“ ถามก็ตอบเปล่า “
“ ชื่อ มิณทร์ “ หันไปมองหน้ามันพลางขมวดคิ้ว เมดก็ยิ้ม “ มอม้าสระอิ นอเณร ทอทะหาร รอเรือ การันต์ อ่านว่า มิณทร์ “
“ แล้วทำไมไม่ชื่อเล่นชื่อ มินไปเลย จะมาชื่อเมดทำไมวะ “
“ ฮ่าๆ คิดไว้แล้วว่าต้องถาม “ อีกคนหัวเราะ “ ใครๆก็ถามกูแบบนี้ ถามตั้งแต่กูเด็กจนกูโตเลย “
“ แล้วคำตอบคือ “
“ พ่อกูอยากจะให้กูชื่อมิณทร์ ทั้งชื่อจริงแล้วชื่อเล่นเลย จะได้เท่ๆ แต่แม่อยากจะให้ชื่อเมด ที่เขียนว่า made เหมือนพวกของที่เขียนว่า made in อะไรแบบนั้น อารมณ์กูที่ทำมาจากความรักของพ่อแม่ แบบนั้น “
“ อย่างงั้น “ ยิ้มพลางพยักหน้ารับคำอธิบายของอีกคน
“ สุดท้ายพอเถียงกันไปเถียงกันมา ก็เลยสรุปว่า ก็ใช้ชื่อ มิณทร์ของพ่อเป็นชื่อจริง ชื่อ เมดของแม่เป็นชื่อเล่น ไอดีไลน์กูก็เลยเป็นคำว่า minmade ไง ทั้งพ่อทั้งแม่จะได้ไม่น้อยใจ กูก็ใช้มันทั้งคู่เลย “ อีกคนว่ายิ้มๆเหมือนอวดความหมายของชื่อตัวเอง แค่ดูก็รู้ว่ามันคงรู้สึกว่าชื่อตัวเองก็ดูเท่ห์ไม่เบา “ แล้วมึงอะ “
“ อารยะ “ ผมบอก “ ที่แปลว่า คนที่น่านับถือ “
“ แล้วทำไมถึงชื่อ อาฟอะ กูเห็นมึงเขียนชื่อไลน์ว่า อาฟเตอร์ คือจริงๆชื่ออาฟเตอร์ถูกมั้ย “
“ อื้ม “ พยักหน้ารับมันอีกคนก็ถามด้วยความสนใจ
“ แล้วทำไมถึงชื่ออาฟเตอร์อะ “
“ พ่อกูชอบคำว่า afterday เค้าให้ความหมายคำนี้ด้วยตัวเองว่า หลังจากนี้เราจะไม่มีพรุ่งนี้ถ้าเรายังไม่มีวันนี้ เหมือนคำ afterday ที่ถ้า day ไม่มีคำว่า after มันก็จะกลายเป็นแค่วันนี้ที่ไม่มีพรุ่งนี้ และ after ก็เหมือนกัน มันเป็นคำที่ต้องเติม day เข้าไป เพื่อให้ตัวเองได้เป็นความหมายของวันพรุ่งนี้ “ ผมเว้นเสียงไป สีหน้าเบื่อหน่ายที่ต้องถอนหายใจออกมาตอนอธิบายความหมายสุดเลี่ยนนั่น “ เหมือนพี่น้องที่ต้องรักกันตลอดไป ขาดใครไปก็ไม่ได้ เพราะเป็นความหมายของกันและกัน “
“ โคตรรรรรรร ลึกซึ้ง “ อีกคนว่าอึ้งๆ “ ไม่คิดเลยว่าชื่อมึงกับน้องเดย์จะมีความหมายขนาดนี้ แบบนี้แสดงว่าพ่อแม่ก็ตั้งใจจะมีลูกสองคนอยู่แล้วอะดิ “
“ อื้ม “ พยักหน้ารับคำตอบของอีกคน “ เห็นบอกว่า ไม่ว่าจะเป็นลูกชายหรือลูกสาว ยังไงน้องกูก็ต้องชื่อเดย์ “
“ เพราะจะได้เป็น afterday สินะ “ เมดว่ายิ้มๆ “ พ่อมึงท่าทางจะเป็นคนโรแมนติกนะ “
“ ทำไมคิดงั้น “ หลุดยิ้มนึกถึงพ่อตัวเองในตอนที่เมดถาม ผมไม่คิดว่าเค้าจะเป็นแบบนั้นเลย หรืออาจจะเป็นอยู่ลึกๆ แต่ผมไม่รู้
“ ก็คนที่ตั้งชื่อได้ออกมามีความหมายขนาดนั้น มันต้องใช้ความลึกซึ้งมากๆเลยไง คือชื่อมึงสองคนพี่น้องมันไม่ได้มีความหมายแค่ว่า หลังจากวันนี้เท่านั้นไง มันมีความหมายที่เค้าคิดให้มันลึกซึ้งกว่าสิ่งที่มันเป็น “
“ ไม่รู้สิ คงงั้นมั้ง “ ยกไหล่ไม่สนใจ ผมหันไปถามมันบ้าง “ แล้วน้องมึงละ น้องมึงชื่ออะไร “
“ ชื่อวิว “ อีกคนบอกก่อนจะยิ้มจางๆ เมดยกมือขึ้นลูบให้ผม จัดทรงผมตอนที่ลมพัดเข้ามา “ แต่วิวไม่ใช่น้องแท้ๆของกูหรอกนะ กูเป็นลูกคนเดียว พ่อกูแต่งงานใหม่น่ะ กับแม่หม้ายลูกติด วิวก็เลยต้องมาเป็นน้องกู “
“ ไม่มีดราม่าครอบครัวใช่มั้ย “ ก้มลงถามมันยิ้มๆ ตอนที่เห็นอีกคนเงียบไป มันยกมือโบกไหวๆแล้วยิ้มกว้างขึ้น
“ ไม่มีเลย ครอบครัวกูอบอุ่นมากๆ มากกว่าบางครอบครัวที่เค้ามีกันครบๆอีก “
“ ก็ดีแล้ว “ ผมดีใจที่ได้ยินอย่างงั้น แต่ก็ยังมีเรื่องที่อยากจะรู้อยู่ เมดมองตาผมมันยิ้มเหมือนรู้อยู่แล้วว่าผมอยากจะรู้อะไร
“ แม่แท้ๆกูเสียแล้วน่ะ เสียตั้งแต่กูสามขวบได้มั้ง แล้วพอกูสักหกขวบพ่อกูก็แต่งงานใหม่กับแม่ของวิว ตอนนั้นวิวมันก็แค่สามสี่ขวบเอง เลยกลายเป็นว่าเราสนิทกันมากเพราะต่างคนต่างก็ไม่มีเพื่อนเล่น สนิทกันเหมือนพี่น้องแท้ๆเลยนะ “
“ อื้ม “ ผมพยักหน้ารับรอยยิ้มของอีกคนที่เล่าเรื่องครอบครัวตัวเองให้ผมฟัง
“ สมัยเด็กๆตอนตรุษจีนเด็กบางคนจะต้องให้ซองอั่งเปาใช่มั้ย แต่เพราะบ้านกูไม่ใช่ลูกคนจีน “
“ เอาจริงดิ “ ผมขัดมัน คือถ้าดูจากหน้าก็คิดว่าน่าจะลูกคนจีนไง เหมือนพื้นเพอยู่เยาวราชอะไรทำนองนั้น
“ มึงจะบอกว่ากูไม่มีตาใช่มั้ยไอ้สัด “ ถามแบบหาเรื่องผมก็หลุดขำ
“ ขี้ยั๊วะซะจริง แล้วยังไงต่อ “
“ ก็บ้านกูไม่มีตรุษจีน ก็เลยไม่มีอั่งเปาให้เด็กๆ วิวมันก็อยากได้มากเลยนะอยากเหมือนเพื่อน กูเลยมีหน้าที่ใส่อั่งเอาให้มันทุกปีเลย “
“ ใส่ให้เท่าไหร่ “
“ 20 บาท “ ชู้สองนิ้วประกอบคำตอบของตัวเองด้วยท่าทางภูมิใจ ผมที่กลั้นยิ้มไว้ เหมือนจะไม่ค่อยไหวเลย.. มึงน่ารักเกินแล้วรึเปล่าวะเมด
“ ตั้ง 20 บาท “ ผมแซว
“ เยอะแล้วนะสัด สมัยก่อนกูมีตังค์ที่ไหนละ “
“ สมัยนี้ก็ยังติดหนี้กูอยู่ “
“ เออนั่นแหละ “ มันว่าติดงอนๆ แต่ก็ยังเล่าต่อ “ แล้วก็นะตอนเด็กๆ กูกับวิวจะมีของทุกอย่างเหมือนกันหมดเลย จานแบบเดียวกัน ช้อนแบบเดียวกันขนาดเวลาไปซื้อของปั่นของข้างนอก ยังบอกให้พี่คนขายใส่หลอดสีเดียวกันเลย “ พยักหน้ารับยิ้มๆ “ แล้วมึงอะ มีความทรงจำอะไรกับน้องเดย์บ้าง “
“ ไม่มี “ ผมตอบสั้นๆ “ กูไม่มีความทรงจำอะไรดีๆ กับไอ้เหี้ยนั่นทั้งนั้น “
“ ตอแหละ น้องเดย์ออกจะน่ารัก “
“ คงกับแค่มึง กับสาวๆที่มันจะเอาด้วย “
“ ก็ว่าน้อง “ เมดขมวดคิ้วเหมือนดุผมผ่านสีหน้าของมัน
“ กูกับเดย์เหรอวะ “ ผมทำท่าคิด “ เดย์มันเป็นลูกรักของแม่กู มันเป็นเด็กขี้อ้อน ช่างพูด ไม่เหมือนกูที่ออกจะเงียบไปหน่อย แม่รักไอ้เดย์มาก เมื่อก่อนไอ้เชี้ยนั่นทำเหี้ยอะไรก็ไม่เคยผิด กูผิดตลอด จำได้ว่าเคยจับมันนั่งจักรยานตอนนั้นมันเพิ่งสามขวบมั้ง กูก็ห้าขวบ ตอนปั่นๆอยู่ไอ้สัดเสือกยกมือขึ้นดีใจแฮปปี้ได้นั่งท้ายจักรยานกู ทั้งๆที่กูบอกให้จับเสื้อกูดีๆ สุดท้ายแม่งล้มกลิ้ง แม่ตีกูตั้งหลายทีเพราะมันเสือกหัวแตก “
“ ฮ่าๆ “ อีกคนหลุดหัวเราะ “ โคตรสมเป็นพวกมึงเลยว่ะ ฮ่าๆๆๆๆๆ “
“ ยังมีอีกนะ เมื่อก่อนแม่งมองกูเป็นฮีโร่ ซ่อมเหี้ยอะไรก็ได้ เล่นเกมส์โคตรเก่ง แถมยังใจดียกของเล่นให้มันประจำทั้งๆที่มันไม่รู้หรอกว่าแม่บังคับกูทั้งนั้น ไม่ได้อยากให้เลยสัด แม่ชอบบอกอาฟให้น้องเล่นด้วยสิ สุดท้ายของเล่นกูพังที่มือมันทุกทีไอ้สัด “ ผมยกยิ้มตอนที่คิดถึงช่วงเวลานั้น “ ไอ้เดย์ตอนนั้น ชอบพูดว่า พี่อาฟสุดยอด พี่อาฟของน้องเดย์เจ๋งที่สุด “
“ ตอนนี้อะ “
“ กูก็เป็นไอ้สัดพี่ของมันไง “
“ ฮ่าๆ “ เมดหัวเราะออกมาเสียงดัง “ กูว่ามึงสองคนเป็นพี่น้องที่รักกันจะตาย แค่เพราะมึงทั้งคู่ไม่ใช่คนหวานไง เลยไมได้แสดงออกอะไรกันเหมือนตอนเด็กๆ “
“ คงงั้น “ ผมคิดอย่างที่อีกคนบอกอยู่เหมือนกัน ทุกวันนี้ไม่มีผมใช้อะไรก็มีแค่ไอ้เดย์คนเดียวที่สั่งแล้วไว้ใจได้ที่สุด เป็นคำสั่งที่ไม่ว่าจะสั่งอะไรไปจะได้ออกมาตามสเป็กที่คิดทุกอย่าง เหมือนมันรู้อยู่แล้วว่าผมชอบอะไรแล้วทำออกมาให้เป็นแบบไหนจะถูกใจสัดพี่ของมันอย่างผมที่สุด “ แล้วพ่อมึงทำอาชีพอะไร “
“ รับราชการเป็นคุณครู ตอนนี้เป็นผ.อ แต่ก็ใกล้เกษียณแล้วละ แม่เล็กก็ด้วย “ มันบอกก่อนจะอธิบายเพิ่ม “ กูเรียกแม่ของวิวว่าแม่เล็ก เพราะกูเรียกแม่แท้ๆกูว่า แม่ใหญ่ ฮ่าๆ “ เมดหัวเราะ “ แล้วมึงละ พ่อแม่มึงทำอะไร “
“ พ่อเป็นเจ้าของธุรกิจอสังหา ส่วนแม่ก็ทำบัญชีให้พ่ออีกที “ หลุดยิ้มออกมาตอนที่พูดถึงคุณนายของบ้านตัวเองที่วันๆนอกจากจะส่งอรุณสวัสดิ์ตอนเช้ามาให้ผมด้วยรูปดอกไม้สีสวยๆ ที่เหลือก็ไม่พ้นนั่งทำบัญชี ดูทีวีแล้วก็ออกไปสังสรรค์กับเพื่อนฝูง เหงามากหน่อยก็โทรตามให้ผมกับไอ้เดย์กลับไปบ้าน
“ แล้วพ่อมึงทำธุรกิจอสังหาแบบไหนวะ “
“ มีคอนโด บ้าน ที่ดิน แล้วก็ตึกทั้งแบบให้เช่าแล้วก็ขาย อะไรทำนองนั้น “ พยักหน้ารับเข้าใจ ผมก็ถามต่อ “ แล้วมึงเรียนคณะอะไร “
“ บัญชีไง “ เมดตอบยิ้มๆ “ มึงถามเหมือนไม่รู้ ก็ไปส่งกูอยู่ทุกวันไอ้บ้า “
“ แล้วเกิดวันที่เท่าไหร่ “
“ วันที่เก้า เดือนสิงหา มึงอะ “ อีกคนว่าพลางหยิบมือถือขึ้นมา
“ เดือนสิงหา วันที่ยี่สิบห้า “
“ เอาจริงดิ เราเกิดเดือนเดียวกันเลย “ รอยยิ้มกว้างที่ยิ้มให้ผมมันดูตื่นเต้นอยู่ไม่น้อยที่ได้ยินแบบนั้น เมดก้มหน้าลงกับหน้าจอมือถือมันกดยุกยิกอยู่นาน
“ ทำอะไร “
“ บันทึกไว้ไงว่ามึงเกิดวันที่เท่าไหร่ จะได้อวยพรวันเกิดแล้วก็ซื้อของขวัญให้ถูกวัน “
“ พูดไว้แล้วนะว่าจะซื้อให้ “ ผมย้ำ มันก็มองหน้าเหมือนจะล้อ
“ มึงเป็นคนประเภทอยากได้ของขวัญเหรอวะ “
“ เปล่า “ ผมตอบไปตามความจริง “ กูอยากได้จากบางคนที่คิดว่าเค้าสำคัญเท่านั้น “
“ งั้นเหรอ “ ยกยิ้มให้คนแก้มแดงที่ทำทีเป็นหันไปมองทางอื่น ผมย้ำ
“ มึงซื้อให้ด้วยนะ “
“ รู้แล้วน่า ให้มันถึงก่อนเถอะ มึงเองก็อย่าลืมวันเกิดกูก็แล้วกัน “
“ เป็นคนอยากได้ของขวัญเหมือนกันเหรอไง “
“ เปล่า “ เมดส่ายหน้าไปมา ตอนนั้นมันสบตาผม “ เหตุผลเดียวกับมึงอะ “
“ ร้าย “ ผมบอกอีกคนตอนที่ตัวเองยิ้มกว้างออกมา ส่วนอีกฝ่ายที่กลั้นยิ้มอยู่นั้นเมดยักคิ้วให้ผมที่ก็คิดอยู่ในใจ ‘ ฝากไว้ก่อนเถอะมึง‘
คำถามที่ขาดช่วงลงทุกอย่างมันเงียบไปสักพัก แต่กลับไม่ใช่ความเงียบที่น่าอึดอัดอะไร ในสมองของผมที่กำลังคิดถึงคำถามในตัวอีกคน มันมีหลายอย่างที่ผมยังอยากรู้ แต่ไม่รู้ว่าจะเรียงลำดับคำถามไหนขึ้นมาก่อนจนอีกฝ่ายที่ยืนอยู่ข้างๆ เอ่ยถามขึ้นมา
“ แล้วมึงมีเพื่อนสนิทกี่คน “
“ สอง “ ผมตอบ “ ไอ้เจคนนึง รู้จักกันมาตั้งแต่อนุบาล “
“ นานขนาดนั้นเลย “ อีกคนว่าอึ้งๆก่อนจะคิดตาม “ แต่ก็ไม่แปลก เจก็ดูรู้ใจมึงทุกอย่างจริงๆนั่นแหละ แล้วอีกคนอะ “
“ อีกคน.. “ อยากจะตอบออกไปว่าไอ้เอมแต่ถ้าบอก อีกคนก็ต้องรู้แน่นอนสำหรับเรื่องราวในอดีตของผมที่ไม่อยากจะให้มันรู้ “ ไว้เจอหน้าแล้วจะแนะนำให้รู้จักทีเดียว “
“ อื้ม “ ยกคิ้วขึ้นเหมือนสงสัยว่าทำไมไม่บอกกันเลยแต่อีกคนก็หยุดความสงสัยนั่นไว้ เมดพยักหน้ารับ
“ แล้วมึง ? “
“ ก็จิงกับยีนส์นั่นแหละ “ อีกคนว่ายิ้มๆ “ แต่ตอนนี้ก็ไม่ใช่แล้วละ ตอนนี้กูมีวิวเป็นเพื่อน ก็เป็นทั้งน้องทั้งเพื่อนเลย มีมึงด้วยนะ “
“ ถามกูยังว่าอยากจะเป็นเพื่อนกับมึงรึเปล่า “ ผมถามอีกคนก็แบะปากใส่ มันหันไปอีกทางก่อนถามเรื่องที่ตัวเองเหมือนคิดขึ้นมาได้ว่าอยากรู้อยู่มาก
“ แล้วรักครั้งแรกของมึงเป็นยังไงเหรอ “
“ รักครั้งแรก “ หันไปขมวดคิ้วกับคำถามของมัน ผมก็นึก
“ อะไรคือความหมายของรักครั้งแรกวะ “
“ ก็..” อีกคนนิ่งไปเพื่อคิดคำอธิบาย “ มันคงประมานว่า เป็นครั้งแรกที่เรารู้สึกดีกับใครอีกคนแบบพิเศษละมั้ง “
“ มึงมองว่ารักครั้งแรกเป็นแบบนั้นเหรอ “
“ แล้วมึงมองว่าเป็นยังไง “ อีกคนถามผมก็หันไปมองหน้ามัน มันมีคำตอบที่ผมอยากจะตอบออกไปอยู่ ตอนที่ได้แต่จ้องมองสายตาเรียวคู่นั้น ‘ กูมองว่ารักครั้งแรกของกูคือมึง คนที่ทำให้กูรู้สึกมีความสุขยิ่งกว่าใครตอนที่ได้เจอเป็นครั้งแรก และเช่นกันมึงคือคนที่ทำให้กูเจ็บปวดยิ่งกว่าใครเป็นครั้งแรก ’
“ มองว่ามันคือ ใครสักคนที่ทำให้เรารู้จักความรัก ที่เป็นทั้งความสุขแล้วก็ความเจ็บปวด นั่นแหละรักครั้งแรก “
“ มึงพูดเหมือนรักครั้งแรกของมึง มึงโดนหักอกอย่างงั้นอะ “
“ คงทำนองนั้น แต่ก็ไม่ถึงขนาดนั้นทีเดียว “ ไม่ค่อยมั่นใจเท่าไหร่ว่าจะเรียกได้แบบนั้น อาการอกหักเกิดจากการคบกันแล้วและทิ้งกันไปในความรู้สึกผม แต่คนที่ยังไม่คบ แค่ชอบแล้วส่งนมให้เพื่อจีบแถมยังไม่บอกว่าเป็นใครและสุดท้ายก็โดนตัดหน้าไป ไม่น่าเรียกได้ว่า อกหักหรอก อาจจะแค่เรียกว่า โดนหมามันคาบไปแดก
“ หมายความว่าไงวะ “ อีกคนเอียงหน้าถามด้วยใบหน้ายิ้มๆที่เหมือนจะไม่ค่อยเข้าใจ
“ เป็นแค่การแอบรักที่ไม่สมหวัง “
“ เชี้ย โคตรน่าเหลือเชื่อเลย คนอย่างมึงนี่อะนะ เคยแอบรักใครด้วยเหรอวะ “ เมดพูดออกมาด้วยความรู้สึกที่ดูน่าเหลือเชื่อจริงๆ แววตาของมันดูตกใจแล้วตอนที่ผมหันไปเหล่มองอีกคนก็แค่ยิ้มแห้งๆออกมา “ ก็มันจริงนี่หว่า ปกติเห็นแต่ผู้หญิงวิ่งเข้ามาหามึง ขอมานั่งใกล้มึง ขอมานอนกับมึง ใครจะไปรู้ว่าคนฮอตๆที่ใครๆหมายปองจะเคยมีโมเม้นท์แอบรักกับเค้าด้วย “
“ ขนาดนั้นเลย “ คนโดนถามพยักหน้ารับแบบจริงจัง
“ แล้วหน้าตาเค้าเป็นยังไงคนที่มึงเคยแอบชอบ “ สายตาจริงจังที่หันมาถามผมก็หันไปมอง พิจารณารูปหน้าของอีกคนเพื่อตอบคำถามนั้นแต่ก็ต้องหลุดยิ้มออกมาก่อนตอนที่สมองได้คำจำกัดความสั้นๆ
“ น่ารัก “
“ มึงหมายถึงคนที่มึงเคยแอบชอบสินะ “ ผมพยักหน้ารับกับอีกคนที่อยู่ๆใบหน้านั่นก็ซับสีแดงขึ้นมากะทันหัน แต่ทว่าสายตาของผมกลับไม่ได้ผละออกไปไหนจากใบหน้านั่นเลย ก็ยังคงจ้องมองอยู่แบบนั้น เหมือนอย่างที่บอกผมกำลังมองใบหน้าของคนที่เป็นรักครั้งแรกของตัวเองอยู่ และมองเพื่อตอบคำถามนี้กับเค้าคนนั้น “ แล้วยังไง น่ารักแล้วยังไงต่อ “
“ ก็..ตาเค้าเรียวๆ แต่เวลาเค้ายิ้มมันจะเป็นขีดจนเหมือนว่าเค้ากำลังหลับตา แล้วก็ตรงนี้ “ ผมชี้ที่โหนกแก้มตัวเองเพื่อบอกตำแหน่งให้คนฟังเข้าใจ “ แก้มตรงนี้มันจะแดงแล้วก็กลมเป็นก้อนเวลาที่เค้ายิ้มกว้าง เป็นคนตัวขาว แล้วก็สูง นิสัยก็เหมือนเด็กๆ “
“ ท่าทางเค้าจะดูหมวยๆนะ “ ผมพิจารณาใบหน้าของคนตรงหน้าอีกครั้งก่อนจะยิ้มแล้วพยักหน้ารับ
“ ก็หมวยอยู่นะ “
“ ส่วนของกูมึงก็คงรู้อยู่แล้วละเนอะ “ ยักคิ้วให้มัน เมดก็เงียบไปอีกครั้ง จริงๆมันก็เราทั้งคู่นั่นแหละที่เงียบไป ผมที่เอาแต่มองอีกคน ส่วนเมดก็หันไปมองอีกฝั่งมันที่ยิ้มจางๆอยู่แบบนั้น
“ เมด มึงว่าเรารู้จักกันดีพอรึยังวะ “ เอ่ยถามอีกคนที่หันมามอง เราที่สบตานั้น “ กูจะได้ขอมึงเป็นแฟนสักที “
“ หมายถึงกูเหรอ “ มันชี้นิ้วเข้าหาตัวเองก่อนจะชะงักแล้วเงียบไป เมดเหลือบไปมองทางอื่นมันคงลืมไปแล้วสำหรับเรื่องพวกนี้ ความตื่นเต้นที่เหมือนคลื่นโหมซัดมันแบบไม่ทันตั้งตัว ตกประหม่าถึงขั้นแลบลิ้นตัวเองออกมาเลียริมฝีปากที่รู้สึกแห้งขึ้นมากะทันหัน มือที่จับอยู่ที่ระเบียงมันกำมือของตัวเองแน่นราวกับระบายความรู้สึกที่จู่ๆก็ปั่นป่วนขึ้นมาของตัวเอง
“ ก็ยืนอยู่กับมึงสองคน “ ถึงจะเป็นคำพูดนิ่งๆแต่ในใจของผมมันกับสั่น ลำคอที่แห้งจนต้องกลืนน้ำลายซ้ำกันหลายๆครั้ง สีหน้าที่ไม่ได้แสดงอาการเคอะเขินอะไรแต่ข้างในมันร้อนไปหมดราวกับเลือดทั่วร่างมันกำลังแล่นไปมาด้วยความเร็วอยู่ภายในแบบไม่มีหยุด
“ ทำไมถึงเป็นกูวะ “ เมดเม้มริมฝีปากแน่นตอนที่ถามออกมา มันที่ยังคงมองไปที่อื่น “ ก็..ก็ไหนตอนแรกบอกกูน่ารำคาญ “
“ ตอนนี้ก็ยังน่ารำคาญนะ “ มันหันมามองหน้าผมตอนที่พูดแบบนั้นอีกฝ่ายขมวดคิ้ว แต่ผมกลับยกยิ้ม “ เป็นเหี้ยอะไรก็ไม่รู้ พอนั่งนิ่งๆก็เอาแต่คิดถึงแฟนเก่าแล้วก็ร้องไห้ ปลอบยังไง หาวิธีให้หายเศร้ายังไง สุดท้ายก็ร้องไห้อยู่ดี น่ารำคาญชิบหาย. “ เว้นเสียงไปตอนที่ยักคิ้วให้อีกคน “ แต่รู้มั้ย ถึงเป็นแบบนั้นกูก็ยังอยากจะให้มึงมานั่งน่ารำคาญอยู่ข้างๆกูในรถนะ กูอยากให้เป็นมึง คนที่จะได้ไปกินข้าวด้วยกันกับกูทุกวัน กูที่แค่อยากหันมาเห็นหน้ามึงคนที่กูบอกว่าน่ารำคาญสัดๆตอนที่รถมันติดไฟแดง อยากเงยหน้าขึ้นมามองมึงที่นั่งกินข้าวอยู่ตรงข้ามกันเวลากูกินข้าว กูอยากเป็นคนที่อยู่ข้างๆมึง แล้วก็อยากจะให้มึงเป็นคนที่อยู่ข้างกู ก็แค่ไม่อยากให้มึงหายไปไหนอีก กูรู้สึกแบบนี้ มันพอจะเป็นเหตุผลได้เปล่าวะ “
“ ก็ได้อยู่ แต่จะไม่เร็วไปหน่อยเหรอวะ “ อีกคนพูดก่อนจะก้มหน้าลง เมดแก้มแดงจัดแต่ถึงอย่างงั้นผมก็เห็นสายตาที่แอบกังวลของมัน
“ แต่สำหรับกูมันช้าไปนะ “ ผมบอกอีกคนที่หันมามองหน้ากันด้วยความไม่เข้าใจ
“ กูเพิ่งเลิกกับแฟนนะอาฟ อีกอย่างเรายังไม่รู้จักกันดีพอเลย “
“ มึงชื่อ มิณทร์ มิณทร์ที่สะกดด้วย มอม้า สระอิ นอเณร ทอทะหาร รอเรือ การันต์ เกิดวันที่เก้าสิงหาคม พ่อเป็นคุณครูตำแหน่งผ.อ.ที่กำลังเกษียณ แม่แท้ๆตายแล้ว มีแต่แม่เลี้ยงที่มึงเรียกว่าแม่เล็กมีน้องต่างแม่คนนึง ชื่อวิว ตอนเด็กๆให้อั่งเปาน้องยี่สิบบาท ใช้ของเหมือนน้องแม้แต่หลอดดูดในน้ำปั่นก็ต้องสีเดียวกัน
ตอนนี้มึงเรียนอยู่คณะบัญชีปีสี่ ไม่มีเพื่อนสนิท ทำงานอยู่ผับ throw up ตำแหน่งบัญชี จัดซื้อ แล้วก็เป็นเลขาของกู ก่อนนอนจะชอบทาแป้งเด็ก มึงชอบกลิ่น ของมันเพราะจะทำให้หลับสบาย มึงแพ้ง่าย ใช้ได้แต่ของเด็ก เป็นคนรักษาความสะอาด ขับรถ civic สีขาว ป้ายทะเบียน กข 8723 “
“ มึงแม่ง.. “ อีกคนว่ายิ้มๆเพราะคิดไม่ถึงว่าผมจะพูดอะไรแบบนั้นออกมา “ นี่ที่เรียกกูมาคุยเพราะจะเอามาตอบคำถามนี้ของกูโดยเฉพาะเลยถูกมั้ย “
“ ทำความรู้จักกันไง “ เมดถอนหายใจออกมา มันที่เม้มริมฝีปากตัวเองตอนที่มองใบหน้าของผม ในแววตานั้นผมรู้สึกถึงความไม่มั่นใจของอีกคน
ผมก็เหมือนคนที่นั่งรอมันอยู่ในเรือ เรือที่ไม่ได้สวยงาม ออกจะเป็นเรือเก่าเพราะเราก็ไม่ใช่คนที่สมบูรณ์แบบด้วยกันทั้งคู่ ตัวผมที่กำลังยื่นมือไปหาไป เชิญชวนมันลงเรือลำนี้เพื่อท่องออกไปในมหาสมุทรที่ชื่อว่าความรัก เมดที่เคยเปียกปอนเพราะเพิ่งผ่านการลอยคอในน้ำจากเรือลำเก่าที่อับปางลง เสื้อของมันกำลังแห้ง และตอนนี้ก็ลังเลเหลือเกินเพราะไม่อยากจะเปียกอีกครั้ง
“ มันจะโอเคเหรอวะอาฟ “
“ อะไรที่มึงคิดว่ามันจะไม่โอเค “
“ มึงเตี้ยกว่ากูนะ บางทีก็ดูตัวเล็กกว่ากูด้วย เราที่เดินข้างกัน มันจะดูเหมาะสมกันเหรอวะ “
“ ความรักของมึงคืออะไรวะ “ ผมเอ่ยถามมันตอนที่รู้ถึงความลังเลที่อีกคนคิด
น่าเสียใจอยู่เหมือนกันที่มันไม่ใช่ความลังเลที่มาจากการกระทำที่สามารถบอก หรือแสดงออกให้มั่นใจได้ แต่มันกลับเป็นรูปร่าง ที่ผมไม่สามารถเปลี่ยนแปลงมันได้
“ ความรักของกู..”
“ คือความเหมาะสมของรูปร่างภายนอกเหรอ ? ความรักของมึงคือสายตาของคนอื่นที่ไม่รู้จักมึง ไม่รู้จักกู ตอนที่มองมาที่เรา ตัดสินเราว่าเป็นยังไงทั้งๆที่ไม่ได้รู้จักเรา หรือว่าความรักของมึงคือความเหมาะสมในความคิดของคนอื่นก็แค่นั้น ความรักของมึงเป็นอย่างงั้นเหรอ “
“ ก็ไม่ใช่อย่างงั้น “ มันส่ายหน้าก่อนจะโบกมือด้วยท่าทางตกใจ “ กูแค่รู้สึกว่ามึงน่าจะแคร์เรื่องแบบนั้น หมายถึงรูปร่างหน้าตา มึงอาจจะอยากได้คนที่เหมาะสมกับมึง “
“ มึงคิดผิดแล้ว “ ผมบอกด้วยสายตาจริงจัง “ สำหรับกูความรักไม่ใช่เรื่องรูปร่างภายนอก แต่มันคือการที่กูจะยอมใส่เสื้อตัวใหญ่เพื่อให้ตัวเองดูตัวใหญ่เท่าๆกับมึง ถ้ามึงซีเรียสเรื่องรูปร่างเวลาเดินกับกู และมันก็คือการที่กูจะยอมใส่รองเท้าผ้าใบที่มันมีส้นหนาๆไปตลอดเพื่อให้สูงได้เท่ามึงถ้ามึงอยากได้แฟนที่สูงเท่ามึง “
“ อาฟ..”
“ แล้วตอนนี้มันก็เหลือแค่มึงแล้วเมด มึงจะยอมทิ้งรองเท้าผ้าใบแบบส้นหนาๆมาใส่แค่รองเท้าผ้าใบส้นเตี้ยเพื่อให้เราทั้งคู่สูงเท่ากัน แล้วเดินจับมือไปกับกูรึเปล่า “ ทุกอย่างเงียบไปนาน ในแววตาเรียวของเมดที่กำลังมองผม “ ความรักของกูมันเป็นแบบนั้น ”
เป็นแบบที่จะพยายามเปลี่ยนแปลงตัวเองในสิ่งที่อีกคนไม่ชอบ เปลี่ยนเพื่อให้ตัวเองได้เดินอยู่ใกล้ๆกันไปตลอด ความรักของผมเป็นแบบที่ เราอาจจะไม่ได้สมบูรณ์แบบก็จริงอยู่ แต่เราจะเติมเต็มให้ได้มากที่สุดในแบบของเรา
ลมหายใจที่ผ่อนออกมาช้าๆยอมรับว่าตื่นเต้นกับคำตอบของคนตรงหน้าผมก้มหน้าลงต่ำ เมดเม้มริมฝีปากตัวเองไว้แน่นมันนิ่งไปอยู่นาน ผมไม่รู้ว่ามันกำลังคิดอะไร แต่ทว่าในตอนที่เงยหน้าขึ้นมาแล้วสบสายตากับผมนั้น ทุกอย่างก็ได้บอกคำตอบกับผมทั้งหมดแล้ว
มันก็เหมือนกับหลายปีก่อนตอนที่อีกคนได้รับนมช็อกโกเล็ตที่ผมฝากไป รอยยิ้มกว้างที่ชวนให้แววตาเรียวนั้นกลายเป็นขีด แก้มแดงๆที่กำลังบอกถึงความรู้สึกเขินอายเสียมากมาย ต่างกันก็ตรงที่ว่าวันนี้ผมไม่ได้แอบมองมันอีกแล้ว แต่กลับจ้องมองอีกคนตรงๆ ด้วยความรู้สึกทั้งหมดที่ไม่ปิดบัง
“ อื้ม ตกลง “ อีกคนว่า “ กูจะยอมใส่รองเท้าผ้าใบส้นเตี้ยเพื่อเดินไปกับมึง “
ยิ้มกว้างของผมห้ามไว้ไม่อยู่ ทั้งๆที่คิดไว้ว่าจะปั้นหน้านิ่งเท่ห์ๆสำหรับความทรงจำครั้งนี้ของเรา แต่ทุกอย่างกลับพังไม่เป็นท่าเพราะความสุขที่ทะลักอกออกมาอย่างห้ามไว้ไม่อยู่ ผมยิ้มแบบที่ไม่เคยยิ้ม
ดึงตัวเองที่กำลังยืนพิงระเบียงอยู่นั้นขึ้นเต็มความสูง ขยับตัวไปยืนใกล้อีกคนที่กำลังจ้องมองผมด้วยสายตาสั่นไหวเพราะความตื่นเต้น แต่ผมก็ไม่ต่างกัน ราวกับกลองใบใหญ่ๆถูกตีอย่างบ้าคลั่งในอก ตีจนรู้สึกเจ็บไปหมด
“ เมด “
ผมก้มหน้าเอียงองศาเข้าไปใกล้อีกคนที่เบิกตาเรียวขึ้นเล็กน้อยตอนที่เห็นผมชัดขึ้นในระยะประชิด เมดชะงักไปด้านหลัง เหมือนจะขัดขืนผมที่กำลังจะจูบมันในช่วงเวลาที่แสนวิเศษแบบนี้
“ ไม่เร็วไปหน่อยเหรอวะ “ มันถามแต่ตอนนั้นผมก็แค่ยกยิ้ม
“ อดใจไม่ไหวแล้ว “
จูบลงบบริมฝีปากนิ่มอย่างเบาแรง เป็นครั้งแรกที่เราจูบกันจากความตั้งใจของกันและกันไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดขึ้นจากความต้องการของผมเพียงฝ่ายเดียว เผลอยิ้มออกมาตอนที่จูบย้ำลงไปบนริมฝีปากนั้น ดูดดึงเบาๆอยู่กับความนุ่มนวลที่ไร้การเชื้อเชิญใดแต่กลับให้หยุดทำแค่นี้ไม่ได้
ออกแรงเม้มมันแรงขึ้นอีกสักนิด ผมไม่อยากทำให้อีกฝ่ายรู้สึกไม่ดี จูบแรกก็เหมือนกับเซ็กส์ครั้งแรก เป็นอะไรที่ต้องทำให้พึงพอใจได้ทั้งสองฝ่าย เผยอปากส่งลิ้นชื้นเข้ามาสอดเกี่ยวกอดกับสิ่งเดียวกันของอีกคน เมดตอบรับมันอย่างดีเป็นจังหวะไม่ได้ดูเร่งเร้าเชี่ยวชาญอะไรแต่ก็ไม่ได้เชื่องช้าจนไร้เดียงสา
เสียงหยาดน้ำลายของจูบที่กำลังดูดดื่มก้องไปทั้งโสตประสาทของเรา ดังยิ่งกว่าเพลงข้างล่างที่ถูกเปิดอยู่ในผับ หรือบางทีอาจเพราะผมกำลังจดจ้องกับคนตรงหน้าที่มีความสุขก็ไม่ทราบได้
สองแขนเอื้อมไปกอดเอวของอีกคนไว้ ไม่ต่างอะไรกับร่างเพรียวที่ปล่อยมือตัวเองจากขอบระเบียงมาจับไว้ที่อกของผมเช่นกัน เราผละออกจากกันเพียงครู่เพราะรู้สึกถึงลมหายใจที่กำลังหมดลง เผลอกัดปากตัวเองตอนที่เห็นริมฝีปากของอีกฝ่ายนั่นเจ่อขึ้นเล็กน้อย ยกยิ้มเล็กๆกับผลงานตัวเองก่อนจะก้มลงไปจูบมันอีกครั้ง และคราวนี้จังหวะของเราก็เริ่มเปลี่ยนไป จูบที่ดูดดื่มมากขึ้นกว่าเมื่อครู่ราวกับแนวเพลงที่เปลี่ยนไปเป็นอีกแบบ
เมื่อก่อนผมเคยคิดว่ารสจูบนั่นหวาน เหมือนกับในหนังสือที่เคยอ่าน แต่พอได้ลองของจริงทุกอย่างมันกลับต่างกันไปหมด จูบไม่ได้มีรสหวาน มันไร้รสชาติและออกจะเปล่งๆด้วยซ้ำไป แต่ถึงอย่างงั้นไม่ว่าใครก็ยังคงบอกว่าจูบนั้นมีรสหวาน และตัวผมก็ไม่เคยเข้าใจเลยจนกระทั่งตอนนี้ ตอนที่กำลังจูบกับคนที่อยู่ในอ้อมกอด
มันก็ยังเป็นจูบที่ไม่ได้มีรสหวานนั่นแหละ แต่ทว่าในความรู้สึกตอนนี้มันกลับหวานล้ำยิ่งกว่ารสหวานใดๆที่เคยชิม กลิ่นแป้งที่ชวนให้สูดลมและหลงใหล ทุกอย่างมันรู้สึกหวานไปหมด หวานอยู่ในหัวใจที่พองโตและเต้นแรงอยู่ในอกของผม
“ อื้อ..” ผละริมฝีปากออกมาตอนที่ได้ยินเสียงเบาๆของอีกฝ่ายร้องประท้วง เพลิดเพลินกับจูบแรกนานไปแล้วถ้าพูดได้เจ้าริมฝีปากแหลมๆที่กำลังเจ่อเล็กน้อยของอีกคนคงพูดกับผมแบบนั้น แต่ตอนนี้ก็ดูเหมือนเมดที่เม้มริมฝีปากพลางมองมาทางผมด้วยสายตาคาดโทษกำลังทำแบบนั้นอยู่
ยิ้มกว้างก่อนจะยักคิ้วตอบรับมันไปแบบไม่รู้สึกผิดอะไรทั้งสิ้น ถ้าย้อนกลับไปได้เมื่อหลายนาทีก่อน แน่นอนว่าจะยังทำเหมือนเดิม แต่ถ้าบอกคงยิ่งทำให้อีกคนหน้าตางอง้ำยิ่งหว่าเก่า
“ มึงแม่ง “ มันว่าแค่นั้นก่อนจะขยับตัวเองออกห่างไปจากตัวผม คลายอ้อมกอดที่กอดเอวมันอยู่ในขณะนี้ลง เราทั้งคู่ต่างมองไปทางอื่นโดยที่ไม่ได้หันมามองกันเลยสักนิด ตอนนี้คงมีเพียงแค่แก้มแดงๆที่บอกถึงความรู้สึกของอีกคน ส่วนผมก็มีแค่หูที่ไม่ว่าจะดึงยังไงก็ไม่ทำให้หยุดแดงเสียที
“ วันนี้มันวันที่เท่าไหร่วะ “ เอ่ยถามมันออกไปสั้นๆ เมดก็ถามกลับ
“ ถามทำไม “
“ ก็วันนี้ในปีหน้า มันจะได้เป็นวันพิเศษไง “ ต่างฝ่ายที่ต่างก็ยิ้มให้กันกับวิวทิวทัศน์ที่ไม่มีอะไรเลยตรงหน้า แต่ทว่ามันกลับสวยกว่าทุกวัน
“ ก็จริงของมึง “
.....................................................................
ยิ้มหวาน...ในที่สุดเนอะคะ ในที่สุดดดดดดดดด
ต้องมีคนแซวแน่เลยว่าพี่อาฟจูบเมดเร็วไปมั้ย
คำตอบจากใจคนเขียนคือ ..ไม่เร็วนะคะ ถ้าอ่านจากตอนที่แล้วเรียงลำดับลงมา ตามนิสัยพี่แกด้วย.. นี่แหละ พี่อาฟเลย #หน้าร้อนที่ไม่ใช่ฤดู
เรื่องราวความรักของทั้งคู่จะเป็นยังไง ชิ้นส่วนชีวิตที่ค่อนข้างเว้าแหว่งจะเติมกันให้เต็มได้อย่างไร ตอนหน้าเป็นต้นไปนะคะ
ฝากแท็ก #ผับชั้นสาม ในทวิตด้วยนะคะ
ขอบคุณที่เข้ามาอ่านและคอมเม้นท์