เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) side story : Where R U? อยู่ไหนครับ...ที่รักของผม5[24\3\63]
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: เกียร์คู่ในตำนาน ( yaoi 3P ) side story : Where R U? อยู่ไหนครับ...ที่รักของผม5[24\3\63]  (อ่าน 50397 ครั้ง)

ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1
                                              ตอนที่ 15 You make me wanna be a better man .


“พี่ที อ่านไดอารี่ของภูรึยางคร้าฟฟฟฟฟฟ” ยัง-_-



“พี่ทีไม่อ่านของไอ้ภูก็ไม่เป็นไร อ่านของครามคนเดียวก็ได้ ครามวาดรูปประกอบด้วยนะ รับรองอ่านแล้วสนุกโคตรๆ ” ตกลงเอ็งเขียนไดอารี่หรือเขียนการ์ตูน=_=?



“พี่ทีหายโกรธเถอะนะ พี่ไม่คุยกับเรามาอาทิตย์นึงแล้วอ่า ภูจะจำเสียงพี่ไม่ได้อยู่แล้วเนี่ย … ขอเสียงหน่อยยยยย” ภูผายื่นช้อนมาตรงหน้าผม ทำเหมือนนักร้องขอเสียงแฟนคลับงั้นแหละ ผมควรจะทำไงดี? กรี๊ดให้มันไปสักทีดีไหม สนองนี๊ดมันหน่อย



“เพื่อนเล่นหรอ?”



“อุ้ย! …เปล่าครับ……” ภูผาหน้าจ๋อยไปทันที แต่ช่างเถอะ ไม่เกินห้านาทีเดี๋ยวมันก็เอาใหม่



“เฮ้ย! พี่ทีพูดกับพวกเราแล้วภู มึงได้ยินมั้ยเมื่อกี้อ่ะ” ไอ้ครามทำท่าดีอกดีใจโอเวอร์มาก มันหันไปเขย่าตัวไอ้ภู ก่อนที่ไอ้ภูจะเหมือนเพิ่งนึกขึ้นได้ว่านี่เป็นครั้งแรกในรอบเจ็ดวันที่ผมเปิดปากพูดด้วย มันเงยหน้ามองผมด้วยท่าทางดีอกดีใจ



ผมเก๊กหน้าขรึม อันที่จริงผมคิดว่าจะไม่พูดด้วยไปจนกว่าจะเปิดเทอม แต่วันนี้ไม่พูดด้วยคงไม่ได้เพราะ…



“ล้างจานเสร็จแล้วรีบไปเปลี่ยนเสื้อผ้า วันนี้จะพาไปซื้อชุดนิสิต” พูดจบ ผมก็เดินเอาจานไปเก็บในครัว ปล่อยให้พวกมันล้างให้ ส่วนตัวผมกลับเข้าห้องไปหยิบกระเป๋าตังค์



อาแอ๋มให้ผมเป็นคนจัดการค่าใช้จ่ายทั้งหมดของสองแฝด นอกจากค่าเทอมที่อาแอ๋มจ่ายไปแล้ว ค่าใช้จ่ายจิปาถะทั้งหมดไม่ว่าจะเป็นค่าชุด ค่าหนังสือ ค่าชีท ค่าขนม ฯลฯ อาแอ๋มให้ผมเป็นคนจัดการให้สองคนนั้นตามสมควร มีการแอบกระซิบด้วยว่าถ้าน้องดื้อก็หักค่าขนมเข้ากระเป๋าตัวเองไปเลยไม่ว่ากัน







สองคนนี้มันคิดอะไรอยู่กันแน่ ?



ผมมองทั้งภูผากับฟ้าครามที่แต่งตัวอย่างกับจะไปเดินแบบ ใส่เดฟสีสนิมเหล็ก คาดเข็มขัดหัวโตสีดำนุ่งทับเสื้อยืดลายไฟสีแดง ทับด้วยเสื้อมีฮู้ดสีเหลืองอีกชั้น ปิดท้ายด้วยหมวกกับแว่นกันแดด เจริญเถอะ



“ไปเปลี่ยนกางเกง” ผมกอดอกพูดด้วยหน้านิ่งๆ พวกมันทำหน้าเหลอหลาก้มมองกางเกงตัวเองทันที



“ทำไมหรอพี่ มีอะไรหรอ?” มันสองคนหมุนหน้าหมุนหลังเหมือนหมาที่ชอบวิ่งไล่กัดหางตัวเอง สำรวจกันยกใหญ่ว่ามีอะไรผิดปกติบนกางเกงตรงไหน



“เดี๋ยวตอนลองกางเกงมันจะถอดไม่สะดวก ไปเปลี่ยนเป็นขาสั้นถอดง่ายๆ มา ส่วนเสื้อจะเปลี่ยนก็ได้ ..ใส่เป็นเสื้อมีกระดุมก็ดีจะได้ไม่ต้องถอดเข้าถอดออกทางหัว ฮู้ดก็ไม่ต้องใส่ไป ร้อนขนาดนี้จะใส่ทำติ่งอะไร แว่นกับหมวกเอาไปเก็บซะเดี๋ยวหาย” ผมถอนหายใจ พวกมันไม่รู้เลยหรือไงว่าเวลาไปซื้อเสื้อผ้าควรแต่งตัวให้ถอดง่ายๆ น่ะ เพลียใจจริงๆ เฮ้อออ



สองคนนั้นกลับไปเปลี่ยนเสื้อผ้าอย่างว่าง่าย ออกมาอีกทีค่อยเข้าท่าหน่อย ภูผากับฟ้าครามใส่เสื้อกล้ามสีขาวทับด้วยเสื้อเชิ้ตแขนสั้นสีดำเล่นลายหมากรุกที่ปก ไม่ติดกระดุม กางเกงก็เป็นกางเกงขาสั้นเท่าเข่าสีน้ำตาล เข้าใจคิดแฮะเวลาลองเสื้อก็แค่ถอดเสื้อนอกออกแล้วลองได้เลย ดีกว่าไอ้ที่แต่งเยอะๆ เมื่อกี้เป็นกอง









(บทฟ้าคราม)



ผมกับภูเดินตามหลังพี่ทีต้อยๆ โดยไม่ได้คุยกันแม้แต่คำเดียว ถึงพี่เค้าจะยอมคุยกับพวกผมแล้ว แต่ก็คุยแค่เฉพาะธุระต่างๆ ไม่ยอมคุยเรื่องสัพเพเหระ



พี่ทีพาเราไปที่ศูนย์หนังสือของมหา’ ลัย ที่นั่นผมกับภูได้แต่ยืนมองพี่เขาเลือกเนกไท หัวเข็มขัด กระดุมข้อมือ และอื่นๆ อีกมากมายอย่างชำนาญ ถึงพี่เค้าดูจะยังโกรธพวกเราอยู่ แต่ก็เลือกอุปกรณ์แต่งกายให้อย่างตั้งอกตั้งใจ หลายครั้งที่พี่ทีหยิบเข็มขัดสองเส้นขึ้นมาพิจารณา ผมมองแล้วก็ไม่เห็นว่ามันจะต่างกันตรงไหนเลย แต่พี่แกก็หยิบแล้วเปลี่ยนๆ อยู่นั่นแหละ ผมลองหยิบเส้นที่พี่เขาวางลงไปขึ้นมาเทียบกับอีกเส้นดู ทั้งเพ่งทั้งจับแทบตายกว่าจะรู้ว่าที่ไม่เลือกก็เพราะที่ร้อยเข็มขัดมันฝืดเกินไป



…พี่ทีใส่ใจทุกรายละเอียดจริงๆ



แล้วอย่างนี้จะไม่ให้พวกผมหลงจนตามง้อกันหูดับตับไหม้ได้ยังไง ก็คิดดูดิขนาดโกรธกันอยู่ยังมานั่งเลือกนู่นเลือกนี่ให้เป็นชั่วโมง เป็นผมคงทำไม่ได้อย่างพี่เขา เกิดมาก็เพิ่งเคยเจอคนที่ตั้งใจเลือกเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายให้คนที่ตัวเองโกรธได้หน้าตาเฉยแบบนี้แหละ



“เฮ่ย!!!!! ” ผมกับภูสะดุ้งโหยงทันทีที่มือปริศนาตบลงกลางหลังพร้อมกับเสียง ‘เฮ่ย!’ ในขณะที่กำลังมองพี่ทีเลือกของให้อย่างเคลิบเคลิ้ม ผมกับภูหันขวับไปด้านหลังทันทีอย่างตกใจ



“ไอ้ยูโร! / ไอ้ยูโร!” ผมกันไอ้ภูอุทานพร้อมกัน เมื่อเห็นเพื่อนร่างผอมยืนอยู่ด้านหลัง พวกผมรู้จักกับมันตอนงานแรกพบ เรามีความเห็นตรงกันว่าไอ้นี่มันรูปร่างเหมือนขวดสปาย เพราะมันผอมมากกกกก ตัวมันสูง แขนขายาวเก้งก้างไปนิดไม่ถึงกับน่าเกลียด คอมันก็ยาว หน้ามันก็ทรงยาวๆ เหมือนขวดสปายเลย กร๊ากๆ ๆ อยากถามมันดูเหมือนกันว่าบ้านมันขายขวดหรือเปล่า ลูกชายเลยออกมาทั้งหัวทั้งตัวเหมือนขวดขนาดนี้ หรือชาติที่แล้วมันทำบุญด้วยขวดวะ



“โอ้...มาซื้อของหรอ” มันมองพวกผมด้วยตาหรี่ๆ เหมือนคนเพิ่งตื่น เออ…หรือว่ามันเพิ่งตื่นจริงๆ วะ เสื้อผ้าที่ใส่นี่อย่างเน่าอ่ะ มันกล้าออกมาทั้งชุดนี้ได้ยังไง



“เออ มาซื้อชุดกับพี่ แล้วมึงอ่ะ มาซื้อชุดเหมือนกันหรอวะ” ผมพยักพเยิดไปทางพี่ทีที่ยังคงยืนเฟ้นหาหัวเข็มขัดที่ดีที่สุด (เพื่อพวกเรา) อย่างเอาเป็นเอาตาย น่ารักจริงพี่ใครวะ>_<



“ชุดกูมีแล้ว กูแค่มายืนอ่านหนังสือฟรีเฉยๆ ” มันพูดไปก็ล้วงมือเข้าไปเกาพุงแกรกๆ ไอ้ภูไปคว้าไอ้นี่มาทำเพื่อนได้ไงวะ โสโครกจริงๆ …เออลืมไป ไอ้ภูไม่ได้ไปคว้ามันมาแต่มันมาของมันเอง=_=;;



ไม่ทันที่พวกผมจะได้เสวนากับไอ้ขวดต่อพี่ทีก็เดินมาหาพวกผมพร้อมกับยื่นตะกร้าที่ใส่อุปกรณ์ทุกชิ้นอย่างละสองมาให้ไอ้ภูถือ



“เพื่อนหรอ?” พี่ทีชะงักไปเมื่อเห็นไอ้ยูโรยืนอยู่กับพวกผม พอไอ้ยูโรหันไปเจอพี่ทีสองคนนั้นก็เหมือนจะมองหน้ากันแปลกๆ อยู่แว้บนึง ไม่รู้ผมตาฝาดไปเองหรือเปล่า บางทีพี่ทีอาจจะตกใจก็ได้ที่พวกผมมีเพื่อนเหมือนขวดขนาดนี้ ฮ่าๆ ๆ



“พี่ทีครับ นี่ไอ้ยูโร เพื่อนภูกับคราม … ไอ้โร นี่พี่ทีลูกพี่ลูกน้องพวกกู อยู่ปีสามโยธา ไหว้สิมึง” ไอ้ภูแนะนำไอ้ยูโรให้พี่ทีรู้จัก



“หวัดดีครับพี่ที ผมชื่อยูโรนะครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วย” ยูโรยกมือไหว้พี่ทีแบบมึนๆ



“อืม ฝากดูแลน้องพี่ด้วยนะ” พี่ทียิ้มบางๆ ให้ไอ้ยูโร หน็อย! อิจฉาโว้ยยยย! ผมไม่ได้เห็นพี่ทียิ้มมาเป็นสัปดาห์แล้วนะ แต่ไอ้ยูโรมาแป๊บเดียวพี่ทียิ้มให้มันเฉยเลย ความยุติธรรมอยู่ที่หนายยยย



หลังจากมันสบตาปิ๊งปั๊งกับพี่ทีอีกสิบวิ ไอ้ยูโรก็ขอตัวล่องลอยจากไปหาที่ชอบที่ชอบของมัน เออ ไปซะได้ก็ดี ยืนมองพี่กูอยู่ได้ จะสบตากันให้ท้องไปเลยหรือไง เห็นแล้วหงุดหงิดจริงเชียว



หลังจากนั้นพี่ทีก็พาเราออกจากศูนย์หนังสือไปย่านที่ขายชุดนักศึกษาโดยเฉพาะ พวกผมอยากจะเดินขึ้นไปขนาบพี่เขานะแต่ทำไม่ได้ ที่นี่ถนนแคบเกินไป



มาถึงร้านร้านนึงพี่ทีก็เดินนำพวกเราเข้าไป



“ใครสวมคะเนี่ย? เอาเสื้อไซส์อะไรดีคะ?” เจ้าของร้านร่างท้วมเดินเข้ามาถามอย่างกระตือรือร้น



“สองคนนี้ครับ ขอไซส์ L กับ XL มาลองหน่อย”



“เชิญทางนี้เลยค่ะ”



ผมกับภูช่วยกันลองคนละไซส์



“เป็นไงบ้าง” พี่ทีถามหน้านิ่ง เฮ้อ เมื่อไหร่จะเลิกทำหน้าแบบนี้สักทีนะ



“ใส่ได้พอดีเลยพี่ที” ไอ้ภูที่ใส่ L ตอบ



“ครามก็ใส่ได้” อืม XL ผมก็ใส่ได้ไม่น่าเกลียดนะ



พี่ทีถอยหลังไปยืนมองห่างๆ



“ยกแขนขึ้นทั้งคู่เลย ตึงมั้ยภูผา”



“เออ ยกแขนแล้วตึงอ่ะพี่ …ครามมึงโอเคช่ะ”



“โอเคว่ะ เสื้อหลวมนิดนึงกำลังใส่สบาย กูว่า L ของมึงมันรัดตัวไปหน่อยป่าววะ”



“เออ กูก็ว่างั้น …พี่ทีครับ เอา XL นะครับ”



พี่ทีพยักหน้ารับนิ่งๆ ก่อนจะหันไปสั่งเสื้อไซส์นี้ 10 ตัว ตามที่แม่บอกให้ซื้อครบทุกวันไปเลย



“ป้าหนึ่งครับ ขอแบบที่เนื้อผ้าหนาหน่อยนะครับ อันที่ให้มาลองบางไปหน่อย” พี่ทีตะโกนไล่หลังไป



“จ้า เดี๋ยวป้าหยิบให้”



เมื่อได้เสื้อมาปุ๊บ พี่ทีก็หยิบออกมาเช็กทุกตัว จับเนื้อผ้า หยิบขึ้นมาส่องความหนาบาง จับปกเสื้อว่าแข็งพอมั้ย เข้ารูปหรือเปล่า ฝีเย็บใช้ได้ไหม งานชุ่ยไปหรือเปล่า ตอนแรกผมก็ไม่รู้ว่าพี่เค้าดูอะไรนักหนา ไม่เห็นจะมีอะไรต้องดู ซื้อๆ ไปก็จบ



สงสัยพี่ทีคงจะสังเกตเห็นว่าเราสองคนทำหน้าเบื่อหน่าย เค้าก็เลยอธิบายเบาๆ พอให้ได้ยินกันสามคนว่าเสื้อผ้าต้องเลือกยังไง ต้องพิจารณาอย่างไรบ้าง นั่นทำให้ผมประหลาดใจเพราะไม่เคยรู้มาก่อนเลยว่าเสื้อนักศึกษาจะมีรายละเอียดมากขนาดนี้ บางทีเห็นตัวนึงถู๊กถูก แต่อีกตัวโคตรแพง มองภายนอกก็ไม่เห็นมันจะต่างกันตรงไหน พี่ทีก็อธิบายว่ามันต่างกันที่เนื้อผ้า ความหนาบาง ฝีเย็บ ตัวที่ถูกๆ บางครั้งซักไม่กี่ทีก็เหลืองแล้ว ไม่ก็ผ้าบางจนขาดง่าย



พอได้เสื้อจากร้านนี้ พี่ทีก็พาไปซื้อกางเกงกับอีกร้านนึง



“ทำไมเราไม่ซื้อกางเกงร้านเดียวกันไปเลยล่ะพี่” ผมถามอย่างสงสัย พี่ทีตอบโดยไม่หันกลับมามอง



“กางเกงร้านนั้นผ้าหนักเกินไป ใส่แล้วจะร้อน”



โอ้โฮ สมแล้วที่เป็นหัวหน้าฝ่ายกฎระเบียบ แม้แต่เรื่องเสื้อผ้าเครื่องแต่งกายยังรู้เลยว่าร้านไหนดีไม่ดี ถูกระเบียบหรือไม่ โคตรเทพ



ผมกับภูเดินตามพี่ทีจนขาลาก พอได้กางเกงก็ต้องไปหาซื้อรองเท้าถุงเท้า ซื้อชุดพิธีการอีก แล้วแต่ละอย่างพี่แกก็เลือกนานมากกกกก แต่แปลกที่ผมไม่รู้สึกเบื่อที่จะรออีกแล้ว เพราะรู้ว่าพี่เขาไม่ได้เรื่องมากแต่มันจำเป็นที่จะต้องเลือกให้ดีเพราะต้องใส่ไปจนเรียนจบ พี่เค้าแค่กำลังเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเรา แล้วผมจะไปเบื่อไปรำคาญกับการรอพี่เค้าได้ยังไง เนรคุณแย่เลย



“พี่ที น้ำครับ” ไอ้ภูที่หายไปไหนไม่รู้ กลับมาพร้อมน้ำมะพร้าวปั่นกับโกโก้อย่างละแก้ว



ตอนแรกผมนึกว่าพี่เค้าจะไม่ยอมกินเสียอีก แต่ก็ยอม คงจะเหนื่อยและหิวน้ำมาก วันนี้อากาศร้อนจริงๆ พึ่งรู้ตัวว่าผมก็เริ่มคอแห้งเหมือนกัน



พี่ทีรับน้ำมะพร้าวปั่นไปถือดื่มเอง มืออีกข้างที่ว่างก็หยิบๆ จับๆ เนื้อผ้าชิ้นนู้นชิ้นนี้ไปเรื่อย ผมรู้สึกนะว่าพี่เค้าเริ่มจะดีๆ กับพวกเราบ้างแล้ว ไม่เหมือนเมื่อหลายวันก่อนที่แม้แต่หน้าก็ยังไม่มอง ทอดไข่เผื่อยังไม่กินเลย แต่วันนี้ยอมคุยด้วย แล้วก็ยอมดื่มน้ำ นับว่าเป็นสัญญาณที่ดีทีเดียว



เมื่อได้ของครบแล้วพวกเราก็กลับคอนโดกัน พอถึงห้องแต่ละคนนี่แทบสลบไสล พี่ทีเดินสะโหลสะเหลกลับเข้าห้องตัวเองไป ส่วนพวกผมนอนสลบกันอยู่บนพรมในห้องนั่งเล่น



หลังจากนอนแผ่หลาอยู่พักใหญ่ ผมก็ลุกขึ้นนั่งบนพื้น ส่วนไอ้ครามปีนขึ้นไปนอนบนโซฟาหลับไปเรียบร้อยแล้ว ผมหยิบบรรดาข้าวของต่างๆ ที่ซื้อวันนี้ขึ้นมาดู ลูบไล้ตราสถาบันอันทรงเกียรติที่ผมไม่เคยคิดฝันมาก่อนว่าชีวิตนี้จะมีโอกาสได้ใส่ ความรู้สึกภาคภูมิใจมันล้นปรี่อยู่ในอก ไม่เคยคิดเลยว่าจะมีวันนี้ วันที่ได้เข้าเรียนในสถาบันที่มีชื่อเสียง วันที่ทำให้พ่อแม่ภาคภูมิใจ วันที่ได้อยู่ร่วมห้องกับคนที่ชอบแสนชอบและคนคนนั้นยังเป็นคนเลือกเสื้อผ้าให้อีกด้วย



ผมลูบเสื้อในมือ รับรู้ได้ถึงเนื้อผ้าอ่อนนุ่มที่หนากำลังพอดี กระดุมทุกเม็ดเย็บติดแน่นกับสาบเสื้อ ตามชายเสื้อไม่มีเส้นด้ายสักเส้นหลุดออกมาให้เห็น ผมสัมผัสได้ถึงความใส่ใจของคนที่เลือกมันมาให้



ผมมีความสุขมากจริงๆ ตั้งแต่เกิดมาไม่เคยมีความสุขขนาดนี้มาก่อน มันเป็นความสุขที่เกิดจากหลายๆ เรื่องหลอมรวมเข้าด้วยกัน ไม่ใช่ความสุขที่เกิดจากสิ่งหวือหวา หรือการออกไปเที่ยวเล่นชั่วครั้งชั่วคราว แต่มันเป็นความสุขที่เกิดขึ้นจากภายในจิตใจ



ผมรู้สึกเหมือนใจผมกำลังถูกห่อหุ้มด้วยความอ่อนโยนละเมียดละไม เป็นความอ่อนโยนที่ต่างไปจากที่ได้รับจากพ่อแม่ เพราะความอ่อนโยนนี้มันทำให้ผมรู้สึกวาบหวามอุ่นร้อนไปทั้งอก



ผมกอดเสื้อที่พี่ทีเลือกให้ผมไว้แนบอก ในใจก็บอกกับตัวเองว่าผมอยากจะเป็นคนที่ดีกว่านี้ อยากจะทำตัวเองให้คู่ควรกับชุดที่คนคนนี้เลือกให้ใส่



ผมเดินกลับเข้าไปในห้อง ลงมือเขียนบันทึกประจำวันที่เพิ่งจะมาเริ่มเขียนเมื่อสองเดือนก่อน เล่มนี้เป็นเล่มใหม่ เล่มเก่าให้พี่ทีไปแล้ว ผมเขียนบรรยายทุกสิ่งทุกอย่างที่เกิดขึ้นในวันนี้ เขียนทุกความรู้สึกที่มีใส่ลงไปในสมุด อยากให้พี่ทีได้อ่านมันและรับรู้ถึงความในใจของผมสักที











                                     P’ T , You make me wanna be a better man .



                                                                                                             จบบันทึก

----------------------------------------------------------------------------------------------------------------------------



ฟ้าคราม นายเริ่มมีความคิดความอ่านโตขึ้นทีละนิดแล้วนะ ^^



ขอบคุณสำหรับการติดตามค่ะ ดีใจจังมีคนมาเม้นท์ให้ด้วย>< ชอบไม่ชอบ รู้สึกยังไง ระบายกันมาได้เต็มที่เลยนะคะ
สำหรับคอมเม้นท์ที่บอกว่านี่มันนิยายสีเทาชัดๆ โง้ยย เดจาวูมากๆ มีคนเคยบอกอย่างงี้หลายคนเเล้วทั้งๆที่เราไม่ได้ตั้งใจเลยค่ะ เราไม่ใช่สายดราม่านะเออ;-;


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-02-2018 10:44:07 โดย candleguard »

ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1

                                                                 ตอนที่ 16  ละอายใจ



วันนี้ผมตื่นสายกว่าทุกวันเพราะเมื่อวานเหนื่อยกับการเดินซื้อเสื้อผ้ากับไอ้เจ้าแฝด สิบโมงแล้วหรอเนี่ย ผมเงยหน้ามองปฎิทินตั้งโต๊ะหัวเตียงเพื่อเช็กกำหนดการในแต่ละวัน เย้! วันนี้ว่าง แต่…เฮ้อ แต่มะรืนผมเปิดเรียนแล้ว มีประชุมสภานิสิต ต้องขึ้นพูดวันปฐมนิเทศมหา’ ลัย เตรียมงานรับน้องอีก ผมตัดสินใจหยุดสายตาไว้แค่นั้น เดี๋ยวเห็นงานทั้งเดือนแล้วจะพาลอยากหลับไม่ตื่น เซ็งๆ ๆ อาบน้ำดีกว่า



ผมหยิบผ้าขนหนูเปิดประตูเดินออกจากห้องอย่างงัวเงียเล็กน้อย แต่แล้วก็ต้องผงะถอยอย่างตกใจเมื่อเห็นนิสิตสองคนยืนอยู่ตรงหน้า



“พี่ที! ครามหล่อมั้ย” ฟ้าครามที่สวมชุดนิสิตหมุนรอบตัวให้ผมดูสองรอบ ไม่เข้าใจว่าจะหมุนทำไมสองครั้ง ครั้งเดียวก็พอแล้วโว้ย



“พี่ทีๆ ภูเท่อ้ะป่าวววว” ภูผาทำท่าเสยผม มืออีกข้างก็เท้าเอว เต๊ะท่าเหมือนเป็นนายแบบ



ไม่ค่อยจะเห่อเลยว่ะน้องตู =_=



พอตั้งสติได้ผมก็กอดอกมองสองคนนั้นอย่างพิจารณา มองตั้งแต่กบาลจรดตีน ตีนกลับขึ้นไปบนกบาล รู้สึกพออกพอใจอย่างประหลาดที่สองคนนี้ใส่ออกมาแล้วดูดีสุดๆ พอเจ้าตัวป่วนสองคนใส่ชุดนิสิตแบบนี้แล้วเหมือนเปลี่ยนเป็นคนละคนดูสง่าเป็นผู้ใหญ่ขึ้นเป็นกอง อุแหม่ ผมนี่ตาแหลมจริงๆ



สองคนนั้นมองหน้าผมอย่างลุ้นระทึก ผมอ่านสายตาสองคนนั้นออก มันกำลังบอกผมว่า ‘ชมผมสิๆ ’



เกือบอ้าปากชมไปแล้วว่าดูดีมาก แต่งับปากไว้ทัน ไม่ได้เว้ยไม่ได้! ผมโกรธมันอยู่นะ ถ้าไม่ใช่เรื่องจำเป็นผมต้องไม่คุยกับมันเด็ดขาด!



ผมสบตาสองคนนั้นก่อนจะยักไหล่เดินเข้าห้องน้ำไป นี่เป็นวันที่เก้าแล้วที่ผมแทบไม่คุยกับพวกมันเลยหากไม่จำเป็น ผมอาบน้ำไปก็ครุ่นคิดไปว่ามะรืนนี้ที่ผมเปิดเทอมผมจะยกโทษให้มันดีมั้ย เหนื่อยนะไม่ใช่ไม่เหนื่อยไอ้การโกรธใครสักคนเนี่ย



เอาจริงๆ ผมค่อนข้างงงกับตัวเองนะว่าทำไมพอมาอยู่ด้วยกันแล้วผมไม่รู้สึกโกรธเท่ากับเมื่อสองเดือน ตอนนั้นจำได้ว่าโกรธจัดจนถ้าฆ่าคนแล้วไม่ผิดกฎหมายมันคงกลายเป็นผีแฝดไปแล้ว ผมรู้สึกเหมือนตัวเองเป็นไอ้โง่ที่โดนกระทำซ้ำแล้วซ้ำเล่าแต่สุดท้ายก็ยอมยกโทษให้พวกมันทุกครั้ง ไม่รู้ว่าอย่างผมนี่เรียกว่าพี่ที่แสนดีหรือเป็นพี่ที่โง่เง่ากันแน่



บางทีที่ผมไม่โกรธมันเท่าสองเดือนก่อนอาจจะเป็นเพราะทิ้งช่วงนานเกินไป ไฟโทสะที่มีมันก็ค่อยๆ มอดลงซึ่งนั่นอาจจะเป็นเพราะสองคนนั้นไม่ได้เอาเรื่องผมไปโพนทะนาแล้วผมก็ไม่ได้เจอหน้าอ้อนตีนของพวกมันนานไปหน่อยก็เลยเผลอลืมๆ เลือนๆ ไป บวกกับนิสัยผมไม่ใช่คนเจ้าคิดเจ้าแค้นเลยยิ่งลืมง่ายเข้าไปใหญ่



แต่เชื่อเถอะว่าถ้าไอ้แฝดเอาเรื่องผมไปแฉจริงแล้วคนในครอบครัวมองผมเหมือนตัวประหลาด วันนี้เราคงไม่มีทางมาอยู่ร่วมห้องกันอย่างสันติหรอก ผมคงจะอาละวาดคว้าหม้อต้มยำสาดหน้าพวกมันตั้งแต่วันที่เลี้ยงฉลองไปแล้ว



แล้วตั้งแต่อยู่ด้วยกันมันสองคนก็ไม่เคยพูดเรื่องในไดอารี่ของผมออกมาเลย ภูผากับฟ้าครามทำเหมือนไม่เคยอ่านไม่รู้ไม่เห็นอะไรทั้งนั้น ทำเหมือนเหตุการณ์นั้นไม่เคยเกิดขึ้น จนผมรู้สึกเบาใจ แต่ถึงผมจะไม่ได้โกรธอะไรแล้ว ผมก็จำเป็นต้องแกล้งทำเป็นโกรธภูกับคราม เพราะถ้าผมไม่ลงโทษสองคนนั้นให้เข็ดซะบ้างเดี๋ยวแม่งก็เอาอีก



คนที่ยิ้มแย้มได้ทั้งวันอย่างผม จู่ๆ ต้องมานั่งเก๊กหน้านิ่งเป็นอาทิตย์ มันไม่ใช่ตัวผมเลยจริงๆ



ผมคิดว่าไม่มีประโยชน์อะไรที่จะแกล้งทำเป็นโกรธต่อเพราะสองคนนั้นก็ดูเหมือนจะสำนึกผิดแล้ว อันที่จริงผมก็อยากคุยกับน้องด้วยแหละ มันสองคนคุยสนุกจะตาย ผมเองก็เบื่อเหมือนกันที่ต้องเห็นหน้าจ๋อยๆ ของภูกับคราม



ผมเดินออกจากห้องน้ำเห็นภูผากับฟ้าครามที่เปลี่ยนกลับมาใส่ชุดอยู่บ้านนั่งดูข่าวกันเงียบๆ พอเห็นผมเดินผ่านก็มองผมแบบหงอๆ จ๋อยๆ เมื่อกี้ยังร่าเริงอยู่เลย แค่โดนเมินก็จ๋อยซะแล้วหรออ่อนว่ะ ผมอยากจะยิ้มขำแต่ก็ต้องกลั้นไว้แล้วเร่งฝีเท้าเดินเข้าห้องไป



ขณะที่กำลังจะออกไปหาอะไรกินผมก็เหลือบไปเห็นสมุดสองเล่มที่แปะโพสต์อิตสีสดไว้ มันยังคงวางอยู่ตรงนั้นตั้งแต่วันแรกที่ได้รับมาโดยที่ผมไม่ได้แตะต้องเลยสักนิด



‘Read me please! ’







ทันทีที่อ่านไดอารี่สองเล่มที่ภูผากับฟ้าครามใช้เวลาเขียนสองเดือนจบลงผมก็ได้แต่นั่งนิ่งด้วยความรู้สึกต่างๆ ที่ประเดประดังกันเข้ามาเหมือนน้ำป่าไหลหลาก



เพราะผมหรอน้องถึงอยากสอบติดที่เดียวกับผม



เพราะผมหรอน้องถึงอ่านหนังสือกันได้ถึงวันละ 12 ชั่วโมง ไปเอาแรงกายแรงใจขนาดนั้นมาจากไหน?



เพราะผมหรอน้องถึงอ่านหนังสือเป็นบ้าเป็นหลัง…จนอาทิตย์สุดท้ายก่อนสอบฟ้าครามเครียดจัดจนอ้วกทุกคืน



เพราะผมหรอที่ทำให้น้องเริ่มเขียนไดอารี่ทั้งที่ไม่เคยเขียนมาก่อนในชีวิต



ทำไมสองคนนั้นถึงได้ใสซื่อขนาดนี้นะ ยิ่งอ่านผมก็ยิ่งรู้สึกว่าภูผากับฟ้าครามนั้นช่างเป็นเด็กที่บริสุทธิ์เหลือเกิน เป็นผมเองต่างหากที่สกปรกโสโครกมองคนอื่นในแง่ร้ายได้ตลอดเวลา



ผมคิดไปเองว่าน้องคงจะรังเกียจและคิดว่าผมเป็นคนเลวมาก แต่เปล่าเลยทุกบรรทัดที่อ่านไม่มีแม้แต่ข้อความเดียวที่จะเขียนถึงผมในแง่ร้าย กลับกัน สองคนนั้นเขียนถึงผมในแง่ดีทุกอย่างแถมยังบอกอีกว่าการที่ผมคิดไม่ดีบ้างมันก็เป็นเรื่องธรรมดาของมนุษย์และเพราะผมเป็นคนดีผมจึงเป็นทุกข์เพียงแค่เผลอคิดไม่ดี



ผมคิดไปเองว่าน้องคงจะเอาเรื่องของผมไปโพนทะนาหรือไม่ก็เอามาไว้แบล็กเมล์ แต่กลับกลายเป็นว่าสองคนนั้นไม่ได้มีความคิดแบบนั้นสักนิดเดียว มีแต่ข้อความที่สื่อว่ารู้สึกผิด อยากขอโทษ ถ้าย้อนเวลากลับไปได้จะไม่ทำอย่างนั้นเด็ดขาด



ผมคิดว่าน้องจงใจไม่ไปสอบWCเพื่อประชดผม แต่กลับกลายเป็นว่าที่ไม่ไปสอบเพราะไม่อยากกั๊กที่ชาวบ้าน และอยากสอบเข้าที่เดียวกับผมให้ได้ทั้งๆ ที่รู้ว่ามันเสี่ยงมากถ้าเกิดแอดฯ ไม่ติด แต่น้องก็ยังทำ



ผมรำคาญที่ต้องมาอยู่กับน้อง ในขณะที่น้องดีใจที่รู้ว่าจะได้อยู่กับผม



…..



….



ผมมันเลว ผมแม่งเลวจริงๆ



ทำไมผมต้องมองคนอื่นในแง่ร้ายอยู่เรื่อยเลย หรือเพราะกมลสันดานของผมมันเป็นคนไม่ดี เลยทำให้ผมชอบมองคนในแง่ร้ายไว้ก่อน? ใช่ มันต้องใช่แน่ๆ ผมชอบมองน้องในแง่ร้ายเพียงเพราะต้องฝืนใจติวให้กันตั้งแต่แรก ความอึดอัดรำคาญใจที่ต้องเสียสละเวลาพักผ่อนของตัวเองบวกกับความเหนื่อยล้า ความไม่เข้าใจกัน มันผลักดันให้ผมมองน้องไปในทางที่ไม่ดี



ผมรู้ว่าน้องก็มีส่วนผิด แต่ผมคิดว่าตัวผมเองต่างหากที่ผิดมากกว่า น้องยังเด็ก เพิ่งออกจากรั้วโรงเรียนมาหมาดๆ น้องอาจจะซนบ้าง อยากรู้อยากเห็นบ้างมันก็เป็นเรื่องธรรมดาไม่ใช่หรอ ผมสิน่าตำหนิตัวเอง เป็นพี่แท้ๆ กลับไปถือสาน้องได้ แถมยังไปโกรธไปแค้นน้องอีก ผมมันไม่สมควรให้ใครนับถือเป็นพี่เลยจริงๆ



ก๊อกๆ ๆ



ผมสะดุ้งรีบเก็บไดอารี่สองเล่มนั้นใส่ลิ้นชัก



“พี่ที จะไม่ออกมากินข้าวเช้าหรอ นี่มันจะเลยไปมื้อกลางวันแล้วนะ ภูทำแซนด์วิชไว้ให้ ออกมากินหน่อยเถอะ เดี๋ยวเป็นโรคกระเพาะมันไม่คุ้มกันนะพี่” ภูผาตะโกนเข้ามา



“ที ไปอยู่นู่นแล้วอย่าลืมปลุกน้องไปเรียนด้วยล่ะ แล้วพวกกับข้าวน่ะหาให้น้องกินด้วยนะ อย่าเอาแต่กินมาม่ากันเข้าใจมั้ย”



เสียงที่แม่เคยย้ำเตือนดังขึ้นในหัว



ผมได้แต่ยิ้มขื่น เก้าวันที่อยู่ด้วยกัน น้องตื่นกันเอง แถมยังเป็นคนหาให้ผมกินทุกมื้ออีกต่างหาก แล้วผมมันก็เลว เดินเอาส่วนของตัวเองลงไปเทให้หมากินต่อหน้าต่อตาสองคนนั้น



นอกจากจะทำไม่ดีกับน้องแล้ว ผมยังผิดสัญญากับแม่ ผิดสัญญากับอาแอ๋มที่บอกว่าจะช่วยดูแลน้องให้ดีอีกด้วย



…. แล้วอย่างนี้ผมจะมีหน้าไปมองน้องยังไง แค่เห็นหน้าน้องผมก็รู้สึกละอายใจแล้ว



ก๊อกๆ ๆ



“พี่ที! ฟังอยู่ป่าวววว ออกมากินหน่อยนะๆ ๆ ”



“…พี่รู้แล้วคราม เดี๋ยวออกไป!” ผมตะโกนตอบ เสียงจากนอกประตูเงียบลง ผมนั่งลูบหน้าลูบตาตัวเองอยู่บนเตียง ก่อนจะตัดสินใจยกโทรศัพท์ขึ้นมาโทรออก



“ฮัลโหล ป๊อกหรอ… มึงมีเบอร์ไอ้ไก่มั้ย…เออ...กูขอหน่อย…”









(ภูผา)



ผมว่าช่วงนี้พี่ทีดูแปลกๆ ไป…



ผมกับครามยืนมองกับข้าวบนโต๊ะที่พี่ทีเตรียมไว้ให้ก่อนไปมหา’ ลัย (พี่เค้าเปิดเทอมก่อนเราสองอาทิตย์) แล้วหันมามองหน้ากัน เหมือนว่าพี่เค้าจะหายโกรธพวกเราแล้วเพราะพี่ทีกลับมาคุยและยิ้มให้พวกผมเหมือนเมื่อก่อนแล้ว เราสองคนก็ดีใจนะ แต่ไม่รู้ทำไมรู้สึกเหมือนพี่เค้าชอบหลบตาพวกเรา แถมช่วงนี้ยังไม่ค่อยได้เจอกันเลยทั้งที่อยู่ห้องเดียวกันแท้ๆ พี่ทีออกไปก่อนที่พวกเราจะตื่นแล้วก็กลับหลังจากที่พวกเราเข้านอนแล้วแทบจะทุกวัน บางวันก็โทรมาบอกว่าไปทำงานบ้านเพื่อนแล้วค้างที่นั่นเลยก็มี ไม่รู้ผมคิดไปเองรึเปล่า เหมือนพี่ทีกำลังหลบหน้าพวกเราอยู่เลย









และแล้ววันปฐมนิเทศนิสิตใหม่ก็มาถึง



วันนี้ผมกับครามตื่นเช้ากว่าทุกวันเพราะต้องแต่งชุดนิสิตอย่างเป็นทางการครั้งแรกเลยออกจะตื่นเต้นเล็กน้อย แถมยังต้องไปรอลงทะเบียนเข้าหอประชุมแต่เช้าด้วย



พอผมกับครามเดินออกมาจากห้องนอนก็เห็นพี่ทีกำลังแกะกับข้าวเทใส่จาน พี่ทีแต่งตัวเนี้ยบเหมือนที่แต่งในวันแรกพบ ผมที่เคยปรกหน้าถูกเปิดเสยให้เห็นหน้าผากขาวผ่องตัดกับกรอบแว่นสีดำสนิท ทำไมผมถึงรู้สึกว่าพี่ทีดูมีเสน่ห์เวลาใส่ของสีเข้มที่มันตัดกับสีผิวขาวสะอาดนั่นจัง



“พี่ว่าจะไปปลุกเราอยู่พอดีเชียว ไป รีบไปอาบน้ำแล้วจะได้มากินข้าว วันนี้ต้องรีบไปลงทะเบียนอีกเดี๋ยวคนเยอะ” พี่ทีพูดรัวเร็วก่อนจะเดินกลับเข้าไปในครัว



พอผมกับครามออกจากห้องน้ำพี่ทีก็รวบช้อนกินข้าวเสร็จพอดี ผมเกิดความรู้สึกไม่พอใจขึ้นมาวูบหนึ่ง…ทำไมไม่รอกินพร้อมกันเหมือนเมื่อก่อน



ไอ้ครามมองหน้าผมด้วยแววตาที่บอกความรู้สึกแบบเดียวกัน…ไม่เข้าใจว่ามันเกิดอะไรขึ้น ทำไมพี่ทีต้องทำเหมือนอยากหลบหน้าพวกเราด้วย



“เฮ้ย! คราม มึงผูกได้ยังวะ มาสอนกูดิ๊” ผมถามน้องชาย นี่เป็นครั้งแรกที่ผมจะได้ผูกเนกไท ที่จริงผมว่าจะให้พี่ทีสอนผูกตั้งแต่วันที่ซ้อมใส่ชุดแล้วแต่ดันโดนเมินเลยไม่กล้าขอให้สอน



ไอ้ครามหันมามองผมพร้อมกับเนกไทรูปร่างประหลาดๆ บนคอ จอแม็คบุ๊คยังคงฉายวิดีโอยูทูปที่สอนผูกเนกไทอยู่ แต่ดูเหมือนว่าไอ้ครามที่กรอแล้วกรออีกทำตามแล้วทำตามอีกจะไม่ประสบความสำเร็จเหมือนในยูทูป มันขยี้หัวทำหน้าหงุดหงิด



“ไม่ผ่งไม่ผูกแม่งแล่ว!” มันกระชากเนกไทออกจากคอ ไหนเมื่อกี้มันยังด่าผมว่ากระจอกที่ผูกได้ไม่เหมือนในยูทูปอยู่หยกๆ เป็นไงล่ะว่าแต่เขาอิเหนาเป็นเอง เหอะๆ



ก๊อกๆ ๆ



“ภู คราม แต่งตัวเสร็จรึยัง ออกมากินข้าวได้แล้ว”



ผมเดินไปเปิดประตูห้องให้พี่ทีเข้ามา อันที่จริงพวกเราไม่ได้ล็อกห้อง แต่ผมก็ยังอยากเดินมาเปิดประตูให้พี่เค้าอยู่ดี



“อ้าว ครามเป็นอะไร ทำไมนั่งหน้าหงิกหน้างอ?” พี่ทีกวาดตามองไปรอบๆ ห้อง เมื่อเห็นสิ่งที่อยู่บนหน้าจอแม็คบุ๊คก็ถึงบางอ้อ พี่ทียิ้มขำก่อนจะเดินเข้าไปหาไอ้ครามที่นั่งหน้าบึ้งอยู่บนเตียง



“ผูกไม่เป็นทำไมไม่บอกล่ะ มา เดี๋ยวพี่สอนให้” ผมขยับเข้าไปนั่งข้างๆ ไอ้คราม มองพี่ทีสอนผูกเนกไทช้าๆ เราสองคนพยายามผูกตามแต่ก็ออกมาเบี้ยวๆ บูดๆ ฝึกอยู่นานจนพี่ทีมองนาฬิกา



“เอางี้ พี่ผูกสำเร็จให้เลยละกัน แล้วภูกับครามก็ใช้ไปเลยไม่ต้องแก้ออกนะ เดือนนึงแก้ออกมาซักครั้งเดียวก็พอ” ผมมองริมฝีปากบางเฉียบที่ขยับพูดอยู่ใกล้ๆ อย่างเผลอไผล พี่ทีโน้มใบหน้าลงมาเพื่อผูกเนกไทให้ผม ใบหน้าที่อยู่ใกล้แค่คืบทำให้ผมเห็นดวงตาหลังกรอบแว่นดำที่หลุบมองมือตัวเองที่กำลังผูกไทอย่างตั้งอกตั้งใจ ใบหน้าของผมรู้สึกร้อนผ่าวเมื่อลมหายใจอุ่นๆ หอมกลิ่นมิ้นท์จางๆ เป่าลงมาแผ่วเบาบนใบหน้า เหลือบไปข้างๆ ก็เห็นไอ้ครามกำลังจ้องผมเขม็ง



เมื่อผูกให้ผมเสร็จพี่ทีก็หันไปผูกให้ไอ้ครามต่อ ไอ้ครามมองพี่ทีตาไม่กะพริบ สายตาไอ้ครามดูแปลกๆ มันจ้องหน้าพี่ทีที่เอาแต่สนใจอยู่กับการผูกเนกไท ก่อนจะเหลือบมองมาทางผมด้วยสายตาที่ผมอ่านไม่ออก



“เอ้า เสร็จแล้ว” พี่ทียิ้มบางๆ กำลังจะยืดตัวขึ้น แต่แล้วไอ้ครามก็ทำในสิ่งที่ผมไม่คิดว่ามันจะกล้าทำ มันคว้าเนกไทพี่ทีดึงเข้าหาตัว จนพี่ทีที่กำลังจะเงยหน้าขึ้นโดนกระชากให้ก้มลงไปหาไอ้ครามอีกครั้ง ไอ้ครามอาศัยจังหวะนั้นจูบลงบนปากพี่ที!!!







“ขอบคุณที่ช่วยผูกเนกไทให้นะครับ”


ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2

ออฟไลน์ ANIKI.

  • 兄貴
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
ที... เก็บกดแน่ๆ

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
เดี๋ยวก็โดนเมินอีกหรอก

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
มีโกรธต่อแน่ๆงานนี้

ออฟไลน์ Noi

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 655
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +29/-2
จะโกรธมั๊ยถ้าจะบอกว่าไม่ชอบนิสัยที ไม่พอใจอะไรทำไมไม่พูด แบบนี้มันอึดอัดนะ พ่อแม่ทีก็เหมือนกันรู้ว่าหวังดีกับลูกหลานแต่ถามเจ้าตัวสักคำมัยว่าต้องการ อย่าเอาความหวังดีความคิดว่าดของตัวเองมาทำร้ายจิตใจกัน

ออฟไลน์ sompong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ร้ายกาจมากๆๆๆ

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
ตายแล้ววว น้องครามทำอะไรลงไป

ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1

                                                           ตอนที่ 17  แค่จูบ…แล้วไง?



ผมยืนมองไปยังฟ้าครามด้วยอาการเหวอแบบสุดๆ



เมื่อกี้…มันจูบผมใช่มั้ยวะ



แค่จะขอบคุณต้องถึงกับจูบเลยหรอ มันมากไปหน่อยหรือเปล่า?



เราสามคนยืนนิ่งอยู่ในห้อง มีเพียงเสียงจากเครื่องปรับอากาศเท่านั้นที่ดังแทรกความเงียบ



ตอนนี้…ผม…รู้สึก…











งง??????







งงอ่ะ… มันทำไรของมันวะ? แม่งจะเล่นอะไรแผลงๆ กับผมอีกเนี่ย บ่องตงมามุกจูบนี่กูไปไม่เป็นเลยนะ หรือมันคิดจะแกล้งให้ผมขยะแขยงร้องโวยวายเป็นผู้หญิงเสียจูบแรกไรงี้ แต่ถ้าพวกมันคิดว่าผมจะทำอย่างนั้นจริงก็คิดผิดแล้วล่ะ เพราะตอนรับน้องผมจูบกับเพื่อนผู้ชายมาเกินยี่สิบครั้งได้แล้วมั้ง นอกจากจูบแล้วยังกินลูกอมเม็ดเดียวกัน แดกน้ำขวดเดียวกัน ถอดเสื้อนอนกอดกันตอนเมาก็ยังเคย จูบน่ะสำหรับผมมันเรื่องจิ๊บๆ แค่ผิวเนื้อบริเวณปากแตะกันเองไม่เห็นจะมีอะไรให้ขยะแขยง ก็เหมือนแขนไปชนเพื่อนอ่ะแหละนั่นก็เนื้อแตะเนื้อเหมือนกัน



สรุปคือผมไม่คิดอะไรเรื่องจูบ แต่ที่ยืนนิ่งอยู่นี่คือกำลังงง …อะไรของมัน วันนี้มาแปลกนะมึงไอ้ฟ้าคราม



“เล่นไรวะ ติงต๊อง” ผมผลักหัวไอ้ครามไปทีนึงก่อนจะเดินออกมาจากห้องสองแฝด เอ หรือที่น้องมันจูบผมอาจจะเพราะอยากตีซี้ให้มากขึ้นหรือเปล่า เหมือนอย่างไอ้ป๊อกเพื่อนผมไงเวลามันอยากสนิทกับใครมันชอบเล่นถึงเนื้อถึงตัว จำได้ว่าตอนเข้าแก๊งไอ้โซลใหม่ๆ ป๊อกมันพยายามตีซี้ผมด้วยการแกล้งบีบนมกับแอบจิ้มตูด ไอ้ผมก็โวยวายไล่เตะมัน ไปๆ มาๆ สนิทกันเฉยเลย งงตัวเองจริงๆ



ผมว่าทฤษฎีนี้น่าจะเป็นไปได้ … ถ้าน้องมันคิดจะตีสนิทผมด้วยวิธีถึงเนื้อถึงตัวแบบไอ้ป๊อกผมก็พอรับได้นะถ้ามันจะทำมากสุดแค่จูบไม่ได้มาไล่บีบนมจิ้มตูดผมน่ะ



หรือไม่…น้องมันก็อาจจะอยากขอบคุณจริงๆ ก็ได้ ผมเคยเห็นภูผากับฟ้าครามจูบอาแอ๋มบ่อยไปทั้งที่แก้มทั้งที่ปากเลย การจูบของน้องนี่หมายถึงการแสดงความรักความสนิทสนมเหมือนคนในครอบครัวใช่มั้ยนะ



ผมนั่งรอสองแฝดที่โซฟาพลางครุ่นคิดเรื่องจูบของฟ้าครามไปด้วย หลังจากนั่งคิดไปสักครู่ผมก็ได้เพิ่งนึกขึ้นได้



…แค่จูบ...จะมานั่งตีความหาความหมายอะไรนักหนาวะไอ้ที คิดมากทุกเรื่องอ่ะกู โว๊ะ!



ไม่เอาๆ ! เลิกคิด คิดไปก็ปวดหัว ผมจะมองว่ามันคงเป็นจูบแนวเดียวกับที่มันจูบอาแอ๋มก็แล้วกัน



พอสองคนนั้นออกมา มันก็ทำเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้น เหมือนการที่จูบผมไปเมื่อตะกี้เป็นเรื่องธรรมดาๆ จนผมชักจะมั่นใจว่ามันคงคิดกับผมเหมือนอาแอ๋มนั่นแหละ พอหาข้อสรุปได้แล้วผมก็สบายใจ คุยกับพวกมันได้เป็นปกติเหมือนไม่มีอะไรเกิดขึ้นเช่นกัน



ไว้ว่างๆ โทรไปถามพี่เฟิร์สดูดีกว่าว่าภูผากับฟ้าครามจูบพี่แกบ้างรึเปล่า… (ไหนบอกจะเลิกคิด-_-?)



“โย่ ….หวัดดีครับพี่ที มาส่งไอ้แฝดหรอครับ” น้องปีหนึ่งที่ชื่อยูโรโผล่เข้ามาทักเมื่อผมพาภูผากับฟ้าครามเดินเข้ามาในคณะ ผมรับไหว้ก่อนจะชวนคุยด้วยครู่หนึ่ง



“งั้นพี่ส่งแค่นี้ละกัน ภูกับครามอยู่กับเพื่อนนะ …ยูโร ฝากดูไอ้แฝดมันด้วยนะ”



“ครัช” มันพยักหน้าตอบมึนๆ



“งั้นผมพาเพื่อนไปลงทะเบียนนะ บายครับพี่ที” พูดจบยูโรก็ลากภูผากับฟ้าครามไปทันที สองคนนั้นพยายามดีดดิ้นเหมือนยังมีอะไรจะคุยกับผมต่อ แต่ยูโรที่ตัวผอมอย่างกับขวดสปายกลับลากพวกมันที่ตัวอย่างกับหมีไปได้ง่ายๆ ไม่ธรรมดาเลย สมแล้วที่ผมไว้ใจฝากให้ช่วยดูแล เยี่ยมๆ -v- ไว้พี่จะซื้อหนมมาเลี้ยงนะไอ่น้อง





(บทยูโร)



“ไอ้ภูมึงเกิดก่อนไอ้ครามกี่นาทีวะ” ผมหันไปชวนไอ้ภูคุยอย่างไม่รู้จะทำอะไรในขณะที่นั่งฟังอธิการบดีโม้เรื่องน่าเบื่อ ผมนั่งติดกับไอ้ภูแล้วถัดจากไอ้ภูก็เป็นไอ้ครามที่นั่งสัปหงกอยู่



“ถ้าเอาตามใบเกิด ครามเกิดก่อนกูสามนาที แต่กูได้เป็นพี่เพราะบ้านกูถือว่าไอ้ครามได้ออกมาก่อนเพราะกูเสียสละ” ไอ้ภูตอบ



“อ้าว งั้นตกลงจริงๆ มึงเป็นน้องอ่ะดิ?”



“กูเป็นพี่เว้ย” ไอ้ภูเถียง



“กูหมายถึงว่าตามใบเกิดเว้ย” ผมว่าไอ้ภูมันฟังภาษาคนไม่รู้เรื่องว่ะ



“ก็นั่นแหละ กูเป็นพี่ ยังไงกูก็พี่อ่ะ!”



“เฮ้ยๆ อย่าไปเถียงเรื่องใครพี่ใครน้องกับไอ้ภูมันเลยปวดหัวเปล่าๆ ” ฟ้าครามตื่นขึ้นมาร่วมวงสนทนาด้วยอีกคน ผมยักไหล่ก่อนจะยอมเปลี่ยนเรื่อง



“มึงสองคนแฝดแท้ป๊ะ หน้าโคตรเหมือนกันเลยว่ะ มีตรงไหนที่ต่างกันมั่งไหมวะ อย่างปานรูปหัวใจที่แก้มก้นซ้ายไรงี้” ผมเองก็เคยมีเพื่อนแฝดที่โรงเรียนเก่านะ แต่ไม่เห็นมันจะหน้าเหมือนกันขนาดไอ้สองตัวนี้เลย ลายมือสองคนนี้ก็เหมือนกันอีกต่างหาก ถ้าบอกว่ามันสองคนโคลนนิ่งกันมาผมก็เชื่อวะ แม่งมองไม่ออกเลยว่ามันสองคนต่างกันยังไง



“เทียม…กูกับไอ้ครามไข่คนละใบ หน้าเหมือนกันตรงไหนไม่เห็นจะเหมือนเลย” มันสองคนมองหน้ากันเองก่อนจะหันมาหาผม ผมมองเทียบหน้ามันสองคน เฮ่ย! มองยังไงก็คนเดียวกันชัดๆ ถ้าไม่ดูป้ายชื่อที่ห้อยคอนี่ไม่รู้จริงๆ ว่าใคร



“เหมือนจะตายไอ้สัส นี่โกหกกูป่ะเนี่ย กูว่ามึงเหมือนแฝดแท้มากกว่า”



“มึงดูยังไงว่าเหมือน กูหล่อกว่าไอ้ครามตั้งเยอะ”



“เชี่ยภู! มึงอ่ะหน้าปลวก อย่ามาเทียบกะกูนะไอ้แมงกินฟัน”



ผมมองมันสองตัวเถียงกันไปมาว่าใครหล่อกว่ากันแล้วก็มึน มันจะเถียงกันทำด๋อยไรวะ หน้าเหมือนกันอย่างกับส่องกระจก =_=



“แล้วตกลงพวกมึงมีตำหนิอะไรที่ต่างกันมั่งมั้ยวะ”



“กูอยากให้มึงลองคบพวกกูไปเรื่อยๆ ก่อน กูก็อยากจะรู้เหมือนกันว่ามึงจะแยกพวกกูออกมั้ย แต่ถ้าไม่ออกจริงๆ ไว้พวกกูจะเฉลย” ไอ้ครามพูด



“เหอะ กูไม่มีทางแยกพวกมึงออกแน่ๆ ว่ะ มีเพื่อนคนไหนแยกมึงสองคนออกบ้างมั้ยล่ะ”



“ตั้งแต่เกิดมาไม่มีซักคนเลยว่ะ นอกจากพ่อแม่แล้วก็พี่ชายกูอ่ะนะ”



“พี่ชาย? …พี่ทีอ่ะหรอ?”



“เปล่า พี่ทีเป็นลูกพี่ลูกน้องอยู่กันคนละบ้าน แต่เค้าก็แยกพวกกูออกนะเว้ย เก่งป่ะล่ะ” พอพูดถึงพี่ทีไอ้ครามก็ยิ้มไม่หุบ มันเอามือจับเนกไทแล้วนั่งบิดไปมา ผมว่าผู้หญิงทำท่านี้มันน่ารักนะ แต่ผู้ชายทำท่านี้แล้วมันน่าเกลียด=_=’ ’’



หลังจบพิธีปฐมนิเทศ พวกรุ่นพี่ก็พาพวกเรากลับมานั่งที่คณะ ให้พวกเราเล่นเกมละลายพฤติกรรมต่างๆ ก่อนจะมาจบที่การอธิบายกำหนดการต่างๆ ให้ฟังก่อนปล่อยกลับบ้าน



หลังจากนี้อีกหนึ่งอาทิตย์จะมีการจัดค่ายรับน้องที่จังหวัดแห่งหนึ่งทางภาคเหนือ กินเวลาทั้งสิ้นห้าวันสี่คืน อันที่จริงค่ายนี้ก็ไม่เชิงเป็นค่ายรับน้องซะทีเดียวเพราะมันเป็นค่ายอาสาขึ้นไปซ่อมแซมโรงเรียนชาวเขา มหา’ ลัยผมยกเลิกระบบโซตัส กับระบบรับน้องแรงๆ มาหลายปีแล้ว การรับน้องก็เปลี่ยนเป็นรับน้องสร้างสรรค์ แทนที่จะว๊ากกดดันให้น้องกลัวหัวหดแล้วมาทำซึ้งทีหลัง สู้พาน้องไปออกค่ายทำงานด้วยกันไปเลยดีกว่า ผมว่ารับน้องแบบนี้ดีกว่าเยอะ ทำให้รุ่นพี่ได้ใกล้ชิดรุ่นน้องจริงๆ แถมยังสร้างประโยชน์ให้สังคมด้วย ทุกคนคงกำลังทึ่งที่คนอย่างผมคิดได้อย่างนี้ใช่ไหม เปล่าหรอก ผมลอกคำพูดพี่ทีที่ถือไมโครโฟนแจกแจงรายละเอียดอยู่ด้านหน้าสุดมาอีกทีนึง



“และอย่างที่บอกไปว่านี่เป็นค่ายอาสาของคณะที่รวบการรับน้องไว้ด้วยกัน ดังนั้นจึงถือเป็นกิจกรรมบังคับของนักศึกษาปีหนึ่งคณะเรา ใครไม่ไปจะถือว่าขาดคะแนนกิจกรรม… เดี๋ยวพวกพี่จะแจกเอกสารขออนุญาตให้น้องๆ เอาไปให้ผู้ปกครองเซ็น ถ้าใครไปไม่ได้จริงๆ ให้มาบอกพี่ พี่จะพาไปติดต่ออาจารย์ประจำค่ายเพื่อพิจารณาให้น้องได้ทำกิจกรรมซ่อมอื่นๆ แทนเป็นกรณีไปครับ” พี่ทีพูดจบก็ส่งไมค์ให้พี่ผู้หญิงขึ้นมาพูดเรื่องการเตรียมตัวในการไปค่าย



ผมหาวแล้วหาวอีก ไม่ไหวละ ง่วงฉิบหาย จะพูดอะไรนักหนาวะ มองไปข้างๆ ก็เห็นไอ้แฝดนรกนั่งพิงกันหลับไปแล้ว



ผมนั่งสัปหงกของผมไป พอคอตกทีผมก็สะดุ้งขึ้นมานั่งตัวตรงใหม่ที เป็นอย่างนี้อยู่สิบกว่ารอบ ในที่สุดผมก็ฝืนไม่ไหวอีกต่อไป พิงไอ้คนข้างหลังนี่ล่ะวะ จะใครก็ช่างเหอะ กูยืมตักหน่อยละกัน



คิดได้ดังนั้นผมก็ตกอยู่ในสภาวะทิ้งตัวทันที ดีที่พวกผมนั่งอยู่หลังๆ พวกรุ่นพี่ไม่น่าจะเห็น ฮ่าาาา สบายยยย ตักใครวะนุ่มจริงๆ กูไม่สนละขอนอนสักงีบเหอะ คร่อกกกก



(จบบทยูโร)







(บทฟ้าคราม)



“ฮัลโหล พี่ทีหรอ อ๋อ รออยู่หน้าป้ายคณะอ่ะ …อืมๆ รีบมานะพี่ ตุ๊ด” ตอนนี้ผม ไอ้ภู แล้วก็ไอ้ยูโรกำลังยืนรอพี่ทีอยู่หน้าป้ายคณะหลังจากเสร็จกิจกรรมในวันนี้ เมื่อกี้พี่ทีโทรมาบอกว่ากำลังออกมาแล้ว



“ไง รอนานมั้ย” พี่ทีโบกมือให้มาแต่ไกล หน้าขาวๆ ที่ตัดกับกรอบแว่นสีดำนั้นช่างดูน่ามองอะไรอย่างนี้ ให้ตายสิทำไมพี่กูเซ็กซี่เป็นบ้า!



“ไม่นานครับ เออพี่ ไอ้ขวดไปด้วยนะ หอมันอยู่ทางเดียวกับคอนโดเรา” ไอ้ครามตอบไป พี่ทีขำเล็กน้อยกับฉายาของไอ้ยูโร พยักหน้ารับรู้ก่อนจะออกเดินนำ ตลอดทางไอ้ขวดผูกขาดบทสนทนากับพี่ทีแต่เพียงผู้เดียว มันขึ้นไปเดินตีคู่กับพี่ทีแล้วทิ้งให้พวกผมสองคนเดินตามหลังต้อยๆ หาจังหวะแทรกไม่ได้เลยเพราะสองคนนี้คุยอะไรกันก็ไม่รู้ฟังแล้วงงฉิบหาย เวลาไอ้ขวดมันอยู่กับพวกผมหน้าตามันดูมึนๆ เหมือนคนซื่อบื้อๆ แต่เวลามันคุยกับพี่ทีทำไมหน้ามันดูเหมือนคนฉลาดขึ้นมายังไงไม่รู้วะ หรือความฉลาดจากพี่ทีมันออสโมซิสไปถึงคู่สนทนาได้





“ฮ่าๆ ๆ งั้นหรอ…” พี่ทีหลุดเสียงหัวเราะเป็นพักๆ ไม่รู้คุยไรกัน ทำไมยิ่งเดินสองคนนั้นยิ่งห่างออกไปวะ มีเรื่องอะไรปิดบังพวกผมหรือเปล่าเนี่ย ดูสิ มีการหันกลับมามองผมพวกผมเป็นพักๆ ด้วย





ในที่สุดก็เดินมาถึงคอนโด พอไอ้ขวดแยกออกไปพี่ทีก็หันกลับมาหาพวกผม





“อ้าว! พี่เพิ่งสังเกตแฮะ นี่ภูกับครามสลับป้ายชื่อกันหรอ”





ไอ้ขวดที่เพิ่งเดินออกไปไม่กี่ก้าวหันขวับกลับมาทันที ว้า ความแตกแล้วอ่ะ:P





“อื้มมม ก็สลับเล่นๆ ฟังเพื่อนเรียกสลับกันแล้วฮาดี” ดูหน้าไอ้ขวดสิครับโคตรสาปส่งพวกผมเลย ก๊ากๆ ๆ สรุปคือทั้งวันมันเข้าใจผิดว่าผมเป็นไอ้ภู แล้วไอ้ภูก็เป็นผมเพราะป้ายชื่อห้อยคอเนี่ยแหละ



ไอ้ขวดทำท่าจะเดินกลับมาด่าพวกผม แต่จู่ๆ โทรศัพท์ก็ดัง มันชูนิ้วกลางให้ก่อนจะรับโทรศัพท์แล้วเดินจากไปอย่างรีบเร่ง



สรุปคือวันนี้ทั้งวันไอ้ยูโรโดนพวกผมต้มซะเปื่อย กลายเป็นไอ้โง่ให้พวกผมฮาในใจตลอดทั้งวัน



พี่ทีมองหน้าพวกผม ยิ้มเหมือนคนรู้ทันแต่ก็ยักไหล่แล้วเดินเข้าตึกไป



(จบบทฟ้าคราม)







สองวันต่อมา…





“พี่ที…อ่ะ” ผมละสายตาจากข่าวในโทรทัศน์หันไปมองภูผาที่ยื่นสมุดปกแข็งสีดำเล่มหนึ่งมาให้



“อะไรน่ะ?” ผมรับมาถือไว้ พอเปิดดูก็เห็นว่าเป็นบันทึกประจำวันของสัปดาห์นี้ทั้งหมด ผมอดยิ้มขำออกมาไม่ได้



“ส่งการบ้านคุณครู” ภูผายิ้มเขินๆ เอามือเกาหัวเกาแก้มยกใหญ่ เอ่อ..เป็นอะไรมากมั้ยเนี่ย-_-;;



“พี่ก็หายโกรธเราแล้วไง ไม่ต้องเอามาให้อ่านแล้ว” ผมยื่นคืนให้ภูผาแต่ภูผาก็พยายามยัดเยียดใส่มือผมอีก



“โห่พี่ ภูอุตส่าห์เขียนทุกวันเลย พี่ทีอ่านหน่อยดิ นะๆ ๆ ” เกิดมาผมก็เพิ่งเคยเจอคนมาบังคับให้อ่านไดอารี่ของตัวเองเนี่ยแหละ แถมไม่ได้เจอคนเดียวนะ มาพร้อมกันสองคนเลย



“งั้นรอแป๊บนึงละกัน พี่ขออ่านของฟ้าครามก่อนนะ” ผมว่าก่อนจะก้มลงอ่านไดอารี่ที่ฟ้าครามเพิ่งเอามายัดเยียดให้ผมอ่านตอนเพิ่งกลับจากเรียนภาคเช้า



“ฮะ!? ไอ้ครามก็เอามาให้พี่ทีอ่านหรอ” ภูผาทำหน้าตาเหมือนหงุดหงิดอะไรสักอย่าง ตอนแรกผมนึกว่าภูผาจะพูดประมาณว่า ‘อ่านของผมก่อน!’ ซะอีก แต่ก็ไม่ ยิ่งอยู่ด้วยกันผมก็ยิ่งพบความต่างของสองคนนี้มากขึ้นเรื่อยๆ ภูผาดูจะใจเย็นกว่าฟ้าครามนิดหน่อย เก็บอารมณ์เก่งกว่า ดูมีความเป็นผู้นำสูงกว่า ซึ่งบางทีอาจจะเป็นเพราะภูผาอยู่ในฐานะของพี่ชายก็เป็นได้ ในขณะที่ฟ้าครามจะเอาแต่ใจมากกว่า เป็นคนไม่ค่อยคิดเล็กคิดน้อย คิดอะไรก็แสดงออกทางสีหน้าหมด เทียบกันแล้วอ่านง่ายกว่าภูผาเยอะ



ผมไม่เข้าใจการกระทำของสองคนนี้สักเท่าไหร่ เหมือนระหว่างผมกับพวกนั้นดูจะมีอะไรบางอย่างที่เปลี่ยนแปลงไป มันไม่ใช่ความรู้สึกเดียวกับตอนที่อยู่ด้วยกันในบ้านของผม มันเป็นความรู้สึกที่อธิบายไม่ถูก รู้แต่ว่าไม่เหมือนเดิม …แล้วไม่เหมือนเดิมอะไร? ...ได้แต่ถามคำถามนี้กับตัวเองซ้ำแล้วซ้ำเล่า



ภูผาทิ้งตัวลงนั่งข้างๆ ผมบนโซฟา เอาหัวขึ้นมาหนุนตักผม ผมยกแขนขึ้นให้ภูผาหนุนศีรษะได้สะดวกๆ พอเข้าที่เข้าทางแล้วภูผาก็นอนตะแคงดูทีวีไป ส่วนผมเท้าแขนลงบนตัวภูผาแล้วอ่านไดอารี่ของฟ้าครามต่อ หูก็คอยฟังข่าวไปด้วย บางทีผมก็แอบเหลือบมองภูผาเป็นพักๆ สลับกับมองหนังสือและทีวี



นี่เป็นหนึ่งในสิ่งที่ไม่เหมือนเดิมที่ผมสังเกตเห็นเป็นรูปธรรมชัดเจนที่สุด ภูผากับฟ้าครามมีพฤติกรรม ‘นัวเนีย’ มากขึ้น เดี๋ยวนี้ภูผากับฟ้าครามชอบเอาตัวมาอยู่ใกล้ๆ ผม มานั่งเบียดกันทั้งๆ ที่มีที่ว่างตั้งมากมายบ้างล่ะ มานั่งซบแขนบ้างล่ะ มานอนหนุนตักบ้างล่ะ เวลาเดินก็ชอบมาขนาบข้างทำให้ผมรู้สึกอึดอัดบ้างล่ะ แล้วพอผมมองหน้าก็ชอบมองผมด้วยสายตาแปลกๆ แบบที่ทำให้ผมทนมองตอบไม่ไหวต้องเสมองไปทางอื่น



ไม่ชอบเลยความรู้สึกแบบนี้ มันไม่ใช่ความทุกข์ ไม่ได้รู้สึกแย่อะไรมากมาย มันแค่เหมือนรอบตัวผมปกคลุมไปด้วยกลุ่มหมอกคลุมเครือสับสนแต่ในขณะเดียวกันก็สงบเยือกเย็น เจือด้วยกลิ่นหอมจางๆ คุณเข้าใจความรู้สึกที่ผมต้องการจะสื่อมั้ย? ถ้าไม่…ก็ช่างมันเถอะ เพราะขนาดผมเองก็ยังไม่เข้าใจเลย



“…เหมือนฟ้าครามกำลังมีความรักเลยนะ” ผมพูดเบาๆ กับตัวเองเมื่ออ่านจบ



ผมวางไดอารี่ของฟ้าครามลง หยิบของภูผาขึ้นมาอ่านบ้าง ภูผาพลิกตัวนอนหงายจ้องหน้าผม ผมมองตอบ สายตาแบบนั้นอีกแล้ว…



“มีอะไรจะบอกพี่หรือเปล่า ทำหน้าเหมือนมีอะไรอยากพูดแต่ก็ไม่พูด” ผมถาม ภูผาเม้มปาก ขมวดคิ้วน้อยๆ ต้องยอมรับว่าในระยะใกล้แบบนี้ ยิ่งมองก็ยิ่งเห็นว่าภูผาหน้าตาดีแค่ไหน



“…เปล่า…ไม่มี…อ่า…จะว่ามีมันก็….ภูยังไม่แน่ใจแต่อันที่จริงก็ค่อนข้างมั่นใจอยู่…แต่มันก็…เฮ้อ….” ภูผาท่าทางร้อนรนขึ้นมาผิดปกติ ผมแค่ถามคำถามทั่วไปง่ายๆ เองนะ -_-



“จริงสิ นี่มันก็เย็นแล้ว เดี๋ยวพี่ไปโทรถามครามก่อนนะว่าอยู่ไหน” ฟ้าครามบอกผมว่าจะไปซื้อของตั้งแต่บ่าย นี่จะหกโมงเย็นแล้วยังไม่กลับมาเลย ไปซื้อของที่ไหนของมันวะ



ผมทำท่าจะลุกขึ้นแต่ภูผาก็คว้าเอวผมไว้ ผมได้แต่มองภูผาที่ซุกหน้าลงกับท้องผมอย่างงงๆ



“ภูผา?”



ผมรู้สึกเหมือนภูผากำลังพูดอะไรบางอย่างเพราะปากของภูผาที่แนบอยู่กับหน้าท้องผมมันขยับ ผมไม่ได้ยินสิ่งที่ภูผาพูด ผมรู้แค่ว่าภูผาพูดอะไรสักอย่างที่ยาวมาก ผมได้แต่นั่งนิ่งปล่อยให้ภูผาพูดอยู่แบบนั้น ผมไม่รู้ว่าภูผาเป็นอะไร ทำไมถึงทำแบบนี้ มีเรื่องอะไรคับข้องใจอยากบอกอยากระบายหรือเปล่านะ



ภูผาหยุดพูดกับหน้าท้องผม เงยหน้าที่แดงก่ำขึ้นมาสบตา แล้วก้มลงไปเอาหน้าแนบท้องผมต่อ ผมรับรู้ได้ว่าภูผากดปากแนบลงไปมากกว่าเดิม ขยับปากพูดเป็นคำสามคำ ที่ผมรู้ว่าสามคำก็เพราะภูผาขยับปากช้ามาก



พูดเสร็จภูผาก็ไม่เงยหน้าขึ้นมาอีกเลย เอาแต่ซุกหน้ากับท้องผมแล้วเอื้อมมือกอดเอวซะแน่น เห็นได้แค่ใบหูที่แดงก่ำเท่านั้น





ถึงภูผาจะไม่พูดออกเสียง แต่ก็ใช่ว่าผมจะโง่ ไม่รับรู้ถึงสิ่งที่น้องต้องการจะบอกนะ





ถึงสิ่งนั้นมันจะทำให้ผมตกใจมากก็เถอะ …







ผมลูบหัวภูผาเบาๆ















“พี่รับรู้แล้ว …ขอบใจนะ”




CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ jinutlove

  • ไม่คิดที่จะรัก
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 76
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ sompong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
อะไรของเด็กสองคนนี้จะกลายเป็นรัก สามเศร้าป่าวว ไม่นะ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ทีรับรู้ แต่คนแก่ไม่รู้อ่ะ บอกหน่อยจิ  :mew2:

ออฟไลน์ Nus@nT@R@

  • Life is Investment
  • เป็ดAthena
  • *
  • กระทู้: 5589
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +456/-11
เค้าบอกอะไรกัน

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
มันอะไรกันคะะะะ อยากรู้ด้วยยยยยยยย :serius2:

ออฟไลน์ ♥►MAGNOLIA◄♥

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 7518
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +193/-11
รออ่านมาตลอด ชอบบบบบบบ   :katai2-1:
❤️  ดีใจ  มาลงใหม่  :mew1: :mew1: :mew1:

ที รู้แล้วสิว่า ภูผา พูดอะไร ใช่ "ภู ❤️ชอบ❤️ พี่ " หรือเปล่า
ภู -----> ที <----- ฟ้า  :กอด1: :กอด1: :กอด1:
       :L1: :L1: :L1:
  :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 18-02-2018 22:44:50 โดย ♥►MAGNOLIA◄♥ »

ออฟไลน์ Leenboy

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3095
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +105/-2
เขาบอกว่าอะไรคะคุณกิตติ555

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
อะไร บอกรักหรือ

ออฟไลน์ jimmyjimmy

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1962
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +58/-17
น้องพูดอะไร.. อ่ะ

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
น้องจะบอกรักแล้วหรอ ดีจัง

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ YounIn

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1524
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +28/-8
สนุกดี
เนื้อหาแน่น
สองแฝดทำเหมืนตัวเองโต แต่จริงๆแล้วเด็กมาก มีมุมน่ารักๆเยอะเลย

ออฟไลน์ shoi_toei

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +222/-26
รออ่านนนนน

ออฟไลน์ ANIKI.

  • 兄貴
  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 190
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +24/-1
โอ้ย .. ชอบที่ทีมีสติ แต่ไอ้สองแฝดนี่มันงุ้งงิ้งเหลือเกิน หมั่นเขี้ยวโว้ย

ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1
                                               
                                                         ตอนที่ 18 ปรัชญาความเท่ากัน


“มีอะไรจะบอกพี่หรือเปล่า ทำหน้าเหมือนมีอะไรอยากพูดแต่ก็ไม่พูด”



“…เปล่า…ไม่มี…อ่า…จะว่ามีมันก็….ภูยังไม่แน่ใจแต่อันที่จริงก็ค่อนข้างมั่นใจอยู่…แต่มันก็…เฮ้อ….”



“จริงสิ นี่มันก็เย็นแล้วนะ เดี๋ยวพี่ไปโทรถามครามก่อนแล้วกันว่าถึงไหนแล้ว นี่ก็มืดแล้วยังไม่กลับมาอีก”



พอพี่ทีทำท่าจะผละออกไปผมก็รีบกอดเอวอีกฝ่ายไว้ทันที ไม่ให้ไป ไม่ให้ไปไหนทั้งนั้น อย่าไปหาฟ้าคราม อย่าเอาแต่สนใจมันคนเดียวได้ไหม มองมาที่ผมบ้าง ผมก็ชอบพี่เหมือนกันนะ!



ชอบ…เราชอบพี่ทีหรอ? ชอบแบบไหน…แบบไหนล่ะ?



“ภูผา?”



ผมกดหน้าลงบนหน้าท้องอุ่นนุ่มของพี่ที สูงกลิ่นหอมจางๆ จากน้ำยาปรับผ้านุ่มและกลิ่นสบู่หอมเย็นจากตัวอีกฝ่าย ความอึดอัดในหน้าอกทำให้ผมรู้สึกเหมือนจะหายใจไม่ออก นึกถึงเหตุการณ์หลายๆ อย่างที่ผ่านมา ทั้งตอนที่ฟ้าครามขอพี่ทีเข้าไปอาบน้ำด้วย ตอนที่ฟ้าครามกล้าดึงพี่ทีเข้ามาจูบ ในขณะที่ผมไม่กล้าทำอะไรซักอย่าง ถ้าเป็นอย่างนี้ต่อไป ผมจะกลายเป็นส่วนเกินหรือเปล่า อีกหน่อยพี่ทีจะยังคงให้ความสนใจกับผมเท่ากับที่ให้ไอ้ครามไหม



ผมตัดสินใจระบายความอัดอั้นออกมาอย่างเงียบเชียบกับร่างกายของคนตรงหน้า ไม่กล้าพูดออกเสียง เพราะกลัวว่าทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป แต่อีกใจลึกๆ ก็หวังอยากจะให้พี่ทีรับรู้และยอมรับความรู้สึกในตอนนี้ของผม



‘ตั้งแต่เกิดมา ผมไม่เคยกลัวว่าจะได้อะไรไม่เท่ากันกับไอ้ครามเลย เพราะผมรักมันมากพอๆ กับที่รักตัวเอง มันกับผมก็เหมือนเป็นคนคนเดียวกัน อะไรที่เป็นของผมก็จะเป็นของมัน อะไรที่เป็นของมันก็จะเป็นของผมด้วย ไม่มีสักครั้งที่ผมจะอิจฉาน้องชาย แต่นี่เป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกว่าผมกับไอ้ครามไม่ใช่คนคนเดียวกันอีกแล้ว เพราะฟ้าครามกำลังทำให้ผมรู้สึกเหมือนกำลังจะเสียสิ่งสำคัญไป



ถ้าหากว่าผมชอบพี่ทีแบบพี่น้องผมคงจะไม่รู้สึกอิจฉาฟ้าครามแบบนี้ใช่มั้ย…



ผม…กำลังชอบพี่แบบคนรักอยู่ใช่มั้ย…’



ผมเงยหน้าสบตาพี่ที สายตาหลังกรอบแว่นที่มักจะทอดมองมายังพวกผมอย่างอ่อนโยนเสมอทำให้ผมใจเต้นแรง ไม่ไหวแล้ว ทนเก็บความรู้สึกต่อไปไม่ไหวแล้ว…ถ้าไม่พูดออกไปตอนนี้ก็ไม่รู้จะหาจังหวะดีๆ พูดอีกตอนไหน



ผมกดหน้าลงกับร่างของพี่ทีอีกครั้ง ขยับปากช้าๆ ชัดๆ เป็นคำสามคำที่ผมอยากจะบอกมาตั้งแต่หลายเดือนก่อนแล้ว แต่ก็ยังไม่แน่ใจจนกระทั่งวันนี้




 
‘ภู ชอบ พี่’





เขินจนไม่กล้าเงยหน้าขึ้นแล้ว ร้อนไปทั้งหูทั้งหน้าทั้งคอ ผมซุกหน้าอยู่แบบนั้น จนกระทั่งฝ่ามืออุ่นลูบลงบนศีรษะผมแผ่วเบา





“พี่รับรู้แล้ว…ขอบใจนะ”





ผมไม่รู้ว่าพี่ทีรับรู้ในสิ่งที่ผมต้องการจะบอกจริงๆ หรือเปล่า แต่ผมจะขอคิดเข้าข้างตัวเองก็แล้วกันว่าพี่ทีรับรู้แล้วว่าผมชอบพี่เขา ดีใจจังที่พี่ทีไม่ได้แสดงท่าทางรังเกียจอะไรออกมาแถมยังยิ้มให้ผมอย่างอ่อนโยนมากๆ อีกด้วย อยากจะกระโดดให้ตัวลอยหัวเราะดังๆ แล้วทำท่าชักศอกใส่ตัวพร้อมกับพูดว่า ‘เยส!!!’ แต่ในความเป็นจริงคือผมได้แต่เก็บอาการดีใจออกนอกหน้านั้นไว้ด้วยการซุกหน้าลงกับท้องพี่ทีแล้วยิ้มกว้างเหมือนคนบ้า

[/i]






“ต่อจากครั้งที่แล้วนะ ผมขอย้อนความนิดนึง ผมพูดไปแล้วใช่ไหมว่ากลุ่มของนักอภิปรัชญาแบ่งเป็นสองกลุ่ม กลุ่มแรกคือพวกที่แบ่งสิ่งต่างๆ เป็น ‘สิ่งเฉพาะ’ กับ ‘สิ่งสากล’ ส่วนกลุ่มที่สองคือพวกที่แบ่งสิ่งต่างๆ เป็น ‘สิ่ง’ กับ ‘คุณสมบัติ’ ครั้งที่แล้วผมจบกลุ่มที่หนึ่งไป วันนี้เรามาขึ้นกลุ่มที่สองกัน …”



ผมหันไปมองข้างตัว เหล่าผองเพื่อนกำลังเรียนทางลัดด้วยการเข้าฌานไปคุยกับโสเครตีส เพลโต และอาริสโตเติลโดยตรง ไอ้แท็คนั่งกอดอกสัปหงกทำความเคารพอาจารย์ ไอ้ป๊อกนอนกรนเสียงดังไม่เกรงใจใครดีที่นั่งหลังๆ ไม่งั้นโดนอาจารย์เล่นแน่ ไอ้โซลแหงนหน้าร่นตัวพิงเบาะหลับสบายเหมือนอยู่ในโรงหนัง ไอ้ก้อยฟุบหลับไปกับโต๊ะเรียบร้อยโรงเรียนปรัชญา ส่วนผมมีหน้าที่ถ่างตาฟังเพื่อจดเลกเชอร์ให้พวกมันยืมถ่ายรูป-_-; ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมทางมหา’ ลัยต้องบังคับให้นิสิตทุกคณะลงเรียนปรัชญาด้วยทั้งๆ ที่มันก็ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสาขาวิศวะของพวกผมเลย



“นักปรัชญากลุ่มที่ 2 ได้แบ่ง ‘สิ่ง’ ออกเป็นสามสิ่งย่อยๆ อีก คือ สิ่งนามธรรม สิ่งกายภาพ และ สิ่งทางจิต …สิ่งนามธรรมคือสิ่งที่เราไม่สามารถมองเห็นได้ ยกตัวอย่างเช่น จำนวน หรือ นัมเบอร์ ถือว่าเป็นนามธรรม แต่ตัวเลขนั้นไม่ถือเป็นนามธรรมเพราะเป็นสัญลักษณ์ที่มนุษย์กำหนดขึ้น นอกจากนี้ก็ยังมีเซต (Set) แรง (force) ความยุติธรรม และ ความเท่ากัน…”



ผมตั้งใจฟังและพยายามคิดตามไปด้วย อืม บางทีผมว่าเรียนปรัชญาก็มีประโยชน์เหมือนกันนะ อย่างน้อยก็ทำให้มองอะไรได้ลึกซึ้งขึ้น



อาจารย์หยิบปากกาขึ้นมาสองแท่ง



“ปากกาสองแท่งนี้ ผลิตในปีเดียวกัน จากโรงงานเดียวกัน รุ่นเดียวกัน นิสิตว่าปากกาสองแท่งนี้ต่างกันตรงไหน”



“ปากกาแท่งนึงอาจารย์ใช้ไปแล้ว อีกแท่งยังไม่ได้ใช้ครับ” หนุ่มคณะแพทย์ด้านหน้าสุดยกมือตอบ



“ผิดครับ”



“ต่างกันตรงที่แท่งนึงอยู่ทางซ้าย อีกแท่งอยู่ทางขวาค่ะ” สาวคณะบัญชีตอบบ้าง แต่อาจารย์ก็ยังส่ายหน้า



ผมเพ่งมองปากกาสองแท่งที่ฉายอยู่บนสไลด์ ปากกาสองแท่งนี้ไม่ต่างกันเลย ไม่ว่าจะมองยังไงก็เหมือนกันหมดทุกประการ แล้วอะไรคือจุดที่ทำให้มัน ‘ต่าง’ กันล่ะ? ก็ในเมื่อเหมือนกันขนาดนี้แท้ๆ



“งั้นผมถามใหม่ละกัน พวกคุณว่าปากกาสองแท่งนี้เหมือนกันใช่ไหม” พวกนิสิตพากันพยักหน้าหงึกหงัก



“พวกคุณจะบอกว่าแท่งนี้ เท่ากับ แท่งนี้ใช่มั้ย?” ผมพยักหน้าตอบ ในเมื่อมันเหมือนกันทุกประการ ในทางคณิตศาสตร์ก็ถือว่าเท่ากันไม่ใช่หรอ



“ผมจะบอกให้ว่าในโลกนี้ไม่มีสิ่งที่เหมือนกันทุกประการหรอก แม้แต่แฝดที่เกิดมาก็ไม่มีอะไรที่จะเหมือนกันทุกอย่างราวกับเป็นคนคนเดียวกัน เช่นเดียวกับปากกาสองด้ามนี้ มองภายนอกพวกคุณอาจจะเห็นว่ามันเหมือนกันทุกประการ มองว่ามันเท่ากันหมด แต่ที่จริงมันต่างกันตรงไหนคุณรู้ไหม…”



อาจารย์เว้นวรรคไปชั่วอึดใจ ผมขมวดคิ้ว คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก ยิ่งฟังก็ยิ่งอยากรู้คำตอบว่าตกลงไอ้ปากกาสองแท่งนั้นมันต่างกันยังไง



“...สิ่งสองสิ่งจะเท่ากันก็ต่อเมื่อ คุณสมบัติของสิ่งที่หนึ่ง เป็นทุกคุณสมบัติของอีกสิ่งหนึ่ง ที่ปากกาสองแท่งนี้มันต่างกันก็เพราะมันครอบครองพื้นที่คนละพื้นที่กัน ถ้าเปรียบกับคนก็จะหมายถึงการมีตัวตนยืนอยู่บนพื้นโลกคนละจุดกัน …ถ้าหากปากกาสองแท่งนี้จะเท่ากันทุกประการจริงๆ มันต้องวางทับที่เดียวกันผสานเป็นเนื้อเดียวกันได้ สรุปก็คือในโลกใบนี้สิ่งที่จะเท่ากันมีเพียงแค่ตัวของมันเองเท่านั้น เข้าใจหรือยัง”



ในโลกนี้ไม่มีสิ่งที่เหมือนกันทุกประการ…แม้แต่ปากกาสองแท่งนั้นก็ยังต่างกันงั้นหรอ



ไม่รู้ทำไมจู่ๆ ผมก็เผลอนึกไปถึงภูผาและฟ้าคราม คนสองคนที่ภายนอกเหมือนราวกับเป็นคนคนเดียวกัน แต่หากมองดูจริงๆ แล้วจะพบว่าสองคนนี้มีส่วนที่แตกต่างกันอยู่มากมาย



ภาพฟ้าครามที่ดึงผมเข้าไปจูบยังคงฝังแน่นอยู่ในความทรงจำเช่นเดียวกับเหตุการณ์ที่เพิ่งเกิดขึ้นสดๆ ร้อนๆ เมื่อวาน ภาพที่ภูผานอนซุกท้องผม ทำหน้าเหมือนอยากจะพูดอะไรสักอย่าง แต่พอพูดออกมากลับไม่มีเสียง แถมยังสบตาผมด้วยดวงตาคาดหวังว่าผมจะเข้าใจในสิ่งที่ตนพูดทั้งๆ ที่ตัวเองไม่ได้ออกเสียงให้ได้ยิน



ผมไม่รู้ว่าน้องต้องการจะบอกอะไรกับผมกันแน่…อันที่จริงเเล้วผมพอจะเข้าใจในสิ่งที่ภูผาต้องการจะบอกแต่ในใจลึกๆ ของผมมันปฏิเสธด้วยสองเหตุผล หนึ่งคือผมอาจจะเข้าใจผิดไปเองเรื่องแบบนั้นไม่น่าจะมีทางเกิดขึ้นได้เพราะเราเป็นผู้ชายทั้งคู่แถมยังเป็นลูกพี่ลูกน้องกัน สองคือหากเป็นอย่างที่ผมเข้าใจจริงๆ ผมคงรู้สึกแปลกๆ และคงไม่สบายใจที่จะอยู่กับภูผาอีกต่อไป





ไม่หรอก มันต้องไม่เป็นแบบนั้น ผมไม่รู้ว่าน้องต้องการบอกอะไรกับผม ไม่รู้ ผมไม่รู้ …





เอาเป็นว่าสามคำนั้นของภูผา ผมจะตีความแค่ว่ามันน่าจะเป็นคำพูดในแง่ดีที่มีต่อผมก็แล้วกัน





ผมขอรับรู้เท่านี้พอ






--------------------------------------------------------------------------------------------



หลังไมค์ถามมาว่าตกลงภูผากับฟ้าครามใครเป็นพี่เป็นน้องกันเเน่??



ถ้าตามสูติบัตร ฟ้าคราม (นาย จารุวิทย์) เป็นพี่ เเต่ในทางปฏิบัติเเล้ว ทุกคนยกให้ภูผา (นายจารุวัฒน์) เป็นพี่ค่ะ


ขอบคุณที่ติดตามกันมานะคะ ไม่น่าเชื่อว่ายังมีคนจำได้ว่าเรื่องนี้เคยมาลงที่นี่เเล้ว เเต่โดนลบไปค่ะเพราะเราลืมมาลงนานเกิน555นึกขึ้นได้อีกทีก็โดนลบไปเเล้วค่ะ ดีใจจังมีคนจำได้ด้วยย เขิลลล :-[


« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-02-2018 17:47:03 โดย candleguard »

ออฟไลน์ sompong

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 355
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +4/-0
ดราม่าจะบังเกิดไหม

ออฟไลน์ fullfinale

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 666
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-0
ความรู้สึกนึ้ เอาไงต่อดีนะะ :katai1: สู้ๆนะคะะะ

ออฟไลน์ duck-ya

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
แต่ทีเองก็ไม่ได้รังเกียจน้องนี่นาา ให้โอกาสน้องให้โอกาสตัวเองดูน้าาา

ออฟไลน์ candleguard

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 75
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +57/-1
สัปดาห์นี้เจ้าแฝดและผมแยกย้ายกันกลับบ้านในวันเสาร์อาทิตย์ครับ



ผมทิ้งตัวลงบนเตียงของตัวเองในห้องนอนแสนสุขที่ไม่ต้องแชร์ร่วมกับใคร นานแค่ไหนแล้วนะที่ผมไม่ได้กลับมาห้องนี้..สักสามอาทิตย์ได้หรือเปล่า?



วันนี้เป็นวันเสาร์ไม่มีใครอยู่บ้านสักคน ทามไปเรียนพิเศษ พ่อกับแม่ก็มีงานวันเสาร์กลายเป็นว่าผมกลับมาคนเดียว แต่ไม่เป็นไรเดี๋ยวตอนเย็นก็ได้เจอกันแล้ว

                                              ตอนที่ 19    สับสนๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ ๆ!!

ผมนอนมองเพดานห้องที่ไม่ได้เห็นซะนาน จินตนาการรอยฉาบปูนบนเพดานที่ไม่เรียบเป็นรูปต่างๆ อย่างที่ชอบทำเวลาคิดอะไรเรื่อยเปื่อย รู้สึกเลยว่านี่แหละคือที่ของผม นี่แหละคือบ้านของผม ห้องนี้คือโลกของผมเพียงคนเดียว ไม่ต้องแคร์ใคร ไม่ต้องทนอึดอัดใจอยู่ร่วมกับคนอื่น



พอคิดถึงช่วงเวลาตั้งแต่สองคนนั้นเข้ามายุ่มย่ามในชีวิตผมแล้วก็ต้องถอนหายใจออกมาเฮือกใหญ่



กูทนไปได้ยังไงวะ…



ถามว่าสามสัปดาห์ที่อยู่ด้วยกันที่คอนโดผมรู้สึกยังไงก็คงต้องบอกว่า สับสน และ เหนื่อยมาก ล่ะมั้ง ไม่รู้สิ มันเหนื่อยใจแบบแปลกๆ บางทีก็สนุกสนาน บางทีก็รำคาญ บางทีก็มีความสุขจนต้องแอบไปยิ้มอยู่คนเดียว บางทีก็อึดอัดมากจนเหมือนจะหายใจไม่ออก บางทีก็หงุดหงิด บางทีก็อิ่มเอมใจ ผมซ่อนความรู้สึกทั้งหลายเหล่านี้ไว้เบื้องหลังรอยยิ้มบางๆ ผมไม่เข้าใจเลยว่ามันเกิดอะไรขึ้น ภูผากับฟ้าครามทำให้โลกที่แสนสงบของผมเปลี่ยนไป ยิ่งอยู่ด้วยกันนานเท่าไหร่ภายในใจของผมมันก็มีแต่ความสับสน เหนื่อยหน่าย และอึดอัดมากขึ้นทุกทีๆ ไม่รู้ว่าทำไมถึงรู้สึกแบบนี้ …



…นายไม่รู้จริงๆ หรือที…



ไม่… ไม่รู้ ไม่เข้าใจอะไรเลยสักอย่าง



แน่ใจหรือว่าไม่รู้สาเหตุที่แท้จริง



ไม่รู้ ไม่รู้เลยจริงๆ



ตั้งแต่เกิดมานายเข้าใจและหาที่มาของความรู้สึกที่เกิดขึ้นกับตัวเองได้มาตลอดไม่ใช่หรือ



….



ที่อึดอัดและเหนื่อยคงไม่ใช่เพราะเกลียดใช่ไหม



…ไม่…ไม่เลย ไม่เคยจะเกลียดลงเลยสักครั้ง



ฉันรู้ว่าทำไมนายถึงรู้สึกอึดอัดแล้วก็เหนื่อยใจแบบนี้…



…!!



ก็เพราะนายน่ะ….





ไม่ !!!!



ผมลุกพรวดขึ้นจากเตียง สะบัดหัวไล่ความคิดฟุ้งซ่านออกไป ผมมองภาพถ่ายครอบครัวที่ตั้งอยู่บนหัวเตียง เป็นภาพที่ถ่ายกันในวันรับรางวัลเรียนดีม.ปลาย พ่อกับแม่ดูปลื้มอกปลื้มใจมาก ทามก็ยิ้มแย้มร่าเริงแจ่มใส ส่วนผมยืนอยู่ตรงกลางถือเกียรติบัตรอย่างภาคภูมิใจ อีกรูปเป็นภาพที่ถ่ายตอนบวชสามเณรใจเพชร ผมประคองเจดีย์แก้วที่บรรจุพระบรมสารีริกธาตุเอาไว้ ภาพนี้แม่ดูจะยิ้มกว้างมากเป็นพิเศษเพราะดีใจที่ผมได้รับรางวัลขวัญใจพระพี่เลี้ยง



ผมเป็นความภาคภูมิใจของครอบครัว



ผมเป็นลูกที่พ่อแม่หวังจะพึ่งพา



ผมต้องเป็นพี่ชายที่ดี



ผมต้องเรียนให้เก่ง



ผมต้องเป็นแบบอย่างให้ทุกคน



ผมต้องเป็นคนดี



ผมต้อง…



ผมดำรงชีวิตอยู่ในกรอบที่ตัวเองขีดขึ้นจากความคาดหวังของคนรอบข้างมาโดยตลอด อันที่จริงไม่จำเป็นต้องสนใจคนอื่นก็ได้ แต่ผมคงอ่อนไหวและหัวอ่อนเกินไปจึงถูกชักนำจากความคาดหวังของคนรอบข้างได้ง่ายเหลือเกิน



ผมสะดุ้งในใจ…นี่เรากดดันตัวเองอีกแล้วนะ



แล้วผมก็ต้องประหลาดใจ เพิ่งนึกขึ้นได้ว่าตัวเองไม่ได้คิดเรื่องความเพอร์เฟ็คอะไรนี่มานานมากแล้ว ทั้งๆ ที่ปกติพออยู่คนเดียวเมื่อไหร่ก็จะคิดถึงเรื่องพวกนี้แล้วก็ขุดเอาข้อบกพร่องของตัวเองขึ้นมาประณามซ้ำแล้วซ้ำเล่า พอรู้สึกว่าตัวเองเลวไม่มีอะไรดีสักอย่างจนสาแก่ใจแล้วถึงจะหยุด



เกลียดตัวเองตรงที่เวลาอยู่คนเดียวแล้วชอบทำให้ตัวเองกดดัน ไม่มีความสุข



เกลียดตัวเองที่ชอบคิดมาก คิดมันทุกเรื่อง อยากหยุดแต่ก็หยุดไม่ได้ ยิ่งหยุดไม่ได้ก็ยิ่งหงุดหงิด



ผมนอนมองเพดานห้องที่ว่างเปล่า จู่ๆ ก็รู้สึกโหวงเหวงขึ้นมา ห้องที่นอนมาเป็นสิบๆ ปีวันนี้เป็นครั้งแรกที่คิดว่ามันกว้างเกินไป เงียบเกินไป



ไม่เข้าใจตัวเองเลยจริงๆ



พอผมจัดกระเป๋าไปค่ายเสร็จพ่อกับแม่ที่แวะรับทามมาด้วยก็กลับมาถึงพอดี เป็นครั้งแรกในรอบเดือนที่เราได้กินข้าวกันพร้อมหน้า ยัยทามพูดไม่หยุดจนแม่ต้องเอาทอดมันยัดปากท่าทางตอนผมไม่อยู่ยัยทามคงจะเฉาปากน่าดู



“แล้วอยู่กับน้องเป็นยังไงบ้างล่ะ ดื้อมั้ยที” แม่ถามพร้อมกับตักไข่เจียวหมูสับของโปรดใส่จานผม



“ดื้อมากกกกกกกกก” ผมลากเสียงยาว แต่ใบหน้าระบายไปด้วยรอยยิ้ม ทำให้แม่รู้ว่าผมไม่ได้พูดจริงจัง แล้วบทสนทนาก็พวกเราก็กลายเป็นเรื่องวีรกรรมของเจ้าแฝดไปซะอย่างนั้น



“สองสามวันก่อนตอนรับน้อง ปีสองมันให้ปีหนึ่งอมลูกอมต่อกันใช่ป่ะทาม ทีนี้ก่อนจะให้อมเค้าก็จะถามว่าใครเป็นโรคติดต่ออะไรมั้ย แล้วไอ้แฝดมันยกมือด้วยแหละ …” ผมเล่าไปขำไป



“พี่แฝดไม่สบายหรอ?” ทามถาม



“คนไม่สบายที่ไหนมันตื่นขึ้นมายกเวทแต่เช้าได้ล่ะ ถามจริง” ผมหัวเราะหึหึ



“ไอ้แฝดมันบอกพวกปีสองว่ามันสองคนเป็นหวัด คงคิดว่าพี่เขาจะให้มันออกจากเกม แต่เปล่าเลย ปีสองมันรู้ทันบอกให้สองคนนั้นไปนั่งท้ายแถวจะได้อมคนสุดท้ายไม่เอาโรคไปติดชาวบ้าน คือแบบ …ฮ่าๆ ๆ …หน้าไอ้ภูไอ้ครามตอนนั้นฮามากอ่ะพ่อ” ผมเป็นพวกเล่าเรื่องตลกแล้วชอบขำเองครับ ไม่รู้มีใครเป็นเหมือนผมหรือเปล่านะ ฮ่าๆ ๆ



ผมยืนล้างจานคู่กับทามในครัว รู้สึกเหมือนไม่ได้ล้างจานมานานมากๆ เพราะภูผากับฟ้าครามทำให้ตลอด…ป่านนี้ภูผากับฟ้าครามจะกำลังทำอะไรอยู่นะ



“ทีเขยิบออกไปหน่อยซิลูก ที่มีตั้งเยอะแยะมานั่งเบียดแม่ทำไมฮึ” แม่พูดขึ้นขณะที่เราทุกคนนั่งดูทีวีด้วยกันในห้องนั่งเล่น



“อะไร เบียดอะไรแม่ ทีก็นั่งของทีปกตินี่” ผมขมวดคิ้วสงสัย



“ปกติพี่ชอบนั่งโซฟาเดี่ยวไม่ใช่หรอ ทำไมวันนี้ไปนั่งคั่นกลางพ่อกับแม่ล่ะ นั่นแน่ ขาดความอบอุ่นหรอ คริๆ ๆ ” ดูไอ้ทามมันแซวผมสิครับ=*=



“พ่อๆ เปลี่ยนไปช่อง ppp หน่อยครับ” ผมบอกพ่อที่ครองรีโมตไว้เมื่อเหลือบมองนาฬิกาแล้วพบว่ารายการโปรดของผมกำลังจะมา แทนที่พ่อจะเปลี่ยนให้กลับยื่นรีโมตให้ผมเลย



“เดี๋ยวนี้ดูเกมโชว์เกาหลีด้วยหรอพี่ที ว้ายติ่งๆ ๆ!”



“ติ่งบ้านเอ็งดิ” ผมเอื้อมมือไปตบหัวทามที่นั่งอยู่บนพรมเบาๆ ทีนึง แต่ยัยน้องสาวตัวดีดันร้องโอดโอยเสียโอเวอร์ราวกับผมเอาค้อนไปทุบหัวมัน



ตอนแรกผมก็ไม่ดูรายการพวกนี้หรอกครับ ปกติดูแต่พวกสารคดีสัตว์โลกน่ารัก ปลากระเบน แพนด้า ไฮยีน่า ปลวก เป็ด อะไรพวกนั้น แต่พอไปอยู่กับไอ้สองตัวนั้นผมแพ้เสียงข้างมากเลยต้องยอมดูเกมโชว์ ดูไปดูมามันก็สนุกดี รู้ตัวอีกทีก็ติดงอมแงม…



ก็บอกแล้วไง ผมมันพวกถูกคนรอบข้างชักจูงได้ง่าย -_-;







“โอ๊ย เมื่อไหร่ห้องเชียร์จะจบซักทีวะ น่าเบื่อ” ฟ้าครามบ่นเป็นหมีกินผึ้งขณะถอดเนกไทโยนลงบนโต๊ะ



“นั่นดิ ไหนว่าไม่มีว๊ากไงพี่ที นี่อะไรก็ไม่รู้กดดันฉิบหาย… ร้องเพลงสิครับน้อง กินแรงเพื่อนอิ่มมั้ยครับ พูดอยู่ได้ไอ้คำนี้” ภูผาบ่นบ้างขณะเปิดพัดลมจ่อตัวทั้งที่ก็เปิดแอร์แรงอยู่แล้ว



“เอ้า ก็ไม่ได้ว๊ากจริงๆ นี่ เค้าเรียกสอนน้องร้องเพลง ภูกับครามเห็นพี่เขาตะคอกใส่ซักครั้งมั้ยล่ะ… ก็เปล่า” ผมพูดขณะพลิกเอกสารค่ายดูไปด้วย ที่ภูผากับฟ้าครามเจอมันก็แค่ต้องไปฝึกร้องเพลงของมหา’ ลัยหลังเลิกเรียนวันละสามชั่วโมงเป็นเวลาหนึ่งอาทิตย์จนกว่าจะถึงวันออกค่ายอาสา ในห้องสอนร้องเพลงพี่ปีสามจะยืนล้อมรอบห้องทำหน้านิ่งๆ แต่ว่าเจ็บๆ เวลาน้องร้องเบา หรือไม่ตั้งใจร้อง ส่วนปีสองมีหน้าที่สอนร้องเพลง



“เราน่ะได้นั่งกันสบายๆ ปีพี่เค้าให้ยืนร้องนะจะบอกให้”



“แต่ภูว่ามันเวอร์ไปป่ะพี่ จะทำอะไรก็ต้องยกมือขออนุญาตตลอด”



“ก็เขาฝึกให้มีมารยาทไง...” ผมตอบ แต่ตาไม่ได้ละไปจากเอกสารในมือแม้แต่น้อย เลยดูเหมือนว่าผมไม่ได้ให้ความสนใจสองคนนั้นเท่าไหร่



“พี่ทีอ่านอะไรอ่ะ” ฟ้าครามถาม



“เอกสารค่าย” ผมชักรู้สึกอ่านไม่ค่อยรู้เรื่องเลยตัดสินใจลุกจากโซฟาเดินกลับไปอ่านในห้องตัวเอง แต่ภูผากับฟ้าครามกลับตามเข้ามาในห้องผมด้วย



“มีอะไรอีกล่ะฮึ ถึงจะตามมาบ่นให้พี่ฟัง พี่ก็ช่วยอะไรไม่ได้หรอกนะ” ผมยิ้มบางๆ พลางดันแว่นตาที่ตกลงมาที่ปลายจมูกกลับขึ้นไป แต่ในใจกลับคิดว่าน่ารำคาญชะมัด อุตส่าห์เดินหนีออกมาแล้วยังจะตามมาอีก



ภูผากับฟ้าครามไม่ได้พูดอะไร แค่เดินเข้ามาใกล้ผมที่นั่งอ่านเอกสารอยู่บนขอบเตียง เงาดำที่บดบังแสงไฟทำให้ผมอ่านไม่ถนัดนัก พอจะเงยหน้าขึ้นมาบอกว่าอย่าบังแสงฟ้าครามกับภูผาก็วางมือลงบนหน้าอกผมคนละข้าง ผมเงยหน้าขึ้นสบตากับทั้งสองคน ไม่เข้าใจว่าจะทำอะไร แต่ก็ไม่ได้คิดจะขัดขืนเมื่อภูผากับฟ้าครามดันให้ผมเอนหลังลงไปบนเตียง สองคนนั้นไม่ได้ดันแรงๆ หรือออกแรงกด ก็แค่ออกแรงผลักเบาๆ ส่วนผมก็ยอมทิ้งตัวลงไปอย่างว่าง่าย จะดูซิว่าจะเล่นอะไร



“…” ผมสบตาภูผา แล้วก็ได้แต่สะท้านเยือกอยู่ในใจ มันไม่ใช่สายตาปกติที่น้องชอบมองผม มันเป็นสายตาแบบเดียวกับที่โซฟาในวันนั้น



ผมรู้สึกทำตัวไม่ถูกเอาซะดื้อๆ จู่ๆ ก็รู้สึกลนลานขึ้นมาแปลกๆ สายตาพยายามหาจุดเบี่ยงเบนความสนใจ แล้วผมก็สบตากับฟ้าครามเข้า ปกติฟ้าครามจะมองผมด้วยแววตาขี้เล่น แต่วันนี้มันกลับเปลี่ยนไป มันดูแฝงความต้องการอะไรบางอย่างเอาไว้ ความต้องการที่ผมไม่คิดอยากรู้ว่ามันคืออะไร



“อะไร จะปล้ำพี่หรือไง ฮะๆ ๆ ” ผมจับมือทั้งสองข้างที่ยังคงดันร่างผมให้ติดกับเตียงเอาไว้แล้วพยายามดันมันออกอย่างเนียนๆ เมื่อชักจะเริ่มรู้สึกแปลกๆ



“พี่ที…พี่รู้ใช่มั้ยว่าพวกเราคิดยังไงกับพี่” ฟ้าครามพูดเสียงเรียบไม่มีแววล้อเล่นอยู่ในนั้น



“…” ผมขมวดคิ้ว พยายามแสดงออกให้รู้ว่าผมไม่เข้าใจในสิ่งที่ฟ้าครามพูดทั้งที่ในอกกลับรู้สึกเหมือนมีมือที่มองไม่เห็นมาบีบเอาไว้จนปวดระบม มันทั้งตื่นเต้น ทั้งหวาดกลัว ทั้งดีใจ ทั้งรู้สึกไม่อยากยอมรับ รู้สึกรังเกียจตัวเองที่ดีใจทั้งที่ไม่ควรจะเป็นเช่นนั้น มันผิด มันวิปริต ไม่ได้…ไม่ควร!



อย่านะ อย่าพูดออกมานะ ไม่อย่างนั้นทุกสิ่งทุกอย่างจะไม่เหมือนเดิมอีกต่อไป…



“ผมระ…” ฟ้าครามพูดแต่ผมรีบขัดขึ้น



“หยุดนะ!”



“พี่ทีผม…”



“ไม่! ไม่ต้องพูด”



“ไหนวันนั้นพี่บอกผมว่าพี่รับรู้แล้วไง” ภูผามองผมด้วยสายตาตัดพ้อ



“… พี่รู้แค่ว่าเรามีความรู้สึกที่ดีให้กับพี่”



“พี่จะหนีความจริงไปทำไม ผมรู้ว่าพี่รู้นะว่าพวกเรารู้สึกยังไง แต่ถ้าพี่ยังยืนยันว่าไม่รู้จริงๆ อยู่ล่ะก็ ผมจะพูดใหม่อีกครั้งก็ได้ คราวนี้เอาให้มันชัดเจนกันไปเลย!”



“หยุดพูดเดี๋ยวนี้นะ!!!!! ”



ผมตะโกนสุดเสียงก่อนจะลุกพรวดขึ้นมา แล้วก็พบว่าตอนนี้ผมอยู่บนเตียงที่บ้านของตัวเอง ไม่มีร่างของสองแฝดนั่นคร่อมอยู่เหมือนที่เห็นไปเมื่อสักครู่



ผมหอบหายใจอย่างเหน็ดเหนื่อย รู้สึกโล่งใจอย่างประหลาดที่มันเป็นแค่ความฝัน ใช่ ก็แค่ความฝัน มันไม่ได้เป็นความจริง



แต่ถึงอย่างนั้นความฝันเมื่อคืนก็ทำให้ผมได้แต่เก็บตัวอยู่ในห้องตลอดวันอาทิตย์ โผล่หน้าลงไปกินข้าวแล้วก็กลับขึ้นมาหมกตัวอยู่แต่ในห้อง ครุ่นคิดเรื่องของภูผาฟ้าครามซ้ำไปซ้ำมาเหมือนคนบ้าทั้งที่มันก็ไม่ได้มีอะไรเลย ผมอาจจะคิดไปเองคนเดียวก็ได้ ทำไมไม่บอกให้มันชัดเจนกว่านี้วะ ถ้าผมเข้าใจผิดผมก็กลุ้มใจฟรีน่ะสิ โอ๊ย ! ให้ตายเถอะ ทำไมผมต้องมาจมอยู่กับความรู้สึกแบบนี้ทั้งวันด้วยเนี่ย เพราะไอ้เเฝดนรกคู่นั้นเเท้ๆ เลย



ผมหยิบหมอนขึ้นมาทุบหัวตัวเองอย่างบ้าคลั่ง ไม่รู้ว่าตัวเองควรจะทำอย่างไรต่อไปดี



โอ๊ยยยยยย ! ทำไมถึงสับสนขนาดนี้วะ…ไม่ไหวแล้วจริงๆ



ผมคว้ามือถือขึ้นมา ชั่งใจเล็กน้อย ก่อนจะกดโทรออก



“ฮัลโหล อาจารย์ปกรณ์หรอครับ …. ครับ ผมทวีเดชนะครับ …อาจารย์ครับ ช่วยนัดจิตแพทย์ให้ผมที…”







- พี่ทีเริ่มสับสนแล้ว 555 นับว่าก้าวหน้า (?) นะจากแต่ก่อนที่ไม่ได้คิดอะไรเลย



- ไม่รู้จะมีใครเข้าใจความสับสนของพี่ทีรึเปล่านะ แต่เราเขียนตอนนี้ขึ้นมาเพราะครั้งหนึ่งเราเคยรู้สึกแบบนี้จริงๆ สับสนแบบมีความสุขปนทุกข์อ่ะ งงมั้ย^^;;



- มหา’ ลัยพี่ทีมีโรงพยาบาลนะคะ สามารถรักษาได้ฟรี แต่ในกรณีต้องการเข้าพบจิตแพทย์ต้องให้อาจารย์ที่ปรึกษาของตัวเองเป็นคนนัดให้ค่ะ



- เราเคยคิดขำๆ นะว่าถ้าพี่ทีไม่เคยบวชเรียน อาจจะคิดมากจนเป็นบ้าไปนานแล้วก็ได้ 555



เรื่องนี้แทบไม่ค่อยมีมือที่สองมือที่สามหรืออุปสรรคอะไรหรอกค่ะ เพราะตัวอุปสรรคที่ใหญ่ที่สุดในเรื่องก็ตัวพี่ทีเองอ่ะแหละ กร๊ากกก บอกแล้วว่าไม่ดราม่า แต่อาจจะช้าสักหน่อยเพราะพี่แกไม่เอาน้องเลยจริงๆ ปฏิเสธท่าเดียว

ออฟไลน์ BABYBB

  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 1123
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +10/-1
ถึงกับต้องหาจิตแพตย์ดลยหรออออออออ

ออฟไลน์ ❣☾月亮☽❣

  • เป็ดApollo
  • *
  • กระทู้: 6773
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +264/-6
ก็ดีนะที่หาจิตแพทย์เพราะพี่แกควรได้รับคำปรึกษาดีๆน่ะ
คนเราคิดเองมันคิดไม่ตกหรอก

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด