พิมพ์หน้านี้ - My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอนพิเศษ] 19-02-62 P.4

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Boy's love => Boy's love story => นิยายที่โพสจนจบแล้ว => ข้อความที่เริ่มโดย: sine ที่ 14-02-2018 23:05:46

หัวข้อ: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอนพิเศษ] 19-02-62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 14-02-2018 23:05:46
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


******************************************************************









สวัสดีวันแห่งความรักค่ะ
วันนี้มาเปิดเรื่องใหม่  เป็นหนึ่งในโปรเจ็ก My Family ของ MAZE  Novel ซึ่งร่วมกับน้อง Nicedog และ aiaea83 ค่ะ
นานแล้วที่ไม่ได้แต่งโดยใช้บุรุษที่หนึ่งในการเล่าเรื่องก็เลยค่อนข้างไม่ค่อยมั่นใจนิดนึง  และด้วยความห่างหายจากช่วงเวลากับตัวละครในนิยายมานานมากกกกก ก็เลยไม่ค่อยแม่นเรื่องของกิจกรรมและชีวิตประจำวันของเด็กวัยรุ่นสักเท่าไหร่  หากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยนะคะ  สามารถให้คำแนะนำติติงได้เสมอค่ะ
เรื่องแรก “Secret Ground สืบลับเชื่อมใจรัก”  By Nicedog
เรื่องที่สอง “Hidden Secret ลับซ่อนรัก”  By AiaeaAiaea
เป็นกำลังใจให้เราทั้งสามคนด้วยนะคะ^^











“Secret Me  คนนี้ต้องลับ!”

บทนำ






‘กระจกวิเศษเอ๋ย  จงบอกข้าเถิด  ใครงามเลิศในปฐพี’

ผมหันไปมองเด็กผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ดวงตาสุกใสของเธอเป็นประกาย  ริมฝีปากสีสตรอว์เบอร์รี่  หืม  ต้องสีเชอร์รี่หรือ? ไม่ๆ  ผมชอบสตรอว์เบอร์รี่มากกว่า  ดังนั้นผมจะให้ริมฝีปากของเธอสีสตรอว์เบอร์รี่  ดวงตาของเธอสุกใสเป็นประกายจ้องไปยังคุณครูคนสวยหน้าห้องที่กำลังเล่านิทานเรื่อง  เจ้าหญิงสโนว์ไวท์กับเจ้าชายทั้งเจ็ด  ผมคิดว่าเธอคงอยากเป็นเจ้าหญิงคนนั้นและอยากให้กระจกตอบกลับมาว่า

‘ก็เธอน่ะซิ  เจ้าหญิงริมฝีปากสีสตรอว์เบอร์รี่’  หากคุณครูหน้าห้องกลับพูดต่อว่า ‘เจ้าหญิงสโนว์ไวท์อย่างไรล่ะ  งามที่สุดในปฐพี’  เมื่อได้ยินเธอก็ยังยิ้มสดใส  แม้จะแอบเบ้ปากเล็กๆ นั่นเล็กน้อย

ตอนเย็นพอกลับถึงบ้านผมก็รีบวิ่งเข้าห้องน้ำแล้วไปยืนหน้ากระจก  เงาที่สะท้อนกลับมาคือใบหน้าที่เหมือนกับผมทุกอย่าง  ผมยกยิ้มคนในนั้นก็ยิ้มตาม  นิทานที่คุณครูเล่ายังคงก้องอยู่ในหัว  ผมขยับปากเอ่ยคำถาม

“กระจกวิเศษเอ๋ย  จงบอกข้าเถิด  ใครงามเลิศในปฐพี”

“ในโลกนี้คนที่งามเลิศที่สุดก็คือนาย  เตวิส”

“!”  ผมผงะถอยหลัง  เงาในกระจกตอบผมได้ด้วย!  หรือนี่จะเป็นกระจกวิเศษเหมือนอย่างในนิทานที่คุณครูเล่า?  ผมขยับเข้าไปใกล้กระจกอีกครั้ง  “ฉัน?”

“ใช่  นายนั่นแหละ  เตวิส”  เงาในกระจกยิ้มกว้างเต็มใบหน้า  ผมใจเต้นแรงก่อนจะหันหลังวิ่งออกไปพลางตะโกนโวยวายลั่นบ้าน

“พ่อ!  แม่! พี่ไธม์!  บ้านเรามีกระจกวิเศษด้วย!”  ผมลากทุกคนให้มายืนรวมกันอยู่หน้ากระจกห้องน้ำ  เว้นกระวานเพราะยังไม่กลับจากโรงเรียน  พอมีผู้ใหญ่สามคนมายืนเบียดกันก็ทำให้ห้องน้ำเล็กๆ แคบไปถนัดตา

“กระจกวิเศษอะไรหรือ?”  พี่ไธม์ลูบหัวผมก่อนเอ่ยถาม

“นี่ไงๆ”

“หืม?”  พ่อกับแม่สบตากัน  พวกท่านขมวดคิ้วมองผมแล้วหันไปมองกระจก

“ดูนะๆ”  ผมเบียดไปยืนด้านหน้าสุด “กระจกวิเศษเอ๋ย  จงบอกข้าเถิดใครงามเลิศในปฐพี”

“นายไง  เตวิส”  เงาในกระจกตอบกลับมา   ผมยิ้มจนปากแทบฉีกถึงหูหันไปมองหน้าทุกคน  พ่อกับแม่อ้าปากค้าง  ส่วนพี่ใบไธม์ยืนจ้องเงาในกระจกนิ่ง

“โอ้  พลังของลูกคือแบบนี้หรือ?”  แม่เท้าเอว  “จะมีประโยชน์อะไรกับบ้านเราไหมเนี่ย?”

“แม่จ๋าละก็”  พ่อดุแม่เสียงเบา

“เท่ห์ดีนี่”  พี่ใบไธม์ก้มมายิ้มให้  ผมเลยยืดอกขึ้น

“พรุ่งนี้ผมเอากระจกวิเศษนี่ไปโรงเรียนนะ?”

“ห๊า?”  แม่ร้องเสียงดังมีพ่อคอยแตะแขนให้เบาเสียงลงเพราะกลัวผมตกใจ

“ลูกเอากระจกนี่ไปโรงเรียนไม่ได้หรอก”

“ทำไมล่ะครับ?”

“เพราะกระจกทุกบาน  จะเป็นกระจกวิเศษของโป๊ยกั๊กยังไงล่ะ”  พี่ใบไธม์ย่อตัวลงนั่งบนส้นเท้า  เอ่ยอธิบายกับผมอย่างใจเย็น

“?”  ผมเอียงคอไม่ค่อยเข้าใจที่พี่ชายพูดมากนัก

“เป็นกระจกวิเศษของโป๊ยกั๊กคนเดียว”

“ของผมคนเดียว?”

“ใช่  แล้วอย่าไปอวดใครว่ามีกระจกวิเศษ  และอย่าเอ่ยถามกระจกวิเศษแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นๆ ล่ะ”  พี่ชายผู้ใจดีเอ่ยต่อ

“ให้เพื่อนดูก็ไม่ได้หรือ?”

“ไม่ได้”  ผมจ้องหน้าพี่ชาย  รอยยิ้มอบอุ่นของพี่ยังคงส่งมาให้  “เข้าใจไหมโป๊ยกั๊ก?”

“ครับ”  ผมพยักหน้ารับ  ทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนถึงห้าม  แต่ถ้าพี่ใบไธม์บอกผมก็จะเชื่อฟังทุกอย่างนั่นแหละ

หลายวันต่อมา  ผมเห็นเด็กหญิงริมฝีปากสีสตรอว์เบอร์รี่คนนั้นนั่งเปิดหนังสือนิทานด้วยท่าทางมีความสุข  ผมเลยชะโงกหน้าไปดูว่าเธออ่านเรื่องอะไร  อ้อ  ‘เจ้าหญิงสโนว์ไวท์กับเจ้าชายทั้งเจ็ด’  นี่เอง  งั้นผมจะเรียกเธอว่า ‘เจ้าหญิงสีสตรอว์เบอร์รี่’  เพราะเธอคงชอบเรื่องของเจ้าหญิงเจ้าชายมาก

“นี่ๆ เธออยากคุยกับกระจกวิเศษไหม?”  ผมสะกิดไหล่เธอ  เธอหันมามองพร้อมรอยยิ้ม  นี่แหละสิ่งที่ผมอยากได้!  ผมอยากให้เธอยิ้มให้ผมล่ะ!

“เธอมีกระจกวิเศษหรือ?”  เจ้าหญิงสีสตรอว์เบอร์รี่ปิดหนังสือแล้วกระโดดมายืนหน้าผมอย่างรวดเร็ว  ผมพยักหน้ารับ  “งั้นพาเราไปดูหน่อย”

“....”  ผมอ้าปากจะตอบรับ  หากคำพูดของพี่ใบไธม์ดังขึ้นในหัว

‘แล้วอย่าไปอวดใครว่ามีกระจกวิเศษ  และอย่าเอ่ยถามกระจกวิเศษแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นๆ ล่ะ’

“เราเป็นเพื่อนกันใช่ไหม?”

“อื้อ!”  เธอพยักแรงจนผมปลิว

ผมลังเลว่าจะพาเธอไปคุยกับกระจกวิเศษดีหรือไม่  แต่เจ้าหญิงสีสตรอว์เบอร์รี่เป็นเพื่อนนี่นา  ไม่ใช่คนอื่นสักหน่อย!  ผมจูงแขนเธอวิ่งไปยังห้องน้ำ  เรายืนคู่กันตรงหน้ากระจก

“เอาซิ  ถามเลย”  ผมบอกเธอ  มองใบหน้าน่ารักผ่านกระจก  เจ้าหญิงสีสตรอว์เบอร์รี่ตื่นเต้นมาก   เธอยิ้มให้ผมแล้วขยับปาก

“กระจกวิเศษเอ๋ย  จงบอกข้าเถิดใครงามเลิศในปฐพี”

“เตวิส”

“ห๊า?  อะไรเนี่ย?”  เจ้าหญิงสีสตรอว์เบอร์รี่หน้ายู่ไม่ชอบใจ

“ถามใหม่ๆ”  ผมเอาไหล่กระแทกไหล่เธอเบาๆ

“กระจกวิเศษเอ๋ย  จงบอกข้าเถิดใครงามเลิศในปฐพี”

“ว๊ากก  ผีหลอกกกกก”  ผมสะดุ้งตกใจหันไปมองด้านหลัง  ไม่รู้ว่าเพื่อนๆ  ในชั้นอนุบาลห้องเขียดน้อยมายืนออกันตั้งแต่เมื่อไหร่  แต่ทุกคนดูตกใจกับกระจกวิเศษของผมมาก

“ผีที่ไหน  นี่กระจกวิเศษต่างหาก!”  ผมเถียง  แต่ทุกคนยิ่งตกใจ  พวกเขามองไปด้านหลังของผมด้วยดวงตาโตเท่าไข่ไก่  ผมไม่เห็นว่าเงาในกระจกชะเง้อคอมองเหตุการณ์ตรงหน้า  แทนที่จะสะท้อนแผ่นหลังของผม

“ผี!”

จากนั้นทุกคนก็ไม่กล้าเข้าใกล้ผม  เอาแต่ชี้แล้วพูดแต่คำว่าผีๆ  ไม่หยุด  เจ้าหญิงสีสตรอว์เบอร์รี่เองก็ไปรวมกลุ่มกับพวกนั้น  คุณครูประจำชั้นไม่รู้จะทำอย่างไรจึงโทรศัพท์ไปหาพ่อ  พอพ่อฟังเรื่องราวที่คุณครูเล่าก็ขมวดคิ้วแล้วพาผมกลับบ้าน

หลังจากวันนั้นผมก็ไม่มีเพื่อนมาเล่นด้วยอีกเลย  ทุกคนเอาแต่กลัวว่าผมจะเรียกผีในกระจกออกมา  เมื่อเป็นอย่างนี้นานวันเข้าสุดท้ายพ่อเลยต้องพาผมย้ายโรงเรียนในที่สุด

**********

ผมยืนนิ่งบนฟุตบาทหน้าร้านขายกล้วยปิ้ง  ตอนแรกว่าจะซื้อไปฝากกระวานคนผอม  แต่พอนึกถึงเรื่องราวตอนอนุบาลแล้วหงุดหงิดขึ้นมานิดหน่อย  ยิ่งท้องฟ้าครึ้มๆ แบบนี้ยิ่งพาให้รู้สึกไม่ค่อยดีเลยไม่ซื้อดีกว่า  เกิดฝนตกกล้วยปิ้งคงกลายเป็นกล้วยแช่น้ำกระวานกินแล้วอาจท้องเสีย  ผมยืนเหม่อมองฟ้าอยู่นานเท่าไหร่ไม่รู้  รู้ตัวอีกทีก็หรี่ตามองฟุตบาทฝั่งตรงข้ามแล้ว

แมวดำตัวเขื่องกำลังจ้องตรงมา  ดวงตาสีเหลืองอำพันคู่นั้นคล้ายกำลังเรียกผม  ก่อนที่เท้าข้างหนึ่งของแมวดำจะค่อยๆ ยกขึ้นกวักเบาๆ  ผมเบิกตากว้างแล้ววิ่งข้ามถนนเมื่อสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีแดงให้รถหยุด

“พี่ไธม์?”  แมวในอ้อมแขนพยักหน้าเบาๆ ตอบรับ

ใช่แล้ว  แมวดำในอ้อมแขนผมคือพี่ชายคนโตของบ้าน  พี่ไธม์ที่แสนใจดีของผมนั่นเอง

พี่น้องในบ้านเราทุกคนมีพลังพิเศษคนละอย่าง  สืบทอดมาจากคุณตาคุณยาย  และผ่านมาทางคุณแม่อีกที  พี่ไธม์ถ้าจับสัตว์ชนิดไหนจะกลายเป็นสัตว์ชนิดนั้น  เพราะแบบนั้นถึงต้องเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ทุกชนิดหากเป็นไปได้  แต่บ้านเราเลี้ยงแมวแหละ  แปลกไหมล่ะครับ  ถึงจะเป็นแบบนี้แต่ก็สะดวกกับงานของพี่เขาในปัจจุบันละนะ 

กระวานพี่ชายคนรองของบ้าน  คนนี้น่าสงสารเพราะความสามารถอันน่ารำคาญนั่น  กระวานมักจะได้ยินเสียงในหัวคนอื่น  ถ้าเป็นความคิดดีๆ จะไม่ว่าอะไรเลย  แต่กระวานกลับได้ยินแต่เรื่องหื่นๆนี่ซิ!  อุปกรณ์ประจำตัวของกระวานคือหูฟัง  เอาไว้ฟังเพลงกลบเสียงหื่นในหัวคนอื่น  นั่นเลยทำให้กระวานใช้ชีวิตร่วมกับคนทั่วไปลำบาก  นี่ก็ตกงานมาอยู่บ้านได้หลายเดือนแล้วครับ  แต่เจ้าตัวบอกว่าลาออกมาเอง  ไม่ได้ตกงานเสียหน่อย  ผมว่าช่างมันเถอะ  ยังไงก็เหมือนกันนั่นแหละ!

ผมลูกชายคนที่สามของบ้าน  ความสามารถพิเศษของผมน่ะหรือ  เงาในกระจกนั่นไง!  พูดถึงหมอนั่นขึ้นมาล่ะหงุดหงิด  เงาบ้าอะไรทำไมไม่เป็นแค่เงาเฉยๆ!  ทำตัวเหมือนมีชีวิต  เหมือนเป็นฝาแฝดของผมอีกคน!  แถมยังขี้แหยสุดๆ!

พอๆ มาที่เพกานางฟ้าของบ้านเราดีกว่า  เพกาเป็นลูกหลงเนื่องจากพ่อกับแม่ที่ยังคงความหวานแหววของชีวิตคู่มายาวนานชวนกันไปฮันนีมูนครบรอบสิบห้าปี  น้ำผึ้งพระจันทร์หวานหยดเลยได้ลูกสาวมาเป็นของขวัญตอนอายุไม่น้อยแล้ว  เพกามีพลังที่สุดยอดมาก  คือปลูกต้นอะไรก็งอกงามและเติบโตอย่างรวดเร็ว  ผมเลยใช้น้องปลูกผักหลังบ้านวันเว้นวันครับ  ผักปลอดสารพิษเอาไว้ให้พ่อทำอาหาร

“พี่เป็นแมวอ้วน  เอ้ย  แมวดำนี่นานหรือยัง?”  ผมก้มถามก้อนขนสีดำ  พี่ไธม์พยักหน้า  ซวยละ!

ผมถอดเสื้อแขนยาวออกมาห่อตัวพี่ชายเอาไว้แล้วรีบวิ่งเข้าตรอกแคบที่ใกล้ที่สุดอย่างรวดเร็ว  พี่ไธม์สามารถกลายร่างเป็นสัตว์ที่แตะและคงรูปนั้นได้ประมาณสองชั่วโมง  แต่ก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย  ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยผมพาพี่ชายเข้าตรอกก่อนเป็นอันดับแรกดีที่สุด   การมาเจอพี่ไธม์ที่นี่คงเพราะมาสืบอะไรแถวนี้  ก็เกี่ยวกับงานเขานั่นแหละ  โดยปกติพี่ไธม์จะไม่เดินเข้ามาในสถานที่พลุกพล่านเพราะไม่รู้ว่าจะกลับร่างคนตอนไหน  ผมมาเจอตรงนี้ได้คงเพราะพี่ไธม์หมดแรงเดินหลบคนแน่ๆ

ผ่านไปยี่สิบนาทีพี่ไธม์ยังคงอยู่ในร่างแมวดำอยู่  ผมเลยตัดสินใจอุ้มพี่ชายโบกมอร์เตอร์ไซค์รับจ้างกลับบ้าน  เร่งคนขับแล้วเร่งอีกจนเกือบโดนหมวกกันน็อคฟาดหัวตาย

“เฮ่อ~”  ผมถอนหายใจ  เข้าบ้านแล้วปลอดภัยหายห่วง!

ผมอุ้มพี่ไธม์ไว้ในอ้อมแขน  เตรียมเดินไปส่งแมวหลับที่ห้องนอนของฝ่ายนั้น สายตาเหลือบไปเห็นร่างขาวอวบของใครบางคนฟุบหลับอยู่ตรงโต๊ะ

‘อู้ว  นมคนนั้นต้องใหญ่มากแน่ๆ  เสื้อในลายลูกไม้หรือเปล่านะ  กางเกงในสีอะไรเอ่ย?’

“ว้ากกก  หยุดนะ  ไอ้ลามก!”  พี่ชายคนรองกระเด้งตัวลุกขึ้น  แก้มยุ้ยข้างหนึ่งเป็นปื้นแดงจากการกดทับ

“ฮ่าๆๆๆ”  ผมหัวเราะเสียงดัง  การแกล้งกระวานนี่สนุกชะมัด

“โป๊ยกั๊ก!”  พี่ชายคนรองถลึงตามองพร้อมยกมือเช็ดน้ำลายตรงแก้ม  โอ้โห  น่ากลัวมากๆ!

พี่ไธม์ผงกหัวขึ้นมามองเราสองพี่น้องแวบหนึ่งก่อนจะซุกเข้าหาความอบอุ่นแล้วหลับต่อ

“เดี๋ยวพาพี่ไธม์ไปนอนก่อน”

“เอ๊ะ  พี่ไธม์?”  กระวานมองแมวที่ผมอุ้มแล้วขยับเท้าเข้ามาใกล้อีกนิด  ปกติพี่ชายคนนี้ไม่ค่อยชอบสัตว์เท่าไหร่ยกเว้นเวลาพี่ชายคนโตของบ้านเกิดเหตุการณ์แบบนี้ก็จะเข้ามาคอยช่วยดูแล

“อืม  ฝากบอกพ่อทำอาหารให้พี่ไธม์ด้วยนะ  ท่าทางวันนี้คงใช้พลังงานไปเยอะ”  ใกล้สองชั่วโมงแล้วพี่ไธม์ยังไม่คืนร่างเลย  ผมส่งพี่ชายคนโตเข้าห้องนอนและรอเวลา 

...อาหารมื้อค่ำที่ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาจะเริ่มในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า...








โปรดติดตามตอนต่อไป





หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [บทนำ]
เริ่มหัวข้อโดย: sahatsawat ที่ 14-02-2018 23:50:43
จะตามงานพี่ทรายไปทุกเรื่องงงงงงงง  :hao7: :hao7:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [บทนำ] 14-2-61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 15-02-2018 10:01:21
 :hao3: น่าสนุกมากๆเลย ท่าจะเป็นครอบครัวอลเวง
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [บทนำ] 14-2-61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 15-02-2018 12:28:46
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [บทนำ] 14-2-61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 15-02-2018 17:43:54
เพิ่งอ่านเรื่องของกระวานไป วันนี้เรื่องของโป๊ยกั๊กมาแล้ว คิดว่าเรื่องที่เหลือคงเป็นเรื่องของพี่ไธม์สินะ รอติดตามทั้งสามเรื่อง ต้องสนุกแน่ๆ
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [บทนำ] 14-2-61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 18-02-2018 05:35:38
ตามจากทางคุณพี่ทั้งสอง  :กอด1:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [บทนำ] 14-2-61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: no.fourth ที่ 18-02-2018 08:07:38
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [บทนำ] 14-2-61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: sirin_chadada ที่ 18-02-2018 09:04:31
รอตอนต่อไปค่ะ
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [บทนำ] 14-2-61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: พันธุ์ไทย ที่ 19-02-2018 12:10:30
ปักๆๆๆ
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [บทนำ] 14-2-61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 21-02-2018 16:26:32

Secret Me  คนนี้ต้องลับ!
ตอนที่1
   



ช่วงเวลาเช้ามืดอากาศไม่ร้อนมาก  น้ำค้างบนยอดหญ้ายังคงเกาะตัวเป็นหยด  ผมชอบช่วงเวลานี้ที่สุด  และยิ่งชอบมากกว่าเดิมเมื่อคนในครอบครัวนอนหลับใต้ชายคาเดียวกัน

หมัดขวาพุ่งตรงเข้ามา  ผมเกือบหลบไม่ทันเพราะมัวคิดอะไรเพลินไปหน่อย  ดีที่ว่าสัญชาตญาณผมดีเลยหลบหมัดหนักๆ นั่นได้อย่างฉิวเฉียด  หรืออาจจะเป็นเพราะรู้ทางหมัดนี้ดีผมจึงหลบได้  ช่วงจังหวะนั้นผมปัดแขนคนตรงหน้าออกแล้วพลิกกายฟาดศอกใส่  ร่างสูงโปร่งกระโดดหลบว่องไว  ผมแสยะยิ้ม

“เล่นพี่ไธม์ไม่ได้สักที”

“เล่นฟาดมาเต็มแรง  ขืนไม่หลบพี่คงได้เลือด”  พี่ชายคนโตส่วยหัวยังคงมีรอยยิ้มประดับริมฝีปากไม่จาง  หากร่างกายกลับอยู่ในท่าเตรียมพร้อม  ผมอาศัยช่วงทีเผลอพุ่งเข้าไปอีกครั้ง  พี่ไธม์พลิกตัวหลบ  พริบตาเดียวก็ย้ายไปอยู่ด้านหลังผม  กำลังจะหันกลับไปแต่ต้องทรุดตัวเข่าข้างหนึ่งกระแทกพื้นเพราะโดนเตะข้อพับเข่า  ดีว่าพี่ชายดึงคอเสื้อด้านหลังไว้  ไม่อย่างนั้นคงหัวคะมำหน้าทิ่มพื้น

“อะไรกันเนี่ย  คราวก่อนก็แพ้  คราวนี้ยังไม่ชนะอีก”  ผมบ่นอุบ  ส่วนคนชนะน่ะหัวเราะลงคออย่างชอบใจ

“ขืนให้เราชนะพี่บ่อยๆ พี่ก็แย่น่ะซิ”  พี่ไธม์เดินไปหยิบผ้าขนหนูมาซับเหงื่อ  ยื่นอีกผืนส่งให้ผม

“ให้ผมได้ดีใจมั่งเหอะ  นี่อุตส่าห์ไปช่วยชมรมคาราเต้เอย  ไอคิโดเอย  งัดท่ารวมกันยังสู้พี่ไม่ได้ผมว่าจะเลิกไปช่วยชมรมพวกนี้แข่ง”

“งั้นไปลองชมรมมวยไทยอีกอย่างซิ  คราวหน้าพี่อาจจะยอมให้ชนะ” 

“งั้นแวะชมรมฟันดาบด้วยดีกว่า”  พี่ไธม์ยังคงหัวเราะอารมณ์ดี  อาจจะเพราะช่วงนี้งานไม่ค่อยเครียดมากและสามารถกลับมากินข้าวบ้านได้บ่อยๆ

“เอาล่ะหนุ่มๆ  กับข้าวเสร็จแล้ว  ไปอาบน้ำไป”  พ่อที่สวมผ้ากันเปื้อนสีชมพูหวานแหววยิ้มเต็มใบหน้า  แว่นตาจับฝ้าเล็กน้อยคงเพราะเพิ่งละจากหน้าเตามาทันทีที่ทำอาหารเสร็จ  คงกลัวลูกชายคนโตจะหนีไปทำงานไม่ได้กินอาหารเช้าเลยรีบวิ่งออกมา  ผมเดินไปหยุดตรงหน้าพ่อแล้วดึงแว่นตาออกมา  ยกชายเสื้อเช็ดแว่นจนใสจึงสวมกลับคืน

“ขอบใจโป๊ยกั๊ก”  พ่อยิ้มตาหยี  ผมก้มลงมองใบหน้าขาวของคนเป็นพ่อแล้วถอนหายใจ  อ้าปากจะเตือนว่าอย่ายิ้มแบบนี้เรี่ยราดเวลาออกไปนอกบ้านแม่ผู้ห้าวหาญก็เดินหาวหัวฟูมือเกาพุงตามออกมาอีกคน  ช่วยทำตัวให้เหมือนผู้หญิงหน่อยเถอะ!

“พ่อจ๋าวันนี้ทำอะไรกิน”  ไม่พูดเปล่ายังเข้ามากอดเอวพ่อเอาไว้  หอมแก้มไปอีกฟอด

“แม่จ๋าอย่าทำอะไรประเจิดประเจ้อซิ  ลูกอยู่ด้วยนะ”  พ่อหน้าแดงไปจนถึงใบหู

“อ้าว  อยู่ด้วยเหรอ?”

“....”  ผมกรอกตาให้พ่อกับแม่ ลูกสามลูกสี่แล้วยังมาสวีทวี้ดวี้วเหมือนคู่แต่งงานใหม่อยู่อีก ส่วนพี่ไธม์หัวเราะชอบใจไม่หยุด

“วันนี้ไธม์รีบไปทำงานหรือเปล่าลูก?”  พ่อที่ยังอยู่ในอ้อมกอดแม่เอ่ยถาม

“เข้าไปช่วงสายได้ครับ”

“ดีเลย  เช้านี้พ่อทำของโปรดให้ไธม์เต็มไปหมด”

ผมกับพี่ชายแยกกันเข้าห้องเพื่อไปอาบน้ำก่อนลงมากินข้าวเช้า  ผมถอดเสื้อ  ตาก็เหลือบมองก้อนผ้าห่มบนเตียงฝั่งตรงข้าม  กระวานยังคงหลับอุตุ  ฝันหวานไม่ยอมตื่น  ผมแสยะยิ้ม  เอาเสื้อชุ่มเหงื่อที่กำลังจะโยนใส่ตะกร้ามาถือไว้แล้วกระโจนขึ้นเตียงพี่ชายคนรอง  เลิกผ้าห่ม  เอาเสื้อเหม็นเหงื่อของตัวเองแปะลงบนหน้าขาวๆ ของกระวาน

1 2 3

“อื้อๆๆๆ”  ร่างนุ่มนิ่มดิ้นไปมา  มือขาวยกขึ้นตีอากาศก่อนจะวกกลับมาแปะอยู่บนมือผมแล้วหยิก!

“โอ๊ย!”

“ฮึ่ย  โป๊ยกั๊ก!”  กระวานเด้งตัวลุกขึ้นนั่งสูดอากาศเข้าปอด  ถลึงตามองผมอย่างแค้นเคือง  “กล้าดียังไงเอาเสื้อเหม็นเหงื่อนั่นมาโปะหน้าฉัน  รู้ไหมว่ามันสกปรก  เกิดเป็นสิวขึ้นมาจะทำยังไง?  อ๊า  แถมยังเหม็นอีกด้วย!”  ผมกรอกตาก่อนจะคว้าเสื้อที่ถูกโยนกลับมาเอาไว้ 

“ลุกได้แล้ว  ถ้าขืนยังสายจะไม่ได้กินข้าวกับพี่ไธม์นะ”

“พี่ไธม์จะอยู่กินข้าวด้วย?”

“อือ”  ผมตอบเสร็จก็วิ่งไปอาบน้ำ  กระวานที่ผุดลุกจากเตียงชะงักอยู่กับที่เพราะโดนแย่งห้องน้ำ

ปกติกระวานจะตื่นเข้าห้องน้ำคนแรกหรือถ้าเข้าทีหลังก็จะรอ  และทิ้งเวลาหลังจากผมใช้พักใหญ่ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงบางสิ่งบางอย่าง  คราวนี้กระวานถึงกับยืนนิ่งเนื่องจากผมแย่งเข้าก่อนและเขาต้องรีบเข้าต่อทันที  ไม่อย่างนั้นขืนชักช้าพี่ชายคนโตของบ้านจะหนีไปทำงานเสียก่อน   เพราะงานของพี่ไธม์  พี่ชายคนโตอย่างเขาจึงกลับบ้านไม่ค่อยเป็นเวลา  บางทีหายไปสองสามวัน  บางครั้งหายไปเป็นเดือน  ดังนั้นช่วงเวลาแห่งครอบครัวจึงสำคัญมากสำหรับพวกเรา

ผมออกมาจากห้องน้ำ  กระวานเบ้หน้าใส่  เดินเตาะแตะไปหน้าประตูห้องน้ำแต่ไม่ยอมเข้าไป  หน้าขาวๆ หันมามองผม

“ทำไมไม่หันกระจกเข้าผนัง?”

“ไม่ได้ส่องหรอกน่า”

“จริงนะ?”

“อือ”  ผมพยักหน้ารับ  เช็ดผมลวกๆ  ควานหาเสื้อกับกางเกงมาสวม

1 2 3

“อ๊ากกกกกกกกกกกก”

ผมวิ่งออกจากห้องเมื่อได้ยินเสียงโหยหวนของกระวาน  พี่ไธม์ที่กำลังเดินออกมาจากห้องเลิกคิ้วเมื่อได้ยินเสียงนั้นด้วย  พี่ชายหรี่ตามองผม

“แกล้งอะไรกระวานอีกล่ะเรา?”

“กานพลูมันคิดถึง  เลยเปิดโอกาสให้ทักทายกันสักหน่อย”  พี่ไธม์ส่ายหัวแล้วเดินนำลงไปชั้นล่าง

กานพลูคือใคร?

กานพลูก็คือเจ้าเงาในกระจกของผมไง!

เมื่อกี้ตอนแปรงฟันลืมตัวไปส่องกระจกเข้า  เจ้านั่นเลยได้ทีออกมายิ้มแฉ่งโชว์ฟันครบสามสิบสองซี่ด้วยท่าทางดีอกดีใจแถมยังบอกว่าอยากเจอพี่ไธม์  ให้ผมเอากระจกมาวางข้างๆ ตอนกินข้าวได้ไหมอยากทักทายพูดคุยกัน  จะบ้าเรอะ!  ขืนเอากระจกมาวางกระวานคงช็อกคาโต๊ะกินข้าว  เออ  จะว่าไป  นี่คงไม่ช็อกคาห้องน้ำไปแล้วหรอกนะ?

“โป๊ยกั๊กกกกกกกกกกกก”

ผมกัดริมฝีปากล่างไว้อย่างสุดความสามารถเพื่อไม่ให้หลุดหัวเราะออกมา  กระวานที่ยังคงอยู่ในชุดนอนวิ่งหัวฟูลงมาจากชั้นบนพร้อมน้ำหูน้ำตานองหน้า

“ฮืออออ  พี่ไธม์  โป๊ยกั๊กแกล้งผม”  เจ้าตัวนุ่มนิ่มวิ่งไปกอดพี่ใหญ่ซบหน้าร้องไห้

“กานพลูมันคิดถึงพี่ไง  ผมเลยเปิดโอกาสให้ทักทายกัน”

“ไม่เอา!”  กระวานถลึงตามองผมทั้งๆ  น้ำตาไหลเป็นสาย  พ่อกับแม่มองหน้ากันพลางถอนหายใจ  ส่วนเพกานั่งยิ้มเป็นนางฟ้าสวยๆ  มองดูพวกเราส่งเสียงโวยวาย

“โป๊ยกั๊กอย่าแกล้งกระวานนักซิ”  พี่ไธม์ลูบหัวลูบหางปลอบใจกระวาน

“ดุอีก  พี่ไธม์ดุเจ้าเด็กหน้าแมวนี่เยอะๆ เลย!”  กระวานกอดพี่ไธม์ไม่ยอมปล่อย  ผมแสยะยิ้มแล้วเอ่ยประโยคที่ทำให้กระวานแทบร้องโหยหวน

“เดี๋ยวก็เอากระจกมาวางตั้งข้างๆ เสียหรอก”

“อย่านะ!”

“พอๆ  กินข้าวกันได้แล้ว  พ่อจ๋าตักอันนั้นให้แม่หน่อย”  แม่หันมาดุพวกเราสองพี่น้องก่อนหันไปอ้อนพ่อต่อ

ทำไมกระวานถึงกลัวกานพลูงั้นเหรอ  เพราะกระวานกลัวผีไง!  กานพลูเป็นเงาสะท้อนในกระจกของผมก็จริง  แต่หมอนั้นกลับมีชีวิตเป็นของตัวเอง เพียงแต่มีชีวิตอยู่ในกระจกเท่านั้น  วันไหนผมเผลอลืมตัวส่องกระจกหมอนั่นจะดีใจดี๊ด๊ามาก  พูดคุยไม่หยุดซ้ำยังรบเร้าให้ผมพาพี่น้องทุกคนมาเจอหน้ากันด้วย  กระวานกลัวผีมาก  ดังนั้นอะไรที่มันขัดกับสิ่งที่ควรจะเป็นอย่างกานพลูนั้นเขาจึงจัดให้อยู่ในประเภทเดียวกับผี  ตอนแรกผมก็หงุดหงิดนิดหน่อยที่พี่ชายคนรองเอาเงาผมไปรวมกับพวกผี  แต่คิดไปคิดมาผมก็ไม่ค่อยชอบหน้าเจ้ากานพลูนั่นสักเท่าไหร่  กระวานจะจัดหมอนั่นอยู่ในอะไรประเภทไหนก็ตามใจเถอะ

มีครั้งหนึ่งผมไปมีเรื่องกับเด็กช่างกล  ตาเขียวหัวแตกมา  เพราะไม่อยากให้พ่อเป็นห่วงเลยนั่งส่องกระจกทำแผลเอง  ไอ้เจ้ากานพลูนี่ไม่ค่อยให้ความร่วมมือเลย  พยายามจะออกจากกระจกมาทำแผลให้ผมทั้งๆ ที่เลือดอาบหัวเหมือนกันแท้ๆ  ขอโทษเหอะ  ถ้าหมอนั่นอยู่เฉยๆ ผมก็ทำแผลเสร็จแล้ว  คืนนั้นผมกินยาแก้อักเสบกับยาแก้ปวดก่อนเข้านอน  แต่เจ้ากานพลูนั้น....

ตกดึกกระวานกลับมาจากทำงานข้างนอกเห็นผมหลับไปแล้วเลยไม่กล้าเปิดไฟกลางห้อง  เพียงแค่เปิดไฟหัวเตียงสลัวๆ เท่านั้น  เขากำลังจะถอดเสื้อผ้าอาบน้ำหูพลันได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นแผ่วเบาลอยมา

“ฮือออ  เจ็บ   เจ็บจังเลย”

“?”  กระวานเงี่ยหูฟัง

“กระวาน  เจ็บจัง”  เสียงสะอื้นนั้นยังคงคร่ำครวญไม่หยุด  กระวานขนลุกชันไปทั้งตัวก่อนจะร้องลั่นบ้าน

“ผีหลอก!”

เท่านั้นแหละครับ  ตื่นกันทั้งบ้าน  กานพลูร้องไห้สะอึกสะอื้น  พร่ำพูดแต่คำว่าเจ็บไม่หยุดปาก  ทุกคนจึงรู้ว่าผมไปมีเรื่องต่อยตีกับชาวบ้านมา ผมโดนพ่อดุไปยกใหญ่  ส่วนพี่ชายคนรองผมน่ะร้องไห้แข่งกับเจ้ากานพลูไม่หยุด  จะบ้าตาย  จากวันนั้นกระวานต้องหาผ้ามาคลุมกระจกเอาไว้เพราะไม่อยากขวัญผวาอีก

“แล้วเรื่องเรียนต่อว่าไง  เทอมหน้าก็จะจบแล้วนะ”  พ่อเอ่ยถามขณะตักกับข้าวใส่จานแม่

“ไม่รู้อ่ะ”  ผมยักไหล่

“ไม่รู้ได้ยังไง  อนาคตเราเองนะ”  พ่อขมวดคิ้วหากยังอ้าปากรับข้าวที่แม่ป้อน  เอิ่ม  ช่วยหยุดหวานเลี่ยนกันสักนาทีได้ไหม

“พี่โป๊ยกั๊กต่อสู้เก่ง  มีทักษะด้านนี้ไม่อยากลองไปทำงานกับพี่ไธม์บ้างเหรอคะ?”  เพกาถาม

“เป็นความคิดที่ดี”  ผมหันไปยกนิ้วโป้งให้น้องสาวตัวน้อย

“ยังไงก็ได้นะ  ถ้าโป๊ยกั๊กชอบ”  พี่ไธม์เลิกคิ้ว   ครู่หนึ่งกลับเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วแทน  ถึงปากจะบอกว่าตามใจผมหากอยากทำงานเหมือนพี่  แต่ผมรู้ว่าพี่ไธม์คงไม่ยินดีเท่าไหร่เพราะลักษณะงานที่อันตราย  พี่ชายคนโตของบ้านมักเป็นห่วงน้องๆ แบบนี้เสมอ  แล้วไม่คิดบ้างหรือไงว่าใครๆ ในบ้านเขาก็เป็นห่วงตัวเองเหมือนกัน

สุดท้ายเรื่องเรียนต่อของผมจึงจบลงแค่นั้น


*********


วันนี้เป็นวันอาทิตย์  ร้านหยุดหนึ่งวันเนื่องจากพ่อต้องไปซื้อของเข้าร้าน  บางอย่างต้องสั่งพิเศษเข้ามาจากเมืองนอกเพราะพี่ไธม์แพ้เนื้อสัตว์ทุกชนิด  อาหารทุกอย่างจึงจำเป็นต้องพิถีพิถันมากหน่อย

ร้านอาหารนี้สืบทอดมาจากคุณตา  เป็นร้านอาหารแนวฟิวชั่นชื่อร้าน ‘หิ้วปิ่นโต’ ตั้งอยู่แถบชานเมือง ผมคิดว่าถ้าร้านตั้งอยู่ในเมืองคงยุ่งยากหน่อยตรงที่จอดรถไม่พอ  หืม?  ผมหลงตัวเอง เอ้ย  เข้าข้างร้านตัวเองหรือ?  จะพูดอย่างนั้นก็ได้นะ  ตั้งแต่คุณตาจนมาถึงคุณพ่อของผมเนี่ย  ทำอาหารอร่อยมาก  ก.ไก่ล้านตัว  อร่อยจนพวกเราสี่พี่น้องกินข้าวนอกบ้านไม่ค่อยได้  อ้อ  เว้นพี่ไธม์หนึ่งคนเพราะภาระการงาน  พี่เขาจึงไม่ค่อยได้อยู่กินอาหารฝีมือพ่อเท่าไหร่  ตอนนี้ที่ร้านมีกระวานซึ่งตกงานมาคอยช่วย  แต่ไม่ได้ทำหน้าที่ในร้านนะครับ  ขืนทำคงได้ตีกับลูกค้าวันละหลายหนเพราะเสียงในใจของคนพวกนั้นจะรบกวนจนกระวานทำงานไม่ได้  ดังนั้นพ่อจึงมอบหน้าที่คอยส่งอาหารตามบ้านตามสำนักงานเวลามีการสั่งอาหารแบบเดลิเวอร์รี่

คุณตาผมเองก็มีพลังพิเศษนะ  สามารถแยกแยะกลิ่นเครื่องเทศต่างๆ ได้  ถือว่าเป็นข้อได้เปรียบชนิดหนึ่งตรงสามารถคัดสรรสิ่งดีๆ มีคุณภาพให้ลูกค้าได้  คุณตาคุณยายตอนนี้เหรอ  นู้น  ย้ายร้านไปอยู่แถวชายหาดแค่สองคนตายาย  หวานแหววไม่มีเด็กซนๆ อย่างพวกผมไปรบกวน  แถมท่องทะเลทุกวันหยุด  เหนื่อยก็พัก  ขยันก็ค่อยเปิดร้าน  อยู่แถวภาคใต้โน่นครับ  นี่ก็เป็นห่วงอยู่เหมือนกันว่าจะไปเตะตาพวกโจรใต้หรือเปล่า  กลัวร้านโดนบึ้มครับ

ร้านของเราพ่อเพิ่งปรับปรุงไปเมื่อไม่นานมานี้    เป็นโทนสีขาวมีโซนที่นั่งทั้งในและนอกร้าน  เลือกได้ตามสะดวกและตามความชอบของลูกค้า  ของประดับส่วนใหญ่เป็นสีชมพู  เพราะพ่อผมชอบสีชมพูมากกกก  จะว่าไปผ้าม่าน  ผ้าคลุมโต๊ะ  พวกนี้เป็นฝีมือพ่อผมทั้งนั้นแหละ  น่าภูมิใจนะครับที่พ่อผมเก่งเรื่องการบ้านการเรือน  เป็นผู้ชายสายหวานตรงข้ามกับแม่ผมเลย  รายนั้นสายห้าวครับ  มีบิ๊กไบท์อยู่หนึ่งคันไว้ขับไปทำงาน  นี่ผมคอยเล็งอยู่  คิดไว้ว่าสักวันจะยึดมาเป็นของตัวเองให้ได้

“โป๊ยกั๊ก!  นี่นายแกล้งฉันใช่ไหม!” เสียงดังโวยวายของกระวานทำให้ผมวางหม้อสตูว์ในมือลง  วันนี้ช่วงเช้าผมว่าง  ไม่ได้นัดเพื่อนที่ไหนจึงมาช่วยพ่อเตรียมครัวสำหรับวันพรุ่งนี้

“อะไรของนาย?”  กระวานวิ่งกระหืดหระหอบกอดตุ๊กตากระต่ายสีชมพูที่พ่อถักเอาไว้ในอ้อมกอด

“นายตั้งใจแกล้งฉัน!”  เจ้าตัวนุ่มนิ่มโวยวายไม่หยุด  ผมเท้าเอวมองรอให้อีกฝ่ายอธิบาย

“โวยวายอะไรแต่เช้า?”

“นายตั้งใจเปิดผ้าคลุมกระจกใช่ไหม?”  ผ้าคลุมกระจกคือผ้าที่กระวานจะเอาไปคลุมกระจกแต่งตัวบานยาวในห้องของเราสองคนเพื่อไม่ให้ผมเผลอส่องแล้วกานพลูโผล่ออกมาให้ขวัญผวา

“เช้านี้ฉันยังไม่ได้ส่องกระจกด้วยซ้ำ”

“ถ้านายไม่ส่องกระจกแล้วกานพลูจะโผล่ออกมาได้ไง?”  กระวานเท้าเอว  เอาดวงตากลมโตจ้องผม

“ก็บอกว่าไม่ได้ส่องไง!”  ชักเริ่มโมโหแล้วนะ! เจ้าตัวกลมนี่กำลังหาเรื่องผมหรือไง  เดี๋ยวปั๊ดฟัดให้จมเขี้ยว!

“ว่าไงเจ้าพวกตัวยุ่งทั้งหลาย”  แม่ผู้หาวันหยุดได้ยากยิ่งกว่าการงมเข็มในมหาสมุทรโผล่หน้าออกมาจากประตู  ไม่บอกก็รู้ว่าเพิ่งออกเวรมาเพราะขอบตาดำปี๋

“เมื่อคืนนี้ยุ่งหรือครับ?”  ผมถาม  ส่วนกระวานวิ่งไปเอาแก้วน้ำเย็นมาให้แม่

“นิดหน่อย  ว่าแต่นายคนข้างหลังจะเอาน้ำด้วยไหม?”  แม่หันไปถามความว่างเปล่า  ผมมองตามแต่ไม่เห็นอะไรสักอย่าง

“หวา!”  พ่อที่ยิ้มร่าเข้ามาพร้อมโจ๊กเห็ดหอมผวาถอยหลังแล้วหลับตาปี๋  “แม่จ๋าพกใครมาด้วย!”

“อ้อ  พอดีเมื่อคืนมีเคสยิงกันตายมาน่ะ”  แม่ผู้ห้าวหาญยักไหล่ ส่วนพ่อผู้แสนบอบบางของผม  โน่น  มุดอยู่หลังเค้าท์เตอร์

“ทำไมแม่จ๋าไม่แวะอาบน้ำแล้วเข้าห้องพระก่อนล่ะ?”     พ่อผมส่งเสียงแต่ไม่ยอมโผล่หน้ามา

“แว้บไปอาบแต่เช้ามืดแล้ว  แต่คนนี้เคสด่วน  พอเสร็จก็รีบมาเลย  แม่คิดถึงพ่อไง”  ไม่พูดเปล่าแต่แม่กระโจนเข้าไปกอดพ่อที่อยู่หลังเค้าท์เตอร์แนบแน่น  ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของพ่อแล้วอดสงสารไม่ได้  ผมไม่รู้จะเรียกพลังของแม่ว่าอะไรดีในเมื่อมันสร้างความหวาดหวั่นและความเดือดร้อนให้คนรอบข้างแบบนี้

พลังวิเศษของแม่คือ  การเห็นและพูดคุยสื่อสารกับสิ่งลี้ลับที่คนอื่นไม่อยากเห็น  สิ่งที่คนทั่วไปเรียกว่า ผี นั่นแหละครับ  ตอนนี้พ่อคงรู้สึกว่าแม่พกเจ้าสิ่งนั้นเข้ามาในร้านด้วยถึงหลบไปซะไกลขนาดนั้น

“อีกเดี๋ยวน่า  ไหน  พ่อมาให้แม่หอมแก้มให้ชื่นใจหน่อยดิ๊”

“ว้ากกกกกกกก”

“สรุปว่ายังไง?  จะรับหรือไม่ยอมรับ?”  ผมละสายตาจากคนสูงวัยที่กำลังนัวเนียกันคู่นั้นมามองพี่ชาย

“ก็บอกว่าไม่ได้ส่องกระจกไง”  ตื่นลืมตามาล้างหน้าก็วิ่งมาช่วยพ่อเตรียมของแล้ว  อีกอย่างกระวานน่าจะรู้ว่าผมไม่ชอบส่องกระจก

“พูดถึงเรื่องกระจกในห้องลูกอยู่หรือ?”  แม่ฝากรอยจูบไว้บนแก้มพ่อได้สำเร็จจึงหันมาหาพวกเราสองพี่น้อง

“ครับ  กระวานหาว่าผมแกล้ง”  เจ้าตัวกลมทำแก้มป่องเตรียมฟ้องแม่เต็มที่แต่ผมชิงฟ้องก่อน

“อือ  อันที่จริงแล้วแม่เองแหละ”

“หืม”  ผมกับกระวานขมวดคิ้วมองแม่พร้อมกัน

“เมื่อเช้าแม่แวะเข้าบ้านมาแล้วทีนึง  เห็นลูกๆ หลับกันสบายแม่เลยแอบเอาผ้าคลุมกระจกนั่นออก  เผื่อโป๊ยกั๊กจะเผลอส่องไง  แล้วก็ออกไปดูเคสโดนยิงนี่  แบบว่าแม่คิดถึงกานพลูอ่ะ”

“กานพลูมันเงาผมนะ”  ผมตีหน้าบึ้งใส่แม่

“แต่กานพลูน่ารักกว่าโป๊ยกั๊ก”

“แม่!”

“กานพลูไม่ดื้อ  คราวก่อนยังไปช่วยแม่ซื้อไหมพรมสีชมพูให้พ่อเลย”  แม่พูดปากก็ยิ้มกว้าง  กระวานเผลอพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดนั้น

“แม่!”

“โอ๋ๆ  สุดหล่อของแม่ไม่น้อยใจนะคะ  จะคนไหนแม่ก็รักเท่ากันหมดแหละ”  แม่เข้ามาลูบแก้มลูบหัวเอาใจ

“สรุปว่าแม่ไปเปิดผ้าคลุมกระจก  แล้วโป๊ยกั๊กเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อโดยไม่รู้ว่ากระจกถูกดึงผ้าคลุมออก  กานพลูเลยโผล่ออกมา  ผมที่ซวยตื่นสายกว่าจึงเจอกานพลูส่งเสียงอรุณสวัสดิ์ทักทาย?”

“ตามนั้นแหละจ้า”  แม่ยักไหล่  “งั้นแม่รีบไปคุยกับกานพลูก่อนนะ  เดี๋ยวหายไปละจะแย่”  กานพลูจะอยู่ได้ประมาณครึ่ง-หนึ่งชั่วโมงหลังจากผมส่องกระจก  ความจริงก็ขึ้นอยู่กับเวลาด้วยแหละ  ถ้าผมส่องกระจกนานหมอนั่นก็อยู่ได้นาน  ก่อนจะหายไป  และกลับมาตอนผมส่องกระจกอีกครั้ง

ผมถอนหายใจเมื่อทุกอย่างคลี่คลาย  กระวานดูยังขวัญเสียนิดหน่อยจากกานพลูผู้ร่าเริงและเคสที่ตามติดแม่มา  ผมเดินตรงไปยังหลังร้าน  เห็นร่างเล็กๆ  กำลังใช้พรวนอันน้อยขุดดินอย่างขะมักเขม้น  มีถังเมล็ดผักวางอยู่ข้างตัว  เรือนผมสีดำขลับยาวถึงกึ่งกลางเอวถูกรวบไว้ด้วยยางมัดผมเส้นเล็ก  ดวงหน้าขาวมีรอยยิ้มแต้มดูสดใส

เพกา  น้องสาวคนเล็กของบ้านผู้เป็นแก้วตาดวงใจ  เป็นนางฟ้าตัวน้อยๆ ของบ้านเรา  พลังพิเศษของเพกานั้นน่าชื่นชม  และทุกครั้งที่เห็นผมจะรู้สึกสงบ  สดชื่น   ผมยืนมองความมหัศจรรย์ของมือคู่นั้นเงียบๆ

เมล็ดผักถูกหยอดลงไปในหลุมที่เพกาขุด  มือเล็กกวาดดินฝังกลบ  คว้าฝักบัวรดน้ำจนชุ่มฉ่ำ  อึดใจต่อมาใบสีเขียวก็แตกยอดอ่อนโผล่พ้นผืนดิน....อาบน้ำค้างหนึ่งคืนพรุ่งนี้ก็เก็บเกี่ยวได้แล้ว

ผมเดินไปแย่งพรวนอันเล็กมาจากเพกา  น้องสาวเงยหน้าขึ้นมองพร้อมรอยยิ้ม  ผมขุดดินไปจนสุดแปลง  ส่วนเพกาก็หยอดเมล็ดผักตามหลังรวดเร็ว  จากนั้นผมจึงเติมน้ำใส่บัวรดน้ำ  รอให้นางฟ้าของบ้านเป็นคนรด

กริ๊ง~

ผมก้มลงมองกระพรวนลูกเล็กบนคอเจ้าแมวดำตัวเขื่องที่เดินนวยนาดเข้ามาหา  อ้อ  นี่ไม่ใช่พี่ไธม์ในร่างแมวนะ  เจ้านี่คือ  เจ้าหญิง  เอ่อ  ผมหมายถึงแมวตัวนี้ชื่อเจ้าหญิง  แมวเพศผู้สีดำ  ขาทั้งสี่มีสีขาวคล้ายสวมถุงเท้า  เชือกผูกกระพรวนสีชมพูหวาน

แมวเพศผู้  ชื่อเจ้าหญิง

อยากรู้ไหมครับว่าใครตั้งชื่อให้

พ่อผู้แสนอ่อนโยน  แสนอ่อนหวานและคลั่งสีชมพูของผมนั่นไง!

ตอนเจ้าหญิงหลงมาบ้านเราตัวยังเล็กๆ อยู่เลย  ตอนนั้นไม่มีใครรู้ว่าเจ้านี่เป็นตัวผู้หรือตัวเมีย  แต่พ่อผู้แสนซื่อของผมปักใจไปแล้วครับว่าเป็นตัวเมีย  หนำซ้ำยังตั้งชื่อว่าเจ้าหญิงอีกต่างหาก  ถักเชือกร้อยกระพรวนเป็นโบว์สีชมพูผูกคอเจ้าหญิงด้วยตัวเองอีกต่างหาก  กว่าจะรู้ว่าผิดพลาดก็ตอนไข่ของเจ้าหญิงโผล่แพลมออกมาให้เห็น...

ผมก้มตัวลงอุ้มเจ้าหญิง  เกาคางเจ้าก้อนขนแผ่วเบา  มันหลับตาพริ้มคล้ายเคลิบเคลิ้ม  อา  น่ารักเป็นบ้า!

“คิก~”  ผมเบิกตาโพลงเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของน้องสาวสุดที่รัก  “พี่โป๊ยกั๊กนี่ชอบแมวเอามากๆ เลยนะคะเนี่ย”

“นี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารักที่สุดในโลก  อ้อ  รองจากเพกา”  ผมขยิบตาให้น้องสาว

“ไม่ต้องมาปากหวานหรอกค่ะ  หนูรู้ว่าพี่น่ะเป็นทาสแมวเหมือนคุณพ่อ”  ผมหัวเราะชอบใจเมื่อน้องสาวพูดจบ

“จริงซิ  เย็นนี้พี่จะไปเล่นบาสกับพวกภูธเรศนะ” ภูธเรศคือเพื่อนสนิทผมครับ  ชื่อเล่นชื่อภู  ตอนเพกาย้ายมาเรียน มอ.ต้นใหม่ๆ  หมอนี่เคยจีบน้องสาวผมด้วย  แต่ผมชกมันจนหน้าหงาย  จากนั้นมันก็ไม่กล้าจีบน้องสาวผมอีกเลย  สำหรับผม  น้องกับเพื่อนสำคัญพอๆ กันแหละครับ  แต่เพื่อนเสือกมาจีบน้องผมไง ความสำคัญระดับสิบเลยเหลือศูนย์


**********

“มึงรู้จักไอ้ ‘ครับ’ ห้องสองป่ะ?”  ผมเช็ดเหงื่อ  หยิบขวดเกลือแร่ที่พ่อผสมแช่เย็นมาให้ยกขึ้นดื่ม

“ใครวะ?”

“คนที่สอบได้คะแนนอันดับหนึ่งของโรงเรียนเราตลอดๆ ไงวะ”

“...”  ผมพยายามนึกหน้าของไอ้ ‘ครับ’ นี่ยังไงก็นึกไม่ออก  “เออ  ช่างแม่งเหอะ  แล้วทำไม  มึงพูดถึงมันทำไม?”

“กูได้ยินว่ามันไปพัวพันกับคนไม่ดี  วันก่อนมีคนเห็นมันไปยุ่งกับพวกไอ้เปรี้ยวด้วย”

‘ไอ้เปรี้ยว’  คือเด็กช่างกลที่โรงเรียนอยู่ห่างออกไปไม่ไกล  เด็กช่างกลคนอื่นก็นิสัยดีนะครับ  มองแบบไม่อคติอะไรเลย  มีแต่ไอ้หมอนี่แหละ  ที่ทำให้สถาบันเสื่อมเสีย  ไอ้เปรี้ยวมันเล่นยา  วันดีคืนดีขาดเงินก็เปลี่ยนจากผู้เสพเป็นผู้ขาย  นี่ผมก็คอยส่งข้อมูลให้พี่ไธม์เป็นระยะๆ  อยากกำจัดพวกหนักแผ่นดินพวกนี้ให้หมดไปเสียที

น้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลองผมกับมันไม่ยุ่งเกี่ยวกัน  เขตนี้ไม่มีหัวหน้าหรือหัวโจกคุมโรงเรียน  ไม่เข้าใจว่าเวลามีเรื่องทีไรทำไมต้องมาตามผมทุกที  ส่วนไอ้เปรี้ยวมันคุมฝั่งนั้นแต่ถ้าช่วงนี้มันก้าวขาเข้าในเขตโรงเรียนผมผมคงอยู่เฉยไม่ได้  แม้ผมจะไม่รู้จักกับไอ้ ‘ครับ’ อะไรนี่ก็เถอะ

“ตายยากชิบหา-ย  พูดถึงก็มานั่น”

“หืม?”  ผมมองตามนิ้วภูธเรศ  เห็นเด็กผู้ชายผิวขาวซีด  ร่างผอมสูงโย่งคนหนึ่งหอบหนังสือที่คงยืมมาจากห้องสมุดเดินผ่านสนามบาสไป  ผมหรี่ตามอง  กวาดสายตาว่ามีใครมารอหมอนั่นหน้าโรงเรียนหรือไม่

“ตามมันไปป่ะ?”  ไอ้ภูสะกิดไหล่ผม

“มึงเปลี่ยนชื่อเป็นเสือกตั้งแต่เมื่อไหร่ไอ้ภู?”

“มึงอ้ะ!”  มันสะบัดหน้าสะบัดตูดใส่ผมแล้วเดินไปซบไอ้ดิน ทำท่าฟูมฟายอ้อนผัวมันใหญ่  ไอ้ดินหรือบดินทร์  เป็นเพื่อนสมัยเด็กของไอ้ภู  มาสนิทกับผมตอน มอ.ต้นเหมือนกัน

ไอ้ภูแอบชอบไอ้ดินมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาไห  จนตอนนี้ฝาไหเล็กกว่าฝ่าตีนแล้วไอ้ดินยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยครับ  จะว่าไปก็น่าสงสารไอ้ภูมันนะครับ  แอบรักคนซื่อบื้ออย่างบดินทร์  ชาตินี้มันจะสมหวังไหม?  ช่างเถอะๆ  ถ้าไอ้ภูมันจนหนทางเมื่อไหร่คงมาขอความช่วยเหลือเองแหละ

ว่าแต่  ไอ้ ‘ครับ’  มันเดินไปทางไหนแล้ววะ?











ติดตามตอนต่อไป



สวัสดีค่ะ  เอาพี่โป๊ยห้าวเป้งมาส่งค่ะ  ฝากพี่โป๊ยไว้ในอ้อมอกอ้อมใจของทุกคนด้วยนะคะ
จะพยายามเอาพี่โป๊ยมาส่งอาทิตย์ละตอนนะคะ  มีอะไรติชมกันได้เสมอค่ะ ^^
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 1] 21-2-61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 22-02-2018 17:32:18
ตอนที่อ่านบทนำนึกว่าโป๊ยจะเป็นนายเอก แต่พอมาอ่านตอนนี้แล้วคงต้องเปลี่ยนความคิด แมนเหลือเกินเท่เหลือเกินค่ะ
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 1] 21-2-61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 28-02-2018 23:17:52


Secret Me  คนนี้ต้องลับ!
ตอนที่2





   “ว่าไงเตวิช”  ครูบัวเผื่อนขยับแว่นตาหนาเตอะเอ่ยทักขณะที่เราเดินสวนกัน  เธอเป็นครูที่ปรึกษาของห้องผม  เมื่อเช้าในวิชาโฮมรูมเธอไม่ได้เข้าครับเราเลยไม่ได้คุยเรื่องเรียนต่อ
   
“เตวิส”  ผมฉีกปาก  โชว์ฟันขาวสะอาดเพื่อออกเสียง ส. เสือให้ชัดเจน

“เตวิช”  ครูบัวเผื่อนกลับห่อปากเล็กน้อยเพื่อออกเสียง ช.ช้าง   ผมเคยเถียงกับครูบัวเผื่อนเรื่องตัวสะกดชื่อของผมตั้งแต่ มอ.หนึ่ง จนตอนนี้จะจบ มอ.หก อยู่แล้ว

“ชื่อผมเป็นภาษาสก๊อตติชครับTEVIS  ไม่ใช่ภาษาสันสกฤต”

“ช่างเถอะ  ครูถนัดเรียกแบบสันสกฤตมากกว่า” ครูบัวเผื่อนยักไหล่  เออ  แล้วผมมาเสียเวลาเถียงกับครูเขาทำไมเนี่ยในเมื่อยังไงครูเขายืนยันจะเรียกผมตามฉบับความเชื่อของตัวเอง  ฮ่วย!

“ผมไปนะครับ  ไอ้ภูรออยู่”  ผมยกมือไหว้

“แล้วอย่าลืมมาบอกครูด้วยนะว่าจะเข้าเรียนอะไร  ดูที่ไหนไว้”  ผมเบ้หน้า  “ไม่ต้องมาทำหน้าอย่างนี้เลย  ครูกลายเป็นคนขี้เสือก  เพราะเป็นห่วงพวกเธอทั้งนั้น”

“หืม  ผมพูดในใจครูได้ยินได้ไงครับ?”  ผมเบิกตาโต

“นายเตวิช!”

“ผมล้อเล่นคร้าบ!”  ผมยกมือไหว้ครูบัวเผื่อนแล้วถือโอกาสวิ่งหนีออกมา

ยากจังเลยน้า  เรื่องเรียนต่อเนี่ย



“พี่โป๊ยกั๊ก”  ผมหันไปตามเสียงกระซิบเรียก  เพกา  นางฟ้าคนสวยของผมยืนแอบอยู่ข้างประตูพลางชูปิ่นโตข้าวสีชมพูหวานแหววในมือให้ดู  “พี่ลืมปิ่นโต”  น้องสาวยิ้มซุกซนแล้วยื่นปิ่นโตมาให้  ผมเหลือบมองครูที่สอนอยู่หน้าห้องแล้วรับปิ่นโตมาพร้อมกับส่งจูบด้วยท่าทางทะเล้นจนเพกาหัวเราะคิกคัก

ใช่ครับ  ผมนั่งอยู่หลังห้องติดประตู  ตอนนี้ใกล้เวลาพักเที่ยงของเด็กฝั่ง  มอ.ปลาย  ส่วน  มอ.ต้นพักช่วงสิบเอ็ดโมงและกำลังจะเข้าเรียน  น้องจึงรีบวิ่งเอาข้าวมาส่งให้ก่อนที่ผมจะลงไปซื้อข้าวกินเองที่โรงอาหาร  ไอ้ภูเห็นปิ่นโตข้าวผมถึงกับเบิกตาโตอีกทั้งยังส่งสายตาล้อเลียนไม่หยุด

“มึงเอาปิ่นโตข้าวมาด้วย  หนำซ้ำยังให้เพกาคนสวยมาส่ง”

“จะแดกไม่แดก?”

“แดกคร้าบบบบ”  ไอ้ภูรีบบีบแขนผมเพื่อเอาใจ  อาหารที่ผมเอามามักเป็นลาภปากไอ้ภูกับไอ้ดินเป็นประจำ  มันบอกว่าร้านข้าวทุกร้านในโรงเรียนสู้ฝีมือพ่อผมไม่ได้เลย  เสาร์-อาทิตย์เวลาแวะไปหาผมที่บ้านก็วิ่งโร่ไปฝากท้องกับพ่อผมถึงร้านอยู่บ่อยครั้ง

อย่างที่เคยบอกว่าพ่อผมทำอาหารอร่อยมาก  พวกผมจึงกินอาหารฝีมือคนอื่นไม่ค่อยได้  ตอน  มอ.ต้นผมเคยอายนะที่ต้องหิ้วปิ่นโตมาโรงเรียน  เพราะเดี๋ยวนี้ไม่มีโรงเรียนไหนที่นักเรียนห่อข้าวมากินกันแล้ว  ผมปฏิเสธปิ่นโตเถาเล็กที่พ่อยื่นส่งให้เพราะอายเพื่อนๆ  ตอนนั้นทุกคนล้อว่าผมเป็นคุณหนูบ้างล่ะ  เด็กไม่ยอมโตบ้างล่ะ  เด็กติดพ่อบ้างล่ะ  ผมเลยปัดมือพ่อพร้อมปิ่นโตออก  แล้วตอนกลางวันก็ไปไล่ตีไอ้พวกปากมอมที่มาล้อผม  เสร็จก็ไปกินข้าวต่อ  หลายวันเข้าผมถึงได้สำนึกเสียใจ...  อาหารที่ไหนก็ไม่อร่อยเหมือนที่พ่อทำ 

ตกเย็นหลังเลิกเรียนของอาทิตย์ถัดมาผมเข้าไปกอดเอวพ่อ  ขอโทษที่ปัดมือพ่อออกและปฏิเสธอาหารของพ่อ  ตอนนั้นพ่อถึงกับร้องไห้เป็นเผาเต่า  น้ำมูกน้ำตาเปรอะหน้าไปหมด  ผมยกชายผ้ากันเปื้อนที่อยู่บนตัวพ่อมาเช็ดหน้าให้  แม่ที่ไม่รู้ว่าแอบอยู่ตรงไหนของร้านเดินเข้ามาเขกหัวผมเต็มแรง  โทษฐานทำให้สุดที่รักของแม่เสียใจและร้องไห้  แม่บอกว่าพ่อเสียใจมากเพราะผมไม่ยอมกินอาหารที่พ่อทำ  ทั้งๆ ที่พ่อตื่นแต่เช้า  คัดสรรวัตถุดิบดีๆ มาทำอาหารให้ลูกๆ ทุกคนได้กิน 

จากปิ่นโตเถาเล็กเลยขยายขนาดใหญ่ขึ้นมาอีกหน่อย  อัดแน่นอาหารเต็มปิ่นโตสามชั้น  ทำไมถึงขยายขนาดปิ่นโตเหรอ?  ดูปอบสองตัวที่มันกำลังจกข้าวผมซิ

“ไอ้กั๊ก”  ผมเหลือบตามองไอ้ภู  มันเรียกชื่อแบบย่อซะจนผมอยากเตะมันอีกรอบ

“อะไร?”

“ทำยังไงดีวะมึง?”

“อะไรของมึง?”  ผมขมวดคิ้วมองเพื่อนพลางดูดน้ำลำไยไปด้วย  ไอ้ภูคนขนมหวานในถ้วยไม่ยอมตักเข้าปาก  ส่วนไอ้ดินขอตัวไปห้องสมุดเพื่อหาหนังสือไปอ่านคืนนี้

“ก็ไอ้ดินอ่ะ  มันจะสอบหมอ”

“แล้วไง?”

“มึงก็รู้ว่ากูโง่  จะให้กูไปสอบหมอตามมันคงไม่ไหว  แต่กูไม่อยากแยกจากมันไง!”  ผมขมวดคิ้วอีกรอบ

“รู้ด้วยว่าตัวเองโง่?”

“ไอ้กั๊ก!”

“อ่ะๆ  ไม่เล่นแล้วก็ได้”  ไอ้ภูค้อนตาแทบกลับผมเลยยอมหยุด

“กูจะทำยังไงดี?  ตามมันไปดีไหม?  หรือจะยอมให้มันจบแบบนี้วะ?”  เห็นหน้าตาเศร้าๆ ของมันแล้วอดสงสารไม่ได้  ผมลูบหัวทุยของมันปลอบใจ

“มึงก็เข้าคณะที่มึงสามารถเข้าได้ดิวะ”

“แต่..กูอยากอยู่กับมัน...”

“ถึงจะคนละคณะแต่มหาวิทยาลัยเดียวกัน  หอเดียวกันก็ได้นี่หว่า  ไม่ยาก”

“แต่..ถ้าเกิดมันไม่อยากอยู่กับกูล่ะ?”

“มึงถามมันแล้วเหรอ?”

“ยัง”

“มึงยังไม่ลองแต่เสือกยอมแพ้ตั้งแต่ไม่เริ่มเนี่ยนะ?”

“ก็...”

“โถ  ไอ้ภูธเรศควายน้อยของกู”  คว้าคอมันมากอด  กดหัวให้ดมรักแร้แม่ง!

“พวกมึงทำอะไรกัน!”

“หืม?”  ผมลดมือลงจากหัวไอ้ภูปล่อยมันเป็นอิสระทันทีที่ได้ยินเสียงไอ้ดิน  มันหอบหนังสือมาสองสามเล่ม  ตาเรียวๆ ชั้นเดียวของมันจ้องผมกับไอ้ภูเขม็ง  บดินทร์มันหน้าตาดีนะครับ  หล่อตี๋  สูงยาวเข่าดี  หุ่นนายแบบ  ฉลาด  รวย  เล่นกีฬาเก่ง  สเป็คสาวๆ เขาล่ะ  แต่ผมไม่เคยเห็นมันคบกับสาวคนไหนเลยนะ  เพราะมันดุมาก  ที่มันใจดีด้วยมีแค่น้องสาวมันละมั้ง  อ้อ  ไอ้ภูด้วยอีกคน  ถึงแม้ว่ามันสองคนจะตีกันบ่อยๆ  แต่เท่าที่เห็น  ผมว่าไอ้ดินใจดีกับไอ้ภูมาก

“พอดีกูมีเรื่องปรึกษาโป๊ยกั๊กมันนิดหน่อย”

“ปรึกษาอะไร  แล้วทำไมไม่รอพูดตอนกูอยู่ด้วย”  ไอ้ดินยัดหนังสือเล่มหนาหนักทั้งหมดใส่ไอ้ภูให้รับแทบไม่ทัน

“พูดตอนมึงอยู่ด้วยเดี๋ยวมึงได้ด่ากูอีก”

“พูดตอนกูไม่อยู่กูก็จะด่ามึงอยู่ดี  บอกมาว่าเรื่องอะไร?”

“ก็...เรื่องเรียนต่อ”  ไอ้ภูก้มหน้าเป็นหมาหงอยเมื่อโดนดุ  ผมมองท่าทางของมันสองคนแล้วผิวปากหวือ  โถ  ไอ้ภู  เหี่ยวเป็นผักเลย  ผมเหลือบมองหนังสือในมือคนข้างๆ ที่ไอ้ดินไปยืมมา  ไอ้ดินมันเรียนกวดวิชาตั้งแต่  มอ.ต้นแล้ว  หนังสือพวกนี้มันไม่จำเป็นต้องยืมมาอ่านเลยด้วยซ้ำ 

“เย็นนี้ไปบ้านกู  กูจะติวให้”

“แต่...”  ไอ้ภูลังเลกับคำสั่งของไอ้ดิน

“มึงนี่  โง่แล้วยังจะกี้เกียจเรียนอีก”  ผมผลักหัวเพื่อนไปทีหนึ่งอย่างหมั่นไส้

“กูไม่ได้โง่!”

“ไหนเมื่อกี้ยังว่าตัวเองโง่อยู่เลย?”  มันทำปากบิดเป็นตูดใส่ผม  ไม่ได้น่ารักเลยขอบอก  ภูธเรศมันสูงพอๆ กับบดินทร์นั่นแหละ  เตี้ยกว่าผมแค่คืบเดียว  ภูธเรศมันเป็นเด็กกิจกรรมชอบเล่นกีฬากลางแจ้ง  ผิวมันเลยออกสีแทน  ถึงอย่างนั้นผิวมันกลับเนียนมากไม่หยาบกระด้างเหมือนผม  ขนก็แทบไม่มี  แล้วช่วงก่อนมันบ้ากล้ามมาก  พยายามสร้างซิกแพ็กมาอวด  ไอ้ดินไม่เอ่ยชมสักคำมันเลยล้มเลิกความตั้งใจ

“โง่นิดเดียว!”

“เออๆ”  ผมละหน่ายมัน



วันนี้หลังเลิกเรียนกลับบ้านพร้อมเพกาโดยมีกระวานมารับ  ผมกระโดดเข้ารถปิดประตูกดล็อครวดเร็วไม่ยอมให้คนข้างหลังดึงเปิดได้

“เฮ้ย  โป๊ยกั๊ก มึงช่วยชมรมกูหน่อยซิวะ  เดือนหน้าจะมีแข่งแล้วด้วย”

“กูไม่ว่าง  ต้องไปอ่านหนังสือสอบ”  ผมไม่เหลือบมองคนที่พยายามดึงประตูรถอย่างเอาเป็นเอาตาย  ไอ้เอก  ประธานชมรมคาราเต้  แม่งขี้ตื๊อมาก  ผมปฏิเสธมันมาเป็นอาทิตย์แล้วมันยังไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจจะเอาผมไปลงแข่งอีก  ให้แข่งเล่นๆ เป็นคู่ซ้อมหรือแข่งกับมหาวิทยาลัยอื่นนี่ผมช่วยได้นะ  แต่การแข่งระดับเขตนี่ขอบายละกัน  ขืนผมยอมไปช่วยตามที่ไอ้เอกขอ  คนในชมรมที่อยากแข่งจริงๆ ได้เขม่นและเกลียดขี้หน้าผมแน่ๆ

“น้องเพกาคนสวยจ๋า  ช่วยพี่เอกพูดกับพี่ชายหน่อยซิคะ”  กล่อมผมไม่ได้เลยหันไปทางน้องสาวผมแทน  เพกากำลังจะเปิดประตูรถชะงักกึกทันที  กระวานที่อยู่หลังพวงมาลัยขมวดคิ้วมองไอ้เอกอย่างไม่พอใจ

“เพกาว่าที่พี่โป๊ยกั๊กปฏิเสธคงมีเหตุผล”

“หืม?”  ไอ้เอกเลิกคิ้ว

“ปกติเวลาพี่เอกมาขอให้พี่โป๊ยกั๊กช่วยพี่เขาไม่เคยปฏิเสธสักครั้ง  แต่การแข่งระดับเขตครั้งนี้ทำไมพี่โป๊ยกั๊กถึงบอกปัด  เพกาว่าพี่เอกน่าจะเข้าใจนะคะ”  ไอ้เอกยืนนิ่งเป็นตอไม้  เพกาถือโอกาสนั้นเปิดประตูรถขึ้นมานั่ง  กระวานที่รออยู่แล้วรีบออกรถรวดเร็ว

“นี่ถ้ามันยื้อเพกาไว้อีกนาทีเดียว  ฉันจะลงไปชกมันแน่”

“ไอ้เอกเป็นหัวหน้าชมรมคาราเต้”

“...ฉันพูดผิด  หมายถึงห้านาที  เอ่อ  หรือยังเกาะแกะไม่เลิก”

“...”  ผมกรอกตา  ส่วนเพกาหัวเราะคิกคักเมื่อได้ยินคำพูดของกระวาน 

เจ้าตัวนุ่มนิ่มนี่อวดเก่งไม่เข้าเรื่อง!

**********

วันนี้พี่กอล์ฟเด็กเสิร์ฟที่ร้านลาป่วยไปผมจึงต้องมาช่วย    นอกจากรสชาติอาหารที่ทำให้ลูกค้าติดใจแล้ว  ส่วนหนึ่งก็มาจากเด็กเสิร์ฟหน้าตาดีทั้งสองคนของร้านเราอย่างพี่กอล์ฟพี่ไนท์  เดือนหน้าผู้ช่วยเชฟอย่างพี่ซันก็จะขอลาหยุดยาวไปเที่ยวกับแฟน  พ่อกำลังกลุ่มใจอยู่เนื่องจากยังหาคนมาช่วยไม่ได้  ส่วนกระวานน่ะเพราะหูดีเกินไปจึงทำหน้าที่ที่มีคนเยอะแยะพลุ่กพล่านแบบนี้ไม่ไหวเลยคอยส่งอาหารเดลิเวอร์รี่แทนการเสิร์ฟในร้าน

“นี่แก  แกว่าเขามีแฟนยังอ่ะ?”

“ไม่รู้ซิ  แต่ถ้ามีแฟนแล้วคงไม่มาทำงานในร้านนี้หรอกมั้ง  วันหยุดแบบนี้คงไปเที่ยวกับแฟนแล้ว”

“งั้นถ้าฉันขอเบอร์.เขาแกว่าไง?”

“ก็ลองดูซิ”

ผมรับจานอาหารจากในครัวมาวางบนถาดเตรียมยกไปยังโต๊ะของผู้หญิงสองคนนั้น  ถามว่าผมได้ยินไอ้ประโยคที่พวกเธอคุยกันไหม  ได้ยินซิ! เต็มสองหูเลยเหอะ  เล่นพูดเสียงดังขนาดนั้น!

“เฮ้ย”  กระวานโผล่หัวออกมาจากหลังเค้าท์เตอร์แล้วคว้าข้อมือผมเอาไว้

“หืม?”

“ยัยสองคนนั่นอยากงาบนาย”

“อะไรนะ?”  ผมแอบชำเลืองมองไปทางโต๊ะของผู้หญิงสองคนนั้น

“ผู้หญิงสองคนนั้นมองก้นนาย  บอกว่าท่าทางก้นนายจะแน่นดี  ขาก็ยาวดูท่าทางแข็งแรงต้องทำท่าอุ้มแตงได้แน่ๆ”

“อุ้มแตง?  อุ้มแตงอะไรวะ  แตงโมเหรอ?”  ไม่น่าจะใช่  เพราะการอุ้มแตงโมคงไม่ลามกจนทำให้กระวานได้ยินเสียง

“หมายถึงแบบนี้”  กระวานทำท่าอุ้มอะไรสักอย่างให้ผมดู  “แบบว่าเขาอยากขี่นายตอนทำ  ให้นายอุ้มตอนทำเรื่องอย่างว่า”

“ห้ะ?”  ผมเบิกตาโต  ไม่กล้าหันไปมองผู้หญิงสองคนนั้นอีก

“จริงนะโว้ย  เนี่ยตอนนี้ก็ยังคิดไม่หยุด  เขาอยากให้นายถอดเสื้อไปเสิร์ฟอาหารให้เขา”

“จะบ้าเรอะ!  ไม่กลัวขนรักแร้ฉันร่วงลงไปในจานข้าวรึไง?”

“ไม่รู้ซิ  พวกเขาอาจจะเต็มใจกินขนรักแร้นายก็ได้”  พูดจบก็หัวเราะคิกคักชอบใจเมื่อเห็นสีหน้ามู่ทู่ของผม

“ฝันไปเถอะ!”  ผมพูดลอดไรฟัน

“เขายังคิดต่ออีกว่า...”  กระวานกระดิกหูเอียงตัวด้วยท่าทางน่าหมั่นไส้  “อยากลูบกล้ามอกนาย”  ผมยกมือขึ้นปิดอกตัวเอง  “อยากลูบก้นนาย”  ผมเลื่อนมือไปปิดก้นตัวเอง

“นายโม้แน่ๆ”  ขนแขนลุกเลยครับ  ถ้าเกิดว่าผู้หญิงสองคนนั้นคิดอย่างที่กระวานพูดจริงๆ  นี่มันเข้าข่ายอาชญากรรมเลยนะ  มันคือการลวนลาม  ลวนลามกันชัดๆ!

“ไม่เชื่อก็รอดูซิ”  กระวานยกยิ้มมุมปาก  พยักเพยิดให้ผมเอาอาหารไปเสิร์ฟได้แล้ว   ก่อนจะมุดลงหลังเค้าท์เตอร์โผล่มาแต่ลูกกะตาวาวๆ

“เอ่อ  นายชื่ออะไรเหรอ?”  ผมวางจานสปาเก๊ตตี้พลางเหลือบสายตามองผู้หญิงที่บอกว่าจะขอเบอร์ผม ผมหยุดคิดอยู่สองวินาที  หางตาเหลือบไปเห็นเจ้าคนหูดียกมือปิดปากหัวเราะคิกคักแล้วก็หงุดหงิด

“กระวาน”

“ฉันขอเบอร์นายได้ไหม?”

“ได้ซิ 087xxxxxxx”  เธอฟังแล้วกดโทร.ออกทันที  ผมไม่รอให้เธอพูดอะไรก็หันหลังเดินออกมา

“เดี๋ยวก่อน”  ผมหยุดเท้าแล้วหันไปมอง  “ทำไมนายไม่เอาโทรศัพท์ออกมาล่ะ?”  ผมขมวดคิ้ว  ผู้หญิงคนนี้ชักจะล้ำเส้นเกินไปแล้ว  ถ้าไม่ติดว่าผมอยากแกล้งใครบางคนล่ะก็  จะด่าให้วิ่งออกจากร้านไม่ทันเลยเชียว

“พอดีผมไม่ชอบพกโทรศัพท์”

“แล้วฉันจะรู้ได้ไงว่านี่เป็นเบอร์นายจริงหรือเปล่า?”  ผมยักไหล่  เสียงร้องโวยวายของกระวานดังขึ้นมาทำให้ผมความสนใจไปมอง

“นายเอาเบอร์ฉันไปให้ใครวะ!”  กระวานเด้งตัวออกมาจากหลังเค้าท์เตอร์  ผู้หญิงคนนั้นขมวดคิ้วแล้วก้มมองโทรศัพท์ในมือตัวเอง

“นี่นายเอาเบอร์เจ้าอ้วนนี่มาให้ฉันเหรอ!”  เจ้าหล่อนโวยวายเสียงดัง

“เธอน่ะซิอ้วน!”  ผมหันขวับกลับไป  ถลึงตาตะคอกเสียงดังใส่อย่างอารมณ์เสีย  กล้าดียังไงมาเรียกกระวานว่าเจ้าอ้วน!

“นะ  นาย?”

“เอ่อ”  กระวานกะพริบตาปริบหยุดเท้าที่จะเข้ามาหาผมทันที

“ฉันจะแฉว่าร้านนายมันห่วย  พนักงานมารยาททราม!”

“ใครกันแน่ที่มารยาททราม  กล้าเรียกพี่ชายฉันว่าเจ้าอ้วน?  ก่อนว่าคนอื่นดูตัวเองซะก่อนเถอะ”

“นาย!  ฉันจะทำให้ร้านนายเจ๊ง  ไม่มีคนเข้า!”

“ก็เอาซี่”  ผมชี้ไปยังมุมเพดานด้านหนึ่งของร้านที่มีกล้องวงจรปิดติดอยู่  ผมขยับเท้าเข้าไปใกล้ผู้หญิงคนนั้น  ก้มลงกระซิบให้ได้ยินกันสามคนพร้อมเพื่อนของเธอ  “ผู้หญิงที่กล้าคิดเรื่องลามกใต้สะดือกับผู้ชายแปลกหน้ากลางร้านอาหารตอนกลางวันแสกๆ อย่างเธอฉันไม่กลัวหรอก”

“!”  ผู้หญิงคนนั้นตกใจหน้าซีดเผือดผงะถอยหลัง  เพื่อนเธอรั้งข้อศอกให้ถอยห่างจากผมด้วยท่าทางหวาดกลัวก่อนจะควักเงินค่าอาหารมาวางแล้วลากเพื่อนออกไปโดยไม่รอเงินทอน

ผมเดาะลิ้นอย่างไม่ชอบใจ  พยายามสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อบรรเทาความโกรธ  หันกลับมาคว้าคอกระวานมากอดแล้วเดินกลับไปยังเค้าท์เตอร์  พ่อยืนเอียงคอมองพวกเราสองคนจากปากประตูห้องครัว

“นี่โป๊ยกั๊กทำให้ลูกค้าพ่อหนีไปอีกแล้วเหรอ?”

“ผู้หญิงสองคนนั้นเป็นคนลามกครับ”  กระวานเอ่ยตอบ

“....อ้อ”  พ่อเงียบไปอึดใจก่อนจะพยักหน้ารับรู้  “งั้นก็ขอให้เขาไม่ต้องมาอีกดีกว่าเนาะ”

“ผมไปช่วยเพกาปลูกผักหลังร้านนะครับ”



“หืม?  หงุดหงิดอะไรมาเหรอคะ?  ทำหน้าตาน่ากลัวเชียว”  เพกาขยับหมวกสานบนหัวหันมายิ้มให้เมื่อเห็นผมเดินเข้าไป  เพกาบอกว่าเวลาผมไม่ยิ้มหรือขยับคิ้วเฉียงๆ ให้เฉียงกว่าเดิมเมื่อไหร่จะดูไม่น่าเข้าใกล้  โดยเฉพาะดวงตาสีดำคู่นี้  กับริมฝีปากบางเฉียบมันขับเครื่องหน้าให้ดูเย็นชา  เพกาบอกว่าดูน่ากลัวเหมือนพวกนักเลงที่พร้อมมีเรื่องชกต่อยได้ตลอดเวลา

“เจอคนลามกนิดหน่อยน่ะ”  ไม่ซิ  ที่ผมอารมณ์เสียไม่ใช่เพราะผู้หญิงพวกนั้นคิดลามกกับผม  แต่ผมโกรธเพราะพวกนั้นพูดจาหยาบคายใส่กระวานต่างหาก 

อย่างเมื่อหลายเดือนก่อนผมก็มีเรื่องชกต่อยกับคนที่มาว่ากระวาน  ตอนนั้นผมออกไปช่วยกระวานซื้อของเข้าร้านตามรายการที่พ่อจดให้  กระวานมักจะสวมหูฟังตลอดเวลาแต่เพราะผมไปด้วยเลยถอดหูฟังคล้องคอไว้  เราพูดคุยถึงเรื่องเมนูอาหารค่ำกับงานของพี่ไธม์  จู่ๆ กระวานก็ชะงักขาที่กำลังก้าวเดิน  เขาขมวดคิ้วมองไปยังชายร่างท้วมคนหนึ่ง  หมอนั่นจ้องเด็กผู้หญิงวัยรุ่นซึ่งสวมกระโปรงสั้นเหนือเข่า  เด็กผู้หญิงนั่นเขย่งปลายเท้าเพื่อหยิบของบนชั้น  กระวานสะกิดผม  ผมเข้าใจได้ทันทีเมื่อเห็นชายคนนั้นหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง  ผมเดินเข้าไปคั่นกลางระหว่างเขากับเด็กหญิง  แสร้งทำทีเป็นหยิบของชั้นเดียวกับเด็กคนนั้นเพื่อไม่ให้เจ้านั่นเข้ามาใกล้เด็ก  แต่ดูเหมือนหมอนั่นจะไม่สนใจว่ามีใครขวางอยู่หรือไม่  มันเดินเข้ามาใกล้พร้อมโทรศัพท์มือถือที่เปิดกล้องโหมดวิดีโอเอาไว้  กระวานปราดเข้าไปขวางหน้า

‘ผมรู้นะว่าคุณคิดอะไรอยู่’

‘อะไรของแก?’

‘คุณคิดลามกกับเด็กผู้หญิงคนนี้’  เด็กผู้หญิงข้างผมหันมามอง  เธอเบิกตากว้างมองชายร่างท้วมคนนั้น

‘ฉันเปล่า!’  ชายคนนั้นรีบซ่อนกล้องลงกระเป๋ากางเกง

‘ผมได้ยิน’

‘แกโกหก!’

‘ผมได้ยิน!  คุณอยากเห็นชั้นในของเธอ  คิดอยากพาเธอไปในที่ลับตาคน  คุณคิดลามกกับเธอ!’  กระวานโมโห  เขากำหมัดแน่น  ชายร่วงท้วมผงะถอยหลังจ้องมองหน้ากระวานอย่างไม่พอใจ

‘แก  ไอ้หูผีนี่!’  หมอนั่นทำท่าจะกระโจนเข้าใส่กระวาน  ผมขยับเท้าพุ่งผ่านตัวกระวานไป  ชกเข้าใบหน้าอวบอูมของไอ้คนลามกนั่น   เลือดกบทั้งปากและจมูกเพราะผมต่อยเข้าเป้าอย่างจัง  ไอ้หมอนั่นร้องโอดโอยลั่นห้าง  รปภ.เข้ามาถึงตัวพวกเราอย่างรวดเร็ว

‘ฉันจะฟ้องแก!’

สุดท้ายก็ต้องให้พี่ไธม์มาจัดการเรื่องที่โรงพักให้  และเพราะไม่มีหลักฐานเนื่องจากหมอนั่นยังไม่ทันถ่ายวิดีโอสุดท้ายเลยไม่สามารถเอาผิดอะไรกับไอ้เฒ่าลามกนั่นได้  น่าเจ็บใจชะมัด  แถมผมยังโดนพี่ไธม์อบรมชุดใหญ่ว่าใจร้อนเกินไป  นี่ถ้ารออีกหน่อยก็จะได้หลักฐานเอาไว้มัดตัวไอ้ลามกนั่นแล้ว

“อีกแล้วหรือคะ?”  เพกาเลิกคิ้วแปลกใจก่อนจะหัวเราะคิกคัก  ผมหลุดจากความคิดหันไปมองน้องสาว

“อีกแล้ว?  หมายความว่าไง?”

“ก็...พี่กระวานชอบมาเม้าท์ให้ฟังว่าเวลาพี่โป๊ยกั๊กหรือพี่กอล์ฟอยู่ร้าน  สาวๆ ที่คิดลามกจะโผล่มาบ่อยๆ”  พี่กอล์ฟคือเด็กเสิร์ฟและผู้ช่วยหน้าตาดีที่ลาป่วยไปวันนี้

“ก่อนหน้านี้ก็เคยมีมาเหรอ?”

“ใช่ค่ะ”

“.........”  เพกายิ้มกว้าง  มองดูหน้าตาไม่สบอารมณ์ของผมอย่างมีความสุข

“แต่ถ้าสาวๆ มาเห็นหน้าตาตอนนี้ของพี่คงวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงแน่ๆ”

“วิ่งหนีไปแล้วเหอะ”

“?”  เพกาเบิกตาที่โตอยู่แล้วให้โตขึ้นไปอีก  ก่อนจะหัวเราะเสียงดัง

*********

“นี่ๆ เมื่อไหร่พี่ไธม์จะกลับบ้านอีกอ่ะ?”

“อยู่นิ่งๆ ได้ไหม?”

“แล้วพี่กระวานล่ะ  เมื่อไหร่เขาจะเลิกกลัวเราเสียที”

“หมอนั่นจะหายกลัวนายเรอะ?  ไม่มีทาง”

“เราไม่เห็นน่ากลัวเลย”  คนในกระจกทำท่าทางน่าสงสาร  นี่ถ้ามีหูมีหางคงจะหูลู่หางตกแน่ๆ  แต่...   

“บอกให้อยู่นิ่งๆ ไง”  ไอ้ท่าทางแบบนี้มันไม่ใช่!  ผมตัวจริงไม่มีทางมาทำท่าหงอยเศร้าน้ำตาตกแบบนี้!

“เราคิดถึงเพกาด้วย  เพกาใจดี  ใจดีกว่านายตั้งเยอะ”  ริมฝีปากบางบึนเป็นปากเป็ดคล้ายสาวน้อยเวลางอนแฟนหนุ่ม

“ขอร้องเหอะ  อย่าทำท่าแบบนี้ได้ไหม?”

“นี่ๆ เมื่อเช้าแม่แวะมาหาด้วยแหละ  แม่บอกว่าคิดถึงเราม๊ากมาก  นี่คิดอยู่ว่าตอนปีใหม่จะขอร้องให้โป๊ยกั๊กพาเราไปนั่งที่โต๊ะกินข้าวด้วย  จะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา  ว่าแต่พี่ไธม์จะหยุดงานได้ไหมน้า?”

“....”

“อยากกินอาหารฝีมือพ่ออีกจัง  เออ  จะว่าไปก็แปลกเนอะ  พ่อกลัวผีแต่ไม่กลัวเราแหละ”

“นายไม่ใช่ผีสักหน่อย”

“ใช่ไหมล่ะ  แล้วทำไมพี่กระวานถึงกลัวล่ะ?”  คนในกระจกเอียงคอทำท่าทางสงสัยได้อย่างน่ารักน่าชัง  ถุย!

“ก็ไปถามเอาเองสิ”

“ได้เหรอ?”  อีกฝ่ายทำท่าทางดีใจ

“ว่าแต่   นายเคยไปซื้อไหมพรมกับแม่?”

“ใช่ๆ เคยไปซิ  แม่พาไปซื้อไหมพรมมาให้พ่อถักตุ๊กตา  เจ้ากระต่ายสีชมพูที่แขวนหน้ารถนั่นไง  แต่พี่กระวานชอบคิดว่าเจ้ากระต่ายนั่นกันผีได้  แล้วก็เอามาโยนใส่เรา”

“....”

“เราไม่ใช่ผีสักหน่อย  เราไม่กลัวของแบบนั้นหรอก  อีกอย่างกระต่ายนั่นน่ารักออก”

“อืม”  ผมลากเสียงในลำคอ  พยายามข่มกลั้นสุดชีวิต

“นี่ๆ ชวนดินกับภูมาเที่ยวที่บ้านบ้างซิ”  เพื่อนที่รู้เรื่องของกานพลูมีภูธเรศกับบดินทร์เท่านั้นเพราะพวกมันจับได้ตอนกานพลูออกมาจากกระจกแล้วไปนั่งเรียนกับพวกมันตอน มอ.หนึ่ง

“อยู่นิ่งๆ สักที!”  ผมกำหมัดแน่น  ของที่อยู่ในมือสั่นระริก

“หืม?”

“หุบปาก!”

“แต่...”

“ฉัน-โกน-หนวด-ไม่-ได้!”  ผมเน้นทีละคำ  ถลึงตามองไอ้คนปากมากในกระจกอย่างโมโห

“.........”



ปัดโธ่โว้ย!






โปรดติดตามตอนต่อไป


สวัสดีค่า  วันนี้มาส่งช้าหน่อย  อุตส่าห์จะรอดูแม่หญิงการะเกดแต่เนตไม่ดี  อดเบยยยยย
เรื่องนี้ถ้าใครอ่านแล้วรู้สึกสนุกก็จะดีใจมากเลย ตรงไหนที่ต้องปรับปรุงบอกกันได้นะคะ
ถ้าตรงไหนผิดพลาดยังไงก็ขออภัยด้วยนะคะ
ขอให้มีความสุขวันพุธกึ่งกลางสัปดาห์การทำงานค่ะ   :mew1:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 2] 28-2-61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: NC Wanted ที่ 01-03-2018 00:48:56
รอค่ะ
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 2] 28-2-61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 03-03-2018 13:17:05
อ่านไปสองตอนแล้วเรายังเดาเรื่องของโป๊ยกั๊กไม่ออกเลยค่ะว่าจะมาแนวไหน แถมคู่ของโป๊ยอีกยังไม่เปิดตัวเลยนี่นา ก็ต้องรอลุ้นว่าจะเป็นพระเอกหรือนายเอกกันแน่ ก็เราเชียร์โป๊ยเป็นพระเอกนะ
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 2] 28-2-61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 03-03-2018 16:05:44
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 2] 28-2-61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: akumapuyy ที่ 05-03-2018 05:32:20
น้องโป๊ยคนแมน แมนมากเหลือเกิน 555
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 2] 28-2-61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 07-03-2018 19:48:34


Secret Me  คนนี้ต้องลับ!
ตอนที่3
   


“ไม่ได้หรอกค่ะ  ถ้าพวกพี่ชายไม่อนุญาตเพกาให้ไม่ได้จริงๆ”  ผมชะงักเท้าแนบตัวกับผนังตึกค่อยๆ ชะโงกหน้าออกไปดูว่าน้องสาวคนสวยกำลังคุยอะไรกับใคร
   
“ทำไมเพกาต้องขอพี่ๆ ด้วยล่ะคะ  พี่จีบเพกาไม่ได้ชอบพี่ชายของเราเสียหน่อย”  โอ้โห  ชัดเต็มสองรูหู!

   “เฮ้ย  มายุ่งอะไรกับน้องสาวกูวะ?”  ผมออกจากที่ซ่อนเดินไปดึงให้เพกามาอยู่ข้างหลังพร้อมเชิดคางมองไอ้หน้าจืดที่กล้ามาขอเบอร์น้องสาว

   “ไม่เกี่ยวกับมึงป่ะวะ?”

   “ทำไมจะไม่เกี่ยว  เนี่ย  น้องสาวกู  ส่วนกู..”

   “....”  มันขมวดคิ้วมอง

   “กูเป็นพี่ชาย”

   “พี่ชายแล้วไง?  กูจะจีบเพกาไม่ได้จะจีบมึง”

   “ก็กูไม่ให้จีบ”

   “มึงมีสิทธิ์อะไรมาห้ามกู”

   “สิทธิ์ของความเป็นพี่ไง”
   
“มึงจะมาหวงน้องแบบนี้ไม่ได้”

   “ทำไมจะไม่ได้ในเมื่อกูเป็นพี่  แล้วมึงน่ะเป็นใคร”

   “กูชื่อนวพล  ห้องสอง”
   
“มึงคิดว่ากูถามจริงๆ เหรอ?”

   “อ้าว?”

   “กูหมายถึงมึงเป็นใครกูไม่รู้จัก  อย่ามาสะเออะจีบน้องกู!”

   “กูแนะนำตัวไปแล้วไง  คราวนี้รู้จักแล้ว  จีบได้แล้วใช่ป้ะ?”  ยิ้มแป้นมาอีก  ไอ้หน้าจืด!

   “ไม่!”

   “อ้าว  แบบนี้มึงกวนตีนกูเล่นเหรอ?”

   “มึงน่ะซิกวนตีน  ไอ้เหี้-!” ผมเข้าไปกระชากคอเสื้อมันด้วยความโมโห

   “ไอ้เน่า! ครูเรียก!”  ผมชะงักหมัดที่เงื้อขึ้น  หรี่ตามองไอ้คนที่เข้ามาขัดจังหวะ 

ไอ้ครับ?

“เออๆ งั้นกูไปก่อนนะ  แล้วมึงอย่าลืมทำความรู้จักกูด้วยล่ะ  วันหลังจะมาจีบเพกาใหม่”

“ไอ้!”  ไอ้หน้าจืดแงะคอเสื้อออกจากมือผมแล้ววิ่งไปหาเพื่อนมัน  ไอ้ครับเหลือบมามองผมนิ่งๆ ก่อนจะเดินตามเพื่อนมันออกไป

“ถ้ามันมาหาอีกอย่าไปคุยกับมัน  หรือไม่เพกาก็มาหาพี่พี่จะไปจัดการมัน”  ผมหันไปบอกน้องสาวที่ยืนยิ้มสวยอารมณ์ดี

“ทำไมหนูต้องไปบอกให้พี่โป๊ยกั๊กมาจัดการเขาด้วยล่ะคะ  เขามาจีบหนูนะไม่ได้มาหาเรื่องเสียหน่อย”

“แต่มันหาเรื่องพี่!”

“ฮื่อ!”

“ไม่ต้องมาฮื่อ  บังอาจมาจีบน้องสาวพี่แบบนี้มันวอนซะแล้ว”  เพกาส่ายหัว  ไม่รู้ว่าเหนื่อยใจกับผมหรือเบื่อคนมาจีบ  ก็ใครใช้ให้นางฟ้าของบ้านเราน่ารักกันล่ะ  พวกเราเหล่าพี่ชายเลยหวงมากแบบนี้!

**********

“มึงนี่ก็หวงน้องมากไปป่าวว้า  ทำแบบนี้ชาตินี้น้องมึงจะมีแฟนไหม?”

“ก็ไม่ต้องมี”

“อ้าว มึงนี่ยังไง  มึงมาหวงน้องแบบนี้มันไม่ถูกต้อง”

“นี่มึงกำลังพูดความในใจของตัวเองตอนโดนกูเตะที่มาจีบเพกาตอนนั้นใช่ไหม?”  ผมชี้หน้าภูธเรศ

“แหม่  มันก็มีบ้างนิดหน่อย”

“ไอ้นี่  เดี๋ยวปั๊ดเตะซ้ำ!”

“นี่มึงยังคิดจะจีบเพกาอยู่อีกเหรอ?”  เสียงเย็นๆ ของบดินทร์ดังมาเหนือหัว  ไอ้คนที่เคยคิดจีบเพกาหน้าซีด

“เปล๊า! คือกูพูดแทนไอ้เน่ามันเฉยๆ”  เสียงสูงเชียวนะมึง!

“ไอ้เน่าไหน?”  ไอ้ดินหยุดมือที่กำลังกวาดพื้นหันมาถาม  วันนี้เพื่อนสนิทของผมทั้งสองคนมาช่วยทำความสะอาดร้าน  ตอบแทนค่าข้าวค่าน้ำที่พวกมันมาถลุงพ่อผมไปเมื่อวาน

“ไอ้เน่า  นวพลห้องสอง  เพื่อนไอ้ครับ คำนับนั่นไง”

“มึงนี่ก็รู้จักเขาไปทั่วเนอะ”  บดินทร์หรี่ตามอง

“นี่มึงชมกูใช่ป้ะ?”  ไอ้ภูยิ้มกว้าง

“ใช่  ชมว่ามึงขี้เสือกเก่งมาก”

“ไอ้ดินนน”  ภูธเรศร้องโวยวาย  ผมไม่อยากสนใจพวกมันแล้ว  คนหนึ่งก็โง่คนหนึ่งก็ซื่อบื้อ  แม่งโคตรเหมาะสมกันฉิบหาย

“โป๊ยกั๊ก”

“ครับ?”  ผมหันไปหาพ่อที่ตอนนี้ถือกล่องอาหารออกมาจากในครัวเพื่อใส่กระเป๋าเก็บอุณหภูมิ 

“เอาอาหารไปให้ใบไธม์หน่อยได้ไหม  พ่อโทรศัพท์ไปเมื่อกี้บอกว่าเข้ามากินข้าวที่บ้านไม่ได้แล้วเพราะต้องเคลียร์งานให้เสร็จคืนนี้”

“ได้ครับ”  ผมละมือจากผ้าเช็ดโต๊ะ  ภูธเรศก็วิ่งแซงหน้าไปก่อน

“พ่อครับ  ผมเอาข้าวไปส่งพี่ไธม์ให้ไหมครับ  ขอค่าตอบแทนเป็นปิ่นโตกลางวันสักอาทิตย์หนึ่ง”  ไอ้ภูประสานมือไว้ตรงอกแบบสาวน้อย  เพกาถือกระเป๋านมสดแบบเก็บอุณหภูมิอีกใบยื่นส่งให้  พอเห็นท่าทางนั้นของภูธเรศถึงกับหัวเราะเสียงดัง

“พี่ภูทำท่าอะไรคะนั่น  ตลกจัง”

“ก็ท่าขอความสงสารไงคะน้องเพกา  ดูซิ  พี่น่าสงสารออก”  ไอ้ภูกะพริบตารัวเร็ว

“อืม  น่าสงสารมาก”  ไอ้ดินมาหยุดเกาคางอยู่ข้างๆ

“ใช่ม้า?”

“น่าสงสารเพกาที่ต้องมาเห็นอะไรทุเรศตาแบบนี้”

“ไอ้ดินนนนน”

โอ๊ย  จะบ้าตาย!  ผมทิ้งความวุ่นวายไว้ด้านหลังแล้วหยิบกล่องอาหารกับกระเป๋านมออกจากร้าน  ช่วงนี้งานพี่ไธม์ยุ่งมากเลยไม่ค่อยได้กลับบ้านเท่าไหร่  พวกเราสามพี่น้องเลยผลัดกันไปส่งอาหารถ้าพี่ไธม์อยู่ห้องเพื่อจะได้เจอหน้ากันบ้าง

ผมขึ้นรถไฟฟ้า  ลงเดินอีกหน่อยก่อนจะขึ้นลิฟท์ไปยังห้องของพี่ไธม์  ผมไม่ได้โทรศัพท์มาบอกก่อนเพราะคิดว่าพ่อคงโทร.มาแล้ว  พอถึงก็เคาะประตูห้อง  ครู่เดียวบานประตูก็เปิดออก

ผู้ชายไม่คุ้นตาโผล่หน้าออกมาจากหลังบานประตู  ผมขมวดคิ้วก่อนจะใช้เท้ายันประตูเต็มแรง  หมอนั่นไม่ทันระวังตัวจึงเซถอยหลัง  ผมตามเข้าประชิด  ยกขาวาดเตะรวดเร็วแต่อีกฝ่ายก็พลิกตัวหลบว่องไว  ผมอาศัยช่วงจังหวะที่ฝ่ายนั้นถอยห่างวางกล่องอาหารแล้วพุ่งเข้าไปเสยหมัด  ร่างสูงโย่งนั่นพลิกตัวหลบครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้ผมหงุดหงิดยิ่งกว่าเก่า  ในระยะที่กระชั้นที่สุดผมพลิกตัวล็อกคออีกฝ่ายจากด้านหลังรวดเร็ว  หากเขาก็ไวพอกันถึงเอามือมารองคอตัวเองแล้วเบี่ยงตัวหลุดรอดจากแขนของผมไปได้  ไอ้หมอนี่เป็นแมวหรือไง!

“เฮ้ๆ ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากันซิ  คนกันเองทั้งนั้น”

“ฉันไม่รู้จักนาย!”  ขณะตอบโต้กันผมยังไม่หยุดส่งหมัดส่งเท้าเข้าหาอีกฝ่าย

“อะไรกัน  เพิ่งจะเจอกันไปเมื่อเดือนก่อนเองนะ” พูดไปก็ยิ้มไปด้วย  ผมไม่ชอบผู้ชายคนนี้  รอยยิ้มมันคล้ายคนที่กำลังกุมความลับของเราอยู่  และถือไพ่เหนือกว่า

“ฉันไม่เคยเจอนาย!”

“จุ๊ๆ ไม่เอาน่า”  ไอ้แมวยักษ์นั่นหลบไปหลังโซฟา

“แกเป็นใคร  มาอยู่ในห้องพี่ชายฉันได้ยังไง”

“เอ้า  ก็บอกว่าคนรู้จัก”

“อย่ามาโกหก!”  ผมถีบโซฟาเต็มแรงจนกระแทกหมอนั่นไปด้วย  เพราะไม่ทันระวังตัวโซฟาจึงกระแทกเข่าฝ่ายนั้นล้มหงายหลัง  ผมไม่รอให้อีกฝ่ายตั้งตัว  ดีดเท้ากระโจนเข้าไปคร่อมคนบนพื้นรวดเร็ว  เงื้อหมัดขึ้นสูงเตรียมปล่อยสุดแรง

“โป๊ยกั๊ก!”

“?”  ผมชะงักหมัดค้างกลางอากาศ  พี่ไธม์เปิดประตูออกมาจากห้องน้ำ  ดูก็รู้ว่าเพิ่งอาบน้ำเสร็จ

“ทำอะไรน่ะ?”  พี่ไธม์ขมวดคิ้ว

“จับแมวขโมย”

“เฮ้ย  ก็บอกว่าไม่ใช่ไง”  คนบนพื้นโวยวาย

“หมอนั่นชื่อเบซิล  โป๊ยกั๊ก”

“...”  ผมหรี่ตามองพี่ชาย  มือยังกำคอเสื้อนายเบซิลไม่คลาย  “แล้วมาทำอะไรในห้องพี่?”

“มาทำงาน”  พี่ไธม์ถอนหายใจ  เท้าเอวมองดูเราสองคนโดยไม่เข้ามาใกล้

“ทีมเดียวกับพี่เหรอ  ทำไมผมไม่เคยเห็นหน้า  อย่าลืมว่าผมรู้จักคนในหน่วยพี่ทุกคน”  เบซิลคนนี้มีเรือนผมสีเทา  ดวงตาสีเขียวมรกต  เป็นสีเขียวที่สวยมาก  มีแววระยิบระยับในดวงตาคู่นั้น  แต่ผมกลับไม่ชอบเพราะมันดูเจ้าเล่ห์ไม่น่าไว้ใจ  เบซิลมีรูปร่างสูงพอๆ กับผม  จากการสู้กันเมื่อครู่ทำให้รู้ว่าหมอนี่ต่อสู้ไม่เก่งแต่ทักษะการทรงตัวดีเยี่ยมเพราะหลบการโจมตีของผมได้หมด  ทั้งที่ผมมั่นใจว่าตัวเองเร็วพอแล้วแท้ๆ

“โป๊ยกั๊ก”  พี่ไธม์ถอนหายใจอีกครั้ง  “พี่จะพูดอีกแค่ครั้งเดียว  เบซิลกำลังช่วยงานพี่อยู่  เราทำงานร่วมกัน”

“แล้วทำไมต้องอยู่ที่นี่?”  ผมกวาดสายตาทั่วห้อง  แค่รอบเดียวก็รู้ว่าข้าวของในห้องพี่ไธม์ไม่เหมือนเดิม  มีบางอย่างเพิ่มเข้ามาเหมือนไม่ได้อาศัยอยู่คนเดียว  ช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาผมไม่ค่อยได้มานอนห้องพี่ชายเท่าไหร่เลยเพิ่งรู้ถึงความผิดปกตินี้

“สายตากับความจำดีเป็นบ้า!”  เบซิลร้องอุทานอย่างตื่นเต้น  ไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่นกับการถูกผมจับกดอยู่กับพื้นแม้แต่น้อย

“ความจำดีแต่ฉันก็จำไม่ได้ว่ารู้จักนาย”  ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง  ปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ  เบซิลลุกขึ้นยืนแล้วยักไหล่

“ฉันก็เดาว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น”

“?”

“เอาล่ะ  ทั้งสองคน  พอได้แล้ว”  พี่ไธม์ห้ามทัพ

“หมอนี่ไม่มีบ้านให้กลับหรือยังไง  ทำไมต้องมานอนที่นี่?”

“ก็ยังกลับไม่ได้”

“หืม?”  ผมหรี่ตามองทั้งสองคน

“เอาเป็นว่าเบซิลยังกลับบ้านตอนนี้ไม่ได้และเขาต้องช่วยงานพี่”  พี่ไธม์เดินไปหยิบกล่องอาหารมาเปิดดูก่อนจะเดินเข้าห้องครัวเพื่อจัดอาหารใส่จาน  เบซิลรีบวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว

พวกเรานั่งกันอยู่ที่โต๊ะอาหาร  ผมคิดว่าตัวเองไม่เคยเจอและรู้จักเบซิลมาก่อน  พอเห็นหมอนี่ทำท่าดีใจกับอาหารตรงหน้าแล้วอดหมั่นไส้ขึ้นมาไม่ได้

“อาหารฝีมือพ่อคุณอร่อยมาก  ถ้ามีโอกาสผมก็อยากจะลองไปกินที่ร้านดูบ้าง”

“พวกนี้เป็นของพี่ไธม์  ห้ามนายกิน!”  ผมแย่งจานข้าวที่พี่ไธม์วางตรงหน้าเบซิลออกมา

“โป๊ยกั๊ก  สุภาพหน่อย  เบซิลแก่กว่าเราหลายปีนะ”  พี่ชายขมวดคิ้วดุผม

“แล้วไง  ก็ผมไม่ชอบหน้าหมอนี่”

“โป๊ยกั๊ก!”

“ก็ได้ๆ ก็ผมไม่ชอบหน้าเขา”

“แต่ผมชอบคุณนะ  แบบ...พวกคุณทั้งบ้านเลย”  เบซิลยกยิ้ม  เป็นรอยยิ้มที่ผมไม่ชอบอีกแล้ว

“อย่ามายุ่งกับน้องๆ ของผม” พี่ไธม์พูดเสียงเรียบ  ดูก็รู้ว่าไม่ค่อยชอบใจนัก  เบซิลยักไหล่คล้ายไม่ยี่หระกับคำพูดนั้น  ผมหรี่ตามองพี่ไธม์และผู้ชายข้างๆ พวกเขาดูไม่ใช่เพื่อนคู่หู  แต่ก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าต่อกัน  เหมือนมีบางอย่างที่อธิบายไม่ถูกระหว่างพวกเขา เหมือนมีความระแวดระวังขณะเดียวกันก็เชื่อใจในตัวอีกฝ่ายด้วย

“คืนนี้ผมจะนอนนี่”  ผมเอ่ยทะลุกลางปล้อง  พี่ไธม์เลิกคิ้วแปลกใจ  ส่วนเบซิลทำเพียงแค่ยกยิ้มมุมปาก

“อ้อ  ได้ซิ  โป๊ยกั๊กนอนที่เตียงเหมือนเดิมแล้วกัน  คืนนี้พี่คงทำงานโต้รุ่ง”

“พี่ไธม์นั่งทำใกล้ๆ ผม  ส่วนเบซิลอยู่ตรงโน้นเลยไป”  พี่ไธม์ส่ายหัวให้กับอาการขี้หวงของผม

“พี่ชายคุณก็ต้องอยู่กับผมด้วย  ส่วนคุณน่ะรีบดื่มนมแล้วไปนอนซะ”

“หุบปาก!”

“โป๊ยกั๊ก”  พี่ไธม์ดุเสียงเข้มที่เห็นผมหยาบคาย  ช่วยไม่ได้  บอกแล้วไงว่าผมไม่ชอบหน้าหมอนี่มากๆ ผมรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีและไม่ชอบใจเวลาผู้ชายคนนี้อยู่ใกล้ๆ พี่ไธม์  “เลิกแหย่น้องชายผมสักที!”  เบซิลยักไหล่เมื่อพี่ไธม์หันไปดุเขาอีกคน

“งั้นผมจะนอนที่โซฟา  พวกพี่ก็นั่งทำงานไปแล้วกัน”  นอนบนเตียงเดี๋ยวส่องไม่ถนัด

“แต่พรุ่งนี้โป๊ยกั๊กต้องไปโรงเรียน”

“ก็ใช่  แต่ผมไม่ไว้ใจเขา”  ผมกอดอก  ยื่นนิ้วชี้ชี้ไปยังเบซิล  อีกฝ่ายหัวเราะลงคอกับคำพูดของผม

“ตามใจ”  พี่ไธม์ที่ไม่เคยขัดใจน้องๆ ได้เลยสักครั้งถอนหายใจ

ผมอาบน้ำแล้วค้นเสื้อผ้าที่เอามาทิ้งไว้ในห้องพี่ไธม์มาใส่  พลางเดินสำรวจรอบห้อง  รวมถึงห้องน้ำด้วยว่ามีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในห้องนี้หรือไม่  มีของแปลกปลอมขึ้นมานิดหน่อย  พื้นที่ส่วนใหญ่ยังคงสภาพเดิมอยู่

โอเค  ปลอดภัย 

ผมนอนกอดผ้าห่มอยู่บนโซฟา  มองแผ่นหลังของพี่ชายที่กำลังนั่งอยู่หน้าจอโน๊ตบุ้ค  โดยมีเบซิลอยู่อีกฝั่ง  ผมไม่รู้ว่าเบซิลช่วยงานพี่ไธม์ยังไงบ้าง  เห็นแต่ว่าตรงหน้าเขามีโน๊ตบุ้ควางเรียงกันหลายตัว  บางครั้งเขาจะเรียกให้พี่ไธม์ไปดูข้อมูลบางอย่าง  พวกเขาคุยกันในเรื่องที่ผมไม่ค่อยเข้าใจ  ผมรู้ว่าตอนนี้งานของพี่ไธม์คงยุ่งยากมากเพราะคิ้วของพี่ไธม์ขมวดมุ่นตลอดเวลา

พี่ใบไธม์เป็นพี่ชายคนโตของบ้าน  อายุห่างจากผมค่อนข้างมาก  ตอนเด็กๆ พี่ไธม์จะคอยช่วยพ่อกับแม่เลี้ยงผมและกระวาน  ดังนั้นบางครั้งผมจึงรู้สึกว่าพี่ไธม์เหมือนพ่อมากกว่าพี่  ไม่ว่าเวลาไหนพี่ชายของเราก็จะปกป้องเราเสมอ  คนในครอบครัวสำคัญมาเป็นอันดับหนึ่ง  ตอนมอ.ต้นผมเคยมีเรื่องชกต่อย พี่ไธม์ที่งานรัดตัวยังวิ่งไปหาผมก่อนใคร

มองใบหน้าเคร่งเครียดของพี่ชายแล้วอดเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้  ผมไม่ค่อยไว้ใจเบซิลสักเท่าไหร่  เพราะไม่รู้ความเป็นมาของเขา  แต่ผมก็มาเฝ้าพี่ทุกวันไม่ได้  อีกอย่างถ้าผมดื้อดึงมาตามเฝ้าอาจทำให้พี่ไธม์ลำบากใจ

ผมขมวดคิ้วเมื่อเห็นสายตาของเบซิลที่มองพี่ไธม์เวลาพี่ไธม์เผลอ  มันไม่ได้แฝงเจตนาร้าย  มันวิบวับแปลกๆ  บางครั้งยังเจือความอ่อนโยนด้วย

อ่อนโยน?

ไม่มั้ง?

ผมลองแอบสังเกตอยู่พักใหญ่ๆ ก็เห็นความผิดแปลก  สีหน้าพี่ไธม์เวลาคุยเบซิล...

ผมไม่รู้ว่าพี่ไธม์รู้ตัวไหม  ว่าตัวเองทำสีหน้าแบบไหน  มันผ่อนคลายสบายใจ  ผมเห็นริมฝีปากพี่ไธม์วาดโค้งขึ้นเล็กน้อย  แทบมองไม่ออกว่ากำลังยิ้มอยู่  แต่...มันก็คือรอยยิ้ม

ทำไมรู้สึกใจหวิวๆ ชอบกลว้า?

.
.
.

“โป๊ยกั๊ก  ตื่นได้แล้ว  จะให้พี่ไปส่งที่โรงเรียนไหม?”  ผมขยี้ตาลุกขึ้นนั่งงัวเงีย  เห็นเงาคนเดินผ่านด้านหลังพี่ไธม์ไปแล้วต้องเบิกตากว้าง  เบซิล!  แล้วนี่ผมหลับไปตอนไหนวะ?

“งานพี่เสร็จแล้วเหรอ?”

“เหลือเก็บความเรียบร้อยอีกนิดหน่อย  เดี๋ยวให้เบซิลทำต่อได้  พี่จะไปส่งเราก่อน  จะกลับบ้านหรือให้พี่ไปส่งที่โรงเรียนเลย”  ผมสามารถตรงไปโรงเรียนได้เลยเพราะเอาชุดนักเรียนมาทิ้งไว้ที่นี่หนึ่งชุด  ผมหยุดคิดก่อนจะบอกให้พี่ไธม์ไปส่งบ้าน  เพราะอย่างน้อยให้เพกากับพ่อเจอหน้าพี่ไธม์สักสองนาทีก็ยังดี

หลังจากล้างหน้าแปรงฟันผมรีบโทร.ไปบอกพ่อให้เตรียมอาหารเช้าง่ายๆ สำหรับพี่ไธม์ด้วย  ไว้ให้พี่ไธม์เอากลับมากิน  เอ  แล้วจะบอกให้พ่อทำเผื่อเบซิลด้วยดีไหมนะ?

ช่างเถอะๆ เดี๋ยวจะหาว่าคนบ้านเราใจร้าย  สุดท้ายจึงบอกพ่อไปว่าให้ทำอาหารเผื่อเพื่อนพี่ไธม์ด้วยอีกชุดหนึ่ง

 
*********

“พี่โป๊ยๆ”  ผมเงยหน้าจากหนังสือการ์ตูนเล่มโปรดเมื่อได้ยินเสียงของน้องสาว

“มีอะไร?” 

“พี่ดินกับพี่ภูแย่แล้ว!”

“อะไรนะ?”

“พี่ดินกับพี่ภูกำลังโดนยำค่ะ!”  หน้าตาเพกาดูแตกตื่นตกใจมาก  ผมผุดลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งไปตามแรงฉุดดึงของน้องสาว

ภาพที่ผมเห็นเมื่อไปถึงหลังตึกเรียนคือภูธเรศกับบดินทร์ถูกไอ้เน่า  นวพลกับไอ้ครับ คำนับห้องสองรัวหมัดใส่ไม่ยั้ง  เห็นท่าทางต่อยลมมั่วๆ ของไอ้ภูแล้วปวดหัวขึ้นมาทันที  ผมวิ่งเข้าไปแทรกกลางระหว่างพวกมันสี่คน  ยกขาขึ้นยันท้องไอ้เน่าจนมันกระเด็นถอยหลัง  ก่อนจะพลิกตัวจับคอเสื้อไอ้ครับไว้มั่นแล้วทุ่มกลับหลัง  ผมได้ยินเสียงดังแอ้ก  ตามมาด้วยเสียงครางในคอเพราะจุกจากแรงกระแทก

ไอ้ครับนอนตัวงอลุกไม่ขึ้น  ขณะที่ไอ้เน่ากระเด็นหงายหลังลุกขึ้นนั่งมองมาทางผมด้วยท่าทางงุนงง  ผมกำลังจะเข้าไปซ้ำไอ้ดินที่เพิ่งตั้งสติได้วิ่งเข้ามากอดเอวแน่น  ร้องห้ามเสียงหลง

“หยุดก่อนไอ้กั๊ก!”

“ห้ามทำไม  มันต่อยมึงปากแตกขนาดนี้แล้วนะ!”  กำลังโมโหครับ  มาห้ามแบบนี้พี่ห้าวหยุดไม่อยู่ครับเพื่อน

“ไม่ๆ มึงอย่าต่อยไอ้ครับ  ต่อยแค่ไอ้เน่าคนเดียวพอ”

“อะไรของมึง?”  ผมชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวเข้าไปหาไอ้สองคนที่ผมไม่ถูกชะตานั่น

“พวกเธอทำอะไรกัน!”  ผมสบถหัวเสียเมื่อได้ยินเสียงครูฝ่ายปกครองดังขึ้น  รีบเก็บหมัดเก็บเท้ารวดเร็วแล้วหันไปดึงไอ้ครับให้ลุกขึ้นยืน  แต่มันยักจุกอยู่เข่าถึงได้อ่อนยืนไม่ไหว  ผมคว้าไหล่มันมากอดเอาไว้แน่นเพื่อพยุงไม่ให้มันล้มลงไป
.
.

“เราแค่เข้าใจผิดกันครับครู  อีกอย่างไอ้ครับ  เอ้ย  คำนับไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้”  ภูธเรศแจกแจงให้ครูฝ่ายปกครองฟัง

“เอ้า?”  ผมขมวดคิ้วมองเพื่อน  ไม่เข้าใจว่ามันจะปกป้องไอ้ครับไปทำไม

“จริงครับครู  นายคำนับแค่เข้ามาห้าม เอ่อ  เหมือนผม”  บดินทร์ยกมือขออนุญาตอธิบายเพิ่มเติม

“แล้วเธอล่ะ  เตวิส  เข้าไปชกต่อยกับเขาทำไม?”

“ผมนึกว่าเพื่อนผมโดนรุม”

“สองต่อสองนี่ไม่เรียกว่าโดนรุมมั่ง  เอ้ย  ไม่ใช่  หมายถึงแค่กูกับไอ้ภูสองคน  จะเรียกว่ารุมได้ไง  ถีบซะกูกระเด็น”  ไอ้เน่า  หรือนวพลเถียงทันควันที่ได้ยินผมพูดตอบคุณครู

“พอๆ ใครก็ได้อธิบายมาให้ครูฟังเดี๋ยวนี้!”

“คือผมกับนวพลมีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อย”  ไอ้ภูอธิบาย

“เราก็เลยต่อยกัน”  ไอ้เน่าเสริม

“แล้วบดินทร์กับคำนับล่ะ?”

“พวกเขาสองคนเข้ามาห้ามครับ  ห้ามไปห้ามมาก็...”  ไอ้ภูยิ้มแหย

“โดนลูกหลงครับ”  ไอ้เน่าต่อประโยคให้

“ใช่ๆ นายคำนับแค่ป้องกันตัวครับ”  ไอ้ครับกับไอ้เน่าหันไปมองไอ้ภูเป็นตาเดียว  รวมถึงผมด้วย  ครูฝ่ายปกครองคลึงขมับเหลือบตามองไอ้คำนับทีหนึ่งแล้วโบกมือไล่พวกผมออกจากห้อง

ผมยืนนิ่งหลังออกมาจากห้อง  สรุปนี่กูเสือกเอง?

“มึง”  ไอ้ภูสะกิดแขนผมเบาๆ

“อะไร!”

“แงงง  มึงอย่าดุดิ”  มันเขยิบไปหลบหลังไอ้ดิน  นี่คิดว่าไอ้ดินจะช่วยมึงได้เหรอ?  ทำกูเสียหน้าขนาดนี้ต้องเอาเลือดหัวมันออก!

“มึงอธิบายมาเดี๋ยวนี้!”  โมโหครับ  ผมทำเปลืองแรงโดยใช่เหตุ  แบบนี้มันน่าเตะอัดกำแพงนัก

“คือว่ากูกับไอ้เน่าตีกัน”  ผมเหลือบตามองไอ้นวพลที่พยักหน้าหงึกหงักตามคำพูดไอ้ภู  ก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังอีกคนที่ยืนนิ่งหน้าตาบอกบุญไม่รับอยู่ข้างๆ

“ไอ้ดินมาห้ามไอ้ภู  ส่วนไอ้ครับมาห้ามกู  แต่ตีไปตีมาโดนลูกหลงคนละหมัดสองหมัด  ทั้งไอ้ดินไอ้ครับโมโหเลยสวนพวกกูกลับ”

“อือ  ตามนั้น”

“แล้วพวกมึงตีกันเรื่องอะไร?”

“.....”  พร้อมใจกันเงียบ  ผมหรี่ตามองพวกมันทีละคนอย่างจับผิด

“ตอบ!”  ไอ้ภูสะดุ้งเฮือก  เผลอตอบออกมาอย่างลืมตัว

“ไอ้เน่ามันได้เบอร์เพกามาจากไหนไม่รู้!”

“ไอ้เน่า!”  ผมหันขวับไปหาไอ้ตัวต้นเหตุทันที  ไอ้คำนับที่เห็นผมโมโหพุ่งเอาตัวมาบังเพื่อนมันไว้  “มึงถอยไปเดี๋ยวนี้!”

“....”  ไอ้ครับไม่ตอบ  มันจ้องตากับผมไม่ลดละ  หน้าตาไม่แสดงอารมณ์คางเชิดสูง  ดูก็รู้ว่าเป็นพวกไม่ยอมคนและเอาเรื่องน่าดู

“มึงกล้า?”  ผมแสยะยิ้ม  ขยับเท้าเข้าใกล้คนตรงหน้ามากขึ้นอีกนิด  ปลายจมูกเราห่างกันแค่นิดเดียว

“ก็ไม่คิดจะหนีอยู่แล้ว”  ผมเพิ่งเคยได้ยินเสียงมัน   เสียงไอ้ครับกังวานเสนาะหู  แต่ในอารมณ์นี้ผมคิดแต่เพียงว่ามันดูยียวนเหลือเกิน 

“เฮ้ย  ไอ้กั๊ก  อย่า”  ไอ้ภูก้าวเข้ามาดึงข้อศอกผมไว้แน่น  “กูขอ”

“แต่ไอ้เน่ามันได้เบอร์น้องกูไป  ส่วนไอ้นี่!”  ผมจ้องไอ้คำนับตาไม่กะพริบ  “มันก็แส่หาเรื่อง”

“ได้ไปแล้วยังไง  ถ้ามันโทร.ไปแล้วเพกาไม่รับเสียอย่าง”

“....”  ทั้งผมทั้งไอ้เน่ายืนนิ่ง

ผมลืมไปได้ไงว่าเพกาไม่ชอบรับโทรศัพท์เบอร์แปลกๆ  ถึงไอ้เน่าจะได้เบอร์ไปแล้วยังไง  มันโทรไป.เพกาก็ไม่รับอยู่ดี  ไอ้เน่าขมวดคิ้วขบริมฝีปากแน่น

“เอ้า  กูอุตส่าห์ไปขอมาจากเพื่อนในห้องน้องเพกา”

“ไอ้เน่า! นี่มึงจะเอาจริงๆ ใช่ไหม?”  มันเขยิบไปแอบอยู่หลังเพื่อนมัน  แต่ไม่วายโผล่หน้ามาพูดกับผม

“โป๊ยกั๊ก  กูขออนุญาตจีบน้องมึงได้ไหม?”

“มึงควรจะทำแบบนี้แต่แรก  ไม่ใช่ไปแอบหาเบอร์น้องกูลับหลังแบบนี้!”

“ก็มึงโหด”

“ถ้ามึงกลัวก็อย่าคิดมาจีบน้องกู”

“ไอ้เน่ากล้า”

“ไอ้ครับ!”  ไอ้เน่าเบิกตามองเพื่อนมันอย่างตกใจ

“ถ้ามึงชอบน้องเพกาจริงๆ มึงควรจะกล้าเข้ามาพูดกับ...พี่ชายเขาตรงๆ”  อื้อหือ  ใจกล้ากว่าเพื่อนมันเยอะ

“แต่...”

“ถ้ามึงไม่ทำให้มันถูกต้องกูจะไม่ช่วยมึงอีกแล้ว”

“มึงอ่า”  ไอ้เน่าเกาะบ่าเพื่อนมันพลางออดอ้อน  มึงควรกลัวกูมากกว่าเพื่อนมึงไหม  ไอ้หน้าจืด!



ผมไม่รู้ว่าหลังจากนั้นนายคำนับกับนวพลมันจะไปคุยอะไรกันต่อ  ผมไม่ยอมให้มันมาจีบน้องผมง่ายๆ แน่  แต่ก่อนอื่นต้องจัดการกับเพื่อนทรยศนี่

หมับ!

“อื้อ!”  ภูธเรศดิ้นแด่วๆ เมื่อผมคว้าคอมันเอาไว้  ผมตัวสูง  มือก็ใหญ่พอจะกำคอขาวๆ ของไอ้ภูได้รอบเพียงใช้แค่มือเดียว

“บอกมา  ว่ามึงห้ามไม่ให้กูต่อยไอ้ครับทำไม”

“ปะ  ปล่อย  แค่ก  กูก่อน!”  ผมปล่อยมันเป็นอิสระ  ไอ้ภูวิ่งไปหลบหลังไอ้ดิน  พลางสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะส่งสายตาตัดพ้อมาให้

“อย่ามามองอย่างนี้  มันต่อยมึงปากแตก  กูจะอัดมันคืนเสือกมาห้ามทำไม!”

“ไอ้ครับมันเด็กทุน!”  ภูธเรศตอบด้วยน้ำตาคลอเบ้า  นี่กำลังซึ้งใจที่กูอยากปกป้องมึงใช่ไหม

“แล้วไง?”

“ถ้ามันมีเรื่องชกต่อย  หรือเข้าห้องปกครองมึงคิดว่ามันจะยังได้ทุนเรียนต่อไหม”

“....”  ผมขมวดคิ้วคิดตาม

“กูไม่ใจร้ายขนาดทำให้มันไม่ได้เรียนต่อหรอกนะ”

“ก็เลยยอมให้มันต่อย?”

“เอ้า  ไอ้นี่  ก็บอกแล้วไงว่ากูต่อยกับไอ้เน่า  ไอ้ดินมาห้ามกู  ส่วนไอ้ครับมาห้ามเพื่อนมัน  เลยโดนลูกหลง”

“กูเจ็บ  โมโห  เลยผสมโรงด้วย”  บดินทร์ยักไหล่เอ่ยต่อ

หมดคำพูดกับพวกมันจริงๆ  คราวหน้าถ้ามีเรื่องจะปล่อยให้พวกมันโดนยำจนเละ  ไม่ขอร้องจะไม่ยอมช่วยพวกมันเด็ด  ไอ้พวกบ้าเอ้ย!

แต่ถึงยังไง  ผมก็ไม่ชอบหน้าไอ้ครับนั่นอยู่ดี !














โปรดติดตามตอนต่อไป

สวัสดีค่า  พาโป๊ยกั๊กมาส่งแล้ว คาดว่าตอนต่อไปจะมาส่งอาทิตย์สุดท้ายของเดือนนะคะเนื่องจากต้องห่างคอมพ์สักระยะค่ะ  อย่าเพิ่งลืมโป๊ยกั๊กเสียก่อนนะคะ แฮ่
ปล.ในตอนที่หนึ่งที่ล้อเจ้าภูว่าตีนเท่าฝาไห  นั่นมุกฮาๆ เฉยๆค่ะ

อ่านให้สนุกนะคะ  แล้วพบกันใหม่ค่ะ^^
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 3] 7-3-61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 08-03-2018 01:27:40
ตกลงกั๊กที่คู่กับครับหรือป่าวนะ  :confuse:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 3] 7-3-61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: no.fourth ที่ 08-03-2018 07:26:42
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 3] 7-3-61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: boonpa ที่ 08-03-2018 08:06:14
 :hao3: โป๊ยก๊กนี่หวงพี่น้องสุด ๆ
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 3] 7-3-61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 08-03-2018 17:34:15
โป๊ยกั๊กห้าวมาก แมนมาก นี่ก็ลุ้นอยู่ว่าจะคู่กับใครตอนแรกนึกว่าจะเป็นเบซิลแต่นึกได้ว่าคนนี้ของพี่ไธม์ เพราะฉะนั้นก็เหลือแค่ครับแล้วแหละที่จะมาคู่กับโป๊ย
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 3] 7-3-61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 08-03-2018 19:43:42
สนุกดีค่ะ
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 3] 7-3-61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 28-03-2018 23:35:15
Secret Me  คนนี้ต้องลับ!
ตอนที่4



ผมกะพริบลืมตาตื่นทั้งๆ ที่ท้องฟ้าข้างนอกยังมืดอยู่  เหลือบมองอีกคนซึ่งยังคงหลับสนิทบนเตียงฝั่งตรงข้ามแล้วยกยิ้ม  ค่อยลุกไปนั่งยองๆ ข้างเตียงอีกฝ่าย  มองดูก้อนนุ่มนิ่มใต้ผ้าห่มแล้วอดอมยิ้มไม่ได้  ผมยื่นนิ้วไปจิ้มก้อนนุ่มนิ่มนั่นเบาๆ กัดริมฝีปากพยายามกลั้นเสียงหัวเราะเมื่อกระวานส่งเสียงรำคาญในคอก่อนพลิกตัวหนี  กระวานเป็นคนตื่นยาก  ผมก่อกวนอยู่นานยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นก็เลยเลิกแกล้งแล้วลงไปชั้นล่าง
   
มีเสียงดังมาจากห้องครัวพร้อมด้วยกลิ่นอาหารชวนให้ท้องร้อง  ปรกติเช้าขนาดนี้คนเรามักจะไม่มีอาการหิวสักเท่าไหร่  แต่กับผมที่นานทีจะกินอาหารเช้าแบบนี้จึงไม่มีปัญหา  ผมเดินเข้าไปในครัวเห็นพ่อกำลังทำข้าวต้มกุ้งของโปรดของผม  มีกระเทียมสับเตรียมเอาไว้เจียวโรยหน้า  แป้งแพนเค้กที่ผสมเสร็จแล้ววางไว้อีกด้าน

   “มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับพ่อ?”

   “อ้าว  ตื่นแล้วเหรอ  ไม่เป็นไรเดี๋ยวพ่อทำเอง  เราไปนั่งเถอะ  แล้วนี่”  พ่อเทนมร้อนใส่แก้วยื่นส่งให้

   “ขอบคุณครับ”

   “เดี๋ยวพ่อเอาแพนเค้กไปให้”

   ครู่เดียวแพนเค้กแผ่นเล็กสองแผ่นในจานใบสวยก็ถูกวางตรงหน้าพร้อมขวดน้ำผึ้ง  ผมละสายตาจากข่าวภาคเช้าเงยหน้ายิ้มกว้างให้พ่อ

“ขอบคุณครับ”

พ่อก้มลงจุ๊บหน้าผากเหม่งๆ ของผมทีหนึ่งก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องครัวอีกครั้ง

“ว่าไงเจ้าหญิง?”  แมวสีดำตัวอ้วนเงยหน้ามองเมื่อผมเอ่ยทัก  เจ้าหญิงเดินเข้ามาดมเท้าผมก่อนจะกระโดดขึ้นตักแล้วเงยหน้าร้องเหมียว

ไม่นานทุกคนในบ้านก็ทยอยกันลงมาจากชั้นบน  เริ่มจากแม่ที่แลกเวรให้ได้กลับมานอนบ้านแล้วไปเข้าเวรอีกทีวันพรุ่งนี้  แม่ลงมาพร้อมรอยยิ้มและฝีเท้าเร็วรี่  ผมลุกขึ้นยืน  กางเท้ากว้างเสมอไหล่หยัดขายืนให้มั่นคงเพื่อเตรียมรับแรงโถมจากคลื่นยักษ์ลูกที่หนึ่ง

“คิดถึงจัง!”

“คิดถึงแม่เหมือนกันครับ”

ตึง ตึง ตึง  เสียงฝีเท้าของอีกสองคนดังขึ้นตามหลัง  แม่พลิกตัวออกจากอ้อมแขนผมไปยืนอยู่ด้านข้าง  เพกาที่ลากกระวานผู้ซึ่งหลับตาเดินลงมาจากชั้นบน  พอถึงตีนบันไดก็ทิ้งพี่ชายให้ยืนกอดผ้าห่มหลับอยู่ตรงนั้น  ส่วนตัวเองวิ่งแล้วกระโจนเข้าหาผม  ผมอ้าแขนจิกเท้าเตรียมรับแรงโถมจากคลื่นยักษ์ลูกที่สอง

“คิดถึงจังค่ะ!”

“คิดถึงเราเหมือนกัน”  ผมกอดน้องสาว  ก้มลงจุ๊บแก้มสองข้าง  ผมขยับเก้าอี้ให้แม่กับเพกานั่งก่อนจะเดินเข้าไปในครัว  หยิบถาดแพนเค้กที่พ่อทำเสร็จแล้วออกมาวาง  แก้วเปล่า  เหยือกนมร้อนของเพกา  ถาดกาแฟของแม่   ผมหันไปมองก้อนกลมๆ ตรงตีนบันไดแล้วส่ายหัวเดินเข้าไปหยุดยืนหน้ากองผ้าห่มนั่น

“กระวาน”

“อืม”

“พี่กระวาน?”

“อืม”  ตอบรับยังเป็นคำสั้นๆ คำเดิม  ผมยิ้มกับท่าทางนั้นก่อนก้มลงวาดแขนอุ้มทั้งคนทั้งผ้าห่มขึ้นมา  กระวานไม่ใช่คนตัวเล็ก  แถมหนักเอาเรื่อง  แต่ว่าผมแรงเยอะ  แค่นี้น่ะไหวอยู่แล้ว

“เหวอ!”  กระวานร้องเสียงหลงเมื่อโดนอุ้มตัวลอย

“ตื่นได้แล้วครับ  อาหารเช้าพร้อมแล้ว”  ผมวางเจ้าก้อนนุ่มนิ่มลงบนเก้าอี้  หัวเราะกับหน้าตาเหรอหราของพี่ชาย  กระวานเอาแต่จ้องหน้าผมตาไม่กะพริบ

อาหารเช้าทยอยวางลงบนโต๊ะ   เพกาขยับเก้าอี้เข้ามาชิดกับผม  นางฟ้าของบ้านคล้องแขนพลางเอียงหัวซบต้นแขนอย่างออดอ้อน  ผมยีหัวน้องสาวด้วยความเอ็นดู  ปกติเพกาไม่ค่อยมาอ้อนแบบนี้สักเท่าไหร่อาจเป็นเพราะอายุของเราใกล้กันกว่าพี่น้องคนอื่นๆ ในบ้านจึงให้ความรู้สึกเหมือนเพื่อนกันมากกว่า  อีกข้างของผมถูกขนาบด้วยคุณแม่  ความจริงที่นั่งของแม่คือข้างๆ พ่อ  ตรงนี้เป็นที่นั่งของพี่ใบไธม์  เพราะภาระงานพี่ชายคนโตของบ้านนานๆ ทีจึงจะได้กลับมากินข้าวกับครอบครัว  แต่ผมคาดว่าวันนี้พี่ไธม์คงเตรียมเคลียร์งานไว้แล้วเรียบร้อย  ในหนึ่งเดือนพี่ไธม์จะกลับมากินข้าวบ้านอย่างน้อยเดือนละสองวัน  เพราะถ้าพี่ชายไม่กลับบ้านผมคงไม่ค่อยมีโอกาสเจอหน้าหากไม่ได้รับอนุญาต

“มีอะไร?”  ผมถามคนฝั่งตรงข้าม  กระวานยังคงไม่ละสายตาจากผม  พอโดนทักก็เหลือบสายตามองรอบโต๊ะอาหาร  พ่อหัวเราะกับท่าทางนั้น

“เช้าแล้วลูก”

“อ๊ะ  นี่เป็นวันนั้นของเดือนเหรอ?”  กระวานยอมกะพริบตาเสียที  ผมถอนหายใจโล่งอกเพราะกลัวเขาตาค้างจนกะพริบไม่ได้

“ใช่ค่ะ”  เพกาตอบ  ยังไม่ละจากต้นแขนผม  ปกติคนที่โดนเพกาอ้อนมากที่สุดในบ้านคือพี่ไธม์

“เอาล่ะ  รีบกินได้แล้ว  เดี๋ยวต้องไปส่งน้องๆ ที่โรงเรียนอีก”

“ไปสภาพนี้อ่ะนะ?”  กระวานเอาช้อนชี้ผม  พ่อเลยตีมือไปหนึ่งที

“อย่าเอาช้อนชี้หน้าน้อง  ใช่  นี่ไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อย  ทำเป็นตื่นเต้นไปได้”


กระวานมาส่งผมกับเพกาที่โรงเรียน  เขามองส่งผมเดินเข้าโรงเรียนคล้ายไม่วางใจ  โธ่เอ้ย  ก็บอกแล้วไงว่าผมมาโรงเรียนในสภาพนี้ไม่ใช่ครั้งแรก  อย่างน้อยก็เดือนละสองครั้งนั่นแหละ  ผมโบกมือไล่พี่ชายคนรองให้รีบไปช่วยพ่อที่ร้าน

“ไง”  ผมยกมือทักทายเพื่อนสนิททั้งสองคนพร้อมรอยยิ้มกว้าง  เพกายังคงคล้องแขนผมไม่ปล่อยจนถึงตอนนี้

“หือ?”  ภูธเรศเดินเข้ามาพร้อมบดินทร์  ทั้งสองคนเลิกคิ้วมองผมกับน้องสาว  “อ้อ  วันนั้นของเดือน”

“พวกนายพูดยังกับเราเป็น  เอ่อ  แบบนั้น”  ได้แต่ยิ้มแหยกับคำเปรียบเปรยของเพื่อน

“ผู้หญิงยังดีที่เป็นวันนั้นของเดือนแค่เดือนละครั้ง  แต่นายนี่เดือนหนึ่งสองครั้งแน่ะ”  ภูธเรศชูนิ้วสองนิ้วขึ้นมาให้ดู

“ไม่เอาแล้ว  รีบไปเข้าแถวกันดีกว่า”

ผมกับเพกาแยกกันเอากระเป๋าไปไว้ในห้องก่อนไปทำกิจกรรมตอนเช้าของโรงเรียน  พวกผมเดินสวนกับนายนวพลและนายคำนับ  นวพลมองหน้าผมพลางขยับเท้าหนี  ส่วนผมน่ะเหรอ  ยิ้มกว้างพร้อมโบกมือทักทาย  นวพลถึงกับเบิกตากว้าง  คำนับขมวดคิ้วหรี่ตามอง  คงกำลังคิดในใจว่าวันนี้ผมมาไม้ไหนถึงได้ส่งยิ้มให้


ช่วงพักกลางวันผมรีบวิ่งไปโรงอาหารเพื่อซื้อขนมปังเนื่องจากข้าวกล่องที่พ่อเตรียมให้ถูกภูธเรศกับบดินทร์แย่งเอาไปกินตั้งแต่คาบสอง  ผมเล็งขนมปังเนยสดชิ้นสุดท้ายบนชั้นแล้วพุ่งเข้าไปหยิบ  เป็นจังหวะเดียวกันกับมือของใครบางคนคว้าหมับพร้อมกัน  ผมหันไปมอง

ครับ  คำนับ  ตีรนันท์

คำนับมีดวงตาและเรือนผมสีน้ำตาลเข้ม  ผิวขาวซีด  รูปร่างผอมสูง  สัดส่วนความโย่งนั้นน้อยกว่าผมแค่ไม่กี่เซนติเมตร  หน้าตาค่อนทางไปทางไม่รับแขก  พอมายืนประจันกับคนหน้าตาไม่สนโลกอย่างโป๊ยกั๊ก  เลยเหมือนว่าทั้งสองคนกำลังจะมีเรื่องต่อยตีกัน  เราต่างมองหน้าอีกฝ่าย  ไม่มีใครยอมปล่อยขนมชิ้นสุดท้ายให้หลุดจากมือ  ผมขมวดคิ้ว  เขาก็ขมวดคิ้ว

“ฉันหยิบก่อน”

“เราหยิบก่อน”  ผมเถียง  เรื่องของกินสำหรับผมอย่างน้อยไปซื้ออย่างอื่นกินได้  แต่กับคนนี้ไม่รู้ทำไมผมถึงไม่อยากยอมอ่อนข้อให้  อาจเพราะหน้าตาไร้อารมณ์ของอีกฝ่าย  หรืออาจเป็นเพราะหน้าตาแบบนักเลงโตทั้งๆ ที่เป็นเด็กเรียนของเขา  หรือความจริงอาจเป็นเพราะความรู้สึกลึกๆ ของโป๊ยกั๊ก

“นาย!”  คำนับยกเท้าเตรียมกระทืบลงบนเท้าผม  เขาคำรามในคอไม่พอใจเมื่อผมขยับเท้าหลบได้  พอพลาดก็พยายามแงะนิ้วผมออกจากห่อขนมปัง  ผมตีหลังมือเขา  เขาตีแขนผม  ขนมยังคงอยู่ในมือเราสองคน  สุดท้ายผมฟันสันมือลงบนท้องแขนของคำนับรวดเร็วและเต็มแรงเหมือนที่โป๊ยกั๊กเคยทำ

“โอ๊ย!”

“ขอบใจ!”  ผมยิ้มร่า  หรี่ตามองแขนที่สั่นระริกของคำนับจากการโดนตีแล้วรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาแบบไม่รู้สาเหตุ  โธ่เอ้ย  นี่ผมติดนิสัยเสียของโป๊ยกั๊กมาใช่ไหม  ปกติผมไม่ชอบอะไรแบบนี้เลยจริงๆ นะ  ผมไม่อยากเจ็บตัวเลยไม่เคยรังแกใครในร่างนี้มาก่อน

ผมจ่ายเงินให้ป้าแม่ค้า  แกะถุงขนมกินต่อหน้าต่อตาคำนับด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยแล้วหันหลังเดินจากมา  ตอนที่กำลังจะพ้นโรงอาหารผมหันกลับไปมอง  เห็นเขาหยิบขนมปังไส้อื่นขึ้นมาจ่ายเงิน

ดีนะ  อย่างน้อยเขาก็ไม่โง่ปล่อยให้ท้องตัวเองหิวเพราะโดนแย่งขนมปังที่ชอบ

ว่าแต่พอแกล้งเขาเสร็จทำไมผมมีความสุขจัง?

โธ่  นี่น่ะต้องเป็นนิสัยของโป๊ยกั๊กซิ  ไม่ใช่นิสัยกานพลู!



“เฮ้ย  วันนี้มึงรีบกลับเหอะ  เดี๋ยวพวกกูทำเวรให้เอง”  ภูธเรศเอ่ยหลังเลิกเรียน  บดินทร์พยักหน้าเห็นด้วย

“รบกวนพวกนายทุกทีเลยอ่ะ  เราเกรงใจนะเว้ย”

“เอาน่า  นานๆ ที  อีกอย่างวันนี้พี่ไธม์จะกลับบ้านด้วยใช่ไหมล่ะ  มึงไม่ได้เจอพี่เขาบ่อยๆ นี่หว่า”

“งั้นขอบใจมากนะ!”  ผมโทร.หาเพกา  บอกว่าวันนี้จะกลับบ้านพร้อมกัน  บอกกระวานให้รอรับด้วย

ปกติกระวานมีหน้าที่มาส่งพวกเราสองพี่น้องตอนเช้า  ขากลับมารับแค่เพกา  ส่วนผมกลับเองเพราะอยู่เล่นกีฬาบ้าง  ไปทำกิจกรรมอื่นๆ กับเพื่อนบ้าง

“พี่ไธม์จะมาค่ำๆ”  กระวานบอกเมื่อพวกเราขึ้นมาบนรถ

“งั้นไปช่วยงานที่ร้านก่อนก็ได้”

ร้านอาหารของเราอยู่แถบชานเมือง  เป็นร้านเล็กๆ เน้นความอบอุ่นเหมือนครอบครัว  พวกสาวๆ จะชอบมาก  ผมก็ชอบเหมือนกันเวลามีคนน่ารักๆ แวะเวียนมาที่ร้าน  แต่กระวานชอบบ่นผมว่าทะลึ่ง  อะไรกันเล่า  ชีวิตหนุ่มน้อยมันก็ต้องมีบ้างไม่ใช่หรือไง

ผมเปลี่ยนชุดแล้วสวมผ้ากันเปื้อนสีชมพูที่มีตาสัญลักษณ์ของร้านเป็นรูปปิ่นโต  ดูน่ารักหวานแหวว   นี่น่ะพ่อเป็นคนออกแบบเองเลยนะ  น่ารักมาก!

อะแฮ่ม!

“รับอะไรดีครับ?”

“มีขนมหรือเปล่าคะ?”  น่ารักมาก! สาวสวยน่ารักแบบฉบับญี่ปุ่นเลยครับ

“มีครับ”

“ขนมแนะนำของทางร้านคืออะไรคะ?”  ผมยิ้มกว้างเต็มใจนำเสนอ

“คุกกี้ครับ”

“เอ๊ะ?”

“คุกกี้เสี่ยงทายครับ”  ผมกำลังจะร้องเพลงคุกกี้เสี่ยงทายพร้อมขยับเท้าเตรียมเต้นให้พวกเธอดู  ก็ต้องชะงักหัวเกือบทิ่มเมื่อโดนฟาดหัวจากทางด้านหลัง

“ทำบ้าอะไรของนาย!”  ผมเหลือบมองถาดกลมในมือกระวานแล้วเบ้หน้าทำปากยื่น

“ไม่ได้ทำบ้าสักหน่อย”

“ถ้านายเต้นคุกกี้เสี่ยงทายกลางร้านอาหารแล้วเกิดหมอนั่นรู้เข้า  อย่าหวังว่านายจะได้ออกมาอีกเชียว”  พอได้ยินคำขู่ของกระวานแล้วรู้สึกห่อเหี่ยวขึ้นมาเลย

“ไม่มีทางรู้หรอก  อย่างหมอนั่นน่ะ...”  ท้ายประโยคเสียงของผมเบาลง  ใจมันฟ่อไปหมดเลย

“ทำไมคะ  เพลงนี้ไม่ดีตรงไหน?”  เพกาที่เดินเข้ามาได้ยินคล้องแขนผมเอาไว้

“ไม่ดีตรงที่เจ้านี่ตัวโตยังกับตึกแล้วมาเต้นท่าน่ารักบ้องแบ๊วไง”  กระวานตอบเสียงดัง

“ตัวโตก็น่ารักได้นี่คะ”  น้องคนเล็กของบ้านไม่ยอม  เพกาชอบเพลงนี้มาก  ถึงขนาดเต้นได้จนจบเพลง  เห็นว่างานปีใหม่โรงเรียนห้องของเพกาจะแสดงโชว์เต้นเพลงนี้ด้วย

“นี่อ่ะนะน่ารัก?”  กระวานเอาถาดชี้ผม

“ไม่เอาแล้ว  ไม่คุยกับพี่กระวานแล้ว  ไปค่ะ  เราไปนั่งดูเพลงนี้กันในห้องดีกว่า”  เพกาลากแขนผมไปหลังร้าน  ทิ้งให้กระวานโวยวายตามหลัง

“เฮ้ย  แล้วใครจะช่วยงานในร้านเนี่ย”

“ก็พี่กระวานไง!”  เพกาหันไปตอบเสียงดังไม่แพ้กัน

เนี่ย  คนที่เสียงดังที่สุดในบ้านเราก็คือเพกาแหละ!


ช่วงเวลาอาหารเย็นวันนี้เป็นสิ่งที่ผมรอคอย  วันนี้พ่อปิดร้านเร็วกว่าเดิมสองชั่วโมง  พวกเรานั่งรถกลับบ้าน  พอถึงพ่อก็เข้าครัวเตรียมอาหารเย็น  ผมช่วยพ่อเท่าที่ช่วยได้  ส่วนกระวาน  นู่น  หมดแรงนั่งฟุบอยู่ตรงโต๊ะในห้องรับแขก  ผมได้ยินเสียงบิ๊กไบท์เข้ามาจอดหน้าบ้าน  คาดว่าน่าจะเป็นแม่ที่กลับมาจากโรงพยาบาลเพราะโดนตามเนื่องจากมีเคสด่วน  หวังว่าวันนี้แม่จะไม่พาอะไรตามกลับมาด้วยนะ  ไม่งั้นบ้านแตกแน่

ผมชะโงกหน้าออกมาจากในครัว  คนที่เดินเข้ามาไม่ใช่แม่แต่เป็นพี่ชายคนโตของบ้าน  พี่ใบไธม์ส่งยิ้มมาตั้งแต่ปากประตูเมื่อเห็นผม  ก่อนหันไปมองกระวานที่ฟุบหลับ  กระวานติดนิสัยใส่หูฟัง  ขนาดอยู่ในบ้านบางครั้งยังลืมตัว  พี่ไธม์ส่ายหัวเดินเข้าไปเขย่าปลุกจอมขี้เซา  เรียกอยู่นานก็ไม่ตื่น  ผมชี้นิ้วที่หูตัวเองตอนพี่ไธม์เงยหน้ามองผม  พี่ชายหัวเราะยื่นมือไปดึงหูฟังออกจากกระวาน

“กระวาน  ตื่นเถอะ  นอนอย่างนี้จะเมื่อยเอานะ”

“อื้อ  พี่ไธม์?”  กระวานยืดตัวขึ้นบิดขี้เกียจ

เพกาเพิ่งอาบน้ำเสร็จลงมาจากชั้นบน  พอเห็นพี่ไธม์ก็วิ่งเข้าไปกอดแขนออดอ้อน  ผมวิ่งเข้าไปบ้าง  อยากลองกอดแขนพี่ไธม์อย่างที่เพกาทำ  แต่ติดว่าผมตัวโตเกินไปสุดท้ายเลยกอดคอพี่ชายแทน

“อาหารเย็นวันนี้ผมช่วยพ่อทำด้วยนะ”  คุยโวสักหน่อยเผื่อพี่ชายชม

“ช่วยเยอะมาก  แค่หั่นผักเนี่ยนะ?”  กระวานลุกขึ้นไปเทน้ำเย็นใส่แก้วส่งให้พี่ไธม์

“รู้ได้ไงว่าผมแค่หั่นผักน่ะ?”

“แค่นายจับมีดก็หั่นนิ้วตัวเองแล้ว”

“โหย  ดูถูกมาก!”

“แปลว่าไม่ได้ดูผิดใช่ไหมล่ะ?”  กระวานยักคิ้วใส่  พี่ไธม์กลายเป็นเดือนถูกดาวล้อมยิ้มกว้างกับน้องๆ ทั้งสามคนที่ล้อมหน้าล้อมหลัง  พ่อโผล่หน้ามาจากห้องครัวเอ่ยทักทายลูกคนโต

“ไธม์จะอาบน้ำก่อนไหม?”

“ไม่เป็นไรครับ  อยู่คุยกับน้องก่อนดีกว่า”

“หืม?  ไธม์?  มานั่งนี่มา”  แม่ที่เพิ่งมาถึงทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาหลับตาพักครู่หนึ่งก็ผงกหัวขึ้นมามองพวกเรา  ตบที่นั่งข้างตัวให้ลูกชายคนโตเข้าไปหา  เพกากับผมเกาะหนึบพี่ชายไม่ยอมปล่อย  พี่ไธม์เลยต้องกระเตงลูกลิงสองตัวไปนั่งด้วย

“เหนื่อยไหมลูก?”

“ได้เจอทุกคนก็หายเหนื่อยแล้วครับ”

“ได้เจอทุกคนผมก็ชื่นใจเหมือนกัน”  ผมยิ้มกว้าง

“พี่ก็ดีใจที่ได้เจอเรา  กานพลู”

ใช่  ผมคือกานพลู  ผมคือเงาของโป๊ยกั๊กที่สามารถออกมาจากกระจกได้ในวันแรมสิบห้าค่ำของทุกเดือน  แค่คืนเดือนดับเท่านั้นที่ผมจะมีตัวตน...

เพราะผมออกมาได้แค่วันนี้ทุกคนจึงพร้อมใจกันกลับบ้านเพื่อให้ได้อยู่ด้วยกันแบบพร้อมหน้าพร้อมตา  เป็นหนึ่งวันที่ผมมีความสุขมาก  เป็นวันนั้นของเดือนอย่างที่ภูธเรศกับบดินทร์เรียก  เป็นลูกชายคนที่สี่ของบ้านต่อจากโป๊ยกั๊ก  เป็นหนึ่งในครอบครัวที่ทุกคนยอมรับ

ยกเว้นก็แต่....

ช่างเถอะๆ  ผมไม่ถนัดอะไรเศร้าๆ หมองๆ แบบนี้สักหน่อย

คืนนี้พี่ไธม์นอนบ้าน  ช่วงหัวค่ำผมเห็นมีสายเข้า  เหมือนจะโทร.ตามให้พี่ไธม์กลับคอนโด  แต่นี่น่ะพี่ชายบ้านผมนะ  เรื่องอะไรผมจะยอมให้ไปง่ายๆ ผมรู้หรอกว่าปลายสายคือใคร  มีคนเดียวแหละที่ตอนนี้อยู่ในคอนโดพี่  เบซิล...

เห็นว่าเบซิลเดินเข้ามาให้พี่ไธม์จับด้วยตัวเอง  ไม่รู้ว่าเพราะอะไร  ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ทางการตามตัวเขาได้ยากกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีกและไม่รู้ว่าทำอีท่าไหนถึงกลายมาเป็นช่วยงานพี่ไธม์ได้  ผมเคยเจอเขาครั้งหนึ่งตอนไปส่งข้าวให้พี่ไธม์  ไม่ซิ  สองครั้งรวมถึงตอนโป๊ยกั๊กไปเจอด้วย  โป๊ยกั๊กไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ผมเคยเจอเบซิลแล้ว  ผมค่อนข้างตื่นคนแปลกหน้าประเภทนี้  ประเภทที่ดูอันตราย  เดาว่าตอนนี้เขาคงรู้ความลับของผมกับโป๊ยกั๊กแล้ว  ก็ได้แต่ภาวนาว่าให้เบซิลไม่เป็นอันตรายกับพี่ไธม์  และถ้าเบซิลชอบพี่ไธม์จะดีมาก  เพราะเขาจะไม่มีวันทำร้ายพี่ไธม์เด็ดขาด  นี่เป็นสังหรณ์ของโป๊ยกั๊กเขาล่ะ

“ทำไมครีมไปกองอยู่บนคิ้วล่ะนั่น?”  พี่ชายคนโตหัวเราะหลังผมออกมาจากห้องน้ำ

“เอ้า  ก็มองไม่เห็นนี่นา”  ผมยื่นหน้าไปให้พี่ไธม์เกลี่ยครีมบนหน้า

น่าแปลกว่าเวลาที่ผมออกมาจากกระจก  ตอนที่ผมเป็นกานพลูแล้วส่องกระจก  ในนั้นจะไม่สะท้อนสิ่งใดออกมา ...ไม่มีเงา...  เราไม่ได้สลับที่กัน  มันก็เหมือนโป๊ยกั๊กหลับแล้วผมก็ตื่นขึ้นมาในร่างของโป๊ยกั๊ก  แบบนั้น..

นั่นเพราะผมคือเงา  ผมเป็นสิ่งสะท้อนของโป๊ยกั๊ก  เมื่อผมออกมาจากกระจก  ในกระจกจึงว่างเปล่า

เนี่ย  มันก็เลยลำบากไง  ส่องกระจกไม่ได้  เวลาจะเสริมหล่อเลยลำบากพี่ๆ น้องๆ ต้องแต่งตัวให้ตลอด

หวังว่าพรุ่งนี้เช้าตื่นมาโป๊ยกั๊กคงไม่อาวะลาดจนบ้านแตกนะ

เอาล่ะ  คืนนี้ก็ราตรีสวัสดิ์ 


*********


หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 3] 7-3-61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 28-03-2018 23:36:59
v
v
v



เช้านี้เป็นเช้าที่ผมหงุดหงิดที่สุด  ช่วงเช้ามืดผมลุกขึ้นมาซ้อมมือกับพี่ไธม์  จังหวะที่คิดว่าจะชนะแน่พี่ชายดันพูดขึ้นมาว่า ‘ได้ยินว่าเมื่อวานจะเต้นเพลงคุกกี้เสี่ยงทายกับเพกาเหรอ’  เท่านั้นแหละ  ผมสะดุดเท้าตัวเองล้มหัวคะมำและไม่ยอมลุกขึ้นมาอีกเลย  พี่ไธม์หัวเราะเดินมาฉุดผมขึ้นจากพื้น  ผมคาดโทษเจ้ากานพลูในใจ  หลังจากนั้นก็เอาผ้าไปคลุมกระจกทุกบานในบ้าน  อย่าหวังว่าจะได้ออกมาถ้าไม่ได้รับอนุญาต!

อาหารกลางวันวันนี้เป็นแซนวิซกับสลัดผัก  ผมไม่อยากยุ่งยากเพราะพ่อทำอาหารให้พี่ไธม์ก็รวบทำให้ทุกคนเหมือนกันไปเลยทีเดียว   ผมกับเพื่อนอีกสองคนหลบไปนั่งใต้ต้นเสลาเงามามี  เอ่อ  หมายถึงต้นมันไม่ใหญ่มากพอจะมีเงากว้างขวางน่ะ  พอเปิดกล่องอาหารถึงนึกขึ้นได้ว่าลืมซื้อน้ำ

“เดี๋ยวกูไปซื้อน้ำก่อน”

“งั้นฝากซื้อน้ำมะพร้าวปั่น”  ไอ้ดินยื่นเงินให้

“ของกูน้ำนางเอก”

“ถุย  อย่างมึงนี่ต้องโจรป่า!”  ผมตบหน้าผากไอ้ภูไปหนึ่งทีฐานกระแดะอยากเป็นนางเอก  ถามไอ้ดินหรือยังว่ามันจะยอมเป็นพระเอกให้มึงไหม

ผมหรี่ตามองคนที่กำลังเดินอยู่ข้างหน้า   ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัวก่อนจะสาวเท้าเข้าไปประชิด  ยกแขนขึ้นคล้องคออีกฝ่ายจากด้านหลัง  ทำให้เหยื่อของผมชะงักเซถอย  ปฏิกิริยาของหมอนี่ไวใช้ได้เมื่อรู้ตัวว่าถูกจู่โจมก็เอียงตัวหนี  แต่ผมไวกว่า  ผมขยับเท้าตามหนึ่งจังหวะออกแรงกดเขาเข้าหาตัวดึงให้อีกฝ่ายมาแนบชิดจนเคลื่อนไหวไม่สะดวก

“นาย!”

“อ่าฮะ  ฉันเอง”  ผมยกคิ้วให้อีกฝ่าย

“ปล่อย!”

“ไม่  แล้วนี่นายจะไปไหน?”

“โรงอาหาร”

“อ่าฮะ”  ผมเหลือบมองขวดน้ำเย็นในมือของคำนับแล้วยกยิ้ม  “ขอนะ”

“ไม่ให้!”  คำนับอาศัยช่วงที่ผมเผลอผ่อนแรงพลิกตัวหลุดรอดหนีไปได้  ผมตามกระชากหลังเสื้อ  อีกฝ่ายหันมาส่งหมัดจนต้องเอี้ยวตัวหลบ  เลยส่งหมัดคืนบ้างหากเขายกแขนกันเอาไว้ได้  ขยับจะเหยียบเท้าก็ก้าวถอยหนี  ผมหัวเราะในคอเมื่อหยอกอีกฝ่ายอยู่นานจนเขาต้องหายใจหอบ  ผมฉวยโอกาสนั้นพลิกตัวรวดเร็วยกขาเข่าใส่หลังขาอีกฝ่ายเต็มแรง

คำนับถึงกับทรุดคุกเข่าลงกับพื้น  ผมคว้าหมับเข้าหลังคอบังคับให้อีกฝ่ายอยู่นิ่งๆ ที่เล่นด้วยเมื่อกี้คิดว่าผมเอาจริงงั้นเหรอ  นั่นน่ะแค่หยอกเท่านั้นแหละ  ถ้าผมเอาจริงขึ้นมาสงสัยได้นอนหยอดข้าวต้มแน่

“มีอะไร?”  ถึงจะสู้ไม่ได้หากน้ำเสียงกลับไม่ยอมแพ้

“ไปซื้อน้ำให้หน่อย”

“อะไรนะ?”

“ขี้เกียจเดิน  มันร้อน”

“.......”

“ได้ยินที่พูดไหมนี่?”  ผมทรุดตัวลงนั่งซ้อนหลัง  กระซิบถามเมื่อไม่เห็นอีกฝ่ายตอบกลับมา

“นายก็ไปซื้อเองซิ”

“ก็บอกอยู่นี่ไงว่าขี้เกียจ  แถมร้อนด้วย”

“ไม่! อื้อ!”  ผมออกแรงบีบมากขึ้นทันทีที่ได้ยินคำปฏิเสธ  ยอมรับว่ากำลังทำเรื่องไม่ดีไม่งามกับเพื่อนร่วมโรงเรียนอยู่  แต่ผมยังไม่หายหงุดหงิดนี่หว่า  อีกอย่างหมอนี่เป็นเพื่อนสนิทไอ้เน่า  คนที่กล้าบังอาจมาจีบเพกา  เล่นงานทั้งหมอนี่ทั้งไอ้เน่านี่แหละแก้อาการอารมณ์เสีย!

“จะไปหรือไม่ไป?”  กดเสียงให้ต่ำลงอีกนิดเพื่อความโหด

“ก็ได้!”  คำนับกระแทกเสียงตอบรับ

“น้ำมะพร้าวปั่น  น้ำส้มกับน้ำเก๊กฮวย”  ผมยื่นเงินให้  คำนับคว้าไป...  กระชากไปจนผมคิดว่าแบงค์ร้อยจะขาดคามือเสียแล้ว  ผมเดินกลับมาหาเพื่อนแล้วกินแซนวิซต่อ

“ไหนน้ำ?”  ภูธเรศเงยหน้าถาม

“ให้เด็กไปซื้อให้แล้ว”

“เด็กไหนวะ?”  บดินทร์ขมวดคิ้วสงสัย  ผมยกยิ้ม

“ไอ้ครับ  ห้องสอง”

“เฮ้ย  แล้วมึงไปใช้มันทำไม?”

“กูหมั่นไส้มัน”

“เอ้า  มึงนี่”

“ก็มันเป็นเพื่อนไอ้เน่า  อีกอย่างกูยังไม่หายหงุดหงิดกับกานพลู  ไอ้ครับเสือกโผล่เข้ามาในสายตากูพอดี  ช่วยไม่ได้”  ยักไหล่ว่าหมอนั่นผิดเองที่เดินเข้ามาในลานสายตาผม

“มึงนี่มันจริงๆ เล้ย”

ผมนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยพลางกัดแซนวิซจนหมด  จนเสียงกริ่งบอกเวลาเข้าเรียนภาคบ่ายนั่นแหละถึงได้รู้ตัวว่าน้ำที่ฝากซื้อยังมาไม่ถึงมือ

“กูว่าแม่งเชิดเงินหนีไปแล้วม้าง?”

“....”

ดังนั้นพอกริ่งบอกเวลาเลิกเรียนผมรีบวิ่งตรงไปยังห้องสองทันที  ให้ภูธเรศถามคนอื่นดูว่าห้องสองเรียนวิชาอะไรพอรู้ก็เตรียมลับหมัดไว้พร้อม  คำนับ  นายโดนแน่!

“ไอ้ครับเหรอ?  พอกริ่งดังมันก็ออกไปแล้ว”

ไวกว่าผมอีก!

ผมวิ่งไปทางห้องน้ำเมื่อถามคนอื่นๆ ว่าไอ้ครับไปทางไหน  เห็นหลังมันแวบหายไปทางสนามหลังโรงเรียนก็รีบตามไป  ตอนแรกตั้งใจว่าจะเข้าไปกระชากมันมาชกสักทีโทษฐานที่มันเชิดเงินผมหนี  แต่เห็นท่าทางมันหันซ้ายเหลียวขวาเหมือนกลัวใครมาเห็นผมเลยหลบอยู่หลังพุ่มไม้แอบดู

รั้วโรงเรียนล้อมไว้สูงก็จริง  แต่พวกเด็กเกเรมักจะมามั่วสุมกันแถวนี้และแอบหนีโรงเรียนบ่อยๆ จึงมีเก้าอี้กับโต๊ะมาวางไว้ใต้กำแพงอยู่หลายตัว  อาจารย์ฝ่ายปกครองเคยมากวาดล้างไปหลายทีแต่ก็ยังมีมาอยู่เรื่อยๆ ไม่ขาด

ผมเห็นมือหลายคู่จับขอบกำแพงก่อนที่หัวของใครอีกหลายคนจะโผล่ออกมา  พวกมันปีนข้ามกำแพง  กระโดดเข้ามายืนอยู่หน้าไอ้ครับ

ไอ้เปรี้ยว?

ไอ้เปรี้ยวเด็กช่างกลที่ผมไม่ค่อยชอบหน้า โดยปกติพวกเราสองโรงเรียนไม่ค่อยแวะมาข้องเกี่ยวกันต่างคนต่างอยู่  ทำไมวันนี้มันแอบปีนเข้าโรงเรียนผม  แล้วไอ้ครับไปรู้จักมันได้ยังไง

ผมควานหาโทรศัพท์มือถือมาเปิดโหมดวิดีโอเพื่อถ่ายเหตุการณ์ตรงหน้า  เห็นสีหน้าไม่สู้ดีของคำนับแล้วอดสงสัยไม่ได้ว่าพวกมันเกี่ยวข้องกันยังไง

หรือคำนับมันจะค้ายา?

ไม่ได้การล่ะ  ผมต้องถ่ายวิดีโอเก็บไว้เป็นหลักฐาน  ผมรู้ว่าไอ้เปรี้ยวมันติดยาแต่ไม่รู้ว่าขายด้วยหรือเปล่า  ผมเคยช่วยพี่ไธม์หาข้อมูลพวกเด็กเกเรอยู่พักหนึ่งส่งให้หน่วยเพื่อนพี่ไธม์  อีกอย่างคำนับมันเป็นเด็กทุน  เห็นภูธเรศบอกว่ามันกำลังขอทุนเรียนต่อมหาวิทยาลัยด้วย  ขืนมันคบกับไอ้เปรี้ยวจริงคงไม่ได้ทุนเรียนต่อแน่

“ว่าไง  คิดได้หรือยัง?”

“อือ  กูขอเวลาคิดอีกนิด”  คำนับพยักหน้า  ไอ้เปรี้ยวยกยิ้ม  หน้าตาเลวๆ ของมันดูเลวกว่าเดิมหลายสิบเท่าเวลามันยิ้มแบบนี้

“คิดให้ดี เงินไม่ใช่น้อยๆ” ไอ้เปรี้ยวพ่นควันบุหรี่ใส่หน้าคำนับ   

“แล้วกูจะได้เงินตอนไหน?”  มันถามพลางหันหน้าหนีควัน

“ถ้ามึงบอกปฏิเสธทางโรงเรียนเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น”

“แล้วกูจะแน่ใจได้ยังไงว่าคนที่จ้างมึงมาจะจ่ายเงินกูจริง”

“อันนี้มึงก็ต้องยอมเสี่ยงเอาเอง”

“....”  คำนับยืนนิ่งกำหมัดแน่น  คงรู้สึกโกรธเพราะไม่มีอะไรยืนยันในสิ่งที่มันตัดสินใจ  ผมขมวดคิ้วตอนเห็นไอ้เปรี้ยวตบแก้มคำนับเบาๆ พร้อมรอยยิ้มมุมปาก  ตาเจ้าเล่ห์ของมันจับจ้องคนตรงหน้าไม่วางตา  ไอ้เปรี้ยวแกล้งอ้อยอิ่งปลายนิ้วไว้บนแก้มคำนับอยู่นานกว่าจะยอมดึงมือกลับไป

คำนับไม่ใช่คนหล่อเหลา เพียงแค่หน้าตาดีแบบธรรมดาบ้านๆ คิ้วเรียวยาวพาดเฉียง  จมูกโด่งริมฝีปากบาง  หน้าตามันดูยียวนคล้ายนักเลงโต  บางครั้งก็ดูรั้นๆ จนอยากแกล้ง  คำนับเป็นคนตัวสูงเพราะแบบนั้นเลยทำให้ดูผอมมาก  ผิวติดจะขาวซีดแบบเด็กขาดสารอาหาร  ไม่เห็นมีจุดไหนที่จะทำให้ไอ้เปรี้ยวมันติดใจจนอยากเขมือบเลยนี่นา

“อาทิตย์หน้ากูจะมาเอาคำตอบ”

ไอ้เปรี้ยวกับพรรคพวกปีนกำแพงกลับออกไป  ผมเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าเมื่อเห็นไอ้ครับเดินมาทางนี้  พอมันเดินไปตรงที่ผมซ่อนตัวได้สองก้าวผมก็ผุดลุกขึ้นยืนแล้วคว้าหลังคอมันลากเข้าด้านหลังพุ่มไม้  เหวี่ยงมันไปติดต้นไม้แล้วตามคว้าหมับเข้าคอขาวๆ นั่น

“มึงรู้จักกับไอ้เปรี้ยวได้ไง?”  ผมหรี่ตาจ้องมันถามเสียงเบา

“มึงพูดอะไรไม่รู้เรื่อง  อึ้ก!”  ผมออกแรงกดลำคออีกนิดจนใบหน้าขาวซีดนั้นซีดกว่าเดิม

“อย่ามาโกหก”

“ไม่มีอะไร  มันแค่เห็นกูขวางหูขวางตาเท่านั้น”

“กูบอกว่าอย่าโกหก! แค่ขวางหูขวางตาบ้านมึงถึงขนาดปีนรั้วโรงเรียนเข้ามาเนี่ยนะ?”

“อึ้ก!”

“ตอบ!”

“มันเรื่องของกู!”

“ถ้ามึงคบมันก็ไม่ใช่แค่เรื่องของมึง”

“?”

“มึงรู้ไหมว่ามันอาจค้ายา?”

“ก็...”  คำนับเสหลบตา

“ถ้ามึงรู้แต่ยังยอมให้มันมาหาแบบนี้คิดจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดเหรอ?”

“ไม่ใช่!”

“งั้นบอกมา”

“กูไม่ได้คิดจะขายยา  แล้วไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับไอ้เปรี้ยวมันนานด้วย”

“แล้ว?”  ผมรู้สึกว่าคำตอบของคำนับยังไม่หมดแค่นี้

“แล้วมึงเสือกมายุ่งอะไรกับกู”  ไอ้ครับพยายามผลักมือผมออก  มันปฏิเสธผมเลยยิ่งหงุดหงิดหนักกว่าเดิม

“เพราะไอ้เปรี้ยวหรอก  ไม่ใช่เพราะมึง”

“งั้นเอามือออกไป  อย่ามาเสือกกับชีวิตกู!” 

“ได้  แต่ถ้ามึงคิดจะเอายามาขายในโรงเรียนกูเอามึงตายแน่!”

ผมปล่อยคำนับเป็นอิสระ  มันไอโขลกพลางไถลตัวนั่งทันทีเมื่อผมปล่อยมือ  เหลือบมองรอยแดงบนคอมันแล้วก็ได้แต่เดาะลิ้นไม่ชอบใจ  เห็นแก้มขาวๆ ซีดๆ ที่ถูกไอ้เปรี้ยวลูบแล้วต้องหรี่ตามอง  ผมทรุดตัวลงนั่งบนส้นเท้าตรงหน้าคำนับ  คว้าคางมันมาจับพลิกซ้ายพลิกขวา

“ทำบ้าอะไร!”  ไอ้ครับพยายามปัดมือผมออก

“ไอ้เปรี้ยวมันติดใจอะไรมึง?”

“ไม่ได้ติดใจบ้าบออะไรทั้งนั้น  ปล่อย!”

“กูเห็นมันมองมึงเหมือนจะแดกเข้าไปทั้งตัว”

“?”

ผมสะบัดปลายนิ้วจนคำนับหน้าหัน  มันหันกลับมามองตาขวางใส่

“ถ้ากูเห็นมึงยื่นมือรับยาจากไอ้เปรี้ยวเมื่อไหร่...”

“......”  มันเงยหน้ามองเมื่อผมเว้นช่วงคำพูด

“มึงตายแน่!”  ขู่เสร็จก็เดินจากมา

ความจริงแล้วผมไม่ใช่คนดีขนาดที่จะมานั่งจับตาดูว่าใครขายยาเล่นยา  เพียงแต่รู้เข้าโดยบังเอิญแล้วไม่เข้าไปยุ่งแค่นั้น  เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่ตัวคน  ขืนทำตัวเป็นพ่อพระคงได้ไปนอนอยู่ก้นหลุมหาศพไม่เจอเข้าสักวัน  ผมไม่อยากให้คนในครอบครัวเดือดร้อนเท่านั้นแหละ  แต่กับคำนับ...

ทำไมผมต้องเข้าไปยุ่งกับมันด้วยวะ?

มันจะโยนอนาคตตัวเองทิ้งโดยการไปยุ่งกับไอ้เปรี้ยวก็เรื่องของมัน  มันจะคบไอ้เปรี้ยวเป็นเพื่อนหรือจะยอมโดนไอ้เปรี้ยวเขมือบเป็นขนมหวานก็ไม่ใช่เรื่องของผม  แต่...

ตอนที่เห็นสีหน้าเจ็บปวดของมันตอนที่ไอ้เปรี้ยวพูดเรื่องเงินผมก็รู้สึกว่าบางที...  บางทีผมอาจช่วยคำนับได้


เฮ้อ  แส่หาเหาใส่หัวตัวเองอีกแล้วซิเรา









โปรดติดตามต่อไป



สวัสดีค่า  เอาโป๊ยกั๊กตอนที่ 4 มาส่งแล้ว  เอ  รู้สึกว่าเรื่องของน้องเล็กจะนำหน้าพี่ชายทั้ง2ไปแล้ว TT หวังว่าคนอ่านจะไม่งงกันนะคะ  เช่นเคยค่ะ  มีตรงไหนผิดพลาด บอกกล่าว แนะนำกันได้เสมอนะคะ

ด้วยรักและคิดถึง


หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 4] 28-3-61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 29-03-2018 03:30:38
กานพูล ออกมาได้เดือนละ 2 ครั้ง แล้วอย่างนี้จะมีแฟนได้ไหมเนี่ย หรือจะมีแฟนคนเดียวกับกั๊ก น่าลุ้น ๆ  :katai3:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 4] 28-3-61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-03-2018 17:56:24
 o13
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 4] 28-3-61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 03-04-2018 20:37:49


Secret Me  คนนี้ต้องลับ!
ตอนที่5




“มึงได้ยินข่าวเรื่องที่ไอ้ครับมันจะสละทุนป้ะ?”  ผมละสายตาจากกระดานดำหันมามองเพื่อนเมื่อโดนสะกิดแขน

“สละทุน?”

“ใช่  ไอ้ครับมันขอทุนเรียนต่อมหาวิทยาลัย  แต่จู่ๆ เมื่อวานมันก็เข้าไปบอกอาจารย์ที่ปรึกษาว่าจะไม่ขอทุนแล้ว”  ภูธเรศยื่นโทรศัพท์ในมือส่งให้ผม  หน้าต่างการสนทนาของมันกับเพื่อนห้องสองยังเปิดค้างไว้

“มันก็ไม่ใช่เรื่องของเราป่ะวะ?”  ผมยื่นโทรศัพท์คืนแล้วทำท่าไม่สนใจ  หากในหัวปรากฏภาพของคำนับกับไอ้เปรี้ยวเมื่ออาทิตย์ก่อน  หรือว่าการสละทุนของคำนับจะเกี่ยวกับไอ้เปรี้ยว  แต่ไอ้เปรี้ยวไม่ใช่คนโรงเรียนนี้  ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับทุนนี้นี่นา

ตอนเย็นหลังเลิกเรียนผมบอกปัดกลุ่มเล่นบาส  หนีกลุ่มฟุตบอล  เลี่ยงชมรมคาราเต้  โดดชมรมมวยไทยเพื่อตามหลังใครบางคนออกจากโรงเรียน  คำนับเดินผ่านภัตตาคารอาหารแห่งหนึ่งก่อนจะหยุดเท้ามองเหม่อเข้าไปในนั้น  ผมมองตาม

เขาเหม่อมองอยู่นานจึงค่อยเดินต่อ  ผมเหลือบเห็นพวกไอ้เปรี้ยวอยู่ไกลลิบจึงเร่งฝีเท้าพุ่งเข้าไปลากตัวคำนับเข้าข้างทาง  เขาตกใจเกือบร้องเสียงหลงดีที่ผมอุดปากไว้ได้ทัน

“นายนัดกับพวกไอ้เปรี้ยวเหรอ?”

“?”  คำนับขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำถาม  ก่อนจะส่ายหัว

“งั้นมาทำอะไรที่นี่”  คำนับแกะมือผมออก  เบนสายตาไปทางที่ผมมอง  เขาขมวดคิ้วแน่นคงเพราะเห็นกลุ่มไอ้เปรี้ยวอย่างที่ผมพูด

“ไม่เกี่ยวอะไรกับนาย”

“อ้อ  นี่คิดจะเดินเข้าไปหามัน?”

“อย่ามายุ่ง!”  คำนับผลักอกผมให้ออกห่างเตรียมเดินจากไป  ผมรั้งเขากลับเข้ามาจุดเดิม

“คิดจะเดินไปให้มันเขมือบหรือไง”

“พูดบ้าอะไรของนาย?”  คำนับไม่ใส่ใจคำถาม

“ช่างเถอะ  งั้นฉันถามเรื่องที่นายสละทุนเรียนต่อก็ได้”

“!”

“คิดอะไรอยู่ถึงสละทุนนั่น”  ตอนที่ไอ้ภูไอ้ดินตีกับไอ้เน่า  ทั้งสามคนพยายามกันคำนับออกไปเพราะกลัวเขาจะไม่ได้ทุนเรียนต่อ  แต่เจ้าตัวกลับมาสละทุนเนี่ยนะ?

“....”

“ตอบ!”

“อย่ามาเสือกน่า!”  คำนับตะคอกกลับ  อาจเพราะผมกดดันเขาเกินไป  แต่ว่า...โดนด่าว่าเสือกแล้วก็ขอเสือกให้เต็มที่เลยแล้วกัน

“เกี่ยวกับเรื่องที่นายคุยกับไอ้เปรี้ยววันนั้นหรือเปล่า?”

“บอกว่าอย่ามายุ่ง”  คำนับเตรียมด่าต่อ  ผมควักมือถือออกมากดเข้าไฟล์วิดีโอ เปิดเล่นแล้วยื่นไปตรงหน้าเขา

“คนที่บ้านนายรู้หรือเปล่าว่านายจะสละทุน?”

ผมยกยิ้มเมื่อเห็นคำนับเงียบ  ดวงตาเรียวยาวคู่นั้นจ้องภาพเคลื่อนไหวในมือถือผมเขม็ง

“ฉันว่าฉันน่าจะไปเที่ยวบ้านนายสักหน่อยนะ  ว่าไหม?”

คำนับยังคงจ้องของในมือผมไม่ละสายตา  และก่อนที่ผมจะทันรู้ตัวเขาก็พุ่งเข้ามาเพื่อแย่งโทรศัพท์ซึ่งบันทึกหลักฐานมัดตัวเขาเอาไว้  ผมขยับเท้าก้าวถอยหลัง  เบี่ยงตัวไปด้านข้างแล้วคว้าคอเสื้อคำนับที่พุ่งถลาเข้ามาเอาไว้แน่น  ก่อนยกขาข้างที่ขยับไปด้านหลังขึ้นเข่าใส่ท้องคำนับเต็มแรง

“อุ้ก!”

“จุ๊ๆ ทำไมต้องให้ฉันใช้กำลังด้วยนะ  นายเป็นมาโซคิสเหรอ? พูดดีๆ ไม่รู้เรื่องชอบให้ซ้อมตลอด”

“แก!”  คำนับจุกจนต้องทรุดตัวลงกองกับพื้น

“เอาล่ะ  ทีนี้เราจะไปบ้านนายกันได้หรือยัง?”  ผมทรุดตัวลงนั่งให้ใบหน้าเสมอกับคำนับ  เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มสดใสราวพระอาทิตย์ในฤดูร้อน

“อือ”  คนบนพื้นพยักหน้ารับ  ผมเลยคว้าแขนข้างหนึ่งของเขาพาดคอ  พลางกอดเอวบางๆ เพื่อพยุงเขาขึ้นยืน

บ้านของคำนับเข้าไปในซอยค่อนข้างลึก  บ้านสองชั้นขนาดไม่กว้างนัก  ด้านล่างเปิดเป็นร้านขายโจ๊กช่วงเช้าวันเสาร์-อาทิตย์  แม่ของคำนับที่กำลังวุ่นอยู่ในครัวเดินออกมารับพลางส่งยิ้มกว้าง

“เป็นเพื่อนของเจ้าครับเหรอ?”

“สวัสดีครับ”

“ไหว้พระเถอะลูก  มาๆ เข้านั่งในนี้ก่อน”  แม่ของคำนับลากแขนผมไปนั่งใกล้พัดลมที่สุด  คนเป็นลูกเดินไปเทน้ำดื่มเสร็จหันมาเห็นก็โวยวายเสียงดัง

“แม่  พามันเข้ามาในบ้านทำไม!”

“เอ๊ะ  ลูกคนนี้นี่  เพื่อนมาทั้งทีปล่อยให้ยืนอยู่หน้าบ้านได้ยังไงกัน  แม่ชื่อแป้งนะ  เป็นแม่เจ้าครับมัน  แล้วชื่ออะไรล่ะเรา?”

“โป๊ยกั๊กครับ”

“อื้อ  แสดงว่าที่บ้านต้องชอบทำอาหารแน่ๆ”  แม่ของคำนับผงกหัวเมื่อได้ยินชื่อผม 

“คุณพ่อเปิดร้านอาหารครับ”

“งั้นเหรอ  จริงซิ  หิวหรือเปล่าลูก  กินข้าวก่อนไหม?” 

“มันไม่กินหรอก!”  คำนับคว้าแขนแม่เอาไว้ไม่ยอมให้ตักข้าวให้ผม

“เอ๊  ลูกคนนี้”

“แม่อย่าสิ้นเปลือง...”

“ผมกำลังหิวพอดีเลยครับ”

“เห็นไหม? เพื่อนลูกหิวแล้ว  เอางี้  เดี๋ยวแม่ตักข้าวให้แล้วลูกพาเพื่อนขึ้นไปกินชั้นบนนะ”

“มะ...แม่!”

ผมหัวเราะเมื่อน้าแป้งหันไปตักอาหารใส่จาน  กับข้าวสอง-สามอย่างถูกตักใส่ถ้วยใบเล็ก  ข้าวเปล่าสองจานถูกจัดใส่ถาดใบใหญ่ยื่นมาให้คำนับถือ

“ลูกก็ขึ้นไปกินกับเพื่อนนะ”

“แล้วแม่ล่ะ?”

“แม่ยังไม่หิวหรอก”

“ขอบคุณครับ  เดี๋ยวผมจะกินลูกน้าแป้ง  เอ้ย  กับข้าวฝีมือน้าแป้งให้เกลี้ยงเลย”  คำนับถลึงตามองเมื่อได้ยินผมพูดสองแง่สามง่ามชวนคิดลึก  ก่อนจะหันทำปากยื่นกับแม่

“แต่ว่า...”

“หิวจังน้า~ ห้องนายไปทางนี้ใช่ป่ะ?”  ผมแย่งถาดอาหารในมือเขามาถือ  หันหลังเดินขึ้นบันไดไปชั้นสองโดยที่เจ้าของไม่ทันเชื้อเชิญ

“อย่าเดินมั่วซั่วนะ”

“นี่ห้องนายเหรอ?”  ผมถือวิสาสะเปิดเข้าห้องฝั่งขวามือโดยไม่ได้รับเชิญ  ห้องติดถนนและเป็นทิศตะวันออก  เดาเอาว่าคำนับต้องนอนห้องนี้เพื่อที่น้าแป้งจะได้ไม่ถูกรบกวนจากรถที่ขับบนถนนช่วงกลางคืน  แน่นอนว่าผมเดาถูกเมื่อเห็นเขาตีสีหน้าบึ้งตึงไม่ชอบใจ

ห้องคำนับเล็กกว่าห้องของผมกับกระวานเสียอีก  ผมวางถาดอาหารลงบนโต๊ะหนังสือข้างหน้าต่าง  เตียงสามฟุตครึ่งมีกองหนังสือสุมอยู่จนเต็ม  ผมกวาดของบนนั้นลงมาวางข้างเตียงแล้วกระโดดขึ้นไปนอนเกลือกกลิ้ง

“ลงมา!”

“ไม่อ่ะ”

คำนับเข้ามาฉุดผมให้ลงจากเตียง  แต่เรื่องอะไรผมจะยอมง่ายๆ  ผมแกล้งเกร็งตัวออกแรงรั้งไม่ขยับเขยื้อนจนเมื่ออีกฝ่ายโมโหฉุดแขนผมเต็มแรงผมจึงยอมผ่อนอาการเกร็งตัวลง

“เหวอ!”

คำนับที่ออกแรงดึงผมสุดตัวเซถอยหลังล้มลงบนพื้นเสียงดังโครม  โดยมีผมทาบทับอยู่ด้านบนจากการโดนฉุด  เพราะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าจะเป็นอย่างนี้ผมจึงรีบเอามือรองหลังหัวของเขาเอาไว้

“อูย~”  หลังมือกระแทกพื้นเต็มแรง  หนำซ้ำยังมีหัวของคำนับกระแทกซ้ำก็เล่นเอาเจ็บไม่ใช่น้อยจนต้องสูดปาก

“....”  คำนับจ้องหน้าผมคล้ายกับยังตั้งสติไม่ทัน  พอหายมึนก็ทั้งผลักทั้งถีบผมออกเพื่อให้พ้นตัว

“เบาๆ ซิวะ  ร้องดังเดี๋ยวน้าแป้งก็ตกใจหรอก”

“เบาพ่อง!”  คงโมโหมาก  ทั้งแก้มทั้งหูคำนับถึงได้แดงขนาดนั้น  เขาลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่แต่ไม่วายเหลือบตามองผมอย่างเอาเรื่อง 

“นี่เบากว่าตอนเข่าใส่นายอีก”  ผมยิ้มกว้าง  ไม่ได้รู้สึกผิดสักนิด

“แล้วไม่ต้องมาเรียกแม่ฉันว่า น้าแป้งด้วย”

“อ้าว  งั้นให้เรียกอะไร  พี่แป้งงี้เหรอ?”

“หุบปากไปเลย!”

ผมยักไหล่  ไม่กลัวเสียงขู่ของเขาสักนิด   แหม  แกล้งคำนับนี่สนุกกว่าแกล้งกระวานอีก!

“ไหนว่าหิว  จะแดกไหม?”

“แดกครับแดก  แต่พูดจาไม่เพราะนะเราน่ะ”

“เสือก!”

อาหารฝีมือแม่แป้งอร่อยมาก  เป็นรสชาติแบบไทยแท้ซึ่งหากินได้ยาก  ทั้งแกงลูกกล้วย  แกงรัญจวน และยำทวาย  พ่อเคยทำให้กินเมื่อนานมาแล้วผมยังติดใจไม่หาย  หลังจัดการอาหารจนหมดผมก็นั่งผึ่งพุงลุกไม่ขึ้น

“เอาล่ะ  ทีนี้เราก็มาคุยกันได้แล้ว”  ผมดึงแขนคำนับตอนที่เขากำลังเก็บจานเปล่าใส่ถาดเพื่อยกลงไปชั้นล่าง   เขากลอกตาหลุกหลิกไปมา  สงสัยกำลังหาทางหนี   “เร็ว!”  ออกแรงรั้งนิดเดียวก็นั่งแหมะแล้ว  เนี่ย  ชอบให้ใช้กำลังอยู่เรื่อย

“คุยอะไร?”

“เรื่องทุน  ไอ้เปรี้ยวมันให้นายสละทุนแลกกับเงินใช่ไหม?”

“....”

“เงินนั่นมันมากมายถึงขนาดต้องแลกกับอนาคตนายเลยเหรอ?”

“มันก็มากพอจะต่ออนาคตนั่นแหละ”

“นายแน่ใจเหรอ? ฉันมาบ้านนายครั้งแรกยังดูรู้เลยว่าน้าแป้งภูมิใจในตัวนายแค่ไหน”

“เรื่องนั้น...”

“แล้วฉันก็เชื่อว่าแม่นายต้องดีใจมากแน่ๆ ที่นายได้ทุนเรียนต่อ”  คำนับเม้มปากแน่น  “ฉันรู้ว่านายเป็นคนฉลาด”  สอบได้อันดับหนึ่งติดกันทุกปีไม่ฉลาดได้ยังไงกันเล่า  “คงไม่ต้องให้ฉันบอกมั้งว่าควรเลือกอนาคตสั้นๆ ที่ไอ้เปรี้ยวเอามาเสนอ  หรืออนาคตยาวไกลที่นายกำลังจะเขี่ยทิ้ง”

“ฉัน...”

“นายมีเรื่องเดือดร้อนต้องใช้เงินก้อนนี้ด่วนเหรอ?”  คำนับก้มหน้า  พยายามหันหนีไปจากผม  “ฉันสัญญาว่าจะไม่หัวเราะถ้านายพูด”

“ฉันอยากเป็นเชฟ  อยากเปิดร้านอาหาร  แต่นายก็รู้ว่าการจะเรียนพวกนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายถ้าไม่มีเงินมากพอ  แม่ฉันทำงานเป็นแม่บ้านที่บริษัท... เงินก็แค่พอหมุนเวียนใช้ในบ้านเท่านั้น”

 “อ่าฮะ  แล้วนายได้คุยกับน้าแป้งบ้างหรือยัง  เรื่องเรียนน่ะ?”

“คุยแล้ว  แม่อยากให้ฉันเรียน....”   คำนับนิ่งไปไม่พูดต่อ  เขาหันไปมองกรอบรูปบนโต๊ะหนังสือ  ผมมองตามสายตานั้น  ในกรอบรูปเป็นภาพของคำนับ  น้าแป้งและอีกคนคงเป็นพ่อของเขา  คาดว่าอาจจะกำลังนึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้  ผมไม่ได้เอ่ยขัด  ให้เขาสูดลมหายใจอยู่พักใหญ่และรอฟัง  “แต่ฉันไม่รู้ว่าจะไปหาเงินจากไหน? ถึงฉันจะได้ทุนเรียนก็จริง แต่ค่าอย่างอื่นที่ต้องใช้ระหว่างนั้นก็ไม่ใช่น้อยๆ เลย  ฉันศึกษาดูแล้ว  ค่าอุปกรณ์เทอมหนึ่งตกเป็นหมื่น  แม่ทำงานทุกวันไม่ได้พักเลย  ยิ่งเห็นเขาเหนื่อยแบบนี้ฉันยิ่งรู้สึกผิด”

“กู้พ่อฉันก่อนไหม?”

“อะไรนะ?”

“ก็เหมือนกู้ กยศ. ไง”

“เดี๋ยวๆ! เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับนาย  ทำไมนายต้องยื่นมือเข้ามาด้วย”

“ฉันเสียดายทุนนั่น”  คำนับเงยหน้ามองผม  “ถ้านายยอมทิ้งศักดิ์ศรีเพื่อรับเงินจากคนที่จ้างไอ้เปรี้ยว  ก็ลดศักดิ์ศรีมายืมเงินพ่อฉันดีกว่า  อย่างน้อยอนาคตนายก็มีโอกาสหาเงินมาคืนพ่อฉันได้”

“แต่ฉันกับนายเพิ่งรู้จักกัน  พ่อนายไม่รู้จักฉัน แล้ว  แล้ว...”

“ฉันรู้จักนายมาตั้งสองอาทิตย์แล้วนี่”

“....”

หลังจากนั้นเราต่างคนต่างเงียบ  ผมปล่อยให้คำนับได้ใช้ความคิดโดยไม่เอ่ยขัดหรือก่อกวนอะไรเขาอีก  พักใหญ่ผมจึงขยับตัวคว้ากระเป๋าเป้ขึ้นสะพายบ่า

“เอาล่ะ  ฉันกลับก่อนแล้วกัน พรุ่งนี้อย่าลืมไปโรงเรียนล่ะ”

ผมกลับบ้านไปคุยเรื่องนี้กับพ่อ  บ้านเราไม่ได้ร่ำรวยอะไร  ไม่ได้มีเงินเหลือใช้  หนำซ้ำปีนี้ผมต้องเข้ามหาวิทยาลัยอีก  คงต้องใช้เงินอีกเยอะ  แต่ผมไม่อยากให้อนาคตของใครบางคนดับวูบไปแบบนั้น  มันน่าเสียดายเกินไป  อีกอย่างตีกันมาหลายที  ก็นับว่าเป็นเพื่อนกันได้อยู่  ...มั้ง  การช่วยเหลือเพื่อนก็ไม่ถือว่าเสือกอะไรมากมายนี่หว่า

**********
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 4] 28-3-61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 03-04-2018 20:38:47



“เฮ้ย  เงินแบงค์ร้อยอยู่ไหน?”  ผมตบปุลงบนบ่าจนอีกฝ่ายสะดุ้งโหยงเงยหน้าจากขนมปัง  ผมทิ้งให้ภูธเรศกับบดินทร์เฝ้ากล่องข้าวใต้ต้นเสลามุมเดิมก่อนวิ่งห้อมาอีกห้องตั้งแต่กริ่งพักเที่ยงดัง

“อ่ะ  อยู่นี่”  คำนับล้วงเงินออกจากกระเป๋ายื่นส่งให้

“ไปซื้อน้ำมาเลย”

“ไปซื้อเองซิ”

“นายนั่นแหละไปซื้อ”  คำนับถลึงตามองเมื่อโดนตบเกรียนเบาๆ ไปหนึ่งที  ผมยกยิ้มมุมปากขยับเท้าเข้าใกล้แล้วเหยียบเท้าอีกฝ่าย  ผมก้มหน้าลงถาม  ใบหน้าขาวซีดของคำนับห่างแค่คืบ  เขาเงยหน้าถลึงตาใส่  “จะไปไม่ไป?”

“ไม่!”

“เหรอ?”  ผมขยี้เท้าแรงขึ้นอีก

“โอ๊ย!”

“จะไปได้หรือยัง?”

“เออ!”

“สี่แก้วนะโว้ย!”  ผมตะโกนไล่หลัง

เนี่ย  พูดคำเดียวไม่รู้เรื่อง  ต้องให้ลงไม้ลงมือ  คำนับนี่ต้องป็นมาโซคิสแหงเลยผมมั่นใจ

“อ้ะ”  แก้วน้ำเก๊กฮวยถูกยื่นมาตรงหน้าพร้อมกับเงินทอน  ผมไม่ได้ยื่นมือออกไปรับ  ภูธเรศกับบดินทร์เบิกตากว้างจ้องหน้าคำนับคล้ายไม่เชื่อว่าหมอนี่จะเดินเอาน้ำมาให้ผม

“นั่งลง”

“ไม่  ฉันจะไปกินข้าว”

“ไหนข้าวนาย  ขนมปังเหี่ยวๆ ก้อนนั้นอ่ะนะ?”

“เออ!” โมโหด้วยแฮะ

“นั่งลง”  ผมเก็บรอยยิ้มสั่งคำนับอีกครั้ง  “จะให้ฉันตีนายอีกไหม?”

“หือ?”  เพื่อนสนิททั้งสองคนหันมาจ้องหน้าผม  แต่ผมไม่มองมันหรอก  เดี๋ยวหลุดฟอร์มคนโหด

คำนับนั่งลงข้างภูธเรศห่างจากผมประมาณสี่ช่วงแขน  ซึ่งถ้าเรียงก็คือ  คำนับ ภูธเรศ  บดินทร์และผม

“ย้ายก้นมานั่งตรงนี้”

“....”

“นับหนึ่งถึงสามถ้าไม่ลุกฉันเหยียบนายแน่”

พรึ่บ!  คำนับลุกขึ้นย้ายตัวเองมานั่งข้างผมทันที  ไอ้ภูกับไอ้ดินอ้าปากเหวอเงยหน้ามองคำนับเดินย้ายที่  แล้วผมสนไหม  ไม่  เดี๋ยวหลุดฟอร์ม   ผมยื่นกล่องข้าวที่เหลืออีกชั้นไปวางตรงหน้าคำนับ

“เฮ้ย  ทีกูสองคนมึงให้มาแค่ชั้นเดียว”  ไอ้ภูโวยวายเพราะผมให้มันแบ่งกันกินกับไอ้ดิน  ผมหันไปถลึงตาใส่เพื่อนจนมันต้องยอมหุบปากอยู่เงียบๆ แต่ไม่วายยื่นหน้ามาดูผมกับคำนับอย่างอยากรู้อยากเห็น  ดูตามันซิ  วิบวับเหมือนเจอเรื่องสนุกยังไงยังงั้น  เรื่องเสือกนี่ขอให้บอก  ภูธเรศสู้ตาย!

“กิน!”

“กูมีขนมปังแล้ว  เฮ้ย!”  ผมแย่งขนมปังมาจากมือขาวซีดนั่น

“จะกินดีๆ หรือจะให้จับยัดปาก”

“เออ”  คำนับตักอาหารใส่ปาก  แค่คำแรกเขาก็ทำตาโต  ครั้นเห็นว่าผมมองอยู่ก็แสร้งกระแอมไอทำเป็นไม่เห็นแล้วกินต่อ

ไอ้ภูมองคำนับสลับกับผมแล้วหันไปกระซิบกระซาบกับไอ้ดินพลางหัวเราะคิกคัก  ด้วยความหมั่นไส้เลยยกเท้าถีบพวกมันไปคนละที  พอจัดการอาหารตรงหน้าหมดคำนับก็ปิดฝากล่องอาหารยื่นคืน

“ไม่ขอบใจหรอกนะ  เพราะนายมาบังคับให้ฉันกินเอง”

“รู้อยู่แล้วแหละว่านายเป็นพวกไร้มารยาท”

“นายไม่ยิ่งกว่าฉันหรือไง”

ผมยักไหล่  ด่าแค่นี้ไม่เจ็บหรอกเพราะผมหน้าด้าน  พอคำนับเห็นผมไม่แสบไม่คันก็หงุดหงิด  นี่แหละ  ผมชอบตอนเขามีท่าทีแบบนี้  มันดูมีชีวิตชีวาและดีกว่าตอนที่เขาทำหน้าตาไร้อารมณ์ไม่สนโลกเสียอีก

“งั้นฉันไปแล้ว”

“เดี๋ยว”  ผมดึงมือคำนับมายัดแบงค์ร้อยใบใหม่ลงไป

 “อะไร? ค่าจ้างที่ฉันมากินข้าวด้วยเหรอ?”  ริมฝีปากบางๆ นั่นบิดขึ้นเล็กน้อยคล้ายรอยยิ้ม

“พรุ่งนี้ซื้อน้ำมาให้ด้วย”

“ไม่เอา  ฉันไม่ใช่เบ๊นายสักหน่อย”

“งั้นเป็นเสียซิ”

“นี่!”

“ถ้าพรุ่งนี้เที่ยงฉันไม่เห็นนายถือน้ำสี่แก้วมารอที่นี่ฉันบุกถึงห้องแน่”

“เออ!”  คำนับกระแทกเท้าหันหลังเตรียมเดินจากไป

“เดี๋ยว”

“อะไรอีก!”  ตาวาวแล้วอ่ะ  ดูท่าจะโกรธมาก

“น้ำแก้วนี้ของนาย”

“?”  เขาทำท่าจะเอ่ยปฏิเสธผมเลยชี้หน้า  “ฉันไม่ชอบน้ำเก๊กฮวย”

“แต่ฉันชอบ”

“ชอบก็กินเองซิ”

“ก็ฉันจะให้นายกิน”  ผมเลิกคิ้ว  กดคางลงต่ำพลางเดาะลิ้นทำทีไม่พอใจที่ถูกเขาขัดใจ

“....”

“กิน”

“ค่อยไปกินที่ห้อง”

“เดี๋ยวนี้”  ผมจิ๊ปากอีกครั้ง  คำนับขมวดคิ้วยกแก้วน้ำเก๊กฮวยขึ้นดูดทีเดียวครึ่งแก้ว  พอเห็นเขาทำท่าขนลุกผมก็รีบกดมุมปากไม่ให้เผลอหลุดหัวเราะออกมา

“พอใจหรือยัง?”

“อ่าฮะ  ไปได้”  ผมโบกนิ้วชี้กับนิ้วกลางไล่เขาด้วยท่าที่คิดว่าเท่ห์ที่สุด  “พรุ่งนี้น้ำเก๊กฮวยสี่แก้ว”  คำนับเหลือบตามองผมพลางเม้มปากแน่นแล้ววิ่งออกไป

“กูไม่กินน้ำเก๊กฮวยได้ไหม?”  ไอ้ภูแทรกขึ้นพร้อมสีหน้าเหยเก  “ขอเป็นเป๊บซี่แทนได้ป่าว?”

“กูกินพวกมึงก็ต้องกินกับกู”

“มึงไม่ได้หมายถึงว่าไอ้ครับกิน  พวกกูต้องกินเป็นเพื่อนมัน  งี้หรือเปล่า?”  ไอ้ภูเบ้ปากใส่ผม  ส่วนผมยิ้มตาหยีให้เพื่อนรัก

“กูหมายถึงพวกมึงต้องกินเหมือนกูต่างหาก  เข้าใจ๊?”

“อ๋อออ  ก็ได้  เข้าใจก็ได้”  ผมคว้าคอไอ้ภูมากอด  กดแรงลงบนบ่ามันจนมันนิ่วหน้า

“แล้วมึงไปแกล้งไอ้ครับมันทำไม?”  บดินทร์หรี่ตามองผมอย่างจับผิด

“สนุกดีออก”

“หน้าตามันไม่สนุกกับมึงเลยนะเว้ย”  บดินทร์ผู้เคร่งขรึมขัดคอ

“ไอ้กั๊กสนุกคนเดียวก็พอแล้วมั้ง”  ภูธเรศสนับสนุนผม  เพราะถ้าผมมีเหยื่อรายใหม่ผมก็จะแกล้งมันน้อยลง

“มึงก็ตามใจไอ้โป๊ยกั๊กมากไปแล้วนะ”

“หึงเหรอจ๊ะตัวเอง~”  ไอ้ภูโผเข้าไปกอดไอ้ดิน  นัวเนียไม่ยอมปล่อย  คนโดนก่อกวนเพียงแค่เอามือดันหน้าจนไอ้ภูหงายหลัง  แล้วถามว่ามันเข็ดไหม  ก็ไม่  ซ้ำยังพุ่งเข้าหาเพื่อปล้ำจูบต่ออีก

*********

ผมโบกมือลาภูธเรศกับบดินทร์แล้วขึ้นรถที่กระวานจอดรอ  เพกายิ้มกว้างก่อนจะยื่นขนมส่งให้เมื่อผมเข้าไปนั่งในรถ  ผมไถลตัวพิงเบาะรถอย่างเกียจคร้าน  เหลือบมองปิ่นโตสามชั้นที่ว่างเปล่าแล้วยกยิ้มมุมปาก

คำนับถูกผมบังคับซื้อน้ำเก๊กฮวยมาให้พร้อมบังคับกินข้าวพร้อมกันมาได้สาม-สี่วันแล้ว  ตอนแรกหมอนั่นซื้อน้ำเก๊กฮวยมาสามแก้ว  ส่วนอีกแก้วของตัวเองเป็นเป๊บซี่  พอเห็นแบบนั้นผมเลยแย่งแก้วเป๊บซี่ให้ภูธเรศแล้วเอาน้ำเก๊กฮวยมากรอกคำนับ  หลังจากนั้นหมอนั่นก็ไม่กล้าซื้อน้ำอย่างอื่นมาอีกเลย

กระวานเหยียบคันเร่งเตรียมเร่งเครื่องเมื่อกำลังจะพ้นเขตโรงเรียน  ช่วงจังหวะนั้นพลันสายตาผมก็จับภาพกลุ่มไอ้เปรี้ยวที่กำลังเลี้ยวเข้าซอย  กลางวงนั่นมีใครบางคนที่ผมคุ้นตาอยู่ในนั้น  จะไม่คุ้นได้อย่างไรในเมื่อช่วงนี้ผมบังคับให้เขาตัวติดกับผมทุกวัน

คำนับ

“กระวานจอดรถ!”  ผมผุดลุกขึ้นนั่งตัวตรงตบหลังเบาะรัวแรงจนกระวานตกใจเหยียบเบรกดังเอี๊ยด

“อะไร!”  พี่ชายคนรองหันมาถาม

“ฉันจะลงจากรถ  เดี๋ยวนายขับไปจอดให้ห่างจากตรงนี้หน่อย  แล้วก็อย่าลงมา”

“เฮ้ย  มีเรื่องอะไรหรือไง  หรือนายจะไปตีใครอีกแล้ว?”

“พี่โป๊ยกั๊กอย่าไปเลยนะคะ  เราโทร.แจ้งตำรวจดีกว่า”  เพกาทำสีหน้าวิตกกังวล  คงเพราะรู้ว่าผมจะลงรถไปทำอะไร  ในเมื่อเพกาเห็นคนกลุ่มนั้นกับคำนับเหมือนผม

“ถ้าขืนรอหมอนั่นอาจโดนยำเละ”

“หมอนั่นเป็นเพื่อนนายหรือไง?”

“...ก็อาจใช่”  ผมชะงักเมื่อกระวานถาม  “ทำตามที่ฉันบอก”  ผมไม่รอให้กระวานซักต่อรีบเปิดประตูลงจากรถ

“พี่โป๊ยกั๊ก!”  เสียงเพกาตะโกนดังอยู่ด้านหลัง  ผมเร่งฝีเท้าตรงดิ่งไปยังซอยที่พวกไอ้เปรี้ยวลากคำนับเข้าไปในนั้น

ใครก็ตีหมอนั่นไม่ได้นอกจากฉันคนเดียว!









โปรดติดตามตอนต่อไป










สวัสดีค่า  วันนี้เอาโป๊ยกั๊กมาส่งเร็วหน่อยเพราะพรุ่งนี้จะไม่อยู่ค่ะ
มาถึงตอนที่ 5 แล้วเนอะ  สี่ตอนก่อนพระ-นายของเรากว่าจะสนทนาพาทีกันก็เจ็บตัวเสียแล้ว  ซ้ำยังปะหน้ากันแค่นิด้เยวด้วย  แต่จะว่าไปในสี่ตอนที่ผ่านมาได้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวป่วนๆ มันก็สนุกดีน้า แฮ่  หลังจากตอนที่ 5 ไป  พระ-นายของเราก็จะใกล้ชิดกันแล้วค่ะ(?)  ตีกันแบบนี้รอดูตอนที่เขารักกันนะคะ  ว่าจะหลงกันแค่ไหน ฮิ
เช่นเคยค่ะ  ขอให้อ่านอย่างมีความสุขนะคะ

ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่คอยให้กันนะคะ
กอดดดดดด
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 5] 3-4-61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 03-04-2018 20:52:36
 o13
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 5] 3-4-61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 04-04-2018 02:33:06
ตอนไปถ้าครับหลงรักกานพลู กั๊กจะทำไงดีล่ะ นี่คิดเล่น ๆ นะ แต่มันก็อยากรู้จริง ๆ  :hao3:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 5] 3-4-61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 06-04-2018 14:06:25
 :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 5] 3-4-61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 12-04-2018 01:12:57
Secret Me  คนนี้ต้องลับ!
ตอนที่ 6   





ผมวิ่งตามเข้าไปกระชากไอ้คนใกล้มือที่สุดแล้วเหวี่ยงออกไป  ทั้งกลุ่มแตกฮือเมื่อเห็นผม  ส่วนคำนับเบิกตากว้างคงเพราะไม่คิดว่าจะโดนตามมา   

“ไอ้โป๊ยกั๊ก?”

“หวัดดี”  ส่งยิ้มให้ไอ้เปรี้ยว  ผมไม่ค่อยแปลกใจที่มันรู้จักผม  ขนาดผมยังรู้จักมันได้เลยนี่นา

“มึงมาที่นี่ทำไม”  มันถาม

“แล้วมึงล่ะ  มาทำอะไรใกล้โรงเรียนกู?”

“กูมีธุระกับคนนี้”  ไอ้เปรี้ยวเอาคางชี้คำนับ

“อ้อ~  พอดีกูเองก็มีธุระกับมันเหมือนกัน”  ผมชี้คำนับ

“แต่มันมากับกู  ต้องเคลียร์กับกูก่อน” 

“เรื่องอะไรล่ะ  หรือว่าเรื่องทุนเรียนต่อนั่น?”  เลิกคิ้วถามพร้อมรอยยิ้มมุมปาก

“มึงบอกมันเหรอ?”  ไอ้เปรี้ยวหันไปถามคำนับ   

“ใช่  แล้วที่ตามมึงมานี่ก็เพื่อบอกว่ากูเปลี่ยนใจแล้ว  กูจะไม่สละทุน”  ผมเลิกคิ้วหันไปมองคำนับ  รู้สึกดีที่วันนั้นผมบังคับตามมันกลับบ้านด้วย  ดีใจที่มันเปลี่ยนใจคิดเรียนต่อ

“แต่มึงรับปากแล้ว”  ไอ้เปรี้ยวหรี่ตา  แสดงท่าทีคุกคามออกมาทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น

“กูว่าวันนั้นคำนับมันไม่ได้รับปากนะ  มันแค่บอกว่าจะมาให้คำตอบ  หรือไม่ใช่?”

“อือ  วันนั้นกูบอกว่าจะมาให้คำตอบอีกที”  ไอ้เปรี้ยวเลิกคิ้วมองคำนับ  แต่ไม่ได้พูดอะไร

“ถึงคำนับจะปฏิเสธยังไงมึงก็คงไม่ได้เสียเปรียบอะไรหรอกมั้ง  ในเมื่อมึงไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับทุนนั่น”

“กูแค่มาเป็นตัวแทนพูดคุยเฉยๆ ถ้ามันไม่สละทุนกูก็ไม่ได้ว่าอะไรอยู่แล้ว แต่มันอาจจะอยู่ในโรงเรียนยากหน่อยเพราะคนที่เขาต้องการทุนคงอยากเอาคืน”

“มึงไม่ต้องห่วงมันหรอก  มันคงเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว  หมดธุระแล้วใช่ไหมกูจะได้พามันไปคุยธุระของกูต่อ”

“ธุระของคนอื่นน่ะจบแล้ว  แต่ของกูยัง”

“มีอะไร?”  คำนับขมวดคิ้วเอ่ยถาม

“ไปคุยกันที่อื่น”  ไอ้เปรี้ยวพยักเพยิดให้คำนับตามไป

“คุยตรงนี้ก็ได้”  คำนับไม่ยอมเดินตาม  เขาขมวดคิ้วพลางเหลือบตามองผม  คงรู้สึกแปลกๆ กับคำพูดนั้นของไอ้เปรี้ยว

“บอกให้ตามมาไม่ได้ยินหรือไง!”  ไอ้เปรี้ยวคว้าแขนคำนับ  ส่วนผมยื่นมือคว้าแขนไอ้เปรี้ยวอีกที 

“คำนับมันไม่อยากไปไม่ได้ยินหรือไง!”

“โป๊ยกั๊ก  เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับมึง”

“ทำไมจะไม่เกี่ยวในเมื่อหมอนี่เป็นเด็กในโรงเรียนกู”

จากนั้นเหตุการณ์กลายเป็นชุลมุนวุ่นวายขึ้นมาทันที  เพราะผมไม่ยอมให้คำนับไปกับไอ้เปรี้ยวมันเลยต่อยผม  คำนับเห็นแบบนั้นเลยถีบมันกระเด็น  พรรคพวกของมันอีกสี่-ห้าคนก็รุมเข้ามา  โชคดีว่าคำนับเองไม่ใช่คนยอมอะไรง่ายๆ จึงได้โต้ตอบกลับ  พอโดนต่อยก็เตะคืน  โดนถีบมาผมก็ใส่ท่าจระเข้ฟาดหางให้พวกมันลงกองกับพื้น  ได้แผลเขียวช้ำคนละแผลสองแผล  หนักสุดคงเป็นผมที่คิ้วแตกปากแตกจนเจ็บไปทั้งหน้า  ไอ้เปรี้ยวเห็นลูกน้องโดนสอยร่วงเกือบหมดมันเลยโมโหหนักกว่าเก่า  มันควักมีดออกมาพุ่งตรงมาทางผม  ผมเองก็พุ่งสวนเข้าหามัน  จัดท่ากางขาทรงตัวแล้วคว้าหมับ  จับมันทุ่มสุดแรง  คนกระเด็นไปทางมีดกระเด็นไปทาง  ลูกน้องมันยืนตาค้างพอตั้งสติได้ก็กรูกันเข้ามาอีก

“เฮ้ย  โป๊ยกั๊ก”

“อะไร?”  ต่อยไอ้ที่มันพุ่งมาพร้อมหันมาทางคำนับที่กำลังหน้าเหยเก

“ฉันลืมไปว่ามีเรื่องไม่ได้  เดี๋ยวอดได้ทุน”

“เอ้า  แล้วก็เพิ่งบอก!”  ผมถีบลูกน้องไอ้เปรี้ยวกระเด็นแล้วหันมาคว้าแขนคำนับวิ่งออกจากซอย  ได้ยินเสียงไอ้เปรี้ยวตะโกนไล่หลังพร้อมสั่งลูกน้องให้ไล่ตาม  ผมเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีกตอนมันเอื้อมมือไปด้านหลัง  เห็นนะโว้ย  ว่ามีปืนอ่ะ!

“เฮ้ย  กระวาน!”  ผมตกใจอ้าปากค้างจนหัวใจแทบกระดอนออกทางปากเมื่อเห็นเจ้าก้อนนุ่มนิ่มยืนแอบอยู่หน้าปากซอยพร้อมโทรศัพท์มือถือในมือที่กำลังบันทึกภาพเหตุการณ์เมื่อครู่  “บอกว่าให้อยู่ในรถไง  ตามมาทำไม!”  ลากคำนับแขนหนึ่งลากกระวานแขนหนึ่งวิ่งตรงไปยังรถของเราที่จอดอยู่  พอถึงก็ยัดทั้งสองคนที่ลากมาเข้าเบาะหลังแล้วเบียดตามไป  “ออกรถๆ!”

“ไม่ต้องห่วงค่ะ  หนูโทร.หาพี่ไธม์แล้ว  พี่ไธม์บอกว่าจะให้เพื่อนตำรวจในเขตนี้แวะมาดู”

“เฮ้อ~”  พวกเราสามคนถอนหายใจพร้อมกัน  ก่อนจะนึกได้ว่าบางอย่างผิดปกติ  ผมหันไปทางคนขับทันที

“เพก๊า!!!!”  ผมร้องเสียงหลง  ใครให้น้องขับรถวะ!

มองดูข้างหลัง  พอเห็นว่าเป็นระยะปลอดภัยกระวานก็เปลี่ยนไปขับรถแทน  เพกาแลบลิ้นยิ้มเผล่ด้วยท่าทางน่ารักตอนโดนผมมองคาดโทษ  พวกเราทั้งหมดตรงกลับบ้านทันที  แม่ที่เห็นเลือดบนหน้าผมทำเพียงแค่เลิกคิ้วมองแล้วยักไหล่ก่อนจะเดินไปหยิบกล่องทำแผลออกมาโยนให้

“แม่ดูคร่าวๆ แล้วแผลไม่ลึกมาก  เจ็บเองก็ทำแผลเองนะจ๊ะลูกรัก”  พูดจบก็เดินออกไป 

“หนูอยากช่วยทำแผลให้นะคะ  แต่...แต่...”  เห็นน้องสาวหน้าขาวซีดเลยได้แต่ถอนหายใจ

“กระวาน....”

“ไม่ๆ ฉันกลัวเลือดพอๆ กับผีนั่นแหละ”  แล้วก็วิ่งหนีหายไปเลย  เอ๊า  ยังไงล่ะทีนี้  จะไปส่องกระจกทำแผลตอนนี้คงไม่ได้  เกิดคำนับเห็นสิ่งผิดปกติขึ้นมาจะซวยเอา

“โป๊ยกั๊ก!”  พ่อเปิดประตูวิ่งเข้ามาหน้าตาตื่นตกใจ  นี่คงตรงมาจากร้านเพราะใครสักคนโทร.ไปบอกแน่ๆ

“พ่อใจเย็นๆ ก่อนนะ”  ผมคว้าแขนพ่อที่กำลังจับหน้าผมพลิกซ้ายพลิกขวาแล้วชี้ไปยังคำนับที่นั่งนิ่ง

“อ้อ  เพื่อนโป๊ยกั๊กซินะ?”  พ่อหันไปทางคำนับ  เขายกมือไหว้พ่อ  ในดวงตามีประกายไหววูบพาดผ่าน  ครู่เดียวก็จางหายไป

“สวัสดีครับ”

“ชื่ออะไรล่ะเรา?”

“ครับ  คำนับครับ”

“ชื่อแปลกดี  ว่าแต่โป๊ยกั๊กเจ็บมากไหมลูก?”  พ่อหันมาถาม

“นิดหน่อยครับ  พ่อ  ผมขอน้ำกับขนมให้เพื่อนหน่อยซิครับ”  คำนับเหลือบมองเมื่อผมพูดคำว่าเพื่อน

“ได้  ยังไงเราก็ทำแผลให้โป๊ยกั๊กทีนะ” 

“เร็วดิ”  ผมเอาคางชี้กล่องปฐมพยาบาลให้คำนับหยิบมาหลังจากพ่อลุกเข้าห้องครัวไปแล้ว

“ฉันทำเป็นที่ไหน  ทำไมไม่ให้พ่อนายทำให้?”

“ตัวต้นเหตุคือนายไม่ใช่พ่อฉันสักหน่อย”

“แล้วใครใช้ให้เสือก?”

“แล้วใครกันน้าที่ส่งสายตาขอความช่วยเหลือ”

“ไม่ได้ทำ!”

“หืม  ยังไม่ได้เอ่ยชื่อเลยนะว่าเป็นนายอ่ะ”  ผมยกยิ้ม  “โอ๊ย! ไอ้ครับ!”  มันเอาสำลีชุบแอลกอฮอล์แปะแผลผม!

“กวนตีนดีนัก  เอ่อ  แหะ แหะ”  มันหันไปหัวเราะให้พ่อที่โผล่หน้าออกมาจากห้องครัวเพราะได้ยินเสียงร้องของผมเมื่อกี้  ผมหัวเราะกับท่าทางนั้น  ไม่อยากแกล้งมันแล้ว  เดี๋ยวมันเอาแอลกอฮอล์ราดหน้าจะเสียโฉมยิ่งกว่าเดิม  ผมยิ่งไม่ค่อยหล่ออยู่ด้วย

ผมเพิ่งสังเกตชัดๆ คำนับถือว่าเป็นคนหน้าตาดีในระดับหนึ่งเลย  คราวก่อนผมว่ามันก็หน้าตาออกจะธรรมดานี่หว่า?  ผิวเนียนละเอียดติดที่ว่าซีดไปหน่อยเหมือนเด็กขาดสารอาหาร  คิ้วเรียวยาวพาดรับกับดวงตาโต  จมูกโด่ง  ริมฝีปากบาง  แต่เพราะชอบทำหน้าตาไร้อารมณ์เลยดูไร้เสน่ห์ชวนมอง  ติ่งหูสองข้างมีร่องรอยถูกเจาะ  คาดว่าเมื่อก่อนหมอนี่คงเกเรและร้ายพอตัว  การที่ไอ้เปรี้ยวมองเห็นส่วนนี้ของคำนับจนอยากเขมือบนี่แสดงว่ามันคงลอบสังเกตมานานพอดู

แผลตรงหางคิ้วเล็กแค่หนึ่งเซนไม่จำเป็นต้องเย็บ  พอคำนับล้างแผลเสร็จแม่ก็เดินมาดูแล้วตัดพลาสเตอร์ฆ่าเชื้ออันเล็กยื่นส่งให้เพื่อปิดแผลและรั้งให้ขอบแผลชิดติดกัน

“เอ้านี่  น้ำแข็ง  ครับเอาประคบรอยฟกช้ำนะ”  พ่อยื่นถุงน้ำแข็งห่อผ้าส่งให้คำนับ  อีกอันยื่นส่งให้ผมประคบมุมปาก

“ขอบคุณครับ”  คำนับรับมา  สายตาคู่นั้นหรุบลงต่ำยามที่พ่อเข้ามาใกล้

“ปากแตกกันแบบนี้คงต้องงดอาหารรสจัด  เดี๋ยวเย็นนี้พ่อทำอาหารจืดๆ แล้วกัน”

“งั้นผมขอตัวกลับ...”

“ไม่ได้  เราต้องอยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก่อน”  พ่อกดบ่าคำนับให้นั่งลงตามเดิม

“แต่แม่...”

“เดี๋ยวฉันโทร.หาน้าแป้งให้”  ผมผุดลุกขึ้นล้วงโทรศัพท์ออกมากดโทร.ออก

“นายมีเบอร์แม่ฉันได้ไง?”

“วันที่ไปบ้านนายคราวก่อนไง”  ผมยักคิ้วให้อีกฝ่าย

ผมเห็นเพกากับกระวานสบตากัน  ทุกคนในบ้านรู้จักภูธเรศกับบดินทร์แต่ไม่มีใครรู้จักคำนับและไม่เคยเห็นผมพาเขามาบ้าน  ดังนั้นการที่พ่อรั้งให้คำนับอยู่กินข้าวเย็นก็เพื่อทำความรู้จักคุ้นเคย  พ่อกับแม่ไม่เคยห้ามเรื่องคบเพื่อน  แต่เพื่อนทุกคนของลูกพ่อแม่ต้องรู้จัก  รู้จักลามไปถึงครอบครัวเลยด้วยซ้ำ  แล้วถ้าวันไหนโทร.มาบอกว่าจะค้างบ้านเพื่อนคนนี้นะ  ทุกคนในบ้านก็จะ  อ้อ  พักบ้านนี้เหรอ  จากนั้นก็จะคลายความเป็นห่วงลงเพราะรู้จักคุ้นเคยกันดีแล้ว

“เดี๋ยวผมไปส่งเพื่อนก่อนนะครับ”  หลังอาหารเย็นจบลงผมลุกขึ้นเตรียมไปส่งคำนับ

“ฉันกลับเอง”

“พ่อไปส่งเองดีกว่า”

“ไม่เป็นไรครับ  ผมกลับเองได้”  คำนับปฏิเสธรัวเร็ว

“ไม่ได้  พ่อรั้งลูกชายบ้านอื่นให้อยู่กินข้าวจนมืดค่ำ  ดังนั้นพ่อต้องไปส่งให้ถึงบ้าน”  คำนับหันมามองผม  คงกำลังคิดว่าให้ผมไปส่งแต่แรกคงสิ้นเรื่องสิ้นราวไปแล้ว  ผมยักไหล่  ถ้าพ่อเอ่ยปากแล้วก็ตามนั้นแหละครับ

ดีนะที่พรุ่งนี้เป็นวันเสาร์  ไม่อย่างนั้นถ้าคำนับเอาหน้าเขียวๆ ม่วงๆ ไปโรงเรียนคงกลายเป็นเรื่องใหญ่


*********
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 5] 3-4-61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 12-04-2018 01:17:34





วันนี้ผมมีนัดกับภูธเรศและบดินทร์หลังประชุมกันว่า  พวกเราสามคนตกลงใจไปเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันแม้จะคนละคณะฯ ก็ตาม  บดินทร์เรียนแพทย์อย่างที่ตั้งใจ  ภูธเรศเข้าคณะมนุษย์  ผมเข้าบริหาร  วันนี้เลยพากันไปดูหอพักสำหรับทั้งสองคนเนื่องจากผมไป-กลับจึงไม่ได้อยู่หอพักกับพวกเขา

“เฮ้ย  น้อง  ยกให้มันเร็วๆ หน่อยซิ  ขวางทางลูกค้าคนอื่นน่ะเห็นไหม”

“ครับพี่”

ผมจะไม่หันไปมองเลยถ้าเสียงตอบรับนั้นไม่คุ้นหู  ร่างผอมสูงของใครบางคนกำลังยกลังของเข้าไปในร้านอาหารของทางห้าง  ดูก็รู้ว่าคงหนักเอาเรื่อง  ปกติการขนของแบบนี้จะมีรถเข็นทุ่นแรงแต่คำนับกลับต้องยกโดยไม่มีทั้งเครื่องทุ่นแรงและคนช่วย

“ไหนดูซิว่าฉันเจอใคร?”  ผมลากแขนไอ้ภูกับไอ้ดินเดินตรงเข้าไปหาพร้อมกับโทรศัพท์ในโหมดวิดีโอ

“พวกน้องเป็นใครครับ  กรุณาอย่ามาขวางการทำงาน...”

“อ้าว  ไอ้ครับนี่หว่า?” ผมแสร้งร้องเสียงดังตกใจขัดจังหวะการพล่ามของพี่ชายตัวผอมเกร็งที่ชี้นิ้วสั่งคำนับเมื่อครู่นี้  พร้อมสะกิดไอ้ดินเบาๆ โดยไม่ให้คนอื่นเห็น  ใบหน้าเรียบเฉยยังมีรอยช้ำเขียวๆ ม่วงๆ ประดับอยู่ประปราย

“ทำไมมึงไม่ใช้รถเข็นตรงนั้นอ่ะคำนับ  แบกของแบบนี้เกิดหลังเสียขึ้นมาว่าไง?”

“หลังหักขึ้นมาบริษัทไม่รับผิดชอบด้วยนะมึง  กูรู้”  ภูธเรศยืดอกลอยหน้าลอยตาพูด 

“หรือว่าบริษัทนี้เขาห้ามใช้เครื่องทุ่นแรงอย่างรถเข็นของ?”  ผมเหลือบมองรุ่นพี่ร่างแคระคนนั้นซึ่งกำลังมีสีหน้าไม่สู้ดี

“แบบนี้ถ้าเกิดอะไรขึ้นมามึงฟ้องได้เลยนะ”

“ยืนเฉยอยู่ทำไม  ไปเอารถเข็นมาซิ!”  รุ่นพี่คนนั้นหันไปตะคอกคำนับ

คำนับเหลือบมองผมหากไม่ได้พูดอะไร  และไม่ได้ตอบโต้รุ่นพี่คนนั้น  เขาทำเพียงเดินไปเอาของออกจากรถเข็นก่อนจะเอามาใส่ของจากรถบรรทุกแล้วเข็นเข้าห้างไป  รุ่นพี่นั่นเหลือบมาทางพวกเราเป็นระยะ  พอเห็นเราสามคนไม่ขยับไปไหนพร้อมโทรศัพท์ในมือก็ทำทีเป็นยกของลงจากรถรอให้คำนับมาเข็น  โถ  เมื่อกี้เห็นคำนับทำคนเดียวหมดทุกอย่างเลยนี่หว่า

“เลิกงานกี่โมง?”

“ปกติสี่โมงเย็น  ต้องไปส่งของอีกห้างหนึ่ง”  ผมยกนาฬิกาขึ้นดู  ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสาม  ผมยืนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหนเพื่อรอถามคำนับ  มีภูธเรศกับบดินทร์เล่นเกมในโทรศัพท์แข่งกันอยู่ด้านหลัง

“เย็นนี้ไปกินข้าวร้านพ่อโป๊ยกั๊กกัน”  ภูธเรศชะโงกหน้าพูด

“แต่เย็นนี้ฉันต้องไปช่วยแม่ทำความสะอาดร้านกับเตรียมของทำโจ๊กพรุ่งนี้เช้า  ไม่ว่างหรอก”

“อ่าฮะ”  ผมพยักหน้าเมื่อคำนับปฏิเสธ  “งั้นนายไปทำงานต่อเถอะ”  ผมหันหลังเดินออกมาพร้อมเพื่อนทั้งสองคน  แต่ยังทันเห็นสีหน้าเหงาๆ ของคำนับตอนที่พวกผมเดินจากมา



“อ้าว ครับ  กลับมาแล้วเหรอลูก  เพื่อนๆ ลูกนี่ใจดีทุกคนเลยเนอะ  ดูซิ  ช่วยแม่ทำความสะอาดร้านแถมยังช่วยเตรียมของสำหรับวันพรุ่งนี้ให้ด้วย  แป๊บเดียวก็เสร็จเรียบร้อย”

“เพื่อน?”

“ใช่จ้ะ  สามคนนี้ไง”  น้าแป้งผายมือมาทางผมและไอ้ภู ไอ้ดิน  เราสามคนยิ้มกว้างจนปากแทบฉีกถึงหูเมื่อโดนเอ่ยชม

“พวกนายมาทำอะไรที่บ้านฉัน?”

“หืม  ตาก็ไม่ได้บอดนี่หว่า?”  ไอ้ภูเอียงหน้ามองคนที่เพิ่งเดินเข้ามาในบ้าน  คำนับกวาดตามาหยุดที่หน้าพวกเราทีละคน

“ปะ  ไปกันได้แล้ว”  ผมปัดฝุ่นออกจากกางเกง  เดินมาคล้องคอคำนับให้ออกจากบ้าน

“ไปไหน?”

“ร้านหิ้วปิ่นโตของพ่อโป๊ยกั๊กไง”  ภูธเรศยิ้มหน้าบานเพราะกำลังจะได้กินของอร่อย

“ไม่เอา  ฉันจะอยู่กินข้าวกับแม่ที่บ้าน”

“เสียใจ  ข้าวหมดแล้วโว้ย  แล้วน้าแป้งก็บอกว่าจะรอปิ่นโตมาส่ง”

“ปิ่นโตไหน?” คำนับทำหน้างงไม่เลิก

“ปิ่นโตจากที่ร้านฉันไง”

“ไม่เอา!”  ผมขยับแขนออกแรงล็อกคอจนอีกฝ่ายดิ้นไม่หลุด  ลากกันมาขึ้นแท็กซี่โดยมีบดินทร์ขนาบข้าง  ส่วนภูธเรศนั่งข้างหน้าคู่กับคนขับ

พวกเรามาถึงร้านในเวลาไม่นาน  ผมลากคำนับเข้าร้านอาหาร  อีกฝ่ายเหลียวมองไปทั่วอย่างตื่นตาตื่นใจ  มีลูกค้าบางคนหันมามองพวกเราเป็นระยะคำนับเลยก้มหน้าลงจนคางชิดอก

“อ้าว  เจอกันอีกแล้วนะ”

“สะ  สวัสดีครับ”  คำนับยกมือไหว้พ่อ  เอ๊ะ  แล้วทำไมมันต้องหูแดงเวลาเจอพ่อผมด้วยวะ?

“ตามสบายนะ  โป๊ยกั๊กพาเพื่อนไปนั่งเถอะ”

“คือ..ฉันจะกลับ”  คำนับทำท่าลุกลี้ลุกลน

“ทำไม?”

“ฉัน  ไม่เหมาะจะเข้าร้านแบบนี้หรอก”  ผมเหลือบมองเสื้อผ้าของคำนับที่เปรอะเปื้อนจากการขนของเมื่อตอนกลางวัน  หน้าตามันแผล่บ  หัวยุ่งอีกต่างหาก

“นี่ร้านอาหารธรรมดา  ไม่ใช่บนห้าง  นายจะอายอะไร?”

“คือ...”  คำนับเหลือบมองพ่อผมอีกครั้ง  แล้วก็ก้มหน้า 

บ๊ะ  ไอ้หมอนี่  คิดอะไรไม่ดีกับพ่อชาวบ้านเขาหรือเปล่าวะ!

“ถ้างั้นก็เข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตาไป”  ผมดันคำนับไปทางเค้าท์เตอร์  ด้านหลังเป็นห้องน้ำของทางสต๊าฟ  ส่วนห้องน้ำของลูกค้าอยู่ทางด้านนอก

“จะเข้าห้องน้ำเหรอลูก”  พ่อหันมาถามพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น

“ครับ  ผมอยากล้างหน้า”

“ได้ซิ  เอ้านี่  ผ้าขนหนู”  พ่อหันไปเปิดตู้เล็กด้านข้างหยิบผ้าส่งให้

“ขอบคุณครับ”

เนี่ย  ไม่เข้าใจว่ามันจะเขินพ่อผมไปทำไม  เห็นมันทำท่าเอียงอายเป็นสาวน้อยแล้วหงุดหงิดขึ้นมาเลย

หลังเสิร์ฟอาหารให้ลูกค้าหมดแล้วผมก็หยิบจานอาหารไปวางบนโต๊ะของเพื่อนๆ มีสเต็กหมูพริกไทยดำ  มันฝรั่งทอด  มันบดเนื้อเนียน  ผักโขมอบชีส  พิซซ่าโฮมเมดเน้นเครื่องจนพูนอีกสองถาด

ภูธเรศกับบดินทร์จัดการอาหารตรงหน้าโดยไม่รอคำเชื้อเชิญ  ส่วนอีกคนกลับนั่งนิ่งไม่ขยับ  คำนับเม้มปากมองอาหารพลางเหลือบตามองผม

จ๊อก~~~

“ท้องร้องขนาดนี้ยังไม่หยิบมีดหยิบส้อมขึ้นมาอีก?”

“ก็...”

“รอให้กูป้อนหรือไง?”  โมโหครับ  เลยขึ้นคำหยาบคาย  ทั้งๆ ที่หิวแล้วทำไมถึงไม่กิน

“แป๊ะมึงซิ  กูเกรงใจ”  แหม่  ไม่มียอมเสียเปรียบเลย  หยาบคายไปก็หยาบคายกลับมา

“เวลาท้องหิวก็โยนสมบัติผู้ดีทิ้งไปเหอะ  ดูอย่างไอ้สองคนนี้ดิ๊”

“อ้าว  ไอ้เหี้-ยกั๊ก!”  ไอ้ภูเตะขาผมจากใต้โต๊ะ  แต่ขอโทษหลบทันครับ

ในที่สุดคำนับก็ยอมหยิบมีดหยิบส้อมจัดการอาหารตรงหน้า  พิซซ่าโฮมเมดสองถาดหมดลงอย่างรวดเร็วในพริบตา  ไอ้ภูถึงขนาดเรอออกมาเสียงดังไม่อายสายตาใครจนไอ้ดินตบหัวมันไปทีหนึ่งที่มันบังอาจทำตัวอุบาทว์กลางร้านอาหาร

“เป็นยังไงบ้างเด็กๆ”  พ่อเดินเข้ามาหาหลังจัดการครัวเสร็จแล้วเรียบร้อย  คำนับใช้หลังมือเช็ดปากขยับนั่งตัวตรงแน่วเหมือนถูกใครเอาเข็มจิ้มตูด  ผมกดมุมปากกลั้นหัวเราะเมื่อเห็นซอสจากพิซซ่าติดข้างแก้มมัน

“ไม่ว่าพ่อจะทำอะไรออกมาก็อร่อยหมดทุกอย่างเลยครับ”  ไอ้ภูเสนอหน้าตอบคนแรก  พ่อมองจานเปล่าที่เกลี้ยงเกลาแล้วยิ้มกว้าง

“ดีใจที่ได้ยินอย่างนี้นะ  ครับ  อาให้คนไปส่งปิ่นโตที่บ้านแล้วนะ”

“เอ๊ะ?”  คำนับเงยหน้ามองพ่อเมื่อได้ยินประโยคนั้น

“เป็นห่วงคุณแม่ที่รอทานข้าวอยู่ที่บ้านใช่ไหมล่ะ  อาให้คนไปส่งปิ่นโตแล้ว  ไม่ต้องห่วง  แล้วก็นะ  อาหารฝีมืออาอร่อยขนาดนั้นเชียวเหรอ?”

“?”

“ถึงขนาดซอสเปื้อนแบบนี้”  พ่อหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วเช็ดแก้มของคำนับเบาๆ

“พ่อ  อย่าเรี่ยราด!”  ผมถลึงตามองพ่อบังเกิดเกล้า  เห็นหน้าคำนับมันไหม  แดงจนเป็นมะเขือเทศสุกแล้ว!

“เรี่ยราดอะไรเหรอ?”  ไม่ต้องมาเอียงคอถามทำหน้าตาบ้องแบ๊วเลย  เดี๋ยวจะฟ้องแม่!

“อ่อยเรี่ยราดไง”  ผมกอดอกฮึดฮัด  นี่อุตส่าห์ตามมาเฝ้าถึงร้านแล้วนะ  พ่อยังมาปล่อยเสน่ห์ใส่คนอื่นได้อีก

“พูดอะไรน่ะเรา?”  พ่อส่ายหัวก่อนจะกลับไปอยู่หลังเค้าท์เตอร์ปล่อยให้ลูกๆ พูดคุยกันเต็มที่
 .
.

พระจันทร์โผล่พ้นขอบฟ้า  อากาศยามค่ำไม่ร้อนแรงเหมือนช่วงกลางวันจังหวะการก้าวของเราจึงไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ  ผมรับรู้ได้ถึงสายตาของคนด้านข้างหากไม่ได้เอ่ยเร่งอะไร

“คือ...ขอบใจนะ”

“เรื่องอะไร?”

“ก็เรื่องเมื่อวานกับวันนี้”

“อื้อหือ  ไม่รอให้ฉันลงไปอยู่ในหลุมเสียก่อนล่ะถึงค่อยพูด”

“งั้นถือว่าเมื่อกี้ไม่ได้พูดแล้วกัน!”

“แหม  งอนเหรอจ๊ะ?”

“จ๊ะพ่อง!  อ๊ะ!”  คำนับกลอกตาหลังหลุดสบถออกมา  เพราะคำว่าพ่อง  คือพ่อผม

“พูดจาหยาบคาย  เดี๋ยวพี่ตบปากนะ”  ผมเอานิ้วจิ้มรอยช้ำม่วงตรงมุมปากคำนับแรงๆ ไปหนึ่งที

“โอ๊ย  นี่มันไม่เดี๋ยวแล้วไหม”

“อ่ะๆ  ไม่แกล้งแล้วก็ได้”  ผมหัวเราะคิกคัก  อย่างที่บอกว่าการแกล้งคำนับสนุกกว่าแกล้งกระวานเยอะเลย

“บ้านนายก็ดูอบอุ่นดี  ทำไมถึงมีลูกชายนิสัยเสียแบบนายได้วะ?”

“ถ้าอย่างฉันเรียกนิสัยเสีย  แล้วอย่างนายจะเรียกว่าอะไร?”

“....ช่างเหอะ  กลับบ้านไปเลยไป”  คำนับดูอับจนคำพูด  เขาโบกมือไล่ผมเมื่อเราเดินมาถึงหน้าบ้าน

“เปิดบ้านก่อนดิ”  ผมพยักเพยิด

“เออน่า ไปได้แล้วไป”

“เดี๋ยวนายแอบหนีแม่ไปเที่ยว  เปิดประตูเข้าบ้านเลย  เร็วๆ”

“จิ๊!”  คำนับไขกุญแจเสร็จก็เข้าบ้านปิดประตูดังปังใส่หน้าผมทันที

ผมยืนนิ่งอยู่พักหนึ่งก่อนจะหัวเราะเบาๆ  แล้วหันหลังออกเดิน  จังหวะนั้นประตูบ้านที่ปิดสนิทค่อยๆ เปิดแง้มออกมา  ผมหันกลับไปมอง  เลิกคิ้วเมื่อเห็นคำนับชะโงกหน้าจ้องมองมา

“ขอบใจจริงๆ นะโว้ย  ทั้งเรื่องเมื่อวานและวันนี้”

“อือ”  ผมพยักหน้ารับ  โบกมือให้เขาเข้าบ้าน

อา  คืนนี้อากาศดีจังเลยน้า~






โปรดติดตามตอนต่อไป








สวัสดีค่ะ เอาโป๊ยกั๊กขี้เก๊กมาส่งค่ะ  หลังจากตอนนี้  ตอนต่อไปอาจมาช้านิดนึงนะคะ  เนื่องจาก...หมดคลังสต๊อกค่ะ  แฮ่
เหมือนเดิม  ขอให้สนุกกับการอ่านนะคะ  มีตรงไหนผิดพลาดบอกกล่าวแนะนำกันได้เสมอค่ะ


ด้วยรัก
ทราย
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 5] 3-4-61 P.1
เริ่มหัวข้อโดย: cheezett ที่ 12-04-2018 02:18:39
ชอบมากๆๆ ลงชื่อติดตามม

รอตอนต่อไปค่ะ  :pig4: :L1:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 6 ] 12-4-61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 12-04-2018 10:56:43
ทำไมโป๊ยกั๊กนิสัยไม่ดีแบบนี้ละคะ ไปแกล้งครับทำไมครับน่าสงสารนะ ชอบเขาก็บอกเขาไปดีๆสิมาแกล้งกันเจ็บๆแบบนั้นใช้ได้ที่ไหน แล้วที่ครับหน้าแดงกับคุณพ่อนี่คือยังไงหว่า หลงเสน่ห์คุณพ่อหรืออย่างไร ส่วนกานพลูที่ออกมาเดือนละครั้งนี่ทำไมเหมือนมันมีปมดราม่าเบื้องหลังอีกละ หรือยังไงโป๊ยกั๊กไม่ชอบให้ออกมาอย่างนี้เหรอ

ปล.ที่ว่ากานพลูออกมาแค่คืนเดือนดับก็คือแรม 15 ค่ำนั้น ดูตามปฏิทินแล้วก็ออกมาได้แค่ครั้งเดียวนะคะไม่ใช่สอง
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 6 ] 12-4-61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 12-04-2018 11:29:49
 o13
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 6 ] 12-4-61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 13-04-2018 02:26:17
ครับหลงรักพ่อกั๊กละซิ พ่อกั๊กหน้าหวานนิ ส่วนกั๊กหึงพ่อตัวเองแม่นก่อ  :katai3:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 6 ] 12-4-61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: insomniac ที่ 13-04-2018 04:47:47
สงสารกานพลูจังออกมาได้แค่เดือนละสองครั้ง
แต่ดูๆไปก็เหมือนคนสองบุคลิกมากกว่าจะเป็นคนละคนกันจริงๆ ทั้งคู่ก็คือโป๊ยกั๊กนั่นแหละ เพียงแต่พลังพิเศษทำให้สะท้อนบุคลิกที่สองออกมาในรูปเงาในกระจก แต่ถ้าไม่ใช่ก็สงสารกานพลูจริงๆ
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 6 ] 12-4-61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 13-05-2018 02:11:22
Secret Me  คนนี้ต้องลับ!
ตอนที่7





[คำนับ]



   ผมยังคงทำงานกับบริษัทนี้ต่อ  ถึงแม้บางครั้งจะถูกเอาเปรียบจากรุ่นพี่บางคนก็ตาม  ยังไงซะก็มีการเปลี่ยนคู่ทำงานทุกเดือนอยู่แล้ว  อีกอย่างเพราะผู้จัดการใจดียอมให้ผมทำแค่ช่วงเสาร์-อาทิตย์ได้  เพราะวันจันทร์ถึงศุกร์ผมต้องไปโรงเรียน  วันนี้โชคดีที่การขนของเสร็จค่อนข้างเร็วจึงมีเวลาพักผ่อนนานขึ้น  ผมขออนุญาตรุ่นพี่ไปซื้อขนมปังในฟู๊ดคอร์ท  ขณะรอพนักงานคิดเงินผมก็หันไปเห็นร่างคุ้นตาของใครบางคนในโซนของสดกับเครื่องครัว  ใจผมเต้นตึกตักขึ้นมาทันที  พอรับขนมกับเงินทอนแล้วเลยรีบเดินเข้าไปหาเขา

“สวัสดีครับ”

“อ้าว  ครับ”  อาสีฟ้า  คุณพ่อของโป๊ยกั๊กยิ้มกว้าง  ดวงตาภายใต้แว่นกรอบใสยิบหยีดูใจดี

“มาซื้อของหรือครับ?”

“ใช่  ของขาดนิดหน่อยน่ะ  ว่าแต่เราเถอะทำงานที่นี่เหรอ?”

“งานพิเศษแค่ช่วงเสาร์-อาทิตย์ครับ”  ผมก้มลงมองเสื้อผ้าตัวเองดูว่าสกปรกมากไหม

“ขยันจังเลยน้า~”

“ก็นิดหน่อยครับ  ต้องเก็บเงินไว้เรียน”

“อ้อ  ได้ยินว่าเราขอทุนของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต  สาขาอุตสาหกรรมอาหารงั้นเหรอ?”

“ครับ”  ผมยิ้มเขิน  มือไม้ไม่รู้จะวางตรงไหนจึงยกขึ้นเกาหลังคอ

“แสดงว่าต้องเรียนเก่งมาก”

“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ”

“พยายามเข้านะ  สายนี้อาจจะยากหน่อยแต่ไม่เกินความพยายาม  อาเชื่อว่าครับทำได้แน่”

“....”  ผมยืนนิ่ง  ประโยคนั้นสร้างกระแสความรู้สึกหนึ่งขึ้นในอก  หัวตาร้อนผ่าวจนแทบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่  ผมสูดหายใจแล้วเงยหน้ายิ้มให้พ่อของโป๊ยกั๊ก  “ขอบคุณครับ”

“อืม”

“แล้วนี่อาฟ้าซื้อของครบหรือยังครับ?”

“ขาดอีกสอง-สามอย่างนะ”

“งั้นเดี๋ยวผมเข็นรถให้นะครับ”

“หืม  เอาซิ”

ผมเข็นรถให้อาฟ้าจนซื้อของครบพอจ่ายเงินเสร็จ  คิดจะไปส่งเขาที่รถก็นึกได้จึงเอ่ยปากถาม

“อาฟ้ามาคนเดียวหรือครับ?”  ถ้ามาคนเดียวผมจะได้ไปช่วยขนของขึ้นรถ

“มากับโป๊ยกั๊กน่ะ  นี่รออยู่ร้านหนังสือโน่น  เดี๋ยวอาโทร.ตามโป๊ยกั๊กก่อนนะแล้วเราไปกินข้าวกัน”  พูดไปมือก็กดโทร.ออกรวดเร็ว

“เอ่อ  ผมขอตัวก่อนดีกว่าครับ”

“ทำไมล่ะ?  อาว่าไปกินข้าวด้วยกันก่อนดีกว่า”

“อ๊ะ  ถึงเวลางานแล้วครับ  ไว้วันหลังนะครับอาฟ้า”  ผมยกมือไหว้ลาแล้วรีบเผ่นทันที

แค่โดนบังคับให้ไปกินข้าวกลางวันด้วยกันทุกวันจันทร์ถึงศุกร์  ตอนเย็นโดนตามเป็นเงา  แค่ห้าวันนั้นก็พอแล้วมั้ง  ให้เสาร์-อาทิตย์ผมได้รอดพ้นจากหมอนั่นบ้างเถอะ  ขอร้องล่ะ!

*********



“วันนี้พ่อเจอครับที่ห้างด้วย”

“หืม?”  ผมเงยหน้าจากกระปุกเครื่องเทศขึ้นมองพ่อ

“เขาเรียนอยู่ชั้นเดียวกับลูกใช่ไหม  ที่ลูกบอกว่าเขาได้ทุนเรียนต่อน่ะ  แต่ว่านะ...ไปทำงานแบบนั้นจะดีเหรอ?”

“ครับ?”

“ใช่  ครับนั่นแหละ”  พ่อเท้าแขนกับเค้าท์เตอร์  ครับ  ในที่นี้หมายถึงว่าผมขานรับพ่อ  ไม่ได้เอ่ยชื่อเจ้านั่นสักหน่อย  “พ่อว่าถ้าเขาคิดทำงานพิเศษเพื่อหาเงินเรียนน่าจะไปทำตามร้านอาหารดีกว่านะ  อย่างน้อยก็ได้เรียนรู้เรื่องอาหาร  ไปทำงานใช้แรงแบบนั้นจะมีเวลาเตรียมตัวเหรอ?”

ผมเก็บเอาคำพูดพ่อมาคิด  พอถึงวันจันทร์ช่วงพักเที่ยงหลังกินข้าวเสร็จ  คำนับเตรียมตัวลุกขึ้นจากไป  จังหวะที่เขาเดินผ่านผมยื่นเท้าไปขัดขาจนเขาสะดุดหัวเกือบทิ่มพื้น

“ทำบ้าอะไร!”

“ตะโกนทำไม  พูดเบาๆ ก็ได้ยินเหอะ”

“...”  นายขัดขาฉันทำไม?  คำนับขยับริมฝีปากโดยไม่ส่งเสียง  ผมขมวดคิ้ว  หมอนี่กำลังกวนตีนผมอยู่ใช่ไหม?  ผมเลยยกเท้าเตะน่องเขาไปทีหนึ่งแรงๆ

“นั่ง!”

“...จะไปอ่านหนังสือ”  แววตาหลุกหลิกมาก!

“ไม่เชื่อ”

“บ๊ะ!”  คำนับหงุดหงิดเมื่อผมไม่ยอมให้เขาไป

“ไม่ให้ไป”

“โป๊ยกั๊ก  นี่มึงหลงไอ้ครับขนาดนี้เลยเหรอ  ถึงขนาดไม่ให้ห่างตัวเลย?”  ภูธเรศทำตาโตจมูกบานยื่นหน้ามาถามด้วยท่าทางทะเล้น

“ที่พูดนี่ปากใช่ไหม?”  ผมเหลือบมองเพื่อนด้วยหางตา

“นุ่มนิ่มน่าจูบขนาดนี้ก็ปากน่ะซิ  เนอะดินเนอะ”  ไม่พูดเปล่า  ยื่นปากไปทางบดินทร์อีกต่างหาก

“กูนึกว่าตูด”

“ไอ้กั๊ก!”

“โว้ย  กูปวดขี้!”

“.....”

ผมนั่งสตั๊นไปสามวินาที  คำนับตะโกนลั่นก่อนวิ่งไปโน่นแล้ว  เร็วชนิดไม่เห็นฝุ่นเลยทีเดียว  ถึงว่าเมื่อกี้เห็นขนแขนเขาลุกตั้งเชียว  ที่แท้ก็ข้าศึกบุกประชิดนี่เอง

ผมนั่งรออยู่นานแต่ไม่เห็นคำนับกลับมาเลยได้แต่เข่นเขี้ยวในใจ  อุตส่าห์มีเรื่องจะพูดด้วย  ซ้ำยังใจดีปล่อยให้ไปขี้ก่อนแล้วค่อยกลับมาคุย  ดันหายหัวไปอีก  เย็นนี้เจอดีแน่นอน!

ตอนเย็นผมดักรอคำนับที่หน้าโรงเรียน  พอเห็นผมก็ทำท่าหันหลังหนี  เลยต้องกระโจนเข้าไปหิ้วคอเสื้อเหมือนหิ้วลูกแมวออกมา  ดึงกระเป๋าของอีกฝ่ายมาค้นพร้อมยึดบัตรประชาชนเอาไว้

“เฮ้ย  ทำอะไรวะ?”

“เอ้า  เวลาสมัครงานก็ต้องใช้บัตรประชาชนป่าววะ”

“สมัครงาน?”

“ใช่”

“นายจะสมัครก็ใช้บัตรนายซิ  เอาของฉันไปทำไม  อ้อ  นี่คิดจะทำเรื่องไม่ดีแล้วโยนความผิดให้ฉันใช่ไหม?”  คำนับโวยวาย

“ติดนิสัยไอ้ภูมาหรือไง  ตีโพยตีพายเบอร์ใหญ่เว่อร์”

“เบอร์เล็กเบอร์ใหญ่ก็ช่าง  เอาคืนมา!”

“ไม่”  ผมจัดการลากคำนับออกจากโรงเรียน  เพกาที่ยืนรออยู่เลิกคิ้วมองพวกเราสองคนก่อนจะยิ้มให้คนข้างๆ ผม

“พี่ครับก็จะไปที่ร้านเหรอคะ?”

“ร้านไหน?”

“ก็ร้านหิ้วปิ่นโตไงคะ”

“?”

“ใช่”  ผมตอบน้องสาวขณะที่คำนับยังมีสีหน้างงๆ

“ไม่ครับ  พี่จะรีบไปทำงาน”

“ใครอนุญาต?”  ผมยึดคอเสื้อคำนับเอาไว้อีกครั้ง  เขาดิ้นจนคอเสื้อรัดแน่นเกือบหายใจไม่ออก  หน้างี้แดงไปหมด  เฮอะ  บอกแล้วไงว่าเย็นนี้จะเจอดี

“ปล่อย!”

“หยุดดิ้นเป็นแมวได้แล้วน่า”  คำนับถลึงตามองอย่างไม่ชอบใจ  ถ้าคำนับเป็นแมวคงเป็นแมวป่าดุร้าย

“ถ้าฉันเป็นแมวงั้นนายมันก็ไอ้หมาบ้า!”  ผมพยักหน้าหงึกหงักตอบรับ  พอเห็นว่าผมไม่เจ็บแสบกับคำพูดของเขาคำนับก็ส่งเสียงฮึดฮัดไม่ชอบใจ

ผมเหลือบมองใบหน้ามู่ทู่ของคำนับแล้วรู้สึกอารมณ์ดีมาก  แกล้งใครก็ไม่สนุกเท่ากับการแกล้งเขา  อาจเป็นเพราะคำนับมีปฏิกิริยาไม่เหมือนคนอื่นๆ  คำนับสู้ผมไม่ได้ก็ยังจะสู้  ชอบแส่หาเรื่องให้ตัวเองเจ็บตัวตลอด  และแววตาเขาก็ไม่เคยยอมแพ้สักครั้ง

ผมลากคำนับไปที่ร้าน  ก่อนจะโยนร่างผอมๆ ของเขาไว้ตรงหน้าเค้าท์เตอร์  พ่อหันมามองก่อนจะยิ้มกว้างส่งให้

“ครับ  มาแล้วเหรอ?  ตัดสินใจไวดีจัง”

“ครับ?”

“อาดีใจนะที่เราจะมาทำงานพิเศษที่นี่  จะได้เรียนรู้เผื่อเอาไว้ใช้ในอนาคตเนอะ  ยินดีต้อนรับนะ”

“เดี๋ยวก่อนครับอาฟ้า!”  คำนับยันกายขึ้นยืนตัวตรง  เขามองหน้าพ่อสลับกับผมไป-มาด้วยความงุนงง  “ใครมาทำงานพิเศษที่นี่นะครับ?”

“ก็เราไง”  พ่อบอกพร้อมชี้นิ้วไปที่คำนับ  “เอ๊ะ  นี่โป๊ยกั๊กยังไม่พูดกับเราเหรอ?”

“นาย!”  คำนับหันมาถลึงตาใส่ผมอีกแล้ว

“เอ้า  ก็ตอนกลางวันนายหนีไปทำไมล่ะ?”

“ไม่ได้หนี  ฉันไปขะ...”  ขี้  คำนับชะงักคำว่าขี้พลางเหลือบไปทางพ่อผม  ส่วนพ่อที่กำลังรอฟังก็เอียงคอสามสิบองศา  เบิกตาโตเล็กน้อย  ผมถอนหายใจเฮือกแล้วเดินเข้าไปดันแก้มพ่อให้หัวตั้งตรง 

“อ้อ  นายไปขี้  แล้วเสือกไม่กลับมาฟังที่ฉันจะบอกไง”

“ก็ใครมันจะไปรู้เล่าว่านายจะพูดเรื่องนี้  ว่าแต่...อาฟ้าครับ”  คำนับพยายามชะโงกหน้ามองไปทางด้านหลังของผม  เมื่อครู่พอดันหัวพ่อให้ตั้งตรงผมก็เนียนยืนบังพ่อเอาไว้ให้พ้นสายตาคำนับ  ขืนหมอนี่เห็นท่าทางของพ่อเมื่อกี้เดี๋ยวได้หน้าแดงหูแดงอีก

“ว่าไง?”  พ่อชะโงกหน้าออกมาจากหลังผม  นั่นไง  ว่าแล้วเชียวว่าคำนับต้องหน้าแดง  ไม่ต้องดูก็รู้ว่าพ่อทำตาโตๆ ยิ้มหวานๆ อยู่แน่

“คือผมมีงานพิเศษทำอยู่แล้ว”

“อ้อ  งานส่งอาหารแช่แข็งของบริษัท...ใช่ไหม  ที่อาไปเจอเราที่ห้าง”

“ครับ”

“อืม  ที่อาชวนให้ครับมาทำงานที่นี่เพราะอยากให้ครับได้ฝึกเข้าครัวน่ะ  คิดว่าอย่างน้อยน่าจะมีประโยชน์กับเราตอนเรียนก็เลยให้โป๊ยกั๊กไปชวนเรามา”

“....”  คำนับนิ่งอึ้ง  คงเพราะไม่คิดว่าพ่อผมจะคิดเผื่อเขาในเรื่องของอนาคต

“ดูท่าโป๊ยกั๊กคงไม่ได้พูดให้ฟังแต่ลากเรามาล่ะซิ”  ผมยักไหล่เมื่อพ่อหันมาส่งสายตาคาดโทษ  “โป๊ยกั๊ก  ทำแบบนี้ไม่ดีนะรู้ไหม  ไปฉุดลูกเขาแบบนี้พ่อแม่เขาจะคิดยังไง  หืม?”

“พ่อครับ  ผมไม่ได้ไปฉุดลูกสาวใครมาทำเมียเสียหน่อย  ดูพูดจาเข้า”  เกิดคนอื่นมาได้ยินจะเข้าใจผิดไปถึงไหนเนี่ย

“เอ่อ  ถ้าอย่างนั้นผมขอเวลาหน่อยนะครับ  จู่ๆ ให้ลาออกมาแบบนี้เดี๋ยวเขาหาคนมาทำงานไม่ทัน”

*********
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 6 ] 12-4-61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 13-05-2018 02:12:19





อาทิตย์ต่อมาหลังขึ้นเดือนใหม่คำนับก็มาช่วยงานที่ร้าน  พ่อสอนให้คำนับรู้จักอุปกรณ์ต่างๆ ในครัว  สอนการแยกแยะเครื่องเทศชนิดต่างๆ  การเลือกใช้วัตถุดิบในการทำอาหาร  เทคนิคต่างๆ แบบคร่าวๆ  ผมนี่ถึงกับอ้าปากค้างตอนเห็นพ่อนั่งจดรายการว่าจะสอนอะไรคำนับบ้าง  ทำอย่างกับคำนับกำลังจะไปแข่งเป็นเชฟระดับชาติอย่างนั้นแหละ

“ครับจะได้คอยช่วยพ่อที่ร้านได้ไง  ยิ่งช่วงนี้ซันมาขอลาหยุด  ยิ่งวุ่นไปใหญ่ มีครับมา  ช่วยได้เยอะเลย  อีกอย่างตอนไปเรียนจะได้ไม่ลำบากมาก  อย่างน้อยก็มีความรู้ความชำนาญมากกว่าคนอื่น”

พ่อให้คำนับมาเรียนรู้งานตั้งแต่เช้าเพราะอยากให้เริ่มตั้งแต่การเตรียมของที่จะใช้ทำอาหารในแต่ละวัน  เขาเลยลำบากหน่อยตรงที่ต้องตื่นมาช่วยน้าแป้งต้มโจ๊กตอนเช้ามืด  จัดร้านเปิดร้านแล้วขึ้นรถเมล์มาที่ร้านหิ้วปิ่นโต  อย่างวันนี้ก็เช่นกัน

ผมมองใต้ตาดำคล้ำของคำนับแล้วส่ายหัวก่อนจะวางถุงโจ๊กลงตรงหน้าเขาพร้อมถ้วยใบเขื่อง  คำนับหยุดมือที่กำลังหั่นผักเงยหน้าขึ้นมอง

“อะไร?”

“โจ๊กน้าแป้ง”

“หืม? นายไปที่ร้านมาเหรอ?”

“ใช่  แวะช่วยแม่นายเก็บของเสร็จแล้วค่อยมา  น้าแป้งฝากโจ๊กมาให้นายด้วย”

“.......”  คำนับมองถุงโจ๊กตรงหน้านิ่ง

“นายนี่เก่งนะ  ตื่นก่อนไก่มาช่วยน้าแป้งต้มโจ๊กแล้วยังมาเตรียมวัตถุดิบที่ร้านนี้อีก”  เห็นหน้าซึมๆ ของแมวผอมตรงหน้าแล้วรู้สึกแปลกๆ ยังไงไม่รู้เลยเอ่ยปากชมเสียหน่อย

“นายไปช่วยแม่ฉันมากี่วันแล้ว”

“เอ๊ะ?”  ผมที่กำลังกอดอกหาคำพูดมาปลอบใจเขาชะงักนิ่ง  “ก็...เพิ่งไปนี่แหละ”  พูดได้แค่นั้นเมื่อคำนับเหลือบสายตามอง  ปากบางๆ ขบเม้มแน่น คิ้วเรียวยาวขมวดน้อยๆ  โอ๊ย  แล้วทำไมผมต้องรู้สึกจี๊ดๆ ในหัวใจกับสายตาเจ้าแมวนี่ด้วยล่ะเนี่ย

แววตาของคำนับรู้สึกผิด  เขารีบตื่นมาช่วยน้าแป้งก็จริงแต่เพราะต้องรีบมาช่วยงานที่ร้านนี้ด้วย  ดังนั้นหลังขายโจ๊กเสร็จน้าแป้งเลยต้องทำงานเก็บกวาดหลังจากนั้นคนเดียว

“น้าแป้งบอกว่าเก็บโต๊ะเก้าอี้ไม่กี่ตัวน่ะสบายมาก  ส่วนหม้อไหจานชามแช่น้ำเอาไว้ให้นายไปล้างตอนเย็น  ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ได้ช่วยแม่นาย”  ผมตบปุๆ ลงบนบ่าคำนับแล้ววิ่งไปหลังร้าน 

วันนี้เพกาเข้ามาปลูกผักแต่เช้าเนื่องจากช่วงบ่ายมีนัดกับเพื่อนๆ  ผมต้องเป็นคนไปส่งเพราะช่วงนี้กระวานไม่ค่อยว่าง  เห็นว่าได้งานทำแล้ว  เป็นงานกลางคืน  ดังนั้นช่วงกลางวันจึงหลับเป็นตาย  นี่ผมกำลังคิดว่าไว้ว่างๆ จะแอบไปดูที่ทำงานของกระวานเสียหน่อยว่าทำงานอะไร  อยู่ตรงไหน   ทำงานกลางคืนแถมเงินดีแบบนี้มันดูไม่ค่อยน่าไว้ใจยังไงไม่รู้  กลัวถูกหลอกไปทำงานไม่ดี  หรือถ้ามีคนพลุกพล่านกระวานอาจลำบากกับเสียงในหัวของคนพวกนั้น

“เพกาจะปลูกผักเหรอ?”  ผมหลุดจากภวังค์  เหลือบมองคำนับที่เดินไปหาเพกาตรงแปลงผัก  เขาเลิกคิ้วมองแปลงดินว่างเปล่าตรงหน้าสลับกับอีกแปลงซึ่งมีผักโตเต็มที่ใบเขียวชอุ่ม  คงแปลกใจว่าเมื่อวานแปลงนั้นเพิ่งปลูกทำไมวันนี้ถึงโตพร้อมเก็บเกี่ยวแล้ว

“ใช่ค่ะ”

“งั้นเดี๋ยวพี่ขุดหลุมให้นะ”  คำนับเดินไปหยิบเสียมมาขุดลึกพอประมาณ  เพกาตามอยู่ด้านหลังคอยหยอดเมล็ดผักแล้วกลบดิน  ผมเห็นดังนั้นเลยคว้าฝักบัวไปรดน้ำให้

“เย็นนี้พี่ครับอย่าลืมเอาผักกลับบ้านด้วยนะคะ”

“ไม่เป็นไรหรอก  เก็บไว้ใช้ในร้านดีกว่า”

“โตไวจนกินไม่ทันแล้วต่างหาก  พี่ครับเอาไปให้น้าแป้งทำกับข้าวก็ได้ค่ะ  นี่นะเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็โตแล้ว”

“อะไรนะ?”  คำนับหยุดมือเงยหน้ามองเพกา

“เพกาหมายถึงเดี๋ยวในแปลงนี้ก็โต  นายแบ่งเอาไปกินยังเหลืออีกบาน”

“อ้อ”

ผมหรี่ตามองน้องสาว  เพกาย่นคอแลบลิ้นยิ้มแหย  ที่พูดไปเมื่อกี้คงเพราะลืมตัว  เนื่องจากปกติอยู่ในบ้านตัวเองก็ไม่จำเป็นต้องระวังตัวอะไร

ช่วงบ่ายพ่อพาคำนับออกไปซื้อของ  ส่วนผมไปส่งน้องสาวที่จุดนัดหมาย  ลงไปซื้อกาแฟเย็นดับร้อนก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นใครบางคน

ไอ้เน่า  นวพล

ความจริงแล้วนวพลมันไม่ได้ชื่อเน่าหรอก  มันชื่อเนา  แต่ที่เรียกมันว่าเน่าเพราะไม่ชอบหน้ามันล้วนๆ เจอมันที่นี่ไม่รู้ว่าเพราะมันแอบตามเพกามาหรือเปล่า

“เฮ้ย  ไอ้เน่า!”  คนที่กำลังเปิดประตูร้านเข้ามาสะดุ้งโหยง  พอหันมาเห็นผมก็ถอยหลังกรูดเตรียมวิ่งหนี  ผมลุกพรวดคว้าคอมันแล้วลากเข้าร้านกาแฟ

“มึงมาทำไมที่นี่?”

“กูต้องถามมึงมากกว่ามั้ง  แอบตามน้องกูมาหรือไง?”

“เพกาอยู่แถวนี้เหรอ?”  ถ้ามีหางมันคงกระดิกส่ายไม่หยุด  ผมถลึงตาใส่จนมันย่นคอหนีแทบไม่ทัน

“เดี๋ยวกูต่อยคว่ำ!”

“อะไรกันเล่า  กูแค่ชอบน้องเพกาเฉยๆ ทีมึงยังแย่งไอ้ครับไปจากกูเลย”  ผมถลึงตามองมันอีกรอบ  คราวนี้เพิ่มความโหดเข้าไปอีกหน่อย

“ไอ้ครับเป็นของมึงตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“เป็นมาตั้งแต่เด็กแล้วเหอะ  โอ๊ย!”  ความรู้สึกไม่ชอบใจ  ไม่พอใจพุ่งขึ้นในอก  ผมคว้าแขนนวพลมาบีบแน่นจนแขนมันแทบหักคามือ  นวพลมีสีหน้าบิดเบี้ยวไม่บอกก็รู้ว่าคงเจ็บมาก  แต่ผมยังไม่ปล่อยมือ

“พูดมาให้ชัด!”

“มึงเป็นอะไรของมึงเนี่ย  ปล่อยกู  กูเจ็บ!”

“กูบอกว่าให้พูดไง”  ผมกดเสียงต่ำ  ก้มหน้าลงอีกนิดเพื่อกดดันอีกฝ่าย  ในหูอื้ออึง  ไม่รู้ว่าที่รู้สึกอยู่ตอนนี้คืออะไร

“พูดอะไรเล่า”

“เรื่องคำนับ”

“ไอ้ครับกับกูเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็ก”

“แล้ว?”

“แล้วอะไร  มันก็แค่นั้นแหละ”

“เมื่อกี้มึงเรียกว่าไอ้ครับของมึง?”

“ก็เพื่อนของกูไง”

“....อ้อ”  ผมสะบัดแขนของนวพลออกอย่างรังเกียจ  กระแอมไอแล้วหันหน้าไปทางอื่นเพื่อซ่อนอาการผิดปกติเมื่อครู่

“แล้วมึงโมโหเรื่องอะไร?”

“.....”

“อย่าบอกนะว่าเพราะคำพูดเมื่อกี้  ที่กูบอกว่าไอ้ครับเป็น...อุ๊บ!”  ผมหันเอามือไปปิดปากนวพลแรงๆ หรือจะเรียกว่าตบก็ได้

“เมื่อกี้จะพูดว่าอะไรนะ?”  นวพลส่ายหน้าหวือเมื่อเห็นสายตาของผม  ถ้ามึงล้ออีกคำเดียวกูเตะมึงให้ร่างหักครึ่งแน่  ไอ้เน่า!

“ก็แค่เหงาที่ช่วงนี้มันไม่มากินข้าวด้วย”

“มึงไม่มีเพื่อนคนอื่นหรือไง?”  ผมแสร้งกระแอมไอ  เพราะตอนกลางวันของทุกวันผมบังคับให้คำนับมากินข้าวกับพวกผมที่ใต้ต้นเสลา  มีครั้งหนึ่งนวพลเคยแอบตามคำนับไปด้วย  มันเมียงมองไม่กล้าเข้าไป  เลยเจอภูธเรศแกล้งจนวิ่งหนีกลับห้องแทบไม่ทัน

“มี  แต่ปกติกูกินข้าวกับมันทุกวัน”

“มึงเป็นเพื่อนกับคำนับนานแล้วเหรอ?”  ผมเปลี่ยนเรื่อง  ไม่อยากฟังว่าพวกมันสองคนตัวติดกันขนาดไหน  ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน  แต่รู้สึกคันยิบๆ ในหัวใจชอบกล

“ตั้งแต่เด็กแล้ว”

“งั้นมึงก็รู้จักน้าแป้งดิ”

“อือ   เมื่อเช้าเพิ่งไปกินโจ๊กน้าแป้งมา  ว่าแต่  เหมือนกูจะเห็นมึงในร้านด้วยนะ  ใช่มึงหรือเปล่า?”

