My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอนพิเศษ] 19-02-62 P.4
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอนพิเศษ] 19-02-62 P.4  (อ่าน 23442 ครั้ง)

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3



Secret Me  คนนี้ต้องลับ!
ตอนที่10




เพราะเหตุการณ์เมื่อหลายวันก่อนทำเอาคำนับหนีหน้าอีกทั้งไม่ยอมไปช่วยงานที่ร้าน  พ่อบอกว่าคำนับขอลาหยุดหนึ่งอาทิตย์  พอพ่อถามสาเหตุก็บอกว่าช่วงนี้ยุ่งๆ ต้องช่วยน้าแป้งทำอะไรสักอย่าง  ผมรู้ว่านั่นคือข้ออ้างจะไม่เจอหน้าผมมากกว่า  แต่ช่างเถอะ  ยังไงซะเราก็ต้องเจอกันที่โรงเรียนอยู่แล้ว  ดังนั้นตอนนี้ผมเลยมาดักรอหน้าห้องก่อนกริ่งพักเที่ยงจะดัง  ไม่งั้นไม่ทันครับ  คำนับไวเหมือนแมว  เผลอแปบเดียวก็คลาดสายตาจับไม่ทันแล้ว

เห็นเงาร่างคุ้นตาผมก็คว้าหมับเข้าคอเสื้อ  คำนับตกใจหันมามอง  พอรู้ว่าเป็นผมก็จ้องตาเขียวพยายามบิดตัวดึงคอเสื้อให้หลุด  ผมจิ๊ปากขัดใจแล้วลากเขาไปใต้ต้นเสลาเงาไม่มีที่มักมานั่งกินข้าวเที่ยงกันประจำ

“ไหนข้าว?”  เพราะไม่รู้ว่าจะเริ่มต้นบทสนทนายังไงดี  สุดท้ายเลยใช้คำพูดประจำตะคอกใส่เขา  บ้าเอ้ย!  ตบปากตัวเองตอนนี้ทันไหมเนี่ย

“....”

“ถามไม่ได้ยินหรือไง  หูตึงเหรอ?” โว้ย! ยั้งปากไม่ทันอีกแล้ว!

“ไม่มี!”

“หมายความว่าไงที่ไม่มี?”

“ไม่มีก็คือไม่มีไง  ฟังภาษาไทยไม่ออกเหรอ?  โง่นี่หว่า”  อื้อหือ  น้ำเสียงดูถูกมาก  นี่ถ้าไม่ติดว่าลากเพื่ออะไรจะบิดปากบางๆ นั่นสักที

“นี่!”

“ทำไม  จะต่อยอีกเหรอ?”

“.....”  ผมชะงัก  ความรู้สึกผิดวูบขึ้นมาในอก  หรุบตามองรอยช้ำจางๆ ตรงมุมปากเขาแล้วให้รู้สึกเจ็บแปลบแปลกๆ  อยากยกมือขึ้นลูบรอยช้ำนั้น...

“ชกซิ  ไม่พอใจก็ชกเลย”

“...อย่ามาประชด”  ผมพยายามกดเสียงตัวเองไม่ให้สั่น  แววตาของคำนับดูแตกต่างจากเคย  มันเหินห่าง  ...เหมือนกลับไปตอนครั้งแรกที่เราได้รู้จักกัน

“ไม่ได้ประชด  ที่พูดเนี่ยคือนิสัยนายล้วนๆ”

“?”  ผมหรี่ตามอง  คำนับจ้องกลับไม่เกรงกลัว  ริมฝีปากบางเหยียดออกเล็กน้อยก่อนเอ่ยต่อ

“นายมันไอ้คนปากเสียพูดจาไม่คิด  มีหูไว้คั่นสมอง  ยังไม่แก่แต่หูตาดันฝ้าฟาง  ไม่พอใจอะไรเอะอะก็ใช้กำลัง  อารมณ์แปรปรวนเหมือนพวกผู้ป่วยทางจิต  นายมันไอ้พวก...”

“เอาละ  ชักเริ่มมากไปแล้วนะ  ยอมให้พูดหน่อยเป็นไม่ได้”  ผมยกมือห้ามก่อนคำด่าอีกขบวนจะพ่นออกมาจากปากเขา  เห็นนิ่งๆ อย่างนี้ปากจัดใช่ย่อยเลยนะเนี่ย

“...”

“ขอโทษ”

“ห้ะ?”  คำนับชะงักนิ่ง  ดวงตาเรียวเบิกกว้างคล้ายไม่เชื่อในสิ่งที่ได้ยิน  ผมสูดลมหายใจเข้าลึกมองเขาแล้วเอ่ยคำนั้นออกมาดังๆ อีกครั้ง

“ขอโทษ!”

“นายไม่สบายเหรอ?”  คนน่าเตะเขยิบตัวถอยห่างมองด้วยสายตาหวาดๆ แต่ผมรู้ว่าคำนับแกล้งทำ

“ถือว่าไม่ได้ยินละกัน”  ผมจิ๊ปากพลางหันหน้าหนี  ไม่ใช่อะไร  แค่รู้สึกร้อนแถวๆ แก้มน่ะ  ผมคิดว่าตัวเองคงหน้าแดงแน่ๆ  ไม่อยากให้คำนับเห็นเลยให้ตาย

“เดี๋ยวซิ  เมื่อกี้นายขอโทษฉันงั้นเหรอ? จริงดิ?”  ทีอย่างนี้ละยื่นหน้าเข้ามาใกล้เชียวนะ

“......”  ผมพยายามผลักหน้าคำนับออกเพื่อไม่ให้เขามองหน้าผมได้  หมุนหนีจนวนรอบตัวคำนับก็ยังไม่ละความพยายาม  สุดท้ายก็ต้องยอมให้เขาจ้องเพราะผมดันมึนหัวเสียเอง

“ฮ่ะๆๆๆๆ”  แล้วจู่ๆ เสียงหัวเราะจากอีกคนก็ดังลั่น  สงสัยจะเห็นหน้าแดงๆ ของผมแล้วแน่ๆ ผมหันไปมอง  เจ้าแมวตัวผอมกุมท้องหัวเราะน้ำตาเล็ด  ริมฝีปากบางขยับเป็นรอยยิ้มกว้าง  ดวงตาคู่นั้นยิบหยี  ผมขยับมุมปากขึ้นโดยไม่รู้ตัว

“หัวเราะได้นี่ไม่โกรธแล้วใช่ไหม?”

“ก็...”

“ตอบให้เร็ว!”  รีบกลับมาตีหน้าขรึม  แค่คำนับเห็นว่าผมหน้าแดงก็น่าอายมากพอแล้ว

“เออ  ก็ได้!”

“แค่นั้นแหละ!”

“อะไรวะ  มาง้อยังจะบังคับให้หายโกรธอีก”

“ไม่ได้ง้อ!”

“งั้นเมื่อกี้เรียกว่าอะไร?”

“...ผิด”

“อะไรนะ?”

“เมื่อกี้เรียกว่าขอโทษที่เข้าใจผิด  ได้ยินยัง? หัดแคะหูบ้างนะเราน่ะ”  หมั่นไส้นัก  บิดหูแม่งเลย

“โอ๊ยๆ”  คำนับร้องโอดโอยหากริมฝีปากยังคงมีรอยยิ้ม

“งั้นเย็นนี้ไปกินข้าวบ้านฉัน”  ผมปล่อยมือจากใบหูนิ่มมากอดอก  เอ่ยชักชวนคนที่เพิ่งง้อ  เอ้ย  ขอโทษสำเร็จ

“ไม่ไป”

“ไม่อยากไปเจอเจ้าหญิงหรือไง?”

“...”

“เจ้าหญิง  แมวที่เพกาเล่าให้ฟังไง”  เห็นนะว่าแววตากระตุกไหวตอนพูดถึงเจ้าหญิง  พวกแมวเนี่ยมักจะดึงดูดพวกเดียวกันใช่ไหม?

“ก็ได้”




แค่นี้แหละ
ขอแค่คำนับหัวเราะ  ยิ้ม  มีความสุข  และมองกันเหมือนอย่างเคย
แค่นี้ก็เหมือนในอกคับแน่นไปด้วยลูกโป่งสีสันสดใสนับร้อยที่แข่งกันล่องลอยบนท้องฟ้าท่ามกลางฤดูร้อน




สุดท้ายกลายเป็นว่ามานั่งกินข้าวด้วยกันอยู่ที่บ้านแต่แม่เข้าเวร  พี่ใบไธม์ไม่กลับ  กระวานไม่อยู่เลยเหลือแค่พ่อ  เพกา  ผมและคำนับ  น้องสาวคนเล็กยิ้มแป้นเมื่อเห็นหน้าคำนับพลางลากให้ไปนั่งที่เก้าอี้ตัวข้างกัน  พอผมเหล่ตามองเพกาก็แลบลิ้นใส่  ดู๊  ดู  นี่เป็นน้องสาวใครกันแน่เนี่ย

หลังกินข้าวเสร็จคำนับก็อุ้มเจ้าหญิงไม่วาง  พ่อเล่าประวัติแมวสุดที่รักไม่หยุด  ก่อนท้ายๆ จะเปลี่ยนเป็นเรื่องเรียนของคำนับ  ผมหาวขณะที่มือกดเปลี่ยนช่องทีวีไปเรื่อย  เห็นข่าวบังคับเด็กขายตัวแล้วนึกถึงกระวานขึ้นมา  ไปทำงานร้านอาบ อบ นวดอย่างนั้น  หูเขายังใช้การได้ดีเหมือนเดิมไหม  วันก่อนพี่ไธม์โทร.มาบอกว่าเบซิลสืบให้แล้ว  เห็นว่านายจักรพรรดิเจ้าของสวนสนุก wonder land นั่นเป็นลูกหลานมาเฟียเก่า  ถึงตอนนี้เจ้าตัวจะไม่ได้เกี่ยวข้องกับอำนาจด้านมืดแล้วแต่ยังมีเส้นสายใหญ่พอตัวและผมไม่ควรเข้าไปยุ่งมากนักเดี๋ยวเป็นอันตราย  ยังไงพี่ไธม์จะเป็นคนจับตาดูและสอดส่องเองให้ผมอยู่ห่างๆ ก็พอ  สำคัญที่สุดกระวานปลอดภัยแน่ไม่ต้องเป็นห่วง  ไม่ให้ห่วงได้ไงพี่ชายทั้งคน  อีกอย่าง  คนแถวนั้นพลุกพล่านหูของกระวาน...

“งั้นผมกลับก่อนนะครับ”  เสียงของคำนับปลุกผมให้หลุดจากภวังค์  ร่างผอมสูงลุกขึ้นยืน  เขาจูบใบหูของเจ้าหญิงแผ่วเบาก่อนวางมันลงบนโซฟา

“เดี๋ยวฉันไปส่ง”  ผมผุดลุกขึ้นยืน  วางรีโมททีวีในมือ

“ไม่ต้องหรอกน่า  ฉันกลับเองได้”

“อย่าพูดมาก”

“....”  พ่อเงยหน้ามองเราสองคน  ในขณะที่คำนับเม้มปากมองกลับมา

“พอดีว่าอยากแวะตลาดนัดแถวนั้นน่ะ”  จะว่าผมหาข้ออ้างมันก็ใช่  ช่วยไม่ได้นี่  ช่วงนี้ผมได้ยินข่าวว่าไอ้เปรี้ยวมาตามหาคน  กลัวว่าใครคนนั้นของมันจะเป็นคำนับ  อีกอย่างเพิ่งคืนดีกันได้มันก็ต้องอยากอยู่ใกล้กันนานๆ ไม่ใช่เหรอ เอ๊ะ ทำไมความคิดผมมันเหมือนคนเป็นแฟนกันวะ?

“ถ้าโป๊ยกั๊กไปส่งครับพ่อก็วางใจ”  คำนับอ้าปากเตรียมปฏิเสธหุบปากเงียบทันใด  ตอนผมพูดนี่ไม่ค่อยเชื่อฟัง  ทีพ่อผมบอกละชี้นกเป็นนกชี้ไม้เป็นไม้เชียวนะ! แบบนี้มันโคตรน่าหงุดหงิดเลยไม่ใช่หรือไง!

พอเดินออกมาถึงหน้าถนนใหญ่คำนับหยุดเท้าหันมาบอกว่าจะกลับเอง  ผมไม่จำเป็นต้องไปส่งตามที่บอกกับพ่อฟ้าก็ได้  อีกอย่างดึกแล้วเกรงใจ  เพราะว่ามืดแล้วน่ะซิผมถึงต้องไปส่ง

“แวะตลาดนี้ก่อนซิ”  ไม่รอให้คำนับตอบผมจัดการลากเขาเข้าไปตลาดนัดกลางคืนทันที

เพราะพวกเราอิ่มจากฝีมือของพ่อฟ้ามาแล้วจึงไม่ได้นึกอยากกินอะไรอีก  เพียงแค่สอดส่ายสายตาไปมาตามพวกร้านเสื้อผ้าและของประดับหยุมหยิมเท่านั้น  ช่วยไม่ได้  ผมรู้สึกแค่ว่าอยากอยู่กับเขาให้นานขึ้นอีกหน่อยนี่นา  จนเมื่อผ่านร้านเป็ดพะโล้ผมจึงหยุดเท้า

“ยังกินได้อีกเหรอ?”  คำนับเลิกคิ้วถาม  ผมไม่ตอบจนเมื่อจ่ายเงินแล้วรับถุงเป็ดพะโล้อุ่นร้อนถุงนั้นมาถือ

“นี่ซื้อไปฝากน้าแป้งต่างหาก”

“เฮ้ย  ไม่ต้อง”

“เอาน่า  เผื่อน้าแป้งหิวไง”

“งั้นฉันจ่ายเอง”  ผมวาดแขนดันหลังให้คำนับเดินต่อ 

“ซื้อไปฝาก  ไม่เข้าใจหรือไง”

“แต่...”

“เอ้า  โง่นี่หว่า”  ผมใช้คำที่เขาด่าผมเมื่อกลางวันมาเอาคืนพลางหัวเราะเมื่อเห็นสีหน้าของเขา  คำนับอ้าปากหวอจากนั้นไม่ได้ค้านอะไรอีก

ผมไปส่งคำนับที่บ้านแม้เขาจะค้านอย่างไรก็ห้ามผมไม่ได้  จนมาถึงหน้าบ้านเขา  ผมเหลือบมองโดยรอบและท่าทางนั้นคงไปเตะตาคำนับเข้า  เขาขมวดคิ้ว  มือที่ไขกุญแจหยุดชะงักแล้วมองตามสายตาของผม

“มีอะไร?”

“ช่วงนี้...”

“?”

“ช่วงนี้ไอ้เปรี้ยวติดต่อมาบ้างไหม?”

“ไม่นะ  มีอะไรหรือเปล่า?”  คิ้วเรียวยาวขมวด  สีหน้าเคร่งเครียดขึ้น

“ได้ยินว่ามันกำลังตามหาคน  ฉันกลัวมันมายุ่มย่ามกับนายอีก”

“...เอ่อ” 

“ถ้ามีอะไรต้องบอก  ฉันจะช่วยจัดการให้”  คำนับนิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนยกมือเกาหลังคอ  ถ้าผมตาไม่ฝาดเหมือนเห็นแก้มเขาขึ้นสีเรื่อจางๆ

“เฮ้ย เรื่องแค่นี้จัดการเองได้น่า”

“ก็ถ้ามันมีอะไรเหมือนคราวที่แล้วล่ะ? ฉันไม่อยากให้นายด่วนตัดสินใจแบบนั้นอีก  มีอะไรนายต้องบอกนะรู้ไหม”

“....”
   
“อย่าคิดตัดสินใจอะไรแบบนั้นคนเดียวอีก”
   
“ฉัน...”  ผมจับบ่าของคำนับบีบเบาๆ ไม่ให้เขาเอ่ยปฏิเสธ

“จำไว้ว่านายยังมีฉัน  ไอ้ภูแล้วก็ไอ้ดิน  อ้อ  ไอ้เน่าอีกคน”  คำนับเหลือบสายตามองมา  “ฉันรู้ว่าการไว้ใจใครสักคนไม่ใช่เรื่องง่าย  แต่ก็ไม่ยากนี่  ใช่ไหม?”    คำนับเลิกคิ้ว  คงกำลังคิดว่าผมรู้เรื่องเขาได้ยังไง

“อืม  รู้แล้ว”  ผมเห็นขอบตาเขาแดงเรื่อ  แล้วปลายจมูกโด่งนั่นก็แดงตามขึ้นมา

“เข้าบ้านเถอะ”  ผมรุนหลังเขา  รอจนกว่าคำนับลงกลอนประตูจึงค่อยเดินออกมา

ผมโทร.หาพี่ไธม์  อยากขอความช่วยเหลือเรื่องของไอ้เปรี้ยว  ทำยังไงก็ได้ให้มันเลิกมายุ่งกับคำนับ  ฟังเสียงรอสายไม่นานอีกฝากจึงกดรับ

“พี่ไธม์...”

“กานพลูเหรอ?”  เสียงไม่คุ้นหูทำให้ผมยกโทรศัพท์ออกห่างเพื่อดูชื่อว่าผมโทร.ไปผิดเบอร์หรือไม่  “โอ๊ะ  ลืมไป  นี่ไม่ใช่คืนเดือนดับนี่นา  งั้นก็  โป๊ยกั๊ก!”

“เบซิล?”

“อ่าฮะ  ถูกต้อง  พอดีพี่ชายนายอาบน้ำอยู่ฉันเลยรับแทน  อันที่จริงก็ไม่ได้อยากละลาบละล้วงนะ  แต่พอดีเป็นชื่อนายนี่นาเลยต้องรับน่ะ  นายก็รู้ว่าใบไธม์ให้ความสำคัญกับบรรดาพี่น้องขนาดไหน...”

“เงียบ!”  ไม่เห็นรู้เลยว่าเบซิลเป็นพวกพูดมากขนาดนี้  เดี๋ยวนะ  ผมควรโกรธเรื่องที่เขาพูดมากกว่าไหม  พี่ไธม์อาบน้ำอยู่? หมอนี่แอบจ้องพี่ชายผมเหรอ? แล้วกานพลูไปสนิทกับเบซิลตั้งแต่เมื่อไหร่?

“เฮ้ย  อย่าเพิ่งคิดมากน่า”  รู้ทันผมอีก  เลยต้องหุบปากที่อ้าจะด่าเมื่อเบซิลเอ่ยแทรกกลับมา  “โทร.มาดึกขนาดนี้มีเรื่องอะไรให้ช่วยหรือไง?”

“.....”  ผมหยุดคิด  รบกวนเบซิลคงได้มั้ง

จากนั้นผมจึงเล่าเรื่องราวเกี่ยวกับไอ้เปรี้ยวคร่าวๆ ให้เบซิลฟัง  เขาส่งเสียงรับรู้เป็นระยะ  ผมเงยหน้ามองบานหน้าต่างห้องนอนของคำนับแล้วเอ่ยประโยคสุดท้ายให้เบซิลฟัง

“ทำยังไงก็ได้ให้มันมายุ่งกับเพื่อนผมไม่ได้อีก”

“ฉันไม่รับปากนะ  ถ้ามีอารมณ์เมื่อไหร่จะทำละกัน”

“ขอบคุณครับ”

ผมกดวางทันที  ไม่อยากได้ยินเสียงหัวเราะชอบใจจากอีกฝั่ง

ก็หวังว่าเขาจะเดินต่อไปข้างหน้าโดยไม่มีหนามแหลมมาทิ่มตำเท้าให้สะดุดล้มก่อนจะก้าวเท้าก้าวแรก  ผมรู้ว่าไอ้เปรี้ยวมาคอยส่องดูแถวบ้านคำนับอยู่หลายครั้ง  หลังเลิกเรียนยังพยายามเข้ามาหา  ติดว่าหลายเดือนมานี้ทั้งผม  ไอ้ภูและดินคอยขนาบตลอด  มันเลยยังไม่มีโอกาสเสียที  ขออย่าให้สิ่งที่ผมกังวลเป็นจริงขึ้นมาเลย



**********


ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3



อีกไม่กี่เดือนช่วงเวลาในรั้วโรงเรียนของพวกเราใกล้หมดลงแล้ว  แม้จะรู้สึกใจหายอยู่บ้างแต่ผมกับเพื่อนก็คิดว่าตัวเองพร้อมจะโตขึ้นอีกขั้น  เป็นผู้ใหญ่ขึ้นอีกนิด...

“กั๊ก  มึงว่ากูซื้อชุดนอนใหม่ดีไหม? แล้วผ้าปูที่นอนอ่ะ แบบว่าเผื่อเป็นคืนพิเศษของกูกับไอ้ดิน...”

“มึงตื่น!”  ป้าบ!  ผมฟาดหัวภูธเรศไปหนึ่งทีโทษฐานที่มันทำให้ผมนึกภาพตาม  ภาพที่มันใส่ชุดนอนวาบหวิว  แล้วนอนรอไอ้ดินอยู่บนเตียงเหมือนคู่รักหลังแต่งงาน

“เจ็บนะโว้ย!”  มันลูบหัวป้อยมองค้อน

“ถ้าตีไม่เจ็บจะตีทำไม”

“มึงอ่ะ!”

“อยากซื้อก็ซื้อ  แต่อย่าไปซื้อไอ้ชุดวาบหวิวที่มึงเล็งไว้ล่ะ  เดี๋ยวไอ้ดินเห็นแล้วถีบมึงออกนอกห้องอย่าหาว่าไม่เตือน”  ผมเอ่ยตัดรำคาญ  มันทำท่ากระฟัดกระเฟียดแต่ก็ยอมวางชุดวาบหวิวชุดนั้นลง

หลังจากช่วยภูธเรศซื้อของตามที่ต้องการเสร็จแล้วเราทั้งคู่จึงพากันไปนั่งในร้านเครื่องดื่ม  บดินทร์ผู้ติดภารกิจจะตามมารับทีหลัง  บดินทร์ขับรถยนต์เป็นและเป็นคนเดียวที่มีรถยนต์  ดังนั้นตอนนี้พวกเราเลยต้องรอหมอนั่น

“เดี๋ยวกูมา”

“อ้าว  มึงจะไปไหน?”  ไอ้ภูเงยหน้าจากมือถือขึ้นมาเสือกเมื่อผมลุกขึ้นยืน

“ไปขี้  ตามมาไหม?”  มันทำท่ารังเกียจใส่แล้วก้มลงไปเล่นเกมในโทรศัพท์อีกครั้ง

ฝั่งตรงข้ามของร้านที่เรานั่งอยู่เป็นร้านเครื่องประดับ  ผมเห็นคู่รักที่เพิ่งเดินสวนออกไปยิ้มแย้มมีความสุข  ในมือข้างซ้ายของแต่ละคนมีแหวนสวมไว้

บดินทร์กับภูธเรศจะย้ายไปอยู่หอพักเดียวกัน  ห้องเดียวกัน  แม้บดินทร์จะยังไม่รู้ความในใจของภูธเรศ  แต่ผมก็เห็นว่าไอ้ภูมีความสุขแค่ไหน  ขอแค่ได้ใกล้ชิดย่อมมีโอกาสแน่นอน

แล้วผมกับคำนับล่ะ?

ไม่รู้ซิ  ผมไม่รู้ว่าผมรู้สึกยังไงกับคำนับ  แม้จะมีหลายครั้งที่ไอ้ภูกับไอ้ดินเอาแต่กรอกหูว่าผมมองเขาพิเศษแตกต่างจากคนอื่น  แล้วแตกต่างยังไงล่ะ?

หลังจากนี้ผมกับเขาต้องแยกย้าย  ต่างคนไปเรียนตามทางที่ตัวเองเลือก  เราอาจไม่ได้เจอกันเพราะพี่ซันกลับมาแล้ว  คำนับต้องเรียนคงไม่มีเวลามาเป็นผู้ช่วยเชฟฝึกหัดที่ร้านอีก

แค่คิดว่าหลังจากนี้คำนับอาจมีเพื่อนใหม่อีกหลายคน  มีสังคมใหม่ที่ผมเข้าไปไม่ได้  ผมอาจทำได้เพียงแค่มองอยู่ห่างๆ ไม่ได้เห็นเขาหัวเราะ  ไม่ได้เห็นรอยยิ้มอายๆ ของเขา  ไม่ได้ต่อปากต่อคำ  ไม่ได้กินข้าวกล่องฝีมือเขา  จุดเล็กๆ จุดหนึ่งในอกจึงค่อยขยายใหญ่  จุดเล็กๆ นี่มันเป็นตอนที่ผมเข้าใจเขาผิดว่าจีบเพกา  มันอยู่กลางใจของผมและยังคงอยู่จนมาถึงวันนี้  มันเป็นความวูบโหวงและใจหาย  สิ่งที่ผมไม่เคยบอกใครแม้กับเพื่อนทั้งสองคน

ผมหยุดเท้าหน้าตู้กระจก  หรุบสายตามองของเหล่านั้นอย่างไร้จุดหมาย  ก่อนจะสะดุดตากับบางอย่างจึงค่อยจุดรอยยิ้มตรงมุมปาก

บางทีผมควรทำตัวนิสัยไม่ดีแบบที่เคยเป็นมา

.
.

“อ้าว โป๊ยกั๊ก  ไหว้พระเถอะลูก”

“คำนับล่ะครับ?”

“อยู่ข้างบนแน่ะ  เพิ่งกลับมาถึง”  น้าแป้งยังคงยิ้มแย้มใจดีไม่เปลี่ยน 

ช่วงนี้คำนับไม่ได้ไปช่วยงานที่ร้านเพราะต้องเตรียมตัวเรื่องเรียน  มีไปช่วยบ้างในวันเสาร์-อาทิตย์เท่านั้น  ผมเปิดประตูห้องนอนของคำนับแล้วเข้าไปอย่างวิสาสะ  ได้ยินเสียงน้ำดังมาจากห้องน้ำคาดว่าเขาคงกำลังชำระร่างกายอยู่

ครู่ใหญ่กว่าเจ้าของห้องจะออกมา  คำนับในผ้าเช็ดตัวผืนเดียวพันรอบเอวสอบชะงักเท้าเมื่อเห็นผมนั่งอยู่บนเตียงของเขา

“นายเข้ามาได้ไง?”

“ก็เดินเข้ามาทางประตู”  ผมยักไหล่  พลางกวาดสายตามองรูปร่างของคำนับรวดเร็ว  เมื่อก่อนเขาผอมกว่านี้มาก  ตั้งแต่โดนบังคับให้มากินข้าวกับผมและเพื่อนๆ ถูกบังคับให้ชิมอาหารหลากหลายตอนช่วยงานที่ร้านก็ทำให้น้ำหนักเขาขึ้นมาหลายกิโล  จากผอมแห้งตอนนี้ดูมีเนื้อมีหนังมากขึ้นแล้ว  ผิวซีดเหลืองก็ขาวมีน้ำมีนวลขึ้นกว่าแต่ก่อน  ริมฝีปากและเล็บสีชมพูอย่างคนสุขภาพดี  มีกล้ามเนื้อตรงหน้าท้องลูกเล็กๆ ต้นแขนก็มีกล้ามน้อยๆ…

“มองอะไร”  คำนับยกมือปิดหน้าอกตัวเองเมื่อเห็นสายตาของผม

“มองหุ่นนาย”

“ออกไปก่อนไป  ฉันจะใส่เสื้อผ้า”

“ก็ใส่ไปซิ”

“แต่....”

“เอ้า  ถ้าไม่รีบใส่งั้นมาคุยเรื่องของเรา”  เท่านั้นแหละคำนับจึงวิ่งไปเปิดตู้หยิบเสื้อออกมาอันดับแรก คงกะว่าจะรีบใส่เพื่อไม่ให้ผมมองหน้าอกเขาละมั้ง  แต่ขอโทษ  เป้าหมายผมน่ะอยู่ข้างล่างต่างหาก!

ฟึ่บ!

“เหวอ!”  คำนับร้องลั่นเพราะถูกผมพุ่งเข้ารวบเอวผอมของเขามากอดแล้วกระโดดขึ้นเตียงแคบๆ ของเจ้าตัว  “ทำบ้าอะไรของแก๊!”  เขาร้องเสียงหลงขณะที่ผมหัวเราะชอบใจ  ผมคว้าข้อมือสองข้างของคำนับเอาไว้  เอาร่างหนักๆ ทับตัวผอมๆ ของเขา  กดไว้กับเตียง

ก๊อกๆๆๆ  เราทั้งคู่ต่างหยุดชะงักตอนเสียงเคาะประตูดังขึ้น  ก่อนจะตามมาด้วยเสียงน้าแป้ง

“ครับ  ลูก?  แม่เอาน้ำมาให้โป๊ยกั๊ก...”

