รถคันที่นั่งชะลอลงที่หน้าคณะของผม ปลดเข็มขัดนิรภัยหยิบเช็คของที่ต้องเอาไปเรียบร้อย ผมก็หันไปบอกคนที่มาส่งเหมือนอย่างทุกที “ ถึงแล้วส่งข้อความมาบอกกันด้วยนะครับคุณอารยะ “
“ อื้ม “ อาฟตอบสั้นๆ ผมก็หันไปบอกวิว
“ เดี๋ยวพี่ไลน์หานะวิว กินแซลม่อนให้อร่อยละ “
“ พี่เมดแม่ง “ สถบคำล้อของผมออกมา ผมยักคิ้วล้อน้องชายตัวเอง ที่ก็เบือนหน้าหนีไปทางอื่นก่อนจะพูดขึ้นมาเสียงเรียบๆแบบที่ทำให้ผมเขินกลับบ้าง “ แล้วพี่เมดไม่หอมแก้มพี่อาฟหน่อยอะ “
“ หอมแก้มทำไมวะ “ บอกปัดอีกคนแบบไม่สนใจ ผมรู้สึกตัวเองหน้าร้อนไปหมดในสถานการณ์ตอนนั้นแล้ววิวที่เห็นเป็นแบบนั้นก็ไม่หยุดล้อผมง่ายๆ
“ ก็เหมือนกับที่เวลาคนเป็นแฟนกันเค้าทำกันในหนังไง หอมแก้มแฟนทีนึงบอกว่า เดี๋ยวเจอกันนะ แล้วก็ค่อยลงไป “
“ ประสาท “
“ อยากเห็นอะ ทำหน่อยสิ “ คำพูดยิ้มๆของคนข้างแกล้งผมถอนหายใจออกมาก่อนจะหันไปมองน้องชายตัวเองแบบหาเรื่อง “ พี่เมดหอมแก้มพี่อาฟให้วิวดูหน่อย “
“ ไร้สาระมึง กูไปเรียนแล้วเดี๋ยวไม่ทัน “ ผมบอกปัดแต่อาฟกลับพูดออกมาเสียงเรียบๆ
“ มีเวลาอีกตั้งยี่สิบนาที หกสิบวิตอนติดไฟแดงยังเคยจูบกันมาแล้วเลย “ ให้มันได้แบบนี้ ก่อนหน้านี้ที่เราแซวไอ้วิวมันยังอยู่ทีม แต่เหมือนตอนนี้มันกลับกลายไปอยู่ทีมไอ้วิวซะแล้ว ‘ ร้ายนัก ’
“ มึงแม่ง..พูดทำไมวะ ”
“ ก็กูไม่ชอบโกหก “ อาฟบอกแบบไม่ใส่ใจ
“ นี่เคยจูบกันในรถด้วย “ วิวถามก่อนจะเหล่มองผม “ พี่เมดแรดว่ะ กูจะฟ้องพ่อ “
“ มึงแม่งก็ไปฟังมัน “ หันไปปฎิเสธอีกคนแบบหูแดงๆ ผมที่ตอนนั้นกำลังจะอธิบายอีกคนแต่ทว่าคนที่ขับรถพามากลับปลดเข็มขัดนิรภัยที่ตัวเองคาดอยู่นั้นออก ก่อนจะดึงตัวเองมาหอมแก้มผมไปเต็มฟอด แบบต่อหน้าต่อตาไอ้วิวคนอยาก “ ไอ้เชี้ย “
“ กูเห็นมึงมองกูเมื่อกี้ เคยคิดว่ามึงคงอยากจะให้กูเริ่ม “
“ กูมองเพราะด่ามึงอยู่ไอ้สัด เข้าใจไว้ด้วย “
“ งั้นผมไม่รับรู้ครับ “ อีกคนบอกก่อนจะรัดเข็มขัดนิรภัยไว้ตามเดิมก่อนจะเงยหน้าขึ้นมาแล้วยิ้มให้ผมอีกครั้ง “ หอมแก้มเสร็จแล้วครับคุณ ลงไปแล้วหรือจะให้ผมจูบคุณด้วย “
“ หยุดความคิดของมึงไว้ตรงนั้น กูไปเดี๋ยวนี้แหละ “ ผมบอกอีกคนก่อนจะถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่ หันไปมองน้องชายตัวเองที่ก็นั่งอยู่ข้างหลังพลางยักคิ้วมาให้ “ แกล้งกูนะวิว ฝากไว้ก่อน มึงก็ด้วย “ คำสุดท้ายหันไปบอกไอ้อาฟที่ก็ดูเหมือนอีกคนจะไม่ได้ใส่ใจเท่าไหร่
“ เดี๋ยวตอนเลิกเรียนไอ้เดย์จะมารับมึงนะอย่าลืมละ “
“ อื้ม ยังไงเดี๋ยวตอนน้องเดย์มารับ กูจะไลน์ไปบอกมึง “ เปิดประตูรถออกไปผมหันไปบอกวิว “ เจอกันนะมึง “
“ อื้ม บ๊ายบาย “
“ ไปละ “
