ตอนที่ 1 : พี่ฌานปลาไหลมือปลาหมึก
“พี่จิ นิฌานเป็นคนยังไง เล่าให้ผมฟังหน่อยสิ”
“นึกอุตริอะไรขึ้นมาเนี่ยเจ หรือว่าโดนนิฌานตามจีบ!? ไม่ได้นะเจ คนคนนั้นเจ้าชู้ประตูฟ้าประตูดินประตูน้ำประตูอากาศ เจจะหลงคารมของนิฌานไม่ได้! พี่เคยเล่าให้ฟังแล้วไม่ใช่เหรอว่าจิระเคยโดนกระทำการอันเหี้ยมหาญยังไงบ้าง กองถ่ายเกือบล่มเพราะนิฌานมาแล้วนะจำไม่ได้เหรอ!”
“พี่จิไม่ต้องเล่นใหญ่ขนาดนั้นก็ได้...” ผมมองพี่ชายผู้เคารพรักด้วยสายตาเอือมระอากับการพล่ามเกินจริง พวกเราสองคนพี่น้องนอนด้วยกันตั้งแต่ยังตัวกระเปี๊ยกจนตอนนี้พี่จิสูงโปร่งไปเกือบร้อยแปดสิบเซนติเมตรอยู่แล้ว พอหันมามองตัวเอง...ผมเหมือนเด็กลืมดื่มนมอ่ะครับ ตัวสูงแค่ร้อยหกสิบแปด สงสัยเพราะไม่ค่อยออกกำลังกาย เทียบกับพี่จิที่เคยเป็นสตั้นท์แมนเก่า เข้ายิมออกยิมเป็นว่าเล่น แม้ตอนนี้จะลดลงมาบ้างแล้วเพราะเสี่ยขอร้องกลัวแฟนกล้ามใหญ่กว่าตัวเอง แต่พี่จิก็วิ่งตอนเช้าทุกวันเพื่อความฟิตแอนด์เฟิร์ม
ส่วนผม...ทั้งที่ตั้งท่าแยกเขี้ยวขู่ใส่ผู้คน ตั้งป้อมอย่ามายุ่ง! อย่าเข้ามานะ! เข้ามากัดนะเฮ้ย! แต่ความจริงแล้วผมเป็นพวกขี้เกียจมาก ต่อหน้าคนอื่นก็มักจะนิ่งเงียบมากกว่าเปิดปากจ้อเหมือนพี่ชาย สิ่งเดียวที่ทำให้ยอมขยับเขยื้อนมีแต่เรื่องครอบครัวกับการหาเงินเท่านั้น หากไม่โดนหาเรื่องก่อนอย่าหวังเลยว่าผมจะกระดิกตัว...ขนาดพี่จิพยายามลากให้ไปวิ่งด้วยกันยังยอมแพ้ ปล่อยเด็กวัยกำลังโตนอนเต็มอิ่มสบายอุรา
“คุณเลขายื่นข้อเสนอให้ผมไปเป็นผู้จัดการดาราให้นิฌาน ผมเลยมาถามพี่จิเพื่อศึกษาข้อมูลเตรียมตัวเตรียมใจ”
“ผู้จัดการดารา? นิฌาน!? ไม่นะเจน้องรัก! ขาดสนเงินทองตรงไหนก็บอกมาสิ พี่เพิ่งได้โบนัสเมื่อต้นปีจากเสี่ยเพราะหนังทำเงินดังเป็นพลุแตก น้องชายคนเดียวเลี้ยงได้สบายมาก หรือว่าเจมีของที่อยากได้ ดูถูกน้ำใจไอ้จิมากไปแล้ว! พี่ชายคนนี้ต่อให้ชี้เดือนก็จะคว้าเดือน ชี้ดาวก็จะคว้าดาว! บอกมาเลยไอ้น้องพี่จะกระโดดล่องนภาไปคว้ามาให้เอง!”
คุยกับพี่จิ อย่างแรกที่ต้องทำคือการตั้งสติ
ยุบหนอ พองหนอ“ผมตกลงไปแล้ว ไม่เปลี่ยนใจหรอกนะ” ผมรีบพูดดัก “ถ้าพี่อยากฝอยมาก ฝอยเรื่องนิฌานให้ผมฟังดีกว่า”
ผมตบเตียงแปะๆ เรียกพี่ชายให้มานอนเคียงข้างกัน พี่จิผิวเข้มคล้ำจากการตากแดดตากลม โหมงานหนักแต่เด็ก เทียบกับผมที่ค่อนข้างขาวกว่า กล้ามเนื้อไม่แน่นเท่าเพราะมักเลือกทำงานในที่ร่มแบบไม่ใช้แรงแล้ว...มองไปมองมาก็เหมือนพี่น้องคนละท้องกันจริงๆ
“นิฌานเหรอ...” พี่จิคนดีของผมทิ้งตัวตะแคงข้างหันหน้าเข้าหาพร้อมลูบศีรษะเหมือนกล่อมนอน “นิฌานเป็นคนเจ้าคารมมาก และเจ้าชู้มาก ถ้าถามว่าเจ้าคารมขนาดไหน ต้องบอกว่าขนาดคบซ้อนยังไม่โดนด่าเพราะเป่าหูไว้ประหนึ่งตัวเองเป็นผู้ถูกหลอกจนคู่กรณีเห็นใจสงสารเสียเอง แถมยังสร้างสถานการณ์เก่ง ตีสนิทเก่ง หลอกเนียนฟันคนอื่นได้โดยแกล้งทำเป็นเข้าใจผิดด้วยหน้าตาสุภาพบุรุษ คนคนนี้เจนจัดในวงการมานาน ต้องระวังตัวให้ดีนะเจ...”
“ครับ” ผมซุกตัวเข้าหาพี่ชาย อ้อมอกแน่นๆ นั้นให้ความรู้สึกปลอดภัย เพราะอายุห่างกันมากเกือบๆ จะเป็นลูกหลง ครอบครัวเลยมักปฏิบัติกับผมเหมือนเด็กน้อย ไม่ว่าจะทำท่าทีก้าวร้าวโวยวายยังไงก็เห็นว่าช่างน่ารักน่าเอ็นดู ผมเลยพยายามทำตัวโตกว่าวัย แม้บางครั้งบางทีจะแอบออดอ้อนพวกเขาโดยตีเนียนว่าง่วงงุนก็ตาม
เพราะรักมากอย่างนี้ไง...เวลาเห็นคนสำคัญถูกหลอก ถูกรังแก ผมถึงทนไม่ได้!
ต่อให้รูปร่างจะไม่ถึกทนเท่าพี่จิ แต่ผมจะปกป้องทุกคนเอง!!
นิฌาน ชาญชัย
ดาราชายวัยยี่สิบแปดย่างยี่สิบเก้าปี ได้รับรางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยมจากภาพยนตร์เรื่องแรกที่แสดงตอนแปดขวบ นับจากนั้นก็มีชื่อเข้าชิงตลอดแต่ไม่มีถ้วยกลับบ้านเลยสักครั้ง หลายปีมานี้ผลงานน้อยลงอย่างเห็นได้ชัด เพราะเจ้าตัวไม่ยอมรับเล่นละคร พ่วงด้วยข่าวคาวลับๆ วงในที่พูดกันปากต่อปากว่าเจ้าชู้ แม้จะจับไม่ได้คาหนังคาเขาเพราะนิฌานลื่นเป็นปลาไหล แต่ถ้าเลือกได้บรรดาผู้กำกับหรือทีมงานก็ไม่อยากร่วมงานกับคนคนนี้นัก
นี่คือข้อมูลที่ผมรวบรวมมาได้ภายในหนึ่งวันหลังตอบตกลงกับคมสัน เลขาบริษัทเอ็มเอชเอ็น เอนเตอร์เทนเมนต์ที่นอกจากผลิตรายการและละครแล้วยังดูแลดาราในสังกัดอย่างดี หนึ่งในนั้นคือนิฌาน ชาญชัย ผู้เซ็นสัญญามานับยี่สิบปีและไม่มีท่าทีจะย้ายช่องไปไหน