“แม่  อย่าเปิด!”  คำนับตะโกนลั่น  เพราะการโรมรันพันตูกันเมื่อครู่ผ้าเช็ดตัวที่เขาห่อข้างล่างไว้ตอนนี้เลื่อนหลุดไปกองกับพื้น  อะไรๆ ของคำนับก็เลยอล่างฉ่างอยู่ใต้ตัวผมเต็มๆ  “คะ  คือ  ผมกำลังใส่เสื้อผ้าอยู่ครับ”

“อ้าว  โป๊ยกั๊กล่ะ?”

“หมอนั่นเข้าห้องน้ำ”  ผมกลั้นเสียงหัวเราะกับคำตอบของเขา  “แม่ไม่ต้องเอาน้ำมาให้หรอก  หมอนั่นไม่หิว  ถึกยังกับอะไรดี!”

“อ้อ  จ้า”

“ว่าฉันถึกเป็นอะไร?”

“ควาย!  อ๊ะ!”  ผมแกล้งบดสะโพกเบียดน้องชายเขาให้สะดุ้งเล่น  คำนับถลึงตามอง  แต่สุดท้ายผมก็ยอมปล่อยให้เขาลุกไปสวมกางเกง  เพราะขืนแกล้งต่อดูท่าคนที่จะแย่คงเป็นตัวผมเองแน่ๆ

“แล้วมานี่มีอะไร?”

“มานั่งนี่”  ผมตบเตียงเพื่อบอกให้เขามานั่งข้างๆ คำนับไม่ยอมเดินมาหาแถมไอ้สายตาหวาดระแวงนั่นมันอะไรไม่ทราบ  “อย่าให้พูดรอบสอง”  ผมหรี่ตาลง  คำนับถอนหายใจก่อนยอมเดินมานั่งข้างกัน

ผมคว้าแขนผอมของคำนับขึ้นมาดู  เขาขมวดคิ้วพยายามดึงแขนตัวเองให้หลุด แต่ผมออกแรงกำแน่นขึ้นก่อนล้วงเอาของในกระเป๋ากางเกงมาสวมลงบนข้อมือของคำนับรวดเร็วแบบไม่ทันให้ตั้งตัว

“อะไร?”

“กำไล”

“ไม่เอาไม่ใส่  ผู้ชายที่ไหนใส่กำไลข้อมือกัน!”

“บอกว่าให้ใส่ไง”

“ไม่เอา!”  คำนับถอดออกผมเลยจับแขนเขาพลิกไพล่หลัง  จับตัวกดเขาคว่ำหน้ากับเตียงแล้วยัดกำไลสวมข้อมืออีกรอบจนได้  “โอ๊ย!”

“บอกว่าอย่าดื้อ!”

“....”  สุดท้ายต่างคนต่างหอบหายใจตอนที่คำนับถูกปล่อยให้เป็นอิสระ  พอผมชะล่าใจไม่ทันตั้งตัวเขาก็ถอดกำไลข้อมืออันนั้นขว้างทิ้งรวดเร็ว  แต่ดันติดผ้าม่านมันเลยกระเด้งกลับเข้ามาในห้อง  หล่นลงบนพื้น  กลิ้งคลุกๆ....เข้าไปใต้เตียง

พอเห็นแบบนั้นผมจึงวาดแขนคว้าคอเขาล็อคเอาไว้แบบพวกมวยปล้ำ  หรี่ตาจ้องมองใบหน้าด้านข้างของเขาพร้อมรอยยิ้มเหี้ยมเกรียม  พูดดีๆ ไม่ชอบ  ชอบให้ใช้กำลังก็ไม่บอก   ผมดันไหล่ให้เขาลุกไปหยิบกำไลออกมาจากใต้เตียง

“ถ้าไม่ใส่กำไลข้อมืองั้นฉันจะเอาปลอกคอมาสวมให้นาย  ดีไหม?”

“....”

“เอาสีชมพูแบบเจ้าหญิง  แถมมีกระพรวนด้วย”

“ไม่...”

“จะบังคับให้นายร้องเมี๊ยวทุกวัน...”  ผมกระซิบเสียงเบาชิดริมหู  คำนับสะดุ้งพลางย่นคอหนี

“สะ  ใส่  ฉันจะใส่กำไล”

“แค่นั้นแหละ”

เท่านี้เจ้าแมวนี่ก็มีเจ้าของแล้ว!

***********



[คำนับ]




โป๊ยกั๊กบอกว่าให้ผมไปที่ร้านก่อนได้เลย  ไม่ใช่ซิ  เขาให้ผมไปร้านพร้อมกับเพกาเพราะวันนี้เขาติดเวรทำความสะอาดคงกลับช้า    ผมเดินตรงไปยังรถเต่าสีชมพูคุ้นตาที่เคยนั่งมาหลายครั้ง  ก้มลงมองหาคุณอาสีฟ้าก็ไม่เห็น  หรือว่าไปเข้าห้องน้ำ?

ผมเหลียวมองไปรอบๆ  เห็นชายหนุ่มร่างสูงพอประมาณ  แก้มกลมดูนุ่มนิ่มยืนขมวดคิ้ว  ริมฝีปากสีชมพูจิ้มลิ้มขยับบ่นไม่หยุด  ดวงตาจ้องเขม็งไปยังชายสูงอายุคนหนึ่งที่ยืนตรงปากประตูเข้าโรงเรียน  ผมมองตาม  ชายคนนั้นหัวล้าน  สายตาเวลามองนักเรียนหญิงดูไม่น่าไว้ใจ

“มีอะไรให้ช่วยหรือเปล่าครับ?”

“หนอย  ไอ้เฒ่าหัวงูนั่นมาจ้องขาสาวๆ แถมคิดลามกอีก  คอยดูนะฉันจะจำหน้ามันไว้แล้วให้โป๊ยกั๊กซัดให้น่วม”

“เอ่อ...”  ผมสะกิดไหล่เขาเพราะดูเหมือนว่าเขาจะไม่ได้ยินคำถาม

“เย้ย!”  เจ้าของแก้มกลมร้องเสียงดังตกใจเมื่อหันมาเห็นผม  โอเค  ผมก็รู้นะว่าหน้าตาตัวเองไม่ค่อยเป็นมิตรกับคนรอบข้าง  แต่พอเห็นท่าทางแบบนี้แล้วชักรู้สึกเสียเซลฟ์ยังไงไม่รู้  ผมก็เลย...ฉีกยิ้มกว้างเพื่อให้รู้ว่าผมมาอย่างมิตร  “นะ  นาย  แสยะยิ้มทำไม  ฉันไม่ใช่คนไม่ดีนะ!”

“เอ่อ”

“นู่น  ไอ้คนไม่ดีคือตาเฒ่าหัวงูนั่นต่างหาก  ฉันได้ยินมันคิดว่าอยากลูบขาสาว....”  เขาพูดรัวเร็ว  พอถึงท้ายประโยคกลับหยุดชะงักมองหน้าผม

“คุณได้ยินความคิด....”

“เอ๊ะ  เพกานี่ช้าจังเล้ย  อยู่ไหนแล้วน้า”   เขาขยับปลายเท้าออกห่าง  แสร้งส่งเสียงเจื้อยแจ้วหันไปทางอื่น  กลบเกลื่อนโดยไม่ยอมมองหน้าผม

“พี่กระวาน!”  เพกาส่งเสียงเรียก  เธอวิ่งเข้ามากอดคนที่ยืนข้างผมแล้วยิ้มกว้าง  “วันนี้ว่างเหรอคะ?”

“ใช่แล้ว  วันนี้ได้หยุดหนึ่งวันพี่เลยมารับเพกาเอง”

“ดีใจจังค่ะ  งั้นเพกาขอพาอีกคนไปด้วยนะคะ”

“หืม?”

“พี่ครับ  ไปกันเถอะค่ะ”  เขาเงยหน้ามองผมด้วยสีหน้าเหรอหรา  ดวงตากะพริบปริบ

“เอ่อ  เขา...”

“นี่พี่กระวาน  พี่ชายคนรองของเพกาเองค่ะ  พี่กระวาน  นี่พี่ครับ  เพื่อนพี่โป๊ยกั๊ก  ตอนนี้มาทำงานที่ร้านเราตอนพี่ซันลาหยุด  วันนี้เขาจะติดรถไปกับเราด้วยนะคะ”  สาวน้อยพูดยืดยาวอธิบายรวดเดียวจบ  ผมยกมือไหว้พี่กระวาน  อีกฝ่ายรับไหว้ด้วยท่าทางงงๆ ไม่หาย  ผมไม่ได้พูดถึงเรื่องเมื่อกี้อีก  บางทีเขาอาจใช้คำพูดผิดไปก็ได้ว่า  ...ได้ยินความคิดคนอื่น...

“เดี๋ยวแวะเปลี่ยนเสื้อผ้าที่บ้านก่อนเนอะแล้วค่อยไปร้าน”  พี่กระวานเอ่ยขณะขยับรถเข้าไปจอดหน้าบ้าน  นี่ไม่ใช่ครั้งแรกที่ผมมาบ้านโป๊ยกั๊ก  แต่เป็นครั้งแรกกับการเจอพี่น้องคนอื่นๆ ของเขาเลยอดเกร็งขึ้นมาไม่ได้  พี่กระวานกับเพกาวิ่งขึ้นชั้นบนเข้าห้องใครห้องมันเพื่ออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้า  ส่วนผมนั่งรออยู่ตรงห้องโถงรับแขก

แอ๊ด....

เสียงบานประตูหน้าบ้านขยับเปิดแผ่วเบา  ผมขมวดคิ้ว  ตกใจว่าเมื่อครู่คงปิดประตูไม่สนิทเลยลุกจะไปปิด  พลันสายตาก็สบเข้ากับเจ้าแมวตัวเขื่องตรงปากประตู

แมวสามสีตัวสวย  ดวงตาสีอำพันคู่นั้นจ้องมองมาทางผมนิ่ง  หูทั้งคู่กระดิกเบาๆ ใบหน้าน่ารักเอียงน้อยๆ คล้ายสงสัยว่าผมเป็นใครทำไมมาอยู่ในบ้านหลังนี้

“เจ้าเหมียว  นายเป็นใครน่ะ  แมวตัวใหม่ของอาฟ้าเหรอ?”  ผมย่อตัวลงหมายจะอุ้มเขามากอดให้ชื่นใจ  แต่เจ้าเหมียวสามสีกระโดดหนีว่องไวไปทางห้องน้ำในห้องครัว  ผมรีบวิ่งตามกลัวว่าหากเจ้าสามสีนี้เป็นแมวจร  เกิดเจ้าหญิงมาเห็นเข้าเขาจะโดนกัดเอาได้

“เจ้าสามสีระวังหน่อย  ที่นี่มีเจ้าถิ่นนะเกิดโดนกัดขึ้นมาจะทำยังไง...”

ผมชะงักเท้า  เมื่อร่างโปร่งของใครบางคนเดินออกมาจากห้องน้ำโดยมีผ้าเช็ดตัวพันเบื้องล่างอยู่ผืนเดียว  ผิวขาว  รูปร่างสมส่วน  ดวงตาและเรือนผมสีน้ำตาล  ใบหน้าไม่โดดเด่นหากให้ความรู้สึกว่าไม่อาจละสายตาได้ 

นี่คงเป็นพี่ใบไธม์  พี่ชายคนโตของบ้านนี้  คนที่ผมยังไม่เคยมีโอกาสได้เจอเพราะเขาไม่ค่อยอยู่บ้าน  นานๆ จะกลับมาทีเพราะงานที่ทำอยู่ ผมยกมือไหว้เขาโดยอัตโนมัติเมื่อคิดว่าเขาเป็นใคร

“อ้าว  พี่ไธม์?”  พี่กระวานที่เพิ่งลงมาจากชั้นสองเอ่ยทัก  ผมหันไปมองพี่กระวาน  ฝ่ายนั้นยิ้มกว้างพลางเอ่ยกระเซ้า  “เอ้าๆ มาแก้ผ้าในบ้านแบบนี้ไม่กลัวเจ้าคำนับมันตกใจเอาหรือพี่?”

“คำนับ?”  เขาเอียงคอมองผมครู่หนึ่ง

“เพื่อนเจ้าโป๊ยกั๊กน่ะ”

“อ้อ”  จากนั้นเขาจึงยกยิ้มมาให้  ความอบอุ่นสายหนึ่งจู่โจมเข้ามา  แววตาของเขาคล้ายเวลาที่คนเป็นพี่มองน้องๆ ให้ความรู้สึกคล้ายดวงอาทิตย์ยามเช้า

“พี่ไธม์!”  เพกาลงมาจากชั้นสอง  พอเห็นพี่ชายก็กระโดดเข้าไปกอดพร้อมรอยยิ้มเต็มหน้า  พี่ใบไธม์กอดตอบก่อนดันร่างเล็กออกห่าง

“พี่แต่งตัวไม่เรียบร้อย  ขอไปใส่เสื้อก่อนนะ  อีกอย่างตอนนี้พี่อยู่ระหว่างทำงาน  อีกเดี๋ยวเพื่อนร่วมงานจะมารับที่นี่”  เพกาตีหน้างอหากก็ยอมปล่อยพี่ใบไธม์เป็นอิสระ  เขาหันมายิ้มให้ผมอีกครั้งก่อนจะเดินขึ้นชั้นบนไปสวมเสื้อผ้า  หลังจากนั้นพี่กระวานก็พาผมกับเพกาไปร้านหิ้วปิ่นโตโดยที่ผมไม่ได้คุยกับพี่ใบไธม์สักประโยค

ว่าแต่  เจ้าเหมียวสามสีตัวนั้นหายไปไหนนะ?









โปรดติดตามตอนต่อไป






สวัสดีค่า  ตอนนี้มาช้าอีกแล้ว TAT ขอโทษนะคะ  จุ๊บบบบบ
หวังว่าใครที่เคยโกรธโป๊ยกั๊กจากตอนที่แล้วมาตอนนี้จะหายโกรธนางนะคะ  แหะๆ
มีตรงไหนผิดพลาดแนะนำกันได้เช่นเคยค่ะ


ปล.จากตอนที่แล้ว

*หึง, หวง, หึงหวง  = ความต้องการสงวนไว้กับตน, หวงคู่ของตน
นี่เข้าใจผิดมาตลอดเลยค่ะ TAT อันที่จริงก็สับสนเรื่องของการใช้อยู่นิดหน่อย  แล้วก็ใช้ผิดมาตลอดเลย  ลองเปิดคลังคำกับพจนานุกรมดู  เอ้า  เราเข้าใจผิดนี่นา  ขอบคุณคุณ tensita มากนะคะที่ทักมา  (กอดดดดดดดดดดด) 
“โป๊ยกั๊กหึงคำนับ  ไม่ใช่เพกา”
ขอบคุณนะคะที่ทักบอกกัน ^^

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
รู้สึกว่าจะเริ่มติดคำนับมากขึ้นๆเลยนะ  :katai2-1:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

งุย ๆ สะใภ้พบครอบครัวโป๋ยกั๊ก

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ครับเกือบได้รู้เรื่องพลังแล้วมั้ยละ นี่ถ้ารู้ว่าโป๊ยกั๊กมีสองคนจะทำหน้ายังไงเนี่ย

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ MayA@TK

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4992
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +51/-7

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3

Secret Me  คนนี้ต้องลับ!
ตอนที่11




   ผมเหลียวมองรอบร้านก่อนจะเดินอ้อมไปเข้าประตูด้านหลัง  ลูกค้ายังแน่นเต็มทุกโต๊ะเหมือนเช่นเคยจึงเลี่ยงการเดินฝ่าเข้าไปกลางร้านตรงๆ อย่างทุกที  พ่อหันมายิ้มให้เมื่อเห็นผม
   
“วันนี้คำนับไม่เข้ามาเหรอครับ?”  ผมชะโงกหน้ามองเข้าไปในครัวแล้วถามพ่อที่กำลังคิดเงินลูกค้า
   
“คุณแป้งโทร.มาบอกเมื่อเช้าว่าวันนี้ครับขอลาหนึ่งวัน”
   
“ลา?”

   “เห็นว่าไม่ค่อยสบายน่ะ”

   “เจ้าแมวนั่นป่วย?”

   “แมว? ลูกเรียกครับว่าแมวงั้นเหรอ  เดี๋ยวเถอะ!”  พ่อหันมาดุหากไม่จริงจังนัก  ผมแลบลิ้นเพราะเผลอลืมตัว

   พอได้ยินว่าเจ้าแมวป่าของผมป่วยก็เลยไม่ได้อยู่ต่อ  ผมรีบออกไปโบกรถแท็กซี่ตรงไปบ้านของคำนับทันที  แวะซื้อผลไม้หน้าปากซอยเป็นของเยี่ยมเสียหน่อย

   “สวัสดีครับน้าแป้ง”

   “อ้าว  โป๊ยกั๊ก?”  น้าแป้งละมือจากถาดกระเทียมขึ้นรับไหว้  กระเทียมพวกนี้น้าแป้งจะเจียวเอาไว้ใส่โจ๊กที่ขายตอนเช้า  ผมเคยช่วยแกะเปลือกอยู่ครั้งหนึ่งก็ลาขาดเพราะไม่ค่อยชอบกลิ่นตอนมันติดมือ  “มาหาเจ้าครับเหรอ?”

   “ครับ  เห็นพ่อบอกว่าไม่สบาย”

   “มีไข้นิดหน่อยน่ะ  ช่วงนี้นอนดึกตื่นเช้าทุกวันแถมยังตื่นเต้นเรื่องเรียนอีก  ตอนนี้หลับอยู่บนห้อง”

ไข้ขึ้นเพราะตื่นเต้นกับเครียดเนี่ยนะ?

“ได้เวลากินข้าวพอดี”  น้าแป้งเหลียวมองนาฬิกา 

   “เดี๋ยวผมเอาขึ้นไปให้เองครับ”  ผมวางถุงส้มข้างน้าแป้งก่อนจะเดินไปตักข้าวต้มในหม้ออุ่นจากในครัวยกขึ้นไปบนห้องคนป่วย  เดินเข้าเดินออกเหมือนเป็นบ้านตัวเองแบบไม่รู้สึกตะขิดตะขวงใจ  พอถึงห้องคำนับผมก็เปิดประตูเข้าไปแบบไม่เคาะ 
มารยาทเหรอ?  ของแบบนั้นผมมีที่ไหนกัน     

“โอ๊ะ!”  เจ้าของห้องสะดุ้งสุดตัว  มือขาวที่กำลังจะถอดเสื้อชะงักกึก

“ตื่นแล้วเหรอ?”  ผมมองหน้าท้องขาวๆ ของคำนับแล้วรีบเบือนสายตาหนี  จนเมื่อเขาปล่อยเสื้อลงตามเดิมจึงเดินเข้าไปวางถาดข้าวต้มบนโต๊ะเขียนหนังสือ

“เคาะประตูเป็นไหม  เจ้าคนไร้มารยาทนี่”

“คนคุ้นเคยสนิทสนมหรอกเลยไม่เคาะ จู่ๆ มาด่ากันแบบนี้คิดถึงความรุนแรงของพี่เหรอจ๊ะ?”  ผมสัพยอกคนป่วย  คำนับเบ้ปากใส่ทันทีที่ได้ยิน  “แล้วไข้ลดลงหรือยัง?”  ผมเอื้อมมือไปแตะหน้าผากคนบนเตียงเพื่อวัดอุณหภูมิ  ตัวเขายังค่อนข้างร้อนอยู่เลย

“ดีขึ้นแล้ว  แล้วนี่มาทำไม?”

“เห็นว่าป่วยหรอกเลยมาเยี่ยม”

“งั้นเหรอ?”

“ล้อเล่นน่า  เป็นห่วงไงถึงได้มา”

“....”

“ไม่ได้หรือไงวะ?”

“ก็...”

“เออๆ ช่างเถอะ  รีบมากินข้าวซะจะได้กินยา”

“อืม  ขออาบน้ำก่อน  เหนียวตัว”

“ไม่ได้!”

“แต่...”

“ขืนอาบน้ำไข้กลับจะทำยังไง?”

“ก็มันเหนียวตัวนี่หว่า”

“เช็ดตัวพอ”

“มันไม่สะอาดไง”

“เดี๋ยวฉันช่วยเช็ดให้  รับรองสะอาด...”

“...ไปอาบน้ำดีกว่า”  คำนับนิ่งไปครู่หนึ่งก่อนจะทำท่าลุกไปเข้าห้องน้ำอย่างปากว่า

“หยุดเลย  อย่าให้พูดซ้ำสอง”

สุดท้ายคำนับก็กินข้าวต้มจนหมด  และในเมื่อบ่นว่าแค่เช็ดตัวมันไม่สะอาด  งั้นมานี่  เดี๋ยวจะเช็ดให้  เอาให้สะอาดทุกซอกทุกมุมเลย!

“ถอดเสื้อดิ”

“....”  คนป่วยนั่งนิ่งไม่ขยับ  ผมเลยปลุกปล้ำถลกเสื้อเขาออก  กว่าจะได้เช็ดตัวก็เหงื่อโทรมกันทั้งคนป่วยและคนพยาบาล  ผมพยายามเบี่ยงสายตาจากแผ่นหลังขาวๆ ของเขา  แต่ว่านะ  ถ้าไม่มองแล้วผมจะเช็ดตัวยังไงล่ะ?  เอาเถอะ  ถือว่าเป็นค่าจ้างในการเช็ดตัวก็ให้ผมมองผิวเขาตอบแทนละกัน

กำไลเงินรูปแมวตัวยาวนอนขดหางเป็นวงบนข้อมือขาวของคำนับ

กำไลที่ผมซื้อมาและใช้กำลังบังคับให้เขาใส่  จนถึงตอนนี้เขาก็ยังไม่ถอด

พอเห็นแบบนั้นจังหวะการเต้นของหัวใจมันก็แปลกขึ้นมา...

ผมพยายามกดมุมปากเอาไว้ไม่ให้ขยับเป็นรอยยิ้ม  กลัวว่าคำนับหันมาเห็นแล้วจะหาว่าผมเพี้ยน  อืม  ก็คงเพี้ยนแหละมั้ง  เพราะตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนมีลูกโป่งกำลังพองขยายในช่องอก  มันคันยิบยับแถมยังทำให้ใจเต้นแรงอีก

ช่วงบ่ายคำนับไข้ขึ้นอีกครั้งตอนหลับ  น้าแป้งแวะขึ้นมาดูพร้อมยาลดไข้  จากนั้นปล่อยให้ผมดูแลเจ้าแมวป่วยหลังผมอาสาเฝ้าไข้เขาต่อ  ผมปลุกคำนับขึ้นมากินยาลดไข้และคอยเช็ดตัวให้ตลอด  อ้อ  แล้วไม่มีเหตุการณ์เหมือนในละครหรอกนะที่นางเอกป่วยแล้วเพ้อนอนร้องไห้น่ะ  นี่ก็อุตส่าห์เฝ้ารอว่าจะมีเรื่องแบบนั้นหรือเปล่า  แต่ไม่มีอ่ะ น่าเสียดายชะมัด  ไม่งั้นจะแอบอัดวิดีโอเอาไว้ให้คำนับดูตอนตื่นเสียหน่อย

ผมโทรศัพท์ไปบอกว่าคืนนี้จะนอนบ้านคำนับ  อยู่ช่วยน้าแป้งเผื่อว่ามีอะไรฉุกเฉิน  พ่อตอบรับและกำชับให้คอยช่วยน้าแป้งดูแลลูกชายดีๆ

โชคดีที่เมื่อคืนคำนับไม่มีอาการไข้ขึ้นอีก  ตอนเช้าเขาจึงตื่นมาด้วยท่าทางกระปรี้กระเปร่า  เห็นแบบนั้นผมเลยถอนหายใจโล่งอก  คำนับลงมากินข้าวต้มที่ชั้นล่างหลังเช็ดตัวแล้วเรียบร้อย   น้าแป้งแซวว่าเป็นแบบนี้ตลอด  เวลาตื่นเต้นทีไรก็ไข้ขึ้น

“งั้นเดี๋ยวผมกลับก่อนนะครับน้าแป้ง”  ผมบังคับให้ลูกชายเจ้าของบ้านนั่งเฉยๆ ส่วนตัวเองช่วยน้าแป้งล้างจานหลังอาหารมื้อเช้า

“ขอบใจมากนะจ๊ะ  กลับดีๆ ล่ะ”

“ครับ”  ผมยกมือไหว้ลา  ก่อนจะเดินออกมาหยิบเป้ขึ้นสะพายบ่า  คำนับเงยหน้ามอง  ริมฝีปากบางเม้มเป็นเส้นตรง  ทำท่าคล้ายอยากพูดอะไรบางอย่างแล้วก็เงียบ

“เอ่อ..”

“มีอะไรหรือเปล่า?”  ผมอารมณ์ดีมาก  สายตายังคงจับจ้องแขนขาวๆ ของเขากับกำไลเงินอันนั้นไม่วาง

“ขอบใจมากนะ  ที่มา อืม...ดูแล”  ขณะที่พูดก็ไม่ยอมเงยหน้ามองผม   แก้มคำนับขึ้นริ้วสีแดง  ลามไปจนถึงใบหูทั้งสองข้าง

“งั้นร้อง ‘เมี้ยว~’ ให้ฟังหน่อย”  ไม่พูดเปล่า  ผมเอามือไปเกาคางให้เขาด้วย  คำนัยเงยหน้าขวับดวงตาวาววับทันที

“จะบ้าเรอะ!”  เขาปัดมือผมทิ้งโดยแรง  ผมหัวเราะเอิ้กอ๊ากเสียงดังกับท่าทางนั้น
“ทำเป็นดื้อไปเถอะ  เดี๋ยววันหลังจะทำให้ร้อง ‘เมี๊ยว~’ ดังๆ เลยคอยดู!”  ผมจับคางเขาแล้วสั่นหน้าขาวๆ นั่นอย่างมันเขี้ยวก่อนจะเผ่นแผล็วออกมารวดเร็ว  ปล่อยให้คำนับส่งเสียงกระฟัดกระเฟียดไม่พอใจอยู่ด้านหลัง

แดดยามสายร้อนแรงไม่เบาเลย  ผมยกมือป้องสายตาพลางเงยหน้ามองท้องฟ้าสีสดเบื้องบน

จังหวะบางอย่างในหัวใจของผมเปลี่ยนแปลงไป....


**********



ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3




“วันนี้ต้องกลับก่อนเที่ยงคืน ถ้ารับปากพ่อถึงจะอนุญาต”

“แหม  ผมไม่ใช่ซินเดอเรลล่านะครับพ่อ”

“ก่อนเที่ยงคืน”  พ่อยื่นคำขาด  เห็นท่าทางแบบนั้นผมเลยอดแกล้งไม่ได้

“งั้นห้าทุ่ม ห้าสิบห้า”

“....”

“โอเคครับ  ผมสัญญาว่าจะกลับก่อนเที่ยงคืน”  ผมยิ้มกว้างพลางเข้าไปเกาะแขนพ่อ  ออดอ้อนอย่างที่ไม่ค่อยทำบ่อยนัก

ที่พ่อบังคับให้กลับก่อนเที่ยงคืนเพราะพรุ่งนี้พี่ใบไธม์จะเข้ามา  และถ้ายังอยากมีชีวิตรอดก็ไม่ควรกินเหล้าเข้าบ้านเด็ดขาด  พี่ไธม์น่ะบางครั้งยังน่ากลัวกว่าพ่อเสียอีก  จะบอกว่าพี่ไธม์เป็นพ่อคนที่สองก็ใช่  เพราะเขาเลี้ยงผมมาตั้งแต่เด็กนี่นา  เกรงใจไว้บ้างชีวิตจะได้ยืนยาว  พูดเป็นเล่นไป!  พี่ชายคนโตผมไม่โหดขนาดนั้นหรอก!

เหตุมาจากว่าเดือนหน้าจะเป็นเดือนสุดท้ายของการเรียนแล้ว  อีกไม่กี่วันพวกเราต้องไปรายงานตัวกับทางมหาวิทยาลัย  ดังนั้นทุกคนจึงนัดสังสรรค์ส่งท้ายกัน  ตอนกลางวันเลี้ยงรวมเพื่อนทั้งชั้นปี  ส่วนตอนเย็นเป็นเลี้ยงของห้องเรา
   
เลี้ยงเฉพาะห้องแล้วไง?

   เพราะยังไงซะผมก็บังคับหนีบเอาคำนับไปด้วย  ทำไมล่ะ  ทีเพื่อนคนอื่นยังพาแฟนตัวเองไปด้วยได้เลย  ทำไมผมจะพาเพื่อนต่างห้องไปไม่ได้  ถึงเขาจะไม่ค่อยเต็มใจสักเท่าไหร่ก็เถอะแต่เขาสู้แรงผมไม่ไหวหรอก  ผมล็อกคอลากเขาโดดขึ้นรถไม่เปิดโอกาสให้หนีได้  มีภูธเรศกับบดินทร์หนีบซ้ายขวาเขาก็หนีไม่รอดแล้ว 
   
แม้อาหารที่นี่จะสู้ฝีมือพ่อฟ้าไม่ได้  แต่ใช่ว่าจะไม่อร่อย  อยู่นอกบ้านต้องหัดกินให้เป็นและเพราะคำนับเพิ่งหายป่วยได้กี่วัน  ดังนั้นผมเลยบังคับเขาให้กินข้าวตรงเวลาร่างกายจะได้ไม่ต้องรับภาระหนักอีก  ผมสั่งปีกไก่ทอดเกลือกับผัดคะน้ากุ้งสดมาให้เขา  ส่วนตัวเองเลือกเป็นกุ้งแช่น้ำปลากับน้ำโค้กแก้วใหญ่  ไม่ได้กินเหล้าขอแสร้งว่าเมาก็ยังดี  ไม่งั้นพวกเพื่อนๆ มันจะแอบหัวเราะลับหลังเอาได้  แต่คนเมาจริงน่ะ  นู่น  ภูธเรศที่นั่งหัวเราะงอหงายอยู่นู่น

“แหม  มึงนี่เอาใจไอ้ครับจังนะโป๊ยกั๊ก”

“ถ้าปากว่างมากนักมึงก็แดกไปเลยไป”  ผมเอาส้อมชี้หน้าเพื่อนร่วมห้อง  ส่วนคำนับจ้องอีกฝ่ายอย่างไม่พอใจ  เพื่อนร่วมห้องคนนั้นยักไหล่ก่อนจะยอมถอยออกไป

เวลาผ่านไปไม่นานนาฬิกาบนข้อมือก็บอกเวลาห้าทุ่มแล้ว  และกว่าจะรู้ว่าตัวเองเมาก็ตอนที่ลุกขึ้นยืนแล้วโงนเงนจนเกือบล้มหน้าทิ่ม  ผมสะบัดหัวไล่อาการมึนแล้วขมวดคิ้ว  เมา?

เมาทั้งๆ ที่ดื่มน้ำอัดลมเนี่ยนะ?

“พวกมึงแอบเอาเหล้าใส่แก้วกู?”  หันไปถามเพื่อนที่หัวเราะเมื่อเห็นท่าทางของผม

“เอ้า  เลี้ยงฉลองทั้งทีมึงจะมัวมานั่งดูดโค้กเนี่ยนะ?  โตแล้วนะมึงน่ะ”  หนึ่งในคนที่มอมเหล้าผมยิ้มร่า

“แต่กูไม่กินเหล้า!”  ผมชักสีหน้าใส่เพื่อน  ไม่ใช่ว่าผมเป็นเด็กรักสุขภาพอะไรขนาดนั้นเพียงแต่พ่อกับพี่ไธม์เคยขอไว้  ว่าถ้ายังเรียนอยู่และหากเป็นไปได้ไม่อยากให้แตะของพวกนี้  อีกอย่างพรุ่งนี้พี่ไธม์จะกลับบ้าน  ขืนรู้ว่าผมแอบดื่มเหล้าคงได้โดนดุ

“นิดหน่อยเองน่า”

“พวกแม่ง!”

“มึงจะกลัวอะไรว้า  อาฟ้าพ่อมึงออกจะใจดี”

“งั้นมึงลองมาเจอพี่ชายคนโตกูดูไหมล่ะ”  ผมสบถหัวเสียก่อนจะหันมาทางคำนับที่นั่งมองผมกับเพื่อนเถียงกันด้วยสีหน้างงๆ  “กลับกันเถอะ”  ผมคว้าแขนเขาดึงให้ลุกขึ้นยืน  แต่เพราะรีบร้อนมากไปอาการมึนเลยยิ่งทำให้ผมเซแถ่ดๆ

“เมาจริงดิ?”  คำนับเลิกคิ้วมองคล้ายไม่เชื่อขณะที่ผวาเข้ามาคว้าแขนผมเอาไว้ไม่ให้ล้ม

“อือ  พวกแม่งแอบเอาเหล้าผสมโค้ก”  ผมสะบัดหัวไล่อาการมึนอีกครั้ง  ยืดตัวให้ยืนตรงแล้วเดินนำคำนับออกจากร้าน 

“อือ  หวานๆ นี่แหละตัวดี  เมาไม่ทันรู้ตัว”  คำนับพยักหน้าหงึกหงัก

“เอ้า  ใครมาเสริมพื้นตรงนี้เป็นสองชั้นวะ?”  ผมพยายามยกขาให้พ้นแต่พอวางเท้ากลับวูบซะงั้น

“งั้นฉันไปส่งนายที่บ้านก่อนดีกว่า”  คนข้างๆ ขมวดคิ้วเพราะผมสะดุดพื้นถลาพุ่งไปข้างหน้า  คำนับขยับเข้ามาดึงแขนผมไปพาดบนไหล่เขา

“เฮ้ย  ไม่เป็นไร  ฉันกลับเองได้”

“นายเมาแล้ว”  คิ้วเรียวยาวของเขาขมวดไม่คล้าย

“ไม่เมา”

“เมา”

“แค่มึนเฉยๆ หรอก”  ผมเถียงกลับ

“โอเค  นายแค่มึน  แต่มึนมากไปหน่อยเท่านั้นเอง  แล้วไอ้พื้นสองชั้นที่นายว่าเมื่อกี้มันคือพื้นราบ  นายสะดุดล้มหัวเกือบทิ่มด้วย”

“.....”

“ไม่เถียงเหรอ?”

“ก็...ฮ่ะๆๆ”  เอาจริงๆ ผมก็รู้ตัวแหละว่าเมา  แต่ไม่ถึงขนาดที่ว่าไม่รู้เรื่องรู้ราว  คือผมยังมีสตินะแต่ควบคุมการทรงตัวไม่ค่อยได้เท่านั้นเอง  รู้ว่าต้องไปทางไหนแต่ยกขาข้ามไม่พ้นประมาณนั้น  แล้วก็รู้สึกอารมณ์ดีกว่าปกติ  อืม  เรียกว่ากรึ่มๆ ละมั้ง  และไม่ว่าคำนับจะบ่นหรือทำสีหน้าแบบไหนผมก็อยากจะยิ้ม  จะหัวเราะตลอดเวลา

คำนับพาผมมาถึงบ้านตอนห้าทุ่มครึ่งพอดิบพอดี  พ่อเปิดประตูออกมารับ  ผมยิ้มกว้างทิ้งน้ำหนักใส่คำนับทั้งหมดจนเขาเซไปด้านข้าง  พ่อเลยรีบเข้ามาช่วยพยุง

“นี่ลูกดื่มเหล้า?”

“เปล่าคร้าบบบ”  ผมรู้ว่าตาตัวเองคงเยิ้มมาก  ปากฉีกยิ้มกว้าง  ยกนิ้วชี้ส่ายไปมาตรงหน้าพ่อเพื่อปฏิเสธว่าไม่ได้เมา

“ครับช่วยอาพาเจ้าตัวยุ่งนี่ขึ้นข้างบนหน่อยนะ”

“ครับ”

พ่อกับคำนับพยุงปีกผมคนละข้างขึ้นไปบนห้อง  ความจริงผมเดินไปเองได้นะ  ก็บอกแล้วว่าแค่มึนไม่ได้เมาจนเดินไม่ไหวเสียหน่อย  แต่ที่เซใส่คำนับเมื่อกี้น่ะแค่อยากแกล้งเขาเท่านั้นแหละ  กลายเป็นว่าทั้งสองคนเชื่อว่าผมเมาจริงๆ ซะอย่างนั้น

“เดี๋ยวพ่อลงไปเอากะละมังกับผ้าที่ชั้นล่างนะ  โป๊ยกั๊กจะได้เช็ดตัวก่อนนอน”

“ครับ”  คำนับตอบรับ  ผมนอนยิ้มตาหยีอยู่บนเตียงมองดูเขาที่ไม่รู้ว่าจะเอาตัวเองไปอยู่ตรงมุมไหนของห้อง

“ถอดเสื้อให้หน่อย”

“หืม?”  ดวงตาเรียวคู่นั่นเบิกกว้าง

“ร้อนอ่ะ”

“ถอดเองดิ”

“ถอดให้หน่อย”  คำนับไม่ยอมเดินเข้ามาหา  “เร็ว”

“ไม่เอา  อ๊ะ!”  คำปฏิเสธของเขายังหลุดไม่หมดปากผมก็ผุดลุกขึ้นโถมใส่จนเราทั้งคู่ล้มโครมไปบนพื้น  ผมหัวเราะเอิ๊กอ๊ากชอบใจ  มันไม่ได้มีอะไรน่าหัวเราะหรือน่าขันเลยสักนิด  แต่ไม่รู้ทำไมผมถึงรู้สึกอารมณ์ดีจัง

“ไม่ต้องถอดเสื้อก็ได้  งั้นร้องเมี๊ยว~ ให้ฟังหน่อย”  ผมทิ้งตัวทับลงไปบนตัวของคำนับแบบไม่กั๊กแรงสักนิด  คนตัวผอมดิ้นแด่วๆ อยู่ใต้ร่างผมด้วยท่าทางอึดอัด

“เฮ้ย  ลุกออกไป!”

“ร้องเมี๊ยวก่อนดิ”  ยิ่งคำนับพยายามดิ้นหนีผมยิ่งแกล้งกดแรงเพิ่มลงไป  กลายเป็นว่าตอนนี้ผมทาบทับเขาไปทั้งตัว  ส่วนที่ไม่นาบติดกันก็มีแค่หน้านี่แหละ

“ไม่!”

“ดื้อจริงนะเจ้าเหมียว”  ผมหัวเราะก่อนจะยกมือขึ้นเกาคางเขาเบาๆ  คำนับสะบัดหน้าหนี  พอเห็นเขาดื้อเลยยิ่งอยากแกล้ง  จากที่เกาคางผมเลยเปลี่ยนมาจับคางเขาให้หันมองตรง

“....”  ริมฝีปากบางคู่นั้นเม้มแน่น  ดวงตาเบิกโพลงด้วยความตกใจกับการกระทำของผม

อีกแค่เดือนเดียวพวกเราก็ต้องแยกย้ายกันแล้วงั้นเหรอ?

ในวันข้างหน้าผมกับคำนับจะยังเหมือนวันนี้อยู่ไหม?

ผมจะได้เจอกับเขาอีกไหม  ได้พูดคุย  ทะเลาะ  หัวเราะและคอยช่วยเหลือเขา  ได้แกล้งได้แหย่ให้เขาโมโหเล่น  ผมยังสามารถทำแบบเดิมได้หรือเปล่านะ?

ริมฝีปากบางตรงหน้าเคลื่อนใกล้เข้ามา  ไม่ใช่คำนับยื่นปากมาหาแต่เป็นผมที่โน้มใบหน้าลงไป  จังหวะหัวใจในอกซ้ายมันเจ็บแปลบๆ ขึ้นมาเมื่อคิดถึงว่าผมอาจไม่ได้ใกล้ชิดคำนับแบบนี้อีก

ปลายจมูกของผมกับคำนับสัมผัสกันแผ่วเบา  อีกแค่ไม่กี่มิล....ริมฝีปากของเรา...

“หืม  พวกลูกไปทำอะไรอยู่บนพื้น?”

“อ๊ะ!”

“โอ๊ย!”  คำนับตกใจพร้อมฝ่ามือที่ผลักผมกระเด็น  หัวโขกขอบโต๊ะหนังสือเสียงดังโป๊กจนต้องร้องโอดโอย  คราวนี้มึนหนักกว่าเดิมไปอีก!

“คือโป๊ยกั๊กจะเข้าห้องน้ำ  แต่ล้มพอดี...”  คนตัวผอมผุดลูกขึ้นยืนพลางจัดเสื้อผ้าให้เรียบร้อย  เหลือบเห็นพ่อพยักหน้าแล้วเดินเข้าเอากะละมังน้ำไปวางบนโต๊ะหนังสือก่อนจะเดินเข้ามาพยุงผมให้กลับไปนอนที่เตียงตามเดิม

“ครับรออาแป๊บนะ  เดี๋ยวอาไปส่ง”

“ไม่เป็นไรครับ  เดี๋ยวผมกลับเองได้”

“แต่มันใกล้เที่ยงคืนแล้ว”

“เรียกรถ...”

“งั้นนอนที่นี่เลยซิ  เตียงกระวานว่างอยู่”  ผมเอ่ยแทรก  คำนับเหลือบตามองและเพราะผมมองเขาอยู่ก่อนแล้วจึงเห็นว่าหูทั้งสองข้างของเขาแดงแจ๋

“เอ...”  พ่อขมวดคิ้วทำท่าครุ่นคิด

“ผมกลับบ้านดีกว่าครับ  พรุ่งนี้เช้าต้องช่วยแม่ต้มโจ๊กอีก”

“งั้นพ่อไปส่งเอง”  พ่อลุกขึ้นยืนก่อนจะส่งยาในมือให้ผม  “โป๊ยกั๊กกินยานี่ซะ  พรุ่งนี้ตื่นมาจะได้ไม่ปวดหัว  ถ้าลุกไหวก็แปรงฟันก่อนนอนด้วยล่ะ  ไม่อย่างนั้นพรุ่งนี้เช้าตอนใบไธม์มาเรานั่นแหละจะโดนดุ”  พ่อเอ่ยยืดยาว  และนั่นทำให้ผมนึกได้ว่าทำไมพ่อถึงไม่ดึงดันให้คำนับนอนที่นี่ทั้งๆ ที่ดึกมากแล้ว 

เพราะหลังเที่ยงคืนคืนนี้กานพลูจะออกมา...

ผมนอนยิ้มในความมืด  สติแจ่มชัดกว่าเมื่อครู่  ตอนที่ริมฝีปากของผมจะสัมผัสกับริมฝีปากของคำนับ  ถ้าพ่อไม่เข้ามาเสียก่อนผมคิดว่าผมคงจูบเขา

ผมอยากทำให้คำนับใจเต้นแรงเหมือนตอนที่ผมเป็นเวลาอยู่กับเขา

ที่ผมรู้สึกแบบนี้เพราะผมชอบคำนับหรือเปล่านะ?

ก็คงใช่...

ผมยิ้มก่อนจะยอมเข้าสู่ห้วงนิทรา
.
.


ดีที่เช้านี้ตื่นขึ้นมาแล้วไม่ปวดหัว  โชคดีอีกอย่างคือเมื่อคืนโป๊ยกั๊กลุกมาอาบน้ำแปรงฟันจนตัวหอมก่อนนอน  ถึงอย่างนั้นก็อดใจเต้นไม่ได้ตอนพี่ใบไธม์เดินเข้ามาใกล้แล้วทำจมูกฟุดฟิด  ผมเลยหนีไปช่วยพ่อในครัว  ขืนยืนนิ่งใกล้พี่ไธม์อีกนิดต่อให้อาบน้ำจนตัวหอมผมก็เชื่อว่าพี่ชายคนโตจะจับได้ว่าเมื่อคืนโป๊ยกั๊กดื่มเหล้ามา

ช่วงสายผมเข้าไปช่วยในร้าน  บดินทร์กับภูธเรศอยู่บ้านต้อนรับลูกพี่ลูกน้องที่มาจากต่างประเทศเลยมาป่วนไม่ได้  กิจกรรมกีฬาผมงดเกือบหมดเพราะต้องเตรียมตัวเรื่องมหาวิทยาลัย  แต่คำนับยังคงมาช่วยงานที่ร้านอยู่  อย่างวันนี้เขาก็เข้ามาช่วงสายๆ หลังช่วยน้าแป้งเสร็จแล้ว  พ่ออนุโลมให้เขามาช้าได้เนื่องจากภาระตรงส่วนนั้นแต่ต้องกลับบ้านช้ากว่าคนอื่นเพราะต้องทำส่วนที่เหลือทดแทน

“โอ๊ะ!”  ผมชะงักเท้าเพราะเกือบชนคำนับ  เขาเองก็ยืนตัวแข็งอยู่กับที่  ภาพเมื่อคืนผุดขึ้นมาในหัว  แล้วจู่ๆ หัวใจผมก็เต้นตึกตักขึ้นมา  อากาศเย็นสบายเมื่อครู่พลันร้อนเสียอย่างนั้น

“วะ  ว่าไง?”  ผมเอ่ยทักทายตะกุกตะกัก  มือไม้ไม่รู้ว่าจะวางไว้ตรงไหนสุดท้ายเลยยกเกาท้ายทอยแกรกกราก

“อะ  อือ”  คำนับเหล่มองไปทางอื่นไม่มองหน้า

“นายจะไปหลังร้านเหรอ?”

“อือ”  คนตรงหน้ายังคงไม่มองมา  ผมเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องทำตัวยังไงเหมือนกัน  ไอ้จังหวะแปลกๆ ในอกข้างซ้ายนี่เป็นของโป๊ยกั๊กแน่ๆ  พอคิดได้แบบนั้นผมเลยฉีกยิ้มกว้าง

“งั้นเดี๋ยวเราไปกวาดหน้าร้านก่อนนะ”

“อะ  อือ?”  คำนับเหลือบสายตามองผมในที่สุด  ดวงตาสีน้ำตาลดูฉงนกับท่าทีของผม 

วันนี้ร้านจะปิดเร็วกว่าทุกทีแต่เพราะยังมีลูกค้าโต๊ะสุดท้ายอยู่ผมจึงรีบเก็บกวาดทำความสะอาดไม่ได้  ลูกค้าชุดสุดท้ายนี้เป็นหญิงสาวหน้าตาคุ้นๆ สองคน  ผมเห็นเธอมองมาทางผมบ่อยๆ คล้ายว่าอยากเข้ามาทัก  แต่ผมจำไม่ได้ว่ารู้จักพวกเธอหรือเปล่าจึงทำเพียงแค่ยิ้มตอบ

“คือว่า...”

“ครับ?”  หนึ่งในนั้นลุกขึ้นยืนผมเลยรีบเดินเข้าไปหาที่โต๊ะเพราะคิดว่าพวกเธอคงเรียกไปคิดเงินค่าอาหาร

“คือ...เรารู้ว่าร้านนี้เป็นร้านของพ่อโป๊ยกั๊ก”  เธอก้มหน้าซ่อนแก้มแดงๆ พลางเหลือบสายตามองผมเล็กน้อย

“เอ่อ...”  ผมขมวดคิ้วเพราะนึกไม่ออกว่าเป็นเพื่อนในโรงเรียนจากห้องไหน

“เราชื่อป้อม  อยู่ห้องสามชั้นเดียวกับโป๊ยกั๊ก”  คงเพราะรู้ว่าผมจำเธอไม่ได้เธอจึงเฉลยออกมา

“อ้อ  ครับ  แล้ว?”

“คือ...”

“จะให้คิดค่าอาหารหรือครับ?  ทั้งหมด...”

“ไม่ใช่!”  เธอเงยหน้าแดงๆ ขึ้นรวดเร็วเมื่อผมทำท่าแจงแจงรายการอาการเตรียมคิดเงิน

“คะ  ครับ?”  โธ่  ตะโกนแบบนี้ผมตกใจหมดเลย!

“คือเราเคยไปดูโป๊ยกั๊กแข่งกีฬาด้วย”

“ไปดูทุกครั้งที่เธอแข่งเลยนะ”  อีกคนที่นั่งเอ่ยสำทับ  “เธอเท่ห์มาก”  คนที่นั่งอยู่พูดขึ้นอีก

“แล้วก็ใจดีมากด้วย”  คนยืนแก้มแดงพูดไปบิดตัวไป

“ครับ  ขอบคุณครับ”  ผมยิ้มรับ  “แล้ว?”

“คือว่าเราชะ  ชอบโป๊ยกั๊ก!”  เธอหลับตาเอ่ยออกมาเสียงดัง

“......”  ผมยืนนิ่งกำลังพยายามเรียบเรียงความหมายของประโยคนั้นในใจ

“พวกเราใกล้จะเรียนจบกันแล้ว  เราอยากขอเบอร์ติดต่อของเธอ”

“คือว่า...”  พอเข้าใจความหมายของคำว่า  ‘ชอบโป๊ยกั๊ก’ ผมเลยได้แต่ยืนขาแข็ง  เอาไงดีวะ!  ผมเหลียวกลับมองเข้าไปในร้าน  ดูว่ามีใครเห็นเหตุการณ์เมื่อกี้หรือไม่  คนอื่นเห็นไม่ว่าแต่ไม่อยากให้คำนับ...

“ถ้าเธอไม่สะดวกงั้นเอาเบอร์เราไปนะ”

“เอ๊ะ?”  ไม่ทันให้ผมปฏิเสธเธอก็คว้ามือผมไปแล้วยัดกระดาษที่จดเลขสิบหลักเข้ามา

“เอ้านี่  ค่าอาหาร”  เธอวางแบงค์พันลงบนโต๊ะ  ผมหุบปากที่อ้าค้างก่อนจะรีบก้มหน้าคิดเงิน  “งั้นเราไปนะ”

“เดี๋ยว  เงินทอน...”

“เราจะรอให้โป๊ยกั๊กโทร.มา  เอาเงินทอนมาให้เราด้วยล่ะ”  พูดจบทั้งสองคนก็เดินออกไปไม่รอให้ผมควักเงินมาทอน

“เดี๋ยว!”

ปัง!  ผมสะดุ้งโหยงหันกลับมองด้านหลังทันทีที่ได้ยินเสียงนั้น  แต่กลับไม่เห็นใครสักคนอยู่ตรงประตูห้องครัว  หันกลับไปมองหน้าร้านก็ไม่เห็นเงาของผู้หญิงสองคนนั้นแล้ว

โป๊ยกั๊กจะเอาเงินทอนไปให้พวกเธอได้ยังไงในเมื่อเวลาที่เขาตื่นขึ้นมาก็จำอะไรไม่ได้แล้ว  ถ้าอย่างนั้นคงต้องเก็บเบอร์โทรศัพท์นี้เอาไว้ก่อน  ถ้าผมออกมาอีกครั้งค่อยเอาเงินทอนไปให้แล้วกัน   

ผมยัดกระดาษแผ่นนั้นใส่กระเป๋ากางเกงแล้วรีบทำความสะอาดร้านให้เสร็จโดยเร็ว  เอ  ว่าแต่วันนี้ผมชวนคำนับไปกินข้าวที่บ้านด้วยดีไหมนะ  เขาจะได้เจอกับพี่ไธม์และกระวานด้วย  อีกอย่างจะได้ให้พ่อสอนเขาทำไข่ม้วน  ผมอยากลองกินไข่ม้วนฝีมือเขาจัง...


*********


ทันทีที่สัญญาณบอกเวลาเลิกเรียน  ผมก็รีบยืดตัวตรงกอดอกรอใครบางคนออกจากห้อง  เพราะหลายวันมานี้เขาไม่ยอมไปนั่งกินข้าวเที่ยงด้วยกันเหมือนอย่างทุกที  แม้แต่เวลาพักช่วงเปลี่ยนคาบเรียนตอนเดินสวนกันเขายังไม่ยอมมองหน้า  บางครั้งแกล้งมองไม่เห็นตอนยิ้มให้พอเรียกก็ทำเป็นไม่ได้ยิน

“ขอคุยด้วยหน่อย”  ผมคว้าแขนคำนับเมื่อเขาเดินออกมาจากห้อง  คนตัวผอมถอนหายใจ  เขาหันไปบอกเพื่อนซี้อย่างนวพลว่าจะรีบตามไป  ผมดึงเขามาจนสุดทางระเบียง  นักเรียนบนอาคารแทบไม่เหลือแล้วเพราะต่างรีบกลับบ้าน  หากยังคงมีบางพวกที่อยู่ในสนามฟุตบอลส่งเสียงเจี๊ยวจ๊าวไม่หยุด  ผมเท้าแขนกับราวระเบียง  มองคนในสนามฟุตบอลพลางพยายามสะกดให้หัวใจตัวเองเต้นในจังหวะเดิม  ไม่รู้ซิ  พอคิดถึงถึงเรื่องนั้นขึ้นมาหัวใจผมก็เต้นแรงขึ้นมาอีก

ผมไม่เคยเป็นแบบนี้มาก่อนเลย  แค่คำนับยืนข้างๆ ก็ใจเต้นแล้ว

“คือเรื่องคืนนั้น”  ผมสูดลมหายใจเข้าลึกเอ่ยเกริ่นขึ้น

“อือ”

“วันที่ฉันเมาน่ะ”

“อ้อ”

“คือความจริงแล้วฉันไม่ได้เมา  แค่มึนๆ แล้วก็มีสติดีแหละ”

“แล้ว?”  ผมขมวดคิ้วยืดตัวขึ้นเมื่อจับน้ำเสียงแข็งๆ ของคำนับได้  ผมมองใบหน้าเรียบเฉยของเขา  ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นสงบนิ่งจ้องตรงมาไม่หลบสายตา  ผมยิ้มมุมปาก

“หลายวันมานี้ทำไมนายหลบหน้าฉัน?”  ผมขยับเท้าเข้าใกล้  คำนับไม่ได้ขยับหนี  พอเห็นแบบนั้นผมเลยก้าวเข้าไปอีกนิดจนตอนนี้ปลายจมูกของผมแทบชนขมับเขาอยู่แล้ว

“เปล่า”

“ปากแข็ง”  ผมยกยิ้ม  หรุบสายตามองกลุ่มผมแข็งกระด้างของเขา

“....”

“เงยหน้าขึ้นหน่อยดิ”

เพราะรู้ว่าถ้าเขาเงยหน้าขึ้นมา  เพียงนิดเดียวหน้าผากของเขาจะแนบชิดกับจมูกของผมผมก็เลยบอกให้เขาทำ

“!”

และเป็นจริงอย่างนั้น  ผมแกล้งสูดลมหายใจเข้าแรงๆ ตอนที่จมูกของผมแตะลงบนหน้าผากของเขา  คำนับเบิกตากว้างก่อนจะขยับถอยหลัง  ผมหัวเราะอารมณ์ดีกับท่าทางนั้น

“อะไร  เขินเหรอ?”  ผมขยับเท้าจะตามเข้าไปหมัดลุ่นๆ ก็ตรงเข้าแก้มขวาเต็มแรงจนผมเซชนกับผนังอีกด้าน  ภาพตรงวูบหายไปชั่วขณะ  มึนงงอยู่ครู่กว่าจะจับอาการเจ็บปวดตรงที่ถูกต่อยได้  ผมเงยหน้าขึ้นมองคำนับอย่างตกใจ

คำนับต่อยผม?

“ฉันไม่ใช่ของเล่นของนายนะโว้ย!”  คำนับกำหมัดแน่น  ดวงตาวาวโรจน์จ้องเขม็งคล้ายโกรธกันมาแต่ชาติก่อน

“?”    คืนนั้นเขายังเขินผมอยู่เลยไม่ใช่หรือไง?  อีกอย่างช่วงหลังมานี้เราสองคนเข้ากันได้ดี  และผมเริ่มรู้สึกว่าในใจของผมคำนับเป็นคนพิเศษ  เพราะแบบนั้นผมเลยอยากจะพูดกับเขาว่าหลังจากนี้  ถ้าจบออกไปเข้ามหาวิทยาลัยแล้วเขาจะยอมให้ผมก้าวเข้าไปหาเขาได้ไหม  ให้ความสัมพันธ์ของเราก้าวข้ามคำว่าเพื่อนไปอีกขั้น

“คนรอต่อคิวนายยาวเป็นห่างว่าว  ไปขอพวกเธอเป็นแฟนซิ  ได้เบอร์มาแล้วไม่ใช่หรือไง?”

“เบอร์?”

“เฮอะ!”  คำนับจ้องหน้าผม  เห็นผมทำหน้าไม่รู้เรื่องก็ยิ่งโกรธ  “รู้ไหมว่าฉันเกลียดอะไรมากที่สุด?”

“?”

“นอกจากพวกขี้โกง  ก็พวกเสแสร้งและนิสัยร้ายกาจแบบนายนี่แหละ  โป๊ยกั๊ก”   

ผมเอาลิ้นดุ้นข้างแก้ม  ลิ้นรับรสเลือดแสดงว่าปากคงแตกด้านในแต่มันก็ยังเจ็บน้อยกว่าก้อนเนื้อในอกข้างซ้าย  ผมไม่รู้ว่าหลังจากนั้นผมกลับถึงบ้านได้ยังไง  โชคดีที่ระหว่างนั้นไม่เจอคู่อริดักตีหัวกลางทาง  ไม่อย่างนั้นคงไม่ได้มานั่งคิดทบทวนเรื่องราวต่างๆ เหมือนพระเอกมิวสิควิดีโออยู่แบบนี้

คำนับพูดถึงเบอร์  เบอร์อะไรวะ?

ช่วงก่อนต้องมีอะไรแน่ๆ คำนับถึงหลบหน้าผมมาหลายอาทิตย์แล้ว  แถมยังโกรธทั้งๆ ที่ผมไม่ได้แกล้งอะไรรุนแรงกับเขาเลย  ช่วงนี้ผมออกจะใจดีกับเขาด้วยซ้ำ  พอรู้ตัวว่าอาจจะชอบเขาผมก็อ่อนโยนขึ้นตั้งเยอะ  เขาไม่รู้เลยหรือไง

หลังถอนหายใจทิ้งไปชั่วโมงกว่าถึงนึกขึ้นได้ว่าถ้าช่วงก่อนมันจะมีเรื่องราวอะไรเกิดขึ้นแล้วผมไม่รู้เรื่อง  นั่นน่าจะเป็นตอนที่เจ้ากานพลูออกมาแน่ๆ  ผมเลยเดินเข้าไปกระชากผ้าคลุมกระจกตรงมุมห้องออก

“อ๊ะ  โป๊ยกั๊ก  ทำไมวันนี้ยอมเปิดผ้าคลุมกระจกล่ะ?  มีอะไรดีๆ หรือไง?  แล้วนี่...”

“หยุด!”

“.....”  คนในกระจกชะงักนิ่ง  ใบหน้าที่เหมือนกันกับผมทุกอย่างสะท้อนกลับมา  ทั้งๆ ที่คิดว่าเหมือนกลับไม่ใช่..

“ครั้งที่แล้วเกิดอะไรขึ้น?”

“ครั้งที่แล้ว?”  กานพลูทำท่าคิด  สักพักก็ยิ้มเอียงอาย  “นายหมายถึงตอนที่เกือบจะจูบกับคำนับเหรอ?

“ถ้าเป็นเรื่องนั้นฉันจะถามนายทำไม?”

“อ้าว?”

“นายไปเอาเบอร์อะไรใครมา?”

“เอ๊ะ?”

“คำนับพูดถึงเบอร์อะไรสักอย่าง  แล้วก็ไล่ให้ฉันไปคบกับพวกนั้น”

“อ๊ะ  เสียงประตูตอนนั้น  หรือว่าคำนับจะเห็น?”  กานพลูเบิกตากว้างตกใจ

“เห็นอะไร?”  ผมขมวดคิ้ว  เท้าเอวถามคนในกระจกเสียงกร้าว

“วันนั้นมีเด็กผู้หญิงสองคนมากินข้าวที่ร้าน  พวกเธอบอกว่าเป็นเพื่อนชั้นเรียนเดียวกับเรา  ตอนเธอกินข้าวเสร็จฉันกำลังจะคิดเงินเธอก็...ก็สารภาพรักออกมา”

“แล้ว?”  ผมหรี่ตาคาดคั้นอย่างอดทน

“เธอจ่ายแบงค์พัน  ฉันกำลังจะทอนเงินแต่เธอเอากระดาษจดเบอร์โทร.ยัดใส่มือแล้วบอกว่าให้โทร.หา  จะรอเอาเงินทอนตอนนั้นแล้วรีบออกไป”

“....”

“ฉันได้ยินเสียงคนเปิดประตู  แต่หันไปมองแล้วไม่เห็นใครนึกว่าลมตี  ไม่คิดว่าคำนับจะ...”

“เพราะนาย!”

“ปะ โป๊ยกั๊ก?  เรากลัวว่าถ้านายตื่นมาจะเอาเงินทอนไปให้เธอไม่ถูกเลยเก็บเบอร์เอาไว้”

“นายมันโง่! รับมาทำไม  เขาไม่เอาเงินทอนก็เรื่องของเขาซิวะ!”

“ตะ  แต่ว่า...”

“นายมันไอ้งี่เง่า!” 

“...”  ผมมองใบหน้าซีดเผือดของคนในกระจก  ไม่ได้รู้สึกเห็นใจสักนิด

“ทำไมฉันต้องมีพลังบ้าๆ นี่”

“....”  กานพลูก้มหน้า  ผมหันหลังเพราะไม่อยากมอง  ผมจำไม่ได้แล้วว่าเคยรู้สึกชอบกานพลูบ้างไหมตั้งแต่เขาโผล่มา  ผมไม่เคยคิดอยากตั้งชื่อให้คนในกระจกด้วยซ้ำ  แต่เพราะคนในครอบครัวกลัวสับสนจึงเรียกเขาว่ากานพลู  ผมจึงเรียกตามอย่างช่วยไม่ได้

“ฉันเกลียดนาย!”

ผมเดินออกจากห้องเพื่อไปสงบสติอารมณ์  ไม่ได้หันกลับไปมองข้างหลังอีก

กว่าจะรู้ว่าทำใครเสียใจก็หลังจากนั้นอีกนาน







โปรดติดตามตอนต่อไป


ขอโทษที่มาส่งช้านะคะ

ปล. เดี๋ยวจะแวะไปทวงพี่กระวานให้นะคะ ^^





CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3


Secret Me  คนนี้ต้องลับ!
ตอนที่ 12




“มึงไม่สบายหรือเปล่าวะโป๊ยกั๊ก?”  ผมเงยหน้ามองเพื่อนแล้วถอนหายใจพลางเอนหลังพิงพนักเก้าอี้  หลายวันมานี้ผมรู้สึกเพลียและไม่มีแรงยังไงชอบกล  จะว่าพักผ่อนน้อยก็ไม่ใช่แต่ถ้าเรื่องเครียดน่ะพอมีอยู่

“คำนับแม่งเอาแต่หลบหน้า”

“หือ?”  ภูธเรศกับบดินทร์สบตากัน  ผมถอนหายใจอีกครั้ง  ขี้เกียจวิ่งหนีความรู้สึกตัวเองและไม่อยากปิดบังอะไรแล้ว  ยังไงซะพวกมันก็รู้ว่าผมรู้สึกยังไงกับคำนับก่อนที่ผมจะรู้ตัวเสียอีก  ผมคิดทบทวนอยู่หลายครั้งว่าทำไมตัวเองต้องหงุดหงิดเวลาคำนับไปสนิทกับคนอื่นจนต้องบังคับให้เขามาคอยกินข้าวเที่ยงด้วยทุกวัน  บังคับให้เขาใส่กำไลที่ผมซื้อให้  นั่นเพราะอยากให้เขาอยู่ในสายตา  อยากให้เขาเป็นของผมแค่คนเดียว

“หรือว่ากูจะต้องจับปล้ำแบบตัวร้ายในละครหลังข่าว? งั้นเอาเป็นดาม  ดัสกรก็แล้วกัน!”  ผมทำท่าฮึดสู้

“เดี๋ยวๆๆ มึงหยุดก๊อนนนน!”  เพื่อนสองคนคว้าแขนผมไว้คนละข้างเมื่อผมทำท่าลุกจากเก้าอี้  มองสีหน้าตกใจของพวกมันแล้วอดขำไม่ได้  คงคิดว่าผมจะไปฉุดคำนับมาปล้ำจริงๆ ละมั้ง 

อืม  จะว่าไป  ความคิดนี้ก็เข้าท่าแฮะ

“กูไม่เป็นอะไรน่า  รู้สึกว่าช่วงนี้มันเพลียๆ ยังไงไม่รู้”

“?”

“เออ  ช่างแม่งก่อน  วันจันทร์จะเป็นวันสุดท้ายในโรงเรียนแล้ว  กูต้องรีบจัดการคำนับโดยเร็ว!”  ผมพยักหน้าหงึกหงัก  พูดเองสรุปเองเสร็จสรรพจากนั้นก็พุ่งออกจากห้องโดยทิ้งเพื่อนเอาไว้เบื้องหลัง

เด็กเรียนดีและขยันขันแข็งอย่างคำนับกำลังช่วยอาจารย์และคณะกรรมการโรงเรียนจัดสถานที่อยู่ในหอประชุมกลาง  เนื่องจากเพราะวันจันทร์หน้าจะเป็นวันปัจฉิมนิเทศของพวกเรา มอ.หก

ผมค่อยๆ ย่องไปด้านหลังคำนับ  มีคนหนึ่งหันมาเห็นผมเขาทำท่าจะเรียกคำนับผมเลยถลึงตาใส่  หมอนั่นมุมปากกระตุกแล้วรีบหันหน้าหนีไปทันที  พอแน่ใจว่าไม่มีใครมองผมก็คว้าหมับเข้าต้นแขนคำนับแล้วลากออกมารวดเร็ว  ไม่ลืมปิดปากเขาเอาไว้เพื่อไม่ให้ส่งเสียงร้อง  ผมลากเขาไปด้านหลังหอประชุม  ตรงนี้เงียบเชียบไม่มีคน  พอคำนับเห็นว่าใครเป็นคนฉุดกระชากเขาออกมาก็ถลึงตามอง

“เราต้องคุยกัน”  ผมพูดมือยังคงไม่ปล่อยจากแขนและปากเขา

“....”  คำนับไม่ตอบหากใช้สายตาไม่เป็นมิตรคู่นั้นจ้องกลับ

“โอ๊ย!”  ผมสะบัดมือเร่าเพราะเขาอ้าปากกัดมือข้างที่ปิดปากบางๆ นั่นเอาไว้

“สมน้ำหน้า!”

“กัดแบบนี้มันหมาชัดๆ ไม่ใช่แมวแล้ว”

“นายน่ะซิหมา! แล้วฉันก็ไม่ใช่ทั้งหมาทั้งแมวด้วย”

“ไม่เอาน่า  เดี๋ยวซื้อปลาทูให้กิน”  พอยื่นมือไปจะเกาคางคำนับก็ปัดมือผมทิ้ง

“ถ้าไม่มีอะไรฉันจะไปทำงานต่อ” คนตัวผอมเหลือกตามองบนกับคำพูดของผมแล้วหันหลังเตรียมเดินออกไป

“นายโกรธฉันเรื่องอะไร?”

“....”  คำนับยืนนิ่ง

“นายหึงงั้นเหรอ?”

“วะ  ว่าไงนะ?”  คราวนี้เขายอมหันกลับมาเมื่อได้ยินคำถาม  ดวงตาเรียวเบิกกว้าง

“นายโกรธที่ผู้หญิงพวกนั้นให้เบอร์ฉัน”

“ฉันไม่ได้โกรธ!”

“งั้นก็โกรธที่ฉันรับเบอร์ของพวกเธอมา?”

“.....”  ริมฝีปากบางเม้มแน่น  ดวงตาสีน้ำตาลคู่นั้นสั่นระริก  คำนับเหลือบมองผมเหมือนว่าตัวเขาเองก็ไม่แน่ใจว่าตัวเองรู้สึกอย่างไร

“นายชอบฉัน?”

“ห้ะ? บ้าไปแล้ว  ฉันจะไปชอบนายได้ไง?”  คำนับขยับถอยหนีเมื่อผมก้าวไปข้างหน้า

“ได้ซิ  นายชอบฉันได้  เหมือนที่ฉันชอบนายไง”  ผมยิ้ม  พอคิดทบทวนเรื่องราวทั้งหมดผมก็มั่นใจว่าความรู้สึกนั้นของผมคือความชอบ  ผมชอบคำนับไม่ผิดแน่

“อะไรนะ?”  คราวนี้เขาตกใจจริงๆ  ใบหน้าคำนับขาวซีดก่อนจะค่อยๆ เปลี่ยนเป็นสีแดงลามไปถึงใบหูทั้งสองข้าง

“นายชอบฉันเลยหึงแล้วก็โกรธที่ฉันรับเบอร์มาจากสาวๆ พวกนั้น”

“มะ!”  เห็นเขาทำท่าจะเอ่ยปฏิเสธผมเลยรุกขึ้นหน้าอีกนิดจนปลายจมูกเราห่างกันเพียงนิดเดียว  เหมือนอย่างคืนนั้น...

“ยอมรับเถอะน่า”  ผมกระซิบชิดริมฝีปากบางของคนตรงหน้า  ขยับหายใจรินรดลงบนแก้มของเขา

“มะ  อื้อ!”

ผมกดจูบลงบนริมฝีปากที่ตั้งท่าจะปฏิเสธคู่นั้นรวดเร็วแล้วผละออก  ดวงตาที่เบิกโตอยู่แล้วตอนนี้โตเกือบเท่าไข่ห่าน  ผมหัวเราะกับท่าทางนั้นรู้สึกเอ็นดูเขาอย่างบอกไม่ถูก  ก่อนจะขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกว่าภาพตรงหน้าพร่าเลือน

“นี่  คำนับ”  ผมสูดลมหายใจเข้าลึก  ไม่จริงน่า  ผมกำลังจะเป็นลมงั้นเหรอ? แค่ได้จุ๊บคำนับทีเดียวผมถึงกับจะเป็นลม?  อา  แบบนี้มันไม่เท่ห์เอาซะเลย

“โป๊ยกั๊ก?”  คำนับดึงสติกลับเข้าร่างทันทีที่เงยหน้าขึ้นมอง  เดาว่าตอนนี้หน้าผมคงซีดมากแน่ๆ

“จะบอกอะไรให้นะ  ฉันไม่เคยโทร.หาสาวๆ พวกนั้น  สาบานได้”

“นายไม่สบายหรือเปล่า?”  ผมยกแขนยันผนังด้านหลังคำนับเอาไว้เพื่อไม่ให้ล้มลงไป

“อืม  ไม่  ไม่ค่อยโอเคเท่าไหร่”  ผมสูดลมหายใจเข้าลึก  ทั้งๆ ที่ผมปรับความเข้าใจกับคำนับแล้วทำไมร่างกายถึงยังไม่ผ่อนคลายอีกล่ะ?

“ไปห้องพยาบาลกัน!”  คำนับคว้าแขนผมไปพาดบ่าเพื่อพาไปห้องพยาบาล  ผมออกแรงขืนเอาไว้ให้เขาหันกลับมา

“ครับ  นายเชื่อฉันใช่ไหม?”

“เออน่า!”

“ถ้าฉันคิดว่าชอบแล้วละก็...”  ไม่ไหวแล้วแฮะ

“ไปห้องพยาบาลก่อน  หน้านายซีดมาก!”

“คำนับ  เป็นแฟนกันนะ?”  อย่า...  อย่าเพิ่งเป็นลมตอนขอเขาเป็นแฟนได้ไหมวะ?

“เฮ้!”

เบื้องหน้าทุกอย่างดับวูบมืดสนิทเหมือนโลกนี้ไม่เคยมีแสงสว่าง   ผมได้ยินเสียงคำนับร้องเรียกอย่างตกใจ  ไม่ต้องมองก็รู้ว่าตอนนี้เขาร้อนรนแค่ไหน  อยากยิ้มที่เขาเป็นห่วงผมขนาดนี้  แต่ว่า...ผมกลับขยับร่างกายไม่ได้  แค่หายใจ...ผมยังไม่มั่นใจเลยว่าหน้าอกผมกระเพื่อมหรือเปล่า

ผมได้ยินทุกอย่าง  รับรู้ว่ารอบข้างมีใครบ้างแต่ขยับร่างกายไม่ได้  ไม่ใช่ซิ  เหมือนผมไม่มีร่างกายต่างหาก  ผมรู้สึกว่าตัวเองกำลังล่องลอยในความมืดมิด  อยากร้องเรียกให้คนช่วยก็ทำไม่ได้ 

ตอนนี้ผมอาจจะกำลังหวาดกลัว

ไม่ใช่...

มันไม่ใช่อาจจะ  แต่ผมกำลังกลัวอยู่!

ผมคิดว่าตอนนี้ตัวเองคงกำลังกลายร่างเป็นกลุ่มควันก้อนเล็กๆ กลุ่มหนึ่ง  ล่องลอยอยู่ในร่างกายอันสูงใหญ่ที่เคยชื่อว่าโป๊ยกั๊ก  ได้ยินทุกสิ่งแต่รู้สึกคล้ายกับว่าตัวเองไม่มีร่างกาย

คำนับตกใจลนลาน  เขาโทรศัพท์หาภูธเรศกับบดินทร์ก่อนทั้งสองคนจะโทร.หาเพกา ให้น้องสาวตามพ่อมารับผมไปโรงพยาบาล  ผมได้ยินเสียงพ่อร้องตกใจ  เสียงเปิด-ปิดประตูรถและเสียงร้องไห้ของน้องสาวคนเล็ก



เสียงเครื่องมือต่างๆ ดังขึ้น  เสียงพูดคุยจอแจทำให้ผมรู้ว่าตอนนี้อยู่ในโรงพยาบาล  ผมนับในใจไม่ถึงสิบนาทีก็ได้ยินเสียงแม่  คาดว่ากำลังตรวจร่างกายผมอย่างละเอียด  แม่ทำเรื่องขอเอ๊กซเรย์คอมพิวเตอร์เพื่อดูว่าหัวสมองของผมได้รับความกระทบกระเทือนอะไรหรือไม่  สรุปสุดท้ายได้ยินแม่กับคนอื่นๆ คุยกันว่าร่างกายของผมปกติดีอย่าง

แล้วทำไมจู่ๆ ผมถึงหมดสติ?

“จริงซิ  นี่มันวันนั้นของเดือนนี่”  กระวานซึ่งตรงมาจากที่ทำงานเอ่ยแทรก

“วันนี้ก่อนออกจากบ้านโป๊ยกั๊กมีอะไรผิดปกติหรือเปล่าครับ?”  เสียงพี่ใบไธม์ถาม

“เมื่อเช้า...กานพลู...เหมือนกานพลูจะไม่ได้ออกมา”  พ่อนิ่งคิดก่อนจะพูดเสียงเบา

“เอ๊ะ?”

“ใช่ครับ  โป๊ยกั๊กวันนี้คือโป๊ยกั๊กไม่ใช่กานพลู”  ภูธเรศพูดออกมาแล้วถึงเพิ่งนึกได้ว่านี่มันเป็นเรื่องผิดปกติ  เกิดความเงียบรอบเตียงที่ผมนอนอยู่  อึดใจใหญ่เสียงพี่ไธม์ก็ดังขึ้นอีกครั้ง

“พ่อพาทุกคนกลับบ้านก่อนเถอะครับ  เดี๋ยวผมไปส่งภูกับดินก่อน”  พี่ไธม์ไม่ได้เอ่ยถึงคำนับ  เดาว่าเขาคงไม่ได้ตามมาเพราะต้องอยู่ช่วยงานที่โรงเรียนให้เสร็จ

“ได้  แล้วเจอกันที่บ้าน”

ผ่านไปครู่ใหญ่เมื่อถึงบ้านผมถูกแบกขึ้นห้องโดยกระวาน  ได้ยินเสียงฝีเท้าคนเดินไป-มาในห้อง  ได้ยินเสียงถอนหายใจแต่ผมกลับไม่ได้ยินเสียงตัวเองเลย

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นระหว่างโป๊ยกั๊กกับกานพลูหรือเปล่านะ?”  พ่อพึมพำ

“อาจจะเป็นวันนั้นก็ได้ค่ะ!”  เพกาที่หยุดร้องไห้เอ่ยเสียงดัง

“หืม?”

“เดือนก่อนหนูได้ยินเสียงพี่โป๊ยกั๊กโวยวายลั่นห้องเลยแอบดู  เห็นกำลังคุยกับพี่กานพลูอยู่แต่ท่าทางอารมณ์ไม่ดีหนูเลยไม่กล้าเข้าไป  หลังทะเลาะกันพี่โป๊ยกั๊กออกจากห้องไป  หนูวิ่งไปที่กระจกแต่พี่กานพลูไม่อยู่แล้ว  หนูเรียกเท่าไหร่ก็ไม่ออกมา”

“กระวานเอากระจกมาตั้งตรงนี้ซิ”

“เอ๊ะ  ผมขอออกไปรอนอกห้องนะ...”

“หยุดเลย!”  ไม่รอให้เจ้าก้อนนุ่มนิ่มวิ่งหนีก็เขาก็ถูกดักคอเสียก่อน  “ไปพยุงโป๊ยกั๊กขึ้นมา!”  แม่พูดเสียงดุ  ผมได้ยินกระวานร้องครางในคอแต่สุดท้ายก็ยอมเข้ามาพยุงผมขึ้น

“งั้นให้โป๊ยกั๊กพิงหลังผมแทนละกัน”  ผมคงถูกจัดท่าให้นั่งเอนพิงหลังของพี่ชายคนรอง  เพราะเขาคงไม่ยอมประจันหน้ากับกระจกแน่ๆ

ความเงียบเข้าปกคลุมอีกครั้งคล้ายทุกคนกำลังลุ้นอะไรบางอย่าง  แต่จนแล้วจนรอดก็ไม่มีอะไรเกิดขึ้น 

“เป็นยังไงบ้างครับ?”  พี่ไธม์ที่เพิ่งมาถึงถามขึ้น

“ไม่ยอมออกมา”

“กานพลู  กานพลู  ได้ยินพี่หรือเปล่า?”  พี่ไธม์ร้องเรียก  ไม่ต้องเห็นผมก็รู้ว่าทุกคนต่างเงี่ยหูฟังและตาคงจ้องถลนเข้าไปในกระจก

“ความจริงกานพลูต้องออกมาตั้งแต่เมื่อคืน  เมื่อเช้าตอนกินข้าวพ่อคิดว่าเพราะกานพลูตื่นเต้นกับพิธีปัจฉิมนิเทศเลยเคร่งเครียดไม่ร่าเริงเหมือนทุกที  และกลัวว่าจะสายพ่อจึงรีบไปส่งโรงเรียน  นี่ถ้าพ่อสังเกตแต่ทีแรก....”

ไม่ใช่ความผิดพ่อเสียหน่อย!

ผมตะโกน  ผมคิดว่าตัวเองตะโกนนะ



**********

เช้าวันนี้พ่อกับแม่ก็ยังคงเปลี่ยนกันแวะเวียนมาปลุกให้ผมหรือกานพลู  ใครสักคนให้ตื่นขึ้นมา  ก็ถ้าไอ้เจ้ากานพลูไม่อยากตื่นก็ให้ผมออกไปเซ่!

ภูธเรศกับบดินทร์มาเยี่ยมแต่เช้าเพิ่งกลับไปตอนโดนพ่อไล่เมื่อกี้นี้  คนแก่บ้านผมเป็นห่วงสองคนนั้นเรื่องเตรียมย้ายของเข้าหอพักน่ะเลยไล่ไปจัดการให้เสร็จสิ้น  อีกอย่างอยู่ไปก็ใช่ว่าผมจะหรือกานพลูจะตื่นขึ้นมา  รู้สึกเหงาเหมือนกันแหะเวลาไม่ได้พูดคุยเล่นหัวกับเพื่อนแบบนี้

“ยังไม่ฟื้นอีกเหรอครับ?”

“ยังเลย  ตั้งแต่เมื่อวานก็ยังไม่ลืมตาขึ้นมาสักครั้ง”

โอ๊ะ  เสียงคำนับนี่นา

“โป๊ยกั๊กป่วยเป็นอะไรหรือครับ?”

“ร่างกายปกติดีทุกอย่าง  เหมือนเขานอนหลับไม่ยอมตื่นน่ะ”  พ่อถอนหายใจ  น้ำเสียงเศร้าสร้อยอย่างที่ผมไม่เคยได้ยินมาก่อน

“แปลกจัง”

“อืม  ครับอยู๋เป็นเพื่อนโป๊ยกั๊กหน่อยนะ  อาขอไปสั่งงานที่ร้านครู่หนึ่ง”

“ครับ”



ความเงียบปกคลุมห้อง  ครู่หนึ่งผมรู้สึกถึงแรงยวบบนที่นอนข้างกาย  เสียงคุ้นหูเอ่ยถามแผ่วเบา

“เฮ้  นายได้ยินฉันไหม?”

ได้ยินซิ  ทุกคำนั่นแหละ

“ฉันไม่รู้ว่านายเป็นอะไรแต่อยากให้นายรีบตื่นขึ้นมาเสียที  มะรืนจะงานปัจฉิมแล้วนะ  นายอยากพลาดหรือไง?”

พูดบ้าๆ ใครจะอยากพลาดกันล่ะ

“อีกอย่าง  ฉันคิดว่าวันนั้นเรายังคุยกันไม่จบ  ใช่ไหม?

อ่าฮะ  เรื่องที่ฉันขอนายเป็นแฟนใช่ป่ะ? ได้ยินอย่างนี้อยากรีบตื่นเพื่อมาคุยกันให้จบซะตอนนี้เลย  พับผ่าซิ!

คำนับอยู่เป็นเพื่อนผมจนถึงเย็นถึงกลับบ้าน  พูดให้ถูกคืออยู่คุยกับพ่อผมจนถึงเย็นแล้วค่อยกลับบ้านต่างหาก  ผมอยากเห็นหน้าเขาชะมัด  เวลาคุยกับพ่อคำนับจะหน้าแดงเหมือนลูกมะเขือเทศสุก  ดูอายๆ น่ารังแก  เอ้ย  น่าแกล้ง  ไม่ใช่ซิ  น่ารักมาก!  ผมอยากเห็นจัง!

การที่คำนับมาเยี่ยมผม  ทำให้ผมรู้สึกดีขึ้นมาก  อย่างน้อยความพะวง  กังวลและหวาดกลัวก็เบาบางลง  แม้ไม่รู้ว่าผมหรือกานพลูใครคนไหนที่จะลืมตาตื่น  แล้วจะตื่นขึ้นมาตอนไหน  ไม่มีอะไรที่บอกได้เลย...

อีกวันถัดมาพี่ไธม์และกระวานกลับเข้ามาบ้านอีกครั้ง

“น่าแปลก  ไม่เคยเกิดเรื่องแบบนี้มาก่อนเลย”  พี่ชายคนโตที่เลี้ยงผมมากับมือเอ่ยขึ้น

“หรือว่าเราต้องทำพิธีไล่ผี?”  กระวานเสนอแนะ

ไล่ผีออกจากปากนายน่ะซิ!  ไอ้พี่บ้า!

“กระวาน”  พี่ไธม์เอ่ยดุเสียงเบา

“ขอโทษครับ”

สมน้ำหน้า!

“กานพลู  ทำไมลูกถึงไม่ออกมาล่ะ? ดูซิ พี่ชายสองคนของลูกวันนี้พร้อมใจกันกลับบ้านเลยนะรู้ไหม? แม่กับพ่อเตรียมของขวัญไว้ให้กานพลูกับโป๊ยกั๊กด้วย”

“ใช่ๆ ถึงฉันจะกลัวนายตอนอยู่ในกระจก  แต่ฉันก็คิดถึงนายนะโว้ย”  กระวานพูดขึ้นบ้าง

“ใช่ๆ หนูก็คิดถึงพี่กานพลูนะคะ”

“กานพลู  พี่กลับบ้านมาทั้งทีจะไม่ออกมาเจอกันหน่อยเหรอ?”  ทุกคนกำลังหลอกล่อรอให้เจ้ากานพลูออกมา  แล้วทำไมหมอนั่นถึงยังไม่ออกมาอีก!

“โป๊ยกั๊กว่าอะไรกานพลูหรือเปล่า? เดี๋ยวแม่ตีโป๊ยกั๊กให้  เรารีบออกมาได้แล้ว  เร็วๆ”

แม่ครับ...ผมได้ยินนะ  แล้วมันก็ไม่ใช่วิธีเลี้ยงลูกที่ถูกต้องด้วย!

“อืม...”

“กานพลู!”  ทุกคนพร้อมใจกันเรียกเมื่อเสียงหนึ่งดังขึ้นท่ามกลางความเงียบ

“สวัสดีครับทุกคน  ทำไม?”

“พวกเราต่างหากที่ต้องถามว่าทำไมกานพลูถึงไม่ออกมาทั้งๆ ที่เป็นวันนั้นของเดือน”  พ่อเอ่ยรัวเร็ว

“......”

“มีอะไรหรือเปล่าลูก?”

ในที่สุดเขาก็ยอมออกมาเสียที! พอเป็นแบบนี้แล้วรู้สึกแปลกชะมัด  เวลาที่กานพลูออกมาผมจะไม่รู้สึกตัว  เหมือนนอนหลับ  แต่คราวนี้ผมกลับรับรู้ทุกอย่าง  ได้ยินทุกคน  เหมือนผมหดตัวมาอยู่ในร่างของเขา

“วันนั้นพี่ทะเลาะกับพี่โป๊ยกั๊กเรื่องอะไรเหรอคะ?”

“ไม่มีอะไรหรอกเพกา  พ่อครับ  ผมหิวข้าวจัง”  ผมได้ยินเสียงกานพลูอ้อนพ่อ  ตอนนี้ทุกคนคงถอนหายใจโล่งอก

ทั้งๆ ที่ผมอยากพูดคุยกับทุกคน  ได้ยิ้ม  หัวเราะ  เล่าเรื่องตลกให้พ่อฟัง  ช่วยเพกาปลูกผัก  รอแม่กลับมาเล่าเรื่องน่ากลัวในโรงพยาบาล  แกล้งกระวานเวลาว่างๆ หรือซ้อมต่อสู้ตอนเช้ากับพี่ไธม์

แต่ไม่มีใครรู้ว่าผมอยู่ตรงนี้...

ตอนที่ผมยังเป็นผม  เป็นโป๊ยกั๊กเจ้ากานพลูจะรู้สึกเหมือนอย่างผมในตอนนี้ไหมนะ? 
.
.





ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3



ถ้าเป็นปกติเช้าวันรุ่งขึ้นเมื่อโป๊ยกั๊กกลับมากานพลูจะกลับไปอยู่ในกระจก  แต่วันนี้ไม่มีความปกตินั่น  ผมยังคงล่องลอยอยู่ในร่างของกานพลู

“นี่มันเรื่องอะไรกันเนี่ย?”  กระวานที่กำลังจะออกไปทำงานชะงักเท้าเดินถอยหลังกลับเข้ามาในบ้าน  ตอนนี้ถึงขนาดขอลางานหนึ่งวันเลยด้วยซ้ำ

“นั่นซิ”

“แม่กับพี่ไธม์ก็ไปทำงานแล้วด้วย”  เพกาส่งเสียงมาจากที่นั่งประจำ 

“แล้ววันจันทร์นี้จะทำยังไง?”  วันพรุ่งนี้  ...วันปัจฉิมนิเทศ...

“คิดถึงโป๊ยกั๊กกันแล้วเหรอครับ?”  กานพลูเอ่ยถาม  น้ำเสียงไม่บ่งบอกอารมณ์

“หืม?”

“นั่นซินะ...”  นั่นซินะอะไรของนายวะ?

“กานพลู”  เสียงของพ่ออ่อนโยน  พ่อคงกำลังลูบหัวกานพลูอยู่แน่ๆ  “ไม่ว่าจะกานพลูหรือโป๊ยกั๊ก  ทั้งคู่คือลูกของพ่อกับแม่  เป็นน้องของพี่ไธม์และกระวาน  เป็นพี่ชายของเพกานะ”

“....”

“เราทุกคนรักกานพลูนะ”

“ไม่ใช่ทุกคนหรอกครับ”

“กานพลู?”


หมายความว่ายังไง?


*********

ผมได้ยินเสียงเพื่อนๆ ที่เริ่มทยอยมาโรงเรียน  มีรุ่นน้องบางคนถือช่อดอกไม้มาให้รุ่นพี่ที่ชื่นชม  จากนั้นจึงได้ยินเสียงผู้หญิงคนหนึ่งทักขึ้นท่ามกลางความวุ่นวาย

“โป๊ยกั๊ก  ทำไมนายไม่เคยโทร.หาเราเลยล่ะ  หรือว่าทำเบอร์หาย?”

“ขอโทษทีนะ  แต่เราคงโทร.หาเธอไม่ได้หรอก  แล้วก็นี่เงินทอนคราวนั้น”  นี่คงเป็นผู้หญิงที่ให้เบอร์กานพลูคราวก่อน  คนที่ทำให้คำนับโกรธผม  และทำให้ผมโกรธกานพลูอย่างที่สุด

“ทำไมล่ะ?”

“เรามีคนที่ชอบแล้ว”

“...อ้อ...  อย่างนี้นี่เอง”  เธอยืนนิ่งอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยอมถอยกลับไป  ว่าแต่กานพลูมีคนที่ชอบแล้วงั้นเหรอ?  ทำไมผมไม่รู้เรื่อง  แล้วถ้าเกิดหมอนี่ไปจีบหญิง  ขืนมีแฟนขึ้นมาคนที่ยุ่งยากต้องกลายเป็นผมไม่ใช่หรือไง?

“โป๊ยกั๊ก  หายดีแล้วเหรอ?”  เสียงคุ้นหูเอ่ยทัก  ผมเผลอใจเต้น  อดเกร็งขึ้นมาไม่ได้กลัวว่าคำนับจะดูออกว่าคนที่ยืนตรงหน้าคือกานพลูไม่ใช่โป๊ยกั๊ก

“คำนับ...”

“นาย?”

“เราสบายดี  คำนับไม่ต้องเป็นห่วงหรอกนะ”  กานพลูเอ่ยตอบด้วยน้ำเสียงฝืดเฝือน

“ไม่ใช่...  นายคือโป๊ยกั๊กจริงๆ งั้นเหรอ?”

“....”

“ฉันคิดว่าฉันรู้จักนายนะ  แต่ตอนนี้ที่อยู่ตรงหน้าฉันฉันคิดว่าไม่ใช่   ...ไม่ใช่โป๊ยกั๊ก”

“เรา...”  เสียงถอนหายใจคล้ายเจือแววสะอื้น  นั่นทำให้ผมรู้สึกเจ็บแปลบ  “เราจะบอกความลับบางอย่างให้คำนับฟัง”

“ความลับ?”

“ใช่  เราคิดว่าถ้าโป๊ยกั๊กชอบนายจริงๆ นายก็ควรจะได้รู้ความลับนี้”  อย่าบอกนะว่ากานพลูจะบอกทุกอย่างกับคำนับน่ะ?

“แล้วนี่เราจะไปไหนกัน?”  คำนับถาม  แต่ก็ยอมให้กานพลูลากออกไป

“ห้องน้ำ”

“ห้องน้ำ?”

“ใช่  อันที่จริงตรงไหนมีกระจกก็ได้ทั้งนั้นแหละ  แต่ถ้าเป็นห้องน้ำอย่างน้อยคนก็ไม่พลุ่กพล่าน”

“บอกความลับในห้องน้ำเนี่ยนะ?”  คำนับหัวเราะ

“จะว่าไปความลับแตกครั้งแรกก็ในห้องน้ำเหมือนกันนะ  รู้สึกว่าตอนนั้นจะอยู่ในช่วงอนุบาลละมั้ง”

“อะไรกัน  นายมีความลับตั้งแต่ตัวกะเปี๊ยกเลยเหรอ?”

“ใช่  หลังจากนี้คิดว่าโป๊ยกั๊กคงโกรธมากกว่าเดิมแน่ๆ”  กานพลูถอนหายใจ

“?”

“แต่ไม่เป็นไรหรอก  ยังไงเราก็ไม่มีตัวตนตั้งแต่แรกอยู่แล้ว”

“นาย...”

“อืม  ถึงแล้ว”  กานพลูลากคำนับเข้าไปห้องน้ำชาย  เมื่อสำรวจว่าไม่มีใครอยู่ในนั้นเขาจึงปิดประตูใหญ่แล้วกดล็อค  ก่อนจะดันให้คำนับหันไปทางกระจกบานใหญ่

“!”

“นี่คือความลับของเรา” 

กานพลู  นายพูดอะไรออกไป!



 “นะ  นาย!”

“เพราะเราอยู่ตรงนี้  ในกระจกเลยไม่มีเงา”  ในกระจกห้องน้ำ  เงาที่สะท้อนกลับมาคงมีแค่ของคำนับคนเดียว  เดาว่าตอนนี้คำนับคงเบิกตาโต  ใบหน้าขาวซีดหันกลับมามองคนด้านหลังสลับกับกระจกอยู่อย่างนั้นคล้ายไม่เชื่อในสิ่งที่เห็นอยู่แน่

“....”

“โป๊ยกั๊กไม่ใช่ผีหรอก  ไว้ใจได้”  น้ำเสียงกานพลูแฝงแววเอ็นดู 

“ฉันก็ยังไม่ค่อยเข้าใจเท่าไหร่  ละ  แล้วโป๊ยกั๊กล่ะ?”

“ในนี้”  กานพลูชี้ที่กลางอกตัวเอง

“ห้ะ?”

“ถ้าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านายคือโป๊ยกั๊ก  เราจะอยู่ในนั้น”  กานพลูชี้ที่กระจก  “แต่ถ้าคนที่ยืนอยู่ตรงหน้านายคือเราโป๊ยกั๊กก็จะอยู่ในนี้”

“แล้วใครคือตัวจริง?”  คำนับพยายามคิดตามและพยายามทำความเข้าใจ

“โป๊ยกั๊กคือตัวจริง  เราคือเงา”  น้ำเสียงนั้นเศร้าอย่างที่ผมไม่เคยได้ยินจากเขามาก่อน

“เงา?”

“พลังพิเศษที่เกิดกับคนในบ้านของเรา”

“ในบ้านของนาย?  คนอื่นๆ ก็เป็นแบบนี้เหรอ?”  กานพลูส่ายหน้าไม่ตอบ

“แต่เอาเข้าจริง  เราไม่ได้เป็นพลังพิเศษของโป๊ยกั๊กหรอก”

“งั้นนายเป็นอะไร?”

“เป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการ”

“....”

เกิดความเงียบขึ้นระหว่างเรา  ผมอยากเห็นสีหน้าของกานพลูตอนนี้  ไม่รู้ว่าเจ้าคนเหยาะแหยะกำลังทำสีหน้าแบบไหนอยู่

“โอ๊ะ!”

“นายเป็นอะไร?”  คำนับมีสีหน้าตกใจ  เขาผวาเข้ามาประคองตอนที่กานพลูโน้มตัวลง  มือสองข้างของกานพลูบีบขมับแน่น  เอ๊ะ  ทำไมผมมองเห็นหน้าคำนับแล้วล่ะ?

“ไม่เป็นอะไร  พวกเรารีบออกไปเถอะ”  เสียงทุบประตูดังขึ้นเบื้องหลัง  แล้วผมก็กลับมาล่องลอยในความมืดอีกครั้ง

“แล้วฉันจะเรียกนายว่าอะไร?”  มือของกานพลูที่จับลูกบิดชะงักนิ่ง

“กานพลู  เราคือกานพลู”

ระหว่างพิธีปัจฉิมนิเทศ  ผมรับรู้ได้ถึงสายตาของคำนับ  ภูธเรศและบดินทร์ที่มองมาอย่างเป็นห่วง  แต่ตอนนี้ผมไม่สามารถกลับไปเป็นโป๊ยกั๊กได้  ผมรู้สึกถึงความเศร้าจางๆ ที่ลอยอวล  มันไม่ใช่ความเศร้าใจของผม

แต่เป็นความเศร้าของกานพลู

หรือว่ากานพลูกำลังร้องไห้?

เสียงสุดท้ายของครูใหญ่จบลง  ผมเหลียวไปรอบตัว  ภาพใบหน้าของเพื่อนร่วมห้อง  เพื่อนร่วมชั้นค่อยๆ ชัดเจนเข้าสู่สายตา ภูธเรศกับบดินทร์วิ่งเข้าประคองก่อนที่ผมจะล้มหงายหลัง  ความรู้สึกวูบคล้ายตกจากที่สูง  หัวใจเต้นรัวเร็ว  ปลายมือปลายเท้าเย็นเฉียบ  เหงื่อซึมแผ่นหลังจนเปียกชื้น  ผมนิ่งค้างอยู่อย่างนั้นครู่ใหญ่จากนั้นก็จมเข้าสู่ความมืดมิด




ตอนที่ตื่นขึ้นมาในเช้าวันรุ่งขึ้นผมก็กลับมาเป็นโป๊ยกั๊กคนเดิมอีกครั้ง



*********




[คำนับ]



   จู่ๆ โป๊ยกั๊กก็ล้มลง  แล้วไม่ยอมตื่นขึ้นมา  นั่นทำให้ผมรู้สึกแปลกๆ  ส่วนหนึ่งผมรู้ว่าตัวเองเป็นห่วงเขา  ถ้าเกิดเขาป่วยหนักล่ะ?  ทุกคนในบ้านจะต้องเสียใจมากแน่ๆ  แต่พอได้คุยกับอาฟ้าถึงรู้ว่าเขาร่างกายปกติ  ถ้าอย่างทำไมถึงยังไม่ตื่นเสียที  เกิดพลาดงานวันปัจฉิมจะทำยังไง?
   
แล้วอีกส่วนที่ไม่มีชื่อเรียกนี้ล่ะ  มันคืออะไร

   ความรู้สึกที่กลัวว่าเขาจะไม่ลืมตาขึ้นมา  โป๊ยกั๊กอาจเป็นเจ้าชายนิทราตลอดชีวิต  มันทำให้ผมรู้สึกอึดอัดในอกแปลกๆ  ถ้าเป็นไปได้ผมอยากให้เขาตื่นขึ้นมาหาเรื่องกันเหมือนเมื่อก่อนดีกว่านอนนิ่งเป็นปลาตายแบบนี้

กว่าจะรู้ว่าตัวเองเอาแต่คิดถึงเรื่องของโป๊ยกั๊กวันจันทร์ก็เวียนมาถึงเสียแล้ว

สภาพของคนโตตัวดูไม่ค่อยดีสักเท่าไหร่  บรรยากาศรอบตัวเขาดูเศร้าสร้อย  เขาเหมือนไม่ใช่โป๊ยกั๊กคนที่ผมรู้จักแต่ผมกลับรู้สึกคุ้นเคยคล้ายเพื่อนเก่า

‘เราจะบอกความลับบางอย่างให้คำนับฟัง’

ความลับนั่นทำเอาผมแทบวิญญาณหลุดจากร่าง  นี่เขาเป็นคนจริงๆ งั้นเหรอ?  ไม่ใช่ผีใช่ไหม?  ทำไมเงากับตัวถึงแยกกันล่ะ?  ถึงจะบอกว่าเป็นพลังพิเศษก็เถอะ  ถ้าคนอื่นมาเห็นอย่างที่ผมเห็นต้องมีขนลุกบ้างแหละ

แต่ว่า...

ความเศร้าที่อบอวลอยู่รอบตัวเขากลบความรู้สึกนั้นของผมจนมิด

‘งั้นนายเป็นอะไร?’

‘เป็นสิ่งที่เขาไม่ต้องการ’

กานพลู  นายกำลังร้องไห้อยู่ใช่ไหม?

แล้วฉันจะทำยังไงดี?

ฉันไม่อยากให้นายร้องไห้  ไม่อยากให้โป๊ยกั๊กหายไป

ฉันจะช่วยอะไรนายได้หรือเปล่านะ?


********







[ภูธเรศ]

   
“ถ้าเข้ามหาวิทยาลัยแล้วกูว่าจะมีแฟน”

   “....”

   “เขาว่าสาวคณะมนุษย์ฯ มีแต่สวยๆ”  คนข้างตัวยังคงเงียบ  ผมเหลือบตาแอบมองดูว่าเขาจะมีปฏิกิริยาอะไรหรือไม่  แต่ใบหน้าหล่อเหลานั่นยังคงเรียบสนิท

   “พ่อแม่จ่ายเงินให้ไปเรียนไม่ใช่ไปหาเมีย”  น้ำเสียงเรียบเรื่อยไม่บ่งบอกอารมณ์ทำเอาใจแป้ว

   “มันก็ต้องมีบ้างป่าววะมึง  สีสันชีวิต”

   “อยากได้สีเลือดไหมล่ะ?”

   “....”  ผมหุบปากเงียบทันที  ถ้าสายตาฆ่าคนได้  ผมคงตายไปแล้ว  ตาไอ้ดินตอนนี้น่ากลัวสัดๆ

   เอาล่ะ  ผมไม่ควรเชื่อคำยุแหย่ของโป๊ยกั๊กที่ว่าให้พูดลองใจไอ้ดินดู  เห็นตามันแล้วคิดว่า  วันไหนถ้าผมเผลอจีบใครเข้าโดยบังเอิญหรือออกนอกลู่นอกทางไม่ตั้งใจเรียนคงโดนมันฆ่าหมกห้องอย่างไม่ต้องสงสัย

   เห็นแบบนี้แล้วผมเลยไม่กล้าเสี่ยงพูดอะไรอีก  เอาเถอะ  อยู่แบบนี้ต่อไปเรื่อยๆ แล้วกัน  วันไหนความรู้สึกล้นอกเมื่อไหร่  ทนเก็บต่อไปไม่ไหวก็จับปล้ำแม่งเลย!



*********



     
โปรดติดตามตอนต่อไป



































สวัสดีค่า  เอาเจ้าทึ่มโป๊ยกั๊กมาส่งค่ะ ^^
คาดว่าตอนที่แล้วคงมีคนโกรธเจ้าเด็กนิสัยเสียคนนี้มากๆ แน่เลยใช่ไหมคะ  มาตอนนี้เขาได้รู้ซึ้งถึงความรู้สึกของกานพลูแล้ว  สมน้ำหน้าเนอะ^^  แต่ก็ยังว่าเจ้าเด็กดื้อคนนี้จะยังได้รับความเอ็นดูจากคนอ่านบ้างนะคะ

อ่านให้สนุกนะค้า  มีตรงไหนผิดพลาดแนะนำ ติติงกันได้เช่นเคยค่ะ




ด้วยรักและคิดถึง



ทราย

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13216
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เงาก็มีหัวใจเหมือนกันนะ  :กอด1:

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ตอนใหม่มาพร้อมความดราม่า สงสารกานพลูเหมือนกันนะมีชีวิตอยู่แค่ในเงาออกมาได้ก็แค่เดือนละครั้ง ยิ่งโป๊ยกั๊กมาทำท่าทางรังเกียจอีกคงรู้สึกเหมือนตัวเองไร้ค่า มีเหตุการณ์นี้ขึ้นมาก็หวังว่าโป๊ยกั๊กจะเข้าใจอะไรมากขึ้นและยอมรับกานพลูที่เป็นอีกส่วนนึงของตัวเองสักที

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ง่า  พลาดอัพเดตตอนที่แล้ว  เพราะเห็นว่าชื่อตอนและวันที่ไม่ได้เปลี่ยน  พอมาวันนี้  อ้าว ไหงโผล่มาตั้งสองตอน

โป๋ยกั๊กนี่เห็นแก่ตัวจริง ๆ ไม่คำนึงถึงจิตใจคนอื่นเลย

จะรอดูว่าหลังจากนี้ ความสัมพันธ์ระหว่างโป๋ยกั๊กกับกานพลูจะเป็นอย่างไรต่อไป

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3


Secret Me  คนนี้ต้องลับ!
ตอนที่13



หลังจากวันนั้นทุกอย่างก็กลับสู่ปกติ  กานพลูยังคงปรากฏตัวทุกคืนเดือนดับ  ครอบครัวได้เจอหน้าเขาอย่างน้อยเดือนละครั้งเหมือนทุกที  แต่มีบางสิ่งไม่เหมือนเดิมคือกานพลูจะไม่โผล่หน้ามาให้ผมเห็นเลย  เมื่อก่อนเวลาผมส่องกระจกเขามักโผล่มาป้วนเปี้ยนพูดจาเจื้อยแจ้วไม่หยุดปาก  พูดมากจนผมนึกรำคาญอยู่บ่อยๆ น่าแปลกที่คราวนี้เหมือนผมจะรู้สึกคิดถึงเขาในเวลาที่เขาไม่อยากเจอผม

การที่กานพลูไม่ยอมออกมาแบบนี้เป็นการสร้างความลำบากให้ผมอย่างหนึ่ง  นั่นคือเวลาแต่งตัวออกไปข้างนอกผมต้องอาศัยพ่อกับเพกาดูแลจัดการให้เหมือนเด็กน้อยอนุบาล   



เดือนแห่งการรับน้องสิ้นสุดลงไปแล้ว  หลังจากนี้นอกจากเรียนก็มีกิจกรรมต่างๆ ในคณะ  ผมเข้าร่วมตามเวลาออกตามเวลาไม่ทำตัวโดดเด่นและขวางคลอง  ดังนั้นชีวิตผมในช่วงนี้จึงค่อนข้างจืดชืดอยู่สักหน่อยเลยกะว่าจะไปเยี่ยมชมชมรมกีฬาของมหาวิทยาลัยดูสักหน่อยเผื่อจะได้ออกกำลังแก้เบื่อ  ภูธเรศกับบดินทร์เองก็เพิ่งมีเวลาหายใจหายคอ  และเย็นวันนี้ผมมีนัดกับเพื่อนทั้งสองที่ห้องของพวกมัน

“เออ  ช่วงนี้มึงเจอไอ้ครับมั่งป่าว?”

“ถามทำไม?”  หงุดหงิดครับ  คำถามกระแทกใจ  เพราะตั้งแต่วันจบการศึกษาผมก็ไม่ได้เจอคำนับอีกเลย  เขาไม่ได้มาทำงานที่ร้านเพราะพี่ซันกลับมาแล้ว  อีกอย่างเขาไม่มีเวลามาเก็บเกี่ยวประสบการณ์นอกห้องเรียนอีก

“วันก่อนพวกกูเจอไอ้เน่าด้วย”  ไอ้เน่า  นวพล  เพื่อนซี้ของคำนับที่โดนผมเขม่นไปช่วงก่อนเพราะมันกล้ามาจีบเพกาน้องสาวคนสวย  นวพลเลือกเรียนที่นี่ด้วยแต่คนละคณะกัน  ถ้าไม่นับเรื่องจีบเพกาก็ถือว่ามันเป็นคนน่าคบคนหนึ่งแหละนะ  อย่างวันแรกตอนผมหลงทางในวันรายงานตัวหาทางไปคณะไม่ถูกก็ได้มันนี่แหละช่วยเดินตามหา  ถามคนนู้นคนนี้ให้จนผมไปรายงานตัวทันเวลา

“แล้วเกี่ยวอะไรกับคำนับ?”

“?”  เพื่อนทั้งสองหันไปมองหน้ากัน

“มึงเลิกสนใจไอ้ครับแล้วเหรอ?” 

“เพื่อนครับ  คือว่าพวกมึงพูดกันคนละประโยคแถมไม่มีความเชื่อมโยงอะไรกันสักนิด  สุดท้ายไหงวกมาถามว่ากูเลิกสนใจไอ้ครับแล้ว? กูจะงงก็ไม่แปลกมั้ง  พูดให้มันรู้เรื่องซิวะ!”  ผมปาขนมในมือใส่หัวพวกมันทีละคน

“เออๆ โทษที”  ภูธเรศลูบหัวป้อยตรงที่โดนขนมปาใส่  บดินทร์หันมาหยิบทิชชูไปช่วยเช็ดทั้งๆ ที่หัวมันก็เปื้อนเหมือนกัน  ผมหรี่ตามองกำลังจะอ้าปากมันก็เหลือบตามองจ้องผมเขม็ง  ผมเลิกคิ้วแล้วตัดสินใจหุบปากเงียบไม่พูดต่อ  ถ้าบดินทร์ไม่อยากให้ผมพูดผมก็ไม่ควรเสือก  ส่วนไอ้คนไม่รู้เรื่องราวอย่างภูธเรศยังคงเจื้อยแจ้วต่อ

“เมื่อวานพวกกูคุยกับไอ้เน่า  มันว่าหลายอาทิตย์มานี้ไม่ได้เจอไอ้ครับเลย เห็นว่าพอรับน้องเสร็จก็เริ่มเรียนหนักทันที  เลยอยากรู้ว่าพวกเราได้ติดต่อไอ้ครับบ้างไหม  แล้วหมู่นี้กูไม่เห็นมึงพูดถึงไอ้ครับสักเท่าไหร่เลยคิดว่ามึงเลิกสนใจมันแล้ว”

“อ่าฮะ”

“อีกอย่างได้ยินว่าสาวๆ มาจีบมึงเยอะ  มึงอาจเปลี่ยนใจกลับมาชอบผู้หญิงเหมือนเดิม”

“เรื่องมีสาวมาจีบนี่ช่วยไม่ได้อ่ะนะ  คนมันหล่อ”  ผมยักไหล่  จะหาว่าคุย  ตั้งแต่หลังรับน้องมานี่มีสาวๆ ให้เบอร์ผมมาเยอะเชียวล่ะแต่ละคนสวยๆ ทั้งน้าน  คนมันหล่อมีเสน่ห์อันนี้ก็ต้องยอมรับกันไป

“สรุปมึงเลิกชอบไอ้ครับแล้ว?”

“เฮ้อ...”

“อ้าว?”

“ไม่ได้เลิกชอบ  แต่กูไม่รู้จะติดต่อมันยังไงต่างหาก  ขนาดไอ้เน่าบ้านใกล้กันมันยังไม่ได้เจอแล้วอย่างกูจะมีโอกาสได้เจอไหม? กูแวะไปบ้านมันอาทิตย์ละสอง-สามครั้งยังไม่ได้เห็นแม้แต่รองเท้ามัน”

“มึงก็พูดเว่อร์ไป”

“....”

“เฮ้ย  จริงดิ?”  เพื่อนทั้งสองเบิกตาโตเมื่อผมยังคงเงียบ  พวกมันคงคิดว่าผมพูดเล่นละมั้ง  ช่วงว่างจากกิจกรรมรับน้องผมเคยแวะไปหาคำนับอยู่หลายครั้งแต่ไม่เคยเจอเขาเลย

หรือว่าแม่งย้ายบ้านหนีผมไปแล้ววะ?

“หรือว่าไอ้ครับย้ายบ้านหนีมึงไปแล้ว?”

จึ๊ก!

เพี๊ยะ!

เสียงมีดแทงอกผมพร้อมกับฝ่ามือของบดินทร์ตบผลั๊วะลงบนหัวไอ้ภู

เหยียบมีดให้มิดด้ามเลยไหมเพื่อน!

“แล้วมึงไม่ทำอะไรเลยเหรอ?”  บดินทร์ละมือจากหัวไอ้ภูมาถามบ้าง

“มึงไม่โทร.หามันล่ะ?”  ภูธเรศลูบหัวตรงที่โดนตบเกรียนแล้วควานหาหนังสือการ์ตูนที่หล่นจากมือมาอ่านต่อ

“มันมีโทรศัพท์หรือไง?”

“เออว่ะ”  ใช่  คำนับแม่งมันไม่มีโทรศัพท์!  บ้าเอ้ย  มันเป็นมนุษย์ยุคหินหรือไง  ปัจจัยพื้นฐานอย่างโทรศัพท์มือถือมันยังไม่มีใช้!

“งั้นมึงก็ไปหามันที่วิทยาลัย”  บดินทร์เหลือบตามองเพื่อนร่วมห้องที่สนใจแต่การ์ตูนแล้วถอนหายใจ

“เออ  ใช่ๆ!”  ไอ้ภูวางหนังสือการ์ตูนลงดวงตาเป็นประกายขึ้นมา  เรื่องเสือกขอให้บอกภูธเรศชอบนักแล  “ไอ้เน่าบอกว่าที่วิทยาลัยของไอ้ครับสาวๆ เพียบเลยนะมึง  ขืนชักช้าระวังจะโดนคาบไปแดก”

“ไอ้ครับมันสเป็คสาวๆ เหรอ?”  ผมขมวดคิ้ว  ไม่ใช่ดูถูกว่าคำนับหน้าตาไม่ดีนะ แต่มันหน้าตาไม่รับแขกต่างหาก  แถมพูดน้อยแบบนั้นสาวๆ อาจไม่ชอบก็ได้

“ทำเป็นเล่นไป  ตั้งแต่มันมาทำงานที่ร้านพ่อมึงมันดูมีเนื้อมีหนังขึ้นมาก ผิวซีดๆ ก็ขาวมีน้ำมีนวล  แถมหน้าตาไม่ได้ขี้เหร่อะไร  แม้จะดูเถื่อนไปนิดแต่รวมๆ แล้วมันหล่อใช้ได้เลยนะมึง”

“มึงนี่ยุให้กูไปหามันจัง  มีอะไรแอบแฝงหรือเปล่า?”  ผมหรี่ตามองไอ้ภู  มันยิ้มแหยแล้วเขยิบถอยไปหลบอยู่หลังไอ้ดิน

“ถ้ากูบอกแล้วมึงจะเตะกูไหม?”

“ถ้ามึงไม่รีบพูดภายในหนึ่งนาทีนี้กูเตะมึงแน่!”

“วันก่อนกูเห็นไอ้ครับไปเดินห้างกับผู้หญิง!”  มันหลับตาพูดรัวเร็วเสียงดังจบประโยค

“แน่ใจนะว่าไม่ได้ตาฝาด?”

“กูแอบตามดูมันตั้งนานสองนานจะตาฝาดได้ไง”

“มึงนี่ไม่ทิ้งนิสัยขี้เสือกเลยเนอะ”  ไอ้ดินหันไปจิกด่าเพื่อนอย่างหมั่นไส้

“มึงอ้ะ!”  ส่งเสียงกระเง้ากระงอดแต่มือมันโบกใส่หัวไอ้ดินดังป้าบ  ผมส่ายหัวให้สองเพื่อนที่เริ่มตบตีกันก่อนจะคิดถึงคำพูดของไอ้ภูเมื่อครู่

คำนับไปเดินห้างกับผู้หญิง?

หรือว่าคำนับจะปฏิเสธคำพูดนั้นของผมวะ?

ตั้งแต่ก่อนวันปัจฉิมที่เกิดเรื่องกานพลูไม่ปรากฏตัว  ตอนนั้นผมลากแขนคำนับออกมา  จุ๊บเขาแล้วบอกว่าชอบ  หลังจากนั้นก็หมดสติ  พอฟื้นขึ้นมาต่างก็จบการศึกษาแล้วแยกย้ายกันไปจัดการชีวิตตัวเอง  และผมกับคำนับไม่ได้คุยเรื่องนั้นกันต่อจนถึงตอนนี้

“อ้าว  มึงจะไปแล้วเหรอ?”

“มึงให้กูไปหาไอ้ครับไม่ใช่หรือไง?”  ลุกขึ้นยืนคว้าเสื้อแขนยาวมาสวม

“ต๊าย  ใจร้อนเฟร่อ!”  ไอ้ภูเบิกตาโตแสร้งทำหน้าตาตกอกตกใจ

“ไอ้ดิน  บอกเมียมึงหุบปากไปเลย”  ผมชี้หน้าภูธเรศ

“บ้า  เมียเมออะไรกัน  โป๊ยกั๊กเนี่ยพูดอะไรก็ไม่รู้!”  ไอ้ภูยกมือขึ้นปิดหน้าส่ายตัวบิดไป-มาพลางเอามือทุบหลังไอ้ดินดังปั้กๆ ถี่ยิบ

“....”  ถ้าไม่ติดว่าเป็นเพื่อนกันจะขออ้วกใส่มันสักหน่อย  ข้อหาดัดจริตจนเกินงาม


*********


   ผมขับบิ๊กไบท์ตรงไปยังวิทยาลัยของคำนับ  บิ๊กไบท์คันนี้แม่ซื้อให้เป็นของขวัญ  เมื่อก่อนเคยอ้อนขอขับอยู่หลายครั้งแม่ก็ไม่ให้  บอกว่าไม่ใช่นึกอยากจะขับก็ขับ  หากไม่ชำนาญหรือเข้าใจหลักการขับรถมันจะอันตราย  อีกอย่างต้องมีความรับผิดชอบมากพอ 

ขับได้กับขับเป็นนั้นไม่เหมือนกัน  ขับได้คือเวลาล้มคุณอาจเอาตัวรอดได้หรือไม่ไม่รู้  แต่ขับเป็นคือต้องรู้ว่าจะเซฟตัวเองยังไงให้ปลอดภัย  เวลาขับบิ๊กไบท์แล้วล้มมีสองทางที่ต้องเจอ  คือตายกับเจ็บ  ขับไม่เป็นก็ตาย  ขับเป็นก็รอด  ความเร็ว  น้ำหนักและแรงเหวี่ยงของบิ๊กไบท์นั้นไม่ใช่เล่นๆ  มีเคสที่ตายจากบิ๊กไบท์ล้มนับไม่ถ้วน  แม่เคยเอารูปให้ดูตอนผมเร้าหรืออยากจะขับทำให้ผมรับรู้ถึงความน่ากลัวจากการล้ม  และเรียนรู้วิธีเซฟตัวเองให้ปลอดภัยถ้าเกิดล้มขึ้นมา  สิ่งสำคัญผมต้องมีใบขับขี่แม่ถึงยอมซื้อรถคันนี้ให้

ผมจอดรถรออยู่หน้าวิทยาลัย  สอดส่ายสายตามองหาร่างผอมของคำนับไปพลาง  แต่ท่าทางของผมคงน่าสงสัยเกินไปลุงยามหน้าประตูเลยเดินเข้ามาหา

“มีอะไรหรือเปล่าครับ?”

“ผมมารอเพื่อนน่ะครับ  ไม่รู้ว่าเลิกเรียนแล้วหรือยัง?”

“ทำไมไม่โทร.หาล่ะคุณ?”

“พอดีเขาไม่มีมือถือน่ะครับ”

“?”  ลุงยามขมวดคิ้วมอง  คงนึกว่าผมโกหกละมั้ง  มีใครที่ไหนไม่พกมือถือบ้าง  ...มีอยู่คนหนึ่งนะครับลุง  ก็คนที่ผมกำลังรออยู่นี่ไง

ผมได้ยินเสียงวี้ดว้ายเบาๆ จากเด็กผู้หญิงสองคนที่เดินผ่านผมไป  เธอเหลือบมองมาแล้วกระซิบกระซาบกัน  เอาวะ!

“เอ่อ  ขอโทษนะครับ”

“คะ!”  พวกเธอหน้าแดงแต่ก็ดูกระตือรือร้นในการตอบมากๆ

“รู้จักคำนับ  ตรีนันท์ไหมครับ  ไม่ทราบว่าเขาเลิกเรียนหรือยัง?”

“คำนับ?  อ้อ  ครับ  คำนับงั้นเหรอ?  เลิกแล้วล่ะ  อีกเดี๋ยวคงลงมา...นั่นไง”  เธอชี้ไปทางด้านหลัง  ผมหันไปมอง  เมื่อแน่ใจว่าเป็นคำนับจริงๆ  จึงหันมาขอบใจพวกเธอแล้วยืนเท้าเอวรอให้ใครคนนั้นเดินมาใกล้  คำนับดูแปลกใจกับการเห็นผมที่นี่ แต่ยังเดินเข้ามาหา

“นายมาได้ไง?”

“ขับรถมา”  ผมยกนิ้วโป้งชี้ไปทางด้านหลัง  คำนับชะโงกหน้ามองก่อนจะตาโตร้องว้าว

“รถนายเหรอ?”

“ไม่ใช่รถฉันจะรถใคร”  ได้ทีขออวดหน่อยครับงานนี้

“เท่ห์ดี”  ผมยักไหล่กับคำชมนั้น

“.......”  แล้วเราต่างก็ยืนนิ่งอยู่อย่างนั้น  อือ  จะเริ่มบทสนทนายังไงดีนะ  ประหม่าชะมัด!

ขณะที่กำลังคิดว่าจะชวนเขาคุยเรื่องอะไรหรือจะพาเขาไปที่ร้านของพ่อดี  เด็กผู้หญิงกลุ่มหนึ่งก็เดินเข้ามาหาเขา  สาวน้อยหน้าตาน่ารักหลายคนชวนคำนับคุยเจื้อยแจ้วไม่หยุด  ในอกซ้ายผมคันยุบยิบไปหมดอยากกระชากคำนับให้ออกห่างจากผู้หญิงพวกนั้นแต่ต้องข่มกลั้นเอาไว้

อารมณ์ร้อนไม่ได้  เดี๋ยวเสียเรื่อง!

“อะแฮ่ม!”  ผมส่งเสียงกระแอมทำเอาทั้งหมดหันมามองเป็นตาเดียว

“เอ่อ  เพื่อนของคำนับเหรอคะ?”

“อ่า  ครับ  จะเรียกว่าคนรู้ใ...จ”

“เพื่อนจากโรงเรียนเก่าน่ะ”  คำนับเอ่ยขัดเสียงดัง

“สนิทกันดีนะ  ขนาดเรียนคนละที่ยังมาเที่ยวหา”  หนึ่งในนั้นเอ่ยแซว

“ครับสนิทมาก”  ผมยิ้มกว้างตอบรับ  หันไปยักคิ้วใส่คำนับที่หน้าตาเหลอหลา

“เธอชื่ออะไรเหรอ?”  หญิงสาวท่าทางห้าวเอ่ยถามชื่อผม

“โป๊ยกั๊กครับ  ยินดีที่ได้รู้จัก”  ยิ้มการค้าไปอีกหนึ่งดอก

“เราชื่อนิล  เรียนห้องเดียวกับครับ  ยินดีที่ได้รู้จักเช่นกัน”  นิลยิ้มมุมปากพลางมองผมสลับกับคำนับ  ดวงตาของเธอวิบวับคล้ายรู้ความลับอะไรบางอย่าง

“จริงซิ  คำนับมาเรียนที่นี่เป็นเดือนแล้ว  แอบมีแฟนหรือเปล่าครับ?”

“เอ๊ะ?”

“เขาเล่นไม่ยอมติดต่อผมเลยน่ะซิ  ผมงี้น้อยใจจะแย่”  ตีสีหน้าตอแหลไปอี๊ก  คำนับถึงกับหน้าเหวอไปเลยทีเดียว  สาวที่ชื่อนิลเหลือบมองคำนับแล้วยิ้มเจ้าเล่ห์หากไม่ยอมตอบอะไร

“เอ่อ  ไม่มีนะคะ”  ส่วนสาวๆ คนอื่นมองหน้ากันไปมากับคำถามนี้

“คนแอบมองล่ะ?”  ผมแกล้งก้มลงให้ใบหน้าใกล้พวกเธอมากขึ้นแล้วกระซิบถามจนพวกเธอหน้าแดง

“คนแอบมองอาจจะมีอยู่  มั้ง?”

“แย่แล้ว  งั้นผมต้องขอร้องสาวๆ ให้คอยเป็นหูเป็นตาให้ผมแล้วซิ”

“ห้ะ?”

“เกิดมีใครมาจีบคำนับขึ้นมาผมคงแย่  แว้ก!”  คำนับตะปบปากผมเต็มแรง  ไม่พอถลึงตาใส่อีกต่างหาก

“พูดบ้าอะไรของนาย!”

“อื้อๆๆๆ”  ผมแกะมือเขาออกแล้วฉีกยิ้มให้สาวๆ กลุ่มเดิม  ที่ตอนนี้ทุกคนต่างมีสีหน้าแปลกพิกล  เหลือบมองผมทีมองคำนับทีก่อนจะพากันยิ้มกรุ้มกริ่ม  ส่วนคนที่ชื่อนิล  นู่น  กุมท้องนั่งหัวเราะงอหงายอยู่บนพื้นนู่น

“เอ่อ  ระ  เราขอตัวก่อนนะ”  คำนับจิกเล็บลงบนแขนผมเต็มแรงจนต้องเบ้หน้า  เจ็บนะโว้ย!

“โอเค  ถ้าอย่างนั้นไว้เราโทร.หานะ”

“ได้”  คำนับโบกมือให้เพื่อน  ส่วนผมยิ้มเสแสร้งส่งไปให้  รอจนผู้หญิงกลุ่มนั้นห่างออกไปผมก็หันมามองคำนับตาขวางทันที

“ผู้หญิงคนนั้นพูดว่ายังไงนะ?”  ผมหรี่ตามองคำนับ  เขาหันมาทำหน้าตางุนงง

“บอกว่าจะโทร.หา”

“นายมีโทรศัพท์?”

“เอ่อ...ก็...”  คำนับเสหลบสายตา  กำลังพยายามคิดเค้นคำตอบ

“ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“อะไรเมื่อไหร่?”

“ฉันถามว่านายมีโทรศัพท์ตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“ก็...ตั้งแต่มาเรียน  กลับบ้านมืดทุกวันเลยต้องเอาไว้โทร.กลับไปบอกแม่...”

“นามมีโทรศัพท์แต่ไม่บอกฉันเนี่ยนะ?”

“คือ...”

“โอเค  ตอนนี้ฉันโกรธมาก!”

“นายจะโกรธฉันได้ไงเล่า  หลังจากวันนั้นเราก็ยังไม่ได้เจอกันเลยฉันจะไปบอกนายได้ที่ไหน” คำนับเถียงกลับ  พอได้ยินอย่างนั้นผมเลยได้แต่จิ๊ปากขัดใจ

“เอามา!”  ผมแบมือไปตรงหน้าเขาพลางกระดิกนิ้วเร่งอีกหน่อย

“อะไร?”

“มือถือนายน่ะซิ  จะอะไร!”  ทำไมต้องให้ขู่ตะคอกเนี่ยคนซื่อบื้อเอ๊ย!

“ก็บอกซิว่าจะเอามือถือ  แบมือกระดิกนิ้วเฉยๆ ใครจะไปตรัสรู้”  แน่ะ  เถียงเหมือนรู้ว่าผมแอบด่าเขาในใจ  ผมรับมือถือของคำนับมาไว้ในมือ  โทรศัพท์ของเขาเป็นยี่ห้อที่เคยได้ยินชื่อทางโทรทัศน์บ่อยๆ แต่ตัวนี้เป็นรุ่นราคาถูกสุด  นอกจากเอาไว้โทร.เข้า-ออก มีแอพพลิเคชั่นให้เล่นไม่กี่ตัวเท่านั้น  แต่อย่างน้อยก็มีไลน์กับเฟสบุ้คแหละนะ  ผมกดหมายเลขแล้วโทร.ออก  พอมือถือในกระเป๋ากางเกงของผมดังขึ้นจึงกดวางแล้วรีบเซฟเบอร์นั่นรวดเร็ว

   “นี่เบอร์ฉัน”  ผมยื่นมือถือคืนให้เขา  “ฉันบันทึกให้แล้ว”

   “ขอบจะ...  แฟน!”  ยังพูดไม่ทันจบ  คำนับที่ก้มดูหน้าจอมือถือถึงกับเบิกตากว้าง  “นายเซฟชื่อบ้าอะไรเนี่ย?”

   “ชื่อบ้าที่ไหน  เนี่ย  คำนี้ถูกต้องแล้ว”

   “ถูกต้อง? ถูกต้องได้ไง  ในเมื่อ...”

   “ในเมื่อนายยังไม่ได้ให้คำตอบ? งั้นก็ตอบมาตอนนี้เลย”

   “ฉะ  ฉัน...”

   “เอ้า  กลายเป็นคนติดอ่างขึ้นมาเสียอย่างนั้น?”  ผมหัวเราะ  คำนับเหลือบตามองผมทีมองคำที่โชว์บนหน้าจอมือถือทีแล้วก็หันหลังหนี

“ฉันนึกว่านายพูดเล่น”

“คนอย่างฉันเคยพูดเล่นหรือไง?”  ผมกอดอกมองแผ่นหลังผอมของคำนับนิ่ง  ไม่เร่งรัดอะไรเขาอีก

“คือฉันไม่แน่ใจ...ว่า...”  เนิ่นนานกว่าเขาจะตอบกลับมาสักประโยค  “ฉันไม่แน่ใจว่าตัวเองชอบนายหรือเปล่า”

“งั้นนายเกลียดฉันไหม?”  ผมยักไหล่กับคำตอบของเขาแล้วถามกลับ

“ไม่ได้เกลียด”

“ก็ได้  งั้นฉันจีบนายไปพลางๆ ละกัน”

“ห้ะ?”  คราวนี้คำนับหันกลับมามองผมเหมือนเห็นตัวประหลาด

“ต่อไปนี้ฉันจะมารับ-มาส่งนายที่วิทยาลัยทุกวัน”

“เฮ้ย  ไม่ต้อง”  คำนับโบกมือปฏิเสธพัลวัน

“นายห้ามฉันได้หรือไง?”  ผมเลิกคิ้วถาม  หันหลังก้าวคร่อมรถก่อนยื่นหมวกกันน๊อคให้เขาใส่

“ก็...”

“ถ้ารู้ว่าห้ามไม่ได้ก็ไม่ต้องห้าม”  เขายื่นมือมารับหมวกแต่ไม่ยอมสวม  “ต้องให้ฉันใส่ให้ไหม? แต่ฉันไม่เคยใส่หมวกบนให้คนอื่นนะ  หมวกล่างก็ไม่เคยเหมือนกัน”

“หมวกล่าง?”  ผมเลื่อนสายตาไปที่เป้ากางเกงเขา  คำนับมองตามก่อนจะหน้าแดงลามไปถึงใบหู  “ไอ้ทะลึ่ง!”

“ฮ่ะๆๆๆ”

ผมขับรถมาส่งเขาที่บ้าน  คำนับปีนลงรถถอดหมวกคืนให้  เขายืนนิ่งไม่กล้าเดินเข้าบ้านเมื่อเห็นผมยังไม่ยอมขับออกไปเสียที

“มีอะไรหรือเปล่า? จริงซิ  ขอบใจนะที่มาส่ง”

“ไม่เอาคำขอบใจได้ป่ะ”

“หืม?”

“ร้องเมี๊ยว~ ให้ฟังหน่อย”  ผมยื่นมือไปเกาคางเขา

“ไอ้บ้า!”  และแน่นอนว่าคำนับปัดออกทันทีเช่นกัน  ผมก้าวลงจากรถไปยืนตรงหน้าเขา  คำนับถอยหลังไปหนึ่งก้าวผมก็ก้าวตามประชิดหนึ่งก้าว

“ถ้านาย...”  เหลือบมองข้อมือผอมที่มีกำไลเงินวงเดิมสวมอยู่ในใจพลันเต้นตึกตัก

“?”

“ถ้านายยังไม่แน่ใจว่าชอบฉันหรือเปล่า  งั้นระหว่างรอให้แน่ใจฉันจะทำให้นายชอบฉันมากขึ้น  แล้วพอรู้ตัว  ..ถึงตอนนั้นนายจะได้ชอบฉันเยอะๆ ให้มากเท่าที่ฉันชอบนาย”

“....”  ผมยกยิ้ม  แก้มคำนับแดงอีกแล้ว

“ถ้านายเป็นแฟนฉันเมื่อไหร่จะบังคับให้นายร้องเมี๊ยวให้ฟังทุกวันเลย”

“ฝันไปเถอะ!”  คำนับถลึงตาใส่ผม  ไม่เห็นน่ากลัวสักนิด  แหม  แก้มแดงหูแดงขนาดนี้น่ารักจะตาย~

“ไม่นานนักหรอกน่านายจะต้องชอบฉันแน่ๆ ฉันมั่นใจ”

“หลงตัวเอง!”

“เพิ่มเป็นหลงนายอีกหนึ่งอย่าง”

“แหวะ!”  คำนับทำท่าคลื่นไส้ก่อนจะหัวเราะออกมา

“เข้าบ้านได้แล้วไป”

“อืม”

“เออ  เดี๋ยว!”

“มีอะไร!”  คำนับที่กำลังเดินเข้าบ้านหันกลับมา  ก่อนจะเบิกตากว้างยืนนิ่งค้างเมื่อผมก้มลงไปฉกริมฝีปากบางนั่นอย่างรวดเร็ว ผมจุ๊บปากเขาเหมือนอย่างวันนั้น

“ฝันดีนะ”

ผมหัวเราะภายใต้หมวกกันน๊อคเมื่อมองกระจกหลังตอนขับรถออกมา  คำนับยืนค้างอยู่อย่างนั้น  ไม่ต้องบอกก็รู้ว่าตอนนี้ในหัวเขาคงระเบิดไปแล้วเรียบร้อยกับการกระทำของผม

*********

   



[บดินทร์]



“ดิน  มึงว่าโป๊ยกั๊กมันจีบคำนับจริงไหม?”

   “แล้วไอ้ที่ทำอยู่มันไม่จริงตรงไหน?”

“เออ  แล้วไอ้ครับมันจะชอบโป๊ยกั๊กป่าววะ?”

“มึงไม่เสือกสักเรื่องจะตายไหมภู?”

“เอ้า  เพื่อนทั้งคนก็ต้องเอาใจช่วยหน่อยซิวะ”

“มึงเอาใจช่วยตัวเองก่อนดีกว่าไหม?”

“มึงอ้ะ”

“ไม่ต้องมาทำปากยื่น  ไปอาบน้ำแล้วมากินข้าว”

“ไอ้คนใจร้าย!”

“ถ้ากูใจร้ายมึงไม่ได้มานั่งเถียงกูแบบนี้แน่  นี่กูใจดีกับมึงมากแล้วนะ”

“ดิน~~”

“เร็ว! จะได้อ่านหนังสือ”

“อะไรเล่า  นี่เพิ่งต้นเทอมเองนะ!”

“จะต้นเทอม  กลางเทอม  ท้ายเทอมแล้วยังไง  อยากโดนรีไทร์หรือยังไง?”

“...”  ภูธเรศนั่งหน้าง้ำจนผมต้องถอนหายใจ  ผมลุกออกจากโต๊ะเขียนหนังสือทรุดตัวนั่งบนส้นเท้าอยู่ตรงหน้าอีกฝ่าย  ยกมือยีหัวภูธเรศจนผมยุ่งเหยิง  เขาไม่ใช่คนเรียนเก่ง  ไม่ได้ความจำดีเลิศเหมือนอย่างโป๊ยกั๊ก  ผมต้องคอยติวหนังสือให้ตั้งแต่ มอ.ต้น  และผมก็ไม่อยากให้มันหลุดหายระหว่างทางด้วย  ขืนผมทำมันหายไปจากชีวิตผมก็เหงาแย่ซิ  ยิ่งซื่อบื้อแบบนี้ไม่ได้หาง่ายๆ เสียด้วย

“มึงไม่อยากเรียนจบพร้อมกูแล้วรับปริญญาด้วยกันเหรอวะ?”

“อยาก!”

“งั้นไปอาบน้ำ  มากินข้าวแล้วอ่านหนังสือ”

“ง่ะ!”

“พรุ่งนี้จะยอมให้พักหนึ่งวัน  แถมเลี้ยงไอติมด้วย”

“เย้!  มึงใจดีที่สุดเลย”  พูดจบก็วิ่งปรู๊ดเข้าห้องอาบน้ำ  ผมส่ายหัวให้กับเพื่อนตัวป่วน  เมื่อกี้มึงยังด่ากูว่าใจร้ายอยู่เลย  ไอ้ภูเอ้ย!
*********



ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3



[คำนับ]


   “ขอบใจที่มาส่ง”  ผมยื่นหมวกกันน๊อกคืนให้เจ้าของรถ  ยกนาฬิกาข้อมือขึ้นดู  เห็นอีกไม่กี่นาทีจะเที่ยงคืนแล้วก็ได้แต่ถอนหายใจ  เกรงใจไม่อยากให้โป๊ยกั๊กมาคอยรับ-ส่งแบบนี้  ผมเหนื่อยแต่ไม่ได้อยากให้เขามาเหนื่อยด้วยเสียหน่อย  พูดเท่าไหร่ก็ไม่เคยฟัง

“อืม  รีบอาบน้ำเข้านอนล่ะจะได้พักยาวๆ  พรุ่งนี้ไปซื้อของก็โทร.บอก  จะมารับ”

“ฉันไปเองได้น่า  นายรีบๆ กลับได้แล้วเดี๋ยวอาฟ้าเป็นห่วง  จะเที่ยงคืนแล้วเนี่ย”

“อะไรนะ?”

“หืม   บอกว่าให้รีบ...”

“ไม่ใช่! นี่กี่โมงนะ?”

“จะเที่ยงคืนแล้ว” ผมยื่นนาฬิกาข้อมือให้โป๊ยกั๊กดู

“ชิบหายละ!”

“อะไร? จู่ๆ มาด่ากันงี้ได้ไงวะ?”

“ไม่ได้ด่านาย  หมายถึงฉันเนี่ย  ชิบหายแล้ว!”  โป๊ยกั๊กเกาหน้าเกาหัวท่าทางงุ่นง่าน 

“เอ้า?”

“ถ้าฉันฟุบลงไปแล้วเงยหน้าขึ้นมาเป็นอีกคนก็อย่าตกใจแล้วกัน”

“หืม?”  ไม่รอให้ถามซ้ำโป๊ยกั๊กฟุบหน้าลงกับตัวถังทันที  โชคดีที่เขาเอาขาตั้งลงแล้วไม่อย่างนั้นล้มไปให้รถทับผมก็ยกเขาขึ้นมาไม่ได้

นานนับนาทีคนที่ฟุบหน้ากับตัวถังยังไม่มีทีท่าว่าจะเงยขึ้นมา  ผมยืนรอจนขาแข็ง  เหลียวซ้ายแลขวายกนาฬิกาขึ้นดู  ตอนนี้เลยเที่ยงคืนมาสิบนาทีแล้ว  อากาศเย็นแถมรอบข้างยังเงียบเชียบวังเวงเลยตัดสินใจเขย่าปลุกโป๊ยกั๊กให้ตื่น

“เฮ้!”

“....”

“โป๊ยกั๊ก?”  ผมเขย่าไหล่พลางกระซิบเรียก  ไม่กล้าเสียงดังเดี๋ยวชาวบ้านตกใจ

“....”

“โป๊ย...”

ขวับ!

“เย้ย!” ผมตกใจกระโดดก้าวถอยหลังไปทีเดียวถึงสามก้าว

“หวัดดี”  คนบนรถเงยหน้ายิ้มแฉ่งส่งมาให้จนแทบเห็นฟันครบสามสิบสองซี่

“โป๊ย  ไม่...กานพลู?”

“ใช่  เราเอง!”

“ทำไม?”  ผมถามยังไม่จบเขาก็ดีดนิ้วเปาะ

“วันนั้นของเดือนน่ะ”

“วันนั้นของเดือน? นายเป็นประจำเดือนแบบผู้หญิงเรอะ!”  ผมตกใจถามเขาเสียงดังแทบกลายเป็นตะโกน  รีบยกมือปิดปากตัวเองแต่ยังคงเบิกตามองกานพลูอยู่อย่างนั้น

“ม่ายๆ ไม่ช่ายยย  เราหมายถึงคืนนี้เป็นคืนเดือนดับต่างหาก”  เขาชี้ท้องฟ้าที่ดาดาษไปด้วยหมู่ดาวแข่งกันส่องแสง  ไม่มีพระจันทร์ดวงโตมาแย่งซีน

“คืนเดือนดับ?”

“ใช่  เฉพาะคืนเดือนมืดเท่านั้นเราถึงจะออกมาได้”  กานพลูกอดอกพยักหน้าหงึกหงัก

“แต่คราวก่อน...”  นายไม่ยอมออกมา

“นั่นเป็นเรื่องผิดพลาดทางเทคนิคนิดหน่อย”  ไม่นิดหน่อยละมั้ง  เล่นหลับไม่ตื่นอยู่สามวันเต็มขนาดนั้น

“อ้อ...”

“คืนนี้นอนนี่นะ”

“ห้ะ  อะไรนะ?”  อย่าเปลี่ยนเรื่องกะทันหันได้ไหม  ตามไม่ทัน!

“ขอนอนด้วยคน”  กานพลูยิ้มแฉ่งไม่ยอมหุบ  ประเดี๋ยวก็ได้เหงือกแห้งหรอก

“กลับไปนอนบ้านนายดิ”

“...เอาความจริงไหม?”  เขาสูดลมหายใจเข้าลึกแล้วก้มลงกระซิบเสียงเบาเหมือนกลัวใครได้ยิน

“อะไร?”

“เราไม่กล้าขับบิ๊กไบท์กลับอ่ะ”

“.........”

สรุปสุดท้ายผมต้องเข็นรถคันใหญ่นั่นเข้าบ้าน  จัดการหาผ้าห่มหาฟูกมาปูให้กานพลูนอน  หลังจากต่างคนต่างผลัดกันอาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าก็กระโจนเข้าหาหมอนของใครของมัน  กานพลูที่ใส่เสื้อยืดกางเกงบอลของผมนอนมองเพดานนิ่ง

“ฉันจะปิดไฟแล้วนะ”  ตีหนึ่ง  ขืนยังไม่นอนพรุ่งนี้คงไม่มีแรงออกไปซื้อของ

“อือ”

“...อือ ก็หลับตาซิ”

“ไม่เป็นไร  นายปิดไฟเถอะ”

“นี่กานพลู”

“หืม?”  ผมไม่ได้ปิดไฟ  แต่กลับไปนั่งบนเตียงตัวเองแล้วมองคนที่นอนลืมตาโพลงบนพื้น

“นายกับโป๊ยกั๊กมีชีวิตแยกกันเหรอ?”

“ไม่รู้ซิ  เราไม่ค่อยเข้าใจความซับซ้อนนี้เหมือนกัน”

“...”  ผมขมวดคิ้ว  ขนาดเจ้าตัวยังไม่เข้าใจแล้วผมจะช่วยอะไรเขาได้ไหมนะ

“ทำไม? นายกลัวว่าเราจะพาโป๊ยกั๊กนอกใจนายเหรอ?”

“พะ  พูดบ้าอะไรของนาย!”  กานพลูหัวเราะคิกกับท่าทางของผม  ดวงตาเรียวเหลือบมองมา  ผมเดาว่าตอนนี้แก้มกับหูของผมต้องแดงมากแน่ๆ

“ครับไม่ต้องห่วงนะ  เราไม่มีแฟนหรอก”

“....”

“หมายถึงกานพลูไม่มีแฟนหรอก  เราน่ะเป็นแค่เงาเท่านั้น”

“กานพลู...”

“อ้อ  แล้วไม่ต้องกลัวว่าโป๊ยกั๊กจะรู้เรื่องที่ครับถามเราเมื่อกี้นะ  หมอนั่นไม่รู้หรอก”  เขากลับมายิ้มแย้มอีกครั้ง  แต่ผมรู้สึกว่ารอยยิ้มของเขาดูเศร้าและเหงามาก

“ทำไมล่ะ?  หมอนั่นไม่รู้สึกตัวเวลานายออกมางั้นเหรอ? แล้วนายรู้เรื่องทุกอย่างของโป๊ยกั๊กไหม?”

“เรารู้สิ่งที่โป๊ยกั๊กทำหมดแหละ  แต่พอเราออกมาโป๊ยกั๊กจะจำไม่ได้ว่าเราทำอะไรไปบ้าง”

“แปลก...”

“ไม่แปลกหรอก”  กานพลูถอนหายใจ

“?” 

“เขาไม่อยากรู้จะจำได้ได้ไง”

“เหงาเหรอ?”

“ห้ะ?”

“กานพลู  นายน่ะกำลังเหงาใช่ไหม? แล้วก็เศร้าด้วย”

“เหงาอะไรกัน...”  ผมลุกจากเตียงดึงเขาขึ้นมาแล้วกอดแน่น

“ไม่เป็นไร  นายยังมีฉันอยู่นะ”

“....”

“ถึงฉันจะยังไม่เข้าใจเรื่องการสลับตัวกันของนายกับโป๊ยกั๊ก  แต่คิดว่าอีกไม่นานจะเข้าใจทั้งหมดแน่นอน  อีกอย่าง....”  ผมรับรู้ได้ถึงความเปียกชื้นและอุ่นร้อนตรงบ่า  “นายกับโป๊ยกั๊กก็คือคนคนเดียวกันนี่นา”

“...ขอบคุณนะ...”

คืนนั้นกว่ากานพลูจะสงบและหลับลงก็ปาเข้าไปเกือบตีสาม  เสียเวลานอนไปนิดหน่อยแต่ผมคิดว่าคุ้มค่านะ

รุ่งเช้ากานพลูยังไม่ยอมกลับบ้าน  เขาโทร.หาอาฟ้า ผมได้ยินเสียงบ่นลอดโทรศัพท์มาด้วย  ไม่ต้องบอกก็รู้ว่างานนี้หูชาแน่ๆ  โดนอาฟ้าบ่นขนาดนั้นเขายังตามผมไปซื้อของใช้ที่จะใช้ในการเรียนวันจันทร์หน้า  แล้วดันเจอคนที่ไม่อยากเจอที่สุดอีก

“ไง? ไม่คิดว่าจะได้เจอพวกมึง”  ผมชะงักเท้าเงยหน้าขึ้นมองเจ้าของเสียง  ผมจำใบหน้านี้ได้ดี  ที่ผมเกือบไม่ได้เรียน  เกือบโง่จะสละทุนก็เพราะมันเอาข้อเสนอโง่ๆ มาให้  หมายถึงว่า  ผมน่ะนะที่โง่

“ไอ้เปรี้ยว?”

“วะ  หวัดดี”  กานพลูยิ้มแหยยกมือทักทายอีกฝ่ายเก้กัง  ผมถลึงตามองท่าทางนั้นแต่กานพลูกลับทำหน้าตาไม่รู้เรื่องรู้ราว  ผมอยากยกมือขึ้นกุมขมับแต่ติดว่าตอนนี้ไอ้เปรี้ยวกำลังมองอยู่

“ห้ะ?”  นั่นปะไร  มันตกใจกับท่าทางของกานพลูจนตาแทบถลนออกนอกเบ้า

“อะแฮ่ม!”  ผมแสร้งกระแอมไอให้ไอ้เปรี้ยวละสายตาจากคนข้างๆ

“สบายดีเหรอ  ไม่ได้เจอกันนานเลยเนอะ?”  แต่ไม่วายเจ้าคนซื่อบื้อนี่ยังทักต่อไม่รู้จักจบ

“นายหุบปากไปเลย!”  ผมกระซิบเสียงลอดไรฟัน  กานพลูทำหน้าจ๋อยเมื่อถูกดุ

“อ่าฮะ  นี่พวกมึงทำท่ายังกับผัวเมียกัน”  ไอ้เปรี้ยวยกยิ้มมุมปาก  ผมอยากจะวิ่งเข้าไปชกหน้ามันซักเปรี้ยงถ้าไม่ติดว่าต้องคอยกำราบเจ้าเด็กโข่งนี่

“เห็นเป็นงั้น... โอ๊ย!”  กานพลูร้องโอยเพราะโดนผมกระทืบใส่หลังเท้าเต็มแรง

“ถ้านายไม่พูดก็ไม่มีใครว่านายเป็นใบ้หรอก!”  ผมดุคนข้างๆ

“....”  กานพลูเบะปากเบือนหน้าหนีไม่สนใจผมอีก

“แล้วนายมาทำอะไรแถวนี้?”  ผมหันมาถามไอ้เปรี้ยว  มันไม่ยอมละสายตาจากกานพลูแถมยังขมวดคิ้วคล้ายสงสัย

“ธุระนิดหน่อย”

“อ้อ”

“เห็นมึงสุขสบายดีแบบนี้ก็ดีใจด้วย”  มันยอมหันมามองผมในที่สุด  มุมปากยกยิ้มดูชั่วร้ายไม่ต่างจากสมัยก่อนเลยสักนิดเดียว

“?”

“ฮ่ะๆๆ  ไม่ต้องทำหน้าตาหวาดระแวงขนาดนั้นหรอกน่า  ตอนนี้กูไม่ได้คิดทำอะไรมึง  อีกอย่างวันนี้แค่บังเอิญมาเจอจริงๆ”

“งั้นถ้าไม่มีอะไรแล้วกูขอตัวละกัน”  ผมลากแขนกานพลูให้ออกเดิน  ผมรับรู้ได้ถึงสายตาของไอ้เปรี้ยวที่มองตามหลัง  ผมไม่อยากมีปัญหาจึงเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้น

กลับมาถึงบ้านได้แบบปลอดภัยผมนี่แทบถอนหายใจโล่งอก  เหลือบมองไอ้คนอารมณ์ดีได้เพราะไอติมแท่งเดียวก็ได้แต่ส่ายหัว  อ้อ  ไอ้ติมแท่งนั้นผมเป็นคนจ่ายนี่นะ

“ครับไม่ต้องกลัวไอ้เปรี้ยวหรอกมันไม่กล้าทำอะไรแล้ว  ขืนขยับตัวส่งเดชบ้านมันได้พินาศกว่านี้แน่ๆ”

“หืม?”

“มีคนจัดการและคอยจับตาดูมันอยู่”  กานพลูยักคิ้ว  ปากยังคงเลียไอติมในมือไม่หยุด

“ฉันว่าฉันพอจะเข้าใจแล้วว่าทำไมโป๊ยกั๊กถึงได้ไม่ค่อยชอบใจนายนัก”

“เอ๊ะ  ครับรู้งั้นเหรอ? เพราะอะไร?”  เจ้าหมาตัวโตผุดนั่งหลังตรง  ละปากจากไอติมเงยหน้าขึ้นถามด้วยสายตาอยากรู้สุดๆ

“เพราะนายเป็นแบบเมื่อกี้ไง”

“แบบไหน?”  คิ้วเข้มขมวดฉับ

“แบบว่าตอนเจอคู่อริหรือคนอื่นนอกบ้าน  หรือใครก็ตามที่ไม่รู้ความลับนี้ของนาย  ถ้านายจะหุบปากเงียบหรือแสร้งเป็นโป๊ยกั๊กต่อหน้าคนอื่น  โป๊ยกั๊กคงไม่หงุดหงิดใส่นาย”

“?”  ยังมีหน้ามาทำปากยื่นอีก!  น่ารักตายล่ะ!

“ตอนนายอยู่ในบ้านหรือกับคนที่รู้ความจริง  นายจะเป็นกานพลูแสนซื่อบื้อ เอ่อ แบบที่นายเป็นมันก็ไม่มีปัญหาอะไร  แต่ตอนอยู่ข้างนอกนายควรจะรักษาหน้าโป๊ยกั๊กสักนิดหนึ่ง”

“รักษาหน้า?”

“ใช่  อย่างเมื่อกี้ตอนเจอไอ้เปรี้ยว  โป๊ยกั๊กกับไอ้เปรี้ยวตีกันมาตั้งกี่รอบ  ถ้าไม่เสมอก็ชนะ  แต่พอนายเจอไอ้เปรี้ยวกลับทำท่าจะไปเป็นมิตรกับเขา  หรือเจอนักเลงคนอื่นอย่างคราวก่อนโน้นนายก็วิ่งหนีหัวซุกหัวซุน”

“เอ่อ...”

“แล้วพอนายกลับเข้าไป  โป๊ยกั๊กโผล่มาแล้วไปเจอไอ้เปรี้ยวหรือนักเลงคนนั้นอีก  นายว่าโป๊ยกั๊กจะรู้สึกยังไง?”

“ขายหน้า?”

“ใช่!”

“งะ  งั้นเหรอ?”

“แต่ฉันว่าไม่น่าจะมีเรื่องทำนองนี้แค่รั้ง สองครั้งหรอก  ใช่ไหม?”

“อ๊ะ  ตะ  ต้องเป็นตั้งแต่ตอนนั้นแน่ๆ เลย!”  กานพลูทุบมือดังตั้บเหมือนคิดอะไรออก

“เรื่องไหน?”

“ตอน ปอ.หนึ่ง  โป๊ยกั๊กจีบเด็กผู้หญิงห้องเดียวกัน  เอาขนมไปให้ทุกวันเลย  แต่วันนั้นพอเราออกมา  เราเองก็อยากกินขนมนั้นเหมือนกันนี่นา  เลยแกล้งทำเป็นไม่รู้จักเด็กคนนั้น....”

“นี่นาย...”

“แหะๆๆ แบบว่า  หลังจากนั้นเด็กนั่นก็ไม่ยอมคุยกับโป๊ยกั๊กอีก  ซ้ำยังพาแก๊งค์เด็กผู้หญิงในห้องมาแกล้งโป๊ยกั๊กทุกวัน  พวกเด็กผู้ชายที่ไม่ชอบหน้าโป๊ยกั๊กเป็นทุนเดิมก็มารวมหัวกันแกล้ง...”

“นายนี่มัน...”  ผมละอยากจะบ้าตาย  ต้นเหตุก็มาจากเจ้าตัวเองไม่ใช่หรือไงเล่า!  “แล้วหลังจากนั้นล่ะ?”  ผมนวดหัวคิ้วขณะรอคำตอบ  คิดว่ามันคงไม่น่าพิสมัยสักเท่าไหร่

“อื้ม  โป๊ยกั๊กโกรธมากเลย  หลังจากนั้นก็ไม่ค่อยยอมคุยกับเราเท่าไหร่  ชอบดุเราด้วย”

“แสดงว่าก่อนหน้านั้นนายกับโป๊ยกั๊กคุยกันดี เล่นกันดี?”

“ใช่  เราคุยกันทุกวันแหละ  แต่เพราะเรื่องคราวนั้น...”

“นายได้ขอโทษเขาหรือเปล่า?”

“หืม?”

“นายได้ขอโทษโป๊ยกั๊กหรือเปล่าที่ทำให้เด็กผู้หญิงคนนั้นเข้าใจผิด”

“....แหะ  จำไม่ได้”

“นาย!”

“...น่าจะไม่ได้ขอโทษละมั้ง...”

“......”

โอ๊ย  ปวดกบาล!






โปรดติดตามตอนต่อไป



สวัสดีค่า  มาช้าตามเคย  ขออภัยค่ะ ฮืออออ
ว่าจะลงตั้งแต่สองวันก่อนแต่รีบค่ะ  เน๊ตไม่ดี โน๊ตบุ้คเอ๋อ  รีบไปขึ้นรถอีกต่างหาก
ตอนนี้กลับมาจาก ตจว ก็รีบเอามาลงเลย
มีตรงไหนผิดพลาดแนะนำติติงกันได้เช่นเคยนะคะ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

มาสักที

ครับวิเคราะห์ได้ตรงจุด หวังว่ากานพลูจะเข้าใจนะ

และความสัมพันธ์ระหว่างกานพลูกับโป๊ยกั๊กคงดีขึ้นนาจา

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ครับก็ช่วยจัดการ 2 หนุ่มให้เข้าใจกันให้ได้ ก็ดีนะ แม้ว่าจะยากไปนิสสสส  :katai3:

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2418
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
จากตอนก่อนหน้าที่สงสารกานพลูมาตอนนี้ไม่สงสารแล้วเว้ย ทำตัวเองจริงๆนั่นแหละสมควรที่โป๊ยกั๊กจะไม่ชอบใจสักเท่าไหร่ แถมกานพลูยังบื้อจนไม่คิดว่าตัวเองผิดอีก มันน่าโมโหจริงๆ ครับคงต้องช่วยแล้วแหละ

ออฟไลน์ กาแฟมั้ยฮะจ้าว

  • Let me hug you tight, and I’ll make you feel how important you are.
  • เป็ดHera
  • *
  • กระทู้: 920
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +570/-0
ขอบคุณครับ +1 ให้นะครับ :a2:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3



Secret Me  คนนี้ต้องลับ!

ตอนที่14



   

หืออออ  สามทุ่ม!

นี่เรียนหรืออะไร?

เพราะวันนี้แม่ยืมรถไปใช้ผมเลยนั่งรถเมล์มารอคำนับหน้าวิทยาลัย  ห้าโมงเย็นก็แล้ว  หกโมงเย็นก็แล้ว  หมอนั่นยังไม่ออกมาเลย  นี่ถ้าไม่ส่งข้อความมาบอกก่อนว่าเลิกค่ำผมอาจจะคิดว่าคำนับแกล้งให้ผมรอเก้อ

ชาเขียวแก้วที่สองหมดไปแล้ว  อาหารในกล่องเก็บความร้อนป่านนี้คงเย็นชืดไปเป็นที่เรียบร้อย  ผมหิ้วท้องรอกินข้าวตอนนี้ไม่หลงเหลือความหิวสักนิด  มองกล่องอาหารของพ่อที่เตรียมมาเผื่อคำนับแล้วได้แต่ถอนหายใจ  นั่งบ่นในใจสักพักเงาร่างสะโหลสะเหลผอมกะหร่องของคำนับก็เดินออกมา  ผมจ่ายเงินค่าชาเขียวแล้วตรงออกไปหาเขาทันที

“นี่เรียนหรือออกไปใช้แรงงาน...”  โวยวายได้ไม่ประโยคเพราะเห็นสภาพเขาแล้วด่าไม่ลงจริงๆ

“ขอโทษที  นายรอนานเลย”

“ช่างเหอะๆ นายหิวไหม?”

“ไม่อ่ะ  ง่วงมากกว่า”  คำนับส่ายหน้าท่าทางระโหยโรยแรงอย่างยิ่ง

“งั้นเรียกแท็กซี่ละกัน  ขืนนั่งรถเมล์กว่าจะถึงบ้าน  นายคงสลบเสียก่อน”

“อือ”  คนตัวผอมพยักหน้าไม่มีค้านสักครึ่งคำ

พอขึ้นนั่งบนรถเขาก็เอนหลังหลับตา  เห็นแบบนั้นผมเลยไม่ชวนคุยหรือรบกวนอะไรอีก  ใช้เวลาไม่นานนักก็มาถึงปากทางเข้าบ้านคำนับ  ผมสะกิดเรียกฝ่ายนั้นอยู่นานก็ไม่มีทีท่าว่าจะตื่น  ผมยิ้มขอโทษขอโพยคุณลุงขับรถ  ควักเงินจ่าย  หิ้วกล่องอาหารแล้วเปิดประตูด้านคำนับ  ขยับจัดท่าแบกเขาขึ้นหลังอย่างทุลักทุเลโดยมีคุณลุงคนขับช่วยอีกแรง

ผมโทร.บอกน้าแป้งตอนรถจอด  น้าแป้งที่เปิดประตูรับอุทานเสียงเบาเมื่อเห็นผมแบกคำนับเข้าบ้านก่อนจะเดินนำขึ้นชั้นบนเพื่อเปิดประตูห้อง

“ตายจริง  นี่ถึงขนาดหลับไม่รู้เรื่องราวเลยหรือเนี่ย?”

“คงเหนื่อยมากน่ะครับน้าแป้ง”  ผมรับผ้าเปียกในมือน้าแป้งมาเช็ดหน้าให้คำนับ

“รบกวนโป๊ยกั๊กแย่เลย”

“ก็...ผมจีบลูกน้าแป้งอยู่นี่ครับ”

“....”  น้าแป้งตาโตยกมือทาบอก  ครู่หนึ่งก็หลุดหัวเราะออกมาเสียงเบา  “เล่นสารภาพโต้งๆ ยังงี้เลยเหรอ?”

“น้าแป้งไม่ตกใจเหรอครับ?”  ผมชะงักมือเงยหน้ามองน้าแป้งอย่างแปลกใจ

“พอจะเดาออกอยู่หรอก  ไม่มีเพื่อนผู้ชายคนไหนมาคอยรับ-ส่งกันเป็นปีๆ แบบที่โป๊ยกั๊กทำสักหน่อย  แล้วไอ้การดูแลแบบนี้ก็ไม่ใช่ครั้งแรกด้วย”

“น้าแป้ง  โกรธไหมครับ?”  ผมถามเสียงเบา  ในใจอดหวั่นๆ ไม่ได้  แม้ใบหน้าน้าแป้งจะมีรอยยิ้มอยู่เป็นนิจแต่ไม่รู้นี่นาว่าในใจน้าแป้งคิดยังไง

“จะให้น้าโกรธเรื่องอะไรล่ะ?”

“ก็...ผมเป็นผู้ชาย”

“น้ารู้อยู่แล้วว่าโป๊ยกั๊กเป็นผู้ชาย  ไม่เห็นมีส่วนไหนเหมือนผู้หญิงสักนิด”

“โธ่ น้าแป้งครับ!”

“ฮ่ะๆๆ  คิดมากไปได้  เรื่องของเราสองคนน้าไม่ยุ่งด้วยหรอก  แต่ที่บ้านเรานั่นแหละจะว่ายังไง”

“อืม  ก็คงไม่ว่าอะไรหรอกครับ”

“พ่อกับแม่เรารู้แล้วหรือ?”

“เอ  น่าจะรู้แล้วมั้งครับ  ผมตัวติดกับคำนับขนาดนี้”

“?”  น้าแป้งเลิกคิ้วแต่ไม่พูดอะไรต่อก่อนจะเอากล่องอาหารที่ผมถือติดมือมาไปใส่ตู้เย็น  นี่เป็นอาหารที่พ่อทำให้  บอกว่าเอามาเผื่อคำนับ  แต่วันนี้คงไม่ได้กินแล้ว  ไว้ค่อยอุ่นกินพรุ่งนี้เช้าแล้วกัน

ผมเช็ดหน้าเช็ดตัวให้คนหลับเป็นตาย  หลังเปลี่ยนเสื้อผ้าให้ถึงได้ฉุกใจคว้ามือเขาขึ้นมาดูเนื่องจากเมื่อครู่มันเสียดสีจนผมเอะใจ  อื้อหือ  นี่มือคนหรือดินตอนหน้าแล้ง?  แตกซะขนาดนี้คางคกแทบจะโดดเข้าไปอยู่ได้สิบตัวเลยมั้ง

ผมค้นกระเป๋าล้วงแฮนด์ครีมหลอดใหญ่ออกมา  ละเลงทาบนมือคำนับชนิดหนากว่าแป้งโรตีเสียอีก  ค่อยๆ นวดไปทีละนิ้วๆ กดตรงหลังมือเพื่อช่วยคลายเส้น  คราวก่อนผมสังเกตเห็นมือเขาแห้งแตกเลยหาซื้อแฮนด์ครีมเอาไว้  มีโอกาสใช้ก็ตอนนี้แหละ  ฝ่ามือคำนับดูจะสากขึ้นกว่าแต่ก่อนอีกแฮะ

หลังทาครีมเสร็จผมก็ปิดฝาวางไว้บนโต๊ะเขียนหนังสือของเขาเพื่อให้เขาพกติดตัวไปด้วยในวันอื่นๆ  จากนั้นหาโพสอิสมาจดข้อความแปะหน้ากระจก  จากนั้นค่อยเรียกแท็กซี่กลับบ้านตัวเอง




‘พ่อฝากอาหารมาให้  แต่นายหลับเลยไม่อยากปลุก  ตอนเช้าอย่าลืมอุ่นเอามากินล่ะ

แฮนด์ครีมนี่ซื้อมาให้  พกติดตัวไว้ด้วย

อ้อ  ว่างวันไหวเข้าไปหาพ่อที่ร้านด้วยนะ  พ่อฝากบอกมา

ปล.เลิกเรียนแล้วอย่าลืมโทร.หา  จะไปรับ

         ฟ.แฟน (ถึงยังไม่ใช่ตอนนี้  อีกเดี๋ยวก็เป็น)

            โป๊ยกั๊ก’





วันเสาร์ของอาทิตย์ต่อมาคำนับแวะเข้ามาที่ร้าน ‘หิ้วปิ่นโต’  พ่อกับเพกาดีใจมากเพราะไม่ได้เจอเขานานแล้ว  ส่วนกระวาน  พี่ชายคนรองทำเพียงแค่พยักหน้าทักทายแล้วเลื้อยลงไปนอนกับโซฟาต่อ  หลังพูดคุยอยู่นานพ่อก็ชวนเข้าครัว  ไม่รู้ว่าเพราะอยากทดสอบฝีมือหรืออยากแกล้งกันแน่  คำนับที่ได้เข้าครัวสองต่อสองกับพ่อถึงกับหูแดงไปหมด  เออเนี่ย  ว่าจะถามหลายครั้งแล้ว  ว่าคำนับแม่งมีอะไรกับพ่อผมหรือเปล่าวะ  เจอหน้าทีไรไม่เขินหูแดงก็หน้าแดงทุกที

ผมมองไข่ม้วนตรงหน้าแล้วอดไม่ได้ที่จะเหลือบตามองคำนับ  ฝ่ายนั้นจัดวางอาหารจานอื่นต่อโดยไม่สนใจว่ามีใครมองอยู่หรือไม่  แต่ผมว่าเขารู้นะว่าผมมองอยู่  เพราะหูของคำนับแดงแจ๋เลย

ไข่ม้วน  ของโปรดของผม  เมนูนี้ผมเคยบังคับเขาทำตอนมาช่วยงานที่ร้านและหัดทำอาหารใหม่ๆ มีอาหารโปรดของผมอีกหลายอย่างที่คำนับทำได้  แน่ละ  ว่ามาจากการบังคับขู่เข็นเขาให้ทำในตอนนั้น  ผมชอบกินอะไรไม่ชอบกินอะไร  อยากให้เขารู้และทำเป็นนี่นา  ผิดตรงไหนล่ะ

มันเขี้ยวชะมัด  อยากกัดแก้มเป็นบ้า!

ผมมองแก้มแดงๆ ของคำนับแล้วใจเต้นตึกตัก  เลื่อนสายตาไปที่ริมฝีปากบางแดงนั่นแล้วเผลอเลียริมฝีปากตัวเองเบาๆ  ยังไม่ทันคิดลามกไปมากกว่านี้ก็ต้องสะดุ้งโหยงเพราะโดนเตะจากใต้โต๊ะกินข้าว

“โอ๊ะ!”

“หืม? โป๊ยกั๊กเป็นอะไร?”  พ่อหันมาถาม

“ตะ  เตะขาโต๊ะน่ะครับ”  พ่อส่ายหัวแล้วหันไปคุยกับคำนับต่อ  ได้ยินเสียงบ่นเบาๆ ว่าซุ่มซ่ามด้วย  ผมถลึงตามองพี่ชายคนรองซึ่งเป็นเจ้าของลูกเตะเมื่อครู่

“ไอ้ทะลึ่ง!”  กระวานกระซิบด่าเสียงเบา  เพกาหัวเราะคิกกับท่าทางของผมและกระวาน

ก่อนกลับพ่อเดินเข้าไปหยิบกล่องยาวรีกล่องหนึ่งออกมาจากชั้นยื่นส่งให้คำนับ  เขาเหลียวมามองผมเพื่อจะถามว่าอะไร  แล้วผมจะรู้ไหมเล่า  พ่อเป็นคนให้ไม่ใช่ผมนี่นา

คำนับยกมือไหว้ขอบคุณ  พ่อคะยั้นคะยอให้เขาเปิดกล่องออกดู  พวกเราสามคนที่เหลือต่างชะโงกหน้าไปดูด้วยความอยากรู้อยากเห็น

มีดเล่มยาวปลายแหลมสีขาวใส  บางเฉียบและคมกริบนอนนิ่งอยู่ในกล่อง  คำนับอ้าปากตาค้างเงยหน้าขึ้นมองคนให้  พ่อยกยิ้มพยักหน้าตอบ  บอกคำนับว่าไอ้ที่เห็นตรงหน้าน่ะมีดจริงไม่ใช่ของเล่น

“มีดเชฟ?”  เพกาเอ่ยทัก  กระวานพอรู้ว่าในกล่องเป็นอะไรก็หมดความสนใจ

“ใช่”  พ่อยิ้มกว้างคล้ายภูมิใจนักหนา

“ทำไมถึงให้มีดล่ะพ่อ?”  ผมถาม  คำนับเอาแต่จ้องมีดเล่มนั้นไม่วางตา  สีหน้าดูปลาบปลื้มสุดๆ  หนอย~  คอยดูเถอะ  ถ้าฉันจบมามีงานทำเมื่อไหร่จะซื้อให้นายแบบชุดใหญ่  แล้วคราวนี้นายก็ต้องมองฉันด้วยสายตาปลาบปลื้มแบบนี้  แล้วฉันจะขอของตอบแทนเป็นนายที่ไม่ใส่เสื้อผ้านอนบนเขียงให้ฉันผ่า...

โอ๊ย! ผมถลึงตาใส่กระวานอีกรอบเพราะโดนเตะอีกครั้ง  ภาพคำนับนอนเปลือยโดยใช้มือปิดหน้าอกกับตรงนั้นแน่นหายวับออกไปจากหัวทันที  ไอ้เจ้าก้อนนุ่มนิ่มนี่  เดี๋ยวเถอะ!

“เชฟทุกคนจะมีมีดประจำตัวอยู่  มีดที่ใช้ถนัดมือที่สุด  ใช้คล่องที่สุดแล้วเวลาทำอาหารเขาจะมั่นใจที่สุดเช่นกัน”

“แต่ว่ามันแพงมากเลย  ผม...”  จากสีหน้าปลาบปลื้ม  พอนึกถึงราคาของมีดเล่มนี้คำนับก็ไม่กล้ารับ

“แพงก็ไม่เห็นแปลก  เพราะมันจะอยู่กับเราไปอีกนาน”  พ่อยิ้ม

“ผมรับไม่ได้หรอกครับ”

“ไม่ได้  อาทำมาให้ครับแล้ว  ดูนี่...เห็นไหม?”  พ่อชี้ปลายนิ้วไปตรงด้ามจับของมีด  ตรงนั้นมีรอยสลักเป็นอักษรภาษาอังกฤษอยู่  Khrab   ครับ  ชื่อเล่นของคำนับ  “แค่ใช้ให้ดี  ให้สมกับที่อาตั้งใจมอบให้  เท่านั้นก็พอ”

“....”  คำนับเม้มปากแน่น  มองดูมีดเล่มนั้นแล้วเงยหน้ามองพ่อผม  ดวงตาเรียวมีหยาดน้ำเอ่อคลอ  เขายกมือไหว้ขอบคุณอีกครั้ง

“อานี่แย่จริง  กว่าจะมาให้ของขวัญก็ตอนจะจบปีสองแล้ว”  พ่อหัวเราะ

“ไม่เป็นไรหรอกครับ  ได้ใช้มีดจริงก็ตอนปีสามพอดี”  คำนับปิดฝ่ากล่องมีดแล้วเอามาถือไว้ด้วยท่าทางทนุถนอม  แหม่  อยากเปลี่ยนเป็นผมที่เป็นคนให้มั่งจัง

ไม่เป็นไร  เอาไว้เดี๋ยวผมหาซื้อผ้ากันเปื้อนให้ดีกว่า  ผมจะได้เป็นคนถอดให้ด้วยเลย หุหุหุ  สีดำต้องตัดกับสีผิวของคำนับแน่ๆ  แล้วภาพร่างเปลือยของคำนับกับผ้ากันเปื้อนก็พลันหายวับไปจากหัว

โอ๊ย! กระวาน! เตะกันอีกแล้วนะ!


**********

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3



นานๆ ทีเสาร์ – อาทิตย์คำนับจะว่างอยู่บ้าน  ผมเลยหอบหนังสือมาอ่านบ้านเขาเสียเลย  กดอ่านข้อความที่ไอ้ภูส่งมาชวนไปเดินห้างแล้วถอนหายใจ  ก่อนตอบว่าถ้ามันชวนไปเที่ยวน้ำตกผมจะตกลง  วันนี้ผมขี้เกียจเดินห้าง  มาเฝ้าใครบางคนดีกว่า  เมื่อก่อนตัวติดเพื่อนทั้งสองคนแต่ตอนนี้ตัวติดคำนับจนพวกมันแซว  เอาน่า  ผมแบ่งเวลาเป็นนะ  ให้เพื่อน  ให้แฟน  ให้พี่  ให้น้องเท่าๆ กันไม่มีลำเอียง

ตอนนี้คำนับขึ้นปีสามแล้ว  ภาคทฤษฎีลดน้อยลงกลายเป็นภาคปฏิบัติเยอะขึ้นและเพราะแบบนั้นไอ้ที่เคยกลับบ้านค่ำเลยยิ่งดึกขึ้น  เสาร์อาทิตย์บางครั้งยังไปเป็นผู้ช่วยเชฟเวลามีคลาสสอนรุ่นน้องด้วย  เมื่อก่อนล้างหม้อไหจนมือเปื่อย  หั่นผักวันละร้อยกิโลจนมือแตก  ตอนนี้กลายเป็นยืนจนขาแข็งหลังแข็งกันไปข้าง  นี่ถ้าใจไม่รักและไม่อึดพอคงได้ล้มเข้าสักวัน

ผมละสายตาจากหนังสือขึ้นมองร่างผอมของใครบางคนที่ยืนอยู่หน้าตู้เย็นเป็นนานสองนาน  อยากจะถามว่าเขาเปิดตู้เย็นต้องการอะไร  สักพักก็ทำท่าเอาหัวมุดเข้าไปในนั้น  ผมนี่ทิ้งหนังสือผวาลุกออกไปดึงไหล่เขาแทบไม่ทัน

“ทำอะไรของนาย?”

“หือ?  อา  ก็อยากทำให้หัวมันโล่งๆ หน่อย”

“ด้วยการมุดเข้าตู้เย็นเนี่ยนะ?”

“เอ๊ะ? ฉันมุดเข้าตู้เย็นเหรอ?”  คำนับเหมือนเพิ่งรู้สึกตัว ผมแตะหน้าผากเขาดูว่าตัวร้อนหรือไม่

“นายเครียดไปหรือเปล่า  คราวก่อนก็นั่งคุยกับไมโครเวฟ”  นึกภาพเมื่ออาทิตย์ก่อนที่คำนับเดินไปเปิดไมโครเวฟแล้วบ่นๆ อะไรไม่รู้ยาวเหยียด  สักพักก็ปิดแล้วหมุนไมโครเวฟไปที่เลขสาม  บอกว่าไอ้ที่บ่นไปเมื่อกี้เข้าเวฟสามนาทีน่าจะสุกพอดี   ผมได้แต่ยืนนิ่งใบ้กินอยู่อย่างนั้น  อย่างอาทิตย์ก่อนโน้นเดินไปเปิดหม้อหุงข้าวเอามารองใต้คาง  จากนั้นก็ร้องไห้โฮออกมา  คิดสภาพผู้ชายตัวโตๆ ร้องไห้นะ  ถ้าเป็นคนอื่นผมคงด่าซ้ำแต่กับคำนับนี่เว้นไว้คนหนึ่ง  ต่อให้ตัวโตเท่าตึกผมก็คิดว่าเขานารักอยู่ดี  แต่การที่เขาร้องไห้ทำผมเอาตกใจแทบตาย  ถามไปถามมาสรุปว่าปวดขา  เดือดร้อนวิ่งวุ่นไปหายามานวดให้ทั้งคืน 

ใครนวดงั้นเหรอ?  ผมไงจะใครล่ะ!

เกิดมาไม่เคยนวดขาให้ใครสักที  คำนับนี่คนแรกเลยขอบอก  พอเขาร้องไห้เสร็จผมก็ไล่เขาไปอาบน้ำ  ระหว่างนั้นผมก็ขับรถออกไปซื้อยานวด  คำนับออกมาในชุดเสื้อกล้ามแขนกว้างจนเห็นเอวบางกับกางเกงบอลหลวมโพรก  เขานอนคว่ำบนเตียงขาสองข้างพาดอยู่บนตักผม  ละเลงยานวดน่องที่แข็งตึงของเขาไปครึ่งค่อนหลอด  กล้ามเนื้อตรงน่องเขาถึงได้คลายลง  แต่ผมเนี่ยแข็งตึงแทน!

อะไรแข็ง  อะไรตึง?

มันก็ไอ้ของลูกผู้ชายที่สามารถจะตึงจะแข็งได้นั่นแหละ!  แหม  ตรงหน้ามีขาขาวๆ ใต้กางเกงบอลที่ร่นขึ้น  ผิวเนียนขาวซีดเพราะแทบไม่เคยโดนแดด  แผ่นหลังได้รูป  มองจากมุมสูงก็พาลพาให้ใจเต้นขึ้นมา  ปลายนิ้วจากที่นวดอยู่แค่น่องค่อยๆ เลื่อนสูงขึ้นๆ จนถึงต้นขา  ล้วงมือเข้าขากางเกงเตรียมขยุ้มไอ้ก้อนกลมนุ่มสองก้อนที่อยู่ตรงหน้า  แต่เจ้าของมันหลับไปแล้วไม่รู้เรื่องราว  ผมสูดหายใจเข้าลึก  รู้เลยว่าตอนนี้จมูกตัวเองคงบานหุบๆ ด้วยความหื่นมันขึ้นหัว  ละสายตาจากก้นขึ้นมองใบหน้าขาวซีดของคนอ่อนเปลี้ยเพลียแรงจากที่หื่นๆ เลยพาลมาเหี่ยวแทน

อยากฟัดอยากปล้ำแต่ทำไม่ลง  วุ้ย!

หลังจากนั้นก็ต้องมานั่งกำหนดลมหายใจเข้าออกเป็นพระเคร่งศีล  กดไอ้ที่มันหื่นมันพองให้กลับเข้าที่  ตัดสินใจลุกกลับบ้านหลังปรับอารมณ์ได้แล้ว  แต่ก่อนกลับผมเลิกเสื้อกล้ามตัวโคร่งของคำนับขึ้น  งับเอวบางๆ ของคำนับไปทีนึงให้หายมันเขี้ยว  เขาสะดุ้งแต่ไม่ยอมตื่น  ป่านนี้ไม่รู้ว่ารู้หรือยังว่าผมเคยแอบทำรอยไว้บนตัวเขา

“อาทิตย์หน้าอาจารย์หาอาสาสมัครไปเป็นผู้ช่วยเชฟในรายการทีวีอ่ะ”  ผมหลุดจากภวังค์

“อ่อ  แล้วยังไง? นายอยากไปเหรอ?”

“ก็อยากนะ  แต่ว่า...ตอนนี้แทบไม่มีเวลาให้นายแล้ว”

“อื้อหือ  พูดแบบนี้อยากให้พี่ฟัดใช่ไหมครับ?”  ผมยิ้มเจ้าเล่ห์ขึ้นมาทันทีที่ได้ยินประโยคนั้น

“ไอ้บ้า!”  คำนับถลึงตาใส่  “ฉันหมายถึงรวมทั้งแม่ด้วย  อ้อ  แล้วก็ไม่ค่อยได้ไปช่วยอาฟ้าที่ร้าน”

“เรื่องร้านน่ะไม่เป็นอะไรหรอก  พ่อมีผู้ช่วยตั้งสามคน  ว่างๆ ฉันก็เข้าไปช่วยอยู่แล้ว” 

“อืม”  คำนับลากเสียงยาวเหมือนคิดไม่ตก

“ถ้าไปเป็นผู้ช่วยเชฟแล้วจะได้อะไร?”  ผมถาม

“ก็ได้ประสบการณ์  ของพวกนี้ในห้องเรียนไม่ได้มีมาบ่อยๆ”

“งั้นก็ไป”  ผมช่วยตัดสินใจ

“ฉันอาจจะยุ่งจนมานั่งคุยสบายๆ กับนายแบบนี้ไม่ได้นะ?”  เขาเอียงคอถาม  เป็นการหยั่งเชิงที่ทำให้หัวใจผมทำงานหนักขึ้น

“อนาคตนายกับความเห็นแก่ตัวของฉัน  ฉันเลือกอนาคตนาย”

“หูย  คำตอบโคตรเท่ห์อ่ะ!”  คำนับยกนิ้วโป้งมาให้พร้อมรอยยิ้มล้อเลียน

“เท่ห์แล้วชอบไหม?”

“เฮอะ!”  ผมหัวเราะ  แก้มแดงๆ นั่นเป็นคำตอบที่ทำให้ผมพอใจมากเลยทีเดียว  ผมไม่กลัวหรอก  เพราะยังไงผมก็บังคับไปรับ-ส่งเขาที่วิทยาลัย  กับที่ฝึกงานได้อยู่แล้ว

“มานั่งนี่มา”  ผมลากให้เขามานั่งตรงโต๊ะกินข้าว  บนข้อมือไม่มีกำไลที่ผมให้เพราะช่วงนี้ฝึกปฏิบัติเลยต้องถอดเก็บไว้  เขาบอกว่าไม่อยากใส่ๆ ถอดๆ กลัวทำหาย  ตอนนี้ผมเลยหาอย่างอื่นมาทดแทน

ผมจับคำนับให้นั่งหันหน้าเข้าหา  คว้าขาข้างหนึ่งของเขาขึ้นพาดตักตัวเอง  หน้าแข้งคำนับนี่เนียนมากเลยไม่ค่อยมีขน  ลูบแล้วเพลินมือชะมัด

“นี่!”  คำนับกระตุกขา  เกือบฟาดคอผม  ดีที่จับไว้ทัน  ไม่งั้นผมคงได้ลงไปนอนกองกับพื้น

“ปวดขาอยู่ป้ะ?”

“ไม่”  คำนับพยายามดึงขาตัวเองให้หลุดจากมือผม  แต่ผมกำข้อเท้าเขาแน่นขึ้น  หันไปค้นๆ ในกระเป๋าแล้วเอากำไลเงินอันใหม่ออกมาสวมลงบนข้อเท้าขาวรวดเร็วชนิดไม่ให้อีกฝ่ายตั้งตัว

“ในเมื่อใส่กำไลข้อมือไม่ได้งั้นใส่ข้อเท้าแทนละกันเนอะ”

“อะไรของนายเนี่ย?”  คนโดนสวมกำไลชักสีหน้า  โน้มตัวมาจะถอดกำไลข้อเท้าออก

“ถ้านายถอดฉันจะเปลี่ยนมาสวมปลอกคอ”

“....”  คำนับเม้มปากแน่น  มือที่กำลังจับกำไลข้อเท้าหยุดชะงัก  ดวงตาเรียวเหลือบขึ้นมอง  ผมเลยส่งสายตาว่าจะทำจริงๆ หากเขายังดื้อถอดเจ้านี่ออก

“ฉันทำจริงแน่ๆ  นายก็รู้”

ผมยกยิ้มมุมปากเมื่อเขายอมสวมกำไลข้อเท้าอันนั้น  อย่างน้อยบนตัวเขามีอะไรที่ผมตีตราจองแบบนี้มันทำให้ผมมีความสุขมาก  ผมขยับเก้าอี้ชิดคนตรงหน้า  เข่าข้างหนึ่งของผมแทรกตรงหว่างขาเขา  มือยังคงจับข้อเท้าเขาไม่ยอมปล่อย  ผมจับขาขาวแนบข้างลำตัว  เวลาอยู่บ้านคำนับชอบใส่กางเกงขาสั้น  ส่วนใหญ่เป็นกางเกงบอลขากว้างที่ผมชอบนั่นแหละ  และเพราะผมยกขาเขาขึ้นแบบนี้  ขากางเกงบอลเลยร่นจนเห็นต้นขาได้รูป  ผมกลืนน้ำลายเหนียวหนืดลงคอ

ผมวางขาข้างที่สวมกำไลข้างนั้นพาดต้นขาตัวเอง  เลื่อนมือไปยังต้นขาอีกฝ่าย  ลากไล้ปลายนิ้วเข้าใต้กางเกงบอล  คำนับเบิกตากว้าง  เขาขยับจะถอยหนีผมจึงใช้มืออีกข้างคว้าท้ายทอยเขาเอาไว้  ก่อนจะแนบจูบลงบนริมฝีปากบางคู่นั้น

เริ่มแรกแค่แตะแผ่ว  ดูดดึงเบาๆ  ขบเม้มที่ริมฝีปากล่างอีกนิด  แลบเลียกลีบปากให้เปิดอ้ายอมรับการรุกรานจากลิ้นของผม  เมื่อคำนับถอยไม่ได้  หนีไม่พ้นก็ยอมให้ผมกวาดชิมความหวานจากริมฝีปากของเขา  เนิ่นนาน...ลมหายใจผ่าวร้อนเริ่มกระชั้น  ผมยอมผละให้เขาได้โกยอากาศหายใจ  จากนั้นรั้งท้ายทอยเขาเข้ามาอีกครั้ง  มือล้วงเข้าใต้กางเกงกอบกุมสะโพกหนั่น  บีบขยำตามอารมณ์ที่พลุ่งพล่าน  คนตรงหน้าสะดุ้งโหยง

กำไลข้อเท้าสะท้อนแสงยามที่ขาขยับไหวเพราะเจ้าของร่างสั่นสะท้านตามแรงขยำจากฝ่ามือ

อยากกลืนคนตรงหน้าลงท้อง  อยากทำให้เป็นของผมคนเดียว  อยากตีตราให้มากกว่านี้  อยากเห็นกำไลข้อเท้าวงนี้สะท้อนแสงไฟยามที่ผมเคลื่อนไหวในตัวเขา

ผมผละจูบ  รู้สึกว่ายังไม่พอ  อยากจูบคำนับให้มากกว่านี้  นานกว่านี้...

“เอ่อ  เมื่อยขา”

“หืม?”  ผมขมวดคิ้วเมื่อโดนขัด  ก้มลงมองถึงเห็นว่าตอนนี้ผมดึงขาของคำนับเข้าใกล้กว่าเดิมจนตัวเขาแทบจะมาเกยอยู่บนตักผม  แต่ติดตรงที่เรานั่งมันไม่เอื้ออำนวย  คำนับนั่งอยู่บนเก้าอี้ตัวเองแบบหมิ่นเหม่เกือบตก  นี่ถ้าผมหน้ามืดต่อคาดว่าอีกเดี๋ยวคำนับคงตกเก้าอี้หงายหลังแน่ๆ

“อะแฮ่ม!”  คำนับดึงขาออกจากตักผม  ขยับตัวนั่งบนเก้าอี้ให้เต็มก้น  ไม่วายยกเก้าอี้หนีให้ห่างจากผมไปหนึ่งช่วงแขนด้วย

“....”  ผมเอื้อมมือดึงเก้าอี้เขาให้เข้ามาใกล้เท่าเดิม  แต่คำนับขืนตัวออกแรงกดเก้าอี้ไม่ให้มันขยับเขยื้อนมาตามแรงลาก

“เย็นแล้วนะเนี่ย  อีกเดี๋ยวแม่คงกลับมาแล้วเนอะ?” คำนับเสเปลี่ยนเรื่อง  ผมถอนหายใจเขม้นมอง  ขบเขี้ยวเคี้ยวฟันชี้หน้าคาดโทษไม่แบบจริงจังกับการตัดอารมณ์ของเขาเมื่อครู่

“เดี๋ยวจะทบดอก!”

“อะไรเล่า!”  คำนับถลึงตาใส่  พอผมแสยะยิ้มให้เขาก็แก้มแดงหูแดงลามไปถึงคอ   

“วันนี้จะยอมปล่อยไปก่อนก็ได้”  ผมยักไหล่  คำนับนั่งนิ่งดวงตากลอกไป-มา

“เอ่อ.. จริงซิ  นายไม่คิดถึงกานพลูเหรอ?”  จู่ๆ คำถามที่ไม่คิดว่าจะได้ยินจากคนข้างๆ ทำให้ผมชะงัก  มือที่กำลังจะเปิดหนังสือนิ่งค้าง

“....”  ผมเงียบรอฟังว่าคำนับจะพูดอะไรต่อ  แต่ถ้าถามว่าคิดถึงไหม...

“จากวันนั้นเคยคุยกันดีๆ บ้างหรือเปล่า?”

“เปล่า”

“ผ่านมาสามปีแล้วนะ!”  ใช่  ผ่านมาสามปีแล้วหลังจากวันนั้น  ไม่มีเหตุการณ์ผิดปกติอะไรอีก  ผมยังคงใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ ไม่เดือดร้อนหากไม่มีใครมาสังเกตว่าผมไม่มีเงายามเดินผ่านกระจก  พอถึงคืนเดือนมืดกานพลูก็ยังคงออกมาทุกเดือน  และผมก็ยังคงเหมือนคนหลับเป็นตายยี่สิบชั่วโมงเหมือนเดิม  ถ้ากานพลูต้องไปมหาวิทยาลัยเขาก็ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนทิ้งไว้ให้  กลับกันถ้าวันไหนตรงช่วงสอบเก็บคะแนนเขาจะทำคะแนนได้เกือบเต็ม  ไม่มีเรื่องวุ่นวายตามหลังให้ผมยุ่งยากใจ

“ทำไม?”  ไม่ใช่ว่าคำนับชอบกานพลูหรอกนะ? เขาเป็นอีกคนที่รู้ความลับของผม  แล้วก็ดูจะเข้ากันได้ดีกับกานพลูด้วย  เดี๋ยวนะ!  “นายเคยจูบกับกานพลูไหม?”  ผมหันขวับคว้าแขนคำนับแน่น

“เฮ้ย! จะไปเคยจูบได้ไง!”  คำนับตกใจกับคำถาม  เขาถลึงตาใส่  สักพักก็ทำหน้าเหมือนเพิ่งนึกอะไรได้  “แต่จะว่าไปนายกับกานพลูก็เป็นคนคนเดียวกันนี่”

“เรื่องนั้น...”  ไม่น่าใช่  ในเมื่อเราไม่ได้เชื่อมโยงกันเลย

“นายจำเรื่องราวตอนที่กานพลูออกมาได้ไหม?”  คำนับเท้าคางถาม  ตอนนี้ดูเหมือนเขาจะลืมเรื่องเครียดของตัวเองไปแล้ว

“ไม่ได้”  ยิ่งพูดถึงคิ้วยิ่งขมวด  เพราะกานพลูออกมาเจอกับคำนับบ่อยมาก  เดือนก่อนเห็นว่าเขาทำไข่ม้วนให้กานพลูกินด้วย  กับผมนี่นานๆ ทีถึงจะยอมทำให้กิน

“แต่กานพลูจำทุกอย่างตอนที่เป็นนายได้นะ  อะไรที่นายทำ  อะไรที่นายกิน  จำได้และรู้หมดทุกอย่างเลย”

“อะไรนะ!”

“จริง  อย่างเรื่องวันนี้ที่เราจูบกัน  ถ้าคราวหน้าเขาออกมาก็ยังรู้และจำได้  อ๊ะ!”  คำนับพูดเองก็เขินเองหน้าขาวๆ แดงขึ้นอีกรอบ

“แล้วทำไมตอนเขาออกมาฉันถึงจำอะไรไม่ได้?”  ผมคิดตามคำพูดของคำนับ  ถ้าเขาจำตอนเป็นโป๊ยกั๊กได้  ผมก็น่าจะจำเรื่องราวตอนที่เป็นกานพลูได้นี่นา?

“ฉันได้รู้วีรกรรมนายเยอะแยะเลยตอนเขาออกมา”  คำนับยกยิ้ม  “อ้อ  รวมถึงเรื่องตอน ปอ.หนึ่งที่นายผิดใจกับเขาด้วย”

“จำได้แม้กระทั่งเรื่องนานขนาดนั้น?”

“ช่าย”  คนข้างๆ พยักหน้า  “ความจริงเขาก็อยากขอโทษนายนะ  ตอนนั้นเขาทำไปเพราะอยากกินขนมที่นายเอาไปให้เด็กผู้หญิงคนนั้น”

“....”  ผมนึกถึงเรื่องราวครั้งนั้น

“ทุกคนในบ้านได้กิน  แถมนายเอาขนมนั่นไปให้เด็กผู้หญิงคนนั้นกินตั้งหลายวัน  พอเขาออกมากลับไม่ได้กิน”  ขนมนั่นผมขอให้พ่อทำให้    ขนมอบที่ทุกคนในบ้านต่างก็ชื่นชอบ  ผมเองหลังจากกินพร้อมทุกคนยังขอให้พ่อห่อใส่ปิ่นโตข้าวด้วย  บอกว่าจะเอาไปกินที่โรงเรียนแต่ความจริงเอาไปให้สาว 

ทุกอย่างค่อยๆ ย้อนกลับมา  ทั้งๆ ที่ผมกับกานพลูเคยพูดคุยหัวเราะด้วยกัน  ตอนนั้นกานพลูยังไม่มีชื่อด้วยซ้ำ  ไม่ว่าเขาจะออกมาหรือเป็นผม  คนในครอบครัวไม่มีแบ่งแยก  แต่หลังจากนั้น  หลังจากเรื่องนั้นเขาจึงมีชื่อเรียกว่ากานพลู  เป็นการแยกผมกับเขาออกจากกัน

ทั้งๆ ที่เราเป็นหนึ่งเดียวกันแท้ๆ

ทำไมถึงมีชื่อเรียกต่างกัน  สร้างตัวตนของเราให้แยกออกจากกัน

“นายจำความรู้สึกตอนนั้นได้ไหม? ก่อนวันปัจฉิมน่ะ”  น้ำเสียงของคำนับจริงจังก่อนจะดึงเก้าอี้ของผมให้หันไปทางเขา  พอนึกถึงเรื่องเมื่อสามปีก่อนผมจึงพยักหน้า

ความรู้สึกโดดเดี่ยวเหมือนไร้ตัวตน  ไม่มีใครมองเห็นหรือได้ยินทั้งๆ ที่ผมยืนอยู่ตรงหน้า  มันทรมานและเจ็บปวด

กานพลูก็รู้สึกแบบนั้นอย่างนั้นหรือ?

ผมเงยหน้าสบตาคำนับ  คำถามนั้นคงแสดงออกมาทางสายตาเขาจึงพยักหน้า  มือขาวแตะลงบนหลังมือผมแผ่วเบา

“นายอยู่กับความรู้สึกนั้นแค่สามวัน  แต่กานพลูน่ะเป็นสิบปีเชียวนะ”

“เขา...”

“ขณะที่นายใช้ชีวิตในฐานะของโป๊ยกั๊ก  กานพลูก็ถูกขังอยู่ในนี้”  คำนับแตะนิ้วลงกลางอกผม

“.....”  ตรงจุดที่คำนับแตะเจ็บแปลบขึ้นมา  เขาคงไม่ได้เอาเข็มมาทิ่มผมใช่ไหม?

สิ่งที่เกิดขึ้นเมื่อสามปีที่แล้วผมยังคงจำได้ไม่ลืม

ความรู้สึกเย็นเฉียบเกาะกินหัวใจจนเจ็บร้าวไปทั้งอก  ผมโน้มตัวลงอ้าปากสูดหายใจ  ยิ่งพยายามโกยอากาศเข้าปอดยิ่งเสียดลึก  เจ็บจนน้ำตาไหล...

“ตอนนี้นายคิดถึงกานพลูไหม?”

“...คิดถึง...”  ผมไม่อาจปากแข็งบอกว่าไม่คิดถึง  เพราะความจริงแล้วผมคิดถึงกานพลูจริงๆ แม้จะเคยนึกรำคาญ  ไม่ชอบการพูดมากของเขาแต่บางครั้งที่ส่องกระจก  ผมหวังว่าเขาจะปรากฏตัวออกมาแล้วพูดจาไร้สาระกับผมเหมือนอย่างเคย

“นายจำครั้งแรกตอนเขาปรากฏตัวได้ไหม  ความรู้สึกครั้งแรกที่ได้คุยกัน?”

“..ดะ  ดีใจ...”  ใช่  ตอนนั้นผมดีใจมาก  ตอนที่เขาตอบรับคำพูดของผม  ไม่ว่ากระจกบานไหนๆ ถ้ามีกานพลูอยู่ด้านในผมจะเรียกกระจกบานนั้นว่า ‘กระจกวิเศษ’

เพราะกานพลูคือสิ่งวิเศษ

เขาคือพลังพิเศษของผม

เขาและผมคือสิ่งเดียวกัน

เราเป็นคนคนเดียวกัน





.

.

.

ผมร่วงหล่นจากเก้าอี้  ได้ยินเสียงโครมจากแรงกระแทก  ใบหน้าตื่นตกใจของคำนับพร่ามัวอยู่ด้านหลังม่านขาว  ในหัวปวดเหมือนจะระเบิด  เหงื่อหลั่งจนเปียกชุ่มไปทั้งหลัง  ภาพต่างๆ วิ่งเข้ามาในหัวไม่หยุด  ภาพและเหตุการณ์อันไม่คุ้นเคยไหลผ่านเข้ามาในหัว

สิ่งเหล่านั้นวิ่งวนรวดเร็ว  ในท้องผมเหมือนมีรถไฟเหาะฉวัดเฉวียนไปทั่วจนอยากอาเจียน  มือหนึ่งทึ้งผมเพราะปวดหัว  อีกมือกดท้องแน่น 

มีภาพที่ผมได้คุยกับกานพลูครั้งแรก  ผมเห็นภาพตัวเองทำในสิ่งที่จำไม่ได้ว่าเคยทำ  เห็นท่าทางและรอยยิ้มของตัวเองที่ไม่คุ้นเคย  อีกหลากหลายภาพพุ่งเข้ามาในสมอง  มันอัดแน่นรุนแรงเหมือนน้ำในเขื่อน  ที่พอผนังเขื่อนเกิดรอยร้าวมันก็อัดกำแพงจนพังแล้วพุ่งทลายเป็นน้ำหลาก

ความรู้สึกมากมายวิ่งพล่านในอก  ไหล่ผมสั่นสะท้านเมื่อได้ซึมซับความรู้สึกเหล่านั้น  ทั้งความสุข  ความหวาดกลัว  อ้างว้าง  โดดเดี่ยว  เจ็บปวดและทรมาน

ผมรับรู้ได้ถึงหยดน้ำที่ไหลหล่นจากหางตา

ภาพสุดท้ายที่เห็นก่อนหมดสติ  คือภาพในวันที่ผมทะเลาะกับเขา  วันที่ผมตะโกนใส่กระจก  วันที่ผมพูดคำว่า ‘ฉันเกลียดนาย’  ใส่กานพลู

เขาเจ็บปวด  เขาร้องไห้  เขาคิดว่าถ้าหากหายตัวไปได้คงทำให้ผมมีความสุขมากขึ้น  แต่พอเขาหายไปจริงๆ ผมกลับหมดสติตามไป  เหลือเพียงร่างและถูกขังอยู่ข้างใน

เพราะแบบนั้นเขาจึงต้องอยู่  เพื่อให้ผมอยู่







กานพลู  ตอนนี้นายจะได้ยินฉันไหม?

ถ้าขอโทษตอนนี้จะสายไปหรือเปล่า?

ที่เคยพูดว่าเกลียดนาย  ความจริงแล้วฉันโกหกล่ะ

นายก็รู้ว่าฉันเป็นคนอารมณ์ร้อน  อย่าถือสากันเลย

หลังจากนี้นายจะเผชิญหน้ากับฉันได้ไหม?

เพราะสุดท้ายความจริงมีเพียงหนึ่งเดียว

นายก็คือฉัน  ฉันก็คือนาย

เราเป็นคนคนเดียวกัน

‘กระจกวิเศษ  ขอโทษนะ’



















‘ขอบคุณ’





โปรดติดตามตอนต่อไป




สวัสดีค่าาา  หวังว่าตอนนี้เจ้าโป๊ยกั๊กจะได้รับความเอ็นดูมากขึ้นนะคะ

คิดถึงค่ะ :mew1:

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3382
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

โถๆๆๆๆๆ  กานพลูหายไปตั้งสามปีเลย

อิโป๋ยกั๊กก็ไม่อินังขังขอบอะไรเลยนะ

ต้องให้คำนับมาสะกิดต่อม   ชิส์

ออฟไลน์ Rumraisin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 673
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
อยากกินไข่หวานบ้าง แต่ไข่หวานในตอนนี้ก็คงจะหวานมากแน่ๆ  :hao3: แล้วก็มาน้ำตาซึมกับโป๊ยกั๊กกานพลู :mew6: ขอบคุณมากค่ะ คิดถึงกานพลูเหมือนกันนะเนี่ย

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4825
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เอากานพลูกลับมาให้ได้นะ ห้ามหายไปอีก ถ้าหายไปอีกละก็ จะตีให้ยับเลย นะหลานคนแต่ง  :z13: :z13:

ออฟไลน์ labelle

  • เป็ดAres
  • *
  • กระทู้: 2685
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +81/-0
โป๊ยกั๊ก ทำไมใจร้าย ซึนไปแล้วช่วยอะไร
มัวแต่ไปตามติดชีวิตคำนับ จนลืมอีกตัวตนที่เป็นคนเดียวกัน
สงสารกานพลู เป็นเด็กดี ขนาดโป๊ยกั๊กใจ้ายขนาดนี้ ยังไม่เกเร

ตอนที่คำนับบอกให้กานพลูสู้ ไม่ให้โป๊ยกั๊กเสียหน้าตอนกลับมา
แอบมีแปลกใจนิดนึง แบบทำไมไม่ลุ้นให้กานพลูสู้เพื่อตัวเองมากกว่า

ตลกโป๊ยกั๊ก คิดลึกจนโดนเจ้าก้อนเตะ สมควร รู้อยู่ว่าพี่รู้ ยังจะคิด
ภูดินก็บ้าบอมากค่ะ ดินไม่ปล่อยภูไปไหนหรอกแต่คนบื้อก็ยังไม่รู้ตัว

อยากรู้เหมือนโป๊ยกั๊กเลย ทำไมคำนับชอบหน้าแดงตอนเจอพ่อ
พ่อต้องแบ๊วมากแน่ ถึงได้หวง ตามเฝ้าขนาดนั้น 55555

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด