My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอนพิเศษ] 19-02-62 P.4
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอนพิเศษ] 19-02-62 P.4  (อ่าน 23483 ครั้ง)

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3
ข้อตกลงในการเข้ามาในเล้าเป็ดนะครับ กรุณาอ่านทุกคนนะครับ
เล้าแห่งนี้เป็นที่ที่คนชื่นชอบนิยาย boy's love หรือชายรักชาย หากใครหลงมาแล้วไม่ชอบ
กรุณากดกากบาทสีแดงมุมด้านขวาบนออกไปด้วยนะครับ

ติดตามกฏเพิ่มเติมที่กระทู้นี้บ่อยๆ เมื่อมีการแก้ไขกฏจะแก้ไขที่กระทู้นี้นะครับ
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0

ประกาศทั่วไปติดตามอัพเดทกันที่นี่
http://www.thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.0

ประกาศ กฎที่อื่นมีไว้แหก แต่ห้ามมาแหกที่นี่

1.ห้ามมิให้ละเมิดสิทธิส่วนตัวของคนแต่งและบุคคลในเรื่องทั้งหมด

2.ห้ามมิให้โพสต์ข้อความ รูปภาพ ใช้ลายเซ็นหรือรุปส่วนตัวหรือสื่อใดๆที่ก่อให้เกิดความขัดแย้ง ไม่แสดงความเคารพ, หมิ่นประมาท,
หยาบคาย, เป็นที่รังเกียจ, ไม่เหมาะสม,ติดเรท x,ทำให้กระทู้กลายพันธ์,ไม่เกี่ยวพันกับนิยายที่ลง
หรืออื่นๆที่ขัดต่อกฎหมาย,ห้ามโพสกระทู้ที่จะสร้างประเด็นความขัดแย้ง  ในเรื่อง การเมือง ศาสนา พระมหากษัตริย์
และสถาบันต่าง ๆ  รวมถึงกระทู้ที่จะสร้างความแตกแยก  ชวนวิวาท ของสมาชิกภายในเวปบอร์ด

3.การนำเรื่อง ข้อความ รูปภาพมาโพส หรือนำข้อความใดๆไปโพสที่อื่นๆ กรุณาพยายามติดต่อเจ้าของเรื่องเท่าที่จะทำได้หรือแจ้งมายังบอร์ดนี้ก่อนนะ ครับ  เนื่องจากเจ้าของเรื่องบางครั้งไม่ต้องการให้คนที่ไม่ได้ชื่นชอบนิยายชายรัก ชายเข้ามารับรู้  ลิขสิทธิ์ทั้งหมดเป็นของเจ้าของคนที่ทำขึ้นและเวปแห่งนี้นะครับ

4.ห้าม แจกเบอร์ แลกเมล บอกเมล แลก msn บนบอร์ด โดยเฉพาะการบอกเบอร์ หรือเมลของคนอื่นโดยที่เจ้าของไม่ยินยอมให้ส่งหรือติดต่อกันทางพีเอ็มจะ ปลอดภัยกว่าแล้วเมื่อมีการติดต่อสื่อสารกันให้พึงระวังถึงความปลอดภัย ความไม่น่าไว้ใจของผุ้คนทุกคนแม้จะมีชื่อเสียงในบอร์ดเป็นเรื่องส่วนตัวของ แต่ละคนไป เพื่อลดความขัดแย้งภายในเล้า จึงไม่สนับสนุนให้มีการจีบกันในบอร์ดนะครับ

5.ห้าม จั่วหัวกระทู้ว่าเป็น “เรื่องเล่า” นักเขียนทุกคนอย่าโกหกคนอ่านว่าเป็นเรื่องจริงในกรณีแต่งเติมเพิ่มแม้แต่นิด เดียวให้ชี้แจงว่าเป็นเรื่องแต่งแม้จะแต่งเพิ่มขึ้นแค่ไม่ถึง 10 % ก็ตาม

6.การ พูดคุยโต้ตอบระหว่างคนเขียนและคนอ่านนอกเรื่องนิยาย  ทำได้  แต่อย่าให้มากนัก เช่น คนเขียนโพสนิยายหนึ่งตอน ก็ควรตอบเพียงคอมเม้นต์เดียวก็พอแล้ว  โดยสามารถใช้ปุ่ม Insearch qoute  ได้    ถ้าจะพูดคุยกันมากขึ้นแนะนำให้ไปตั้งกระทู้ใหม่ที่ห้องพูดคุยทั่วไป และลงลิงค์จากนิยายไปยังกระทู้พูดคุยกับแฟนคลับนิยายในรีพลายแรกด้วยนะครับ เพราะการที่คนเขียนและแฟนคลับพูดคุยกันมากทำให้หานิยายที่จะอ่านยาก ไม่เจอ ลำบากกับคนที่ไม่ได้เข้ามาตามอ่านทุกวัน

7. การกดบวกให้เป็ดเหลือง
      7.1 นิยาย 1 ตอน  จะให้ขึ้น Top list แค่ 1 Reply เท่านั้น ถ้าขึ้นเกิน จะลบคะแนนออก เหลือเฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด
      7.2 นิยาย 1 เรื่อง จะให้ขึ้น Top list ไม่เกิน 3 Reply ถ้าเกิน จะลบคะแนนออก ให้เหลือ เฉพาะ Reply ที่มีคะแนนสูงสุด ลงมาตามลำดับ
      7.3 Post ในห้องอื่น ๆ ก็จะใช้ หลักการเดียวกันนี้ เช่นกัน ยกเว้น
            - 1 Reply ที่เกินมานั้น โมทั้งหลาย พิจารณาดูแล้วว่า ไม่เป็นการปั่นโหวต และเป็น Reply ที่น่าสนใจและเป็นที่ชื่นชอบจริง ๆ

8.Administrator และ moderator ของ forum นี้ มีสิทธิ์อ่าน, ลบ หรือแก้ไขทุกข้อความ. และ administrator, moderator หรือ webmaster ไม่สามารถรับผิดชอบต่อข้อความที่คุณได้แสดงความคิดเห็น (ยกเว้นว่าพวกเขาจะเป็นผู้โพสต์เอง).

9.คุณยินยอม ให้ข้อมูลทุกอย่างของคุณถูกเก็บไว้ในฐานข้อมูล. ซึ่งข้อมูลเหล่านี้จะไม่ถูกเปิดเผยต่อผู้อื่นโดยไม่ได้รับการยินยอมจากคุณ .Webmaster, administrator และ moderator ไม่สามารถรับผิดชอบต่อการถูกเจาะข้อมูล แล้วนำไปสร้างความเดือดร้อนต่างๆ

10.ห้าม ลงประกาศลิงค์โปรโมทเวป  โฆษณา หรือโปรโมทในเชิงธุรกิจใดๆ ทุกชนิด ลงได้เฉพาะในห้องซื้อขาย ในเมื่อแนะนำเวปอื่นที่บอร์ดเรา ก็ช่วยแนะนำบอร์ดเราโดยลงลิงค์บอร์ดเรา เวป http://www.thaiboyslove.com  ในบอร์ดที่ท่านแนะนำมาให้เราด้วย  เมื่อจำเป็นต้องแนะนำลิงค์ให้ส่งลิงค์กันทาง personal message หรือพีเอ็มแทนนะครับจะสะดวกกว่า ส่วนในกรณีอยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนๆได้อ่านจริงๆนั้นพยายามลงให้ห้องซื้อ ขายซะ หรือถ้าม๊อดเดอเรเตอร์จะพิจารณาเป็นกรณีๆไป ถ้ารู้สึกว่าไม่ได้โปรโมทเวป แต่อยากแนะนำสิ่งดีๆให้เพื่อนด้วยใจจริงจะให้กระทู้นั้นคงอยู่ต่อไป

11.บอร์ด นิยายที่โพสจนจบแล้วมีไว้สำหรับนิยายที่โพสในบอร์ด boy's love จนจบแล้วเท่านั้น จึงจะถูกย้ายมาเก็บไว้ที่นี่ หาอ่านนิยายที่จบแล้ว หรือคนเขียนไม่ได้เขียนต่อ แต่โดยนัยแล้วถือว่าพล็อตเรื่องโดยรวมสมควรแก่การจบแล้ว หากนักเขียนท่านใดได้พิมพ์เล่มกับสำนักพิมพ์ ต้องการลบเรือ่งบางส่วนออก โดยเฉพาะไคลแม๊ก หรือตอนจบที่สำคัญ ให้แจ้ง moderator ย้ายนิยายของท่านสู่ห้องนิยายไม่จบ เพื่อที่หากระยะเวลาเกินหกเดือนแล้ว เราจะได้ทำการลบทิ้ง หรือท่านจะลบนิยายดังกล่าวทิ้งเสียก็ได้ เนื่องจากบอร์ดนี้เก็บเฉพาะนิยายที่จบแล้ว

บอร์ดนิยายที่ยังไม่มาต่อจนจบไว้สำหรับ
นิยาย ที่คนเขียนไม่ได้มาต่อนาน หายไปโดยไม่มีเหตุผลสมควร ไม่ได้แจ้งไว้หรือแจ้งแล้วก็ไม่มาต่อ 3 เดือน จะย้ายมาเก็บในนี้เมื่อครบหกเดือนจะทำการลบทิ้ง ส่วนเรื่องไหนที่จะต่อก็ต่อในนี้จนกว่าจะจบ แล้วถึงจะทำการย้ายไปสู่บอร์ดนิยายจบแล้วต่อไป

12.ห้ามนำเรื่องพิพาทต่างๆมาเคลียร์กันในบอร์ด

13.ผู้โพสนิยาย และเขียนนิยายกรุณาโพสให้จบ ตรวจสอบคำผิดก่อนนำมาลงด้วยครับ

14.ส่วนคนอ่านทุกท่าน เวลาอ่านนิยาย เรื่องที่คนเขียนเขียน  ก็ไม่ต้องไปอินมากนะครับ ให้เก็บเอาสิ่งดีๆ ประสบการณ์ ข้อคิดดีๆไปนะครับ

15. การนำรูปภาพ บทความ ฯลฯ มาลงในเวปบอร์ด  ควรจะให้เครดิตกับ... 
(1) ผู้ที่เป็นต้นตอเจ้าของบทความหรือรูปภาพนั้นๆ
(2) เวปไซต์ต้นตอที่อ้างอิงถึง

16.นิยาย เรื่องไหนที่คิดว่าเมื่อมีการรวมเล่มขายแล้วจะลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วน หรือทั้งหมดออก กรุณาอย่าเอามาลงที่นี่ หรือสำหรับผู้ที่ขอนิยายจากนักเขียนอื่นมาลง ต้องมั่นใจว่าเรื่องนั้นจะไม่มีการลบเนื้อเรื่องไม่ว่าบางส่วนหรือทั้งหมด ออกเมื่อมีการรวมเล่มขาย อนึ่ง เล้าไม่ได้ห้ามให้มีการรวมเล่มแต่อย่างใด สามารถรวมเล่มขายกันได้ แต่อยากให้เคารพกฎของเล้าด้วย เล้าเปิดโอกาสให้ทุกคน จะทำมาหากิน หรืออะไรก็ตามแต่ขอความร่วมมือด้วย เผื่อที่ทุกคนจะได้อยู่อย่างมีความสุข

17.ห้าม แจ้งที่หัวกระทู้เกี่ยวกับการจองหรือจัดพิมพ์หนังสือ แต่อนุโลมให้ขึ้นหัวกระทู้ว่า “แจ้งข่าวหน้า...” และลงลิงค์ที่ได้ตั้งเอาไว้ในแล้วในห้องซื้อขายลงในกระทู้นิยายแทน  ถ้านักเขียนต้องการประชาสัมพันธ์เกี่ยวกับการจอง หรือจัดพิมพ์หนังสือของตนเองผ่านกระทู้นิยายของตนเอง  นิยายเรื่องดังกล่าวจะต้องลงเนื้อหาจนจบก่อน (ไม่รวมตอนพิเศษ) จึงจะทำการประชาสัมพันธ์ในกระทู้นิยายได้ (ศึกษากฏการซื้อขายของเล้่าก่อน ด้วยนะคะ)

18.ใคร จะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดเรื่องสั้น ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที  ส่วนเรื่องสั้นที่จบแล้วให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้วจะได้ไม่ถูกลบทิ้งและจะเก็บไว้ที่บอร์ดเรื่องสั้นไม่ ย้ายไปไหน   เช่นเดียวกับนิยายทุกเรื่องเมื่อจบให้แก้ไขโพสแรก และต่อท้ายว่าจบแล้ว จะได้ย้ายเข้าสู่บอร์ดนิยายจบแล้ว ไม่เช่นนั้นม๊อดอาจเข้าใจว่าไม่มาต่อนิยายนานเกินจะโดนลบทิ้งครับ

เอาข้อสำคัญก่อนนะครับเด่วอื่นๆจะทำมาเพิ่มครับเอิ้กๆหุหุ
admin
thaiboyslove.com.......................................                                                           

วันที่ 3 ธ.ค. 2551วันที่ 16 ก.ย. 2554 ได้เพิ่มกฏ ข้อที่ 7
วันที่ 21 ต.ค.2556 ได้ปรับปรุงกฏทั้งหมดเพื่อให้แก้ไข และติดตามได้ง่าย
วันที่ 11 พ.ย. 2557 เพิ่มเติมการลงเรื่องสั้นและการแจ้งว่านิยายจบแล้ว
วันที่ 4 ธ.ค. 2557 เพิ่มบอร์ดเรื่องสั้นจึงปรับปรุงกฏข้อ 18 เกี่ยวกับเรื่องสั้น และ เพิ่มเติมส่วนขยายของกฏข้อ 17

เวปไซต์ แห่งนี้เป็นเวปไซต์ส่วนบุคคลที่ได้รับความคุ้มครองจากกฏหมายภายในและระหว่าง ประเทศ การเข้าถึงข้อมูลใดๆบนเวปไซต์แห่งนี้โดยไม่ได้รับความยินยอมจากผู้ให้บริการ ถือว่าเป็นความผิดร้ายแรง

ข้อความใดๆก็ตามบนเวปไซต์แห่งนี้ เกิดจาการเขียนโดยสมาชิก และตีพิมพ์แบบอัตโนมัติ ผู้ดูแลเวปไซต์แห่งนี้ไม่จำเป็นต้องเห็นด้วย และไม่รับผิดชอบต่อข้อความใดๆ  โปรดใช้วิจารณญาณของท่านที่เข้าชม และ/หรือ ท่านผู้ปกครองในการให้ลูกหลานเข้าชม


******************************************************************









สวัสดีวันแห่งความรักค่ะ
วันนี้มาเปิดเรื่องใหม่  เป็นหนึ่งในโปรเจ็ก My Family ของ MAZE  Novel ซึ่งร่วมกับน้อง Nicedog และ aiaea83 ค่ะ
นานแล้วที่ไม่ได้แต่งโดยใช้บุรุษที่หนึ่งในการเล่าเรื่องก็เลยค่อนข้างไม่ค่อยมั่นใจนิดนึง  และด้วยความห่างหายจากช่วงเวลากับตัวละครในนิยายมานานมากกกกก ก็เลยไม่ค่อยแม่นเรื่องของกิจกรรมและชีวิตประจำวันของเด็กวัยรุ่นสักเท่าไหร่  หากมีข้อผิดพลาดประการใดก็ขออภัยด้วยนะคะ  สามารถให้คำแนะนำติติงได้เสมอค่ะ
เรื่องแรก “Secret Ground สืบลับเชื่อมใจรัก”  By Nicedog
เรื่องที่สอง “Hidden Secret ลับซ่อนรัก”  By AiaeaAiaea
เป็นกำลังใจให้เราทั้งสามคนด้วยนะคะ^^











“Secret Me  คนนี้ต้องลับ!”

บทนำ






‘กระจกวิเศษเอ๋ย  จงบอกข้าเถิด  ใครงามเลิศในปฐพี’

ผมหันไปมองเด็กผู้หญิงที่นั่งอยู่ข้างๆ ดวงตาสุกใสของเธอเป็นประกาย  ริมฝีปากสีสตรอว์เบอร์รี่  หืม  ต้องสีเชอร์รี่หรือ? ไม่ๆ  ผมชอบสตรอว์เบอร์รี่มากกว่า  ดังนั้นผมจะให้ริมฝีปากของเธอสีสตรอว์เบอร์รี่  ดวงตาของเธอสุกใสเป็นประกายจ้องไปยังคุณครูคนสวยหน้าห้องที่กำลังเล่านิทานเรื่อง  เจ้าหญิงสโนว์ไวท์กับเจ้าชายทั้งเจ็ด  ผมคิดว่าเธอคงอยากเป็นเจ้าหญิงคนนั้นและอยากให้กระจกตอบกลับมาว่า

‘ก็เธอน่ะซิ  เจ้าหญิงริมฝีปากสีสตรอว์เบอร์รี่’  หากคุณครูหน้าห้องกลับพูดต่อว่า ‘เจ้าหญิงสโนว์ไวท์อย่างไรล่ะ  งามที่สุดในปฐพี’  เมื่อได้ยินเธอก็ยังยิ้มสดใส  แม้จะแอบเบ้ปากเล็กๆ นั่นเล็กน้อย

ตอนเย็นพอกลับถึงบ้านผมก็รีบวิ่งเข้าห้องน้ำแล้วไปยืนหน้ากระจก  เงาที่สะท้อนกลับมาคือใบหน้าที่เหมือนกับผมทุกอย่าง  ผมยกยิ้มคนในนั้นก็ยิ้มตาม  นิทานที่คุณครูเล่ายังคงก้องอยู่ในหัว  ผมขยับปากเอ่ยคำถาม

“กระจกวิเศษเอ๋ย  จงบอกข้าเถิด  ใครงามเลิศในปฐพี”

“ในโลกนี้คนที่งามเลิศที่สุดก็คือนาย  เตวิส”

“!”  ผมผงะถอยหลัง  เงาในกระจกตอบผมได้ด้วย!  หรือนี่จะเป็นกระจกวิเศษเหมือนอย่างในนิทานที่คุณครูเล่า?  ผมขยับเข้าไปใกล้กระจกอีกครั้ง  “ฉัน?”

“ใช่  นายนั่นแหละ  เตวิส”  เงาในกระจกยิ้มกว้างเต็มใบหน้า  ผมใจเต้นแรงก่อนจะหันหลังวิ่งออกไปพลางตะโกนโวยวายลั่นบ้าน

“พ่อ!  แม่! พี่ไธม์!  บ้านเรามีกระจกวิเศษด้วย!”  ผมลากทุกคนให้มายืนรวมกันอยู่หน้ากระจกห้องน้ำ  เว้นกระวานเพราะยังไม่กลับจากโรงเรียน  พอมีผู้ใหญ่สามคนมายืนเบียดกันก็ทำให้ห้องน้ำเล็กๆ แคบไปถนัดตา

“กระจกวิเศษอะไรหรือ?”  พี่ไธม์ลูบหัวผมก่อนเอ่ยถาม

“นี่ไงๆ”

“หืม?”  พ่อกับแม่สบตากัน  พวกท่านขมวดคิ้วมองผมแล้วหันไปมองกระจก

“ดูนะๆ”  ผมเบียดไปยืนด้านหน้าสุด “กระจกวิเศษเอ๋ย  จงบอกข้าเถิดใครงามเลิศในปฐพี”

“นายไง  เตวิส”  เงาในกระจกตอบกลับมา   ผมยิ้มจนปากแทบฉีกถึงหูหันไปมองหน้าทุกคน  พ่อกับแม่อ้าปากค้าง  ส่วนพี่ใบไธม์ยืนจ้องเงาในกระจกนิ่ง

“โอ้  พลังของลูกคือแบบนี้หรือ?”  แม่เท้าเอว  “จะมีประโยชน์อะไรกับบ้านเราไหมเนี่ย?”

“แม่จ๋าละก็”  พ่อดุแม่เสียงเบา

“เท่ห์ดีนี่”  พี่ใบไธม์ก้มมายิ้มให้  ผมเลยยืดอกขึ้น

“พรุ่งนี้ผมเอากระจกวิเศษนี่ไปโรงเรียนนะ?”

“ห๊า?”  แม่ร้องเสียงดังมีพ่อคอยแตะแขนให้เบาเสียงลงเพราะกลัวผมตกใจ

“ลูกเอากระจกนี่ไปโรงเรียนไม่ได้หรอก”

“ทำไมล่ะครับ?”

“เพราะกระจกทุกบาน  จะเป็นกระจกวิเศษของโป๊ยกั๊กยังไงล่ะ”  พี่ใบไธม์ย่อตัวลงนั่งบนส้นเท้า  เอ่ยอธิบายกับผมอย่างใจเย็น

“?”  ผมเอียงคอไม่ค่อยเข้าใจที่พี่ชายพูดมากนัก

“เป็นกระจกวิเศษของโป๊ยกั๊กคนเดียว”

“ของผมคนเดียว?”

“ใช่  แล้วอย่าไปอวดใครว่ามีกระจกวิเศษ  และอย่าเอ่ยถามกระจกวิเศษแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นๆ ล่ะ”  พี่ชายผู้ใจดีเอ่ยต่อ

“ให้เพื่อนดูก็ไม่ได้หรือ?”

“ไม่ได้”  ผมจ้องหน้าพี่ชาย  รอยยิ้มอบอุ่นของพี่ยังคงส่งมาให้  “เข้าใจไหมโป๊ยกั๊ก?”

“ครับ”  ผมพยักหน้ารับ  ทั้งๆ ที่ไม่เข้าใจว่าทำไมทุกคนถึงห้าม  แต่ถ้าพี่ใบไธม์บอกผมก็จะเชื่อฟังทุกอย่างนั่นแหละ

หลายวันต่อมา  ผมเห็นเด็กหญิงริมฝีปากสีสตรอว์เบอร์รี่คนนั้นนั่งเปิดหนังสือนิทานด้วยท่าทางมีความสุข  ผมเลยชะโงกหน้าไปดูว่าเธออ่านเรื่องอะไร  อ้อ  ‘เจ้าหญิงสโนว์ไวท์กับเจ้าชายทั้งเจ็ด’  นี่เอง  งั้นผมจะเรียกเธอว่า ‘เจ้าหญิงสีสตรอว์เบอร์รี่’  เพราะเธอคงชอบเรื่องของเจ้าหญิงเจ้าชายมาก

“นี่ๆ เธออยากคุยกับกระจกวิเศษไหม?”  ผมสะกิดไหล่เธอ  เธอหันมามองพร้อมรอยยิ้ม  นี่แหละสิ่งที่ผมอยากได้!  ผมอยากให้เธอยิ้มให้ผมล่ะ!

“เธอมีกระจกวิเศษหรือ?”  เจ้าหญิงสีสตรอว์เบอร์รี่ปิดหนังสือแล้วกระโดดมายืนหน้าผมอย่างรวดเร็ว  ผมพยักหน้ารับ  “งั้นพาเราไปดูหน่อย”

“....”  ผมอ้าปากจะตอบรับ  หากคำพูดของพี่ใบไธม์ดังขึ้นในหัว

‘แล้วอย่าไปอวดใครว่ามีกระจกวิเศษ  และอย่าเอ่ยถามกระจกวิเศษแบบนี้ต่อหน้าคนอื่นๆ ล่ะ’

“เราเป็นเพื่อนกันใช่ไหม?”

“อื้อ!”  เธอพยักแรงจนผมปลิว

ผมลังเลว่าจะพาเธอไปคุยกับกระจกวิเศษดีหรือไม่  แต่เจ้าหญิงสีสตรอว์เบอร์รี่เป็นเพื่อนนี่นา  ไม่ใช่คนอื่นสักหน่อย!  ผมจูงแขนเธอวิ่งไปยังห้องน้ำ  เรายืนคู่กันตรงหน้ากระจก

“เอาซิ  ถามเลย”  ผมบอกเธอ  มองใบหน้าน่ารักผ่านกระจก  เจ้าหญิงสีสตรอว์เบอร์รี่ตื่นเต้นมาก   เธอยิ้มให้ผมแล้วขยับปาก

“กระจกวิเศษเอ๋ย  จงบอกข้าเถิดใครงามเลิศในปฐพี”

“เตวิส”

“ห๊า?  อะไรเนี่ย?”  เจ้าหญิงสีสตรอว์เบอร์รี่หน้ายู่ไม่ชอบใจ

“ถามใหม่ๆ”  ผมเอาไหล่กระแทกไหล่เธอเบาๆ

“กระจกวิเศษเอ๋ย  จงบอกข้าเถิดใครงามเลิศในปฐพี”

“ว๊ากก  ผีหลอกกกกก”  ผมสะดุ้งตกใจหันไปมองด้านหลัง  ไม่รู้ว่าเพื่อนๆ  ในชั้นอนุบาลห้องเขียดน้อยมายืนออกันตั้งแต่เมื่อไหร่  แต่ทุกคนดูตกใจกับกระจกวิเศษของผมมาก

“ผีที่ไหน  นี่กระจกวิเศษต่างหาก!”  ผมเถียง  แต่ทุกคนยิ่งตกใจ  พวกเขามองไปด้านหลังของผมด้วยดวงตาโตเท่าไข่ไก่  ผมไม่เห็นว่าเงาในกระจกชะเง้อคอมองเหตุการณ์ตรงหน้า  แทนที่จะสะท้อนแผ่นหลังของผม

“ผี!”

จากนั้นทุกคนก็ไม่กล้าเข้าใกล้ผม  เอาแต่ชี้แล้วพูดแต่คำว่าผีๆ  ไม่หยุด  เจ้าหญิงสีสตรอว์เบอร์รี่เองก็ไปรวมกลุ่มกับพวกนั้น  คุณครูประจำชั้นไม่รู้จะทำอย่างไรจึงโทรศัพท์ไปหาพ่อ  พอพ่อฟังเรื่องราวที่คุณครูเล่าก็ขมวดคิ้วแล้วพาผมกลับบ้าน

หลังจากวันนั้นผมก็ไม่มีเพื่อนมาเล่นด้วยอีกเลย  ทุกคนเอาแต่กลัวว่าผมจะเรียกผีในกระจกออกมา  เมื่อเป็นอย่างนี้นานวันเข้าสุดท้ายพ่อเลยต้องพาผมย้ายโรงเรียนในที่สุด

**********

ผมยืนนิ่งบนฟุตบาทหน้าร้านขายกล้วยปิ้ง  ตอนแรกว่าจะซื้อไปฝากกระวานคนผอม  แต่พอนึกถึงเรื่องราวตอนอนุบาลแล้วหงุดหงิดขึ้นมานิดหน่อย  ยิ่งท้องฟ้าครึ้มๆ แบบนี้ยิ่งพาให้รู้สึกไม่ค่อยดีเลยไม่ซื้อดีกว่า  เกิดฝนตกกล้วยปิ้งคงกลายเป็นกล้วยแช่น้ำกระวานกินแล้วอาจท้องเสีย  ผมยืนเหม่อมองฟ้าอยู่นานเท่าไหร่ไม่รู้  รู้ตัวอีกทีก็หรี่ตามองฟุตบาทฝั่งตรงข้ามแล้ว

แมวดำตัวเขื่องกำลังจ้องตรงมา  ดวงตาสีเหลืองอำพันคู่นั้นคล้ายกำลังเรียกผม  ก่อนที่เท้าข้างหนึ่งของแมวดำจะค่อยๆ ยกขึ้นกวักเบาๆ  ผมเบิกตากว้างแล้ววิ่งข้ามถนนเมื่อสัญญาณไฟจราจรเปลี่ยนเป็นสีแดงให้รถหยุด

“พี่ไธม์?”  แมวในอ้อมแขนพยักหน้าเบาๆ ตอบรับ

ใช่แล้ว  แมวดำในอ้อมแขนผมคือพี่ชายคนโตของบ้าน  พี่ไธม์ที่แสนใจดีของผมนั่นเอง

พี่น้องในบ้านเราทุกคนมีพลังพิเศษคนละอย่าง  สืบทอดมาจากคุณตาคุณยาย  และผ่านมาทางคุณแม่อีกที  พี่ไธม์ถ้าจับสัตว์ชนิดไหนจะกลายเป็นสัตว์ชนิดนั้น  เพราะแบบนั้นถึงต้องเลี่ยงการสัมผัสกับสัตว์ทุกชนิดหากเป็นไปได้  แต่บ้านเราเลี้ยงแมวแหละ  แปลกไหมล่ะครับ  ถึงจะเป็นแบบนี้แต่ก็สะดวกกับงานของพี่เขาในปัจจุบันละนะ 

กระวานพี่ชายคนรองของบ้าน  คนนี้น่าสงสารเพราะความสามารถอันน่ารำคาญนั่น  กระวานมักจะได้ยินเสียงในหัวคนอื่น  ถ้าเป็นความคิดดีๆ จะไม่ว่าอะไรเลย  แต่กระวานกลับได้ยินแต่เรื่องหื่นๆนี่ซิ!  อุปกรณ์ประจำตัวของกระวานคือหูฟัง  เอาไว้ฟังเพลงกลบเสียงหื่นในหัวคนอื่น  นั่นเลยทำให้กระวานใช้ชีวิตร่วมกับคนทั่วไปลำบาก  นี่ก็ตกงานมาอยู่บ้านได้หลายเดือนแล้วครับ  แต่เจ้าตัวบอกว่าลาออกมาเอง  ไม่ได้ตกงานเสียหน่อย  ผมว่าช่างมันเถอะ  ยังไงก็เหมือนกันนั่นแหละ!

ผมลูกชายคนที่สามของบ้าน  ความสามารถพิเศษของผมน่ะหรือ  เงาในกระจกนั่นไง!  พูดถึงหมอนั่นขึ้นมาล่ะหงุดหงิด  เงาบ้าอะไรทำไมไม่เป็นแค่เงาเฉยๆ!  ทำตัวเหมือนมีชีวิต  เหมือนเป็นฝาแฝดของผมอีกคน!  แถมยังขี้แหยสุดๆ!

พอๆ มาที่เพกานางฟ้าของบ้านเราดีกว่า  เพกาเป็นลูกหลงเนื่องจากพ่อกับแม่ที่ยังคงความหวานแหววของชีวิตคู่มายาวนานชวนกันไปฮันนีมูนครบรอบสิบห้าปี  น้ำผึ้งพระจันทร์หวานหยดเลยได้ลูกสาวมาเป็นของขวัญตอนอายุไม่น้อยแล้ว  เพกามีพลังที่สุดยอดมาก  คือปลูกต้นอะไรก็งอกงามและเติบโตอย่างรวดเร็ว  ผมเลยใช้น้องปลูกผักหลังบ้านวันเว้นวันครับ  ผักปลอดสารพิษเอาไว้ให้พ่อทำอาหาร

“พี่เป็นแมวอ้วน  เอ้ย  แมวดำนี่นานหรือยัง?”  ผมก้มถามก้อนขนสีดำ  พี่ไธม์พยักหน้า  ซวยละ!

ผมถอดเสื้อแขนยาวออกมาห่อตัวพี่ชายเอาไว้แล้วรีบวิ่งเข้าตรอกแคบที่ใกล้ที่สุดอย่างรวดเร็ว  พี่ไธม์สามารถกลายร่างเป็นสัตว์ที่แตะและคงรูปนั้นได้ประมาณสองชั่วโมง  แต่ก็ขึ้นอยู่กับหลายปัจจัย  ดังนั้นเพื่อความปลอดภัยผมพาพี่ชายเข้าตรอกก่อนเป็นอันดับแรกดีที่สุด   การมาเจอพี่ไธม์ที่นี่คงเพราะมาสืบอะไรแถวนี้  ก็เกี่ยวกับงานเขานั่นแหละ  โดยปกติพี่ไธม์จะไม่เดินเข้ามาในสถานที่พลุกพล่านเพราะไม่รู้ว่าจะกลับร่างคนตอนไหน  ผมมาเจอตรงนี้ได้คงเพราะพี่ไธม์หมดแรงเดินหลบคนแน่ๆ

ผ่านไปยี่สิบนาทีพี่ไธม์ยังคงอยู่ในร่างแมวดำอยู่  ผมเลยตัดสินใจอุ้มพี่ชายโบกมอร์เตอร์ไซค์รับจ้างกลับบ้าน  เร่งคนขับแล้วเร่งอีกจนเกือบโดนหมวกกันน็อคฟาดหัวตาย

“เฮ่อ~”  ผมถอนหายใจ  เข้าบ้านแล้วปลอดภัยหายห่วง!

ผมอุ้มพี่ไธม์ไว้ในอ้อมแขน  เตรียมเดินไปส่งแมวหลับที่ห้องนอนของฝ่ายนั้น สายตาเหลือบไปเห็นร่างขาวอวบของใครบางคนฟุบหลับอยู่ตรงโต๊ะ

‘อู้ว  นมคนนั้นต้องใหญ่มากแน่ๆ  เสื้อในลายลูกไม้หรือเปล่านะ  กางเกงในสีอะไรเอ่ย?’

“ว้ากกก  หยุดนะ  ไอ้ลามก!”  พี่ชายคนรองกระเด้งตัวลุกขึ้น  แก้มยุ้ยข้างหนึ่งเป็นปื้นแดงจากการกดทับ

“ฮ่าๆๆๆ”  ผมหัวเราะเสียงดัง  การแกล้งกระวานนี่สนุกชะมัด

“โป๊ยกั๊ก!”  พี่ชายคนรองถลึงตามองพร้อมยกมือเช็ดน้ำลายตรงแก้ม  โอ้โห  น่ากลัวมากๆ!

พี่ไธม์ผงกหัวขึ้นมามองเราสองพี่น้องแวบหนึ่งก่อนจะซุกเข้าหาความอบอุ่นแล้วหลับต่อ

“เดี๋ยวพาพี่ไธม์ไปนอนก่อน”

“เอ๊ะ  พี่ไธม์?”  กระวานมองแมวที่ผมอุ้มแล้วขยับเท้าเข้ามาใกล้อีกนิด  ปกติพี่ชายคนนี้ไม่ค่อยชอบสัตว์เท่าไหร่ยกเว้นเวลาพี่ชายคนโตของบ้านเกิดเหตุการณ์แบบนี้ก็จะเข้ามาคอยช่วยดูแล

“อืม  ฝากบอกพ่อทำอาหารให้พี่ไธม์ด้วยนะ  ท่าทางวันนี้คงใช้พลังงานไปเยอะ”  ใกล้สองชั่วโมงแล้วพี่ไธม์ยังไม่คืนร่างเลย  ผมส่งพี่ชายคนโตเข้าห้องนอนและรอเวลา 

...อาหารมื้อค่ำที่ครอบครัวอยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตาจะเริ่มในอีกไม่กี่ชั่วโมงข้างหน้า...








โปรดติดตามตอนต่อไป





Share This Topic To FaceBook
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 19-02-2019 20:25:30 โดย sine »

ออฟไลน์ sahatsawat

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 62
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [บทนำ]
«ตอบ #1 เมื่อ14-02-2018 23:50:43 »

จะตามงานพี่ทรายไปทุกเรื่องงงงงงงง  :hao7: :hao7:
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 14-02-2018 23:58:00 โดย sahatsawat »

ออฟไลน์ boonpa

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-9
 :hao3: น่าสนุกมากๆเลย ท่าจะเป็นครอบครัวอลเวง

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
เพิ่งอ่านเรื่องของกระวานไป วันนี้เรื่องของโป๊ยกั๊กมาแล้ว คิดว่าเรื่องที่เหลือคงเป็นเรื่องของพี่ไธม์สินะ รอติดตามทั้งสามเรื่อง ต้องสนุกแน่ๆ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ตามจากทางคุณพี่ทั้งสอง  :กอด1:

ออฟไลน์ no.fourth

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 888
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1

ออฟไลน์ sirin_chadada

  • เป็ดAphrodite
  • *
  • กระทู้: 4110
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +114/-8
รอตอนต่อไปค่ะ

ออฟไลน์ พันธุ์ไทย

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 64
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +1/-0
ปักๆๆๆ

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3

Secret Me  คนนี้ต้องลับ!
ตอนที่1
   



ช่วงเวลาเช้ามืดอากาศไม่ร้อนมาก  น้ำค้างบนยอดหญ้ายังคงเกาะตัวเป็นหยด  ผมชอบช่วงเวลานี้ที่สุด  และยิ่งชอบมากกว่าเดิมเมื่อคนในครอบครัวนอนหลับใต้ชายคาเดียวกัน

หมัดขวาพุ่งตรงเข้ามา  ผมเกือบหลบไม่ทันเพราะมัวคิดอะไรเพลินไปหน่อย  ดีที่ว่าสัญชาตญาณผมดีเลยหลบหมัดหนักๆ นั่นได้อย่างฉิวเฉียด  หรืออาจจะเป็นเพราะรู้ทางหมัดนี้ดีผมจึงหลบได้  ช่วงจังหวะนั้นผมปัดแขนคนตรงหน้าออกแล้วพลิกกายฟาดศอกใส่  ร่างสูงโปร่งกระโดดหลบว่องไว  ผมแสยะยิ้ม

“เล่นพี่ไธม์ไม่ได้สักที”

“เล่นฟาดมาเต็มแรง  ขืนไม่หลบพี่คงได้เลือด”  พี่ชายคนโตส่วยหัวยังคงมีรอยยิ้มประดับริมฝีปากไม่จาง  หากร่างกายกลับอยู่ในท่าเตรียมพร้อม  ผมอาศัยช่วงทีเผลอพุ่งเข้าไปอีกครั้ง  พี่ไธม์พลิกตัวหลบ  พริบตาเดียวก็ย้ายไปอยู่ด้านหลังผม  กำลังจะหันกลับไปแต่ต้องทรุดตัวเข่าข้างหนึ่งกระแทกพื้นเพราะโดนเตะข้อพับเข่า  ดีว่าพี่ชายดึงคอเสื้อด้านหลังไว้  ไม่อย่างนั้นคงหัวคะมำหน้าทิ่มพื้น

“อะไรกันเนี่ย  คราวก่อนก็แพ้  คราวนี้ยังไม่ชนะอีก”  ผมบ่นอุบ  ส่วนคนชนะน่ะหัวเราะลงคออย่างชอบใจ

“ขืนให้เราชนะพี่บ่อยๆ พี่ก็แย่น่ะซิ”  พี่ไธม์เดินไปหยิบผ้าขนหนูมาซับเหงื่อ  ยื่นอีกผืนส่งให้ผม

“ให้ผมได้ดีใจมั่งเหอะ  นี่อุตส่าห์ไปช่วยชมรมคาราเต้เอย  ไอคิโดเอย  งัดท่ารวมกันยังสู้พี่ไม่ได้ผมว่าจะเลิกไปช่วยชมรมพวกนี้แข่ง”

“งั้นไปลองชมรมมวยไทยอีกอย่างซิ  คราวหน้าพี่อาจจะยอมให้ชนะ” 

“งั้นแวะชมรมฟันดาบด้วยดีกว่า”  พี่ไธม์ยังคงหัวเราะอารมณ์ดี  อาจจะเพราะช่วงนี้งานไม่ค่อยเครียดมากและสามารถกลับมากินข้าวบ้านได้บ่อยๆ

“เอาล่ะหนุ่มๆ  กับข้าวเสร็จแล้ว  ไปอาบน้ำไป”  พ่อที่สวมผ้ากันเปื้อนสีชมพูหวานแหววยิ้มเต็มใบหน้า  แว่นตาจับฝ้าเล็กน้อยคงเพราะเพิ่งละจากหน้าเตามาทันทีที่ทำอาหารเสร็จ  คงกลัวลูกชายคนโตจะหนีไปทำงานไม่ได้กินอาหารเช้าเลยรีบวิ่งออกมา  ผมเดินไปหยุดตรงหน้าพ่อแล้วดึงแว่นตาออกมา  ยกชายเสื้อเช็ดแว่นจนใสจึงสวมกลับคืน

“ขอบใจโป๊ยกั๊ก”  พ่อยิ้มตาหยี  ผมก้มลงมองใบหน้าขาวของคนเป็นพ่อแล้วถอนหายใจ  อ้าปากจะเตือนว่าอย่ายิ้มแบบนี้เรี่ยราดเวลาออกไปนอกบ้านแม่ผู้ห้าวหาญก็เดินหาวหัวฟูมือเกาพุงตามออกมาอีกคน  ช่วยทำตัวให้เหมือนผู้หญิงหน่อยเถอะ!

“พ่อจ๋าวันนี้ทำอะไรกิน”  ไม่พูดเปล่ายังเข้ามากอดเอวพ่อเอาไว้  หอมแก้มไปอีกฟอด

“แม่จ๋าอย่าทำอะไรประเจิดประเจ้อซิ  ลูกอยู่ด้วยนะ”  พ่อหน้าแดงไปจนถึงใบหู

“อ้าว  อยู่ด้วยเหรอ?”

“....”  ผมกรอกตาให้พ่อกับแม่ ลูกสามลูกสี่แล้วยังมาสวีทวี้ดวี้วเหมือนคู่แต่งงานใหม่อยู่อีก ส่วนพี่ไธม์หัวเราะชอบใจไม่หยุด

“วันนี้ไธม์รีบไปทำงานหรือเปล่าลูก?”  พ่อที่ยังอยู่ในอ้อมกอดแม่เอ่ยถาม

“เข้าไปช่วงสายได้ครับ”

“ดีเลย  เช้านี้พ่อทำของโปรดให้ไธม์เต็มไปหมด”

ผมกับพี่ชายแยกกันเข้าห้องเพื่อไปอาบน้ำก่อนลงมากินข้าวเช้า  ผมถอดเสื้อ  ตาก็เหลือบมองก้อนผ้าห่มบนเตียงฝั่งตรงข้าม  กระวานยังคงหลับอุตุ  ฝันหวานไม่ยอมตื่น  ผมแสยะยิ้ม  เอาเสื้อชุ่มเหงื่อที่กำลังจะโยนใส่ตะกร้ามาถือไว้แล้วกระโจนขึ้นเตียงพี่ชายคนรอง  เลิกผ้าห่ม  เอาเสื้อเหม็นเหงื่อของตัวเองแปะลงบนหน้าขาวๆ ของกระวาน

1 2 3

“อื้อๆๆๆ”  ร่างนุ่มนิ่มดิ้นไปมา  มือขาวยกขึ้นตีอากาศก่อนจะวกกลับมาแปะอยู่บนมือผมแล้วหยิก!

“โอ๊ย!”

“ฮึ่ย  โป๊ยกั๊ก!”  กระวานเด้งตัวลุกขึ้นนั่งสูดอากาศเข้าปอด  ถลึงตามองผมอย่างแค้นเคือง  “กล้าดียังไงเอาเสื้อเหม็นเหงื่อนั่นมาโปะหน้าฉัน  รู้ไหมว่ามันสกปรก  เกิดเป็นสิวขึ้นมาจะทำยังไง?  อ๊า  แถมยังเหม็นอีกด้วย!”  ผมกรอกตาก่อนจะคว้าเสื้อที่ถูกโยนกลับมาเอาไว้ 

“ลุกได้แล้ว  ถ้าขืนยังสายจะไม่ได้กินข้าวกับพี่ไธม์นะ”

“พี่ไธม์จะอยู่กินข้าวด้วย?”

“อือ”  ผมตอบเสร็จก็วิ่งไปอาบน้ำ  กระวานที่ผุดลุกจากเตียงชะงักอยู่กับที่เพราะโดนแย่งห้องน้ำ

ปกติกระวานจะตื่นเข้าห้องน้ำคนแรกหรือถ้าเข้าทีหลังก็จะรอ  และทิ้งเวลาหลังจากผมใช้พักใหญ่ๆ เพื่อหลีกเลี่ยงบางสิ่งบางอย่าง  คราวนี้กระวานถึงกับยืนนิ่งเนื่องจากผมแย่งเข้าก่อนและเขาต้องรีบเข้าต่อทันที  ไม่อย่างนั้นขืนชักช้าพี่ชายคนโตของบ้านจะหนีไปทำงานเสียก่อน   เพราะงานของพี่ไธม์  พี่ชายคนโตอย่างเขาจึงกลับบ้านไม่ค่อยเป็นเวลา  บางทีหายไปสองสามวัน  บางครั้งหายไปเป็นเดือน  ดังนั้นช่วงเวลาแห่งครอบครัวจึงสำคัญมากสำหรับพวกเรา

ผมออกมาจากห้องน้ำ  กระวานเบ้หน้าใส่  เดินเตาะแตะไปหน้าประตูห้องน้ำแต่ไม่ยอมเข้าไป  หน้าขาวๆ หันมามองผม

“ทำไมไม่หันกระจกเข้าผนัง?”

“ไม่ได้ส่องหรอกน่า”

“จริงนะ?”

“อือ”  ผมพยักหน้ารับ  เช็ดผมลวกๆ  ควานหาเสื้อกับกางเกงมาสวม

1 2 3

“อ๊ากกกกกกกกกกกก”

ผมวิ่งออกจากห้องเมื่อได้ยินเสียงโหยหวนของกระวาน  พี่ไธม์ที่กำลังเดินออกมาจากห้องเลิกคิ้วเมื่อได้ยินเสียงนั้นด้วย  พี่ชายหรี่ตามองผม

“แกล้งอะไรกระวานอีกล่ะเรา?”

“กานพลูมันคิดถึง  เลยเปิดโอกาสให้ทักทายกันสักหน่อย”  พี่ไธม์ส่ายหัวแล้วเดินนำลงไปชั้นล่าง

กานพลูคือใคร?

กานพลูก็คือเจ้าเงาในกระจกของผมไง!

เมื่อกี้ตอนแปรงฟันลืมตัวไปส่องกระจกเข้า  เจ้านั่นเลยได้ทีออกมายิ้มแฉ่งโชว์ฟันครบสามสิบสองซี่ด้วยท่าทางดีอกดีใจแถมยังบอกว่าอยากเจอพี่ไธม์  ให้ผมเอากระจกมาวางข้างๆ ตอนกินข้าวได้ไหมอยากทักทายพูดคุยกัน  จะบ้าเรอะ!  ขืนเอากระจกมาวางกระวานคงช็อกคาโต๊ะกินข้าว  เออ  จะว่าไป  นี่คงไม่ช็อกคาห้องน้ำไปแล้วหรอกนะ?

“โป๊ยกั๊กกกกกกกกกกกก”

ผมกัดริมฝีปากล่างไว้อย่างสุดความสามารถเพื่อไม่ให้หลุดหัวเราะออกมา  กระวานที่ยังคงอยู่ในชุดนอนวิ่งหัวฟูลงมาจากชั้นบนพร้อมน้ำหูน้ำตานองหน้า

“ฮืออออ  พี่ไธม์  โป๊ยกั๊กแกล้งผม”  เจ้าตัวนุ่มนิ่มวิ่งไปกอดพี่ใหญ่ซบหน้าร้องไห้

“กานพลูมันคิดถึงพี่ไง  ผมเลยเปิดโอกาสให้ทักทายกัน”

“ไม่เอา!”  กระวานถลึงตามองผมทั้งๆ  น้ำตาไหลเป็นสาย  พ่อกับแม่มองหน้ากันพลางถอนหายใจ  ส่วนเพกานั่งยิ้มเป็นนางฟ้าสวยๆ  มองดูพวกเราส่งเสียงโวยวาย

“โป๊ยกั๊กอย่าแกล้งกระวานนักซิ”  พี่ไธม์ลูบหัวลูบหางปลอบใจกระวาน

“ดุอีก  พี่ไธม์ดุเจ้าเด็กหน้าแมวนี่เยอะๆ เลย!”  กระวานกอดพี่ไธม์ไม่ยอมปล่อย  ผมแสยะยิ้มแล้วเอ่ยประโยคที่ทำให้กระวานแทบร้องโหยหวน

“เดี๋ยวก็เอากระจกมาวางตั้งข้างๆ เสียหรอก”

“อย่านะ!”

“พอๆ  กินข้าวกันได้แล้ว  พ่อจ๋าตักอันนั้นให้แม่หน่อย”  แม่หันมาดุพวกเราสองพี่น้องก่อนหันไปอ้อนพ่อต่อ

ทำไมกระวานถึงกลัวกานพลูงั้นเหรอ  เพราะกระวานกลัวผีไง!  กานพลูเป็นเงาสะท้อนในกระจกของผมก็จริง  แต่หมอนั้นกลับมีชีวิตเป็นของตัวเอง เพียงแต่มีชีวิตอยู่ในกระจกเท่านั้น  วันไหนผมเผลอลืมตัวส่องกระจกหมอนั่นจะดีใจดี๊ด๊ามาก  พูดคุยไม่หยุดซ้ำยังรบเร้าให้ผมพาพี่น้องทุกคนมาเจอหน้ากันด้วย  กระวานกลัวผีมาก  ดังนั้นอะไรที่มันขัดกับสิ่งที่ควรจะเป็นอย่างกานพลูนั้นเขาจึงจัดให้อยู่ในประเภทเดียวกับผี  ตอนแรกผมก็หงุดหงิดนิดหน่อยที่พี่ชายคนรองเอาเงาผมไปรวมกับพวกผี  แต่คิดไปคิดมาผมก็ไม่ค่อยชอบหน้าเจ้ากานพลูนั่นสักเท่าไหร่  กระวานจะจัดหมอนั่นอยู่ในอะไรประเภทไหนก็ตามใจเถอะ

มีครั้งหนึ่งผมไปมีเรื่องกับเด็กช่างกล  ตาเขียวหัวแตกมา  เพราะไม่อยากให้พ่อเป็นห่วงเลยนั่งส่องกระจกทำแผลเอง  ไอ้เจ้ากานพลูนี่ไม่ค่อยให้ความร่วมมือเลย  พยายามจะออกจากกระจกมาทำแผลให้ผมทั้งๆ ที่เลือดอาบหัวเหมือนกันแท้ๆ  ขอโทษเหอะ  ถ้าหมอนั่นอยู่เฉยๆ ผมก็ทำแผลเสร็จแล้ว  คืนนั้นผมกินยาแก้อักเสบกับยาแก้ปวดก่อนเข้านอน  แต่เจ้ากานพลูนั้น....

ตกดึกกระวานกลับมาจากทำงานข้างนอกเห็นผมหลับไปแล้วเลยไม่กล้าเปิดไฟกลางห้อง  เพียงแค่เปิดไฟหัวเตียงสลัวๆ เท่านั้น  เขากำลังจะถอดเสื้อผ้าอาบน้ำหูพลันได้ยินเสียงสะอึกสะอื้นแผ่วเบาลอยมา

“ฮือออ  เจ็บ   เจ็บจังเลย”

“?”  กระวานเงี่ยหูฟัง

“กระวาน  เจ็บจัง”  เสียงสะอื้นนั้นยังคงคร่ำครวญไม่หยุด  กระวานขนลุกชันไปทั้งตัวก่อนจะร้องลั่นบ้าน

“ผีหลอก!”

เท่านั้นแหละครับ  ตื่นกันทั้งบ้าน  กานพลูร้องไห้สะอึกสะอื้น  พร่ำพูดแต่คำว่าเจ็บไม่หยุดปาก  ทุกคนจึงรู้ว่าผมไปมีเรื่องต่อยตีกับชาวบ้านมา ผมโดนพ่อดุไปยกใหญ่  ส่วนพี่ชายคนรองผมน่ะร้องไห้แข่งกับเจ้ากานพลูไม่หยุด  จะบ้าตาย  จากวันนั้นกระวานต้องหาผ้ามาคลุมกระจกเอาไว้เพราะไม่อยากขวัญผวาอีก

“แล้วเรื่องเรียนต่อว่าไง  เทอมหน้าก็จะจบแล้วนะ”  พ่อเอ่ยถามขณะตักกับข้าวใส่จานแม่

“ไม่รู้อ่ะ”  ผมยักไหล่

“ไม่รู้ได้ยังไง  อนาคตเราเองนะ”  พ่อขมวดคิ้วหากยังอ้าปากรับข้าวที่แม่ป้อน  เอิ่ม  ช่วยหยุดหวานเลี่ยนกันสักนาทีได้ไหม

“พี่โป๊ยกั๊กต่อสู้เก่ง  มีทักษะด้านนี้ไม่อยากลองไปทำงานกับพี่ไธม์บ้างเหรอคะ?”  เพกาถาม

“เป็นความคิดที่ดี”  ผมหันไปยกนิ้วโป้งให้น้องสาวตัวน้อย

“ยังไงก็ได้นะ  ถ้าโป๊ยกั๊กชอบ”  พี่ไธม์เลิกคิ้ว   ครู่หนึ่งกลับเปลี่ยนเป็นขมวดคิ้วแทน  ถึงปากจะบอกว่าตามใจผมหากอยากทำงานเหมือนพี่  แต่ผมรู้ว่าพี่ไธม์คงไม่ยินดีเท่าไหร่เพราะลักษณะงานที่อันตราย  พี่ชายคนโตของบ้านมักเป็นห่วงน้องๆ แบบนี้เสมอ  แล้วไม่คิดบ้างหรือไงว่าใครๆ ในบ้านเขาก็เป็นห่วงตัวเองเหมือนกัน

สุดท้ายเรื่องเรียนต่อของผมจึงจบลงแค่นั้น


*********


วันนี้เป็นวันอาทิตย์  ร้านหยุดหนึ่งวันเนื่องจากพ่อต้องไปซื้อของเข้าร้าน  บางอย่างต้องสั่งพิเศษเข้ามาจากเมืองนอกเพราะพี่ไธม์แพ้เนื้อสัตว์ทุกชนิด  อาหารทุกอย่างจึงจำเป็นต้องพิถีพิถันมากหน่อย

ร้านอาหารนี้สืบทอดมาจากคุณตา  เป็นร้านอาหารแนวฟิวชั่นชื่อร้าน ‘หิ้วปิ่นโต’ ตั้งอยู่แถบชานเมือง ผมคิดว่าถ้าร้านตั้งอยู่ในเมืองคงยุ่งยากหน่อยตรงที่จอดรถไม่พอ  หืม?  ผมหลงตัวเอง เอ้ย  เข้าข้างร้านตัวเองหรือ?  จะพูดอย่างนั้นก็ได้นะ  ตั้งแต่คุณตาจนมาถึงคุณพ่อของผมเนี่ย  ทำอาหารอร่อยมาก  ก.ไก่ล้านตัว  อร่อยจนพวกเราสี่พี่น้องกินข้าวนอกบ้านไม่ค่อยได้  อ้อ  เว้นพี่ไธม์หนึ่งคนเพราะภาระการงาน  พี่เขาจึงไม่ค่อยได้อยู่กินอาหารฝีมือพ่อเท่าไหร่  ตอนนี้ที่ร้านมีกระวานซึ่งตกงานมาคอยช่วย  แต่ไม่ได้ทำหน้าที่ในร้านนะครับ  ขืนทำคงได้ตีกับลูกค้าวันละหลายหนเพราะเสียงในใจของคนพวกนั้นจะรบกวนจนกระวานทำงานไม่ได้  ดังนั้นพ่อจึงมอบหน้าที่คอยส่งอาหารตามบ้านตามสำนักงานเวลามีการสั่งอาหารแบบเดลิเวอร์รี่

คุณตาผมเองก็มีพลังพิเศษนะ  สามารถแยกแยะกลิ่นเครื่องเทศต่างๆ ได้  ถือว่าเป็นข้อได้เปรียบชนิดหนึ่งตรงสามารถคัดสรรสิ่งดีๆ มีคุณภาพให้ลูกค้าได้  คุณตาคุณยายตอนนี้เหรอ  นู้น  ย้ายร้านไปอยู่แถวชายหาดแค่สองคนตายาย  หวานแหววไม่มีเด็กซนๆ อย่างพวกผมไปรบกวน  แถมท่องทะเลทุกวันหยุด  เหนื่อยก็พัก  ขยันก็ค่อยเปิดร้าน  อยู่แถวภาคใต้โน่นครับ  นี่ก็เป็นห่วงอยู่เหมือนกันว่าจะไปเตะตาพวกโจรใต้หรือเปล่า  กลัวร้านโดนบึ้มครับ

ร้านของเราพ่อเพิ่งปรับปรุงไปเมื่อไม่นานมานี้    เป็นโทนสีขาวมีโซนที่นั่งทั้งในและนอกร้าน  เลือกได้ตามสะดวกและตามความชอบของลูกค้า  ของประดับส่วนใหญ่เป็นสีชมพู  เพราะพ่อผมชอบสีชมพูมากกกก  จะว่าไปผ้าม่าน  ผ้าคลุมโต๊ะ  พวกนี้เป็นฝีมือพ่อผมทั้งนั้นแหละ  น่าภูมิใจนะครับที่พ่อผมเก่งเรื่องการบ้านการเรือน  เป็นผู้ชายสายหวานตรงข้ามกับแม่ผมเลย  รายนั้นสายห้าวครับ  มีบิ๊กไบท์อยู่หนึ่งคันไว้ขับไปทำงาน  นี่ผมคอยเล็งอยู่  คิดไว้ว่าสักวันจะยึดมาเป็นของตัวเองให้ได้

“โป๊ยกั๊ก!  นี่นายแกล้งฉันใช่ไหม!” เสียงดังโวยวายของกระวานทำให้ผมวางหม้อสตูว์ในมือลง  วันนี้ช่วงเช้าผมว่าง  ไม่ได้นัดเพื่อนที่ไหนจึงมาช่วยพ่อเตรียมครัวสำหรับวันพรุ่งนี้

“อะไรของนาย?”  กระวานวิ่งกระหืดหระหอบกอดตุ๊กตากระต่ายสีชมพูที่พ่อถักเอาไว้ในอ้อมกอด

“นายตั้งใจแกล้งฉัน!”  เจ้าตัวนุ่มนิ่มโวยวายไม่หยุด  ผมเท้าเอวมองรอให้อีกฝ่ายอธิบาย

“โวยวายอะไรแต่เช้า?”

“นายตั้งใจเปิดผ้าคลุมกระจกใช่ไหม?”  ผ้าคลุมกระจกคือผ้าที่กระวานจะเอาไปคลุมกระจกแต่งตัวบานยาวในห้องของเราสองคนเพื่อไม่ให้ผมเผลอส่องแล้วกานพลูโผล่ออกมาให้ขวัญผวา

“เช้านี้ฉันยังไม่ได้ส่องกระจกด้วยซ้ำ”

“ถ้านายไม่ส่องกระจกแล้วกานพลูจะโผล่ออกมาได้ไง?”  กระวานเท้าเอว  เอาดวงตากลมโตจ้องผม

“ก็บอกว่าไม่ได้ส่องไง!”  ชักเริ่มโมโหแล้วนะ! เจ้าตัวกลมนี่กำลังหาเรื่องผมหรือไง  เดี๋ยวปั๊ดฟัดให้จมเขี้ยว!

“ว่าไงเจ้าพวกตัวยุ่งทั้งหลาย”  แม่ผู้หาวันหยุดได้ยากยิ่งกว่าการงมเข็มในมหาสมุทรโผล่หน้าออกมาจากประตู  ไม่บอกก็รู้ว่าเพิ่งออกเวรมาเพราะขอบตาดำปี๋

“เมื่อคืนนี้ยุ่งหรือครับ?”  ผมถาม  ส่วนกระวานวิ่งไปเอาแก้วน้ำเย็นมาให้แม่

“นิดหน่อย  ว่าแต่นายคนข้างหลังจะเอาน้ำด้วยไหม?”  แม่หันไปถามความว่างเปล่า  ผมมองตามแต่ไม่เห็นอะไรสักอย่าง

“หวา!”  พ่อที่ยิ้มร่าเข้ามาพร้อมโจ๊กเห็ดหอมผวาถอยหลังแล้วหลับตาปี๋  “แม่จ๋าพกใครมาด้วย!”

“อ้อ  พอดีเมื่อคืนมีเคสยิงกันตายมาน่ะ”  แม่ผู้ห้าวหาญยักไหล่ ส่วนพ่อผู้แสนบอบบางของผม  โน่น  มุดอยู่หลังเค้าท์เตอร์

“ทำไมแม่จ๋าไม่แวะอาบน้ำแล้วเข้าห้องพระก่อนล่ะ?”     พ่อผมส่งเสียงแต่ไม่ยอมโผล่หน้ามา

“แว้บไปอาบแต่เช้ามืดแล้ว  แต่คนนี้เคสด่วน  พอเสร็จก็รีบมาเลย  แม่คิดถึงพ่อไง”  ไม่พูดเปล่าแต่แม่กระโจนเข้าไปกอดพ่อที่อยู่หลังเค้าท์เตอร์แนบแน่น  ได้ยินเสียงร้องโหยหวนของพ่อแล้วอดสงสารไม่ได้  ผมไม่รู้จะเรียกพลังของแม่ว่าอะไรดีในเมื่อมันสร้างความหวาดหวั่นและความเดือดร้อนให้คนรอบข้างแบบนี้

พลังวิเศษของแม่คือ  การเห็นและพูดคุยสื่อสารกับสิ่งลี้ลับที่คนอื่นไม่อยากเห็น  สิ่งที่คนทั่วไปเรียกว่า ผี นั่นแหละครับ  ตอนนี้พ่อคงรู้สึกว่าแม่พกเจ้าสิ่งนั้นเข้ามาในร้านด้วยถึงหลบไปซะไกลขนาดนั้น

“อีกเดี๋ยวน่า  ไหน  พ่อมาให้แม่หอมแก้มให้ชื่นใจหน่อยดิ๊”

“ว้ากกกกกกกก”

“สรุปว่ายังไง?  จะรับหรือไม่ยอมรับ?”  ผมละสายตาจากคนสูงวัยที่กำลังนัวเนียกันคู่นั้นมามองพี่ชาย

“ก็บอกว่าไม่ได้ส่องกระจกไง”  ตื่นลืมตามาล้างหน้าก็วิ่งมาช่วยพ่อเตรียมของแล้ว  อีกอย่างกระวานน่าจะรู้ว่าผมไม่ชอบส่องกระจก

“พูดถึงเรื่องกระจกในห้องลูกอยู่หรือ?”  แม่ฝากรอยจูบไว้บนแก้มพ่อได้สำเร็จจึงหันมาหาพวกเราสองพี่น้อง

“ครับ  กระวานหาว่าผมแกล้ง”  เจ้าตัวกลมทำแก้มป่องเตรียมฟ้องแม่เต็มที่แต่ผมชิงฟ้องก่อน

“อือ  อันที่จริงแล้วแม่เองแหละ”

“หืม”  ผมกับกระวานขมวดคิ้วมองแม่พร้อมกัน

“เมื่อเช้าแม่แวะเข้าบ้านมาแล้วทีนึง  เห็นลูกๆ หลับกันสบายแม่เลยแอบเอาผ้าคลุมกระจกนั่นออก  เผื่อโป๊ยกั๊กจะเผลอส่องไง  แล้วก็ออกไปดูเคสโดนยิงนี่  แบบว่าแม่คิดถึงกานพลูอ่ะ”

“กานพลูมันเงาผมนะ”  ผมตีหน้าบึ้งใส่แม่

“แต่กานพลูน่ารักกว่าโป๊ยกั๊ก”

“แม่!”

“กานพลูไม่ดื้อ  คราวก่อนยังไปช่วยแม่ซื้อไหมพรมสีชมพูให้พ่อเลย”  แม่พูดปากก็ยิ้มกว้าง  กระวานเผลอพยักหน้าเห็นด้วยกับคำพูดนั้น

“แม่!”

“โอ๋ๆ  สุดหล่อของแม่ไม่น้อยใจนะคะ  จะคนไหนแม่ก็รักเท่ากันหมดแหละ”  แม่เข้ามาลูบแก้มลูบหัวเอาใจ

“สรุปว่าแม่ไปเปิดผ้าคลุมกระจก  แล้วโป๊ยกั๊กเข้าห้องไปเปลี่ยนเสื้อโดยไม่รู้ว่ากระจกถูกดึงผ้าคลุมออก  กานพลูเลยโผล่ออกมา  ผมที่ซวยตื่นสายกว่าจึงเจอกานพลูส่งเสียงอรุณสวัสดิ์ทักทาย?”

“ตามนั้นแหละจ้า”  แม่ยักไหล่  “งั้นแม่รีบไปคุยกับกานพลูก่อนนะ  เดี๋ยวหายไปละจะแย่”  กานพลูจะอยู่ได้ประมาณครึ่ง-หนึ่งชั่วโมงหลังจากผมส่องกระจก  ความจริงก็ขึ้นอยู่กับเวลาด้วยแหละ  ถ้าผมส่องกระจกนานหมอนั่นก็อยู่ได้นาน  ก่อนจะหายไป  และกลับมาตอนผมส่องกระจกอีกครั้ง

ผมถอนหายใจเมื่อทุกอย่างคลี่คลาย  กระวานดูยังขวัญเสียนิดหน่อยจากกานพลูผู้ร่าเริงและเคสที่ตามติดแม่มา  ผมเดินตรงไปยังหลังร้าน  เห็นร่างเล็กๆ  กำลังใช้พรวนอันน้อยขุดดินอย่างขะมักเขม้น  มีถังเมล็ดผักวางอยู่ข้างตัว  เรือนผมสีดำขลับยาวถึงกึ่งกลางเอวถูกรวบไว้ด้วยยางมัดผมเส้นเล็ก  ดวงหน้าขาวมีรอยยิ้มแต้มดูสดใส

เพกา  น้องสาวคนเล็กของบ้านผู้เป็นแก้วตาดวงใจ  เป็นนางฟ้าตัวน้อยๆ ของบ้านเรา  พลังพิเศษของเพกานั้นน่าชื่นชม  และทุกครั้งที่เห็นผมจะรู้สึกสงบ  สดชื่น   ผมยืนมองความมหัศจรรย์ของมือคู่นั้นเงียบๆ

เมล็ดผักถูกหยอดลงไปในหลุมที่เพกาขุด  มือเล็กกวาดดินฝังกลบ  คว้าฝักบัวรดน้ำจนชุ่มฉ่ำ  อึดใจต่อมาใบสีเขียวก็แตกยอดอ่อนโผล่พ้นผืนดิน....อาบน้ำค้างหนึ่งคืนพรุ่งนี้ก็เก็บเกี่ยวได้แล้ว

ผมเดินไปแย่งพรวนอันเล็กมาจากเพกา  น้องสาวเงยหน้าขึ้นมองพร้อมรอยยิ้ม  ผมขุดดินไปจนสุดแปลง  ส่วนเพกาก็หยอดเมล็ดผักตามหลังรวดเร็ว  จากนั้นผมจึงเติมน้ำใส่บัวรดน้ำ  รอให้นางฟ้าของบ้านเป็นคนรด

กริ๊ง~

ผมก้มลงมองกระพรวนลูกเล็กบนคอเจ้าแมวดำตัวเขื่องที่เดินนวยนาดเข้ามาหา  อ้อ  นี่ไม่ใช่พี่ไธม์ในร่างแมวนะ  เจ้านี่คือ  เจ้าหญิง  เอ่อ  ผมหมายถึงแมวตัวนี้ชื่อเจ้าหญิง  แมวเพศผู้สีดำ  ขาทั้งสี่มีสีขาวคล้ายสวมถุงเท้า  เชือกผูกกระพรวนสีชมพูหวาน

แมวเพศผู้  ชื่อเจ้าหญิง

อยากรู้ไหมครับว่าใครตั้งชื่อให้

พ่อผู้แสนอ่อนโยน  แสนอ่อนหวานและคลั่งสีชมพูของผมนั่นไง!

ตอนเจ้าหญิงหลงมาบ้านเราตัวยังเล็กๆ อยู่เลย  ตอนนั้นไม่มีใครรู้ว่าเจ้านี่เป็นตัวผู้หรือตัวเมีย  แต่พ่อผู้แสนซื่อของผมปักใจไปแล้วครับว่าเป็นตัวเมีย  หนำซ้ำยังตั้งชื่อว่าเจ้าหญิงอีกต่างหาก  ถักเชือกร้อยกระพรวนเป็นโบว์สีชมพูผูกคอเจ้าหญิงด้วยตัวเองอีกต่างหาก  กว่าจะรู้ว่าผิดพลาดก็ตอนไข่ของเจ้าหญิงโผล่แพลมออกมาให้เห็น...

ผมก้มตัวลงอุ้มเจ้าหญิง  เกาคางเจ้าก้อนขนแผ่วเบา  มันหลับตาพริ้มคล้ายเคลิบเคลิ้ม  อา  น่ารักเป็นบ้า!

“คิก~”  ผมเบิกตาโพลงเมื่อได้ยินเสียงหัวเราะของน้องสาวสุดที่รัก  “พี่โป๊ยกั๊กนี่ชอบแมวเอามากๆ เลยนะคะเนี่ย”

“นี่เป็นสิ่งมีชีวิตที่น่ารักที่สุดในโลก  อ้อ  รองจากเพกา”  ผมขยิบตาให้น้องสาว

“ไม่ต้องมาปากหวานหรอกค่ะ  หนูรู้ว่าพี่น่ะเป็นทาสแมวเหมือนคุณพ่อ”  ผมหัวเราะชอบใจเมื่อน้องสาวพูดจบ

“จริงซิ  เย็นนี้พี่จะไปเล่นบาสกับพวกภูธเรศนะ” ภูธเรศคือเพื่อนสนิทผมครับ  ชื่อเล่นชื่อภู  ตอนเพกาย้ายมาเรียน มอ.ต้นใหม่ๆ  หมอนี่เคยจีบน้องสาวผมด้วย  แต่ผมชกมันจนหน้าหงาย  จากนั้นมันก็ไม่กล้าจีบน้องสาวผมอีกเลย  สำหรับผม  น้องกับเพื่อนสำคัญพอๆ กันแหละครับ  แต่เพื่อนเสือกมาจีบน้องผมไง ความสำคัญระดับสิบเลยเหลือศูนย์


**********

“มึงรู้จักไอ้ ‘ครับ’ ห้องสองป่ะ?”  ผมเช็ดเหงื่อ  หยิบขวดเกลือแร่ที่พ่อผสมแช่เย็นมาให้ยกขึ้นดื่ม

“ใครวะ?”

“คนที่สอบได้คะแนนอันดับหนึ่งของโรงเรียนเราตลอดๆ ไงวะ”

“...”  ผมพยายามนึกหน้าของไอ้ ‘ครับ’ นี่ยังไงก็นึกไม่ออก  “เออ  ช่างแม่งเหอะ  แล้วทำไม  มึงพูดถึงมันทำไม?”

“กูได้ยินว่ามันไปพัวพันกับคนไม่ดี  วันก่อนมีคนเห็นมันไปยุ่งกับพวกไอ้เปรี้ยวด้วย”

‘ไอ้เปรี้ยว’  คือเด็กช่างกลที่โรงเรียนอยู่ห่างออกไปไม่ไกล  เด็กช่างกลคนอื่นก็นิสัยดีนะครับ  มองแบบไม่อคติอะไรเลย  มีแต่ไอ้หมอนี่แหละ  ที่ทำให้สถาบันเสื่อมเสีย  ไอ้เปรี้ยวมันเล่นยา  วันดีคืนดีขาดเงินก็เปลี่ยนจากผู้เสพเป็นผู้ขาย  นี่ผมก็คอยส่งข้อมูลให้พี่ไธม์เป็นระยะๆ  อยากกำจัดพวกหนักแผ่นดินพวกนี้ให้หมดไปเสียที

น้ำบ่อไม่ยุ่งน้ำคลองผมกับมันไม่ยุ่งเกี่ยวกัน  เขตนี้ไม่มีหัวหน้าหรือหัวโจกคุมโรงเรียน  ไม่เข้าใจว่าเวลามีเรื่องทีไรทำไมต้องมาตามผมทุกที  ส่วนไอ้เปรี้ยวมันคุมฝั่งนั้นแต่ถ้าช่วงนี้มันก้าวขาเข้าในเขตโรงเรียนผมผมคงอยู่เฉยไม่ได้  แม้ผมจะไม่รู้จักกับไอ้ ‘ครับ’ อะไรนี่ก็เถอะ

“ตายยากชิบหา-ย  พูดถึงก็มานั่น”

“หืม?”  ผมมองตามนิ้วภูธเรศ  เห็นเด็กผู้ชายผิวขาวซีด  ร่างผอมสูงโย่งคนหนึ่งหอบหนังสือที่คงยืมมาจากห้องสมุดเดินผ่านสนามบาสไป  ผมหรี่ตามอง  กวาดสายตาว่ามีใครมารอหมอนั่นหน้าโรงเรียนหรือไม่

“ตามมันไปป่ะ?”  ไอ้ภูสะกิดไหล่ผม

“มึงเปลี่ยนชื่อเป็นเสือกตั้งแต่เมื่อไหร่ไอ้ภู?”

“มึงอ้ะ!”  มันสะบัดหน้าสะบัดตูดใส่ผมแล้วเดินไปซบไอ้ดิน ทำท่าฟูมฟายอ้อนผัวมันใหญ่  ไอ้ดินหรือบดินทร์  เป็นเพื่อนสมัยเด็กของไอ้ภู  มาสนิทกับผมตอน มอ.ต้นเหมือนกัน

ไอ้ภูแอบชอบไอ้ดินมาตั้งแต่ตีนเท่าฝาไห  จนตอนนี้ฝาไหเล็กกว่าฝ่าตีนแล้วไอ้ดินยังไม่รู้เรื่องอะไรเลยครับ  จะว่าไปก็น่าสงสารไอ้ภูมันนะครับ  แอบรักคนซื่อบื้ออย่างบดินทร์  ชาตินี้มันจะสมหวังไหม?  ช่างเถอะๆ  ถ้าไอ้ภูมันจนหนทางเมื่อไหร่คงมาขอความช่วยเหลือเองแหละ

ว่าแต่  ไอ้ ‘ครับ’  มันเดินไปทางไหนแล้ววะ?











ติดตามตอนต่อไป



สวัสดีค่ะ  เอาพี่โป๊ยห้าวเป้งมาส่งค่ะ  ฝากพี่โป๊ยไว้ในอ้อมอกอ้อมใจของทุกคนด้วยนะคะ
จะพยายามเอาพี่โป๊ยมาส่งอาทิตย์ละตอนนะคะ  มีอะไรติชมกันได้เสมอค่ะ ^^
« แก้ไขครั้งสุดท้าย: 21-02-2018 16:33:07 โดย sine »

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ตอนที่อ่านบทนำนึกว่าโป๊ยจะเป็นนายเอก แต่พอมาอ่านตอนนี้แล้วคงต้องเปลี่ยนความคิด แมนเหลือเกินเท่เหลือเกินค่ะ

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3


Secret Me  คนนี้ต้องลับ!
ตอนที่2





   “ว่าไงเตวิช”  ครูบัวเผื่อนขยับแว่นตาหนาเตอะเอ่ยทักขณะที่เราเดินสวนกัน  เธอเป็นครูที่ปรึกษาของห้องผม  เมื่อเช้าในวิชาโฮมรูมเธอไม่ได้เข้าครับเราเลยไม่ได้คุยเรื่องเรียนต่อ
   
“เตวิส”  ผมฉีกปาก  โชว์ฟันขาวสะอาดเพื่อออกเสียง ส. เสือให้ชัดเจน

“เตวิช”  ครูบัวเผื่อนกลับห่อปากเล็กน้อยเพื่อออกเสียง ช.ช้าง   ผมเคยเถียงกับครูบัวเผื่อนเรื่องตัวสะกดชื่อของผมตั้งแต่ มอ.หนึ่ง จนตอนนี้จะจบ มอ.หก อยู่แล้ว

“ชื่อผมเป็นภาษาสก๊อตติชครับTEVIS  ไม่ใช่ภาษาสันสกฤต”

“ช่างเถอะ  ครูถนัดเรียกแบบสันสกฤตมากกว่า” ครูบัวเผื่อนยักไหล่  เออ  แล้วผมมาเสียเวลาเถียงกับครูเขาทำไมเนี่ยในเมื่อยังไงครูเขายืนยันจะเรียกผมตามฉบับความเชื่อของตัวเอง  ฮ่วย!

“ผมไปนะครับ  ไอ้ภูรออยู่”  ผมยกมือไหว้

“แล้วอย่าลืมมาบอกครูด้วยนะว่าจะเข้าเรียนอะไร  ดูที่ไหนไว้”  ผมเบ้หน้า  “ไม่ต้องมาทำหน้าอย่างนี้เลย  ครูกลายเป็นคนขี้เสือก  เพราะเป็นห่วงพวกเธอทั้งนั้น”

“หืม  ผมพูดในใจครูได้ยินได้ไงครับ?”  ผมเบิกตาโต

“นายเตวิช!”

“ผมล้อเล่นคร้าบ!”  ผมยกมือไหว้ครูบัวเผื่อนแล้วถือโอกาสวิ่งหนีออกมา

ยากจังเลยน้า  เรื่องเรียนต่อเนี่ย



“พี่โป๊ยกั๊ก”  ผมหันไปตามเสียงกระซิบเรียก  เพกา  นางฟ้าคนสวยของผมยืนแอบอยู่ข้างประตูพลางชูปิ่นโตข้าวสีชมพูหวานแหววในมือให้ดู  “พี่ลืมปิ่นโต”  น้องสาวยิ้มซุกซนแล้วยื่นปิ่นโตมาให้  ผมเหลือบมองครูที่สอนอยู่หน้าห้องแล้วรับปิ่นโตมาพร้อมกับส่งจูบด้วยท่าทางทะเล้นจนเพกาหัวเราะคิกคัก

ใช่ครับ  ผมนั่งอยู่หลังห้องติดประตู  ตอนนี้ใกล้เวลาพักเที่ยงของเด็กฝั่ง  มอ.ปลาย  ส่วน  มอ.ต้นพักช่วงสิบเอ็ดโมงและกำลังจะเข้าเรียน  น้องจึงรีบวิ่งเอาข้าวมาส่งให้ก่อนที่ผมจะลงไปซื้อข้าวกินเองที่โรงอาหาร  ไอ้ภูเห็นปิ่นโตข้าวผมถึงกับเบิกตาโตอีกทั้งยังส่งสายตาล้อเลียนไม่หยุด

“มึงเอาปิ่นโตข้าวมาด้วย  หนำซ้ำยังให้เพกาคนสวยมาส่ง”

“จะแดกไม่แดก?”

“แดกคร้าบบบบ”  ไอ้ภูรีบบีบแขนผมเพื่อเอาใจ  อาหารที่ผมเอามามักเป็นลาภปากไอ้ภูกับไอ้ดินเป็นประจำ  มันบอกว่าร้านข้าวทุกร้านในโรงเรียนสู้ฝีมือพ่อผมไม่ได้เลย  เสาร์-อาทิตย์เวลาแวะไปหาผมที่บ้านก็วิ่งโร่ไปฝากท้องกับพ่อผมถึงร้านอยู่บ่อยครั้ง

อย่างที่เคยบอกว่าพ่อผมทำอาหารอร่อยมาก  พวกผมจึงกินอาหารฝีมือคนอื่นไม่ค่อยได้  ตอน  มอ.ต้นผมเคยอายนะที่ต้องหิ้วปิ่นโตมาโรงเรียน  เพราะเดี๋ยวนี้ไม่มีโรงเรียนไหนที่นักเรียนห่อข้าวมากินกันแล้ว  ผมปฏิเสธปิ่นโตเถาเล็กที่พ่อยื่นส่งให้เพราะอายเพื่อนๆ  ตอนนั้นทุกคนล้อว่าผมเป็นคุณหนูบ้างล่ะ  เด็กไม่ยอมโตบ้างล่ะ  เด็กติดพ่อบ้างล่ะ  ผมเลยปัดมือพ่อพร้อมปิ่นโตออก  แล้วตอนกลางวันก็ไปไล่ตีไอ้พวกปากมอมที่มาล้อผม  เสร็จก็ไปกินข้าวต่อ  หลายวันเข้าผมถึงได้สำนึกเสียใจ...  อาหารที่ไหนก็ไม่อร่อยเหมือนที่พ่อทำ 

ตกเย็นหลังเลิกเรียนของอาทิตย์ถัดมาผมเข้าไปกอดเอวพ่อ  ขอโทษที่ปัดมือพ่อออกและปฏิเสธอาหารของพ่อ  ตอนนั้นพ่อถึงกับร้องไห้เป็นเผาเต่า  น้ำมูกน้ำตาเปรอะหน้าไปหมด  ผมยกชายผ้ากันเปื้อนที่อยู่บนตัวพ่อมาเช็ดหน้าให้  แม่ที่ไม่รู้ว่าแอบอยู่ตรงไหนของร้านเดินเข้ามาเขกหัวผมเต็มแรง  โทษฐานทำให้สุดที่รักของแม่เสียใจและร้องไห้  แม่บอกว่าพ่อเสียใจมากเพราะผมไม่ยอมกินอาหารที่พ่อทำ  ทั้งๆ ที่พ่อตื่นแต่เช้า  คัดสรรวัตถุดิบดีๆ มาทำอาหารให้ลูกๆ ทุกคนได้กิน 

จากปิ่นโตเถาเล็กเลยขยายขนาดใหญ่ขึ้นมาอีกหน่อย  อัดแน่นอาหารเต็มปิ่นโตสามชั้น  ทำไมถึงขยายขนาดปิ่นโตเหรอ?  ดูปอบสองตัวที่มันกำลังจกข้าวผมซิ

“ไอ้กั๊ก”  ผมเหลือบตามองไอ้ภู  มันเรียกชื่อแบบย่อซะจนผมอยากเตะมันอีกรอบ

“อะไร?”

“ทำยังไงดีวะมึง?”

“อะไรของมึง?”  ผมขมวดคิ้วมองเพื่อนพลางดูดน้ำลำไยไปด้วย  ไอ้ภูคนขนมหวานในถ้วยไม่ยอมตักเข้าปาก  ส่วนไอ้ดินขอตัวไปห้องสมุดเพื่อหาหนังสือไปอ่านคืนนี้

“ก็ไอ้ดินอ่ะ  มันจะสอบหมอ”

“แล้วไง?”

“มึงก็รู้ว่ากูโง่  จะให้กูไปสอบหมอตามมันคงไม่ไหว  แต่กูไม่อยากแยกจากมันไง!”  ผมขมวดคิ้วอีกรอบ

“รู้ด้วยว่าตัวเองโง่?”

“ไอ้กั๊ก!”

“อ่ะๆ  ไม่เล่นแล้วก็ได้”  ไอ้ภูค้อนตาแทบกลับผมเลยยอมหยุด

“กูจะทำยังไงดี?  ตามมันไปดีไหม?  หรือจะยอมให้มันจบแบบนี้วะ?”  เห็นหน้าตาเศร้าๆ ของมันแล้วอดสงสารไม่ได้  ผมลูบหัวทุยของมันปลอบใจ

“มึงก็เข้าคณะที่มึงสามารถเข้าได้ดิวะ”

“แต่..กูอยากอยู่กับมัน...”

“ถึงจะคนละคณะแต่มหาวิทยาลัยเดียวกัน  หอเดียวกันก็ได้นี่หว่า  ไม่ยาก”

“แต่..ถ้าเกิดมันไม่อยากอยู่กับกูล่ะ?”

“มึงถามมันแล้วเหรอ?”

“ยัง”

“มึงยังไม่ลองแต่เสือกยอมแพ้ตั้งแต่ไม่เริ่มเนี่ยนะ?”

“ก็...”

“โถ  ไอ้ภูธเรศควายน้อยของกู”  คว้าคอมันมากอด  กดหัวให้ดมรักแร้แม่ง!

“พวกมึงทำอะไรกัน!”

“หืม?”  ผมลดมือลงจากหัวไอ้ภูปล่อยมันเป็นอิสระทันทีที่ได้ยินเสียงไอ้ดิน  มันหอบหนังสือมาสองสามเล่ม  ตาเรียวๆ ชั้นเดียวของมันจ้องผมกับไอ้ภูเขม็ง  บดินทร์มันหน้าตาดีนะครับ  หล่อตี๋  สูงยาวเข่าดี  หุ่นนายแบบ  ฉลาด  รวย  เล่นกีฬาเก่ง  สเป็คสาวๆ เขาล่ะ  แต่ผมไม่เคยเห็นมันคบกับสาวคนไหนเลยนะ  เพราะมันดุมาก  ที่มันใจดีด้วยมีแค่น้องสาวมันละมั้ง  อ้อ  ไอ้ภูด้วยอีกคน  ถึงแม้ว่ามันสองคนจะตีกันบ่อยๆ  แต่เท่าที่เห็น  ผมว่าไอ้ดินใจดีกับไอ้ภูมาก

“พอดีกูมีเรื่องปรึกษาโป๊ยกั๊กมันนิดหน่อย”

“ปรึกษาอะไร  แล้วทำไมไม่รอพูดตอนกูอยู่ด้วย”  ไอ้ดินยัดหนังสือเล่มหนาหนักทั้งหมดใส่ไอ้ภูให้รับแทบไม่ทัน

“พูดตอนมึงอยู่ด้วยเดี๋ยวมึงได้ด่ากูอีก”

“พูดตอนกูไม่อยู่กูก็จะด่ามึงอยู่ดี  บอกมาว่าเรื่องอะไร?”

“ก็...เรื่องเรียนต่อ”  ไอ้ภูก้มหน้าเป็นหมาหงอยเมื่อโดนดุ  ผมมองท่าทางของมันสองคนแล้วผิวปากหวือ  โถ  ไอ้ภู  เหี่ยวเป็นผักเลย  ผมเหลือบมองหนังสือในมือคนข้างๆ ที่ไอ้ดินไปยืมมา  ไอ้ดินมันเรียนกวดวิชาตั้งแต่  มอ.ต้นแล้ว  หนังสือพวกนี้มันไม่จำเป็นต้องยืมมาอ่านเลยด้วยซ้ำ 

“เย็นนี้ไปบ้านกู  กูจะติวให้”

“แต่...”  ไอ้ภูลังเลกับคำสั่งของไอ้ดิน

“มึงนี่  โง่แล้วยังจะกี้เกียจเรียนอีก”  ผมผลักหัวเพื่อนไปทีหนึ่งอย่างหมั่นไส้

“กูไม่ได้โง่!”

“ไหนเมื่อกี้ยังว่าตัวเองโง่อยู่เลย?”  มันทำปากบิดเป็นตูดใส่ผม  ไม่ได้น่ารักเลยขอบอก  ภูธเรศมันสูงพอๆ กับบดินทร์นั่นแหละ  เตี้ยกว่าผมแค่คืบเดียว  ภูธเรศมันเป็นเด็กกิจกรรมชอบเล่นกีฬากลางแจ้ง  ผิวมันเลยออกสีแทน  ถึงอย่างนั้นผิวมันกลับเนียนมากไม่หยาบกระด้างเหมือนผม  ขนก็แทบไม่มี  แล้วช่วงก่อนมันบ้ากล้ามมาก  พยายามสร้างซิกแพ็กมาอวด  ไอ้ดินไม่เอ่ยชมสักคำมันเลยล้มเลิกความตั้งใจ

“โง่นิดเดียว!”

“เออๆ”  ผมละหน่ายมัน



วันนี้หลังเลิกเรียนกลับบ้านพร้อมเพกาโดยมีกระวานมารับ  ผมกระโดดเข้ารถปิดประตูกดล็อครวดเร็วไม่ยอมให้คนข้างหลังดึงเปิดได้

“เฮ้ย  โป๊ยกั๊ก มึงช่วยชมรมกูหน่อยซิวะ  เดือนหน้าจะมีแข่งแล้วด้วย”

“กูไม่ว่าง  ต้องไปอ่านหนังสือสอบ”  ผมไม่เหลือบมองคนที่พยายามดึงประตูรถอย่างเอาเป็นเอาตาย  ไอ้เอก  ประธานชมรมคาราเต้  แม่งขี้ตื๊อมาก  ผมปฏิเสธมันมาเป็นอาทิตย์แล้วมันยังไม่ยอมล้มเลิกความตั้งใจจะเอาผมไปลงแข่งอีก  ให้แข่งเล่นๆ เป็นคู่ซ้อมหรือแข่งกับมหาวิทยาลัยอื่นนี่ผมช่วยได้นะ  แต่การแข่งระดับเขตนี่ขอบายละกัน  ขืนผมยอมไปช่วยตามที่ไอ้เอกขอ  คนในชมรมที่อยากแข่งจริงๆ ได้เขม่นและเกลียดขี้หน้าผมแน่ๆ

“น้องเพกาคนสวยจ๋า  ช่วยพี่เอกพูดกับพี่ชายหน่อยซิคะ”  กล่อมผมไม่ได้เลยหันไปทางน้องสาวผมแทน  เพกากำลังจะเปิดประตูรถชะงักกึกทันที  กระวานที่อยู่หลังพวงมาลัยขมวดคิ้วมองไอ้เอกอย่างไม่พอใจ

“เพกาว่าที่พี่โป๊ยกั๊กปฏิเสธคงมีเหตุผล”

“หืม?”  ไอ้เอกเลิกคิ้ว

“ปกติเวลาพี่เอกมาขอให้พี่โป๊ยกั๊กช่วยพี่เขาไม่เคยปฏิเสธสักครั้ง  แต่การแข่งระดับเขตครั้งนี้ทำไมพี่โป๊ยกั๊กถึงบอกปัด  เพกาว่าพี่เอกน่าจะเข้าใจนะคะ”  ไอ้เอกยืนนิ่งเป็นตอไม้  เพกาถือโอกาสนั้นเปิดประตูรถขึ้นมานั่ง  กระวานที่รออยู่แล้วรีบออกรถรวดเร็ว

“นี่ถ้ามันยื้อเพกาไว้อีกนาทีเดียว  ฉันจะลงไปชกมันแน่”

“ไอ้เอกเป็นหัวหน้าชมรมคาราเต้”

“...ฉันพูดผิด  หมายถึงห้านาที  เอ่อ  หรือยังเกาะแกะไม่เลิก”

“...”  ผมกรอกตา  ส่วนเพกาหัวเราะคิกคักเมื่อได้ยินคำพูดของกระวาน 

เจ้าตัวนุ่มนิ่มนี่อวดเก่งไม่เข้าเรื่อง!

**********

วันนี้พี่กอล์ฟเด็กเสิร์ฟที่ร้านลาป่วยไปผมจึงต้องมาช่วย    นอกจากรสชาติอาหารที่ทำให้ลูกค้าติดใจแล้ว  ส่วนหนึ่งก็มาจากเด็กเสิร์ฟหน้าตาดีทั้งสองคนของร้านเราอย่างพี่กอล์ฟพี่ไนท์  เดือนหน้าผู้ช่วยเชฟอย่างพี่ซันก็จะขอลาหยุดยาวไปเที่ยวกับแฟน  พ่อกำลังกลุ่มใจอยู่เนื่องจากยังหาคนมาช่วยไม่ได้  ส่วนกระวานน่ะเพราะหูดีเกินไปจึงทำหน้าที่ที่มีคนเยอะแยะพลุ่กพล่านแบบนี้ไม่ไหวเลยคอยส่งอาหารเดลิเวอร์รี่แทนการเสิร์ฟในร้าน

“นี่แก  แกว่าเขามีแฟนยังอ่ะ?”

“ไม่รู้ซิ  แต่ถ้ามีแฟนแล้วคงไม่มาทำงานในร้านนี้หรอกมั้ง  วันหยุดแบบนี้คงไปเที่ยวกับแฟนแล้ว”

“งั้นถ้าฉันขอเบอร์.เขาแกว่าไง?”

“ก็ลองดูซิ”

ผมรับจานอาหารจากในครัวมาวางบนถาดเตรียมยกไปยังโต๊ะของผู้หญิงสองคนนั้น  ถามว่าผมได้ยินไอ้ประโยคที่พวกเธอคุยกันไหม  ได้ยินซิ! เต็มสองหูเลยเหอะ  เล่นพูดเสียงดังขนาดนั้น!

“เฮ้ย”  กระวานโผล่หัวออกมาจากหลังเค้าท์เตอร์แล้วคว้าข้อมือผมเอาไว้

“หืม?”

“ยัยสองคนนั่นอยากงาบนาย”

“อะไรนะ?”  ผมแอบชำเลืองมองไปทางโต๊ะของผู้หญิงสองคนนั้น

“ผู้หญิงสองคนนั้นมองก้นนาย  บอกว่าท่าทางก้นนายจะแน่นดี  ขาก็ยาวดูท่าทางแข็งแรงต้องทำท่าอุ้มแตงได้แน่ๆ”

“อุ้มแตง?  อุ้มแตงอะไรวะ  แตงโมเหรอ?”  ไม่น่าจะใช่  เพราะการอุ้มแตงโมคงไม่ลามกจนทำให้กระวานได้ยินเสียง

“หมายถึงแบบนี้”  กระวานทำท่าอุ้มอะไรสักอย่างให้ผมดู  “แบบว่าเขาอยากขี่นายตอนทำ  ให้นายอุ้มตอนทำเรื่องอย่างว่า”

“ห้ะ?”  ผมเบิกตาโต  ไม่กล้าหันไปมองผู้หญิงสองคนนั้นอีก

“จริงนะโว้ย  เนี่ยตอนนี้ก็ยังคิดไม่หยุด  เขาอยากให้นายถอดเสื้อไปเสิร์ฟอาหารให้เขา”

“จะบ้าเรอะ!  ไม่กลัวขนรักแร้ฉันร่วงลงไปในจานข้าวรึไง?”

“ไม่รู้ซิ  พวกเขาอาจจะเต็มใจกินขนรักแร้นายก็ได้”  พูดจบก็หัวเราะคิกคักชอบใจเมื่อเห็นสีหน้ามู่ทู่ของผม

“ฝันไปเถอะ!”  ผมพูดลอดไรฟัน

“เขายังคิดต่ออีกว่า...”  กระวานกระดิกหูเอียงตัวด้วยท่าทางน่าหมั่นไส้  “อยากลูบกล้ามอกนาย”  ผมยกมือขึ้นปิดอกตัวเอง  “อยากลูบก้นนาย”  ผมเลื่อนมือไปปิดก้นตัวเอง

“นายโม้แน่ๆ”  ขนแขนลุกเลยครับ  ถ้าเกิดว่าผู้หญิงสองคนนั้นคิดอย่างที่กระวานพูดจริงๆ  นี่มันเข้าข่ายอาชญากรรมเลยนะ  มันคือการลวนลาม  ลวนลามกันชัดๆ!

“ไม่เชื่อก็รอดูซิ”  กระวานยกยิ้มมุมปาก  พยักเพยิดให้ผมเอาอาหารไปเสิร์ฟได้แล้ว   ก่อนจะมุดลงหลังเค้าท์เตอร์โผล่มาแต่ลูกกะตาวาวๆ

“เอ่อ  นายชื่ออะไรเหรอ?”  ผมวางจานสปาเก๊ตตี้พลางเหลือบสายตามองผู้หญิงที่บอกว่าจะขอเบอร์ผม ผมหยุดคิดอยู่สองวินาที  หางตาเหลือบไปเห็นเจ้าคนหูดียกมือปิดปากหัวเราะคิกคักแล้วก็หงุดหงิด

“กระวาน”

“ฉันขอเบอร์นายได้ไหม?”

“ได้ซิ 087xxxxxxx”  เธอฟังแล้วกดโทร.ออกทันที  ผมไม่รอให้เธอพูดอะไรก็หันหลังเดินออกมา

“เดี๋ยวก่อน”  ผมหยุดเท้าแล้วหันไปมอง  “ทำไมนายไม่เอาโทรศัพท์ออกมาล่ะ?”  ผมขมวดคิ้ว  ผู้หญิงคนนี้ชักจะล้ำเส้นเกินไปแล้ว  ถ้าไม่ติดว่าผมอยากแกล้งใครบางคนล่ะก็  จะด่าให้วิ่งออกจากร้านไม่ทันเลยเชียว

“พอดีผมไม่ชอบพกโทรศัพท์”

“แล้วฉันจะรู้ได้ไงว่านี่เป็นเบอร์นายจริงหรือเปล่า?”  ผมยักไหล่  เสียงร้องโวยวายของกระวานดังขึ้นมาทำให้ผมความสนใจไปมอง

“นายเอาเบอร์ฉันไปให้ใครวะ!”  กระวานเด้งตัวออกมาจากหลังเค้าท์เตอร์  ผู้หญิงคนนั้นขมวดคิ้วแล้วก้มมองโทรศัพท์ในมือตัวเอง

“นี่นายเอาเบอร์เจ้าอ้วนนี่มาให้ฉันเหรอ!”  เจ้าหล่อนโวยวายเสียงดัง

“เธอน่ะซิอ้วน!”  ผมหันขวับกลับไป  ถลึงตาตะคอกเสียงดังใส่อย่างอารมณ์เสีย  กล้าดียังไงมาเรียกกระวานว่าเจ้าอ้วน!

“นะ  นาย?”

“เอ่อ”  กระวานกะพริบตาปริบหยุดเท้าที่จะเข้ามาหาผมทันที

“ฉันจะแฉว่าร้านนายมันห่วย  พนักงานมารยาททราม!”

“ใครกันแน่ที่มารยาททราม  กล้าเรียกพี่ชายฉันว่าเจ้าอ้วน?  ก่อนว่าคนอื่นดูตัวเองซะก่อนเถอะ”

“นาย!  ฉันจะทำให้ร้านนายเจ๊ง  ไม่มีคนเข้า!”

“ก็เอาซี่”  ผมชี้ไปยังมุมเพดานด้านหนึ่งของร้านที่มีกล้องวงจรปิดติดอยู่  ผมขยับเท้าเข้าไปใกล้ผู้หญิงคนนั้น  ก้มลงกระซิบให้ได้ยินกันสามคนพร้อมเพื่อนของเธอ  “ผู้หญิงที่กล้าคิดเรื่องลามกใต้สะดือกับผู้ชายแปลกหน้ากลางร้านอาหารตอนกลางวันแสกๆ อย่างเธอฉันไม่กลัวหรอก”

“!”  ผู้หญิงคนนั้นตกใจหน้าซีดเผือดผงะถอยหลัง  เพื่อนเธอรั้งข้อศอกให้ถอยห่างจากผมด้วยท่าทางหวาดกลัวก่อนจะควักเงินค่าอาหารมาวางแล้วลากเพื่อนออกไปโดยไม่รอเงินทอน

ผมเดาะลิ้นอย่างไม่ชอบใจ  พยายามสูดลมหายใจเข้าออกลึกๆ เพื่อบรรเทาความโกรธ  หันกลับมาคว้าคอกระวานมากอดแล้วเดินกลับไปยังเค้าท์เตอร์  พ่อยืนเอียงคอมองพวกเราสองคนจากปากประตูห้องครัว

“นี่โป๊ยกั๊กทำให้ลูกค้าพ่อหนีไปอีกแล้วเหรอ?”

“ผู้หญิงสองคนนั้นเป็นคนลามกครับ”  กระวานเอ่ยตอบ

“....อ้อ”  พ่อเงียบไปอึดใจก่อนจะพยักหน้ารับรู้  “งั้นก็ขอให้เขาไม่ต้องมาอีกดีกว่าเนาะ”

“ผมไปช่วยเพกาปลูกผักหลังร้านนะครับ”



“หืม?  หงุดหงิดอะไรมาเหรอคะ?  ทำหน้าตาน่ากลัวเชียว”  เพกาขยับหมวกสานบนหัวหันมายิ้มให้เมื่อเห็นผมเดินเข้าไป  เพกาบอกว่าเวลาผมไม่ยิ้มหรือขยับคิ้วเฉียงๆ ให้เฉียงกว่าเดิมเมื่อไหร่จะดูไม่น่าเข้าใกล้  โดยเฉพาะดวงตาสีดำคู่นี้  กับริมฝีปากบางเฉียบมันขับเครื่องหน้าให้ดูเย็นชา  เพกาบอกว่าดูน่ากลัวเหมือนพวกนักเลงที่พร้อมมีเรื่องชกต่อยได้ตลอดเวลา

“เจอคนลามกนิดหน่อยน่ะ”  ไม่ซิ  ที่ผมอารมณ์เสียไม่ใช่เพราะผู้หญิงพวกนั้นคิดลามกกับผม  แต่ผมโกรธเพราะพวกนั้นพูดจาหยาบคายใส่กระวานต่างหาก 

อย่างเมื่อหลายเดือนก่อนผมก็มีเรื่องชกต่อยกับคนที่มาว่ากระวาน  ตอนนั้นผมออกไปช่วยกระวานซื้อของเข้าร้านตามรายการที่พ่อจดให้  กระวานมักจะสวมหูฟังตลอดเวลาแต่เพราะผมไปด้วยเลยถอดหูฟังคล้องคอไว้  เราพูดคุยถึงเรื่องเมนูอาหารค่ำกับงานของพี่ไธม์  จู่ๆ กระวานก็ชะงักขาที่กำลังก้าวเดิน  เขาขมวดคิ้วมองไปยังชายร่างท้วมคนหนึ่ง  หมอนั่นจ้องเด็กผู้หญิงวัยรุ่นซึ่งสวมกระโปรงสั้นเหนือเข่า  เด็กผู้หญิงนั่นเขย่งปลายเท้าเพื่อหยิบของบนชั้น  กระวานสะกิดผม  ผมเข้าใจได้ทันทีเมื่อเห็นชายคนนั้นหยิบโทรศัพท์มือถือออกมาจากกระเป๋ากางเกง  ผมเดินเข้าไปคั่นกลางระหว่างเขากับเด็กหญิง  แสร้งทำทีเป็นหยิบของชั้นเดียวกับเด็กคนนั้นเพื่อไม่ให้เจ้านั่นเข้ามาใกล้เด็ก  แต่ดูเหมือนหมอนั่นจะไม่สนใจว่ามีใครขวางอยู่หรือไม่  มันเดินเข้ามาใกล้พร้อมโทรศัพท์มือถือที่เปิดกล้องโหมดวิดีโอเอาไว้  กระวานปราดเข้าไปขวางหน้า

‘ผมรู้นะว่าคุณคิดอะไรอยู่’

‘อะไรของแก?’

‘คุณคิดลามกกับเด็กผู้หญิงคนนี้’  เด็กผู้หญิงข้างผมหันมามอง  เธอเบิกตากว้างมองชายร่างท้วมคนนั้น

‘ฉันเปล่า!’  ชายคนนั้นรีบซ่อนกล้องลงกระเป๋ากางเกง

‘ผมได้ยิน’

‘แกโกหก!’

‘ผมได้ยิน!  คุณอยากเห็นชั้นในของเธอ  คิดอยากพาเธอไปในที่ลับตาคน  คุณคิดลามกกับเธอ!’  กระวานโมโห  เขากำหมัดแน่น  ชายร่วงท้วมผงะถอยหลังจ้องมองหน้ากระวานอย่างไม่พอใจ

‘แก  ไอ้หูผีนี่!’  หมอนั่นทำท่าจะกระโจนเข้าใส่กระวาน  ผมขยับเท้าพุ่งผ่านตัวกระวานไป  ชกเข้าใบหน้าอวบอูมของไอ้คนลามกนั่น   เลือดกบทั้งปากและจมูกเพราะผมต่อยเข้าเป้าอย่างจัง  ไอ้หมอนั่นร้องโอดโอยลั่นห้าง  รปภ.เข้ามาถึงตัวพวกเราอย่างรวดเร็ว

‘ฉันจะฟ้องแก!’

สุดท้ายก็ต้องให้พี่ไธม์มาจัดการเรื่องที่โรงพักให้  และเพราะไม่มีหลักฐานเนื่องจากหมอนั่นยังไม่ทันถ่ายวิดีโอสุดท้ายเลยไม่สามารถเอาผิดอะไรกับไอ้เฒ่าลามกนั่นได้  น่าเจ็บใจชะมัด  แถมผมยังโดนพี่ไธม์อบรมชุดใหญ่ว่าใจร้อนเกินไป  นี่ถ้ารออีกหน่อยก็จะได้หลักฐานเอาไว้มัดตัวไอ้ลามกนั่นแล้ว

“อีกแล้วหรือคะ?”  เพกาเลิกคิ้วแปลกใจก่อนจะหัวเราะคิกคัก  ผมหลุดจากความคิดหันไปมองน้องสาว

“อีกแล้ว?  หมายความว่าไง?”

“ก็...พี่กระวานชอบมาเม้าท์ให้ฟังว่าเวลาพี่โป๊ยกั๊กหรือพี่กอล์ฟอยู่ร้าน  สาวๆ ที่คิดลามกจะโผล่มาบ่อยๆ”  พี่กอล์ฟคือเด็กเสิร์ฟและผู้ช่วยหน้าตาดีที่ลาป่วยไปวันนี้

“ก่อนหน้านี้ก็เคยมีมาเหรอ?”

“ใช่ค่ะ”

“.........”  เพกายิ้มกว้าง  มองดูหน้าตาไม่สบอารมณ์ของผมอย่างมีความสุข

“แต่ถ้าสาวๆ มาเห็นหน้าตาตอนนี้ของพี่คงวิ่งหนีเตลิดเปิดเปิงแน่ๆ”

“วิ่งหนีไปแล้วเหอะ”

“?”  เพกาเบิกตาที่โตอยู่แล้วให้โตขึ้นไปอีก  ก่อนจะหัวเราะเสียงดัง

*********

“นี่ๆ เมื่อไหร่พี่ไธม์จะกลับบ้านอีกอ่ะ?”

“อยู่นิ่งๆ ได้ไหม?”

“แล้วพี่กระวานล่ะ  เมื่อไหร่เขาจะเลิกกลัวเราเสียที”

“หมอนั่นจะหายกลัวนายเรอะ?  ไม่มีทาง”

“เราไม่เห็นน่ากลัวเลย”  คนในกระจกทำท่าทางน่าสงสาร  นี่ถ้ามีหูมีหางคงจะหูลู่หางตกแน่ๆ  แต่...   

“บอกให้อยู่นิ่งๆ ไง”  ไอ้ท่าทางแบบนี้มันไม่ใช่!  ผมตัวจริงไม่มีทางมาทำท่าหงอยเศร้าน้ำตาตกแบบนี้!

“เราคิดถึงเพกาด้วย  เพกาใจดี  ใจดีกว่านายตั้งเยอะ”  ริมฝีปากบางบึนเป็นปากเป็ดคล้ายสาวน้อยเวลางอนแฟนหนุ่ม

“ขอร้องเหอะ  อย่าทำท่าแบบนี้ได้ไหม?”

“นี่ๆ เมื่อเช้าแม่แวะมาหาด้วยแหละ  แม่บอกว่าคิดถึงเราม๊ากมาก  นี่คิดอยู่ว่าตอนปีใหม่จะขอร้องให้โป๊ยกั๊กพาเราไปนั่งที่โต๊ะกินข้าวด้วย  จะได้อยู่กันพร้อมหน้าพร้อมตา  ว่าแต่พี่ไธม์จะหยุดงานได้ไหมน้า?”

“....”

“อยากกินอาหารฝีมือพ่ออีกจัง  เออ  จะว่าไปก็แปลกเนอะ  พ่อกลัวผีแต่ไม่กลัวเราแหละ”

“นายไม่ใช่ผีสักหน่อย”

“ใช่ไหมล่ะ  แล้วทำไมพี่กระวานถึงกลัวล่ะ?”  คนในกระจกเอียงคอทำท่าทางสงสัยได้อย่างน่ารักน่าชัง  ถุย!

“ก็ไปถามเอาเองสิ”

“ได้เหรอ?”  อีกฝ่ายทำท่าทางดีใจ

“ว่าแต่   นายเคยไปซื้อไหมพรมกับแม่?”

“ใช่ๆ เคยไปซิ  แม่พาไปซื้อไหมพรมมาให้พ่อถักตุ๊กตา  เจ้ากระต่ายสีชมพูที่แขวนหน้ารถนั่นไง  แต่พี่กระวานชอบคิดว่าเจ้ากระต่ายนั่นกันผีได้  แล้วก็เอามาโยนใส่เรา”

“....”

“เราไม่ใช่ผีสักหน่อย  เราไม่กลัวของแบบนั้นหรอก  อีกอย่างกระต่ายนั่นน่ารักออก”

“อืม”  ผมลากเสียงในลำคอ  พยายามข่มกลั้นสุดชีวิต

“นี่ๆ ชวนดินกับภูมาเที่ยวที่บ้านบ้างซิ”  เพื่อนที่รู้เรื่องของกานพลูมีภูธเรศกับบดินทร์เท่านั้นเพราะพวกมันจับได้ตอนกานพลูออกมาจากกระจกแล้วไปนั่งเรียนกับพวกมันตอน มอ.หนึ่ง

“อยู่นิ่งๆ สักที!”  ผมกำหมัดแน่น  ของที่อยู่ในมือสั่นระริก

“หืม?”

“หุบปาก!”

“แต่...”

“ฉัน-โกน-หนวด-ไม่-ได้!”  ผมเน้นทีละคำ  ถลึงตามองไอ้คนปากมากในกระจกอย่างโมโห

“.........”



ปัดโธ่โว้ย!






โปรดติดตามตอนต่อไป


สวัสดีค่า  วันนี้มาส่งช้าหน่อย  อุตส่าห์จะรอดูแม่หญิงการะเกดแต่เนตไม่ดี  อดเบยยยยย
เรื่องนี้ถ้าใครอ่านแล้วรู้สึกสนุกก็จะดีใจมากเลย ตรงไหนที่ต้องปรับปรุงบอกกันได้นะคะ
ถ้าตรงไหนผิดพลาดยังไงก็ขออภัยด้วยนะคะ
ขอให้มีความสุขวันพุธกึ่งกลางสัปดาห์การทำงานค่ะ   :mew1:

ออฟไลน์ NC Wanted

  • NC Wanted
  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 43
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
รอค่ะ

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
อ่านไปสองตอนแล้วเรายังเดาเรื่องของโป๊ยกั๊กไม่ออกเลยค่ะว่าจะมาแนวไหน แถมคู่ของโป๊ยอีกยังไม่เปิดตัวเลยนี่นา ก็ต้องรอลุ้นว่าจะเป็นพระเอกหรือนายเอกกันแน่ ก็เราเชียร์โป๊ยเป็นพระเอกนะ

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ akumapuyy

  • เป็ดประถม
  • *
  • กระทู้: 23
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +0/-0
น้องโป๊ยคนแมน แมนมากเหลือเกิน 555

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3


Secret Me  คนนี้ต้องลับ!
ตอนที่3
   


“ไม่ได้หรอกค่ะ  ถ้าพวกพี่ชายไม่อนุญาตเพกาให้ไม่ได้จริงๆ”  ผมชะงักเท้าแนบตัวกับผนังตึกค่อยๆ ชะโงกหน้าออกไปดูว่าน้องสาวคนสวยกำลังคุยอะไรกับใคร
   
“ทำไมเพกาต้องขอพี่ๆ ด้วยล่ะคะ  พี่จีบเพกาไม่ได้ชอบพี่ชายของเราเสียหน่อย”  โอ้โห  ชัดเต็มสองรูหู!

   “เฮ้ย  มายุ่งอะไรกับน้องสาวกูวะ?”  ผมออกจากที่ซ่อนเดินไปดึงให้เพกามาอยู่ข้างหลังพร้อมเชิดคางมองไอ้หน้าจืดที่กล้ามาขอเบอร์น้องสาว

   “ไม่เกี่ยวกับมึงป่ะวะ?”

   “ทำไมจะไม่เกี่ยว  เนี่ย  น้องสาวกู  ส่วนกู..”

   “....”  มันขมวดคิ้วมอง

   “กูเป็นพี่ชาย”

   “พี่ชายแล้วไง?  กูจะจีบเพกาไม่ได้จะจีบมึง”

   “ก็กูไม่ให้จีบ”

   “มึงมีสิทธิ์อะไรมาห้ามกู”

   “สิทธิ์ของความเป็นพี่ไง”
   
“มึงจะมาหวงน้องแบบนี้ไม่ได้”

   “ทำไมจะไม่ได้ในเมื่อกูเป็นพี่  แล้วมึงน่ะเป็นใคร”

   “กูชื่อนวพล  ห้องสอง”
   
“มึงคิดว่ากูถามจริงๆ เหรอ?”

   “อ้าว?”

   “กูหมายถึงมึงเป็นใครกูไม่รู้จัก  อย่ามาสะเออะจีบน้องกู!”

   “กูแนะนำตัวไปแล้วไง  คราวนี้รู้จักแล้ว  จีบได้แล้วใช่ป้ะ?”  ยิ้มแป้นมาอีก  ไอ้หน้าจืด!

   “ไม่!”

   “อ้าว  แบบนี้มึงกวนตีนกูเล่นเหรอ?”

   “มึงน่ะซิกวนตีน  ไอ้เหี้-!” ผมเข้าไปกระชากคอเสื้อมันด้วยความโมโห

   “ไอ้เน่า! ครูเรียก!”  ผมชะงักหมัดที่เงื้อขึ้น  หรี่ตามองไอ้คนที่เข้ามาขัดจังหวะ 

ไอ้ครับ?

“เออๆ งั้นกูไปก่อนนะ  แล้วมึงอย่าลืมทำความรู้จักกูด้วยล่ะ  วันหลังจะมาจีบเพกาใหม่”

“ไอ้!”  ไอ้หน้าจืดแงะคอเสื้อออกจากมือผมแล้ววิ่งไปหาเพื่อนมัน  ไอ้ครับเหลือบมามองผมนิ่งๆ ก่อนจะเดินตามเพื่อนมันออกไป

“ถ้ามันมาหาอีกอย่าไปคุยกับมัน  หรือไม่เพกาก็มาหาพี่พี่จะไปจัดการมัน”  ผมหันไปบอกน้องสาวที่ยืนยิ้มสวยอารมณ์ดี

“ทำไมหนูต้องไปบอกให้พี่โป๊ยกั๊กมาจัดการเขาด้วยล่ะคะ  เขามาจีบหนูนะไม่ได้มาหาเรื่องเสียหน่อย”

“แต่มันหาเรื่องพี่!”

“ฮื่อ!”

“ไม่ต้องมาฮื่อ  บังอาจมาจีบน้องสาวพี่แบบนี้มันวอนซะแล้ว”  เพกาส่ายหัว  ไม่รู้ว่าเหนื่อยใจกับผมหรือเบื่อคนมาจีบ  ก็ใครใช้ให้นางฟ้าของบ้านเราน่ารักกันล่ะ  พวกเราเหล่าพี่ชายเลยหวงมากแบบนี้!

**********

“มึงนี่ก็หวงน้องมากไปป่าวว้า  ทำแบบนี้ชาตินี้น้องมึงจะมีแฟนไหม?”

“ก็ไม่ต้องมี”

“อ้าว มึงนี่ยังไง  มึงมาหวงน้องแบบนี้มันไม่ถูกต้อง”

“นี่มึงกำลังพูดความในใจของตัวเองตอนโดนกูเตะที่มาจีบเพกาตอนนั้นใช่ไหม?”  ผมชี้หน้าภูธเรศ

“แหม่  มันก็มีบ้างนิดหน่อย”

“ไอ้นี่  เดี๋ยวปั๊ดเตะซ้ำ!”

“นี่มึงยังคิดจะจีบเพกาอยู่อีกเหรอ?”  เสียงเย็นๆ ของบดินทร์ดังมาเหนือหัว  ไอ้คนที่เคยคิดจีบเพกาหน้าซีด

“เปล๊า! คือกูพูดแทนไอ้เน่ามันเฉยๆ”  เสียงสูงเชียวนะมึง!

“ไอ้เน่าไหน?”  ไอ้ดินหยุดมือที่กำลังกวาดพื้นหันมาถาม  วันนี้เพื่อนสนิทของผมทั้งสองคนมาช่วยทำความสะอาดร้าน  ตอบแทนค่าข้าวค่าน้ำที่พวกมันมาถลุงพ่อผมไปเมื่อวาน

“ไอ้เน่า  นวพลห้องสอง  เพื่อนไอ้ครับ คำนับนั่นไง”

“มึงนี่ก็รู้จักเขาไปทั่วเนอะ”  บดินทร์หรี่ตามอง

“นี่มึงชมกูใช่ป้ะ?”  ไอ้ภูยิ้มกว้าง

“ใช่  ชมว่ามึงขี้เสือกเก่งมาก”

“ไอ้ดินนน”  ภูธเรศร้องโวยวาย  ผมไม่อยากสนใจพวกมันแล้ว  คนหนึ่งก็โง่คนหนึ่งก็ซื่อบื้อ  แม่งโคตรเหมาะสมกันฉิบหาย

“โป๊ยกั๊ก”

“ครับ?”  ผมหันไปหาพ่อที่ตอนนี้ถือกล่องอาหารออกมาจากในครัวเพื่อใส่กระเป๋าเก็บอุณหภูมิ 

“เอาอาหารไปให้ใบไธม์หน่อยได้ไหม  พ่อโทรศัพท์ไปเมื่อกี้บอกว่าเข้ามากินข้าวที่บ้านไม่ได้แล้วเพราะต้องเคลียร์งานให้เสร็จคืนนี้”

“ได้ครับ”  ผมละมือจากผ้าเช็ดโต๊ะ  ภูธเรศก็วิ่งแซงหน้าไปก่อน

“พ่อครับ  ผมเอาข้าวไปส่งพี่ไธม์ให้ไหมครับ  ขอค่าตอบแทนเป็นปิ่นโตกลางวันสักอาทิตย์หนึ่ง”  ไอ้ภูประสานมือไว้ตรงอกแบบสาวน้อย  เพกาถือกระเป๋านมสดแบบเก็บอุณหภูมิอีกใบยื่นส่งให้  พอเห็นท่าทางนั้นของภูธเรศถึงกับหัวเราะเสียงดัง

“พี่ภูทำท่าอะไรคะนั่น  ตลกจัง”

“ก็ท่าขอความสงสารไงคะน้องเพกา  ดูซิ  พี่น่าสงสารออก”  ไอ้ภูกะพริบตารัวเร็ว

“อืม  น่าสงสารมาก”  ไอ้ดินมาหยุดเกาคางอยู่ข้างๆ

“ใช่ม้า?”

“น่าสงสารเพกาที่ต้องมาเห็นอะไรทุเรศตาแบบนี้”

“ไอ้ดินนนนน”

โอ๊ย  จะบ้าตาย!  ผมทิ้งความวุ่นวายไว้ด้านหลังแล้วหยิบกล่องอาหารกับกระเป๋านมออกจากร้าน  ช่วงนี้งานพี่ไธม์ยุ่งมากเลยไม่ค่อยได้กลับบ้านเท่าไหร่  พวกเราสามพี่น้องเลยผลัดกันไปส่งอาหารถ้าพี่ไธม์อยู่ห้องเพื่อจะได้เจอหน้ากันบ้าง

ผมขึ้นรถไฟฟ้า  ลงเดินอีกหน่อยก่อนจะขึ้นลิฟท์ไปยังห้องของพี่ไธม์  ผมไม่ได้โทรศัพท์มาบอกก่อนเพราะคิดว่าพ่อคงโทร.มาแล้ว  พอถึงก็เคาะประตูห้อง  ครู่เดียวบานประตูก็เปิดออก

ผู้ชายไม่คุ้นตาโผล่หน้าออกมาจากหลังบานประตู  ผมขมวดคิ้วก่อนจะใช้เท้ายันประตูเต็มแรง  หมอนั่นไม่ทันระวังตัวจึงเซถอยหลัง  ผมตามเข้าประชิด  ยกขาวาดเตะรวดเร็วแต่อีกฝ่ายก็พลิกตัวหลบว่องไว  ผมอาศัยช่วงจังหวะที่ฝ่ายนั้นถอยห่างวางกล่องอาหารแล้วพุ่งเข้าไปเสยหมัด  ร่างสูงโย่งนั่นพลิกตัวหลบครั้งแล้วครั้งเล่าทำให้ผมหงุดหงิดยิ่งกว่าเก่า  ในระยะที่กระชั้นที่สุดผมพลิกตัวล็อกคออีกฝ่ายจากด้านหลังรวดเร็ว  หากเขาก็ไวพอกันถึงเอามือมารองคอตัวเองแล้วเบี่ยงตัวหลุดรอดจากแขนของผมไปได้  ไอ้หมอนี่เป็นแมวหรือไง!

“เฮ้ๆ ค่อยๆ พูด ค่อยๆ จากันซิ  คนกันเองทั้งนั้น”

“ฉันไม่รู้จักนาย!”  ขณะตอบโต้กันผมยังไม่หยุดส่งหมัดส่งเท้าเข้าหาอีกฝ่าย

“อะไรกัน  เพิ่งจะเจอกันไปเมื่อเดือนก่อนเองนะ” พูดไปก็ยิ้มไปด้วย  ผมไม่ชอบผู้ชายคนนี้  รอยยิ้มมันคล้ายคนที่กำลังกุมความลับของเราอยู่  และถือไพ่เหนือกว่า

“ฉันไม่เคยเจอนาย!”

“จุ๊ๆ ไม่เอาน่า”  ไอ้แมวยักษ์นั่นหลบไปหลังโซฟา

“แกเป็นใคร  มาอยู่ในห้องพี่ชายฉันได้ยังไง”

“เอ้า  ก็บอกว่าคนรู้จัก”

“อย่ามาโกหก!”  ผมถีบโซฟาเต็มแรงจนกระแทกหมอนั่นไปด้วย  เพราะไม่ทันระวังตัวโซฟาจึงกระแทกเข่าฝ่ายนั้นล้มหงายหลัง  ผมไม่รอให้อีกฝ่ายตั้งตัว  ดีดเท้ากระโจนเข้าไปคร่อมคนบนพื้นรวดเร็ว  เงื้อหมัดขึ้นสูงเตรียมปล่อยสุดแรง

“โป๊ยกั๊ก!”

“?”  ผมชะงักหมัดค้างกลางอากาศ  พี่ไธม์เปิดประตูออกมาจากห้องน้ำ  ดูก็รู้ว่าเพิ่งอาบน้ำเสร็จ

“ทำอะไรน่ะ?”  พี่ไธม์ขมวดคิ้ว

“จับแมวขโมย”

“เฮ้ย  ก็บอกว่าไม่ใช่ไง”  คนบนพื้นโวยวาย

“หมอนั่นชื่อเบซิล  โป๊ยกั๊ก”

“...”  ผมหรี่ตามองพี่ชาย  มือยังกำคอเสื้อนายเบซิลไม่คลาย  “แล้วมาทำอะไรในห้องพี่?”

“มาทำงาน”  พี่ไธม์ถอนหายใจ  เท้าเอวมองดูเราสองคนโดยไม่เข้ามาใกล้

“ทีมเดียวกับพี่เหรอ  ทำไมผมไม่เคยเห็นหน้า  อย่าลืมว่าผมรู้จักคนในหน่วยพี่ทุกคน”  เบซิลคนนี้มีเรือนผมสีเทา  ดวงตาสีเขียวมรกต  เป็นสีเขียวที่สวยมาก  มีแววระยิบระยับในดวงตาคู่นั้น  แต่ผมกลับไม่ชอบเพราะมันดูเจ้าเล่ห์ไม่น่าไว้ใจ  เบซิลมีรูปร่างสูงพอๆ กับผม  จากการสู้กันเมื่อครู่ทำให้รู้ว่าหมอนี่ต่อสู้ไม่เก่งแต่ทักษะการทรงตัวดีเยี่ยมเพราะหลบการโจมตีของผมได้หมด  ทั้งที่ผมมั่นใจว่าตัวเองเร็วพอแล้วแท้ๆ

“โป๊ยกั๊ก”  พี่ไธม์ถอนหายใจอีกครั้ง  “พี่จะพูดอีกแค่ครั้งเดียว  เบซิลกำลังช่วยงานพี่อยู่  เราทำงานร่วมกัน”

“แล้วทำไมต้องอยู่ที่นี่?”  ผมกวาดสายตาทั่วห้อง  แค่รอบเดียวก็รู้ว่าข้าวของในห้องพี่ไธม์ไม่เหมือนเดิม  มีบางอย่างเพิ่มเข้ามาเหมือนไม่ได้อาศัยอยู่คนเดียว  ช่วงเวลาหลายเดือนที่ผ่านมาผมไม่ค่อยได้มานอนห้องพี่ชายเท่าไหร่เลยเพิ่งรู้ถึงความผิดปกตินี้

“สายตากับความจำดีเป็นบ้า!”  เบซิลร้องอุทานอย่างตื่นเต้น  ไม่ได้รู้สึกหวาดหวั่นกับการถูกผมจับกดอยู่กับพื้นแม้แต่น้อย

“ความจำดีแต่ฉันก็จำไม่ได้ว่ารู้จักนาย”  ผมลุกขึ้นยืนเต็มความสูง  ปล่อยอีกฝ่ายให้เป็นอิสระ  เบซิลลุกขึ้นยืนแล้วยักไหล่

“ฉันก็เดาว่าน่าจะเป็นอย่างนั้น”

“?”

“เอาล่ะ  ทั้งสองคน  พอได้แล้ว”  พี่ไธม์ห้ามทัพ

“หมอนี่ไม่มีบ้านให้กลับหรือยังไง  ทำไมต้องมานอนที่นี่?”

“ก็ยังกลับไม่ได้”

“หืม?”  ผมหรี่ตามองทั้งสองคน

“เอาเป็นว่าเบซิลยังกลับบ้านตอนนี้ไม่ได้และเขาต้องช่วยงานพี่”  พี่ไธม์เดินไปหยิบกล่องอาหารมาเปิดดูก่อนจะเดินเข้าห้องครัวเพื่อจัดอาหารใส่จาน  เบซิลรีบวิ่งตามไปอย่างรวดเร็ว

พวกเรานั่งกันอยู่ที่โต๊ะอาหาร  ผมคิดว่าตัวเองไม่เคยเจอและรู้จักเบซิลมาก่อน  พอเห็นหมอนี่ทำท่าดีใจกับอาหารตรงหน้าแล้วอดหมั่นไส้ขึ้นมาไม่ได้

“อาหารฝีมือพ่อคุณอร่อยมาก  ถ้ามีโอกาสผมก็อยากจะลองไปกินที่ร้านดูบ้าง”

“พวกนี้เป็นของพี่ไธม์  ห้ามนายกิน!”  ผมแย่งจานข้าวที่พี่ไธม์วางตรงหน้าเบซิลออกมา

“โป๊ยกั๊ก  สุภาพหน่อย  เบซิลแก่กว่าเราหลายปีนะ”  พี่ชายขมวดคิ้วดุผม

“แล้วไง  ก็ผมไม่ชอบหน้าหมอนี่”

“โป๊ยกั๊ก!”

“ก็ได้ๆ ก็ผมไม่ชอบหน้าเขา”

“แต่ผมชอบคุณนะ  แบบ...พวกคุณทั้งบ้านเลย”  เบซิลยกยิ้ม  เป็นรอยยิ้มที่ผมไม่ชอบอีกแล้ว

“อย่ามายุ่งกับน้องๆ ของผม” พี่ไธม์พูดเสียงเรียบ  ดูก็รู้ว่าไม่ค่อยชอบใจนัก  เบซิลยักไหล่คล้ายไม่ยี่หระกับคำพูดนั้น  ผมหรี่ตามองพี่ไธม์และผู้ชายข้างๆ พวกเขาดูไม่ใช่เพื่อนคู่หู  แต่ก็ไม่ใช่คนแปลกหน้าต่อกัน  เหมือนมีบางอย่างที่อธิบายไม่ถูกระหว่างพวกเขา เหมือนมีความระแวดระวังขณะเดียวกันก็เชื่อใจในตัวอีกฝ่ายด้วย

“คืนนี้ผมจะนอนนี่”  ผมเอ่ยทะลุกลางปล้อง  พี่ไธม์เลิกคิ้วแปลกใจ  ส่วนเบซิลทำเพียงแค่ยกยิ้มมุมปาก

“อ้อ  ได้ซิ  โป๊ยกั๊กนอนที่เตียงเหมือนเดิมแล้วกัน  คืนนี้พี่คงทำงานโต้รุ่ง”

“พี่ไธม์นั่งทำใกล้ๆ ผม  ส่วนเบซิลอยู่ตรงโน้นเลยไป”  พี่ไธม์ส่ายหัวให้กับอาการขี้หวงของผม

“พี่ชายคุณก็ต้องอยู่กับผมด้วย  ส่วนคุณน่ะรีบดื่มนมแล้วไปนอนซะ”

“หุบปาก!”

“โป๊ยกั๊ก”  พี่ไธม์ดุเสียงเข้มที่เห็นผมหยาบคาย  ช่วยไม่ได้  บอกแล้วไงว่าผมไม่ชอบหน้าหมอนี่มากๆ ผมรู้สึกสังหรณ์ใจไม่ดีและไม่ชอบใจเวลาผู้ชายคนนี้อยู่ใกล้ๆ พี่ไธม์  “เลิกแหย่น้องชายผมสักที!”  เบซิลยักไหล่เมื่อพี่ไธม์หันไปดุเขาอีกคน

“งั้นผมจะนอนที่โซฟา  พวกพี่ก็นั่งทำงานไปแล้วกัน”  นอนบนเตียงเดี๋ยวส่องไม่ถนัด

“แต่พรุ่งนี้โป๊ยกั๊กต้องไปโรงเรียน”

“ก็ใช่  แต่ผมไม่ไว้ใจเขา”  ผมกอดอก  ยื่นนิ้วชี้ชี้ไปยังเบซิล  อีกฝ่ายหัวเราะลงคอกับคำพูดของผม

“ตามใจ”  พี่ไธม์ที่ไม่เคยขัดใจน้องๆ ได้เลยสักครั้งถอนหายใจ

ผมอาบน้ำแล้วค้นเสื้อผ้าที่เอามาทิ้งไว้ในห้องพี่ไธม์มาใส่  พลางเดินสำรวจรอบห้อง  รวมถึงห้องน้ำด้วยว่ามีสิ่งแปลกปลอมอยู่ในห้องนี้หรือไม่  มีของแปลกปลอมขึ้นมานิดหน่อย  พื้นที่ส่วนใหญ่ยังคงสภาพเดิมอยู่

โอเค  ปลอดภัย 

ผมนอนกอดผ้าห่มอยู่บนโซฟา  มองแผ่นหลังของพี่ชายที่กำลังนั่งอยู่หน้าจอโน๊ตบุ้ค  โดยมีเบซิลอยู่อีกฝั่ง  ผมไม่รู้ว่าเบซิลช่วยงานพี่ไธม์ยังไงบ้าง  เห็นแต่ว่าตรงหน้าเขามีโน๊ตบุ้ควางเรียงกันหลายตัว  บางครั้งเขาจะเรียกให้พี่ไธม์ไปดูข้อมูลบางอย่าง  พวกเขาคุยกันในเรื่องที่ผมไม่ค่อยเข้าใจ  ผมรู้ว่าตอนนี้งานของพี่ไธม์คงยุ่งยากมากเพราะคิ้วของพี่ไธม์ขมวดมุ่นตลอดเวลา

พี่ใบไธม์เป็นพี่ชายคนโตของบ้าน  อายุห่างจากผมค่อนข้างมาก  ตอนเด็กๆ พี่ไธม์จะคอยช่วยพ่อกับแม่เลี้ยงผมและกระวาน  ดังนั้นบางครั้งผมจึงรู้สึกว่าพี่ไธม์เหมือนพ่อมากกว่าพี่  ไม่ว่าเวลาไหนพี่ชายของเราก็จะปกป้องเราเสมอ  คนในครอบครัวสำคัญมาเป็นอันดับหนึ่ง  ตอนมอ.ต้นผมเคยมีเรื่องชกต่อย พี่ไธม์ที่งานรัดตัวยังวิ่งไปหาผมก่อนใคร

มองใบหน้าเคร่งเครียดของพี่ชายแล้วอดเป็นห่วงขึ้นมาไม่ได้  ผมไม่ค่อยไว้ใจเบซิลสักเท่าไหร่  เพราะไม่รู้ความเป็นมาของเขา  แต่ผมก็มาเฝ้าพี่ทุกวันไม่ได้  อีกอย่างถ้าผมดื้อดึงมาตามเฝ้าอาจทำให้พี่ไธม์ลำบากใจ

ผมขมวดคิ้วเมื่อเห็นสายตาของเบซิลที่มองพี่ไธม์เวลาพี่ไธม์เผลอ  มันไม่ได้แฝงเจตนาร้าย  มันวิบวับแปลกๆ  บางครั้งยังเจือความอ่อนโยนด้วย

อ่อนโยน?

ไม่มั้ง?

ผมลองแอบสังเกตอยู่พักใหญ่ๆ ก็เห็นความผิดแปลก  สีหน้าพี่ไธม์เวลาคุยเบซิล...

ผมไม่รู้ว่าพี่ไธม์รู้ตัวไหม  ว่าตัวเองทำสีหน้าแบบไหน  มันผ่อนคลายสบายใจ  ผมเห็นริมฝีปากพี่ไธม์วาดโค้งขึ้นเล็กน้อย  แทบมองไม่ออกว่ากำลังยิ้มอยู่  แต่...มันก็คือรอยยิ้ม

ทำไมรู้สึกใจหวิวๆ ชอบกลว้า?

.
.
.

“โป๊ยกั๊ก  ตื่นได้แล้ว  จะให้พี่ไปส่งที่โรงเรียนไหม?”  ผมขยี้ตาลุกขึ้นนั่งงัวเงีย  เห็นเงาคนเดินผ่านด้านหลังพี่ไธม์ไปแล้วต้องเบิกตากว้าง  เบซิล!  แล้วนี่ผมหลับไปตอนไหนวะ?

“งานพี่เสร็จแล้วเหรอ?”

“เหลือเก็บความเรียบร้อยอีกนิดหน่อย  เดี๋ยวให้เบซิลทำต่อได้  พี่จะไปส่งเราก่อน  จะกลับบ้านหรือให้พี่ไปส่งที่โรงเรียนเลย”  ผมสามารถตรงไปโรงเรียนได้เลยเพราะเอาชุดนักเรียนมาทิ้งไว้ที่นี่หนึ่งชุด  ผมหยุดคิดก่อนจะบอกให้พี่ไธม์ไปส่งบ้าน  เพราะอย่างน้อยให้เพกากับพ่อเจอหน้าพี่ไธม์สักสองนาทีก็ยังดี

หลังจากล้างหน้าแปรงฟันผมรีบโทร.ไปบอกพ่อให้เตรียมอาหารเช้าง่ายๆ สำหรับพี่ไธม์ด้วย  ไว้ให้พี่ไธม์เอากลับมากิน  เอ  แล้วจะบอกให้พ่อทำเผื่อเบซิลด้วยดีไหมนะ?

ช่างเถอะๆ เดี๋ยวจะหาว่าคนบ้านเราใจร้าย  สุดท้ายจึงบอกพ่อไปว่าให้ทำอาหารเผื่อเพื่อนพี่ไธม์ด้วยอีกชุดหนึ่ง

 
*********

“พี่โป๊ยๆ”  ผมเงยหน้าจากหนังสือการ์ตูนเล่มโปรดเมื่อได้ยินเสียงของน้องสาว

“มีอะไร?” 

“พี่ดินกับพี่ภูแย่แล้ว!”

“อะไรนะ?”

“พี่ดินกับพี่ภูกำลังโดนยำค่ะ!”  หน้าตาเพกาดูแตกตื่นตกใจมาก  ผมผุดลุกขึ้นยืนแล้ววิ่งไปตามแรงฉุดดึงของน้องสาว

ภาพที่ผมเห็นเมื่อไปถึงหลังตึกเรียนคือภูธเรศกับบดินทร์ถูกไอ้เน่า  นวพลกับไอ้ครับ คำนับห้องสองรัวหมัดใส่ไม่ยั้ง  เห็นท่าทางต่อยลมมั่วๆ ของไอ้ภูแล้วปวดหัวขึ้นมาทันที  ผมวิ่งเข้าไปแทรกกลางระหว่างพวกมันสี่คน  ยกขาขึ้นยันท้องไอ้เน่าจนมันกระเด็นถอยหลัง  ก่อนจะพลิกตัวจับคอเสื้อไอ้ครับไว้มั่นแล้วทุ่มกลับหลัง  ผมได้ยินเสียงดังแอ้ก  ตามมาด้วยเสียงครางในคอเพราะจุกจากแรงกระแทก

ไอ้ครับนอนตัวงอลุกไม่ขึ้น  ขณะที่ไอ้เน่ากระเด็นหงายหลังลุกขึ้นนั่งมองมาทางผมด้วยท่าทางงุนงง  ผมกำลังจะเข้าไปซ้ำไอ้ดินที่เพิ่งตั้งสติได้วิ่งเข้ามากอดเอวแน่น  ร้องห้ามเสียงหลง

“หยุดก่อนไอ้กั๊ก!”

“ห้ามทำไม  มันต่อยมึงปากแตกขนาดนี้แล้วนะ!”  กำลังโมโหครับ  มาห้ามแบบนี้พี่ห้าวหยุดไม่อยู่ครับเพื่อน

“ไม่ๆ มึงอย่าต่อยไอ้ครับ  ต่อยแค่ไอ้เน่าคนเดียวพอ”

“อะไรของมึง?”  ผมชะงักเท้าที่กำลังจะก้าวเข้าไปหาไอ้สองคนที่ผมไม่ถูกชะตานั่น

“พวกเธอทำอะไรกัน!”  ผมสบถหัวเสียเมื่อได้ยินเสียงครูฝ่ายปกครองดังขึ้น  รีบเก็บหมัดเก็บเท้ารวดเร็วแล้วหันไปดึงไอ้ครับให้ลุกขึ้นยืน  แต่มันยักจุกอยู่เข่าถึงได้อ่อนยืนไม่ไหว  ผมคว้าไหล่มันมากอดเอาไว้แน่นเพื่อพยุงไม่ให้มันล้มลงไป
.
.

“เราแค่เข้าใจผิดกันครับครู  อีกอย่างไอ้ครับ  เอ้ย  คำนับไม่เกี่ยวกับเรื่องนี้”  ภูธเรศแจกแจงให้ครูฝ่ายปกครองฟัง

“เอ้า?”  ผมขมวดคิ้วมองเพื่อน  ไม่เข้าใจว่ามันจะปกป้องไอ้ครับไปทำไม

“จริงครับครู  นายคำนับแค่เข้ามาห้าม เอ่อ  เหมือนผม”  บดินทร์ยกมือขออนุญาตอธิบายเพิ่มเติม

“แล้วเธอล่ะ  เตวิส  เข้าไปชกต่อยกับเขาทำไม?”

“ผมนึกว่าเพื่อนผมโดนรุม”

“สองต่อสองนี่ไม่เรียกว่าโดนรุมมั่ง  เอ้ย  ไม่ใช่  หมายถึงแค่กูกับไอ้ภูสองคน  จะเรียกว่ารุมได้ไง  ถีบซะกูกระเด็น”  ไอ้เน่า  หรือนวพลเถียงทันควันที่ได้ยินผมพูดตอบคุณครู

“พอๆ ใครก็ได้อธิบายมาให้ครูฟังเดี๋ยวนี้!”

“คือผมกับนวพลมีเรื่องเข้าใจผิดกันนิดหน่อย”  ไอ้ภูอธิบาย

“เราก็เลยต่อยกัน”  ไอ้เน่าเสริม

“แล้วบดินทร์กับคำนับล่ะ?”

“พวกเขาสองคนเข้ามาห้ามครับ  ห้ามไปห้ามมาก็...”  ไอ้ภูยิ้มแหย

“โดนลูกหลงครับ”  ไอ้เน่าต่อประโยคให้

“ใช่ๆ นายคำนับแค่ป้องกันตัวครับ”  ไอ้ครับกับไอ้เน่าหันไปมองไอ้ภูเป็นตาเดียว  รวมถึงผมด้วย  ครูฝ่ายปกครองคลึงขมับเหลือบตามองไอ้คำนับทีหนึ่งแล้วโบกมือไล่พวกผมออกจากห้อง

ผมยืนนิ่งหลังออกมาจากห้อง  สรุปนี่กูเสือกเอง?

“มึง”  ไอ้ภูสะกิดแขนผมเบาๆ

“อะไร!”

“แงงง  มึงอย่าดุดิ”  มันเขยิบไปหลบหลังไอ้ดิน  นี่คิดว่าไอ้ดินจะช่วยมึงได้เหรอ?  ทำกูเสียหน้าขนาดนี้ต้องเอาเลือดหัวมันออก!

“มึงอธิบายมาเดี๋ยวนี้!”  โมโหครับ  ผมทำเปลืองแรงโดยใช่เหตุ  แบบนี้มันน่าเตะอัดกำแพงนัก

“คือว่ากูกับไอ้เน่าตีกัน”  ผมเหลือบตามองไอ้นวพลที่พยักหน้าหงึกหงักตามคำพูดไอ้ภู  ก่อนจะเลื่อนสายตาไปยังอีกคนที่ยืนนิ่งหน้าตาบอกบุญไม่รับอยู่ข้างๆ

“ไอ้ดินมาห้ามไอ้ภู  ส่วนไอ้ครับมาห้ามกู  แต่ตีไปตีมาโดนลูกหลงคนละหมัดสองหมัด  ทั้งไอ้ดินไอ้ครับโมโหเลยสวนพวกกูกลับ”

“อือ  ตามนั้น”

“แล้วพวกมึงตีกันเรื่องอะไร?”

“.....”  พร้อมใจกันเงียบ  ผมหรี่ตามองพวกมันทีละคนอย่างจับผิด

“ตอบ!”  ไอ้ภูสะดุ้งเฮือก  เผลอตอบออกมาอย่างลืมตัว

“ไอ้เน่ามันได้เบอร์เพกามาจากไหนไม่รู้!”

“ไอ้เน่า!”  ผมหันขวับไปหาไอ้ตัวต้นเหตุทันที  ไอ้คำนับที่เห็นผมโมโหพุ่งเอาตัวมาบังเพื่อนมันไว้  “มึงถอยไปเดี๋ยวนี้!”

“....”  ไอ้ครับไม่ตอบ  มันจ้องตากับผมไม่ลดละ  หน้าตาไม่แสดงอารมณ์คางเชิดสูง  ดูก็รู้ว่าเป็นพวกไม่ยอมคนและเอาเรื่องน่าดู

“มึงกล้า?”  ผมแสยะยิ้ม  ขยับเท้าเข้าใกล้คนตรงหน้ามากขึ้นอีกนิด  ปลายจมูกเราห่างกันแค่นิดเดียว

“ก็ไม่คิดจะหนีอยู่แล้ว”  ผมเพิ่งเคยได้ยินเสียงมัน   เสียงไอ้ครับกังวานเสนาะหู  แต่ในอารมณ์นี้ผมคิดแต่เพียงว่ามันดูยียวนเหลือเกิน 

“เฮ้ย  ไอ้กั๊ก  อย่า”  ไอ้ภูก้าวเข้ามาดึงข้อศอกผมไว้แน่น  “กูขอ”

“แต่ไอ้เน่ามันได้เบอร์น้องกูไป  ส่วนไอ้นี่!”  ผมจ้องไอ้คำนับตาไม่กะพริบ  “มันก็แส่หาเรื่อง”

“ได้ไปแล้วยังไง  ถ้ามันโทร.ไปแล้วเพกาไม่รับเสียอย่าง”

“....”  ทั้งผมทั้งไอ้เน่ายืนนิ่ง

ผมลืมไปได้ไงว่าเพกาไม่ชอบรับโทรศัพท์เบอร์แปลกๆ  ถึงไอ้เน่าจะได้เบอร์ไปแล้วยังไง  มันโทรไป.เพกาก็ไม่รับอยู่ดี  ไอ้เน่าขมวดคิ้วขบริมฝีปากแน่น

“เอ้า  กูอุตส่าห์ไปขอมาจากเพื่อนในห้องน้องเพกา”

“ไอ้เน่า! นี่มึงจะเอาจริงๆ ใช่ไหม?”  มันเขยิบไปแอบอยู่หลังเพื่อนมัน  แต่ไม่วายโผล่หน้ามาพูดกับผม

“โป๊ยกั๊ก  กูขออนุญาตจีบน้องมึงได้ไหม?”

“มึงควรจะทำแบบนี้แต่แรก  ไม่ใช่ไปแอบหาเบอร์น้องกูลับหลังแบบนี้!”

“ก็มึงโหด”

“ถ้ามึงกลัวก็อย่าคิดมาจีบน้องกู”

“ไอ้เน่ากล้า”

“ไอ้ครับ!”  ไอ้เน่าเบิกตามองเพื่อนมันอย่างตกใจ

“ถ้ามึงชอบน้องเพกาจริงๆ มึงควรจะกล้าเข้ามาพูดกับ...พี่ชายเขาตรงๆ”  อื้อหือ  ใจกล้ากว่าเพื่อนมันเยอะ

“แต่...”

“ถ้ามึงไม่ทำให้มันถูกต้องกูจะไม่ช่วยมึงอีกแล้ว”

“มึงอ่า”  ไอ้เน่าเกาะบ่าเพื่อนมันพลางออดอ้อน  มึงควรกลัวกูมากกว่าเพื่อนมึงไหม  ไอ้หน้าจืด!



ผมไม่รู้ว่าหลังจากนั้นนายคำนับกับนวพลมันจะไปคุยอะไรกันต่อ  ผมไม่ยอมให้มันมาจีบน้องผมง่ายๆ แน่  แต่ก่อนอื่นต้องจัดการกับเพื่อนทรยศนี่

หมับ!

“อื้อ!”  ภูธเรศดิ้นแด่วๆ เมื่อผมคว้าคอมันเอาไว้  ผมตัวสูง  มือก็ใหญ่พอจะกำคอขาวๆ ของไอ้ภูได้รอบเพียงใช้แค่มือเดียว

“บอกมา  ว่ามึงห้ามไม่ให้กูต่อยไอ้ครับทำไม”

“ปะ  ปล่อย  แค่ก  กูก่อน!”  ผมปล่อยมันเป็นอิสระ  ไอ้ภูวิ่งไปหลบหลังไอ้ดิน  พลางสูดลมหายใจเฮือกใหญ่ก่อนจะส่งสายตาตัดพ้อมาให้

“อย่ามามองอย่างนี้  มันต่อยมึงปากแตก  กูจะอัดมันคืนเสือกมาห้ามทำไม!”

“ไอ้ครับมันเด็กทุน!”  ภูธเรศตอบด้วยน้ำตาคลอเบ้า  นี่กำลังซึ้งใจที่กูอยากปกป้องมึงใช่ไหม

“แล้วไง?”

“ถ้ามันมีเรื่องชกต่อย  หรือเข้าห้องปกครองมึงคิดว่ามันจะยังได้ทุนเรียนต่อไหม”

“....”  ผมขมวดคิ้วคิดตาม

“กูไม่ใจร้ายขนาดทำให้มันไม่ได้เรียนต่อหรอกนะ”

“ก็เลยยอมให้มันต่อย?”

“เอ้า  ไอ้นี่  ก็บอกแล้วไงว่ากูต่อยกับไอ้เน่า  ไอ้ดินมาห้ามกู  ส่วนไอ้ครับมาห้ามเพื่อนมัน  เลยโดนลูกหลง”

“กูเจ็บ  โมโห  เลยผสมโรงด้วย”  บดินทร์ยักไหล่เอ่ยต่อ

หมดคำพูดกับพวกมันจริงๆ  คราวหน้าถ้ามีเรื่องจะปล่อยให้พวกมันโดนยำจนเละ  ไม่ขอร้องจะไม่ยอมช่วยพวกมันเด็ด  ไอ้พวกบ้าเอ้ย!

แต่ถึงยังไง  ผมก็ไม่ชอบหน้าไอ้ครับนั่นอยู่ดี !














โปรดติดตามตอนต่อไป

สวัสดีค่า  พาโป๊ยกั๊กมาส่งแล้ว คาดว่าตอนต่อไปจะมาส่งอาทิตย์สุดท้ายของเดือนนะคะเนื่องจากต้องห่างคอมพ์สักระยะค่ะ  อย่าเพิ่งลืมโป๊ยกั๊กเสียก่อนนะคะ แฮ่
ปล.ในตอนที่หนึ่งที่ล้อเจ้าภูว่าตีนเท่าฝาไห  นั่นมุกฮาๆ เฉยๆค่ะ

อ่านให้สนุกนะคะ  แล้วพบกันใหม่ค่ะ^^

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ตกลงกั๊กที่คู่กับครับหรือป่าวนะ  :confuse:

ออฟไลน์ no.fourth

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 888
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +36/-1
 :pig4: :pig4:

ออฟไลน์ boonpa

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2359
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +132/-9
 :hao3: โป๊ยก๊กนี่หวงพี่น้องสุด ๆ

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

Re: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอน 3] 7-3-61 P.1
« ตอบ #19 เมื่อ: 08-03-2018 08:06:14 »





ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
โป๊ยกั๊กห้าวมาก แมนมาก นี่ก็ลุ้นอยู่ว่าจะคู่กับใครตอนแรกนึกว่าจะเป็นเบซิลแต่นึกได้ว่าคนนี้ของพี่ไธม์ เพราะฉะนั้นก็เหลือแค่ครับแล้วแหละที่จะมาคู่กับโป๊ย

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
สนุกดีค่ะ

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3
Secret Me  คนนี้ต้องลับ!
ตอนที่4



ผมกะพริบลืมตาตื่นทั้งๆ ที่ท้องฟ้าข้างนอกยังมืดอยู่  เหลือบมองอีกคนซึ่งยังคงหลับสนิทบนเตียงฝั่งตรงข้ามแล้วยกยิ้ม  ค่อยลุกไปนั่งยองๆ ข้างเตียงอีกฝ่าย  มองดูก้อนนุ่มนิ่มใต้ผ้าห่มแล้วอดอมยิ้มไม่ได้  ผมยื่นนิ้วไปจิ้มก้อนนุ่มนิ่มนั่นเบาๆ กัดริมฝีปากพยายามกลั้นเสียงหัวเราะเมื่อกระวานส่งเสียงรำคาญในคอก่อนพลิกตัวหนี  กระวานเป็นคนตื่นยาก  ผมก่อกวนอยู่นานยังไม่มีทีท่าว่าจะตื่นก็เลยเลิกแกล้งแล้วลงไปชั้นล่าง
   
มีเสียงดังมาจากห้องครัวพร้อมด้วยกลิ่นอาหารชวนให้ท้องร้อง  ปรกติเช้าขนาดนี้คนเรามักจะไม่มีอาการหิวสักเท่าไหร่  แต่กับผมที่นานทีจะกินอาหารเช้าแบบนี้จึงไม่มีปัญหา  ผมเดินเข้าไปในครัวเห็นพ่อกำลังทำข้าวต้มกุ้งของโปรดของผม  มีกระเทียมสับเตรียมเอาไว้เจียวโรยหน้า  แป้งแพนเค้กที่ผสมเสร็จแล้ววางไว้อีกด้าน

   “มีอะไรให้ผมช่วยไหมครับพ่อ?”

   “อ้าว  ตื่นแล้วเหรอ  ไม่เป็นไรเดี๋ยวพ่อทำเอง  เราไปนั่งเถอะ  แล้วนี่”  พ่อเทนมร้อนใส่แก้วยื่นส่งให้

   “ขอบคุณครับ”

   “เดี๋ยวพ่อเอาแพนเค้กไปให้”

   ครู่เดียวแพนเค้กแผ่นเล็กสองแผ่นในจานใบสวยก็ถูกวางตรงหน้าพร้อมขวดน้ำผึ้ง  ผมละสายตาจากข่าวภาคเช้าเงยหน้ายิ้มกว้างให้พ่อ

“ขอบคุณครับ”

พ่อก้มลงจุ๊บหน้าผากเหม่งๆ ของผมทีหนึ่งก่อนจะเดินกลับเข้าไปในห้องครัวอีกครั้ง

“ว่าไงเจ้าหญิง?”  แมวสีดำตัวอ้วนเงยหน้ามองเมื่อผมเอ่ยทัก  เจ้าหญิงเดินเข้ามาดมเท้าผมก่อนจะกระโดดขึ้นตักแล้วเงยหน้าร้องเหมียว

ไม่นานทุกคนในบ้านก็ทยอยกันลงมาจากชั้นบน  เริ่มจากแม่ที่แลกเวรให้ได้กลับมานอนบ้านแล้วไปเข้าเวรอีกทีวันพรุ่งนี้  แม่ลงมาพร้อมรอยยิ้มและฝีเท้าเร็วรี่  ผมลุกขึ้นยืน  กางเท้ากว้างเสมอไหล่หยัดขายืนให้มั่นคงเพื่อเตรียมรับแรงโถมจากคลื่นยักษ์ลูกที่หนึ่ง

“คิดถึงจัง!”

“คิดถึงแม่เหมือนกันครับ”

ตึง ตึง ตึง  เสียงฝีเท้าของอีกสองคนดังขึ้นตามหลัง  แม่พลิกตัวออกจากอ้อมแขนผมไปยืนอยู่ด้านข้าง  เพกาที่ลากกระวานผู้ซึ่งหลับตาเดินลงมาจากชั้นบน  พอถึงตีนบันไดก็ทิ้งพี่ชายให้ยืนกอดผ้าห่มหลับอยู่ตรงนั้น  ส่วนตัวเองวิ่งแล้วกระโจนเข้าหาผม  ผมอ้าแขนจิกเท้าเตรียมรับแรงโถมจากคลื่นยักษ์ลูกที่สอง

“คิดถึงจังค่ะ!”

“คิดถึงเราเหมือนกัน”  ผมกอดน้องสาว  ก้มลงจุ๊บแก้มสองข้าง  ผมขยับเก้าอี้ให้แม่กับเพกานั่งก่อนจะเดินเข้าไปในครัว  หยิบถาดแพนเค้กที่พ่อทำเสร็จแล้วออกมาวาง  แก้วเปล่า  เหยือกนมร้อนของเพกา  ถาดกาแฟของแม่   ผมหันไปมองก้อนกลมๆ ตรงตีนบันไดแล้วส่ายหัวเดินเข้าไปหยุดยืนหน้ากองผ้าห่มนั่น

“กระวาน”

“อืม”

“พี่กระวาน?”

“อืม”  ตอบรับยังเป็นคำสั้นๆ คำเดิม  ผมยิ้มกับท่าทางนั้นก่อนก้มลงวาดแขนอุ้มทั้งคนทั้งผ้าห่มขึ้นมา  กระวานไม่ใช่คนตัวเล็ก  แถมหนักเอาเรื่อง  แต่ว่าผมแรงเยอะ  แค่นี้น่ะไหวอยู่แล้ว

“เหวอ!”  กระวานร้องเสียงหลงเมื่อโดนอุ้มตัวลอย

“ตื่นได้แล้วครับ  อาหารเช้าพร้อมแล้ว”  ผมวางเจ้าก้อนนุ่มนิ่มลงบนเก้าอี้  หัวเราะกับหน้าตาเหรอหราของพี่ชาย  กระวานเอาแต่จ้องหน้าผมตาไม่กะพริบ

อาหารเช้าทยอยวางลงบนโต๊ะ   เพกาขยับเก้าอี้เข้ามาชิดกับผม  นางฟ้าของบ้านคล้องแขนพลางเอียงหัวซบต้นแขนอย่างออดอ้อน  ผมยีหัวน้องสาวด้วยความเอ็นดู  ปกติเพกาไม่ค่อยมาอ้อนแบบนี้สักเท่าไหร่อาจเป็นเพราะอายุของเราใกล้กันกว่าพี่น้องคนอื่นๆ ในบ้านจึงให้ความรู้สึกเหมือนเพื่อนกันมากกว่า  อีกข้างของผมถูกขนาบด้วยคุณแม่  ความจริงที่นั่งของแม่คือข้างๆ พ่อ  ตรงนี้เป็นที่นั่งของพี่ใบไธม์  เพราะภาระงานพี่ชายคนโตของบ้านนานๆ ทีจึงจะได้กลับมากินข้าวกับครอบครัว  แต่ผมคาดว่าวันนี้พี่ไธม์คงเตรียมเคลียร์งานไว้แล้วเรียบร้อย  ในหนึ่งเดือนพี่ไธม์จะกลับมากินข้าวบ้านอย่างน้อยเดือนละสองวัน  เพราะถ้าพี่ชายไม่กลับบ้านผมคงไม่ค่อยมีโอกาสเจอหน้าหากไม่ได้รับอนุญาต

“มีอะไร?”  ผมถามคนฝั่งตรงข้าม  กระวานยังคงไม่ละสายตาจากผม  พอโดนทักก็เหลือบสายตามองรอบโต๊ะอาหาร  พ่อหัวเราะกับท่าทางนั้น

“เช้าแล้วลูก”

“อ๊ะ  นี่เป็นวันนั้นของเดือนเหรอ?”  กระวานยอมกะพริบตาเสียที  ผมถอนหายใจโล่งอกเพราะกลัวเขาตาค้างจนกะพริบไม่ได้

“ใช่ค่ะ”  เพกาตอบ  ยังไม่ละจากต้นแขนผม  ปกติคนที่โดนเพกาอ้อนมากที่สุดในบ้านคือพี่ไธม์

“เอาล่ะ  รีบกินได้แล้ว  เดี๋ยวต้องไปส่งน้องๆ ที่โรงเรียนอีก”

“ไปสภาพนี้อ่ะนะ?”  กระวานเอาช้อนชี้ผม  พ่อเลยตีมือไปหนึ่งที

“อย่าเอาช้อนชี้หน้าน้อง  ใช่  นี่ไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อย  ทำเป็นตื่นเต้นไปได้”


กระวานมาส่งผมกับเพกาที่โรงเรียน  เขามองส่งผมเดินเข้าโรงเรียนคล้ายไม่วางใจ  โธ่เอ้ย  ก็บอกแล้วไงว่าผมมาโรงเรียนในสภาพนี้ไม่ใช่ครั้งแรก  อย่างน้อยก็เดือนละสองครั้งนั่นแหละ  ผมโบกมือไล่พี่ชายคนรองให้รีบไปช่วยพ่อที่ร้าน

“ไง”  ผมยกมือทักทายเพื่อนสนิททั้งสองคนพร้อมรอยยิ้มกว้าง  เพกายังคงคล้องแขนผมไม่ปล่อยจนถึงตอนนี้

“หือ?”  ภูธเรศเดินเข้ามาพร้อมบดินทร์  ทั้งสองคนเลิกคิ้วมองผมกับน้องสาว  “อ้อ  วันนั้นของเดือน”

“พวกนายพูดยังกับเราเป็น  เอ่อ  แบบนั้น”  ได้แต่ยิ้มแหยกับคำเปรียบเปรยของเพื่อน

“ผู้หญิงยังดีที่เป็นวันนั้นของเดือนแค่เดือนละครั้ง  แต่นายนี่เดือนหนึ่งสองครั้งแน่ะ”  ภูธเรศชูนิ้วสองนิ้วขึ้นมาให้ดู

“ไม่เอาแล้ว  รีบไปเข้าแถวกันดีกว่า”

ผมกับเพกาแยกกันเอากระเป๋าไปไว้ในห้องก่อนไปทำกิจกรรมตอนเช้าของโรงเรียน  พวกผมเดินสวนกับนายนวพลและนายคำนับ  นวพลมองหน้าผมพลางขยับเท้าหนี  ส่วนผมน่ะเหรอ  ยิ้มกว้างพร้อมโบกมือทักทาย  นวพลถึงกับเบิกตากว้าง  คำนับขมวดคิ้วหรี่ตามอง  คงกำลังคิดในใจว่าวันนี้ผมมาไม้ไหนถึงได้ส่งยิ้มให้


ช่วงพักกลางวันผมรีบวิ่งไปโรงอาหารเพื่อซื้อขนมปังเนื่องจากข้าวกล่องที่พ่อเตรียมให้ถูกภูธเรศกับบดินทร์แย่งเอาไปกินตั้งแต่คาบสอง  ผมเล็งขนมปังเนยสดชิ้นสุดท้ายบนชั้นแล้วพุ่งเข้าไปหยิบ  เป็นจังหวะเดียวกันกับมือของใครบางคนคว้าหมับพร้อมกัน  ผมหันไปมอง

ครับ  คำนับ  ตีรนันท์

คำนับมีดวงตาและเรือนผมสีน้ำตาลเข้ม  ผิวขาวซีด  รูปร่างผอมสูง  สัดส่วนความโย่งนั้นน้อยกว่าผมแค่ไม่กี่เซนติเมตร  หน้าตาค่อนทางไปทางไม่รับแขก  พอมายืนประจันกับคนหน้าตาไม่สนโลกอย่างโป๊ยกั๊ก  เลยเหมือนว่าทั้งสองคนกำลังจะมีเรื่องต่อยตีกัน  เราต่างมองหน้าอีกฝ่าย  ไม่มีใครยอมปล่อยขนมชิ้นสุดท้ายให้หลุดจากมือ  ผมขมวดคิ้ว  เขาก็ขมวดคิ้ว

“ฉันหยิบก่อน”

“เราหยิบก่อน”  ผมเถียง  เรื่องของกินสำหรับผมอย่างน้อยไปซื้ออย่างอื่นกินได้  แต่กับคนนี้ไม่รู้ทำไมผมถึงไม่อยากยอมอ่อนข้อให้  อาจเพราะหน้าตาไร้อารมณ์ของอีกฝ่าย  หรืออาจเป็นเพราะหน้าตาแบบนักเลงโตทั้งๆ ที่เป็นเด็กเรียนของเขา  หรือความจริงอาจเป็นเพราะความรู้สึกลึกๆ ของโป๊ยกั๊ก

“นาย!”  คำนับยกเท้าเตรียมกระทืบลงบนเท้าผม  เขาคำรามในคอไม่พอใจเมื่อผมขยับเท้าหลบได้  พอพลาดก็พยายามแงะนิ้วผมออกจากห่อขนมปัง  ผมตีหลังมือเขา  เขาตีแขนผม  ขนมยังคงอยู่ในมือเราสองคน  สุดท้ายผมฟันสันมือลงบนท้องแขนของคำนับรวดเร็วและเต็มแรงเหมือนที่โป๊ยกั๊กเคยทำ

“โอ๊ย!”