ปิดประตูรถลงเรียบร้อย ผมก็หันหลังเดินขึ้นตึกเรียนของตัวเองไปหลังจากที่รถคันที่มาส่งขับออกไป ขึ้นลิฟต์มาถึงชั้นที่เรียน เปิดประตูเข้าไปในห้องที่ตอนนี้เริ่มมีนักศึกษามากันเกือบเต็มห้อง ผมเลือกที่นั่งที่มีคนนั่งอยู่ก่อนแล้วสองคน เพราะไม่อยากนั่งร่วมโต๊ะกับอีกทั้งสองคนที่ก็จ้องจะมานั่งข้างผมแทบจะทุกคาบ ผมถือคติชีวิตในตอนนี้ว่า ‘ ถ้ามันหน้าด้านที่จะไม่เลี่ยง ผมก็ต้องเลี่ยงเอง ’
“ เมด หวัดดี รายงานกลุ่มเสร็จยัง วันนี้ส่งแล้วนะ “ เพื่อนที่นั่งอยู่ข้างๆเอ่ยทักผมตอนที่นั่งลง
“ ส่งวันนี้เหรอวะ “
“ เอออะดิ อาทิตย์ที่แล้วอาจารย์ก็บอกลืมเหรอ “ พยักหน้ารับแบบยิ้มแห้งๆ
“ ท่าทางจะไม่ได้ฟังให้ดี “
“ อย่าบอกนะว่ายังไม่เสร็จ “ เพื่อนถามผมก็ส่ายหน้า
“ เปล่าๆ เสร็จนานแล้ว แต่งานอยู่ที่ยีนส์น่ะ “ บอกแบบนั้นคนที่นั่งอยู่ข้างๆก็ส่งสายตาเป็นกังวลมาให้
“ มึงก็ไว้ใจพวกมันเนอะ ทั้งๆที่มันก็ทำมึงถึงขนาดนั้น “
“ กูไม่ได้ไว้ใจหรอก “ ผมบอกเธอก่อนจะยิ้มให้ คนฟังขมวดคิ้วงงเล็กน้อยกับสิ่งที่ผมพูดแต่ก็ไม่ได้ถามอะไรต่อ ตัวผมเองก้มลงมองแฟ้มที่อยู่ในมือในนั้น ผมใส่รายงานกลุ่มฉบับที่ต้องส่งมาด้วย คนเราโง่ครั้งเดียวก็เกินพอแล้ว ไม่มีทางเชื่อใจพวกมันสองคนได้อีกเป็นครั้งที่สองแน่นอน
เสียงพูดคุยในห้องเรียนเบาลงทันทีมันเป็นแบบนี้ทุกครั้งเมื่อยีนส์กับจิงเดินเข้ามาภายในห้องแล้วเมื่อมันสองคนนั่งลง ทุกคนก็จะหันไปซุบซิบนินทาคนทั้งคู่เหมือนอย่างทุกครั้ง แต่หลังๆก็เหมือนคนโดนนินทาจะชินเสียจนไม่สนใจอะไรแล้ว ทั้งสองคนเดินมานั่งลงที่เก้าอี้ว่างข้างหลังผม เราไม่ได้ทักทายอะไรกันจนกระทั่งอาจารย์ประจำวิชาเดินเข้ามา
“ วันนี้กำหนดส่งรายงานนะคะ เอามาส่งกันได้เลย ใครมาส่งหลังจาก 15 นาทีนี้อาจารย์ไม่รับแล้วนะคะ “
“ ยีนส์ มึงเอารายงานมากูจะเอาไปส่งให้ “ เสียงจิงที่นั่งอยู่ข้างหลังผมพูดขึ้นมากับเพื่อนคนที่นั่งอยู่ข้างๆกัน แต่เหมือนอีกคนกลับแค่พูดเสียงนิ่งๆออกมาอย่างไม่ใส่ใจก็เท่านั้น
“ กูไม่ได้เอามา ลืมไว้ที่ห้อง “
“ ห๊ะ ? มึงหมายความว่าไงวะ ลืมไว้ที่ห้อง “
“ อื้ม ก็ลืมไปที่ห้อง “
“ แล้วไหนเมื่อกี้กูถามมึงบอกว่ามึงเอามาแล้ว “
“ ก็ลืม “ ถ้อยเสียงที่ดูไม่ใส่ใจตั้งใจพูดให้ผมที่อยู่ข้างหน้าได้ยิน
“ แล้วจะทำยังไงมันต้องส่งอาจารย์วันนี้ “
“ ก็เดี๋ยวไปบอกอาจารย์ว่าลืม หลังคาบก็ค่อยกลับไปเอามาส่งที่ห้องพักอาจารย์ก็ได้มึง “
“ แต่อาจารย์ก็บอกว่าให้ส่งภายใน 15 นาทีนี้ ” ผมถอนหายใจออกมาเสียงดังตอนที่ได้ฟังทั้งคู่นั่งเถียงกันอยู่แบบนั้น หันหลังไปมองยีนส์ที่ยังคงเฉยชากับเรื่องที่เกิดขึ้น มันที่มองหน้าผมแบบไม่รู้สึกอะไรกับสิ่งที่เกิดขึ้น แล้วทุกอย่างในตอนนั้นมันก็บอกกับผมว่า อีกคนตั้งใจที่จะทำให้ทุกอย่างมันเป็นแบบนี้อยู่แล้ว
“ เมด กูขอโทษทีเดี๋ยวกูไปบอกอาจารย์ให้นะ “ จิงที่หันมาบอกผมด้วยท่าทางลำบากใจ ก่อนที่ยีนส์จะพูดขึ้นด้วยใบหน้าเรียบเฉยแบบยิ้มๆ
“ โทษทีนะมึง แต่ 10 คะแนนคงไม่ทำให้มึงพลาดเกียรตินิยมหรอก มันต้องได้สักอันดับแหละน่า “
“ ยังขาดกลุ่มใครที่ยังไม่ส่งอีกบ้างค่ะ “ เสียงอาจารย์ที่หน้าห้องดึงขึ้น ผมที่ยกมือขึ้นก่อนจะลุกขึ้นจากที่นั่งเดินเอารายงานที่ตัวเองพิมพ์ออกมาเผื่อไว้อยู่แล้ว ลุกขึ้นเอาไปส่งให้อาจารย์ ก่อนจะเดินกลับมานั่งลงที่เดิม
“ เมด ขอบคุณนะมึง แล้วก็ขอโทษด้วย “ จิงพูดกับผม ตอนที่หันไปมองมันที่ยิ้มให้ ผมก็ยิ้มตอบกลับไป
“ ไม่เป็นไรหรอก แต่กูอยากเตือนมึงไว้สักอย่างนะจิง “ ถอนหายใจออกมาก่อนจะมองไปหายีนส์ที่นั่งอยู่ข้างๆอีกคน ท่าทางที่ดูไม่พอใจของมันแม้จะไม่พูดอะไรแต่สายตาที่กำลังหงุดหงิดก็บอกกับผมทุกอย่างแบบไม่ปิดบัง “ ถ้าทำได้ มึงเลิกคบกับไอ้ยีนส์ได้แล้วนะ ขนาดในรายงานนั้นมีชื่อมึงอยู่ มีคะแนนของมึงอยู่ มึงที่เป็นเพื่อนรักที่คอยปิดความลับของมันมาตลอด มันยังไม่แคร์เลย มันเอาแต่ความต้องการของตัวเองที่อยากจะแค่ทำให้กูรู้สึกเหี้ย เพื่อนแบบนี้ทางที่ดีเลิกคบนะ คบไปก็ไม่น่าเจริญ เห็นแก่ตัว “
“ คิดเข้าข้างตัวเองไปแล้วมั้ง ใครอยากจะทำให้มึงรู้สึกเหี้ยกันว่ะ “
“ ไม่รู้สิ คงเป็นใครสักคนที่เลือกจะทำรายงานมาแบบเหี้ยๆ หาข้อมูลแบบไม่ตั้งใจหา แถมยังพิมพ์ตัวอักษรเหี้ยๆใส่ในเนื้อหาที่ต้องส่งมาให้กู เพราะรู้ว่ากูเป็นคนรวมเล่มแล้วก็เช็คก่อนส่งพิมพ์ ใครสักคนที่ออกตัวว่าขอปริ้นท์งานเอง เพราะก็คิดไว้ตั้งแต่ตอนนั้นแล้ว ว่าจะไม่เอามาส่ง “ ผมยิ้มให้ยีนส์ “ แต่ถ้ามึงไม่คิดอะไรแบบนั้น ก็ไม่ต้องรู้สึกหงุดหงิดกับเรื่องที่กูพูดหรอกจริงมั้ย “
ไม่มีเสียงตอบรับของอีกฝ่ายที่เถียงกลับมาอย่างทุกที เราแค่มองหน้ากันอยู่แบบนั้น ท่ามกลางเพื่อนร่วมคลาสเรียนที่ต่างก็มองมาทางเรา
“ มึงเหมือนไม่ใช่คนที่เคยเป็นเพื่อนกูเลย “
“ มึงไม่ได้เป็นเพื่อนกูมานานแล้วยีนส์ “
ยิ้มตอบรับคำพูดของอีกคน ผมนั่งลงที่เดิมของตัวเองก่อนจะถอนหายใจออกมาแบบสะกดอารมณ์โกรธของตัวเองเอาไว้ให้ลึกที่สุดเท่าที่จะทำได้ ทำทีเป็นเปิดเอกสารที่ต้องใช้เรียนขึ้นมาพร้อมกับกล่องปากกา ผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆ ผมหงุดหงิดจนมือมันสั่นไปหมด ในความคิดของผมที่แบ่งออกเป็นสองความรู้สึก มีทั้งความรู้สึกแรกที่หงุดหงิดเพราะคะแนนของรายงานนั้นต้องแบ่งไปให้ไอ้ยีนส์คนที่จงใจสร้างความชิบหายให้ผม แต่อีกความคิดก็คิดปลงๆไปว่า ทำบุญไปแล้วกัน ยังไงคะแน่นนั่นก็คือคะแนนของผมด้วย ถ้าไม่ทำ ไม่ส่ง ก็คงไม่มีคะแนน คนมันบ้าก็ปล่อยให้บ้าไปคนเดียว ผมไม่ควรไปหงุดหงิดตามเกมส์ของมัน อีกอย่างก็ควรหยุดความรู้สึกทุกอย่างที่เกี่ยวกับพวกมันได้แล้ว ผมไม่อยากจะให้อาฟเสียใจอีก
[ ถึงแล้ว ] ข้อความที่ปรากฏขึ้นมาบนหน้าจอมือถือที่วางอยู่บนโต๊ะ ผมยิ้มกับสิ่งที่เห็นก่อนจะปลดล็อคหน้าจอแล้วตอบข้อความนั้นกลับ
[ ตั้งใจเรียนนะ อารยะ ]
[ เก็บคำนั้นไว้บอกตัวมึงเถอะ ]
[ จ้า พ่อคนขยัน พ่อคนไม่เคยโดดเรียน ]
[ กูไปเฝ้าแฟนกู เกี่ยวอะไรกับมึงว่ะเมด ]
[ เกี่ยวเพราะกูนี่แหละแฟนมึง ไอ้เชี้ย ] ส่งสติกเกอร์หน้าโกรธไปให้มัน อีกคนก็ส่งสติกเกอร์ที่ผมเคยซื้อให้กลับมา มันเป็นแมวน้ำหน้าตาน่าเอ็นดูที่ชวนให้ผมยิ้ม
[ แล้ววันนี้ไม่มีเรื่องฟ้องกูรึไง ไอ้เด็กขี้ฟ้อง ]
[ พูดเหมือนกูฟ้องมึงทุกครั้งที่มีเรียน ]
[ มึงเป็นแบบนั้นเมด ] ผมถอนหายใจออกมา ใจนึงก็ไม่อยากจะเล่าเลยอยากจะให้มันจบๆไปได้แล้วสำหรับเรื่องนี้ แต่ก็ไม่ได้อยากจะโกหกเพราะถ้าอาฟมาเจอผมก็ต้องรู้อยู่แล้วว่าผมมีเรื่องอะไรในใจ ความรู้สึกตอนนี้ที่กลัวที่สุดคือ อาฟจะคิดไปรึเปล่าว่าผมยังใส่ใจกับเรื่องงี่เง่านั้น [ ว่าไง มีใช่มั้ย ]
[ ก็มี แต่ไม่ใช่เรื่องใหญ่อะไรหรอกมึง แต่ที่มึงพูดกับกูไว้คือโคตรแม่นเลยนะ ]
[ ยังไง ]
[ ก็ที่บอกให้กูพิมพ์รายงานมาเผื่อฉบับนึงเผื่อพวกมันตุกติกไม่เอามาส่งไง ] ยกยิ้มตอนที่พิมพ์ข้อความนั้น ต้องขอบคุณไอ้อาฟจริงๆสำหรับเรื่องนี้ ถ้ามันไม่เตือนผม ตอนนั้นก็คงไม่คิดจะทำเผื่อมาแน่นอน [ สรุปคือมันตั้งใจไม่เอางานมาส่ง กูเลยต้องส่งฉบับที่กูพิมพ์มาเผื่อแทน ]
[ อื้ม ]
[ หงุดหงิดสัด กูแม่งอยากจะเอาเก้าอี้ยกขึ้นฟาดหัวพวกมันคนละที คือ ทำรายงานก็เหี้ยแล้วนะ ไม่เอางานมาส่งอีก กูควรทำไงกับมันดีอาฟ มึงช่วยคิดกูหน่อย กูควรจัดการความรู้สึกของตัวเองยังไงดี ]
[ ถ้าคิดแล้วชีวิตดีขึ้นก็คิด ]
[ สัด เหมือนด่าว่าคิดเรื่องมันทำไมชีวิตไม่ได้ดีขึ้น ]
[ เริ่มฉลาดแล้วนิ ] อาฟบอกแบบนั้นผมก็ได้แต่มองหน้าจอนั้นไม่ได้ตอบอะไร [ คิดว่าทำเพื่อตัวเอง คะแนนของตัวเอง ไม่ต้องคิดอย่างอื่น ]
[ อยากมาเรียนแล้วไม่ต้องพูดถึงมันให้มึงฟังสักครั้ง แต่ก็วอนตีนกูตลอดจ้า เหมือนสัมพเวสีขอส่วนบุญ กูพยายามไม่ยุ่งแล้วนะแต่แม่งก็พยายามหาเรื่องกูกันจัง น่าเบื่อชิบหาย ]
[ อื้ม ]
[ มันจะหยุดมั้ยมึง แบบ ตัวใครตัวมัน มันจะหยุดมั้ย ]
[ ไม่รู้ กูไม่ใช่มัน ]
[ น้องเมดเหนื่อยจังเลยอะพี่อาฟ น้องเมดรู้สึกท้อแท้ ] บอกกับอีกคนก่อนจะส่งสติกเกอร์อ้อนๆไปให้ ก่อนที่สติกเกอร์ สู้ๆ ที่ไม่เข้ากับท่าทางของมันจะถูกส่งกลับมาให้พร้อมกับข้อความที่ไม่ค่อยตรงกับใจเท่าไหร่เหมือนอย่างทุกที
[ งอแงเหี้ยไร ปัญญาอ่อน ]
[ เที่ยงนี้กูต้องไปกินข้าวกับน้องเดย์สินะ เพราะมึงมีเรียน ] งอแงใส่อีกคนอย่างไม่มีที่สิ้นสุด ผมไม่รู้ว่าท่าทางที่ผมเป็นตอนนี้มันจะชอบมั้ย จะยิ้มอยู่มั้ย หรือจะถอนหายใจออกมาแบบรำคาญ แต่ที่ผมรู้ คือตอนนี้ผมอยากจะทิ้งตัวลงนั่งข้างมันมากที่สุด อยากจะเลื้อยตัวเองไปกอดอีกคนไว้ สูดกลิ่นตัวอบอุ่นของอาฟแล้วก็ให้มันกอดผมไว้แน่นๆเหมือนเมื่อคืนที่เรากอดกัน [ อยากไปกินข้าวกับมึงอะอาฟ ]
[ เช็คชื่อเสร็จเดี๋ยวออกไปหา ]
[ เรียนเถอะ กูพูดไปงั้นอะ อยากงอแงใส่มึงเฉยๆ ]
[ ขี้งอแง ] ยิ้มยอมรับกับข้อความนั้นของมัน ผมส่งสติกเกอร์อ้อนๆไปให้มันก็ส่งข้อความตอบกลับมาอีก [ เดี๋ยวพาไปกินมื้อเย็น อยากกินอะไรก็เลือกไว้ ]
[ กอดหน่อย ]
[ อะไรเข้าสิงมึง ]
[ สัด ] ผมสถบก่อนจะสติกเกอร์หน้าโกรธไปให้มัน [ กูอ้อนอยู่ อ้อนน่ะ อ้อน เข้าใจมั้ยอารยะ กูอ้อนมึงอยู่ ]
[ ก็บอกว่าเดี๋ยวอาจารย์เช็คชื่อเสร็จกูออกไปหา ]
[ เรียนเถอะจ๊ะ ไม่อยากมีแฟนโง่ ]
[ มึงจะเอายังไงกับกู มึงวอแวอยากให้กูไปหา พอกูบอกว่ารอก่อน อาจารย์เช็คชื่อเสร็จกูจะไป มึงก็บอกอีกว่าไม่ต้องให้กูตั้งใจเรียน คือตีนกูมั้ยเมด ยังไงดี ]
[ เกรี้ยวกราดกับแฟน ] ผมแซวมัน [ กูอ้อนตีนมึงไปงั้นแหละ เดี๋ยวตอนเย็นเจอกันครับ ]
[ งั้นติดไว้ก่อนนะ ] อาฟบอกผมก็ได้แต่ยกคิ้วงงๆ
[ ติดอะไร ]
[ กอดที่มึงขอ ติดไว้ก่อน เดี๋ยวเจอกันแล้วจะให้ ]
[ ขอแน่นๆเลยนะ ]
[ เรื่องมาก ] ข้อความที่ตอบกลับมาชวนให้ผมยิ้มตอนที่อ่าน [ แต่จะตามใจแล้วกัน ] ส่งสติกเกอร์เป็นตุ๊กตากระโดดกอดอีกคนไปเป็นการจบบทสนทนาของเรา ก่อนที่ต่างฝ่ายต่างจะหันไปตั้งใจเรียน
น้องเดย์มารับผมเลทจากเวลาจริงที่ต้องมาเป็นครึ่งชั่วโมง แต่ผมกลับกลั้นขำน้องที่มีสีหน้าบอกบุญไม่รับตอนที่เห็นหน้าผม สองมือที่ยกขึ้นไหว้ด้วยสีหน้าเว้าวอนแบบขอร้อง
“ น้องเดย์ขอโทษที่มารับช้า แต่อย่าบอกพี่อาฟเลยนะพี่เมด ไม่งั้นน้องเดย์ตายแน่นอนเลย ”
“ บอกๆ จะฟ้อง “ ผมแซวอีกคนที่ก็ก้มลงมาไหว้ถึงตัว
“ น้องเดย์กราบ พี่สะใภ้นะครับ อย่าทำร้ายน้องเดย์เลยนะครับ “
“ ถามจริง ถ้าบอกไอ้อาฟ มันจะทำอะไร “
“ ไม่รู้ว่ะ “ คนขับส่ายหน้าให้ผมในระหว่างทางที่เรานั่งรถไปด้วยกัน “ อย่างสัดพี่มากสุดก็คงหักเงินเดือนอะ “
“ แต่พี่เมดเป็นคนทำเรื่องเงินเดือนของคนในผับนะ ถึงไอ้อาฟจะบอกหักเงินเดือน แต่ถ้าพี่เมดโอนเต็มก็เท่านั้นอะ “
“ ทำไมเธอร้าย “ ยกนิ้วเก็กหน้าหล่อส่งให้อีกคนแล้วยักคิ้วให้ เราแวะกินอาหารญี่ปุ่นที่อยู่ไม่ไกลจากผับ ก่อนจะแวะไปรับไอ้หมูตุ๋นจับใส่กรงแล้วพามาที่โรงพยาบาลสัตว์ที่ก็อยู่ไม่ได้ไกลกันนัก ผมเปิดประตูที่นั่งด้านหลังหยิบกรงใส่แมวขึ้นมาก่อนจะเอ่ยแซวมัน
“ นั่งเบนซ์มาหาหมอเลยนะมึงไอ้หมูตุ๋น “ เสียงตอบรับดังเมี๊ยวของมันชวนให้ผมยิ้ม ก่อนเปิดประตูเข้าไปในด้านในโรงพยาบาลสัตว์ พนักงานด้านหน้าก็เอ่ยทัก
“ สวัสดีค่ะ “
“ สวัสดีครับ พาน้องแมวมาตรวจสุขภาพครับ “ ผมบอกก่อนจะวางกรงลงบนพื้น “ พอดีเค้าท้องแก่มากแล้ว เลยอยากรู้ว่าสุขภาพแข็งแรงพอที่จะคลอดได้เองมั้ย แล้วก็อยากรู้ด้วยว่าเค้าท้องลูกกี่ตัว “
“ ได้ค่ะ ถ้าอย่างเชิญนั่งรอสักครู่นะคะ “
“ ครับผม “ พยักหน้ารับกับพนักงาน ผมหมุนตัวเองเพื่อหาที่นั่งแต่ยังไม่ทันเดินไปคนคุ้นเคยที่ไม่คิดว่าจะเจอก็ชวนให้นิ่งชะงักไปก่อนรอยยิ้มของผมที่ยิ้มอยู่หุบลง หัวใจที่แทบหยุดเต้นในตอนนั้น ผมเผลอเรียกชื่อมันก่อนจะถอนหายใจ “ บิน “
“ ก็ว่าเสียงคุ้นๆ คิดว่าใคร เมดนี่เอง “ อีกคนบอกยิ้มๆด้วยท่าทางดีใจแต่ผมกลับไม่รู้สึกแบบนั้น เพราะตอนนั้นผมรู้สึกอย่างเดียวในใจคือ ‘ อีสัด เจอเหี้ยตัวเมียมึงเมื่อเช้า ออกจากมหาลัยยังมาเจอเหี้ยตัวผัวอีก ’ “ เดี๋ยวนี้เลี้ยงแมวแล้วเหรอ “
“ แมวที่ผับน่ะ มันท้องแก่ สงสารมัน เลยเอามาเลี้ยงไว้ “ ตอบแบบไม่อยากตอบ ผมเลือกนั่งตรงที่นั่งที่ไม่ไกลจากอีกคน เหลือบมองคนที่พยายามจะชวนคุยก็ได้แต่ถอนหายใจออกมาเพื่อบอกความรู้สึกอึดอัดใจทั้งหมด เหลือบมองออกไปนอกโรงพยาบาลสัตว์ที่ยังไม่เห็นแม้เงาของคนที่มาด้วยจะเดินเข้ามา
“ ยังใจดีเหมือนเดิมเลยนะ “ บินชวนผมคุย
“ อื้ม “ ผมตอบรับอีกคนก่อนจะส่งยิ้มแบบไม่อยากจะยิ้มไปให้ ท่าทางที่สื่อกับอีกคนว่าเลิกถามอะไรกูสักที กูไม่อยากตอบแต่ดูท่าทางว่าบินจะไม่ค่อยเข้าใจก็เลยยังตั้งคำถามชวนคุยกันอยู่อย่างงั้น
“ แล้วนี่มากับใคร ไอ้อาฟเหรอ “
“ เปล่า มากับน้องชายอาฟน่ะ “
“ พี่เมดอะ “ เสียงของคนที่ผมรออยู่ เดินเข้ามาพร้อมกับช็อคโกเล็ตเย็นในมือที่ยื่นให้ ก่อนจะนั่งลงข้างกัน “ เยลลี่ด้วยมั้ย “
“ ไหนมาชิม “ หยิบเยลลี่น้องกินชิ้นนึง ก่อนจะยิ้มให้อีกคนที่ก็หยิบมือถือขึ้นมาเปิดกล้องหน้าแล้วยื่นมือออกมาเตรียมถ่ายรูปคู่กับผม ที่ก็จะเป็นแบบนี้ทุกครั้งด้วยเหตุผลที่ว่า ‘ มาถ่ายรูปไปอวดสัดพี่กันเถอะ มันต้องอกแตกตายแน่ๆ เพราะมันไม่ได้อยู่ใกล้พี่เมด ’
“ ถ่ายรูปส่งไปให้สัดพี่กันดีกว่า “ ชูมือสองนิ้วเข้ากล้อง ทุกท่าทางของเราถูกจับจ้องด้วยใครอีกคน บินจ้องเราจนน้องเดย์ยังรู้สึกแล้วหันมากระซิบผม “ พี่เมด คนนั้นเค้ามองเราทำไมวะ หรือเค้าจะคิด ว่าเราสองคนเป็นแฟนกัน เพราะเราเหมาะสมกันมากเลยในจุดนี้ “
“ นั่นแฟนเก่าพี่เมด “
“ ห๊ะ ? “ คนฟังอ้าปากค้างก่อนจะเหลือบมองคนที่เราพูดถึง น้องเดย์หันมากระซิบผมอีกครั้ง “ คนที่นอนกับเพื่อนพี่เมดน่ะเหรอ “
“ อื้ม คนนั้นแหละ “
“ อ๋อออ “ แววตาสดใสแปรเปลี่ยนเป็นหาเรื่องอีกฝ่ายทันทีตอนที่รู้เรื่อง น้องเดย์หันไปมองอีกคนแบบไม่ชอบใจมือนึงที่ยัดเยลลี่เข้าไปในปาก ผมหลุดยิ้มกับท่าทางของน้องคือจะบอกว่า มันก็น่ากลัวอยู่นะน้องเดย์ท่าทางมึงอะพอจะต่อยกับมันได้แต่ไอ้เยลลี่ในมือนี่พี่เมดว่ามันไม่น่าจะใช่เท่าไหร่วะ “ มันจะมองอะไรเรานักหนาวะ “
“ ช่างมันเถอะ “ บอกปัดแบบไม่สนใจ ผมก้มลงมองไอ้หมูตุ๋นที่อยู่ในกรง ยื่นนิ้วเข้าไปลูบขนมันก่อนจะหันไปถามคนนั่งข้างกัน “ น้องเดย์ว่ามันจะท้องลูกกี่ตัว “
“ สี่ตัว “
“ เยอะขนาดนั้นเลยเหรอวะ “
“ ก็ท้องมันโตอะพี่เมด น้องเดย์ว่านะบางทีอาจจะมากกว่านั้น แบบ หกเจ็ดตัว “
“ แล้วเราจะเลี้ยงมันยังไงวะ “ หันมองน้องเดย์ที่ก็ยักไหล่ขึ้นมาแบบไม่รู้เหมือนกัน “ ถ้าออกมาเจ็ดตัวจริงๆ ไอ้อาฟมีวอร์แน่นอนงานนี้ เตรียมตัวรอได้เลย “
“ พี่เมดก็อ้อนสัดพี่สิ น่ะอาฟน้า เลี้ยงเถอะน้า หอมแก้มสัดพี่สักฟอดสองฟอด ถ้าทำแบบนั้นร้อยตัวก็ให้เลี้ยง เชื่อน้องเดย์ “ หลุดหัวเราะเสียงดังกับท่าทางของคนที่นั่งข้างๆ ก่อนจะหุบยิ้มตัวเองลงตอนที่เห็นว่าบินมองอยู่ น้องเดย์หันไปมองอีกคนก่อนจะถอนหายใจออกมา
“ มองอะไรพี่สะใภ้กูนักหนาวะ “ คนโดนถามยิ้มกว้างก่อนจะตอบออกมาแบบยั่วโมโหคนถามอยู่หน่อยๆ
“ มองแฟนเก่ากูไง “ บินยิ้มให้ผมตอนที่ตอบ ตั้งแต่คบกันมาผมก็รู้ว่าอีกคนก็เป็นคนกวนตีนอยู่ไม่น้อย ตอนสมัยที่เรายังคบกันก็มีอยู่หลายครั้งที่มันเกือบโดนต่อยเพราะความปากหมาของตัวมันเอง
“ กวนตีน “
“ น้องทามะค่ะ “ เสียงของพนักงานในโรงพยาบาลสัตว์เอ่ยเรียกแมวตัวที่อีกคนพามา บินลุกขึ้นเต็มความสูงในตอนนั้นกระเป๋าใส่แมวของมันก็ถูกหิ้วเข้าไป ผมจำแมวตัวนั้นได้ดี มันเป็นแมวของยีนส์จำได้ว่ามันซื้อมาเลี้ยงเมื่อสามปีก่อน ยีนส์เป็นคนชอบแมวมากแล้วมันก็มีความสุขมากๆตอนที่ได้แมวตัวนี้มา เห็นบอกว่าคนสำคัญซื้อให้ ตอนแรกผมคิดว่าพ่อของมันที่ทำงานอยู่ที่จีนซื้อให้ แต่ตอนนี้พอมานั่งคิดๆก็คงจะไม่ใช่หรอก คนสำคัญที่มันบอก ก็คงเป็น บินนั่นแหละ
“ ขอตัวก่อนนะ “
“ จะไปตายที่ไหนก็ไปเถอะครับ “ น้องเดย์พูดขึ้นเบาๆ ก่อนจะหันมามองผมที่มองอีกคนอยู่ “ ถ้าไม่มีพี่เมดนะ บอกเลยเลยตีนเหยียบหน้ามันไปละ “
“ เก่งจังวะ นั่งกินเยลลี่ให้หมดไป “ ผมบอกอีกคนที่ก็หยิบเยลลี่เข้าปากไปอย่างว่าง่าย
“ พี่เมด โอเคนะ “
“ โอเคสิ ถามทำไมอย่างั้นวะ “ เอียงหน้ามองหน้าที่กำลังจ้องหน้าผม “ ทำไม ? หน้าตาพี่เมดดูไม่โอเคเหรอวะ “
“ น้องเดย์ว่า แววตาดูไม่สดใสเหมือนเดิมอะ ”
“ แค่สงสารตัวเองน่ะ “ ผมบอกอีกคน “ ตอนสมัยคบกันเค้าไม่เห็นเคยทำอะไรให้พี่เมดเลย แต่ดูสิ เค้าพาแมวของเพื่อนพี่เมดมาหาหมอให้อะ พอกับพี่เมดน่ะ ให้ซื้อของขึ้นไปทั้งๆที่เป็นทางผ่านอยู่แล้ว ยังบ่นแล้วบ่นอีกเลย “
“ เค้าก็แค่ไม่รักพี่เมดอะ “ คนข้างๆผมบอกก่อนจะยักไหล่ “ เพราะถ้าเค้ารักเรา อะไรที่เค้าทำให้เราได้ เค้าก็ทำให้เราหมดนั่นแหละ ดูอย่างสัดพี่อาฟสิ นั่นแหละความแตกต่างระหว่าคนที่เค้ารักพี่เมดกับคนที่เค้าไม่รักพี่เมด “
“ สมที่เป็นน้องพี่อาฟ อวยพี่มันสุดๆ “ ผมแซวอีกคน ที่ก็โบกมือไปมาปฎิเสธ
“ ก็พูดไปตามที่เห็นอะ ไม่ได้อยากอวดสัดพี่เลยเถอะ “
“ จ้าๆ พี่เมดก็คิดแบบน้องเดย์คิดนั่นแหละ “ ผมพยักหน้ารับน้องชายที่นั่งกันเอื้อมมือไปหยิบเยลลี่นั่นมากิน เรานั่งรออยู่ไม่นานสักพักบินก็เดินออกมาพร้อมกับแมวของยีนส์ มันยิ้มให้ผมก่อนจะเอ่ยบอก
