ตอนที่ 20
[ วิว คืนนี้พี่ไม่กลับคอนโดนะ นอนคอนโดพี่อาฟ ]
[ แล้วก็นะ.. คือ...พี่เป็นแฟนพี่อาฟแล้วนะ ]
ผมส่งข้อความเข้าไปหาน้องชายตัวเอง ก่อนจะถอนหายใจเอาความรู้สึกสับสนออกมา โดยที่ไม่รู้เหมือนกันว่า ที่ตัวเองกำลังรู้สึกสับสน ใบหน้าแดงกล่ำคล้ายจะเป็นไข้ หัวใจเต้นเร็ว แต่บางทีก็ว่างเปล่าราวกลับมันกลวงโบ๋อยู่ในขณะนี้ มันเป็นเพราะอะไร
ผมนอนฟุบลงกับหน้าโต๊ะเครื่องแป้งว่างเปล่าที่ไม่มีอะไรภายในคอนโดของคนที่ได้ชื่อว่าเป็นแฟนกันหมาดๆ
[ กูดูใจง่ายเกินไปเปล่าวะ ] จับมือถือส่งข้อความไปน้องชายตัวเองที่ตอนนี้ก็คงนอนหลับสนิทอยู่กับฝันดี เพราะตอนนี้มันก็ยังคงเป็นเพียงแค่เวลาตีสี่ก็เท่านั้น [ แต่ว่าตอนนั้นมันก็พูดได้แค่ประโยคนั้นจริงๆอะมึง เหมือนใจกูมันอยากให้ตอบแบบนั้น ไม่มีคำตอบอื่นให้เลือกเลย ]
“ ความรักสำหรับมึงคืออะไรวะ สำหรับกูความรักไม่ใช่เรื่องรูปร่างภายนอก แต่มันคือการที่กูจะยอมใส่เสื้อตัวใหญ่เพื่อให้ตัวเองดูตัวใหญ่เท่าๆกับมึง ถ้ามึงซีเรียสเรื่องรูปร่างเวลาเดินกับกู และมันก็คือการที่กูจะยอมใส่รองเท้าผ้าใบที่มันมีส้นหนาๆไปตลอดเพื่อให้สูงได้เท่ามึงถ้ามึงอยากได้แฟนที่สูงเท่ามึง “
ผมไม่ใช่คนยึดติดกับเรื่องรูปลักษณ์หน้าตาอะไรนั่นหรอก แต่ที่ถามอีกคนไปแบบนั้นเพราะกลัวว่าจะเป็นมันมากกว่าที่แคร์เรื่องอะไรแบบนั้น ส่วนตัวจริงๆก็แค่รู้สึกว่า ตัวเองอยู่ไกลจากสิ่งที่อีกชอบมันก็เท่านั้น
อาฟเป็นคนดังคนนึง มันเป็นที่รู้จักในเหล่าพวกคนเข้าผับเข้าบาร์ ดูจากสาวๆที่เอ่ยทักมันก็พอจะรู้ได้ว่ามันก็ค่อนข้างดังแค่ไหน อีกอย่างทุกคนที่เข้ามาหาคนแบบอาฟก็สำรวจตัวเองมาแล้วทั้งนั้นก่อนที่จะกล้าเข้ามาหา ถึงมันจะไม่ใช่หนุ่มรูปร่างมาดแมนแบบอกผายไหล่ผึ่งแต่ว่า มันก็จัดเป็นคนที่หล่อเหลาคนนึง เป็นคนหล่อที่เหมาะกับสาวตัวเล็กๆที่เตี้ยกว่ามันสักหน่อย พวกคนน่ารักที่ช่างพูด ช่างเอาใจ ซึ่งแน่นอน ว่ามันต่างจากผมที่ไม่ใช่อะไรแบบนั้นเลย
ตอนที่ถูกอีกคนจูงขึ้นไปที่ชั้นสาม ตอนที่ยืนอยู่ริมระเบียงด้วยกัน ผมรู้อยู่แล้วว่าอีกฝ่ายจะพูดอะไร ตัวเองไม่ใช่คนไร้เดียงสาขนาดนั้นที่จะเอ่ยออกไปว่าไม่รู้ เพราะตอนนั้นก็เตรียมคำตอบไว้เป็นอย่างดี ‘ ขอดูกันไปก่อนได้มั้ย อย่าเพิ่งรีบร้อนเป็นแฟนเลย เรามาทำความรู้จักกันมากกว่านี้ก่อน บางทีมึงอาจจะมีอะไรที่ไม่ชอบในตัวกูก็ได้นะ ’
แต่เหมือนจะทำได้แค่คิด เพราะพอเอาเข้าจริงแล้วทุกอย่างมันเหนือการควบคุมของสมองไปหมด ราวกับว่าตอนนั้นหัวใจของผมเป็นคนสั่งการทุกอย่าง ความรู้สึกควรหรือไม่ควรถูกโยนทิ้งไปไหนก็ไม่ทราบได้ ผมก้าวลงเรือที่เคยคิดว่าจะไม่ขอลงไปอีกถ้ายังไม่มั่นใจว่าคนคนนี้ใช่จริงๆ
