรรมนายเวรโทรตามเลย” นิฌานหันหน้าจอโทรศัพท์ให้ผมดูเบอร์คุ้นเคยของแอนตี้แฟน “รับดีมั้ยครับน้องเจ”
“พี่ก็ลองสวดมนตร์ใส่เหมือนที่ผมทำเมื่อคืนสิ”
“แต่แอนแอนเป็นคนเอาแต่ใจ ไม่เคยฟังใคร ชอบพูดแทรกก่อนแล้ววางสายทุกที”
พูดถึงแอนตี้แฟนอย่างกับเป็นกิ๊กเก่า ผมล่ะเชื่อเขาเลย
“ผมถามจริงๆ นะ ทำไมพี่ไม่แจ้งความ หรือทำอะไรสักอย่างกับเจ้ากรรมนายเวรสายนี้ล่ะ เขาใช้เบอร์โทรศัพท์ส่วนตัวโทรมา ตามตัวง่ายจะตายไป”
“เพราะพี่เคยเปลี่ยนเบอร์โทรศัพท์สามครั้ง ทุกครั้งแอนแอนโทรตามพี่ได้แม่นยำอย่างกับตาเห็น แสดงว่าเรื่องนี้ต้องมีเบื้องลึกเบื้องหลัง เกี่ยวข้องกับคนใกล้ตัว พี่เลยไม่อยากให้เป็นเรื่องใหญ่ถึงขั้นแจ้งความ แล้วก็กล้าไม่เล่าให้ใครฟังด้วย”
“พี่ก็เลย...?”
“พี่ก็เลยปล่อยไปตามยถากรรม อยากรู้เหมือนกันว่าใครจะมีความอดทนมากกว่า”
ผมกุมขมับรอบที่สองของวัน ทำไมคนใกล้ตัวแต่ละคนช่างชวนละเหี่ยใจขนาดนี้
“อย่าทำหน้าสังเวชใจขนาดนั้นสิครับน้องเจ พี่เคยโทรกลับไปหาแอนแอนนะ แต่เขาไม่ยอมคุยกับพี่เลย ขนาดใช้เบอร์สาธารณะโทรไป หลอกชวนคุยถามชื่อก็ไม่รอด เฮ้อ ความจริงพี่ก็อยากรู้ชื่อเขาเหมือนกันนะ อย่างน้อยจะได้รู้ว่าเป็นลูกเต้าเหล่าใครจะได้พอสืบสาวราวเรื่องถูก”
“ถ้าผมจัดการให้พี่ได้ พี่จะเลิกหยอกพร่ำเพรื่อใส่ผมมั้ย”
“น้องเจไม่ชอบเหรอครับ”
“ผมพูดตรงๆ นะ เรื่องเมื่อวานทำให้ผมรู้สึกดีกับพี่ขึ้นมาก แต่ความเจ้าชู้ของพี่กำลังจะทำให้ผมผิดหวัง ถ้าอยากให้การทำงานตลอดสามเดือนราบรื่น พี่ควรเลิกทำตัวแบบนี้ได้แล้ว”
นิฌานหุบยิ้ม คล้ายกำลังชั่งใจคิดถึงผลดีผลเสีย
“โอเคครับ หากน้องเจล้วงชื่อที่อยู่ของแอนแอนได้ พี่จะเลิกหยอกพร่ำเพรื่อใส่แน่นอน”
ผมดึงแขนนิฌานที่เบี่ยงหลบไปด้านหลังขึ้นพลางเลิกคิ้วทวงถามความซื่อสัตย์ เพราะเห็นอยู่ชัดๆ ว่าเขาแอบไขว้นิ้ว!
“พี่ฌานดื่มน้ำมนตร์ที่ผมให้ก่อนแล้วค่อยสัญญาดีกว่า”
“โธ่...น้องเจ”
“หรือให้ผมราดดี” ผมแย่งขวดน้ำมาแกะฝา นิฌานรีบคว้าคืนจนน้ำกระเซ็น เล่นเอาอีกฝ่ายรีบชักมือกลับพร้อมแสร้งสะดุ้งเฮือกร้องเสียงหลง
“โอ๊ย ร้อน!”
“เล่นเป็นเด็กไปได้” ผมอมยิ้ม เปลี่ยนใจยอมปิดฝาขวดแล้วเก็บให้เรียบร้อย พอดีกับลิฟต์ที่เปิดออก “เรื่องแอนตี้แฟนเราค่อยมาคุยกันต่อหลังถ่ายรายการเสร็จแล้วกันครับ”
“น้องเจว่าไง พี่ก็ว่างั้น”
มองคนฉีกยิ้มอย่างสบายใจเป็นล้นพ้นแล้วรู้สึกไม่น่าเสนอตัวช่วยเลย ปล่อยๆ ให้โดนรังควานก็ดีแล้ว!
-----------------------
โธ่ น้องเจคนปกติแห่งบ้านทองคำดี รักความธรรมะธรรมโมของน้องค่ะ มีการสวดแผ่เมตตา แล้วยังเอาน้ำมนตร์มาฝากอีก ช่างเป็นคนเปี่ยมไปด้วยคุณธรรมและบุญกุศลจริงๆ 5555
เพจนักเขียนที่พนมมือรอรับพรจากน้องเจ