ประสบการณ์ทำงานโชกโชน รู้จักคนกว้างขวาง ต่อให้ไม่มีผู้จัดการก็สามารถอยู่รอดเองได้
“คนนี้หรือครับผู้จัดการที่คุณหามาได้ คุณคมสัน”
“ครับ คุณเจตริน ทองคำดี น้องชายของจิตริน ทองคำดี คนเขียนบทภาพยนตร์ที่คุณนำแสดงในเรื่อง Love After Death ยังไงล่ะครับ” คุณเลขาช่วยแนะนำตัวให้ผมที่ยกมือไหว้อย่างมีมารยาท เพราะถูกครอบครัวสั่งสอนมาดี
“จิตริน...” นิฌานทวนชื่อก่อนจะเผยแววตาขยาดวูบหนึ่ง พี่จิเคยเล่าให้ฟังว่าเพราะคนคนนี้ล่อลวงเพื่อนสนิท เลยจัดการฝอยชุดใหญ่ไฟกะพริบ เล่นเอานิฌานถึงกับยกมือไหว้ สาบานว่าจะไม่ยุ่งเกี่ยวกันอีกขอแค่ให้พี่จิหยุดพูดเป็นพอ “ดูไม่เหมือนพี่เลยนะเรา แถมยังเด็กมาก...อายุเท่าไหร่เนี่ย”
“สิบแปดครับ” ผมตอบเสียงเรียบ มองประเมินคนตรงหน้าอย่างโจ่งแจ้งไม่ปิดบัง “ไม่ต้องห่วง ผมไม่พูดมากเหมือนพี่จิหรอก”
นิฌานลอบถอนใจ วันวานแห่งความฝอยนั้นคงจะฝังลึกในหัวจิตหัวใจของเขามากทีเดียว
“คุณเจยังเด็ก ไม่มีประสบการณ์ในวงการบันเทิงเลย อีกทั้งยังเป็นน้องชายของจิตริน...คนรักของท่านประธาน ผมเลยสามารถอ้างว่าใช้เส้นสายมาเป็นผู้จัดการให้คุณได้โดยไม่มีใครกล้าครหา ตรงกับคุณสมบัติที่กำหนดมาทุกอย่างครับคุณนิฌาน”
“พูดออกมาตรงๆ แบบนี้เลยเหรอครับคุณคมสัน” นิฌานเผยสีหน้าลำบากใจ มองมาอย่างกระอักกระอ่วนคล้ายไม่อยากให้ผมมองเขาไม่ดี
“ผมเป็นคนตรง” ผมตัดสินใจแสดงจุดยืนหลังเผลอกลอกตาไปหนึ่งครั้ง “มีอะไรก็พูดมาตรงๆ อย่าอ้อมค้อมเลยครับ เสียเวลาทำมาหากิน”
“เกือบลืมไป คุณเจขอเพิ่มเงินเดือนด้วยครับ” คมสันว่าพลางยื่นรายละเอียดสัญญาให้นิฌานดู
“มันค่อนข้างจะ...มากกว่าที่คุยกันไว้เท่าตัวเลยนะ” นิฌานพูดทั้งรอยยิ้มแต่สายตาคัดค้าน
“งั้นผมกลับล่ะ ขอตัวนะครับ” ผมผุดลุก ยกมือไหว้คมสันกับนิฌานตามประสาคนดีศรีสังคม ก่อนจะหยิบกระเป๋าสะพายเตรียมเดินออกจากห้อง
“เดี๋ยวสิ!” ไม่รู้ตั้งแต่เมื่อไหร่ที่นิฌานเดินตามมากระชากแขนด้วยท่าทีเร่งร้อนทั้งที่พยายามปั้นหน้ายิ้มแย้มอย่างประนีประนอม “คุยกันดีๆ ก่อนมั้ยครับน้องเจ”
ผมเลิกคิ้ว มองคนที่จู่ๆ ก็เรียก ‘น้องเจ’ อย่างสนิทสนมแล้วค่อยๆ แกะมือเขาออก แต่นิฌานนอกจากจะเป็นปลาไหลแล้วยังเป็นปลาหมึกอีกด้วย จับแขนผมกึ่งลากกึ่งจูงมาที่เก้าอี้ได้สำเร็จอย่างแนบเนียนราวไม่ได้ใช้กำลังบังคับอย่างไรอย่างนั้น
“เรื่องเงินไม่มีปัญหาหรอก พี่แค่ตกใจที่มากกว่าเดิมเท่าตัวก็เท่านั้นเอง น้องเจใจเย็นๆ ก่อนนะ เอ้านี่...ดื่มน้ำก่อนสิ เอาขนมมั้ย พี่มีคุกกี้ติดตัวมาด้วยนะ”
“ผมไม่ใช่เด็กเล็ก ไม่ต้องเอาขนมมาล่อ” ผมเอ่ยเสียงเรียบ แต่ก็ยอมรับน้ำมาดื่มดับอารมณ์
“หลังจากนี้ต้องทำงานด้วยกันถึงสามเดือน เอาเป็นว่าน้องเจเรียกพี่ว่าพี่ฌานก็แล้วกัน จะได้สนิทสนมกันไวๆ”
“ในสัญญาจ้างไม่ได้ระบุว่าต้องสนิทสนมกันนี่ครับคุณเลขา” ผมหันไปคุยกับคมสันข้ามหัวนิฌาน
“ครับ ในสัญญาไม่มี แต่ด้วยจรรยาบรรณในการทำงานแล้ว ก็ควรจะคุยกันดีๆ ไม่กระชากลากถูกันนะครับ” คมสันกล่าวพลางเลื่อนสัญญาให้ผมกับนิฌานอ่านทวนข้อตกลงทั้งหมดอีกครั้ง “ระยะเวลาสามเดือน กับตารางงานที่แปรผันตามคิวของคุณนิฌาน คุณเจทำหน้าที่เป็นผู้จัดการแค่ฉากหน้าเท่านั้น แต่ในรายละเอียดปลีกย่อยโดยเฉพาะเรื่องเงินค่าจ้างคุณนิฌานจะจัดการทั้งหมดเอง”
“ผมขอเวลาส่วนตัวกับน้องเจได้มั้ยครับคุณคมสัน” นิฌานไม่ยักแตะต้องสัญญาตรงหน้าแม้แต่น้อย
“คุณเจสะดวกมั้ยครับ”
“ไม่ต้องห่วงหรอกครับ ผมเอาตัวรอดได้ เชิญคุณเลขาตามสบายได้เลย” ผมกล่าวโดยแอบนึกขอบคุณน้ำใจของคมสัน อย่างน้อยเขาก็ไม่ได้พาผมมาทิ้งขว้างไร้เยื่อใย เพราะถ้าเกิดอะไรขึ้นกับผม...จะส่งผลเป็นลูกโซ่ อย่างแรกคือพี่จิอาละวาด อย่างที่สองคือเสี่ยโดนลูกหลง ซึ่งกระทบกับคุณเลขาที่คอยจัดการงานของท่านประธานเข้าอย่างจัง
หลังคมสันเดินออกไป นิฌานก็หยิบคุกกี้ที่เตรียมมากัดกรวบๆ
“น้องเจไม่ใช่เด็กหัวอ่อนสินะ”
“ต่อให้เป็นก็ไม่หลงกลคุณหรอกครับ พี่จิเล่าเรื่องที่เกิดในกองถ่ายให้ผมฟังหมดแล้ว” ผมสารภาพตามจริง “มีอะไรอยากตกลงกับผมนอกเหนือจากสัญญาลับหลังคุณเลขาก็บอกมาเถอะ”
“มันเป็นปัญหาส่วนตัวของพี่เอง...” นิฌานถอนหายใจเฮือก เผยสีหน้าลำบากใจที่แสดงละครส่วนหนึ่งจริงส่วนหนึ่ง “มีคนอยากเข้ามาคุมคิวงานของพี่ ตั้งใจจะให้รับงานเยอะๆ กอบโกยจากความสำเร็จของ Love After Death เป็นคนใกล้ตัว...ที่คาดว่าจะมาระรานตัวเจเองด้วย”
“งั้นคุณต้องเพิ่มค่าจ้างเป็นประกันความปลอดภัยให้ผมด้วยสิ” ผมพูดพลางขีดฆ่าตัวเลขในสัญญาแล้วเขียนใหม่ “เท่านี้พอมั้ยครับ”
นิฌานมองผมด้วยสายตาว่างเปล่า
“มีอะไรก็พูดมาตรงๆ เถอะ อย่ามัวแต่คิด ผมอ่านใจคุณไม่ได้หรอกนะ”
“เรา...ไม่กลัวเลยรึไง”
“หรือว่าไม่ใช่แค่การระราน แต่เป็นการหมายเอาชีวิตหรือครับ ถ้างั้นก็ต้อง...” ผมตั้งใจจะขีดฆ่าตัวเลขใหม่ แต่ถูกนิฌานคว้าข้อมือจับหมับเข้าให้
“ยังไม่ทันทำงานก็คิดจะเรียกเงินไม่ยั้งเลยเหรอครับน้องเจ พี่รู้สึกเสียเปรียบมากเลยนะ”
มองคนที่คลี่ยิ้มหวานด้วยดวงตาประกายระยับแฝงความขุ่นเคืองผมก็อดจะตอกกลับไปไม่ได้
“คุ้มไม่คุ้มถ้าได้ทำงานด้วยกันก็รู้เองล่ะครับ...พี่ฌาน”
พวกเราจ้องตากันครู่ใหญ่ ผมที่เผชิญการฝอยของพี่จิแต่เด็กนั้นย่อมมีสมาธิดีกว่าอยู่แล้ว เพราะสุดท้ายนิฌานก็เป็นฝ่ายหลบตาไป แต่ยังไม่ยอมปล่อยมือเหมือนกลัวผมจะเขียนตัวเลขขูดรีดเขาอีกอย่างนั้นล่ะ
“ไม่ถึงชีวิตหรอก ไม่ต้องเรียกประกันล่วงหน้าขนาดนั้น งานนี้เป็นงานง่ายๆ ไม่งั้นคงไม่ไว้ใจให้เด็กอายุสิบแปดมารับทำ”
“ถ้าพูดถึงขนาดนั้นงั้นผมเขียนตัวเลขกลับเป็นเหมือนเดิมดีมั้ยครับ” ผมเลิกคิ้วถามทีเล่นทีจริงอย่างมีมารยาท
“ช่างเถอะ เอาที่น้องเจเขียนล่าสุดก็ได้”
ผมยักไหล่ คิดในใจอยู่แล้วว่าพระเอกชื่อดังคงกลัวเสียหน้ามากกว่าเสียเงิน
“เอาเป็นว่าระหว่างรับงาน หากมีใครโทรมาสอบถามก็ปิดปากเงียบหรือพูดว่าไม่รู้เรื่องเข้าไว้ ถ้าถูกถามว่าทำไมถึงได้งานนี้ ก็ให้อ้างชื่อคมสัน อย่าพูดเรื่องพี่เป็นฝ่ายติดต่อเด็ดขาด”
“สรุปว่าหากมีใครหลอกถาม ต่อให้ผมรู้ก็ต้องตอบว่าไม่รู้ จงเล่นบทเด็กเส้นที่ถูกยัดเข้ามากะทันหัน ทำเหมือนคุณเป็นผู้ถูกกระทำลอยตัวอยู่เหนือปัญหาสินะครับ ผมเข้าใจแล้ว”
“ยังมีอีกอย่าง...” นิฌานคลี่ยิ้มเย็น คาดว่าคงลอบด่าผมในใจ “เรื่องส่วนตัวของพี่ ปิดหูปิดตาไว้จะดีที่สุด”
“ไม่ต้องห่วง ผมไม่ได้อยากรู้อยากเห็นเรื่องราวความรักของใครอยู่แล้ว” ผมพูดพลางยกแขนที่ยังถูกจับหมับ “จะปล่อยได้รึยังครับ ต้องชูมือให้คุณจับแบบนี้ผมเมื่อยนะ”
“โทษที...”
“ไม่เป็นไร แต่วันหลังอย่าทำอีกก็แล้วกัน”
ผมลูบข้อมือเมื่อเป็นอิสระ ก่อนจะหยิบสัญญามาเปิดอ่านทบทวนรอบสุดท้าย
“มีอะไรจะพูดอีกมั้ยครับ หรือคุณจะจ้องไปลอบด่าผมไปอย่างนี้ทั้งวัน” ผมพูดโดยไม่เงยมองหน้านิฌาน เห็นเขาเงียบ เอ่ยเสียงอ่อนคล้ายยอมความ แต่ตาที่มองผมนั้นหรี่เล็กคล้ายคิดอะไรในใจ ต่อให้โง่แค่ไหนก็รู้ว่าพระเอกชื่อดังคนนี้ไม่ค่อยสบอารมณ์กับผู้จัดการคนใหม่เท่าไหร่นัก
พวกตีเนียนคงแขยงประเภทขวานผ่าซากที่สุด!
“ที่เหลือไว้ค่อยปรับตัวหน้างานก็แล้วกัน น้องเจล่ะ...มีอะไรอยากจะพูดกับพี่มั้ย”
ผมเงยมองเขา พิงหลังกับพนักเก้าอี้ ก่อนจะกอดอกพลางเคาะนิ้วกับต้นแขนอย่างครุ่นคิด
“ถ้าคิดจะลองจีบผมเล่นๆ หวังดึงเป็นพวก ได้ก็ดีไม่ได้ก็ช่าง รบกวนลบออกจากสมองด้วยนะครับ”
นิฌานแทบจะปั้นหน้าไม่ถูกราวแทงใจดำอย่างจัง
“ผมอายุสิบแปด กำลังเอ๊าะด้วยสิ” ผมเอียงศีรษะยามเหลือบมอง “หรือควรจะเพิ่มประกันความปลอดภัยในแง่นี้ด้วยนะ...”
“เซ็นสัญญากันเถอะครับน้องเจ”
นิฌานเปิดหน้าสุดท้ายแล้วเซ็นสัญญาทันที ก่อนจะยื่นให้ผมลงนามเพื่อความเสร็จสมบูรณ์
“ต้องเรียกคุณเลขามาเป็นพยานด้วยมั้ยครับ” ผมที่เกือบจะเซ็นอยู่แล้วเงยหน้าถามหน้าซื่อตาใส
“ถ้าน้องเจอยากให้ทำแบบนั้นก็...”