ผมถามตัวเองนะ ในวินาทีนึง ‘ ทำไมถึงเป็นแบบนี้ ทำไมทุกอย่างมันพังจากที่ตั้งใจไว้ขนาดนั้น ’ แต่พอได้ลองคิดถึงคนที่ยืนข้างหน้า ช่วงเวลาที่แววตานั้นจ้องมองมา ผมที่สบสายตาคู่นั้น ความรักมันอาจจะน่ากลัวก็จริงอยู่ ความเจ็บปวดมันทรมานนั่นก็คงใช่ แต่ใจกลับตะโกนออกมาอย่างสุดเสียงว่า ‘ ไม่ต้องกลัว’ เหมือนว่า ถ้าเป็นคนตรงหน้า ถ้าเป็นอาฟแล้วละก็…อยากจะลองมันอีกสักครั้ง
‘ ไม่เห็นมีอะไรต้องกลัวเลย อยากรักก็แค่รัก เอื้อมมือแล้วคว้ามันไว้สิ ไม่มีอะไรทำให้เราเจ็บได้เท่ารักครั้งแรกหรอก เคยเจ็บมาสุดๆแล้วนี่ จะกลัวอะไรกับอีแค่จะอกหักอีกครั้งละ ไปเลยเมด อยากรักก็แค่คว้ามันไว้ ‘
เดิมทีผมไม่ใช่คนมั่นใจอะไรแบบนี้ ออกจะขี้คลาดด้วยซ้ำไป แต่ในวินาทีนั้นผมเลือกคว้ามันไว้ สำหรับความรักครั้งใหม่ที่ไม่รู้เรื่องว่าปลายทางจะเป็นยังไง
..........................................
ก๊อก ก๊อก ก๊อก
ผมดึงตัวเองขึ้นจากโต๊ะเครื่องแป้งวางมือถือลงบนโต๊ะก่อนจะหันไปมองประตูที่ปิดสนิท เม้มริมฝีปากตัวเองแน่นตอนที่กำลังจะเอ่ยถามออกมาไป แต่อีกฝั่งนึงของประตู เสียงทุ้มกลับถามมาก่อน
“ ตายรึยัง “
“ ไอ้สัด “ สถบออกมาเบาๆก่อนจะถอนหายใจ กูจะหมดความเขินเพราะความพูดคำจาของมึงนั่นแหละไอ้เหี้ยอาฟ “ ยังเว้ย “
“ นานชิบหายกูจะอาบน้ำต่อ มึงเข้าไปขัดห้องน้ำรึไง “
“ งั้นมึงเข้ามาอาบก่อน “ บอกแบบนั้นอีกคนก็เปิดประตูเลื่อนเข้ามา อาฟเลิกคิ้วตัวเองขึ้นมองผมที่ยังคงใส่ชุดเดิมที่กลับมาจากผับไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอะไร ผมหันกลับมามองมือถือของตัวเองทำเป็นไม่ใส่ใจทั้งๆที่แก้มก็ร้อนไปหมด
“ นี่มึงยังไม่อาบน้ำ “
“ ขี้เกียจ “ โกหกอีกคนไป แน่นอนว่าใครจะพูดความจริงออกไปวะ
ความจริงที่เขินจนไม่รู้จะเริ่มต้นทำอะไรไม่กล้าเจอหน้าไม่กล้าสบตา คิดแค่ว่าถ้าอาบน้ำเสร็จเร็วออกไปก็ต้องเจอมึง พอมึงอาบน้ำเสร็จก็ต้องมานอนเตียงเดียวกันอีก พอคิดแค่นั้นกูก็แทบอยากจะหยุดความคิดทุกอย่างไว้ตรงนั้น แค่นั่งรถกลับมาด้วยกันก็เขินจนใบ้แดกแล้ว นี่ต้องนอนเตียงเดียวกันอีก ทั้งคืนนี้ยังคิดเลยว่าจะหลับลงมั้ย และความจริงอะไรแบบนั้นกลืนลงท้องไปได้เลย ยังไงก็ไม่มีทางพูดให้มันรู้แน่นอนว่าผมคิดอะไร
ฟุบลงบนโต๊ะเครื่องแป้งอีกครั้ง ไม่ได้สนใจอีกคนที่เดินเข้ามาใกล้ อาฟที่เอื้อมมือมาจับหน้าผากของผมที่ชะงักนิ่งไป ก่อนจะดึงตัวเองขึ้นมานั่งแล้วหันไปบอกมันตอนที่ตั้งสติได้ “ กูไม่ได้ป่วย กูแค่ขี้เกียจ “
“ ก็แค่จับๆไปงั้น ไม่ได้เป็นห่วง “ ข้ออ้างที่ดูสิ้นคิดของคนที่เอาแต่ทำหน้าตายแต่หูกลับแดงจัด เหลือบมองมันก่อนจะพยักหน้ารับ ก็ถ้าคิดว่าข้ออ้างนั่นจะทำให้กูเชื่อก็ตามใจมึงก็แล้วกัน
“ เอาที่คุณอาฟสบายใจเถอะครับ “
“ กวนตีน .. แล้วพรุ่งนี้มีเรียนรึเปล่า “ คำถามที่ทำให้ผมนิ่งไป ไม่อยากจะบอกด้วยซ้ำว่าตัวผมเหมือนจะลืมไปแล้วด้วยซ้ำว่าตัวเองยังคงดำรงสถานะของการเป็นนักศึกษาอยู่ พลิกมือถือในมือขึ้นมาดู วันเวลาที่บอกอยู่ตรงหน้าจอทำให้ผมต้องเบิกตาขึ้นแล้วค้นดูเพื่อความแน่ใจว่า ไมได้มองผิดแต่อย่างใด และใช่ ไม่ผิดแน่ๆ พรุ่งนี้ผมมีเรียนแล้วต้องเข้าให้ทันแปดโมงเช้า
“ มึง “ เงยหน้าเรียกอีกคนที่ก้มลงมามองผม อาฟถอนหายใจผมคิดว่ามันคงเดาได้จากสีหน้าของผม
“ แปดโมง “
“ อื้อ “
“ ไอ้สัด “ แม้แต่คนไปส่งยังต้องขอสถบออกมา “หลังจากวันนี้มึงเอาตารางสอนมาดูแล้วเช้าวันไหนที่มีเรียนเช้า คืนนั้นก็ทำให้เป็นวันหยุดของมึงซะไม่ต้องไปทำงาน อดนอนไปเรียนแม่งคงรู้เรื่องหรอก “ ท้ายประโยคเบาๆที่อีกคนพูดเชิงบ่น ความเป็นห่วงเล็กๆของมันทำให้ผมยิ้ม ‘ มึงแม่งก็เป็นแบบนี้ตลอด ใส่ใจแม่แต่เรื่องเล็กๆ จะให้ไม่รู้สึกดีด้วยได้ไงวะ ’
“ เดี๋ยวกูไปเอง มึงไม่ต้องไปส่งหรอก “ คำพูดของผมที่อีกฝ่ายเหมือนจะไม่ได้สนใจฟัง ผมมองอาฟที่เดินเข้าไปเปิดตู้เสื้อผ้าผ่านกระจก ผ้าขนหนูสีขาวถูกหยิบออกมาจากชั้นวางของมันก่อนจะถูกโยนมาคลุมหัวผมไว้
“ ไปอาบน้ำ แล้วจะได้ไปนอน “
“ แค่สองชั่วโมงนี่น่ะเหรอวะ “
“ เออ “ มันย้ำแบบนั้น แต่ผมกลับรู้สึกว่าไม่อยากจะนอนเท่าไหร่แล้ว เป็นคนที่ถ้านอนได้นิดเดียวแล้วต้องรีบตื่นก็จะคิดเสมอว่างั้นก็ไม่ต้องนอน ไปเรียนให้เสร็จเรียบร้อยกลับมาค่อยนอนยาวทีเดียวน่าจะดีกว่า ผมเกลียดความงัวเงียของการนอนไม่พออย่างที่สุด
“ ไม่ต้องนอนก็ได้มั้งมึง กลับมาค่อยนอนยังไงกูก็เลิกสิบเอ็ดโมงอยู่แล้ว ค่อยนอนตอนนั้น “
“ ดื้อ “ มันพูดสั้นๆ ตอนที่ยืนอยู่ข้างหลังผม เราที่สบตากันผ่านกระจก แล้วในวินาทีที่ผมยังไม่ตัดสินใจจะทำอะไรเป็นลำดับต่อมา อาฟที่ยืนนิ่งอยู่ก็ดึงตัวเองลงต่ำ ใบหน้าคมโน้มลงมาแนบอยู่กับแก้มผม ผิวแก้มของเราแนบชิดกันเป็นอีกครั้งที่หัวใจของผมเต้นแรงและเร็วในคืนนี้ ก่อนจะอีกฝ่ายจะกระซิบ “ จะไปอาบดีๆ หรือจะให้ไปอาบให้ดีครับ “
ไม่พูดเปล่า มือที่เอื้อมมาจับอยู่บนไหล่เคลื่อนตัวลูบลงมาจนถึงข้อมือ สอดนิ้วเข้ากับนิ้วมือของผมที่วางนิ่งอยู่กุมไว้แบบนั้นภายในช่วงวินาทีที่ความตื่นเต้นเพิ่มขึ้นทุกขณะ น่าแปลกที่ผมกลับนิ่งพอเป็นมัน ร่างกายที่ไม่ออกอาการปัดป้องใดๆ แต่กลับนิ่งให้มันกระทำแบบนั้นแล้วตัวเองก็เอาแต่เขินอาย ผมสบสายตากับอีกคนผ่านกะจกตรงหน้า แก้มแดงๆของผมบอกความรู้สึกในใจของตัวเองอย่าปิดบังไว้ไม่อยู่แล้วตอนนั้นอาฟก็กระซิบ “ กูเหม็น ไปอาบน้ำ “
“ ไอ้เชี้ย “ สถบออกมาอีกฝ่ายก็แค่ยักคิ้วแล้วยิ้ม ก่อนจะดึงตัวเองให้ยืนเต็มความสูงเหมือนเดิม สายตาขุ่นเคืองของผมถูกส่งไปมองมันแต่อย่าได้คิดว่าผู้ชายคนนี้จะรู้สึกแย่หรือรู้สึกผิดอะไรกับการกระทำเย้าแหย่นั่น กลับกันนอกจากไม่รู้สึกอะไรแล้ว ยังทำมันมากขึ้น
“ หงุดหงิด ? “ อาฟพูดสั้นๆก่อนจะยิ้มจางๆ มันที่กอดอกตัวเองทำหน้าตาเหมือนกำลังคิดวิเคาระห์ “หรือว่าอยากจะให้อาบให้จริงๆ “ ไม่พูดเปล่า มือข้างนึงของมันยกขึ้นปลดกระดุมเสื้อของตัวเอง “กูพร้อมนะ แต่บอกไว้ก่อนว่าไม่แค่อาบน้ำนะ นับหนึ่ง.. ถึงสามแล้วยังไม่ไป จากแฟนจะเลื่อนเป็นเมียเลยนะ “
“ ไอ้ห่า ไปเดี๋ยวแหละ หยุดนับเลย เชี้ย! “ สถบทิ้งท้ายแค่นั้นด้วยความหัวเสียที่โดนเย้าแหย่แต่ถึงอย่างงั้นหน้าของผมก็ยังแดงจัดกับคำพูดของอีกคนอยู่ดี
ปิดประตูห้องน้ำเสียงดัง ผ่อนลมหายใจออกมาพลางมองตัวเองอยู่ที่หน้ากระจก เผลอคิดถึงมือที่เอื้อมขึ้นปลดกระดุมเมื่อครู่ ร่างทั้งร่างก็ดูเหมือนจะร้อนไปหมด แก้มที่กำลังแดงจัดตอนนี้ ก็ยอมรับว่าคิดถึงเรื่องอะไรแบบนั้นที่อีกคนสื่อถึง
“ แกล้งกูไอ้สัดอาฟ คอยดู กูแม่งจะไม่ยอมจนกว่าจะคบกันครบสามปี “ ยิ้มเยาะตัวกับกระจกในตอนที่คิดอะไรแบบนั้น คือเอาจริงๆใช้ชีวิตมาจนถึงตอนนี้ก็พอรู้ว่ามันเป็นอะไรแบบนั้นไม่ได้ ก็ถ้าไม่โดนไอ้คนข้างนอกจับปล้ำก่อน ก็คงเป็นผมนี่แหละที่จะควบคุมไม่ไหวแล้วเผลอไผลไปกับมัน
จัดการอาบน้ำแล้วทาแป้งหอมๆ ออกมารับลมแอร์เย็นๆที่นอกห้อง เสียงทีวีที่กำลังเปิดอยู่ชวนให้ผมหันไปมองแล้วพบว่ามันเป็นยูทูปที่เปิดวิดีโอรวมเพลงฟังสบายๆชวนให้หลับที่ตอนนี้คนที่เปิดมันไว้ก็กำลังหลับสนิทสมกับชื่ออัลบั้มเพลงที่เปิดอยู่
“ อาฟ “ เอื้อมมือไปเขย่าตัวมันอีกคนก็ลืมตาขึ้นแบบรวดเร็วคล้ายกับสะดุ้ง ราวกับว่ามันไม่ได้ตั้งใจจะหลับแต่เผลอหลับไปก็เท่านั้น
“ อาบน้ำเสร็จแล้วเหรอ “ พยักหน้ารับอีกคนก็ลุกขึ้นมาจากเตียง มันสูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอดก่อนจะยิ้มกว้าง “ กูชอบกลิ่นนี้หว่ะ “
ผมไม่รู้ว่ามันหลายความว่ายังไง อะไรที่ทำให้มันดูอารมณ์ดีอย่างงั้น อาฟเดินเข้าไปในห้องน้ำอย่างไม่พูดหรืออธิบายอะไรต่อ ส่วนผมก็ได้แต่ขมวดคิ้วกับท่าทางของมัน
สูดลมหายใจเข้าไปเต็มปอดอย่างที่อีกคนทำ ผมไม่ได้กลิ่นอะไรทั้งนั้น ยกเว้นกลิ่นแป้งที่ติดอยู่บนตัวผม จะบอกว่าชอบกลิ่นแป้งนี้น่ะเหรอ
“ สงสัยจะเป็นงั้นมั้ง ” หยุดความคิดของตัวเองว่าทำไมไว้แค่นั้น ผมเดินขึ้นเตียงไปนอนฝั่งเดียวกับเมื่อวาน ดึงผ้าห่มสีขาวขึ้นมาคลุมตัวเอง ก่อนจะตั้งนาฬิกาปลุกจากมือถือตั้งไว้ที่หัวเตียง แล้วทำทีเป็นหลับไปทันทีในวินาทีสั้นๆนั้น ผมคิดว่าถ้าผมหลับอาฟก็คงไม่มายุ่งอะไรด้วย.. แต่ผมคงลืมไป ว่านั่นมันก็แค่เป็นสิ่งที่คนปกติเค้าทำกันแต่ไม่ใช่คุณอาฟเตอร์
เสียงประตูห้องแต่งตัวที่ปิดลงหลังจากที่ผมหลับตาไปไม่นาน แรงยุบตัวของเตียงตอนที่ร่างของคนข้างๆนอนลงข้างกัน หัวใจของผมเต้นแรงแต่ก็ยังข่มตาทำทีเป็นหลับสนิท แต่เหมือนอีกคนจะรู้ดีว่าผมไม่ได้หลับ แล้วตามนิสัยของมันอาฟก็เอื้อมมือมากอดเอวผมไว้และไม่หยุดแค่นั้นมันที่ขยับตัวเข้ามาใกล้หนุนหมอนใบเดียวกันกับผมก่อนจะหัวเราะเบาๆถูกใจอยู่ในคอ
“ หลับแล้วจริงๆเหรอวะ “ มันถาม แต่ผมก็ยังนิ่งทำทีเป็นหลับสนิททั้งๆที่ก็น่าจะรู้ว่าถ้าหลับตาปี๋แบบนั้น เป็นใครก็ต้องรู้ว่าแกล้งหลับ “ เชื่อได้มั้ยวะ หรือว่าต้องลองหอมแก้มดู “
“ อื้อ “ ทำทีเป็นขยับตัวออกห่างคล้ายอาการคนสะลึมสะลือแบบไม่เนียน ผมดึงมือมันออก “ ไปนอนดีๆเลยมึง จะมานอนเบียดกูทำไมวะ “
“ ทำไมมึงเป็นเหาเหรอไง กูนอนใกล้ไม่ได้ “
“ สัด เหาเหี้ยอะไรอายุปูนนี้ ออกไปเว้ยกูอึดอัด “ขยับตัวหนีมันแต่เหมือนอ้อมกอดนั้นจะยิ่งรัดแน่นไม่ไปไหน อาฟดึงตัวผมให้จมลงไปในอ้อมกอดของมัน มือที่พยายามแกะมือของอีกคนออก
“ อยู่นิ่งๆน่า “
“ ก็มันอึดอัด มึงจะมานอนกอดกูทำไมวะ ที่นอนก็ตั้งกว้างขยับออกไป “
“ ก็กูชอบ “ อีกคนพูดสั้นๆพร้อมกับกระชับมือที่กอดเอวผมให้แน่นขึ้น ทุกอย่างชะงักนิ่งไปรวมถึงตัวผมเองในตอนนั้น ลมหายใจที่สูดเข้าไปเต็มปอดของอีกคน “ ชอบกลิ่นแป้งของมึง “
“ ไอ้สัด “ ผมสถบได้เพียงเท่านั้น ถอนหายใจออกมาเซ็งๆ คงจะคาดหวังสูงไป สำหรับคำพูดที่ว่า ‘ ก็กูชอบมึง ‘
“ หึ … คิดว่ากูจะพูดว่าอะไร “
“ ไม่ได้คิดอะไรทั้งนั้นเว้ย ขยับออกไปสิวะอาฟมึงกอดกูไว้แบบนี้กูจะหลับได้ไงวะ “
“ ขี้เกียจขยับตัวแล้ว “
“ มันไม่ไกลสามกิโลแค่พลิกตัวมั้ยละ “ ผมสวนกลับกับความช่างอ้างของมัน
“ นอนไกลไม่ได้กลิ่นแป้งมึง “
“ งั้นก็ยิ่งต้องปล่อยเพราะกูจะได้ลุกไปเอาแป้งมาทาให้ทั้งกระปุกเลย “
“ ไม่เอา “ ผมถอนหายใจออกมากับความเรื่องมากของอีกคน อาฟขยับตัวกอดผมไว้แน่นอีกครั้ง “ชอบเวลาที่ได้กลิ่นแป้งจากตัวมึงมากกว่า รู้สึกหอมกว่าทาเอง “
“ มึงแม่ง “ เผลอยิ้มออกมากับคำพูดของอีกคน และแม้จะพยายามฝืนให้หุบยิ้มมากเท่าไหร่มันก็ยิ่งยิ้มมากขึ้นเท่านั้น ผมเอื้อมมือขึ้นปิดหน้าตัวเอง ตอนนี้แม้ขณะฝ่ามือยังรู้สึกได้ถึงความร้อนของใบหน้า
ใจของผมเต้นแรงแต่คงสวนทางกับคนที่ทำให้มันเป็นเช่นนั้น ลมหายใจที่ผ่อนเข้าออกสม่ำเสมอที่อยู่ตรงหลังคอบ่งบอกกับผมว่าคนที่กอดกันอยู่ตอนนี้ได้หลับสนิทไปแล้ว เหลือไว้แค่ผมที่ยังคงนอนหน้าแดงอยู่แบบนี้
“ แล้วแบบนี้ มึงจะให้กูหลับภายในสองชั่วโมงได้ยังไง มันยากนะไอ้สัดอาฟ “
...........................................................................
กริ้ง กริ้ง กริ้ง
สุดท้ายก็นอนไม่หลับ ผมผ่อนลมหายใจออกมาตอนที่เอื้อมมือไปหยิบมือถือมากดปิดนาฬิกาปลุกที่ตั้งไว้ ตอนนี้หกโมงกว่าแล้ว ผมพลิกตัวเองหันมามองอีกคนที่ก็ยังหลับสนิท อาฟยังคงนอนกอดผมอยู่แบบนั้น แต่มือที่กอดรัดไว้แน่นเมื่อคืนคลายออกไปแล้ว เหลือแค่มือของผู้ชายคนที่ไร้สติแถมยังยกออกจากเอวได้ง่ายๆ
“ อื้ม “ ส่งเสียงงัวเงียออกมานิดหน่อยตอนที่พลิกตัวไปอีกทาง จะว่าไปมันก็เป็นคนขี้เซาเหมือนกันนะ บางทีพอเป็นแฟนกันแล้วได้มาเห็นมุมมองอีกมุมนึงที่ใครคนอื่นจะไม่เห็นมันก็มีความสุขอยู่เหมือนกัน ใครจะรู้ว่าหนุ่มฮอตเจ้าของผับดังอย่าง Throw Up จะเป็นแค่ผู้ชายคนนึงที่นอนขี้เซาแถมยังมีท่าทางนอนแบบเด็กๆ
ลุกขึ้นจากเตียงบิดขี้เกียจก่อนจะเดินไปอาบน้ำทั้งๆที่ความจริงจะไม่อาบก็ได้เพราะเพิ่งอาบไปแค่สองชั่วโมงก่อนหน้านี้เอง แต่คิดว่าควรจะอาบสักหน่อย ผมควรไปเรียนแบบสดชื่น
“ วันนี้ท่าทางจะต้องกลับบ้านแล้ววะ “ ผมพูดกับตัวเองตอนที่ยืนอยู่หน้าตู้เสื้อผ้าของอีกคน คว้าเอากางเกงสีดำขาเดฟมาตัวนึงก่อนจะหยิบเสื้อเชิ้ตสีขาวที่ดูทรงว่าท่าทางจะเป็นชุดนักศึกษาของอีกคนมาใส่ จัดการแต่งตัวเรียบร้อยตอนที่เปิดประตูเลื่อนออกไปก็เจอเข้ากับคนเพิ่งตื่นนั่งหัวฟูด้วยใบหน้าง่วงงุนอยู่บนเตียง ผมเผลอยิ้ม “ ไม่นอนต่ออีกหน่อยละ “
“ เดี๋ยวมึงสาย “ อาฟพูดแค่นั้นมันก็หยิบรีโมตทีวีขึ้นมาเปิดช่องเมื่อคืนที่มันเปิดไว้ สิ่งที่ทำให้รู้ในตัวอีกคนเพิ่มขึ้นมาอีกอย่างคือ อาฟเป็นคนชอบฟังเพลง และแนวเพลงที่ชอบคือพวกดนตรีฟังสบายไม่ใช่พวกสายร็อคแบบที่คิดเลยสักนิด
“ เอาจริงๆ มึงไม่ต้องไปส่งกูก็ได้นะ กูไปเองได้ บีทีเอสก็เชื่อมกับหน้าคอนโดอยู่แล้ว มหาลัยกูเองก็ใกล้บีทีเอสเพราะงั้นกูไปเองได้ “
“ ใครบอกกูจะไปส่ง “ มันถาม “ กูก็มีเรียนของกูเหมือนกัน ก็แค่แวะไปส่งมึงก่อน “
“ เหรอวะ “ เหล่อมันแบบไม่เชื่ออีกคนก็ไม่ตอบอะไรก่อนจะเดินเข้าไปในห้องน้ำ เหมือนไม่อยากจะตอบคำถามอะไรของผมแล้ว
ความจริงก็ไม่เชื่ออย่างที่คิดนั่นแหละ มันดูเป็นไปไม่ได้ที่อีกคนจะมีเรียนตอนเช้า เพราะเมื่อคืนอาฟมันก็เพิ่งบอกกับผมเองว่า วันไหนมีเรียนเช้าก็ให้เลื่อนคืนก่อนหน้านั้นมาเป็นวันหยุดไม่งั้นเดี๋ยวจะเรียนไม่รู้เรื่อง และถ้ามันคิดแบบนี้ได้ แสดงว่ามันต้องไม่มีเรียนตอนเช้าแน่นอน แล้วเหมือนทุกคนในผับที่ยังเรียนก็คงต้องเป็นแบบนั้น ไม่มีใครทำงานตีสี่แล้วไปเรียนเช้าไหวหรอก นานๆครั้งก็ว่าไปอย่าง แต่ถ้าทุกวันก็คงไม่ไหวอยู่แล้ว
เดินออกมานอกห้องนอน ตรงเข้าไปในห้องครัวเพื่อเปิดตู้เย็นหาอะไรลงท้องเสียหน่อย แต่ก็ต้องยิ้มแห้งกับความว่างเปล่าที่ได้พบ คือนอกจากน้ำเปล่า ถุงเยลลี่ และเบียร์ ก็ไม่มีอะไรอีกเลยที่สามารถนำมาทำเป็นอาหารได้ในตอนเช้า
“ สมกับที่เป็นมึงสองคนพี่น้องอยู่ด้วยกัน “ พูดกับตัวเองแบบนั้นผมจำใจหยิบน้ำเปล่าขึ้นมากิน ก่อนจะหันไปอีกฝั่งที่เป็นอีกห้อง ป้ายหน้าห้องที่เขียนว่า ‘กรุณาเคาะประตู ’ บอกกับผมเป็นนัยว่าคนเป็นพี่ต้องมีนิสัยไม่ชอบเคาะประตูคนน้องอย่างแน่นอน
“ เมื่อคืนไอ้เดย์ไม่ได้กลับ คงไปนอนกับสาวสักคนของมัน “ เสียงทุ้มของอีกคนพูดขึ้นตอนที่ผมมองอะไรเพลินๆ หันไปมองต้นเสียงที่ยืนอยู่ที่หน้าประตู
อาฟที่กำลังใส่เข็มขัด มันไม่ได้ใส่ชุดนักศึกษาแต่อย่างใดทั้งๆที่บอกว่ามีเรียน มันแค่ใส่เสื้อยืดสีขาวกับกางเกงสีดำขายาวก็แค่นั้น แต่นั่นแหละในความธรรมดาของมันก็ขอบอกตรงๆเลยว่าโคตรเท่ห์ บางทีอาจเพราะใบหน้าและรูปร่างที่ดีอยู่แล้วก็เป็นได้
“ บอกทำไม “
“ ก็เห็นมึงมองไปที่ห้องมัน “
“ อ่านป้ายหน้าห้องอยู่ แล้วยืนคิดว่าที่มันถูกติดไว้แบบนั้นเพราะคนที่อยู่ร่วมด้วยคงไม่เคยเคาะประตูจนต้องเอาป้ายมาติดแน่ๆ “ วางแก้วลงในอ่าง ผมเปิดน้ำล้างก่อนจะวางไว้ตรงที่ของมัน
“ หึ “ อาฟยกยิ้มตอนที่หันไปมองป้ายหน้าห้องของน้องชายตัวเอง “ จริงๆไอ้ป้ายเชี้ยนั่นมันเคยอยู่ที่หน้าห้องกูเพราะไอ้น้องเวรมันไม่เคยเคาะประตูห้องกูเลย แต่พอกูด่ามันมากๆว่ามันอ่านหนังสือไม่ออก มันเลยเอาไปติดที่ห้องมัน จะได้ไม่โดนกูด่า “
“ ฮ่าๆ แสบสมเป็นน้องเดย์ “
“ น้องเหี้ย “
“ ก็ว่าน้อง “ ผมบอกมันอีกคนก็ก้มลงคว้าเอากระเป๋าสตางค์ที่ตั้งอยู่บนโต๊ะมาใส่ไว้ในกระเป๋าหลัง หยิบกุญแจรถของผมที่ตั้งอยู่ข้างกันขึ้นมาถือ “ อาฟ เดี๋ยวลงไปหาอะไรกินที่เซเว่นก่อนไปเรียนกัน คงยังทันอยู่ “
“ อื้ม แต่กูไม่กินนะ “
“ ไม่ได้ ต้องกิน อาหารเช้าสำคัญนะ “
“ ปกติกว่าจะตื่นจากนอนแม่งก็ไม่ได้แดกมื้อเช้าอยู่แล้ว แดกเที่ยงไม่ก็เย็นตลอด “
“ ตอนนั้นมันก็ได้ แต่ตอนนี้มันไม่ได้แล้วไง อีกอย่างมึงตื่นแล้วก็กินอะไรเข้าไปสักหน่อย “ ผมบอกอีกคนตอนที่เดินเข้าไปในลิฟต์กดลงไปที่ชั้นล่าสุด อาฟก็หันมาถาม
“ ทำไมไม่ได้ “
“ ตอนนั้นมึงยังไม่มีคนดูแลจะไม่กินก็ได้ แต่ตอนนี้มึงมีกูคอยดูแลอยู่ เพราะงั้นมึงต้องกิน อาหารเช้ามันสำคัญนะ “ คนที่ยืนข้างๆนิ่งไปตอนที่ผมพูดจบ เผลอคิดขึ้นได้ว่านั่นเป็นคำพูดที่แสดงความห่วงใยออกไปตรงๆเท่าที่เคยพูดกับคนตรงหน้ามาเลยก็ว่าได้.. ก็นะ เราเพิ่งเป็นแฟนกันวันแรกนี่หว่า
ใบหน้าคมที่ค่อยๆยิ้มกับคำตอบของผม อาฟหันกลับไปมองด้านหน้า แต่ผมเองก็ด้วยที่ทำแบบนั้น ไม่รู้มันจะเป็นเหมือนกันรึเปล่า หัวใจที่เต้นแรงจะแทบจะทะลุอกออกมา ทั้งๆที่คนที่ยืนข้างกันก็คนเดิมกับเมื่อวาน แต่วันนี้ทำไมทุกอย่างมันกลับเปลี่ยนไปหมด คำพูดที่เคยฟังแล้วธรรมดา แต่วันนี้ดูเหมือนจะมีความหมายมากขึ้น คงจริงอย่างที่ใครบอก พอสถานะเปลี่ยนทุกอย่างก็จะเปลี่ยน อย่างน้อยตอนนี้อาฟไม่ใช่แค่เจ้านาย เจ้าหนี้ แต่มันขยับเข้ามาเป็นแฟน เป็นแฟนของผม
“ ที่มึงพูด แปลความหมายสั้นๆว่า เป็นห่วง ถูกมั้ย “
“ ไม่รู้ มึงคิดเอาเอง “ ผมบอกปัดอีกคนก็ยิ่งยิ้มกว้าง อาฟเอื้อมมือมาจับมือผม แล้วกุมไว้อยู่แบบนั้น
“ กูไม่เคยตื่นมาทันกินข้าวเช้าเลย ตั้งแต่เรียนมหาลัยมา “
“ งั้นเหรอ “
“ ก็เพิ่งจะวันนี้แหละ “ อาฟเงียบไปก่อนจะยิ้มขึ้นมาเหมือนคิดอะไรขึ้นมาได้ “ ไม่สิ เคยกินข้าวต้มตอนเช้าหนนึงเมื่อหลายวันก่อน “
“ ตอนที่ไปกินกับกูใช่มั้ย “
“ ใช่ กูได้กินข้าวเช้าเหมือนคนทั่วไปกับเค้าก็เพราะอยู่กับมึงนั่นแหละ “
“ จะว่าไปนี่ก็มื้อแรกเลยนะ ที่เรากินข้าวเป็นแฟนกัน “ คำพูดที่ทำให้คนข้างๆหันมามองผมอีกครั้ง ผมเองก็หันไปมองมัน หูของอาฟแดงจัดคล้ายๆกับแก้มของผมที่มันก็เป็นแบบนั้น “ หมายถึงก่อนหน้านี้เคยกินแต่เป็นเพื่อนไง “
“ ร้ายว่ะ “ มันพูดสั้นๆคล้ายกับคำสบถ ก่อนจะกระชับมือที่กุมกันไว้ให้แน่นขึ้นไปอีก ผมในตอนนั้นก็เช่นกัน ผมเองก็กระชับมือของอีกคนไว้ “อาหารเช้าในเซเว่นจะมีอะไรอร่อยบ้างวะ “
ทุกอย่างในตอนนั้นเงียบไป แต่อยู่ๆในใจของผมมันก็ตั้งคำถาม การมีแฟนคืออะไรวะ ผมไม่รู้คำตอบที่แน่ชัดหรอก บางทีความหมายอาจจะเปลี่ยนไปตามความรู้สึกก็ได้ แต่ถ้าถามตอนนี้ว่ามันคืออะไร คงตอบได้ว่า การมีแฟนคือการที่เรามีใครสักคนอยู่ข้างๆเรา คอยดูแลเราแล้วเราก็คอยดูแลเค้าละมั้ง .. ก็รู้สึกว่าตัวผมกับอาฟเป็นอะไรแบบนั้นให้กันและกันอยู่