“ตาฝาดละ  กูจะไปทำไม”

“เออ  นั่นดิ”

“ว่าแต่พ่อคำนับไปไหนวะ  กูไม่เคยเห็น”

“เสียไปหลายปีแล้ว”

“....”  ผมหุบปากเงียบ

“จะว่าไปเมื่อก่อนที่บ้านไอ้ครับเปิดร้านอาหารด้วยนะ  เหมือนบ้านมึงเลย”

“หืม?”

“เป็นร้านอาหารไทย  แบบไทยโบราณเลยอ่ะ  พ่อมันเป็นพ่อครัว  ตอนนั้นเหมือนกำลังจะขยายร้านหรือยังไงนี่แหละ  ไปกู้เงิน  เห็นว่าโดนโกงเลยล้ม”

“งั้นเหรอ?”

“กูได้ยินมาจากแม่อีกทีอ่ะ  เห็นว่าเพราะพ่อไอ้ครับเชื่อเพื่อนมั้ง  เอาร้านค้ำประกันอะไรสักอย่าง  สุดท้ายถูกโกงจนหมดตัว  แม้แต่ร้านก็ไม่เหลือ  พ่อไอ้ครับตรอมใจ  ล้มป่วยแล้วเสียไปเมื่อหลายปีก่อน”

“เพราะแบบนี้หมอนั่นเลยเหมือนแมวป่าซินะ?”  ไม่เชื่อใจใคร  ไม่ค่อยมีเพื่อนมากนัก  แต่น่าแปลกที่คำนับดูจะชื่นชมพ่อผมตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้า

หรือว่ามันแอบชอบพ่อผมวะ?

ไม่มั้ง?

“หืม? มึงว่าอะไรนะ?”

“เปล่าไม่มีอะไร  กูบ่นลอยๆ”  ผมเหลือบมองนวพล  สั่งกาแฟให้มันแก้วหนึ่ง  ลุกขึ้นแล้วตบบ่ามันเบาๆ ก่อนจะเดินออกจากร้าน

“เออ  แล้วน้องเพกาอยู่ตรงไหนอ่ะ?”  มันหันมาถาม  ผมหยุดเท้ายกมือชี้หน้ามันทันที

“ถ้ากูรู้ว่ามึงแอบไปคุยกับน้องกูกูกลับมากระทืบมึงแน่”

“เอ้า  ไอ้ขี้หวง  ทีกูทวงเพื่อนคืนมึงยังไม่ให้”

“มึงว่าอะไรนะ?”  ผมตะโกนถามจากหน้าร้าน

“มึงหูฝาดแล้ว! กูแค่บ่นลอยๆ”

ผมหรี่ตามองมันอีกครั้งก่อนจะกลับไปที่รถเตรียมกลับร้าน  ในหัวยังคงมีเรื่องของคำนับเต็มไปหมด  ผมหักพวงมาลัยเลี้ยวเปลี่ยนเส้นทาง

เคยเห็นคำนับมายืนมองที่นี่เป็นนานสองนาน...ที่ตรงนี้อาจเคยเป็นที่ตั้งของสิ่งสำคัญในอดีตของเขา  หากตอนนี้มันกลับเปลี่ยนไปเป็นโรงแรมขนาดใหญ่แทน

ครั้งหนึ่งมันอาจเคยเป็นร้านอาหารมาก่อน






โปรดติดตามตอนต่อไป









สวัสดีค่ะ ^^
คลานเข่า....แหะๆๆๆ
หายไปนานมากเลยเนอะ  ตั้งแต่เดือนเมษาแน่ะ  ขอโทษที่ไม่ได้มาลงตอนต่อนะคะ  ตั้งแต่ 15 เมษามาจนถึงต้นเดือน พค. นี่เพิ่งได้มีโอกาสหายใจแบบโล่งๆ นี่แหละค่ะ  ฮืออออ แถมไม่มีเวลาแต่งต่อเลยค่ะ  วันไหนได้นอนเกิน 5 ชั่วโมงนี่แทบจะร้องไห้ด้วยความดีใจ TAT บางวันก็เบลอชนิดความจำดับสูญมาก  เดือนนี้ดีขึ้นแล้วค่ะ  ไม่ค่อยยุ่งมาก  ขอเวลาจูนอารมณ์เพื่อแต่งต่อก่อนนะคะ  ส่วนวันนี้เอาตอนที่ 7 มาส่งก่อนเน้อ 
ขอบคุณที่ยังรอและตามมาให้กำลังใจกันนะคะ
กอดดดดด



ด้วยรักและคิดถึง ^^
ทราย
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 7 ] 13-5-61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 13-05-2018 02:53:45
ดีใจ
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 7 ] 13-5-61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 13-05-2018 09:04:51
ครับคงคิดถึงพ่อซินะ.  :กอด1:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 7 ] 13-5-61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 13-05-2018 11:36:22
 :3123: :3123: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 7 ] 13-5-61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: donut4top ที่ 13-05-2018 16:48:47
เพิ่งเจอเรื่องนี้ ชอบพลังวิเศษของคนในบ้านนี้มาก ส่วนพี่โป๊ยกั๊กก็แสนหวงงงงงงงงงงงคนในครอบครัว
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 7 ] 13-5-61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 13-05-2018 23:40:56
 :pig4: :pig4: :pig4:

(โป๋ย)กั๊กสมชื่อ
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 7 ] 13-5-61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 26-05-2018 14:40:41
ครับคงเห็นอาฟ้าเหมือนพ่ตัวเองอะ ยิ่งอาฟ้ามาใส่ใจขนาดนี้อีกครับไม่ติดอาฟ้าก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว ก็หวังว่าโป๊ยกั๊กจะไม่หวงจนออกนอกหน้าอีกนะ เป็นอะไรกันละหืมม?  :hao3:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 7 ] 13-5-61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 29-05-2018 12:32:02



Secret Me  คนนี้ต้องลับ!
ตอนที่ 8
   




ผมลุกออกจากเตียงขณะที่กระวานยังคงหลับอุตุเช่นเคย  เมื่อคืนกว่าเขาจะกลับบ้านก็ดึกมากแล้ว  ได้ยินแว่วๆ ว่าเพราะเป็นวันนี้เขาเลยกลับมานอนบ้านแทนการใช้สวัสดิการของที่ทำงาน  ใช่  กระวานได้งานทำแล้ว  เป็นงานที่ต้องทำตอนกลางคืนพักกลางวัน  ทำมาได้หนึ่งอาทิตย์แล้ว  เห็นคุยโวว่างานนี้เหมาะกับตัวเองสุดๆ แถมยังได้เงินดีอีกต่างหาก  พอถามก็ไม่ยอมบอกว่างานอะไร  พูดแค่ว่า  พร้อมเมื่อไหร่จะบอกเอง  แต่ผมว่าถ้าโป๊ยกั๊กรู้คงตามไปดูถึงที่แน่ๆ  รายนั้นหวงพี่หวงน้องจนขึ้นชื่อ  ในบ้านต่างรู้กันดี  หวังว่าโป๊ยกั๊กคงไม่ไปอาละวาดจนกระวานต้องออกจากงานหรอกนะ
   
ผมตรงไปยังลานหลังบ้านที่พี่ชายคนโตกำลังออกกำลังกายอยู่  ก่อนจะชะงักเท้าถอยหลังหนีแทบไม่ทันเมื่อจู่ๆ ก็มีแรงกระแทกบางอย่างพุ่งเฉียดหน้าไป
   
“หวา~”  พี่ไธม์พลิกหมัดที่เฉียดข้างแก้มผมไป  แบออกแล้วคว้าไหล่ผมไม่ให้ล้มก้นจ้ำเบ้า 
   
“กานพลูน่าจะมาฝึกไว้บ้างน้า”
   
“หูย  แบบนั้นผมคงกลายเป็นกระสอบทรายให้พี่ฝึกแทน”
   
“พี่ไม่ใช้น้องชายตัวเองแทนกระสอบทรายหรอกน่า”  คิ้วเรียวของพี่ไธม์ขมวดเล็กน้อย  ผมเลยรีบเข้าไปกอดแขนชื้นเหงื่อของพี่ชาย
   
“ผมแค่เปรียบเปรยเฉยๆ หรอก  ผมรู้น่าว่าพี่ไธม์รักพวกเราแค่ไหน  ไม่มีทางใช้น้องมาแทนกระสอบทรายหรอกเนอะ”
   “แม้จะดูขัดๆ กับหน้าตาแต่ท่าทางแบบนี้ก็น่ารักแหละนะ”  พี่ไธม์หัวเราะแล้วยีหัวผมจนผมยุ่ง  โธ่เอ้ย ผมแค่อยากอ้อนดูบ้างนี่นา  เห็นเพกาทำแล้วน่ารักเลยลองดูสักหน่อย  ถ้าได้ผลกะว่าจะไปอ้อนแม่เพื่อขอบิ๊กไบท์คันนั้นเสียเลย  แต่ดูท่า...คงทำแล้วดูไม่น่ามองเท่าน้องสาวคนเล็กของบ้านแน่ๆ

เวลาพี่ไธม์กลับบ้าน  ทุกเช้าจะซ้อมต่อสู้กับโป๊ยกั๊กตลอด  ตัวโป๊ยกั๊กเองก็ชอบเล่นกีฬา  ดังนั้นทักษะการต่อสู้ของเขาจึงค่อนข้างดีถึงดีมาก  เวลาตีกลับใครไม่เคยแพ้  เว้นอีกฝ่ายมีอาวุธโป๊ยกั๊กจะเผ่นแน่บทันที  บอกว่าชีวิตมีค่ามากกว่าจะเอาไปทิ้งไปตายข้างถนนแบบนั้น 

ส่วนผมไม่สู้เลย  ให้เอาตัวรอดในสถานการณ์ต่างๆ น่ะพอไหว  แต่ให้ไปต่อสู้ต่อยตีผมไม่เอาด้วยหรอก  ผมกลัวเจ็บ  ผมกลัวเลือด  ผมไม่อยากถูกแกล้งเลยไม่แกล้งคนอื่น  อ๊ะ  แต่เว้นไว้คนหนึ่ง...

โป๊ยกั๊กแกล้งเขาทุกวันเลยล่ะ  ผมเลยคุ้นเคยกับเขาไปโดยปริยาย  พอคุ้นหน้าและรู้จักผมเลยอยากลองแกล้งเขาดูบ้าง  วันนั้นถึงได้แย่งขนมปังกับเขาไงล่ะ

วันนี้วันอาทิตย์และเขาคงมาทำงานแต่เช้า คำนับเป็นคนขยัน  เขาเรียนรู้งานจากพ่อ  จากพี่ชายสองคนในร้านแถมหัวไวอีกต่างหาก  พ่อเลยยิ่งชื่นชมเข้าไปใหญ่  เวลาโดนพ่อชมเขาจะหูแดงหน้าแดง  ดูน่ารังแก  เอ้ย  น่าแกล้ง  ไม่ใช่ๆ  น่ารักซิ  ผมไม่ใช่คนนิสัยเสียแบบโป๊ยกั๊กเสียหน่อย

“หวัดดี”  ผมเอ่ยทักทายพร้อมรอยยิ้ม

“อืม”  แต่คำนับแค่ส่งเสียงรับในคอแล้วทำงานของตัวเองต่อ

“เจอกันอีกแล้วเนอะ”   

“หา!”  คิ้วเรียวยาวขมวดฉับ  ตาเรียวตวัดมองคล้ายไม่พอใจ  ดูซิๆ เหมือนแมวเจ้าอารมณ์จริงๆ ด้วย!

“แค่นี้แมวป่าก็โกรธแล้วเหรอ?”

“ฉันไม่ใช่แมวป่า  นายน่ะซิหมาบ้า!”  คำนับถลึงตาใส่  หวา  ไม่เห็นน่ากลัวเลย  สงสัยเป็นเพราะผมคุ้นเคยกับเขาแล้ว  หน้าตาไร้อารมณ์ไม่เป็นมิตรของเขาจึงใช้ไม่ได้ผล  ถ้าเป็นปกติหรือเป็นคนอื่นทำผมอาจจะเผ่นหนีตั้งแต่โดนตะคอกคำแรกแล้วก็ได้

“ใช่ๆ อย่างโป๊ยกั๊กเรียกว่าหมาบ้าคงไม่ผิด”  ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับคำเรียกขานนั้น

“อะไรของนาย?”  คำนับผงะถอยหลัง

“ช่างเถอะๆ ว่าแต่คำนับมีอะไรให้เราช่วยไหม?”

“....นายไม่สบายเหรอ?”  เขาทำหน้าตาหวาดระแวง  สายตายังคงจับจ้องที่ผมไม่ถอนไปไหน

“เอ๊ะ  ก็ไม่นะ?”  ผมยกหลังมือแตะหน้าผากตัวเองเพื่อวัดอุณหภูมิ

“หัวกระแทก?”

“เปล่า”

“กินยาลืมเขย่าขวด?”

“ไม่”

“แล้วเป็นบ้าอะไรทำไมต้องพูดเพราะ  ดูซิ  ขนลุกหมดเลย”  ไม่พูดเปล่าคำนับยกแขนให้ดู  โอ้  ขนแขนลุกชันจริงๆ ด้วยแหะ

“เอ้า  พูดจาไพเราะผิดตรงไหน?”  ผมทำปากยื่นกระเง้ากระงอดใส่  คำนับถึงกับก้าวถอยหลังติดกันถึงสามก้าว

“ก็...ก็ไม่ผิดหรอก  แต่ไม่คิดว่านายจะมาพูดเพราะกับฉันด้วย”

“คำนับเป็นคนพิเศษไง”  ผมยิ้มกว้างส่งไปให้  คาดหวังว่าเขาจะเห็นความจริงใจของผม  แต่...

“อี๋!”

“....”

แล้วคำนับก็วิ่งหนีหายออกไป...

ผมสุดแสนจะเสียใจ  เสียใจหนักมาก!  เพราะโป๊ยกั๊กดูสนใจเขาเป็นพิเศษผมเลยอยากทำความรู้จัก  และทำให้คำนับรู้สึกดีๆ กับโป๊ยกั๊ก  ไหงกลายเป็นว่าทำให้เขาวิ่งหนีแทนละเนี่ย  ผมไม่น่ารักเหรอ  เอ๊ะ  หรือมันจะขัดกับหน้าตาอย่างที่พี่ไธม์พูด?

เอ้า  นี่น่ะ  กานพลูนะไม่ใช่โป๊ยกั๊ก  ขอทำตัวน่ารักสักวันไม่ได้เหรอ?


.
.

ช่วงสายผมออกมาซื้อของกับคำนับตามใบรายการของพ่อ  พ่อบอกว่าให้คำนับเป็นคนเลือก  ถ้ามีอันไหนคุณภาพผิดจากที่พ่อเคยซื้อให้ผมเปลี่ยนและบอกคำนับถึงวิธีการเลือกของ

ผมเลือกไข่สดแผงใหญ่ใส่รถเข็น  วันนี้อาหารเย็นจะมีไข่ม้วนของโปรดผม  ผมกับโป๊ยกั๊กชอบอาหารไม่ค่อยเหมือนกัน  โป๊ยกั๊กชอบรสจัด  ผมชอบรสจืด  มีอย่างเดียวที่กินเหมือนกันนั่นคือ  ไข่ม้วน  ดังนั้นเวลาที่ผมออกมาจากกระจก  ไข่ม้วนจึงถูกทำขึ้นโต๊ะอาหารเย็นทุกครั้ง

“คำนับเลือกซิ  เดี๋ยวเราเข็นรถให้เอง”

“ไม่เอาอ่ะ”  คำนับยังคงมองผมด้วยสายตาหวาดระแวงไม่ต่างจากเมื่อเช้า  “แล้วไข่นี่ที่ร้านยังเหลืออีกเยอะไม่ใช่เหรอ?”

“อืม  อันนี้เอากลับบ้าน  เย็นนี้เราจะกินไข่ม้วน”

“อ้อ”  คำนับขมวดคิ้วหากไม่ได้พูดอะไรต่อ

“จริงซิ  แวะซื้อน้ำก่อนนะ”

“อือ”  ผมตรงไปยังร้านขายน้ำ  สั่งน้ำมะพร้าวให้ตัวเองกับน้ำอัดลมให้คำนับ  คำนับรับแก้วไปแล้วเงยหน้ามองผม

“มีอะไรเหรอ?”

“ทำไมไม่ใช่น้ำเก๊กฮวย?”

“เราจำได้ว่าคำนับชอบกินน้ำอัดลม”

“ก็ไม่ได้ชอบขนาดนั้น  แล้วทำไมของนายถึงไม่ใช่น้ำเก๊กฮวยล่ะ?”

“เราชอบน้ำมะพร้าว?”

“ห้ะ?”

“หมายถึงว่า  วันนี้มันร้อน  น้ำมะพร้าวน่าจะชื่นใจกว่า”

“....”  คำนับหรี่ตามองคล้ายไม่เชื่อ  แหงล่ะ  ในห้างที่แอร์เย็นจนอยากใส่เสื้อกันหนาวมาเดินแบบนี้  พูดไปใครจะเชื่อว่าร้อน

หลังจากเลือกซื้อของครบตามที่ต้องการแล้วพวกเราก็ออกจากห้าง  ขณะที่กำลังขนของใส่กระโปรงท้ายรถอยู่นั้น  เสียงยียวนของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นทางด้านหลัง  ผมเงยหน้าขึ้นมอง  ถ้าจำไม่ผิดเหมือนจะเป็นรุ่นพี่ที่ทำงานเก่าของคำนับ

“อ้าว  นึกว่าลาออกไปไหน  ออกมาให้ผัวเลี้ยงเหรอมึงอ่ะ?”  ผู้ชายคนนั้นยกยิ้มมุมปากใส่คำนับ  คนข้างๆ ผมกำหมัดแน่น  พอเห็นแบบนั้นผมเลยคว้าแขนเขาเอาไว้  พลางส่ายหน้าน้อยๆ เป็นเชิงห้ามเมื่อคำนับหันมามอง  ดวงตาเรียวยาวมองผมอย่างไม่เข้าใจว่าห้ามทำไม

“พี่ต้องเข้าใจอะไรผิดแน่ๆ เลยครับ  ผมกับคำนับเป็นเพื่อนกันเฉยๆ”

“อ้าว  นึกว่าใคร  วันนี้ไม่เห็นเก่งเหมือนคราวก่อนเลยล่ะ?”

“ผมไม่เก่งอะไรหรอกครับ  ว่าแต่พี่จะมาหาเรื่องอะไรพวกเราล่ะครับ  พวกเราไปทำอะไรให้พี่ตอนไหน?”  ผมเลิกคิ้วเอ่ยถาม  พลางกระตุกแขนให้คำนับใจเย็นลง

“มึงไม่ได้ทำแต่ไอ้หน้าจืดนี่มันทำ  เพราะมึงลาออกหัวหน้าเลยหาว่ากูรังแกรุ่นน้องจนมาหักเงินเดือนกู!”  หน้าตาผู้ชายคนนั้นดูโกรธมาก  ผมหันไปทางคำนับ

“ตอนลาออกนายบอกหัวหน้าว่ายังไงน่ะ?”

“ก็บอกว่าไม่สบายใจจะทำงานนี้ต่อ  แค่นี้”

“แค่นี้?”

“อื้อ  แล้วหัวหน้าเขาก็โยงไปนู่น”  คำนับเอาคางชี้อดีตรุ่นพี่  “แต่เพราะปกติทำตัวไม่ดีด้วยแหละมั้งหัวหน้าถึงโยงไปแบบนั้นได้”

“ไอ้!”

“หวา!”  ผมผวาคว้าแขนคำนับถอยหลังหนีหมัดจากคนตรงหน้า  อีกมือก็ปิดกระโปรงท้ายรถรวดเร็ว  ผู้ชายคนนั้นตั้งหลักหันมาทำตาขวางแล้วปรี่เข้ามาอีกครั้ง

“ทำไมนายต้องปากเสียตอนนี้ด้วยเนี่ย!”  ผมร้องโวยวายพลางลากเขาวิ่งหนีไปทั่ว

“เฮ้ย  ปล่อย  จะวิ่งหนีทำไม  มันอยากมีเรื่องก็มาซัดกันสักตั้ง!”  คำนับยื้อแขนให้หลุด  ผมยิ่งกำแน่นขึ้นพลางส่ายหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย  พร้อมเบะปากเตรียมร้องไห้เมื่อนึกถึงว่าหากโดนต่อยปากแตกคงเจ็บน่าดู

“ไม่เอาอ่ะ  เดี๋ยวโดนต่อย”

“ต่อยก็ต่อยซิวะ”  คำนับมองผมเหมือนเห็นตัวประหลาด

“ไม่เอาหรอก  เราสู้ไม่เก่ง  กลัวเจ็บด้วย   ไปเถอะๆ”  ผมลากคำนับวิ่งหนีไปรอบลานจอดรถ  คำนับที่สู้แรงผมไม่ได้จำเป็นต้องวิ่งตามแบบฝืนๆ จนวนกลับมาที่เดิม  ผมกดรีโมทปลดล็อก  หันซ้ายหันขวาพอไม่เห็นผู้ชายคนนั้นก็ลากคำนับ  ดันเขาขึ้นรถแล้วขับออกจากที่นี่รวดเร็ว  หวังว่าคราวหน้าถ้าเจอกันรุ่นพี่คนนั้นจะอารมณ์เย็นลงนะ  ผมไม่อยากเห็นคำนับมีเรื่องต่อยตีกับคนอื่นไปทั่ว

“นายเป็นบ้าไปแล้วเหรอ? หรือไม่สบาย? ทำไมไม่สู้?”  คนด้านข้างหันมาตวาดใส่ผมเสียงดัง

“ถ้าเลี่ยงได้เราก็ไม่ควรไปมีเรื่องต่อยตีซิ  ปากแตกกินข้าวไม่ได้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ!”  ผมอธิบายด้วยสีหน้าจริงจัง

“........”  คำนับอ้าปากมองมาคล้ายไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

ป่วย  ป่วยแน่ๆ ผมได้ยินคำนับพึมพำเสียงเบาพลางมองมาทางผมด้วยท่าทางหวาดระแวง

ช่างเถอะๆ ปล่อยเป็นหน้าที่โป๊ยกั๊กไปรับมือเอาเองหลังจากนี้แล้วกัน  ตอนนี้ผมคิดถึงไข่ม้วนจะแย่แล้ว!



**********
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 7 ] 13-5-61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 29-05-2018 12:33:27


“ขอบใจนะที่เมื่อวานไปช่วยสอนฉันเลือกของ”

“ห้ะ?”

“ที่อาฟ้าใช้ไปซื้อของไง  แล้วก็แม่ฝากมาบอกว่าขอบใจสำหรับไข่ม้วน  อร่อยมาก”

“....”  ผมนิ่งเงียบ  ขมวดคิ้วและพยายามนึกให้ออกมาว่าเมื่อวานผมไปไหนทำอะไรกับคำนับมาบ้าง  แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก

เมื่อวานเป็นวันแรมสิบห้าค่ำ  เป็นวันที่กานพลูออกมา  เป็นวันที่ผมเหมือนหลับไปยี่สิบสี่ชั่วโมง  เป็นการหลับมาราธอนและจำสิ่งที่กานพลูทำไม่ได้สักอย่าง  ผมไม่รู้ช่วงเวลาที่กานพลูออกมา  เขาจำเรื่องราวของผมตอนเป็นโป๊ยกั๊กได้หรือไม่

“ฉันคงไม่ได้ทำอะไรแปลกๆ ใช่ไหม?”

“....”  คำนับขมวดคิ้วมองผม  นิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะตอบกลับมา  “ทำซิ”

“เฮ้ย  ทำอะไรวะ?”

“วิ่งหนีหัวซุกหัวซุน”

“วะ  วิ่งหนี?”

“อืม  วิ่งหนีนักเลง”

“....”

“นายจำไม่ได้เหรอ?”

“ดะ  ได้ซิ  จำได้อยู่แล้ว!”

ผมตกอยู่ในอาการพูดไม่ออกไปพักใหญ่  เพราะแบบนี้ไงผมถึงไม่ชอบกานพลูมันนัก  กานพลูมันเหยาะแหยะ  ไม่สู้คน  กลัวเจ็บอีกต่างหาก  ทั้งๆ ที่ผมก็ตัวออกโตขนาดนี้มีอะไรต้องกลัวนักเลงพวกนั้นจนต้องวิ่งหนี  ฝีมือต่อสู้ก็ฝึกซ้อมกับพี่ไธม์ทุกวันมันไม่คิดจะเอาออกมาใช้บ้างเลยหรือไง!  ถ้าเกิดเป็นคู่กรณีเก่าแล้วผมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน  ปัดโธ่โว้ย  ไอ้เจ้ากานพลู!

ผมพรูลมหายใจอย่างหงุดหงิด  ทุกครั้งหลังจากที่กานพลูออกมามักจะทำให้ผมหัวเสียในวันถัดมาเสมอ   ไม่ได้  จะให้คำนับรู้ความลับนี้ของผมไม่ได้เด็ดขาด!

“อันนี้น้าแป้งทำเหรอ?”  ผมเบี่ยงประเด็นไปยังสิ่งของในมือคำนับพร้อมกับที่ภูธเรศและบดินทร์กลับมาจากซื้อน้ำ

ผมมองกล่องข้าวในมือคำนับ  อาจเป็นเพราะว่าเขาทำงานช่วยที่ร้านพ่อผมมาได้สอง-สามอาทิตย์แล้ว  เลยเกิดมีความคิดอยากจะลองฝีมือถึงได้มีอาหารกล่องนี้ขึ้นมา  ผมถามทั้งๆ ที่รู้คำตอบ  น้าแป้งต้องรีบไปทำงาน  ตอนเช้าคงไม่มีเวลามาเตรียมอาหารหน้าตาพิถีพิถันแบบนี้แน่

“เปล่า  ฉันทำเอง”  พอได้รับคำยืนยันผมก็ยกยิ้มมุมปากก่อนจะกดมันลงอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้ใครเห็น  จากนั้นจัดการฉกกล่องอาหารในมือคำนับออกมา

“เอามานี่”

“เฮ้ย!”  คำนับผวาตามเพื่อแย่งกล่องข้าวคืน

“โห นายทำเองเหรอ?”  ภูธเรศทำเสียงตกใจ  เบิกตาโตตื่นเต้นแล้วก้มลงมองกล่องข้าวของคำนับในมือผม

“หน้าตาน่ากินอยู่นะ”  บดินทร์ที่ก้มลงมาดูอีกคนเปรยขึ้น

“ฉันจะกินอันนี้”  ผมบอกพลางดึงกล่องข้าวเข้าหาตัว

“ของนายก็มี  มาแย่งฉันทำไม!”  คนข้างๆ ผมโวยวายเสียงดัง  หน้าตาดูตกใจมาก  และยิ่งเขาพยายามแย่งคืนผมยิ่งยื้อขึ้นสุดแขนพลางใช้มืออีกข้างดันหน้าคำนับออกห่าง

“ก็อยากกินอันนี้”

“นายมาแย่งฉันกินแบบนี้ฉันจะกินอะไรเล่า?”  พอรู้ว่าสู้ไม่ไหวคำนับเลยถอนหายใจยอมแพ้  แล้วกลับไปนั่งตามเดิม

“กินส่วนของฉันไปซิ”  ผมดันปิ่นโตของตัวเองไปตรงหน้าคำนับ

“แต่อันนี้อาฟ้าทำให้นายนี่นา”

“ไม่กินตอนกลางวัน  ตอนเย็นฉันก็ได้กินฝีมือพ่ออีกแหละน่า  แต่ตอนนี้ฉันอยากลองของแปลก”  ผมยักคิ้วกวนประสาทใส่หน้าคำนับ  หยิบอาหารใส่ปากทั้งๆ ที่สายตายังไม่ละไปจากใบหน้าของเขา  ดูก็รู้ว่าคำนับกำลังลุ้นนั่นแหละ

“.....”  ผมขมวดคิ้วขณะค่อยๆ รับรสชาติของอาหารในปาก  พอคำนับเห็นท่าทางนั้นก็เริ่มหน้าเสียทำท่าจะเข้ามาแย่งอาหารคืนอีกครั้ง  ภูธเรศเห็นผมไม่คายทิ้งจึงพุ่งมาหยิบไปป้อนไอ้ดินหนึ่งคำ  พลางใส่ปากตัวเองอีกคำ

“อืม  ใช้ได้ๆ”  ไอ้ภูร้องขึ้น  พยักหน้าหงึกหงักชูนิ้วโป้งให้คำนับ

“ถึงจะยังสู้ฝีมือพ่อฟ้าไม่ได้  แต่มีโอกาสพัฒนา”  ไอ้ดินยกนิ้วโป้งอีกคน  คำนับยิ้มมุมปากก่อนจะเลื่อนสายตามามองผม  ตาเรียวๆ นั่นจ้องมองมาเพื่อเค้นเอาคำตอบ  ปากบอกว่าไม่ให้กินแต่กลับรอลุ้นว่าคนอื่นจะพูดถึงฝีมือตัวเองยังไง  ผมกัดริมฝีปากพยายามไม่หลุดหัวเราะกับท่าทางนั้นของเขา

“ไม่ได้เรื่อง”

“ห้ะ?”  คำนับหน้าสลดเมื่อได้ยินผมพูดอย่างนั้น  ไหล่ห่อลงท่าทางหมดเรี่ยวแรง

“แต่กูวะ...”  ผมเหลือบสายตาจ้องภูธเรศที่กำลังจะเอ่ยค้านคำพูดของผม  จ้องเขม็งจนมันหุบปากแล้วนั่งเงียบๆ

“ถ้าอยากพัฒนาก็ต้องทำบ่อยๆ”

“อืม”  คำนับอยากเป็นเชฟ  ดังนั้นเขาจึงอยากทำอาหารให้อร่อย  และคนกินมีความสุขเมื่อได้กินอาหารฝีมือเขา

“พรุ่งนี้ทำมาอีก”

“เอ๊ะ?”  เขาเงยหน้าขึ้นหลังห่อเหี่ยวจากคำพูดนั้นของผม

“ทำมาให้ฉัน  แล้วฉันจะช่วยบอกให้นายว่าฝีมือนายพัฒนาถึงขั้นไหน”

“ทำไมต้องทำให้นายกินด้วย”

“เพราะฉันกินอาหารรสเลิศมาทุกวันไงล่ะ?”

“?”

“ถ้านายทำอาหารอร่อยได้เท่าที่พ่อฉันทำก็ถือว่าผ่านไง”

“เออ ใช่ๆ ถ้าอร่อยเหมือนที่พ่อฟ้าทำก็ถือว่าเก่งไง  เนอะ”  ภูธเรศตบมือรัวเห็นด้วยกับคำพูดของผม

“ใช่ๆ เดี๋ยวพวกเราจะช่วยด้วยเหมือนกัน  เนอะภู?”  ผมเหลือบมองบดินทร์อย่างไม่ชอบใจ  และมันก็คงรู้ว่าผมไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่พวกมันมาแย่งความสนุกนี้

“ขอบใจพวกนายมากนะ!”  ผมละสายตาจากเพื่อนซี้ทั้งสองคน  หันกลับมาเจอรอยยิ้มเจิดจ้าของคำนับแล้วพลันชะงักนิ่ง  หัวใจกระตุกวูบจนเผลอยกมือลูบอก

อาหารของคำนับใส่ชูรสมากไปหรือเปล่าวะ  ถึงทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ 

ผมหยิบอาหารที่คำนับใส่ปากอีกคำ  และอีกคำจนหมด...

พรุ่งนี้จะให้ไอ้ภูกับไอ้ดินมาแย่งไม่ได้เด็ดขาด!









“พ่อว่าอะไรนะ?”  ผมถามขณะที่กำลังนั่งรถกลับบ้าน  หลายวันมานี้พ่อทำหน้าที่เป็นขับรถรับ-ส่งผมกับเพกาเพราะกระวานมีงานอื่นทำแล้ว  เห็นออกบ้านตั้งแต่หัวค่ำ  สายๆ นู่นแหละถึงได้กลับเข้ามานอน  ถามว่างานอะไรก็ไม่ยอมบอก  จนพ่อเอ่ยออกมาเมื่อครู่  ทำเอาผมหันไปมองคนพูดคอแทบเคล็ด

“อาบ อบ นวด”

“กระวานทำงานร้านอาบ อบ นวด?”

“ใช่  พ่อเพิ่งรู้เหมือนกัน”  พ่อถอนหายใจด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม

“พ่อ~”  เพกาเหลือบมองพ่อแล้วก็มองหน้าผม  คล้ายไม่อยากให้พ่อพูดต่อ

“เพการู้เรื่องนี้อยู่แล้วใช่ไหม?”  ผมหันมาเค้นเอากับน้องสาว  เพกาหน้าซีดก่อนจะพยักหน้าเบาๆ เป็นการยอมรับ

“แล้วทำไมไม่บอกพี่” จ้องหน้านางฟ้าคนเดียวของบ้านอย่างไม่ค่อยพอใจที่ถูกปิดบัง

“ถ้าบอกก็ต้องเป็นแบบนี้ไง”

“แบบนี้น่ะแบบไหน?”

“เนี่ย  เดี๋ยวก็อาละวาด”  เพกาเบะปากใส่ผมพลางสะบัดหน้าหนี

“ไม่ว่าเพกาบอกตอนไหนถ้าพี่รู้ก็จะอาละวาดอยู่ดี!”

“พี่โป๊ยกั๊กอ่ะ!”

“อย่าทะเลาะกันซี่”  พ่อห้ามทัพ

จนเมื่อถึงบ้านผมก็เดินวนไปเวียนมาเหมือนหนูติดจั่น  คิดว่าถ้าโทรศัพท์ไปบอกให้กระวานกลับบ้านตอนนี้  ฝ่ายนั้นคงไม่มีทางยอมแน่  กระวานน่ะเห็นเป็นก้อนนุ่มนิ่มแบบนั้นแต่ดื้อมาก  สุดท้ายเลยกดโทรศัพท์ตามสองเพื่อนซี้ให้มาหาที่บ้านเพื่อวางแผนการ

บดินทร์เป็นคนใจเย็นรอบคอบคอยช่วยคิดแผน  ส่วนภูธเรศบ้ายุเหมาะเป็นลูกมือที่ดี  ตอนนี้พวกเราทั้งสามคนนั่งอยู่ในห้องรับแขก  ผมทิ้งงานที่ร้านไม่ไปช่วยอย่างทุกที  ซึ่งพ่อก็ไม่ว่าอะไรเพียงแค่ส่ายหัวนิดหน่อยเท่านั้น  ส่วนเพกาน่ะเอาแต่เมียงมองอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ แต่ไม่รู้ว่าห่วงใครระหว่างผมกับกระวาน

“ให้กูโทร.ไปตามไอ้ครับไหม?”  ไอ้ภูถือโทรศัพท์เตรียมกด

“จะตามมันมาทำไม?”

“อ้าว  จะได้ครบแก๊งค์ไง”

“ไม่ต้อง  มึงอย่าลืมว่าคำนับมันเด็กทุน  ถ้าไปแล้วระหว่างนั้นเกิดมีเรื่องขึ้นมามันจะเดือดร้อน”  อีกอย่าง  ผอมขนาดนั้นจะต่อยคนล้มไหมยังไม่รู้เลย  น่ากลัวแขนคงหักเสียก่อน  หนำซ้ำพรุ่งนี้เขายังต้องตื่นแต่เช้ามาช่วยน้าแป้งต้มโจ๊กอีก  ขืนลากมาอดหลับอดนอนดึกดื่นจะไม่มีแรงเอาน่ะซิ  กลายเป็นผมบาปอีกที่ลากเขามาหมดแรงต้มโจ๊ก

“.......”

“อะไร? พวกมึงเงียบแล้วมองหน้ากูแบบนี้หมายความว่ายังไง?”

“มึงห่วงไอ้ครับมันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”  บดินทร์หรี่ตาจ้องมองพร้อมคำถาม

“ห่วงอาไร๊  มึงก็ว่าไปเรื่อย!”  ผมปฏิเสธรัวเร็ว

“เสียงสูงเชียวนะมึง”  ภูธเรศหัวเราะ มองผมด้วยดวงตาพราวระยับ

“มึงคิดเหมือนกูไหมบีหนึ่ง” ไอ้ดินหันไปหาคู่หู

“กูว่ากูคิดเหมือนมึงว่ะบีสอง”  แล้วพวกมันก็พากันจ้องหน้าผมด้วยสายตาน่าโดนกระทืบ

“หยุดคิดเลย!”

“จะไม่ให้คิดได้ไง  ขนาดสรรพนามที่เรียกมันมึงยังให้ความแตกต่าง”  บดินทร์คนช่างสังเกตเอ่ยขึ้น

“แตกต่างยังไง?”  ผมว่าผมปฏิบัติกับพวกมันเหมือนๆ กันนะ

“เวลาพูดกับพวกกู  เรียกกูมึง  ทีกับไอ้ครับพูดนาย-ฉัน  เนี่ย  สองมาตรฐาน!”  ภูธเรศสาธยาย

“พี่ไธม์ไม่ชอบให้กูหยาบคาย”

“เหรออออ”

“จริง  พวกมึงคือคนพิเศษไง  เพื่อนสนิทกูงี้”  ผมหัวเราะเสียงดังฮาๆ  พลางตบบ่าพวกมันคนละทีสองทีแบบเน้นๆ

“ตอแหลลลล”

เพี๊ยะ!  ผมตบหลังพวกมันไปอีกคนละที  โทษฐานทำสายตาน่าหมั่นไส้และส่งเสียงน่าตบกะโหลก

พอพวกมันทักแบบนี้ผมถึงได้สังเกตตัวเองว่าผมพูดจากับคำนับแตกต่างจากเวลาพูดกับเพื่อนอยู่บ้างนิดหน่อย  ไม่รู้ซิ  ผมไม่อยากเรียกจิกเขาว่ากู-มึง  ถึงมันจะแสดงถึงความสนิทสนมขั้นพื้นฐานของการเป็นเพื่อนกันก็เถอะ 

“เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว”  ผมโบกมือไล่ความคิดมากของเพื่อนทั้งสองทิ้งแล้วกอดคอพวกมันมาสุมหัว  พวกเรานั่งรถแท็กซี่ไปยังสถานเริงรมย์ตามที่อยู่ในมือ

กระวานนะกระวาน  ไปทำงานที่ไหนไม่ทำ  ดันไปทำที่อาบ อบ นวด  มันอันตรายแค่ไหนไม่รู้หรือไง  อีกอย่างหูแบบนั้นยังเอาตัวเองไปอยู่ในที่อโคจรอีก  อยากหัวระเบิดตายหรือไง!

คอยดูซิ  ฉันจะไปลากคอนายกลับบ้านให้ได้!











โปรดติดตามตอนต่อไป








สวัสดีค่า  มาช้าอีกเช่นเคย แหะๆๆๆ  แต่คาดว่าเดือนหน้าจะได้มาลงถี่ขึ้นแล้วค่ะ  ชีวิตน่าจะกลับมาปกติแล้ว (?) แม้จะยุ่งๆ เรื่องรับประเมินแต่ก็ไม่น่าจะยุ่งหัวหมุนเท่าช่วงที่ผ่านมา (มั้ง?) 
มีตรงไหนผิดพลาดติ-ให้คำแนะนำกันได้เช่นเคยนะคะ  มีบางอย่างที่พลาด  หลุดหูหลุดตาไปบ้าง  บอกกันได้เสมอค่ะ  น้อมรับฟังเน้อ ไม่ต้องเกรงใจนะคะ  จะได้ปรับปรุงเนอะ (แต่อย่าพูดจารุนแรงนะคะ  จิตใจอ่อนไหว ฮ่ะๆๆๆๆ)
ปล.หวังว่ากานพลูจะช่วยให้ทุกคนมีความสุขนะคะ
ปลล.อย่าเพิ่งลืมโป๊ยกั๊กกันนะคะ ^^ อ้อ  แล้วอย่าเกลียดเจ้าเด็กนี่เลยนะ  เห็นกร่างแบบนี้น่ะก็แค่เด็กน้อยคนหนึ่ง  เดี๋ยวเขาก็จะเปลี่ยนแปลงค่ะ ^^


ด้วยรักและคิดถึง
ทราย




#โป๊ยคนหวงพี่
#MyFamSMe #คนนี้ต้องลับ
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 8 ] 29-5-61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 29-05-2018 12:40:33
 :pig4: :pig4: :pig4:

ไม่เนียนเลยนะกานพลู  เด๋วคำนับก็จับได้หรอก
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 8 ] 29-5-61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 29-05-2018 14:38:52
อย่าบอกนะ ว่าไปแล้วติดใจอาบ อบ นวด  :laugh:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 8 ] 29-5-61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 29-05-2018 15:25:54
 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 8 ] 29-5-61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 29-05-2018 15:28:37
หวังว่าโป๊ยกั๊กไปแล้วคงจะไม่ไปเจอภาพบาดตาของพี่ชายกับคุณเจ้าของหรอกนะ ไม่งั้นคงอาละวาดหนักแน่
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 8 ] 29-5-61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 03-06-2018 11:18:06


Secret Me  คนนี้ต้องลับ!
ตอนที่ 9




   พวกเราสามคนยืนเมียงมองอยู่ห่างจากหน้าร้านประมาณสองช่วงตึกพลางยกกระดาษในมือขึ้นดูว่าชื่อร้านถูกต้องไหม  และเพื่อให้แน่ใจว่าเรามาถูกที่จริงๆ

Wonderful Land

อื้อหือ  นี่ชื่อร้านอาบ อบ นวดหรือสวนสนุก?

ยังไม่ทันอ่านชื่อร้านจบผมก็เห็นคนที่ต้องการตัวเดินออกมาจากข้างใน  เจ้าก้อนนุ่มนิ่มอยู่ในชุดทำงานเข้ารูปดูดีเชียวล่ะ  แต่มันดูขัดตาอีตรงเสื้อกั๊กสีชมพูนี่แหละ  หวานแหววซะไม่มี  ใบหน้าน่ารักนั่นยิ้มแย้มให้คนรอบข้าง  พูดคุยเจื้อยแจ้วไม่หยุด  บนลำคอมีหูฟังสุดรักคล้องเอาไว้หากเขาไม่ได้ใช้มันครอบหูเอาไว้อย่างทุกที  ผมเหลือบสายตามองโดยรอบทันที  ที่นี่มีคนเดินพลุกพล่านไปมา  ดูก็รู้ว่าคนมาเที่ยวคงไม่คิดเรื่องทำงานกับการเรียนในหัวหรอก  ถ้าเรื่องลามกล่ะไม่ต้องเดา  แต่กระนั้นกระวานก็ยังคงไม่ใช้หูฟังเพื่อหลีกหนีคนเหล่านี้

   ผมหรี่ตามองพี่ชายคนรองของบ้านก่อนจะสาวเท้าเข้าไปหา  ภูธเรศกับบดินทร์กลับรั้งแขนเอาไว้คนละข้าง

   “มึงจะเดินปรี่เข้าไปแบบนี้ไม่ได้”

   “มึงต้องวางแผน”

   “วางแผนอะไร?  เข้าไปตามพี่ชายกลับบ้านไม่ต้องวางแผนอะไรหรอกมั้ง?”

   “มึงดูนู่น”  บดินทร์บุ้ยใบ้ปากไปอีกด้าน  ทางนั้นมีชายใส่สูทดำเดินไปมา  ให้ความรู้สึกเหมือนพวกมาเฟียหรือแก๊งค์พี่โหดแบบในหนัง  ผมขมวดคิ้ว  กระวานมาทำงานในสถานที่แบบไหนกัน!  โดนหลอกมาหรือว่าโดนข่มขู่? ไม่ได้การล่ะ  ผมจะยอมให้กระวานทำงานในที่แบบนี้ไม่ได้!

   “เฮ้ย  โป๊ยกั๊ก!”  ผมตรงเข้าไปหากระวานโดยไม่ฟังเสียงร้องเรียกของเพื่อนด้านหลัง

   “กระวาน!”  ผมแผดเสียงตะโกนจนอีกฝ่ายสะดุ้งตกใจ  กระวานเบิกตามองมา  ใบหน้าขาวดูซีดกว่าเดิม  รู้ตัวเลยว่าผมคงทำสีหน้าท่าทางน่ากลัวแค่ไหนพี่ชายถึงกับก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว  ชายตัวโตสองคนตรงทางเข้าร้านพอเห็นผมเดินเข้าไปพร้อมกับเห็นท่าทีแปลกๆ ของกระวานก็ขยับเข้ามาขวางเอาไว้ทันที

   “หลีกไป”

   “ถ้าคุณไม่ใช่ลูกค้า  กรุณาอย่าส่งเสียงดังรบกวนแขกท่านอื่น”  หนึ่งในนั้นพูด  ผมจึงเพิ่งเห็นว่ามีลูกค้าบางคนหันมามอง  บ้างทำสีหน้าอยากรู้อยากเห็น  บ้างมีท่าทีไม่สนใจ

   “ไม่หลีกเหรอ? ได้!”  ผมกำหมัดแน่นพร้อมลุยเต็มที่  ชายตัวโตทั้งสองคนเอื้อมมือไปหลังกางเกง

   “เดี๋ยว!”  กระวานที่เห็นท่าไม่ดีตะโกนแทรกเสียงดังแล้ววิ่งมาคั่นกลางระหว่างผมกับพี่เบิ้มสองคน  “นี่น้องชายผมเอง!”  สองคนนั้นจ้องหน้าผมสลับกับกระวานไปมา  สงสัยจะไม่เชื่อว่าเราเป็นพี่น้องกัน  เห็นแบบนั้นผมเลยชักสีหน้าใส่

   “ไม่ต้องพูดมากแล้ว  กลับบ้าน!”

   “เฮ้ย  ไม่ได้”  กระวานพยายามดึงแขนให้หลุดเมื่อผมคว้าหมับเข้าตรงข้อมือของเขา  ผมขมวดคิ้วไม่พอใจ  ดูซิ  กระวานชักจะดื้อใหญ่แล้ว

   “ทำไมไม่ได้?”

   “คุณกระวานเป็นพนักงานของเรา  คุณมากระชากลากถูกันไปแบบนี้ไม่ได้ครับ”  หนึ่งในนั้นเอ่ยบอก

   “แต่ผมเป็นน้องเขา  และตอนนี้ผมมารับเขากลับบ้าน”

   “ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานของคุณกระวานครับ”

   “ก็ไม่ต้องรอให้เลิก  เพราะกระวานจะไม่ทำงานที่นี่อีก”  สองคนนั้นเป็นฝ่ายขมวดคิ้วบ้างแล้วเมื่อได้ยินอย่างนั้น

   “ไม่เอาน่าไอ้กั๊ก”  เพื่อนทั้งสองคนวิ่งตามเข้ามาพยายามบอกให้ผมใจเย็นลง

   “เรื่องนี้คุณต้องไปคุยกับคุณจักรพรรดิเอง”

   “ที่นี่เป็นจีนโบราณเรอะ  มีจักรพรรดิด้วย?  งั้นอย่างฉันนี่ต้องเรียกอะไร  ฮ่องเต้?”  พี่เบิ้มสองคนคอตั้งตรง  หน้าตึง  มือกลับไปตรงหลังกางเกงอีกครั้งเมื่อได้ยินผมพูดจา

   “โป๊ยกั๊ก! คุณจักรพรรดิเป็นเจ้านายฉัน”  กระวานดุผมเสียงเข้ม  โอเค  ผมยอมเงียบก็ได้
   .
   .



   อาบ อบ นวด ที่นี่ให้ความรู้สึกไม่ค่อยเหมือนอาบ อบ นวดในความคิดของผมสักเท่าไหร่  ที่นี่เป็นคลับที่ดูดีมากแห่งหนึ่ง  เมื่อเดินเข้าไปจะมีทางแยก  ด้านซ้ายเป็นแผนกธุรการ  การเงิน  ฝั่งขวาตรงทางเข้ามีการ์ดสวมสูทดำยืนอยู่  ส่วนนี้แยกไปเป็นสถานเริงรมย์  คือมีตู้กระจกและสาวสวยอยู่ข้างในอย่างที่เคยเห็นในการ์ตูนนั่นแหละ 

   ตอนนี้ผมนั่งเผชิญหน้ากับคนที่ชื่อจักรพรรดิ  เจ้านายของกระวาน  ผู้ชายตัวสูงชะลูด  ทั้งๆ ที่ผมว่าตัวเองสูงแล้วนะแต่เขายังสูงกว่าผมเสียอีก  เรือนผมสีดำหวีเรียบไปด้านหลังนั้นยาวระต้นคอ  ดวงตาสีนิลเย็นชาและสูทสีดำเรียบกริบบนตัวยิ่งทำให้เขาดูน่าเกรงขาม

   นี่มันพวกมาเฟียชัดๆ เลยไม่ใช่หรือไง

   เจ้าของใบหน้าหล่อเหลานั้นจ้องตรงมาเงียบๆ  ผมเองก็ไม่ยอมละสายตา  มีกระวานนั่งกระสับกระส่ายอยู่ตรงกลางระหว่างเขากับผม

   “เอ่อ”  บรรยากาศในห้องรับแขกของสำนักงานคงกดดันเกินไป  กระวานจึงมีเหงื่อซึมขมับ  เขาคงอยากสลายความอึดอัดนี้เลยส่งเสียงขึ้นมา

   “ผมมารับพี่ชายกลับบ้าน”  ผมเอ่ยแทรกทะลุกลางปล้อง  กระวานอ้าปากค้างกะพริบตาปริบ

   “คนของผมน่าจะบอกคุณแล้วว่ายังไม่ถึงเวลาเลิกงานของเขา”

   “ใช่”  ผมยกมือแคะหูด้วยท่าทางกวนๆ คนตรงหน้ายังคงตีหน้าเรียบอ่านความรู้สึกไม่ออก  “แต่ผมก็บอกแล้วเหมือนกันว่าผมไม่ยอมให้พี่ชายมาทำงานที่ร้านนี้” คราวนี้เขามีปฏิกิริยา  ดวงตาดุๆ คู่นั้นหรี่ลงก่อนจะตวัดไปมองตัวต้นเหตุ

   “คุณไม่ได้บอกคนที่บ้านหรือไงว่าทำงานที่นี่”

   “เอ่อ  บอกนะ” กระวานขยับตัวไปมาท่าทางมีพิรุธ

   “บอกว่ายังไง?”  นายหน้าดุหันไปถามกระวาน

   “ก็  ก็บอกว่า  ..ว่าทำงานที่ wonder land”

   “เพราะแบบนี้ทุกคนในบ้านเลยเข้าใจว่ากระวานมาทำงานที่สวนสนุก”  ผมเอนหลังพิงพนักโซฟาเอ่ยปากต่อบทสนทนาของพี่ชาย  ไม่ใช่ว่าเจ้าตัวไม่บอกแต่บอกไม่ครบต่างหาก!

   “........”  เจ้าของสวนสนุกถึงกับพูดไม่ออก

   “กระวานมีปัญหา...สุขภาพ”  ผมชี้ที่หูตัวเอง  “เขาไม่ควรมาอยู่ในที่แบบนี้  ไม่งั้นเขาจะไม่สบาย”

   “ไม่ๆ โป๊ยกั๊ก  ตอนนี้ฉันสบายดี”  กระวานเหลือบมองเจ้านายตัวเองแล้วรีบหันมาพูดกับผมรัวเร็ว  ผมหรี่ตามองพี่ชายเพื่อจับสังเกตว่าเขากำลังพยายามปิดบังอะไรอยู่หรือเปล่า  ปกติไม่ต้องให้ผมเอ่ยปาก  กระวานก็มักจะไม่เข้าใกล้คนที่มีความคิดแนวนี้อยู่แล้ว  น่าแปลกที่ยอมมาทำงานในร้านอาบ อบ นวด

   “ผมจะยอมให้คุณพาพี่ชายกลับบ้านก็ได้นะถ้าคุณยอมชดใช้หนี้ที่พี่คุณก่อ”

   “หนี้?”

   “แหวนมูลค่าหลักสิบล้าน”

   “สิบล้าน!”  ผมหันไปมองพี่ชายคนรองของบ้าน  “เงินไม่พอใช้พี่น่าจะบอกพวกเราซิ  ไปขโมยของเขาได้ไง?”

   “จะบ้าเรอะ! ไม่ได้ขโมยโว้ย”  กระวานถลึงตามอง  “พอดีมีอุบัติเหตุนิดหน่อย  แล้วฉันทำแหวนคุณจักรพรรดิหาย”

   “หายจริงเหรอ  หาดูดีหรือยัง?”

   “หาดีแล้วซิ  เพราะไม่เจอไงฉันถึงต้องมาทำงานใช้หนี้แบบนี้”

   “แหวนอะไรแพงขนาดนั้น  โม้หรือเปล่า?”  ผมพยายามหาเหตุผลมารองรับ  แหวนบ้าอะไรราคาหลักสิบล้าน  เออ  ถ้าราคาหลักสิบล้านจริงนี่มีอีกสักวงไหม ผมอยากจะขโมยไปขายแล้วเอาเงินให้คำนับไปเรียนต่อจัง  โว๊ะ  นี่ผมกำลังคุยเรื่องซีเรียสของพี่ชายอยู่  ทำไมไพล่ไปคิดถึงเจ้านั่นได้ล่ะเนี่ย

   “แหวนนั้นเป็นของสำคัญของผม  และพี่ชายคุณทำของสำคัญของผมหายไป  เขาต้องชดใช้”  นายหน้านิ่งเอ่ยเสียงเรียบ

   “คุณกำลังขู่อยู่เหรอ?”  ผมผละจากพนักโซฟา  ค้อมตัวไปข้างหน้าจ้องตากับเขาอย่างไม่เกรงกลัว

   “ก็ถือว่าใช่”  เขาจุดยิ้มมุมปากดูเจ้าเล่ห์และอันตรายขึ้นมา

   “....”  ผมจ้องเข้าไปดวงตาสีดำคู่นั้น  กำลังคิดประเมินว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี  พลันบ่าก็โดนสะกิดจากด้านหลัง

   “โป๊ยกั๊ก  พี่ใหญ่โทร.มา”  บดินทร์ยื่นโทรศัพท์ของตัวเองส่งมาให้  ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยอมรับโทรศัพท์ของเพื่อนมาแนบหู  ผมปิดเสียงโทรศัพท์เปิดเป็นระบบสั่นเอาไว้  และแน่นอนว่ามันสั่นเป็นเครื่องนวดตั้งแต่ผมก้าวเท้าเข้ามา  เพราะรู้ว่าพี่ชายคนโตจะต้องโทร.มาแน่นอนผมตั้งใจจะไม่รับจนกว่าจะลากตัวกระวานกลับบ้านได้  สุดท้ายก็ต้องคุยกันเพราะผมลืมสั่งเพื่อนว่า  อย่ารับสายของพี่ไธม์

   “ครับ”

   ‘โป๊ยกั๊ก  กลับบ้าน’

   “ไม่”

   ‘อย่าดื้อ  ถือว่าพี่ขอร้อง’

   “แต่กระวานกำลังตกอยู่ในอันตรายนะพี่”  นายหน้าดุขมวดคิ้วฉับกับคำพูดของผม  “เขาบังคับให้กระวานใช้หนี้ด้วย  ผมว่าไม่เป็นมาเฟียก็ยากุซ่าแน่ๆ”

   “เอ่อ”  กระวานยิ้มแหย  เขาเหลือบมองเจ้านายตัวเองที่ตีหน้าตึงคอตั้ง 

   ‘เรื่องนั้นพี่จะตรวจสอบเอง  ส่วนเราน่ะกลับบ้านไปได้แล้ว  มันอันตราย’

   “นั่นไง  ขนาดพี่ยังว่าอันตราย  ผมยิ่งไม่ควรปล่อยให้กระวานอยู่ที่นี่”  ผมเถียง  ไม่ยินยอมกลับง่ายๆ ส่วนกระวานกำลังขยับตัวไปมา

   “โป๊ยกั๊ก  นายกลับไปก่อนนะ  แล้วเราค่อยคุยกันเรื่องนี้ทีหลัง”  ผมขมวดคิ้วใส่พี่ชายทั้งสองคน  แม้พี่ไธม์จะไม่เห็นก็เถอะ

   ‘กระวานไม่เป็นอะไรหรอก  แต่เรานั่นแหละ  ยุ่มย่ามมากไปไม่เป็นเรื่องดี’

   “แต่...”  สรุปคนที่น่าเป็นห่วงคือผม  ไม่ใช่กระวานเหรอ? 

   ‘เราจะคุยเรื่องนี้กันทีหลัง  เมื่อพี่กลับบ้าน  โอเค๊?’

   “ถ้าไม่โอเคล่ะ?”

   ‘คำตอบมีข้อเดียว  โป๊ยกั๊ก’  โอเค  น้ำเสียงพี่ไธม์เริ่มเปลี่ยนแล้ว  ดังนั้นผมควรทำตัวเป็นเด็กดียอมกลับบ้านง่ายๆ ตามคำสั่งของพี่ชายคนโต

   ผมยอมออกจากสวนสนุกนั่นโดยปล่อยให้กระวานทำงานต่อไปอย่างไม่เต็มใจ  ไม่รู้ว่าใครโทร.หาพี่ไธม์  คงไม่ใช่เพื่อนทั้งสองคนของผมแน่  เดาว่าคงเป็นเพกา  เพราะฝ่ายนั้นไม่อยากให้ผมบุกมาที่นี่เท่าไหร่

   ผมไม่โกรธเพกาหรอกที่โทร.ไปฟ้องพี่ไธม์  เข้าใจแหละว่าน้องคงเป็นห่วง  ผมเป็นคนใจร้อน  พอรู้เรื่องก็รีบแจ้นมาที่นี่เพราะกลัวกระวานจะรู้สึกแย่  อย่างที่รู้ว่าหูของกระวานนั้นค่อนข้างพิเศษกว่าคนทั่วไป  ผมเลยอดเป็นกังวลไม่ได้ว่าพี่ชายคนรองจะลำบากแค่ไหนกับงานแบบนี้  อีกอย่างกลัวเจ้าก้อนนุ่มนิ่มนั่นโดนหลอก  คนสมัยนี้น่ากลัวจะตาย  ไว้ใจได้ที่ไหนกัน

   หลังจากนั้นผมก็อยากจะเอาความกังวลทั้งหมดทิ้งลงแม่น้ำ  เมื่อพี่ชายตัวดียิ้มแป้นแล้นหัวเราะเสียงดังลั่นบ้าน  บอกว่างานนี้เหมาะกับความสามารถของตัวเองสุดๆ แถมเงินดีอีกต่างหาก

สวนสนุกนั่นไม่ได้มีแค่สาวสวย  หากยังมีหนุ่มน้อยหน้าตาดีด้วย  แยกออกไปในส่วนของตึกอีกหลัง  มีทั้งอาบ อบ นวดหนุ่มน้อยสำหรับผู้หญิง  อาบ อบ นวดหนุ่มน้อยสำหรับผู้ชาย  โอ้โห  อะไรจะครบวงจรขนาดนี้! 

แม่ที่ได้ยินถึงกับตาโตเท่าไข่ห่าน  ท่าทางตื่นเต้นปากก็พูดว่า  อยากไปๆ เล่นเอาพ่อถึงกับอ้าปากค้าง  จากนั้นก็นั่งหันหลังให้แม่พลางร้องไห้กระซิกๆ บอกว่าแม่ไม่สนใจพ่อแล้วถึงอยากไปอาบ อบ นวดหนุ่มน้อย  ผมเห็นแม่ยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะโอบไหล่พ่อเข้ามา


ผมเดาว่าคืนนี้พ่อต้องกลายเป็น  ‘หนุ่มน้อยในตู้กระจก’  ให้แม่แหงๆ




**********

   


ความจริงแล้วผมไม่ได้เป็นคนเชื่ออะไรง่ายๆ
   
แต่ช่วงนี้มีข่าวลือหนาหู... 

เพกาเป็นคนน่ารัก  ยิ้มแย้มแจ่มใส  อัธยาศัยดี  เข้ากิจกรรมของโรงเรียนไม่ขาด  การเรียนก็นับว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ใครหลายๆ คนต่างชอบเพกา  ใช่  หลายคน  แต่ไม่ควรมีคำนับเป็นหนึ่งในนั้น!

“เฮ้ย  สรุปคำนับมันจีบเพกาจริงเหรอวะ?”

“มึงเอาอะไรมาพูด”  ผมหันขวับไปตะคอกเสียงเขียวใส่เพื่อนชมรมไอคิโด

“อ้าว  กูเห็นมันไปกินข้าวกลางวันกับมึงทุกวัน  นึกว่าตีสนิทเข้าทางมึง”  ผมยืดอกขึ้น  ในอกฟูฟ่องแปลกๆ

“แล้วไง  มันแค่ไปกินข้าวกับกูกับไอ้ภู  ไอ้ดิน”

“เหรอ  มันเข้ากลุ่มเหรอ  งั้นเมื่อวานที่กูเห็นมันเดินไปกับเพกานี่ไม่มีอะไรในกอไผ่ใช่ไหม?”

“ห้ะ?”  ผมหันขวับไปจ้องหน้าคนพูดอีกครั้ง

“หรือว่ามันเป็นพ่อสื่อให้ไอ้เน่าเพื่อนมันวะ?”

ผมหูอื้อตาลาย  ไม่ได้ยินอีกแล้วว่าเพื่อนคนนั้นพูดว่าอะไรอีก  รู้แต่เพียงว่าโกรธมาก  ผมเป็นคนพาคำนับเข้าบ้านเอง  หากเขาจะฉวยโอกาสนี้จีบเพกาหรือช่วยเพื่อนจีบผมจะทำยังไง ตีอกชกตัว?

ไม่  ผมจะชกมันนั่นแหละ!

มีบางสิ่งที่ผมไม่เข้าใจความโกรธครั้งนี้  มันไม่เหมือนเวลาโมโหคนอื่นๆ ที่เข้ามาจีบเพกา  มันเจ็บยอกแปลกๆ  ลมหายใจอึดอัด  และทุกครั้งในสถานการณ์แบบนี้ผมจะเห็นเพียงหน้าน้องสาวตัวเอง  ห่วงหวงไม่อยากให้น้องมีแฟนก่อนเวลาอันควร  คราวนี้กลับต่างออกไปเมื่อผมเห็นแต่เพียงหน้าของคำนับ  ยิ่งคิดว่าเขาไปหัวร่อต่อกระซิกกับใครที่ไม่ใช่ผม  ผมยิ่งโมโห

น่าแปลก   แปลกมากจริงๆ

ผมไม่อยากเชื่อคำพูดของเพื่อนจากชมรมไอคิโดคนนั้นจึงลองลอบสังเกตว่าคำนับมีท่าทางอะไรแปลกๆ กับเพกาหรือไม่

“มึงบ้าหรือเปล่า?  หวงน้องเกินไปแล้วนะ”  ภูธเรศถอนหายใจแล้วส่ายหัวเมื่อผมยืนมองน้องสาวตัวเองกับคำนับช่วยกันปลูกผักตรงแปลงหลังร้าน  นี่ไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อยที่เขาสองคนช่วยกันปลูกผักแบบนี้  ทำไมผมต้องคิดมากด้วยนะ  ผมถอนหายใจ  บอกตัวเองว่าอาจคิดมากไปและควรไปช่วยพ่อทำความสะอาดร้านได้แล้วก่อนจะเริ่มเปิดร้านและมีลูกค้ามา  จังหวะที่หมุนตัวกลับสายตาดันเห็นท่าทีของคนหลังร้านผิดแปลก  คำนับวางเสียมขุดดินอันเล็กและถอดถุงมือออก  ก่อนจะล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อให้เพกาแผ่วเบา  น้องสาวคนสวยของผมยิ้มกว้างเจิดจ้า  ปากขยับพูดไม่หยุด  ขณะที่คำนับหัวเราะอารมณ์ดี
.
.





ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงร้องวี๊ดของเพกา  ความรู้สึกเจ็บตรงกำปั้นเมื่อผมส่งมันกระแทกใบหน้าของคำนับ  ผมกระชากเขาที่นั่งข้างเพกาขึ้นมาแล้วชกจนเขาล้มคว่ำ  เพกาเข้ามาผลักผมออกแล้วตะโกนอะไรบางอย่าง  แต่ผมไม่ได้ยิน

คำนับมีท่าทีตกใจ  มือผอมซีดยกกุมแก้มตัวเอง  ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นตวัดมองผมคล้ายมองคนแปลกหน้า  เป็นดวงตาเหมือนเมื่อครั้งแรกที่ถูกเขามอง  และนั่นยิ่งทำให้ในอกผมหน่วงหนักกว่าเดิมนับร้อยเท่า

“มึงจีบน้องกูให้ตัวเองหรือให้เพื่อนมึง?”

“พี่โป๊ยกั๊ก! หยุดเลยนะ!”

“ตอบ!” ไอ้ภูกับไอ้ดินวิ่งเข้ามาฉุดไหล่ผมคนละข้าง  เพกาน้ำตาคลอหากผมเอาแต่จ้องหน้าของคนบนพื้น  คำนับมองนิ่ง  เขาหรุบสายตาลงพลางถอนหายใจ  แล้วลุกขึ้นยืนปัดเศษดินตามกางเกง  ก่อนจะเดินออกไปโดยไม่มองผมอีก

“ไอ้ครับ!”  ผมผวาจะตามเขาไปหากแขนกลับโดนน้องสาวรั้งเอาไว้

“พี่โป๊ยกั๊ก!”  เพกาตวาดกลับ  ผมก้มลงมองหน้าน้องสาวที่เบะปากจะร้องไห้

“.....”

“พี่ชกพี่ครับทำไม”

“ก็มัน...จะ...เพกา”

“ใช่ที่ไหน!”  น้องสาวคนเดียวของบ้านเริ่มร้องไห้  เพการู้ว่าประโยคต่อไปของผมคืออะไรจึงเอ่ยแทรก  “พี่ครับไม่ได้จีบหนูสักหน่อย”

“แต่มันเช็ด...”

“ก็แค่เช็ดเหงื่อ! มือหนูเปื้อนดินพี่ครับเลยเช็ดให้”

“แล้วหัวเราะอะไรกัน”  ผมขมวดคิ้ว  นี่ต่างหากคือข้อสงสัยของผม

“ทำไมจะหัวเราะไม่ได้?”

“ก็...”

“พี่บ้าไปแล้วหรือไง  จะไม่ให้พี่ครับหัวเราะหรือยิ้มกับใครเลยหรือไง”

“....”  คล้ายมีมือมาบีบบางอย่างในอกให้แตกดังโพล๊ะ  ความรู้สึกอึดอัดที่ผมไม่เข้าใจเมื่อครู่พลันกระจ่างเมื่อฟังคำพูดของเพกา  ผมไม่ได้หวงน้องเหมือนอย่างทุกที  ไม่ได้โกรธที่คำนับอยู่ใกล้เพกา  แต่ผมไม่พอใจ  ไม่พอใจที่เขาแสดงท่าทีสนิทสนมกับเพกา  ยิ้มและหัวเราะกับใครที่ไม่ใช่ผม...

“เรากำลังคุยเรื่องเจ้าหญิงกัน  แล้วพี่ก็เข้ามากระชากพี่ครับเฉยเลย”

“คุยเรื่องเจ้าหญิง?”

“ใช่!”  เพกาทำปากยื่น เช็ดน้ำตาป้อยแล้วส่งค้อนมาให้วงใหญ่

เจ้าหญิงคือแมวเพศผู้ของบ้านเรา  แมวที่พ่อเข้าใจผิดคิดว่าเป็นตัวเมียจึงตั้งชื่อให้มันเสียน่ารักน่าชัง  แมวสีดำตัวเขื่องขี้เล่นและฉลาดแสนรู้  แมวที่กระวานไม่ชอบและพี่ไธม์ไม่ค่อยอยากจับสักเท่าไหร่  แมวที่พ่อหลงนักหลงหนา  แมวที่ผมชอบจับมันมาผูกโบว์สีชมพูเพราะอยากแกล้งมัน 

แมวตัวเดียวกันนั้นที่ทำให้คำนับยิ้มและหัวเราะกับวีกรรมทั้งหลายของมันที่เพกาเล่า



********
   



“มึง  แล้วกูจะทำยังไงดี?”  อยากทึ้งหัวตัวเอง  แต่ก็กลัวจะหัวล้านผมเลยได้แต่นั่งคอตกปรับทุกข์กับเพื่อนทั้งสองคน  เมื่อวานหลังเหตุการณ์นั้นคำนับก็กลับบ้านทันที  มาวันนี้ตอนถึงเวลากินข้าวก็ไม่ปรากฏตัวให้เห็น

   “สมน้ำหน้า  ทำอะไรไม่รู้จักคิด”  ภูธเรศค้อนตากลับ
   
“กูแค่หวงน้อง...”

“มึงหวงเพกาหรือหึงคำนับ  เอาดีๆ”  บดินทร์เอ่ยขัด  ไม่เชื่อในสิ่งที่ผมบอก

“หึงบ้านแป๊ะมึงซิ”  ผมถลึงตาใส่เพื่อนรักทั้งสอง

“ฟังข่าวลือไร้สาระมา  แถมไปจ้องจับผิดมันอีก  เป็นไงล่ะคราวนี้”

“แหม  มึงก็...คนเรามันต้องมีผิดพลาดกันบ้างป่าว”  แถจนสีข้างถลอก  แสบไปหมดทั้งแถบละครับงานนี้  แล้วทำไมผมต้องรู้สึกโล่งใจด้วยนะที่ข่าวลือนั้นไม่ใช่ความจริง  ประหลาดชะมัดเลย

“พลาดจังเบ้อเร่อ”  ไอ้ดินทับถมไม่หยุด

“วันนี้แม่งเลยไม่กล้ามากินข้าวด้วยเลย  แถมยังหนีหน้าอีกต่างหาก”

“ก็หมัดไอ้โป๊ยกั๊กเบาเสียที่ไหน  ขืนพูดจาไม่ถูกหูอีก  เกิดโดนชกขึ้นมาคราวนี้ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตเลยนะโว้ย”

จะพูดให้รู้สึกผิดอีกนานไหมวะเนี่ย  ไอ้เพื่อนบ้า!  อยากตะโกนใส่แบบนี้แต่มีชนักติดหลังไง  ขืนโวยวายใส่พวกมัน  เกิดไม่ช่วยผมหาวิธีขอโทษคำนับขึ้นมาจะลำบากเอาได้

“มึงทำมันเจ็บตัวฟรี  เตรียมง้อมันหรือยัง”

“ทำไมต้องง้อ  ไม่ได้เป็นอะไรกับมันสักหน่อย  แค่ขอโทษก็พอไหม?”

“อ้อเหรอ  แล้วไอ้อาการเครียดเขม็งตอนคิดว่ามันจีบเพกาคืออะไร”  บดินทร์และภูธเรศผลัดกันรุกถามผมไม่หยุด

“เพกายังไม่ควรมีแฟนไง  และมันไม่ควรจีบน้องกู”

“โกหกไม่เนียนครับคุณ”  ไอ้ภูเบะปาก 

“มันไม่ได้โกหก  แต่มันไม่รู้ต่างหากว่าตัวเองคิดอะไร  รู้สึกยังไง”  บดินทร์ยกยิ้มมุมปากแล้วยักคิ้วให้คู่หูตัวเอง

“คิดอะไร?  รู้สึกอะไร?”  อย่ามายั่วให้ผมไขว้เขว  เห็นท่าทางมันแล้วอยากถีบมากบอกตรง

“ก็คิดแบบที่แตกต่างออกไปไง  รู้สึกแตกต่างแบบที่ไม่เคยเป็นกับใครมาก่อน”  ผมขมวดคิ้วกับประโยคนั้นของบดินทร์

“อะไรของมึงไอ้ดิน?”

“ตอนนั้นมึงโมโหอะไร?”

“....”

“มึงไม่พอใจอะไร?”

“...”  ผมนิ่งเงียบ  ก็พอจะรู้อยู่แล้วแหละว่าผมโมโหคำนับ  โกรธคำนับที่เข้าใกล้เพกา

“เวลามึงต่อยคนที่มาจีบเพกา  มึงจะดึงน้องมึงมาไว้ข้างหลังตัวเอง  ซัดอีกฝ่ายจนล้มคว่ำ  ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม”

“แต่นี่มึงเอาแต่จ้องหน้าไอ้ครับ  ไม่สนใจเพกาเลย”

“มะ...”  อ้าปากจะปฏิเสธ  ภูธเรศก็ตบมือแปะแล้วเอ่ยพูดพร้อมกับสีหน้ารู้แจ้ง

“แบบนี้เขาเรียกว่าหึง”

“หึง?”

“ใช่”

“หึงใคร?”

“เพกา  มึงหึงเพกา  ไม่อยากให้เพกาเข้าใกล้คำนับ”

“มึงรู้สึกกับคำนับแบบที่ไม่ได้รู้สึกกับคนอื่น”

“มึงห่วงใย”  พวกมันสลับกันพูดคนละประโยค  ผมหันซ้ายแลขวาฟังเพื่อนพูดแล้วขมวดคิ้ว

“มึงฟิวส์ขาดเพราะคิดว่ามันจะมีแฟน  ไม่ใช่เพราะมันจีบเพกา”

“พวกมึงอย่ามามั่ว!”  ผมตะโกนใส่หน้าเพื่อน

“มึงอารมณ์เสียตอนมันไปเจอคนอื่น”  ผมนึกตาม  ตอนที่คำนับไปเจอไอ้เปรี้ยว  ผมไม่พอใจ  นั่นยอมรับ  แต่เป็นเพราะไม่อยากให้มันไปยุ่งกับคนไม่ดีต่างหาก

“มึงใจเต้นตอนมันยิ้มให้” เอ่อ  อันนี้ไม่เถียงนะ  หลายวันมานี้ผมใจเต้นกับรอยยิ้มของคำนับจริงๆ

“มึงเผลอมองตามมันทุกฝีก้าว”

“เว่อร์ล่ะ  กูจะไปมองมันได้ไง  อยู่คนละห้อง”  ผมยิ้มเยาะให้ไอ้ภูที่ทำท่าวิเคราะห์อย่างผู้เชี่ยวชาญ  มันค้อนใส่เมื่อโดนตอกกลับค้านคำพูดมัน

“มึงเกาะติดกับมันทุกวัน”

“....”  อันนี้ชักเถียงไม่ออกแหะ

“มึงไม่อยากให้มันห่างสายตา”

“กูแค่กลัวพวกไอ้เปรี้ยวมาลากคอมันไปกระทืบต่างหาก”

“มึงอย่ามาตอแหล!”  ไอ้ภูตะคอกใส่ท่าทางหมดความอดทน

“เอ้า?”

“ตอนนี้มึงยิ้มปากจะฉีกถึงหูแล้วไหม  อย่ามาเนียนว่าไม่รู้สึกอะไรกับไอ้ครับมัน”

“เอ๊ะ?”  ผมยิ้มงั้นเหรอ?

ผมยิ้มกับการที่โดนเพื่อนวิเคราะห์ว่าชอบคำนับงั้นเหรอ?  ไม่มั้ง?

คำนับก็เหมือนเพื่อนคนอื่นๆ นั่นแหละ เหมือนไอ้ภู  ไอ้ดิน  ที่บังคับให้อยู่ใกล้เพราะจะได้คอยสอดส่องไม่ให้พวกไอ้เปรี้ยวมันลากไปกระทืบเท่านั้น  ที่บุกไปหาถึงบ้านเพราะแค่อยากรู้ว่าบ้านเขาอยู่ตรงไหน  ทำอะไร  ทำไมต้องยอมรับเงินจากคนที่จ้างไอ้เปรี้ยวด้วย

ที่ให้มากินข้าวด้วยกันทุกวันเพราะเห็นว่าคำนับผอมเกินไป  ควรบำรุงให้มากหน่อยเลือดจะได้ไปเลี้ยงสมองเยอะๆ จะได้ไม่ชวดทุนที่ทำเรื่องขอไป

ที่บังคับให้กินน้ำเก๊กฮวยเหมือนตัวเองเพราะคำนับจะได้รู้ไงว่าผมชอบอะไร  จะได้ไม่ขัดใจผมอีก  แล้วถ้าชอบเหมือนผมได้ยิ่งดี  ประหยัดเวลาในการซื้อ

และถึงแม้กับข้าวฝีมือคำนับจะอร่อยสู้พ่อฟ้าไม่ได้  แต่ผมก็อยากกิน  หนำซ้ำไม่อยากแบ่งให้ไอ้ภูกับไอ้ดินกิน  กลัวมันท้องเสียไง  ไว้คำนับทำอาหารเก่งเมื่อไหร่ค่อยมากินตอนนั้นก็ยังไม่สาย


ผมไม่อยากให้คำนับจีบเพกา  ไม่อยากให้คุยกับคนอื่น


ไม่อยากให้เขายิ้มกับใคร


ถ้าจะยิ้ม  จะหัวเราะละก็...





แค่ทำกับผมคนเดียวก็พอ...











โปรดติดตามตอนต่อไป










สวัสดีค่า
คำแรกเลยคือ.....
อย่าเพิ่งโกรธโป๊ยกั๊กกันเลยนะคะ TAT  เอ็นดูนางเต๊อะ  เด็กไม่เคยมีความรักก็งี้ (ฉันแถให้แกแล้วนะโป๊ย)
เอาน่า  ถ้านางรู้ตัวว่ารักเขาเมื่อไหร่ก็คงทำตัวน่ารักขึ้นแหละ  แต่อย่างว่า  โป๊ยกั๊กเป็นพวกความรู้สึกต่อเรื่องนี้ช้า  นางก็จะแสดงออกแปลกๆหน่อย  ก็แบบว่านั่นน่ะ...ของเขานะ  อย่ามายุ่ง  ไรงี้

เช่นเคยค่า  ขอให้สนุกกับเรื่องนี้นะคะ  มีตรงไหนผิดพลาดแนะนำติติงได้ค่ะ เพื่อจะได้กลับไปปรับปรุงเนอะ
ปล. คราวนี้คนตรวจคำผิดไม่สบายค่ะ  หวังว่าน่าจะไม่มีตรงไหนรอดหูรอดตานะคะ  (แต่งเองอ่านเองตรวจเองเข้าใจอยู่คนเดียว  กลัวมันหลุดไปเหมือนกันค่ะ TAT)

#คนนี้ต้องลับ
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 9 ] 3-6-61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 03-06-2018 13:15:40
 :pig4: :pig4: :pig4:

โป๋ยกั๊ก    สมชื่อ

กั๊กแปดตลบ
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 9 ] 3-6-61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 03-06-2018 13:27:20
เพื่อนว่าให้แบบนี้  รู้ตัวยังว่าหึง  :hao3:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 9 ] 3-6-61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 03-06-2018 14:25:28
 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 9 ] 3-6-61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Rumraisin ที่ 04-06-2018 08:24:20
ถ้าจะกั๊กเหมือนชื่อขนาดนี้ อยากให้ครับโกรธนานๆเลยค่ะ  :hao3: หมั่นไส้โป๊ยกั๊กจริงๆ ขอบคุณค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 9 ] 3-6-61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 04-06-2018 17:12:09
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 9 ] 3-6-61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: Al2iskiren ที่ 09-06-2018 08:39:37
ในความหวงน้อง มีความหึงซ่อนอยู่
ถถถถถ พ่อคนรู้ตัวช้า หาวิธีง้อน้องครับด่วนๆ
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 9 ] 3-6-61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 13-06-2018 21:58:39
โดนโกรธยาวแน่โป๊ยกั๊กเอ้ย ทีนี้ครับจะรู้สึกเคว้งและเสียใจมั้ยอะกลัวน้องจะโดนรังแกอีก ส่วนเรื่องกระวานนี่อยากอ่านบ้างแล้วฝากนักเขียนทวงนิยายให้หน่อยได้มั้ยคะ ฮาา
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 9 ] 3-6-61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 19-06-2018 04:12:56



Secret Me  คนนี้ต้องลับ!
ตอนที่10




เพราะเหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อนทำเอาคำนับหนีหน้าอีกทั้งไม่ยอมไปช่วยงานที่ร้าน  พ่อบอกว่าคำนับขอลาหยุดหนึ่งอาทิตย์  พอพ่อถามสาเหตุก็บอกว่าช่วงนี้ยุ่งๆ ต้องช่วยน้าแป้งทำอะไรสักอย่าง  ผมรู้ว่านั่นคือข้ออ้างจะไม่เจอหน้าผมมากกว่า  แต่ช่างเถอะ  ยังไงซะเราก็ต้องเจอกันที่โรงเรียนอยู่แล้ว  ดังนั้นตอนนี้ผมเลยมาดักรอหน้าห้องก่อนกริ่งพักเที่ยงจะดัง  ไม่งั้นไม่ทันครับ  คำนับไวเหมือนแมว  เผลอแปบเดียวก็คลาดสายตาจับไม่ทันแล้ว

เห็นเงาร่างคุ้นตาผมก็คว้าหมับเข้าคอเสื้อ  คำนับตกใจหันมามอง  พอรู้ว่าเป็นผมก็จ้องตาเขียวพยายามบิดตัวดึงคอเสื้อให้หลุด  ผมจิ๊ปากขัดใจแล้วลากเขาไปใต้ต้นเสลาเงาไม่มีที่มักมานั่งกินข้าวเที่ยงกันประจำ

“ไหนข้าว?”  เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นบทสนทนายังไงดี  สุดท้ายเลยใช้คำพูดประจำตะคอกใส่เขา  บ้าเอ้ย!  ตบปากตัวเองตอนนี้ทันไหมเนี่ย

“....”

“ถามไม่ได้ยินหรือไง  หูตึงเหรอ?” โว้ย! ยั้งปากไม่ทันอีกแล้ว!

“ไม่มี!”

“หมายความว่าไงที่ไม่มี?”

“ไม่มีก็คือไม่มีไง  ฟังภาษาไทยไม่ออกเหรอ?  โง่นี่หว่า”  อื้อหือ  น้ำเสียงดูถูกมาก  นี่ถ้าไม่ติดว่าลากเพื่ออะไรจะบิดปากบางๆ นั่นสักที

“นี่!”

“ทำไม  จะต่อยอีกเหรอ?”

“.....”  ผมชะงัก  ความรู้สึกผิดวูบขึ้นมาในอก  หรุบตามองรอยช้ำจางๆ ตรงมุมปากเขาแล้วให้รู้สึกเจ็บแปลบแปลกๆ  อยากยกมือขึ้นลูบรอยช้ำนั้น...

“ชกซิ  ไม่พอใจก็ชกเลย”

“...อย่ามาประชด”  ผมพยายามกดเสียงตัวเองไม่ให้สั่น  แววตาของคำนับดูแตกต่างจากเคย  มันเหินห่าง  ...เหมือนกลับไปตอนครั้งแรกที่เราได้รู้จักกัน

“ไม่ได้ประชด  ที่พูดเนี่ยคือนิสัยนายล้วนๆ”

“?”  ผมหรี่ตามอง  คำนับจ้องกลับไม่เกรงกลัว  ริมฝีปากบางเหยียดออกเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อ

“นายมันไอ้คนปากเสียพูดจาไม่คิด  มีหูไว้คั่นสมอง  ยังไม่แก่แต่หูตาดันฝ้าฟาง  ไม่พอใจอะไรเอะอะก็ใช้กำลัง  อารมณ์แปรปรวนเหมือนพวกผู้ป่วยทางจิต  นายมันไอ้พวก...”

“เอาละ  ชักเริ่มมากไปแล้วนะ  ยอมให้พูดหน่อยเป็นไม่ได้”  ผมยกมือห้ามก่อนคำด่าอีกขบวนจะพ่นออกมาจากปากเขา  เห็นนิ่งๆ อย่างนี้ปากจัดใช่ย่อยเลยนะเนี่ย

“...”

“ขอโทษ”

“ห้ะ?”  คำนับชะงักนิ่ง  ดวงตาเรียวเบิกกว้างคล้ายไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน  ผมสูดลมหายใจเข้าลึกมองเขาแล้วเอ่ยคำนั้นออกมาดังๆ อีกครั้ง

“ขอโทษ!”

“นายไม่สบายเหรอ?”  คนน่าเตะเขยิบตัวถอยห่างมองด้วยสายตาหวาดๆ แต่ผมรู้ว่าคำนับแกล้งทำ

“ถือว่าไม่ได้ยินละกัน”  ผมจิ๊ปากพลางหันหน้าหนี  ไม่ใช่อะไร  แค่รู้สึกร้อนแถวๆ แก้มน่ะ  ผมคิดว่าตัวเองคงหน้าแดงแน่ๆ  ไม่อยากให้คำนับเห็นเลยให้ตาย

“เดี๋ยวซิ  เมื่อกี้นายขอโทษฉันงั้นเหรอ? จริงดิ?”  ทีอย่างนี้ละยื่นหน้าเข้ามาใกล้เชียวนะ

“......”  ผมพยายามผลักหน้าคำนับออกเพื่อไม่ให้เขามองหน้าผมได้  หมุนหนีจนวนรอบตัวคำนับก็ยังไม่ละความพยายาม  สุดท้ายก็ต้องยอมให้เขาจ้องเพราะผมดันมึนหัวเสียเอง

“ฮ่ะๆๆๆๆ”  แล้วจู่ๆ เสียงหัวเราะจากอีกคนก็ดังลั่น  สงสัยจะเห็นหน้าแดงๆ ของผมแล้วแน่ๆ ผมหันไปมอง  เจ้าแมวตัวผอมกุมท้องหัวเราะน้ำตาเล็ด  ริมฝีปากบางขยับเป็นรอยยิ้มกว้าง  ดวงตาคู่นั้นยิบหยี  ผมขยับมุมปากขึ้นโดยไม่รู้ตัว

“หัวเราะได้นี่ไม่โกรธแล้วใช่ไหม?”

“ก็...”

“ตอบให้เร็ว!”  รีบกลับมาตีหน้าขรึม  แค่คำนับเห็นว่าผมหน้าแดงก็น่าอายมากพอแล้ว

“เออ  ก็ได้!”

“แค่นั้นแหละ!”

“อะไรวะ  มาง้อยังจะบังคับให้หายโกรธอีก”

“ไม่ได้ง้อ!”

“งั้นเมื่อกี้เรียกว่าอะไร?”

“...ผิด”

“อะไรนะ?”

“เมื่อกี้เรียกว่าขอโทษที่เข้าใจผิด  ได้ยินยัง? หัดแคะหูบ้างนะเราน่ะ”  หมั่นไส้นัก  บิดหูแม่งเลย

“โอ๊ยๆ”  คำนับร้องโอดโอยหากริมฝีปากยังคงมีรอยยิ้ม

“งั้นเย็นนี้ไปกินข้าวบ้านฉัน”  ผมปล่อยมือจากใบหูนิ่มมากอดอก  เอ่ยชักชวนคนที่เพิ่งง้อ  เอ้ย  ขอโทษสำเร็จ

“ไม่ไป”

“ไม่อยากไปเจอเจ้าหญิงหรือไง?”

“...”

“เจ้าหญิง  แมวที่เพกาเล่าให้ฟังไง”  เห็นนะว่าแววตากระตุกไหวตอนพูดถึงเจ้าหญิง  พวกแมวเนี่ยมักจะดึงดูดพวกเดียวกันใช่ไหม?

“ก็ได้”




แค่นี้แหละ
ขอแค่คำนับหัวเราะ  ยิ้ม  มีความสุข  และมองกันเหมือนอย่างเคย
แค่นี้ก็เหมือนในอกคับแน่นไปด้วยลูกโป่งสีสันสดใสนับร้อยที่แข่งกันล่องลอยบนท้องฟ้าท่ามกลางฤดูร้อน




สุดท้ายกลายเป็นว่ามานั่งกินข้าวด้วยกันอยู่ที่บ้านแต่แม่เข้าเวร  พี่ใบไธม์ไม่กลับ  กระวานไม่อยู่เลยเหลือแค่พ่อ  เพกา  ผมและคำนับ  น้องสาวคนเล็กยิ้มแป้นเมื่อเห็นหน้าคำนับพลางลากให้ไปนั่งที่เก้าอี้ตัวข้างกัน  พอผมเหล่ตามองเพกาก็แลบลิ้นใส่  ดู๊  ดู  นี่เป็นน้องสาวใครกันแน่เนี่ย

หลังกินข้าวเสร็จคำนับก็อุ้มเจ้าหญิงไม่วาง  พ่อเล่าประวัติแมวสุดที่รักไม่หยุด  ก่อนท้ายๆ จะเปลี่ยนเป็นเรื่องเรียนของคำนับ  ผมหาวขณะที่มือกดเปลี่ยนช่องทีวีไปเรื่อย  เห็นข่าวบังคับเด็กขายตัวแล้วนึกถึงกระวานขึ้นมา  ไปทำงานร้านอาบ อบ นวดอย่างนั้น  หูเขายังใช้การได้ดีเหมือนเดิมไหม  วันก่อนพี่ไธม์โทร.มาบอกว่าเบซิลสืบให้แล้ว  เห็นว่านายจักรพรรดิเจ้าของสวนสนุก wonder land นั่นเป็นลูกหลานมาเฟียเก่า  ถึงตอนนี้เจ้าตัวจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับอำนาจด้านมืดแล้วแต่ยังมีเส้นสายใหญ่พอตัวและผมไม่ควรเข้าไปยุ่งมากนักเดี๋ยวเป็นอันตราย  ยังไงพี่ไธม์จะเป็นคนจับตาดูและสอดส่องเองให้ผมอยู่ห่างๆ ก็พอ  สำคัญที่สุดกระวานปลอดภัยแน่ไม่ต้องเป็นห่วง  ไม่ให้ห่วงได้ไงพี่ชายทั้งคน  อีกอย่าง  คนแถวนั้นพลุกพล่านหูของกระวาน...

“งั้นผมกลับก่อนนะครับ”  เสียงของคำนับปลุกผมให้หลุดจากภวังค์  ร่างผอมสูงลุกขึ้นยืน  เขาจูบใบหูของเจ้าหญิงแผ่วเบาก่อนวางมันลงบนโซฟา

“เดี๋ยวฉันไปส่ง”  ผมผุดลุกขึ้นยืน  วางรีโมททีวีในมือ

“ไม่ต้องหรอกน่า  ฉันกลับเองได้”

“อย่าพูดมาก”

“....”  พ่อเงยหน้ามองเราสองคน  ในขณะที่คำนับเม้มปากมองกลับมา

“พอดีว่าอยากแวะตลาดนัดแถวนั้นน่ะ”  จะว่าผมหาข้ออ้างมันก็ใช่  ช่วยไม่ได้นี่  ช่วงนี้ผมได้ยินข่าวว่าไอ้เปรี้ยวมาตามหาคน  กลัวว่าใครคนนั้นของมันจะเป็นคำนับ  อีกอย่างเพิ่งคืนดีกันได้มันก็ต้องอยากอยู่ใกล้กันนานๆ ไม่ใช่เหรอ เอ๊ะ ทำไมความคิดผมมันเหมือนคนเป็นแฟนกันวะ?