“ เมด ไว้ว่างๆ นัดเจอกันนะ อยากคุยด้วย “
“ ไม่จำเป็น เพราะไม่มีอะไรที่พี่เมดจะต้องคุยกับมึง ใช่มั้ยพี่เมด “ น้องเดย์ตอบแทนก่อนจะหันมามองหน้าผม ที่ก็พยักหน้ารับคำพูดนั้นแต่เหมือนบินจะไม่ได้ใส่ใจคำพูดนั้นสักเท่าไหร่ มันแค่ยกยิ้มก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ผม
“ งั้นเดี๋ยวว่างๆ กูไปที่ผับ throw up แล้วกัน “ บินบอกก่อนจะยิ้มให้ผม “ คงไม่มีใครห้ามลูกค้าเข้าร้านหรอกใช่มั้ย “
“ น้องหมูตุ๋น เข้าตรวจได้แล้วนะคะ “ เสียงของพนักงานที่เอ่ยเรียกเรา ผมเบือนหน้าหนีคนที่พูดหาเรื่อง แต่ยังไม่ทันจะก้าวเดินออกไปบินก็คว้าแขนของผมไว้ก่อน
“ แล้วเจอกันที่ throw up นะเมด “
“ กูไม่ได้อยากเจอมึง “
“ แต่กูอยากเจอ “ บินบอกก่อนจะยิ้ม “ ไอ้อาฟน่ะ อยากคุยให้มันฟังสักหน่อยว่าเมดของบินน่ะเป็นยังไงตอนที่คบกัน เผื่อแฟนใหม่อย่างไอ้อาฟ จะได้รู้ว่าตัวเองต้องเจอกับอะไรบ้าง “
“ ปล่อยแขนพี่สะใภ้กู ถ้ามึงไม่อยากเจ็บตัว “ เอื้อมมือไปจับมือของอีกคนตอนที่พูดออกมาแบบนั้น แววตาหาเรื่องของหาเดย์ ทำให้บินปล่อยแขนออกจากมือผมทันที ก่อนที่มันจะยกสองมือยอมเหมือนพวกเจอตำรวจ
“ ไปเถอะน้องเดย์ อย่าไปสนใจหมามันเห่าเลยว่ะ “
“ แล้วเจอกันนะเมด ฝากบอกอาฟด้วย “ เสียงที่ตะโกนไล่หลังเรามา ทำทีเป็นไม่สนใจแล้วเดินเข้าไปในห้องตรวจที่ตอนนี้คุณหมอรอเจ้าหมูตุ๋นอยู่ แต่ในใจของผมกลับเอาแต่คิดว่าอะไรคือสิ่งที่ บินอยากบอกอาฟ แต่ไม่ว่าจะเป็นเรื่องอะไร ผมก็ไม่คิดว่ามันจะเป็นเรื่องที่ดี โดยเฉพาะต่อความรู้สึกของอาฟ
..................................... ................
ครบทุกรสมีทุกอารมณ์
ตอนที่แล้วมีคนถามเรื่องเจวิว ตอนนี้คงได้คำตอบแล้วเนอะ แต่เราไม่ทิ้งคู่ไหนที่เริ่มความสัมพันธ์ไว้แน่นอนค่า
อาจจะไม่ได้เด่นชัด แต่มีความสรุปในตัวบทของมัน เจวิวเองก็จะมีให้อ่านเรื่อย ๆ แต่อาจจะไม่ได้เด่นแบบคู่หลัก แต่จะมีบ้างเป็นตอนส่วนตัว แต่โดยรวมก็จะโผล่มาให้เห็นว่า ทั้งสองคนอยู่ในความสัมพันธ์แบบไหนกันอยู่ ไปถึงอะไรให้ขั้นไหนแล้วอะไรทำนองนั้น เพราะตอนนี้ และ จากนี้ไปสักพัก เราจะเข้าสู่เนื้อหาหลักส่วนท้ายของอาฟเมดแล้วจ้า
และนี่คือทางไปนิยายแชทจอยลดา
http://www.joylada.com/story/5a8bfb6e007ee30001162ca6ป.ล. ยังไม่จบ ต่อให้เป็นส่วนท้าย มันก็ยังไม่จบ แค่เนื้อหาจะเข้มข้นขึ้นเฉยๆ
สปอยตอนหน้า
“ เออ ที่สำคัญมันบอกพี่เมดด้วยนะ ว่ามันอยากจะเจอพี่เมด มันอยากคุยด้วย แต่พอกูบอกว่าไม่ต้องมา แม่งก็บอกจะมาที่นี่อะ “
“ งั้นเหรอ “ ผมพยักหน้ารับคำพูดของน้องชายก่อนจะยิ้มให้พวกมันสองคน “ ก็ดีนะ throw up ยินดีต้อนรับอยู่แล้ว “
โอเค เจอกันตอนหน้าค่า
ฝากแท็ก #ผับชั้นสาม นะคะ เจอกันตอนหน้า #ยิ้มร้าย
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์จ้า