“ ว่าไงนะ “ ทำทีเป็นถามย้ำทั้งๆที่สีหน้ากำลังยิ้มขำ อาฟหันมามองหน้าผมด้วยความไม่ชอบใจถอนหายใจออกมาใส่กันก่อนจะย้ำ
“ กูกลัวเข็ม พอใจยัง ”
“ ฮึก..แปปนะ ” ยกมือขึ้นเบรกมันก่อนจะหันไปอีกทางแล้วเผลอยิ้มกว้างพร้อมกับเสียงหัวเราะเงียบๆคนเดียวอยู่สักพัก ผมสูดลมหายใจเข้าไปปอดตั้งสติไม่ยิ้มให้มันเห็นเพราะอาจจะทำร้ายจิตใจหนุ่มสุดคลูเข้าให้
“ อยากจะหัวเราะก็หัวเราะออกมา จะกั้นอยู่ทำไม จะหัวเราะเยาะกูก็ทำเลย ”
“กูไมได้หัวเราะเยาะมึงสักหน่อย ” ผมบอกมันแบบนั้นอีกคนก็ถอนหายใจและยิ่งเซ็งเข้าไปใหญ่เพราะตอนนี้มันเอาแต่หันไปมองทางอื่นและไม่มองผมเลย “ อาฟ ไม่เอาน่ามึง ” เอ่ยเรียกเสียงอ่อนแต่อีกคนก็ไม่ทีท่าว่าจะหันมา “ อาฟครับ ”
“ อะไร รำคาญจะพูดก็พูดเลยเรียกอยู่ได้ ”
“ หงุดหงิดอะไร ก็แค่กลัวเข็มกูไม่ได้หัวเราะเยาะเย้ยมึงสักหน่อย ”
“ อย่าบอกนะว่าเมื่อกี้มึงไม่ได้หันไปหัวเราะ ” มันถามด้วยท่าทางหาเรื่อง “ แล้วหันไปทำไม ”
“ ก็หันไปยิ้ม แต่ยิ้มเพราะกูเห็นว่ามันน่ารักดี แบบผู้ชายอย่างมึงกลัวเข็ม มันก็น่ารักออก”
“ ไม่เท่ห์เลย ” มันพูดเสียงเบาผมก็เอียงหน้ามองก่อนจะยิ้มกว้างกับท่าทางที่ดูเป็นเด็กของมัน ก็คงไม่ชอบใจที่ตัวเองเป็นแบบนี้หรอกอาฟคงคิดแบบนั้น ในสายตาของมันก็คงอยากจะดูเท่ห์ให้แฟนอย่างผมรู้สึกว่า มันไม่มีข้อติอะไร แต่สำหรับผม ผมไม่ได้รู้สึกอะไรแบบนั้น ผมรู้สึกแค่ว่า ดีซะอีก อย่างน้อยก็ยังมีช่วงเวลาเล็กๆที่ผมจะปกป้องมันได้แม้ว่าจะเป็นแค่เข็มฉีดยาอันเล็กๆนั่นก็เถอะ
“ ยังไงมึงก็เท่ห์เสมอสำหรับกู ” ผมบอกมันแบบนั้นอาฟก็หันมามอง “ คนเรามันไม่จำเป็นต้องเท่ห์ทุกเรื่องนี่ จะให้มึงปกป้องกูอยู่คนเดียวมันก็ไม่แฟร์มั้ยวะ ให้กูปกป้องมึงบ้างสิ ถึงจะเป็นแค่เข็มฉีดยากูก็จะจับมือมึงไว้แน่นๆเลยจะไม่ไปไหนเด็ดขาด ถึงหมอจะไล่กู แต่พี่เมดจะไม่ทิ้งน้องอาฟไปไหนหรอกนะ ”
“ ปัญญาอ่อน ”
“ กูชอบที่ได้เห็นมึงทุกมุมนะ ”
“ เมด ” เสียงที่เรียกผมหลังจากที่เงียบไปนาน ใบหน้าคมดึงตัวเองเข้ามาจูบที่ริมฝีปากก่อนที่มันจะยกยิ้มแล้วหันไปทางอื่น อาฟพูดเสียงเบาๆ “ มึงจะน่ารักไปไหนวะ ”
ใบหน้าของผมแดงจัดตอนที่มันหันมามองกันอีกครั้งหลังจากที่พูดคำนั้นจบ ผมก้มหน้าลงเพราะไม่สามารถทนมองสายตานั้นได้ ก็นึกว่าจะรอดแล้ว สุดท้ายก็แพ้ให้มันอยู่ดี ทำไมกันวะ ไม่มีวันไหนที่จะชนะใสๆได้เลยรึไง วันที่ผมจะไม่เขินกับการกระทำของผู้ชายคนนี้
“ แล้ว ทำไมมึงถึงกลัวเข็มวะ ” เลือกถามคำถามที่ตัวเองอยากรู้ อาฟที่มองหน้ากันอยู่ก็ถอนหายใจออกมา “ สัญญาจะไม่บอกใคร ” เอานิ้วก้อยไปเกี่ยวนิ้วมันไว้แล้วพยักหน้ารับเชิญชวนให้มันเล่า “ บอกหน่อยน่า กูอยากรู้ ”
“ ตอนเด็กๆ กูเคยมาฉีดยาแล้วเหมือนพยาบาลคนนั้นจะเป็นมือใหม่ เค้าฉีดยากูเจ็บมาก มือโคตรหนัก ”
“ เข้าใจอยู่ เพราะเจ็บมากๆมึงเลยกลัวการฉีดยาไปเลยสินะ ” พยักหน้ารับเข้าใจมัน วิวเองมันก็กลัวเข็มเหมือนกันเพราะตอนเด็กๆโดนพยาบาลจับมัดแล้วฉีดยากลายเป็นว่าตอนเด็กๆถ้าแม่พามันมาที่โรงพยาบาลมันจะร้องไห้ตั้งแต่ล้อรถยังไม่ทันเข้ามาในเขตโรงพยาบาลเลยก็ว่าได้ ทั้งดีดทั้งดิ้นกลายเป็นความทรงจำเลวร้ายของมันมาจนถึงปัจจุบันเลยทีเดียว แม้กระทั้งตอนนี้ก็เหมือนว่าจะยังไม่มีใครเอามันอยู่สักคน แม้แต่ผมก็เถอะ “ งั้นพี่เมดจะอยู่กับน้องอาฟเองนะครับ ”
“ ไม่ต้องมาปัญญาอ่อน” บอกแบบนั้นแต่กลับเอื้อมมือมาจับมือผมไว้แน่นแม้จะไม่หันมามองกันก็ตาม
“ มึงชอบน่ากูรู้ ” สะกิดเข้าที่แขนของอีกคนก่อนที่เสียงเรียกจากพยาบาลจะทำให้ทั้งผมทั้งมันหันไปมอง
“ คุณอารยะคะ ”
“ ไปกันเค้าเรียกแล้ว ” ดึงอีกคนขึ้นมาจากที่นั่ง เราเดินเข้าไปในห้องตรวจที่ตอนนี้มีคุณหมอผู้หญิงวัยกลางคนนั่งยิ้มต้อนรับอยู่ อาฟที่หันมามองผมตอนที่เอ่ยทักเธอ
“ สวัสดีครับคุณหมอ ”
“ สวัสดีค่ะ ” เธอตอบรับผมก็นั่งลงตรงเก้าอี้ แล้วตอนนี้อาฟก็กระซิบถาม
“ คนนี้รึเปล่า ”
“ อะไรคือคนนี้รึเปล่า ”
“ ที่มึงบอกว่ามึงเคยมาฉีดยาแล้วเค้าฉีดเจ็บมาก ”
“ อ้อ “ ผมหันไปยิ้มแห้งๆให้มัน จะบอกว่าตอแหลก็กลัวโดนด่าที่ปั่นมันให้กลัวซะใหญ่โต ตอนนั้นเลยพูดได้แค่ว่า “ ไม่ใช่หรอก คนละคนกัน ” ลมหายใจที่ผ่อนออกมาอย่างโล่งอก ผมนึกเอ็นดูกับความกลัวของมันจนอยากจะดึงมาหอมหัวแล้วพูดให้กำลังใจว่า ‘ไม่เป็นนะครับนะคนเก่งพี่เมดอยู่นี่เดี๋ยวจะกอดน้องอาฟเตอร์ไว้เอง’ แต่ครั้นว่าจะดูปัญญาอ่อนไปหน่อยเลยได้แต่ยิ้มให้กำลังใจมันอยู่แบบนี้
“ เป็นอะไรมาคะ ”
“ ไม่สบายน่ะครับ ” ไม่ใช่เสียงคนป่วยแต่เป็นผมเองที่พูดกับคุณหมอ “ พอดีว่าปวดหัวมากๆแล้วก็ตัวร้อน กินยาลดไข้ไปแล้วแต่ดูเหมือนว่าจะไม่ลดเลยครับหมอ ”
“ มีอาการเจ็บคอมั้ย ” ผมหันไปมองอาฟ หมอที่นั่งอยู่ก็งง
“ อ้าว ไม่ใช่คนนี้ป่วยเหรอ ” เธอชี้มาทางผมที่ก็ส่ายหน้าไปมาก่อนจะชี้นิ้วไปยังคนข้างๆ
“ คนนี้ครับ ที่ป่วย ”
“ ก็เจ็บครับ ”
“ มีอาการไอมั้ยคะ ”
“ นิดหน่อยครับ แต่ไม่มีน้ำมูก ”
“ งั้นหมอขออนุญาตินะคะ ” เธอหยิบเครื่องทางการแพทย์ขึ้นมาตรวจอีกคน ก่อนจะสอบถามอาการเบื้องต้นอีกหลายอย่างพร้อมจดรายละเอียดลงไปแฟ้มที่ตั้งอยู่ข้างหน้าซึ่งผมคิดว่าน่าจะเป็นอาการทั้งหมดบวกกับการสั่งจ่ายยา “ หมอคิดว่าน่าจะเป็นไข้หวัดธรรมดานะคะ เพราะช่วงนี้อาการเปลี่ยนแปลงบ่อยด้วย แนะนำให้กินยาตามที่สั่งแล้วก็พักผ่อนเยอะๆ ดื่มน้ำอุ่นให้มากๆ สักสี่ห้าวันไข้จะค่อยๆลดลงแล้วค่ะ ”
“ ไม่ค่อยชอบป่วยนานน่ะครับ มีวิธีที่ทำให้หายป่วยเร็วกว่านี้มั้ย ”
“ ถ้าอยากจะหายป่วยเร็ว หมอแนะนำให้ฉีดยานะคะ แต่ว่าไม่ควรฉีดบ่อยนะเพราะมันจะทำให้ดื้อยา อดทนรอสักสามสี่วันพักผ่อนให้เยอะๆน่าจะดีกว่า ” ผมหันมองอาฟ มองจากสายตาก็รู้ว่ามันอยากจะหายป่วยให้เร็วกว่านี้การที่ต้องนอนซมสามสี่วันมันเป็นไปไม่ได้อยู่แล้ว เรามีงานที่ต้องทำ หนังสือก็ต้องเรียน จะให้มานอนป่วยนับวันรอให้หายป่วยมันก็ไม่ไหว แต่ครั้นจะให้ฉีดยา ก็ไม่ใช่วิถีทางที่อาฟอยากจะเลือกเท่าไหร่เหมือนกัน
“ จะฉีดยามั้ย ” ผมหันไปกระซิบถามอาฟอีกคนก็มองผมนิ่งๆ มันที่ใจนึงก็กลัวแต่อีกใจก็อยากหายเร็วๆก็ได้แต่นิ่งไม่ได้ตอบอะไร “ ถ้าฉีดก็ได้นะ ” เอื้อมมือไปจับมือมันไว้ผมบีบแน่น “ ก็มีกูอยู่ข้างๆไง ไม่เป็นอะไรหรอก ”
“ กลัวเข็มเหรอคะ ”
“ เปล่าหรอกครับ ” ผมยิ้มให้คุณหมอ “ คุณหมอฉีดยาให้หน่อยได้มั้ย พอดีว่าเราป่วยนานไม่ได้น่ะครับ มีสอบวันมะรืนด้วย ถ้าฉีดยาวันนี้กลับไปนอนพักพรุ่งนี้จะได้ตื่นขึ้นมาอ่านหนังสือแล้วไปสอบวันมะรืนได้ทัน ”
“ งั้นก็ได้ค่ะ ” เธอว่าแบบนั้นก่อนจะเขียนอะไรสักอย่างลงบนกระดาษแล้วยื่นให้พยาบาลก่อนจะถอยเก้าอี้ไปหลายหลังก่อนจะลุกขึ้นเพื่อเตรียมยา แล้วตอนนั้นอาฟก็หันมาถามย้ำกับผม
“ ไม่ใช่คนนี้แน่นะ คนที่มึงบอกว่าฉีดยาเจ็บ ”
“ ไม่ใช่แน่นอน ” บอกย้ำมันแบบนั้นก่อนจะเอื้อมมือไปจับมือที่เย็บเฉียบของมันไว้แน่น อาฟเหลือบมองผมก่อนจะทำท่าทีไม่สนใจเสมือนตัวเองไม่ได้กลัวเข็มแต่อย่างใด ทั้งๆที่มันไม่รู้หรอกว่าหมอเค้าก็ดูออกหมดนั่นแหละ มันเล่นหน้าซีดเป็นไก่ต้มขนาดนั้น
“ ไม่ได้กลัวเข็มแน่นะ ”
“ ครับ “ ตอบครับแต่จับมือกูแน่นมาก ถ้าไม่ติดว่ามันกลัวอยู่ ผมคงร้องบอกให้ปล่อยเดี๋ยวนี้เลย เพราะเจ็บจนกระดูกกูจะหักอยู่แล้ว
“ โอเค “ คุณหมอพยักหน้ารับยิ้มๆ แล้วก็เลื่อนเก้าอี้มาใกล้และยิ่งวินาทีที่แขนเสื้อของอาฟถูกดึงขึ้นพร้อมด้วยแอลกฮอล์ที่ทาลงบนแผลมันก็ยิ่งกำมือผมแน่นขึ้นไปอีก มันแน่นจนผมรู้สึกอยากจะร้องตะโกนแต่ถึงอย่างงั้นผมกลับยิ้มกว้างออกมาตอนที่เห็นมันสูดลมหายใจเข้าปอดแล้วหลับตาแน่นอยู่บนเก้าอี้
อาฟก็คืออาฟนั่นแหละ ผมรู้สึกแบบนั้นตอนที่กำลังมองมัน ในสายตาของคนอื่นมันเข้มแข็งจนแทบไม่เป็นอะไร แต่จริงๆกลับไม่ใช่อะไรแบบนั้นเลย มันก็มุมที่อ่อนแอของมัน มุมที่มันเองก็ไม่อยากจะให้ใครเห็นได้เห็น
“ เสร็จแล้วค่ะ ” คุณหมอบอกตอนที่ฉีดยาเสร็จ เสียงถอนหายใจของอาฟดังออกมาลั่นห้องมันผ่อนตัวลงกับเก้าอี้ที่นั่งจนคุณหมอยังแอบขำ ก็ไม่ได้กลัวหรอก ไม่ได้กลัวนิดเดียวน่ะครับ แต่กลัวมาก
“ หมอสั่งจ่ายยาให้เรียบร้อยแล้วนะคะ ยังไงถ้ายังไม่หายก็มาหาใหม่นะคะ และที่สำคัญก็คือพักผ่อนให้เยอะๆละ ”
“ ครับผม ขอบคุณมากครับ ” ยกมือขึ้นไหว้คุณหมอผมลุกขึ้นจากเก้าอี้พร้อมกับคนป่วยที่บอกได้คำเดียวเลยว่า หมดแรงจะก้าวเดิน “ นั่งรอตรงนี้กูจะไปจ่ายค่ายาจะได้กลับบ้าน ”
“ ไม่อยากให้ไป ” มือที่คว้ากันไว้ผมก็หลุดขำ
“ ให้กูไปเถอะ รีบไปเอายา รีบกลับบ้าน จะอ้อนกูตรงนี้จริงดิ ? ไม่อายเค้าเหรอไงอารยะ ”
“ รีบไปรีบกลับ ”
“ จ้า พี่เมดรู้แล้วครับ ” ผมขานรับก่อนจะเดินไปที่เค้าเตอร์จ่ายยาที่พนักงานก็อธิบายกับผมว่ายาสามถุงที่ได้มามีอะไรบ้าง มันเป็นยาที่ต้องกินทุกสี่ชั่วโมงและมีทั้งยากินก่อนและหลังอาหารควบคู่ด้วย จัดการจ่ายเงินทั้งหมดซึ้งราคาก็เรียกได้ว่าคงเส้นคงวากับมาตรฐานโรงพยาบาลเอกชน
“ ขอบคุณมากค่ะ ”
“ ขอบคุณครับ ” เก็บทุกอย่างใส่ในกระเป๋าเงินก่อนจะเดินกลับมาหาคนป่วยที่ก็ยังมีสีหน้าไม่สู้ดี เอื้อมมือไปจับมือมันผมยิ้มบอก “ ไปกันมึง เสร็จแล้ว ”
“ อื้ม ”
มือเรียวเอื้อมมือมากอดคอผมตอนที่เราเดินออกไปจากโรงพยาบาลผมปลดล็อครถ อาฟก็เข้าไปนั่งด้านในพร้อมกับผมที่ก็เข้าไปนั่งตรงที่นั่งคนขับเช่นกัน วางถุงยาไว้ตรงที่วางน้ำข้างเกียร์ผมผ่อนลมหายใจออกมาตอนที่มันคาดเข็มขัดนิรภัยเสร็จ
“ ทำไมท่าทางมึงดูไม่ดีเลยวะ หมอฉีดยาเจ็บมากเลยเหรอ”
“ เปล่า ” มันส่ายหน้าก่อนจะหันมามองผม “ แค่ยังไม่ได้รางวัลปลอบใจจากแฟนก็แค่นั้น ”
“ ถามจริง ” ผมยิ้มบอกมัน “ มึงป่วยหรือใครเข้าสิงมึงวะอาฟ ”
“ จูบหน่อย ” คำพูดที่พูดออกมาตรงๆของมันชวนให้ผมนิ่งไปตอนที่อีกคนก็แค่หันมามองหน้ากัน กำลังคิดว่าตัวผมเคยจูบอาฟก่อนมั้ยนะ นี่เป็นครั้งแรกรึเปล่า ทำไมหัวใจมันถึงได้เต้นแรงขนาดนี้ ผมทำทีเป็นมองซ้ายขวาทั้งๆที่มีอะไรให้มอง ก่อนจะกลืนน้ำลายแล้วค่อยๆดึงตัวเองเข้าไปใกล้อีกคน ผมจูบลงบนริมฝีปากอุ่นนั้น ช่างว่าง่ายเสียจริงหัวใจ แค่บอกว่าจูบหน่อย ก็จูบให้แล้ว “ เจ็บมากเลย ” อาฟบอกตอนที่ผมผละริมฝีปากออก “ ตรงที่หมอฉีดยากูมันเจ็บมากเลย ”
“ ตอแหล ” ผมบอกมัน “ เมื่อกี้กูถามยังบอกว่าเปล่า “ กูจูบเสร็จมึงเจ็บเลยนะ นี่ถ้าจูบมากกว่านี้ต้องเจ็บมากกว่านี้แน่ เพราะอาการสำออยมันกำเริบขึ้นมาไงไอ้สัด ” คนป่วยหลุดหัวเราะออกมาก่อนจะยื่นมือขึ้นมาขยี้หัวผม
“ เซ็งสัด ” อาฟพูดเสียงเบาก่อนจะหันไปมองด้านนอกของเรา “ วันนี้กูเป็นแฟนที่ไม่เท่ห์เลย ”
“ ยังไงวะ ”
“ ก็กลัวเข็ม”
“ ที่มึงต้องกลัวก็เพื่อให้กูคนที่ไม่กลัวเข็มจับมือมึงไว้ตลอดไง ” บอกแบบนั้นอีกคนก็หันมามองหน้ากัน
“ งั้นเหรอ ”
“ อื้ม ” พยักหน้ารับแบบนั้นผมดึงตัวเองเข้าไปกอดอีกคนไว้ อาฟกำลังรู้สึกไม่รู้หรอกผมรู้ ทั้งอาการเจ็บป่วยทางร่างกายแล้วก็จิตใจของมัน “ ให้กูเป็นคนที่จำเป็นต้องมีสำหรับมึงบ้างสิวะ อย่ามีแค่มึงคนเดียวที่กูจำเป็นต้องมี ”
“ เอางั้นเหรอ ”
“ เออ ” อาฟเงียบไปในตอนที่ผมพยักหน้ารับตอบรับแล้วดึงตัวเองขึ้นมามองหน้ามัน “ แต่กูชอบนะได้เห็นมึงที่เป็นแบบนี้ ”
“ ชอบที่กูดูปัญญาอ่อน ”
“ ไม่ใช่แบบนั้น ” ผมส่ายหน้า “ มึงคิดไปคนเดียวมากกว่าว่ามันดูไม่เท่ห์ทั้งๆที่จริงแล้ว คนเราจะเท่ห์ไม่เท่ห์มันไม่ได้ขึ้นอยู่กับสิ่งที่กลัว กลัวก็แค่กลัว มันก็ไม่แปลกเปล่าวะทุกคนมันก็มีสิ่งที่กลัวเหมือนกันอะ ” ยักคิ้วมองมันที่ก็เอาแต่มองผมไม่พูดอะไร “ แล้วที่กูรู้สึกชอบที่ได้เห็นว่ามึงกลัวอะไรแบบนี้กับเค้าเหมือนกัน นั่นก็เพราะว่ากูจะได้เห็นมึงอีกด้านนึง ด้านที่ต้องมาเป็นแฟนเท่านั้นถึงจะเห็น แล้วกูก็รู้สึกว่ามันดีมากเลยที่เราได้เป็นแฟนกัน ”
“ มึงเพิ่งรู้เหรอ ” อาฟถามก่อนจะดึงตัวเองเข้ามาจูบผมไว้ “ กูรู้มาตั้งแต่ขอมึงเป็นแฟนแล้ว ว่ามันดีมากเลยที่เป็นมึง ”
“ เอาจริงๆนะมึง” แกล้งทำหน้าหงุดหงิดใส่มันตอนที่อีกคนผละริมฝีปากออก “ ไม่ทำให้กูเขินสักวัน มึงจะตายมั้ยวะ ”
..............................................................
ก็คือพี่อาฟนั้นเป็นคนน่ารัก
เราเขียนตอนนี้ความรู้สึกที่ว่า อยากให้มีสักมุมที่ผู้ชายคนนี้จะน่ารักกับแฟนของเค้า
สักมุมที่เมดจะได้ปกป้องอาฟบ้าง มันอาจจะดูเล็กน้อย แต่เราอยากจะให้เห็นว่าความสัมพันธ์นึงมันค่อนข้างไม่มีอะไรที่พิเศษเลย เพราะแค่รักกัน นั่นก็คือความพิเศษแล้ว ฮิ้ววววววว
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์
ฝากแท็ก #ผับชั้นสาม ในทวิตเตอร์ด้วยนะ