My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอนพิเศษ] 19-02-62 P.4
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอนพิเศษ] 19-02-62 P.4  (อ่าน 23691 ครั้ง)

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3


My Family : Secret Me! คนนี้ต้องลับ!

ตอนที่  15





ไม่รู้ว่าคนอื่น ๆ จะมีความรู้สึกเหมือนผมในเวลานี้ไหม  ความรู้สึกที่เหมือนลิงได้แก้วหรือพวกหัวล้านได้หวีอะไรทำนองนั้น  อย่างที่รู้ว่าครอบครัวของผม  พวกเราสี่พี่น้องมีพลังพิเศษถ่ายทอดมาจากฝั่งคุณตาผ่านมาทางแม่ของพวกเราอีกที  พลังของพี่ใบไธม์คือ  เมื่อเขาแตะสัตว์ชนิดไหนเกินสองนาทีเขาจะกลายร่างเป็นสัตว์ชนิดนั้นซึ่งมีประโยชน์กับการทำงานสืบคดีของพี่ใบไธม์มาก  ของกระวานพี่ชายคนรองคือหูที่พิเศษกว่าชาวบ้านชาวช่อง  เขาสามารถได้ยินความคิดในหัวคนอื่นได้ถ้าอยู่ในระยะเหมาะสม  แต่เป็นความคิดในเชิงลามกน่ะนะ  ความสามารถด้านนี้ของกระวานสร้างความลำบากในการใช้ชีวิตให้เขาอยู่พักใหญ่จนกระทั่งเขาได้งานที่เหมาะกับความสามารถนั้นเขาก็ก้าวหน้าในการงานชนิดพรวดพราดเลยทีเดียว  เพกาน้องสาวคนสุดท้องนางฟ้าของบ้านเรามีมืออันวิเศษ  สามารถทำให้ต้นไม้ใบหญ้าเติบโตมีชีวิตชีวาเพียงแค่เพกาโอบอุ้มไว้ในอุ้งมือและปลูกลงบนพื้นดิน  แค่ชั่วข้ามคืนสีเขียวชอุ่มก็ละลานตาให้ชุ่มชื่นใจ

แล้วพลังพิเศษของผมล่ะ?

ผมเหลือบมองคนในกระจกที่ยืนบิดไป-มา  บางครั้งแอบมองผมแล้วสะดุ้งตกใจเอง  ผมจ้องเขาแล้วก็คิด  คิดๆๆๆ  คิดว่าไอ้พลังพิเศษของผมนี่มันมีประโยชน์อะไรบ้างนอกจากเป็นตัวป่วนของบ้าน  ค้นลงไปในความทรงจำสมัยเด็กจนปัจจุบันก็ยังหาประโยชน์จากพลังนี้ไม่เจอสักข้อ

เฮ่อ~

ผมถอนหายใจ  มองท่าทางเก้กังของคนในกระจกแล้วนึกปลง  พลังพิเศษที่ไม่มีความวิเศษแบบนี้มันช่าง...

“...ไร้ประโยชน์ชะมัด”

“ห้ะ!”  คนในกระจกผงะตกใจกับคำพูดของผม  ดวงตาเบิกกว้างเหมือนช็อกที่โดนด่าว่าไร้ประโยชน์  จากนั้นน้ำตาคลอหน่วยจมูกแดงปากเบะพร้อมฟูมฟายแต่พยายามฝืนไว้  เขาทำท่าหันหลังเตรียมหนี  ร้อนให้ผมที่ปากไวต้องงะ  เอ่อ..งะ  ง้อ...  อา  ใช่  ง้อนั่นแหละ

“เห้ย  จะไปไหน!”  ผมเท้าเอวขมวดคิ้วถาม

“ก็โป๊ยกั๊กว่าเราไร้ประโยชน์  ฮึก!”

“....”  เออ ก็มันเป็นความจริงนี่หว่า! แต่อย่าพูดดีกว่า...  ผมถอนหายใจ  เมื่อกี้ไม่น่าเผลอหลุดความคิดออกมาให้ไอ้เจ้านี่ได้ยินเลย  ให้ตายซิ

“เราไร้ประโยชน์จริง ๆ ด้วยซินะ  แง~”  พอผมเงียบเจ้ากานพลูเลยบ่อน้ำตาแตก  บ้าเอ้ย!

“เงียบ!”  ผมตะคอกใส่คนขี้แงแต่กานพลูกลับยิ่งร้องไห้เสียงดังกว่าเดิม

“นี่  ถึงไอ้พลังพิเศษของฉันจะดูประโยชน์น้อย...”  กานพลูหยุดสะอื้นเพื่อฟังผมพูด  พอถึงคำว่าประโยชน์น้อยก็เบะปากอีกครั้งทั้งที่ผมยังพูดไม่จบประโยค

ฮ่วย! บักปอบนี่  ฟังคนเขาพูดให้จบก่อนได้ไหม!  ผมกลอกตาขึ้นฟ้าถอนหายใจเฮือกใหญ่  เอาวะ  เป็นไงเป็นกัน!

“นี่  กานพลู ฟังนะ”  คราวนี้เขาคงตกใจมากจริง ๆ  ลืมแม้กระทั่งสะอื้น  ดวงตาเรียวยาวเบิกโตมองมาเหมือนคนไม่รู้จัก  อืม  ก็สมควรตกใจแหละมั้งในเมื่อนี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่ผมเรียกชื่อเขาตรง ๆ แล้วก็เป็นการคุยกันดี ๆ ครั้งแรกในรอบสามปีตั้งแต่เราคะ  คะ คือ  ..คืนดีกัน

อา  ขนลุกชะมัด!

การที่มองหน้าตัวเองในกระจกแล้วพูดประโยคสาวน้อยแบบนี้ไม่ให้ขนลุกได้ไงเล่า!

เออ  นั่นแหละ  ตั้งแต่เราดีกันก็ยังไม่มีเวลาคุย  ไม่ใช่ซิ  ผมต่างหากที่ไม่กล้าคุยกับกานพลู  จนคำนับทนไม่ไหวต้องลากผมมาขังในห้องเขาพร้อมกระจกบานโตเต็มห้อง  บอกว่าถ้าผมยังไม่คุยกับกานพลูให้รู้เรื่องจะไม่ยอมเปิดประตูให้ผมออกไปเด็ดขาด  จากนั้นก็ล๊อคห้องจากด้านนอก  ทิ้งผมไว้กับกานพลูที่รายล้อมรอบตัวในกระจกนับสิบบาน

ผมนั่งนิ่งอยู่หน้ากระจกบานใหญ่สุดมาร่วมสามชั่วโมงแล้วมั้งกว่าจะตัดสินใจอ้าปากพูดน่ะ  อีกอย่างนานขนาดนี้คำนับยังไม่ขึ้นมาดู  ผมว่าเขาคงลืมไปแล้วแน่ว่าขังผมอยู่ในนี้

ผมหลุดจากภวังค์  มองคนในกระจกเอียงคอรอฟังแล้วอดขำด้วยความเอ็นดูไม่ได้  ทำตาแป๋วเหมือนลูกหมาเลยแฮะ  โอ๊ะ  งั้นผมก็เหมือนลูกหมาด้วยซิ

“ถึงนายจะเป็นพลังพิเศษที่ประโยชน์น้อยที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งหมด  แต่ว่านะกานพลู...”

“.......”

“ฉันก็ยังดีใจที่นายเกิดมา”

“ฮึก  โฮฮฮฮ”

“เฮ้ย  ร้องไห้ทำไม  ฉันว่าฉันไม่ได้พูดอะไรไม่ดีเลยนะโว้ย”  ผมลนลานเพราะไม่เคยเห็นกานพลูร้องไห้หนักแบบนี้มาก่อน  ร้องจนเหมือนจะขาดใจ

“ขอ  ฮึก  ขอโทษนะโป๊ยกั๊ก  ฮืออ  เราขอโทษเรื่องเด็กผู้หญิงในตอนนั้นด้วย”

“.....”

“ระ  เราแค่อยากให้นายให้ความสำคัญกับเราบ้าง”

“อืม”

“เราขอโทษกับหลาย ๆ เรื่องที่ทำให้นายเดือดร้อน  ขอโทษ  ฮือออ”

แกร๊ก!

ผมเดินเข้าไปหาคำนับเมื่อเขาไขกุญแจแล้วเปิดประตูเดินเข้ามา  ผมไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้ายังไง  การที่กานพลูเอาแต่ร้องไห้แบบนี้ผมทำอะไรไม่ถูกเลย  คำนับมองกานพลูจากนั้นหันมาถลึงตามองผม  เท้าเอวคอตั้งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงคาดคั้น

“นายแกล้งอะไรกานพลู!”

“เฮ้ย  เปล่านะ  ไม่ได้แกล้งสักหน่อย”

“งั้นเจ้าเด็กโข่งนั่นจะร้องไห้แบบนั้นทำไม?”

“อุ๊บ! แค่กๆๆ”  คนในกระจกถึงกับสำลักน้ำลายไอโขลกหน้าดำหน้าแดง  หน้าตาเปรอะเปื้อนทั้งน้ำตาน้ำมูกไม่น่ามองเลยสักนิด  ผมเบ้หน้า  รู้สึกไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไหร่  ยังไงซะนั่นก็ใบหน้าผมนะเฮ้ย!

“คำนับอย่าดุโป๊ยกั๊กเลย  เขาไม่ได้แกล้งเราหรอก”

“?”  คำนับหรี่ตาคล้ายไม่เชื่อ  เห็นแบบนั้นผมเลยกอดอกจ้องตาตอบ  ผมไม่ได้แกล้งเจ้ากานพลูสักหน่อย!

“รู้แล้วน่าว่านายไม่ได้แกล้ง”  คำนับยกยิ้มมุมปาก   “ก็นั่งฟังอยู่หน้าห้องตลอด”

“ห้ะ  นายนั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องตลอด?”

“ใช่”

“หืม?”

“เอ่อ  มีเผลอหลับไปสองงีบแหละ  แฮะ  อะไรเล่า!  ฉันตื่นตั้งแต่เช้ามืดนี่นามันก็ง่วงบ้างซิ”  ผมส่ายหัวไม่อยากถือสา  “อ้อ  แต่ฉันรู้นะว่านายคุยอะไรกับกานพลูบ้าง”

“ได้ยินทุกอย่างที่ฉันพูดกับหมอนี่ด้วย?”

“ช่าย”  คำนับพยักหน้าอีกรอบ  เขาทำท่าเหมือนนึกอะไรออกแล้วมองผมด้วยสายตาวิบวับ

“มองอะไร?”  ผมขยับตัวหนีห่างจากคำนับ  ทำไมถึงรู้สึกว่าตัวเองถูกกุมจุดอ่อนเอาไว้ยังไงไม่รู้

“เพิ่งรู้นะเนี่ยว่านายเป็นพวกปากร้ายใจดี”  คำนับยิ้มตาหยียื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วล้อเลียน

“ใจดีอะไร๊!”  ยิ่งผมพยายามหันหน้าหนีคำนับยิ่งยื่นหน้าเข้ามาใกล้คล้ายจงใจแกล้งกัน

“นายน่ะถึงปากจะพูดแรงแค่ไหนแต่แค่เห็นน้ำตากานพลูนายก็ลนลานทำอะไรไม่ถูกแล้ว  ถึงได้บอกไงว่านายน่ะเป็นพวกปากร้าย  อื้อ!”

ผมปิดปากที่เจื้อยแจ้วไม่หยุดของคำนับด้วยการกดจูบลงบนริมฝีปากบาง ๆ นั่น  ยกมือกดท้ายทอยเอาไว้ไม่ให้ขยับหนี  ยิ่งเป็นจังหวะที่อ้าปากพูดแบบไม่ระวังตัวยิ่งเป็นโอกาสทองให้ผมได้จูบแบบลึกซึ้ง

คำนับที่ตกใจถึงกับสะดุดลมหายใจตัวเอง  ผมกวาดลิ้นเกี่ยวพันไม่ให้เขาทันตั้งตัว  มืออีกข้างวาดรั้งเอวผอมของเขาเข้ามาแนบชิด  เลื่อนปลายนิ้วจากท้ายทอยขึ้นสางกลุ่มผมสีอ่อน  กระตุกเบา ๆ ให้คำนับเงยหน้าขึ้นรับจูบที่ทวีความร้อนแรง

“อือ~”  ลมหายใจของเราร้อนผ่าว  ผมล้วงมือผ่านชายเสื้อลากไล้ผ่านผิวขาวซีดของเขาแผ่วเบาก่อนออกแรงกดตรงก้นกบ  ร่างผอมของคำนับสะดุ้งเบา ๆ เขาส่งเสียงในคอคล้ายลูกแมวตัวน้อย  นั่นยิ่งทำให้เลือดในตัวผมสูบฉีดแรงขึ้นและจูบเขาหนักหน่วงกว่าเดิม  ราวกับหิวกระหายไม่รู้จักพอ  เวลาที่คำนับจูบตอบอย่างลืมตัวผมยิ่งอยากกลืนเขาลงท้อง  ผมเลื่อนมือลงกุมสะโพกของคำนับ  กอบกุมขยำเจ้าก้อนนุ่มเต็มฝ่ามือ  ร่างผอมสะดุ้งอีกคำรบ  ผมขยับจัดการให้แขนขาวยกขึ้นคล้องคอผมเอาไว้

ท้องน้อยร้อนรุ่ม  ตรงหว่างขาคับแน่น  เสียงหอบหายใจของเราผสมผสานปนเป  ผมกดสะโพกของคำนับเข้าหาให้ส่วนกลางลำตัวที่ร้อนผ่าวของเราใกล้กันที่สุด  ผมบดเบียดสะโพกเสียดสีผ่านเนื้อผ้า

เสียงหอบหายใจ  เสียงจูบ  เสียงครางเครือทั้งของผมและคำนับ  ยิ่งทบให้อารมณ์ทวีความรุนแรง  สะโพกของเราขยับสัมผัสกัน  ผมลืมเลือนทุกสิ่งและคิดว่าคำนับเองก็คงเหมือนกัน  เขาเลื่อนมือรั้งให้ผมจูบเขามากกว่านี้

เราจูบกัน  สัมผัสบดเบียดเสียดสีความคับแน่นตรงกลางลำตัวใส่กันอย่างเร่าร้อน  จนเมื่อถึงที่สุด  ความสุขสมโจมตีเราอย่างพร้อมเพรียง  ผมขบกรามแน่นพยายามกลั้นเสียงแต่กลับยากเย็นเหลือเกิน  ผมได้ยินเสียงตัวเองคำรามในลำคอ  เสียงครางของคำนับถูกผมกลบจนแทบไม่ได้ยิน  ผมขยำสะโพกของคำนับแน่น  ร่างผอมกระตุกเกร็งอยู่เป็นนานกว่าจะคลายลง  ผมผละจูบให้เราทั้งคู่กอบโกยอากาศเข้าปอด  คำนับยังคงหลับตา  คิ้วเรียวยาวของเขาขมวดมุ่น  ริมฝีปางบางบวมเจ่อเผยอหอบหายใจ  ผมสัมผัสได้ว่าขาทั้งสองข้างของคำนับสั่นระริก  คงเพราะอารมณ์ที่ระเบิดรุนแรงเมื่อครู่  แขนขาวยังคงคล้องอยู่บนคอผมเพื่อพยุงตัว

ผมกดจูบขมับคำนับด้วยความเอ็นดู  ปลอบประโลมเบา ๆ ตรงปลายจมูกของเขาอีกที  คำนับลืมตามอง  ดวงตาของเขายังคงถูกปกคลุมด้วยอารมณ์หวาม  และนั่นก็ปลุกลูกชายของผมขึ้นมาอีกครั้ง  ผมหักห้ามใจตัวเองแต่ไม่วายกดจูบริมฝีปางเจ่อ ๆ ของเขาตบท้าย  คราวนี้เหมือนสติคำนับจะกลับเข้าร่างแล้ว  เขาขยับตัวออกห่างดึงแขนลงจากคอผมไปไว้ข้างลำตัว  แก้มขาวซีดพาดริ้วสีแดงเมื่อรับรู้ว่ามือของผมยังแปะอยู่บนสะโพกเขา

“เอ่อ...  ปล่อย”

“ได้  แต่นายต้องจูบฉันก่อน”  ผมหรุบสายตาจ้องริมฝีปากเขา  คำนับไม่ยอมสบตา  เขาขยับไปมาแต่ไม่ยอมจูบผมตามคำเรียกร้อง  “เร็วเข้า!  ไม่งั้นกางเกงนายจะซักออกยากนะถ้ามันแห้งไปซะก่อน”

“!”  คำนับเงยหน้าขวับ  คราวนี้ไม่ใช่แค่แก้มแล้วที่แดงแต่เป็นทั้งหน้า หูและคอเลย  ผมยกยิ้มรอให้คำนับเขย่งปลายเท้าขึ้นมาจูบ

กึก!

รวดเร็วแต่ไม่แผ่วเบา  นี่มันไม่เรียกว่าจูบแล้ว!  นี่มันคือการเอาปากมาชนกันแล้วฟันก็กดปากด้านในอย่างแรงด้วย!  อื้อหือ  เจ็บโว้ย!

คำนับวาดแขนอ้อมไปแกะมือผมออกจากก้นเขา  จังหวะที่มือหลุดออกผมก็พลิกมือไปจับมือเขาเอาไว้แล้วโน้มตัวลงกระซิบข้างหู

“คราวหน้าทำแบบไม่มีกางเกงดีกว่าเนอะ  จะได้ไม่ลำบากตอนซัก”  จบประโยคผมแกล้งขบติ่งหูเขาเบา ๆ

“ไอ้ทะลึ่ง!”  คำนับสะบัดมือผมออกพลางขยับตัวหนีก่อนจะชะงักกึกเมื่อหันไปมองรอบห้อง

“มีอะไร?”

“กานพลูล่ะ?”

“......”

“บ้าเอ้ย!  เพราะนายเลยไอ้หมาหื่น!  อ้ากกกกก!”  คำนับร้องโหยหวน  ดึงทึ้งหัวตัวเองพลางวิ่งออกจากห้อง

กระจกทุกบานว่างเปล่า  ไม่มีกานพลูในกระจกบานไหนเลยสักบาน  พอผมได้จูบคำนับผมก็ลืมรอบข้างไปหมด  ลืมคิดกระทั่งว่าตอนนั้นกานพลูอาจจะยืนมองตาค้างหรือช็อกจนหนีหายไปที่ไหนสักแห่งแล้ว

อืม  ช่างเถอะ  ยังไงเขาก็รู้อยู่ดีแหละน่า

ตอนนี้ผมเองต้องไปซักกางเกงด้วยเหมือนกันแฮะ  แล้วถ้าไปเบียดกับคำนับในห้องน้ำเพื่อซักกางเกงเขาจะตะเพิดผมออกจากบ้านไหมเนี่ย

เอาน่า  ถือว่าช่วยชาติประหยัดน้ำก็ถอดกางเกงซักพร้อมกันนั่นแหละดีแล้ว!



ว่าแต่...

คำนับ  นายล็อกประตูห้องน้ำทำไม  ห๊า!

เปิดประตูไปให้ฉันขย้ำนายเดี๋ยวนี้!


*********


“เดี๋ยวก่อนลูก”  ผมผ่อนคันเร่งเพราะโดนพ่อเรียกเอาไว้

“ครับ?”

“ผ้ากันเปื้อนน่ะ”  ผมรับห่อกระดาษมาเปิดออกดู  ข้างในเป็นผ้ากันเปื้อนสีดำหลายผืนที่พ่อตัดเย็บเองกับมือเพื่อให้คำนับ  เดือนก่อนเห็นว่าต้องไปฝึกงานในโรงแรมดังผ้ากันเปื้อนผืนเดียวคงไม่พอใช้ผมเลยพาเขาไปเดินซื้อเพิ่ม  ก็ไม่รู้ว่าเรียกว่าเพิ่มได้ไหมในเมื่อคำนับซื้อแค่ผืนเดียว  เขาบอกว่ามันแพง  เดี๋ยวซักตากสลับใช้สองผืนน่าจะพอไหว  เห็นแบบนั้นผมนี่แหละที่ทนไม่ไหว  ผมเคยเห็นพ่อตัดผ้ากันเปื้อนใส่เองกับให้ลูกน้องในร้านจึงพอรู้ลักษณะเนื้อผ้าอยู่บ้าง  หลังจากไปส่งคำนับที่บ้านแล้วผมก็ตะเวนหาซื้อผ้าชนิดกันความร้อนได้ดีมาหลายเมตรให้พ่อตัดผ้ากันเปื้อนให้คำนับ  หมดเงินไปหลายพันแต่ผมว่ามันก็คุ้มกับการที่มันจะช่วยป้องกันคำนับจากของร้อน ๆ หกใส่

ความคิดที่ว่าจะซื้อผ้ากันเปื้อนให้คำนับใส่แล้วเป็นคนถอดให้เขายังคงลุกโชนอยู่ในใจ  เอาน่า  ซื้อผ้ามาให้พ่อฟ้าตัดก็เหมือนซื้อแบบสำเร็จนั่นแหละ  ก็เขาเป็นคนซื้อผ้านี่นา!  ต้องถอดผ้ากันเปื้อนจากร่างเปลือยของคำนับให้ได้!

ผมขับรถไปรับคำนับที่บ้าน  เขาวางชามโจ๊กให้ลูกค้าแล้วหยิบกระเป๋าสะพายวิ่งมาหา

“หวัดดีโป๊ย..  กานพลู!”

ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงแยกไม่ออกว่าคนไหนโป๊ยกั๊กคนไหนกานพลู  หากไม่ดูปฏิทินและผมอยู่นิ่ง ๆ ไม่ว่าใครก็แยกไม่ออกทั้งนั้น  แต่ไม่รู้ทำไมคำนับมองแค่ปราดเดียวก็รู้แล้วใครเป็นใครโดยไม่จำเป็นต้องมาดูปฏิทินว่าวันนี้เป็นแรมสิบห้าค่ำหรือเปล่า  เดาว่าคงเป็นเพราะบรรยากาศหรืออะไรซักอย่างที่สื่อกันระหว่างคำนับกับโป๊ยกั๊กละมั้ง 

เพราะโป๊ยกั๊กยอมรับผมแล้วดังนั้นความทรงจำของเราจึงเชื่อมโยงกัน  วันนี้ผมทำอะไร  พูดอะไร  พรุ่งนี้เช้าเมื่อเขาตื่นก็ยังคงจำทุกอย่างที่ผมทำได้  เขาทำอะไรผมเองก็รับรู้  ทำให้ระหว่างเราเข้าใจกันมากขึ้นและวางบุคลิกต่อหน้าคนนอกได้แนบเนียนขึ้น  โป๊ยกั๊กไม่ขายหน้ากับความเปิ่นเป๋อของผมอีก

“โป๊ยกั๊กขอพ่อฟ้าตัดผ้ากันเปื้อนมาให้นาย  เห็นว่าฝึกงานแล้วเดี๋ยวจะไม่พอใช้”

“รบกวนคุณอาแย่เลย  หลายผืนแบบนี้คงแพงมาก  โป๊ยกั๊กไม่น่าเปลือง...”  คำนับเปิดถุงกระดาษออกดูพลางยิ้มแหย  ผมยกนิ้วชี้ส่ายตรงหน้าเขาให้หยุดพูด

“ไม่น่าใช่คำพูดนี้นะ?”

“ขอบคุณมาก  ทั้งคุณอาทั้งโป๊ยกั๊ก”

“กับพ่อจะรับไปบอกให้  แต่กับเจ้าหมาบ้าโป๊ยกั๊กน่ะนายไปพูดเองเถอะ”

“โอเค”  คำนับหัวเราะ  ขืนเจ้าตัวไม่ไปขอบคุณโดยตรงอย่าหวังว่าโป๊ยกั๊กจะยอมให้เรื่องนี้ผ่านไปง่าย ๆ เชียว  รายนั้นน่ะเขาหวังผลอยู่  ขืนผมเข้าไปแทรกได้โดนเมินแน่  อะไรก็ไม่ร้ายเท่ากับการที่เขาบอกทุกคนไม่ให้ทำของโปรดให้ผมกินตอนที่ผมออกมา 

ร้ายกาจ ๆ  ผมไม่ต่อกรด้วยหรอก!

“อ้อ  แยมมะตูมทุกคนชอบมากบอกว่าหอมแล้วก็ไม่หวานเกินไป  คงรสชาติของมะตูมได้ชัดเจนดี”

“งั้นเหรอ  ดีจัง  แต่ไม่รู้ว่าอาจารย์จะให้ผ่านหรือเปล่า  นี่เลยลองทำแยมกุหลาบกับแยมมะเฟืองเพิ่ม  ตอนเย็นนายมาแวะเอานะ  เราบอกแม่ไว้แล้ว  คราวหน้าจะทำวุ้นลำไยไว้ให้ลองด้วย”

“โอเค”  คำนับเลือกเอกอาหารไทย  แยมมะตูมนั่นเป็นงานวิจัยผลิตภัณฑ์  สร้างโปรเจคที่ต้องคิดขึ้นเองเพื่อส่งอาจารย์  “เดือนหน้าจะเริ่มฝึกงานแล้วใช่ไหม  เลือกที่ไหนไว้ล่ะ” 

“ภัตคารนั้นแหละ”

“หืม?”

“นายจำภัตรคารอาหารที่ฉันเคยไปยืนดูตอน มอ.หกได้ไหม?”

“อ้อ  ได้”  ภาพนั้นวาบเข้าในหัว  ตอนนี้ภัตรคารนั่นขยายกิจการใหญ่โตรับลูกค้ามีระดับทั้งนั้น

“ตรงนั้นเคยเป็นร้านอาหารของพ่อน่ะแต่โดนโกงแล้วเอาไปขายธนาคาร  โชคดีที่คนมาซื้อต่อเขาทำร้านอาหาร  ฉันจะไปฝึกงานที่นั่น”

“นายโอเคไหม?”

“สบายน่า  ฉันแค่คิดถึงเฉย ๆ น่ะ  อีกอย่างเขาปรับปรุงมันจนไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว  ฉันไม่ได้คิดมากอะไรอีก ยอมรับว่าเคยคิดแหละแต่มันทุกข์ไม่มีความสุขก็เลยปล่อยวาง  เรื่องมันผ่านไปแล้วทำวันนี้ให้ดีที่สุดดีกว่า  ฉันเชื่อว่าพ่อเองคงอยากให้ฉันกับแม่มีความสุขเหมือนกัน”

“นายเข้มแข็งกว่าที่ฉันคิด”

“ขอบใจ   ฉันแค่กลับไปยังจุดเริ่มต้นของความฝันและตอนนี้มันจะเป็นที่ที่ทำให้ความฝันของฉันสมบูรณ์”

“ฉันเชื่อว่านายจะผ่านมันไปได้ด้วยดี”



*********

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3


วันนี้เป็นวันแรกที่คำนับฝึกงาน  ผมตื่นเต้นไปพร้อมเขาเฉยเลย  คำนับถอดหมวกกันน๊อคส่งให้  ใบหน้าขาวประดับรอยยิ้มน้อย ๆ ดูมั่นใจ

“จริงซิ  ขอกำลังใจหน่อยนะ”  ไม่ทันให้ตั้งตัวเขาก็ก้มลงจูบผมเร็ว ๆ แล้วผละออก  ผมนั่งนิ่งก่อนจะหัวเราะเมื่อเขาเดินขึ้นตึกไป  นี่ผมกำลังโดนเอาคืนอยู่ใช่ไหม  ตอนผมเริ่มฝึกงานก็เคยบังคับจูบเขาเพื่อขอกำลังใจแบบนี้เหมือนกัน  แต่ตอนนั้นผมไม่ได้จูบแตะ ๆ เหมือนเด็กน้อยแบบนี้สักหน่อย

หลังจากส่งคำนับผมก็ตรงไปยังบริษัทฝึกงานของตัวเองบ้าง  เรียนจบแล้วผมจะกลับมาบริหารร้าน ‘หิ้วปิ่นโต’ จากนั้นค่อยส่งต่อให้เพกาหลังฝ่ายนั้นเรียนจบ  แล้วผมจะทำอะไร?  ก็ขยายสาขาของร้านไง  ผมวางแผนไว้ว่าจะขยายร้าน ‘หิ้วปิ่นโต’ ไปอีกหลาย ๆ สาขา  แต่ละสาขามีเมนูเด่นเรียกลูกค้าแตกต่างกันออกไป  มาตรฐานความอร่อยตรวจสอบโดยเชฟฟ้าคนเดิม  อาจเพิ่มเติมใครบางคนในอนาคตเข้าไปด้วย  ใครคนนั้นที่ผมเพิ่งส่งเขาเข้าภัตคารไปเมื่อครู่

หนึ่งเดือนผ่านไป  คำนับดูล้าอย่างเห็นได้ชัด  ไอ้ที่ขุนจนมีเนื้อหนังมาตอนนี้ผอมจะเท่าเดิมแล้ว  แก้มเขาตอบลงจนผมหงุดหงิดใจ  คำนับเล่าให้ฟังว่าหัวหน้าเชฟที่นี่ดุมาก  แต่ภูมิต้านทานของเขาดีเนื่องจากเพราะเคยไปเป็นผู้ช่วยเชฟตามโรงแรมดังบ่อย ๆ  ฝึกงานที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายต้องอาศัยครูพักลักจำ  ไม่มีใครมาสอนโต้ง ๆ เหมือนสมัยเรียน  ไม่มีคนใจดีมาคอยชี้นิ้วบอก   บางครั้งต้องตัดสินใจเอง  เขาได้แสดงฝีมือแค่เมนูเล็กๆ  เมนูรับรองแขกมีระดับอย่าได้หวัง  เห็นบอกว่ากลัวเสียเชื่อภัตคาร  ผมนี่อยากจะวิ่งไปเตะปากไอ้คนพูดสักทีสองที  แต่คำนับบอกว่าเขาไม่เป็นอะไรแค่นี้ทนได้

เข้าเดือนที่สามคำนับดูผ่อนคลายขึ้น  บอกว่าหัวหน้าเชฟยอมสอนงานเขาแล้ว  ผมดีใจนะที่เขาเข้ากับคนอื่น ๆ ได้ดีและได้รับความเอ็นดูจากผู้หลักผู้ใหญ่  แต่ว่า...คนที่ลูบหัวเขาอยู่ตอนนี้มันดูหนุ่มเกินไปหรือเปล่าวะ?

“คนเมื่อกี้ใคร?”  รู้เลยว่าตัวเองเสียงแข็งหากคนไม่รู้เรื่องราวยังคงยิ้มแย้มตอบอารมณ์ดี

“อ๋อ  หัวหน้าเชฟน่ะ  คนที่ฉันบอกว่าดุ ๆ ไง”

“นึกว่าจะแก่กว่านี้ซะอีก”

“หือ?  ไม่หรอก  เชฟเขาเก่งมากเลยนะได้เป็นหัวหน้าตั้งแต่อายุยังน้อย  บลา ๆๆ”  อย่าถามว่าหลังจากนั้นคำนับพูดอะไร  นอกจากลมออกหูอย่างอื่นก็ไม่เข้าหูโว้ย!

.

.

“อื้อ!”

พอถึงบ้านผมก็ลากเขาเข้าห้อง  ดันติดผนังแล้วจับจูบ  จูบๆๆ  ชนิดไม่ให้เขาได้หายใจหายคอสักวินาที  ถ้าเขาเหนื่อยล้าจากการฝึกงานผมจะดูแล  จะขุนเขาให้อ้วนพี  จะนวดขานวดหลังให้ไม่มีบ่น  ถ้าเขาผ่อนคลายจนยิ้มแย้มแล้วทำให้หัวหน้าเชฟคนนั้นมาเอ็นดู  ผมยอมเป็นคนนิสัยเสียให้เขาเหนื่อยต่อไปดีกว่า

ปัดโธ่โว้ย!  โป๊ยกั๊กไอ้คนเลว!  แกจะทนแบบนั้นได้จริง ๆ เหรอ?

คำนับถูกบังคับจูบ  ตอนแรกเขาต่อต้านครู่เดียวก็ยอมโอนอ่อนผ่อนตามเพราะรับรู้ได้ว่าผมรุนแรงกว่าเคย  ผมจูบเขา  เรียกร้องให้ตอบสนอง  เนิ่นนานลมที่อัดแน่นในหูค่อยเบาบางลงจนได้ยินเสียงลมหายใจของคนตรงหน้า  ผมผ่อนแรง  ค่อย ๆ ละเลียดจูบเขาเหมือนอย่างทุกทีคำนับจึงคลายอาการเกร็งลง  เขายกมือแตะข้างแก้ม  คลึงปลายนิ้วเบา ๆ ไปตามสันกราม  กรอบหน้าของผม  สางกลุ่มผมเลื่อนลงท้ายทอยสุดท้ายคล้องไว้ทีคอหลวมๆ  ผมผละจูบ  หรุบสายตาลงมองริมฝีปากบางบวมเจ่อและปริแตกของเขาแล้วเจ็บแปลบในใจ

“เป็นอะไรไป?”  คำนับเอ่ยถามก่อนที่ผมจะพูดขอโทษเสียอีก

“ขอโทษ”  ยกปลายนิ้วแตะสัมผัสริมฝีปากเขาเบา ๆ

“นายอารมณ์เสียเรื่องอะไร?”  คำนับเชยคางผมขึ้นเพื่อให้สบตาเขา

“ไม่มีอะไรหรอก  ฉันงี่เง่าเอง”  ผมแลบลิ้นเลียรอยแตกบนริมฝีปากของคนตรงหน้า  คำนับสะดุ้งโหยงทุบไหล่ผมเต็มแรง

“แสบ!”

ผมหัวเราะ  ขยับตัวเข้าไปงับปลายจมูกกับติ่งหูเขาเป็นการส่งท้ายก่อนจะปล่อยให้เขาได้พักผ่อนหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน  พอบานประตูปิดลงผมก็ไม่สามารถฝืนยิ้มได้อีก

มีตะกอนขุ่นคลั่กในใจผมเสียแล้ว

ตะกอนที่เรียกว่าความหึงหวง





ถ้าคนนอกมาเห็นผมตอนนี้คงหาว่าผมบ้าที่มานั่งถอนหายใจอยู่หน้ากระจกอยู่ครึ่งค่อนวัน  ส่วนคนในกระจกนั้นนอนกลิ้งไป-มา  เบื่อ ๆ ก็ลุกขึ้นมากระโดดตบ

“ฮื่อ!  ทำไมนายไม่บอกครับไปตรง ๆ เลยล่ะว่าไม่ชอบให้เขาไปสนิทกับหัวหน้าเชฟคนนั้น”

“ขืนฉันพูดได้กลายเป็นคนไร้เหตุผลไม่รู้จักแยกแยะน่ะซิ”

“แล้วมานั่งหึงเป็นบ้าเป็นบออยู่คนเดียวนี่อ่ะนะ?”  กานพลูที่ขี้เกียจกระโดดตบแล้วทรุดตัวลงนอนเท้าคางจ้องหน้าผม

“งั้นนายจะให้ฉันทำยังไง?  รู้ไหมว่าความจริงแล้วฉันอยากจะตามเข้าไปนั่งเฝ้าหมอนั่นด้วยซ้ำ!”

“เราไปเฝ้าให้เอาไหม?”  กานพลูผุดลุกขึ้นนั่ง  ดวงตาเปล่งประกายเหมือนคิดอะไรดี ๆ ได้แล้ว

“หมายความว่ายังไง?”

“เราไปเฝ้าครับให้โป๊ยกั๊กเอง  จะคอยจับตาดูเชฟคนนั้นว่าคิดมิดีมิร้ายกับเขาหรือเปล่า”

“พูดเป็นเล่น  นายจะให้ฉันไปยืนส่องกระจกหน้าห้องทำงานคำนับหรือไง?  ถึงไปส่องได้จริงนายก็อยู่ได้ไม่นานอยู่ดี”

“ก็ไม่เห็นต้องไปยืนส่องกระจกเลย”

“ห้ะ?”

“คือ...”  กานพลูสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ก่อนตัดสินใจพูดต่อ  “ฉันคิดว่าตอนนี้ตัวเองสามารถไปไหนก็ได้ทุกที่  ถ้าที่นั่นมีกระจก”

“.........”  ผมนั่งนิ่ง  กำลังทบทวนคำพูดประโยคนั้นของเขา 

กานพลูไปไหนมาไหนได้โดยอิสระอย่างนั้นหรือ?

“นายจำตอนนั้นได้ป่ะ  ตอนที่นายกับครับจูบกันอ่ะ?”  กานพลูบิดตัวไปมาเพราะเขิน  เขาเหลือบมองผมที่ขมวดคิ้วแล้วดีดนิ้ว  “ลืมไป  นายจูบกับครับออกจะบ่อยนี่เนอะ  งั้นก็ตอนที่นายกับเราคุยกันครั้งแรกหลังผิดใจกันมาสามปีน่ะ”

“อ้อ~”  ผมพยักหน้า  กระแอมไอพลางมองเพดานมองผนังห้องไปเรื่อยเปื่อย  หมอนี่  บทจะพูดเรื่องชวนเขินก็พูดขึ้นมาหน้าตาเฉย!

“วันนั้นนายคิดในใจใช่ไหมล่ะว่าให้เราไสหัวไปเพราะไม่อยากให้มานั่งมองนายจูบกับครับ”

“อา  ใครมันจะอยากจูบแฟนโชว์เรื่อยเปื่อยวะ?”

“ครับยอมเป็นแฟนนายแล้วเหรอ?”  กานพลูเลิกคิ้วสีหน้าเหลอหลา

“เข้าเรื่อง  เดี๋ยวนี้!”

“อ่า  ใช่ๆ  วันนั้นน่ะเราก็ไม่กล้าอยู่ดูหรอกเขินจะตาย  เอ่อ เรายกมือปิดตาแล้วพอรู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ที่ห้องนอนของพวกเราเฉยเลย  เราเรียกนายตั้งนานแต่นายไม่ได้อยู่ตรงนั้น  ชั่วระยะเวลาที่ปิดตาเราคิดว่าไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ  นายไม่น่าจะกลับจากบ้านครับมาบ้านเราได้เร็วขนาดนั้นแน่  รู้ไหมว่าเราตกใจแทบตายแน่ะ!  นึกว่าจะต้องแยกกับโป๊ยกั๊กซะแล้ว  ใจงี้สั่นไปหมดเลย  เกือบร้องไห้ด้วย!  ถ้าเราตัดขาดจากกันแบบนั้นเราก็ไม่ใช่พลังพิเศษของโป๊ยกั๊กน่ะซิใช่ไหม?  โป๊ยกั๊กอาจจะตกใจยิ่งกว่าถ้าเกิดส่องกระจกแล้วไม่เจอเรา  ตอนนั้นใจงี้ร่วงไปอยู่ตาตุ่มนู่น  ว่าแต่ทำไมต้องเปรียบเทียบกับตาตุ่มด้วยนะ  ไม่เข้าใจคนคิดประโยคนี้เลยจริง ๆ เออ  นั่นแหละ  สรุปว่าเราตกใจมาก  ทำอะไรไม่ถูกอยู่พักใหญ่เลย!”

“นายรู้จักสำนวน  น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรงไหม?”  ผมกอดอก  สูดลมหายใจเพื่อระงับอารมณ์ 

“เอ่อ”

“ฉันขอเน้นผักบุ้ง  น้ำไม่ต้อง”  ยกยิ้มมุมปากส่งให้คนในกระจกหนึ่งที  กานพลูยิ้มแหยเพราะรับรู้ได้ว่าตาผมไม่ยิ้มตามปาก

“เรามานึกดู  ตอนนั้นเหมือนเราได้ยินโป๊ยกั๊กบอกว่า ‘กลับห้องไปก่อนไป’ เราก็เลยมาโผล่ในกระจกห้องนี้”

“ตอนนั้นฉันไม่ได้พูดนะโว้ย  ปากไม่ว่างจะพูดได้ไง  อะแฮ่ม  คือฉันแค่คิดในใจ”

“ใช่ไง  แค่นายคิดเราก็ได้ยิน”

“......”

“พอหายตกใจเราคิดในใจว่าจะกลับไปห้องครับอีกรอบ  แล้วก็..บิงโก!  เรากลับไปนายกับครับก็ยังจูบกันไม่เลิก  เราเลยเผ่นมานั่งรออยู่นี่ตามเดิม”

“แล้วทำไมนายไม่บอกฉัน?”

“เรื่องที่เรากลับไปดูโป๊ยกั๊กจูบกับครับอีกรอบอ่ะเหรอ?”

“อย่ากวนตีน!  ฉันหมายถึงเรื่องนายไปไหนมาไหนได้เองแบบอิสระ!”

“แหงะ! โป๊ยกั๊กพูดไม่เคลียร์เองนี่นา!”  กานพลูทำปากยื่นแง่งอน

“ขอร้องเลย  อย่าทำท่านั้นได้ไหม?  ฉันทุเรศตัวเอง”  โอย  มันไม่ได้น่ารักนะ  ให้ตายเถอะ!

“ก็ได้ ๆ  ความจริงยังไม่มั่นใจน่ะเลยยังไม่ได้บอกโป๊ยกั๊กเพราะหลังจากนั้นเราลองพยายามไปกระจกบานอื่นแล้ว  แต่ไปไม่ได้”

“สรุปว่ายังไงกันแน่?”

“เราคิดว่าน่าจะเป็นเพราะโป๊ยกั๊กไม่ได้บอกให้เราไป”

“หมายความว่าถ้าฉันบอกให้นายไป  นายอาจจะไปได้?”

“ใช่”

“ถ้างั้นตอนนี้นายไปที่ร้านหน่อย  ดูว่าพ่อฟ้ากำลังทำอะไรอยู่”

“ได้!”

จากนั้นผมเห็นกานพลูเดินหายไปจากกระจกเงา  เขาไม่ได้หายเข้าไปด้านในแต่หายทางด้านข้าง...เหมือนเวลาเรามองเห็นคนเดินผ่านประตูที่เปิดอ้าอยู่

ครู่ใหญ่กานพลูก็กลับมามาอยู่ในกระจกบานเดิม  ใบหน้าที่เหมือนผมทุกกระเบียดนิ้วยิ้มแฉ่ง

“พ่อฟ้ากำลังดุพี่ซันที่ทำอาหารให้ลูกค้าผิดเมนู  พี่ซันออกไปขอโทษลูกค้าพ่อฟ้าตามไปด้วย  พ่อฟ้าขอโทษลูกค้าพร้อมพี่ซัน  บอกว่าในฐานะที่เป็นเจ้าของร้านและหัวหน้าเชฟต้องรับผิดด้วยเหมือนกัน”

ผมกดโทรศัพท์หาพ่อทันทีเมื่อจบประโยคของกานพลู  ถามถึงเรื่องว่าวันนี้ในร้านมีเหตุการณ์อะไรบ้าง  แล้วพ่อทำอย่างไรกับเหตุการณ์นั้น  สิ่งที่พ่อเล่าให้ฟังตรงกับกานพลูพูดไม่ผิดสักคำเดียว  หลังวางสายจากพ่อฟ้าผมหันไปมองคนในกระจก

ไม่บอกก็รู้ว่าตอนนี้ตาผมคงเบิกโตเป็นไข่ห่าน  หัวใจเต้นแรงเหมือนตอนที่กานพลูปรากฏตัวในกระจกครั้งแรก

 “โป๊ยกั๊ก?”  กานพลูเอียงคอมองด้วยท่าทางสงสัยเมื่อผมเอาแต่จ้องมองเขาโดยไม่พูดอะไรสักคำ

“นายมัน....”  นานกว่าผมจะเค้นประโยคออกมาได้  กานพลูกะพริบตาปริบตอบรับ

“เราคงไม่ได้ทำอะไรผิดอีกใช่ไหม?”

“ไม่  นายไม่ได้ทำอะไรผิดทั้งนั้น”  ผมพยายามควบคุมหัวใจที่เต้นรัวแรงให้สงบลง

“?”  คนในกระจกเอียงคอมอง  ครู่หนึ่งจึงยิ้มกว้าง  ...เขารู้ว่าผมตื่นเต้นโคตร ๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น







พลังพิเศษของผมอัพเลเวลได้!



บ้าเอ้ย  ใครว่ากระจกวิเศษไม่มีจริง!








TBC.

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ดีกันเสียทีคู่นี้  :กอด1:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

นี่สินะ พลังพิเศษที่แท้ทรู ของโป๋ยกั๊ก

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Rumraisin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 673
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ยินดีกับโป๊ยกั๊กและกานพลูด้วยน้าที่กลับมาเข้าใจกันสักที
ประสานพลังอัพเลเวลเลยทีเดียว กานพลูมีประโยชน์ขึ้นมาทันที
รอกานพลูไปเป็นสายสืบครับ สงสัยตกใจแน่เลย
ขอบคุณมากค่ะ  :กอด1:

ออฟไลน์ miikii

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1719
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
กานพลูน่ารักจังเลย TT
พลังวิเศษเจ๋งจริงๆ  o13

ออฟไลน์ iceman555

  • เป็ดHades
  • *
  • กระทู้: 8196
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +149/-11

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
ตอนทะเลาะกันนี่เศร้ามากๆ ดีนะที่เข้าใจกันได้ แล้วกลายเป็นอัพเลเวลเลย นี่ไงข้อดีของกานพลู :กอด1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3



MY Family : SecretMe คนนี้ต้องลับ !

ตอนที่ 16





“มึง  เพกามีคนมาจีบทำไมกูไม่รู้!”

“ก็รู้แล้วนี่ไง”  ภูธเรศยักไหล่พลางจิ้มอาหารใส่ปากไม่หยุด

“กูหมายถึงทำไมกูเพิ่งรู้!”  ถ้าไม่ติดว่าเสียดายจานราคาแพงกับอาหารฝีมือพ่อฟ้าผมจะเอาจานข้าวฟาดหัวคนตอบสักทีสองที

“มึงไม่ได้ไปโรงเรียนเดียวกับเพกาแล้ว  ไม่รู้ก็ไม่แปลกป่าววะ?”  บดินทร์เงยหน้าขึ้นตอบพลางส่ายหน้าใส่ผมที่ยังโวยวายไม่หยุด

“มันเป็นใคร  กูจะตามไปกระทืบ”

“มึงนี่น้า  ตอนอยู่เสือกกีดกันพอมึงจบออกมาคนที่รออยู่แล้วคงยิ้มร่า  แทนที่จะให้เพกามีแฟนตอนอยู่ในสายตามึงป่านนี้ก็สบายใจไปละ”

“เหรอ?  แฟนคนนั้นต้องเป็นมึงด้วยป่ะไอ้ภู?”

“แหม่  เดาใจได้ถูกเผง”

“พ่อมึงเตรียมเฉาะกบาลอยู่นั่น”  ผมชี้ไปทางไอ้ดิน

“กูล้อเล่น!  ล้อเล่นเฉยๆ  เฉยๆ จริงๆ นะมึ้ง”  ไอ้ภูหันไปเกาะแขนบดินทร์ที่มองตาขวาง  ผมหัวเราะกับท่าทางนั้นก่อนจะแกล้งมันไปอีกดอก

“โถ  นึกว่าจะแน่  ที่แท้ก็กลัวผัวนี่หว่า”

“ไอ้กั๊ก!  อย่าให้กูรู้นะว่ามึงหงอกับไอ้ครับ  กูจะล้อมึงยันแก่แน่!”  ผมยักไหล่กับคำขู่ของไอ้ภู  ผมไม่แน่ใจเรื่องความสัมพันธ์ของสองเพื่อนรักเพราะบดินทร์ไม่อยากให้ผมเข้าไปยุ่งมากนัก  ดังนั้นผมเลยไม่เสือกถ้าไม่จำเป็น  ดูห่างๆ อย่างห่วงๆ ก็พอ  คอยรับฟังเวลาไอ้ภูมาตีโพยตีพาย  ตีตนไปก่อนไข้  ปลอบใจให้มันหายห่อเหี่ยว  พอมันมีแรงก็ยุแยงให้ไปรุกไอ้ดินต่อ  นอกจากฟังภูธเรศโวยวายแล้วยังต้องฟังเวลามันพร่ำเพ้อด้วย ‘ดินใจดีอย่างนั้น  ดินใจดีอย่างนี้’  แม่ง  ไอ้ภูมันไม่รู้ความลับของบดินทร์ซะแล้ว!

บดินทร์น่ะมันขี้แกล้งพอๆ กับผมนั่นแหละ  โดยเฉพาะกับคนที่ชอบด้วยแล้วยิ่งไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือไปง่ายๆ  เอาเถอะ  ปล่อยให้คนซื่อบื้อที่คิดว่าแอบรักเขาข้างเดียวอย่างภูธเรศโวยวายต่อไปแล้วค่อยหัวเราะใส่มันทีหลังตอนโดนไอ้ดินเขมือบดีกว่า!

“มึงกำลังคิดเรื่องไม่ดีอยู่ใช่ไหม  หัวเราะเสียงน่าเกลียดชะมัด!”  ไอ้ภูผงะถอยหลัง  ส่วนไอ้ดินจิกตามองผมสองจึ้กแล้วเมินหน้าหนี

“หือ?  เออ  แล้วสรุปไอ้คนที่จีบเพกามันเป็นใครวะ?”  ผมเสเปลี่ยนเรื่อง  เป็นจังหวะที่กระวานเข้ามาพอดี

“ไหน  ใครมาจีบเพกา?”  เจ้าก้อนนุ่มนิ่มที่เพิ่งมาถึงตาเหลือกกับประโยคนั้น

“ยังไม่รู้ว่าชื่ออะไร?”

“งั้นเราไปดักที่โรงเรียนกัน  ฉันจะแอบฟังเสียงในใจมันเอง  พอรู้ว่าเป็นใครนายก็วิ่งไปตีหัวมันเลย!”

“พอเลยทั้งกระวานทั้งโป๊ยกั๊ก”  พี่ไธม์เดินตามหลังมาส่ายหัวใส่เราสองพี่น้อง

“พี่ใบไธม์!”  เพกา  เจ้าของเรื่องที่เอาแต่นั่งหัวเราะผมกับเพื่อนรัก  และขำการผสมโรงของกระวานกระโดดไปกอดพี่ชายคนโตพร้อมรอยยิ้มเต็มหน้า

“โหยพี่  มีหนุ่มกล้ามาจีบเพกาของพวกเรานะ!”  กระวานกางปีกทำท่าทางขึงขังจนพี่ใบไธม์หลุดหัวเราะ

“ไปดักตีหัวเขาไม่กลัวโดนฟ้องข้อหาทำร้ายร่างกายหรือไง?”

“เอ๊อะ!”  กระวานชะงักกึก  “โป๊ยกั๊กเป็นคนตีงั้นจับโป๊ยกั๊กละกัน”

“เอ้า  ไหงงั้นอ่ะ!”

“ช่วยไม่ได้นะ  นายเป็นคนตีก็ต้องยอมรับกันไป”  กระวานยักไหล่ทำสีหน้าเห็นอกเห็นใจตบท้ายอีกนิด  จบคำกระวานเสียงหัวเราะก็ดังลั่นรอบโต๊ะ

“เอาละหนุ่มๆ ทั้งหลาย  มาช่วยพ่อยกจานอาหารออกไปได้แล้ว”  เพราะวันนี้จำนวนสมาชิกร่วมโต๊ะมากกว่าปกติพ่อเลยจัดการย้ายออกมาหน้าลานบ้าน  แม่ที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินเข้ามากอดพ่อจากด้านหลังแล้วหอมแก้มดังฟอดไม่อายสายตาใคร

ผมเดินเข้าไปรับจานอาหารจากพ่อฟ้ามือหนึ่ง  อีกมือเอื้อมรับจากคำนับมาถือแล้วลำเลียงวางบนโต๊ะ  อาหารหลากหลายชนิดถูกเตรียมเพื่อฉลองการฝึกงานจบของพวกเราสี่คน  ผม  คำนับและสองเพื่อนซี้ภูธเรศกับบดินทร์

“ทำไมมีแต่ของโปรดโป๊ยกั๊กล่ะครับอาฟ้า?”  ภูธเรศละปากจากของว่างกวาดตามองแล้วอุทธรณ์

“พ่อทำของโปรดให้ทุกคนครบนะ”

“งั้นคำนับทำจานไหน?”  บดินทร์ถามบ้าง

“จานนี้  นี่  นี่  แล้วก็นี่”  คำนับชี้สี่จานตรงหน้าผม

“หืม?”  เพื่อนรักทั้งสองร้องหืมแล้วเงยมองหน้าผมอย่างพร้อมเพรียง

“แปลกตรงไหน  ก็คำนับไม่รู้นี่ว่าอาหารจานโปรดของใครคืออะไร”

“ใช่ๆ  โป๊ยกั๊กพูดถูก  ดังนั้นทุกคนไม่ต้องน้อยใจไปนะ”  พ่อผู้ที่กลัวว่าศิษย์รักจะถูกโกรธรีบสนับสนุนคำพูดผมทันที  ผมพยายามเกร็งคอและกัดกระพุ้งแก้มเอาไว้เพื่อไม่ให้หลุดยิ้มและคอตั้งกับการถูกเอาใจจากคำนับเพราะฝั่งตรงข้ามมีสายตาจับผิดของพี่ไธม์จ้องอยู่

“แล้วเมื่อกี้ทุกคนหัวเราะอะไรกันเหรอ?”  แม่ปล่อยมือจากเอวพ่อแล้วนั่งลงด้านข้าง

“มีคนกล้ามาจีบเพกาแหละแม่!”  กระวานรายงานเสียงดังฟังชัด   

“ก็ดีแล้วที่มีคนกล้า  ขืนไม่มีคนกล้าน้องสาวเราไม่ต้องขึ้นคานเลยหรือไง?”  แม่ยักไหล่ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่อะไร

“แต่เพกายังเด็ก”  เจ้าก้อนนุ่มนิ่มเอ่ยค้านหน้างอง้ำ

“ปีหน้าน้องจะเข้ามหาวิทยาลัยแล้วนะ”  พี่ใบไธม์ละสายตาจากผมไปยังน้องชายคนรอง 

“ตอนนี้หนูยังไม่มีแฟนก็ได้  แต่ถ้าเข้ามหาวิทยาลัยแล้วพี่โป๊ยกั๊กกับพี่กระวานอย่ามาห้ามนะ”

“เฮ้ย  ได้ไง”  ผมโวยวาย

“เอ้า  แล้วจะยอมให้หนูมีแฟนได้ตอนไหน?”

“ตอนจบทำงานแล้ว” 

“โห  กว่าจะศึกษาดูใจ  กว่าจะผ่านด่านพี่ๆ หนูไม่แก่เลยเหรอ?”

“พี่ดูแลเพกาได้  ไม่จำเป็นต้องมีแฟนสักนิด!”  ผมตบอก 

“ใช่ๆ”  กระวานยืดอกสนับสนุน 

“นี่ถ้าพี่แยกร่างได้จะตามไปเฝ้าถึงห้องเรียนเลยคอยดู!”  ผมชี้หน้าน้องสาวสุดที่รักเพื่อว่าจะทำอย่างนั้นจริงๆ เพกาหัวเราะคิกคักไม่ถือสากับคำพุโของผม  พี่ใบไธม์ยังคงส่ายหัว  แม่นั่งหัวเราะเอิ้กอ้าก  ส่วนพ่อที่ตามไม่ค่อยทันได้แต่มองคนโน้นทีคนนี้ที

หลังอาหารมื้อหลักจบลงพ่อยกเอาขนมอบถาดใหญ่ออกมา  ผมหยิบสองชิ้นใส่พัพเพอร์แวร์ปิดฝายัดใส่ตู้เย็น

“เก็บไว้ให้ใครน่ะลูก  ถ้าของคุณแป้งกับครับพ่อแบ่งไว้แล้วนะ”

“อันนี้เก็บไว้ให้ตัวผมเองในวันพรุ่งนี้ครับ”

“อ้อ”  พรุ่งนี้เป็นคืนเดือนแรมผมจึงเก็บส่วนนี้ไว้ให้กานพลู

หน้าที่ล้างจานหลังอิ่มหนำสำราญตกเป็นของคนไม่ได้ออกแรงอย่างภูธเรศและบดินทร์  จากนั้นพี่ไธม์ก็ไปส่งทั้งสองคนกลับบ้านแล้วไปทำงานต่อ  กระวานยังคงนั่งลูบท้องที่อืดตึงไม่ไปไหนมีแม่นั่งเท้าคางมองอยู่ข้างๆ

“กระวาน  แม่ไปเที่ยวที่ทำงานกระวานบ้างได้ไหม?”

“หืม?”

“แม่อยากไปส่องหนุ่มน้อยในตู้กระจกอ่ะ”

“แม่!!”  พ่อร้องเสียงหลงวิ่งออกมาจากห้องครัวกันเลยทีเดียว  ทุกคนต่างพากันหัวเราะพ่อทำปากยื่นใส่แม่  พลางสะบัดบ๊อบอย่างงอนๆ ตบท้ายด้วย  แม่ยิ้มกว้างเดินไปนั่งตักพ่อ  คล้องคอแล้วหยิกแก้มคนขี้งอนหนึ่งที

“ไม่ไปเที่ยวก็ได้  แต่คืนนี้พ่อต้องยอมเป็นหนุ่มน้อยในตู้กระจกให้แม่นะ”  แม่ยักคิ้วหลิ่วตาแบบคนเจ้าชู้ใส่พ่อ

“อีกแล้วเหรอ?”  หนุ่มน้อยตู้กระจกจำเป็นอิดออด  กระวานกลอกตาใส่พ่อกับแม่แล้วยกมือขึ้นปิดหูเพกา  ไม่ยอมให้น้องสาวได้ยินบทสนทนาต่อจากนี้

“ถ้าเป็นเด็กดีจะมีรางวัล”  แม่หลอกล่ออีกครั้ง

“กะ  ก็ได้  แต่คราวนี้ไม่เอาเจ็บๆ แล้วนะ”

“ไม่เจ็บก็ไม่เจ็บ”  แม่แลบลิ้นเลียริมฝีปากทันทีที่พ่อตกปากรับคำ 

อา  ทำไมผมถึงเห็นกวางน้อยในอุ้งมือเสือกันนะ?

“แม่จะไปตอนนี้เลยป่ะ?”  พ่อบิดซ้ายบิดขวาถามแม่พร้อมแก้มแดงปลั่ง

“อะแฮ่ม!”

ทำอะไรเกรงใจลูกบ้างเถอะ!

อ๊ะ!  คำนับยืนช็อกวิญญาณหลุดจากร่างคาประตูห้องครัวซะแล้ว!

**********

   จากเหตุการณ์พลังพิเศษที่อัพเลเวลขึ้นหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น?

   กานพลูตามไปเฝ้าคำนับถึงที่ทำงานได้จริงๆ  หัวหน้าเชฟคนนั้นแม้จะเอ็นดูคำนับมากขึ้น  แต่ในเวลางานจะเข้มงวดและดุมาก  กับเพื่อนร่วมงานคนอื่นกานพลูก็ไม่ปล่อยให้คลาดสายตา  เขาเก็บทุกเม็ด  ละเอียดยิ่งกว่าเม็ดทรายเสียอีก  ผมได้แต่พยักหน้าหงึกหงักเวลาเขาเจื้อยแจ้วเรื่องคำนับให้ฟัง  อ้อ  บางเวลาก็ไปเฝ้าเพกาด้วยนะดูว่ามีใครมาจีบน้องสาวเราหรือเปล่า

   “เอ  นายรู้เรื่องคำนับละเอียดมากไปป่าววะ?”

   “นี่นายคิดว่าคนอื่นจ้องจะงาบครับเหมือนนายหรือไง?”  กานพลูขมวดคิ้วใส่ผม  “คนที่หื่นใส่ครับทุกวันทุกเวลาก็เห็นจะมีแต่นายคนเดียวนี่แหละ”

“หืม  เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็งขนาดกล้าด่าฉันแล้วเรอะ?”

“ไม่ๆ นี่ไม่ใช่การด่า  แต่เป็นการพูดถึงนิสัยของนายให้นายฟังต่างหาก”  กานพลูกอดอกพยายามให้ดูภูมิฐาน  ผมเลิกคิ้วมองเขาก่อนจะเดินไปชิดหน้ากระจก  กานพลูสะดุ้งโหยงพลางก้าวถอยหลัง

“อย่าให้ฉันรู้ว่าตอนนายออกมา  นายไปยุ่มย่ามกับคำนับ”

“อา  โป๊ยกั๊กเนี่ยขี้หึงจังเนอะ  แหะๆๆ”

“ต่อให้เป็นนายฉันก็ไม่เว้น  เข้าใจ๊?”

“ระ รู้แล้วน่า!”  ผมหรี่ตามองกานพลูที่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นพลางกระตุกยิ้มมุมปากก่อนจะทิ้งให้เขาขวัญผวาแล้วออกไปหาคำนับ



นี่กานพลูคิดว่าผมไม่รู้เหรอว่าเขาเคยกอดกับคำนับ?

กานพลูกอดกับคำนับแล้วยังไง  เจ้าซื่อบื้อนั่นคิดว่าผมจะทำอะไรเขาได้เหรอ?  ต่อยเขา?  ทุบกระจกทิ้ง?

งี่เง่าน่า!

ผมไม่ทำอะไรแบบนั้นกับน้องชายตัวเองหรอก!

.

.

เมื่อมีการอัพเลเวลขั้นที่หนึ่งย่อมมีขั้นต่อมา  หลังๆ กานพลูสามารถโผล่ไปกระจกบานอื่นได้โดยที่ผมไม่ต้องบอก  เขาอยากไปไหนก็ไปได้ตามใจชอบ  การพัฒนานี้คนในบ้านยังไม่มีใครรู้สักคน  กานพลูบอกว่าเอาไว้เซอร์ไพรตอนทุกคนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา  ถึงเวลานั้นให้ผมถ่ายรูปตอนทุกคนตกใจเอาไว้ดูด้วย  ไอ้นิสัยขี้แกล้งนี่ก็เป็นส่วนที่พัฒนาขึ้นด้วยซินะ

กานพลูที่สามารถเคลื่อนไหวได้อิสระแบบนี้ผมว่ามันเหมาะกับงานแบบพี่ใบไธม์มาก  ถ้าเขาไปช่วยพี่ใบไธม์ทำคดีงานของพี่เขาคงง่ายขึ้น  แต่คิดว่าพี่ชายคนโตของบ้านไม่น่าจะยอมแน่ๆ  อ๊ะ  ว่าไปแล้วมีคนรู้ความลับนี้อยู่หนึ่งคนแฮะ  ก็นายเบซิลจอมเจ้าเล่ห์คนรักของพี่ใบไธม์คนนั้นไง  หมอนั่นตื่นเต้นใหญ่กับความสามารถของกานพลู  แถมยังแอบใช้งานเจ้าซื่อบื้อนั่นไปสองครั้งแล้ว  เบซิลสอนทริคการเล่นหุ้น  การทำเงินแบบมหาศาลให้เป็นการตอบแทนเลยยิ่งทำให้กานพลูกับเบซิลสนิทสนมกันจนน่าหมั่นไส้  ร้ายไปว่านั้นคือตอนที่กานพลูออกมา  หมอนั่นเอาเงินเก็บทั้งหมดของผมไปซื้อหุ้น  ย้ำว่าเงินเก็บทั้งหมด!  บ้าเอ๊ย!  นี่ถ้าไม่ได้กำไรคนที่ต้องตายคนแรกคือเจ้าเบซิลนั่นแน่!

อะไรนะ  ผมหวงกานพลูงั้นเหรอ?

โคตรไร้สาระเหอะ  ผมห่วงเงินตัวเองต่างหาก!



วันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้ายของคำนับเป็นการสอบเพื่อขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ  พ่อติวเข้มให้เขาอยู่หลายวันทีเดียว  พอเห็นเขาเดินยิ้มออกมาผมแทบจะวิ่งเข้าไปอุ้มเขาแล้วหมุนไปรอบๆ  ถ้าทำแบบนั้นคำนับคงอายแทบมุดแผ่นดินจากนั้นก็ไล่แตะผม

“แสดงว่าจูบเมื่อเช้าได้ผล?”

“นายขี้ตู่ว่ะ”  คำนับเบะปากกับคำพูดผม  “สิ่งที่ได้ผลคือการติวเข้มของอาฟ้าต่างหาก  อ้อ  สมองอันชาญฉลาดของฉันด้วย”

“อะไรๆ ก็อาฟ้า  นี่ฉันจะหึงจริงๆ แล้วนะเนี่ย”

“จะบ้าหรือไง  นั่นพ่อนายนะ?”  ผมสวมหมวกกันน็อคให้เขาก่อนจะคร่อมบิ้กไบท์คันเก่ง 

“นายชื่นชมใครนอกจากฉันฉันก็หึงหมดนั่นแหละ”  ผมหันไปบอกเมื่อเขาขึ้นซ้อนแล้ว

“ประสาท!”  คำนับหัวเราะแล้วไม่พูดอะไรต่อ   

ผมไม่ได้พาคำนับไปส่งบ้านหรือร้านหิ้วปิ่นโตอย่างทุกที  ผมเบี่ยงออกนอกเส้นทาง  ยี่สิบนาทีต่อมาจึงหยุดหน้าตึกที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จหลังหนึ่ง  เมื่อลงจากรถผมพาคำนับขึ้นไปยังชั้นสองของตึก  หยุดยืนตรงด้านหนึ่งแล้วมองไปข้างล่าง

ด้านล่างเป็นถนนเส้นใหญ่ที่ผมขับรถมา  ถนนเส้นนี้มีรถสัญจรไม่ขาดสาย  ผมเห็นนักท่องเที่ยวหัวสีทองเดินผ่านไป  คำนับยืนอยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไร  เขามองตามสายตาของผมสำรวจบริเวณรอบๆ จากนั้นก็นิ่ง

“นายว่าตึกนี้เป็นยังไง?  แบบว่า...การเดินทาง  จำนวนผู้คน  ความสะดวกสบายด้านอื่นๆ แหล่งท่องเที่ยว อะไรทำนองนี้?”  ผมหันไปมองคำนับ  ฝ่ายนั้นเลิกคิ้วมองตอบกลับแล้วเหลือบซ้ายแลขวาอีกรอบ

“ตึกนี้ทำเลดีมาก  อยู่ใกล้ถนนใหญ่เดินแค่สิบนาทีก็เข้าแหล่งชุมชน  อีกด้านเป็นแหล่งท่องเที่ยวด้วยนี่  ใช่ไหม?”ประโยคสุดท้ายคำนับเอ่ยถามผม  ผมพยักหน้ารับ

“น่าเสียดายแทนเจ้าของตึกนี้อยู่เหมือนกัน  แต่ช่วยไม่ได้แฮะ”

“หืม?”

“ถ้าไม่เพราะต้องการหนีแบบเร่งด่วนตึกนี้น่าจะขายได้ราคาสูงอยู่”  ผมยักไหล่  สอดมือเข้ากระเป๋ากางเกงแล้วเดินสำรวจโดยรอบอีกครั้งมีคำนับเดินตามด้านหลัง

“หมายความว่ายังไง?  แล้วนายพาฉันมาที่นี่ทำไม?”

“ก็....”

“หืม?”

“ฉันคิดว่าถ้าได้ทำร้านอาหารตรงนี้คงไม่เลว”

“.....”  ผมหันกลับไปมองเมื่อไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินตามมา  คำนับหยุดยืนจ้องหน้าผมสีหน้านิ่งเฉย

“เอ่อ  ก็ไม่ได้จะให้นายฟรีๆ หรอก”  คำนับยังไม่เอ่ยอะไรออกมา  ดวงตาเรียวหรี่ลง  เขารอให้ผมอธิบายต่อ  “แบบ....ถือว่าเป็นสินสอด...”

“ไม่ตลก!”  คำนับสีหน้าเครียดขึง  เขาไม่ยอมขยับเข้ามาใกล้ผมแม้ครึ่งก้าว

“........”

“ฉันเข้าใจว่านายหวังดีนะ  แต่ของแบบนี้...”

“คำนับ  ตีรนันท์  ฉันจะถามนายข้อเดียว”  ร่างผอมของคำนับเกร็งขึ้นเมื่อผมเรียกชื่อเต็มพร้อมนามสกุลของเขา  ผิวขาวซีดดูซีดจางยิ่งขึ้นในบรรยากาศใกล้ค่ำ  “คำถามเดียวกับเมื่อสี่ปีก่อน  นายจะตอบฉันได้หรือยัง?”

“โป๊ยกั๊ก?”

“ฉันให้เวลานายคิดห้าวินาที”

“อะไรนะ?”

“ห้า  สี่  สาม  สอง”

“เดี๋ยวๆๆ  นี่ไม่เกี่ยวกับเรื่องตึกนี้เลยนะ?”   

“หนึ่ง!”

“เอ๊ะ?”

หมับ! ผมพุ่งเข้าไปหาคนตรงหน้า  จับท้ายทอยและแก้มตอบของเขาเอาไว้แน่น  บดริมฝีปากให้เขาเปิดรับจูบของผม  กวาดต้อนจนเขาแทบหายใจไม่ทัน

“เร็วเข้า  ตอบคำถามฉัน  นายจะยอมเป็นแฟนฉันได้หรือยัง?”  ผมถอนจูบเอ่ยกระซิบถามชิดริมฝีปากแดงเจ่อของคนตรงหน้า

“นาย  นายลืมถามไปข้อหนึ่งหรือเปล่า?”  คำนับหอบหายใจถามกลับ

“อะไร?”

“ก่อนขอเป็นแฟน  นายต้องถามก่อนซิว่าฉันชอบนายหรือเปล่า”

“อา  งั้นนายชอบฉันไหม?”  ผมถามทั้งๆ ที่ไม่ยอมให้ปลายจมูกห่างจากจมูกของเขา

“ไม่  ไม่ชอบ”

“.....”  คำนับยกยิ้ม  คำว่าไม่ชอบของเขาทำให้สมองผมตื้อไปชั่วขณะ  ร่างกายแข็งค้าง  ชาเหมือนโดนฟ้าผ่าลงกลางร่าง  และก่อนที่ผมจะเตลิดไปไกลกว่านี้ผมก็เห็นแวววิบวับในดวงตาของคำนับ

“ฉันไม่ได้แค่ชอบนาย  แต่รักต่างหาก”  คำนับยิ้มกว้างกับสีหน้าของผม

“อา  ใช่  นั่นก็เป็นความรู้สึกของฉันเหมือนกัน”  ผมหัวเราะ  “ตอนแรกฉันอาจไม่ชอบหน้านายสักเท่าไหร่  ต่อมาถึงค่อยรู้ตัวว่าสายตาฉันเอาแต่มองหานายตลอดเวลา  ความรู้สึกค่อยๆ เปลี่ยนเป็นชอบ  จนถึงตอนนี้ก็คือความรัก”

“......”  คำนับพยักหน้าหงึกหงักจากนั้นชี้ปลายนิ้วไปรอบๆ  “แต่ก็ไม่เกี่ยวกับตึกนี่”

“ไม่เกี่ยวงั้นเหรอ?  ก็ไม่เชิงมั้ง?”  ทั้งๆ ที่ผมเห็นว่าคำนับแก้มแดงจนลามไปถึงหูและคอเขายังวกกลับเข้ามาเรื่องตึกหลังนี้จนได้

“โอเค  งั้นขอคำอธิบาย”  คำนับสูดลมหายใจเข้าลึก  กระแอมไอพลางกอดอกแล้วขยับถอยห่างจากผมไปหนึ่งก้าว  ผมหัวเราะเบาๆ กับการพยายามเรียกสติตัวเองของเขา

“ฉันคิดว่าเชฟทุกคนน่าจะมีความฝันหนึ่งที่เหมือนๆ กัน  นั่นคือมีร้านอาหารเป็นของตัวเอง”  คำนับพยักหน้า  “อย่างที่นายเห็น  ตึกนี้ทำเลดีมาก”  คราวนี้เขาพยักหน้ารับสองครั้ง  “เบซิล  คนรักของพี่ใบไธม์เขารู้ว่าฉันกำลังมองหาอะไรแบบนี้อยู่เลยช่วยดูให้”

“นายจะซื้อ?”

“ใช่”

“ตึกสองชั้นในทำเลทองเนี่ยนะ?”  คราวนี้เขาตกใจจริงๆ

“ใช่  เจ้าของเก่าต้องการเงินแบบเร่งด่วน  เบซิลเลยจัดการให้”

“เท่าไหร่?”

“เก้า”

“เก้าแสน?”

“เก้าล้าน”

“เก้าล้าน!”  คำนับตาโตเป็นไข่ห่าน

“แต่เบซิลจัดการให้เหลือสามล้านห้า”

“.......”

“ตึกสองชั้นทำเลทองในราคาสามล้านห้า  ถ้าไม่ซื้อตอนนี้วันข้างหน้าคงไม่มีโอกาสแบบนี้อีก”

“ก็ใช่  แต่...”

“เงินเก็บทั้งหมดที่ฉันมีเลยแหละ”  ผมยักไหล่

“ละ  แล้วๆๆ  คือ...”  คำนับถึงกับติดอ่าง  เขาเริ่มลนลานเมื่อได้ยินว่าตึกนี่คือเงินเก็บทั้งหมดของผม  ผมไม่ได้โกหก  สามล้านห้านี่คือเงินที่งอกเงยจากการเล่นหุ้นของกานพลู  กานพลูเอาเงินเก็บทั้งชีวิตของผมไปเล่นหุ้นตามคำแนะนำของเบซิล  โชคดีที่ไม่ขาดทุนไม่งั้นผมเอาเขาตายแน่  ดูเหมือนกานพลูเองก็มีหัวทางด้านนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว  เห็นว่าอาทิตย์ก่อนก็ทำเงินได้หลายแสน  เจ๋งโคตรๆ!

“นายมีหน้าที่ทำให้เงินเก็บนี่เป็นรูปเป็นร่างและงอกเงยขึ้นมา”

“หมายความว่ายังไง?”

“นี่จะเป็นร้านของเรา”

“นาย!”

“ฉันเชื่อมั่นในตัวนายคำนับ”

“นายมันบ้าโป๊ยกั๊ก!”  คำนับหน้าซีดเผือด  “ทำไมนายถึงเชื่อมั่นในตัวฉันขนาดนี้  ถ้าเกิดว่า....”

“เพราะนายเป็นแบบนี้ไง”

“เอ๊ะ?”

“เพราะนายกลัวว่าจะทำให้ฉันผิดหวัง  ดังนั้นนายเลยจะต้องพยายามทำให้มันสำเร็จให้ได้”  ผมยิ้ม  ขยับเท้าเข้าไปใกล้เขา  ยกหลังมือแตะแก้มเย็นชืดแผ่วเบาเพื่อปลอบประโลมให้เขาหยุดตระหนก

“แต่...”

“ฉันวางฐาน  นายก่อรูปร่าง  ไม่มีใครเอาเปรียบใคร”  ผมรู้ว่าเขาไม่สบายใจเรื่องอะไรจึงเอ่ยสำทับ  “ถึงรูปร่างที่นายก่ออาจบิดเบี้ยวฉันก็พร้อมจะเดินเข้าไปประคองเพื่อทำให้มันสวยงาม  ฉันไว้ใจนาย  แล้วนายไว้ใจฉันหรือเปล่า?”

“ฉัน....”

“ฉันให้นายไปหมดแล้วนะทุกสิ่งทุกอย่างเลย  อ้อ  อีกอย่างที่ยังไม่ได้ให้”

“?”

“ร่างกาย”

“ไอ้บ้าโป๊ยกั๊ก!”

พ่อฟ้าฉลองการสอบผ่านของคำนับด้วยการลงมือทำอาหารเมนูที่คำนับอยากกินที่สุด  ‘แกงพะแนงหมู’  เพียงแค่คำแรกหลังจากตักเข้าปากเขาก็น้ำตาไหล  พ่อฟ้าตกใจพลางหันไปมองน้าแป้ง  น้าแป้งเพียงแค่ยกยิ้มแล้วลูบหัวลูกชายแผ่วเบา  ครู่ใหญ่กว่าคำนับจะหยุดสะอื้น  เขายกแขนเสื้อเช็ดน้ำตาเหมือนเด็กตัวน้อยๆ

“ขอโทษที่เสียมารยาทครับ”

“ไม่หรอก”  พ่อฟ้าส่ายหน้ายิ้มใจดีส่งให้คำนับ  “ว่าแต่พะแนงฝีมืออาไม่อร่อยถึงขนาดที่ครับต้องร้องไห้เลยเหรอ?”

“เปล่านะครับ  ไม่ใช่แบบนั้น!”  คำนับปฏิเสธรัวเร็ว

“แกงพะแนงคุณฟ้ารสมือเหมือนที่พ่อของครับทำน่ะค่ะ”  น้าแป้งอธิบาย  สายตาเวลามองคำนับอ่อนโยนกว่าเดิมเท่าตัว  บางทีน้าแป้งอาจจะเห็นใครอีกคนในตัวลูกชาย

“ขอโทษนะครับ  อาฟ้ารู้สึกแย่หรือเปล่าที่ผมมองเห็นพ่อซ้อนกับอาฟ้า?”  เสียงของคำนับสั่นอย่างเห็นได้ชัดตอนเอ่ยถาม

“ไมหรอก”  พ่อฟ้าส่ายหัว  รอยยิ้มอบอุ่นยังคงประดับใบหน้า  แววตาอ่อนโยนทอดมองคำนับเหมือนเวลามองคนในครอบครัว  “อาดีใจนะที่จะมีลูกชายเพิ่มขึ้นมาอีกคน”

“ขอบคุณครับ  ขอบคุณ”  แล้วคำนับก็ร้องไห้อีกครั้ง



ตึกที่ผมพาคำนับไม่ได้ถูกทำเป็นร้านอาหารในทันทีทันใดหลังจากนั้นเพราะเรายังไม่มีทุนมากพอ  หลังจากจบมาและได้ใบอนุญาตคำนับก็ไปทำงานตามโรงแรมใหญ่และภัตคารที่เขาเคยฝึกงาน  ความจริงแล้วเขาเคยถูกทาบทามจากบรรดาเจ้าของโรงแรมต่างชาติด้วย  เพราะคำนับเคยได้รางวัลตอนแข่งทำอาหารสมัยเรียน  ได้เหรียญทองบ้าง เหรียญเงินบ้าง  เอามาประดับห้องไว้ไม่ใช่น้อย  เขาโดดเด่นตั้งแต่สมัยเรียนเลยทีเดียว  ยิ่งอาหารไทยแบบไทยแท้หากินได้ยากหนำซ้ำอาหารไทยยังดังไปทั่วโลกแบบนี้เขายิ่งเป็นที่ต้องการตัว  มีครั้งหนึ่งเจ้าของโรงแรมดังในฝรั่งเศสมาขอให้เขาไปทำงานโดยให้เงินเดือนเดือนละหลายแสน  แต่คำนับยืนกระต่ายขาเดียวไม่ยอมไป  ผมถามเขาว่าทำไม  พอฟังเหตุผลของคำนับ  ผมงี้ลากเขาเข้าห้องไปปล้ำแทบไม่ทัน

 ‘ให้ห่างจากนายจากแม่  ไม่เอาด้วยหรอก’

เหตุผลแม่งโคตรน่ารัก!

แต่สุดท้ายคำนับก็ไปทำงานที่ฝรั่งเศสเพราะพ่อฟ้าบอกว่านั่นจะทำให้เก็บเงินได้เร็ว  อีกอย่างคำนับจะได้มีประสบการณ์มากขึ้นด้วย  เขาไปเมื่อผมพยักหน้ายอมให้เขาไป

 เขาใช้ทุนให้ทางโรงแรมแทนคำนับจากนั้นไปทำสัญญากับทางโน้นแทนเป็นเวลาห้าปี  ผมไปส่งเขาที่สนามบิน  เราไม่ได้เอ่ยลา  ไม่มีของแทนใจอะไรทั้งนั้น  มีเพียงแค่จูบและความเชื่อใจที่ต่างฝ่ายต่างมอบให้กัน

**********







ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3



ความจริงเราไปเจอกันที่สนามบินก็ได้”

“ผมมารับน้าแป้งแบบนี้แหละดีแล้วครับ  ถ้าคำนับรู้ว่าผมปล่อยให้น้าแป้งไปคนเดียวเดี๋ยวจะมาโกรธผมอีก”  น้าแป้งส่ายหัว  วันนี้คำนับจะกลับบ้าน  เราโทรศัพท์คุยกันเมื่อคืนฟังน้ำเสียงดูก็รู้ว่าเขาตื่นเต้นมาก  ตอนทำงานอยู่นู่นคำนับแทบไม่เคยออกไปไหนเลยนอกจากห้องพักกับที่ทำงาน   ผมเลยบอกให้เขาอยู่เที่ยวอีกสักอาทิตย์สองอาทิตย์เพื่อพักผ่อนก่อนก็ไม่ยอม  บอกว่าคิดถึงคนทางนี้จนจะบ้าตายอยู่แล้ว  ผมหัวเราะ  ใช่  ผมเองก็คิดถึงเขาจนจะบ้าอยู่แล้วเหมือนกัน

ช่วงคำนับทำงานอยู่ฝรั่งเศสเขาส่งเงินมาให้ผมเก็บ  ผมถามว่าทำไมไม่ส่งให้น้าแป้งเป็นคนเก็บ  เขาบอกว่าในเมื่อผมเชื่อใจเขาเขาเองก็เชื่อใจผม  เงินทั้งหมดของเขายกให้ผมบริหารดูแลผมเลยจัดการตึกที่ซื้อทิ้งไว้หลังนั้นให้เสร็จ  การตกแต่งเป็นแบบที่คำนับต้องการเพราะเราเคยคุยกันก่อนหน้าเขาจะไปฝรั่งเศสว่าเขาต้องการให้ร้านออกมาเป็นแบบไหน  คำนับอยากให้ร้านสร้างเหมือนร้านเก่าของพ่อเขาแต่ด้วยอะไรหลายๆ อย่างทำให้ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้  สุดท้ายก็ปรับหลายอย่าง  ผมให้นวพลเพื่อนซี้ของคำนับจัดการหาช่างและคนตกแต่งภายใน  ตอนแรกเขาตกใจเมื่อรู้ว่าผมกับคำนับเป็นคนรักกันผมเคาะหน้าผากแรงๆ ไปหนึ่งทีเพื่อเรียกสติ  จากนั้นหมอนั่นถึงกับน้ำตาซึมที่รู้ว่าตึกหลังนี้จะเป็นร้านของเพื่อนรัก  นวพลช่วยจัดการดูแลทุกอย่างด้วยตัวเอง  ส่วนหนึ่งเพราะเขาเคยเห็นร้านเก่าของพ่อคำนับ  อีกส่วนคือรู้ว่าคำนับชอบร้านแนวไหน  ต้องตกแต่งอย่างไร  ทำแบบไหนจึงจะถูกใจคำนับมากที่สุด

ผมต่อเติมสร้างตึกขึ้นไปอีกชั้นเพื่อส่วนที่พักอาศัย  แบ่งเป็นสามห้องนอนสามห้องน้ำหนึ่งห้องโถง   ด้านหลังตึกมีลานจอดรถและลิฟต์สำหรับขึ้นลงจากชั้นสาม  ในส่วนนี้คำนับรู้ไหม?  ก็จะรู้วันนี้นี่แหละ!



ภาพแรกที่เข้าสู่สายตาคือร่างผอมบางของคำนับกับกระเป๋าเป้ใบใหญ่กับรถเข็นกระเป๋าใบยักษ์สองใบ  เขาวิ่งเข้าไปกอดน้าแป้งอยู่นานด้วยความคิดถึงจากนั้นจึงค่อยเงยหน้าส่งยิ้มให้ผม  นวพลกระแอมไอพลางผลักให้ผมออกห่างแล้วเข้าไปกอดเพื่อนตัวเองแน่น  คำนับหัวเราะพลางกอดตอบเพื่อนรัก  ผมขับรถพาเราทั้งหมดไปร้านหิ้วปิ่นโต  พอคำนับเห็นหน้าพ่อฟ้าก็ร้องไห้  พ่อฟ้าทำอะไรไม่ถูกเลยได้แต่หัวเราะและกอดปลอบลูกศิษย์คนโปรด  พี่ซันกับพี่กอล์ฟไมค์เข้ามาพูดคุยกับคำนับไม่หยุดปากจนพ่อฟ้าต้องไล่ไปทำงาน

ของฝากของพ่อฟ้าเป็นมีดเชฟญี่ปุ่น Tojiro สำหรับแล่ปลาและหั่นเนื้อขนาด 8 นิ้ว 2 เล่ม เนื้อ High carbon steel รูปทรงสวยงาม  ตรงด้ามจับสลักชื่อพ่อฟ้าเอาไว้  คนได้ของฝากตาโตยิ้มกว้างปากแทบฉีกถึงหูและด้วยความเห่อพ่อฟ้าจึงใช้มีดสองเล่มนั้นทำอาหารมื้อเย็นต้อนรับคำนับ  ของแม่กับพี่ใบไธม์เป็นหมวกกันน็อคเพราะทั้งคู่ขับบิ้กไบท์  ของกระวานเป็นหูฟังแบบ in ear ของ custom ของฝากของเพกาเป็นเมล็ดพันธ์พืชต่างๆ จากทั่วโลกที่คำนับสามารถหาได้  ของเพื่อนคนอื่นๆ ก็เป็นของชอบเฉพาะบุคคล  แสดงถึงความใส่ใจที่คำนับมีให้คนรอบข้างและดูท่าแล้วคงหมดเงินไปไม่น้อยทีเดียว

ว่าแต่...แล้วของฝากผมล่ะ?

“อะไร?”  คำนับหันมามองผมที่แบมือไปตรงหน้าหลังเขาสวมรองเท้าให้น้าแป้งเสร็จ  ผมมองๆ เห็นบนกล่องเขียนคำว่า AllBirds รองเท้านี้เขาฝากเพื่อนซื้อมาจากนิวซีแลนด์  เห็นว่าทำมาจากขนแกะอะไรนี่แหละ  บอกว่าใส่สบายมากเหมาะสำหรับผู้หญิงและผู้สูงอายุสุดๆอะไรประมาณนั้น

“ของฝากฉันล่ะ?”

“โอ๊ะ!”

“ไอ้ท่าทางแบบนี้คือ?”  ผมมองท่าทางตื่นตกใจของคำนับแล้วขมวดคิ้ว

“แหะแหะ”

“ลืม?”

“อืม!”  รอยยิ้มเจี๋ยมเจี้ยมของคนตรงหน้าทำเอาผมยืนอึ้งอยู่พักใหญ่  คำนับบอกว่าลืมของฝากของผม  จากนั้นก็เดินเข้าครัวไปช่วยพ่อฟ้าทำอาหาร  ทิ้งผมไว้กับคำพูดสั้นๆ ว่า อืม เนี่ยนะ?

เขาต้องจงใจแกล้งผมแน่ๆ!

ผมถอนหายใจก่อนจะหันไปฟ้องว่าลูกชายน้าแป้งแกล้งผม  น้าแป้งได้ฟังก็หัวเราะคิกชอบใจใหญ่  อยากจะเคืองจะงอนคำนับที่เขาจงใจลืมของฝากผมแต่ก็ไม่สามารถทำแบบนั้นได้เพราะผมกับน้าแป้งเตรียมเซอไพรซ์รอเขาอยู่  ไอ้นิสัยขี้แกล้งนี่เขาไปติดมาจากใครวะ?

เสร็จจากการต้อนรับอันอบอุ่นผมขับรถพาน้าแป้งและคำนับออกมา  เขาผิวปากหวือเมื่อเห็นรถ

“เดี๋ยวนี้ไม่ขับสองล้อแล้วเหรอ?”  ถ้าเพิ่มมาอีกล้อนี่ผมเปลี่ยนอาชีพเลยนะนั่น

“ฉันก็ขับสองคันนั่นแหละ”  คำนับพยักหน้ารับรู้จากนั้นหันไปคุยกับน้าแป้งไม่หยุดปาก  น้าแป้งที่เหมือนจะรับรู้ว่าลูกชายกำลังโดนผมงอนจึงพยักพเยิดให้คำนับชวนผมคุยแต่เขาก็แกล้งทำเป็นไม่รู้

“อ้าว  บ้านเราไม่ได้ไปทางนี้นี่แม่?”

“ถามโป๊ยกั๊กซิ”  น้าแป้งยักไหล่ใส่ลูกชายก่อนจะยักคิ้วใส่กระจกมองหลังส่งมาให้ผม

“.........”

“ว่าไง?”

“ว่าไงอะไร?”  ผมยียวนตอบกลับ

“เราจะไปไหนกันอ่ะ  ฉันง่วงแล้วน้า~”

“นี่ไง  อีกเดี๋ยวก็ถึงแล้ว” 

ไม่เกินยี่สิบนาทีหลังจากนั้น  ผมจอดรถตรงจุดเดิมกับที่เคยพาเขามาครั้งแรก  คำนับลงจากรถเขาเงยหน้ามองตึกตรงหน้าที่ปิดไฟมืด

“สร้างเสร็จแล้ว?”

“ใช่”

“อยากเข้าไปดูข้างในหน่อยไหม?”  ผมควงกุญแจในมือให้เขาดู  คำนับพยักหน้ารัวเร็วจนคอแทบหลุด ผมไขกุญแจแล้วกดรีโมทเปิดไฟทั่วทั้งตึก

“นี่มัน!”  ดวงตาเรียวเบิกกว้างกับสิ่งได้เห็น

โถงชั้นหนึ่งด้านหน้าเป็นโซนนั่งแบบร้านอาหารทั่วไป เน้นการตกแต่งแบบวินเทจสบายตา  มีมุมถ่ายรูปหนึ่งมุม  ด้านหลังเป็นห้องครัวที่คำนับถึงกับวิ่งเข้าไปดูแล้วยิ้มกว้างเต็มหน้า  เป็นครัวแบบที่เขาอยากได้และเคยพูดให้ผมฟังก่อนไปฝรั่งเศสซึ่งตอนนี้มีอุปกรณ์ครบครันพร้อมใช้  ส่วนชั้นสองเป็นโซนนั่งที่แบ่งสัดส่วนค่อนข้างห่างและจัดมุมเป็นส่วนตัวมากกว่าชั้นหนึ่ง  มีทั้งชุดโซฟาเน้นนั่งสบาย  ชุดโต๊ะอาหารเหมือนในครัวหลังบ้าน  ลูกค้าชอบแบบไหนก็สามารถเลือกได้ตามใจชอบ

“มีอีกชั้นเหรอ?”

“ใช่  ฉันต่อเติมให้เป็นที่พักน่ะ”  ผมตอบพลางจับมือคำนับเดินขึ้นด้านบน  พอน้าแป้งที่เดินนำอยู่ข้างหน้าหันกลับมาเขาก็พยายามบิดมือให้หลุดจากการเกาะกุมแต่ผมไม่ยอมปล่อย  กลับยิ่งกระชับมือเขาแน่นขึ้นกว่าเดิม

“ครับง่วงแล้วใช่ไหม?  ถ้าอย่างนั้นก็รีบอาบน้ำนอนล่ะ  พรุ่งนี้เช้าเราค่อยไปทำบุญกัน”  น้าแป้งยิ้มกว้างให้ลูกชายก่อนจะเปิดประตูห้องเข้าไปจากนั้นก็ไม่ออกมาอีก

“เอ๊ะ?”  คำนับที่พยายามดึงมือตัวเองออกจากมือผมชะงักนิ่ง

“อะไร?”

“แม่นอนที่นี่?”

“ใช่  และพวกเราก็จะนอนที่นี่ด้วย”

“อ้าว  แล้วบ้านหลังโน้นล่ะ?”

“ยกเลิกการเช่าไปแล้ว”

“ห้ะ?”

“เอ้า  มีบ้านเป็นของตัวเองแล้วจะไปเช่าบ้านคนอื่นอยู่ทำไมล่ะ?”

“บ้านของตัวเอง? อะไรเนี่ย?  ยังไง?  ตั้งแต่เมื่อไหร่?”  คำนับยิงคำถามรัวเป็นปืนกล  ผมหัวเราะพลางรุนหลังเขาให้เดินไปห้องที่อยู่ตรงข้ามกับน้าแป้ง  เอ่ยอธิบายให้คำนับฟังยาวเหยียดว่าหลังจากสร้างและตบแต่งตึกหลังนี้เสร็จ  ผมก็จัดการดูฤกษ์เพื่อทำพิธีเล็กๆ  บอกเลิกสัญญาเช่าบ้านหลังเก่าของคำนับแล้วช่วยน้าแป้งย้ายบ้านเมื่ออาทิตย์ก่อน

ชั้นสามด้านหนึ่งเป็นห้องน้าแป้งกับห้องรับแขก  ส่วนอีกด้านเป็นห้องนอนใหญ่ของผมกับคำนับ  แหงล่ะว่าการจัดห้องแบบนี้เป็นการมัดมือชกของผมเอง  ตอนนวพลมาช่วยตกแต่งห้องนี้ถึงกับร้องไห้เป็นเผาเตา  บอกว่าในที่สุดลูกสาวก็ออกเรือนแต่น่าเสียดายที่คำนับได้สามีดุเป็นหมา  ผมเลยเตะมันไปทีหนึ่งด้วยความหมั่นไส้

“เหนียวตัวเป็นบ้า  ฉันไปอาบน้ำก่อนนะ”  คำนับพยักหน้าผมเลยคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องอาบน้ำปล่อยให้เขาเดินสำรวจห้องไปพลางๆ

ภายในห้องตกแต่งด้วยโทนสีขาวสะอาดตา  เครื่องเรือนส่วนใหญ่เป็นไม้และโทนสีน้ำตาลดูอบอุ่น  ผนังด้านหนึ่งเป็นกระจกบานใหญ่มองออกไปเห็นบรรยากาศด้านนอกโดยรอบถูกปิดด้วยผ้าม่านหนาหนักสีน้ำตาลอ่อน  ถัดมามีเตียงขนาด King size พร้อมใช้งาน  อีกด้านของห้องถูกกั้นแบ่งส่วนมีครัวเล็กพร้อมเคาท์เตอร์บาร์และโต๊ะทานข้าวตัวใหญ่

ผมใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีในการชำระร่างกายจากนั้นก็เร่งให้คนที่บ่นว่าง่วงรีบเข้าไปอาบน้ำ  พอพ้นหลังของคำนับผมวิ่งไปยืนอยู่หน้ากระจก  กานพลูยืนยิ้มแฉ่งปากกว้างโบกมือมาให้

“ขอเราคุยกับครับมั่งดิ”

“ที่นายตามไปคุยถึงฝรั่งเศสทุกวันยังไม่พออีกหรือไง?”  ผมเท้าเอวตีหน้ายักษ์ใส่คนในกระจก

“โป๊ยกั๊กอ่ะ!”

“วันนี้ ไม่ซิ  คืนนี้นายอยากไปเที่ยวไหนก็ไป  ดึกๆ ก็แวะไปเล่นกับเบซิลหรือกระวานแล้วค่อยกลับมาตอนสายๆ ไม่ก็บ่ายโน่นเลย”

“ทำไมอ่ะ?”

“คืนนี้จะหวานๆ กับคำนับ”

“โอ๊ะ!”  กานพลูหน้าแดงก่อนจะบิดตัวไปมา  ครู่เดียวก็ปิดหน้าวิ่งหายไปจากกระจก เอ้า  บทจะไปก็ไม่บอกสักคำ!  จากนั้นผมหันไปค้นตู้เสื้อผ้า  เอากล่องของขวัญที่เตรียมไว้ให้คำนับออกมาวางบนโต๊ะทานข้าว  วาดภาพในหัวไปต่างๆ นาๆ พร้อมหัวใจที่เต้นรัวเร็ว 

คำนับจะชอบของขวัญที่ผมให้ไหม?

จะหาว่าผมหื่นหรือเปล่า?

เอาวะ  หื่นก็หื่น  ผมมันหื่นจริงนี่หว่า!

20 นาทีผ่านไป  30 นาทีผ่านไป  เข้านาทีที่ 40 จากที่ตื่นเต้นก็เริ่มสงบลง  พอสงบก็เริ่มเงียบแล้วกลายมาเป็นสัปหงก  ไม่รู้ว่าเผลองีบไปตอนไหนแต่สะดุ้งตื่นตอนที่คางหล่นกระแทกโต๊ะเสียงดังปึง  เจ็บจนน้ำตาเล็ด!

เงยหน้ามองนาฬิกาแล้วตกใจ  คำนับเข้าห้องน้ำไป 45 นาทีแล้ว!  ไม่ใช่ว่าหลับอยู่ในนั้นหรอกนะ?  คำนับเดินทางมาเหนื่อยๆ อาจมีความเป็นไปได้ที่จะหลับคาห้องน้ำขืนเป็นแบบนั้นเขาคงได้ป่วยแน่  ไม่ได้การล่ะ  ผมลุกขึ้นเตรียมเคาะประตูห้องน้ำเป็นจังหวะเดียวกับที่อีกฝั่งเปิดประตูพอดี

“เย้ย! / เย้ย!”  ต่างคนต่างสะดุ้งตกใจเพราะไม่คิดว่าจู่ๆ เปิดออกมาแล้วจะเจออีกฝ่ายอยู่หน้าประตู

“นายเข้าไปหลับในนั้นหรือไง?”  ผมจับตัวคำนับมาพลิกซ้ายพลิกขวาสำรวจดูด้วยความเป็นห่วงเขากลับบิดตัวออกจากมือผมแล้วไปหยุดยืนอยู่กลางห้อง

“คือ...ต้องเตรียมตัวนิดหน่อย”  ผมฟังไม่ถนัดว่าคำนับพูดอะไรได้ยินคำว่าเตรียมตัวๆ แล้วได้แต่งง

“เตรียมตัว?”  เส้นผมสีน้ำตาลเข้มเริ่มหมาดจนเกือบแห้งบ่งบอกว่าเขาอาบน้ำเสร็จนานแล้วหากไม่ยอมออกมา  คอด้านหลังและใบหูของคำนับแดงแจ๋ทำให้ผมชะงัก  ก่อนจะเลื่อนสายตาไปตามลาดไหล่  เอวผอมและสะโพกสอบใต้ชุดคลุมอาบน้ำ  ปลีน่องขาว  ข้อเท้าซ้ายสะท้อนแสงบางอย่าง  ...สร้อยข้อเท้าที่ผมเคยสวมให้เขา...

“เออ จริงซิ  นายโกรธฉันหรือเปล่าที่ไม่มีของฝากน่ะ”  คำนับหันกลับมาแต่ผมยังละสายตาจากข้อเท้าข้างนั้นของเขาไม่ได้

“หืม?”

“เอ่อ”  คำนับขยับเท้า  เขาก้มลงมองว่าผมดูอะไร  พอเห็นสิ่งนั้นหน้าเขาก็ยิ่งแดงมากขึ้น  “คือ...”

“ตอนแรกว่าจะโกรธ  แต่ตอนนี้ไม่แล้ว”  ผมขยับเท้าเข้าใกล้คนตรงหน้า  คำนับเหมือนสะดุดลมหายใจเมื่อเงยขึ้นมาเห็นสายตาของผม  อา  ทำไงดี  ทีแรกคิดว่าถ้าเขาเหนื่อยจากการเดินทางผมจะยอมให้เขาพักผ่อนก่อนแล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง  แต่พอเห็นสร้อยข้อเท้าเส้นนั้นใจผมก็เต้นรัวขึ้นมาอีก  ในท้องน้อยมันวูบวาบรุนแรง  ส่วนนั้นร้อนผ่าวโป่งพองดันกางเกงนอนจนเห็นได้ชัด  คิดว่าคำนับเองคงเห็นปฏิกิริยานี้เช่นกันเขาจึงเสหลบสายตา

“งะ  งั้นดีแล้วเนอะ  ถ้าไงฉันไปนอน...”

“นายไม่มีของฝากแต่ฉันมีของขวัญ”  พูดพลางขยับเท้าจนตอนนี้ปลายจมูกผมแตะเกือบชิดแก้มคนตรงหน้า  คำนับเอียงตัวจะขยับหนีผมเลยคว้าแขนเขาเอาไว้แน่น  “นายไม่อยากรู้เหรอว่าอะไร?”  กระซิบถามชิดริมหู  คำนับย่นคอหนี  ตอนนี้ทั้งเนื้อตัวและใบหน้าเขาแดงไปหมดแล้ว

“ค่อยดูพรุ่งนี้ก็ได้มั้ง”

“ฉันอยากให้นายดูวันนี้นี่นา”  ผมจูงเขาไปยังโต๊ะทานข้าว  กล่องสีเหลี่ยมบางสีขาวทองนอนสงบนิ่ง  ริบบิ้นถูกผูกเป็นโบว์ไว้หลวมๆ เพื่อให้สะดวกในการแกะเปิด  ผมขยับไปยืนซ้อนด้านหลังคำนับสอดแขนสองข้างขนาบเอวผอมของเขาแบบเนียนๆ พลางยื่นไปจับกล่องของขวัญให้เลื่อนใกล้เข้ามา  พยายามไม่ให้ส่วนที่ตั้งโด่ของตัวเองไปโดนก้นเขา  คำนับเปิดฝากล่องก่อนจะหยิบผืนผ้าหนาสีดำออกมาคลี่ดู

“ผ้ากันเปื้อน?”

“ใช่  มีชื่อนายด้วยนะ”  ผมขยับผ้าให้เห็นตัวอักษร  Khrab ที่ปักด้วยด้ายสีทองฝีเข็มแน่นละเอียดประณีตตรงช่วงเอวด้านซ้ายของชุด 

“นายเคยให้อาฟ้าตัดให้แล้ว”

“ผืนนั้นพ่อตัดให้  ส่วนผืนนี้ฉันตัดเอง”  ผืนที่พ่อเคยตัดให้เป็นแบบครึ่งตัว  ส่วนผืนนี้ที่ผมตัดเป็นแบบเต็มตัวคล้องคอมีสายผูกเอว

“จริงอ่ะ?”  คำนับตกใจ  เขาเลิกคิ้วเอี้ยวหน้ามามองเพื่อดูว่าผมล้อเล่นหรือเปล่า”

“พูดจริง  ฉันให้พ่อสอนตัดแล้วก็เย็บ  ดูดีๆ ซิ  นายจะเห็นว่ามันไม่ค่อยสวยเหมือนผืนที่พ่อตัดสักเท่าไหร่”  ตะเข็บผ้าเก็บได้ไม่เนี้ยบแต่ผมก็พยายามที่สุดแล้วนะ  กว่าจะได้ผืนนี้มานิ้วผมพรุนไปหมด  “อ้อ  แต่ตัวอักษรนี่จ้างเขาปัก  ฉันไม่มีปัญญาจริงๆ...”

“ขอบคุณนะ”  ผมชะงักเมื่อคำนับแนบจูบลงบนมุมปากผมแผ่วเบา

“งั้นสวมให้ดูหน่อย”  ผมกระซิบ  พยายามกดเสียงตัวเองเอาไว้ไม่ให้สั่น

“ตอนนี้เนี่ยนะ?”  คำนับคลี่ผ้ากันเปื้อนออกดูพลางถาม

“ใช่  ตอนนี้แหละ”  ผมงับใบหูคำนับตอนที่เขาก้มลงดูผ้าในมือ  ร่างผอมสะดุ้งโหยงผมอาศัยจังหวะนั้นคล้องสายผ้ากันเปื้อนลงบนคอคำนับอีกมือตวัดดึงปมชุดคลุมอาบน้ำออกรวดเร็ว

“เดี๋ยว!”  คำนับร้องเสียงหลงเมื่อผมกดตัวเขาให้แนบลงกับโต๊ะทานข้าว  ผมโน้มตัวตามลงไปก่อนจะฝังเขี้ยวบนหลังคอขาว  เจ้าของลำคอร้องโอ๊ยหากไม่ได้เอ่ยปราม  ไหล่ขาวสั่นระริกเมื่อแลบลิ้นเลียรอยฟันบนหลังคอ  กลิ่นแชมพูหอมสะอาดลอยเข้าจมูกจนต้องซุกดมกลุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนนั่น  ขยับมือผูกสายรัดเอวก่อนจะยืดตัวขยับถอยออกห่างมาสองก้าว

เป็นอย่างที่จินตนาการเอาไว้จริงๆ

สีดำของผ้ากันเปื้อนตัดกับผิวขาวของคำนับช่างดูสวยงามเหลือเกิน  สะโพกขาวลอยเด่นตรงหน้า  แผ่นหลังเปลือยเปล่ายังคงสั่นสะท้าน  ใบหน้าแดงก่ำแนบลงกับพื้นโต๊ะ  ดวงตาวาวฉ่ำคู่นั้นสั่นไหว

ผมคิดว่าตัวเองพุ่งกระโจนเข้าหาร่างตรงหน้า  ทาบทับร่างขาวโพลนพลางกดความคับแน่นลงบนสะโพกหนั่นทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ถอดกางเกง  คำนับยกมือปิดปากตัวเองเมื่อเผลอตัวหลุดคราง  กางเกงนอนผืนบางไม่อาจขวางกั้นความร้อนผ่าวของผมได้และตอนนี้มันก็เปียกชื้นไปหมดแล้ว

ผมแนบจูบไปจามแผ่นหลัง  ขบเม้มสร้างรอยไว้ในบางจุด  ทุกครั้งที่ฟันขบลงไปคำนับจะสะดุ้งและครางเสียงเบาๆ ผมบอกตัวเองว่าอย่าเพิ่งใจร้อนก่อนจะเลื่อนมือไปด้านหน้าคำนับ  กอบกุมส่วนอ่อนไหวของเขาไว้ในอุ้งมือแล้วขยับ  ยามที่ความรู้สึกหวามไหวพุ่งทะยานคำนับจะบดสะโพกเข้ากับความตึงร้อนด้านหน้าของผมเหมือนเรียกร้องโดยไม่รู้ตัว  คิ้วเรียวยาวขมวดมุ่น  เขากัดลงบนข้อนิ้วมือตัวเองเพื่อไม่ให้หลุดเสียงคราง  เห็นแบบนั้นผมเลยดึงมือเขาออกแล้วสอดนิ้วมือกับเขาไว้ข้างหนึ่ง  อีกข้างเขาจิกพื้นโต๊ะกินข้าวสลับคลายปลายนิ้วยามที่ผมเลื่อนสะโพกออก

ความชื้นแฉะในอุ้งมือและความปวดหนึบตรงหว่างขาเพิ่มมากขึ้นจนแทบทนไม่ไหว  ผมได้ยินเสียงตัวเองบดฟันเพราะการข่มกลั้นอารมณ์  คำนับลืมตาเหลียวหน้ามามอง

“โป๊ยกั๊ก?”

“ได้ไหม?”  กัดฟันเอ่ยถามความพร้อมใจของเขาทั้งๆ ที่แทบจะระเบิดอยู่รอมร่อ  คำนับพยักหน้า  คำอนุญาตของเขาแทบทำให้สติของผมขาดผึง  ผมเอี้ยวตัวไปตรงเค้าท์เตอร์บาร์หยิบขวดเจลเปิดฝาเทลงบนสะโพกขาว  คำนับสะดุ้งอีกครั้งเมื่อผิวสัมผัสความเย็นของเนื้อเจล  ผมคว้าซองถุงยางใช้ฟันฉีกก่อนสวมมันอย่างเร่งรีบ  ทุกกระบวนการคำนับจับจ้องด้วยสายตาฉ่ำวาว  ผมโน้มตัวลงจูบริมฝีปากบาง  กอบกุมส่วนอ่อนไหวที่ปริ่มน้ำของเขาไว้ในอุ้งมืออีกครั้งแล้วขยับรูดรั้งพลางกดส่วนแข็งขึงของตัวเองเข้าสู่ส่วนร้อนผ่าวอันอ่อนนุ่มเบื้องหน้า

ร่างผอมเกร็งตัว  ช่องทางรัดแน่นจนไม่สามารถขยับเคลื่อนไหวได้  ผมรู้สึกเหมือนแทบขาดใจแต่ไม่อาจเดินหน้าถ้าคำนับเจ็บปวดและต่อต้าน

“อย่าหยุด”  คำนับยกมือเกาะแขนผมข้างที่เท้ากับโต๊ะทานข้าว  ผมผ่อนหายใจก่อนจะทาบทับแผ่นหลังผอมบาง  สัมผัสกอดคนตรงหน้าพลางไล่จูบไปตามลำคอ  ใบหู  ข้างแก้มและริมฝีปากบางเพื่อปลอบประโลม  ผมจูบเขาเนิ่นนาน  พอรู้สึกว่าคนในอ้อมกอดคลายอาการเจ็บลงจึงกดสะโพกลงอีกครั้ง

“อ๊ะ!”  คำนับจิกเล็บลงบนหลังมือผม  อีกข้างจิกเนื้อไม้ของโต๊ะทานข้าว  แผ่นหลังขาวแอ่นโค้งดูสวยงามจนอดไม่ได้ที่จะฝากรอยฟันเอาไว้  เวลาที่เขาโดนกัดช่องทางร้อนผ่าวจะรัดแน่นขึ้นจนผมแทบละลาย

ผมบดสะโพกสร้างความคุ้นชิน  ปลุกเร้าคนในอ้อมแขนทุกสัมผัสแล้วค่อยขยับรุกเร้าแรงขึ้นเมื่อเขาผ่อนแรงต้านและเจ็บน้อยลง  ผมโดนคำนับกัดจนเลือดซิบตรงข้อมือข้างที่ใช้ยันโต๊ะตอนที่ยั้งแรงไม่ทันโถมสะโพกใส่จนเขาต้องกระถดตัวหนี

ผมพลิกร่างคำนับให้นอนหงาย  ผ้ากันเปื้อนสีดำยับย่นร่นขึ้นปิดบังผิวขาวได้แค่บางส่วน  ผมรั้งเรียวขาขาวขึ้นพาดบ่า  จูบปลีน่องระเรื่อยลงไปข้อเท้าที่สร้อยเส้นนั้นสะท้อนแสงอยู่  ร่างผอมของคำนับสั่นสะท้านตอนที่ผมใช้ปลายลิ้นเกี่ยวสร้อยข้อเท้าเส้นนั้น  ผมยกยิ้มมุมปากเมื่อเขายื่นแขนออกมา

ผมกดจูบปลุกเร้า  สอดกายแนบสนิทอีกครั้ง  ขาข้างที่สวมสร้อยข้อเท้ายังพาดอยู่บนบ่าอีกข้างเขาเกี่ยวกระหวัดเอวผมไว้แน่น  ยามที่สอดประสานสร้อยเส้นนั้นยิ่งสะท้อนแสงไฟ  หัวใจผมเต้นรัวเร็ว  ความรู้สึกยินดีเปี่ยมล้น  ความสุขทะลักทลายอยู่ในอก  ผมลูบไล้เรียวขาขาว  สอดปลายนิ้วชี้เกี่ยวสร้อยสีเงินพลางขยับสะโพกรัวเร็ว  อีกข้างปรนเปรอเขาไม่หยุด  คำนับสบสายตาแม้ยามที่ความเสียวซ่านกำลังโจมตี  ผมยิ้มให้กับคนตรงหน้าเขายิ้มตอบกลับมา

“ฉันรักนายคำนับ  รักนาย”  ผมก้มลงจูบเขา  กระซิบถ้อยคำนั้นซ้ำๆ คนข้างใต้วาดแขนกอดผมแน่น

“อืม  ฉันก็รักนายโป๊ยกั๊ก รักนายเหมือนกัน” 

เรากอดก่ายกัน  จูบกัน  กระซิบถ้อยคำรักแผ่วเบา  ถ่ายทอดความคิดถึงที่ไม่มีทีท่าว่าจะเบาบางลงเลยสักนิด  ผมข่มกลั้นไม่ปลดปล่อยและไม่ยอมให้คำนับปลดปล่อยเพื่อยืดเวลาแห่งความสุขสมนี้ออกไป

“ขอ  ขอพักหน่อย”  คนข้างใต้หอบหายใจพลางวิงวอน  ผมอ้าปากจะค้านขอต่อเวลาแต่เห็นท่าทางของเขาแล้วเปลี่ยนใจขยับสะโพกเร็วขึ้น  ขยับข้อมือที่กอบกุมเขาแรงขึ้นพาเราทั้งคู่สู่จุดหมายปลายทาง

ตอนที่ปล่อยขาของคำนับลงจากบ่าเขาก็หมดสติไปแล้ว  ร่างขาวซีดนอนหมดแรง  ใบหน้าได้รูปเอียงไปด้านข้าง ริมฝีปากบางบวมเจ่อ  เนื้อตัวมีทั้งรอยกัดรอยจูบที่ผมทำไว้ทั่ว  ขนาดต้นขาด้านในกับแก้มก้นเขาผมยังไม่ละเว้น  ผ้ากันเปื้อนสีดำเปรอะเปื้อนร่องรอยความรักของเราสองคนร่นไปกองอยู่ตรงหน้าอก  คำนับจมสู่ห่วงนิทราเพราะอ่อนเพลียจากการเดินทางซ้ำยังโดนผมสูบพลังชีวิตต่อเนื่องยาวนาน  พอเห็นแบบนั้นเลยรู้สึกผิดวูบในใจขึ้นมา

แต่การได้กินคำนับในชุดผ้ากันเปื้อนผืนเดียวมันเป็นความฝันของผมนี่นา  ในที่สุดก็ได้กินแบบที่จินตนาการไว้ก็เลยเบรกตัวเองไม่ไหวซ้ำยังไม่อิ่มอีกต่างหาก  ผ้ากันเปื้อนนี่เป็นไอเทมปลุกความหื่นจริงๆ  ผมถอนหายใจ  เอาวะ  ไว้กินวันหลังอีกก็ได้

ผมแบกคำนับมานอนที่เตียง  จัดการเช็ดเนื้อตัวและทำความสะอาดช่องทางด้านหลังที่บอบช้ำด้วยความเบามือ  ตรงบริเวณนั้นแดงเรื่อมีเลือดซิบๆ ผมเลยเขกหัวตัวเองแรงๆ ไปห้าทีโทษฐานไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจทำให้คำนับเจ็บตัว  ผมประคองเขาพิงอกแล้วป้อนยาพาราเซตามอลกับยาแก้อักเสบ  สวมชุดนอนหนานุ่มให้เขาแล้วลุกออกไปซักผ้ากันเปื้อนที่โดนย่ำยีผืนนั้น  เก็บอีกสามสี่ผืนลงกล่องแล้วกระโจนขึ้นเตียงดึงร่างผอมของคำนับเข้ามาในอ้อมกอด  กดจูบหน้าผากเหม่งๆ ไปอีกสองสามทีก่อนกระซิบบอกราตรีสวัสดิ์

พรุ่งนี้จะบอกน้าแป้งยังไงดีว่าคำนับตื่นไปทำบุญไม่ไหวแล้ว

อ๊ะ  จริงซิ  ตอนนี้ผมกับคำนับเราเป็นคนรักกันแล้วใช่ไหม?

ฮิฮิฮิฮิ  ขอหัวเราะแบบเพกาเวลาเจอเรื่องถูกใจหน่อยเถอะ  ก็เพราะว่าผมมีความสุขมากๆ เลยนี่นา  ผมกระชับกอดแน่นขึ้นอีกนิด  ยืดหัวออกแล้วจูบหน้าผาก  จูบแก้ม  จูบจมูก  จูบคาง  จูบริมฝีปาก  วนไปวนมาจนหน้าคำนับแทบชุ่มไปด้วยน้ำลายผมถึงได้หยุด

คำนับ  ตีรนันท์  นายเป็นคนรักของฉันแล้วนะที่รัก







จบ.   








ในที่สุดเรื่องนี้ก็มาถึงตอนจบเหมือนตามพี่ๆ ทั้งสองคนแล้วนะคะ  ก่อนอื่นเลยต้องขอโทษด้วยที่ท้ายๆ มาทรายลงนิยายไม่สม่ำเสมอ  ด้วยอะไรหลายๆ อย่างที่ประดังประเดเข้ามาในชีวิต  ทั้งเวลาที่ถูกแย่งไปจนร่างกายไม่ได้รับการดูแล  จิตใจที่แย่ตามร่างกาย  และอะไรอีกหลายๆ อย่างที่มาทำให้ชีวิตยุ่งเหยิงกว่าเดิม 150 เท่า  จนตอนนี้ก็กลายเป็นทรายที่รั้งท้ายพี่ๆ และนักเขียนร่วมโปรเจ็กอีกสองคน  วันที่คิดว่าจะได้แต่งและเคลียร์เรื่องนี้ให้จบก็โดนแทรกทุกครั้ง  ไม่รู้ว่าช่วงนี้เวรกรรมอะไรกำลังเรียกร้องให้เราเหนื่อยตายหรือเปล่า TAT
ขออภัยจากใจจริงๆ ค่ะ

หวังว่าจากนี้จะมีเวลาได้หายใจหายคอแต่งตอนพิเศษออกมานะคะ

น้อมรับความผิดทุกประการ

ด้วยรักและคิดถึงจากใจ


ทราย

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

จบแล้ว...จบแบบเหมือนเร่งรัดตัดจบ  แต่ก็ไม่ได้ขาดตอนอะไร

ป.ล. โป๊ยกั๊กมีคู่   แล้วกานพลูจะมีคู่ไหม?

ออฟไลน์ JokerGirl

  • ∀Σ❤∀ΔΣ Forever^^
  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2921
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +128/-3
 :pig4: หวานๆๆมาก ครับในชุดผ้ากันเปื้อน :z1:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
สุขสมหวังแล้วนะ

ออฟไลน์ Billie

  • "Let come what comes, let go what goes and see what remains. That is what is real"
  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3327
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +78/-6

ออฟไลน์ sira_nann

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 212
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +26/-1
ขอบคุณค่ะ
 :pig4: :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ มนุษย์บิน

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 407
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +7/-1
เสียดายหวังจะให้กานพลูเป็นคนมีตัวตนจริงๆสักวันอยากเห็นคู่กานพลูคงจะฟินน่าดู จบแอบงงๆหน่อยแบบจบแลเวเหรอหาาาจบแล้ว 55555555 แต่ก็ถือว่าทุกอย่างมันเคลีย

ออฟไลน์ q.tr

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 367
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +3/-0
อยากให้กานพลูมีคู่กับเค้าบ้าง  :ling1:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ HappyYaoi

  • เป็ดมัธยม
  • *
  • กระทู้: 161
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0

ออฟไลน์ nijikii

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 293
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-0
กานพลูในร่างโป๊ยกั๊กนึกภาพไม่ออกจริงๆ
555555555555
เป็นพลังวิเศษที่น่ารักมาก

ออฟไลน์ yuyie

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2112
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +92/-5
 :pig4: ขอบคุณ​จ้า
สนุกมากๆ

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3


SecretMe!  คนนี้ต้องลับ!



ตอนพิเศษ





   การแข่งกีฬากระชับมิตรระหว่างโรงเรียน

   ครั้งแรกที่ได้ยินชื่อของเขาคือตอนแข่งกีฬาคาราเต้ระดับโรงเรียน  ทั้งๆ ที่เขาไม่มีรายชื่อในชมรมกีฬาไหนเลยแต่กลับได้เป็นตัวแทนของนักกีฬาทั้งหมดไปแข่ง  โดยไม่ต้องเห็นหน้าผมก็รู้สึกไม่ชอบใจเพื่อนร่วมสถาบันคนนี้เสียแล้ว 

   การแข่งขันคราวนี้โรงเรียนของเราเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน  เสียงเฮดังลั่นโรงยิมที่ใช้แข่ง  ระดับความดังเป็นตัวบ่งบอกว่าผู้ชนะในกีฬานี้คือโรงเรียนเจ้าภาพ  ผมยกกระติกผ้าเย็นให้เพื่อนร่วมห้องซึ่งมีหน้าที่เป็นฝ่ายสวัสดิการแจกจ่ายผ้าเย็นให้เหล่านักกีฬาในสนาม  สาวๆ รอบด้านส่งเสียงกรี้ดไม่หยุดหย่อน  ดวงตาของพวกเธอจับจ้องอยู่ที่คนคนหนึ่ง  ผมหันไปมองตามสายตาของคนเหล่านั้นก่อนจะชะงักนิ่ง  ร่างสูงชะลูดผิวขาวจัดในชุดคาราเต้เปียกชุ่มเมื่อเขายกขวดน้ำเย็นพรมลงบนตัว  ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นเล็กน้อย  คิ้วเรียวยาวพาดเฉียง  จมูกโด่งเป็นสัน  ริมปากบางจ่ออยู่ตรงปากขวดน้ำเย็น  ลูกกระเดือกขยับขึ้นลงตามจังหวะการดื่มน้ำ  หันมาทางนักกีฬาตัวจริงของชมรมคาราเต้ที่นั่งยิ้มแห้งแล้วนึกเห็นใจพวกเขานิดหน่อย  ทั้งๆ ที่เป็นนักกีฬาของโรงเรียน  อยู่ชมรมคาราเต้แต่กลับไม่ใช่คนลงแข่งสร้างชัยชนะ

   ช่วงพักเที่ยงผมหยิบข้าวกล่องที่เขาแจกไปนั่งในโรงอาหาร  ช่วงจังหวะกำลังจะตักข้าวเข้าปากคนกลุ่มใหญ่ก็เดินเข้ามานั่งตรงโต๊ะด้านหลัง  เสียงดังโหวกเหวกนั่นกำลังพูดถึงชัยชนะของคนที่อยู่กลางวงล้อม

   “มึงแม่งโคตรเจ๋ง เตะป้าบๆ เอาแต่คะแนนสูงๆ ทั้งนั้น”

   “ใช่  พวกนั้นแม่งไม่มีใครกล้าลงแข่งกับมึงแล้วมั้ง”

   “ก็ลูกเตะมันแม่งโหดเกิ๊น!”

เสียงเยินยอยังดังไม่หยุด  ผมเบะปาก  คนพวกนี้ทำเหมือนเขาเป็นนักกีฬาที่ชนะอยู่คนเดียวอย่างนั้นแหละ  ทั้งๆ ที่คนอื่นในกีฬาประเภทอื่นยังมีผู้ชนะอีกหลายคน  ความรู้สึกหิวข้าวเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นอยากอาเจียนแทน  ผมรวบช้อนลุกขึ้นยืน

“น่าดีใจตายล่ะกับชัยชนะที่ได้มาจากการแย่งนักกีฬาตัวจริงลงแข่ง  รางวัลที่ได้จากการก้าวข้ามความพยายามหลายปีของคนอื่น  น่าภูมิใจชะมัด  เฮอะ!”  พูดจบผมก็เดินออกมาจากตรงนั้น  รู้แหละว่าตัวเองกำลังแกว่งเท้าหาเสี้ยน  แกว่งปากหาตีน  สู้ไม่ได้ยังปากดีไปด่าเขาเลยต้องเร่งฝีเท้าหนีห่าง  ความเงียบเข้าปกคลุมคนกลุ่มนั้น  อึดใจหนึ่งผมได้ยินเสียงคนตะโกนไล่หลัง  หลายคนในนั้นลุกขึ้นยืนเตรียมพร้อมมีเรื่องทันทีถ้าผมหันกลับไป

“เฮ้ย  หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะมึงอ่ะ! แน่จริงมึงอย่าหนี!”  ผมหยุดเท้าหากไม่ได้หันกลับไป

“มึงอ่ะหยุดไอ้ภู”  อีกเสียงเอ่ยปรามเพื่อน

“แต่มันว่าโป๊ยกั๊กนะโว้ยดิน!”

“แล้วไง  ไอ้คนโดนด่ามันยังนั่งเฉยไม่รู้สึกอะไรเลยมึงจะดิ้นแทนมันไปทำไม?”

“พวกมึงเลิกเถียงกันแล้วมากินข้าวได้แล้ว  กูหิว! พวกมึงด้วย!”

“โชคดีของมันนะเนี่ยที่วันนี้อาฟ้าทำของโปรดกูใส่ปิ่นโตไอ้กั๊กมาด้วย  ไม่งั้นกูวิ่งไปเตะปากมันละ”

“กูว่าโชคดีของมึงมากกว่ามั้งที่ไม่ต้องโดนเขาเตะปากกลับมาอ่ะ”

“ไอ้ดิน!”  เสียงหัวเราะฮาครืนดังมาจากเพื่อนรอบวงของหมอนั่น  “มึงห้ามกินปิ่นโตของไอ้กั๊กเลยนะ!”

“เรื่องอะไรล่ะ  อาฟ้าจัดปิ่นโตมาเผื่อตั้งหลายกล่อง  มึงอย่ามาหวงกินนะโว้ย  ตะกละเป็นชูชกแบบนี้สักวันจะท้องแตกตาย”

“จะเป็นชูชกก็เรื่องของกู  ไม่ให้มึงกินหรอก!”  เสียงโวยวายยังดังต่อเนื่อง  ผมเดินออกมาโดยพยายามทำเป็นไม่สนใจสายตาหลายคู่ที่มองมา

ห่อปิ่นโตมาโรงเรียน?  เดี๋ยวนี้แม้แต่เด็กประถมก็ไม่มีใครห่อข้าวมากินโรงเรียนกันแล้วไม่ใช่หรือไง?

นายโป๊ยกั๊กอะไรนั่นคงกำลังมองตามหลังผม  ขนอ่อนตรงหลังคอลุกชัน  สัญชาตญาณเหมือนกำลังรับรู้ถึงอันตรายบางอย่าง  และหากสายตานั่นเป็นใบมีดร่างของผมคงถูกแทงจนพรุนเลือดอาบ

หลังจากวันนั้นเรื่องราวในวันแข่งกีฬาก็หายไปจากหัวผม  จนกระทั่งวันหนึ่ง  วันที่ผมได้เจอกับเขา ...คุณอาสีฟ้า



“ขอโทษนะครับ  ขอรบกวนอะไรหน่อยได้หรือเปล่า?”  ผมหันไปตามเสียงเรียกขณะที่กำลังเดินกลับห้องเรียนหลังจากช่วยอาจารย์ยกเอกสารไปไว้ห้องปกครอง

“ครับ?”  ผู้ชายสูงสมส่วนผิวขาวจัด  ใบหน้าได้รูปรับกับแว่นตาสีใส  ดวงตาอบอุ่นใจดีสะท้อนเปิดเผย  ริมฝีปากสีชมพูวาดเป็นรอยยิ้มอ่อนโยน  บรรยากาศรอบตัวเขาคล้ายอากาศยามเช้าที่สาดส่องด้วยแสงแดดอ่อน

“ห้องของเตวิสอยู่ทางไหนเหรอ?”

“เอ่อ...”

“อ๊ะ  ขอโทษที! ห้องของโป๊ยกั๊ก  ห้อง มอ.4/x น่ะอยู่ตรงไหนเหรอ?”

“ตึกซ้ายชั้นสอง  ห้องที่สี่นับจากฝั่งขวาครับ”

“.........”

“........”

“คือ...  เธอจะช่วยไปส่งผมหน่อยได้ไหม?”

“ได้ครับ”  ผมหัวเราะ  ท่าทางเขินอายของเขาดูเหมือนเด็กหนุ่มมากกว่าจะเป็นคุณพ่อของใครสักคนในโรงเรียนนี้

ผมเดินไปส่งเขา  ระหว่างทางน้ำเสียงนุ่มทุ้มของเขาเอ่ยถึงลูกๆ  แม้ประโยคจะฟังดูเหมือนบ่นแต่กลับรับรู้ได้ถึงความรักเปี่ยมล้น

“เธอว่าเด็ก มอ.ปลายที่ห่อข้าวมาโรงเรียนนี่แปลกไหม?”

“เอ่อ”

“แปลกซินะ  ตอนแรกผมก็กลัวว่าลูกจะอายเพื่อนเลยไม่กล้าทำปิ่นโตให้พวกเขา  แต่เพราะประโยคที่พวกลูกๆ เคยพูดว่า ‘อาหารของพ่อร่อยที่สุดในโลก’ ผมก็เลยลุกแต่เช้ามืดมาทำ”  ผมมองคนข้างๆ  ความรู้สึกว่าเด็ก มอ.ปลายเอาปิ่นโตข้าวมาโรงเรียนเป็นเรื่องแปลกนั้นหยุดลงทันที

‘ข้าวของพ่ออร่อยที่สุดในโลก!’

ประโยคที่ผมเคยพูดประจำเมื่อครั้งยังเด็ก  ทั้งที่ลืมเลือนไปแล้วกลับมาชัดเจนอีกครั้ง

“แต่โป๊ยกั๊กน่ะเวลารีบทีไรมักลืมกล่องข้าวทุกทีเลย”

โป๊ยกั๊ก?

กล่องข้าว?

“เอาล่ะ  ถึงแล้ว”  ผมเงยหน้ามองป้ายเหนือประตูที่บอกชั้นและเลขห้อง  “ขอบใจเธอมากนะที่มาส่ง  อาชื่อสีฟ้าเป็นพ่อของโป๊ยกั๊ก”

“ครับ”

“หืม?  จริงซิ  เอ้านี่ เธอเอานี่ไปกินนะ”  มือขาวล้วงหยิบกล่องทรงกลมขนาดเท่าฝามือยื่นส่งให้  เป็นกล่องข้าวขนาดกะทัดรัดสองชั้นด้านบนเป็นฝาใสมองเห็นด้านใน  ชั้นหนึ่งเป็นข้าวอีกชั้นเป็นแกงพะแนง

“ไม่เป็นไรครับ”

“เอาไปเถอะ  ผมทำมาเผื่อเพื่อนๆ ของโป๊ยกั๊กประจำอยู่แล้ว”  ผมมองใบหน้าและรอยยิ้มใจดีของเขาก่อนจะรับกล่องข้าวนั้นมา  “กินให้อร่อยนะ!”

“ขอบคุณครับ”

.

.

ผมลาป่วยหลังจากตักพะแนงเข้าปากไปเพียงหนึ่งคำ

ขณะนั่งอยู่บนรถเมล์น้ำตาของผมยังคงไม่หยุดไหล  จนเมื่อถึงบ้าน  แม่เงยหน้าจากหนังสือพิมพ์  ปากกาเมจิกสีแดงที่ใช้วงข่าวรับสมัครงานชะงักค้าง

“มีเรื่องอะไรที่โรงเรียนเหรอ?”  แม่ลุกขึ้นเดินมาหา  มือแห้งแตกคู่นั้นสัมผัสแก้มผมแผ่วเบาเพื่อปลอบประโลม  ผมส่ายหน้าก่อนยื่นกล่องข้าวให้  แม่รับไปเปิดดูแล้วเงยหน้าเป็นเชิงถาม  ผมจับมือแม่ไปนั่งตรงโต๊ะกินข้าว  เปิดฝากล่องแกงพะแนงยื่นช้อนให้  แม้จะแปลกใจกับการกระทำของผมแต่แม่ก็ตักแกงนั้นเข้าปาก

“นี่มัน!”

“เหมือนใช่ไหมครับ?”  แม่พยักหน้าดวงตารื้นน้ำ

“ลูกไปเอามาจากไหน?”

“มีคนให้ผมมา”

“ใครเหรอ?”

“สีฟ้า  เขาชื่อสีฟ้า”



หลังจากวันนั้นผมจะมาโรงเรียนให้เร็วขึ้นกว่าเดิม  ยืนอยู่แถวหน้าประตูโรงเรียนพยายามมองหาเขาเวลาที่เขามาส่งลูกๆ  ได้เห็นรอยยิ้มใจดีกับสายตาอบอุ่นเวลาเขามองลูกผมก็รู้สึกดีแล้ว 

คุณอาสีฟ้า  เป็นเชฟร้านอาหาร  เท่าที่ได้ยินมาทุกอย่างในร้านที่เขาปรุงล้วนอร่อยทุกอย่าง  ผมเชื่ออย่างนั้นนะหลังจากได้กินพะแพงหมูฝีมือเขา 

อนาคตที่ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนดีของผมชัดเจนขึ้นเมื่อได้เจออาสีฟ้า  ผมอยากเป็นเชฟเหมือนอาสีฟ้า  เหมือนพ่อ..



ว่าแต่ลูกชายอาสีฟ้าชื่ออะไรนะ?

โป๊ยกั๊ก?



อา  ใช่  หลังจากวันที่ผมอาจหาญไปด่าเขา  ผมก็ไม่เคยได้ยินชื่อเขาเป็นตัวแทนของโรงเรียนไปแข่งกีฬาอีกเลย  แต่ยังคงรับปากช่วยเหลือการแข่งระหว่างชมรมอยู่เป็นประจำ  หรือว่าเขาเก็บคำพูดของผมไปคิด?

คงไม่ใช่หรอกมั้ง 

*********


“วันนี้ทำอะไรกินเนี่ย  กลิ่นหอมไปถึงข้างนอก”  ผมละจากหน้าเตา  เปิดตู้เย็นหยิบเหยือกน้ำเก๊กฮวยแช่เย็นจนเป็นเกล็ดน้ำแข็งเทใส่แก้วยื่นให้คนที่นั่งหมดแรงตรงโต๊ะกินข้าว  วันนี้โป๊ยกั๊กออกไปดูที่ดินเพื่อขยายสาขาร้าน

“พะแนง”

“อาทิตย์ก่อนก็เพิ่งทำไปไม่ใช่เหรอ?”  โป๊ยกั๊กยกแก้วน้ำเก๊กฮวยขึ้นดื่ม  คิ้วเข้มขมวดสงสัย  ผมยิ้มก่อนหันไปคนแกงในหม้อต่อ  เมื่อได้ที่จึงหรี่ไฟเบาลง  หันไปหยิบถ้วยแกงใบเล็กตักแกงพะแนงใส่ถ้วยมาวางตรงหน้าเขา

“ของอาทิตย์นี้ไม่เหมือนอาทิตย์ก่อน”  ผมนั่งลงฝั่งตรงข้าม  กอดอกโน้มตัวลงพลางส่งสายตากดดันให้อีกฝ่ายหยิบช้อนตักแกงเข้าปาก

“อืม”

“เป็นไง?”  เห็นท่าทางอีกฝ่ายเหมือนจะแกล้งกันอย่างทุกทีเลยเร่งให้เขาตอบ  เวลาผมทำอาหารเมนูใหม่ให้โป๊ยกั๊กชิมเขามักนั่งนิ่งเป็นนานสองนานกว่าจะยอมให้คำตอบ  ทำเอาหงุดหงิดอยู่หลายหนจนต้องขู่ว่าจะย้ายครัวไปทำให้อาฟ้าชิม  นั่นแหละเขาถึงยอมเปิดปากแบบไม่ท่ามากอะไรอีก

“วันนี้เนื้อหมูค่อนข้างนุ่ม  เคี้ยวง่าย  น้ำแกงซึมเข้าไปในเนื้อเลยทำให้มันนุ่มขึ้น  น้ำแกงข้นกลิ่นเครื่องเทศเด่นขึ้นแต่ไม่ฉุนจัด  ค่อนข้างเผ็ดร้อนเหมาะกับคนชอบรสจัดจ้าน  ส่วนคราวก่อนนายทำเลียนแบบพ่อฟ้าใช่ไหม?”

“นายรู้?”

“มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับนายที่ฉันไม่รู้บ้าง?”  โป๊ยกั๊กกอดอกมั่นใจ  คางได้รูปของเขาเชิดขึ้นจนดูน่าหมั่นไส้

“ก็มีอยู่นะ”

“เรื่องอะไร?”  แขนที่กอดอกคลายออก  ใบหน้าหล่อเหลาถมึงทึง  เขาโน้มตัวมาข้างหน้าพลางหรี่ตาจ้องเขม็ง

“ถ้าบอกมันจะกลายเป็นเรื่องที่นายรู้แล้วน่ะซิ”  ผมเอียงคอพูด  มองเขาพร้อมรอยยิ้ม

“จะบอกดีๆ หรือต้องเจ็บตัวก่อน?”  เขาขู่  นิ้วเรียวยาวเลื่อนขึ้นคลายปมเนกไทดวงตาเรียวยังคงจ้องผมเช่นเดิม

“เอ่อ  เรื่องพะแนงนี่ไง!”  ผมเด้งตัวตบโต๊ะแล้วตอบเขาเสียงดัง

“พะแนง?”

“ใช่  คราวก่อนฉันทำเลียนแบบอาฟ้าจริงๆ แกงพะแนงของอาฟ้าน่ะสุดยอดเลยนะ”  ผมยิ้มเมื่อนึกถึงครั้งแรกที่ได้กินฝีมือของอาฟ้า  แต่มีคนไม่ยิ้มตีหน้าบึ้งใส่ผมอยู่หนึ่งอัตราตรงหน้านี่

“ฉันก็สุดยอดนะ  ทั้งอึดทั้งทน  หรือนายว่าไง?”

“ไอ้บ้าโป๊ยกั๊ก!  ไหงวกเข้าไปเรื่องนั้นล่ะ!”

“รู้ว่าฉันไม่ชอบให้ชมผู้ชายคนอื่นต่อหน้ายังจะทำอยู่อีก”

“......”  อึ้งไปเลย  ผมถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้ยินคำนั้นจากปากโป๊ยกั๊ก  ขณะที่กำลังคิดว่าจะพูดอะไรดีเขาก็ลุกขึ้นเดินไปทางหม้อแกง  ผมหันไปมอง

“นี่จะเอาไปให้พ่อฟ้าชิมใช่ไหม?”

“ใช่”

“เอาล่ะ  พะแนงวันนั้นกับพะแนงวันนี้ไม่เหมือนกันด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง  นี่เป็นเรื่องที่ฉันไม่รู้ตามที่นายบอก”

“อา  ใช่!  พะแนงของอาฟ้าน่ะรสชาติเหมือนของพ่อฉันเลย”

“ห้ะ?”

“เวลาที่คิดถึงพ่อฉันเลยอยากทำรสชาติแบบนั้นบ้าง  แต่พะแนงวันนี้น่ะเป็นรสมือในแบบฉบับของฉันเองก็เลยอยากให้อาฟ้าลองชิม”

“งั้นไปเลยไหม?”

“แต่นายเพิ่งกลับมาจากข้างนอกเหนื่อยๆ นะ  ยังไงฉันไปคนเดียวได้...”

“ไม่ได้! ไม่อนุญาต!”

“โป๊ยกั๊ก  อาฟ้าน่ะพ่อนายนะ?”  ทำตัวเป็นเด็กโข่งไปได้  ประโยคนี้พูดได้แค่ในใจเพราะถ้าเผลอปากออกเสียงไปเย็นนี้ผมคงไม่ได้ออกจากบ้านแน่ๆ

“พ่อแล้วไง  ไม่ว่านายเข้าใกล้ใครฉันก็หวงนายทั้งนั้นแหละ!”

“นายนี่มัน...” ผมส่ายหัว  อยากจะเขินอยู่หรอกเวลาเขาออกอาการหึงหวงแบบนี้แต่ขำมากกว่า  โป๊ยกั๊กทำเหมือนผมหน้าตาดีมีคนเข้าหามากมายอย่างนั้นแหละ  ผมน่ะ  เป็นแค่ผู้ชายธรรมดาหน้าตาบ้านๆ  ไม่มีเสน่ห์ตรงไหนเลย  ทุกวันนี้ผมยังสงสัยด้วยซ้ำว่าโป๊ยกั๊กรักชอบอะไรในตัวผม

ผมลุกขึ้นไปหยุดยืนตรงหน้าโป๊ยกั๊ก  ยกมือประกบแก้มเขา  ยื่นหน้าไปจูบบนริมฝีปากบางเบาๆ  ผละออกพลางสบตานิ่ง

“ฟังนะ  อาฟ้าน่ะเป็นแรงบันดาลใจของฉัน  เป็นเหมือนพ่อคนที่สองดังนั้นเลิกหวงได้แล้วน่า”

“อ่าฮะ  ได้คำตอบสักทีว่าเมื่อก่อนทำไมนายถึงหน้าแดงหูแดงทุกครั้งเวลาเจอหน้าพ่อฟ้า”

“ก็เหมือนเวลาเราเจอไอดอลที่ชอบตัวเป็นๆ ไง”

“ตื่นเต้น?”

“ไม่อ่ะ  เขินจริง”

“นี่!”  ผมหัวเราะ  เวลาได้แกล้งเขาแบบนี้มันสะใจดีแหะ  ถึงจะเป็นการเอาคืนแค่เศษเสี้ยวที่เขาแกล้งผมก็เถอะ



เย็นวันนั้นพวกเราเข้าไปหาอาฟ้า  ทุกคนอยู่กันเกือบพร้อมหน้าพร้อมตาขาดเพียงพี่ใบไธม์ซึ่งยังคงติดงานเสมอต้นเสมอปลายมาหลายปีไม่เปลี่ยนแปลง

อาฟ้าทำตาโตเมื่อได้ชิมแกงพะแนงฝีมือผม  ยกนิ้วโป้งให้สองข้างซ้ำยังชมไม่หยุดปากเล่นเอาผมเขินจนแทบมุดพื้น  ส่วนโป๊ยกั๊กน่ะเกือบล้มโต๊ะเมื่อเห็นท่าทางผม  หมายถึงยกโต๊ะทุ่มใส่ผมน่ะนะ 

คนอะไร๊  หึงได้แม้กระทั่งโต๊ะ

เอ๊ะ  ไม่ใช่งั้นเหรอ?

ผมหัวเราะพลางค่อยๆ  ยื่นมือไปกุมมือเขาใต้โต๊ะกินข้าวโดยไม่ให้ใครเห็น  โป๊ยกั๊กพลิกมือมาประสานก่อนที่นิ้วของเขาจะขยับมากดคลึงตรงกลางฝ่ามือแผ่วเบา  พอเห็นผมนิ่งเขาก็เพิ่มแรงกดคลึงไปทั่วฝ่ามือผมก่อนจะหยุดอยู่ตรงกลางแล้วขยับนิ้วเป็นจังหวะ...

ปึก!

“โอ๊ะ!”  ผมดึงมือออกแล้วถองศอกใส่คนข้างๆ

“หืม?”  อาฟ้าซึ่งกำลังพิจารณาพะแนงหมูหันมามองอาการแปลกๆ ของลูกชาย  “โป๊ยกั๊กเป็นอะไรเหรอ?”

“สงสัยโป๊ยกั๊กจะหิวแล้ว”  ผมเป็นฝ่ายตอบส่วนคนโดนถามกุมสีข้างจ้องผมตาขวาง

แย่แล้ว  คืนนี้ผมไม่รอดแน่!




ผมยิ้ม  นั่งมองอาฟ้าตักอาหารฝีมือผมครั้งแล้วครั้งเล่า  ผมคิด  หากคนที่นั่งตรงนั้นเป็นพ่อของผมก็คงดี  แต่ว่าไม่เป็นไรหรอกเพราะตอนอาฟ้าพูดว่า ‘ต่อไปนี้ครับคือลูกชายของอาแล้วนะ’  ตั้งแต่นั้นคนคนนี้ก็กลายเป็นพ่อของผมไปแล้ว  อาฟ้าอาจไม่รู้ว่าเขาคือแรงบันดาลใจของผม  เป็นสิ่งยิ่งใหญ่ในชีวิตของเด็กคนหนึ่งตั้งแต่ครั้งแรกเมื่อเจอกัน


ขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้ผมได้เจออาฟ้า


ขอบคุณอาฟ้าที่สร้างโป๊ยกั๊กของผมขึ้นมาด้วย


ผมหันไปคว้ามือโป๊ยกั๊กมากุมไว้อีกครั้ง  ยิ้มขอโทษให้เขาที่แกล้งเมื่อกี้  แม้เขาจะทำท่างอนแต่ยังยอมให้ผมกุมมือและกุมมือตอบกลับมา 





โลกใบนี้อาจบังเอิญเหวี่ยงใครสักคนที่เป็นแรงบันดาลใจมาให้เราได้ก้าวต่อ  และตัวเราเองอาจกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ใครคนอื่นโดยไม่รู้ตัว



หากผมกลายเป็นแรงบันดาลใจของใครสักคนก็ขอให้เขาเดินไปข้างหน้าอย่างมีความสุขในทุกช่วงเวลาชีวิต



 



ตอนนี้ความสุขของผมก็ยังคงเพิ่มขึ้นทุกวัน







จบ.







สวัสดีค่ะ  วันนี้เอาตอนพิเศษมาลงส่งท้ายค่ะ  หากทำให้คนอ่านมีความและอิ่มเอมใจก็ดีใจมากเลย
นิยายเรื่องนี้อาจไม่ดีที่สุด  อาจต้องปรับปรุงหลายอย่าง  ทรายก็จะพัฒนาและปรับปรุงให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปนะคะ 
ขอบคุณทุกกำลังใจ  คำแนะนำ ติ ชม  ทั้งหมดที่มอบให้กันมาตลอดนะคะ  ดีใจและน้อมรับไปพัฒนาตัวเองค่ะ^^
ขอให้ทุกคนมีความสุขกับนิยายซตนี้ทั้ง 3 เรื่องนะคะ^^

สุดท้ายฝากผลงานของเราทั้ง 3 คนด้วยนะคะ  ตอนนี้กำลังเปิดพรีอยู่ค่ะ  รายละเอียดสามารถติดตามได้ทางเพจของ
สนพ.Maze novel ได้เลยค่ะ




ด้วยรัก


ทราย

















ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
 :pig4: สำหรับตอนพิเศษ​ค่ะ​ อิ่มอกอิ่มใจ​มากๆ​ แต่ตอนนี้สิ​ คีหนึ่งกว่าๆจะไปหาพะแนงที่ไหนมาทาน​ มีแต่พริกแกงสำเร็จรูปไม่มีหมู​  :sad4: หิว

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

สเปฯ นี้ทำให้รู้สาเหตุว่าทำไมนุ้งครับถึงเขินอายตลอดเวเมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อฟ้า รวมถึงแรงบันดาลใจมุ่งมั่นที่จะเป็นเชพ(กะทะเหล็ก)

ออฟไลน์ KKKwanGGG

  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1364
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +21/-2
สนุกมาก เป็นครอบครัวที่น่ารักมาก ๆ



ขอบคุณครับ

ออฟไลน์ van16

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 875
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +6/-2
สนุกมากๆ ค่ะ เอ็นดูกานพลู  :กอด1:   :pig4:

ออฟไลน์ nOn†ღ

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4390
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +502/-6

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด