ตอนที่ 18
“ แล้วทำไมเสือกมานั่งอยู่ตรงนี้วะ “ เพื่อนสนิทเอ่ยถามผม ที่เดินมาหย่อนตัวนั่งลงบนเก้าอี้ในส่วนของบาร์ข้างๆมัน ผมเองก็ไม่รู้ตัวเหมือนกันว่าทำไมตัวเองถึงเดินลงมานั่งอยู่ตรงนี้ หลังจากฟังคำตอบของคำถามที่ว่า ผมพอจะเป็นคนที่มันชอบได้มั้ย คำตอบที่บอกว่า ก็คงพอไหวอยู่ ของมันนั้นก็ทำให้คนอย่างผมนิ่งไป
ความจริงเราก็นิ่งไปทั้งคู่ เมดเองในตอนนั้นมันก็ก้มหน้าลงต่ำจนปากชนกับเครปที่ถืออยู่ หัวใจของผมเต้นแรงจนรู้สึกเจ็บไม่รู้อีกคนจะเป็นเหมือนกันมั้ย แต่ความเงียบในตอนนั้น บรรยากาศแบบนี้ถ้าเข้าไปนั่งในห้องด้วยกันมันต้องอึดอัดกว่าตอนเราโกรธกันหลายเท่าแน่ๆ และคงเพราะแบบนั้นขาของผมก็เลือกที่จะหันหลับแล้วเดินลงมาชั้นล่าง พูดได้อีกอย่างคือจะบอกว่าเดินมาทำใจให้เลิกเต้นแรงก็ไม่คงผิดนัก
“ มึงง้อไอ้เมดไม่สำเร็จเหรอวะ “
“ เปล่า “ บอกสั้นๆแล้วถอนหายใจออกมา ผมหันไปมองน้องชายตัวเองที่กำลังทำทีเป็นยืนบริการแขกอยู่ไม่ไกล
“ เดย์ โฮการ์เด้นมาขวด “
“ ครับ “ อีกคนตอบก่อนจะเปิดขวดเบียร์ที่สั่งวางลงตรงหน้า ยกขวดเบียร์ขึ้นกินก่อนจะเหลือบไปมองใครบางคนที่มองผมอยู่ ผมลดขวดเบียร์ที่กำลังดื่มนั่นลงแล้วส่งยกยิ้มไปให้ตอนที่เห็นว่ามันเป็นผู้ชายคนที่เข้ามาขอเบอร์ไอ้เมดแต่ผมกลับชิงตัดหน้าเอาจดหมายนั่นของมันไปก่อน
“ นี่มันยังอยู่อีกเหรอวะ “
“ ท่าทางอาฆาตมึงเอาเรื่อง “ ไอ้เจบอก “ แต่ก็ไม่แปลก มึงเล่นดึงเบอร์ไอ้เมดที่จะให้มันไปต่อหน้าต่อตามันแบบนั้น เป็นกูจะต่อยสักที สันดานส้นตีนแบบนี้ “
“ กูเห็นด้วยกับพี่เจ ความจริงสัดพี่ไม่ควรทำงั้นนะ “ ไอ้เดย์ที่ยืนอยู่ตรงหน้าผมพูดขึ้น เงยมองหน้ามันอีกคนก็จ้องกันด้วยสายตากวนส้นตีน “ มึงไม่ได้เป็นไรกับพี่เมดสักหน่อย เค้าจะมีใครมาชอบก็เรื่องของเค้าสิวะ มึงทำเป็นหวงเค้าเหมือนเป็นผัวเค้าอย่างงั้นอะ “
“ กูเห็นด้วยกับไอ้เดย์ “ เจยกแก้วเหล้าขึ้นกินก่อนจะหันมายักคิ้วให้ผม “ เค้ามีสิทธิ์เลือกเพราะเค้าโสด “
“ ไม่มีสิทธิ์ นี่เวลางานไม่ใช่เวลามาหาผัว “
“ ปากมึงนี่แบบ..” ส่ายหน้าไปมาแทนคำพูดที่จะพูดออกมา มันคงไม่รู้จะเอาคำด่าไหนมาด่าให้ผมรู้สึกสำนึกแล้ว
ผมก็รู้ตัวเองดีว่าไม่มีสิทธิ์ ก็อย่างที่พวกมันสองคนบอกนั่นก็ถูกแล้ว เมดไม่ใช่แฟนผม เราไม่ได้เป็นอะไรกัน มันไม่ใช่เพื่อนด้วยซ้ำเป็นแค่เพื่อนร่วมงานชั่วคราวที่มาทำงานจ่ายหนี้ก็แค่นั้น แต่ที่พิเศษอยู่หน่อยก็ตรงที่อดีตของผมมีมันคาบเกี่ยวอยู่ซึ่งเจ้าตัวไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อนเลย
ถ้าถามว่าผมอยากจะมีสิทธิ์ในตัวมันมากกว่านี้มั้ย เมื่อวานอาจจะตอบว่าอยากจะให้ค่อยเป็นค่อยไป แต่วันนี้ผมอยากจะตอบใหม่ว่า มาก อยากเป็นคนที่มีสิทธิ์หึงหวงได้ตามใจชอบ
อยากจะเก็บเอามันมาไว้กับตัวคนเดียวไม่ให้คนอื่นมีสิทธิ์ทั้งนั้น อยากจะเป็นคนที่ได้เอาใจ แล้วก็อยากจะถูกเอาใจกลับมาเช่นกัน แล้วก็อยากจะให้ทุกวันต่อจากนี้มันพิเศษมากกว่านี้
แต่ดูเหมือนว่าทุกอย่างจะยังไม่พร้อมขนาดนั้น แต่ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเป็นอะไร
ใจผมที่ยังไม่กล้า หรืออีกฝ่ายที่ผมคิดว่า คงยังไม่พร้อม
“ หวงก้างสัด แดกก็ไม่แดก แต่ก็ไม่ให้คนอื่นแดกเหมือนกัน “ น้องชายบอก ผมก็มองมัน
“ เรื่องของกู “
“ ไม่อยากจะมีสิทธิ์ในตัวไอ้เมดมากกว่านี้จริงๆเหรอวะ “ ไอ้เจที่อยู่ๆถามขึ้นมันหันมามองหน้าผม “ ไม่อยากจะเป็นคนที่หึงหวงเค้าได้เหรอ “
“ มึงจะให้กูขอมันเป็นแฟน “
“ ถูกต้องนะครับ “ อีกคนบอก ผมก็เหลือบมองไอ้เดย์ที่เม้มปากตัวเองแน่น ถ้าให้เดาคำพูดที่ดูมีสมองของไอ้เดย์เมื่อครู่คงเป็นแผนของพวกมันสองคนที่วางคำพูดไว้พูดกับผม เพราะอยากจะให้ขอไอ้เมดเป็นแฟนสักที “ จะรออะไรอยู่วะ ความรู้สึกมึงชัดขนาดนี้แล้ว จะรอให้มีใครมาจีบไอ้เมดก่อนรึไง นิสัยเหี้ยๆแบบมึง คว้าเค้าไว้ก่อนน่าจะดีกว่านะ “
“ แต่ถึงมาทีหลังถ้านิสัยดีกว่าก็โดนทิ้งได้นะ “
“ สัดเดย์ “ ไอ้เจสถบด่าน้องชายผมด้วยสายตาเอาเรื่อง มันถลึงตาใส่อีกคนที่ก็เม้มริมฝีปากแน่นก่อนจะยกมือขึ้นปิดปาก
“ กูไปดูแลแขกละ “
“ ไปเลยสัด จะช่วยก็เสือกช่วยให้แย่ลง “ ส่ายหน้าไปมาเซ็งๆ ผมแอบยกยิ้มกับท่าทางของพวกมันที่อยากจะให้ผมสารภาพรักและขออีกคนมาเป็นแฟนเหลือเกิน ในความคิดพวกมันคงรอให้ผมทำเองไม่ไหวแล้วเลยต้องวางแผนพูดปลุกใจกันหน่อย
นึกถึงใบหน้าหวานที่ยิ้มเขินมากมายกับคำพูดของผม คนที่เริ่มทำให้ตัวผมเริ่มไม่เป็นตัวผมไปทีละนิด จากที่ไม่เคยง้อใคร ผมง้อมัน ไม่เคยใส่ใจใคร ผมใส่ใจมัน ผมให้ทุกอย่างกับมันอย่างที่ไม่เคยให้ใคร ผมมั่นใจว่าผมรู้สึกมากกว่าคำว่า ชอบหรือถูกใจไปแล้ว แต่ว่า..
“ บอกตอนนี้มันจะดีเหรอวะ เมดคงยังไม่พร้อม “
“ ทำไมมึงถึงคิดแบบนั้น “
“ มันเพิ่งเลิกกับแฟน มึงจะให้กูไปบอกเค้ายังไง “ ภายในใจนั้นยังคงเสียใจอยู่มันไม่ได้ตัดขาดได้ภายในไม่กี่วัน ต่อให้พูดชัดขนาดไหนว่า เลิกกันแล้ว แต่ความรู้สึกมันอยู่ข้างใน ยังไงเค้าก็ยังรู้สึกแค่ไม่แสดงออกมาก็เท่านั้น อีกคนที่กำลังอยู่ในระยะทำใจ ก็ไม่ได้หมายความว่าจะไม่รู้สึกอะไรกับเรื่องนั้นแล้ว
“ ไม่เกี่ยวหรอก “ ไอ้เจบอก “ มึงเป็นคนคิดมากเรื่องเล็กๆแบบนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่ ไอ้อาฟเพื่อนกูถ้าอยากได้อะไรมันจะคว้าไว้เลยแบบไม่ลังเล มึงไม่รู้จักคำว่ารอ เพราะมันจะคิดเสมอว่า มันเจ๋งพอที่จะทำให้เค้ารักมันได้ “ ผมยกยิ้มกับคำพูดของพูดที่บรรยายถึงตัวผม แม้มันจะไม่ถูกต้องไปทั้งหมดก็ตาม “ มึงเป็นคนแบบนั้นไม่ใช่เหรอวะ แล้วมึงจะกลัวอะไร มั่นใจหน่อยสิวะ ก็อย่างที่มึงเป็น “
“ คงเพราะคนนี้ กูไม่ได้คิดว่า ถ้าไม่รักก็คงไม่เป็นไร “ ผมยกยิ้มจางๆตอนที่ยกขวดเบียร์ขึ้นมาดื่ม “ กูว่า กูคงเป็น ถ้าเมดมันปฎิเสธ “
“ งั้นเหรอวะ “ เพื่อนผมยิ้มก่อนจะดึงแก้วตรงหน้าขึ้นดื่ม
“ ที่กูเคยกล้าได้กล้าขนาดนั้น เพราะกูมันก็แค่คนคนนึงที่เคยรอแล้วผลลัพธ์มันเหี้ย กูเลยไม่คิดรออะไรอีกถ้าถูกใจใคร อีกอย่างคนพวกนั้นกูกล้าได้กล้าเสียเพราะไม่ได้เสียใจอยู่แล้ว ไม่ว่าผลลัพธ์สุดท้ายจะเป็นยังไง “
“ พอเข้าใจอยู่ “
“ แบบนี้รึเปล่าวะ “ ผมเอ่ยถามอีกคน “ อาการที่เค้าเรียกว่า เรากำลังจริงจังกับใครสักคน “
“ คงจะใช่ “
“ ถ้าเป็นมึงจะทำยังไง ถ้ามึงเป็นกู “
“ ก็คงทำไปตามที่อยากจะทำแบบไม่ลังเล เพราะกูก็ไม่รู้จะรอเหี้ยอะไร “ เจว่า “ ถึงเมดจะไม่รู้ว่ามึงคือคนที่แอบส่งนมช็อคโกเล็ตให้มันทุกวันสมัยม.ปลาย แต่ใช่ว่าตอนนี้มันจะไม่ชอบมึง กูว่ามันก็ดูชอบๆมึงอยู่ ถ้าเป็นเวทีมวยก็คงผลัดกันออกหมัดลองเชิงกันอยู่ก็เท่านั้น “
“ ไอ้สัดเอม “ ผมสถบออกมาตอนที่หันไปหาไอ้เจมันก็ยิ้มกว้างพลางโบกมือถือไปมาราวกับจะบอกว่าคนที่กุมความลับครั้งนั้นได้เล่าเรื่องราวทั้งหมดให้มันฟังผ่านมือถือเครื่องนี้แล้วเรียบร้อย
“ ไล๊น์ “
“ ไอ้สัด “
“ กูไม่ล้อมึงหรอก พี่นมช็อกโกเล็ต “
“ ไอ้พวกหน้าเหี้ย กูบอกแล้วให้เก็บเป็นความลับ “ ถอนหายใจออกมาเซ็งๆ ผมยกขวดเบียร์ขึ้นกินก่อนจะเหลือบไปมองบาร์เทนเดอร์สองคนที่ยืนอยู่ไกลออกไป “ ไอ้สองตัวนั่นรู้มั้ย “
“ ไม่รู้ กูไม่ได้บอก “
“ อย่าเสือกไปบอก “
“ ไม่บอกหรอก กลัวมันเรียกมึงว่าพี่นมช็อกโกเล็ต ฟังแล้วแสลงดูจะตายไปสัด “
“ ไอ้สัด เงียบปาก “ ไอ้เจหัวเราะถูกใจตอนที่ผมด่ามัน มือที่ยกแก้วเหล้าตรงหน้าตัวเองขึ้นกินก่อนจะส่ายหน้าไปมา
“ เป็นกู กูบอกเมดไปแล้วว่าชอบมาตั้งแต่ตอนนั้น แฉความเลวของไอ้เชี้ยบินให้ถึงที่สุด “
“ แล้วจะได้อะไรวะ “ ผมถามมันกลับ “ คนฟังมันรู้สึกดีเหรอวะที่ตัวเองถูกหลอกแล้วเข้าใจผิดมาตลอด หรือมันกลับไปแก้ไขอะไรได้ถึงต้องไปบอกมันว่าเคยเกิดอะไรขึ้น “
“ บทจะพระเอก เพื่อนกูก็โคตรของโคตรพระเอกเลยสัด “
“ กูแค่ไม่เห็นว่าบอกไปแล้วจะมีอะไรดีก็แค่นั้น “
เราเปลี่ยนแปลงสิ่งที่เกิดขึ้นแล้วไม่ได้ เวลามันไม่ได้ย้อนกลับหลัง ทุกอย่างตอนนั้นหลงเหลือไว้เพียงแค่ความทรงจำ ผมไม่ได้เจ็บปวดอะไรแล้ว แต่กลับกันผมคิดว่าถ้าบอกอีกคนไปมันอาจจะเจ็บปวดที่ยินอะไรแบบนั้นก็ได้ ‘ นี่กูโดนหลอกมาตลอดเลยเหรอ ‘ เมดคงคิดแบบนั้นถ้ามันได้ฟัง และถ้าเป็นแบบนั้นก็อย่าเอาอดีตที่เคยเห็บปวดมาเสียใจกับปัจจุบันเลย
เอาจริงๆตอนนั้นจะเรียกว่าอกหักก็คงไม่ใช่แต่ก็ใกล้เคียง คล้ายกับว่าผมเล่นบอลและครองบอลอยู่ในสนามมาตลอด แต่สุดท้ายเพื่อนร่วมทีมที่มีจุดหมายเดียวกันคือการทำลูก ก็มาแย่งบอลลูกนั้นก่อนจะยิงเข้าประตูไป ความดีใจที่ทุกคนโห่ร้องต่างให้ความสนใจแต่ผลลัพธ์ว่าใครเป็นคนยิงเข้า แต่ไม่เคยมีใครเอ่ยถามเลยว่า ก่อนจะยิงเข้าใครมันเลี้ยงบอลลูกนี้มา
แล้วนั่นก็คือผม ในตอนนั้น
จำได้ว่าช่วงนั้นเป็นเวลาหลังเลิกเรียนตอนอยู่ ม.6 เทอมสอง โรงเรียนของผมไม่ได้อยู่ใกล้กับโรงเรียนของอีกคนมากถึงขนาดจะเรียกได้ว่าตรงกันข้ามถ้ามองในมุมของแผนที่ เรียกว่าเป็นโรงเรียนที่อยู่ใกล้กันมากกว่า แต่พวกเรามักเรียกโรงเรียนนั้นว่า โรงเรียนตรงกันข้าม เหมือนเรียกๆต่อกันมาตั้งแต่ไหนแต่ไร
“ มายเฟรนนนนนนนนน วันนี้กูไม่มีซ้อมบาส ไปหาไรแดกกัน “ เอม เพื่อนตัวสูงนักกีฬาชมรมบาสของโรงเรียนวิ่งพุ่งเข้ามากอดคอผมกับไอ้เจที่เดินอยู่ข้างกันบนตึกและกำลังจะแยกย้ายกันกลับบ้าน
“ ทำไมกูต้องไปวะ “ เจถามเซ็งๆก่อนจะยกมือขึ้นเกาหัวตัวเอง “ แล้วที่มึงเชื่องช้าอยู่ในห้อง คือทำเชี้ยไรอยู่ “
“ ก็เอมมี่กำลังถามเพื่อนๆในชมรมไงคะพี่เจ ว่าเอมมี่ต้องไปซ้อมบาสอะเปล่า “
“ กูขอตัวไปอ้วกนะ “ ผมที่ทำทีจะเดินออกไปแต่ก็โดนไอ้เชี้ยเอมมี่ลากกลับมายืนที่เดิม
“ อย่าเฉยเมยกับช่วงเวลาว่างของเพื่อนที่แสนจะน่ารักคนนี้จะได้มั้ยละสัด “
“ ขี้เกียจ “ ผมบอก อยากจะกลับบ้านจะตายห่าอยู่แล้ว ลงเกมส์ไว้เมื่อคืนไม่รู้ตอนนี้มันไปถึงไหนแล้ว คิดว่าจะพนันเล่มเกมส์กับไอ้เดย์น้องชายที่อยู่ม.4 สักหน่อย
“ กูก็ขี้เกียจจะกลับไปนอน “ ไอ้เจบอกเสริม ก่อนเสียงถอนหายใจจะดังขึ้นมาถ้าให้เดาเนื้อหาดราม่าคงเริ่มจากตรงนี้
“ ทั้งๆที่กูว่างแท้ๆ แต่ไม่มีเพื่อนรักคนไหนของกูที่จะอยากอยู่กับกูเลยเหรอ กูกำลังจะย้ายไปเรียนอยู่ออสแล้วแท้ๆ เราจะไม่ได้เจอกันอีกนานเลยนะ จะไม่ได้นั่งกินข้าวเที่ยงด้วยกัน จะไม่ได้กลับบ้านด้วยกันเหมือนสมัยม.ต้น แต่พวกมึงก็ยังเลือกที่จะกลับบ้านและทอดทิ้งเพื่อนอย่างกูที่นานๆทีจะมีเวลาว่าง ”
“ ไว้จะไปตายเมื่อไหร่มึงก็มาบอกอีกทีแล้วกัน “
“ ฮ่าๆๆๆ “ ไอ้เจหัวเราะถูกใจเสียงดังกับคำพูดของผม
“ ไม่เอา พี่อาฟไม่เช่งเอมมี่สิค่ะ เอมมี่จะอยู่! ”
“ รำคาญสัด “ ดึงมือมันออกผมเร่งฝีเท้าเดินลงไปจากตึก แต่ทว่าก็โดนคนที่อยากจะไปกินขนมหลังเลิกเรียนให้ได้อย่างไอ้เอมกอดคอรั้งไว้อีกครั้งอยู่ดี
“ มึงจะไปไหน ต้องไปกินขนมกับกู “
“ ไปหาไรกินที่โรงเรียนฝั่งตรงข้ามกันดีกว่า “
“ เออไปๆ “ พอไอ้เจเสนอไอ้เอมมันก็พยักหน้ารับทันที ส่วนผมก็แค่โดนลากมาอีกทีไม่ได้อยากจะมาเลยสักนิด
ถนนหลังโรงเรียนตรงกันข้าม เหมือนสถานที่รวมของเด็กสองโรงเรียนที่จะมาหาขนมกินกันหลังโรงเรียนเลิก บ้างก็มีเรียนพิเศษต่อที่ตึกสูงฝั่งข้างๆเลยต้องมาหาอะไรรอท้องก่อน ที่ตรงนี้ก็เลยเหมือนจะเป็นศูนย์รวมของเด็กสองโรงเรียนขนาดย่อมก็ว่าได้ แล้วส่วนใหญ่ที่พบรักกันก็ตรงนี้แหละ รวมถึงผมด้วย
สองฝั่งถนนที่ผมกำลังยืน มีรถมาขายขนมเต็มไปหมด สารพัดของที่เด็กๆชอบ ไม่ว่าจะเป็นน้ำ ขนม แม้แต่คาเฟ่เล็กๆก็เปิดกันอยู่แถวนี้ อยากจะกินแบบร้านหรือยืนกินแบบรถเข็นก็เลือกได้ตามใจชอบ
“ อยากกินโตเกียววะ คนน้อยพอดี เดี๋ยวกูมา “ ไอ้เจมันพูดขึ้นก่อนจะวิ่งไปแบบไม่รอใคร ตรงหน้าร้านโตเกียวเจ้าอร่อยที่มีไส้ให้เลือกเป็นสิบ
“ แม่งดูอยากกินกว่ากูคนชวนมาอีก สัดเจ “ ไอ้เอมว่าผมก็ยกยิ้มกับคำพูดมัน ก็จริงอย่างที่อีกคนพูด “ รอมันตรงนี้ก่อนแล้วกันนะมึงแล้วค่อยไปคาเฟ่ตรงนู้น “
“ อื้ม “ ขานรับสั้นๆ ผมก็มองอะไรไปเรื่อยเปื่อย ก่อนจะหยุดสายตากับคนกลุ่มนึงที่ยืนอยู่อีกฝั่งนึงของถนน
กลุ่มเด็กผู้ชายสามคนที่ดูจากชุดคงจะเป็นเด็กนักเรียนโรงเรียนฝั่งตรงข้าม หนึ่งในคนที่กำลังหัวเราะสนุกสนานนั้นมีคนคนนึงที่ผมรู้สึกสะดุดตา คนตัวขาวกับแก้มกลมที่ระเรื่อด้วยสีแดงอ่อนๆเพราะอากาศข้างนอกที่ค่อนข้างร้อน แต่ถึงอย่างงั้นก็ยังยิ้มตาปิดจนแทบจะเป็นขีดแบบมีความสุขเหลือเกิน
มองคนคนนั้นอยู่สักพัก มันนานจะลืมไปแล้วเป็นเวลาเท่าไหร่กันที่ผมมองเค้า เผลอยิ้มไปกับท่าทางน่ารักพวกนั้น ก่อนจะมองแบบสังเกตเค้าไปทั้งตัว จดจำยี่ห้อกระเป๋าเป้ที่เค้าสะพายอยู่ทั้งสองข้างบนไหล่ สังเกตไปถึงมือที่กำลังหิ้วถุงเซเว่นแล้วถามกับตัวเองในใจว่า ในนั้นจะมีอะไรอยู่
“ มึงมองอะไรวะอาฟ “ เสียงทุ้มของคนที่ยืนอยู่ข้างๆเอ่ยถาม ผมปรับสีหน้าที่กำลังยิ้มให้กลับมาเรียบเฉยเหมือนเดิม “ ไรวะ ? มึงมองไร ? เมื่อกี้กูเห็นมึงมอง มองเด็กกลุ่มนั้นอ๋อออออออ “ รอยยิ้มกว้างแซวกันผมก็หันไปด่ามันยิ้มๆ
“ สายตาดีนักนะมึงไอ้สัดเอม “
“ สนใจเหรอวะ “ มันถามย้ำก่อนจะยักคิ้วให้
“ ไม่ได้สน “
“ ตอแหลลลล “ มันลากเสียงก่อนที่ผมจะหันไปมองทางอื่น แล้วตอนที่คิดว่าเพื่อนข้างๆไม่ได้มองตามแล้วนั้น สายตาของผมก็หันไปมองเค้าอีกครั้ง ผมว่าผมชอบคนยิ้มแบบนั้นนะ ‘ มันน่ารักดี ’ “ กูว่ามึงมองวะอาฟ “
“ ไอ้สัดเอม “
“ มึงมองคนที่อยู่ตรงกลางใช่มั้ย คนตรงกลาง ที่ขาวๆหน้าตี๋ๆหน่อย “ ผมเงียบไม่ได้ตอบอะไร เผลอคิดไปว่าวิธีนี้จะทำให้เพื่อนหยุดถามหยุดสนใจ แต่ก็เปล่า “ กูไปถามชื่อให้ เดี๋ยวกูมา “ ไม่ต้องฟังเสียงตอบตกลงของผม คนเจ้ากี้เจ้าการอย่างไอ้เชี้ยเอมก็เดินข้ามถนนตรงไปหาคนกลุ่มนั้นทันที แล้วเท่าที่นึกออกตอนนั้นผมก็รีบเดินหนีจากจุดที่ยืนเข้าไปหาไอ้เจที่ร้านขายขนมโตเกียวทันที
แอบยืนเอียงตัวเหลือบมองเพื่อนมาจากหน้าร้านขายโตเกียวที่มีคนกลุ่มนึงต่อแซวซื้ออยู่ คนที่ยังคงยิ้มแย้มคุยกับคนกลุ่มนั้นที่มีท่าทางจะหวงเพื่อนแบบเอาเรื่อง แต่ทว่าก็ไม่มีใครสู้ความหน้าด้านของเพื่อนผมได้หรอก อะไรที่สัดเอมอยากรู้ สัดเอมก็ต้องได้รู้อยู่แล้ว
ผมเห็นคนที่ผมสนใจเอ่ยอะไรออกไปนิดหน่อย ด้วยรอยยิ้มเขินๆ คิดว่าคงเป็นชื่อของเจ้าตัวเองที่ไอ้เอมเอ่ยถาม มันยิ้มกว้างก่อนจะโบกมือลาคนกลุ่มนั้นที่ก็มีแค่คนเดียวที่ดูใจดียิ้มตอบกลับมัน ต่างจากอีกสองคนที่ทำหน้าหงุดหงิดแบบไม่ชอบใจเท่าไหร่
เพื่อนผมเดินข้ามถนนกลับมาก่อนจะยิ้มแล้วเอ่ยทักเพื่อนร่วมชมรมตัวเองที่ยืนอยู่ตรงนั้นพอ แล้วมันคนนั้นในวันนั้นก็คือ ไอ้บิน ตอนนั้นผมไม่ได้คิดอะไร เอมมันก็คงไม่ได้คิด มันยืนคุยกับไอ้บินสักพักก่อนจะโบกมือลาแล้วมองซ้ายดูขวามองหาผม ที่พอเห็นว่ายืนอยู่หน้าร้านขายโตเกียว มันก็เดินตรงเข้ามาทันทีด้วยรอยยิ้มกว้าง
“ อย่าเสียงดัง “ ผมบอกมันก่อนที่อีกคนจะพูด มันหุบปากก่อนจะเอียงตัวมากระซิบ
“ ชื่อเมด อยู่ม.หก เรียนศิลป์คำนวณเหมือนเราเลย “
“ เหรอ “ พยักหน้ารับเพื่อนที่หันไปสนใจขนมโตเกียวที่เพิ่งเสร็จใหม่ๆจากเตาในถุงของไอ้เจที่ยืนคอยอยู่นาน
เอมไม่ได้สนใจผมแล้ว มันหันความสนใจไปเถียงกับเพื่อนอีกคนเพื่อแย่งขนมกิน ผมก็เอาแต่มองคนคนนั้นที่กำลังโดนเพื่อนล้อจนหน้าแดงไปหมด คนตัวขาวที่ทำทีไม่สนใจดึงถุงที่ถืออยู่ในมือขึ้นมาก่อนนมช็อกโกเล็ตที่อยู่ในถุงนั้นจะถูกเจาะแล้วอีกคนจะก้มลงดูดมันเข้าไป ผมยิ้มตอนที่เห็นท่าทางนั้นอยู่นาน ในสมองก็มีแต่คำว่า เมด เต็มไปหมด ‘ คนอะไรวะแค่ชื่อยังน่ารักเลย ‘
“ มองไรวะไอ้เชี้ยอาฟ “ ไอ้เจเอ่ยถามผมที่ก็หันไปมองพวกมันแบบยิ้มๆเพราะมีความสุข เอื้อมมือไปหยิบโตเกียวในถุงขึ้นมากินก่อนจะเดินนำออกไป
“ เสือก “
“ เอ้า ไอ้สัดขนมกูมั้ยละ ไอ้เหี้ยยยยยยย “
“ ขี้เหนียวจริงๆเลยยยย “ ก็อย่างที่ไอ้เอมบอกไอ้เจ ขี้เหนียวจริงๆไอ้เชี้ยนี่ แต่ว่าขนมที่ได้กินวันนี้ก็อร่อยดีวะ เหมือนจะอร่อยกว่าทุกครั้ง
“ พรุ่งนี้มากินกันอีกมั้ย กูเลี้ยงเอง “