“ถ้าโป๊ยกั๊กไปส่งครับพ่อก็วางใจ”  คำนับอ้าปากเตรียมปฏิเสธหุบปากเงียบทันใด  ตอนผมพูดนี่ไม่ค่อยเชื่อฟัง  ทีพ่อผมบอกละชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้เชียวนะ! แบบนี้มันโคตรน่าหงุดหงิดเลยไม่ใช่หรือไง!

พอเดินออกมาถึงหน้าถนนใหญ่คำนับหยุดเท้าหันมาบอกว่าจะกลับเอง  ผมไม่จำเป็นต้องไปส่งตามที่บอกกับพ่อฟ้าก็ได้  อีกอย่างดึกแล้วเกรงใจ  เพราะว่ามืดแล้วน่ะซิผมถึงต้องไปส่ง

“แวะตลาดนี้ก่อนซิ”  ไม่รอให้คำนับตอบผมจัดการลากเขาเข้าไปตลาดนัดกลางคืนทันที

เพราะพวกเราอิ่มจากฝีมือของพ่อฟ้ามาแล้วจึงไม่ได้นึกอยากกินอะไรอีก  เพียงแค่สอดส่ายสายตาไปมาตามพวกร้านเสื้อผ้าและของประดับหยุมหยิมเท่านั้น  ช่วยไม่ได้  ผมรู้สึกแค่ว่าอยากอยู่กับเขาให้นานขึ้นอีกหน่อยนี่นา  จนเมื่อผ่านร้านเป็ดพะโล้ผมจึงหยุดเท้า

“ยังกินได้อีกเหรอ?”  คำนับเลิกคิ้วถาม  ผมไม่ตอบจนเมื่อจ่ายเงินแล้วรับถุงเป็ดพะโล้อุ่นร้อนถุงนั้นมาถือ

“นี่ซื้อไปฝากน้าแป้งต่างหาก”

“เฮ้ย  ไม่ต้อง”

“เอาน่า  เผื่อน้าแป้งหิวไง”

“งั้นฉันจ่ายเอง”  ผมวาดแขนดันหลังให้คำนับเดินต่อ 

“ซื้อไปฝาก  ไม่เข้าใจหรือไง”

“แต่...”

“เอ้า  โง่นี่หว่า”  ผมใช้คำที่เขาด่าผมเมื่อกลางวันมาเอาคืนพลางหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าของเขา  คำนับอ้าปากหวอจากนั้นไม่ได้ค้านอะไรอีก

ผมไปส่งคำนับที่บ้านแม้เขาจะค้านอย่างไรก็ห้ามผมไม่ได้  จนมาถึงหน้าบ้านเขา  ผมเหลือบมองโดยรอบและท่าทางนั้นคงไปเตะตาคำนับเข้า  เขาขมวดคิ้ว  มือที่ไขกุญแจหยุดชะงักแล้วมองตามสายตาของผม

“มีอะไร?”

“ช่วงนี้...”

“?”

“ช่วงนี้ไอ้เปรี้ยวติดต่อมาบ้างไหม?”

“ไม่นะ  มีอะไรหรือเปล่า?”  คิ้วเรียวยาวขมวด  สีหน้าเคร่งเครียดขึ้น

“ได้ยินว่ามันกำลังตามหาคน  ฉันกลัวมันมายุ่มย่ามกับนายอีก”

“...เอ่อ” 

“ถ้ามีอะไรต้องบอก  ฉันจะช่วยจัดการให้”  คำนับนิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนยกมือเกาหลังคอ  ถ้าผมตาไม่ฝาดเหมือนเห็นแก้มเขาขึ้นสีเรื่อจางๆ

“เฮ้ย เรื่องแค่นี้จัดการเองได้น่า”

“ก็ถ้ามันมีอะไรเหมือนคราวที่แล้วล่ะ? ฉันไม่อยากให้นายด่วนตัดสินใจแบบนั้นอีก  มีอะไรนายต้องบอกนะรู้ไหม”

“....”
   
“อย่าคิดตัดสินใจอะไรแบบนั้นคนเดียวอีก”
   
“ฉัน...”  ผมจับบ่าของคำนับบีบเบาๆ ไม่ให้เขาเอ่ยปฏิเสธ

“จำไว้ว่านายยังมีฉัน  ไอ้ภูแล้วก็ไอ้ดิน  อ้อ  ไอ้เน่าอีกคน”  คำนับเหลือบสายตามองมา  “ฉันรู้ว่าการไว้ใจใครสักคนไม่ใช่เรื่องง่าย  แต่ก็ไม่ยากนี่  ใช่ไหม?”    คำนับเลิกคิ้ว  คงกำลังคิดว่าผมรู้เรื่องเขาได้ยังไง

“อืม  รู้แล้ว”  ผมเห็นขอบตาเขาแดงเรื่อ  แล้วปลายจมูกโด่งนั่นก็แดงตามขึ้นมา

“เข้าบ้านเถอะ”  ผมรุนหลังเขา  รอจนกว่าคำนับลงกลอนประตูจึงค่อยเดินออกมา

ผมโทร.หาพี่ไธม์  อยากขอความช่วยเหลือเรื่องของไอ้เปรี้ยว  ทำยังไงก็ได้ให้มันเลิกมายุ่งกับคำนับ  ฟังเสียงรอสายไม่นานอีกฝากจึงกดรับ

“พี่ไธม์...”

“กานพลูเหรอ?”  เสียงไม่คุ้นหูทำให้ผมยกโทรศัพท์ออกห่างเพื่อดูชื่อว่าผมโทร.ไปผิดเบอร์หรือไม่  “โอ๊ะ  ลืมไป  นี่ไม่ใช่คืนเดือนดับนี่นา  งั้นก็  โป๊ยกั๊ก!”

“เบซิล?”

“อ่าฮะ  ถูกต้อง  พอดีพี่ชายนายอาบน้ำอยู่ฉันเลยรับแทน  อันที่จริงก็ไม่ได้อยากละลาบละล้วงนะ  แต่พอดีเป็นชื่อนายนี่นาเลยต้องรับน่ะ  นายก็รู้ว่าใบไธม์ให้ความสำคัญกับบรรดาพี่น้องขนาดไหน...”

“เงียบ!”  ไม่เห็นรู้เลยว่าเบซิลเป็นพวกพูดมากขนาดนี้  เดี๋ยวนะ  ผมควรโกรธเรื่องที่เขาพูดมากกว่าไหม  พี่ไธม์อาบน้ำอยู่? หมอนี่แอบจ้องพี่ชายผมเหรอ? แล้วกานพลูไปสนิทกับเบซิลตั้งแต่เมื่อไหร่?

“เฮ้ย  อย่าเพิ่งคิดมากน่า”  รู้ทันผมอีก  เลยต้องหุบปากที่อ้าจะด่าเมื่อเบซิลเอ่ยแทรกกลับมา  “โทร.มาดึกขนาดนี้มีเรื่องอะไรให้ช่วยหรือไง?”

“.....”  ผมหยุดคิด  รบกวนเบซิลคงได้มั้ง

จากนั้นผมจึงเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับไอ้เปรี้ยวคร่าวๆ ให้เบซิลฟัง  เขาส่งเสียงรับรู้เป็นระยะ  ผมเงยหน้ามองบานหน้าต่างห้องนอนของคำนับแล้วเอ่ยประโยคสุดท้ายให้เบซิลฟัง

“ทำยังไงก็ได้ให้มันมายุ่งกับเพื่อนผมไม่ได้อีก”

“ฉันไม่รับปากนะ  ถ้ามีอารมณ์เมื่อไหร่จะทำละกัน”

“ขอบคุณครับ”

ผมกดวางทันที  ไม่อยากได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจจากอีกฝั่ง

ก็หวังว่าเขาจะเดินต่อไปข้างหน้าโดยไม่มีหนามแหลมมาทิ่มตำเท้าให้สะดุดล้มก่อนจะก้าวเท้าก้าวแรก  ผมรู้ว่าไอ้เปรี้ยวมาคอยส่องดูแถวบ้านคำนับอยู่หลายครั้ง  หลังเลิกเรียนยังพยายามเข้ามาหา  ติดว่าหลายเดือนมานี้ทั้งผม  ไอ้ภูและดินคอยขนาบตลอด  มันเลยยังไม่มีโอกาสเสียที  ขออย่าให้สิ่งที่ผมกังวลเป็นจริงขึ้นมาเลย



**********

หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 9 ] 3-6-61 P.2
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 19-06-2018 04:14:34



อีกไม่กี่เดือนช่วงเวลาในรั้วโรงเรียนของพวกเราใกล้หมดลงแล้ว  แม้จะรู้สึกใจหายอยู่บ้างแต่ผมกับเพื่อนก็คิดว่าตัวเองพร้อมจะโตขึ้นอีกขั้น  เป็นผู้ใหญ่ขึ้นอีกนิด...

“กั๊ก  มึงว่ากูซื้อชุดนอนใหม่ดีไหม? แล้วผ้าปูที่นอนอ่ะ แบบว่าเผื่อเป็นคืนพิเศษของกูกับไอ้ดิน...”

“มึงตื่น!”  ป้าบ!  ผมฟาดหัวภูธเรศไปหนึ่งทีโทษฐานที่มันทำให้ผมนึกภาพตาม  ภาพที่มันใส่ชุดนอนวาบหวิว  แล้วนอนรอไอ้ดินอยู่บนเตียงเหมือนคู่รักหลังแต่งงาน

“เจ็บนะโว้ย!”  มันลูบหัวป้อยมองค้อน

“ถ้าตีไม่เจ็บจะตีทำไม”

“มึงอ่ะ!”

“อยากซื้อก็ซื้อ  แต่อย่าไปซื้อไอ้ชุดวาบหวิวที่มึงเล็งไว้ล่ะ  เดี๋ยวไอ้ดินเห็นแล้วถีบมึงออกนอกห้องอย่าหาว่าไม่เตือน”  ผมเอ่ยตัดรำคาญ  มันทำท่ากระฟัดกระเฟียดแต่ก็ยอมวางชุดวาบหวิวชุดนั้นลง

หลังจากช่วยภูธเรศซื้อของตามที่ต้องการเสร็จแล้วเราทั้งคู่จึงพากันไปนั่งในร้านเครื่องดื่ม  บดินทร์ผู้ติดภารกิจจะตามมารับทีหลัง  บดินทร์ขับรถยนต์เป็นและเป็นคนเดียวที่มีรถยนต์  ดังนั้นตอนนี้พวกเราเลยต้องรอหมอนั่น

“เดี๋ยวกูมา”

“อ้าว  มึงจะไปไหน?”  ไอ้ภูเงยหน้าจากมือถือขึ้นมาเสือกเมื่อผมลุกขึ้นยืน

“ไปขี้  ตามมาไหม?”  มันทำท่ารังเกียจใส่แล้วก้มลงไปเล่นเกมในโทรศัพท์อีกครั้ง

ฝั่งตรงข้ามของร้านที่เรานั่งอยู่เป็นร้านเครื่องประดับ  ผมเห็นคู่รักที่เพิ่งเดินสวนออกไปยิ้มแย้มมีความสุข  ในมือข้างซ้ายของแต่ละคนมีแหวนสวมไว้

บดินทร์กับภูธเรศจะย้ายไปอยู่หอพักเดียวกัน  ห้องเดียวกัน  แม้บดินทร์จะยังไม่รู้ความในใจของภูธเรศ  แต่ผมก็เห็นว่าไอ้ภูมีความสุขแค่ไหน  ขอแค่ได้ใกล้ชิดย่อมมีโอกาสแน่นอน

แล้วผมกับคำนับล่ะ?

ไม่รู้ซิ  ผมไม่รู้ว่าผมรู้สึกยังไงกับคำนับ  แม้จะมีหลายครั้งที่ไอ้ภูกับไอ้ดินเอาแต่กรอกหูว่าผมมองเขาพิเศษแตกต่างจากคนอื่น  แล้วแตกต่างยังไงล่ะ?

หลังจากนี้ผมกับเขาต้องแยกย้าย  ต่างคนไปเรียนตามทางที่ตัวเองเลือก  เราอาจไม่ได้เจอกันเพราะพี่ซันกลับมาแล้ว  คำนับต้องเรียนคงไม่มีเวลามาเป็นผู้ช่วยเชฟฝึกหัดที่ร้านอีก

แค่คิดว่าหลังจากนี้คำนับอาจมีเพื่อนใหม่อีกหลายคน  มีสังคมใหม่ที่ผมเข้าไปไม่ได้  ผมอาจทำได้เพียงแค่มองอยู่ห่างๆ ไม่ได้เห็นเขาหัวเราะ  ไม่ได้เห็นรอยยิ้มอายๆ ของเขา  ไม่ได้ต่อปากต่อคำ  ไม่ได้กินข้าวกล่องฝีมือเขา  จุดเล็กๆ จุดหนึ่งในอกจึงค่อยขยายใหญ่  จุดเล็กๆ นี่มันเป็นตอนที่ผมเข้าใจเขาผิดว่าจีบเพกา  มันอยู่กลางใจของผมและยังคงอยู่จนมาถึงวันนี้  มันเป็นความวูบโหวงและใจหาย  สิ่งที่ผมไม่เคยบอกใครแม้กับเพื่อนทั้งสองคน

ผมหยุดเท้าหน้าตู้กระจก  หรุบสายตามองของเหล่านั้นอย่างไร้จุดหมาย  ก่อนจะสะดุดตากับบางอย่างจึงค่อยจุดรอยยิ้มตรงมุมปาก

บางทีผมควรทำตัวนิสัยไม่ดีแบบที่เคยเป็นมา

.
.

“อ้าว โป๊ยกั๊ก  ไหว้พระเถอะลูก”

“คำนับล่ะครับ?”

“อยู่ข้างบนแน่ะ  เพิ่งกลับมาถึง”  น้าแป้งยังคงยิ้มแย้มใจดีไม่เปลี่ยน 

ช่วงนี้คำนับไม่ได้ไปช่วยงานที่ร้านเพราะต้องเตรียมตัวเรื่องเรียน  มีไปช่วยบ้างในวันเสาร์-อาทิตย์เท่านั้น  ผมเปิดประตูห้องนอนของคำนับแล้วเข้าไปอย่างวิสาสะ  ได้ยินเสียงน้ำดังมาจากห้องน้ำคาดว่าเขาคงกำลังชำระร่างกายอยู่

ครู่ใหญ่กว่าเจ้าของห้องจะออกมา  คำนับในผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันรอบเอวสอบชะงักเท้าเมื่อเห็นผมนั่งอยู่บนเตียงของเขา

“นายเข้ามาได้ไง?”

“ก็เดินเข้ามาทางประตู”  ผมยักไหล่  พลางกวาดสายตามองรูปร่างของคำนับรวดเร็ว  เมื่อก่อนเขาผอมกว่านี้มาก  ตั้งแต่โดนบังคับให้มากินข้าวกับผมและเพื่อนๆ ถูกบังคับให้ชิมอาหารหลากหลายตอนช่วยงานที่ร้านก็ทำให้น้ำหนักเขาขึ้นมาหลายกิโล  จากผอมแห้งตอนนี้ดูมีเนื้อมีหนังมากขึ้นแล้ว  ผิวซีดเหลืองก็ขาวมีน้ำมีนวลขึ้นกว่าแต่ก่อน  ริมฝีปากและเล็บสีชมพูอย่างคนสุขภาพดี  มีกล้ามเนื้อตรงหน้าท้องลูกเล็กๆ ต้นแขนก็มีกล้ามน้อยๆ…

“มองอะไร”  คำนับยกมือปิดหน้าอกตัวเองเมื่อเห็นสายตาของผม

“มองหุ่นนาย”

“ออกไปก่อนไป  ฉันจะใส่เสื้อผ้า”

“ก็ใส่ไปซิ”

“แต่....”

“เอ้า  ถ้าไม่รีบใส่งั้นมาคุยเรื่องของเรา”  เท่านั้นแหละคำนับจึงวิ่งไปเปิดตู้หยิบเสื้อออกมาอันดับแรก คงกะว่าจะรีบใส่เพื่อไม่ให้ผมมองหน้าอกเขาละมั้ง  แต่ขอโทษ  เป้าหมายผมน่ะอยู่ข้างล่างต่างหาก!

ฟึ่บ!

“เหวอ!”  คำนับร้องลั่นเพราะถูกผมพุ่งเข้ารวบเอวผอมของเขามากอดแล้วกระโดดขึ้นเตียงแคบๆ ของเจ้าตัว  “ทำบ้าอะไรของแก๊!”  เขาร้องเสียงหลงขณะที่ผมหัวเราะชอบใจ  ผมคว้าข้อมือสองข้างของคำนับเอาไว้  เอาร่างหนักๆ ทับตัวผอมๆ ของเขา  กดไว้กับเตียง

ก๊อกๆๆๆ  เราทั้งคู่ต่างหยุดชะงักตอนเสียงเคาะประตูดังขึ้น  ก่อนจะตามมาด้วยเสียงน้าแป้ง

“ครับ  ลูก?  แม่เอาน้ำมาให้โป๊ยกั๊ก...”

“แม่  อย่าเปิด!”  คำนับตะโกนลั่น  เพราะการโรมรันพันตูกันเมื่อครู่ผ้าเช็ดตัวที่เขาห่อข้างล่างไว้ตอนนี้เลื่อนหลุดไปกองกับพื้น  อะไรๆ ของคำนับก็เลยอล่างฉ่างอยู่ใต้ตัวผมเต็มๆ  “คะ  คือ  ผมกำลังใส่เสื้อผ้าอยู่ครับ”

“อ้าว  โป๊ยกั๊กล่ะ?”

“หมอนั่นเข้าห้องน้ำ”  ผมกลั้นเสียงหัวเราะกับคำตอบของเขา  “แม่ไม่ต้องเอาน้ำมาให้หรอก  หมอนั่นไม่หิว  ถึกยังกับอะไรดี!”

“อ้อ  จ้า”

“ว่าฉันถึกเป็นอะไร?”

“ควาย!  อ๊ะ!”  ผมแกล้งบดสะโพกเบียดน้องชายเขาให้สะดุ้งเล่น  คำนับถลึงตามอง  แต่สุดท้ายผมก็ยอมปล่อยให้เขาลุกไปสวมกางเกง  เพราะขืนแกล้งต่อดูท่าคนที่จะแย่คงเป็นตัวผมเองแน่ๆ

“แล้วมานี่มีอะไร?”

“มานั่งนี่”  ผมตบเตียงเพื่อบอกให้เขามานั่งข้างๆ คำนับไม่ยอมเดินมาหาแถมไอ้สายตาหวาดระแวงนั่นมันอะไรไม่ทราบ  “อย่าให้พูดรอบสอง”  ผมหรี่ตาลง  คำนับถอนหายใจก่อนยอมเดินมานั่งข้างกัน

ผมคว้าแขนผอมของคำนับขึ้นมาดู  เขาขมวดคิ้วพยายามดึงแขนตัวเองให้หลุด แต่ผมออกแรงกำแน่นขึ้นก่อนล้วงเอาของในกระเป๋ากางเกงมาสวมลงบนข้อมือของคำนับรวดเร็วแบบไม่ทันให้ตั้งตัว

“อะไร?”

“กำไล”

“ไม่เอาไม่ใส่  ผู้ชายที่ไหนใส่กำไลข้อมือกัน!”

“บอกว่าให้ใส่ไง”

“ไม่เอา!”  คำนับถอดออกผมเลยจับแขนเขาพลิกไพล่หลัง  จับตัวกดเขาคว่ำหน้ากับเตียงแล้วยัดกำไลสวมข้อมืออีกรอบจนได้  “โอ๊ย!”

“บอกว่าอย่าดื้อ!”

“....”  สุดท้ายต่างคนต่างหอบหายใจตอนที่คำนับถูกปล่อยให้เป็นอิสระ  พอผมชะล่าใจไม่ทันตั้งตัวเขาก็ถอดกำไลข้อมืออันนั้นขว้างทิ้งรวดเร็ว  แต่ดันติดผ้าม่านมันเลยกระเด้งกลับเข้ามาในห้อง  หล่นลงบนพื้น  กลิ้งคลุกๆ....เข้าไปใต้เตียง

พอเห็นแบบนั้นผมจึงวาดแขนคว้าคอเขาล็อคเอาไว้แบบพวกมวยปล้ำ  หรี่ตาจ้องมองใบหน้าด้านข้างของเขาพร้อมรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม  พูดดีๆ ไม่ชอบ  ชอบให้ใช้กำลังก็ไม่บอก   ผมดันไหล่ให้เขาลุกไปหยิบกำไลออกมาจากใต้เตียง

“ถ้าไม่ใส่กำไลข้อมืองั้นฉันจะเอาปลอกคอมาสวมให้นาย  ดีไหม?”

“....”

“เอาสีชมพูแบบเจ้าหญิง  แถมมีกระพรวนด้วย”

“ไม่...”

“จะบังคับให้นายร้องเมี๊ยวทุกวัน...”  ผมกระซิบเสียงเบาชิดริมหู  คำนับสะดุ้งพลางย่นคอหนี

“สะ  ใส่  ฉันจะใส่กำไล”

“แค่นั้นแหละ”

เท่านี้เจ้าแมวนี่ก็มีเจ้าของแล้ว!

***********



[คำนับ]




โป๊ยกั๊กบอกว่าให้ผมไปที่ร้านก่อนได้เลย  ไม่ใช่ซิ  เขาให้ผมไปร้านพร้อมกับเพกาเพราะวันนี้เขาติดเวรทำความสะอาดคงกลับช้า    ผมเดินตรงไปยังรถเต่าสีชมพูคุ้นตาที่เคยนั่งมาหลายครั้ง  ก้มลงมองหาคุณอาสีฟ้าก็ไม่เห็น  หรือว่าไปเข้าห้องน้ำ?

ผมเหลียวมองไปรอบๆ  เห็นชายหนุ่มร่างสูงพอประมาณ  แก้มกลมดูนุ่มนิ่มยืนขมวดคิ้ว  ริมฝีปากสีชมพูจิ้มลิ้มขยับบ่นไม่หยุด  ดวงตาจ้องเขม็งไปยังชายสูงอายุคนหนึ่งที่ยืนตรงปากประตูเข้าโรงเรียน  ผมมองตาม  ชายคนนั้นหัวล้าน  สายตาเวลามองนักเรียนหญิงดูไม่น่าไว้ใจ

“มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าครับ?”

“หนอย  ไอ้เฒ่าหัวงูนั่นมาจ้องขาสาวๆ แถมคิดลามกอีก  คอยดูนะฉันจะจำหน้ามันไว้แล้วให้โป๊ยกั๊กซัดให้น่วม”

“เอ่อ...”  ผมสะกิดไหล่เขาเพราะดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ยินคำถาม

“เย้ย!”  เจ้าของแก้มกลมร้องเสียงดังตกใจเมื่อหันมาเห็นผม  โอเค  ผมก็รู้นะว่าหน้าตาตัวเองไม่ค่อยเป็นมิตรกับคนรอบข้าง  แต่พอเห็นท่าทางแบบนี้แล้วชักรู้สึกเสียเซลฟ์ยังไงไม่รู้  ผมก็เลย...ฉีกยิ้มกว้างเพื่อให้รู้ว่าผมมาอย่างมิตร  “นะ  นาย  แสยะยิ้มทำไม  ฉันไม่ใช่คนไม่ดีนะ!”

“เอ่อ”

“นู่น  ไอ้คนไม่ดีคือตาเฒ่าหัวงูนั่นต่างหาก  ฉันได้ยินมันคิดว่าอยากลูบขาสาว....”  เขาพูดรัวเร็ว  พอถึงท้ายประโยคกลับหยุดชะงักมองหน้าผม

“คุณได้ยินความคิด....”

“เอ๊ะ  เพกานี่ช้าจังเล้ย  อยู่ไหนแล้วน้า”   เขาขยับปลายเท้าออกห่าง  แสร้งส่งเสียงเจื้อยแจ้วหันไปทางอื่น  กลบเกลื่อนโดยไม่ยอมมองหน้าผม

“พี่กระวาน!”  เพกาส่งเสียงเรียก  เธอวิ่งเข้ามากอดคนที่ยืนข้างผมแล้วยิ้มกว้าง  “วันนี้ว่างเหรอคะ?”

“ใช่แล้ว  วันนี้ได้หยุดหนึ่งวันพี่เลยมารับเพกาเอง”

“ดีใจจังค่ะ  งั้นเพกาขอพาอีกคนไปด้วยนะคะ”

“หืม?”

“พี่ครับ  ไปกันเถอะค่ะ”  เขาเงยหน้ามองผมด้วยสีหน้าเหรอหรา  ดวงตากะพริบปริบ

“เอ่อ  เขา...”

“นี่พี่กระวาน  พี่ชายคนรองของเพกาเองค่ะ  พี่กระวาน  นี่พี่ครับ  เพื่อนพี่โป๊ยกั๊ก  ตอนนี้มาทำงานที่ร้านเราตอนพี่ซันลาหยุด  วันนี้เขาจะติดรถไปกับเราด้วยนะคะ”  สาวน้อยพูดยืดยาวอธิบายรวดเดียวจบ  ผมยกมือไหว้พี่กระวาน  อีกฝ่ายรับไหว้ด้วยท่าทางงงๆ ไม่หาย  ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องเมื่อกี้อีก  บางทีเขาอาจใช้คำพูดผิดไปก็ได้ว่า  ...ได้ยินความคิดคนอื่น...

“เดี๋ยวแวะเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านก่อนเนอะแล้วค่อยไปร้าน”  พี่กระวานเอ่ยขณะขยับรถเข้าไปจอดหน้าบ้าน  นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมมาบ้านโป๊ยกั๊ก  แต่เป็นครั้งแรกกับการเจอพี่น้องคนอื่นๆ ของเขาเลยอดเกร็งขึ้นมาไม่ได้  พี่กระวานกับเพกาวิ่งขึ้นชั้นบนเข้าห้องใครห้องมันเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า  ส่วนผมนั่งรออยู่ตรงห้องโถงรับแขก

แอ๊ด....

เสียงบานประตูหน้าบ้านขยับเปิดแผ่วเบา  ผมขมวดคิ้ว  ตกใจว่าเมื่อครู่คงปิดประตูไม่สนิทเลยลุกจะไปปิด  พลันสายตาก็สบเข้ากับเจ้าแมวตัวเขื่องตรงปากประตู

แมวสามสีตัวสวย  ดวงตาสีอำพันคู่นั้นจ้องมองมาทางผมนิ่ง  หูทั้งคู่กระดิกเบาๆ ใบหน้าน่ารักเอียงน้อยๆ คล้ายสงสัยว่าผมเป็นใครทำไมมาอยู่ในบ้านหลังนี้

“เจ้าเหมียว  นายเป็นใครน่ะ  แมวตัวใหม่ของอาฟ้าเหรอ?”  ผมย่อตัวลงหมายจะอุ้มเขามากอดให้ชื่นใจ  แต่เจ้าเหมียวสามสีกระโดดหนีว่องไวไปทางห้องน้ำในห้องครัว  ผมรีบวิ่งตามกลัวว่าหากเจ้าสามสีนี้เป็นแมวจร  เกิดเจ้าหญิงมาเห็นเข้าเขาจะโดนกัดเอาได้

“เจ้าสามสีระวังหน่อย  ที่นี่มีเจ้าถิ่นนะเกิดโดนกัดขึ้นมาจะทำยังไง...”

ผมชะงักเท้า  เมื่อร่างโปร่งของใครบางคนเดินออกมาจากห้องน้ำโดยมีผ้าเช็ดตัวพันเบื้องล่างอยู่ผืนเดียว  ผิวขาว  รูปร่างสมส่วน  ดวงตาและเรือนผมสีน้ำตาล  ใบหน้าไม่โดดเด่นหากให้ความรู้สึกว่าไม่อาจละสายตาได้ 

นี่คงเป็นพี่ใบไธม์  พี่ชายคนโตของบ้านนี้  คนที่ผมยังไม่เคยมีโอกาสได้เจอเพราะเขาไม่ค่อยอยู่บ้าน  นานๆ จะกลับมาทีเพราะงานที่ทำอยู่ ผมยกมือไหว้เขาโดยอัตโนมัติเมื่อคิดว่าเขาเป็นใคร

“อ้าว  พี่ไธม์?”  พี่กระวานที่เพิ่งลงมาจากชั้นสองเอ่ยทัก  ผมหันไปมองพี่กระวาน  ฝ่ายนั้นยิ้มกว้างพลางเอ่ยกระเซ้า  “เอ้าๆ มาแก้ผ้าในบ้านแบบนี้ไม่กลัวเจ้าคำนับมันตกใจเอาหรือพี่?”

“คำนับ?”  เขาเอียงคอมองผมครู่หนึ่ง

“เพื่อนเจ้าโป๊ยกั๊กน่ะ”

“อ้อ”  จากนั้นเขาจึงยกยิ้มมาให้  ความอบอุ่นสายหนึ่งจู่โจมเข้ามา  แววตาของเขาคล้ายเวลาที่คนเป็นพี่มองน้องๆ ให้ความรู้สึกคล้ายดวงอาทิตย์ยามเช้า

“พี่ไธม์!”  เพกาลงมาจากชั้นสอง  พอเห็นพี่ชายก็กระโดดเข้าไปกอดพร้อมรอยยิ้มเต็มหน้า  พี่ใบไธม์กอดตอบก่อนดันร่างเล็กออกห่าง

“พี่แต่งตัวไม่เรียบร้อย  ขอไปใส่เสื้อก่อนนะ  อีกอย่างตอนนี้พี่อยู่ระหว่างทำงาน  อีกเดี๋ยวเพื่อนร่วมงานจะมารับที่นี่”  เพกาตีหน้างอหากก็ยอมปล่อยพี่ใบไธม์เป็นอิสระ  เขาหันมายิ้มให้ผมอีกครั้งก่อนจะเดินขึ้นชั้นบนไปสวมเสื้อผ้า  หลังจากนั้นพี่กระวานก็พาผมกับเพกาไปร้านหิ้วปิ่นโตโดยที่ผมไม่ได้คุยกับพี่ใบไธม์สักประโยค

ว่าแต่  เจ้าเหมียวสามสีตัวนั้นหายไปไหนนะ?









โปรดติดตามตอนต่อไป






สวัสดีค่า  ตอนนี้มาช้าอีกแล้ว TAT ขอโทษนะคะ  จุ๊บบบบบ
หวังว่าใครที่เคยโกรธโป๊ยกั๊กจากตอนที่แล้วมาตอนนี้จะหายโกรธนางนะคะ  แหะๆ
มีตรงไหนผิดพลาดแนะนำกันได้เช่นเคยค่ะ


ปล.จากตอนที่แล้ว

*หึง, หวง, หึงหวง  = ความต้องการสงวนไว้กับตน, หวงคู่ของตน
นี่เข้าใจผิดมาตลอดเลยค่ะ TAT อันที่จริงก็สับสนเรื่องของการใช้อยู่นิดหน่อย  แล้วก็ใช้ผิดมาตลอดเลย  ลองเปิดคลังคำกับพจนานุกรมดู  เอ้า  เราเข้าใจผิดนี่นา  ขอบคุณคุณ tensita มากนะคะที่ทักมา  (กอดดดดดดดดดดด) 
“โป๊ยกั๊กหึงคำนับ  ไม่ใช่เพกา”
ขอบคุณนะคะที่ทักบอกกัน ^^
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 10 ] 19-6-61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 19-06-2018 06:58:18
รู้สึกว่าจะเริ่มติดคำนับมากขึ้นๆเลยนะ  :katai2-1:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 10 ] 19-6-61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 19-06-2018 08:55:29
 :pig4: :pig4: :pig4:

งุย ๆ สะใภ้พบครอบครัวโป๋ยกั๊ก
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 10 ] 19-6-61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 19-06-2018 19:42:55
 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 10 ] 19-6-61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 19-06-2018 21:11:24
ครับเกือบได้รู้เรื่องพลังแล้วมั้ยละ นี่ถ้ารู้ว่าโป๊ยกั๊กมีสองคนจะทำหน้ายังไงเนี่ย
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 10 ] 19-6-61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 20-06-2018 14:46:53
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 10 ] 19-6-61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: MayA@TK ที่ 20-06-2018 15:28:23
 :pig4: :pig4: :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 10 ] 19-6-61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 04-07-2018 01:26:20

Secret Me  คนนี้ต้องลับ!
ตอนที่11




   ผมเหลียวมองรอบร้านก่อนจะเดินอ้อมไปเข้าประตูด้านหลัง  ลูกค้ายังแน่นเต็มทุกโต๊ะเหมือนเช่นเคยจึงเลี่ยงการเดินฝ่าเข้าไปกลางร้านตรงๆ อย่างทุกที  พ่อหันมายิ้มให้เมื่อเห็นผม
   
“วันนี้คำนับไม่เข้ามาเหรอครับ?”  ผมชะโงกหน้ามองเข้าไปในครัวแล้วถามพ่อที่กำลังคิดเงินลูกค้า
   
“คุณแป้งโทร.มาบอกเมื่อเช้าว่าวันนี้ครับขอลาหนึ่งวัน”
   
“ลา?”

   “เห็นว่าไม่ค่อยสบายน่ะ”

   “เจ้าแมวนั่นป่วย?”

   “แมว? ลูกเรียกครับว่าแมวงั้นเหรอ  เดี๋ยวเถอะ!”  พ่อหันมาดุหากไม่จริงจังนัก  ผมแลบลิ้นเพราะเผลอลืมตัว

   พอได้ยินว่าเจ้าแมวป่าของผมป่วยก็เลยไม่ได้อยู่ต่อ  ผมรีบออกไปโบกรถแท็กซี่ตรงไปบ้านของคำนับทันที  แวะซื้อผลไม้หน้าปากซอยเป็นของเยี่ยมเสียหน่อย

   “สวัสดีครับน้าแป้ง”

   “อ้าว  โป๊ยกั๊ก?”  น้าแป้งละมือจากถาดกระเทียมขึ้นรับไหว้  กระเทียมพวกนี้น้าแป้งจะเจียวเอาไว้ใส่โจ๊กที่ขายตอนเช้า  ผมเคยช่วยแกะเปลือกอยู่ครั้งหนึ่งก็ลาขาดเพราะไม่ค่อยชอบกลิ่นตอนมันติดมือ  “มาหาเจ้าครับเหรอ?”

   “ครับ  เห็นพ่อบอกว่าไม่สบาย”

   “มีไข้นิดหน่อยน่ะ  ช่วงนี้นอนดึกตื่นเช้าทุกวันแถมยังตื่นเต้นเรื่องเรียนอีก  ตอนนี้หลับอยู่บนห้อง”

ไข้ขึ้นเพราะตื่นเต้นกับเครียดเนี่ยนะ?

“ได้เวลากินข้าวพอดี”  น้าแป้งเหลียวมองนาฬิกา 

   “เดี๋ยวผมเอาขึ้นไปให้เองครับ”  ผมวางถุงส้มข้างน้าแป้งก่อนจะเดินไปตักข้าวต้มในหม้ออุ่นจากในครัวยกขึ้นไปบนห้องคนป่วย  เดินเข้าเดินออกเหมือนเป็นบ้านตัวเองแบบไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ  พอถึงห้องคำนับผมก็เปิดประตูเข้าไปแบบไม่เคาะ 
มารยาทเหรอ?  ของแบบนั้นผมมีที่ไหนกัน     

“โอ๊ะ!”  เจ้าของห้องสะดุ้งสุดตัว  มือขาวที่กำลังจะถอดเสื้อชะงักกึก

“ตื่นแล้วเหรอ?”  ผมมองหน้าท้องขาวๆ ของคำนับแล้วรีบเบือนสายตาหนี  จนเมื่อเขาปล่อยเสื้อลงตามเดิมจึงเดินเข้าไปวางถาดข้าวต้มบนโต๊ะเขียนหนังสือ

“เคาะประตูเป็นไหม  เจ้าคนไร้มารยาทนี่”

“คนคุ้นเคยสนิทสนมหรอกเลยไม่เคาะ จู่ๆ มาด่ากันแบบนี้คิดถึงความรุนแรงของพี่เหรอจ๊ะ?”  ผมสัพยอกคนป่วย  คำนับเบ้ปากใส่ทันทีที่ได้ยิน  “แล้วไข้ลดลงหรือยัง?”  ผมเอื้อมมือไปแตะหน้าผากคนบนเตียงเพื่อวัดอุณหภูมิ  ตัวเขายังค่อนข้างร้อนอยู่เลย

“ดีขึ้นแล้ว  แล้วนี่มาทำไม?”

“เห็นว่าป่วยหรอกเลยมาเยี่ยม”

“งั้นเหรอ?”

“ล้อเล่นน่า  เป็นห่วงไงถึงได้มา”

“....”

“ไม่ได้หรือไงวะ?”

“ก็...”

“เออๆ ช่างเถอะ  รีบมากินข้าวซะจะได้กินยา”

“อืม  ขออาบน้ำก่อน  เหนียวตัว”

“ไม่ได้!”

“แต่...”

“ขืนอาบน้ำไข้กลับจะทำยังไง?”

“ก็มันเหนียวตัวนี่หว่า”

“เช็ดตัวพอ”

“มันไม่สะอาดไง”

“เดี๋ยวฉันช่วยเช็ดให้  รับรองสะอาด...”

“...ไปอาบน้ำดีกว่า”  คำนับนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะทำท่าลุกไปเข้าห้องน้ำอย่างปากว่า

“หยุดเลย  อย่าให้พูดซ้ำสอง”

สุดท้ายคำนับก็กินข้าวต้มจนหมด  และในเมื่อบ่นว่าแค่เช็ดตัวมันไม่สะอาด  งั้นมานี่  เดี๋ยวจะเช็ดให้  เอาให้สะอาดทุกซอกทุกมุมเลย!

“ถอดเสื้อดิ”

“....”  คนป่วยนั่งนิ่งไม่ขยับ  ผมเลยปลุกปล้ำถลกเสื้อเขาออก  กว่าจะได้เช็ดตัวก็เหงื่อโทรมกันทั้งคนป่วยและคนพยาบาล  ผมพยายามเบี่ยงสายตาจากแผ่นหลังขาวๆ ของเขา  แต่ว่านะ  ถ้าไม่มองแล้วผมจะเช็ดตัวยังไงล่ะ?  เอาเถอะ  ถือว่าเป็นค่าจ้างในการเช็ดตัวก็ให้ผมมองผิวเขาตอบแทนละกัน

กำไลเงินรูปแมวตัวยาวนอนขดหางเป็นวงบนข้อมือขาวของคำนับ

กำไลที่ผมซื้อมาและใช้กำลังบังคับให้เขาใส่  จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ถอด

พอเห็นแบบนั้นจังหวะการเต้นของหัวใจมันก็แปลกขึ้นมา...

ผมพยายามกดมุมปากเอาไว้ไม่ให้ขยับเป็นรอยยิ้ม  กลัวว่าคำนับหันมาเห็นแล้วจะหาว่าผมเพี้ยน  อืม  ก็คงเพี้ยนแหละมั้ง  เพราะตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนมีลูกโป่งกำลังพองขยายในช่องอก  มันคันยิบยับแถมยังทำให้ใจเต้นแรงอีก

ช่วงบ่ายคำนับไข้ขึ้นอีกครั้งตอนหลับ  น้าแป้งแวะขึ้นมาดูพร้อมยาลดไข้  จากนั้นปล่อยให้ผมดูแลเจ้าแมวป่วยหลังผมอาสาเฝ้าไข้เขาต่อ  ผมปลุกคำนับขึ้นมากินยาลดไข้และคอยเช็ดตัวให้ตลอด  อ้อ  แล้วไม่มีเหตุการณ์เหมือนในละครหรอกนะที่นางเอกป่วยแล้วเพ้อนอนร้องไห้น่ะ  นี่ก็อุตส่าห์เฝ้ารอว่าจะมีเรื่องแบบนั้นหรือเปล่า  แต่ไม่มีอ่ะ น่าเสียดายชะมัด  ไม่งั้นจะแอบอัดวิดีโอเอาไว้ให้คำนับดูตอนตื่นเสียหน่อย

ผมโทรศัพท์ไปบอกว่าคืนนี้จะนอนบ้านคำนับ  อยู่ช่วยน้าแป้งเผื่อว่ามีอะไรฉุกเฉิน  พ่อตอบรับและกำชับให้คอยช่วยน้าแป้งดูแลลูกชายดีๆ

โชคดีที่เมื่อคืนคำนับไม่มีอาการไข้ขึ้นอีก  ตอนเช้าเขาจึงตื่นมาด้วยท่าทางกระปรี้กระเปร่า  เห็นแบบนั้นผมเลยถอนหายใจโล่งอก  คำนับลงมากินข้าวต้มที่ชั้นล่างหลังเช็ดตัวแล้วเรียบร้อย   น้าแป้งแซวว่าเป็นแบบนี้ตลอด  เวลาตื่นเต้นทีไรก็ไข้ขึ้น

“งั้นเดี๋ยวผมกลับก่อนนะครับน้าแป้ง”  ผมบังคับให้ลูกชายเจ้าของบ้านนั่งเฉยๆ ส่วนตัวเองช่วยน้าแป้งล้างจานหลังอาหารมื้อเช้า

“ขอบใจมากนะจ๊ะ  กลับดีๆ ล่ะ”

“ครับ”  ผมยกมือไหว้ลา  ก่อนจะเดินออกมาหยิบเป้ขึ้นสะพายบ่า  คำนับเงยหน้ามอง  ริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรง  ทำท่าคล้ายอยากพูดอะไรบางอย่างแล้วก็เงียบ

“เอ่อ..”

“มีอะไรหรือเปล่า?”  ผมอารมณ์ดีมาก  สายตายังคงจับจ้องแขนขาวๆ ของเขากับกำไลเงินอันนั้นไม่วาง

“ขอบใจมากนะ  ที่มา อืม...ดูแล”  ขณะที่พูดก็ไม่ยอมเงยหน้ามองผม   แก้มคำนับขึ้นริ้วสีแดง  ลามไปจนถึงใบหูทั้งสองข้าง

“งั้นร้อง ‘เมี้ยว~’ ให้ฟังหน่อย”  ไม่พูดเปล่า  ผมเอามือไปเกาคางให้เขาด้วย  คำนัยเงยหน้าขวับดวงตาวาววับทันที

“จะบ้าเรอะ!”  เขาปัดมือผมทิ้งโดยแรง  ผมหัวเราะเอิ้กอ๊ากเสียงดังกับท่าทางนั้น
“ทำเป็นดื้อไปเถอะ  เดี๋ยววันหลังจะทำให้ร้อง ‘เมี๊ยว~’ ดังๆ เลยคอยดู!”  ผมจับคางเขาแล้วสั่นหน้าขาวๆ นั่นอย่างมันเขี้ยวก่อนจะเผ่นแผล็วออกมารวดเร็ว  ปล่อยให้คำนับส่งเสียงกระฟัดกระเฟียดไม่พอใจอยู่ด้านหลัง

แดดยามสายร้อนแรงไม่เบาเลย  ผมยกมือป้องสายตาพลางเงยหน้ามองท้องฟ้าสีสดเบื้องบน

จังหวะบางอย่างในหัวใจของผมเปลี่ยนแปลงไป....


**********


หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 10 ] 19-6-61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 04-07-2018 01:27:19




“วันนี้ต้องกลับก่อนเที่ยงคืน ถ้ารับปากพ่อถึงจะอนุญาต”

“แหม  ผมไม่ใช่ซินเดอเรลล่านะครับพ่อ”

“ก่อนเที่ยงคืน”  พ่อยื่นคำขาด  เห็นท่าทางแบบนั้นผมเลยอดแกล้งไม่ได้

“งั้นห้าทุ่ม ห้าสิบห้า”

“....”

“โอเคครับ  ผมสัญญาว่าจะกลับก่อนเที่ยงคืน”  ผมยิ้มกว้างพลางเข้าไปเกาะแขนพ่อ  ออดอ้อนอย่างที่ไม่ค่อยทำบ่อยนัก

ที่พ่อบังคับให้กลับก่อนเที่ยงคืนเพราะพรุ่งนี้พี่ใบไธม์จะเข้ามา  และถ้ายังอยากมีชีวิตรอดก็ไม่ควรกินเหล้าเข้าบ้านเด็ดขาด  พี่ไธม์น่ะบางครั้งยังน่ากลัวกว่าพ่อเสียอีก  จะบอกว่าพี่ไธม์เป็นพ่อคนที่สองก็ใช่  เพราะเขาเลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็กนี่นา  เกรงใจไว้บ้างชีวิตจะได้ยืนยาว  พูดเป็นเล่นไป!  พี่ชายคนโตผมไม่โหดขนาดนั้นหรอก!

เหตุมาจากว่าเดือนหน้าจะเป็นเดือนสุดท้ายของการเรียนแล้ว  อีกไม่กี่วันพวกเราต้องไปรายงานตัวกับทางมหาวิทยาลัย  ดังนั้นทุกคนจึงนัดสังสรรค์ส่งท้ายกัน  ตอนกลางวันเลี้ยงรวมเพื่อนทั้งชั้นปี  ส่วนตอนเย็นเป็นเลี้ยงของห้องเรา
   
เลี้ยงเฉพาะห้องแล้วไง?

   เพราะยังไงซะผมก็บังคับหนีบเอาคำนับไปด้วย  ทำไมล่ะ  ทีเพื่อนคนอื่นยังพาแฟนตัวเองไปด้วยได้เลย  ทำไมผมจะพาเพื่อนต่างห้องไปไม่ได้  ถึงเขาจะไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่ก็เถอะแต่เขาสู้แรงผมไม่ไหวหรอก  ผมล็อกคอลากเขาโดดขึ้นรถไม่เปิดโอกาสให้หนีได้  มีภูธเรศกับบดินทร์หนีบซ้ายขวาเขาก็หนีไม่รอดแล้ว 
   
แม้อาหารที่นี่จะสู้ฝีมือพ่อฟ้าไม่ได้  แต่ใช่ว่าจะไม่อร่อย  อยู่นอกบ้านต้องหัดกินให้เป็นและเพราะคำนับเพิ่งหายป่วยได้กี่วัน  ดังนั้นผมเลยบังคับเขาให้กินข้าวตรงเวลาร่างกายจะได้ไม่ต้องรับภาระหนักอีก  ผมสั่งปีกไก่ทอดเกลือกับผัดคะน้ากุ้งสดมาให้เขา  ส่วนตัวเองเลือกเป็นกุ้งแช่น้ำปลากับน้ำโค้กแก้วใหญ่  ไม่ได้กินเหล้าขอแสร้งว่าเมาก็ยังดี  ไม่งั้นพวกเพื่อนๆ มันจะแอบหัวเราะลับหลังเอาได้  แต่คนเมาจริงน่ะ  นู่น  ภูธเรศที่นั่งหัวเราะงอหงายอยู่นู่น

“แหม  มึงนี่เอาใจไอ้ครับจังนะโป๊ยกั๊ก”

“ถ้าปากว่างมากนักมึงก็แดกไปเลยไป”  ผมเอาส้อมชี้หน้าเพื่อนร่วมห้อง  ส่วนคำนับจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ  เพื่อนร่วมห้องคนนั้นยักไหล่ก่อนจะยอมถอยออกไป

เวลาผ่านไปไม่นานนาฬิกาบนข้อมือก็บอกเวลาห้าทุ่มแล้ว  และกว่าจะรู้ว่าตัวเองเมาก็ตอนที่ลุกขึ้นยืนแล้วโงนเงนจนเกือบล้มหน้าทิ่ม  ผมสะบัดหัวไล่อาการมึนแล้วขมวดคิ้ว  เมา?

เมาทั้งๆ ที่ดื่มน้ำอัดลมเนี่ยนะ?

“พวกมึงแอบเอาเหล้าใส่แก้วกู?”  หันไปถามเพื่อนที่หัวเราะเมื่อเห็นท่าทางของผม

“เอ้า  เลี้ยงฉลองทั้งทีมึงจะมัวมานั่งดูดโค้กเนี่ยนะ?  โตแล้วนะมึงน่ะ”  หนึ่งในคนที่มอมเหล้าผมยิ้มร่า

“แต่กูไม่กินเหล้า!”  ผมชักสีหน้าใส่เพื่อน  ไม่ใช่ว่าผมเป็นเด็กรักสุขภาพอะไรขนาดนั้นเพียงแต่พ่อกับพี่ไธม์เคยขอไว้  ว่าถ้ายังเรียนอยู่และหากเป็นไปได้ไม่อยากให้แตะของพวกนี้  อีกอย่างพรุ่งนี้พี่ไธม์จะกลับบ้าน  ขืนรู้ว่าผมแอบดื่มเหล้าคงได้โดนดุ

“นิดหน่อยเองน่า”

“พวกแม่ง!”

“มึงจะกลัวอะไรว้า  อาฟ้าพ่อมึงออกจะใจดี”

“งั้นมึงลองมาเจอพี่ชายคนโตกูดูไหมล่ะ”  ผมสบถหัวเสียก่อนจะหันมาทางคำนับที่นั่งมองผมกับเพื่อนเถียงกันด้วยสีหน้างงๆ  “กลับกันเถอะ”  ผมคว้าแขนเขาดึงให้ลุกขึ้นยืน  แต่เพราะรีบร้อนมากไปอาการมึนเลยยิ่งทำให้ผมเซแถ่ดๆ

“เมาจริงดิ?”  คำนับเลิกคิ้วมองคล้ายไม่เชื่อขณะที่ผวาเข้ามาคว้าแขนผมเอาไว้ไม่ให้ล้ม

“อือ  พวกแม่งแอบเอาเหล้าผสมโค้ก”  ผมสะบัดหัวไล่อาการมึนอีกครั้ง  ยืดตัวให้ยืนตรงแล้วเดินนำคำนับออกจากร้าน 

“อือ  หวานๆ นี่แหละตัวดี  เมาไม่ทันรู้ตัว”  คำนับพยักหน้าหงึกหงัก

“เอ้า  ใครมาเสริมพื้นตรงนี้เป็นสองชั้นวะ?”  ผมพยายามยกขาให้พ้นแต่พอวางเท้ากลับวูบซะงั้น

“งั้นฉันไปส่งนายที่บ้านก่อนดีกว่า”  คนข้างๆ ขมวดคิ้วเพราะผมสะดุดพื้นถลาพุ่งไปข้างหน้า  คำนับขยับเข้ามาดึงแขนผมไปพาดบนไหล่เขา

“เฮ้ย  ไม่เป็นไร  ฉันกลับเองได้”

“นายเมาแล้ว”  คิ้วเรียวยาวของเขาขมวดไม่คล้าย

“ไม่เมา”

“เมา”

“แค่มึนเฉยๆ หรอก”  ผมเถียงกลับ

“โอเค  นายแค่มึน  แต่มึนมากไปหน่อยเท่านั้นเอง  แล้วไอ้พื้นสองชั้นที่นายว่าเมื่อกี้มันคือพื้นราบ  นายสะดุดล้มหัวเกือบทิ่มด้วย”

“.....”

“ไม่เถียงเหรอ?”

“ก็...ฮ่ะๆๆ”  เอาจริงๆ ผมก็รู้ตัวแหละว่าเมา  แต่ไม่ถึงขนาดที่ว่าไม่รู้เรื่องรู้ราว  คือผมยังมีสตินะแต่ควบคุมการทรงตัวไม่ค่อยได้เท่านั้นเอง  รู้ว่าต้องไปทางไหนแต่ยกขาข้ามไม่พ้นประมาณนั้น  แล้วก็รู้สึกอารมณ์ดีกว่าปกติ  อืม  เรียกว่ากรึ่มๆ ละมั้ง  และไม่ว่าคำนับจะบ่นหรือทำสีหน้าแบบไหนผมก็อยากจะยิ้ม  จะหัวเราะตลอดเวลา

คำนับพาผมมาถึงบ้านตอนห้าทุ่มครึ่งพอดิบพอดี  พ่อเปิดประตูออกมารับ  ผมยิ้มกว้างทิ้งน้ำหนักใส่คำนับทั้งหมดจนเขาเซไปด้านข้าง  พ่อเลยรีบเข้ามาช่วยพยุง

“นี่ลูกดื่มเหล้า?”

“เปล่าคร้าบบบ”  ผมรู้ว่าตาตัวเองคงเยิ้มมาก  ปากฉีกยิ้มกว้าง  ยกนิ้วชี้ส่ายไปมาตรงหน้าพ่อเพื่อปฏิเสธว่าไม่ได้เมา

“ครับช่วยอาพาเจ้าตัวยุ่งนี่ขึ้นข้างบนหน่อยนะ”

“ครับ”

พ่อกับคำนับพยุงปีกผมคนละข้างขึ้นไปบนห้อง  ความจริงผมเดินไปเองได้นะ  ก็บอกแล้วว่าแค่มึนไม่ได้เมาจนเดินไม่ไหวเสียหน่อย  แต่ที่เซใส่คำนับเมื่อกี้น่ะแค่อยากแกล้งเขาเท่านั้นแหละ  กลายเป็นว่าทั้งสองคนเชื่อว่าผมเมาจริงๆ ซะอย่างนั้น

“เดี๋ยวพ่อลงไปเอากะละมังกับผ้าที่ชั้นล่างนะ  โป๊ยกั๊กจะได้เช็ดตัวก่อนนอน”

“ครับ”  คำนับตอบรับ  ผมนอนยิ้มตาหยีอยู่บนเตียงมองดูเขาที่ไม่รู้ว่าจะเอาตัวเองไปอยู่ตรงมุมไหนของห้อง

“ถอดเสื้อให้หน่อย”

“หืม?”  ดวงตาเรียวคู่นั่นเบิกกว้าง

“ร้อนอ่ะ”

“ถอดเองดิ”

“ถอดให้หน่อย”  คำนับไม่ยอมเดินเข้ามาหา  “เร็ว”

“ไม่เอา  อ๊ะ!”  คำปฏิเสธของเขายังหลุดไม่หมดปากผมก็ผุดลุกขึ้นโถมใส่จนเราทั้งคู่ล้มโครมไปบนพื้น  ผมหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ  มันไม่ได้มีอะไรน่าหัวเราะหรือน่าขันเลยสักนิด  แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกอารมณ์ดีจัง

“ไม่ต้องถอดเสื้อก็ได้  งั้นร้องเมี๊ยว~ ให้ฟังหน่อย”  ผมทิ้งตัวทับลงไปบนตัวของคำนับแบบไม่กั๊กแรงสักนิด  คนตัวผอมดิ้นแด่วๆ อยู่ใต้ร่างผมด้วยท่าทางอึดอัด

“เฮ้ย  ลุกออกไป!”

“ร้องเมี๊ยวก่อนดิ”  ยิ่งคำนับพยายามดิ้นหนีผมยิ่งแกล้งกดแรงเพิ่มลงไป  กลายเป็นว่าตอนนี้ผมทาบทับเขาไปทั้งตัว  ส่วนที่ไม่นาบติดกันก็มีแค่หน้านี่แหละ

“ไม่!”

“ดื้อจริงนะเจ้าเหมียว”  ผมหัวเราะก่อนจะยกมือขึ้นเกาคางเขาเบาๆ  คำนับสะบัดหน้าหนี  พอเห็นเขาดื้อเลยยิ่งอยากแกล้ง  จากที่เกาคางผมเลยเปลี่ยนมาจับคางเขาให้หันมองตรง

“....”  ริมฝีปากบางคู่นั้นเม้มแน่น  ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจกับการกระทำของผม

อีกแค่เดือนเดียวพวกเราก็ต้องแยกย้ายกันแล้วงั้นเหรอ?

ในวันข้างหน้าผมกับคำนับจะยังเหมือนวันนี้อยู่ไหม?

ผมจะได้เจอกับเขาอีกไหม  ได้พูดคุย  ทะเลาะ  หัวเราะและคอยช่วยเหลือเขา  ได้แกล้งได้แหย่ให้เขาโมโหเล่น  ผมยังสามารถทำแบบเดิมได้หรือเปล่านะ?

ริมฝีปากบางตรงหน้าเคลื่อนใกล้เข้ามา  ไม่ใช่คำนับยื่นปากมาหาแต่เป็นผมที่โน้มใบหน้าลงไป  จังหวะหัวใจในอกซ้ายมันเจ็บแปลบๆ ขึ้นมาเมื่อคิดถึงว่าผมอาจไม่ได้ใกล้ชิดคำนับแบบนี้อีก

ปลายจมูกของผมกับคำนับสัมผัสกันแผ่วเบา  อีกแค่ไม่กี่มิล....ริมฝีปากของเรา...

“หืม  พวกลูกไปทำอะไรอยู่บนพื้น?”

“อ๊ะ!”

“โอ๊ย!”  คำนับตกใจพร้อมฝ่ามือที่ผลักผมกระเด็น  หัวโขกขอบโต๊ะหนังสือเสียงดังโป๊กจนต้องร้องโอดโอย  คราวนี้มึนหนักกว่าเดิมไปอีก!

“คือโป๊ยกั๊กจะเข้าห้องน้ำ  แต่ล้มพอดี...”  คนตัวผอมผุดลูกขึ้นยืนพลางจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย  เหลือบเห็นพ่อพยักหน้าแล้วเดินเข้าเอากะละมังน้ำไปวางบนโต๊ะหนังสือก่อนจะเดินเข้ามาพยุงผมให้กลับไปนอนที่เตียงตามเดิม

“ครับรออาแป๊บนะ  เดี๋ยวอาไปส่ง”

“ไม่เป็นไรครับ  เดี๋ยวผมกลับเองได้”

“แต่มันใกล้เที่ยงคืนแล้ว”

“เรียกรถ...”

“งั้นนอนที่นี่เลยซิ  เตียงกระวานว่างอยู่”  ผมเอ่ยแทรก  คำนับเหลือบตามองและเพราะผมมองเขาอยู่ก่อนแล้วจึงเห็นว่าหูทั้งสองข้างของเขาแดงแจ๋

“เอ...”  พ่อขมวดคิ้วทำท่าครุ่นคิด

“ผมกลับบ้านดีกว่าครับ  พรุ่งนี้เช้าต้องช่วยแม่ต้มโจ๊กอีก”

“งั้นพ่อไปส่งเอง”  พ่อลุกขึ้นยืนก่อนจะส่งยาในมือให้ผม  “โป๊ยกั๊กกินยานี่ซะ  พรุ่งนี้ตื่นมาจะได้ไม่ปวดหัว  ถ้าลุกไหวก็แปรงฟันก่อนนอนด้วยล่ะ  ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้เช้าตอนใบไธม์มาเรานั่นแหละจะโดนดุ”  พ่อเอ่ยยืดยาว  และนั่นทำให้ผมนึกได้ว่าทำไมพ่อถึงไม่ดึงดันให้คำนับนอนที่นี่ทั้งๆ ที่ดึกมากแล้ว 

เพราะหลังเที่ยงคืนคืนนี้กานพลูจะออกมา...

ผมนอนยิ้มในความมืด  สติแจ่มชัดกว่าเมื่อครู่  ตอนที่ริมฝีปากของผมจะสัมผัสกับริมฝีปากของคำนับ  ถ้าพ่อไม่เข้ามาเสียก่อนผมคิดว่าผมคงจูบเขา

ผมอยากทำให้คำนับใจเต้นแรงเหมือนตอนที่ผมเป็นเวลาอยู่กับเขา

ที่ผมรู้สึกแบบนี้เพราะผมชอบคำนับหรือเปล่านะ?

ก็คงใช่...

ผมยิ้มก่อนจะยอมเข้าสู่ห้วงนิทรา
.
.


ดีที่เช้านี้ตื่นขึ้นมาแล้วไม่ปวดหัว  โชคดีอีกอย่างคือเมื่อคืนโป๊ยกั๊กลุกมาอาบน้ำแปรงฟันจนตัวหอมก่อนนอน  ถึงอย่างนั้นก็อดใจเต้นไม่ได้ตอนพี่ใบไธม์เดินเข้ามาใกล้แล้วทำจมูกฟุดฟิด  ผมเลยหนีไปช่วยพ่อในครัว  ขืนยืนนิ่งใกล้พี่ไธม์อีกนิดต่อให้อาบน้ำจนตัวหอมผมก็เชื่อว่าพี่ชายคนโตจะจับได้ว่าเมื่อคืนโป๊ยกั๊กดื่มเหล้ามา

ช่วงสายผมเข้าไปช่วยในร้าน  บดินทร์กับภูธเรศอยู่บ้านต้อนรับลูกพี่ลูกน้องที่มาจากต่างประเทศเลยมาป่วนไม่ได้  กิจกรรมกีฬาผมงดเกือบหมดเพราะต้องเตรียมตัวเรื่องมหาวิทยาลัย  แต่คำนับยังคงมาช่วยงานที่ร้านอยู่  อย่างวันนี้เขาก็เข้ามาช่วงสายๆ หลังช่วยน้าแป้งเสร็จแล้ว  พ่ออนุโลมให้เขามาช้าได้เนื่องจากภาระตรงส่วนนั้นแต่ต้องกลับบ้านช้ากว่าคนอื่นเพราะต้องทำส่วนที่เหลือทดแทน

“โอ๊ะ!”  ผมชะงักเท้าเพราะเกือบชนคำนับ  เขาเองก็ยืนตัวแข็งอยู่กับที่  ภาพเมื่อคืนผุดขึ้นมาในหัว  แล้วจู่ๆ หัวใจผมก็เต้นตึกตักขึ้นมา  อากาศเย็นสบายเมื่อครู่พลันร้อนเสียอย่างนั้น

“วะ  ว่าไง?”  ผมเอ่ยทักทายตะกุกตะกัก  มือไม้ไม่รู้ว่าจะวางไว้ตรงไหนสุดท้ายเลยยกเกาท้ายทอยแกรกกราก

“อะ  อือ”  คำนับเหล่มองไปทางอื่นไม่มองหน้า

“นายจะไปหลังร้านเหรอ?”

“อือ”  คนตรงหน้ายังคงไม่มองมา  ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไงเหมือนกัน  ไอ้จังหวะแปลกๆ ในอกข้างซ้ายนี่เป็นของโป๊ยกั๊กแน่ๆ  พอคิดได้แบบนั้นผมเลยฉีกยิ้มกว้าง

“งั้นเดี๋ยวเราไปกวาดหน้าร้านก่อนนะ”

“อะ  อือ?”  คำนับเหลือบสายตามองผมในที่สุด  ดวงตาสีน้ำตาลดูฉงนกับท่าทีของผม 

วันนี้ร้านจะปิดเร็วกว่าทุกทีแต่เพราะยังมีลูกค้าโต๊ะสุดท้ายอยู่ผมจึงรีบเก็บกวาดทำความสะอาดไม่ได้  ลูกค้าชุดสุดท้ายนี้เป็นหญิงสาวหน้าตาคุ้นๆ สองคน  ผมเห็นเธอมองมาทางผมบ่อยๆ คล้ายว่าอยากเข้ามาทัก  แต่ผมจำไม่ได้ว่ารู้จักพวกเธอหรือเปล่าจึงทำเพียงแค่ยิ้มตอบ

“คือว่า...”

“ครับ?”  หนึ่งในนั้นลุกขึ้นยืนผมเลยรีบเดินเข้าไปหาที่โต๊ะเพราะคิดว่าพวกเธอคงเรียกไปคิดเงินค่าอาหาร

“คือ...เรารู้ว่าร้านนี้เป็นร้านของพ่อโป๊ยกั๊ก”  เธอก้มหน้าซ่อนแก้มแดงๆ พลางเหลือบสายตามองผมเล็กน้อย

“เอ่อ...”  ผมขมวดคิ้วเพราะนึกไม่ออกว่าเป็นเพื่อนในโรงเรียนจากห้องไหน

“เราชื่อป้อม  อยู่ห้องสามชั้นเดียวกับโป๊ยกั๊ก”  คงเพราะรู้ว่าผมจำเธอไม่ได้เธอจึงเฉลยออกมา

“อ้อ  ครับ  แล้ว?”

“คือ...”

“จะให้คิดค่าอาหารหรือครับ?  ทั้งหมด...”

“ไม่ใช่!”  เธอเงยหน้าแดงๆ ขึ้นรวดเร็วเมื่อผมทำท่าแจงแจงรายการอาการเตรียมคิดเงิน

“คะ  ครับ?”  โธ่  ตะโกนแบบนี้ผมตกใจหมดเลย!

“คือเราเคยไปดูโป๊ยกั๊กแข่งกีฬาด้วย”

“ไปดูทุกครั้งที่เธอแข่งเลยนะ”  อีกคนที่นั่งเอ่ยสำทับ  “เธอเท่ห์มาก”  คนที่นั่งอยู่พูดขึ้นอีก

“แล้วก็ใจดีมากด้วย”  คนยืนแก้มแดงพูดไปบิดตัวไป

“ครับ  ขอบคุณครับ”  ผมยิ้มรับ  “แล้ว?”

“คือว่าเราชะ  ชอบโป๊ยกั๊ก!”  เธอหลับตาเอ่ยออกมาเสียงดัง

“......”  ผมยืนนิ่งกำลังพยายามเรียบเรียงความหมายของประโยคนั้นในใจ

“พวกเราใกล้จะเรียนจบกันแล้ว  เราอยากขอเบอร์ติดต่อของเธอ”

“คือว่า...”  พอเข้าใจความหมายของคำว่า  ‘ชอบโป๊ยกั๊ก’ ผมเลยได้แต่ยืนขาแข็ง  เอาไงดีวะ!  ผมเหลียวกลับมองเข้าไปในร้าน  ดูว่ามีใครเห็นเหตุการณ์เมื่อกี้หรือไม่  คนอื่นเห็นไม่ว่าแต่ไม่อยากให้คำนับ...

“ถ้าเธอไม่สะดวกงั้นเอาเบอร์เราไปนะ”

“เอ๊ะ?”  ไม่ทันให้ผมปฏิเสธเธอก็คว้ามือผมไปแล้วยัดกระดาษที่จดเลขสิบหลักเข้ามา

“เอ้านี่  ค่าอาหาร”  เธอวางแบงค์พันลงบนโต๊ะ  ผมหุบปากที่อ้าค้างก่อนจะรีบก้มหน้าคิดเงิน  “งั้นเราไปนะ”

“เดี๋ยว  เงินทอน...”

“เราจะรอให้โป๊ยกั๊กโทร.มา  เอาเงินทอนมาให้เราด้วยล่ะ”  พูดจบทั้งสองคนก็เดินออกไปไม่รอให้ผมควักเงินมาทอน

“เดี๋ยว!”

ปัง!  ผมสะดุ้งโหยงหันกลับมองด้านหลังทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น  แต่กลับไม่เห็นใครสักคนอยู่ตรงประตูห้องครัว  หันกลับไปมองหน้าร้านก็ไม่เห็นเงาของผู้หญิงสองคนนั้นแล้ว

โป๊ยกั๊กจะเอาเงินทอนไปให้พวกเธอได้ยังไงในเมื่อเวลาที่เขาตื่นขึ้นมาก็จำอะไรไม่ได้แล้ว  ถ้าอย่างนั้นคงต้องเก็บเบอร์โทรศัพท์นี้เอาไว้ก่อน  ถ้าผมออกมาอีกครั้งค่อยเอาเงินทอนไปให้แล้วกัน   

ผมยัดกระดาษแผ่นนั้นใส่กระเป๋ากางเกงแล้วรีบทำความสะอาดร้านให้เสร็จโดยเร็ว  เอ  ว่าแต่วันนี้ผมชวนคำนับไปกินข้าวที่บ้านด้วยดีไหมนะ  เขาจะได้เจอกับพี่ไธม์และกระวานด้วย  อีกอย่างจะได้ให้พ่อสอนเขาทำไข่ม้วน  ผมอยากลองกินไข่ม้วนฝีมือเขาจัง...


*********


ทันทีที่สัญญาณบอกเวลาเลิกเรียน  ผมก็รีบยืดตัวตรงกอดอกรอใครบางคนออกจากห้อง  เพราะหลายวันมานี้เขาไม่ยอมไปนั่งกินข้าวเที่ยงด้วยกันเหมือนอย่างทุกที  แม้แต่เวลาพักช่วงเปลี่ยนคาบเรียนตอนเดินสวนกันเขายังไม่ยอมมองหน้า  บางครั้งแกล้งมองไม่เห็นตอนยิ้มให้พอเรียกก็ทำเป็นไม่ได้ยิน

“ขอคุยด้วยหน่อย”  ผมคว้าแขนคำนับเมื่อเขาเดินออกมาจากห้อง  คนตัวผอมถอนหายใจ  เขาหันไปบอกเพื่อนซี้อย่างนวพลว่าจะรีบตามไป  ผมดึงเขามาจนสุดทางระเบียง  นักเรียนบนอาคารแทบไม่เหลือแล้วเพราะต่างรีบกลับบ้าน  หากยังคงมีบางพวกที่อยู่ในสนามฟุตบอลส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวไม่หยุด  ผมเท้าแขนกับราวระเบียง  มองคนในสนามฟุตบอลพลางพยายามสะกดให้หัวใจตัวเองเต้นในจังหวะเดิม  ไม่รู้ซิ  พอคิดถึงถึงเรื่องนั้นขึ้นมาหัวใจผมก็เต้นแรงขึ้นมาอีก

ผมไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย  แค่คำนับยืนข้างๆ ก็ใจเต้นแล้ว

“คือเรื่องคืนนั้น”  ผมสูดลมหายใจเข้าลึกเอ่ยเกริ่นขึ้น

“อือ”

“วันที่ฉันเมาน่ะ”

“อ้อ”

“คือความจริงแล้วฉันไม่ได้เมา  แค่มึนๆ แล้วก็มีสติดีแหละ”

“แล้ว?”  ผมขมวดคิ้วยืดตัวขึ้นเมื่อจับน้ำเสียงแข็งๆ ของคำนับได้  ผมมองใบหน้าเรียบเฉยของเขา  ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นสงบนิ่งจ้องตรงมาไม่หลบสายตา  ผมยิ้มมุมปาก

“หลายวันมานี้ทำไมนายหลบหน้าฉัน?”  ผมขยับเท้าเข้าใกล้  คำนับไม่ได้ขยับหนี  พอเห็นแบบนั้นผมเลยก้าวเข้าไปอีกนิดจนตอนนี้ปลายจมูกของผมแทบชนขมับเขาอยู่แล้ว

“เปล่า”

“ปากแข็ง”  ผมยกยิ้ม  หรุบสายตามองกลุ่มผมแข็งกระด้างของเขา

“....”

“เงยหน้าขึ้นหน่อยดิ”

เพราะรู้ว่าถ้าเขาเงยหน้าขึ้นมา  เพียงนิดเดียวหน้าผากของเขาจะแนบชิดกับจมูกของผมผมก็เลยบอกให้เขาทำ

“!”

และเป็นจริงอย่างนั้น  ผมแกล้งสูดลมหายใจเข้าแรงๆ ตอนที่จมูกของผมแตะลงบนหน้าผากของเขา  คำนับเบิกตากว้างก่อนจะขยับถอยหลัง  ผมหัวเราะอารมณ์ดีกับท่าทางนั้น

“อะไร  เขินเหรอ?”  ผมขยับเท้าจะตามเข้าไปหมัดลุ่นๆ ก็ตรงเข้าแก้มขวาเต็มแรงจนผมเซชนกับผนังอีกด้าน  ภาพตรงวูบหายไปชั่วขณะ  มึนงงอยู่ครู่กว่าจะจับอาการเจ็บปวดตรงที่ถูกต่อยได้  ผมเงยหน้าขึ้นมองคำนับอย่างตกใจ

คำนับต่อยผม?

“ฉันไม่ใช่ของเล่นของนายนะโว้ย!”  คำนับกำหมัดแน่น  ดวงตาวาวโรจน์จ้องเขม็งคล้ายโกรธกันมาแต่ชาติก่อน

“?”    คืนนั้นเขายังเขินผมอยู่เลยไม่ใช่หรือไง?  อีกอย่างช่วงหลังมานี้เราสองคนเข้ากันได้ดี  และผมเริ่มรู้สึกว่าในใจของผมคำนับเป็นคนพิเศษ  เพราะแบบนั้นผมเลยอยากจะพูดกับเขาว่าหลังจากนี้  ถ้าจบออกไปเข้ามหาวิทยาลัยแล้วเขาจะยอมให้ผมก้าวเข้าไปหาเขาได้ไหม  ให้ความสัมพันธ์ของเราก้าวข้ามคำว่าเพื่อนไปอีกขั้น

“คนรอต่อคิวนายยาวเป็นห่างว่าว  ไปขอพวกเธอเป็นแฟนซิ  ได้เบอร์มาแล้วไม่ใช่หรือไง?”

“เบอร์?”

“เฮอะ!”  คำนับจ้องหน้าผม  เห็นผมทำหน้าไม่รู้เรื่องก็ยิ่งโกรธ  “รู้ไหมว่าฉันเกลียดอะไรมากที่สุด?”

“?”

“นอกจากพวกขี้โกง  ก็พวกเสแสร้งและนิสัยร้ายกาจแบบนายนี่แหละ  โป๊ยกั๊ก”   

ผมเอาลิ้นดุ้นข้างแก้ม  ลิ้นรับรสเลือดแสดงว่าปากคงแตกด้านในแต่มันก็ยังเจ็บน้อยกว่าก้อนเนื้อในอกข้างซ้าย  ผมไม่รู้ว่าหลังจากนั้นผมกลับถึงบ้านได้ยังไง  โชคดีที่ระหว่างนั้นไม่เจอคู่อริดักตีหัวกลางทาง  ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้มานั่งคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ เหมือนพระเอกมิวสิควิดีโออยู่แบบนี้

คำนับพูดถึงเบอร์  เบอร์อะไรวะ?

ช่วงก่อนต้องมีอะไรแน่ๆ คำนับถึงหลบหน้าผมมาหลายอาทิตย์แล้ว  แถมยังโกรธทั้งๆ ที่ผมไม่ได้แกล้งอะไรรุนแรงกับเขาเลย  ช่วงนี้ผมออกจะใจดีกับเขาด้วยซ้ำ  พอรู้ตัวว่าอาจจะชอบเขาผมก็อ่อนโยนขึ้นตั้งเยอะ  เขาไม่รู้เลยหรือไง

หลังถอนหายใจทิ้งไปชั่วโมงกว่าถึงนึกขึ้นได้ว่าถ้าช่วงก่อนมันจะมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นแล้วผมไม่รู้เรื่อง  นั่นน่าจะเป็นตอนที่เจ้ากานพลูออกมาแน่ๆ  ผมเลยเดินเข้าไปกระชากผ้าคลุมกระจกตรงมุมห้องออก

“อ๊ะ  โป๊ยกั๊ก  ทำไมวันนี้ยอมเปิดผ้าคลุมกระจกล่ะ?  มีอะไรดีๆ หรือไง?  แล้วนี่...”

“หยุด!”

“.....”  คนในกระจกชะงักนิ่ง  ใบหน้าที่เหมือนกันกับผมทุกอย่างสะท้อนกลับมา  ทั้งๆ ที่คิดว่าเหมือนกลับไม่ใช่..

“ครั้งที่แล้วเกิดอะไรขึ้น?”

“ครั้งที่แล้ว?”  กานพลูทำท่าคิด  สักพักก็ยิ้มเอียงอาย  “นายหมายถึงตอนที่เกือบจะจูบกับคำนับเหรอ?

“ถ้าเป็นเรื่องนั้นฉันจะถามนายทำไม?”

“อ้าว?”

“นายไปเอาเบอร์อะไรใครมา?”

“เอ๊ะ?”

“คำนับพูดถึงเบอร์อะไรสักอย่าง  แล้วก็ไล่ให้ฉันไปคบกับพวกนั้น”

“อ๊ะ  เสียงประตูตอนนั้น  หรือว่าคำนับจะเห็น?”  กานพลูเบิกตากว้างตกใจ

“เห็นอะไร?”  ผมขมวดคิ้ว  เท้าเอวถามคนในกระจกเสียงกร้าว

“วันนั้นมีเด็กผู้หญิงสองคนมากินข้าวที่ร้าน  พวกเธอบอกว่าเป็นเพื่อนชั้นเรียนเดียวกับเรา  ตอนเธอกินข้าวเสร็จฉันกำลังจะคิดเงินเธอก็...ก็สารภาพรักออกมา”

“แล้ว?”  ผมหรี่ตาคาดคั้นอย่างอดทน

“เธอจ่ายแบงค์พัน  ฉันกำลังจะทอนเงินแต่เธอเอากระดาษจดเบอร์โทร.ยัดใส่มือแล้วบอกว่าให้โทร.หา  จะรอเอาเงินทอนตอนนั้นแล้วรีบออกไป”

“....”

“ฉันได้ยินเสียงคนเปิดประตู  แต่หันไปมองแล้วไม่เห็นใครนึกว่าลมตี  ไม่คิดว่าคำนับจะ...”

“เพราะนาย!”

“ปะ โป๊ยกั๊ก?  เรากลัวว่าถ้านายตื่นมาจะเอาเงินทอนไปให้เธอไม่ถูกเลยเก็บเบอร์เอาไว้”

“นายมันโง่! รับมาทำไม  เขาไม่เอาเงินทอนก็เรื่องของเขาซิวะ!”

“ตะ  แต่ว่า...”

“นายมันไอ้งี่เง่า!” 

“...”  ผมมองใบหน้าซีดเผือดของคนในกระจก  ไม่ได้รู้สึกเห็นใจสักนิด

“ทำไมฉันต้องมีพลังบ้าๆ นี่”

“....”  กานพลูก้มหน้า  ผมหันหลังเพราะไม่อยากมอง  ผมจำไม่ได้แล้วว่าเคยรู้สึกชอบกานพลูบ้างไหมตั้งแต่เขาโผล่มา  ผมไม่เคยคิดอยากตั้งชื่อให้คนในกระจกด้วยซ้ำ  แต่เพราะคนในครอบครัวกลัวสับสนจึงเรียกเขาว่ากานพลู  ผมจึงเรียกตามอย่างช่วยไม่ได้

“ฉันเกลียดนาย!”

ผมเดินออกจากห้องเพื่อไปสงบสติอารมณ์  ไม่ได้หันกลับไปมองข้างหลังอีก

กว่าจะรู้ว่าทำใครเสียใจก็หลังจากนั้นอีกนาน







โปรดติดตามตอนต่อไป


ขอโทษที่มาส่งช้านะคะ

ปล. เดี๋ยวจะแวะไปทวงพี่กระวานให้นะคะ ^^




หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 11 ] 19-6-61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 04-07-2018 21:59:42
 :pig4: :pig4: :L2:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 11 ] 19-6-61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 23-07-2018 12:42:54


Secret Me  คนนี้ต้องลับ!
ตอนที่ 12




“มึงไม่สบายหรือเปล่าวะโป๊ยกั๊ก?”  ผมเงยหน้ามองเพื่อนแล้วถอนหายใจพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้  หลายวันมานี้ผมรู้สึกเพลียและไม่มีแรงยังไงชอบกล  จะว่าพักผ่อนน้อยก็ไม่ใช่แต่ถ้าเรื่องเครียดน่ะพอมีอยู่

“คำนับแม่งเอาแต่หลบหน้า”

“หือ?”  ภูธเรศกับบดินทร์สบตากัน  ผมถอนหายใจอีกครั้ง  ขี้เกียจวิ่งหนีความรู้สึกตัวเองและไม่อยากปิดบังอะไรแล้ว  ยังไงซะพวกมันก็รู้ว่าผมรู้สึกยังไงกับคำนับก่อนที่ผมจะรู้ตัวเสียอีก  ผมคิดทบทวนอยู่หลายครั้งว่าทำไมตัวเองต้องหงุดหงิดเวลาคำนับไปสนิทกับคนอื่นจนต้องบังคับให้เขามาคอยกินข้าวเที่ยงด้วยทุกวัน  บังคับให้เขาใส่กำไลที่ผมซื้อให้  นั่นเพราะอยากให้เขาอยู่ในสายตา  อยากให้เขาเป็นของผมแค่คนเดียว

“หรือว่ากูจะต้องจับปล้ำแบบตัวร้ายในละครหลังข่าว? งั้นเอาเป็นดาม  ดัสกรก็แล้วกัน!”  ผมทำท่าฮึดสู้

“เดี๋ยวๆๆ มึงหยุดก๊อนนนน!”  เพื่อนสองคนคว้าแขนผมไว้คนละข้างเมื่อผมทำท่าลุกจากเก้าอี้  มองสีหน้าตกใจของพวกมันแล้วอดขำไม่ได้  คงคิดว่าผมจะไปฉุดคำนับมาปล้ำจริงๆ ละมั้ง 

อืม  จะว่าไป  ความคิดนี้ก็เข้าท่าแฮะ

“กูไม่เป็นอะไรน่า  รู้สึกว่าช่วงนี้มันเพลียๆ ยังไงไม่รู้”

“?”

“เออ  ช่างแม่งก่อน  วันจันทร์จะเป็นวันสุดท้ายในโรงเรียนแล้ว  กูต้องรีบจัดการคำนับโดยเร็ว!”  ผมพยักหน้าหงึกหงัก  พูดเองสรุปเองเสร็จสรรพจากนั้นก็พุ่งออกจากห้องโดยทิ้งเพื่อนเอาไว้เบื้องหลัง

เด็กเรียนดีและขยันขันแข็งอย่างคำนับกำลังช่วยอาจารย์และคณะกรรมการโรงเรียนจัดสถานที่อยู่ในหอประชุมกลาง  เนื่องจากเพราะวันจันทร์หน้าจะเป็นวันปัจฉิมนิเทศของพวกเรา มอ.หก

ผมค่อยๆ ย่องไปด้านหลังคำนับ  มีคนหนึ่งหันมาเห็นผมเขาทำท่าจะเรียกคำนับผมเลยถลึงตาใส่  หมอนั่นมุมปากกระตุกแล้วรีบหันหน้าหนีไปทันที  พอแน่ใจว่าไม่มีใครมองผมก็คว้าหมับเข้าต้นแขนคำนับแล้วลากออกมารวดเร็ว  ไม่ลืมปิดปากเขาเอาไว้เพื่อไม่ให้ส่งเสียงร้อง  ผมลากเขาไปด้านหลังหอประชุม  ตรงนี้เงียบเชียบไม่มีคน  พอคำนับเห็นว่าใครเป็นคนฉุดกระชากเขาออกมาก็ถลึงตามอง

“เราต้องคุยกัน”  ผมพูดมือยังคงไม่ปล่อยจากแขนและปากเขา

“....”  คำนับไม่ตอบหากใช้สายตาไม่เป็นมิตรคู่นั้นจ้องกลับ

“โอ๊ย!”  ผมสะบัดมือเร่าเพราะเขาอ้าปากกัดมือข้างที่ปิดปากบางๆ นั่นเอาไว้

“สมน้ำหน้า!”

“กัดแบบนี้มันหมาชัดๆ ไม่ใช่แมวแล้ว”

“นายน่ะซิหมา! แล้วฉันก็ไม่ใช่ทั้งหมาทั้งแมวด้วย”

“ไม่เอาน่า  เดี๋ยวซื้อปลาทูให้กิน”  พอยื่นมือไปจะเกาคางคำนับก็ปัดมือผมทิ้ง

“ถ้าไม่มีอะไรฉันจะไปทำงานต่อ” คนตัวผอมเหลือกตามองบนกับคำพูดของผมแล้วหันหลังเตรียมเดินออกไป

“นายโกรธฉันเรื่องอะไร?”

“....”  คำนับยืนนิ่ง

“นายหึงงั้นเหรอ?”

“วะ  ว่าไงนะ?”  คราวนี้เขายอมหันกลับมาเมื่อได้ยินคำถาม  ดวงตาเรียวเบิกกว้าง

“นายโกรธที่ผู้หญิงพวกนั้นให้เบอร์ฉัน”

“ฉันไม่ได้โกรธ!”

“งั้นก็โกรธที่ฉันรับเบอร์ของพวกเธอมา?”

“.....”  ริมฝีปากบางเม้มแน่น  ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นสั่นระริก  คำนับเหลือบมองผมเหมือนว่าตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร

“นายชอบฉัน?”

“ห้ะ? บ้าไปแล้ว  ฉันจะไปชอบนายได้ไง?”  คำนับขยับถอยหนีเมื่อผมก้าวไปข้างหน้า

“ได้ซิ  นายชอบฉันได้  เหมือนที่ฉันชอบนายไง”  ผมยิ้ม  พอคิดทบทวนเรื่องราวทั้งหมดผมก็มั่นใจว่าความรู้สึกนั้นของผมคือความชอบ  ผมชอบคำนับไม่ผิดแน่

“อะไรนะ?”  คราวนี้เขาตกใจจริงๆ  ใบหน้าคำนับขาวซีดก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงลามไปถึงใบหูทั้งสองข้าง

“นายชอบฉันเลยหึงแล้วก็โกรธที่ฉันรับเบอร์มาจากสาวๆ พวกนั้น”

“มะ!”  เห็นเขาทำท่าจะเอ่ยปฏิเสธผมเลยรุกขึ้นหน้าอีกนิดจนปลายจมูกเราห่างกันเพียงนิดเดียว  เหมือนอย่างคืนนั้น...

“ยอมรับเถอะน่า”  ผมกระซิบชิดริมฝีปากบางของคนตรงหน้า  ขยับหายใจรินรดลงบนแก้มของเขา

“มะ  อื้อ!”

ผมกดจูบลงบนริมฝีปากที่ตั้งท่าจะปฏิเสธคู่นั้นรวดเร็วแล้วผละออก  ดวงตาที่เบิกโตอยู่แล้วตอนนี้โตเกือบเท่าไข่ห่าน  ผมหัวเราะกับท่าทางนั้นรู้สึกเอ็นดูเขาอย่างบอกไม่ถูก  ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกว่าภาพตรงหน้าพร่าเลือน

“นี่  คำนับ”  ผมสูดลมหายใจเข้าลึก  ไม่จริงน่า  ผมกำลังจะเป็นลมงั้นเหรอ? แค่ได้จุ๊บคำนับทีเดียวผมถึงกับจะเป็นลม?  อา  แบบนี้มันไม่เท่ห์เอาซะเลย

“โป๊ยกั๊ก?”  คำนับดึงสติกลับเข้าร่างทันทีที่เงยหน้าขึ้นมอง  เดาว่าตอนนี้หน้าผมคงซีดมากแน่ๆ

“จะบอกอะไรให้นะ  ฉันไม่เคยโทร.หาสาวๆ พวกนั้น  สาบานได้”

“นายไม่สบายหรือเปล่า?”  ผมยกแขนยันผนังด้านหลังคำนับเอาไว้เพื่อไม่ให้ล้มลงไป

“อืม  ไม่  ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่”  ผมสูดลมหายใจเข้าลึก  ทั้งๆ ที่ผมปรับความเข้าใจกับคำนับแล้วทำไมร่างกายถึงยังไม่ผ่อนคลายอีกล่ะ?

“ไปห้องพยาบาลกัน!”  คำนับคว้าแขนผมไปพาดบ่าเพื่อพาไปห้องพยาบาล  ผมออกแรงขืนเอาไว้ให้เขาหันกลับมา

“ครับ  นายเชื่อฉันใช่ไหม?”

“เออน่า!”

“ถ้าฉันคิดว่าชอบแล้วละก็...”  ไม่ไหวแล้วแฮะ

“ไปห้องพยาบาลก่อน  หน้านายซีดมาก!”

“คำนับ  เป็นแฟนกันนะ?”  อย่า...  อย่าเพิ่งเป็นลมตอนขอเขาเป็นแฟนได้ไหมวะ?

“เฮ้!”

เบื้องหน้าทุกอย่างดับวูบมืดสนิทเหมือนโลกนี้ไม่เคยมีแสงสว่าง   ผมได้ยินเสียงคำนับร้องเรียกอย่างตกใจ  ไม่ต้องมองก็รู้ว่าตอนนี้เขาร้อนรนแค่ไหน  อยากยิ้มที่เขาเป็นห่วงผมขนาดนี้  แต่ว่า...ผมกลับขยับร่างกายไม่ได้  แค่หายใจ...ผมยังไม่มั่นใจเลยว่าหน้าอกผมกระเพื่อมหรือเปล่า

ผมได้ยินทุกอย่าง  รับรู้ว่ารอบข้างมีใครบ้างแต่ขยับร่างกายไม่ได้  ไม่ใช่ซิ  เหมือนผมไม่มีร่างกายต่างหาก  ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังล่องลอยในความมืดมิด  อยากร้องเรียกให้คนช่วยก็ทำไม่ได้ 

ตอนนี้ผมอาจจะกำลังหวาดกลัว

ไม่ใช่...

มันไม่ใช่อาจจะ  แต่ผมกำลังกลัวอยู่!

ผมคิดว่าตอนนี้ตัวเองคงกำลังกลายร่างเป็นกลุ่มควันก้อนเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง  ล่องลอยอยู่ในร่างกายอันสูงใหญ่ที่เคยชื่อว่าโป๊ยกั๊ก  ได้ยินทุกสิ่งแต่รู้สึกคล้ายกับว่าตัวเองไม่มีร่างกาย

คำนับตกใจลนลาน  เขาโทรศัพท์หาภูธเรศกับบดินทร์ก่อนทั้งสองคนจะโทร.หาเพกา ให้น้องสาวตามพ่อมารับผมไปโรงพยาบาล  ผมได้ยินเสียงพ่อร้องตกใจ  เสียงเปิด-ปิดประตูรถและเสียงร้องไห้ของน้องสาวคนเล็ก



เสียงเครื่องมือต่างๆ ดังขึ้น  เสียงพูดคุยจอแจทำให้ผมรู้ว่าตอนนี้อยู่ในโรงพยาบาล  ผมนับในใจไม่ถึงสิบนาทีก็ได้ยินเสียงแม่  คาดว่ากำลังตรวจร่างกายผมอย่างละเอียด  แม่ทำเรื่องขอเอ๊กซเรย์คอมพิวเตอร์เพื่อดูว่าหัวสมองของผมได้รับความกระทบกระเทือนอะไรหรือไม่  สรุปสุดท้ายได้ยินแม่กับคนอื่นๆ คุยกันว่าร่างกายของผมปกติดีอย่าง

แล้วทำไมจู่ๆ ผมถึงหมดสติ?

“จริงซิ  นี่มันวันนั้นของเดือนนี่”  กระวานซึ่งตรงมาจากที่ทำงานเอ่ยแทรก

“วันนี้ก่อนออกจากบ้านโป๊ยกั๊กมีอะไรผิดปกติหรือเปล่าครับ?”  เสียงพี่ใบไธม์ถาม

“เมื่อเช้า...กานพลู...เหมือนกานพลูจะไม่ได้ออกมา”  พ่อนิ่งคิดก่อนจะพูดเสียงเบา

“เอ๊ะ?”

“ใช่ครับ  โป๊ยกั๊กวันนี้คือโป๊ยกั๊กไม่ใช่กานพลู”  ภูธเรศพูดออกมาแล้วถึงเพิ่งนึกได้ว่านี่มันเป็นเรื่องผิดปกติ  เกิดความเงียบรอบเตียงที่ผมนอนอยู่  อึดใจใหญ่เสียงพี่ไธม์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“พ่อพาทุกคนกลับบ้านก่อนเถอะครับ  เดี๋ยวผมไปส่งภูกับดินก่อน”  พี่ไธม์ไม่ได้เอ่ยถึงคำนับ  เดาว่าเขาคงไม่ได้ตามมาเพราะต้องอยู่ช่วยงานที่โรงเรียนให้เสร็จ

“ได้  แล้วเจอกันที่บ้าน”

ผ่านไปครู่ใหญ่เมื่อถึงบ้านผมถูกแบกขึ้นห้องโดยกระวาน  ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินไป-มาในห้อง  ได้ยินเสียงถอนหายใจแต่ผมกลับไม่ได้ยินเสียงตัวเองเลย

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างโป๊ยกั๊กกับกานพลูหรือเปล่านะ?”  พ่อพึมพำ

“อาจจะเป็นวันนั้นก็ได้ค่ะ!”  เพกาที่หยุดร้องไห้เอ่ยเสียงดัง

“หืม?”

“เดือนก่อนหนูได้ยินเสียงพี่โป๊ยกั๊กโวยวายลั่นห้องเลยแอบดู  เห็นกำลังคุยกับพี่กานพลูอยู่แต่ท่าทางอารมณ์ไม่ดีหนูเลยไม่กล้าเข้าไป  หลังทะเลาะกันพี่โป๊ยกั๊กออกจากห้องไป  หนูวิ่งไปที่กระจกแต่พี่กานพลูไม่อยู่แล้ว  หนูเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ออกมา”

“กระวานเอากระจกมาตั้งตรงนี้ซิ”

“เอ๊ะ  ผมขอออกไปรอนอกห้องนะ...”

“หยุดเลย!”  ไม่รอให้เจ้าก้อนนุ่มนิ่มวิ่งหนีก็เขาก็ถูกดักคอเสียก่อน  “ไปพยุงโป๊ยกั๊กขึ้นมา!”  แม่พูดเสียงดุ  ผมได้ยินกระวานร้องครางในคอแต่สุดท้ายก็ยอมเข้ามาพยุงผมขึ้น

“งั้นให้โป๊ยกั๊กพิงหลังผมแทนละกัน”  ผมคงถูกจัดท่าให้นั่งเอนพิงหลังของพี่ชายคนรอง  เพราะเขาคงไม่ยอมประจันหน้ากับกระจกแน่ๆ

ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้งคล้ายทุกคนกำลังลุ้นอะไรบางอย่าง  แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

“เป็นยังไงบ้างครับ?”  พี่ไธม์ที่เพิ่งมาถึงถามขึ้น

“ไม่ยอมออกมา”

“กานพลู  กานพลู  ได้ยินพี่หรือเปล่า?”  พี่ไธม์ร้องเรียก  ไม่ต้องเห็นผมก็รู้ว่าทุกคนต่างเงี่ยหูฟังและตาคงจ้องถลนเข้าไปในกระจก

“ความจริงกานพลูต้องออกมาตั้งแต่เมื่อคืน  เมื่อเช้าตอนกินข้าวพ่อคิดว่าเพราะกานพลูตื่นเต้นกับพิธีปัจฉิมนิเทศเลยเคร่งเครียดไม่ร่าเริงเหมือนทุกที  และกลัวว่าจะสายพ่อจึงรีบไปส่งโรงเรียน  นี่ถ้าพ่อสังเกตแต่ทีแรก....”

ไม่ใช่ความผิดพ่อเสียหน่อย!

ผมตะโกน  ผมคิดว่าตัวเองตะโกนนะ



**********

เช้าวันนี้พ่อกับแม่ก็ยังคงเปลี่ยนกันแวะเวียนมาปลุกให้ผมหรือกานพลู  ใครสักคนให้ตื่นขึ้นมา  ก็ถ้าไอ้เจ้ากานพลูไม่อยากตื่นก็ให้ผมออกไปเซ่!

ภูธเรศกับบดินทร์มาเยี่ยมแต่เช้าเพิ่งกลับไปตอนโดนพ่อไล่เมื่อกี้นี้  คนแก่บ้านผมเป็นห่วงสองคนนั้นเรื่องเตรียมย้ายของเข้าหอพักน่ะเลยไล่ไปจัดการให้เสร็จสิ้น  อีกอย่างอยู่ไปก็ใช่ว่าผมจะหรือกานพลูจะตื่นขึ้นมา  รู้สึกเหงาเหมือนกันแหะเวลาไม่ได้พูดคุยเล่นหัวกับเพื่อนแบบนี้

“ยังไม่ฟื้นอีกเหรอครับ?”

“ยังเลย  ตั้งแต่เมื่อวานก็ยังไม่ลืมตาขึ้นมาสักครั้ง”

โอ๊ะ  เสียงคำนับนี่นา

“โป๊ยกั๊กป่วยเป็นอะไรหรือครับ?”

“ร่างกายปกติดีทุกอย่าง  เหมือนเขานอนหลับไม่ยอมตื่นน่ะ”  พ่อถอนหายใจ  น้ำเสียงเศร้าสร้อยอย่างที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน

“แปลกจัง”

“อืม  ครับอยู๋เป็นเพื่อนโป๊ยกั๊กหน่อยนะ  อาขอไปสั่งงานที่ร้านครู่หนึ่ง”

“ครับ”



ความเงียบปกคลุมห้อง  ครู่หนึ่งผมรู้สึกถึงแรงยวบบนที่นอนข้างกาย  เสียงคุ้นหูเอ่ยถามแผ่วเบา

“เฮ้  นายได้ยินฉันไหม?”

ได้ยินซิ  ทุกคำนั่นแหละ

“ฉันไม่รู้ว่านายเป็นอะไรแต่อยากให้นายรีบตื่นขึ้นมาเสียที  มะรืนจะงานปัจฉิมแล้วนะ  นายอยากพลาดหรือไง?”

พูดบ้าๆ ใครจะอยากพลาดกันล่ะ

“อีกอย่าง  ฉันคิดว่าวันนั้นเรายังคุยกันไม่จบ  ใช่ไหม?

อ่าฮะ  เรื่องที่ฉันขอนายเป็นแฟนใช่ป่ะ? ได้ยินอย่างนี้อยากรีบตื่นเพื่อมาคุยกันให้จบซะตอนนี้เลย  พับผ่าซิ!

คำนับอยู่เป็นเพื่อนผมจนถึงเย็นถึงกลับบ้าน  พูดให้ถูกคืออยู่คุยกับพ่อผมจนถึงเย็นแล้วค่อยกลับบ้านต่างหาก  ผมอยากเห็นหน้าเขาชะมัด  เวลาคุยกับพ่อคำนับจะหน้าแดงเหมือนลูกมะเขือเทศสุก  ดูอายๆ น่ารังแก  เอ้ย  น่าแกล้ง  ไม่ใช่ซิ  น่ารักมาก!  ผมอยากเห็นจัง!

การที่คำนับมาเยี่ยมผม  ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาก  อย่างน้อยความพะวง  กังวลและหวาดกลัวก็เบาบางลง  แม้ไม่รู้ว่าผมหรือกานพลูใครคนไหนที่จะลืมตาตื่น  แล้วจะตื่นขึ้นมาตอนไหน  ไม่มีอะไรที่บอกได้เลย...

อีกวันถัดมาพี่ไธม์และกระวานกลับเข้ามาบ้านอีกครั้ง

“น่าแปลก  ไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย”  พี่ชายคนโตที่เลี้ยงผมมากับมือเอ่ยขึ้น

“หรือว่าเราต้องทำพิธีไล่ผี?”  กระวานเสนอแนะ

ไล่ผีออกจากปากนายน่ะซิ!  ไอ้พี่บ้า!

“กระวาน”  พี่ไธม์เอ่ยดุเสียงเบา

“ขอโทษครับ”

สมน้ำหน้า!

“กานพลู  ทำไมลูกถึงไม่ออกมาล่ะ? ดูซิ พี่ชายสองคนของลูกวันนี้พร้อมใจกันกลับบ้านเลยนะรู้ไหม? แม่กับพ่อเตรียมของขวัญไว้ให้กานพลูกับโป๊ยกั๊กด้วย”

“ใช่ๆ ถึงฉันจะกลัวนายตอนอยู่ในกระจก  แต่ฉันก็คิดถึงนายนะโว้ย”  กระวานพูดขึ้นบ้าง

“ใช่ๆ หนูก็คิดถึงพี่กานพลูนะคะ”

“กานพลู  พี่กลับบ้านมาทั้งทีจะไม่ออกมาเจอกันหน่อยเหรอ?”  ทุกคนกำลังหลอกล่อรอให้เจ้ากานพลูออกมา  แล้วทำไมหมอนั่นถึงยังไม่ออกมาอีก!

“โป๊ยกั๊กว่าอะไรกานพลูหรือเปล่า? เดี๋ยวแม่ตีโป๊ยกั๊กให้  เรารีบออกมาได้แล้ว  เร็วๆ”

แม่ครับ...ผมได้ยินนะ  แล้วมันก็ไม่ใช่วิธีเลี้ยงลูกที่ถูกต้องด้วย!

“อืม...”

“กานพลู!”  ทุกคนพร้อมใจกันเรียกเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ

“สวัสดีครับทุกคน  ทำไม?”

“พวกเราต่างหากที่ต้องถามว่าทำไมกานพลูถึงไม่ออกมาทั้งๆ ที่เป็นวันนั้นของเดือน”  พ่อเอ่ยรัวเร็ว

“......”

“มีอะไรหรือเปล่าลูก?”

ในที่สุดเขาก็ยอมออกมาเสียที! พอเป็นแบบนี้แล้วรู้สึกแปลกชะมัด  เวลาที่กานพลูออกมาผมจะไม่รู้สึกตัว  เหมือนนอนหลับ  แต่คราวนี้ผมกลับรับรู้ทุกอย่าง  ได้ยินทุกคน  เหมือนผมหดตัวมาอยู่ในร่างของเขา

“วันนั้นพี่ทะเลาะกับพี่โป๊ยกั๊กเรื่องอะไรเหรอคะ?”

“ไม่มีอะไรหรอกเพกา  พ่อครับ  ผมหิวข้าวจัง”  ผมได้ยินเสียงกานพลูอ้อนพ่อ  ตอนนี้ทุกคนคงถอนหายใจโล่งอก

ทั้งๆ ที่ผมอยากพูดคุยกับทุกคน  ได้ยิ้ม  หัวเราะ  เล่าเรื่องตลกให้พ่อฟัง  ช่วยเพกาปลูกผัก  รอแม่กลับมาเล่าเรื่องน่ากลัวในโรงพยาบาล  แกล้งกระวานเวลาว่างๆ หรือซ้อมต่อสู้ตอนเช้ากับพี่ไธม์

แต่ไม่มีใครรู้ว่าผมอยู่ตรงนี้...

ตอนที่ผมยังเป็นผม  เป็นโป๊ยกั๊กเจ้ากานพลูจะรู้สึกเหมือนอย่างผมในตอนนี้ไหมนะ? 
.
.




หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 11 ] 19-6-61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 23-07-2018 12:45:29



ถ้าเป็นปกติเช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อโป๊ยกั๊กกลับมากานพลูจะกลับไปอยู่ในกระจก  แต่วันนี้ไม่มีความปกตินั่น  ผมยังคงล่องลอยอยู่ในร่างของกานพลู

“นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย?”  กระวานที่กำลังจะออกไปทำงานชะงักเท้าเดินถอยหลังกลับเข้ามาในบ้าน  ตอนนี้ถึงขนาดขอลางานหนึ่งวันเลยด้วยซ้ำ

“นั่นซิ”

“แม่กับพี่ไธม์ก็ไปทำงานแล้วด้วย”  เพกาส่งเสียงมาจากที่นั่งประจำ 

“แล้ววันจันทร์นี้จะทำยังไง?”  วันพรุ่งนี้  ...วันปัจฉิมนิเทศ...

“คิดถึงโป๊ยกั๊กกันแล้วเหรอครับ?”  กานพลูเอ่ยถาม  น้ำเสียงไม่บ่งบอกอารมณ์

“หืม?”

“นั่นซินะ...”  นั่นซินะอะไรของนายวะ?

“กานพลู”  เสียงของพ่ออ่อนโยน  พ่อคงกำลังลูบหัวกานพลูอยู่แน่ๆ  “ไม่ว่าจะกานพลูหรือโป๊ยกั๊ก  ทั้งคู่คือลูกของพ่อกับแม่  เป็นน้องของพี่ไธม์และกระวาน  เป็นพี่ชายของเพกานะ”

“....”

“เราทุกคนรักกานพลูนะ”

“ไม่ใช่ทุกคนหรอกครับ”

“กานพลู?”


หมายความว่ายังไง?


*********

ผมได้ยินเสียงเพื่อนๆ ที่เริ่มทยอยมาโรงเรียน  มีรุ่นน้องบางคนถือช่อดอกไม้มาให้รุ่นพี่ที่ชื่นชม  จากนั้นจึงได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งทักขึ้นท่ามกลางความวุ่นวาย

“โป๊ยกั๊ก  ทำไมนายไม่เคยโทร.หาเราเลยล่ะ  หรือว่าทำเบอร์หาย?”

“ขอโทษทีนะ  แต่เราคงโทร.หาเธอไม่ได้หรอก  แล้วก็นี่เงินทอนคราวนั้น”  นี่คงเป็นผู้หญิงที่ให้เบอร์กานพลูคราวก่อน  คนที่ทำให้คำนับโกรธผม  และทำให้ผมโกรธกานพลูอย่างที่สุด

“ทำไมล่ะ?”

“เรามีคนที่ชอบแล้ว”

“...อ้อ...  อย่างนี้นี่เอง”  เธอยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยอมถอยกลับไป  ว่าแต่กานพลูมีคนที่ชอบแล้วงั้นเหรอ?  ทำไมผมไม่รู้เรื่อง  แล้วถ้าเกิดหมอนี่ไปจีบหญิง  ขืนมีแฟนขึ้นมาคนที่ยุ่งยากต้องกลายเป็นผมไม่ใช่หรือไง?

“โป๊ยกั๊ก  หายดีแล้วเหรอ?”  เสียงคุ้นหูเอ่ยทัก  ผมเผลอใจเต้น  อดเกร็งขึ้นมาไม่ได้กลัวว่าคำนับจะดูออกว่าคนที่ยืนตรงหน้าคือกานพลูไม่ใช่โป๊ยกั๊ก

“คำนับ...”

“นาย?”

“เราสบายดี  คำนับไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ”  กานพลูเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงฝืดเฝือน

“ไม่ใช่...  นายคือโป๊ยกั๊กจริงๆ งั้นเหรอ?”

“....”

“ฉันคิดว่าฉันรู้จักนายนะ  แต่ตอนนี้ที่อยู่ตรงหน้าฉันฉันคิดว่าไม่ใช่   ...ไม่ใช่โป๊ยกั๊ก”

“เรา...”  เสียงถอนหายใจคล้ายเจือแววสะอื้น  นั่นทำให้ผมรู้สึกเจ็บแปลบ  “เราจะบอกความลับบางอย่างให้คำนับฟัง”

“ความลับ?”

“ใช่  เราคิดว่าถ้าโป๊ยกั๊กชอบนายจริงๆ นายก็ควรจะได้รู้ความลับนี้”  อย่าบอกนะว่ากานพลูจะบอกทุกอย่างกับคำนับน่ะ?

“แล้วนี่เราจะไปไหนกัน?”  คำนับถาม  แต่ก็ยอมให้กานพลูลากออกไป

“ห้องน้ำ”

“ห้องน้ำ?”

“ใช่  อันที่จริงตรงไหนมีกระจกก็ได้ทั้งนั้นแหละ  แต่ถ้าเป็นห้องน้ำอย่างน้อยคนก็ไม่พลุ่กพล่าน”

“บอกความลับในห้องน้ำเนี่ยนะ?”  คำนับหัวเราะ

“จะว่าไปความลับแตกครั้งแรกก็ในห้องน้ำเหมือนกันนะ  รู้สึกว่าตอนนั้นจะอยู่ในช่วงอนุบาลละมั้ง”

“อะไรกัน  นายมีความลับตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยกเลยเหรอ?”

“ใช่  หลังจากนี้คิดว่าโป๊ยกั๊กคงโกรธมากกว่าเดิมแน่ๆ”  กานพลูถอนหายใจ

“?”

“แต่ไม่เป็นไรหรอก  ยังไงเราก็ไม่มีตัวตนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”

“นาย...”

“อืม  ถึงแล้ว”  กานพลูลากคำนับเข้าไปห้องน้ำชาย  เมื่อสำรวจว่าไม่มีใครอยู่ในนั้นเขาจึงปิดประตูใหญ่แล้วกดล็อค  ก่อนจะดันให้คำนับหันไปทางกระจกบานใหญ่

“!”

“นี่คือความลับของเรา” 

กานพลู  นายพูดอะไรออกไป!



 “นะ  นาย!”

“เพราะเราอยู่ตรงนี้  ในกระจกเลยไม่มีเงา”  ในกระจกห้องน้ำ  เงาที่สะท้อนกลับมาคงมีแค่ของคำนับคนเดียว  เดาว่าตอนนี้คำนับคงเบิกตาโต  ใบหน้าขาวซีดหันกลับมามองคนด้านหลังสลับกับกระจกอยู่อย่างนั้นคล้ายไม่เชื่อในสิ่งที่เห็นอยู่แน่

“....”

“โป๊ยกั๊กไม่ใช่ผีหรอก  ไว้ใจได้”  น้ำเสียงกานพลูแฝงแววเอ็นดู 

“ฉันก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่  ละ  แล้วโป๊ยกั๊กล่ะ?”

“ในนี้”  กานพลูชี้ที่กลางอกตัวเอง

“ห้ะ?”

“ถ้าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านายคือโป๊ยกั๊ก  เราจะอยู่ในนั้น”  กานพลูชี้ที่กระจก  “แต่ถ้าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านายคือเราโป๊ยกั๊กก็จะอยู่ในนี้”

“แล้วใครคือตัวจริง?”  คำนับพยายามคิดตามและพยายามทำความเข้าใจ

“โป๊ยกั๊กคือตัวจริง  เราคือเงา”  น้ำเสียงนั้นเศร้าอย่างที่ผมไม่เคยได้ยินจากเขามาก่อน

“เงา?”

“พลังพิเศษที่เกิดกับคนในบ้านของเรา”

“ในบ้านของนาย?  คนอื่นๆ ก็เป็นแบบนี้เหรอ?”  กานพลูส่ายหน้าไม่ตอบ

“แต่เอาเข้าจริง  เราไม่ได้เป็นพลังพิเศษของโป๊ยกั๊กหรอก”

“งั้นนายเป็นอะไร?”

“เป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการ”

“....”

เกิดความเงียบขึ้นระหว่างเรา  ผมอยากเห็นสีหน้าของกานพลูตอนนี้  ไม่รู้ว่าเจ้าคนเหยาะแหยะกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่

“โอ๊ะ!”

“นายเป็นอะไร?”  คำนับมีสีหน้าตกใจ  เขาผวาเข้ามาประคองตอนที่กานพลูโน้มตัวลง  มือสองข้างของกานพลูบีบขมับแน่น  เอ๊ะ  ทำไมผมมองเห็นหน้าคำนับแล้วล่ะ?

“ไม่เป็นอะไร  พวกเรารีบออกไปเถอะ”  เสียงทุบประตูดังขึ้นเบื้องหลัง  แล้วผมก็กลับมาล่องลอยในความมืดอีกครั้ง

“แล้วฉันจะเรียกนายว่าอะไร?”  มือของกานพลูที่จับลูกบิดชะงักนิ่ง

“กานพลู  เราคือกานพลู”

ระหว่างพิธีปัจฉิมนิเทศ  ผมรับรู้ได้ถึงสายตาของคำนับ  ภูธเรศและบดินทร์ที่มองมาอย่างเป็นห่วง  แต่ตอนนี้ผมไม่สามารถกลับไปเป็นโป๊ยกั๊กได้  ผมรู้สึกถึงความเศร้าจางๆ ที่ลอยอวล  มันไม่ใช่ความเศร้าใจของผม

แต่เป็นความเศร้าของกานพลู

หรือว่ากานพลูกำลังร้องไห้?

เสียงสุดท้ายของครูใหญ่จบลง  ผมเหลียวไปรอบตัว  ภาพใบหน้าของเพื่อนร่วมห้อง  เพื่อนร่วมชั้นค่อยๆ ชัดเจนเข้าสู่สายตา ภูธเรศกับบดินทร์วิ่งเข้าประคองก่อนที่ผมจะล้มหงายหลัง  ความรู้สึกวูบคล้ายตกจากที่สูง  หัวใจเต้นรัวเร็ว  ปลายมือปลายเท้าเย็นเฉียบ  เหงื่อซึมแผ่นหลังจนเปียกชื้น  ผมนิ่งค้างอยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่จากนั้นก็จมเข้าสู่ความมืดมิด




ตอนที่ตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้นผมก็กลับมาเป็นโป๊ยกั๊กคนเดิมอีกครั้ง



*********




[คำนับ]



   จู่ๆ โป๊ยกั๊กก็ล้มลง  แล้วไม่ยอมตื่นขึ้นมา  นั่นทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ  ส่วนหนึ่งผมรู้ว่าตัวเองเป็นห่วงเขา  ถ้าเกิดเขาป่วยหนักล่ะ?  ทุกคนในบ้านจะต้องเสียใจมากแน่ๆ  แต่พอได้คุยกับอาฟ้าถึงรู้ว่าเขาร่างกายปกติ  ถ้าอย่างทำไมถึงยังไม่ตื่นเสียที  เกิดพลาดงานวันปัจฉิมจะทำยังไง?
   
แล้วอีกส่วนที่ไม่มีชื่อเรียกนี้ล่ะ  มันคืออะไร

   ความรู้สึกที่กลัวว่าเขาจะไม่ลืมตาขึ้นมา  โป๊ยกั๊กอาจเป็นเจ้าชายนิทราตลอดชีวิต  มันทำให้ผมรู้สึกอึดอัดในอกแปลกๆ  ถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้เขาตื่นขึ้นมาหาเรื่องกันเหมือนเมื่อก่อนดีกว่านอนนิ่งเป็นปลาตายแบบนี้

กว่าจะรู้ว่าตัวเองเอาแต่คิดถึงเรื่องของโป๊ยกั๊กวันจันทร์ก็เวียนมาถึงเสียแล้ว

สภาพของคนโตตัวดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่  บรรยากาศรอบตัวเขาดูเศร้าสร้อย  เขาเหมือนไม่ใช่โป๊ยกั๊กคนที่ผมรู้จักแต่ผมกลับรู้สึกคุ้นเคยคล้ายเพื่อนเก่า

‘เราจะบอกความลับบางอย่างให้คำนับฟัง’

ความลับนั่นทำเอาผมแทบวิญญาณหลุดจากร่าง  นี่เขาเป็นคนจริงๆ งั้นเหรอ?  ไม่ใช่ผีใช่ไหม?  ทำไมเงากับตัวถึงแยกกันล่ะ?  ถึงจะบอกว่าเป็นพลังพิเศษก็เถอะ  ถ้าคนอื่นมาเห็นอย่างที่ผมเห็นต้องมีขนลุกบ้างแหละ

แต่ว่า...

ความเศร้าที่อบอวลอยู่รอบตัวเขากลบความรู้สึกนั้นของผมจนมิด

‘งั้นนายเป็นอะไร?’

‘เป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการ’

กานพลู  นายกำลังร้องไห้อยู่ใช่ไหม?

แล้วฉันจะทำยังไงดี?

ฉันไม่อยากให้นายร้องไห้  ไม่อยากให้โป๊ยกั๊กหายไป

ฉันจะช่วยอะไรนายได้หรือเปล่านะ?


********







[ภูธเรศ]

   
“ถ้าเข้ามหาวิทยาลัยแล้วกูว่าจะมีแฟน”

   “....”

   “เขาว่าสาวคณะมนุษย์ฯ มีแต่สวยๆ”  คนข้างตัวยังคงเงียบ  ผมเหลือบตาแอบมองดูว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอะไรหรือไม่  แต่ใบหน้าหล่อเหลานั่นยังคงเรียบสนิท

   “พ่อแม่จ่ายเงินให้ไปเรียนไม่ใช่ไปหาเมีย”  น้ำเสียงเรียบเรื่อยไม่บ่งบอกอารมณ์ทำเอาใจแป้ว

   “มันก็ต้องมีบ้างป่าววะมึง  สีสันชีวิต”

   “อยากได้สีเลือดไหมล่ะ?”

   “....”  ผมหุบปากเงียบทันที  ถ้าสายตาฆ่าคนได้  ผมคงตายไปแล้ว  ตาไอ้ดินตอนนี้น่ากลัวสัดๆ

   เอาล่ะ  ผมไม่ควรเชื่อคำยุแหย่ของโป๊ยกั๊กที่ว่าให้พูดลองใจไอ้ดินดู  เห็นตามันแล้วคิดว่า  วันไหนถ้าผมเผลอจีบใครเข้าโดยบังเอิญหรือออกนอกลู่นอกทางไม่ตั้งใจเรียนคงโดนมันฆ่าหมกห้องอย่างไม่ต้องสงสัย

   เห็นแบบนี้แล้วผมเลยไม่กล้าเสี่ยงพูดอะไรอีก  เอาเถอะ  อยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ แล้วกัน  วันไหนความรู้สึกล้นอกเมื่อไหร่  ทนเก็บต่อไปไม่ไหวก็จับปล้ำแม่งเลย!



*********



     
โปรดติดตามตอนต่อไป



































สวัสดีค่า  เอาเจ้าทึ่มโป๊ยกั๊กมาส่งค่ะ ^^
คาดว่าตอนที่แล้วคงมีคนโกรธเจ้าเด็กนิสัยเสียคนนี้มากๆ แน่เลยใช่ไหมคะ  มาตอนนี้เขาได้รู้ซึ้งถึงความรู้สึกของกานพลูแล้ว  สมน้ำหน้าเนอะ^^  แต่ก็ยังว่าเจ้าเด็กดื้อคนนี้จะยังได้รับความเอ็นดูจากคนอ่านบ้างนะคะ

อ่านให้สนุกนะค้า  มีตรงไหนผิดพลาดแนะนำ ติติงกันได้เช่นเคยค่ะ




ด้วยรักและคิดถึง



ทราย
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 12 ] 22-7-61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 23-07-2018 15:59:14
 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 12 ] 22-7-61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 23-07-2018 16:40:38
เงาก็มีหัวใจเหมือนกันนะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 12 ] 22-7-61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 24-07-2018 00:58:09
ตอนใหม่มาพร้อมความดราม่า สงสารกานพลูเหมือนกันนะมีชีวิตอยู่แค่ในเงาออกมาได้ก็แค่เดือนละครั้ง ยิ่งโป๊ยกั๊กมาทำท่าทางรังเกียจอีกคงรู้สึกเหมือนตัวเองไร้ค่า มีเหตุการณ์นี้ขึ้นมาก็หวังว่าโป๊ยกั๊กจะเข้าใจอะไรมากขึ้นและยอมรับกานพลูที่เป็นอีกส่วนนึงของตัวเองสักที
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 12 ] 22-7-61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 24-07-2018 01:13:28
 :pig4: :pig4: :pig4:

ง่า  พลาดอัพเดตตอนที่แล้ว  เพราะเห็นว่าชื่อตอนและวันที่ไม่ได้เปลี่ยน  พอมาวันนี้  อ้าว ไหงโผล่มาตั้งสองตอน

โป๋ยกั๊กนี่เห็นแก่ตัวจริง ๆ ไม่คำนึงถึงจิตใจคนอื่นเลย

จะรอดูว่าหลังจากนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างโป๋ยกั๊กกับกานพลูจะเป็นอย่างไรต่อไป
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 12 ] 22-7-61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 18-08-2018 20:53:33


Secret Me  คนนี้ต้องลับ!
ตอนที่13



หลังจากวันนั้นทุกอย่างก็กลับสู่ปกติ  กานพลูยังคงปรากฏตัวทุกคืนเดือนดับ  ครอบครัวได้เจอหน้าเขาอย่างน้อยเดือนละครั้งเหมือนทุกที  แต่มีบางสิ่งไม่เหมือนเดิมคือกานพลูจะไม่โผล่หน้ามาให้ผมเห็นเลย  เมื่อก่อนเวลาผมส่องกระจกเขามักโผล่มาป้วนเปี้ยนพูดจาเจื้อยแจ้วไม่หยุดปาก  พูดมากจนผมนึกรำคาญอยู่บ่อยๆ น่าแปลกที่คราวนี้เหมือนผมจะรู้สึกคิดถึงเขาในเวลาที่เขาไม่อยากเจอผม

การที่กานพลูไม่ยอมออกมาแบบนี้เป็นการสร้างความลำบากให้ผมอย่างหนึ่ง  นั่นคือเวลาแต่งตัวออกไปข้างนอกผมต้องอาศัยพ่อกับเพกาดูแลจัดการให้เหมือนเด็กน้อยอนุบาล   



เดือนแห่งการรับน้องสิ้นสุดลงไปแล้ว  หลังจากนี้นอกจากเรียนก็มีกิจกรรมต่างๆ ในคณะ  ผมเข้าร่วมตามเวลาออกตามเวลาไม่ทำตัวโดดเด่นและขวางคลอง  ดังนั้นชีวิตผมในช่วงนี้จึงค่อนข้างจืดชืดอยู่สักหน่อยเลยกะว่าจะไปเยี่ยมชมชมรมกีฬาของมหาวิทยาลัยดูสักหน่อยเผื่อจะได้ออกกำลังแก้เบื่อ  ภูธเรศกับบดินทร์เองก็เพิ่งมีเวลาหายใจหายคอ  และเย็นวันนี้ผมมีนัดกับเพื่อนทั้งสองที่ห้องของพวกมัน

“เออ  ช่วงนี้มึงเจอไอ้ครับมั่งป่าว?”

“ถามทำไม?”  หงุดหงิดครับ  คำถามกระแทกใจ  เพราะตั้งแต่วันจบการศึกษาผมก็ไม่ได้เจอคำนับอีกเลย  เขาไม่ได้มาทำงานที่ร้านเพราะพี่ซันกลับมาแล้ว  อีกอย่างเขาไม่มีเวลามาเก็บเกี่ยวประสบการณ์นอกห้องเรียนอีก

“วันก่อนพวกกูเจอไอ้เน่าด้วย”  ไอ้เน่า  นวพล  เพื่อนซี้ของคำนับที่โดนผมเขม่นไปช่วงก่อนเพราะมันกล้ามาจีบเพกาน้องสาวคนสวย  นวพลเลือกเรียนที่นี่ด้วยแต่คนละคณะกัน  ถ้าไม่นับเรื่องจีบเพกาก็ถือว่ามันเป็นคนน่าคบคนหนึ่งแหละนะ  อย่างวันแรกตอนผมหลงทางในวันรายงานตัวหาทางไปคณะไม่ถูกก็ได้มันนี่แหละช่วยเดินตามหา  ถามคนนู้นคนนี้ให้จนผมไปรายงานตัวทันเวลา

“แล้วเกี่ยวอะไรกับคำนับ?”

“?”  เพื่อนทั้งสองหันไปมองหน้ากัน

“มึงเลิกสนใจไอ้ครับแล้วเหรอ?” 

“เพื่อนครับ  คือว่าพวกมึงพูดกันคนละประโยคแถมไม่มีความเชื่อมโยงอะไรกันสักนิด  สุดท้ายไหงวกมาถามว่ากูเลิกสนใจไอ้ครับแล้ว? กูจะงงก็ไม่แปลกมั้ง  พูดให้มันรู้เรื่องซิวะ!”  ผมปาขนมในมือใส่หัวพวกมันทีละคน

“เออๆ โทษที”  ภูธเรศลูบหัวป้อยตรงที่โดนขนมปาใส่  บดินทร์หันมาหยิบทิชชูไปช่วยเช็ดทั้งๆ ที่หัวมันก็เปื้อนเหมือนกัน  ผมหรี่ตามองกำลังจะอ้าปากมันก็เหลือบตามองจ้องผมเขม็ง  ผมเลิกคิ้วแล้วตัดสินใจหุบปากเงียบไม่พูดต่อ  ถ้าบดินทร์ไม่อยากให้ผมพูดผมก็ไม่ควรเสือก  ส่วนไอ้คนไม่รู้เรื่องราวอย่างภูธเรศยังคงเจื้อยแจ้วต่อ

“เมื่อวานพวกกูคุยกับไอ้เน่า  มันว่าหลายอาทิตย์มานี้ไม่ได้เจอไอ้ครับเลย เห็นว่าพอรับน้องเสร็จก็เริ่มเรียนหนักทันที  เลยอยากรู้ว่าพวกเราได้ติดต่อไอ้ครับบ้างไหม  แล้วหมู่นี้กูไม่เห็นมึงพูดถึงไอ้ครับสักเท่าไหร่เลยคิดว่ามึงเลิกสนใจมันแล้ว”

“อ่าฮะ”

“อีกอย่างได้ยินว่าสาวๆ มาจีบมึงเยอะ  มึงอาจเปลี่ยนใจกลับมาชอบผู้หญิงเหมือนเดิม”

“เรื่องมีสาวมาจีบนี่ช่วยไม่ได้อ่ะนะ  คนมันหล่อ”  ผมยักไหล่  จะหาว่าคุย  ตั้งแต่หลังรับน้องมานี่มีสาวๆ ให้เบอร์ผมมาเยอะเชียวล่ะแต่ละคนสวยๆ ทั้งน้าน  คนมันหล่อมีเสน่ห์อันนี้ก็ต้องยอมรับกันไป

“สรุปมึงเลิกชอบไอ้ครับแล้ว?”

“เฮ้อ...”

“อ้าว?”

“ไม่ได้เลิกชอบ  แต่กูไม่รู้จะติดต่อมันยังไงต่างหาก  ขนาดไอ้เน่าบ้านใกล้กันมันยังไม่ได้เจอแล้วอย่างกูจะมีโอกาสได้เจอไหม? กูแวะไปบ้านมันอาทิตย์ละสอง-สามครั้งยังไม่ได้เห็นแม้แต่รองเท้ามัน”

“มึงก็พูดเว่อร์ไป”

“....”

“เฮ้ย  จริงดิ?”  เพื่อนทั้งสองเบิกตาโตเมื่อผมยังคงเงียบ  พวกมันคงคิดว่าผมพูดเล่นละมั้ง  ช่วงว่างจากกิจกรรมรับน้องผมเคยแวะไปหาคำนับอยู่หลายครั้งแต่ไม่เคยเจอเขาเลย

หรือว่าแม่งย้ายบ้านหนีผมไปแล้ววะ?

“หรือว่าไอ้ครับย้ายบ้านหนีมึงไปแล้ว?”

จึ๊ก!

เพี๊ยะ!

เสียงมีดแทงอกผมพร้อมกับฝ่ามือของบดินทร์ตบผลั๊วะลงบนหัวไอ้ภู

เหยียบมีดให้มิดด้ามเลยไหมเพื่อน!

“แล้วมึงไม่ทำอะไรเลยเหรอ?”  บดินทร์ละมือจากหัวไอ้ภูมาถามบ้าง

“มึงไม่โทร.หามันล่ะ?”  ภูธเรศลูบหัวตรงที่โดนตบเกรียนแล้วควานหาหนังสือการ์ตูนที่หล่นจากมือมาอ่านต่อ

“มันมีโทรศัพท์หรือไง?”

“เออว่ะ”  ใช่  คำนับแม่งมันไม่มีโทรศัพท์!  บ้าเอ้ย  มันเป็นมนุษย์ยุคหินหรือไง  ปัจจัยพื้นฐานอย่างโทรศัพท์มือถือมันยังไม่มีใช้!

“งั้นมึงก็ไปหามันที่วิทยาลัย”  บดินทร์เหลือบตามองเพื่อนร่วมห้องที่สนใจแต่การ์ตูนแล้วถอนหายใจ

“เออ  ใช่ๆ!”  ไอ้ภูวางหนังสือการ์ตูนลงดวงตาเป็นประกายขึ้นมา  เรื่องเสือกขอให้บอกภูธเรศชอบนักแล  “ไอ้เน่าบอกว่าที่วิทยาลัยของไอ้ครับสาวๆ เพียบเลยนะมึง  ขืนชักช้าระวังจะโดนคาบไปแดก”

“ไอ้ครับมันสเป็คสาวๆ เหรอ?”  ผมขมวดคิ้ว  ไม่ใช่ดูถูกว่าคำนับหน้าตาไม่ดีนะ แต่มันหน้าตาไม่รับแขกต่างหาก  แถมพูดน้อยแบบนั้นสาวๆ อาจไม่ชอบก็ได้

“ทำเป็นเล่นไป  ตั้งแต่มันมาทำงานที่ร้านพ่อมึงมันดูมีเนื้อมีหนังขึ้นมาก ผิวซีดๆ ก็ขาวมีน้ำมีนวล  แถมหน้าตาไม่ได้ขี้เหร่อะไร  แม้จะดูเถื่อนไปนิดแต่รวมๆ แล้วมันหล่อใช้ได้เลยนะมึง”

“มึงนี่ยุให้กูไปหามันจัง  มีอะไรแอบแฝงหรือเปล่า?”  ผมหรี่ตามองไอ้ภู  มันยิ้มแหยแล้วเขยิบถอยไปหลบอยู่หลังไอ้ดิน

“ถ้ากูบอกแล้วมึงจะเตะกูไหม?”

“ถ้ามึงไม่รีบพูดภายในหนึ่งนาทีนี้กูเตะมึงแน่!”

“วันก่อนกูเห็นไอ้ครับไปเดินห้างกับผู้หญิง!”  มันหลับตาพูดรัวเร็วเสียงดังจบประโยค

“แน่ใจนะว่าไม่ได้ตาฝาด?”

“กูแอบตามดูมันตั้งนานสองนานจะตาฝาดได้ไง”

“มึงนี่ไม่ทิ้งนิสัยขี้เสือกเลยเนอะ”  ไอ้ดินหันไปจิกด่าเพื่อนอย่างหมั่นไส้

“มึงอ้ะ!”  ส่งเสียงกระเง้ากระงอดแต่มือมันโบกใส่หัวไอ้ดินดังป้าบ  ผมส่ายหัวให้สองเพื่อนที่เริ่มตบตีกันก่อนจะคิดถึงคำพูดของไอ้ภูเมื่อครู่

คำนับไปเดินห้างกับผู้หญิง?

หรือว่าคำนับจะปฏิเสธคำพูดนั้นของผมวะ?

ตั้งแต่ก่อนวันปัจฉิมที่เกิดเรื่องกานพลูไม่ปรากฏตัว  ตอนนั้นผมลากแขนคำนับออกมา  จุ๊บเขาแล้วบอกว่าชอบ  หลังจากนั้นก็หมดสติ  พอฟื้นขึ้นมาต่างก็จบการศึกษาแล้วแยกย้ายกันไปจัดการชีวิตตัวเอง  และผมกับคำนับไม่ได้คุยเรื่องนั้นกันต่อจนถึงตอนนี้

“อ้าว  มึงจะไปแล้วเหรอ?”

“มึงให้กูไปหาไอ้ครับไม่ใช่หรือไง?”  ลุกขึ้นยืนคว้าเสื้อแขนยาวมาสวม

“ต๊าย  ใจร้อนเฟร่อ!”  ไอ้ภูเบิกตาโตแสร้งทำหน้าตาตกอกตกใจ

“ไอ้ดิน  บอกเมียมึงหุบปากไปเลย”  ผมชี้หน้าภูธเรศ

“บ้า  เมียเมออะไรกัน  โป๊ยกั๊กเนี่ยพูดอะไรก็ไม่รู้!”  ไอ้ภูยกมือขึ้นปิดหน้าส่ายตัวบิดไป-มาพลางเอามือทุบหลังไอ้ดินดังปั้กๆ ถี่ยิบ

“....”  ถ้าไม่ติดว่าเป็นเพื่อนกันจะขออ้วกใส่มันสักหน่อย  ข้อหาดัดจริตจนเกินงาม


*********


   ผมขับบิ๊กไบท์ตรงไปยังวิทยาลัยของคำนับ  บิ๊กไบท์คันนี้แม่ซื้อให้เป็นของขวัญ  เมื่อก่อนเคยอ้อนขอขับอยู่หลายครั้งแม่ก็ไม่ให้  บอกว่าไม่ใช่นึกอยากจะขับก็ขับ  หากไม่ชำนาญหรือเข้าใจหลักการขับรถมันจะอันตราย  อีกอย่างต้องมีความรับผิดชอบมากพอ 

ขับได้กับขับเป็นนั้นไม่เหมือนกัน  ขับได้คือเวลาล้มคุณอาจเอาตัวรอดได้หรือไม่ไม่รู้  แต่ขับเป็นคือต้องรู้ว่าจะเซฟตัวเองยังไงให้ปลอดภัย  เวลาขับบิ๊กไบท์แล้วล้มมีสองทางที่ต้องเจอ  คือตายกับเจ็บ  ขับไม่เป็นก็ตาย  ขับเป็นก็รอด  ความเร็ว  น้ำหนักและแรงเหวี่ยงของบิ๊กไบท์นั้นไม่ใช่เล่นๆ  มีเคสที่ตายจากบิ๊กไบท์ล้มนับไม่ถ้วน  แม่เคยเอารูปให้ดูตอนผมเร้าหรืออยากจะขับทำให้ผมรับรู้ถึงความน่ากลัวจากการล้ม  และเรียนรู้วิธีเซฟตัวเองให้ปลอดภัยถ้าเกิดล้มขึ้นมา  สิ่งสำคัญผมต้องมีใบขับขี่แม่ถึงยอมซื้อรถคันนี้ให้

ผมจอดรถรออยู่หน้าวิทยาลัย  สอดส่ายสายตามองหาร่างผอมของคำนับไปพลาง  แต่ท่าทางของผมคงน่าสงสัยเกินไปลุงยามหน้าประตูเลยเดินเข้ามาหา

“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

“ผมมารอเพื่อนน่ะครับ  ไม่รู้ว่าเลิกเรียนแล้วหรือยัง?”

“ทำไมไม่โทร.หาล่ะคุณ?”

“พอดีเขาไม่มีมือถือน่ะครับ”

“?”  ลุงยามขมวดคิ้วมอง  คงนึกว่าผมโกหกละมั้ง  มีใครที่ไหนไม่พกมือถือบ้าง  ...มีอยู่คนหนึ่งนะครับลุง  ก็คนที่ผมกำลังรออยู่นี่ไง

ผมได้ยินเสียงวี้ดว้ายเบาๆ จากเด็กผู้หญิงสองคนที่เดินผ่านผมไป  เธอเหลือบมองมาแล้วกระซิบกระซาบกัน  เอาวะ!

“เอ่อ  ขอโทษนะครับ”

“คะ!”  พวกเธอหน้าแดงแต่ก็ดูกระตือรือร้นในการตอบมากๆ

“รู้จักคำนับ  ตรีนันท์ไหมครับ  ไม่ทราบว่าเขาเลิกเรียนหรือยัง?”

“คำนับ?  อ้อ  ครับ  คำนับงั้นเหรอ?  เลิกแล้วล่ะ  อีกเดี๋ยวคงลงมา...นั่นไง”  เธอชี้ไปทางด้านหลัง  ผมหันไปมอง  เมื่อแน่ใจว่าเป็นคำนับจริงๆ  จึงหันมาขอบใจพวกเธอแล้วยืนเท้าเอวรอให้ใครคนนั้นเดินมาใกล้  คำนับดูแปลกใจกับการเห็นผมที่นี่ แต่ยังเดินเข้ามาหา

“นายมาได้ไง?”

“ขับรถมา”  ผมยกนิ้วโป้งชี้ไปทางด้านหลัง  คำนับชะโงกหน้ามองก่อนจะตาโตร้องว้าว

“รถนายเหรอ?”

“ไม่ใช่รถฉันจะรถใคร”  ได้ทีขออวดหน่อยครับงานนี้

“เท่ห์ดี”  ผมยักไหล่กับคำชมนั้น

“.......”  แล้วเราต่างก็ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น  อือ  จะเริ่มบทสนทนายังไงดีนะ  ประหม่าชะมัด!

ขณะที่กำลังคิดว่าจะชวนเขาคุยเรื่องอะไรหรือจะพาเขาไปที่ร้านของพ่อดี  เด็กผู้หญิงกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาหาเขา  สาวน้อยหน้าตาน่ารักหลายคนชวนคำนับคุยเจื้อยแจ้วไม่หยุด  ในอกซ้ายผมคันยุบยิบไปหมดอยากกระชากคำนับให้ออกห่างจากผู้หญิงพวกนั้นแต่ต้องข่มกลั้นเอาไว้

อารมณ์ร้อนไม่ได้  เดี๋ยวเสียเรื่อง!

“อะแฮ่ม!”  ผมส่งเสียงกระแอมทำเอาทั้งหมดหันมามองเป็นตาเดียว

“เอ่อ  เพื่อนของคำนับเหรอคะ?”

“อ่า  ครับ  จะเรียกว่าคนรู้ใ...จ”

“เพื่อนจากโรงเรียนเก่าน่ะ”  คำนับเอ่ยขัดเสียงดัง

“สนิทกันดีนะ  ขนาดเรียนคนละที่ยังมาเที่ยวหา”  หนึ่งในนั้นเอ่ยแซว

“ครับสนิทมาก”  ผมยิ้มกว้างตอบรับ  หันไปยักคิ้วใส่คำนับที่หน้าตาเหลอหลา

“เธอชื่ออะไรเหรอ?”  หญิงสาวท่าทางห้าวเอ่ยถามชื่อผม

“โป๊ยกั๊กครับ  ยินดีที่ได้รู้จัก”  ยิ้มการค้าไปอีกหนึ่งดอก

“เราชื่อนิล  เรียนห้องเดียวกับครับ  ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน”  นิลยิ้มมุมปากพลางมองผมสลับกับคำนับ  ดวงตาของเธอวิบวับคล้ายรู้ความลับอะไรบางอย่าง

“จริงซิ  คำนับมาเรียนที่นี่เป็นเดือนแล้ว  แอบมีแฟนหรือเปล่าครับ?”

“เอ๊ะ?”

“เขาเล่นไม่ยอมติดต่อผมเลยน่ะซิ  ผมงี้น้อยใจจะแย่”  ตีสีหน้าตอแหลไปอี๊ก  คำนับถึงกับหน้าเหวอไปเลยทีเดียว  สาวที่ชื่อนิลเหลือบมองคำนับแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์หากไม่ยอมตอบอะไร

“เอ่อ  ไม่มีนะคะ”  ส่วนสาวๆ คนอื่นมองหน้ากันไปมากับคำถามนี้

“คนแอบมองล่ะ?”  ผมแกล้งก้มลงให้ใบหน้าใกล้พวกเธอมากขึ้นแล้วกระซิบถามจนพวกเธอหน้าแดง

“คนแอบมองอาจจะมีอยู่  มั้ง?”

“แย่แล้ว  งั้นผมต้องขอร้องสาวๆ ให้คอยเป็นหูเป็นตาให้ผมแล้วซิ”

“ห้ะ?”

“เกิดมีใครมาจีบคำนับขึ้นมาผมคงแย่  แว้ก!”  คำนับตะปบปากผมเต็มแรง  ไม่พอถลึงตาใส่อีกต่างหาก

“พูดบ้าอะไรของนาย!”

“อื้อๆๆๆ”  ผมแกะมือเขาออกแล้วฉีกยิ้มให้สาวๆ กลุ่มเดิม  ที่ตอนนี้ทุกคนต่างมีสีหน้าแปลกพิกล  เหลือบมองผมทีมองคำนับทีก่อนจะพากันยิ้มกรุ้มกริ่ม  ส่วนคนที่ชื่อนิล  นู่น  กุมท้องนั่งหัวเราะงอหงายอยู่บนพื้นนู่น

“เอ่อ  ระ  เราขอตัวก่อนนะ”  คำนับจิกเล็บลงบนแขนผมเต็มแรงจนต้องเบ้หน้า  เจ็บนะโว้ย!

“โอเค  ถ้าอย่างนั้นไว้เราโทร.หานะ”

“ได้”  คำนับโบกมือให้เพื่อน  ส่วนผมยิ้มเสแสร้งส่งไปให้  รอจนผู้หญิงกลุ่มนั้นห่างออกไปผมก็หันมามองคำนับตาขวางทันที

“ผู้หญิงคนนั้นพูดว่ายังไงนะ?”  ผมหรี่ตามองคำนับ  เขาหันมาทำหน้าตางุนงง

“บอกว่าจะโทร.หา”

“นายมีโทรศัพท์?”

“เอ่อ...ก็...”  คำนับเสหลบสายตา  กำลังพยายามคิดเค้นคำตอบ

“ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“อะไรเมื่อไหร่?”

“ฉันถามว่านายมีโทรศัพท์ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ก็...ตั้งแต่มาเรียน  กลับบ้านมืดทุกวันเลยต้องเอาไว้โทร.กลับไปบอกแม่...”

“นามมีโทรศัพท์แต่ไม่บอกฉันเนี่ยนะ?”

“คือ...”

“โอเค  ตอนนี้ฉันโกรธมาก!”

“นายจะโกรธฉันได้ไงเล่า  หลังจากวันนั้นเราก็ยังไม่ได้เจอกันเลยฉันจะไปบอกนายได้ที่ไหน” คำนับเถียงกลับ  พอได้ยินอย่างนั้นผมเลยได้แต่จิ๊ปากขัดใจ

“เอามา!”  ผมแบมือไปตรงหน้าเขาพลางกระดิกนิ้วเร่งอีกหน่อย

“อะไร?”

“มือถือนายน่ะซิ  จะอะไร!”  ทำไมต้องให้ขู่ตะคอกเนี่ยคนซื่อบื้อเอ๊ย!

“ก็บอกซิว่าจะเอามือถือ  แบมือกระดิกนิ้วเฉยๆ ใครจะไปตรัสรู้”  แน่ะ  เถียงเหมือนรู้ว่าผมแอบด่าเขาในใจ  ผมรับมือถือของคำนับมาไว้ในมือ  โทรศัพท์ของเขาเป็นยี่ห้อที่เคยได้ยินชื่อทางโทรทัศน์บ่อยๆ แต่ตัวนี้เป็นรุ่นราคาถูกสุด  นอกจากเอาไว้โทร.เข้า-ออก มีแอพพลิเคชั่นให้เล่นไม่กี่ตัวเท่านั้น  แต่อย่างน้อยก็มีไลน์กับเฟสบุ้คแหละนะ  ผมกดหมายเลขแล้วโทร.ออก  พอมือถือในกระเป๋ากางเกงของผมดังขึ้นจึงกดวางแล้วรีบเซฟเบอร์นั่นรวดเร็ว

   “นี่เบอร์ฉัน”  ผมยื่นมือถือคืนให้เขา  “ฉันบันทึกให้แล้ว”

   “ขอบจะ...  แฟน!”  ยังพูดไม่ทันจบ  คำนับที่ก้มดูหน้าจอมือถือถึงกับเบิกตากว้าง  “นายเซฟชื่อบ้าอะไรเนี่ย?”

   “ชื่อบ้าที่ไหน  เนี่ย  คำนี้ถูกต้องแล้ว”

   “ถูกต้อง? ถูกต้องได้ไง  ในเมื่อ...”

   “ในเมื่อนายยังไม่ได้ให้คำตอบ? งั้นก็ตอบมาตอนนี้เลย”

   “ฉะ  ฉัน...”

   “เอ้า  กลายเป็นคนติดอ่างขึ้นมาเสียอย่างนั้น?”  ผมหัวเราะ  คำนับเหลือบตามองผมทีมองคำที่โชว์บนหน้าจอมือถือทีแล้วก็หันหลังหนี

“ฉันนึกว่านายพูดเล่น”

“คนอย่างฉันเคยพูดเล่นหรือไง?”  ผมกอดอกมองแผ่นหลังผอมของคำนับนิ่ง  ไม่เร่งรัดอะไรเขาอีก

“คือฉันไม่แน่ใจ...ว่า...”  เนิ่นนานกว่าเขาจะตอบกลับมาสักประโยค  “ฉันไม่แน่ใจว่าตัวเองชอบนายหรือเปล่า”

“งั้นนายเกลียดฉันไหม?”  ผมยักไหล่กับคำตอบของเขาแล้วถามกลับ

“ไม่ได้เกลียด”

“ก็ได้  งั้นฉันจีบนายไปพลางๆ ละกัน”

“ห้ะ?”  คราวนี้คำนับหันกลับมามองผมเหมือนเห็นตัวประหลาด

“ต่อไปนี้ฉันจะมารับ-มาส่งนายที่วิทยาลัยทุกวัน”

“เฮ้ย  ไม่ต้อง”  คำนับโบกมือปฏิเสธพัลวัน

“นายห้ามฉันได้หรือไง?”  ผมเลิกคิ้วถาม  หันหลังก้าวคร่อมรถก่อนยื่นหมวกกันน๊อคให้เขาใส่

“ก็...”

“ถ้ารู้ว่าห้ามไม่ได้ก็ไม่ต้องห้าม”  เขายื่นมือมารับหมวกแต่ไม่ยอมสวม  “ต้องให้ฉันใส่ให้ไหม? แต่ฉันไม่เคยใส่หมวกบนให้คนอื่นนะ  หมวกล่างก็ไม่เคยเหมือนกัน”

“หมวกล่าง?”  ผมเลื่อนสายตาไปที่เป้ากางเกงเขา  คำนับมองตามก่อนจะหน้าแดงลามไปถึงใบหู  “ไอ้ทะลึ่ง!”

“ฮ่ะๆๆๆ”

ผมขับรถมาส่งเขาที่บ้าน  คำนับปีนลงรถถอดหมวกคืนให้  เขายืนนิ่งไม่กล้าเดินเข้าบ้านเมื่อเห็นผมยังไม่ยอมขับออกไปเสียที

“มีอะไรหรือเปล่า? จริงซิ  ขอบใจนะที่มาส่ง”

“ไม่เอาคำขอบใจได้ป่ะ”

“หืม?”

“ร้องเมี๊ยว~ ให้ฟังหน่อย”  ผมยื่นมือไปเกาคางเขา

“ไอ้บ้า!”  และแน่นอนว่าคำนับปัดออกทันทีเช่นกัน  ผมก้าวลงจากรถไปยืนตรงหน้าเขา  คำนับถอยหลังไปหนึ่งก้าวผมก็ก้าวตามประชิดหนึ่งก้าว

“ถ้านาย...”  เหลือบมองข้อมือผอมที่มีกำไลเงินวงเดิมสวมอยู่ในใจพลันเต้นตึกตัก

“?”

“ถ้านายยังไม่แน่ใจว่าชอบฉันหรือเปล่า  งั้นระหว่างรอให้แน่ใจฉันจะทำให้นายชอบฉันมากขึ้น  แล้วพอรู้ตัว  ..ถึงตอนนั้นนายจะได้ชอบฉันเยอะๆ ให้มากเท่าที่ฉันชอบนาย”

“....”  ผมยกยิ้ม  แก้มคำนับแดงอีกแล้ว

“ถ้านายเป็นแฟนฉันเมื่อไหร่จะบังคับให้นายร้องเมี๊ยวให้ฟังทุกวันเลย”

“ฝันไปเถอะ!”  คำนับถลึงตาใส่ผม  ไม่เห็นน่ากลัวสักนิด  แหม  แก้มแดงหูแดงขนาดนี้น่ารักจะตาย~

“ไม่นานนักหรอกน่านายจะต้องชอบฉันแน่ๆ ฉันมั่นใจ”

“หลงตัวเอง!”

“เพิ่มเป็นหลงนายอีกหนึ่งอย่าง”

“แหวะ!”  คำนับทำท่าคลื่นไส้ก่อนจะหัวเราะออกมา

“เข้าบ้านได้แล้วไป”

“อืม”

“เออ  เดี๋ยว!”

“มีอะไร!”  คำนับที่กำลังเดินเข้าบ้านหันกลับมา  ก่อนจะเบิกตากว้างยืนนิ่งค้างเมื่อผมก้มลงไปฉกริมฝีปากบางนั่นอย่างรวดเร็ว ผมจุ๊บปากเขาเหมือนอย่างวันนั้น

“ฝันดีนะ”

ผมหัวเราะภายใต้หมวกกันน๊อคเมื่อมองกระจกหลังตอนขับรถออกมา  คำนับยืนค้างอยู่อย่างนั้น  ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนนี้ในหัวเขาคงระเบิดไปแล้วเรียบร้อยกับการกระทำของผม

*********

   



[บดินทร์]



“ดิน  มึงว่าโป๊ยกั๊กมันจีบคำนับจริงไหม?”

   “แล้วไอ้ที่ทำอยู่มันไม่จริงตรงไหน?”

“เออ  แล้วไอ้ครับมันจะชอบโป๊ยกั๊กป่าววะ?”

“มึงไม่เสือกสักเรื่องจะตายไหมภู?”

“เอ้า  เพื่อนทั้งคนก็ต้องเอาใจช่วยหน่อยซิวะ”

“มึงเอาใจช่วยตัวเองก่อนดีกว่าไหม?”

“มึงอ้ะ”

“ไม่ต้องมาทำปากยื่น  ไปอาบน้ำแล้วมากินข้าว”

“ไอ้คนใจร้าย!”

“ถ้ากูใจร้ายมึงไม่ได้มานั่งเถียงกูแบบนี้แน่  นี่กูใจดีกับมึงมากแล้วนะ”

“ดิน~~”

“เร็ว! จะได้อ่านหนังสือ”

“อะไรเล่า  นี่เพิ่งต้นเทอมเองนะ!”

“จะต้นเทอม  กลางเทอม  ท้ายเทอมแล้วยังไง  อยากโดนรีไทร์หรือยังไง?”

“...”  ภูธเรศนั่งหน้าง้ำจนผมต้องถอนหายใจ  ผมลุกออกจากโต๊ะเขียนหนังสือทรุดตัวนั่งบนส้นเท้าอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย  ยกมือยีหัวภูธเรศจนผมยุ่งเหยิง  เขาไม่ใช่คนเรียนเก่ง  ไม่ได้ความจำดีเลิศเหมือนอย่างโป๊ยกั๊ก  ผมต้องคอยติวหนังสือให้ตั้งแต่ มอ.ต้น  และผมก็ไม่อยากให้มันหลุดหายระหว่างทางด้วย  ขืนผมทำมันหายไปจากชีวิตผมก็เหงาแย่ซิ  ยิ่งซื่อบื้อแบบนี้ไม่ได้หาง่ายๆ เสียด้วย

“มึงไม่อยากเรียนจบพร้อมกูแล้วรับปริญญาด้วยกันเหรอวะ?”

“อยาก!”

“งั้นไปอาบน้ำ  มากินข้าวแล้วอ่านหนังสือ”

“ง่ะ!”

“พรุ่งนี้จะยอมให้พักหนึ่งวัน  แถมเลี้ยงไอติมด้วย”

“เย้!  มึงใจดีที่สุดเลย”  พูดจบก็วิ่งปรู๊ดเข้าห้องอาบน้ำ  ผมส่ายหัวให้กับเพื่อนตัวป่วน  เมื่อกี้มึงยังด่ากูว่าใจร้ายอยู่เลย  ไอ้ภูเอ้ย!
*********


หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 12 ] 22-7-61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 18-08-2018 20:57:37



[คำนับ]


   “ขอบใจที่มาส่ง”  ผมยื่นหมวกกันน๊อกคืนให้เจ้าของรถ  ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู  เห็นอีกไม่กี่นาทีจะเที่ยงคืนแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ  เกรงใจไม่อยากให้โป๊ยกั๊กมาคอยรับ-ส่งแบบนี้  ผมเหนื่อยแต่ไม่ได้อยากให้เขามาเหนื่อยด้วยเสียหน่อย  พูดเท่าไหร่ก็ไม่เคยฟัง

“อืม  รีบอาบน้ำเข้านอนล่ะจะได้พักยาวๆ  พรุ่งนี้ไปซื้อของก็โทร.บอก  จะมารับ”

“ฉันไปเองได้น่า  นายรีบๆ กลับได้แล้วเดี๋ยวอาฟ้าเป็นห่วง  จะเที่ยงคืนแล้วเนี่ย”

“อะไรนะ?”

“หืม   บอกว่าให้รีบ...”

“ไม่ใช่! นี่กี่โมงนะ?”

“จะเที่ยงคืนแล้ว” ผมยื่นนาฬิกาข้อมือให้โป๊ยกั๊กดู

“ชิบหายละ!”

“อะไร? จู่ๆ มาด่ากันงี้ได้ไงวะ?”

“ไม่ได้ด่านาย  หมายถึงฉันเนี่ย  ชิบหายแล้ว!”  โป๊ยกั๊กเกาหน้าเกาหัวท่าทางงุ่นง่าน 

“เอ้า?”

“ถ้าฉันฟุบลงไปแล้วเงยหน้าขึ้นมาเป็นอีกคนก็อย่าตกใจแล้วกัน”

“หืม?”  ไม่รอให้ถามซ้ำโป๊ยกั๊กฟุบหน้าลงกับตัวถังทันที  โชคดีที่เขาเอาขาตั้งลงแล้วไม่อย่างนั้นล้มไปให้รถทับผมก็ยกเขาขึ้นมาไม่ได้

นานนับนาทีคนที่ฟุบหน้ากับตัวถังยังไม่มีทีท่าว่าจะเงยขึ้นมา  ผมยืนรอจนขาแข็ง  เหลียวซ้ายแลขวายกนาฬิกาขึ้นดู  ตอนนี้เลยเที่ยงคืนมาสิบนาทีแล้ว  อากาศเย็นแถมรอบข้างยังเงียบเชียบวังเวงเลยตัดสินใจเขย่าปลุกโป๊ยกั๊กให้ตื่น

“เฮ้!”

“....”

“โป๊ยกั๊ก?”  ผมเขย่าไหล่พลางกระซิบเรียก  ไม่กล้าเสียงดังเดี๋ยวชาวบ้านตกใจ

“....”

“โป๊ย...”

ขวับ!

“เย้ย!” ผมตกใจกระโดดก้าวถอยหลังไปทีเดียวถึงสามก้าว

“หวัดดี”  คนบนรถเงยหน้ายิ้มแฉ่งส่งมาให้จนแทบเห็นฟันครบสามสิบสองซี่

“โป๊ย  ไม่...กานพลู?”

“ใช่  เราเอง!”

“ทำไม?”  ผมถามยังไม่จบเขาก็ดีดนิ้วเปาะ

“วันนั้นของเดือนน่ะ”

“วันนั้นของเดือน? นายเป็นประจำเดือนแบบผู้หญิงเรอะ!”  ผมตกใจถามเขาเสียงดังแทบกลายเป็นตะโกน  รีบยกมือปิดปากตัวเองแต่ยังคงเบิกตามองกานพลูอยู่อย่างนั้น

“ม่ายๆ ไม่ช่ายยย  เราหมายถึงคืนนี้เป็นคืนเดือนดับต่างหาก”  เขาชี้ท้องฟ้าที่ดาดาษไปด้วยหมู่ดาวแข่งกันส่องแสง  ไม่มีพระจันทร์ดวงโตมาแย่งซีน

“คืนเดือนดับ?”

“ใช่  เฉพาะคืนเดือนมืดเท่านั้นเราถึงจะออกมาได้”  กานพลูกอดอกพยักหน้าหงึกหงัก

“แต่คราวก่อน...”  นายไม่ยอมออกมา

“นั่นเป็นเรื่องผิดพลาดทางเทคนิคนิดหน่อย”  ไม่นิดหน่อยละมั้ง  เล่นหลับไม่ตื่นอยู่สามวันเต็มขนาดนั้น

“อ้อ...”

“คืนนี้นอนนี่นะ”

“ห้ะ  อะไรนะ?”  อย่าเปลี่ยนเรื่องกะทันหันได้ไหม  ตามไม่ทัน!

“ขอนอนด้วยคน”  กานพลูยิ้มแฉ่งไม่ยอมหุบ  ประเดี๋ยวก็ได้เหงือกแห้งหรอก

“กลับไปนอนบ้านนายดิ”

“...เอาความจริงไหม?”  เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วก้มลงกระซิบเสียงเบาเหมือนกลัวใครได้ยิน

“อะไร?”

“เราไม่กล้าขับบิ๊กไบท์กลับอ่ะ”

“.........”

สรุปสุดท้ายผมต้องเข็นรถคันใหญ่นั่นเข้าบ้าน  จัดการหาผ้าห่มหาฟูกมาปูให้กานพลูนอน  หลังจากต่างคนต่างผลัดกันอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก็กระโจนเข้าหาหมอนของใครของมัน  กานพลูที่ใส่เสื้อยืดกางเกงบอลของผมนอนมองเพดานนิ่ง

“ฉันจะปิดไฟแล้วนะ”  ตีหนึ่ง  ขืนยังไม่นอนพรุ่งนี้คงไม่มีแรงออกไปซื้อของ

“อือ”

“...อือ ก็หลับตาซิ”

“ไม่เป็นไร  นายปิดไฟเถอะ”

“นี่กานพลู”

“หืม?”  ผมไม่ได้ปิดไฟ  แต่กลับไปนั่งบนเตียงตัวเองแล้วมองคนที่นอนลืมตาโพลงบนพื้น

“นายกับโป๊ยกั๊กมีชีวิตแยกกันเหรอ?”

“ไม่รู้ซิ  เราไม่ค่อยเข้าใจความซับซ้อนนี้เหมือนกัน”

“...”  ผมขมวดคิ้ว  ขนาดเจ้าตัวยังไม่เข้าใจแล้วผมจะช่วยอะไรเขาได้ไหมนะ

“ทำไม? นายกลัวว่าเราจะพาโป๊ยกั๊กนอกใจนายเหรอ?”

“พะ  พูดบ้าอะไรของนาย!”  กานพลูหัวเราะคิกกับท่าทางของผม  ดวงตาเรียวเหลือบมองมา  ผมเดาว่าตอนนี้แก้มกับหูของผมต้องแดงมากแน่ๆ

“ครับไม่ต้องห่วงนะ  เราไม่มีแฟนหรอก”

“....”

“หมายถึงกานพลูไม่มีแฟนหรอก  เราน่ะเป็นแค่เงาเท่านั้น”

“กานพลู...”

“อ้อ  แล้วไม่ต้องกลัวว่าโป๊ยกั๊กจะรู้เรื่องที่ครับถามเราเมื่อกี้นะ  หมอนั่นไม่รู้หรอก”  เขากลับมายิ้มแย้มอีกครั้ง  แต่ผมรู้สึกว่ารอยยิ้มของเขาดูเศร้าและเหงามาก

“ทำไมล่ะ?  หมอนั่นไม่รู้สึกตัวเวลานายออกมางั้นเหรอ? แล้วนายรู้เรื่องทุกอย่างของโป๊ยกั๊กไหม?”

“เรารู้สิ่งที่โป๊ยกั๊กทำหมดแหละ  แต่พอเราออกมาโป๊ยกั๊กจะจำไม่ได้ว่าเราทำอะไรไปบ้าง”

“แปลก...”

“ไม่แปลกหรอก”  กานพลูถอนหายใจ

“?” 

“เขาไม่อยากรู้จะจำได้ได้ไง”

“เหงาเหรอ?”

“ห้ะ?”

“กานพลู  นายน่ะกำลังเหงาใช่ไหม? แล้วก็เศร้าด้วย”

“เหงาอะไรกัน...”  ผมลุกจากเตียงดึงเขาขึ้นมาแล้วกอดแน่น

“ไม่เป็นไร  นายยังมีฉันอยู่นะ”

“....”

“ถึงฉันจะยังไม่เข้าใจเรื่องการสลับตัวกันของนายกับโป๊ยกั๊ก  แต่คิดว่าอีกไม่นานจะเข้าใจทั้งหมดแน่นอน  อีกอย่าง....”  ผมรับรู้ได้ถึงความเปียกชื้นและอุ่นร้อนตรงบ่า  “นายกับโป๊ยกั๊กก็คือคนคนเดียวกันนี่นา”

“...ขอบคุณนะ...”

คืนนั้นกว่ากานพลูจะสงบและหลับลงก็ปาเข้าไปเกือบตีสาม  เสียเวลานอนไปนิดหน่อยแต่ผมคิดว่าคุ้มค่านะ

รุ่งเช้ากานพลูยังไม่ยอมกลับบ้าน  เขาโทร.หาอาฟ้า ผมได้ยินเสียงบ่นลอดโทรศัพท์มาด้วย  ไม่ต้องบอกก็รู้ว่างานนี้หูชาแน่ๆ  โดนอาฟ้าบ่นขนาดนั้นเขายังตามผมไปซื้อของใช้ที่จะใช้ในการเรียนวันจันทร์หน้า  แล้วดันเจอคนที่ไม่อยากเจอที่สุดอีก

“ไง? ไม่คิดว่าจะได้เจอพวกมึง”  ผมชะงักเท้าเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียง  ผมจำใบหน้านี้ได้ดี  ที่ผมเกือบไม่ได้เรียน  เกือบโง่จะสละทุนก็เพราะมันเอาข้อเสนอโง่ๆ มาให้  หมายถึงว่า  ผมน่ะนะที่โง่

“ไอ้เปรี้ยว?”

“วะ  หวัดดี”  กานพลูยิ้มแหยยกมือทักทายอีกฝ่ายเก้กัง  ผมถลึงตามองท่าทางนั้นแต่กานพลูกลับทำหน้าตาไม่รู้เรื่องรู้ราว  ผมอยากยกมือขึ้นกุมขมับแต่ติดว่าตอนนี้ไอ้เปรี้ยวกำลังมองอยู่

“ห้ะ?”  นั่นปะไร  มันตกใจกับท่าทางของกานพลูจนตาแทบถลนออกนอกเบ้า

“อะแฮ่ม!”  ผมแสร้งกระแอมไอให้ไอ้เปรี้ยวละสายตาจากคนข้างๆ

“สบายดีเหรอ  ไม่ได้เจอกันนานเลยเนอะ?”  แต่ไม่วายเจ้าคนซื่อบื้อนี่ยังทักต่อไม่รู้จักจบ

“นายหุบปากไปเลย!”  ผมกระซิบเสียงลอดไรฟัน  กานพลูทำหน้าจ๋อยเมื่อถูกดุ

“อ่าฮะ  นี่พวกมึงทำท่ายังกับผัวเมียกัน”  ไอ้เปรี้ยวยกยิ้มมุมปาก  ผมอยากจะวิ่งเข้าไปชกหน้ามันซักเปรี้ยงถ้าไม่ติดว่าต้องคอยกำราบเจ้าเด็กโข่งนี่

“เห็นเป็นงั้น... โอ๊ย!”  กานพลูร้องโอยเพราะโดนผมกระทืบใส่หลังเท้าเต็มแรง

“ถ้านายไม่พูดก็ไม่มีใครว่านายเป็นใบ้หรอก!”  ผมดุคนข้างๆ

“....”  กานพลูเบะปากเบือนหน้าหนีไม่สนใจผมอีก

“แล้วนายมาทำอะไรแถวนี้?”  ผมหันมาถามไอ้เปรี้ยว  มันไม่ยอมละสายตาจากกานพลูแถมยังขมวดคิ้วคล้ายสงสัย

“ธุระนิดหน่อย”

“อ้อ”

“เห็นมึงสุขสบายดีแบบนี้ก็ดีใจด้วย”  มันยอมหันมามองผมในที่สุด  มุมปากยกยิ้มดูชั่วร้ายไม่ต่างจากสมัยก่อนเลยสักนิดเดียว

“?”

“ฮ่ะๆๆ  ไม่ต้องทำหน้าตาหวาดระแวงขนาดนั้นหรอกน่า  ตอนนี้กูไม่ได้คิดทำอะไรมึง  อีกอย่างวันนี้แค่บังเอิญมาเจอจริงๆ”

“งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้วกูขอตัวละกัน”  ผมลากแขนกานพลูให้ออกเดิน  ผมรับรู้ได้ถึงสายตาของไอ้เปรี้ยวที่มองตามหลัง  ผมไม่อยากมีปัญหาจึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น

กลับมาถึงบ้านได้แบบปลอดภัยผมนี่แทบถอนหายใจโล่งอก  เหลือบมองไอ้คนอารมณ์ดีได้เพราะไอติมแท่งเดียวก็ได้แต่ส่ายหัว  อ้อ  ไอ้ติมแท่งนั้นผมเป็นคนจ่ายนี่นะ

“ครับไม่ต้องกลัวไอ้เปรี้ยวหรอกมันไม่กล้าทำอะไรแล้ว  ขืนขยับตัวส่งเดชบ้านมันได้พินาศกว่านี้แน่ๆ”

“หืม?”

“มีคนจัดการและคอยจับตาดูมันอยู่”  กานพลูยักคิ้ว  ปากยังคงเลียไอติมในมือไม่หยุด

“ฉันว่าฉันพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมโป๊ยกั๊กถึงได้ไม่ค่อยชอบใจนายนัก”

“เอ๊ะ  ครับรู้งั้นเหรอ? เพราะอะไร?”  เจ้าหมาตัวโตผุดนั่งหลังตรง  ละปากจากไอติมเงยหน้าขึ้นถามด้วยสายตาอยากรู้สุดๆ

“เพราะนายเป็นแบบเมื่อกี้ไง”

“แบบไหน?”  คิ้วเข้มขมวดฉับ

“แบบว่าตอนเจอคู่อริหรือคนอื่นนอกบ้าน  หรือใครก็ตามที่ไม่รู้ความลับนี้ของนาย  ถ้านายจะหุบปากเงียบหรือแสร้งเป็นโป๊ยกั๊กต่อหน้าคนอื่น  โป๊ยกั๊กคงไม่หงุดหงิดใส่นาย”

“?”  ยังมีหน้ามาทำปากยื่นอีก!  น่ารักตายล่ะ!

“ตอนนายอยู่ในบ้านหรือกับคนที่รู้ความจริง  นายจะเป็นกานพลูแสนซื่อบื้อ เอ่อ แบบที่นายเป็นมันก็ไม่มีปัญหาอะไร  แต่ตอนอยู่ข้างนอกนายควรจะรักษาหน้าโป๊ยกั๊กสักนิดหนึ่ง”

“รักษาหน้า?”

“ใช่  อย่างเมื่อกี้ตอนเจอไอ้เปรี้ยว  โป๊ยกั๊กกับไอ้เปรี้ยวตีกันมาตั้งกี่รอบ  ถ้าไม่เสมอก็ชนะ  แต่พอนายเจอไอ้เปรี้ยวกลับทำท่าจะไปเป็นมิตรกับเขา  หรือเจอนักเลงคนอื่นอย่างคราวก่อนโน้นนายก็วิ่งหนีหัวซุกหัวซุน”

“เอ่อ...”

“แล้วพอนายกลับเข้าไป  โป๊ยกั๊กโผล่มาแล้วไปเจอไอ้เปรี้ยวหรือนักเลงคนนั้นอีก  นายว่าโป๊ยกั๊กจะรู้สึกยังไง?”

“ขายหน้า?”

“ใช่!”

“งะ  งั้นเหรอ?”

“แต่ฉันว่าไม่น่าจะมีเรื่องทำนองนี้แค่รั้ง สองครั้งหรอก  ใช่ไหม?”

“อ๊ะ  ตะ  ต้องเป็นตั้งแต่ตอนนั้นแน่ๆ เลย!”  กานพลูทุบมือดังตั้บเหมือนคิดอะไรออก

“เรื่องไหน?”

“ตอน ปอ.หนึ่ง  โป๊ยกั๊กจีบเด็กผู้หญิงห้องเดียวกัน  เอาขนมไปให้ทุกวันเลย  แต่วันนั้นพอเราออกมา  เราเองก็อยากกินขนมนั้นเหมือนกันนี่นา  เลยแกล้งทำเป็นไม่รู้จักเด็กคนนั้น....”

“นี่นาย...”

“แหะๆๆ แบบว่า  หลังจากนั้นเด็กนั่นก็ไม่ยอมคุยกับโป๊ยกั๊กอีก  ซ้ำยังพาแก๊งค์เด็กผู้หญิงในห้องมาแกล้งโป๊ยกั๊กทุกวัน  พวกเด็กผู้ชายที่ไม่ชอบหน้าโป๊ยกั๊กเป็นทุนเดิมก็มารวมหัวกันแกล้ง...”

“นายนี่มัน...”  ผมละอยากจะบ้าตาย  ต้นเหตุก็มาจากเจ้าตัวเองไม่ใช่หรือไงเล่า!  “แล้วหลังจากนั้นล่ะ?”  ผมนวดหัวคิ้วขณะรอคำตอบ  คิดว่ามันคงไม่น่าพิสมัยสักเท่าไหร่

“อื้ม  โป๊ยกั๊กโกรธมากเลย  หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยยอมคุยกับเราเท่าไหร่  ชอบดุเราด้วย”

“แสดงว่าก่อนหน้านั้นนายกับโป๊ยกั๊กคุยกันดี เล่นกันดี?”

“ใช่  เราคุยกันทุกวันแหละ  แต่เพราะเรื่องคราวนั้น...”

“นายได้ขอโทษเขาหรือเปล่า?”

“หืม?”

“นายได้ขอโทษโป๊ยกั๊กหรือเปล่าที่ทำให้เด็กผู้หญิงคนนั้นเข้าใจผิด”

“....แหะ  จำไม่ได้”

“นาย!”

“...น่าจะไม่ได้ขอโทษละมั้ง...”

“......”

โอ๊ย  ปวดกบาล!






โปรดติดตามตอนต่อไป



สวัสดีค่า  มาช้าตามเคย  ขออภัยค่ะ ฮืออออ
ว่าจะลงตั้งแต่สองวันก่อนแต่รีบค่ะ  เน๊ตไม่ดี โน๊ตบุ้คเอ๋อ  รีบไปขึ้นรถอีกต่างหาก
ตอนนี้กลับมาจาก ตจว ก็รีบเอามาลงเลย
มีตรงไหนผิดพลาดแนะนำติติงกันได้เช่นเคยนะคะ
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 13 ] 18-8-61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 18-08-2018 21:18:14
 :pig4: :pig4: :pig4:

มาสักที

ครับวิเคราะห์ได้ตรงจุด หวังว่ากานพลูจะเข้าใจนะ

และความสัมพันธ์ระหว่างกานพลูกับโป๊ยกั๊กคงดีขึ้นนาจา
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 13 ] 18-8-61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 19-08-2018 02:47:20
ครับก็ช่วยจัดการ 2 หนุ่มให้เข้าใจกันให้ได้ ก็ดีนะ แม้ว่าจะยากไปนิสสสส  :katai3:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 13 ] 18-8-61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: TachibanaRain ที่ 19-08-2018 13:50:30
จากตอนก่อนหน้าที่สงสารกานพลูมาตอนนี้ไม่สงสารแล้วเว้ย ทำตัวเองจริงๆนั่นแหละสมควรที่โป๊ยกั๊กจะไม่ชอบใจสักเท่าไหร่ แถมกานพลูยังบื้อจนไม่คิดว่าตัวเองผิดอีก มันน่าโมโหจริงๆ ครับคงต้องช่วยแล้วแหละ
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 13 ] 18-8-61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: กาแฟมั้ยฮะจ้าว ที่ 20-08-2018 15:12:40
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 13 ] 18-8-61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 20-08-2018 20:40:49
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 13 ] 18-8-61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 28-08-2018 15:35:42



Secret Me  คนนี้ต้องลับ!

ตอนที่14



   

หืออออ  สามทุ่ม!

นี่เรียนหรืออะไร?

เพราะวันนี้แม่ยืมรถไปใช้ผมเลยนั่งรถเมล์มารอคำนับหน้าวิทยาลัย  ห้าโมงเย็นก็แล้ว  หกโมงเย็นก็แล้ว  หมอนั่นยังไม่ออกมาเลย  นี่ถ้าไม่ส่งข้อความมาบอกก่อนว่าเลิกค่ำผมอาจจะคิดว่าคำนับแกล้งให้ผมรอเก้อ

ชาเขียวแก้วที่สองหมดไปแล้ว  อาหารในกล่องเก็บความร้อนป่านนี้คงเย็นชืดไปเป็นที่เรียบร้อย  ผมหิ้วท้องรอกินข้าวตอนนี้ไม่หลงเหลือความหิวสักนิด  มองกล่องอาหารของพ่อที่เตรียมมาเผื่อคำนับแล้วได้แต่ถอนหายใจ  นั่งบ่นในใจสักพักเงาร่างสะโหลสะเหลผอมกะหร่องของคำนับก็เดินออกมา  ผมจ่ายเงินค่าชาเขียวแล้วตรงออกไปหาเขาทันที

“นี่เรียนหรือออกไปใช้แรงงาน...”  โวยวายได้ไม่ประโยคเพราะเห็นสภาพเขาแล้วด่าไม่ลงจริงๆ

“ขอโทษที  นายรอนานเลย”

“ช่างเหอะๆ นายหิวไหม?”

“ไม่อ่ะ  ง่วงมากกว่า”  คำนับส่ายหน้าท่าทางระโหยโรยแรงอย่างยิ่ง

“งั้นเรียกแท็กซี่ละกัน  ขืนนั่งรถเมล์กว่าจะถึงบ้าน  นายคงสลบเสียก่อน”

“อือ”  คนตัวผอมพยักหน้าไม่มีค้านสักครึ่งคำ

พอขึ้นนั่งบนรถเขาก็เอนหลังหลับตา  เห็นแบบนั้นผมเลยไม่ชวนคุยหรือรบกวนอะไรอีก  ใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงปากทางเข้าบ้านคำนับ  ผมสะกิดเรียกฝ่ายนั้นอยู่นานก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น  ผมยิ้มขอโทษขอโพยคุณลุงขับรถ  ควักเงินจ่าย  หิ้วกล่องอาหารแล้วเปิดประตูด้านคำนับ  ขยับจัดท่าแบกเขาขึ้นหลังอย่างทุลักทุเลโดยมีคุณลุงคนขับช่วยอีกแรง

ผมโทร.บอกน้าแป้งตอนรถจอด  น้าแป้งที่เปิดประตูรับอุทานเสียงเบาเมื่อเห็นผมแบกคำนับเข้าบ้านก่อนจะเดินนำขึ้นชั้นบนเพื่อเปิดประตูห้อง

“ตายจริง  นี่ถึงขนาดหลับไม่รู้เรื่องราวเลยหรือเนี่ย?”

“คงเหนื่อยมากน่ะครับน้าแป้ง”  ผมรับผ้าเปียกในมือน้าแป้งมาเช็ดหน้าให้คำนับ

“รบกวนโป๊ยกั๊กแย่เลย”

“ก็...ผมจีบลูกน้าแป้งอยู่นี่ครับ”

“....”  น้าแป้งตาโตยกมือทาบอก  ครู่หนึ่งก็หลุดหัวเราะออกมาเสียงเบา  “เล่นสารภาพโต้งๆ ยังงี้เลยเหรอ?”

“น้าแป้งไม่ตกใจเหรอครับ?”  ผมชะงักมือเงยหน้ามองน้าแป้งอย่างแปลกใจ

“พอจะเดาออกอยู่หรอก  ไม่มีเพื่อนผู้ชายคนไหนมาคอยรับ-ส่งกันเป็นปีๆ แบบที่โป๊ยกั๊กทำสักหน่อย  แล้วไอ้การดูแลแบบนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกด้วย”

“น้าแป้ง  โกรธไหมครับ?”  ผมถามเสียงเบา  ในใจอดหวั่นๆ ไม่ได้  แม้ใบหน้าน้าแป้งจะมีรอยยิ้มอยู่เป็นนิจแต่ไม่รู้นี่นาว่าในใจน้าแป้งคิดยังไง

“จะให้น้าโกรธเรื่องอะไรล่ะ?”

“ก็...ผมเป็นผู้ชาย”

“น้ารู้อยู่แล้วว่าโป๊ยกั๊กเป็นผู้ชาย  ไม่เห็นมีส่วนไหนเหมือนผู้หญิงสักนิด”

“โธ่ น้าแป้งครับ!”

“ฮ่ะๆๆ  คิดมากไปได้  เรื่องของเราสองคนน้าไม่ยุ่งด้วยหรอก  แต่ที่บ้านเรานั่นแหละจะว่ายังไง”

“อืม  ก็คงไม่ว่าอะไรหรอกครับ”

“พ่อกับแม่เรารู้แล้วหรือ?”

“เอ  น่าจะรู้แล้วมั้งครับ  ผมตัวติดกับคำนับขนาดนี้”

“?”  น้าแป้งเลิกคิ้วแต่ไม่พูดอะไรต่อก่อนจะเอากล่องอาหารที่ผมถือติดมือมาไปใส่ตู้เย็น  นี่เป็นอาหารที่พ่อทำให้  บอกว่าเอามาเผื่อคำนับ  แต่วันนี้คงไม่ได้กินแล้ว  ไว้ค่อยอุ่นกินพรุ่งนี้เช้าแล้วกัน

ผมเช็ดหน้าเช็ดตัวให้คนหลับเป็นตาย  หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ถึงได้ฉุกใจคว้ามือเขาขึ้นมาดูเนื่องจากเมื่อครู่มันเสียดสีจนผมเอะใจ  อื้อหือ  นี่มือคนหรือดินตอนหน้าแล้ง?  แตกซะขนาดนี้คางคกแทบจะโดดเข้าไปอยู่ได้สิบตัวเลยมั้ง

ผมค้นกระเป๋าล้วงแฮนด์ครีมหลอดใหญ่ออกมา  ละเลงทาบนมือคำนับชนิดหนากว่าแป้งโรตีเสียอีก  ค่อยๆ นวดไปทีละนิ้วๆ กดตรงหลังมือเพื่อช่วยคลายเส้น  คราวก่อนผมสังเกตเห็นมือเขาแห้งแตกเลยหาซื้อแฮนด์ครีมเอาไว้  มีโอกาสใช้ก็ตอนนี้แหละ  ฝ่ามือคำนับดูจะสากขึ้นกว่าแต่ก่อนอีกแฮะ

หลังทาครีมเสร็จผมก็ปิดฝาวางไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือของเขาเพื่อให้เขาพกติดตัวไปด้วยในวันอื่นๆ  จากนั้นหาโพสอิสมาจดข้อความแปะหน้ากระจก  จากนั้นค่อยเรียกแท็กซี่กลับบ้านตัวเอง




‘พ่อฝากอาหารมาให้  แต่นายหลับเลยไม่อยากปลุก  ตอนเช้าอย่าลืมอุ่นเอามากินล่ะ

แฮนด์ครีมนี่ซื้อมาให้  พกติดตัวไว้ด้วย

อ้อ  ว่างวันไหวเข้าไปหาพ่อที่ร้านด้วยนะ  พ่อฝากบอกมา

ปล.เลิกเรียนแล้วอย่าลืมโทร.หา  จะไปรับ

         ฟ.แฟน (ถึงยังไม่ใช่ตอนนี้  อีกเดี๋ยวก็เป็น)

            โป๊ยกั๊ก’





วันเสาร์ของอาทิตย์ต่อมาคำนับแวะเข้ามาที่ร้าน ‘หิ้วปิ่นโต’  พ่อกับเพกาดีใจมากเพราะไม่ได้เจอเขานานแล้ว  ส่วนกระวาน  พี่ชายคนรองทำเพียงแค่พยักหน้าทักทายแล้วเลื้อยลงไปนอนกับโซฟาต่อ  หลังพูดคุยอยู่นานพ่อก็ชวนเข้าครัว  ไม่รู้ว่าเพราะอยากทดสอบฝีมือหรืออยากแกล้งกันแน่  คำนับที่ได้เข้าครัวสองต่อสองกับพ่อถึงกับหูแดงไปหมด  เออเนี่ย  ว่าจะถามหลายครั้งแล้ว  ว่าคำนับแม่งมีอะไรกับพ่อผมหรือเปล่าวะ  เจอหน้าทีไรไม่เขินหูแดงก็หน้าแดงทุกที

ผมมองไข่ม้วนตรงหน้าแล้วอดไม่ได้ที่จะเหลือบตามองคำนับ  ฝ่ายนั้นจัดวางอาหารจานอื่นต่อโดยไม่สนใจว่ามีใครมองอยู่หรือไม่  แต่ผมว่าเขารู้นะว่าผมมองอยู่  เพราะหูของคำนับแดงแจ๋เลย

ไข่ม้วน  ของโปรดของผม  เมนูนี้ผมเคยบังคับเขาทำตอนมาช่วยงานที่ร้านและหัดทำอาหารใหม่ๆ มีอาหารโปรดของผมอีกหลายอย่างที่คำนับทำได้  แน่ละ  ว่ามาจากการบังคับขู่เข็นเขาให้ทำในตอนนั้น  ผมชอบกินอะไรไม่ชอบกินอะไร  อยากให้เขารู้และทำเป็นนี่นา  ผิดตรงไหนล่ะ

มันเขี้ยวชะมัด  อยากกัดแก้มเป็นบ้า!

ผมมองแก้มแดงๆ ของคำนับแล้วใจเต้นตึกตัก  เลื่อนสายตาไปที่ริมฝีปากบางแดงนั่นแล้วเผลอเลียริมฝีปากตัวเองเบาๆ  ยังไม่ทันคิดลามกไปมากกว่านี้ก็ต้องสะดุ้งโหยงเพราะโดนเตะจากใต้โต๊ะกินข้าว

“โอ๊ะ!”

“หืม? โป๊ยกั๊กเป็นอะไร?”  พ่อหันมาถาม

“ตะ  เตะขาโต๊ะน่ะครับ”  พ่อส่ายหัวแล้วหันไปคุยกับคำนับต่อ  ได้ยินเสียงบ่นเบาๆ ว่าซุ่มซ่ามด้วย  ผมถลึงตามองพี่ชายคนรองซึ่งเป็นเจ้าของลูกเตะเมื่อครู่

“ไอ้ทะลึ่ง!”  กระวานกระซิบด่าเสียงเบา  เพกาหัวเราะคิกกับท่าทางของผมและกระวาน

ก่อนกลับพ่อเดินเข้าไปหยิบกล่องยาวรีกล่องหนึ่งออกมาจากชั้นยื่นส่งให้คำนับ  เขาเหลียวมามองผมเพื่อจะถามว่าอะไร  แล้วผมจะรู้ไหมเล่า  พ่อเป็นคนให้ไม่ใช่ผมนี่นา

คำนับยกมือไหว้ขอบคุณ  พ่อคะยั้นคะยอให้เขาเปิดกล่องออกดู  พวกเราสามคนที่เหลือต่างชะโงกหน้าไปดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น

มีดเล่มยาวปลายแหลมสีขาวใส  บางเฉียบและคมกริบนอนนิ่งอยู่ในกล่อง  คำนับอ้าปากตาค้างเงยหน้าขึ้นมองคนให้  พ่อยกยิ้มพยักหน้าตอบ  บอกคำนับว่าไอ้ที่เห็นตรงหน้าน่ะมีดจริงไม่ใช่ของเล่น

“มีดเชฟ?”  เพกาเอ่ยทัก  กระวานพอรู้ว่าในกล่องเป็นอะไรก็หมดความสนใจ

“ใช่”  พ่อยิ้มกว้างคล้ายภูมิใจนักหนา

“ทำไมถึงให้มีดล่ะพ่อ?”  ผมถาม  คำนับเอาแต่จ้องมีดเล่มนั้นไม่วางตา  สีหน้าดูปลาบปลื้มสุดๆ  หนอย~  คอยดูเถอะ  ถ้าฉันจบมามีงานทำเมื่อไหร่จะซื้อให้นายแบบชุดใหญ่  แล้วคราวนี้นายก็ต้องมองฉันด้วยสายตาปลาบปลื้มแบบนี้  แล้วฉันจะขอของตอบแทนเป็นนายที่ไม่ใส่เสื้อผ้านอนบนเขียงให้ฉันผ่า...

โอ๊ย! ผมถลึงตาใส่กระวานอีกรอบเพราะโดนเตะอีกครั้ง  ภาพคำนับนอนเปลือยโดยใช้มือปิดหน้าอกกับตรงนั้นแน่นหายวับออกไปจากหัวทันที  ไอ้เจ้าก้อนนุ่มนิ่มนี่  เดี๋ยวเถอะ!

“เชฟทุกคนจะมีมีดประจำตัวอยู่  มีดที่ใช้ถนัดมือที่สุด  ใช้คล่องที่สุดแล้วเวลาทำอาหารเขาจะมั่นใจที่สุดเช่นกัน”

“แต่ว่ามันแพงมากเลย  ผม...”  จากสีหน้าปลาบปลื้ม  พอนึกถึงราคาของมีดเล่มนี้คำนับก็ไม่กล้ารับ

“แพงก็ไม่เห็นแปลก  เพราะมันจะอยู่กับเราไปอีกนาน”  พ่อยิ้ม

“ผมรับไม่ได้หรอกครับ”

“ไม่ได้  อาทำมาให้ครับแล้ว  ดูนี่...เห็นไหม?”  พ่อชี้ปลายนิ้วไปตรงด้ามจับของมีด  ตรงนั้นมีรอยสลักเป็นอักษรภาษาอังกฤษอยู่  Khrab   ครับ  ชื่อเล่นของคำนับ  “แค่ใช้ให้ดี  ให้สมกับที่อาตั้งใจมอบให้  เท่านั้นก็พอ”

“....”  คำนับเม้มปากแน่น  มองดูมีดเล่มนั้นแล้วเงยหน้ามองพ่อผม  ดวงตาเรียวมีหยาดน้ำเอ่อคลอ  เขายกมือไหว้ขอบคุณอีกครั้ง

“อานี่แย่จริง  กว่าจะมาให้ของขวัญก็ตอนจะจบปีสองแล้ว”  พ่อหัวเราะ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ  ได้ใช้มีดจริงก็ตอนปีสามพอดี”  คำนับปิดฝ่ากล่องมีดแล้วเอามาถือไว้ด้วยท่าทางทนุถนอม  แหม่  อยากเปลี่ยนเป็นผมที่เป็นคนให้มั่งจัง

ไม่เป็นไร  เอาไว้เดี๋ยวผมหาซื้อผ้ากันเปื้อนให้ดีกว่า  ผมจะได้เป็นคนถอดให้ด้วยเลย หุหุหุ  สีดำต้องตัดกับสีผิวของคำนับแน่ๆ  แล้วภาพร่างเปลือยของคำนับกับผ้ากันเปื้อนก็พลันหายวับไปจากหัว

โอ๊ย! กระวาน! เตะกันอีกแล้วนะ!


**********
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 13 ] 18-8-61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 28-08-2018 15:37:25



นานๆ ทีเสาร์ – อาทิตย์คำนับจะว่างอยู่บ้าน  ผมเลยหอบหนังสือมาอ่านบ้านเขาเสียเลย  กดอ่านข้อความที่ไอ้ภูส่งมาชวนไปเดินห้างแล้วถอนหายใจ  ก่อนตอบว่าถ้ามันชวนไปเที่ยวน้ำตกผมจะตกลง  วันนี้ผมขี้เกียจเดินห้าง  มาเฝ้าใครบางคนดีกว่า  เมื่อก่อนตัวติดเพื่อนทั้งสองคนแต่ตอนนี้ตัวติดคำนับจนพวกมันแซว  เอาน่า  ผมแบ่งเวลาเป็นนะ  ให้เพื่อน  ให้แฟน  ให้พี่  ให้น้องเท่าๆ กันไม่มีลำเอียง

ตอนนี้คำนับขึ้นปีสามแล้ว  ภาคทฤษฎีลดน้อยลงกลายเป็นภาคปฏิบัติเยอะขึ้นและเพราะแบบนั้นไอ้ที่เคยกลับบ้านค่ำเลยยิ่งดึกขึ้น  เสาร์อาทิตย์บางครั้งยังไปเป็นผู้ช่วยเชฟเวลามีคลาสสอนรุ่นน้องด้วย  เมื่อก่อนล้างหม้อไหจนมือเปื่อย  หั่นผักวันละร้อยกิโลจนมือแตก  ตอนนี้กลายเป็นยืนจนขาแข็งหลังแข็งกันไปข้าง  นี่ถ้าใจไม่รักและไม่อึดพอคงได้ล้มเข้าสักวัน

ผมละสายตาจากหนังสือขึ้นมองร่างผอมของใครบางคนที่ยืนอยู่หน้าตู้เย็นเป็นนานสองนาน  อยากจะถามว่าเขาเปิดตู้เย็นต้องการอะไร  สักพักก็ทำท่าเอาหัวมุดเข้าไปในนั้น  ผมนี่ทิ้งหนังสือผวาลุกออกไปดึงไหล่เขาแทบไม่ทัน

“ทำอะไรของนาย?”

“หือ?  อา  ก็อยากทำให้หัวมันโล่งๆ หน่อย”

“ด้วยการมุดเข้าตู้เย็นเนี่ยนะ?”

“เอ๊ะ? ฉันมุดเข้าตู้เย็นเหรอ?”  คำนับเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว ผมแตะหน้าผากเขาดูว่าตัวร้อนหรือไม่

“นายเครียดไปหรือเปล่า  คราวก่อนก็นั่งคุยกับไมโครเวฟ”  นึกภาพเมื่ออาทิตย์ก่อนที่คำนับเดินไปเปิดไมโครเวฟแล้วบ่นๆ อะไรไม่รู้ยาวเหยียด  สักพักก็ปิดแล้วหมุนไมโครเวฟไปที่เลขสาม  บอกว่าไอ้ที่บ่นไปเมื่อกี้เข้าเวฟสามนาทีน่าจะสุกพอดี   ผมได้แต่ยืนนิ่งใบ้กินอยู่อย่างนั้น  อย่างอาทิตย์ก่อนโน้นเดินไปเปิดหม้อหุงข้าวเอามารองใต้คาง  จากนั้นก็ร้องไห้โฮออกมา  คิดสภาพผู้ชายตัวโตๆ ร้องไห้นะ  ถ้าเป็นคนอื่นผมคงด่าซ้ำแต่กับคำนับนี่เว้นไว้คนหนึ่ง  ต่อให้ตัวโตเท่าตึกผมก็คิดว่าเขานารักอยู่ดี  แต่การที่เขาร้องไห้ทำผมเอาตกใจแทบตาย  ถามไปถามมาสรุปว่าปวดขา  เดือดร้อนวิ่งวุ่นไปหายามานวดให้ทั้งคืน 

ใครนวดงั้นเหรอ?  ผมไงจะใครล่ะ!

เกิดมาไม่เคยนวดขาให้ใครสักที  คำนับนี่คนแรกเลยขอบอก  พอเขาร้องไห้เสร็จผมก็ไล่เขาไปอาบน้ำ  ระหว่างนั้นผมก็ขับรถออกไปซื้อยานวด  คำนับออกมาในชุดเสื้อกล้ามแขนกว้างจนเห็นเอวบางกับกางเกงบอลหลวมโพรก  เขานอนคว่ำบนเตียงขาสองข้างพาดอยู่บนตักผม  ละเลงยานวดน่องที่แข็งตึงของเขาไปครึ่งค่อนหลอด  กล้ามเนื้อตรงน่องเขาถึงได้คลายลง  แต่ผมเนี่ยแข็งตึงแทน!

อะไรแข็ง  อะไรตึง?

มันก็ไอ้ของลูกผู้ชายที่สามารถจะตึงจะแข็งได้นั่นแหละ!  แหม  ตรงหน้ามีขาขาวๆ ใต้กางเกงบอลที่ร่นขึ้น  ผิวเนียนขาวซีดเพราะแทบไม่เคยโดนแดด  แผ่นหลังได้รูป  มองจากมุมสูงก็พาลพาให้ใจเต้นขึ้นมา  ปลายนิ้วจากที่นวดอยู่แค่น่องค่อยๆ เลื่อนสูงขึ้นๆ จนถึงต้นขา  ล้วงมือเข้าขากางเกงเตรียมขยุ้มไอ้ก้อนกลมนุ่มสองก้อนที่อยู่ตรงหน้า  แต่เจ้าของมันหลับไปแล้วไม่รู้เรื่องราว  ผมสูดหายใจเข้าลึก  รู้เลยว่าตอนนี้จมูกตัวเองคงบานหุบๆ ด้วยความหื่นมันขึ้นหัว  ละสายตาจากก้นขึ้นมองใบหน้าขาวซีดของคนอ่อนเปลี้ยเพลียแรงจากที่หื่นๆ เลยพาลมาเหี่ยวแทน

อยากฟัดอยากปล้ำแต่ทำไม่ลง  วุ้ย!

หลังจากนั้นก็ต้องมานั่งกำหนดลมหายใจเข้าออกเป็นพระเคร่งศีล  กดไอ้ที่มันหื่นมันพองให้กลับเข้าที่  ตัดสินใจลุกกลับบ้านหลังปรับอารมณ์ได้แล้ว  แต่ก่อนกลับผมเลิกเสื้อกล้ามตัวโคร่งของคำนับขึ้น  งับเอวบางๆ ของคำนับไปทีนึงให้หายมันเขี้ยว  เขาสะดุ้งแต่ไม่ยอมตื่น  ป่านนี้ไม่รู้ว่ารู้หรือยังว่าผมเคยแอบทำรอยไว้บนตัวเขา

“อาทิตย์หน้าอาจารย์หาอาสาสมัครไปเป็นผู้ช่วยเชฟในรายการทีวีอ่ะ”  ผมหลุดจากภวังค์

“อ่อ  แล้วยังไง? นายอยากไปเหรอ?”

“ก็อยากนะ  แต่ว่า...ตอนนี้แทบไม่มีเวลาให้นายแล้ว”

“อื้อหือ  พูดแบบนี้อยากให้พี่ฟัดใช่ไหมครับ?”  ผมยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมาทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น

“ไอ้บ้า!”  คำนับถลึงตาใส่  “ฉันหมายถึงรวมทั้งแม่ด้วย  อ้อ  แล้วก็ไม่ค่อยได้ไปช่วยอาฟ้าที่ร้าน”

“เรื่องร้านน่ะไม่เป็นอะไรหรอก  พ่อมีผู้ช่วยตั้งสามคน  ว่างๆ ฉันก็เข้าไปช่วยอยู่แล้ว” 

“อืม”  คำนับลากเสียงยาวเหมือนคิดไม่ตก

“ถ้าไปเป็นผู้ช่วยเชฟแล้วจะได้อะไร?”  ผมถาม

“ก็ได้ประสบการณ์  ของพวกนี้ในห้องเรียนไม่ได้มีมาบ่อยๆ”

“งั้นก็ไป”  ผมช่วยตัดสินใจ

“ฉันอาจจะยุ่งจนมานั่งคุยสบายๆ กับนายแบบนี้ไม่ได้นะ?”  เขาเอียงคอถาม  เป็นการหยั่งเชิงที่ทำให้หัวใจผมทำงานหนักขึ้น

“อนาคตนายกับความเห็นแก่ตัวของฉัน  ฉันเลือกอนาคตนาย”

“หูย  คำตอบโคตรเท่ห์อ่ะ!”  คำนับยกนิ้วโป้งมาให้พร้อมรอยยิ้มล้อเลียน

“เท่ห์แล้วชอบไหม?”

“เฮอะ!”  ผมหัวเราะ  แก้มแดงๆ นั่นเป็นคำตอบที่ทำให้ผมพอใจมากเลยทีเดียว  ผมไม่กลัวหรอก  เพราะยังไงผมก็บังคับไปรับ-ส่งเขาที่วิทยาลัย  กับที่ฝึกงานได้อยู่แล้ว

“มานั่งนี่มา”  ผมลากให้เขามานั่งตรงโต๊ะกินข้าว  บนข้อมือไม่มีกำไลที่ผมให้เพราะช่วงนี้ฝึกปฏิบัติเลยต้องถอดเก็บไว้  เขาบอกว่าไม่อยากใส่ๆ ถอดๆ กลัวทำหาย  ตอนนี้ผมเลยหาอย่างอื่นมาทดแทน

ผมจับคำนับให้นั่งหันหน้าเข้าหา  คว้าขาข้างหนึ่งของเขาขึ้นพาดตักตัวเอง  หน้าแข้งคำนับนี่เนียนมากเลยไม่ค่อยมีขน  ลูบแล้วเพลินมือชะมัด

“นี่!”  คำนับกระตุกขา  เกือบฟาดคอผม  ดีที่จับไว้ทัน  ไม่งั้นผมคงได้ลงไปนอนกองกับพื้น

“ปวดขาอยู่ป้ะ?”

“ไม่”  คำนับพยายามดึงขาตัวเองให้หลุดจากมือผม  แต่ผมกำข้อเท้าเขาแน่นขึ้น  หันไปค้นๆ ในกระเป๋าแล้วเอากำไลเงินอันใหม่ออกมาสวมลงบนข้อเท้าขาวรวดเร็วชนิดไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัว

“ในเมื่อใส่กำไลข้อมือไม่ได้งั้นใส่ข้อเท้าแทนละกันเนอะ”

“อะไรของนายเนี่ย?”  คนโดนสวมกำไลชักสีหน้า  โน้มตัวมาจะถอดกำไลข้อเท้าออก

“ถ้านายถอดฉันจะเปลี่ยนมาสวมปลอกคอ”

“....”  คำนับเม้มปากแน่น  มือที่กำลังจับกำไลข้อเท้าหยุดชะงัก  ดวงตาเรียวเหลือบขึ้นมอง  ผมเลยส่งสายตาว่าจะทำจริงๆ หากเขายังดื้อถอดเจ้านี่ออก

“ฉันทำจริงแน่ๆ  นายก็รู้”

ผมยกยิ้มมุมปากเมื่อเขายอมสวมกำไลข้อเท้าอันนั้น  อย่างน้อยบนตัวเขามีอะไรที่ผมตีตราจองแบบนี้มันทำให้ผมมีความสุขมาก  ผมขยับเก้าอี้ชิดคนตรงหน้า  เข่าข้างหนึ่งของผมแทรกตรงหว่างขาเขา  มือยังคงจับข้อเท้าเขาไม่ยอมปล่อย  ผมจับขาขาวแนบข้างลำตัว  เวลาอยู่บ้านคำนับชอบใส่กางเกงขาสั้น  ส่วนใหญ่เป็นกางเกงบอลขากว้างที่ผมชอบนั่นแหละ  และเพราะผมยกขาเขาขึ้นแบบนี้  ขากางเกงบอลเลยร่นจนเห็นต้นขาได้รูป  ผมกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ

ผมวางขาข้างที่สวมกำไลข้างนั้นพาดต้นขาตัวเอง  เลื่อนมือไปยังต้นขาอีกฝ่าย  ลากไล้ปลายนิ้วเข้าใต้กางเกงบอล  คำนับเบิกตากว้าง  เขาขยับจะถอยหนีผมจึงใช้มืออีกข้างคว้าท้ายทอยเขาเอาไว้  ก่อนจะแนบจูบลงบนริมฝีปากบางคู่นั้น

เริ่มแรกแค่แตะแผ่ว  ดูดดึงเบาๆ  ขบเม้มที่ริมฝีปากล่างอีกนิด  แลบเลียกลีบปากให้เปิดอ้ายอมรับการรุกรานจากลิ้นของผม  เมื่อคำนับถอยไม่ได้  หนีไม่พ้นก็ยอมให้ผมกวาดชิมความหวานจากริมฝีปากของเขา  เนิ่นนาน...ลมหายใจผ่าวร้อนเริ่มกระชั้น  ผมยอมผละให้เขาได้โกยอากาศหายใจ  จากนั้นรั้งท้ายทอยเขาเข้ามาอีกครั้ง  มือล้วงเข้าใต้กางเกงกอบกุมสะโพกหนั่น  บีบขยำตามอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน  คนตรงหน้าสะดุ้งโหยง

กำไลข้อเท้าสะท้อนแสงยามที่ขาขยับไหวเพราะเจ้าของร่างสั่นสะท้านตามแรงขยำจากฝ่ามือ

อยากกลืนคนตรงหน้าลงท้อง  อยากทำให้เป็นของผมคนเดียว  อยากตีตราให้มากกว่านี้  อยากเห็นกำไลข้อเท้าวงนี้สะท้อนแสงไฟยามที่ผมเคลื่อนไหวในตัวเขา

ผมผละจูบ  รู้สึกว่ายังไม่พอ  อยากจูบคำนับให้มากกว่านี้  นานกว่านี้...

“เอ่อ  เมื่อยขา”

“หืม?”  ผมขมวดคิ้วเมื่อโดนขัด  ก้มลงมองถึงเห็นว่าตอนนี้ผมดึงขาของคำนับเข้าใกล้กว่าเดิมจนตัวเขาแทบจะมาเกยอยู่บนตักผม  แต่ติดตรงที่เรานั่งมันไม่เอื้ออำนวย  คำนับนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเองแบบหมิ่นเหม่เกือบตก  นี่ถ้าผมหน้ามืดต่อคาดว่าอีกเดี๋ยวคำนับคงตกเก้าอี้หงายหลังแน่ๆ

“อะแฮ่ม!”  คำนับดึงขาออกจากตักผม  ขยับตัวนั่งบนเก้าอี้ให้เต็มก้น  ไม่วายยกเก้าอี้หนีให้ห่างจากผมไปหนึ่งช่วงแขนด้วย

“....”  ผมเอื้อมมือดึงเก้าอี้เขาให้เข้ามาใกล้เท่าเดิม  แต่คำนับขืนตัวออกแรงกดเก้าอี้ไม่ให้มันขยับเขยื้อนมาตามแรงลาก

“เย็นแล้วนะเนี่ย  อีกเดี๋ยวแม่คงกลับมาแล้วเนอะ?” คำนับเสเปลี่ยนเรื่อง  ผมถอนหายใจเขม้นมอง  ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันชี้หน้าคาดโทษไม่แบบจริงจังกับการตัดอารมณ์ของเขาเมื่อครู่

“เดี๋ยวจะทบดอก!”

“อะไรเล่า!”  คำนับถลึงตาใส่  พอผมแสยะยิ้มให้เขาก็แก้มแดงหูแดงลามไปถึงคอ   

“วันนี้จะยอมปล่อยไปก่อนก็ได้”  ผมยักไหล่  คำนับนั่งนิ่งดวงตากลอกไป-มา

“เอ่อ.. จริงซิ  นายไม่คิดถึงกานพลูเหรอ?”  จู่ๆ คำถามที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากคนข้างๆ ทำให้ผมชะงัก  มือที่กำลังจะเปิดหนังสือนิ่งค้าง

“....”  ผมเงียบรอฟังว่าคำนับจะพูดอะไรต่อ  แต่ถ้าถามว่าคิดถึงไหม...

“จากวันนั้นเคยคุยกันดีๆ บ้างหรือเปล่า?”

“เปล่า”

“ผ่านมาสามปีแล้วนะ!”  ใช่  ผ่านมาสามปีแล้วหลังจากวันนั้น  ไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติอะไรอีก  ผมยังคงใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ ไม่เดือดร้อนหากไม่มีใครมาสังเกตว่าผมไม่มีเงายามเดินผ่านกระจก  พอถึงคืนเดือนมืดกานพลูก็ยังคงออกมาทุกเดือน  และผมก็ยังคงเหมือนคนหลับเป็นตายยี่สิบชั่วโมงเหมือนเดิม  ถ้ากานพลูต้องไปมหาวิทยาลัยเขาก็ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนทิ้งไว้ให้  กลับกันถ้าวันไหนตรงช่วงสอบเก็บคะแนนเขาจะทำคะแนนได้เกือบเต็ม  ไม่มีเรื่องวุ่นวายตามหลังให้ผมยุ่งยากใจ

“ทำไม?”  ไม่ใช่ว่าคำนับชอบกานพลูหรอกนะ? เขาเป็นอีกคนที่รู้ความลับของผม  แล้วก็ดูจะเข้ากันได้ดีกับกานพลูด้วย  เดี๋ยวนะ!  “นายเคยจูบกับกานพลูไหม?”  ผมหันขวับคว้าแขนคำนับแน่น

“เฮ้ย! จะไปเคยจูบได้ไง!”  คำนับตกใจกับคำถาม  เขาถลึงตาใส่  สักพักก็ทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้  “แต่จะว่าไปนายกับกานพลูก็เป็นคนคนเดียวกันนี่”

“เรื่องนั้น...”  ไม่น่าใช่  ในเมื่อเราไม่ได้เชื่อมโยงกันเลย

“นายจำเรื่องราวตอนที่กานพลูออกมาได้ไหม?”  คำนับเท้าคางถาม  ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะลืมเรื่องเครียดของตัวเองไปแล้ว

“ไม่ได้”  ยิ่งพูดถึงคิ้วยิ่งขมวด  เพราะกานพลูออกมาเจอกับคำนับบ่อยมาก  เดือนก่อนเห็นว่าเขาทำไข่ม้วนให้กานพลูกินด้วย  กับผมนี่นานๆ ทีถึงจะยอมทำให้กิน

“แต่กานพลูจำทุกอย่างตอนที่เป็นนายได้นะ  อะไรที่นายทำ  อะไรที่นายกิน  จำได้และรู้หมดทุกอย่างเลย”

“อะไรนะ!”

“จริง  อย่างเรื่องวันนี้ที่เราจูบกัน  ถ้าคราวหน้าเขาออกมาก็ยังรู้และจำได้  อ๊ะ!”  คำนับพูดเองก็เขินเองหน้าขาวๆ แดงขึ้นอีกรอบ

“แล้วทำไมตอนเขาออกมาฉันถึงจำอะไรไม่ได้?”  ผมคิดตามคำพูดของคำนับ  ถ้าเขาจำตอนเป็นโป๊ยกั๊กได้  ผมก็น่าจะจำเรื่องราวตอนที่เป็นกานพลูได้นี่นา?

“ฉันได้รู้วีรกรรมนายเยอะแยะเลยตอนเขาออกมา”  คำนับยกยิ้ม  “อ้อ  รวมถึงเรื่องตอน ปอ.หนึ่งที่นายผิดใจกับเขาด้วย”

“จำได้แม้กระทั่งเรื่องนานขนาดนั้น?”

“ช่าย”  คนข้างๆ พยักหน้า  “ความจริงเขาก็อยากขอโทษนายนะ  ตอนนั้นเขาทำไปเพราะอยากกินขนมที่นายเอาไปให้เด็กผู้หญิงคนนั้น”

“....”  ผมนึกถึงเรื่องราวครั้งนั้น

“ทุกคนในบ้านได้กิน  แถมนายเอาขนมนั่นไปให้เด็กผู้หญิงคนนั้นกินตั้งหลายวัน  พอเขาออกมากลับไม่ได้กิน”  ขนมนั่นผมขอให้พ่อทำให้    ขนมอบที่ทุกคนในบ้านต่างก็ชื่นชอบ  ผมเองหลังจากกินพร้อมทุกคนยังขอให้พ่อห่อใส่ปิ่นโตข้าวด้วย  บอกว่าจะเอาไปกินที่โรงเรียนแต่ความจริงเอาไปให้สาว 

ทุกอย่างค่อยๆ ย้อนกลับมา  ทั้งๆ ที่ผมกับกานพลูเคยพูดคุยหัวเราะด้วยกัน  ตอนนั้นกานพลูยังไม่มีชื่อด้วยซ้ำ  ไม่ว่าเขาจะออกมาหรือเป็นผม  คนในครอบครัวไม่มีแบ่งแยก  แต่หลังจากนั้น  หลังจากเรื่องนั้นเขาจึงมีชื่อเรียกว่ากานพลู  เป็นการแยกผมกับเขาออกจากกัน

ทั้งๆ ที่เราเป็นหนึ่งเดียวกันแท้ๆ

ทำไมถึงมีชื่อเรียกต่างกัน  สร้างตัวตนของเราให้แยกออกจากกัน

“นายจำความรู้สึกตอนนั้นได้ไหม? ก่อนวันปัจฉิมน่ะ”  น้ำเสียงของคำนับจริงจังก่อนจะดึงเก้าอี้ของผมให้หันไปทางเขา  พอนึกถึงเรื่องเมื่อสามปีก่อนผมจึงพยักหน้า

ความรู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนไร้ตัวตน  ไม่มีใครมองเห็นหรือได้ยินทั้งๆ ที่ผมยืนอยู่ตรงหน้า  มันทรมานและเจ็บปวด

กานพลูก็รู้สึกแบบนั้นอย่างนั้นหรือ?

ผมเงยหน้าสบตาคำนับ  คำถามนั้นคงแสดงออกมาทางสายตาเขาจึงพยักหน้า  มือขาวแตะลงบนหลังมือผมแผ่วเบา

“นายอยู่กับความรู้สึกนั้นแค่สามวัน  แต่กานพลูน่ะเป็นสิบปีเชียวนะ”

“เขา...”

“ขณะที่นายใช้ชีวิตในฐานะของโป๊ยกั๊ก  กานพลูก็ถูกขังอยู่ในนี้”  คำนับแตะนิ้วลงกลางอกผม

“.....”  ตรงจุดที่คำนับแตะเจ็บแปลบขึ้นมา  เขาคงไม่ได้เอาเข็มมาทิ่มผมใช่ไหม?

สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีที่แล้วผมยังคงจำได้ไม่ลืม

ความรู้สึกเย็นเฉียบเกาะกินหัวใจจนเจ็บร้าวไปทั้งอก  ผมโน้มตัวลงอ้าปากสูดหายใจ  ยิ่งพยายามโกยอากาศเข้าปอดยิ่งเสียดลึก  เจ็บจนน้ำตาไหล...

“ตอนนี้นายคิดถึงกานพลูไหม?”

“...คิดถึง...”  ผมไม่อาจปากแข็งบอกว่าไม่คิดถึง  เพราะความจริงแล้วผมคิดถึงกานพลูจริงๆ แม้จะเคยนึกรำคาญ  ไม่ชอบการพูดมากของเขาแต่บางครั้งที่ส่องกระจก  ผมหวังว่าเขาจะปรากฏตัวออกมาแล้วพูดจาไร้สาระกับผมเหมือนอย่างเคย

“นายจำครั้งแรกตอนเขาปรากฏตัวได้ไหม  ความรู้สึกครั้งแรกที่ได้คุยกัน?”

“..ดะ  ดีใจ...”  ใช่  ตอนนั้นผมดีใจมาก  ตอนที่เขาตอบรับคำพูดของผม  ไม่ว่ากระจกบานไหนๆ ถ้ามีกานพลูอยู่ด้านในผมจะเรียกกระจกบานนั้นว่า ‘กระจกวิเศษ’

เพราะกานพลูคือสิ่งวิเศษ

เขาคือพลังพิเศษของผม

เขาและผมคือสิ่งเดียวกัน

เราเป็นคนคนเดียวกัน





.

.

.

ผมร่วงหล่นจากเก้าอี้  ได้ยินเสียงโครมจากแรงกระแทก  ใบหน้าตื่นตกใจของคำนับพร่ามัวอยู่ด้านหลังม่านขาว  ในหัวปวดเหมือนจะระเบิด  เหงื่อหลั่งจนเปียกชุ่มไปทั้งหลัง  ภาพต่างๆ วิ่งเข้ามาในหัวไม่หยุด  ภาพและเหตุการณ์อันไม่คุ้นเคยไหลผ่านเข้ามาในหัว

สิ่งเหล่านั้นวิ่งวนรวดเร็ว  ในท้องผมเหมือนมีรถไฟเหาะฉวัดเฉวียนไปทั่วจนอยากอาเจียน  มือหนึ่งทึ้งผมเพราะปวดหัว  อีกมือกดท้องแน่น 

มีภาพที่ผมได้คุยกับกานพลูครั้งแรก  ผมเห็นภาพตัวเองทำในสิ่งที่จำไม่ได้ว่าเคยทำ  เห็นท่าทางและรอยยิ้มของตัวเองที่ไม่คุ้นเคย  อีกหลากหลายภาพพุ่งเข้ามาในสมอง  มันอัดแน่นรุนแรงเหมือนน้ำในเขื่อน  ที่พอผนังเขื่อนเกิดรอยร้าวมันก็อัดกำแพงจนพังแล้วพุ่งทลายเป็นน้ำหลาก

ความรู้สึกมากมายวิ่งพล่านในอก  ไหล่ผมสั่นสะท้านเมื่อได้ซึมซับความรู้สึกเหล่านั้น  ทั้งความสุข  ความหวาดกลัว  อ้างว้าง  โดดเดี่ยว  เจ็บปวดและทรมาน

ผมรับรู้ได้ถึงหยดน้ำที่ไหลหล่นจากหางตา

ภาพสุดท้ายที่เห็นก่อนหมดสติ  คือภาพในวันที่ผมทะเลาะกับเขา  วันที่ผมตะโกนใส่กระจก  วันที่ผมพูดคำว่า ‘ฉันเกลียดนาย’  ใส่กานพลู

เขาเจ็บปวด  เขาร้องไห้  เขาคิดว่าถ้าหากหายตัวไปได้คงทำให้ผมมีความสุขมากขึ้น  แต่พอเขาหายไปจริงๆ ผมกลับหมดสติตามไป  เหลือเพียงร่างและถูกขังอยู่ข้างใน

เพราะแบบนั้นเขาจึงต้องอยู่  เพื่อให้ผมอยู่







กานพลู  ตอนนี้นายจะได้ยินฉันไหม?

ถ้าขอโทษตอนนี้จะสายไปหรือเปล่า?

ที่เคยพูดว่าเกลียดนาย  ความจริงแล้วฉันโกหกล่ะ

นายก็รู้ว่าฉันเป็นคนอารมณ์ร้อน  อย่าถือสากันเลย

หลังจากนี้นายจะเผชิญหน้ากับฉันได้ไหม?

เพราะสุดท้ายความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว

นายก็คือฉัน  ฉันก็คือนาย

เราเป็นคนคนเดียวกัน

‘กระจกวิเศษ  ขอโทษนะ’



















‘ขอบคุณ’





โปรดติดตามตอนต่อไป




สวัสดีค่าาา  หวังว่าตอนนี้เจ้าโป๊ยกั๊กจะได้รับความเอ็นดูมากขึ้นนะคะ

คิดถึงค่ะ :mew1:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 14 ] 28-8-61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 28-08-2018 16:20:10
 :pig4: :pig4: :pig4:

โถๆๆๆๆๆ  กานพลูหายไปตั้งสามปีเลย

อิโป๋ยกั๊กก็ไม่อินังขังขอบอะไรเลยนะ

ต้องให้คำนับมาสะกิดต่อม   ชิส์
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 14 ] 28-8-61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: Rumraisin ที่ 28-08-2018 22:46:01
อยากกินไข่หวานบ้าง แต่ไข่หวานในตอนนี้ก็คงจะหวานมากแน่ๆ  :hao3: แล้วก็มาน้ำตาซึมกับโป๊ยกั๊กกานพลู :mew6: ขอบคุณมากค่ะ คิดถึงกานพลูเหมือนกันนะเนี่ย
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 14 ] 28-8-61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 29-08-2018 03:16:25
เอากานพลูกลับมาให้ได้นะ ห้ามหายไปอีก ถ้าหายไปอีกละก็ จะตีให้ยับเลย นะหลานคนแต่ง  :z13: :z13:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 14 ] 28-8-61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: labelle ที่ 15-09-2018 06:12:49
โป๊ยกั๊ก ทำไมใจร้าย ซึนไปแล้วช่วยอะไร
มัวแต่ไปตามติดชีวิตคำนับ จนลืมอีกตัวตนที่เป็นคนเดียวกัน
สงสารกานพลู เป็นเด็กดี ขนาดโป๊ยกั๊กใจ้ายขนาดนี้ ยังไม่เกเร

ตอนที่คำนับบอกให้กานพลูสู้ ไม่ให้โป๊ยกั๊กเสียหน้าตอนกลับมา
แอบมีแปลกใจนิดนึง แบบทำไมไม่ลุ้นให้กานพลูสู้เพื่อตัวเองมากกว่า

ตลกโป๊ยกั๊ก คิดลึกจนโดนเจ้าก้อนเตะ สมควร รู้อยู่ว่าพี่รู้ ยังจะคิด
ภูดินก็บ้าบอมากค่ะ ดินไม่ปล่อยภูไปไหนหรอกแต่คนบื้อก็ยังไม่รู้ตัว

อยากรู้เหมือนโป๊ยกั๊กเลย ทำไมคำนับชอบหน้าแดงตอนเจอพ่อ
พ่อต้องแบ๊วมากแน่ ถึงได้หวง ตามเฝ้าขนาดนั้น 55555
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 14 ] 28-8-61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 23-10-2018 12:54:26


My Family : Secret Me! คนนี้ต้องลับ!

ตอนที่  15





ไม่รู้ว่าคนอื่น ๆ จะมีความรู้สึกเหมือนผมในเวลานี้ไหม  ความรู้สึกที่เหมือนลิงได้แก้วหรือพวกหัวล้านได้หวีอะไรทำนองนั้น  อย่างที่รู้ว่าครอบครัวของผม  พวกเราสี่พี่น้องมีพลังพิเศษถ่ายทอดมาจากฝั่งคุณตาผ่านมาทางแม่ของพวกเราอีกที  พลังของพี่ใบไธม์คือ  เมื่อเขาแตะสัตว์ชนิดไหนเกินสองนาทีเขาจะกลายร่างเป็นสัตว์ชนิดนั้นซึ่งมีประโยชน์กับการทำงานสืบคดีของพี่ใบไธม์มาก  ของกระวานพี่ชายคนรองคือหูที่พิเศษกว่าชาวบ้านชาวช่อง  เขาสามารถได้ยินความคิดในหัวคนอื่นได้ถ้าอยู่ในระยะเหมาะสม  แต่เป็นความคิดในเชิงลามกน่ะนะ  ความสามารถด้านนี้ของกระวานสร้างความลำบากในการใช้ชีวิตให้เขาอยู่พักใหญ่จนกระทั่งเขาได้งานที่เหมาะกับความสามารถนั้นเขาก็ก้าวหน้าในการงานชนิดพรวดพราดเลยทีเดียว  เพกาน้องสาวคนสุดท้องนางฟ้าของบ้านเรามีมืออันวิเศษ  สามารถทำให้ต้นไม้ใบหญ้าเติบโตมีชีวิตชีวาเพียงแค่เพกาโอบอุ้มไว้ในอุ้งมือและปลูกลงบนพื้นดิน  แค่ชั่วข้ามคืนสีเขียวชอุ่มก็ละลานตาให้ชุ่มชื่นใจ

แล้วพลังพิเศษของผมล่ะ?

ผมเหลือบมองคนในกระจกที่ยืนบิดไป-มา  บางครั้งแอบมองผมแล้วสะดุ้งตกใจเอง  ผมจ้องเขาแล้วก็คิด  คิดๆๆๆ  คิดว่าไอ้พลังพิเศษของผมนี่มันมีประโยชน์อะไรบ้างนอกจากเป็นตัวป่วนของบ้าน  ค้นลงไปในความทรงจำสมัยเด็กจนปัจจุบันก็ยังหาประโยชน์จากพลังนี้ไม่เจอสักข้อ

เฮ่อ~

ผมถอนหายใจ  มองท่าทางเก้กังของคนในกระจกแล้วนึกปลง  พลังพิเศษที่ไม่มีความวิเศษแบบนี้มันช่าง...

“...ไร้ประโยชน์ชะมัด”

“ห้ะ!”  คนในกระจกผงะตกใจกับคำพูดของผม  ดวงตาเบิกกว้างเหมือนช็อกที่โดนด่าว่าไร้ประโยชน์  จากนั้นน้ำตาคลอหน่วยจมูกแดงปากเบะพร้อมฟูมฟายแต่พยายามฝืนไว้  เขาทำท่าหันหลังเตรียมหนี  ร้อนให้ผมที่ปากไวต้องงะ  เอ่อ..งะ  ง้อ...  อา  ใช่  ง้อนั่นแหละ

“เห้ย  จะไปไหน!”  ผมเท้าเอวขมวดคิ้วถาม

“ก็โป๊ยกั๊กว่าเราไร้ประโยชน์  ฮึก!”

“....”  เออ ก็มันเป็นความจริงนี่หว่า! แต่อย่าพูดดีกว่า...  ผมถอนหายใจ  เมื่อกี้ไม่น่าเผลอหลุดความคิดออกมาให้ไอ้เจ้านี่ได้ยินเลย  ให้ตายซิ

“เราไร้ประโยชน์จริง ๆ ด้วยซินะ  แง~”  พอผมเงียบเจ้ากานพลูเลยบ่อน้ำตาแตก  บ้าเอ้ย!

“เงียบ!”  ผมตะคอกใส่คนขี้แงแต่กานพลูกลับยิ่งร้องไห้เสียงดังกว่าเดิม

“นี่  ถึงไอ้พลังพิเศษของฉันจะดูประโยชน์น้อย...”  กานพลูหยุดสะอื้นเพื่อฟังผมพูด  พอถึงคำว่าประโยชน์น้อยก็เบะปากอีกครั้งทั้งที่ผมยังพูดไม่จบประโยค

ฮ่วย! บักปอบนี่  ฟังคนเขาพูดให้จบก่อนได้ไหม!  ผมกลอกตาขึ้นฟ้าถอนหายใจเฮือกใหญ่  เอาวะ  เป็นไงเป็นกัน!

“นี่  กานพลู ฟังนะ”  คราวนี้เขาคงตกใจมากจริง ๆ  ลืมแม้กระทั่งสะอื้น  ดวงตาเรียวยาวเบิกโตมองมาเหมือนคนไม่รู้จัก  อืม  ก็สมควรตกใจแหละมั้งในเมื่อนี่อาจจะเป็นครั้งแรกที่ผมเรียกชื่อเขาตรง ๆ แล้วก็เป็นการคุยกันดี ๆ ครั้งแรกในรอบสามปีตั้งแต่เราคะ  คะ คือ  ..คืนดีกัน

อา  ขนลุกชะมัด!

การที่มองหน้าตัวเองในกระจกแล้วพูดประโยคสาวน้อยแบบนี้ไม่ให้ขนลุกได้ไงเล่า!

เออ  นั่นแหละ  ตั้งแต่เราดีกันก็ยังไม่มีเวลาคุย  ไม่ใช่ซิ  ผมต่างหากที่ไม่กล้าคุยกับกานพลู  จนคำนับทนไม่ไหวต้องลากผมมาขังในห้องเขาพร้อมกระจกบานโตเต็มห้อง  บอกว่าถ้าผมยังไม่คุยกับกานพลูให้รู้เรื่องจะไม่ยอมเปิดประตูให้ผมออกไปเด็ดขาด  จากนั้นก็ล๊อคห้องจากด้านนอก  ทิ้งผมไว้กับกานพลูที่รายล้อมรอบตัวในกระจกนับสิบบาน

ผมนั่งนิ่งอยู่หน้ากระจกบานใหญ่สุดมาร่วมสามชั่วโมงแล้วมั้งกว่าจะตัดสินใจอ้าปากพูดน่ะ  อีกอย่างนานขนาดนี้คำนับยังไม่ขึ้นมาดู  ผมว่าเขาคงลืมไปแล้วแน่ว่าขังผมอยู่ในนี้

ผมหลุดจากภวังค์  มองคนในกระจกเอียงคอรอฟังแล้วอดขำด้วยความเอ็นดูไม่ได้  ทำตาแป๋วเหมือนลูกหมาเลยแฮะ  โอ๊ะ  งั้นผมก็เหมือนลูกหมาด้วยซิ

“ถึงนายจะเป็นพลังพิเศษที่ประโยชน์น้อยที่สุดในบรรดาพี่น้องทั้งหมด  แต่ว่านะกานพลู...”

“.......”

“ฉันก็ยังดีใจที่นายเกิดมา”

“ฮึก  โฮฮฮฮ”

“เฮ้ย  ร้องไห้ทำไม  ฉันว่าฉันไม่ได้พูดอะไรไม่ดีเลยนะโว้ย”  ผมลนลานเพราะไม่เคยเห็นกานพลูร้องไห้หนักแบบนี้มาก่อน  ร้องจนเหมือนจะขาดใจ

“ขอ  ฮึก  ขอโทษนะโป๊ยกั๊ก  ฮืออ  เราขอโทษเรื่องเด็กผู้หญิงในตอนนั้นด้วย”

“.....”

“ระ  เราแค่อยากให้นายให้ความสำคัญกับเราบ้าง”

“อืม”

“เราขอโทษกับหลาย ๆ เรื่องที่ทำให้นายเดือดร้อน  ขอโทษ  ฮือออ”

แกร๊ก!

ผมเดินเข้าไปหาคำนับเมื่อเขาไขกุญแจแล้วเปิดประตูเดินเข้ามา  ผมไม่รู้ว่าควรจะจัดการกับสถานการณ์ตรงหน้ายังไง  การที่กานพลูเอาแต่ร้องไห้แบบนี้ผมทำอะไรไม่ถูกเลย  คำนับมองกานพลูจากนั้นหันมาถลึงตามองผม  เท้าเอวคอตั้งเอ่ยถามด้วยน้ำเสียงคาดคั้น

“นายแกล้งอะไรกานพลู!”

“เฮ้ย  เปล่านะ  ไม่ได้แกล้งสักหน่อย”

“งั้นเจ้าเด็กโข่งนั่นจะร้องไห้แบบนั้นทำไม?”

“อุ๊บ! แค่กๆๆ”  คนในกระจกถึงกับสำลักน้ำลายไอโขลกหน้าดำหน้าแดง  หน้าตาเปรอะเปื้อนทั้งน้ำตาน้ำมูกไม่น่ามองเลยสักนิด  ผมเบ้หน้า  รู้สึกไม่ค่อยชอบใจสักเท่าไหร่  ยังไงซะนั่นก็ใบหน้าผมนะเฮ้ย!

“คำนับอย่าดุโป๊ยกั๊กเลย  เขาไม่ได้แกล้งเราหรอก”

“?”  คำนับหรี่ตาคล้ายไม่เชื่อ  เห็นแบบนั้นผมเลยกอดอกจ้องตาตอบ  ผมไม่ได้แกล้งเจ้ากานพลูสักหน่อย!

“รู้แล้วน่าว่านายไม่ได้แกล้ง”  คำนับยกยิ้มมุมปาก   “ก็นั่งฟังอยู่หน้าห้องตลอด”

“ห้ะ  นายนั่งเฝ้าอยู่หน้าห้องตลอด?”

“ใช่”

“หืม?”

“เอ่อ  มีเผลอหลับไปสองงีบแหละ  แฮะ  อะไรเล่า!  ฉันตื่นตั้งแต่เช้ามืดนี่นามันก็ง่วงบ้างซิ”  ผมส่ายหัวไม่อยากถือสา  “อ้อ  แต่ฉันรู้นะว่านายคุยอะไรกับกานพลูบ้าง”

“ได้ยินทุกอย่างที่ฉันพูดกับหมอนี่ด้วย?”

“ช่าย”  คำนับพยักหน้าอีกรอบ  เขาทำท่าเหมือนนึกอะไรออกแล้วมองผมด้วยสายตาวิบวับ

“มองอะไร?”  ผมขยับตัวหนีห่างจากคำนับ  ทำไมถึงรู้สึกว่าตัวเองถูกกุมจุดอ่อนเอาไว้ยังไงไม่รู้

“เพิ่งรู้นะเนี่ยว่านายเป็นพวกปากร้ายใจดี”  คำนับยิ้มตาหยียื่นหน้าเข้ามาใกล้แล้วล้อเลียน

“ใจดีอะไร๊!”  ยิ่งผมพยายามหันหน้าหนีคำนับยิ่งยื่นหน้าเข้ามาใกล้คล้ายจงใจแกล้งกัน

“นายน่ะถึงปากจะพูดแรงแค่ไหนแต่แค่เห็นน้ำตากานพลูนายก็ลนลานทำอะไรไม่ถูกแล้ว  ถึงได้บอกไงว่านายน่ะเป็นพวกปากร้าย  อื้อ!”

ผมปิดปากที่เจื้อยแจ้วไม่หยุดของคำนับด้วยการกดจูบลงบนริมฝีปากบาง ๆ นั่น  ยกมือกดท้ายทอยเอาไว้ไม่ให้ขยับหนี  ยิ่งเป็นจังหวะที่อ้าปากพูดแบบไม่ระวังตัวยิ่งเป็นโอกาสทองให้ผมได้จูบแบบลึกซึ้ง

คำนับที่ตกใจถึงกับสะดุดลมหายใจตัวเอง  ผมกวาดลิ้นเกี่ยวพันไม่ให้เขาทันตั้งตัว  มืออีกข้างวาดรั้งเอวผอมของเขาเข้ามาแนบชิด  เลื่อนปลายนิ้วจากท้ายทอยขึ้นสางกลุ่มผมสีอ่อน  กระตุกเบา ๆ ให้คำนับเงยหน้าขึ้นรับจูบที่ทวีความร้อนแรง

“อือ~”  ลมหายใจของเราร้อนผ่าว  ผมล้วงมือผ่านชายเสื้อลากไล้ผ่านผิวขาวซีดของเขาแผ่วเบาก่อนออกแรงกดตรงก้นกบ  ร่างผอมของคำนับสะดุ้งเบา ๆ เขาส่งเสียงในคอคล้ายลูกแมวตัวน้อย  นั่นยิ่งทำให้เลือดในตัวผมสูบฉีดแรงขึ้นและจูบเขาหนักหน่วงกว่าเดิม  ราวกับหิวกระหายไม่รู้จักพอ  เวลาที่คำนับจูบตอบอย่างลืมตัวผมยิ่งอยากกลืนเขาลงท้อง  ผมเลื่อนมือลงกุมสะโพกของคำนับ  กอบกุมขยำเจ้าก้อนนุ่มเต็มฝ่ามือ  ร่างผอมสะดุ้งอีกคำรบ  ผมขยับจัดการให้แขนขาวยกขึ้นคล้องคอผมเอาไว้

ท้องน้อยร้อนรุ่ม  ตรงหว่างขาคับแน่น  เสียงหอบหายใจของเราผสมผสานปนเป  ผมกดสะโพกของคำนับเข้าหาให้ส่วนกลางลำตัวที่ร้อนผ่าวของเราใกล้กันที่สุด  ผมบดเบียดสะโพกเสียดสีผ่านเนื้อผ้า

เสียงหอบหายใจ  เสียงจูบ  เสียงครางเครือทั้งของผมและคำนับ  ยิ่งทบให้อารมณ์ทวีความรุนแรง  สะโพกของเราขยับสัมผัสกัน  ผมลืมเลือนทุกสิ่งและคิดว่าคำนับเองก็คงเหมือนกัน  เขาเลื่อนมือรั้งให้ผมจูบเขามากกว่านี้

เราจูบกัน  สัมผัสบดเบียดเสียดสีความคับแน่นตรงกลางลำตัวใส่กันอย่างเร่าร้อน  จนเมื่อถึงที่สุด  ความสุขสมโจมตีเราอย่างพร้อมเพรียง  ผมขบกรามแน่นพยายามกลั้นเสียงแต่กลับยากเย็นเหลือเกิน  ผมได้ยินเสียงตัวเองคำรามในลำคอ  เสียงครางของคำนับถูกผมกลบจนแทบไม่ได้ยิน  ผมขยำสะโพกของคำนับแน่น  ร่างผอมกระตุกเกร็งอยู่เป็นนานกว่าจะคลายลง  ผมผละจูบให้เราทั้งคู่กอบโกยอากาศเข้าปอด  คำนับยังคงหลับตา  คิ้วเรียวยาวของเขาขมวดมุ่น  ริมฝีปางบางบวมเจ่อเผยอหอบหายใจ  ผมสัมผัสได้ว่าขาทั้งสองข้างของคำนับสั่นระริก  คงเพราะอารมณ์ที่ระเบิดรุนแรงเมื่อครู่  แขนขาวยังคงคล้องอยู่บนคอผมเพื่อพยุงตัว

ผมกดจูบขมับคำนับด้วยความเอ็นดู  ปลอบประโลมเบา ๆ ตรงปลายจมูกของเขาอีกที  คำนับลืมตามอง  ดวงตาของเขายังคงถูกปกคลุมด้วยอารมณ์หวาม  และนั่นก็ปลุกลูกชายของผมขึ้นมาอีกครั้ง  ผมหักห้ามใจตัวเองแต่ไม่วายกดจูบริมฝีปางเจ่อ ๆ ของเขาตบท้าย  คราวนี้เหมือนสติคำนับจะกลับเข้าร่างแล้ว  เขาขยับตัวออกห่างดึงแขนลงจากคอผมไปไว้ข้างลำตัว  แก้มขาวซีดพาดริ้วสีแดงเมื่อรับรู้ว่ามือของผมยังแปะอยู่บนสะโพกเขา

“เอ่อ...  ปล่อย”

“ได้  แต่นายต้องจูบฉันก่อน”  ผมหรุบสายตาจ้องริมฝีปากเขา  คำนับไม่ยอมสบตา  เขาขยับไปมาแต่ไม่ยอมจูบผมตามคำเรียกร้อง  “เร็วเข้า!  ไม่งั้นกางเกงนายจะซักออกยากนะถ้ามันแห้งไปซะก่อน”

“!”  คำนับเงยหน้าขวับ  คราวนี้ไม่ใช่แค่แก้มแล้วที่แดงแต่เป็นทั้งหน้า หูและคอเลย  ผมยกยิ้มรอให้คำนับเขย่งปลายเท้าขึ้นมาจูบ

กึก!

รวดเร็วแต่ไม่แผ่วเบา  นี่มันไม่เรียกว่าจูบแล้ว!  นี่มันคือการเอาปากมาชนกันแล้วฟันก็กดปากด้านในอย่างแรงด้วย!  อื้อหือ  เจ็บโว้ย!

คำนับวาดแขนอ้อมไปแกะมือผมออกจากก้นเขา  จังหวะที่มือหลุดออกผมก็พลิกมือไปจับมือเขาเอาไว้แล้วโน้มตัวลงกระซิบข้างหู

“คราวหน้าทำแบบไม่มีกางเกงดีกว่าเนอะ  จะได้ไม่ลำบากตอนซัก”  จบประโยคผมแกล้งขบติ่งหูเขาเบา ๆ

“ไอ้ทะลึ่ง!”  คำนับสะบัดมือผมออกพลางขยับตัวหนีก่อนจะชะงักกึกเมื่อหันไปมองรอบห้อง

“มีอะไร?”

“กานพลูล่ะ?”

“......”

“บ้าเอ้ย!  เพราะนายเลยไอ้หมาหื่น!  อ้ากกกกก!”  คำนับร้องโหยหวน  ดึงทึ้งหัวตัวเองพลางวิ่งออกจากห้อง

กระจกทุกบานว่างเปล่า  ไม่มีกานพลูในกระจกบานไหนเลยสักบาน  พอผมได้จูบคำนับผมก็ลืมรอบข้างไปหมด  ลืมคิดกระทั่งว่าตอนนั้นกานพลูอาจจะยืนมองตาค้างหรือช็อกจนหนีหายไปที่ไหนสักแห่งแล้ว

อืม  ช่างเถอะ  ยังไงเขาก็รู้อยู่ดีแหละน่า

ตอนนี้ผมเองต้องไปซักกางเกงด้วยเหมือนกันแฮะ  แล้วถ้าไปเบียดกับคำนับในห้องน้ำเพื่อซักกางเกงเขาจะตะเพิดผมออกจากบ้านไหมเนี่ย

เอาน่า  ถือว่าช่วยชาติประหยัดน้ำก็ถอดกางเกงซักพร้อมกันนั่นแหละดีแล้ว!



ว่าแต่...

คำนับ  นายล็อกประตูห้องน้ำทำไม  ห๊า!

เปิดประตูไปให้ฉันขย้ำนายเดี๋ยวนี้!


*********


“เดี๋ยวก่อนลูก”  ผมผ่อนคันเร่งเพราะโดนพ่อเรียกเอาไว้

“ครับ?”

“ผ้ากันเปื้อนน่ะ”  ผมรับห่อกระดาษมาเปิดออกดู  ข้างในเป็นผ้ากันเปื้อนสีดำหลายผืนที่พ่อตัดเย็บเองกับมือเพื่อให้คำนับ  เดือนก่อนเห็นว่าต้องไปฝึกงานในโรงแรมดังผ้ากันเปื้อนผืนเดียวคงไม่พอใช้ผมเลยพาเขาไปเดินซื้อเพิ่ม  ก็ไม่รู้ว่าเรียกว่าเพิ่มได้ไหมในเมื่อคำนับซื้อแค่ผืนเดียว  เขาบอกว่ามันแพง  เดี๋ยวซักตากสลับใช้สองผืนน่าจะพอไหว  เห็นแบบนั้นผมนี่แหละที่ทนไม่ไหว  ผมเคยเห็นพ่อตัดผ้ากันเปื้อนใส่เองกับให้ลูกน้องในร้านจึงพอรู้ลักษณะเนื้อผ้าอยู่บ้าง  หลังจากไปส่งคำนับที่บ้านแล้วผมก็ตะเวนหาซื้อผ้าชนิดกันความร้อนได้ดีมาหลายเมตรให้พ่อตัดผ้ากันเปื้อนให้คำนับ  หมดเงินไปหลายพันแต่ผมว่ามันก็คุ้มกับการที่มันจะช่วยป้องกันคำนับจากของร้อน ๆ หกใส่

ความคิดที่ว่าจะซื้อผ้ากันเปื้อนให้คำนับใส่แล้วเป็นคนถอดให้เขายังคงลุกโชนอยู่ในใจ  เอาน่า  ซื้อผ้ามาให้พ่อฟ้าตัดก็เหมือนซื้อแบบสำเร็จนั่นแหละ  ก็เขาเป็นคนซื้อผ้านี่นา!  ต้องถอดผ้ากันเปื้อนจากร่างเปลือยของคำนับให้ได้!

ผมขับรถไปรับคำนับที่บ้าน  เขาวางชามโจ๊กให้ลูกค้าแล้วหยิบกระเป๋าสะพายวิ่งมาหา

“หวัดดีโป๊ย..  กานพลู!”

ถ้าเป็นเมื่อก่อนเขาคงแยกไม่ออกว่าคนไหนโป๊ยกั๊กคนไหนกานพลู  หากไม่ดูปฏิทินและผมอยู่นิ่ง ๆ ไม่ว่าใครก็แยกไม่ออกทั้งนั้น  แต่ไม่รู้ทำไมคำนับมองแค่ปราดเดียวก็รู้แล้วใครเป็นใครโดยไม่จำเป็นต้องมาดูปฏิทินว่าวันนี้เป็นแรมสิบห้าค่ำหรือเปล่า  เดาว่าคงเป็นเพราะบรรยากาศหรืออะไรซักอย่างที่สื่อกันระหว่างคำนับกับโป๊ยกั๊กละมั้ง 

เพราะโป๊ยกั๊กยอมรับผมแล้วดังนั้นความทรงจำของเราจึงเชื่อมโยงกัน  วันนี้ผมทำอะไร  พูดอะไร  พรุ่งนี้เช้าเมื่อเขาตื่นก็ยังคงจำทุกอย่างที่ผมทำได้  เขาทำอะไรผมเองก็รับรู้  ทำให้ระหว่างเราเข้าใจกันมากขึ้นและวางบุคลิกต่อหน้าคนนอกได้แนบเนียนขึ้น  โป๊ยกั๊กไม่ขายหน้ากับความเปิ่นเป๋อของผมอีก

“โป๊ยกั๊กขอพ่อฟ้าตัดผ้ากันเปื้อนมาให้นาย  เห็นว่าฝึกงานแล้วเดี๋ยวจะไม่พอใช้”

“รบกวนคุณอาแย่เลย  หลายผืนแบบนี้คงแพงมาก  โป๊ยกั๊กไม่น่าเปลือง...”  คำนับเปิดถุงกระดาษออกดูพลางยิ้มแหย  ผมยกนิ้วชี้ส่ายตรงหน้าเขาให้หยุดพูด

“ไม่น่าใช่คำพูดนี้นะ?”

“ขอบคุณมาก  ทั้งคุณอาทั้งโป๊ยกั๊ก”

“กับพ่อจะรับไปบอกให้  แต่กับเจ้าหมาบ้าโป๊ยกั๊กน่ะนายไปพูดเองเถอะ”

“โอเค”  คำนับหัวเราะ  ขืนเจ้าตัวไม่ไปขอบคุณโดยตรงอย่าหวังว่าโป๊ยกั๊กจะยอมให้เรื่องนี้ผ่านไปง่าย ๆ เชียว  รายนั้นน่ะเขาหวังผลอยู่  ขืนผมเข้าไปแทรกได้โดนเมินแน่  อะไรก็ไม่ร้ายเท่ากับการที่เขาบอกทุกคนไม่ให้ทำของโปรดให้ผมกินตอนที่ผมออกมา 

ร้ายกาจ ๆ  ผมไม่ต่อกรด้วยหรอก!

“อ้อ  แยมมะตูมทุกคนชอบมากบอกว่าหอมแล้วก็ไม่หวานเกินไป  คงรสชาติของมะตูมได้ชัดเจนดี”

“งั้นเหรอ  ดีจัง  แต่ไม่รู้ว่าอาจารย์จะให้ผ่านหรือเปล่า  นี่เลยลองทำแยมกุหลาบกับแยมมะเฟืองเพิ่ม  ตอนเย็นนายมาแวะเอานะ  เราบอกแม่ไว้แล้ว  คราวหน้าจะทำวุ้นลำไยไว้ให้ลองด้วย”

“โอเค”  คำนับเลือกเอกอาหารไทย  แยมมะตูมนั่นเป็นงานวิจัยผลิตภัณฑ์  สร้างโปรเจคที่ต้องคิดขึ้นเองเพื่อส่งอาจารย์  “เดือนหน้าจะเริ่มฝึกงานแล้วใช่ไหม  เลือกที่ไหนไว้ล่ะ” 

“ภัตคารนั้นแหละ”

“หืม?”

“นายจำภัตรคารอาหารที่ฉันเคยไปยืนดูตอน มอ.หกได้ไหม?”

“อ้อ  ได้”  ภาพนั้นวาบเข้าในหัว  ตอนนี้ภัตรคารนั่นขยายกิจการใหญ่โตรับลูกค้ามีระดับทั้งนั้น

“ตรงนั้นเคยเป็นร้านอาหารของพ่อน่ะแต่โดนโกงแล้วเอาไปขายธนาคาร  โชคดีที่คนมาซื้อต่อเขาทำร้านอาหาร  ฉันจะไปฝึกงานที่นั่น”

“นายโอเคไหม?”

“สบายน่า  ฉันแค่คิดถึงเฉย ๆ น่ะ  อีกอย่างเขาปรับปรุงมันจนไม่เหลือเค้าเดิมแล้ว  ฉันไม่ได้คิดมากอะไรอีก ยอมรับว่าเคยคิดแหละแต่มันทุกข์ไม่มีความสุขก็เลยปล่อยวาง  เรื่องมันผ่านไปแล้วทำวันนี้ให้ดีที่สุดดีกว่า  ฉันเชื่อว่าพ่อเองคงอยากให้ฉันกับแม่มีความสุขเหมือนกัน”

“นายเข้มแข็งกว่าที่ฉันคิด”

“ขอบใจ   ฉันแค่กลับไปยังจุดเริ่มต้นของความฝันและตอนนี้มันจะเป็นที่ที่ทำให้ความฝันของฉันสมบูรณ์”

“ฉันเชื่อว่านายจะผ่านมันไปได้ด้วยดี”



*********
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 14 ] 28-8-61 P.3
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 23-10-2018 12:55:18


วันนี้เป็นวันแรกที่คำนับฝึกงาน  ผมตื่นเต้นไปพร้อมเขาเฉยเลย  คำนับถอดหมวกกันน๊อคส่งให้  ใบหน้าขาวประดับรอยยิ้มน้อย ๆ ดูมั่นใจ

“จริงซิ  ขอกำลังใจหน่อยนะ”  ไม่ทันให้ตั้งตัวเขาก็ก้มลงจูบผมเร็ว ๆ แล้วผละออก  ผมนั่งนิ่งก่อนจะหัวเราะเมื่อเขาเดินขึ้นตึกไป  นี่ผมกำลังโดนเอาคืนอยู่ใช่ไหม  ตอนผมเริ่มฝึกงานก็เคยบังคับจูบเขาเพื่อขอกำลังใจแบบนี้เหมือนกัน  แต่ตอนนั้นผมไม่ได้จูบแตะ ๆ เหมือนเด็กน้อยแบบนี้สักหน่อย

หลังจากส่งคำนับผมก็ตรงไปยังบริษัทฝึกงานของตัวเองบ้าง  เรียนจบแล้วผมจะกลับมาบริหารร้าน ‘หิ้วปิ่นโต’ จากนั้นค่อยส่งต่อให้เพกาหลังฝ่ายนั้นเรียนจบ  แล้วผมจะทำอะไร?  ก็ขยายสาขาของร้านไง  ผมวางแผนไว้ว่าจะขยายร้าน ‘หิ้วปิ่นโต’ ไปอีกหลาย ๆ สาขา  แต่ละสาขามีเมนูเด่นเรียกลูกค้าแตกต่างกันออกไป  มาตรฐานความอร่อยตรวจสอบโดยเชฟฟ้าคนเดิม  อาจเพิ่มเติมใครบางคนในอนาคตเข้าไปด้วย  ใครคนนั้นที่ผมเพิ่งส่งเขาเข้าภัตคารไปเมื่อครู่

หนึ่งเดือนผ่านไป  คำนับดูล้าอย่างเห็นได้ชัด  ไอ้ที่ขุนจนมีเนื้อหนังมาตอนนี้ผอมจะเท่าเดิมแล้ว  แก้มเขาตอบลงจนผมหงุดหงิดใจ  คำนับเล่าให้ฟังว่าหัวหน้าเชฟที่นี่ดุมาก  แต่ภูมิต้านทานของเขาดีเนื่องจากเพราะเคยไปเป็นผู้ช่วยเชฟตามโรงแรมดังบ่อย ๆ  ฝึกงานที่นี่ไม่ใช่เรื่องง่ายต้องอาศัยครูพักลักจำ  ไม่มีใครมาสอนโต้ง ๆ เหมือนสมัยเรียน  ไม่มีคนใจดีมาคอยชี้นิ้วบอก   บางครั้งต้องตัดสินใจเอง  เขาได้แสดงฝีมือแค่เมนูเล็กๆ  เมนูรับรองแขกมีระดับอย่าได้หวัง  เห็นบอกว่ากลัวเสียเชื่อภัตคาร  ผมนี่อยากจะวิ่งไปเตะปากไอ้คนพูดสักทีสองที  แต่คำนับบอกว่าเขาไม่เป็นอะไรแค่นี้ทนได้

เข้าเดือนที่สามคำนับดูผ่อนคลายขึ้น  บอกว่าหัวหน้าเชฟยอมสอนงานเขาแล้ว  ผมดีใจนะที่เขาเข้ากับคนอื่น ๆ ได้ดีและได้รับความเอ็นดูจากผู้หลักผู้ใหญ่  แต่ว่า...คนที่ลูบหัวเขาอยู่ตอนนี้มันดูหนุ่มเกินไปหรือเปล่าวะ?

“คนเมื่อกี้ใคร?”  รู้เลยว่าตัวเองเสียงแข็งหากคนไม่รู้เรื่องราวยังคงยิ้มแย้มตอบอารมณ์ดี

“อ๋อ  หัวหน้าเชฟน่ะ  คนที่ฉันบอกว่าดุ ๆ ไง”

“นึกว่าจะแก่กว่านี้ซะอีก”

“หือ?  ไม่หรอก  เชฟเขาเก่งมากเลยนะได้เป็นหัวหน้าตั้งแต่อายุยังน้อย  บลา ๆๆ”  อย่าถามว่าหลังจากนั้นคำนับพูดอะไร  นอกจากลมออกหูอย่างอื่นก็ไม่เข้าหูโว้ย!

.

.

“อื้อ!”

พอถึงบ้านผมก็ลากเขาเข้าห้อง  ดันติดผนังแล้วจับจูบ  จูบๆๆ  ชนิดไม่ให้เขาได้หายใจหายคอสักวินาที  ถ้าเขาเหนื่อยล้าจากการฝึกงานผมจะดูแล  จะขุนเขาให้อ้วนพี  จะนวดขานวดหลังให้ไม่มีบ่น  ถ้าเขาผ่อนคลายจนยิ้มแย้มแล้วทำให้หัวหน้าเชฟคนนั้นมาเอ็นดู  ผมยอมเป็นคนนิสัยเสียให้เขาเหนื่อยต่อไปดีกว่า

ปัดโธ่โว้ย!  โป๊ยกั๊กไอ้คนเลว!  แกจะทนแบบนั้นได้จริง ๆ เหรอ?

คำนับถูกบังคับจูบ  ตอนแรกเขาต่อต้านครู่เดียวก็ยอมโอนอ่อนผ่อนตามเพราะรับรู้ได้ว่าผมรุนแรงกว่าเคย  ผมจูบเขา  เรียกร้องให้ตอบสนอง  เนิ่นนานลมที่อัดแน่นในหูค่อยเบาบางลงจนได้ยินเสียงลมหายใจของคนตรงหน้า  ผมผ่อนแรง  ค่อย ๆ ละเลียดจูบเขาเหมือนอย่างทุกทีคำนับจึงคลายอาการเกร็งลง  เขายกมือแตะข้างแก้ม  คลึงปลายนิ้วเบา ๆ ไปตามสันกราม  กรอบหน้าของผม  สางกลุ่มผมเลื่อนลงท้ายทอยสุดท้ายคล้องไว้ทีคอหลวมๆ  ผมผละจูบ  หรุบสายตาลงมองริมฝีปากบางบวมเจ่อและปริแตกของเขาแล้วเจ็บแปลบในใจ

“เป็นอะไรไป?”  คำนับเอ่ยถามก่อนที่ผมจะพูดขอโทษเสียอีก

“ขอโทษ”  ยกปลายนิ้วแตะสัมผัสริมฝีปากเขาเบา ๆ

“นายอารมณ์เสียเรื่องอะไร?”  คำนับเชยคางผมขึ้นเพื่อให้สบตาเขา

“ไม่มีอะไรหรอก  ฉันงี่เง่าเอง”  ผมแลบลิ้นเลียรอยแตกบนริมฝีปากของคนตรงหน้า  คำนับสะดุ้งโหยงทุบไหล่ผมเต็มแรง

“แสบ!”

ผมหัวเราะ  ขยับตัวเข้าไปงับปลายจมูกกับติ่งหูเขาเป็นการส่งท้ายก่อนจะปล่อยให้เขาได้พักผ่อนหลังจากเหน็ดเหนื่อยมาทั้งวัน  พอบานประตูปิดลงผมก็ไม่สามารถฝืนยิ้มได้อีก

มีตะกอนขุ่นคลั่กในใจผมเสียแล้ว

ตะกอนที่เรียกว่าความหึงหวง





ถ้าคนนอกมาเห็นผมตอนนี้คงหาว่าผมบ้าที่มานั่งถอนหายใจอยู่หน้ากระจกอยู่ครึ่งค่อนวัน  ส่วนคนในกระจกนั้นนอนกลิ้งไป-มา  เบื่อ ๆ ก็ลุกขึ้นมากระโดดตบ

“ฮื่อ!  ทำไมนายไม่บอกครับไปตรง ๆ เลยล่ะว่าไม่ชอบให้เขาไปสนิทกับหัวหน้าเชฟคนนั้น”

“ขืนฉันพูดได้กลายเป็นคนไร้เหตุผลไม่รู้จักแยกแยะน่ะซิ”

“แล้วมานั่งหึงเป็นบ้าเป็นบออยู่คนเดียวนี่อ่ะนะ?”  กานพลูที่ขี้เกียจกระโดดตบแล้วทรุดตัวลงนอนเท้าคางจ้องหน้าผม

“งั้นนายจะให้ฉันทำยังไง?  รู้ไหมว่าความจริงแล้วฉันอยากจะตามเข้าไปนั่งเฝ้าหมอนั่นด้วยซ้ำ!”

“เราไปเฝ้าให้เอาไหม?”  กานพลูผุดลุกขึ้นนั่ง  ดวงตาเปล่งประกายเหมือนคิดอะไรดี ๆ ได้แล้ว

“หมายความว่ายังไง?”

“เราไปเฝ้าครับให้โป๊ยกั๊กเอง  จะคอยจับตาดูเชฟคนนั้นว่าคิดมิดีมิร้ายกับเขาหรือเปล่า”

“พูดเป็นเล่น  นายจะให้ฉันไปยืนส่องกระจกหน้าห้องทำงานคำนับหรือไง?  ถึงไปส่องได้จริงนายก็อยู่ได้ไม่นานอยู่ดี”

“ก็ไม่เห็นต้องไปยืนส่องกระจกเลย”

“ห้ะ?”

“คือ...”  กานพลูสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ก่อนตัดสินใจพูดต่อ  “ฉันคิดว่าตอนนี้ตัวเองสามารถไปไหนก็ได้ทุกที่  ถ้าที่นั่นมีกระจก”

“.........”  ผมนั่งนิ่ง  กำลังทบทวนคำพูดประโยคนั้นของเขา 

กานพลูไปไหนมาไหนได้โดยอิสระอย่างนั้นหรือ?

“นายจำตอนนั้นได้ป่ะ  ตอนที่นายกับครับจูบกันอ่ะ?”  กานพลูบิดตัวไปมาเพราะเขิน  เขาเหลือบมองผมที่ขมวดคิ้วแล้วดีดนิ้ว  “ลืมไป  นายจูบกับครับออกจะบ่อยนี่เนอะ  งั้นก็ตอนที่นายกับเราคุยกันครั้งแรกหลังผิดใจกันมาสามปีน่ะ”

“อ้อ~”  ผมพยักหน้า  กระแอมไอพลางมองเพดานมองผนังห้องไปเรื่อยเปื่อย  หมอนี่  บทจะพูดเรื่องชวนเขินก็พูดขึ้นมาหน้าตาเฉย!

“วันนั้นนายคิดในใจใช่ไหมล่ะว่าให้เราไสหัวไปเพราะไม่อยากให้มานั่งมองนายจูบกับครับ”

“อา  ใครมันจะอยากจูบแฟนโชว์เรื่อยเปื่อยวะ?”

“ครับยอมเป็นแฟนนายแล้วเหรอ?”  กานพลูเลิกคิ้วสีหน้าเหลอหลา

“เข้าเรื่อง  เดี๋ยวนี้!”

“อ่า  ใช่ๆ  วันนั้นน่ะเราก็ไม่กล้าอยู่ดูหรอกเขินจะตาย  เอ่อ เรายกมือปิดตาแล้วพอรู้สึกตัวอีกทีก็อยู่ที่ห้องนอนของพวกเราเฉยเลย  เราเรียกนายตั้งนานแต่นายไม่ได้อยู่ตรงนั้น  ชั่วระยะเวลาที่ปิดตาเราคิดว่าไม่ถึงห้านาทีด้วยซ้ำ  นายไม่น่าจะกลับจากบ้านครับมาบ้านเราได้เร็วขนาดนั้นแน่  รู้ไหมว่าเราตกใจแทบตายแน่ะ!  นึกว่าจะต้องแยกกับโป๊ยกั๊กซะแล้ว  ใจงี้สั่นไปหมดเลย  เกือบร้องไห้ด้วย!  ถ้าเราตัดขาดจากกันแบบนั้นเราก็ไม่ใช่พลังพิเศษของโป๊ยกั๊กน่ะซิใช่ไหม?  โป๊ยกั๊กอาจจะตกใจยิ่งกว่าถ้าเกิดส่องกระจกแล้วไม่เจอเรา  ตอนนั้นใจงี้ร่วงไปอยู่ตาตุ่มนู่น  ว่าแต่ทำไมต้องเปรียบเทียบกับตาตุ่มด้วยนะ  ไม่เข้าใจคนคิดประโยคนี้เลยจริง ๆ เออ  นั่นแหละ  สรุปว่าเราตกใจมาก  ทำอะไรไม่ถูกอยู่พักใหญ่เลย!”

“นายรู้จักสำนวน  น้ำท่วมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรงไหม?”  ผมกอดอก  สูดลมหายใจเพื่อระงับอารมณ์ 

“เอ่อ”

“ฉันขอเน้นผักบุ้ง  น้ำไม่ต้อง”  ยกยิ้มมุมปากส่งให้คนในกระจกหนึ่งที  กานพลูยิ้มแหยเพราะรับรู้ได้ว่าตาผมไม่ยิ้มตามปาก

“เรามานึกดู  ตอนนั้นเหมือนเราได้ยินโป๊ยกั๊กบอกว่า ‘กลับห้องไปก่อนไป’ เราก็เลยมาโผล่ในกระจกห้องนี้”

“ตอนนั้นฉันไม่ได้พูดนะโว้ย  ปากไม่ว่างจะพูดได้ไง  อะแฮ่ม  คือฉันแค่คิดในใจ”

“ใช่ไง  แค่นายคิดเราก็ได้ยิน”

“......”

“พอหายตกใจเราคิดในใจว่าจะกลับไปห้องครับอีกรอบ  แล้วก็..บิงโก!  เรากลับไปนายกับครับก็ยังจูบกันไม่เลิก  เราเลยเผ่นมานั่งรออยู่นี่ตามเดิม”

“แล้วทำไมนายไม่บอกฉัน?”

“เรื่องที่เรากลับไปดูโป๊ยกั๊กจูบกับครับอีกรอบอ่ะเหรอ?”

“อย่ากวนตีน!  ฉันหมายถึงเรื่องนายไปไหนมาไหนได้เองแบบอิสระ!”

“แหงะ! โป๊ยกั๊กพูดไม่เคลียร์เองนี่นา!”  กานพลูทำปากยื่นแง่งอน

“ขอร้องเลย  อย่าทำท่านั้นได้ไหม?  ฉันทุเรศตัวเอง”  โอย  มันไม่ได้น่ารักนะ  ให้ตายเถอะ!

“ก็ได้ ๆ  ความจริงยังไม่มั่นใจน่ะเลยยังไม่ได้บอกโป๊ยกั๊กเพราะหลังจากนั้นเราลองพยายามไปกระจกบานอื่นแล้ว  แต่ไปไม่ได้”

“สรุปว่ายังไงกันแน่?”

“เราคิดว่าน่าจะเป็นเพราะโป๊ยกั๊กไม่ได้บอกให้เราไป”

“หมายความว่าถ้าฉันบอกให้นายไป  นายอาจจะไปได้?”

“ใช่”

“ถ้างั้นตอนนี้นายไปที่ร้านหน่อย  ดูว่าพ่อฟ้ากำลังทำอะไรอยู่”

“ได้!”

จากนั้นผมเห็นกานพลูเดินหายไปจากกระจกเงา  เขาไม่ได้หายเข้าไปด้านในแต่หายทางด้านข้าง...เหมือนเวลาเรามองเห็นคนเดินผ่านประตูที่เปิดอ้าอยู่

ครู่ใหญ่กานพลูก็กลับมามาอยู่ในกระจกบานเดิม  ใบหน้าที่เหมือนผมทุกกระเบียดนิ้วยิ้มแฉ่ง

“พ่อฟ้ากำลังดุพี่ซันที่ทำอาหารให้ลูกค้าผิดเมนู  พี่ซันออกไปขอโทษลูกค้าพ่อฟ้าตามไปด้วย  พ่อฟ้าขอโทษลูกค้าพร้อมพี่ซัน  บอกว่าในฐานะที่เป็นเจ้าของร้านและหัวหน้าเชฟต้องรับผิดด้วยเหมือนกัน”

ผมกดโทรศัพท์หาพ่อทันทีเมื่อจบประโยคของกานพลู  ถามถึงเรื่องว่าวันนี้ในร้านมีเหตุการณ์อะไรบ้าง  แล้วพ่อทำอย่างไรกับเหตุการณ์นั้น  สิ่งที่พ่อเล่าให้ฟังตรงกับกานพลูพูดไม่ผิดสักคำเดียว  หลังวางสายจากพ่อฟ้าผมหันไปมองคนในกระจก

ไม่บอกก็รู้ว่าตอนนี้ตาผมคงเบิกโตเป็นไข่ห่าน  หัวใจเต้นแรงเหมือนตอนที่กานพลูปรากฏตัวในกระจกครั้งแรก

 “โป๊ยกั๊ก?”  กานพลูเอียงคอมองด้วยท่าทางสงสัยเมื่อผมเอาแต่จ้องมองเขาโดยไม่พูดอะไรสักคำ

“นายมัน....”  นานกว่าผมจะเค้นประโยคออกมาได้  กานพลูกะพริบตาปริบตอบรับ

“เราคงไม่ได้ทำอะไรผิดอีกใช่ไหม?”

“ไม่  นายไม่ได้ทำอะไรผิดทั้งนั้น”  ผมพยายามควบคุมหัวใจที่เต้นรัวแรงให้สงบลง

“?”  คนในกระจกเอียงคอมอง  ครู่หนึ่งจึงยิ้มกว้าง  ...เขารู้ว่าผมตื่นเต้นโคตร ๆ กับสิ่งที่เกิดขึ้น







พลังพิเศษของผมอัพเลเวลได้!



บ้าเอ้ย  ใครว่ากระจกวิเศษไม่มีจริง!








TBC.
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 15 ] 23-10-61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 23-10-2018 13:33:02
 :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 15 ] 23-10-61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: areenart1984 ที่ 23-10-2018 20:33:36
ดีกันเสียทีคู่นี้  :กอด1:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 15 ] 23-10-61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 24-10-2018 00:15:59
 :pig4: :pig4: :pig4:

นี่สินะ พลังพิเศษที่แท้ทรู ของโป๋ยกั๊ก
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 15 ] 23-10-61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 24-10-2018 01:50:46
 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 15 ] 23-10-61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Rumraisin ที่ 24-10-2018 02:21:02
ยินดีกับโป๊ยกั๊กและกานพลูด้วยน้าที่กลับมาเข้าใจกันสักที
ประสานพลังอัพเลเวลเลยทีเดียว กานพลูมีประโยชน์ขึ้นมาทันที
รอกานพลูไปเป็นสายสืบครับ สงสัยตกใจแน่เลย
ขอบคุณมากค่ะ  :กอด1:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 15 ] 23-10-61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: miikii ที่ 24-10-2018 14:41:34
กานพลูน่ารักจังเลย TT
พลังวิเศษเจ๋งจริงๆ  o13
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 15 ] 23-10-61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: iceman555 ที่ 25-10-2018 03:20:46
 :z1: :z1: :z1:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 15 ] 23-10-61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 25-10-2018 21:38:50
ตอนทะเลาะกันนี่เศร้ามากๆ ดีนะที่เข้าใจกันได้ แล้วกลายเป็นอัพเลเวลเลย นี่ไงข้อดีของกานพลู :กอด1:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 15 ] 23-10-61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 13-11-2018 23:04:42



MY Family : SecretMe คนนี้ต้องลับ !

ตอนที่ 16





“มึง  เพกามีคนมาจีบทำไมกูไม่รู้!”

“ก็รู้แล้วนี่ไง”  ภูธเรศยักไหล่พลางจิ้มอาหารใส่ปากไม่หยุด

“กูหมายถึงทำไมกูเพิ่งรู้!”  ถ้าไม่ติดว่าเสียดายจานราคาแพงกับอาหารฝีมือพ่อฟ้าผมจะเอาจานข้าวฟาดหัวคนตอบสักทีสองที

“มึงไม่ได้ไปโรงเรียนเดียวกับเพกาแล้ว  ไม่รู้ก็ไม่แปลกป่าววะ?”  บดินทร์เงยหน้าขึ้นตอบพลางส่ายหน้าใส่ผมที่ยังโวยวายไม่หยุด

“มันเป็นใคร  กูจะตามไปกระทืบ”

“มึงนี่น้า  ตอนอยู่เสือกกีดกันพอมึงจบออกมาคนที่รออยู่แล้วคงยิ้มร่า  แทนที่จะให้เพกามีแฟนตอนอยู่ในสายตามึงป่านนี้ก็สบายใจไปละ”

“เหรอ?  แฟนคนนั้นต้องเป็นมึงด้วยป่ะไอ้ภู?”

“แหม่  เดาใจได้ถูกเผง”

“พ่อมึงเตรียมเฉาะกบาลอยู่นั่น”  ผมชี้ไปทางไอ้ดิน

“กูล้อเล่น!  ล้อเล่นเฉยๆ  เฉยๆ จริงๆ นะมึ้ง”  ไอ้ภูหันไปเกาะแขนบดินทร์ที่มองตาขวาง  ผมหัวเราะกับท่าทางนั้นก่อนจะแกล้งมันไปอีกดอก

“โถ  นึกว่าจะแน่  ที่แท้ก็กลัวผัวนี่หว่า”

“ไอ้กั๊ก!  อย่าให้กูรู้นะว่ามึงหงอกับไอ้ครับ  กูจะล้อมึงยันแก่แน่!”  ผมยักไหล่กับคำขู่ของไอ้ภู  ผมไม่แน่ใจเรื่องความสัมพันธ์ของสองเพื่อนรักเพราะบดินทร์ไม่อยากให้ผมเข้าไปยุ่งมากนัก  ดังนั้นผมเลยไม่เสือกถ้าไม่จำเป็น  ดูห่างๆ อย่างห่วงๆ ก็พอ  คอยรับฟังเวลาไอ้ภูมาตีโพยตีพาย  ตีตนไปก่อนไข้  ปลอบใจให้มันหายห่อเหี่ยว  พอมันมีแรงก็ยุแยงให้ไปรุกไอ้ดินต่อ  นอกจากฟังภูธเรศโวยวายแล้วยังต้องฟังเวลามันพร่ำเพ้อด้วย ‘ดินใจดีอย่างนั้น  ดินใจดีอย่างนี้’  แม่ง  ไอ้ภูมันไม่รู้ความลับของบดินทร์ซะแล้ว!

บดินทร์น่ะมันขี้แกล้งพอๆ กับผมนั่นแหละ  โดยเฉพาะกับคนที่ชอบด้วยแล้วยิ่งไม่มีทางปล่อยให้หลุดมือไปง่ายๆ  เอาเถอะ  ปล่อยให้คนซื่อบื้อที่คิดว่าแอบรักเขาข้างเดียวอย่างภูธเรศโวยวายต่อไปแล้วค่อยหัวเราะใส่มันทีหลังตอนโดนไอ้ดินเขมือบดีกว่า!

“มึงกำลังคิดเรื่องไม่ดีอยู่ใช่ไหม  หัวเราะเสียงน่าเกลียดชะมัด!”  ไอ้ภูผงะถอยหลัง  ส่วนไอ้ดินจิกตามองผมสองจึ้กแล้วเมินหน้าหนี

“หือ?  เออ  แล้วสรุปไอ้คนที่จีบเพกามันเป็นใครวะ?”  ผมเสเปลี่ยนเรื่อง  เป็นจังหวะที่กระวานเข้ามาพอดี

“ไหน  ใครมาจีบเพกา?”  เจ้าก้อนนุ่มนิ่มที่เพิ่งมาถึงตาเหลือกกับประโยคนั้น

“ยังไม่รู้ว่าชื่ออะไร?”

“งั้นเราไปดักที่โรงเรียนกัน  ฉันจะแอบฟังเสียงในใจมันเอง  พอรู้ว่าเป็นใครนายก็วิ่งไปตีหัวมันเลย!”

“พอเลยทั้งกระวานทั้งโป๊ยกั๊ก”  พี่ไธม์เดินตามหลังมาส่ายหัวใส่เราสองพี่น้อง

“พี่ใบไธม์!”  เพกา  เจ้าของเรื่องที่เอาแต่นั่งหัวเราะผมกับเพื่อนรัก  และขำการผสมโรงของกระวานกระโดดไปกอดพี่ชายคนโตพร้อมรอยยิ้มเต็มหน้า

“โหยพี่  มีหนุ่มกล้ามาจีบเพกาของพวกเรานะ!”  กระวานกางปีกทำท่าทางขึงขังจนพี่ใบไธม์หลุดหัวเราะ

“ไปดักตีหัวเขาไม่กลัวโดนฟ้องข้อหาทำร้ายร่างกายหรือไง?”

“เอ๊อะ!”  กระวานชะงักกึก  “โป๊ยกั๊กเป็นคนตีงั้นจับโป๊ยกั๊กละกัน”

“เอ้า  ไหงงั้นอ่ะ!”

“ช่วยไม่ได้นะ  นายเป็นคนตีก็ต้องยอมรับกันไป”  กระวานยักไหล่ทำสีหน้าเห็นอกเห็นใจตบท้ายอีกนิด  จบคำกระวานเสียงหัวเราะก็ดังลั่นรอบโต๊ะ

“เอาละหนุ่มๆ ทั้งหลาย  มาช่วยพ่อยกจานอาหารออกไปได้แล้ว”  เพราะวันนี้จำนวนสมาชิกร่วมโต๊ะมากกว่าปกติพ่อเลยจัดการย้ายออกมาหน้าลานบ้าน  แม่ที่เพิ่งอาบน้ำเสร็จเดินเข้ามากอดพ่อจากด้านหลังแล้วหอมแก้มดังฟอดไม่อายสายตาใคร

ผมเดินเข้าไปรับจานอาหารจากพ่อฟ้ามือหนึ่ง  อีกมือเอื้อมรับจากคำนับมาถือแล้วลำเลียงวางบนโต๊ะ  อาหารหลากหลายชนิดถูกเตรียมเพื่อฉลองการฝึกงานจบของพวกเราสี่คน  ผม  คำนับและสองเพื่อนซี้ภูธเรศกับบดินทร์

“ทำไมมีแต่ของโปรดโป๊ยกั๊กล่ะครับอาฟ้า?”  ภูธเรศละปากจากของว่างกวาดตามองแล้วอุทธรณ์

“พ่อทำของโปรดให้ทุกคนครบนะ”

“งั้นคำนับทำจานไหน?”  บดินทร์ถามบ้าง

“จานนี้  นี่  นี่  แล้วก็นี่”  คำนับชี้สี่จานตรงหน้าผม

“หืม?”  เพื่อนรักทั้งสองร้องหืมแล้วเงยมองหน้าผมอย่างพร้อมเพรียง

“แปลกตรงไหน  ก็คำนับไม่รู้นี่ว่าอาหารจานโปรดของใครคืออะไร”

“ใช่ๆ  โป๊ยกั๊กพูดถูก  ดังนั้นทุกคนไม่ต้องน้อยใจไปนะ”  พ่อผู้ที่กลัวว่าศิษย์รักจะถูกโกรธรีบสนับสนุนคำพูดผมทันที  ผมพยายามเกร็งคอและกัดกระพุ้งแก้มเอาไว้เพื่อไม่ให้หลุดยิ้มและคอตั้งกับการถูกเอาใจจากคำนับเพราะฝั่งตรงข้ามมีสายตาจับผิดของพี่ไธม์จ้องอยู่

“แล้วเมื่อกี้ทุกคนหัวเราะอะไรกันเหรอ?”  แม่ปล่อยมือจากเอวพ่อแล้วนั่งลงด้านข้าง

“มีคนกล้ามาจีบเพกาแหละแม่!”  กระวานรายงานเสียงดังฟังชัด   

“ก็ดีแล้วที่มีคนกล้า  ขืนไม่มีคนกล้าน้องสาวเราไม่ต้องขึ้นคานเลยหรือไง?”  แม่ยักไหล่ไม่เห็นเป็นเรื่องใหญ่อะไร

“แต่เพกายังเด็ก”  เจ้าก้อนนุ่มนิ่มเอ่ยค้านหน้างอง้ำ

“ปีหน้าน้องจะเข้ามหาวิทยาลัยแล้วนะ”  พี่ใบไธม์ละสายตาจากผมไปยังน้องชายคนรอง 

“ตอนนี้หนูยังไม่มีแฟนก็ได้  แต่ถ้าเข้ามหาวิทยาลัยแล้วพี่โป๊ยกั๊กกับพี่กระวานอย่ามาห้ามนะ”

“เฮ้ย  ได้ไง”  ผมโวยวาย

“เอ้า  แล้วจะยอมให้หนูมีแฟนได้ตอนไหน?”

“ตอนจบทำงานแล้ว” 

“โห  กว่าจะศึกษาดูใจ  กว่าจะผ่านด่านพี่ๆ หนูไม่แก่เลยเหรอ?”

“พี่ดูแลเพกาได้  ไม่จำเป็นต้องมีแฟนสักนิด!”  ผมตบอก 

“ใช่ๆ”  กระวานยืดอกสนับสนุน 

“นี่ถ้าพี่แยกร่างได้จะตามไปเฝ้าถึงห้องเรียนเลยคอยดู!”  ผมชี้หน้าน้องสาวสุดที่รักเพื่อว่าจะทำอย่างนั้นจริงๆ เพกาหัวเราะคิกคักไม่ถือสากับคำพุโของผม  พี่ใบไธม์ยังคงส่ายหัว  แม่นั่งหัวเราะเอิ้กอ้าก  ส่วนพ่อที่ตามไม่ค่อยทันได้แต่มองคนโน้นทีคนนี้ที

หลังอาหารมื้อหลักจบลงพ่อยกเอาขนมอบถาดใหญ่ออกมา  ผมหยิบสองชิ้นใส่พัพเพอร์แวร์ปิดฝายัดใส่ตู้เย็น

“เก็บไว้ให้ใครน่ะลูก  ถ้าของคุณแป้งกับครับพ่อแบ่งไว้แล้วนะ”

“อันนี้เก็บไว้ให้ตัวผมเองในวันพรุ่งนี้ครับ”

“อ้อ”  พรุ่งนี้เป็นคืนเดือนแรมผมจึงเก็บส่วนนี้ไว้ให้กานพลู

หน้าที่ล้างจานหลังอิ่มหนำสำราญตกเป็นของคนไม่ได้ออกแรงอย่างภูธเรศและบดินทร์  จากนั้นพี่ไธม์ก็ไปส่งทั้งสองคนกลับบ้านแล้วไปทำงานต่อ  กระวานยังคงนั่งลูบท้องที่อืดตึงไม่ไปไหนมีแม่นั่งเท้าคางมองอยู่ข้างๆ

“กระวาน  แม่ไปเที่ยวที่ทำงานกระวานบ้างได้ไหม?”

“หืม?”

“แม่อยากไปส่องหนุ่มน้อยในตู้กระจกอ่ะ”

“แม่!!”  พ่อร้องเสียงหลงวิ่งออกมาจากห้องครัวกันเลยทีเดียว  ทุกคนต่างพากันหัวเราะพ่อทำปากยื่นใส่แม่  พลางสะบัดบ๊อบอย่างงอนๆ ตบท้ายด้วย  แม่ยิ้มกว้างเดินไปนั่งตักพ่อ  คล้องคอแล้วหยิกแก้มคนขี้งอนหนึ่งที

“ไม่ไปเที่ยวก็ได้  แต่คืนนี้พ่อต้องยอมเป็นหนุ่มน้อยในตู้กระจกให้แม่นะ”  แม่ยักคิ้วหลิ่วตาแบบคนเจ้าชู้ใส่พ่อ

“อีกแล้วเหรอ?”  หนุ่มน้อยตู้กระจกจำเป็นอิดออด  กระวานกลอกตาใส่พ่อกับแม่แล้วยกมือขึ้นปิดหูเพกา  ไม่ยอมให้น้องสาวได้ยินบทสนทนาต่อจากนี้

“ถ้าเป็นเด็กดีจะมีรางวัล”  แม่หลอกล่ออีกครั้ง

“กะ  ก็ได้  แต่คราวนี้ไม่เอาเจ็บๆ แล้วนะ”

“ไม่เจ็บก็ไม่เจ็บ”  แม่แลบลิ้นเลียริมฝีปากทันทีที่พ่อตกปากรับคำ 

อา  ทำไมผมถึงเห็นกวางน้อยในอุ้งมือเสือกันนะ?

“แม่จะไปตอนนี้เลยป่ะ?”  พ่อบิดซ้ายบิดขวาถามแม่พร้อมแก้มแดงปลั่ง

“อะแฮ่ม!”

ทำอะไรเกรงใจลูกบ้างเถอะ!

อ๊ะ!  คำนับยืนช็อกวิญญาณหลุดจากร่างคาประตูห้องครัวซะแล้ว!

**********

   จากเหตุการณ์พลังพิเศษที่อัพเลเวลขึ้นหลังจากนั้นเกิดอะไรขึ้น?

   กานพลูตามไปเฝ้าคำนับถึงที่ทำงานได้จริงๆ  หัวหน้าเชฟคนนั้นแม้จะเอ็นดูคำนับมากขึ้น  แต่ในเวลางานจะเข้มงวดและดุมาก  กับเพื่อนร่วมงานคนอื่นกานพลูก็ไม่ปล่อยให้คลาดสายตา  เขาเก็บทุกเม็ด  ละเอียดยิ่งกว่าเม็ดทรายเสียอีก  ผมได้แต่พยักหน้าหงึกหงักเวลาเขาเจื้อยแจ้วเรื่องคำนับให้ฟัง  อ้อ  บางเวลาก็ไปเฝ้าเพกาด้วยนะดูว่ามีใครมาจีบน้องสาวเราหรือเปล่า

   “เอ  นายรู้เรื่องคำนับละเอียดมากไปป่าววะ?”

   “นี่นายคิดว่าคนอื่นจ้องจะงาบครับเหมือนนายหรือไง?”  กานพลูขมวดคิ้วใส่ผม  “คนที่หื่นใส่ครับทุกวันทุกเวลาก็เห็นจะมีแต่นายคนเดียวนี่แหละ”

“หืม  เดี๋ยวนี้ปีกกล้าขาแข็งขนาดกล้าด่าฉันแล้วเรอะ?”

“ไม่ๆ นี่ไม่ใช่การด่า  แต่เป็นการพูดถึงนิสัยของนายให้นายฟังต่างหาก”  กานพลูกอดอกพยายามให้ดูภูมิฐาน  ผมเลิกคิ้วมองเขาก่อนจะเดินไปชิดหน้ากระจก  กานพลูสะดุ้งโหยงพลางก้าวถอยหลัง

“อย่าให้ฉันรู้ว่าตอนนายออกมา  นายไปยุ่มย่ามกับคำนับ”

“อา  โป๊ยกั๊กเนี่ยขี้หึงจังเนอะ  แหะๆๆ”

“ต่อให้เป็นนายฉันก็ไม่เว้น  เข้าใจ๊?”

“ระ รู้แล้วน่า!”  ผมหรี่ตามองกานพลูที่กลืนน้ำลายลงคออย่างยากเย็นพลางกระตุกยิ้มมุมปากก่อนจะทิ้งให้เขาขวัญผวาแล้วออกไปหาคำนับ



นี่กานพลูคิดว่าผมไม่รู้เหรอว่าเขาเคยกอดกับคำนับ?

กานพลูกอดกับคำนับแล้วยังไง  เจ้าซื่อบื้อนั่นคิดว่าผมจะทำอะไรเขาได้เหรอ?  ต่อยเขา?  ทุบกระจกทิ้ง?

งี่เง่าน่า!

ผมไม่ทำอะไรแบบนั้นกับน้องชายตัวเองหรอก!

.

.

เมื่อมีการอัพเลเวลขั้นที่หนึ่งย่อมมีขั้นต่อมา  หลังๆ กานพลูสามารถโผล่ไปกระจกบานอื่นได้โดยที่ผมไม่ต้องบอก  เขาอยากไปไหนก็ไปได้ตามใจชอบ  การพัฒนานี้คนในบ้านยังไม่มีใครรู้สักคน  กานพลูบอกว่าเอาไว้เซอร์ไพรตอนทุกคนอยู่พร้อมหน้าพร้อมตา  ถึงเวลานั้นให้ผมถ่ายรูปตอนทุกคนตกใจเอาไว้ดูด้วย  ไอ้นิสัยขี้แกล้งนี่ก็เป็นส่วนที่พัฒนาขึ้นด้วยซินะ

กานพลูที่สามารถเคลื่อนไหวได้อิสระแบบนี้ผมว่ามันเหมาะกับงานแบบพี่ใบไธม์มาก  ถ้าเขาไปช่วยพี่ใบไธม์ทำคดีงานของพี่เขาคงง่ายขึ้น  แต่คิดว่าพี่ชายคนโตของบ้านไม่น่าจะยอมแน่ๆ  อ๊ะ  ว่าไปแล้วมีคนรู้ความลับนี้อยู่หนึ่งคนแฮะ  ก็นายเบซิลจอมเจ้าเล่ห์คนรักของพี่ใบไธม์คนนั้นไง  หมอนั่นตื่นเต้นใหญ่กับความสามารถของกานพลู  แถมยังแอบใช้งานเจ้าซื่อบื้อนั่นไปสองครั้งแล้ว  เบซิลสอนทริคการเล่นหุ้น  การทำเงินแบบมหาศาลให้เป็นการตอบแทนเลยยิ่งทำให้กานพลูกับเบซิลสนิทสนมกันจนน่าหมั่นไส้  ร้ายไปว่านั้นคือตอนที่กานพลูออกมา  หมอนั่นเอาเงินเก็บทั้งหมดของผมไปซื้อหุ้น  ย้ำว่าเงินเก็บทั้งหมด!  บ้าเอ๊ย!  นี่ถ้าไม่ได้กำไรคนที่ต้องตายคนแรกคือเจ้าเบซิลนั่นแน่!

อะไรนะ  ผมหวงกานพลูงั้นเหรอ?

โคตรไร้สาระเหอะ  ผมห่วงเงินตัวเองต่างหาก!



วันนี้เป็นวันสอบวันสุดท้ายของคำนับเป็นการสอบเพื่อขอใบอนุญาตประกอบวิชาชีพ  พ่อติวเข้มให้เขาอยู่หลายวันทีเดียว  พอเห็นเขาเดินยิ้มออกมาผมแทบจะวิ่งเข้าไปอุ้มเขาแล้วหมุนไปรอบๆ  ถ้าทำแบบนั้นคำนับคงอายแทบมุดแผ่นดินจากนั้นก็ไล่แตะผม

“แสดงว่าจูบเมื่อเช้าได้ผล?”

“นายขี้ตู่ว่ะ”  คำนับเบะปากกับคำพูดผม  “สิ่งที่ได้ผลคือการติวเข้มของอาฟ้าต่างหาก  อ้อ  สมองอันชาญฉลาดของฉันด้วย”

“อะไรๆ ก็อาฟ้า  นี่ฉันจะหึงจริงๆ แล้วนะเนี่ย”

“จะบ้าหรือไง  นั่นพ่อนายนะ?”  ผมสวมหมวกกันน็อคให้เขาก่อนจะคร่อมบิ้กไบท์คันเก่ง 

“นายชื่นชมใครนอกจากฉันฉันก็หึงหมดนั่นแหละ”  ผมหันไปบอกเมื่อเขาขึ้นซ้อนแล้ว

“ประสาท!”  คำนับหัวเราะแล้วไม่พูดอะไรต่อ   

ผมไม่ได้พาคำนับไปส่งบ้านหรือร้านหิ้วปิ่นโตอย่างทุกที  ผมเบี่ยงออกนอกเส้นทาง  ยี่สิบนาทีต่อมาจึงหยุดหน้าตึกที่ยังก่อสร้างไม่เสร็จหลังหนึ่ง  เมื่อลงจากรถผมพาคำนับขึ้นไปยังชั้นสองของตึก  หยุดยืนตรงด้านหนึ่งแล้วมองไปข้างล่าง

ด้านล่างเป็นถนนเส้นใหญ่ที่ผมขับรถมา  ถนนเส้นนี้มีรถสัญจรไม่ขาดสาย  ผมเห็นนักท่องเที่ยวหัวสีทองเดินผ่านไป  คำนับยืนอยู่ข้างๆ โดยไม่พูดอะไร  เขามองตามสายตาของผมสำรวจบริเวณรอบๆ จากนั้นก็นิ่ง

“นายว่าตึกนี้เป็นยังไง?  แบบว่า...การเดินทาง  จำนวนผู้คน  ความสะดวกสบายด้านอื่นๆ แหล่งท่องเที่ยว อะไรทำนองนี้?”  ผมหันไปมองคำนับ  ฝ่ายนั้นเลิกคิ้วมองตอบกลับแล้วเหลือบซ้ายแลขวาอีกรอบ

“ตึกนี้ทำเลดีมาก  อยู่ใกล้ถนนใหญ่เดินแค่สิบนาทีก็เข้าแหล่งชุมชน  อีกด้านเป็นแหล่งท่องเที่ยวด้วยนี่  ใช่ไหม?”ประโยคสุดท้ายคำนับเอ่ยถามผม  ผมพยักหน้ารับ

“น่าเสียดายแทนเจ้าของตึกนี้อยู่เหมือนกัน  แต่ช่วยไม่ได้แฮะ”

“หืม?”

“ถ้าไม่เพราะต้องการหนีแบบเร่งด่วนตึกนี้น่าจะขายได้ราคาสูงอยู่”  ผมยักไหล่  สอดมือเข้ากระเป๋ากางเกงแล้วเดินสำรวจโดยรอบอีกครั้งมีคำนับเดินตามด้านหลัง

“หมายความว่ายังไง?  แล้วนายพาฉันมาที่นี่ทำไม?”

“ก็....”

“หืม?”

“ฉันคิดว่าถ้าได้ทำร้านอาหารตรงนี้คงไม่เลว”

“.....”  ผมหันกลับไปมองเมื่อไม่ได้ยินเสียงฝีเท้าเดินตามมา  คำนับหยุดยืนจ้องหน้าผมสีหน้านิ่งเฉย

“เอ่อ  ก็ไม่ได้จะให้นายฟรีๆ หรอก”  คำนับยังไม่เอ่ยอะไรออกมา  ดวงตาเรียวหรี่ลง  เขารอให้ผมอธิบายต่อ  “แบบ....ถือว่าเป็นสินสอด...”

“ไม่ตลก!”  คำนับสีหน้าเครียดขึง  เขาไม่ยอมขยับเข้ามาใกล้ผมแม้ครึ่งก้าว

“........”

“ฉันเข้าใจว่านายหวังดีนะ  แต่ของแบบนี้...”

“คำนับ  ตีรนันท์  ฉันจะถามนายข้อเดียว”  ร่างผอมของคำนับเกร็งขึ้นเมื่อผมเรียกชื่อเต็มพร้อมนามสกุลของเขา  ผิวขาวซีดดูซีดจางยิ่งขึ้นในบรรยากาศใกล้ค่ำ  “คำถามเดียวกับเมื่อสี่ปีก่อน  นายจะตอบฉันได้หรือยัง?”

“โป๊ยกั๊ก?”

“ฉันให้เวลานายคิดห้าวินาที”

“อะไรนะ?”

“ห้า  สี่  สาม  สอง”

“เดี๋ยวๆๆ  นี่ไม่เกี่ยวกับเรื่องตึกนี้เลยนะ?”   

“หนึ่ง!”

“เอ๊ะ?”

หมับ! ผมพุ่งเข้าไปหาคนตรงหน้า  จับท้ายทอยและแก้มตอบของเขาเอาไว้แน่น  บดริมฝีปากให้เขาเปิดรับจูบของผม  กวาดต้อนจนเขาแทบหายใจไม่ทัน

“เร็วเข้า  ตอบคำถามฉัน  นายจะยอมเป็นแฟนฉันได้หรือยัง?”  ผมถอนจูบเอ่ยกระซิบถามชิดริมฝีปากแดงเจ่อของคนตรงหน้า

“นาย  นายลืมถามไปข้อหนึ่งหรือเปล่า?”  คำนับหอบหายใจถามกลับ

“อะไร?”

“ก่อนขอเป็นแฟน  นายต้องถามก่อนซิว่าฉันชอบนายหรือเปล่า”

“อา  งั้นนายชอบฉันไหม?”  ผมถามทั้งๆ ที่ไม่ยอมให้ปลายจมูกห่างจากจมูกของเขา

“ไม่  ไม่ชอบ”

“.....”  คำนับยกยิ้ม  คำว่าไม่ชอบของเขาทำให้สมองผมตื้อไปชั่วขณะ  ร่างกายแข็งค้าง  ชาเหมือนโดนฟ้าผ่าลงกลางร่าง  และก่อนที่ผมจะเตลิดไปไกลกว่านี้ผมก็เห็นแวววิบวับในดวงตาของคำนับ

“ฉันไม่ได้แค่ชอบนาย  แต่รักต่างหาก”  คำนับยิ้มกว้างกับสีหน้าของผม

“อา  ใช่  นั่นก็เป็นความรู้สึกของฉันเหมือนกัน”  ผมหัวเราะ  “ตอนแรกฉันอาจไม่ชอบหน้านายสักเท่าไหร่  ต่อมาถึงค่อยรู้ตัวว่าสายตาฉันเอาแต่มองหานายตลอดเวลา  ความรู้สึกค่อยๆ เปลี่ยนเป็นชอบ  จนถึงตอนนี้ก็คือความรัก”

“......”  คำนับพยักหน้าหงึกหงักจากนั้นชี้ปลายนิ้วไปรอบๆ  “แต่ก็ไม่เกี่ยวกับตึกนี่”

“ไม่เกี่ยวงั้นเหรอ?  ก็ไม่เชิงมั้ง?”  ทั้งๆ ที่ผมเห็นว่าคำนับแก้มแดงจนลามไปถึงหูและคอเขายังวกกลับเข้ามาเรื่องตึกหลังนี้จนได้

“โอเค  งั้นขอคำอธิบาย”  คำนับสูดลมหายใจเข้าลึก  กระแอมไอพลางกอดอกแล้วขยับถอยห่างจากผมไปหนึ่งก้าว  ผมหัวเราะเบาๆ กับการพยายามเรียกสติตัวเองของเขา

“ฉันคิดว่าเชฟทุกคนน่าจะมีความฝันหนึ่งที่เหมือนๆ กัน  นั่นคือมีร้านอาหารเป็นของตัวเอง”  คำนับพยักหน้า  “อย่างที่นายเห็น  ตึกนี้ทำเลดีมาก”  คราวนี้เขาพยักหน้ารับสองครั้ง  “เบซิล  คนรักของพี่ใบไธม์เขารู้ว่าฉันกำลังมองหาอะไรแบบนี้อยู่เลยช่วยดูให้”

“นายจะซื้อ?”

“ใช่”

“ตึกสองชั้นในทำเลทองเนี่ยนะ?”  คราวนี้เขาตกใจจริงๆ

“ใช่  เจ้าของเก่าต้องการเงินแบบเร่งด่วน  เบซิลเลยจัดการให้”

“เท่าไหร่?”

“เก้า”

“เก้าแสน?”

“เก้าล้าน”

“เก้าล้าน!”  คำนับตาโตเป็นไข่ห่าน

“แต่เบซิลจัดการให้เหลือสามล้านห้า”

“.......”

“ตึกสองชั้นทำเลทองในราคาสามล้านห้า  ถ้าไม่ซื้อตอนนี้วันข้างหน้าคงไม่มีโอกาสแบบนี้อีก”

“ก็ใช่  แต่...”

“เงินเก็บทั้งหมดที่ฉันมีเลยแหละ”  ผมยักไหล่

“ละ  แล้วๆๆ  คือ...”  คำนับถึงกับติดอ่าง  เขาเริ่มลนลานเมื่อได้ยินว่าตึกนี่คือเงินเก็บทั้งหมดของผม  ผมไม่ได้โกหก  สามล้านห้านี่คือเงินที่งอกเงยจากการเล่นหุ้นของกานพลู  กานพลูเอาเงินเก็บทั้งชีวิตของผมไปเล่นหุ้นตามคำแนะนำของเบซิล  โชคดีที่ไม่ขาดทุนไม่งั้นผมเอาเขาตายแน่  ดูเหมือนกานพลูเองก็มีหัวทางด้านนี้ไม่น้อยเลยทีเดียว  เห็นว่าอาทิตย์ก่อนก็ทำเงินได้หลายแสน  เจ๋งโคตรๆ!

“นายมีหน้าที่ทำให้เงินเก็บนี่เป็นรูปเป็นร่างและงอกเงยขึ้นมา”

“หมายความว่ายังไง?”

“นี่จะเป็นร้านของเรา”

“นาย!”

“ฉันเชื่อมั่นในตัวนายคำนับ”

“นายมันบ้าโป๊ยกั๊ก!”  คำนับหน้าซีดเผือด  “ทำไมนายถึงเชื่อมั่นในตัวฉันขนาดนี้  ถ้าเกิดว่า....”

“เพราะนายเป็นแบบนี้ไง”

“เอ๊ะ?”

“เพราะนายกลัวว่าจะทำให้ฉันผิดหวัง  ดังนั้นนายเลยจะต้องพยายามทำให้มันสำเร็จให้ได้”  ผมยิ้ม  ขยับเท้าเข้าไปใกล้เขา  ยกหลังมือแตะแก้มเย็นชืดแผ่วเบาเพื่อปลอบประโลมให้เขาหยุดตระหนก

“แต่...”

“ฉันวางฐาน  นายก่อรูปร่าง  ไม่มีใครเอาเปรียบใคร”  ผมรู้ว่าเขาไม่สบายใจเรื่องอะไรจึงเอ่ยสำทับ  “ถึงรูปร่างที่นายก่ออาจบิดเบี้ยวฉันก็พร้อมจะเดินเข้าไปประคองเพื่อทำให้มันสวยงาม  ฉันไว้ใจนาย  แล้วนายไว้ใจฉันหรือเปล่า?”

“ฉัน....”

“ฉันให้นายไปหมดแล้วนะทุกสิ่งทุกอย่างเลย  อ้อ  อีกอย่างที่ยังไม่ได้ให้”

“?”

“ร่างกาย”

“ไอ้บ้าโป๊ยกั๊ก!”

พ่อฟ้าฉลองการสอบผ่านของคำนับด้วยการลงมือทำอาหารเมนูที่คำนับอยากกินที่สุด  ‘แกงพะแนงหมู’  เพียงแค่คำแรกหลังจากตักเข้าปากเขาก็น้ำตาไหล  พ่อฟ้าตกใจพลางหันไปมองน้าแป้ง  น้าแป้งเพียงแค่ยกยิ้มแล้วลูบหัวลูกชายแผ่วเบา  ครู่ใหญ่กว่าคำนับจะหยุดสะอื้น  เขายกแขนเสื้อเช็ดน้ำตาเหมือนเด็กตัวน้อยๆ

“ขอโทษที่เสียมารยาทครับ”

“ไม่หรอก”  พ่อฟ้าส่ายหน้ายิ้มใจดีส่งให้คำนับ  “ว่าแต่พะแนงฝีมืออาไม่อร่อยถึงขนาดที่ครับต้องร้องไห้เลยเหรอ?”

“เปล่านะครับ  ไม่ใช่แบบนั้น!”  คำนับปฏิเสธรัวเร็ว

“แกงพะแนงคุณฟ้ารสมือเหมือนที่พ่อของครับทำน่ะค่ะ”  น้าแป้งอธิบาย  สายตาเวลามองคำนับอ่อนโยนกว่าเดิมเท่าตัว  บางทีน้าแป้งอาจจะเห็นใครอีกคนในตัวลูกชาย

“ขอโทษนะครับ  อาฟ้ารู้สึกแย่หรือเปล่าที่ผมมองเห็นพ่อซ้อนกับอาฟ้า?”  เสียงของคำนับสั่นอย่างเห็นได้ชัดตอนเอ่ยถาม

“ไมหรอก”  พ่อฟ้าส่ายหัว  รอยยิ้มอบอุ่นยังคงประดับใบหน้า  แววตาอ่อนโยนทอดมองคำนับเหมือนเวลามองคนในครอบครัว  “อาดีใจนะที่จะมีลูกชายเพิ่มขึ้นมาอีกคน”

“ขอบคุณครับ  ขอบคุณ”  แล้วคำนับก็ร้องไห้อีกครั้ง



ตึกที่ผมพาคำนับไม่ได้ถูกทำเป็นร้านอาหารในทันทีทันใดหลังจากนั้นเพราะเรายังไม่มีทุนมากพอ  หลังจากจบมาและได้ใบอนุญาตคำนับก็ไปทำงานตามโรงแรมใหญ่และภัตคารที่เขาเคยฝึกงาน  ความจริงแล้วเขาเคยถูกทาบทามจากบรรดาเจ้าของโรงแรมต่างชาติด้วย  เพราะคำนับเคยได้รางวัลตอนแข่งทำอาหารสมัยเรียน  ได้เหรียญทองบ้าง เหรียญเงินบ้าง  เอามาประดับห้องไว้ไม่ใช่น้อย  เขาโดดเด่นตั้งแต่สมัยเรียนเลยทีเดียว  ยิ่งอาหารไทยแบบไทยแท้หากินได้ยากหนำซ้ำอาหารไทยยังดังไปทั่วโลกแบบนี้เขายิ่งเป็นที่ต้องการตัว  มีครั้งหนึ่งเจ้าของโรงแรมดังในฝรั่งเศสมาขอให้เขาไปทำงานโดยให้เงินเดือนเดือนละหลายแสน  แต่คำนับยืนกระต่ายขาเดียวไม่ยอมไป  ผมถามเขาว่าทำไม  พอฟังเหตุผลของคำนับ  ผมงี้ลากเขาเข้าห้องไปปล้ำแทบไม่ทัน

 ‘ให้ห่างจากนายจากแม่  ไม่เอาด้วยหรอก’

เหตุผลแม่งโคตรน่ารัก!

แต่สุดท้ายคำนับก็ไปทำงานที่ฝรั่งเศสเพราะพ่อฟ้าบอกว่านั่นจะทำให้เก็บเงินได้เร็ว  อีกอย่างคำนับจะได้มีประสบการณ์มากขึ้นด้วย  เขาไปเมื่อผมพยักหน้ายอมให้เขาไป

 เขาใช้ทุนให้ทางโรงแรมแทนคำนับจากนั้นไปทำสัญญากับทางโน้นแทนเป็นเวลาห้าปี  ผมไปส่งเขาที่สนามบิน  เราไม่ได้เอ่ยลา  ไม่มีของแทนใจอะไรทั้งนั้น  มีเพียงแค่จูบและความเชื่อใจที่ต่างฝ่ายต่างมอบให้กัน

**********






หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 15 ] 23-10-61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 13-11-2018 23:05:31



ความจริงเราไปเจอกันที่สนามบินก็ได้”

“ผมมารับน้าแป้งแบบนี้แหละดีแล้วครับ  ถ้าคำนับรู้ว่าผมปล่อยให้น้าแป้งไปคนเดียวเดี๋ยวจะมาโกรธผมอีก”  น้าแป้งส่ายหัว  วันนี้คำนับจะกลับบ้าน  เราโทรศัพท์คุยกันเมื่อคืนฟังน้ำเสียงดูก็รู้ว่าเขาตื่นเต้นมาก  ตอนทำงานอยู่นู่นคำนับแทบไม่เคยออกไปไหนเลยนอกจากห้องพักกับที่ทำงาน   ผมเลยบอกให้เขาอยู่เที่ยวอีกสักอาทิตย์สองอาทิตย์เพื่อพักผ่อนก่อนก็ไม่ยอม  บอกว่าคิดถึงคนทางนี้จนจะบ้าตายอยู่แล้ว  ผมหัวเราะ  ใช่  ผมเองก็คิดถึงเขาจนจะบ้าอยู่แล้วเหมือนกัน

ช่วงคำนับทำงานอยู่ฝรั่งเศสเขาส่งเงินมาให้ผมเก็บ  ผมถามว่าทำไมไม่ส่งให้น้าแป้งเป็นคนเก็บ  เขาบอกว่าในเมื่อผมเชื่อใจเขาเขาเองก็เชื่อใจผม  เงินทั้งหมดของเขายกให้ผมบริหารดูแลผมเลยจัดการตึกที่ซื้อทิ้งไว้หลังนั้นให้เสร็จ  การตกแต่งเป็นแบบที่คำนับต้องการเพราะเราเคยคุยกันก่อนหน้าเขาจะไปฝรั่งเศสว่าเขาต้องการให้ร้านออกมาเป็นแบบไหน  คำนับอยากให้ร้านสร้างเหมือนร้านเก่าของพ่อเขาแต่ด้วยอะไรหลายๆ อย่างทำให้ไม่สามารถทำอย่างนั้นได้  สุดท้ายก็ปรับหลายอย่าง  ผมให้นวพลเพื่อนซี้ของคำนับจัดการหาช่างและคนตกแต่งภายใน  ตอนแรกเขาตกใจเมื่อรู้ว่าผมกับคำนับเป็นคนรักกันผมเคาะหน้าผากแรงๆ ไปหนึ่งทีเพื่อเรียกสติ  จากนั้นหมอนั่นถึงกับน้ำตาซึมที่รู้ว่าตึกหลังนี้จะเป็นร้านของเพื่อนรัก  นวพลช่วยจัดการดูแลทุกอย่างด้วยตัวเอง  ส่วนหนึ่งเพราะเขาเคยเห็นร้านเก่าของพ่อคำนับ  อีกส่วนคือรู้ว่าคำนับชอบร้านแนวไหน  ต้องตกแต่งอย่างไร  ทำแบบไหนจึงจะถูกใจคำนับมากที่สุด

ผมต่อเติมสร้างตึกขึ้นไปอีกชั้นเพื่อส่วนที่พักอาศัย  แบ่งเป็นสามห้องนอนสามห้องน้ำหนึ่งห้องโถง   ด้านหลังตึกมีลานจอดรถและลิฟต์สำหรับขึ้นลงจากชั้นสาม  ในส่วนนี้คำนับรู้ไหม?  ก็จะรู้วันนี้นี่แหละ!



ภาพแรกที่เข้าสู่สายตาคือร่างผอมบางของคำนับกับกระเป๋าเป้ใบใหญ่กับรถเข็นกระเป๋าใบยักษ์สองใบ  เขาวิ่งเข้าไปกอดน้าแป้งอยู่นานด้วยความคิดถึงจากนั้นจึงค่อยเงยหน้าส่งยิ้มให้ผม  นวพลกระแอมไอพลางผลักให้ผมออกห่างแล้วเข้าไปกอดเพื่อนตัวเองแน่น  คำนับหัวเราะพลางกอดตอบเพื่อนรัก  ผมขับรถพาเราทั้งหมดไปร้านหิ้วปิ่นโต  พอคำนับเห็นหน้าพ่อฟ้าก็ร้องไห้  พ่อฟ้าทำอะไรไม่ถูกเลยได้แต่หัวเราะและกอดปลอบลูกศิษย์คนโปรด  พี่ซันกับพี่กอล์ฟไมค์เข้ามาพูดคุยกับคำนับไม่หยุดปากจนพ่อฟ้าต้องไล่ไปทำงาน

ของฝากของพ่อฟ้าเป็นมีดเชฟญี่ปุ่น Tojiro สำหรับแล่ปลาและหั่นเนื้อขนาด 8 นิ้ว 2 เล่ม เนื้อ High carbon steel รูปทรงสวยงาม  ตรงด้ามจับสลักชื่อพ่อฟ้าเอาไว้  คนได้ของฝากตาโตยิ้มกว้างปากแทบฉีกถึงหูและด้วยความเห่อพ่อฟ้าจึงใช้มีดสองเล่มนั้นทำอาหารมื้อเย็นต้อนรับคำนับ  ของแม่กับพี่ใบไธม์เป็นหมวกกันน็อคเพราะทั้งคู่ขับบิ้กไบท์  ของกระวานเป็นหูฟังแบบ in ear ของ custom ของฝากของเพกาเป็นเมล็ดพันธ์พืชต่างๆ จากทั่วโลกที่คำนับสามารถหาได้  ของเพื่อนคนอื่นๆ ก็เป็นของชอบเฉพาะบุคคล  แสดงถึงความใส่ใจที่คำนับมีให้คนรอบข้างและดูท่าแล้วคงหมดเงินไปไม่น้อยทีเดียว

ว่าแต่...แล้วของฝากผมล่ะ?

“อะไร?”  คำนับหันมามองผมที่แบมือไปตรงหน้าหลังเขาสวมรองเท้าให้น้าแป้งเสร็จ  ผมมองๆ เห็นบนกล่องเขียนคำว่า AllBirds รองเท้านี้เขาฝากเพื่อนซื้อมาจากนิวซีแลนด์  เห็นว่าทำมาจากขนแกะอะไรนี่แหละ  บอกว่าใส่สบายมากเหมาะสำหรับผู้หญิงและผู้สูงอายุสุดๆอะไรประมาณนั้น

“ของฝากฉันล่ะ?”

“โอ๊ะ!”

“ไอ้ท่าทางแบบนี้คือ?”  ผมมองท่าทางตื่นตกใจของคำนับแล้วขมวดคิ้ว

“แหะแหะ”

“ลืม?”

“อืม!”  รอยยิ้มเจี๋ยมเจี้ยมของคนตรงหน้าทำเอาผมยืนอึ้งอยู่พักใหญ่  คำนับบอกว่าลืมของฝากของผม  จากนั้นก็เดินเข้าครัวไปช่วยพ่อฟ้าทำอาหาร  ทิ้งผมไว้กับคำพูดสั้นๆ ว่า อืม เนี่ยนะ?

เขาต้องจงใจแกล้งผมแน่ๆ!

ผมถอนหายใจก่อนจะหันไปฟ้องว่าลูกชายน้าแป้งแกล้งผม  น้าแป้งได้ฟังก็หัวเราะคิกชอบใจใหญ่  อยากจะเคืองจะงอนคำนับที่เขาจงใจลืมของฝากผมแต่ก็ไม่สามารถทำแบบนั้นได้เพราะผมกับน้าแป้งเตรียมเซอไพรซ์รอเขาอยู่  ไอ้นิสัยขี้แกล้งนี่เขาไปติดมาจากใครวะ?

เสร็จจากการต้อนรับอันอบอุ่นผมขับรถพาน้าแป้งและคำนับออกมา  เขาผิวปากหวือเมื่อเห็นรถ

“เดี๋ยวนี้ไม่ขับสองล้อแล้วเหรอ?”  ถ้าเพิ่มมาอีกล้อนี่ผมเปลี่ยนอาชีพเลยนะนั่น

“ฉันก็ขับสองคันนั่นแหละ”  คำนับพยักหน้ารับรู้จากนั้นหันไปคุยกับน้าแป้งไม่หยุดปาก  น้าแป้งที่เหมือนจะรับรู้ว่าลูกชายกำลังโดนผมงอนจึงพยักพเยิดให้คำนับชวนผมคุยแต่เขาก็แกล้งทำเป็นไม่รู้

“อ้าว  บ้านเราไม่ได้ไปทางนี้นี่แม่?”

“ถามโป๊ยกั๊กซิ”  น้าแป้งยักไหล่ใส่ลูกชายก่อนจะยักคิ้วใส่กระจกมองหลังส่งมาให้ผม

“.........”

“ว่าไง?”

“ว่าไงอะไร?”  ผมยียวนตอบกลับ

“เราจะไปไหนกันอ่ะ  ฉันง่วงแล้วน้า~”

“นี่ไง  อีกเดี๋ยวก็ถึงแล้ว” 

ไม่เกินยี่สิบนาทีหลังจากนั้น  ผมจอดรถตรงจุดเดิมกับที่เคยพาเขามาครั้งแรก  คำนับลงจากรถเขาเงยหน้ามองตึกตรงหน้าที่ปิดไฟมืด

“สร้างเสร็จแล้ว?”

“ใช่”

“อยากเข้าไปดูข้างในหน่อยไหม?”  ผมควงกุญแจในมือให้เขาดู  คำนับพยักหน้ารัวเร็วจนคอแทบหลุด ผมไขกุญแจแล้วกดรีโมทเปิดไฟทั่วทั้งตึก

“นี่มัน!”  ดวงตาเรียวเบิกกว้างกับสิ่งได้เห็น

โถงชั้นหนึ่งด้านหน้าเป็นโซนนั่งแบบร้านอาหารทั่วไป เน้นการตกแต่งแบบวินเทจสบายตา  มีมุมถ่ายรูปหนึ่งมุม  ด้านหลังเป็นห้องครัวที่คำนับถึงกับวิ่งเข้าไปดูแล้วยิ้มกว้างเต็มหน้า  เป็นครัวแบบที่เขาอยากได้และเคยพูดให้ผมฟังก่อนไปฝรั่งเศสซึ่งตอนนี้มีอุปกรณ์ครบครันพร้อมใช้  ส่วนชั้นสองเป็นโซนนั่งที่แบ่งสัดส่วนค่อนข้างห่างและจัดมุมเป็นส่วนตัวมากกว่าชั้นหนึ่ง  มีทั้งชุดโซฟาเน้นนั่งสบาย  ชุดโต๊ะอาหารเหมือนในครัวหลังบ้าน  ลูกค้าชอบแบบไหนก็สามารถเลือกได้ตามใจชอบ

“มีอีกชั้นเหรอ?”

“ใช่  ฉันต่อเติมให้เป็นที่พักน่ะ”  ผมตอบพลางจับมือคำนับเดินขึ้นด้านบน  พอน้าแป้งที่เดินนำอยู่ข้างหน้าหันกลับมาเขาก็พยายามบิดมือให้หลุดจากการเกาะกุมแต่ผมไม่ยอมปล่อย  กลับยิ่งกระชับมือเขาแน่นขึ้นกว่าเดิม

“ครับง่วงแล้วใช่ไหม?  ถ้าอย่างนั้นก็รีบอาบน้ำนอนล่ะ  พรุ่งนี้เช้าเราค่อยไปทำบุญกัน”  น้าแป้งยิ้มกว้างให้ลูกชายก่อนจะเปิดประตูห้องเข้าไปจากนั้นก็ไม่ออกมาอีก

“เอ๊ะ?”  คำนับที่พยายามดึงมือตัวเองออกจากมือผมชะงักนิ่ง

“อะไร?”

“แม่นอนที่นี่?”

“ใช่  และพวกเราก็จะนอนที่นี่ด้วย”

“อ้าว  แล้วบ้านหลังโน้นล่ะ?”

“ยกเลิกการเช่าไปแล้ว”

“ห้ะ?”

“เอ้า  มีบ้านเป็นของตัวเองแล้วจะไปเช่าบ้านคนอื่นอยู่ทำไมล่ะ?”

“บ้านของตัวเอง? อะไรเนี่ย?  ยังไง?  ตั้งแต่เมื่อไหร่?”  คำนับยิงคำถามรัวเป็นปืนกล  ผมหัวเราะพลางรุนหลังเขาให้เดินไปห้องที่อยู่ตรงข้ามกับน้าแป้ง  เอ่ยอธิบายให้คำนับฟังยาวเหยียดว่าหลังจากสร้างและตบแต่งตึกหลังนี้เสร็จ  ผมก็จัดการดูฤกษ์เพื่อทำพิธีเล็กๆ  บอกเลิกสัญญาเช่าบ้านหลังเก่าของคำนับแล้วช่วยน้าแป้งย้ายบ้านเมื่ออาทิตย์ก่อน

ชั้นสามด้านหนึ่งเป็นห้องน้าแป้งกับห้องรับแขก  ส่วนอีกด้านเป็นห้องนอนใหญ่ของผมกับคำนับ  แหงล่ะว่าการจัดห้องแบบนี้เป็นการมัดมือชกของผมเอง  ตอนนวพลมาช่วยตกแต่งห้องนี้ถึงกับร้องไห้เป็นเผาเตา  บอกว่าในที่สุดลูกสาวก็ออกเรือนแต่น่าเสียดายที่คำนับได้สามีดุเป็นหมา  ผมเลยเตะมันไปทีหนึ่งด้วยความหมั่นไส้

“เหนียวตัวเป็นบ้า  ฉันไปอาบน้ำก่อนนะ”  คำนับพยักหน้าผมเลยคว้าผ้าเช็ดตัวเข้าห้องอาบน้ำปล่อยให้เขาเดินสำรวจห้องไปพลางๆ

ภายในห้องตกแต่งด้วยโทนสีขาวสะอาดตา  เครื่องเรือนส่วนใหญ่เป็นไม้และโทนสีน้ำตาลดูอบอุ่น  ผนังด้านหนึ่งเป็นกระจกบานใหญ่มองออกไปเห็นบรรยากาศด้านนอกโดยรอบถูกปิดด้วยผ้าม่านหนาหนักสีน้ำตาลอ่อน  ถัดมามีเตียงขนาด King size พร้อมใช้งาน  อีกด้านของห้องถูกกั้นแบ่งส่วนมีครัวเล็กพร้อมเคาท์เตอร์บาร์และโต๊ะทานข้าวตัวใหญ่

ผมใช้เวลาไม่ถึงยี่สิบนาทีในการชำระร่างกายจากนั้นก็เร่งให้คนที่บ่นว่าง่วงรีบเข้าไปอาบน้ำ  พอพ้นหลังของคำนับผมวิ่งไปยืนอยู่หน้ากระจก  กานพลูยืนยิ้มแฉ่งปากกว้างโบกมือมาให้

“ขอเราคุยกับครับมั่งดิ”

“ที่นายตามไปคุยถึงฝรั่งเศสทุกวันยังไม่พออีกหรือไง?”  ผมเท้าเอวตีหน้ายักษ์ใส่คนในกระจก

“โป๊ยกั๊กอ่ะ!”

“วันนี้ ไม่ซิ  คืนนี้นายอยากไปเที่ยวไหนก็ไป  ดึกๆ ก็แวะไปเล่นกับเบซิลหรือกระวานแล้วค่อยกลับมาตอนสายๆ ไม่ก็บ่ายโน่นเลย”

“ทำไมอ่ะ?”

“คืนนี้จะหวานๆ กับคำนับ”

“โอ๊ะ!”  กานพลูหน้าแดงก่อนจะบิดตัวไปมา  ครู่เดียวก็ปิดหน้าวิ่งหายไปจากกระจก เอ้า  บทจะไปก็ไม่บอกสักคำ!  จากนั้นผมหันไปค้นตู้เสื้อผ้า  เอากล่องของขวัญที่เตรียมไว้ให้คำนับออกมาวางบนโต๊ะทานข้าว  วาดภาพในหัวไปต่างๆ นาๆ พร้อมหัวใจที่เต้นรัวเร็ว 

คำนับจะชอบของขวัญที่ผมให้ไหม?

จะหาว่าผมหื่นหรือเปล่า?

เอาวะ  หื่นก็หื่น  ผมมันหื่นจริงนี่หว่า!

20 นาทีผ่านไป  30 นาทีผ่านไป  เข้านาทีที่ 40 จากที่ตื่นเต้นก็เริ่มสงบลง  พอสงบก็เริ่มเงียบแล้วกลายมาเป็นสัปหงก  ไม่รู้ว่าเผลองีบไปตอนไหนแต่สะดุ้งตื่นตอนที่คางหล่นกระแทกโต๊ะเสียงดังปึง  เจ็บจนน้ำตาเล็ด!

เงยหน้ามองนาฬิกาแล้วตกใจ  คำนับเข้าห้องน้ำไป 45 นาทีแล้ว!  ไม่ใช่ว่าหลับอยู่ในนั้นหรอกนะ?  คำนับเดินทางมาเหนื่อยๆ อาจมีความเป็นไปได้ที่จะหลับคาห้องน้ำขืนเป็นแบบนั้นเขาคงได้ป่วยแน่  ไม่ได้การล่ะ  ผมลุกขึ้นเตรียมเคาะประตูห้องน้ำเป็นจังหวะเดียวกับที่อีกฝั่งเปิดประตูพอดี

“เย้ย! / เย้ย!”  ต่างคนต่างสะดุ้งตกใจเพราะไม่คิดว่าจู่ๆ เปิดออกมาแล้วจะเจออีกฝ่ายอยู่หน้าประตู

“นายเข้าไปหลับในนั้นหรือไง?”  ผมจับตัวคำนับมาพลิกซ้ายพลิกขวาสำรวจดูด้วยความเป็นห่วงเขากลับบิดตัวออกจากมือผมแล้วไปหยุดยืนอยู่กลางห้อง

“คือ...ต้องเตรียมตัวนิดหน่อย”  ผมฟังไม่ถนัดว่าคำนับพูดอะไรได้ยินคำว่าเตรียมตัวๆ แล้วได้แต่งง

“เตรียมตัว?”  เส้นผมสีน้ำตาลเข้มเริ่มหมาดจนเกือบแห้งบ่งบอกว่าเขาอาบน้ำเสร็จนานแล้วหากไม่ยอมออกมา  คอด้านหลังและใบหูของคำนับแดงแจ๋ทำให้ผมชะงัก  ก่อนจะเลื่อนสายตาไปตามลาดไหล่  เอวผอมและสะโพกสอบใต้ชุดคลุมอาบน้ำ  ปลีน่องขาว  ข้อเท้าซ้ายสะท้อนแสงบางอย่าง  ...สร้อยข้อเท้าที่ผมเคยสวมให้เขา...

“เออ จริงซิ  นายโกรธฉันหรือเปล่าที่ไม่มีของฝากน่ะ”  คำนับหันกลับมาแต่ผมยังละสายตาจากข้อเท้าข้างนั้นของเขาไม่ได้

“หืม?”

“เอ่อ”  คำนับขยับเท้า  เขาก้มลงมองว่าผมดูอะไร  พอเห็นสิ่งนั้นหน้าเขาก็ยิ่งแดงมากขึ้น  “คือ...”

“ตอนแรกว่าจะโกรธ  แต่ตอนนี้ไม่แล้ว”  ผมขยับเท้าเข้าใกล้คนตรงหน้า  คำนับเหมือนสะดุดลมหายใจเมื่อเงยขึ้นมาเห็นสายตาของผม  อา  ทำไงดี  ทีแรกคิดว่าถ้าเขาเหนื่อยจากการเดินทางผมจะยอมให้เขาพักผ่อนก่อนแล้วเรื่องอื่นค่อยว่ากันทีหลัง  แต่พอเห็นสร้อยข้อเท้าเส้นนั้นใจผมก็เต้นรัวขึ้นมาอีก  ในท้องน้อยมันวูบวาบรุนแรง  ส่วนนั้นร้อนผ่าวโป่งพองดันกางเกงนอนจนเห็นได้ชัด  คิดว่าคำนับเองคงเห็นปฏิกิริยานี้เช่นกันเขาจึงเสหลบสายตา

“งะ  งั้นดีแล้วเนอะ  ถ้าไงฉันไปนอน...”

“นายไม่มีของฝากแต่ฉันมีของขวัญ”  พูดพลางขยับเท้าจนตอนนี้ปลายจมูกผมแตะเกือบชิดแก้มคนตรงหน้า  คำนับเอียงตัวจะขยับหนีผมเลยคว้าแขนเขาเอาไว้แน่น  “นายไม่อยากรู้เหรอว่าอะไร?”  กระซิบถามชิดริมหู  คำนับย่นคอหนี  ตอนนี้ทั้งเนื้อตัวและใบหน้าเขาแดงไปหมดแล้ว

“ค่อยดูพรุ่งนี้ก็ได้มั้ง”

“ฉันอยากให้นายดูวันนี้นี่นา”  ผมจูงเขาไปยังโต๊ะทานข้าว  กล่องสีเหลี่ยมบางสีขาวทองนอนสงบนิ่ง  ริบบิ้นถูกผูกเป็นโบว์ไว้หลวมๆ เพื่อให้สะดวกในการแกะเปิด  ผมขยับไปยืนซ้อนด้านหลังคำนับสอดแขนสองข้างขนาบเอวผอมของเขาแบบเนียนๆ พลางยื่นไปจับกล่องของขวัญให้เลื่อนใกล้เข้ามา  พยายามไม่ให้ส่วนที่ตั้งโด่ของตัวเองไปโดนก้นเขา  คำนับเปิดฝากล่องก่อนจะหยิบผืนผ้าหนาสีดำออกมาคลี่ดู

“ผ้ากันเปื้อน?”

“ใช่  มีชื่อนายด้วยนะ”  ผมขยับผ้าให้เห็นตัวอักษร  Khrab ที่ปักด้วยด้ายสีทองฝีเข็มแน่นละเอียดประณีตตรงช่วงเอวด้านซ้ายของชุด 

“นายเคยให้อาฟ้าตัดให้แล้ว”

“ผืนนั้นพ่อตัดให้  ส่วนผืนนี้ฉันตัดเอง”  ผืนที่พ่อเคยตัดให้เป็นแบบครึ่งตัว  ส่วนผืนนี้ที่ผมตัดเป็นแบบเต็มตัวคล้องคอมีสายผูกเอว

“จริงอ่ะ?”  คำนับตกใจ  เขาเลิกคิ้วเอี้ยวหน้ามามองเพื่อดูว่าผมล้อเล่นหรือเปล่า”

“พูดจริง  ฉันให้พ่อสอนตัดแล้วก็เย็บ  ดูดีๆ ซิ  นายจะเห็นว่ามันไม่ค่อยสวยเหมือนผืนที่พ่อตัดสักเท่าไหร่”  ตะเข็บผ้าเก็บได้ไม่เนี้ยบแต่ผมก็พยายามที่สุดแล้วนะ  กว่าจะได้ผืนนี้มานิ้วผมพรุนไปหมด  “อ้อ  แต่ตัวอักษรนี่จ้างเขาปัก  ฉันไม่มีปัญญาจริงๆ...”

“ขอบคุณนะ”  ผมชะงักเมื่อคำนับแนบจูบลงบนมุมปากผมแผ่วเบา

“งั้นสวมให้ดูหน่อย”  ผมกระซิบ  พยายามกดเสียงตัวเองเอาไว้ไม่ให้สั่น

“ตอนนี้เนี่ยนะ?”  คำนับคลี่ผ้ากันเปื้อนออกดูพลางถาม

“ใช่  ตอนนี้แหละ”  ผมงับใบหูคำนับตอนที่เขาก้มลงดูผ้าในมือ  ร่างผอมสะดุ้งโหยงผมอาศัยจังหวะนั้นคล้องสายผ้ากันเปื้อนลงบนคอคำนับอีกมือตวัดดึงปมชุดคลุมอาบน้ำออกรวดเร็ว

“เดี๋ยว!”  คำนับร้องเสียงหลงเมื่อผมกดตัวเขาให้แนบลงกับโต๊ะทานข้าว  ผมโน้มตัวตามลงไปก่อนจะฝังเขี้ยวบนหลังคอขาว  เจ้าของลำคอร้องโอ๊ยหากไม่ได้เอ่ยปราม  ไหล่ขาวสั่นระริกเมื่อแลบลิ้นเลียรอยฟันบนหลังคอ  กลิ่นแชมพูหอมสะอาดลอยเข้าจมูกจนต้องซุกดมกลุ่มผมสีน้ำตาลอ่อนนั่น  ขยับมือผูกสายรัดเอวก่อนจะยืดตัวขยับถอยออกห่างมาสองก้าว

เป็นอย่างที่จินตนาการเอาไว้จริงๆ

สีดำของผ้ากันเปื้อนตัดกับผิวขาวของคำนับช่างดูสวยงามเหลือเกิน  สะโพกขาวลอยเด่นตรงหน้า  แผ่นหลังเปลือยเปล่ายังคงสั่นสะท้าน  ใบหน้าแดงก่ำแนบลงกับพื้นโต๊ะ  ดวงตาวาวฉ่ำคู่นั้นสั่นไหว

ผมคิดว่าตัวเองพุ่งกระโจนเข้าหาร่างตรงหน้า  ทาบทับร่างขาวโพลนพลางกดความคับแน่นลงบนสะโพกหนั่นทั้งๆ ที่ยังไม่ได้ถอดกางเกง  คำนับยกมือปิดปากตัวเองเมื่อเผลอตัวหลุดคราง  กางเกงนอนผืนบางไม่อาจขวางกั้นความร้อนผ่าวของผมได้และตอนนี้มันก็เปียกชื้นไปหมดแล้ว

ผมแนบจูบไปจามแผ่นหลัง  ขบเม้มสร้างรอยไว้ในบางจุด  ทุกครั้งที่ฟันขบลงไปคำนับจะสะดุ้งและครางเสียงเบาๆ ผมบอกตัวเองว่าอย่าเพิ่งใจร้อนก่อนจะเลื่อนมือไปด้านหน้าคำนับ  กอบกุมส่วนอ่อนไหวของเขาไว้ในอุ้งมือแล้วขยับ  ยามที่ความรู้สึกหวามไหวพุ่งทะยานคำนับจะบดสะโพกเข้ากับความตึงร้อนด้านหน้าของผมเหมือนเรียกร้องโดยไม่รู้ตัว  คิ้วเรียวยาวขมวดมุ่น  เขากัดลงบนข้อนิ้วมือตัวเองเพื่อไม่ให้หลุดเสียงคราง  เห็นแบบนั้นผมเลยดึงมือเขาออกแล้วสอดนิ้วมือกับเขาไว้ข้างหนึ่ง  อีกข้างเขาจิกพื้นโต๊ะกินข้าวสลับคลายปลายนิ้วยามที่ผมเลื่อนสะโพกออก

ความชื้นแฉะในอุ้งมือและความปวดหนึบตรงหว่างขาเพิ่มมากขึ้นจนแทบทนไม่ไหว  ผมได้ยินเสียงตัวเองบดฟันเพราะการข่มกลั้นอารมณ์  คำนับลืมตาเหลียวหน้ามามอง

“โป๊ยกั๊ก?”

“ได้ไหม?”  กัดฟันเอ่ยถามความพร้อมใจของเขาทั้งๆ ที่แทบจะระเบิดอยู่รอมร่อ  คำนับพยักหน้า  คำอนุญาตของเขาแทบทำให้สติของผมขาดผึง  ผมเอี้ยวตัวไปตรงเค้าท์เตอร์บาร์หยิบขวดเจลเปิดฝาเทลงบนสะโพกขาว  คำนับสะดุ้งอีกครั้งเมื่อผิวสัมผัสความเย็นของเนื้อเจล  ผมคว้าซองถุงยางใช้ฟันฉีกก่อนสวมมันอย่างเร่งรีบ  ทุกกระบวนการคำนับจับจ้องด้วยสายตาฉ่ำวาว  ผมโน้มตัวลงจูบริมฝีปากบาง  กอบกุมส่วนอ่อนไหวที่ปริ่มน้ำของเขาไว้ในอุ้งมืออีกครั้งแล้วขยับรูดรั้งพลางกดส่วนแข็งขึงของตัวเองเข้าสู่ส่วนร้อนผ่าวอันอ่อนนุ่มเบื้องหน้า

ร่างผอมเกร็งตัว  ช่องทางรัดแน่นจนไม่สามารถขยับเคลื่อนไหวได้  ผมรู้สึกเหมือนแทบขาดใจแต่ไม่อาจเดินหน้าถ้าคำนับเจ็บปวดและต่อต้าน

“อย่าหยุด”  คำนับยกมือเกาะแขนผมข้างที่เท้ากับโต๊ะทานข้าว  ผมผ่อนหายใจก่อนจะทาบทับแผ่นหลังผอมบาง  สัมผัสกอดคนตรงหน้าพลางไล่จูบไปตามลำคอ  ใบหู  ข้างแก้มและริมฝีปากบางเพื่อปลอบประโลม  ผมจูบเขาเนิ่นนาน  พอรู้สึกว่าคนในอ้อมกอดคลายอาการเจ็บลงจึงกดสะโพกลงอีกครั้ง

“อ๊ะ!”  คำนับจิกเล็บลงบนหลังมือผม  อีกข้างจิกเนื้อไม้ของโต๊ะทานข้าว  แผ่นหลังขาวแอ่นโค้งดูสวยงามจนอดไม่ได้ที่จะฝากรอยฟันเอาไว้  เวลาที่เขาโดนกัดช่องทางร้อนผ่าวจะรัดแน่นขึ้นจนผมแทบละลาย

ผมบดสะโพกสร้างความคุ้นชิน  ปลุกเร้าคนในอ้อมแขนทุกสัมผัสแล้วค่อยขยับรุกเร้าแรงขึ้นเมื่อเขาผ่อนแรงต้านและเจ็บน้อยลง  ผมโดนคำนับกัดจนเลือดซิบตรงข้อมือข้างที่ใช้ยันโต๊ะตอนที่ยั้งแรงไม่ทันโถมสะโพกใส่จนเขาต้องกระถดตัวหนี

ผมพลิกร่างคำนับให้นอนหงาย  ผ้ากันเปื้อนสีดำยับย่นร่นขึ้นปิดบังผิวขาวได้แค่บางส่วน  ผมรั้งเรียวขาขาวขึ้นพาดบ่า  จูบปลีน่องระเรื่อยลงไปข้อเท้าที่สร้อยเส้นนั้นสะท้อนแสงอยู่  ร่างผอมของคำนับสั่นสะท้านตอนที่ผมใช้ปลายลิ้นเกี่ยวสร้อยข้อเท้าเส้นนั้น  ผมยกยิ้มมุมปากเมื่อเขายื่นแขนออกมา

ผมกดจูบปลุกเร้า  สอดกายแนบสนิทอีกครั้ง  ขาข้างที่สวมสร้อยข้อเท้ายังพาดอยู่บนบ่าอีกข้างเขาเกี่ยวกระหวัดเอวผมไว้แน่น  ยามที่สอดประสานสร้อยเส้นนั้นยิ่งสะท้อนแสงไฟ  หัวใจผมเต้นรัวเร็ว  ความรู้สึกยินดีเปี่ยมล้น  ความสุขทะลักทลายอยู่ในอก  ผมลูบไล้เรียวขาขาว  สอดปลายนิ้วชี้เกี่ยวสร้อยสีเงินพลางขยับสะโพกรัวเร็ว  อีกข้างปรนเปรอเขาไม่หยุด  คำนับสบสายตาแม้ยามที่ความเสียวซ่านกำลังโจมตี  ผมยิ้มให้กับคนตรงหน้าเขายิ้มตอบกลับมา

“ฉันรักนายคำนับ  รักนาย”  ผมก้มลงจูบเขา  กระซิบถ้อยคำนั้นซ้ำๆ คนข้างใต้วาดแขนกอดผมแน่น

“อืม  ฉันก็รักนายโป๊ยกั๊ก รักนายเหมือนกัน” 

เรากอดก่ายกัน  จูบกัน  กระซิบถ้อยคำรักแผ่วเบา  ถ่ายทอดความคิดถึงที่ไม่มีทีท่าว่าจะเบาบางลงเลยสักนิด  ผมข่มกลั้นไม่ปลดปล่อยและไม่ยอมให้คำนับปลดปล่อยเพื่อยืดเวลาแห่งความสุขสมนี้ออกไป

“ขอ  ขอพักหน่อย”  คนข้างใต้หอบหายใจพลางวิงวอน  ผมอ้าปากจะค้านขอต่อเวลาแต่เห็นท่าทางของเขาแล้วเปลี่ยนใจขยับสะโพกเร็วขึ้น  ขยับข้อมือที่กอบกุมเขาแรงขึ้นพาเราทั้งคู่สู่จุดหมายปลายทาง

ตอนที่ปล่อยขาของคำนับลงจากบ่าเขาก็หมดสติไปแล้ว  ร่างขาวซีดนอนหมดแรง  ใบหน้าได้รูปเอียงไปด้านข้าง ริมฝีปากบางบวมเจ่อ  เนื้อตัวมีทั้งรอยกัดรอยจูบที่ผมทำไว้ทั่ว  ขนาดต้นขาด้านในกับแก้มก้นเขาผมยังไม่ละเว้น  ผ้ากันเปื้อนสีดำเปรอะเปื้อนร่องรอยความรักของเราสองคนร่นไปกองอยู่ตรงหน้าอก  คำนับจมสู่ห่วงนิทราเพราะอ่อนเพลียจากการเดินทางซ้ำยังโดนผมสูบพลังชีวิตต่อเนื่องยาวนาน  พอเห็นแบบนั้นเลยรู้สึกผิดวูบในใจขึ้นมา

แต่การได้กินคำนับในชุดผ้ากันเปื้อนผืนเดียวมันเป็นความฝันของผมนี่นา  ในที่สุดก็ได้กินแบบที่จินตนาการไว้ก็เลยเบรกตัวเองไม่ไหวซ้ำยังไม่อิ่มอีกต่างหาก  ผ้ากันเปื้อนนี่เป็นไอเทมปลุกความหื่นจริงๆ  ผมถอนหายใจ  เอาวะ  ไว้กินวันหลังอีกก็ได้

ผมแบกคำนับมานอนที่เตียง  จัดการเช็ดเนื้อตัวและทำความสะอาดช่องทางด้านหลังที่บอบช้ำด้วยความเบามือ  ตรงบริเวณนั้นแดงเรื่อมีเลือดซิบๆ ผมเลยเขกหัวตัวเองแรงๆ ไปห้าทีโทษฐานไม่รู้จักยับยั้งชั่งใจทำให้คำนับเจ็บตัว  ผมประคองเขาพิงอกแล้วป้อนยาพาราเซตามอลกับยาแก้อักเสบ  สวมชุดนอนหนานุ่มให้เขาแล้วลุกออกไปซักผ้ากันเปื้อนที่โดนย่ำยีผืนนั้น  เก็บอีกสามสี่ผืนลงกล่องแล้วกระโจนขึ้นเตียงดึงร่างผอมของคำนับเข้ามาในอ้อมกอด  กดจูบหน้าผากเหม่งๆ ไปอีกสองสามทีก่อนกระซิบบอกราตรีสวัสดิ์

พรุ่งนี้จะบอกน้าแป้งยังไงดีว่าคำนับตื่นไปทำบุญไม่ไหวแล้ว

อ๊ะ  จริงซิ  ตอนนี้ผมกับคำนับเราเป็นคนรักกันแล้วใช่ไหม?

ฮิฮิฮิฮิ  ขอหัวเราะแบบเพกาเวลาเจอเรื่องถูกใจหน่อยเถอะ  ก็เพราะว่าผมมีความสุขมากๆ เลยนี่นา  ผมกระชับกอดแน่นขึ้นอีกนิด  ยืดหัวออกแล้วจูบหน้าผาก  จูบแก้ม  จูบจมูก  จูบคาง  จูบริมฝีปาก  วนไปวนมาจนหน้าคำนับแทบชุ่มไปด้วยน้ำลายผมถึงได้หยุด

คำนับ  ตีรนันท์  นายเป็นคนรักของฉันแล้วนะที่รัก







จบ.   








ในที่สุดเรื่องนี้ก็มาถึงตอนจบเหมือนตามพี่ๆ ทั้งสองคนแล้วนะคะ  ก่อนอื่นเลยต้องขอโทษด้วยที่ท้ายๆ มาทรายลงนิยายไม่สม่ำเสมอ  ด้วยอะไรหลายๆ อย่างที่ประดังประเดเข้ามาในชีวิต  ทั้งเวลาที่ถูกแย่งไปจนร่างกายไม่ได้รับการดูแล  จิตใจที่แย่ตามร่างกาย  และอะไรอีกหลายๆ อย่างที่มาทำให้ชีวิตยุ่งเหยิงกว่าเดิม 150 เท่า  จนตอนนี้ก็กลายเป็นทรายที่รั้งท้ายพี่ๆ และนักเขียนร่วมโปรเจ็กอีกสองคน  วันที่คิดว่าจะได้แต่งและเคลียร์เรื่องนี้ให้จบก็โดนแทรกทุกครั้ง  ไม่รู้ว่าช่วงนี้เวรกรรมอะไรกำลังเรียกร้องให้เราเหนื่อยตายหรือเปล่า TAT
ขออภัยจากใจจริงๆ ค่ะ

หวังว่าจากนี้จะมีเวลาได้หายใจหายคอแต่งตอนพิเศษออกมานะคะ

น้อมรับความผิดทุกประการ

ด้วยรักและคิดถึงจากใจ


ทราย
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 16 จบ ] 23-10-61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 13-11-2018 23:38:22
 :pig4: :pig4: :pig4:

จบแล้ว...จบแบบเหมือนเร่งรัดตัดจบ  แต่ก็ไม่ได้ขาดตอนอะไร

ป.ล. โป๊ยกั๊กมีคู่   แล้วกานพลูจะมีคู่ไหม?
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 16 จบ ] 23-10-61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: JokerGirl ที่ 14-11-2018 00:13:50
 :pig4: หวานๆๆมาก ครับในชุดผ้ากันเปื้อน :z1:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 16 จบ ] 23-10-61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: titansyui ที่ 14-11-2018 12:18:54
 :L2: :L2: :กอด1: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 16 จบ ] 23-10-61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 14-11-2018 14:06:52
สุขสมหวังแล้วนะ
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 16 จบ ] 23-10-61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: Billie ที่ 14-11-2018 15:39:10
 :L2: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 16 จบ ] 23-10-61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: sira_nann ที่ 14-11-2018 22:46:30
ขอบคุณค่ะ
 :pig4: :pig4: :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 16 จบ ] 23-10-61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: มนุษย์บิน ที่ 15-11-2018 00:28:18
เสียดายหวังจะให้กานพลูเป็นคนมีตัวตนจริงๆสักวันอยากเห็นคู่กานพลูคงจะฟินน่าดู จบแอบงงๆหน่อยแบบจบแลเวเหรอหาาาจบแล้ว 55555555 แต่ก็ถือว่าทุกอย่างมันเคลีย
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 16 จบ ] 23-10-61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: q.tr ที่ 16-11-2018 20:13:12
อยากให้กานพลูมีคู่กับเค้าบ้าง  :ling1:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 16 จบ ] 23-10-61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: HappyYaoi ที่ 01-02-2019 23:00:27
 :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 16 จบ ] 23-10-61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nijikii ที่ 06-02-2019 10:42:42
กานพลูในร่างโป๊ยกั๊กนึกภาพไม่ออกจริงๆ
555555555555
เป็นพลังวิเศษที่น่ารักมาก
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 16 จบ ] 23-10-61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: yuyie ที่ 09-02-2019 14:27:57
 :pig4: ขอบคุณ​จ้า
สนุกมากๆ
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 16 จบ ] 23-10-61 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: sine ที่ 19-02-2019 20:24:23


SecretMe!  คนนี้ต้องลับ!



ตอนพิเศษ





   การแข่งกีฬากระชับมิตรระหว่างโรงเรียน

   ครั้งแรกที่ได้ยินชื่อของเขาคือตอนแข่งกีฬาคาราเต้ระดับโรงเรียน  ทั้งๆ ที่เขาไม่มีรายชื่อในชมรมกีฬาไหนเลยแต่กลับได้เป็นตัวแทนของนักกีฬาทั้งหมดไปแข่ง  โดยไม่ต้องเห็นหน้าผมก็รู้สึกไม่ชอบใจเพื่อนร่วมสถาบันคนนี้เสียแล้ว 

   การแข่งขันคราวนี้โรงเรียนของเราเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขัน  เสียงเฮดังลั่นโรงยิมที่ใช้แข่ง  ระดับความดังเป็นตัวบ่งบอกว่าผู้ชนะในกีฬานี้คือโรงเรียนเจ้าภาพ  ผมยกกระติกผ้าเย็นให้เพื่อนร่วมห้องซึ่งมีหน้าที่เป็นฝ่ายสวัสดิการแจกจ่ายผ้าเย็นให้เหล่านักกีฬาในสนาม  สาวๆ รอบด้านส่งเสียงกรี้ดไม่หยุดหย่อน  ดวงตาของพวกเธอจับจ้องอยู่ที่คนคนหนึ่ง  ผมหันไปมองตามสายตาของคนเหล่านั้นก่อนจะชะงักนิ่ง  ร่างสูงชะลูดผิวขาวจัดในชุดคาราเต้เปียกชุ่มเมื่อเขายกขวดน้ำเย็นพรมลงบนตัว  ใบหน้าหล่อเหลาเงยขึ้นเล็กน้อย  คิ้วเรียวยาวพาดเฉียง  จมูกโด่งเป็นสัน  ริมปากบางจ่ออยู่ตรงปากขวดน้ำเย็น  ลูกกระเดือกขยับขึ้นลงตามจังหวะการดื่มน้ำ  หันมาทางนักกีฬาตัวจริงของชมรมคาราเต้ที่นั่งยิ้มแห้งแล้วนึกเห็นใจพวกเขานิดหน่อย  ทั้งๆ ที่เป็นนักกีฬาของโรงเรียน  อยู่ชมรมคาราเต้แต่กลับไม่ใช่คนลงแข่งสร้างชัยชนะ

   ช่วงพักเที่ยงผมหยิบข้าวกล่องที่เขาแจกไปนั่งในโรงอาหาร  ช่วงจังหวะกำลังจะตักข้าวเข้าปากคนกลุ่มใหญ่ก็เดินเข้ามานั่งตรงโต๊ะด้านหลัง  เสียงดังโหวกเหวกนั่นกำลังพูดถึงชัยชนะของคนที่อยู่กลางวงล้อม

   “มึงแม่งโคตรเจ๋ง เตะป้าบๆ เอาแต่คะแนนสูงๆ ทั้งนั้น”

   “ใช่  พวกนั้นแม่งไม่มีใครกล้าลงแข่งกับมึงแล้วมั้ง”

   “ก็ลูกเตะมันแม่งโหดเกิ๊น!”

เสียงเยินยอยังดังไม่หยุด  ผมเบะปาก  คนพวกนี้ทำเหมือนเขาเป็นนักกีฬาที่ชนะอยู่คนเดียวอย่างนั้นแหละ  ทั้งๆ ที่คนอื่นในกีฬาประเภทอื่นยังมีผู้ชนะอีกหลายคน  ความรู้สึกหิวข้าวเมื่อครู่เปลี่ยนเป็นอยากอาเจียนแทน  ผมรวบช้อนลุกขึ้นยืน

“น่าดีใจตายล่ะกับชัยชนะที่ได้มาจากการแย่งนักกีฬาตัวจริงลงแข่ง  รางวัลที่ได้จากการก้าวข้ามความพยายามหลายปีของคนอื่น  น่าภูมิใจชะมัด  เฮอะ!”  พูดจบผมก็เดินออกมาจากตรงนั้น  รู้แหละว่าตัวเองกำลังแกว่งเท้าหาเสี้ยน  แกว่งปากหาตีน  สู้ไม่ได้ยังปากดีไปด่าเขาเลยต้องเร่งฝีเท้าหนีห่าง  ความเงียบเข้าปกคลุมคนกลุ่มนั้น  อึดใจหนึ่งผมได้ยินเสียงคนตะโกนไล่หลัง  หลายคนในนั้นลุกขึ้นยืนเตรียมพร้อมมีเรื่องทันทีถ้าผมหันกลับไป

“เฮ้ย  หยุดอยู่ตรงนั้นเลยนะมึงอ่ะ! แน่จริงมึงอย่าหนี!”  ผมหยุดเท้าหากไม่ได้หันกลับไป

“มึงอ่ะหยุดไอ้ภู”  อีกเสียงเอ่ยปรามเพื่อน

“แต่มันว่าโป๊ยกั๊กนะโว้ยดิน!”

“แล้วไง  ไอ้คนโดนด่ามันยังนั่งเฉยไม่รู้สึกอะไรเลยมึงจะดิ้นแทนมันไปทำไม?”

“พวกมึงเลิกเถียงกันแล้วมากินข้าวได้แล้ว  กูหิว! พวกมึงด้วย!”

“โชคดีของมันนะเนี่ยที่วันนี้อาฟ้าทำของโปรดกูใส่ปิ่นโตไอ้กั๊กมาด้วย  ไม่งั้นกูวิ่งไปเตะปากมันละ”

“กูว่าโชคดีของมึงมากกว่ามั้งที่ไม่ต้องโดนเขาเตะปากกลับมาอ่ะ”

“ไอ้ดิน!”  เสียงหัวเราะฮาครืนดังมาจากเพื่อนรอบวงของหมอนั่น  “มึงห้ามกินปิ่นโตของไอ้กั๊กเลยนะ!”

“เรื่องอะไรล่ะ  อาฟ้าจัดปิ่นโตมาเผื่อตั้งหลายกล่อง  มึงอย่ามาหวงกินนะโว้ย  ตะกละเป็นชูชกแบบนี้สักวันจะท้องแตกตาย”

“จะเป็นชูชกก็เรื่องของกู  ไม่ให้มึงกินหรอก!”  เสียงโวยวายยังดังต่อเนื่อง  ผมเดินออกมาโดยพยายามทำเป็นไม่สนใจสายตาหลายคู่ที่มองมา

ห่อปิ่นโตมาโรงเรียน?  เดี๋ยวนี้แม้แต่เด็กประถมก็ไม่มีใครห่อข้าวมากินโรงเรียนกันแล้วไม่ใช่หรือไง?

นายโป๊ยกั๊กอะไรนั่นคงกำลังมองตามหลังผม  ขนอ่อนตรงหลังคอลุกชัน  สัญชาตญาณเหมือนกำลังรับรู้ถึงอันตรายบางอย่าง  และหากสายตานั่นเป็นใบมีดร่างของผมคงถูกแทงจนพรุนเลือดอาบ

หลังจากวันนั้นเรื่องราวในวันแข่งกีฬาก็หายไปจากหัวผม  จนกระทั่งวันหนึ่ง  วันที่ผมได้เจอกับเขา ...คุณอาสีฟ้า



“ขอโทษนะครับ  ขอรบกวนอะไรหน่อยได้หรือเปล่า?”  ผมหันไปตามเสียงเรียกขณะที่กำลังเดินกลับห้องเรียนหลังจากช่วยอาจารย์ยกเอกสารไปไว้ห้องปกครอง

“ครับ?”  ผู้ชายสูงสมส่วนผิวขาวจัด  ใบหน้าได้รูปรับกับแว่นตาสีใส  ดวงตาอบอุ่นใจดีสะท้อนเปิดเผย  ริมฝีปากสีชมพูวาดเป็นรอยยิ้มอ่อนโยน  บรรยากาศรอบตัวเขาคล้ายอากาศยามเช้าที่สาดส่องด้วยแสงแดดอ่อน

“ห้องของเตวิสอยู่ทางไหนเหรอ?”

“เอ่อ...”

“อ๊ะ  ขอโทษที! ห้องของโป๊ยกั๊ก  ห้อง มอ.4/x น่ะอยู่ตรงไหนเหรอ?”

“ตึกซ้ายชั้นสอง  ห้องที่สี่นับจากฝั่งขวาครับ”

“.........”

“........”

“คือ...  เธอจะช่วยไปส่งผมหน่อยได้ไหม?”

“ได้ครับ”  ผมหัวเราะ  ท่าทางเขินอายของเขาดูเหมือนเด็กหนุ่มมากกว่าจะเป็นคุณพ่อของใครสักคนในโรงเรียนนี้

ผมเดินไปส่งเขา  ระหว่างทางน้ำเสียงนุ่มทุ้มของเขาเอ่ยถึงลูกๆ  แม้ประโยคจะฟังดูเหมือนบ่นแต่กลับรับรู้ได้ถึงความรักเปี่ยมล้น

“เธอว่าเด็ก มอ.ปลายที่ห่อข้าวมาโรงเรียนนี่แปลกไหม?”

“เอ่อ”

“แปลกซินะ  ตอนแรกผมก็กลัวว่าลูกจะอายเพื่อนเลยไม่กล้าทำปิ่นโตให้พวกเขา  แต่เพราะประโยคที่พวกลูกๆ เคยพูดว่า ‘อาหารของพ่อร่อยที่สุดในโลก’ ผมก็เลยลุกแต่เช้ามืดมาทำ”  ผมมองคนข้างๆ  ความรู้สึกว่าเด็ก มอ.ปลายเอาปิ่นโตข้าวมาโรงเรียนเป็นเรื่องแปลกนั้นหยุดลงทันที

‘ข้าวของพ่ออร่อยที่สุดในโลก!’

ประโยคที่ผมเคยพูดประจำเมื่อครั้งยังเด็ก  ทั้งที่ลืมเลือนไปแล้วกลับมาชัดเจนอีกครั้ง

“แต่โป๊ยกั๊กน่ะเวลารีบทีไรมักลืมกล่องข้าวทุกทีเลย”

โป๊ยกั๊ก?

กล่องข้าว?

“เอาล่ะ  ถึงแล้ว”  ผมเงยหน้ามองป้ายเหนือประตูที่บอกชั้นและเลขห้อง  “ขอบใจเธอมากนะที่มาส่ง  อาชื่อสีฟ้าเป็นพ่อของโป๊ยกั๊ก”

“ครับ”

“หืม?  จริงซิ  เอ้านี่ เธอเอานี่ไปกินนะ”  มือขาวล้วงหยิบกล่องทรงกลมขนาดเท่าฝามือยื่นส่งให้  เป็นกล่องข้าวขนาดกะทัดรัดสองชั้นด้านบนเป็นฝาใสมองเห็นด้านใน  ชั้นหนึ่งเป็นข้าวอีกชั้นเป็นแกงพะแนง

“ไม่เป็นไรครับ”

“เอาไปเถอะ  ผมทำมาเผื่อเพื่อนๆ ของโป๊ยกั๊กประจำอยู่แล้ว”  ผมมองใบหน้าและรอยยิ้มใจดีของเขาก่อนจะรับกล่องข้าวนั้นมา  “กินให้อร่อยนะ!”

“ขอบคุณครับ”

.

.

ผมลาป่วยหลังจากตักพะแนงเข้าปากไปเพียงหนึ่งคำ

ขณะนั่งอยู่บนรถเมล์น้ำตาของผมยังคงไม่หยุดไหล  จนเมื่อถึงบ้าน  แม่เงยหน้าจากหนังสือพิมพ์  ปากกาเมจิกสีแดงที่ใช้วงข่าวรับสมัครงานชะงักค้าง

“มีเรื่องอะไรที่โรงเรียนเหรอ?”  แม่ลุกขึ้นเดินมาหา  มือแห้งแตกคู่นั้นสัมผัสแก้มผมแผ่วเบาเพื่อปลอบประโลม  ผมส่ายหน้าก่อนยื่นกล่องข้าวให้  แม่รับไปเปิดดูแล้วเงยหน้าเป็นเชิงถาม  ผมจับมือแม่ไปนั่งตรงโต๊ะกินข้าว  เปิดฝากล่องแกงพะแนงยื่นช้อนให้  แม้จะแปลกใจกับการกระทำของผมแต่แม่ก็ตักแกงนั้นเข้าปาก

“นี่มัน!”

“เหมือนใช่ไหมครับ?”  แม่พยักหน้าดวงตารื้นน้ำ

“ลูกไปเอามาจากไหน?”

“มีคนให้ผมมา”

“ใครเหรอ?”

“สีฟ้า  เขาชื่อสีฟ้า”



หลังจากวันนั้นผมจะมาโรงเรียนให้เร็วขึ้นกว่าเดิม  ยืนอยู่แถวหน้าประตูโรงเรียนพยายามมองหาเขาเวลาที่เขามาส่งลูกๆ  ได้เห็นรอยยิ้มใจดีกับสายตาอบอุ่นเวลาเขามองลูกผมก็รู้สึกดีแล้ว 

คุณอาสีฟ้า  เป็นเชฟร้านอาหาร  เท่าที่ได้ยินมาทุกอย่างในร้านที่เขาปรุงล้วนอร่อยทุกอย่าง  ผมเชื่ออย่างนั้นนะหลังจากได้กินพะแพงหมูฝีมือเขา 

อนาคตที่ไม่รู้ว่าจะไปทางไหนดีของผมชัดเจนขึ้นเมื่อได้เจออาสีฟ้า  ผมอยากเป็นเชฟเหมือนอาสีฟ้า  เหมือนพ่อ..



ว่าแต่ลูกชายอาสีฟ้าชื่ออะไรนะ?

โป๊ยกั๊ก?



อา  ใช่  หลังจากวันที่ผมอาจหาญไปด่าเขา  ผมก็ไม่เคยได้ยินชื่อเขาเป็นตัวแทนของโรงเรียนไปแข่งกีฬาอีกเลย  แต่ยังคงรับปากช่วยเหลือการแข่งระหว่างชมรมอยู่เป็นประจำ  หรือว่าเขาเก็บคำพูดของผมไปคิด?

คงไม่ใช่หรอกมั้ง 

*********


“วันนี้ทำอะไรกินเนี่ย  กลิ่นหอมไปถึงข้างนอก”  ผมละจากหน้าเตา  เปิดตู้เย็นหยิบเหยือกน้ำเก๊กฮวยแช่เย็นจนเป็นเกล็ดน้ำแข็งเทใส่แก้วยื่นให้คนที่นั่งหมดแรงตรงโต๊ะกินข้าว  วันนี้โป๊ยกั๊กออกไปดูที่ดินเพื่อขยายสาขาร้าน

“พะแนง”

“อาทิตย์ก่อนก็เพิ่งทำไปไม่ใช่เหรอ?”  โป๊ยกั๊กยกแก้วน้ำเก๊กฮวยขึ้นดื่ม  คิ้วเข้มขมวดสงสัย  ผมยิ้มก่อนหันไปคนแกงในหม้อต่อ  เมื่อได้ที่จึงหรี่ไฟเบาลง  หันไปหยิบถ้วยแกงใบเล็กตักแกงพะแนงใส่ถ้วยมาวางตรงหน้าเขา

“ของอาทิตย์นี้ไม่เหมือนอาทิตย์ก่อน”  ผมนั่งลงฝั่งตรงข้าม  กอดอกโน้มตัวลงพลางส่งสายตากดดันให้อีกฝ่ายหยิบช้อนตักแกงเข้าปาก

“อืม”

“เป็นไง?”  เห็นท่าทางอีกฝ่ายเหมือนจะแกล้งกันอย่างทุกทีเลยเร่งให้เขาตอบ  เวลาผมทำอาหารเมนูใหม่ให้โป๊ยกั๊กชิมเขามักนั่งนิ่งเป็นนานสองนานกว่าจะยอมให้คำตอบ  ทำเอาหงุดหงิดอยู่หลายหนจนต้องขู่ว่าจะย้ายครัวไปทำให้อาฟ้าชิม  นั่นแหละเขาถึงยอมเปิดปากแบบไม่ท่ามากอะไรอีก

“วันนี้เนื้อหมูค่อนข้างนุ่ม  เคี้ยวง่าย  น้ำแกงซึมเข้าไปในเนื้อเลยทำให้มันนุ่มขึ้น  น้ำแกงข้นกลิ่นเครื่องเทศเด่นขึ้นแต่ไม่ฉุนจัด  ค่อนข้างเผ็ดร้อนเหมาะกับคนชอบรสจัดจ้าน  ส่วนคราวก่อนนายทำเลียนแบบพ่อฟ้าใช่ไหม?”

“นายรู้?”

“มีเรื่องอะไรเกี่ยวกับนายที่ฉันไม่รู้บ้าง?”  โป๊ยกั๊กกอดอกมั่นใจ  คางได้รูปของเขาเชิดขึ้นจนดูน่าหมั่นไส้

“ก็มีอยู่นะ”

“เรื่องอะไร?”  แขนที่กอดอกคลายออก  ใบหน้าหล่อเหลาถมึงทึง  เขาโน้มตัวมาข้างหน้าพลางหรี่ตาจ้องเขม็ง

“ถ้าบอกมันจะกลายเป็นเรื่องที่นายรู้แล้วน่ะซิ”  ผมเอียงคอพูด  มองเขาพร้อมรอยยิ้ม

“จะบอกดีๆ หรือต้องเจ็บตัวก่อน?”  เขาขู่  นิ้วเรียวยาวเลื่อนขึ้นคลายปมเนกไทดวงตาเรียวยังคงจ้องผมเช่นเดิม

“เอ่อ  เรื่องพะแนงนี่ไง!”  ผมเด้งตัวตบโต๊ะแล้วตอบเขาเสียงดัง

“พะแนง?”

“ใช่  คราวก่อนฉันทำเลียนแบบอาฟ้าจริงๆ แกงพะแนงของอาฟ้าน่ะสุดยอดเลยนะ”  ผมยิ้มเมื่อนึกถึงครั้งแรกที่ได้กินฝีมือของอาฟ้า  แต่มีคนไม่ยิ้มตีหน้าบึ้งใส่ผมอยู่หนึ่งอัตราตรงหน้านี่

“ฉันก็สุดยอดนะ  ทั้งอึดทั้งทน  หรือนายว่าไง?”

“ไอ้บ้าโป๊ยกั๊ก!  ไหงวกเข้าไปเรื่องนั้นล่ะ!”

“รู้ว่าฉันไม่ชอบให้ชมผู้ชายคนอื่นต่อหน้ายังจะทำอยู่อีก”

“......”  อึ้งไปเลย  ผมถึงกับพูดไม่ออกเมื่อได้ยินคำนั้นจากปากโป๊ยกั๊ก  ขณะที่กำลังคิดว่าจะพูดอะไรดีเขาก็ลุกขึ้นเดินไปทางหม้อแกง  ผมหันไปมอง

“นี่จะเอาไปให้พ่อฟ้าชิมใช่ไหม?”

“ใช่”

“เอาล่ะ  พะแนงวันนั้นกับพะแนงวันนี้ไม่เหมือนกันด้วยเหตุผลอะไรบางอย่าง  นี่เป็นเรื่องที่ฉันไม่รู้ตามที่นายบอก”

“อา  ใช่!  พะแนงของอาฟ้าน่ะรสชาติเหมือนของพ่อฉันเลย”

“ห้ะ?”

“เวลาที่คิดถึงพ่อฉันเลยอยากทำรสชาติแบบนั้นบ้าง  แต่พะแนงวันนี้น่ะเป็นรสมือในแบบฉบับของฉันเองก็เลยอยากให้อาฟ้าลองชิม”

“งั้นไปเลยไหม?”

“แต่นายเพิ่งกลับมาจากข้างนอกเหนื่อยๆ นะ  ยังไงฉันไปคนเดียวได้...”

“ไม่ได้! ไม่อนุญาต!”

“โป๊ยกั๊ก  อาฟ้าน่ะพ่อนายนะ?”  ทำตัวเป็นเด็กโข่งไปได้  ประโยคนี้พูดได้แค่ในใจเพราะถ้าเผลอปากออกเสียงไปเย็นนี้ผมคงไม่ได้ออกจากบ้านแน่ๆ

“พ่อแล้วไง  ไม่ว่านายเข้าใกล้ใครฉันก็หวงนายทั้งนั้นแหละ!”

“นายนี่มัน...” ผมส่ายหัว  อยากจะเขินอยู่หรอกเวลาเขาออกอาการหึงหวงแบบนี้แต่ขำมากกว่า  โป๊ยกั๊กทำเหมือนผมหน้าตาดีมีคนเข้าหามากมายอย่างนั้นแหละ  ผมน่ะ  เป็นแค่ผู้ชายธรรมดาหน้าตาบ้านๆ  ไม่มีเสน่ห์ตรงไหนเลย  ทุกวันนี้ผมยังสงสัยด้วยซ้ำว่าโป๊ยกั๊กรักชอบอะไรในตัวผม

ผมลุกขึ้นไปหยุดยืนตรงหน้าโป๊ยกั๊ก  ยกมือประกบแก้มเขา  ยื่นหน้าไปจูบบนริมฝีปากบางเบาๆ  ผละออกพลางสบตานิ่ง

“ฟังนะ  อาฟ้าน่ะเป็นแรงบันดาลใจของฉัน  เป็นเหมือนพ่อคนที่สองดังนั้นเลิกหวงได้แล้วน่า”

“อ่าฮะ  ได้คำตอบสักทีว่าเมื่อก่อนทำไมนายถึงหน้าแดงหูแดงทุกครั้งเวลาเจอหน้าพ่อฟ้า”

“ก็เหมือนเวลาเราเจอไอดอลที่ชอบตัวเป็นๆ ไง”

“ตื่นเต้น?”

“ไม่อ่ะ  เขินจริง”

“นี่!”  ผมหัวเราะ  เวลาได้แกล้งเขาแบบนี้มันสะใจดีแหะ  ถึงจะเป็นการเอาคืนแค่เศษเสี้ยวที่เขาแกล้งผมก็เถอะ



เย็นวันนั้นพวกเราเข้าไปหาอาฟ้า  ทุกคนอยู่กันเกือบพร้อมหน้าพร้อมตาขาดเพียงพี่ใบไธม์ซึ่งยังคงติดงานเสมอต้นเสมอปลายมาหลายปีไม่เปลี่ยนแปลง

อาฟ้าทำตาโตเมื่อได้ชิมแกงพะแนงฝีมือผม  ยกนิ้วโป้งให้สองข้างซ้ำยังชมไม่หยุดปากเล่นเอาผมเขินจนแทบมุดพื้น  ส่วนโป๊ยกั๊กน่ะเกือบล้มโต๊ะเมื่อเห็นท่าทางผม  หมายถึงยกโต๊ะทุ่มใส่ผมน่ะนะ 

คนอะไร๊  หึงได้แม้กระทั่งโต๊ะ

เอ๊ะ  ไม่ใช่งั้นเหรอ?

ผมหัวเราะพลางค่อยๆ  ยื่นมือไปกุมมือเขาใต้โต๊ะกินข้าวโดยไม่ให้ใครเห็น  โป๊ยกั๊กพลิกมือมาประสานก่อนที่นิ้วของเขาจะขยับมากดคลึงตรงกลางฝ่ามือแผ่วเบา  พอเห็นผมนิ่งเขาก็เพิ่มแรงกดคลึงไปทั่วฝ่ามือผมก่อนจะหยุดอยู่ตรงกลางแล้วขยับนิ้วเป็นจังหวะ...

ปึก!

“โอ๊ะ!”  ผมดึงมือออกแล้วถองศอกใส่คนข้างๆ

“หืม?”  อาฟ้าซึ่งกำลังพิจารณาพะแนงหมูหันมามองอาการแปลกๆ ของลูกชาย  “โป๊ยกั๊กเป็นอะไรเหรอ?”

“สงสัยโป๊ยกั๊กจะหิวแล้ว”  ผมเป็นฝ่ายตอบส่วนคนโดนถามกุมสีข้างจ้องผมตาขวาง

แย่แล้ว  คืนนี้ผมไม่รอดแน่!




ผมยิ้ม  นั่งมองอาฟ้าตักอาหารฝีมือผมครั้งแล้วครั้งเล่า  ผมคิด  หากคนที่นั่งตรงนั้นเป็นพ่อของผมก็คงดี  แต่ว่าไม่เป็นไรหรอกเพราะตอนอาฟ้าพูดว่า ‘ต่อไปนี้ครับคือลูกชายของอาแล้วนะ’  ตั้งแต่นั้นคนคนนี้ก็กลายเป็นพ่อของผมไปแล้ว  อาฟ้าอาจไม่รู้ว่าเขาคือแรงบันดาลใจของผม  เป็นสิ่งยิ่งใหญ่ในชีวิตของเด็กคนหนึ่งตั้งแต่ครั้งแรกเมื่อเจอกัน


ขอบคุณอะไรก็ตามที่ทำให้ผมได้เจออาฟ้า


ขอบคุณอาฟ้าที่สร้างโป๊ยกั๊กของผมขึ้นมาด้วย


ผมหันไปคว้ามือโป๊ยกั๊กมากุมไว้อีกครั้ง  ยิ้มขอโทษให้เขาที่แกล้งเมื่อกี้  แม้เขาจะทำท่างอนแต่ยังยอมให้ผมกุมมือและกุมมือตอบกลับมา 





โลกใบนี้อาจบังเอิญเหวี่ยงใครสักคนที่เป็นแรงบันดาลใจมาให้เราได้ก้าวต่อ  และตัวเราเองอาจกลายเป็นแรงบันดาลใจให้ใครคนอื่นโดยไม่รู้ตัว



หากผมกลายเป็นแรงบันดาลใจของใครสักคนก็ขอให้เขาเดินไปข้างหน้าอย่างมีความสุขในทุกช่วงเวลาชีวิต



 



ตอนนี้ความสุขของผมก็ยังคงเพิ่มขึ้นทุกวัน







จบ.







สวัสดีค่ะ  วันนี้เอาตอนพิเศษมาลงส่งท้ายค่ะ  หากทำให้คนอ่านมีความและอิ่มเอมใจก็ดีใจมากเลย
นิยายเรื่องนี้อาจไม่ดีที่สุด  อาจต้องปรับปรุงหลายอย่าง  ทรายก็จะพัฒนาและปรับปรุงให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปนะคะ 
ขอบคุณทุกกำลังใจ  คำแนะนำ ติ ชม  ทั้งหมดที่มอบให้กันมาตลอดนะคะ  ดีใจและน้อมรับไปพัฒนาตัวเองค่ะ^^
ขอให้ทุกคนมีความสุขกับนิยายซตนี้ทั้ง 3 เรื่องนะคะ^^

สุดท้ายฝากผลงานของเราทั้ง 3 คนด้วยนะคะ  ตอนนี้กำลังเปิดพรีอยู่ค่ะ  รายละเอียดสามารถติดตามได้ทางเพจของ
สนพ.Maze novel ได้เลยค่ะ




ด้วยรัก


ทราย
















หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอนพิเศษ] 19-02-62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: B52 ที่ 20-02-2019 01:19:10
 :pig4: สำหรับตอนพิเศษ​ค่ะ​ อิ่มอกอิ่มใจ​มากๆ​ แต่ตอนนี้สิ​ คีหนึ่งกว่าๆจะไปหาพะแนงที่ไหนมาทาน​ มีแต่พริกแกงสำเร็จรูปไม่มีหมู​  :sad4: หิว
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอนพิเศษ] 19-02-62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: DrSlump ที่ 22-02-2019 02:43:28
 :pig4: :pig4: :pig4:

สเปฯ นี้ทำให้รู้สาเหตุว่าทำไมนุ้งครับถึงเขินอายตลอดเวเมื่ออยู่ต่อหน้าพ่อฟ้า รวมถึงแรงบันดาลใจมุ่งมั่นที่จะเป็นเชพ(กะทะเหล็ก)
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอนพิเศษ] 19-02-62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: KKKwanGGG ที่ 06-06-2019 08:33:41
สนุกมาก เป็นครอบครัวที่น่ารักมาก ๆ



ขอบคุณครับ
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอนพิเศษ] 19-02-62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: van16 ที่ 22-07-2019 17:57:28
สนุกมากๆ ค่ะ เอ็นดูกานพลู  :กอด1:   :pig4:
หัวข้อ: Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอนพิเศษ] 19-02-62 P.4
เริ่มหัวข้อโดย: nOn†ღ ที่ 16-04-2020 11:51:07
 :pig4: