ตอนที่ 33
เดินลงไปชั้นล่างของผับด้วยรอยยิ้มที่หุบไม่ลงเลยสักวินาทีเดียว ผมรู้สึกว่ามันทั้งตลกแล้วก็น่าเอ็นดูสำหรับคนที่กำลังงอนกันแต่ก็บอกปัดอยู่ตลอดว่าไม่ได้งอน แม้คำพูดที่พูดออกมาทุกคำจะบอกกับผมว่า มันกำลังงอนอย่างที่สุดที่ผมไปสนใจไอ้หมูตุ๋นมากกว่ามัน
“ พี่ซองครับ “ ผมเอ่ยเรียกอีกคนที่กำลังยืนเคลียร์เอกสารอยู่ที่โต๊ะตรงส่วนของแคชเชียร์ เจ้าของชื่อเงยหน้าขึ้นมาก่อนจะยิ้มแล้วขานรับ
“ ครับ น้องเมด ”
“ มียาลดไข้มั้ยครับ เมดขอสักเม็ดสิ พอดีอาฟมันป่วย แล้วก็ขอผ้าเช็ดหน้าผืนใหม่ของพนักงานสักผืนด้วยครับ ”
“ อ้าว คุณอาฟไม่สบายเหรอ ” พยักหน้ารับอีกก็รีบวางเอกสารที่ทำอยู่ในมือทันที “ แปปนะ เดี๋ยวพี่ไปหยิบให้ ”
“ ครับผม “ ยืนรอพี่ซองอยู่ไม่นานของที่ผมต้องการก็ถูกนำมาให้ มันเป็นยาลดไข้ที่อยู่ในแผงแล้วก็ผ้าขนหนูผืนเล็กสีขาวที่ยังอยู่ในถุง “ ขอบคุณครับ “
“ เออ แล้วพี่บอกเรารึยังว่าอีกสองสามวันจะมีเซลล์เข้ามานะ “
“ ยังเลยนะ “ ส่ายหน้าไปมาช้าๆ คนฟังก็ได้แต่ขมวดคิ้วแล้วถามย้ำกันอีกที
“ พี่ยังไม่ได้บอกเหรอ “
“ ยังครับ “ เรายิ้มแห้งๆให้กันก่อนพี่ซองจะตบเข้าที่หน้าผากตัวเองเหมือนเรียกสติให้กลับมา
“ ดีนะที่พูดขึ้นมาไม่งั้นตายแน่ “
“ ทำงานจนแฮงค์ไปหมดแล้ว พักบ้างพี่ “ ผมบอกอีกคนก็พยักหน้ารับยิ้มๆ พี่ซองเป็นผู้จัดการร้านที่โคตรขยันสำหรับผม และเหตุผลหนึ่งที่ทำให้ผับ throw up ประสบความสำเร็จส่วนหนึ่งก็มาจากความขยันของพี่แก ทั้งเทคแคร์ลูกค้าเก่ง ดูแลลูกน้องก็เก่ง และพอถึงเวลาดุก็ดุแบบมีเหตุผล ไม่ใช่คนที่เอาแต่ดุและใช้คำพูดหยาบคาย เป็นคนที่ไม่ว่าจะไปทำงานที่ไหนก็ถือเป็นความโชคดีของเจ้าของกิจการ
“ งั้นบอกตอนนี้เลยแล้วกัน อีกสองสามวันเซลล์ขายเหล้าจะเข้ามาคุยเรื่องเหล้าตัวใหม่ที่จะเอามาลงที่ผับ ฝากน้องเมดบอกคุณอาฟด้วยนะ “
“ เซลล์เหล้าที่เข้ามาใหม่นี่ ใช่คนเดียวกับที่ชื่อฮารุรึเปล่า คนที่เซ็กซี่ๆหน่อย ” ผมถามอีกคนที่ก็นิ่งไปก่อนจะเหล่มองด้วยแววตาที่เหมือนจะแซวกัน
“ ทำไม ? หึงเหรอ “
“ เปล่าสักหน่อย “ บอกอีกคนเสียงสูงแต่ในใจก็เถียงแบบขึ้นมาทันควันเลยว่า ‘ ตอแหล ’ มองมาจากดาวอังคารยังรู้ว่าคิดอะไรอยู่ และความจริงตอนนี้ตัวผมก็กำลังคิดถึงตัวเธอที่เจอกันในวันนั้น ตรงลานจอดรถที่สาวเจ้ากำลังอยู่ในชุดรัดรูปและกำลังยืนเบียดแนบชิดพูดคุยกับอาฟด้วยท่าทางเย้ายวนที่ผ่านทางสายตาและริมฝีปากสีแดงสด
“ บอกเปล่า แต่หน้าตาไม่ได้เป็นแบบนั้นเลยนะน้องเมด “
“ ก็แค่จะได้บอกอาฟถูกเท่านั้นเอง ไม่มีอะไรหรอกครับ ” บอกอีกคนแบบนั้นแต่เหมือนพี่ซองจะเอาแต่จ้องหน้าผมไม่เลิก “ แล้วตกลงเป็นคุณฮารุเหรอครับ “ ถามย้ำพี่ซองแต่อีกคนก็แค่ส่ายหน้าส่วนผมก็ได้แต่ถอนหายใจโล่งออกมา
“ บอกว่าเปล่าสักหน่อย แต่ถึงขั้นถอนหายใจโล่งกันเลยทีเดียว.. “ ยิ้มแห้งๆส่งให้ผู้จัดการร้าน พี่ซองก็หลุดขำ “ อันนี้มันเหล้าคนละยี่ห้อกัน เค้าบอกว่าจะเข้ามาช่วงสองทุ่มไม่เกินสาม แต่ยังไงเดี๋ยวเค้าคงจะติดต่อมาอีกที เพราะพี่ให้เบอร์พี่กับเค้าไป แอบไม่กล้าให้เบอร์ส่วนตัวน้องเมด งั้นยังไงพี่บอกเราอีกทีนะ “
“ โอเคได้เลย เดี๋ยวเมดบอกอาฟให้นะครับ “
“ แต่จะว่าไปน้องเมดน่าจะซื้อมือถืออีกสักเครื่องนะ แบบเอาไว้ติดต่องานกับเซลล์ เผื่อเซลล์เค้าจะติดต่ออะไรจะนัดเวลาเสนอเหล้าเค้าก็ได้โทรมาหาได้เลย แล้วก็จะได้สั่งของด้วย ปกตินี่ใช้เบอร์มือถือตัวเองเป็นเบอร์เดียวกับเบอร์สั่งของไม่ใช่เหรอ “
“ ก็ใช่นะครับ “
ผมก็แอบคิดเหมือนพี่ซอง หลังๆมาเบอร์มือถือผมกลายเป็นเบอร์เดียวกับเบอร์ของผับไปแล้ว เวลาใครติดต่องานในผับก็โทรเข้ามาหาผม เดี๋ยวนี้เบอร์แปลกโทรเข้ามาทุกวันรับสายแบบไม่รู้เลยใครเป็นใคร ซึ่งบางทีพออีกฝ่ายบันทึกเบอร์ของผมไปก็ดันมีไลน์เด้งเข้ามาด้วย เท่านั้นยังไม่พอ ยังมีการส่งเกมส์ต่างๆ ซึ่งบางคนจะบล็อกก็ไม่ได้เพราะต้องสั่งของเข้าร้าน เป็นอะไรบางทีก็เหนื่อยหน่ายเต็มทน เป็นของส่วนตัวแท้ๆแต่ไม่ส่วนตัวเลยสักนิด
“ ซื้อเลย จะได้ให้เบอร์ลูกค้าที่จะมาติดต่องานแบบสบายใจไง ยังไงมันก็ไม่ใช่เบอร์เรา ”
“ ไว้ไปขอมือถือเครื่องเก่าๆของอาฟแล้วค่อยทำแบบที่พี่ซองแนะนำแล้วกันครับ เผื่อเครื่องเก่าของมันจะยังมี ไม่ต้องซื้อใหม่ด้วย ”
“ ดีเลย เพราะพี่แบบเคยผ่านจุดนั้นมาแล้ว คือมันเป็นอะไรที่เหี้ยมาก เช่น การส่งเกมส์ช่วงเช้าที่เรากำลังจะนอนจากไลน์โรงน้ำแข็งเจ๊ภา ไม่ก็สวัสดีตอนเช้าอะไรพวกนั้นจากเจ๊แก “ ผมหลุดหัวเราะออกมาเข้ามา ก่อนจะยื่นมือไปจับมืออีกคนเหมือนเห็นด้วย
“ เมื่อเช้าเพิ่งเจอเลย “
“ คือเจ๊แกชอบส่ง จนบางทีก็อยากจะบอกว่า แค่พ่อแม่กูกับไลน์ครอบครัวก็เต็มกลืนแล้ว นี่ต้องพ่วงเจ๊เข้าไปอีกคือ ถ้าเจ๊จะกรุณาก็อยากจะให้พอเถอะนะครับ ”
“ ฮ่าๆ “ หัวเราะออกมาเสียงดังจนพนักงานที่อยู่แถวนั้นหันมามอง “ พี่ซองตลกว่ะ ฮ่าๆ แล้วปิดเสียงไม่ได้ด้วยนะ เพราะเจ๊แกชอบส่งไลน์มาคุยเรื่องส่งน้ำแข็งอะ วันนั้นเมดปิดเสียงเจ๊แกก็โทรไลน์เข้ามาเลยพี่ซอง ทำไมน้องเมดไม่ตอบข้อความเจ๊ นี่เรื่องสำคัญนะคะ ”
“ ก็น่าจะบอกไปว่า เรื่องสำคัญแล้วทำไมไม่โทรมา “
“ เมดว่าพี่ซองดูอัดอั้นวะ “
“ มากกกก “ อีกคนว่าผมก็พยักหน้ารับยิ้มๆ
“ งั้นผมขึ้นไปชั้นสามก่อนดีกว่า เอายาไปให้อาฟ แล้วเดี๋ยวจะดูด้วยว่ามีมือถือสักเครื่องมั้ย ถ้ามีจะโละออกให้หมดเลยไอ้พวกติดต่องานทั้งหลาย มือถือจะได้กลับมาเป็นของเมดคนเดียวสักที “
“ จัดไป “ ยิ้มให้อีกคน ผมก้มหน้าคล้ายบอกลาก่อนจะหันหลังแล้วเดินขึ้นมาที่ชั้นสามที่ก็ไม่รู้ ตอนนี้ว่าคนขี้งอนจะแอบคิดไปเองรึเปล่าว่าที่ผมมัวชักช้าเพราะเอาแต่แอบไปดูแมวแทนที่จะรีบขึ้นมาดูแลมัน
“ อาฟ “ เอ่ยเรียกมันเสียงเบาๆ แต่ภาพที่เห็นคือร่างสูงนั้นแค่นอนนิ่งอยู่บนเตียงไม่ได้รับรู้ถึงการมาของผมแต่อย่างใด ลมหายใจเข้าออกสม่ำเสมอ อาฟห่มผ้าห่มถึงคอด้วยใบหน้าที่แสดงอาการว่ากำลังเจ็บป่วย ลองเอื้อมมือไปจับหน้าผากเพื่อวัดไข้ ผมรู้สึกถึงความร้อนที่ร้อนกว่าเมื่อครู่นี้เสียอีก “ เหมือนไข้จะขึ้นเลยว่ะ “
“ อาฟ ลุกขึ้นมากินยาก่อนมึง “ รินน้ำอนุหภูมิห้องใส่แก้วที่วางอยู่ ก่อนจะนั่งลงบนเตียงแล้วยื่นน้ำให้มันที่ก็ต้องเอื้อมมือไปเขย่าตัวถึงจะรู้สึกตัวแล้วลืมตาขึ้นมากินได้ “ กินยาก่อน “
“ อื้ม “ ดึงตัวเองขึ้นจากเตียงด้วยสีหน้าที่บอกกับผมว่า สภาพชีวิตตอนนี้ของมันแย่มาก ใบหน้าคมขมวดคิ้วด้วยความปวดหัว อาฟถอนหายใจออกมายาวๆก่อนจะเอียงหัวไปมาเพื่อคลายความเมื่อยล้า มันเอื้อมมือมาหยิบแก้วน้ำในมือของผมพร้อมกับยาแล้วกินเข้าไปอย่างว่าง่าย
“ เช็ดตัวหน่อยมั้ยมึง “ พูดแบบนั้นแต่กลับไม่ได้รอคำตอบอะไรจากอีกคนเลย ผมเดินเข้าไปในห้องน้ำเปิดก๊อกตรงอ่างเพื่อให้น้ำไหลลงบนผ้าขนหนูผืนเล็กก่อนจะบิดมันจนแห้งแล้วเอามาเช็ดลงบนใบหน้าคมของอีกคนเพื่อให้คลายความร้อนลงบ้าง
เสียงถอนหายใจที่รู้สึกไม่สบายตัวถูกผ่อนออกมา ก่อนอาฟจะนอนลงบนหมอนหลังจากที่ผมเช็ดหน้าให้มันเสร็จ เอื้อมมือไปลูบหัว คนที่ป่วยก็ลืมตาขึ้นมองก่อนจะเลื่อนตัวเองมานอนหนุนตักผม สองแขนของอาฟกอดเอวผมไว้พร้อมกับซุกตัวด้วยการเอาหน้าเข้ามาบี้กับท้องของผมจนรู้สึกถึงลมหายใจร้อนๆที่กำลังผ่อนเข้าออกของอีกคน
“ ปวดหัว “
“ กินยาเข้าไปแล้วเดี๋ยวก็หาย “ บอกมันแบบนั้นก่อนจะเผลอยิ้มออกมา เอาเข้าจริง ก็รู้สึกใจเต้นแปลกๆกับท่าทางแบบนี้เหมือนกัน ไม่อยากจะเชื่อเลยว่า ทั้งๆที่ปกติเป็นคนปากหมาแล้วพูดจาขวางโลก แต่พอป่วยมันกลับมีมุมที่ขี้อ้อนแบบนี้
“ ห้ามไปไหนนะ “
“ จะไปไหนได้วะ ก็อยู่กับมึงนั่นแหละ “ ผมบอกมันทั้งๆที่ก็เอาแต่ยิ้มกว้างไม่หยุด ในใจผมได้แต่คิดว่า ‘ ป่วยทุกวันเลยได้มั้ยวะ น่ารักดี ดีกว่าตอนปากหมาขี้เก็กตั้งเยอะ ’
“ พูดแล้วห้ามคืนคำ “
“ ไม่คืนหรอก “ ลูบหัวมันอยู่แบบนั้นก่อนจะเลื่อนมือมาจับที่คอ ความร้อนที่ดูเหมือนไม่มีทีท่าว่าจะลดลงไป ผมเอาผ้าขนหนูเมื่อครู่มาพับก่อนจะตั้งไว้บนต้นคอของอาฟ เพราะเหมือนมันจะเป็นส่วนเดียวที่ตอนนี้ผมสัมผัสได้ ส่วนใบหน้าคมของมันตอนนี้ก็เอาแต่ซุกอยู่กับเอวผมแล้วใช้มือกอดกันไว้แน่นแบบชนิดที่ไม่ห่างไปไหนไม่ต่างอะไรกับเด็กเล็กๆเลย “ แล้วทำไมอยู่ๆมึงป่วยได้วะ งงเลยกู “ พูดออกมาเสียงเบาๆด้วยความสงสัย ก่อนจะเอาผ้าเช็ดไปตามท่อนแขนของมัน อาฟเองก็ไม่ได้ตอบอะไร
เผลอถอนหายใจออกมาด้วยความกังวลหลังจากที่มองมันอยู่สักพัก ผมมองออกไปตรงที่ผ้าม่านฝั่งระเบียงด้านนอก ฝนที่กำลังตกแม้จะไม่หนักเท่าไหร่ บางทีอาจเพราะช่วงนี้อากาศมันเปลี่ยนแปลงบ่อยก็ได้ บางวันก็ร้อนจัด บางวันก็ฝนตกหนักทั้งวัน แล้วบางทีที่เราออกไปในที่ที่ร้อนมากๆหลังจากนั้นก็วิ่งเข้าห้องแอร์แบบฉับพลัน ในรถก็เปิดแอร์เย็นเฉียบอีก ไม่นับเวลานอนที่ปัจจุบันผมก็แทบจะใส่เสื้อหนาวนอนอยู่แล้ว แล้วอากาศที่ขึ้นสุดลงสุดแบบนี้ละ อาจจะมีผลทำให้มันป่วยก็เป็นได้ เพราะเมื่อคืนผมก็รู้สึกว่าตัวมันอุ่นมากกว่าปกติในตอนที่เรานอนกอดกัน แม้ตอนแรกผมจะคิดว่าเพราะมันใช้แรงเยอะเลยร้อนก็เถอะนะ
“ กูว่าเดี๋ยวถ้าตื่นขึ้นมาแล้วอาการมึงยังไม่ดีขึ้น เราไปหาหมอกันดีกว่านะ ลองให้หมอตรวจ เผื่อต้องฉีดยาสักเข็มแล้วจะได้ดีขึ้น”
“ ไม่ “ คำตอบสั้นๆของคนป่วยพูดออกมาแบบนั้นพร้อมกับมือที่กระชับแขนที่กอดเอวผมไว้แน่นขึ้น
“ อาฟอย่าดื้อ “
“ กูไม่ดื้อ “
“ อารยะมึงต้องรีบหายยย “ มันบอกมันยิ้มๆก่อนจะก้มลงไปมองอีกคน มันจะแปลกมั้ยถ้าผมจะรู้สึกว่า มันน่ารักมากเหลือเกิน น่ารักจนอยากจะเอามือถือมาถ่ายคลิปไว้ดูตอนมันปากหมาใส่ เอาไปย้ำกับตัวเองว่า แฟนเราก็มีมุมน่ารักกับเค้าเหมือนกันนะ
“ เดี๋ยวอีกสองสามวันจะมีเซลล์เอาเหล้าใหม่มาเสนอมึง ถ้าไม่หายกูไม่ให้กินจริงๆด้วย “
“ ขู่เก่ง “
“ มึงก็ดื้อเก่ง “
“ ไม่ได้ดื้อ “
“ ดื้อ “ ผมย้ำกับมันแบบนั้นสั้นๆ คนที่นอนอยู่บนตักก็ดึงตัวเองออกมาจ้องหน้าผมที่ก็ยักคิ้วให้มันแบบไม่ยอมแพ้
“ ปวดหัว “
“ ก็รู้แล้วครับว่าปวดหัว เมดก็เลยอยากจะให้ไปอาฟโรงพยาบาลไง หมอจะได้ตรวจอาฟจะได้รู้ว่าอาฟป่วยเป็นอะไรทำไมตัวร้อนแบบนี้ “ พยายามพูดกับมันแบบใจเย็นแต่เหมือนว่าจะไม่ค่อยได้ผลเท่าไหร่
“ หวัดธรรมดา “
“ มึงเป็นหมอรึไง” ผมถามมันอีกคนก็เงียบ พูดดีก็แล้วพูดเหี้ยก็แล้วไม่มีฟังกันเลยไอ้สัด “ ไม่รู้ละ เดี๋ยวกูให้มึงนอนสักพักแล้วตื่นขึ้นมาถ้ายังตัวร้อนแบบนี้กูจะขับรถพามึงไปโรงพยาบาล ”
“ กูยังไม่อยากตาย “
“ ไอ้สัด “ ผมด่ามันก่อนจะถอนหายใจออกมา คือมันต้องให้ด่ากันให้ได้ถูกต้องมั้ย
“ กูขับได้ กูขับเอง “
“ กูเป็นลูกมีพ่อมีแม่นะอาฟ ” บอกมันแบบนั้นอีกคนก็หลุดยิ้มกว้างออกมาก่อนจะพลิกตัวกลับมาซุกตัวผมอีกครั้ง “ กูยังต้องตอบแทนบุญคุณพ่อที่เลี้ยงกูมา กูยังไม่อยากจะตายเหมือนกันนะ “
“ กูจำได้ว่าเมื่อคืนก็ไม่ได้ปล่อยใน “ ผมขมวดคิ้วกับคำพูดของมันตอนที่ได้ยิน ก่อนที่อาฟจะเงยหน้าขึ้นมาสบตากันแล้วยกยิ้ม “ แต่ทำไมความปากหมาของกูถึงแพร่เชื้อไปถึงมึงได้วะ “
“ ไอ้เหี้ยนี่ “ ผลักมันให้ออกไปจากตักแต่ดูเหมือนอีกคนจะนิ่งอยู่แบบนั้นไม่ขยับไปไหน “ ไปนอนดีๆเลย ไม่ต้องมากอดกู “
“ จะกอด “ ว่าแบบนั้นก่อนจะกอดผมแน่นขึ้น
“ อาฟ มึงอย่าวอแวได้มั้ย ทำไมป่วยแล้วเป็นแบบนี้วะ “ แต่ยิ่งพูดก็เหมือนอีกคนยิ่งกอดแน่นแล้วนั่นมันก็ทำให้ผมได้แต่ถอนหายใจ “ คือกูต้องไปเคลียร์บัญชีไง มันจะสิ้นเดือนแล้ว ”
“ ไม่ให้ไป ”
“ อาฟ อย่างอแง ”
“ ไม่ให้ไป ”
“ อารยะกูบอกว่าอย่างอแง “ ผมย้ำคำหลังก่อนที่คนป่วยจะแค่ยิ้มแล้วก็ลืมตาขึ้นมาถามผม
“ กูถามจริง ทำไมมึงต้องใช้คำว่างอแงด้วยวะ “ เป็นคำถามเหมือนจะสงสัยมานาน เพราะเหมือนกับว่าเวลาที่เถียงกันแล้วอาฟไม่ยอมทำตามไม่ว่าจะด้วยเรื่องอะไรผมก็จะพูดกับมันแบบนั้นตลอดนั่นคือคำว่า ‘ อย่างอแง ’
“ ก็มึงงอแงอะ “
“ กูไม่ได้ปัญญาอ่อนแบบนั้น ”
“ ตอนนี้มึงมันยิ่งกว่านั้นจ้า กูบอกเลย “ เถียงมันก่อนจะดันหัวคนที่หนุนตักผมให้หันกลับไปหนุนหมอนบนเตียงให้ดี แต่เหมือนอีกฝ่ายจะแค่ขืนตัวไว้ “ อาฟ “
“ อยู่แบบนี้ก่อน... ได้มั้ย ให้กูหลับก่อนแล้วเดี๋ยวมึงค่อยไป ”
“ ขี้อ้อน ” แล้วสุดท้ายก็เป็นผมที่ต้องยอมมันทุกที เผลอถอนหายใจออกมาอาฟที่นอนนิ่งแบบนั้นผมลูบหัวมันเบาๆ ด้วยความรู้สึกมีความสุขอย่างบอกไม่ถูก อยากจะก้มลงหอมแก้มมันสักสิบฟอด เอ็นดูเหลือเกินแล้ว
“ หลับตาลงซะ นอนพักผ่อน ถ้ายังไม่หายกูจะขับรถพามึงไปโรงพยาบาล “
“ งั้นก็ไม่ต้องหรอก “ มันพูดทั้งๆที่ปิดตาอยู่
“ ทำไม ? “
“ เพราะรถคงแหกโค้งแล้วกูก็ต้องไปนอนหยอดข้าวต้มที่โรงพยาบาลอยู่ดี “
“ ปากเสีย เดี๋ยวกูแม่งก็เอายาฆ่าแมลงกรอกปากให้กินซะเลย “ ผมยกยิ้มพูดกับอาฟที่ยิ้มอยู่แบบนั้น
“ คิดให้ดีก่อน ไม่มีใครรักมึงได้เท่ากูแล้วเมด “ ใบหูแดงๆของคนพูดมาพร้อมกับตัวมันที่ซุกหน้าเข้ากับเอวของผม ก็รู้ดีว่านั่นไม่ใช่อาการที่เกิดจากการป่วยไข้ แต่มันกับมาจากประโยคที่อีกคนพูดมาเพราะว่าในตอนนั้นผมก็เป็นแบบนั้นเหมือนกัน
“ ก็จริงของมึง“ พยักหน้ารับตอนที่พูด ผมนั่งอยู่แบบนั้นนานจนรู้สึกถึงลมหายใจเข้าออกที่สม่ำเสมอของอีกคน อาฟคงหลับแล้วและตอนนั้นผมก็ค่อยๆเลื่อนมันให้ไปนอนที่หมอน แต่ผมคิดว่าอาฟคงรู้ตัวเพราะมันเองก็เป็นคนที่ออกแรงดึงตัวเองไปนอนที่หมอนก่อนจะท้วงกันแบบเอาแต่ใจ
“ กูยังไม่หลับเลย ไหนบอกจะให้หนุนจนหลับ “
“ งั้นก็หลับได้แล้วครับคุณ “ ก้มลงไปจูบริมฝีปากนั้นก่อนจะลุกออกจากเตียงไปทำงาน แล้วตอนนั้นคนป่วยก็พูดบ่นด้วยใบหน้าที่แดงแทบจะทั้งหน้า
“ มึงแม่ง แล้วใครมันจะไปหลับลง ”