ตอนที่ 24
ความเงียบปกคลุมไปทั้งรถความอึดอัดที่แทรกซึมเข้ามาทำให้รถคันเล็กที่เคยมีแต่ความสุขในตอนขามา หายไปหมดในตอนขากลับ ผมแอบผ่อนลมหายใจแล้วหลับตาลงช้าๆอย่างรู้สึกผิด ก็เคยคิดเอาไว้แล้วว่าสักวันแผลในใจต้องทำให้คนข้างๆเจ็บปวด และนี่คือสิ่งที่ผมกลัวมาตลอดตั้งแต่ตอบรับความสัมพันธ์กับอาฟ ‘ มันจะไม่เร็วไปหน่อยเหรอ เราเพิ่งรู้จักกันเองนะ ’ แล้วเหตุการณ์ภายในวันนี้ก็ตอกย้ำความรู้สึกนั้นให้ชัดลงไปอีกว่า บางทีรักของเรามันอาจจะเร็วไป
“ มึงยังเจ็บอยู่กับอดีตเมด กูเข้าใจ แต่กูก็เจ็บอยู่กับปัจจุบันเหมือนกัน ปัจจุบันที่กูรู้สึกว่า มึงไม่ได้มีกูอยู่ในหัวใจเลย แล้วก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่จะมี “
สีหน้าเจ็บปวดของอีกคนยังคงฉายชัดอยู่ในแววตาของผม แม้ขณะนี้มันจะมองออกไปนอกรถเพื่อขับรถไปบนถนนเส้นตรงหน้าก็ตาม
ผมมองออกไปนอกหน้าต่างรถ เอ่ยถามกับตัวเองว่า แท้จริงแล้วตัวเองกำลังเจ็บปวดอยู่กับอะไร เจ็ดปวดอยู่กับความรักที่ไม่วันหวนกลับมา เจ็บปวดกับการที่ตัวเองเคยทุ่มเทกับความเชื่ออย่างสุดตัว หรือกำลังเจ็บปวดเพราะเพิ่งมาได้รู้ว่า จริงๆ ตัวเองก็เป็นแค่คนดีคนนึง ที่น่าหมั่นไส้ในสายตาคนอื่น แถมยังน่าเบื่อและน่ารำคาญเพราะความดีนั้นก็เท่านั้น
มันก็คล้ายกับคลื่นที่ซัดเข้ามาอย่างจัง และไม่ทันได้ตั้งตัว คิดไว้แล้วว่าต้องเจ็บแน่ สำหรับการที่เราไปเจอกันวันนี้แต่ไม่คิดว่าจะเจ็บขนาดนี้ ตั้งรับไม่ทันเลยตอนเห็นสีหน้าของยีนส์ที่เอ่ยพูดออกมา อาจเพราะมันไม่ใช่แค่พูดเพื่อให้สะใจ แต่เหมือนมันเก็บ เก็บทุกความรู้สึกนั่นไว้มานานแล้วและวันนี้มันก็เลือกที่จะพูดทุกอย่างที่มันรู้สึกออกมา และก็เป็นตัวผมเองที่ตลอดมาไม่เคยได้รับรู้
‘ การที่เป็นคนดีแล้วใครสักคนจะรักเราอย่างที่สุดนั้นไม่จริง บางทีความดีนั้นมันอาจจะทำให้เรากลายเป็นคนที่น่าเบื่อ และน่ารำคาญ ทั้งในฐานะเพื่อนและแฟน เช่นกัน การที่คุณเป็นคนดีไม่ได้หมายความว่าจะไม่ถูกทำร้าย เหมือนที่ใครเคยบอกว่า การที่คุณไม่กินเนื้อเสือ นั่นไม่ได้หมายความว่า เสือมันจะไม่กินเนื้อคุณ ’ และนี่คือสิ่งที่ยีนส์พูดให้ผมฟังในวันนี้
หันไปมองหน้าคนที่อยู่ข้างกันอีกครั้ง มีคำขอโทษร้อยพันคำที่อยากจะเอ่ยบอกกับมัน ถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะไม่พูดอะไรออกมาให้มันต้องเจ็บปวดเลยสักคำ คำพูดที่เหมือนหัวใจของผมยังผูกไว้ตรงนั้น ผูกไว้กับใครสักคนตรงนั้น
มันก็จริงอยู่ที่ผมยังรู้สึกเสียใจแต่ก็ไม่ได้รู้สึกเสียดายเลยสักนิด มันก็เหมือนแค่ พอเราหวนกลับไปคิดถึงช่วงเวลานั้น ช่วงเวลาที่เรารู้สึกว่าเราดีมากๆ แต่มันกลับไม่ใช่อย่างที่เราคิด ช่วงเวลาที่คิดว่า เค้าคงรักเรามากและสักวันเค้าจะกลับมาเป็นของเราคนเดียวถ้าเราดีพอ แต่มันไม่ใช่.. ความดีที่ทำให้ด้วยรัก กลายเป็นแค่คนที่น่าเบื่อ น่ารำคาญเท่านั้น
บางทีถ้าความเสียใจถูกลบล้างได้หมดด้วยความสุขมันคงดี แต่น่าเสียหายที่มันไม่ใช่แบบนั้น ทุกความรู้สึกแยกส่วนกันและทางเดียวที่ทำให้มันหายไป ก็คือลืม .. แต่มันก็ไม่ง่ายเลย
“ แวะกินอะไรกันหน่อยมั้ย “
“ จะกินอะไร “
“ ไม่รู้เหมือนกันวะ “ หันไปยิ้มให้คนข้างๆ ผมไม่ได้รู้สึกหิวหรอกแต่ก็แค่อยากจะชวนมันคุย ไม่อยากจะให้บรรยากาศมันเงียบไปมากกว่านี้แล้ว ผมคิดว่าเราต้องคุยกันให้ชัดเจนสำหรับความรู้สึกที่กำลังรู้สึก
รถชะลอลงช้าๆ ผมหันไปมองเบื้องหน้าก่อนจะพบว่ามันคือไฟแดงที่ฉายขึ้นพอดี ตัวเลขสามหลักที่กำลังนับถอยหลัง มือหนาตั้งไว้บนเกียร์ไม่ได้ผละมันไปไหน ก่อนจะปรับขึ้นไปที่ตัวบนสุดเพื่อสั่งให้รถหยุดนิ่ง ตอนที่เห็นว่ามันผ่อนเท้าออกจากเบรค ผมเอื้อมมือไปจับมือนั้นไว้
สอดมือเข้าไปกุมมือนั้นแบบเงียบๆ ใจของผมสั่น รู้สึกผิดกับสิ่งที่เกิดขึ้นจนอยากจะร้องไห้ออกมา ในตอนที่เห็นว่ามันเจ็บปวด ‘ ทำไมต้องเอาอดีตมาทำร้ายคนที่รักกันขนาดนี้ด้วยวะเมด’ ผมผ่อนลมหายใจออกมาตอนที่บีบมือนั่นแน่นขึ้น
ตั้งแต่ที่เราเจอกัน อาฟเป็นคนที่คอยอยู่ข้างๆผมมาตลอด ต่อให้วันนั้นจะเกิดอะไรขึ้น มันจะแค่ยืนอยู่ข้างกัน เป็นคนง่ายๆที่เหมือนแค่อยากจะใช้ชีวิตอยู่กับผม ไม่ใช่คนกินยาก ไม่ใช่คนเรื่องมาก เป็นคนที่กินอะไรก็ได้ ก็คืออะไรก็ได้จริงๆ เป็นคนที่ยิ้มให้กับทุกการกระทำของผม และแคร์กันในทุกความรู้สึก แม้ว่าตัวมันจะไม่ใช่คนแบบนั้น และเพราะมันเป็นแบบนั้น ก็เลยทำให้ผมรู้สึกอยากจะรักษามันไว้ ไม่ได้ตั้งใจจะทำให้รู้สึกแย่หรอก แต่ผมเองก็ไม่ต่างจากมันเท่าไหร่ ผมเองก็ไม่รู้ว่าการรักษาให้ใครสักคนรักเราไปตลอดมันต้องทำกันยังไงเหมือนกัน
“ อาฟ กูขอโทษ “ ใบหน้าคมที่ไม่ได้หันมามองผม อาฟแค่จ้องไปยังทางข้างหน้าด้วยสีหน้าเรียบเฉย “ กูไม่ได้ตั้งใจพูดให้มึงรู้สึกไม่ดี กูแค่รู้สึกว่ายีนส์แม่งพูดถูกทั้งหมดเลย กูรู้สึกเสียใจ ทั้งที่กูพยายามขนาดนั้น แต่กลับเป็นได้แค่คนที่น่าเบื่อน่ารำคาญในสายตาของคนพวกนั้น กูขอโทษที่กูคิดถึงมันจนพูดอะไรแบบนั้นออกมา ทั้งๆที่กูไม่น่าคิดแบบนั้น ไม่น่าโง่ไปเอาคำพวกนั้นเก็บมาเสียใจ เพราะมันไม่มีอะไรจริงเลย แต่ตอนนั้นมันเหมือน กูควบคุมความรู้สึกตัวเองไม่ได้ ” ผมบีบมือมันให้แน่นขึ้น “ ขอโทษนะมึง “
“ กูไม่ได้โกรธ ไม่ต้องห่วง “ พูดเสียงเรียบมันถอนหายใจออกมา “ ถึงกูจะไม่อยากจะเข้าใจยังไง กูก็เข้าใจมันอยู่ บางทีกูก็ผิดเองที่เข้ามาหามึงเร็วเกินไป “
“ อาฟ..”
“ เลิกพูดเรื่องเหี้ยนี้เถอะ มึงอยากจะแดกอะไรก็ว่ามา “ อาฟบอกปัดเหมือนไม่อยากจะใส่ใจกับเรื่องนั้นแล้ว ผมได้แต่ถอนหายใจ ก็พอรู้ว่าตอนนี้อารมณ์มันไม่ได้อยู่ในช่วงเวลาเจรจาปรับความเข้าใจ แต่ผมก็ไม่อยากจะปล่อยให้เราโกรธกันไปแบบนี้
“ พูดเรื่องนี้ก่อน กูอยากพูดให้รู้เรื่อง ไม่อยากให้เรารู้สึกไม่ดีต่อกัน “ ผมอธิบาย “ ทำไมเราไม่เคลียร์ให้มันจบๆไปเลยวะ ทำไมต้องพักไว้ก่อน ถ้าต้องทะเลาะกันก็ทะเลาะกันให้จบๆไปเลยไม่ดีกว่าเหรอมึง จะได้ไม่เอาไปติดค้างในอนาคตไง ถ้าดีกันแบบยังมีอะไรค้างคา มึงไม่เข้าใจกู กูไม่เข้าใจมึง เดี๋ยวเราก็ต้องเอามาทะเลาะกันในอนาคตอีกหรอก กูไม่อยากจะทะเลาะกับมึงนะอาฟ มึงไม่อยากให้เรามีความสุขด้วยกันทุกวันรึไง “
“ แล้วมึงจะให้กูพูดอะไร “ อาฟหันมามองผม มันถอนหายใจ “ มึงทำเหมือนว่าถ้าพูดออกไป เราเคลียร์กันแล้ว มึงจะเลิกคิดถึงมัน เลิกเจ็บเพราะมัน ก็ไม่ใช่เปล่าวะ สุดท้ายมันก็มีแค่กูที่ต้องเข้าใจว่ามึงยังต้องคิดถึงมัน ยังเจ็บปวดกับมัน เพราะเพิ่งเลิกกับมันได้ไม่นาน แล้วแบบนั้นมึงจะให้กูเคลียร์อะไรวะ คือมันไม่มีอะไรให้เคลียร์ไงเมด มันมีแค่ต้องเข้าใจ กูที่ต้องเข้าใจ แล้วมึงละเข้าใจกูมั้ย “
“ เข้าใจ “
“ เข้าใจว่า “
“ เข้าใจว่าไม่มีใครอยากให้แฟนตัวเองคิดถึงแฟนเก่า ใครๆก็อยากจะเป็นคนเดียวของแฟนทั้งนั้น “ อีกคนถอนหายใจออกมาตอนที่ผมพูดแบบนั้น อาฟหันออกไปมองนอกรถอีกครั้ง “ ขอโทษนะมึง ที่กูยังเป็นอะไรแบบนั้นให้มึงไม่ได้ “
ทุกอย่างมันคือสิ่งที่เราต้องยอมรับ ผมต้องยอมรับว่าตัวเองยังเจ็บปวด แล้วอาฟก็ต้องยอมรับว่าตัวเองต้องเจ็บปวด ราวกับเป็นเรื่องที่ช่วยไม่ได้ เหมือนไม่ว่ายังไงก็ต้องเสียใจกับเรื่องนี้อยู่ดี
ผมก้มหน้าลงทุกอย่างมันจุกอยู่ในอก ไม่อยากจะทำให้อีกคนเสียใจเลย ไม่อยากจะให้อาฟที่ไม่ผิดอะไรต้องมาเสียใจกับเรื่องในอดีตของผม แต่ผมที่ยังเจ็บแบบนี้ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเมื่อไหร่จะหาย
อยากหายเร็วๆเหมือนกัน อยากลืมทุกอย่างเหมือนกัน เหนื่อยกับการเจ็บปวดเหมือนกัน เลือกได้ก็อยากจะรักมันคนเดียวเหมือนกัน แต่เพราะมันเร่งรัดไม่ได้ ทุกอย่างต้องใช้เวลา
“ กินชาบูแล้วกัน “ อาฟพูดขึ้นท่ามกลางความเงียบนั้น ผมสบสายตาของมันก่อนจะพูดความต้องการของตัวเองอีกครั้ง
“ อาฟ กูอยากคุยเรื่องนี้ให้มันจบๆไป จริงๆนะ ไม่อยากให้เราค้างคาเลย “
“ มันจบไม่ได้หรอกเมด ถ้ามึงยังคิดถึงไอ้เชี้ยนั่นอยู่ ทุกอย่างมันจบไม่ได้ “ เสียงที่เถียงกลับมา อาฟถอนหายใจออกมาก่อนจะหลับตาลง แล้วหันมามองผมอีกครั้งก่อนจะเอื้อมมือตัวเองมาลูบหัวกันเบาๆ “ เชื่อเถอะว่ากูเข้าใจจริงๆ ว่ามึงมีสิทธิ์ที่จะคิดถึงรักครั้งเก่าของมึง และยังเสียใจกับเรื่องพวกนั้น มึงเพิ่งเลิกกับมันมาเพิ่งผ่านช่วงเวลาเหี้ยๆพวกนั้นมา เวลาผ่านไปไม่นานจะให้มึงลืมทั้งหมด กูเข้าใจว่ามันเป็นไปไม่ได้ แต่เมด มึงก็ต้องเข้าใจด้วยว่ากูเองก็มีสิทธิ์เสียใจ แล้วกูก็มีสิทธิ์รู้สึกแย่ ก็เหมือนที่มึงบอกว่ามึงเข้าใจกู “
“ อื้ม “
“ กูไม่ได้ใจดี ไม่ได้รู้สึกว่าไม่เป็นไร สบายๆ ในตอนที่มึงกำลังเสียใจ เสียงของมึงตอนที่พูดถึงมัน กูรู้สึกว่าเหมือนมึงกำลังเสียดายมันเลยต้องนึกถึงมันตลอด “
“ กูไม่เคยเสียดายมันนะ “ ผมเถียงมันกลับ “ กูแค่รู้สึกว่าทั้งๆที่กูทำดีขนาดนั้น ทุ่มเทขนาดนั้น แต่ทำไมมันถึงออกมาเป็นแบบนี้ กูไม่ได้เสียดายมัน มันเหมือนทั้งๆที่ตอนนั้นกูรักมันมากขนาดนั้น รักมากจนทำให้ได้ทุกอย่างแต่สุดท้ายกูเป็นแค่คนน่าเบื่อคนนึง แล้วกูก็ไม่คิดว่ากูจะมาได้ยินอะไรแบบนั้น ไม่คิดว่าเพื่อนที่กูไว้ใจจะเกลียดกูมาตลอด ทั้งๆที่กูคิดมาตลอดว่า มันดีแล้ว”
“ มึงดีแล้ว “ อาฟย้ำบอกผม “ สำหรับคนอย่างพวกมัน มึงดีเกินไปด้วยซ้ำ อย่าให้พวกมันจูงจมูกมึงง่ายๆ อย่าให้พวกมันโยนความผิดให้มึง มึงไม่ได้ผิด เพราะต่อให้มึงน่าเบื่อน่ารำคาญยังไง มันก็ไม่สิทธิ์นอกใจมึงไปเอาเพื่อนมึง แล้วเพื่อนมึงก็ไม่มีสิทธิ์จะแอบนอนกับแฟนมึง ถ้ามันเบื่อ มันรำคาญ มันแค่ต้องเลิกกับมึง ไม่ใช่มาทำเหี้ยกับมึงแบบนี้ “
“ อื้ม “ ผมพยักหน้ารับ ก็จริงของอาฟ ผมอ่อนไหวเกินไป อ่อนไหวไปกับคำพูดพวกนั้น ทุกอย่างมันเลยเป็นแบบนี้ “ แล้วเราจะทำยังไงกันดี กูไม่อยากจะให้มึงอยู่ในความรู้สึกแบบนี้เลย กูไม่อยากจะให้มึงเสียใจ “
“ ไม่เห็นยาก “ อาฟบอกผมมันยกยิ้ม “ มึงเลิกคิดถึงไอ้เชี้ยบินเมื่อไหร่ กูก็เลิกเสียใจเมื่อนั้นแหละ ” คำที่เอ่ยออกมาตรงๆนั้นทำให้ผมนิ่ง มันเป็นความจริงที่เถียงออกไปไม่ได้เลย จริงอย่างที่อีกคนบอกผมไม่มีข้อโต้แย้งอะไรทั้งนั้น
“ งั้นก็..รอหน่อยนะมึง “ ผมพูดได้แค่นั้น บอกไม่ได้ด้วยว่าเมื่อไหร่ แต่สัญญาว่าสักวันมันจะมาถึง วันที่ผมจะไม่คิดถึงใครคนอื่นเลยยกเว้นมัน
“ ก็รอมาตลอด “ คำตอบสั้นๆที่เอ่ยออกมา แววตาที่มองสบกันของเรา อาฟนิ่งไปสักพักก่อนจะหันกลับไปมองสัญญาณไฟจราจรข้างหน้าที่ตอนนี้ขึ้นเป็นสีเขียวแล้ว
น่าแปลกที่ผมรู้สึกว่า คำพูดของมันไม่ได้หมายถึงแค่ว่า มันรอผมเลิกรู้สึกเจ็บกับอดีตอยู่ แต่เหมือนมันกับรอมานานแล้ว นานกว่าที่ผมรู้
.........................................................
ขับรถมาที่ผับเราไม่ได้แวะกินอะไรทั้งนั้นเหมือนอย่างปกติ แม้แต่ชาบูที่อีกฝ่ายบอกว่าอยากจะกิน สุดท้ายก็ไม่ได้กินเพราะหลังจากนั้นกลับไม่มีใครพูดอะไรออกมาสักคำ ผมที่ได้แต่นั่งนิ่งอยู่ในรถ อาฟเองก็ขับรถตรงมาที่ผับอย่างเดียว บรรยากาศอึมครึมในตอนนั้น เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าการนั่งรถจากมหาลัยตัวเองไปถึงผับใช้เวลานานกว่าทุกวัน
“ วันนี้มากันเร็วจังวะ “ เสียงของน้องเดย์ที่เอ่ยทักเราจากส่วนของบาร์ “ ยังไม่ได้กินอะไรกันมาแน่ๆ “ ผมยิ้มให้น้องที่ก็มองผมสลับกับคนเป็นพี่ชายตัวเอง “ ทะเลาะกันมาเหรอวะ “ อาฟไม่ได้ตอบอะไร มันแค่เดินขึ้นไปที่ห้องตรงชั้นสามแบบเงียบๆ ผมที่ก็ได้แต่มองตามเผลอถอนหายใจออกมากับท่าทีนั่นของมัน
“ โกรธอยู่แท้ๆ แล้วก็บอกว่าไม่โกรธนะไอ้สัด “ บ่นออกมาเบาๆกับตัวเอง แต่ก็ทำได้แค่นั้น ความจริงก็เป็นผมเองที่ผิด ก็ถ้าไม่เผลอพูดเรื่องนั้นออกไปด้วยอารมณ์อีกฝ่ายก็คงไม่ต้องรู้สึกแย่ ทั้งๆที่ก่อนหน้านั้น อาฟมันก็ปกป้องผมจากไอ้ยีนส์ด้วยซ้ำ แต่เหมือนว่าผมจะไม่ได้ใส่ใจอะไรมันเลยสักนิดเดียว มัวแต่เสียใจกับเรื่องเก่าๆอยู่อย่างงั้น
“ นี่โกรธกันเหรอพี่สะใภ้ “ น้องเดย์ถามผมที่ก็ชะงักไปนิดหน่อยกับสรรพนามตัวที่ถูกเปลี่ยนไปตั้งแต่วันที่คบกับไอ้อาฟ
เอาเข้าจริงด้วยเหตุผลนี้แหละที่ทำให้ผมไม่อยากลงมาชั้นหนึ่งเลย ทุกครั้งที่มาก็เลยพุ่งตรงขึ้นชั้นสามอย่างเดียวอยากจะสั่งงานอะไรกับใครก็ไลน์กรุ๊ปสต๊าฟเอา ทำใจไม่ได้จริงๆกับคำว่า ‘ พี่สะใภ้ ’ แล้วฝืนใจให้ชินไม่ได้ด้วย
“ อย่าเรียกแบบนั้นสิวะน้องเดย์ “ ผมบอกน้องอีกคนก็หัวเราะขำ ถอนหายใจเดินเข้าไปใกล้ที่บาร์เซ็งๆ น้องอัยย์ที่กำลังเช็คแก้วก็พูดขึ้น
“ ตกลงซ้อทะเลาะกับเฮียเหรอ “ นี่ก็อีกคน ผมถอนหายใจออกมาแรงๆ กับความช่างแกล้งของคนในบาร์ ที่ถ้าทำได้ก็อยากจะเอื้อมมือไปบีบคอให้หยุดพูดแบบรู้แล้วรู้รอด แต่เสียดายที่มีเค้าเตอร์กั้นกลางอยู่แบบนั้นเลยทำได้แต่ทำหน้าดุส่งไปอย่างงั้น “ โอ๋ๆ เก๊าสองคนก็ล้อเล่น อย่าตะบบเค้าน้า “
“ ตะบบอะไร ไม่ใช่แมวสักหน่อย “
“ เหมือนอยู่นะแต่ว่า ไหนร้องสิ เมี๊ยว “ น้องเดย์เอียงหัวแซวผมก็ได้แต่ถอนหายใจแล้วบ่นเบาๆ
“ ไม่เห็นตลกเลย “
“ ทะเลาะกันหนักแน่ๆ “
“ อาฟบอกไม่โกรธนะ อาฟบอกเข้าใจ แต่อาฟไม่คุยอะไรกับพี่เมดเลยสักคำเดียวหลังพูดเสร็จ “ ยกยิ้มแห้งๆให้น้องก่อนนั่งลงที่เก้าอี้ตัวที่ตั้งอยู่ข้างหน้า
“ ปากไม่ตรงกับใจไง “ น้องอัยย์บอกก่อนจะยักคิ้วให้ “ เค้าฟอร์ม เพราะอยากให้พี่เมดง้อเปล่า “
“ แล้วจะง้อยังไงอะ “
“ เรื่องนี้ต้องถามพี่เจ พี่เจเชี่ยวชาญ เรียกได้ว่า เป็นปรมาจารย์เลยก็ว่าได้สำหรับการรับมือสัดพี่ “ เดย์บอกก่อนจะยักคิ้วให้ผมที่ก็ยิ้มก่อนจะหันไปมองรอบๆ แต่กลับไม่เห็นคนที่อยากจะคุยด้วย
“ แล้วนี่เจไปไหน “
“ วันนี้พี่เจหยุดอะพี่เมด “
“ อ้าว “ เผอลสบถออกมาเซ็งๆ แต่เหมือนน้องสองคนจะแค่หัวเราะกับท่าทางนั้น
“ เป็นเหมือนกันหมดเลยจริงๆ “ น้องอัยย์ว่าก่อนจะเหลือบมองผมที่ก็จ้องมองหน้าอยู่ สายตาของผมคงมีคำถามสำหรับคำพูดนั้นที่น้องพูด “ หมายถึงว่าสาวๆของเฮียทุกคน หรือไม่ว่าใครเวลามีปัญหาอะไรกับเฮียก็ชอบมาปรึกษาพี่เจทั้งนั้น ขนาดพี่ซองผู้จัดการร้านจะคุยกับเฮียทีนึงยังมาปรึกษาพี่เจเลยว่าต้องพูดขึ้นต้นว่าอะไร “
“ แต่สัดพี่นี่ก็ปรมาจารย์เหมือนกัน “ น้องเดย์เสริม “ แต่เป็นด้านของความน่ากลัวน่ะ ฮ่าๆ “
“ จริงๆ อาฟก็ไม่ใช่คนน่ากลัวสักหน่อย มันก็แค่ไม่ยิ้มก็เท่านั้น “
“ นั่นมันในมุมมองของแฟนอย่างพี่เมด ของน้องอย่างเราสองคน แล้วก็ของเพื่อนอย่างไอ้พี่เจ แต่ไม่ใช่ในมุมมองของคนอื่นไง สัดพี่ไม่ว่ายังมันก็น่ากลัวสำหรับคนอื่นอยู่ดีอะ “
“ เพราะเวลาเฮียไม่ยิ้ม เฮียหน้าดุม๊ากกก เหมือนพร้อมต่อยตลอดเวลา “ อัยย์เสริมเพื่อนตัวเองที่ก็พยักหน้ารับ แต่ผมกลับมีเรื่องนึงที่ยังสงสัยอยู่
“ แล้วที่บอกว่า สาวๆชอบมาปรึกษาพี่เจด้วยละ “
“ หึงอ๋อออออออ “ น้องเดย์แซวผมก็เบิกตาพลางยกมือขึ้นปฎิเสธแบบที่ชอบทำ แต่นั่นแหละมันคงเป็นท่าทางที่เชื่อไม่ได้เท่าไหร่
“ ไม่ใช่สักหน่อย “
“ โกหกไม่เนียนไปเรียนใหม่นะจ้า “
“ คนผับนี้ขี้แกล้งวะ “ ผมบ่นกับน้องสองคนที่ก็หัวเราะขึ้นมา
“ อะ โอ๋ๆ ล้อเล่นครับ “
จะว่าไปคนเราก็มีอดีตกันทั้งนั้น แต่มันอยู่ที่ว่าอดีตนั้นอยู่ในรูปแบบไหนของหัวใจก็เท่านั้น อาฟอาจจะมีเรื่องผู้หญิงเยอะ แต่ตอนนี้มันไม่มี เหมือนกับว่ามันไม่มีใครที่ตัวมันผูกพันเลยในอดีต ดูเหมือนไม่มีอะไร แต่ถ้าคิดอีกแง่คือ เพราะมันไม่เคยจริงจังกับใครมาก่อน แล้วการที่เรามาคบกัน อีกคนจะจริงจังด้วยมากแค่ไหน
“ ถามอะไรหน่อยสิ อาฟเคยมีแฟนแบบคบกันจริงจังมั้ย “ เอ่ยถามสิ่งที่อยากจะรู้ออกไป สองคนตรงหน้าก็ทำท่าคิดก่อนที่น้องเดย์จะตอบ
“ ก็มีอยู่นะ จำได้ว่าเดือนนึงที่คบกัน “
“ ไม่มีไม่ใช่เหรอวะ “ น้องอัยย์ว่าขัด “ คนนั้นก็แบบวันไนท์แต่เค้าจะจับเฮียเลยตามมาวอแวจะเป็นตัวจริงอยู่พักใหญ่ “
“ เหรอวะ “
“ เออ เฮียมันไม่เคยจริงจังกับใครสักหน่อย ถึงมีแต่สุดท้ายก็ไม่ค่อยรอดอะ มึงถามกูนี่ กูคือคนที่ยืนเสิร์ฟเหล้าให้พี่เจตอนผู้หญิงพวกนั้นมาคุยเรื่องเฮียให้ฟังบ่อยๆ “
“ ไม่เคยจริงจังกับใครสินะ “ ผมพูดออกมาเบาๆ
“ มันก็แค่ไม่มีคนถูกใจอะพี่เมด “ เดย์บอก “ แบบว่าสัดพี่มันเป็นพวกไม่ชอบให้ใครมาผูกมัด ไม่ชอบให้ใครมาวอแว ไอ้พวกที่ต้องไปรับไปส่งกินข้าวกันทุกวัน เทคแคร์กัน ส่งข้อความหากันบ่อยๆ คือมันไม่ชอบอะไรแบบนั้น ก็เลยชอบคบแบบวันไนท์มากกว่า แต่ว่าตอนนั้นคงเพราะไม่เจอคนที่ถูกใจด้วยแหละ “
“ อย่างงั้น “ ผมพยักหน้ารับก่อนจะยิ้มแห้งให้น้อง ไม่รู้ทำไมแต่กลับรู้สึกว่า อาฟเตอร์ อารยะ ที่ผมรู้จักจะไม่ได้เป็นเหมือนที่เด็กสองคนตรงหน้าพูดเลยสักนิด
ก็ตั้งแต่ที่เรารู้จักกันมา อาฟเป็นคนไปรับไปส่งผมตลอด ต่อให้บอกว่าไม่ต้องยังไงมันก็ยังยืนยันว่าจะไปส่ง เรื่องกินข้าวก็ดูจะเป็นฝ่ายมันอีกนั่นแหละ ที่คอยแต่ชวนผมไปกินนู้นกินนี่ แต่ก็แค่ให้ผมเลือกว่าตัวผมจะกินอะไร ส่วนเรื่องส่งข้อความอันนี้พอเห็นด้วยอยู่ว่ามันเป็นคนที่ไม่ค่อยส่งข้อความจริงๆ แต่นั่นก็เพราะว่าส่วนใหญ่เราก็อยู่ด้วยกัน เลยไม่รู้จะส่งหากันทำไม ก็คุยด้วยกันต่อหน้าดีกว่า
“ ซ้อกำลังคิดว่าทำไมเฮียไม่เห็นเป็นแบบนั้นเลย “
“ ก็นะ “ ผมบอกยิ้มๆก่อนจะหุบยิ้มลงตอนที่ได้สติว่าอีกคนเรียกว่าอะไร “ ก็บอกว่าอย่าเรียกซ้อไงว่ะ ไอ้เด็กนี่ “
“ ฮ่าๆ “ น้องอัยย์หัวเราะ ก่อนที่น้องเดย์จะพูดขึ้นด้วยเสียงเรียบๆ มือที่เช็ดแก้วไปทำเหมือนไม่สนใจแต่ก็มองกันเป็นระยะ
“ ที่สัดพี่มันดูไม่เหมือนตัวเอง นั่นก็เพราะว่ามันอยู่กับพี่เมดไง “
“ ยังไง “
“ พี่เมดก็แค่เป็นคนที่มันอยากอยู่ด้วย คำถามที่ว่าทำไมมันถึงไม่เหมือนอย่างที่น้องเดย์เล่า คำตอบมันก็มีอยู่แค่นั้น เพราะนั่นคือพี่เมดไง “
“ ฮั่นน้ออออออออ “ อัยย์เอ่ยแซวผมที่ก็เม้มริมฝีปากไว้จนหน้าแดง
“ งานนี้สัดพี่ต้องให้โบนัสกู กูต้องไม่พลาด “ น้องเดย์ว่าขำก่อนจะกำมือแน่นแบบมุ่งมั่น “ ฮ่าๆ “
“ อย่าที่ใครเค้าบอกไว้จริงๆ ที่ว่า วันนึงเราจะได้เจอคนที่มาฉีกกฎทุกข้อของเรา คนที่อยู่เหนือเหตุผลทุกอย่าง แต่เรากลับรู้สึกว่ารักเค้ามาก อย่างไม่เคยเป็น “
“ คนที่มาฉีกกฎทุกข้อของเราเหรอ “ ผมถามน้องอัยย์ที่กำลังยักคิ้วให้ก็อธิบายต่อ
“ ก็เหมือนกับว่าเฮียไม่ชอบไปรับไปส่งใคร ไม่ชอบต้องคอยเทคแคร์ใคร แต่ตอนนี้ทุกอย่างที่เคยไม่ชอบ เฮียทำให้พี่เมด นั่นก็เพราะว่า พี่เมดคือคนที่เฮียอยากทำให้ พี่เมดคือคนที่มาฉีกกฎทุกข้อของเฮียไง “
“ แล้วพี่เมดละ “ เดย์ถามผมบ้าง “ สัดพี่มันฉีกกฎข้อไหนของพี่เมดบ้างยัง “
เงียบไปกับคำถามนั้น จะว่าไปมันก็มีอยู่บ้างละมั้ง
ผมไม่ชอบคนปากหมา ไม่ชอบคนกวนตีน ไม่ชอบคนที่พอถามอะไรก็เอาแต่บอกว่า เสือก แล้วพอเวลาเขินก็ตัดบทด้วยคำว่า รำคาญ แต่ดูเหมือนว่าตอนนี้สิ่งที่ไม่ชอบทั้งหมด มันดันรวมอยู่ในตัวของคนคนเดียว แล้วนั่นก็คือ อาฟ และน่าแปลกที่ว่า พอเป็นอาฟทุกอย่างที่เคยคิดว่าไม่ชอบ ตอนนี้กลับรู้สึกแค่ว่าก็ไม่เห็นว่ามันจะเป็นอะไร
ถ้ามันจริงอย่างที่น้องอัยย์บอกว่า คนเราจะมีใครบางคนที่เข้ามาฉีกกฎทุกข้อของชีวิต สำหรับผม ตอนนี้ก็คงเป็นอาฟ
“ จะว่าไปก็รู้สึกอยู่นิดหน่อยนะ “
“ สัดพี่น่ะไม่เคยจริงจังกับใครเลยนะพี่เมด “ น้องเดย์พูดเสียงเรียบก่อนจะหันมายิ้มให้ผม แววตาของเด็กขี้เล่นที่ชอบแซวกันหายไปเหลือไว้แค่ผู้ชายคนนึงที่เป็นน้องชายของแฟนผม “ พูดไปก็เหมือนกดดัน แต่พี่เมดน่ะ เป็นคนแรกเลยนะพี่สัดพี่มันจริงจังด้วย พี่เมดเป็นเหมือนโลกใบใหม่ของสัดพี่เลย สัดพี่ดูมีความสุขขึ้นมาตั้งแต่เจอพี่เมด จริงๆนะ “
“ รักพี่ชายเหมือนกันนี่น่า เป็นห่วงพี่อาฟเหรอน้องเดย์ “ ผมแซวอีกคนที่ก็เปลี่ยนสีหน้าทันที
“ พูดอะไรแบบนั้น น้องเดย์แค่พูดเรื่องที่น้องเดย์รู้สึกเว้ย แล้วก็ ไม่ใช่น้องเดย์แค่คนเดียวนะ ทุกคนก็รู้สึก ไอ้อัยย์ พี่เจอะไรแบบนี้ก็รู้สึกอะ “ ผมเผลอยิ้มก่อนจะพยักหน้ารับกับคนที่เถียงออกมาแบบพัลวัน “ น้องเดย์นี่อะนะจะรักสัดพี่ พี่เมดเอาอะไรมาพูด ไม่เลยยยยยยยย โหหห ใครจะรักมันลงชอบใช้น้องเดย์จะตาย เดย์เอารถกูไปซ่อม เดย์ไปลงเหล้า เดย์กลับบ้านไปรับแม่ไปทำเล็บแทนกู เดย์นั่น เดย์นู้น เดย์นี่ ไม่รู้เกิดเป็นน้องหรือเกิดเป็นทาสอะเอาจริง “
“ รู้สึกเหมือนมีคนเขินวะน้องอัยย์ “
“ ฮ่าๆ “ คนที่ถามหัวเราะออกมาก่อนจะยักไหล่ “ มันฟอร์มเยอะ “
“ แต่น้องเดย์ พี่เมดก็จริงจังกับพี่อาฟนะ ไม่เคยคิดเลยสักครั้งว่าจะคบกับพี่อาฟเล่นๆ แค่ตอนนี้มัน.. “ ผมเว้นเสียงไปก่อนจถอนหายใจออกมา “ เรียกว่าไงดี ไม่รู้จะทำยังไงกับเรื่องที่เกิดขึ้นดีก็เท่านั้น พี่เมดอยากจะให้มันมีทางออกสำหรับเราสองคน ถึงอาฟบอกว่ามันไม่มีก็ตามเถอะ “