“คิดอีกทีไม่ต้องดีกว่า ผมเซ็นแล้วนะครับ คุณเก็บหนึ่งฉบับผมเก็บหนึ่งฉบับ ถ้ายังไงขอดูคิวงานของคุณด้วยนะครับ ผมจะเอาไปทำการบ้านเพื่อจะได้เตรียมตัวเป็นผู้จัดการในวันพรุ่งนี้”
นิฌานพูดอะไรไม่ออก ยอมส่งสมุดจดตารางให้ผมถ่ายรูปเก็บแต่โดยดี
“ถ้างั้นพรุ่งนี้...ตอนเก้าโมงเจอกันที่บริษัทเอ็มเอชเอ็น เอนเตอร์เทนเมนต์นะครับ” เสร็จธุระ ผมก็หยิบกระเป๋าสะพายเตรียมกลับบ้าน แต่ไม่วายโดนพระเอกชื่อดังกระชากแขนรั้งอีกครั้ง
“น้องเจ”
“ครับ”
“เป็นเด็กเป็นเล็ก ทำตัวว่าง่ายจะน่ารักกว่านะ”
ผมมองนิฌานที่หน้ายิ้มแต่ตาไม่ยิ้ม
“ที่พี่ให้เราปั่นหัวไม่ใช่ว่ายอมแต่เพราะไม่อยากขัดหรอกนะ”
“ผมรู้...” ดูจากดวงตาที่แฝงความขุ่นเคืองอย่างอดทนอดกลั้นก็รู้แล้ว นิฌานทำงานในวงการมานาน เรียกว่าเป็นผู้มากประสบการณ์ที่ไม่ว่าใครล้วนเกรงใจและนับถือไม่น้อย มาเจอผมพูดใส่ไม่ยั้งขนาดนี้ ไม่ไว้หน้าเขาขนาดนี้ ต่อให้จะพยายามถ้อยทีถ้อยอาศัยยังไงก็อดโมโหไม่ได้
นับว่าประสบความสำเร็จตามแผนเป๊ะ
เจอกันครั้งแรกเลยอยากทลายกำแพง ให้ถูกคืออยากรู้ว่าเขาจะทนใส่หน้ากากได้นานแค่ไหน สุดท้าย...ก็ไม่เห็นจะเก่งอย่างที่พี่จิเล่าสักนิด
ผมหลุดยิ้มออกมาโดยไม่รู้ตัว ก่อนจะยกมือข้างที่เป็นอิสระแตะแก้มเขาเบาๆ ด้วยแววตาประกาบวิบวับ
“แต่คุณแสดงออกตรงๆ แบบนี้น่ารักกว่าคล้อยตามผมเยอะเลยนะครับ...พี่ฌาน”น่าแปลก เพราะครั้งนี้ผมแกะมือปลาหมึกของเขาได้ง่ายดายเกินคาด
ผมไม่เสียเวลาเงยมองนิฌานอีก เมื่อบรรลุจุดประสงค์ก็เดินออกจากห้อง เจอกับคมสันที่นั่งรออยู่พอดิบพอดี
“รอกลับพร้อมคุณจิมั้ยครับ”
“ไม่ละ ผมกลับรถเมล์สะดวกกว่า”
เรื่องอะไรจะไปเป็นก้างขวางคอพี่จิกับเสี่ยที่มีคนขับรถพากลับบ้านทุกวันกันล่ะ โดยเฉพาะเมื่อวันนี้พี่จิต้องค้างบ้านท่านประธานบริษัทด้วยแล้ว...
ผมยกมือไหว้คมสันเป็นการอำลา ก่อนจะเดินไปเรียกรถที่หน้าปากซอยพลางครุ่นคิดว่าจะเอาเงินค่าจ้างไปทำอะไรดี ฝากสลากออมสินดีมั้ยนะ หรือว่าจะลองซื้อหุ้นสักตัว เอ...แต่ผมต้องเผื่อถอนออกเวลาจ่ายค่าเทอมด้วย งั้นไปซื้อพันธบัตรระยะสั้นน่าจะสะดวกกว่า
แต่เดินออกจากบริษัทไม่ทันไรก็โดนกระชากแขนอีกแล้ว
ผมหมุนตัวลอดแขนตัวเองไปด้านหลังชายแปลกหน้า เปลี่ยนจากการโดนกระชากเป็นการกดไหล่อีกฝ่ายให้โน้มตัวลงในท่าบิดข้อมือชี้ฟ้า สร้างความเจ็บสะท้านทรวงไปถึงหัวไหล่ ลืมบอกไป...ว่าถึงผมจะไม่เข้ายิม ไม่ชอบออกกำลังกายฟิตหุ่นอย่างพี่ชาย แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีทักษะอะไรติดตัวเลย
เพราะผมไปเรียกไอคิโด...ศิลปะการป้องกันตัวที่เน้นเคลื่อนไหวน้อยแต่มีประสิทธิภาพสูง
“โอ๊ย!”
พอเห็นว่าเป็นใครผมก็รีบปล่อยมือ กลัวไม่มีคนจ่ายเงินให้
“พี่ฌานวิ่งตามมาทำไมครับ” ผมถามเสียงเรียบขณะมองซ้ายมองขวาด้วยกลัวว่าจะมีคนจำได้ว่ามีดารามายืนร้องโอดโอยอยู่ข้างถนน ยังดี...ที่นิฌานปลอมตัวใส่ผ้าคาดปากพร้อมหมวกใบโตมาด้วย
“พี่ลืมขอเบอร์เรา” นิฌานพูดพลางยื่นโทรศัพท์มาให้ขณะหมุนไหล่แก้ปวด “จะได้ติดต่อกันพรุ่งนี้ไง”
ผมรับมากดเบอร์ตัวเองแล้วกดโทรออก ก่อนจะหยิบโทรศัพท์ของตัวเองขึ้นมากดตัดสายแล้วหันหน้าจอให้พระเอกชื่อดังดูว่าภารกิจการวิ่งล่าหาเบอร์นั้นเสร็จสิ้นเรียบร้อยแล้ว
“ความจริงขอจากคุณเลขาก็ได้นะ” ผมพึมพำเสียงเบาขณะเซฟชื่อในโทรศัพท์ว่า ‘พี่ฌานปลาไหลมือปลาหมึก’
“เซฟชื่ออะไรของเราน่ะ” นิฌานแอบชะโงกหน้ามามอง “ดูของพี่สิ ดีกว่าเยอะเลย”
ผมมองชื่อ ‘น้องเจที่ไม่น่ารัก’ แล้วนึกเสียใจที่เมื่อกี้ไม่บิดแขนเขาให้หนักกว่านี้
“น้องเจจะขึ้นรถเมล์เหรอ ให้พี่ขับรถไปส่งแทนมั้ยครับ”
“อีกยี่สิบนาทีพี่ฌานมีสัมภาษณ์ไม่ใช่เหรอครับ” ผมเอ่ยเสียงเรียบ จดจำตารางงานของเขาทั้งหมดได้แม่นยำแม้จะกวาดตามองเพียงครั้งเดียวตอนถ่ายเก็บข้อมูล “ผมเตือนด้วยความหวังดี ถ้าพูดแล้วทำไม่ได้ อย่าพูดจะดีกว่านะ”
นิฌานมองผมพร้อมรอยยิ้มอีกครั้ง แต่ครั้งนี้...ตาเขาพลอยยิ้มไปด้วย
“นั่นสิเนอะ”
แถมไม่ยักจะโกรธเคืองเวลาโดนผมเหน็บแนมอีก หรือว่าตอนวิ่งมาเมื่อกี้เขาจะล้มหัวฟาดพื้น เสียสติไปแล้ว!?
“เดินทางปลอดภัยนะน้องเจ”
เสียงเรียก ‘น้องเจ’ ก็ชวนขนหัวลุกอย่างประหลาด
ผมลูบต้นแขนตัวเอง ก่อนจะรีบเดินไปที่ป้ายรถเมล์ไม่คิดจะหันไปมองพระเอกชื่อดังอีกเลย
---------------
มาแล้วค่ะกับฉากปะทะคารมระหว่างน้องเจกับนิฌาน ให้คะแนนกันคนละเท่าไหร่ดีคะ? แม้น้องเจเหมือนจะนำโด่งแต่ตอนท้ายนิฌานเหมือนจะตีตื้นนะ ตกหลุมกับดักเด็กจนหน้ากากแตกไปที ถึงกับวิ่งไล่ตามขอเบอร์กันเลยทีเดียว น้องเจระวังตัวเร็วเข้า!!! #justUnotUS
เพจนักเขียนที่พ่ายแพ้เวลาน้องเจเรียกจิตรินในใจว่าพี่จิคนดีของผม