กดปิดหน้าจอมือถือของตัวเอง จะว่าไปการนอนคอนโดของไอ้อาฟก็ไม่ได้แย่อะไรออกจะสะดวกด้วยซ้ำไป มาเรียนก็ง่าย ไปทำงานก็ง่ายเป็นคอนโดในเมืองที่ไม่ต้องตื่นเช้ามากนัก แต่ผมก็อยากจะกลับบ้านบ้าง ก่อนที่น้องชายตัวดีจะตั้งข้อครหาผมว่า ‘ เห่อแฟนจนลืมน้อง ’
[ พี่เมด มึงพูดจริงเหรอ ] ข้อความของคนที่ถูกคิดถึงแจ้งเตือนขึ้นบนหน้าจอของผม กดเข้าไปอ่านน้องชายของผมก็ส่งสติกเกอร์ตกใจเข้าใจพอดี [ พี่เมดเป็นแฟนกับพี่อาฟแล้วจริงๆเหรอ ]
[ อื้ม ] ส่งสติกเกอร์เขินๆไปให้มันตัวนึงก่อนที่อีกคนจะส่งข้อความที่ชวนให้คิดกลับมา
[ แล้วพี่เมดลืมไอ้เหี้ยบินได้แล้วเหรอ ] ขึ้นว่าอ่านไปแล้ว แต่ผมกลับหาคำตอบอะไรไปตอบไม่ได้ ถ้าพูดว่าลืมไปแล้วก็คงโกหก มันไม่ได้ลืมแค่ไม่ได้เอามาเป็นสิ่งสำคัญอะไรอีกแล้ว เหมือนก็ยังรู้สึกอยู่ว่ามีแผล ถ้าเอานิ้วไปกดก็คงเจ็บอยู่ เหมือนแค่แผลตกสะเก็ดที่กำลังหาย แต่ก็ต้องเข้าใจทุกอย่างมันใช้เวลาในการรักษา และ ลืม ทั้งนั้น [ พี่เมดขอโทษนะ กูพูดไม่คิด รู้สึกไม่ดีรึเปล่าวะ เงียบไปเลย ]
[ เปล่าๆ กูแค่ไม่รู้จะเรียบเรียงคำพูดบอกมึงยังไง ] ผมบอกน้องชายตัวเองไปแบบนั้น อีกคนก็ส่งสติกเกอร์กอดกันมาให้ [ถ้ากูบอกว่าลืมไปแล้วมึงจะเชื่อมั้ย ]
[ จะเชื่อว่าพี่มึงตอแหล ]
[ ฮ่าๆ ก็ยังไม่ลืม แต่ก็ไม่ได้จำ ไม่ได้เอามาสำคัญอะไร มันเป็นอดีตแล้ว ตอนนี้กูก็อยู่กับปัจจุบัน ]
[ คิดได้แบบนั้นจริงๆมันก็ดี ] ผมอ่านข้อความนั้นยิ้มๆ [ แต่วิวว่าก็ดีนะพี่เมด ที่พี่เมดคบพี่อาฟน่ะ ]
[ มึงคิดงั้นเหรอ ]
[ อื้ม ก็บางทีอะไรๆที่มันแย่อยู่มันอาจจะดีขึ้น วิวหมายถึงความรู้สึกแย่ๆที่เกิดจากไอ้เชี้ยนั่น ]
[ วิว กูดูเหมือนคนที่คบกับอาฟแค่จะหาคนดามใจเปล่าวะ ]
[ ถ้าดูจากภายนอกใครๆก็คงคิด พี่เมดเพิ่งเลิกกับไอ้เหี้ยนั่นไม่นานก็มามีคนใหม่แล้ว มันก็ธรรมดาเปล่าวะ ]
[ ก็จริง ]
[ แต่วิวว่าไม่เห็นต้องคิดมากเลย มันอยู่ที่การกระทำของเราปะ พี่เมดรู้ใจตัวเองดีที่สุดไม่ใช่เหรอวะว่าพี่เมดคบเค้าทำไม เหมือนที่วิวเคยบอกไง ถึงเวลามันจะมี มันก็มี อย่าไปสนใจคนอื่นให้มากเลย คนถ้ามันจะคิดมันก็คิด เราห้ามความคิดแล้วก็ไปอธิบายให้ใครๆฟังทั้งหมดไม่ได้หรอก ]
[ คนจะรักมันก็แค่รัก ] ผมบอกน้องชายตัวเอง [ มึงเคยพูดไว้ ]
[ อื้ม บางทีวิวก็คิดนะว่าทุกอย่างเหมือนมันถูกกำหนดไว้แล้วละ ว่าต้องเป็นแบบนี้ ต่อให้เราพยายามจะหนียังไง ถ้ามันจะเกิดมันก็แค่เกิด ]
[ อื้ม ] ผมก็คิดว่าจริงอย่างงั้น ขนาดพยายามหนียังไง เตรียมคำพูดปฎิเสธไว้ยังไง แต่ถ้ามันจะต้องรัก ถึงจุดนั้นก็ต้องห้ามใจให้รักไม่ได้อยู่ดี [ จริงของมึง ]
[ งั้นตอนนี้พี่เมดก็เป็นอาซ้อเจ้าของผับดังแล้วอะดิ ส่วนกูก็น้องอาซ้อแฟนเจ้าของผับดัง เดี๋ยวกูต้องเอาไปอวดเพื่อน เหล้าฟรีมั้ยยังไงดี ]
[ แค่แฟนเว้ย เมีย เมอ อะไรไอ้เด็กนี่ ]
[ เดี๋ยวสถานะมันก็ต้องถูกเลื่อนขั้นขึ้นไปเรื่อยๆเชื่อสิ ] สติกเกอร์ล้อเลียนถูกส่งมาพร้อมกับเสียงหัวเราะตบท้าย [ แล้วเป็นไงวะ เค้าขอพี่เมดยังไง พี่เมดถึงใจอ่อนเร็วแบบนี้ ]
[ มันก็หลายๆอย่างวะ เอาจริงๆกูก็หวั่นไหวมาสักพักละ ตั้งแต่กูโกรธมันที่พูดปากหมาใส่แล้วมันก็ง้อกูด้วยเครป คือ ก่อนหน้านั้นมีลูกค้าในผับมาขอเบอร์กู แล้วกูเขียนไปว่า กูมีคนที่ชอบอยู่แล้ว ]
[ ที่เขียนว่ามีคนที่ชอบอยู่แล้วนี่ เขียนเพราะตอนนั้นก็มีจริงๆใช่มั้ย ]
[ เออ ก็ไอ้อาฟนั่นแหละ ] สารภาพออกไปน้องชายก็ส่งมาแค่สติกเกอร์มาล้อ ก็หวั่นไหวกับมันมีสักพักแล้ว ตอนนั้นคิดแค่ว่าไม่อยากจะคบใครทั้งนั้น ผู้ชายที่เข้ามาขอเบอร์ดูเป็นสเป็คก็จริงอยู่ หล่อ สูง แล้วก็หน้าตาดี แต่ว่าตอนนั้นในใจลึกๆมันก็พูดแค่ว่า ตอนนี้ถ้าจะคบใครสักคน คงมีแค่ไอ้อาฟคนเดียวเพราะคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจที่สุด
[ ยังไงต่อ ]
[ ตอนที่มันได้อ่านมันถามกูว่า มันพอเป็นคนที่กูจะชอบได้มั้ย ]
[ เดี๋ยววววว อีพี่เมดดดดดดดดดด แล้วมึงตอบว่ายังไง แต่เดี๋ยวนะทำไมกูต้องใจเต้นวะ แต่นี่ก็ไม่ใช่พี่เมดไง แต่ทำไมเขิน ]
[ ตอนนั้นกูกัดฟันเขินจนปวดกรามอะ หน้านี่แดงสัดๆ แดงจนกูยังรู้สึกเลยว่ามันร้อน ร้อนแบบ ร้อนไปหมดทั้งตัวกูเลย แต่กูก็ตอบไปนะว่าแบบ อื้ม ก็พอได้อยู่ ]
[ อ่อยเว่อร์เบอร์แรงไปอีกจ้า ]
[ ดูอ่อยเหรอวะ ] ผมถามความเห็นน้องชายตัวเอง
[ มันก็นิดๆอะ แต่ว่ามันก็ต้องแบบนั้นแหละ เพราะถ้าพูดว่าไม่ใช่ ก็ไม่ได้ เพราะมันก็ใช่ มึงหมายถึงเค้า แต่ถ้าให้พูดออกไปตรงๆว่า ใช่ ก็ไม่ได้ มันก็มันอ่อยแรงเกินไป ก็ต้องพูดแบบนี่แหละ อ่อยเบาๆ ]
[ อื้ม นั่นแหละสิ่งที่กูคิด ไม่อยากให้มันดูว่ากูแบบมีใจให้มันออกนอกหน้านอกตามากเกินไป แบบอยากได้ๆ คือกูก็ไม่ได้เป็นแบบนั้น อยากให้มันรู้แค่ว่า เออ ก็ไม่ได้ปฎิเสธมันหรอก แต่ก็ไม่ได้เปิดประตูใจออกให้กว้างขนาดนั้น แล้วถ้ามึงอยากเข้ามาก็ต้องออกแรงผลักประตูนั่นเข้ามาด้วย ]
[ ชั้นเชิงและคำพูดคำจาของพี่กูนั้น อ่อยยังไงให้ดูแพง by มินเมด ]
[ กูแค่ต้องให้ค่าหัวใจตัวเองอะ ถึงมันจะยับเยินแค่ไหนกูก็ต้องเห็นค่าของมัน ไม่ใช่ว่าช่างมันจะทำอะไรก็ได้ ยังไงก็พังไปหมดแล้วจะโดนหลอกอีกก็ไม่สนละ ]
ผมแค่รู้สึกว่าเมื่อก่อนก็เคยคิดอะไรง่ายๆ สำหรับความรักถ้ายอมได้ จะยอมให้ทุกอย่าง จนยอมลดคุณค่าของตัวเองทนอยู่กับสิ่งที่ตัวเองเรียกว่ารัก แต่สุดท้ายมันก็ไม่มีอะไรดีเลยสักอย่าง แล้วผมก็ได้บทเรียนมาข้อนึงว่า คนเราต้องเห็นคุณค่าของตัวเองก่อน ถึงจะให้คนอื่นมาเห็นคุณค่าของเราได้ เพราะถ้าเราทำตัวเองไม่มีค่า คนอื่นก็จะเห็นเราไม่มีค่าเช่นกัน เหมือนที่บินไม่เคยเห็นผมมีค่าเลย เพราะผมยอมลดคุณค่ากลายเป็นคนที่อะไรก็ได้กับมันก่อน
[ ดีว่ะ พี่เมดดูรักตัวเองมากขึ้นมากๆ น้องประทับใจ ]
[ อื้ม ]
[ แล้วยังไงต่อ สารภาพรักเลยมั้ย ]
[ ยังเว้ย ตอนสารภาพมันเรียกกูไปที่ระเบียงถามประวัติกู แล้วให้กูถามประวัติมัน ถามไปถามมาสุดท้ายบอก รู้จักกันดีรึยังจะได้ขอเป็นแฟน ]
[โรแมนติกไปอีก เขินแล้วจ้า ] เออ ก็ยอมรับว่าเป็นแบบนั้นอยู่ เป็นความโรแมนติกแบบเท่ๆคลูๆ ที่โคตรทำให้ใจสั่น เหมือนอ่านการ์ตูนสักเล่มที่เราเป็นตัวละครสองตัวที่กำลังผลัดรับผลัดสู้กันอยู่ แล้วสุดท้ายตัวผมก็โดนใช้ท่าไม้ตายทำให้จนมุมแบบไปไหนไม่รอด จนมุมมันไปในท้ายที่สุด
[ ตอนแรกกูบอกมันไปว่าเร็วไปรึเปล่า กูเพิ่งเลิกกับแฟน ]
[ โอยยยยยย อีพี่ ยังจะเล่นตัว ]
[ กูไม่ได้เล่นตัว แต่กูคิดแบบนั้นจริงๆ กูแค่อยากจะรักมันจริงๆ ไม่ใช่รักแบบครึ่งๆกลางๆ เหมือนไม่รู้ว่า รักจริงๆ หรือแค่อยากได้คนมาดามใจ ]
[ แล้วเค้าว่าไง ]
[ อาฟบอกสำหรับมันช้าไป กูเลยบอกว่า มันยังรู้จักกูไม่ดีพอเลย เท่านั้นแหละ แม่งร่ายยาวเลยที่ก่อนหน้านี้มันถามกูไว้ กูชื่ออะไร เรียนที่ไหน บลาๆ ไอ้สัด โคตรแค้น เหมือนวางแผนเอาไว้มาหมดแล้ว ตามแทบไม่ทัน ]
[ พี่เค้าร้ายวะ มีชั้นเชิงโคตรๆ ]
[ เออมันร้าย ร้ายสัดๆ แล้วพอกูบอกว่า มันเตี้ยกว่ากูนะ โอเคเหรอ เดินด้วยกันไม่กลัวกูดูเป็นผัวมันนะ ]
[ ฮ่าๆ อีเชี้ยพี่เมด มึงพูดงี้จริงดิ อีพี่บ้า ]
[ เปล่ากูไม่ได้พูด แค่พูดว่ามันดูไม่ค่อยเหมาะกัน ]
[ แรงว่ะ หักหามน้ำใจสุด คำแรกดูซอฟไปเลย ]
[ เหรอวะ แต่ตอนนั้นกูก็แอบเห็นมันหน้าเสียเหมือนกัน ] ส่งสติกเกอร์หน้าเศร้าไปให้น้องชายตัวเอง จะว่าไปตอนนั้นก็แอบนึกถึงหน้ามันขึ้นมา อาฟเหมือนไม่คิดมาก่อนเลยว่าผมจะพูดอะไรแบบนั้น อยากจะตบปากตัวเองแท้ๆที่พูดแบบนั้น โคตรทำลาย
บรรยากาศ [ นึกแล้วสงสารอาฟเลยวะ กูก็ไม่น่าพูด ]
[ พี่อาฟเตี้ยกว่าพี่เมดมากเหรอ ]
[ คงสักสองสามเซ็น กูใส่รองเท้าแตะ มันใส่ผ้าใบ มันก็สูงกว่ากูแล้ว ]
[ โอยยยยยยย ทำเป็นซีเรียส แบบนั้นมองผ่านๆ ยังไม่รู้เลยใครสูงกว่าใครเตี้ยกว่า พี่มึงแม่งคิดมากกับเรื่องแค่นี้ด้วยเหรอวะ ]
[ ก็ไอ้อาฟมันดูเหมือนเป็นคนคิดเรื่องแบบนั้นนี่หว่า ]
[ มึงก็น่าจะใช้สมองหน่อย คือถ้าเค้าคิดว่าเรื่องรูปร่างมันสำคัญ ความสูงมันสำคัญ เค้าก็ไม่จีบพี่เมดแล้วมั้ย ]
[ มึงด่ากูแรงจังวิว ]
[ จะได้สำนึก ]
[ แล้วอาฟถามกูด้วยนะว่าความรักของกูคืออะไร คือรูปร่างหน้าตาเหรอ แล้วมันก็บอกว่าสำหรับมันคือไม่ใช่ สำหรับมันคือถ้ากูแคร์เรื่องส่วนสูงมันจะใส่รองเท้าที่ส้นสูงหว่า ถ้าชอบคนตัวใหญ่ๆจะใส่เสื้อตัวใหญ่ๆให้ ความรักของมันเป็นอะไรแบบนั้น ]
[ เฉียบ เหมือนจะพูดว่า เค้าจะยอมเปลี่ยนแปลงเพื่อพี่เมดถ้ามีอะไรในตัวเค้าที่พี่เมดไม่ชอบ เพื่อที่จะให้ตัวเองได้รักกับพี่เมด ]
[ อื้ม ]
[ แล้วเป็นไง พอได้ฟังแล้ว ]
[ ตอนนั้นมันพูดต่อว่า เหลือแค่กูแล้ว ว่ากูจะยอมใส่รองเท้าส้นเตี้ยแล้วเดินไปพร้อมกับมันมั้ย เหมือนว่า แล้วกูละยอมจะเปลี่ยนแปลงตัวเองเพื่อมันมั้ย ]
[ โอ้ยยยย อีเหี้ย ผัวขา พูดออกไปสิ ปฎิเสธอะไรอีกละมาถึงขนาดนี้แล้ว ]
[ ฮ่าๆ ]
[ เอาจริงๆกูบอกปฎิเสธไม่ได้อะ ถ้าโดนพูดใส่แบบนี้ พี่อาฟชวนหลงมากเด้อ ยอมใจ ]
[ อื้ม จริงของมึง ตอนนั้นในใจกูมันแบบเหมือนพูดแค่ว่า ใช่เลยวะ ปฎิเสธไม่ได้เลยต่อให้พรุ่งนี้กูจะเสียใจอีกเท่าไหร่ กูก็ไม่สนแล้ว ยังไงก็ต้องคนนี้ เหมือนความกลัว ความไม่พร้อม หรือเหี้ยอะไรทั้งหมดที่กังวลมันหายไปหมด ]
[ แล้วไอ้คนที่วางท่าบอกว่าอยากจะเข้ามามาหาก็ต้องเปิดประตูเข้ามาเองอะ ] น้องชายผมแซว
[ ตอนนั้นไอ้นั้นก็อยากจะเปิดประตูให้แล้วกระชากเข้ามาในห้องเลย ]
[ ฮ่าๆๆๆ อีพี่เมดดดดด แรดเลยพี่กู ]
[ เหมือนอยู่ๆกูกล้าขึ้นมาเหมือนคนเอาแต่ใจตัวเอง ยังไงก็จะคบ ยังไงก็ต้องคนนี้ กูเลยตอบตกลงมัน ]
[ กูเข้าใจ ก็คำพูดแม่งโดนใจขนาดนั้นอะ มันลืมไปหมดแหละ จะพร้อมไม่พร้อมหรือใครบอกมันเหี้ยก็ตาม แต่เราก็จะแบบ กูจะลองเอง กูจะลองรักเค้าเอง คือพอถึงเวลาจะรักช้างทั้งโคลงมาฉุดก็ไม่อยู่หรอก ยังไงมันก็รักอยู่ดี ]
[ อื้ม ]
[ แต่กูชอบคำพูดของพี่อาฟนะ มันฟังแล้วแบบ ไม่ใช่แค่ชอบ แต่มันคือ กูชอบและพร้อมจะเปลี่ยนแปลงเพื่อมึง ประทับใจ แต่ไว้เจอตัวจริงแล้วบอกอีกที พี่เมดจะพามาเจอวิววันไหน ]
[ วันนี้มั้ง พี่ว่าจะกลับไปนอนที่ห้อง ]
[ แต่น้องไม่คิดว่าพี่เมดจะได้นอนนี่ ]
[ ทำไมวะ ] พิมพ์ถามมันไปยิ้มๆ เพราะก็คิดไม่ต่างอะไรกับคนเป็นน้องสักเท่าไหร่
[ คนเป็นแฟนกันมันก็ต้องอยากจะอยู่ด้วยกัน ยิ่งมีคอนโดไม่ต้องนอนบ้านพ่อแม่แบบนี้ก็ยิ่งอยากจะพาไปนอนด้วย คือข้าวใหม่ปลามันอะพี่มึง ใครมันจะอยากห่างกับแฟน ]
[ ก็จริงของมึง ] ผมพยักหน้ารับกับข้อความที่ได้อ่าน
[ แล้วดูนิสัยพี่อาฟจากที่เค้าชอบพาพี่เมดไปไหนมาไหนด้วยตลอด เค้าก็น่าจะเป็นคนติดแฟนนะ คือพวกชอบอยู่กับแฟน ]
[ ให้กูได้พักหายใจบ้างเถอะ เมื่อคืนก็นอนไม่หลับแม่งเล่นกอดกูทั้งคืน ]
[ เหม็นความรัก ]
[ คืนนี้กลับไปนอนกอดน้องชายตัวเองบ้าง ]
[ เดี๋ยวพอเค้าอ้อนๆก็ใจอ่อน สุดท้ายก็ต้องมาขนเสื้อผ้าไปนอนนู้นตลอด เชื่อสิ เชื่ออออออออ ]
[ เบื่อมึง ]
[ ที่รู้ทัน ] น้องชายผมต่อประโยค [ วิวว่าถ้าเราสบายใจกับการอยู่กับเค้า มันก็ไม่มีปัญหาอะไรหรอก ดีซะอีกจะได้รู้จักกันมากขึ้น คนอยู่ด้วยกันรู้จักกันเร็วกว่าคนอยู่ห่างกันนะ พี่มึงไม่คิดงั้นเหรอ ]
[ คิด ] เพราะแฟนเก่าผมก็เป็นแบบนี้ ตอนคบกันแรกๆ เราแค่ไลน์หากัน นัดออกไปเที่ยวเวลาว่างๆเพราะต่างคนก็ต่างอยู่บ้าน ตอนนั้นมันทั้งเทคแคร์ แล้วก็เอาใจ จนสุดท้ายพอสอบได้มหาลัยเดียวกันก็เลยตัดสินใจมาอยู่ด้วยกัน แรกๆก็ยังโอเค แต่เพียงแค่ห้าเดือนแรกผ่านไป หายนะก็ค่อยๆคืบคลาน สำหรับนิสัยจริงๆของมันที่ซ่อนอยู่
[ เห็นมั้ย ได้ลองอยู่ด้วยกันมันก็ดีออก แรกๆมันก็เขินหลังๆเดี๋ยวมันก็ชิน ตอนนี้ไม่อยากจะให้กอดตื่นเต้น หลังๆพี่เมดนั่นแหละที่จะกลิ้งเข้าไปซุกเค้าเวลานอน ]
[ เชียร์กูให้นอนคอนโดไอ้อาฟจังนะวิว ไม่ใช่เพราะว่าพี่นอนคอนโดพี่อาฟแล้วตัวเองจะได้โดดเรียนง่ายๆ กลับบ้านเย็นแค่ไหนก็ได้เหรอ ]
[ บ้า พี่เมดอะคิดมาก ] สติกเกอร์ของน้องที่ส่งมาหลังข้อความบอกกับผมว่ามันก็เป็นแบบที่ผมคิดนั่นแหละ
[ ไว้เจอกัน ]
[ เดี๋ยวน้องจะจับพี่เมดหอมแก้มซ้ายขวาข้างละสิบทีเพราะน้องคิดถึง ]
[ ขี้อ้อน เดี๋ยวเจอกัน ]
[ เจอกันครับ ] กดปิดหน้าจอของตัวเองผมเงยหน้าขึ้นมองกระดานที่ไม่เข้าใจอะไรเลยที่อาจารย์สอนอีกครั้ง ผมกำลังเตรียมคำพูดที่จะเอาไปพูดกับอาจารย์ ไม่รู้จะเริ่มพูดคำไหนดีให้เค้าเข้าใจว่าไม่อยากจะทำงานร่วมกลุ่มกับคนสองคนที่เหลือจริงๆ แต่หนทางที่เค้าจะเข้าใจและช่วยเหลือ สำหรับผมรู้สึกว่ามันริบหรี่เหลือเกิน
AFTER กดเข้าไปในไลน์นี้อีกครั้ง ผมส่งข้อความสั้นๆไปหาอีกคนหลังจากที่กริ้งหมดเวลาเรียนดังขึ้น [ เลิกเรียนแล้วนะ แต่ขอคุยกับอาจารย์ก่อน รออีกแปปนึงนะ ]
[ ครับผม ] ข้อความสั้นๆที่ตอบมาชวนให้ยิ้ม ลุกขึ้นจากที่นั่งเดินตรงเข้าไปหาอาจารย์ที่กำลังเก็บของอยู่ที่หน้าห้อง
“ อาจารย์ครับ ผมอยากจะถามเรื่องงานกลุ่มหน่อยครับ “ อาจารย์มองผมลอดแว่นสายตาที่ใส่ตอนที่ผมนั่งย่อตัวลงตรงหน้าแล้วบอก “ คือว่าตอนนี้ผมยังไม่มีกลุ่ม “
“ ก็ลองไปหาถามเพื่อนในห้องสิ มันต้องเหลืออยู่สองคนนะอาจารย์ประกาศเรียกให้มั้ย “ เธอทำทีเป็นจับไมค์ของตัวเองอีกครั้ง แต่ผมก็เอ่ยห้ามไว้
“ คือผมรู้แล้วครับว่าใครยังไม่มีกลุ่ม แต่คือว่า อาจารย์ครับ ผมไม่สะดวกที่จะร่วมกลุ่มกับทั้งสองคน ขอผมทำรายงานคนเดียวได้มั้ย “
“ ทำไมละ “ สีหน้างุนงงฉายขึ้นพร้อมกับคำพูดของเธอที่เอ่ยขึ้นมา “ เธอมีปัญหาอะไรกับเพื่อน “
“ ทะเลาะกันรุนแรงน่ะครับ “
“ เรื่องอะไรละ ถ้าไม่บอกกัน อาจารย์ไม่รู้ว่าหรอกนะว่ามันจะรุนแรงพอให้เข้าใจได้มั้ย “ ผมก้มหน้าถอนหายใจออกมา สื่อความลำบากใจในการพูดในเธอรู้ “ มันเป็นเรื่องใหญ่มากเลยเหรอ “
“ ครับ มันแย่มากๆ เป็นเรื่องหักหลังกัน แล้วผมก็ไม่อยากจะร่วมงานกับเค้า ไม่อยากถูกหักหลังอีก “
“ อาจารย์ก็พอเข้าใจนะในสิ่งที่จะสื่อนะ แต่ว่าก็อยากจะให้มองอีกมุมนึงก็คือถ้าเธอออกไปทำงาน เธอก็ต้องเจอเพื่อนร่วมงานที่ไม่ถูกใจ แต่ก็ยังต้องทำงานร่วมกันกับเค้าแบบนั้นก็จะหนีความรับผิดชอบไม่ทำเพราะเรื่องส่วนตัวเหรอ มันก็ไม่ได้ใช่มั้ยละ ไม่ว่ายังไงก็ต้องทำงานให้สำเร็จ “ ผมเงียบไปเธอก็ยิ้มให้ “ อาจารย์อยากให้เธอลองใช้ความอดทนแล้วทำรายงานกลุ่มนี้ให้สำเร็จ คิดซะว่าถ้ามันคือการทำงานเธอไม่สามารถไปบอกกับหัวหน้างานได้ว่า อยากจะเปลี่ยนกลุ่ม เพราะในชีวิตจริงของการทำงานมันเป็นแบบนี้เราเลือกเพื่อนร่วมงานที่ชอบทั้งหมดไว้ในที่ทำงานไม่ได้หรอก เข้าใจใช่มั้ย “
“ เข้าใจครับ “ ผมตอบเธอเสียงเรียบๆ ก่อนจะลุกขึ้นเต็มความสูง ความต้องการล้มเหลว ผมยิ้มก่อนจะยกมือไหว้เธอ “ ขอบคุณครับอาจารย์ “
เดินออกมาจากห้องด้วยความรู้สึกเซ็งๆแต่ก็เป็นอย่างที่คิด ผมรู้แล้วว่ามันต้องเป็นแบบนี้ ในมุมมองของผู้ใหญ่เรื่องนี้มันดูค่อนข้างไร้สาระไป ผมถอนหายใจออกมาอยากจะบอกอาจารย์เหมือนกันว่าชีวิตจริงที่ทำงานอยู่ตอนนี้ สังคมมันน่าทำมากกว่ารายงานกลุ่มนี่ซะอีก แต่ก็นะ ถ้ามองสังคมของการทำงานโดยรวมสิ่งที่อาจารย์พูดมันก็จริง
“ เมด สรุปมึงอยู่กลุ่มกับพวกกูนะ “ จิงที่เดินเข้ามาหา ผมหันไปมองมันตัดสินใจไม่ได้พูดอะไร ได้แค่ตั้งคำถามกับตัวเองในตอนนั้น ผมทำอะไรได้บ้างสำหรับพวกมัน ถ้าเป็นแฟนบอกเลิกไปแล้วก็คือจบ โชคดีที่บินไม่ได้มาเรียนคณะเดียวกันแต่เป็นวิทย์กีฬา ก็เลยไม่ได้เจอกัน แต่เพื่อนที่เรียนคณะเดียวกันมาตลอด และกำลังจะจบไปในปีเดียวกัน ผมทำอะไรกับพวกมันได้บ้าง
“ พวกมึงสองคนเลิกยุ่งกับกูได้มั้ย “ ผมถามออกไปสั้นๆ อีกฝ่ายก็นิ่ง ผมมองไปข้างหลังของอีกคนไอ้ยีนส์ยืนอยู่ไม่ไกล “ พวกมึงเลิกเข้ามานั่งข้างกู เข้ามาคุยกับกูได้มั้ย กูไม่อยากคุยกับพวกมึง กูไม่อยากเห็นหน้า พวกมึงคิดอะไรอยู่ กำลังคิดว่ากูจะให้อภัยกับการกระทำของพวกมึงได้อย่างงั้นเหรอ “
“ เมด..”
“ ถ้าเป็นมึง มึงจะให้อภัยเพื่อนที่แอบนอนกับแฟนมึงจริงๆเหรอวะ มึงจะให้อภัยเพื่อนที่โกหกมึงมาตลอดจริงๆเหรอวะ “
“ กูไม่ได้ตั้งใจ กูไม่ได้อยากจะโกหกมึงนะ “
“ มึงเข้าใจความหมายของคำว่า ไม่ตั้งใจรึเปล่า “ ผมถามจิงที่ยืนอยู่ตรงหน้า มันที่มีท่าทางว่าจะร้องไห้แล้วกำลังจะอธิบายความรู้สึกของตัวเองออกมาเป็นคำพูดแต่ผมก็พูดขึ้นมาก่อน “ ไม่ตั้งใจคือการที่มึงทำมันแค่ครั้งเดียว แต่นี่มันไม่ใช่ มึงตั้งใจ ตั้งใจจะปิดแล้วก็ตั้งใจที่จะมีอะไรกับไอ้เหี้ยนั้น “ มองผ่านไปข้างหลังยีนส์ถอนหายใจออกมา “ กูขอพูดเรื่องนี้กับพวกมึงทั้งสองคนเป็นครั้งสุดท้าย ไม่ต้องขอโทษ พอแล้ว ยังไงก็ไม่ให้อภัย เรากลับมาเป็นเพื่อนกันไม่ได้หรอกว่ะ คบกันไปก็มีแต่ความหวาดระแวง ไม่รู้พวกมึงจะตอแหลกูตอนไหน ไม่รู้จะหักหลังกูตอนไหน “
“ เมด อย่างน้อยก็ให้พวกกูยังคุยกับมึงได้มั้ย แค่คุย แค่ทัก ได้มั้ยวะ “
“ อย่าเลย “ ผมส่ายหน้าปฎิเสธ “ พวกมึงไม่ต้องมาเสียดายความสัมพันธ์ระหว่างเราที่มีมาตั้งแต่เด็กๆหรอก ก็พวกมึงสองคนเลือกที่จะทำลายมันเอง จะมาเสียใจทำไม จริงมั้ย “
“ แล้วเรื่องรายงาน “ ยีนส์ที่อยู่ไกลออกไปเอ่ยถาม “ มึงจะเอายังไงละ จะทำมั้ย หรือให้พวกกูทำแล้วใส่ชื่อมึง “
“ ให้กูเชื่อคนที่หักหลังกูน่ะเหรอ “ ผมถามก่อนจะยิ้ม “ กูทำเองคนเดียวก็ได้ เดี๋ยวจะใส่ชื่อพวกมึงด้วย “
“ แต่เมด “
“ ไม่ต้องกลัว กูไม่มีนิสัยหักหลังใคร ส่วนใหญ่จะโดนเพื่อนหักหลังมากกว่า “
“ แต่พวกกูจะทำมันเป็นคะแนนของพวกกู “ ยีนส์มันพูดก่อนจะเดินเข้ามาใกล้ไอ้จิงที่ยืนอยู่ “ เราก็นัดกันมาทำที่ไหนสักที่แล้วกัน มันเป็นรายงานกลุ่มก็เหมือนที่อาจารย์พูดนั่นแหละ ในชีวิตจริงถ้าเราต้องอดทนทำงานกับคนที่เราไม่ชอบ เราก็ต้องทำ เพราะเราหนีไม่ได้ “
“ เหมือนอย่างมึงแล้วก็กูเป็นอยู่ตอนนี้ “ ผมมองหน้ามัน อีกคนก็มองหน้าผม สายตาที่ไม่มีใครยอมใครของเรา
“ ใช่ “
“ ไอ้ยีนส์ “ จิงเอ่ยเรียกเพื่อนมันที่อยู่ข้างกัน
“ ถ้าเค้าไม่อยากจะเป็นเพื่อนเราเหมือนเดิมก็อย่าพยายามเลยมึง “ ยีนส์มองผมสลับกับเพื่อนตัวเอง
“ บางทีเมดมันคงสะดวกที่จะเกลียดเรามากกว่า “
สบสายตาของอีกคนที่มองผมอยู่แบบนั้นแบบไม่ชอบใจ ยีนส์ไม่ใช่คนแบบนั้น มันไม่ใช่คนชอบหาเรื่องใคร เป็นแค่คนคนนึงที่เงียบออกไปทางไม่ค่อยแสดงความรู้สึก แต่หลังจากวันนั้น วันที่เห็นมันนอนกับแฟนผม ตัวเองกลับคิดขึ้นมาได้ว่า บางทีผมอาจจะไม่เคยรู้จักตัวจริงของเพื่อนคนนี้เลยก็ได้
“ รู้ตัวเองก็ดี “
“ ก็ไม่ได้มีแค่มึงหรอก ที่รู้สึกแบบนั้น “
“ แสดงออกแบบนี้ก็ดี ค่อยสมกับการที่แย่งผัวเพื่อนหน่อย “ ผมยิ้มให้ “ เพราะประโยคขอโทษไม่เหมาะกับคนสันดานแบบมึงหรอก “
เดินผ่านมันสองคนออกไปโดยไม่พูดอะไรออกมาอีก เคยมีบางคนบอกกับผมว่า ความสัมพันธ์ของคนเรากับคนบางคน อาจจะมีแค่สองอย่าง นั่นคือถ้าไม่รักก็เกลียดกันเลย แล้วระหว่างเราสามคนตอนนี้.. มันก็เป็นแบบนั้น คงได้แต่เกลียดกันไปจนตาย
......................................................................
เดินลงมาด้านล่างของตึกด้วยความไม่พอใจ ผมไม่รู้ตัวเองทำสีหน้าหงุดหงิดอยู่ในระดับไหนแต่คิดว่ามันคงมากพอที่จะทำให้คนที่นั่งรออยู่ที่โต๊ะพร้อมกับน้ำที่หมดไปแล้วหนึ่งแก้ว เลิกคิ้วขึ้นมาก่อนจะยกยิ้มให้
“ หน้าเป็นตูดมาเลย “ อาฟพูดคำแรกก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง ก้าวขาออกจากเก้าอี้ที่นั่ง ผมหันไปมองรอบๆวันนี้รู้สึกมีสาวๆทั้งในคณะและต่างคณะมานั่งกันแถวนี้เยอะกว่าปกติ แต่ก็ไม่น่าแปลกใจเท่าไหร่หรอกระดับเจ้าของผับดังมานั่งอยู่ตรงนี้ ถ้าไม่มานั่งกันสิจะแปลกใจมากกว่า
ถอนหายใจออกมากับสภาพแวดล้อมที่ยิ่งชวนให้หงุดหงิดมากกว่าเก่า สีหน้าที่คงแสดงออกชัดเจนแบบปิดไม่มิดและในตอนนั้นคนที่ทำให้สบายใจเสมอก็แค่ยื่นมือมาจับมือผมไว้ก่อนจะออกแรงดึงให้เราเดินออกไปด้วยกัน ท่ามกลางคนมากมายที่นั่งอยู่ตรงนั้น ไม่ได้มีคำพูดอะไร เป็นแค่การกระทำที่อธิบายว่าเราเป็นอะไรกันได้ดียิ่งกว่า ‘ โอเค ผมคิดว่า ผมรู้สึกดีขึ้นมานิดหน่อยแล้ว ’
เปิดประตูรถเข้าไปนั่งด้านใน ผ่อนลมหายใจออกมาอีกคนก็สตาร์ทรถเปิดแอร์ก่อนจะหันมาถามอีกครั้ง “ เป็นอะไร “
“ กูต้องทำรายงานกลุ่มกับไอ้จิงไอ้ยีนส์ “ หันไปทำหน้าเซ็งๆใส่อาฟที่มองผมอยู่แบบนั้น “ มึงปลอบหน่อย “
“ ทำยังไง “ พิงตัวเองกับเบาะรถที่นั่ง ก่อนจะเอียงตัวไปหามัน
“ มากูสอนให้ “ บอกแบบนั้นก่อนจะดึงตัวเองขึ้นนั่งให้ดีด้วยการจ้องหน้ามันที่ก็แค่เหลือบตามามองกัน “ เวลาที่เราเห็นแฟนเราเซ็งๆ มึงก็ต้องดึงแฟนมึงเข้ามากอดแบบนี้ “ ผมดึงอาฟเข้ามากอดก่อนจะลูบหลัง “ แล้วก็ลูบหลังเบาๆ เข้าใจมั้ย พูดหวานๆด้วยก็ดี “ ผละตัวเองออกจากมันที่หูแดงจัดแต่ก็สถบคำตรงข้ามออกมาเหมือนอย่างทุกที
“ ปัญญาอ่อน “ ผมหันไปดึงเข็มขัดนิรภัยตอนที่อีกคนพูด แต่ยังไม่ทันจะดึงมารัดให้เสร็จคนที่ไม่คิดว่าจะทำอย่างที่บอก ก็ดึงตัวเองมากอดผมไว้จากด้านหลัง มือข้างนึงของมันกอดเอวส่วนมืออีกข้างก็ลูบหัวผมเบาๆ “ แบบนี้ได้มั้ย “
“ ก็ได้อยู่ แต่ไม่เหมือนที่สอน “
“ อย่าเรื่องมาก “ มันบอกผมก็หลุดยิ้มกว้าง
“ พูดด้วยสิ “
“ พูดอะไร “
“ ทำนองว่า ไม่เป็นไรนะครับ เดี๋ยวมันก็ผ่านไปอาฟอยู่ข้างๆเมดนะอะไรแบบนั้น “
“ รำคาญ “ อีกคนบ่นก่อนจะเงียบไปสักพัก ในตอนที่ผมกำลังดึงตัวเองออกมาเพราะคิดว่ามันนานไปแล้ว อีกอย่างเราควรออกรถเพื่อเดินทางกลับ แต่ทว่ามือที่กอดผมไว้กลับกอดกันไว้แน่นไม่ยอมปล่อย “ ไม่เป็นไร..นะ..ครับ เดี๋ยว จะอยู่ข้างๆเอง “
“ ขอบคุณนะครับ “
“ กูแค่พูดตามที่มึงบอก “ หลุดหัวเราะออกมาผมที่ดึงตัวเองหันไปมองหน้ามันแต่ทว่าอีกฝ่ายกลับกอดกันไว้แน่นไม่ยอมปล่อย
“ อาฟ ปล่อยก่อน.. กอดแน่นไปแล้วมึง ”
“ อย่าเพิ่ง “ มันห้ามผมไว้ “ หูกูยังแดงอยู่ หน้าก็ด้วย “
“ ก็เหมือนกันนั่นแหละ “ ผมหลุดยิ้มกว้างออกมาก่อนจะทำได้แค่นั่งนิ่งๆอยู่แบบนั้น ภายในรถเงียบเชียบผมได้ยินแค่เสียงแอร์กับเสียงหัวใจของตัวเองที่เต้นออกมาแทบจะทะลุอก
“ หัวใจเต้นแรงมากเลยว่ะ “ อาฟบอกผมก็ทำทีเป็นจะดึงตัวเองออกมาจากตัวมันที่กอดกันไว้ ปากเตรียมตัวจะเถียงว่าหัวใจผมไม่ได้เต้นแรงเพราะมันสักหน่อย แต่ทว่าอาฟกลับกอดผมไว้แน่นกว่าเก่า “ หมายถึงหัวใจกูเต้นแรงมากเลย “
“ เพราะกูเหรอ “
“ ไม่มั้ง “
“ ไอ้สัด..มึงนี่มัน “ ถอนหายใจออกมาอีกฝ่ายก็ตอบกลับ
“ อื้ม เพราะมึง.. รู้ตัวแล้วยังจะถามอีก“ หัวใจที่เต้นแรงอยู่ในอกผมปล่อยให้มันเต้นอยู่แบบนั้น แล้ววินาทีต่อมาอาฟก็แนบแก้มของตัวเองเข้ามาแนบกับแก้มของผม เรานิ่งอยู่แบบนั้นสักพัก ไม่ได้พูดอะไรอีก
น่าแปลก .. ความขุ่นเคืองใจของผมมันหายไปอย่างฉับพลันเหลือไว้แต่ความสุข และแก้มแดงๆที่กำลังเขินการกระทำที่แสนใกล้ชิดของอีกคนเสียมากมาย ผ่อนลมหายใจออกมาช้าๆมือที่ว่างของผมจับลงที่แขนของอาฟที่กอดเอวกันไว้ สมแล้วที่ยกให้เป็นคนที่อยู่ด้วยแล้วสบายใจที่สุด .. แม้จะปากหมาปากแข็งไปหน่อยก็เถอะ
แต่นั่น..ก็สมกับที่เป็นคุณอารยะเค้าละ
...................................................................................
เธอเชื่อไหม รักแท้ยังมี อยู่ตรงนี้ แค่ยื่นมือมา
อยากมีพี่อาฟเป็นของตัวเอง ในนามของความเป็นผู้หญิงคนนึง และถ้าเป็นผู้ชายก็อยากได้น้องเมดเป็นแฟน
วันนี้นั่งเพลง รักเหอะ ของ bigass เรารู้สึกสึกมันเป็นเพลงที่เหมาะกับพี่อาฟน้องเมดมากเลย
คือชีวิตตอนนี้มันไมได้ร้อยเปอร์เซ็นอะ แต่แบบ เออ ไม่ต้องกลัวอะไรหรอก เรามีกันไง เป็นความสบายใจของกันและกัน และจะทำอะไรๆเพื่อกันและกัน
อินมาก เกินเบอร์ไปเลย
ยังไงฝากแท็ก #ผับชั้นสาม ด้วยนะคะ
และนี่คือทางไปนิยายแชทจอยลดา ::
http://www.joylada.com/story/5a8bfb6e007ee30001162ca6ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์จ้า