“ขอบใจ!”  ผมยิ้มร่า  หรี่ตามองแขนที่สั่นระริกของคำนับจากการโดนตีแล้วรู้สึกอารมณ์ดีขึ้นมาแบบไม่รู้สาเหตุ  โธ่เอ้ย  นี่ผมติดนิสัยเสียของโป๊ยกั๊กมาใช่ไหม  ปกติผมไม่ชอบอะไรแบบนี้เลยจริงๆ นะ  ผมไม่อยากเจ็บตัวเลยไม่เคยรังแกใครในร่างนี้มาก่อน

ผมจ่ายเงินให้ป้าแม่ค้า  แกะถุงขนมกินต่อหน้าต่อตาคำนับด้วยท่าทางเอร็ดอร่อยแล้วหันหลังเดินจากมา  ตอนที่กำลังจะพ้นโรงอาหารผมหันกลับไปมอง  เห็นเขาหยิบขนมปังไส้อื่นขึ้นมาจ่ายเงิน

ดีนะ  อย่างน้อยเขาก็ไม่โง่ปล่อยให้ท้องตัวเองหิวเพราะโดนแย่งขนมปังที่ชอบ

ว่าแต่พอแกล้งเขาเสร็จทำไมผมมีความสุขจัง?

โธ่  นี่น่ะต้องเป็นนิสัยของโป๊ยกั๊กซิ  ไม่ใช่นิสัยกานพลู!



“เฮ้ย  วันนี้มึงรีบกลับเหอะ  เดี๋ยวพวกกูทำเวรให้เอง”  ภูธเรศเอ่ยหลังเลิกเรียน  บดินทร์พยักหน้าเห็นด้วย

“รบกวนพวกนายทุกทีเลยอ่ะ  เราเกรงใจนะเว้ย”

“เอาน่า  นานๆ ที  อีกอย่างวันนี้พี่ไธม์จะกลับบ้านด้วยใช่ไหมล่ะ  มึงไม่ได้เจอพี่เขาบ่อยๆ นี่หว่า”

“งั้นขอบใจมากนะ!”  ผมโทร.หาเพกา  บอกว่าวันนี้จะกลับบ้านพร้อมกัน  บอกกระวานให้รอรับด้วย

ปกติกระวานมีหน้าที่มาส่งพวกเราสองพี่น้องตอนเช้า  ขากลับมารับแค่เพกา  ส่วนผมกลับเองเพราะอยู่เล่นกีฬาบ้าง  ไปทำกิจกรรมอื่นๆ กับเพื่อนบ้าง

“พี่ไธม์จะมาค่ำๆ”  กระวานบอกเมื่อพวกเราขึ้นมาบนรถ

“งั้นไปช่วยงานที่ร้านก่อนก็ได้”

ร้านอาหารของเราอยู่แถบชานเมือง  เป็นร้านเล็กๆ เน้นความอบอุ่นเหมือนครอบครัว  พวกสาวๆ จะชอบมาก  ผมก็ชอบเหมือนกันเวลามีคนน่ารักๆ แวะเวียนมาที่ร้าน  แต่กระวานชอบบ่นผมว่าทะลึ่ง  อะไรกันเล่า  ชีวิตหนุ่มน้อยมันก็ต้องมีบ้างไม่ใช่หรือไง

ผมเปลี่ยนชุดแล้วสวมผ้ากันเปื้อนสีชมพูที่มีตาสัญลักษณ์ของร้านเป็นรูปปิ่นโต  ดูน่ารักหวานแหวว   นี่น่ะพ่อเป็นคนออกแบบเองเลยนะ  น่ารักมาก!

อะแฮ่ม!

“รับอะไรดีครับ?”

“มีขนมหรือเปล่าคะ?”  น่ารักมาก! สาวสวยน่ารักแบบฉบับญี่ปุ่นเลยครับ

“มีครับ”

“ขนมแนะนำของทางร้านคืออะไรคะ?”  ผมยิ้มกว้างเต็มใจนำเสนอ

“คุกกี้ครับ”

“เอ๊ะ?”

“คุกกี้เสี่ยงทายครับ”  ผมกำลังจะร้องเพลงคุกกี้เสี่ยงทายพร้อมขยับเท้าเตรียมเต้นให้พวกเธอดู  ก็ต้องชะงักหัวเกือบทิ่มเมื่อโดนฟาดหัวจากทางด้านหลัง

“ทำบ้าอะไรของนาย!”  ผมเหลือบมองถาดกลมในมือกระวานแล้วเบ้หน้าทำปากยื่น

“ไม่ได้ทำบ้าสักหน่อย”

“ถ้านายเต้นคุกกี้เสี่ยงทายกลางร้านอาหารแล้วเกิดหมอนั่นรู้เข้า  อย่าหวังว่านายจะได้ออกมาอีกเชียว”  พอได้ยินคำขู่ของกระวานแล้วรู้สึกห่อเหี่ยวขึ้นมาเลย

“ไม่มีทางรู้หรอก  อย่างหมอนั่นน่ะ...”  ท้ายประโยคเสียงของผมเบาลง  ใจมันฟ่อไปหมดเลย

“ทำไมคะ  เพลงนี้ไม่ดีตรงไหน?”  เพกาที่เดินเข้ามาได้ยินคล้องแขนผมเอาไว้

“ไม่ดีตรงที่เจ้านี่ตัวโตยังกับตึกแล้วมาเต้นท่าน่ารักบ้องแบ๊วไง”  กระวานตอบเสียงดัง

“ตัวโตก็น่ารักได้นี่คะ”  น้องคนเล็กของบ้านไม่ยอม  เพกาชอบเพลงนี้มาก  ถึงขนาดเต้นได้จนจบเพลง  เห็นว่างานปีใหม่โรงเรียนห้องของเพกาจะแสดงโชว์เต้นเพลงนี้ด้วย

“นี่อ่ะนะน่ารัก?”  กระวานเอาถาดชี้ผม

“ไม่เอาแล้ว  ไม่คุยกับพี่กระวานแล้ว  ไปค่ะ  เราไปนั่งดูเพลงนี้กันในห้องดีกว่า”  เพกาลากแขนผมไปหลังร้าน  ทิ้งให้กระวานโวยวายตามหลัง

“เฮ้ย  แล้วใครจะช่วยงานในร้านเนี่ย”

“ก็พี่กระวานไง!”  เพกาหันไปตอบเสียงดังไม่แพ้กัน

เนี่ย  คนที่เสียงดังที่สุดในบ้านเราก็คือเพกาแหละ!


ช่วงเวลาอาหารเย็นวันนี้เป็นสิ่งที่ผมรอคอย  วันนี้พ่อปิดร้านเร็วกว่าเดิมสองชั่วโมง  พวกเรานั่งรถกลับบ้าน  พอถึงพ่อก็เข้าครัวเตรียมอาหารเย็น  ผมช่วยพ่อเท่าที่ช่วยได้  ส่วนกระวาน  นู่น  หมดแรงนั่งฟุบอยู่ตรงโต๊ะในห้องรับแขก  ผมได้ยินเสียงบิ๊กไบท์เข้ามาจอดหน้าบ้าน  คาดว่าน่าจะเป็นแม่ที่กลับมาจากโรงพยาบาลเพราะโดนตามเนื่องจากมีเคสด่วน  หวังว่าวันนี้แม่จะไม่พาอะไรตามกลับมาด้วยนะ  ไม่งั้นบ้านแตกแน่

ผมชะโงกหน้าออกมาจากในครัว  คนที่เดินเข้ามาไม่ใช่แม่แต่เป็นพี่ชายคนโตของบ้าน  พี่ใบไธม์ส่งยิ้มมาตั้งแต่ปากประตูเมื่อเห็นผม  ก่อนหันไปมองกระวานที่ฟุบหลับ  กระวานติดนิสัยใส่หูฟัง  ขนาดอยู่ในบ้านบางครั้งยังลืมตัว  พี่ไธม์ส่ายหัวเดินเข้าไปเขย่าปลุกจอมขี้เซา  เรียกอยู่นานก็ไม่ตื่น  ผมชี้นิ้วที่หูตัวเองตอนพี่ไธม์เงยหน้ามองผม  พี่ชายหัวเราะยื่นมือไปดึงหูฟังออกจากกระวาน

“กระวาน  ตื่นเถอะ  นอนอย่างนี้จะเมื่อยเอานะ”

“อื้อ  พี่ไธม์?”  กระวานยืดตัวขึ้นบิดขี้เกียจ

เพกาเพิ่งอาบน้ำเสร็จลงมาจากชั้นบน  พอเห็นพี่ไธม์ก็วิ่งเข้าไปกอดแขนออดอ้อน  ผมวิ่งเข้าไปบ้าง  อยากลองกอดแขนพี่ไธม์อย่างที่เพกาทำ  แต่ติดว่าผมตัวโตเกินไปสุดท้ายเลยกอดคอพี่ชายแทน

“อาหารเย็นวันนี้ผมช่วยพ่อทำด้วยนะ”  คุยโวสักหน่อยเผื่อพี่ชายชม

“ช่วยเยอะมาก  แค่หั่นผักเนี่ยนะ?”  กระวานลุกขึ้นไปเทน้ำเย็นใส่แก้วส่งให้พี่ไธม์

“รู้ได้ไงว่าผมแค่หั่นผักน่ะ?”

“แค่นายจับมีดก็หั่นนิ้วตัวเองแล้ว”

“โหย  ดูถูกมาก!”

“แปลว่าไม่ได้ดูผิดใช่ไหมล่ะ?”  กระวานยักคิ้วใส่  พี่ไธม์กลายเป็นเดือนถูกดาวล้อมยิ้มกว้างกับน้องๆ ทั้งสามคนที่ล้อมหน้าล้อมหลัง  พ่อโผล่หน้ามาจากห้องครัวเอ่ยทักทายลูกคนโต

“ไธม์จะอาบน้ำก่อนไหม?”

“ไม่เป็นไรครับ  อยู่คุยกับน้องก่อนดีกว่า”

“หืม?  ไธม์?  มานั่งนี่มา”  แม่ที่เพิ่งมาถึงทรุดตัวลงนั่งบนโซฟาหลับตาพักครู่หนึ่งก็ผงกหัวขึ้นมามองพวกเรา  ตบที่นั่งข้างตัวให้ลูกชายคนโตเข้าไปหา  เพกากับผมเกาะหนึบพี่ชายไม่ยอมปล่อย  พี่ไธม์เลยต้องกระเตงลูกลิงสองตัวไปนั่งด้วย

“เหนื่อยไหมลูก?”

“ได้เจอทุกคนก็หายเหนื่อยแล้วครับ”

“ได้เจอทุกคนผมก็ชื่นใจเหมือนกัน”  ผมยิ้มกว้าง

“พี่ก็ดีใจที่ได้เจอเรา  กานพลู”

ใช่  ผมคือกานพลู  ผมคือเงาของโป๊ยกั๊กที่สามารถออกมาจากกระจกได้ในวันแรมสิบห้าค่ำของทุกเดือน  แค่คืนเดือนดับเท่านั้นที่ผมจะมีตัวตน...

เพราะผมออกมาได้แค่วันนี้ทุกคนจึงพร้อมใจกันกลับบ้านเพื่อให้ได้อยู่ด้วยกันแบบพร้อมหน้าพร้อมตา  เป็นหนึ่งวันที่ผมมีความสุขมาก  เป็นวันนั้นของเดือนอย่างที่ภูธเรศกับบดินทร์เรียก  เป็นลูกชายคนที่สี่ของบ้านต่อจากโป๊ยกั๊ก  เป็นหนึ่งในครอบครัวที่ทุกคนยอมรับ

ยกเว้นก็แต่....

ช่างเถอะๆ  ผมไม่ถนัดอะไรเศร้าๆ หมองๆ แบบนี้สักหน่อย

คืนนี้พี่ไธม์นอนบ้าน  ช่วงหัวค่ำผมเห็นมีสายเข้า  เหมือนจะโทร.ตามให้พี่ไธม์กลับคอนโด  แต่นี่น่ะพี่ชายบ้านผมนะ  เรื่องอะไรผมจะยอมให้ไปง่ายๆ ผมรู้หรอกว่าปลายสายคือใคร  มีคนเดียวแหละที่ตอนนี้อยู่ในคอนโดพี่  เบซิล...

เห็นว่าเบซิลเดินเข้ามาให้พี่ไธม์จับด้วยตัวเอง  ไม่รู้ว่าเพราะอะไร  ทั้งๆ ที่ก่อนหน้านี้ทางการตามตัวเขาได้ยากกว่างมเข็มในมหาสมุทรเสียอีกและไม่รู้ว่าทำอีท่าไหนถึงกลายมาเป็นช่วยงานพี่ไธม์ได้  ผมเคยเจอเขาครั้งหนึ่งตอนไปส่งข้าวให้พี่ไธม์  ไม่ซิ  สองครั้งรวมถึงตอนโป๊ยกั๊กไปเจอด้วย  โป๊ยกั๊กไม่รู้ว่าก่อนหน้านี้ผมเคยเจอเบซิลแล้ว  ผมค่อนข้างตื่นคนแปลกหน้าประเภทนี้  ประเภทที่ดูอันตราย  เดาว่าตอนนี้เขาคงรู้ความลับของผมกับโป๊ยกั๊กแล้ว  ก็ได้แต่ภาวนาว่าให้เบซิลไม่เป็นอันตรายกับพี่ไธม์  และถ้าเบซิลชอบพี่ไธม์จะดีมาก  เพราะเขาจะไม่มีวันทำร้ายพี่ไธม์เด็ดขาด  นี่เป็นสังหรณ์ของโป๊ยกั๊กเขาล่ะ

“ทำไมครีมไปกองอยู่บนคิ้วล่ะนั่น?”  พี่ชายคนโตหัวเราะหลังผมออกมาจากห้องน้ำ

“เอ้า  ก็มองไม่เห็นนี่นา”  ผมยื่นหน้าไปให้พี่ไธม์เกลี่ยครีมบนหน้า

น่าแปลกว่าเวลาที่ผมออกมาจากกระจก  ตอนที่ผมเป็นกานพลูแล้วส่องกระจก  ในนั้นจะไม่สะท้อนสิ่งใดออกมา ...ไม่มีเงา...  เราไม่ได้สลับที่กัน  มันก็เหมือนโป๊ยกั๊กหลับแล้วผมก็ตื่นขึ้นมาในร่างของโป๊ยกั๊ก  แบบนั้น..

นั่นเพราะผมคือเงา  ผมเป็นสิ่งสะท้อนของโป๊ยกั๊ก  เมื่อผมออกมาจากกระจก  ในกระจกจึงว่างเปล่า

เนี่ย  มันก็เลยลำบากไง  ส่องกระจกไม่ได้  เวลาจะเสริมหล่อเลยลำบากพี่ๆ น้องๆ ต้องแต่งตัวให้ตลอด

หวังว่าพรุ่งนี้เช้าตื่นมาโป๊ยกั๊กคงไม่อาวะลาดจนบ้านแตกนะ

เอาล่ะ  คืนนี้ก็ราตรีสวัสดิ์ 


*********



ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3
v
v
v



เช้านี้เป็นเช้าที่ผมหงุดหงิดที่สุด  ช่วงเช้ามืดผมลุกขึ้นมาซ้อมมือกับพี่ไธม์  จังหวะที่คิดว่าจะชนะแน่พี่ชายดันพูดขึ้นมาว่า ‘ได้ยินว่าเมื่อวานจะเต้นเพลงคุกกี้เสี่ยงทายกับเพกาเหรอ’  เท่านั้นแหละ  ผมสะดุดเท้าตัวเองล้มหัวคะมำและไม่ยอมลุกขึ้นมาอีกเลย  พี่ไธม์หัวเราะเดินมาฉุดผมขึ้นจากพื้น  ผมคาดโทษเจ้ากานพลูในใจ  หลังจากนั้นก็เอาผ้าไปคลุมกระจกทุกบานในบ้าน  อย่าหวังว่าจะได้ออกมาถ้าไม่ได้รับอนุญาต!

อาหารกลางวันวันนี้เป็นแซนวิซกับสลัดผัก  ผมไม่อยากยุ่งยากเพราะพ่อทำอาหารให้พี่ไธม์ก็รวบทำให้ทุกคนเหมือนกันไปเลยทีเดียว   ผมกับเพื่อนอีกสองคนหลบไปนั่งใต้ต้นเสลาเงามามี  เอ่อ  หมายถึงต้นมันไม่ใหญ่มากพอจะมีเงากว้างขวางน่ะ  พอเปิดกล่องอาหารถึงนึกขึ้นได้ว่าลืมซื้อน้ำ

“เดี๋ยวกูไปซื้อน้ำก่อน”

“งั้นฝากซื้อน้ำมะพร้าวปั่น”  ไอ้ดินยื่นเงินให้

“ของกูน้ำนางเอก”

“ถุย  อย่างมึงนี่ต้องโจรป่า!”  ผมตบหน้าผากไอ้ภูไปหนึ่งทีฐานกระแดะอยากเป็นนางเอก  ถามไอ้ดินหรือยังว่ามันจะยอมเป็นพระเอกให้มึงไหม

ผมหรี่ตามองคนที่กำลังเดินอยู่ข้างหน้า   ความคิดหนึ่งผุดขึ้นในหัวก่อนจะสาวเท้าเข้าไปประชิด  ยกแขนขึ้นคล้องคออีกฝ่ายจากด้านหลัง  ทำให้เหยื่อของผมชะงักเซถอย  ปฏิกิริยาของหมอนี่ไวใช้ได้เมื่อรู้ตัวว่าถูกจู่โจมก็เอียงตัวหนี  แต่ผมไวกว่า  ผมขยับเท้าตามหนึ่งจังหวะออกแรงกดเขาเข้าหาตัวดึงให้อีกฝ่ายมาแนบชิดจนเคลื่อนไหวไม่สะดวก

“นาย!”

“อ่าฮะ  ฉันเอง”  ผมยกคิ้วให้อีกฝ่าย

“ปล่อย!”

“ไม่  แล้วนี่นายจะไปไหน?”

“โรงอาหาร”

“อ่าฮะ”  ผมเหลือบมองขวดน้ำเย็นในมือของคำนับแล้วยกยิ้ม  “ขอนะ”

“ไม่ให้!”  คำนับอาศัยช่วงที่ผมเผลอผ่อนแรงพลิกตัวหลุดรอดหนีไปได้  ผมตามกระชากหลังเสื้อ  อีกฝ่ายหันมาส่งหมัดจนต้องเอี้ยวตัวหลบ  เลยส่งหมัดคืนบ้างหากเขายกแขนกันเอาไว้ได้  ขยับจะเหยียบเท้าก็ก้าวถอยหนี  ผมหัวเราะในคอเมื่อหยอกอีกฝ่ายอยู่นานจนเขาต้องหายใจหอบ  ผมฉวยโอกาสนั้นพลิกตัวรวดเร็วยกขาเข่าใส่หลังขาอีกฝ่ายเต็มแรง

คำนับถึงกับทรุดคุกเข่าลงกับพื้น  ผมคว้าหมับเข้าหลังคอบังคับให้อีกฝ่ายอยู่นิ่งๆ ที่เล่นด้วยเมื่อกี้คิดว่าผมเอาจริงงั้นเหรอ  นั่นน่ะแค่หยอกเท่านั้นแหละ  ถ้าผมเอาจริงขึ้นมาสงสัยได้นอนหยอดข้าวต้มแน่

“มีอะไร?”  ถึงจะสู้ไม่ได้หากน้ำเสียงกลับไม่ยอมแพ้

“ไปซื้อน้ำให้หน่อย”

“อะไรนะ?”

“ขี้เกียจเดิน  มันร้อน”

“.......”

“ได้ยินที่พูดไหมนี่?”  ผมทรุดตัวลงนั่งซ้อนหลัง  กระซิบถามเมื่อไม่เห็นอีกฝ่ายตอบกลับมา

“นายก็ไปซื้อเองซิ”

“ก็บอกอยู่นี่ไงว่าขี้เกียจ  แถมร้อนด้วย”

“ไม่! อื้อ!”  ผมออกแรงบีบมากขึ้นทันทีที่ได้ยินคำปฏิเสธ  ยอมรับว่ากำลังทำเรื่องไม่ดีไม่งามกับเพื่อนร่วมโรงเรียนอยู่  แต่ผมยังไม่หายหงุดหงิดนี่หว่า  อีกอย่างหมอนี่เป็นเพื่อนสนิทไอ้เน่า  คนที่กล้าบังอาจมาจีบเพกา  เล่นงานทั้งหมอนี่ทั้งไอ้เน่านี่แหละแก้อาการอารมณ์เสีย!

“จะไปหรือไม่ไป?”  กดเสียงให้ต่ำลงอีกนิดเพื่อความโหด

“ก็ได้!”  คำนับกระแทกเสียงตอบรับ

“น้ำมะพร้าวปั่น  น้ำส้มกับน้ำเก๊กฮวย”  ผมยื่นเงินให้  คำนับคว้าไป...  กระชากไปจนผมคิดว่าแบงค์ร้อยจะขาดคามือเสียแล้ว  ผมเดินกลับมาหาเพื่อนแล้วกินแซนวิซต่อ

“ไหนน้ำ?”  ภูธเรศเงยหน้าถาม

“ให้เด็กไปซื้อให้แล้ว”

“เด็กไหนวะ?”  บดินทร์ขมวดคิ้วสงสัย  ผมยกยิ้ม

“ไอ้ครับ  ห้องสอง”

“เฮ้ย  แล้วมึงไปใช้มันทำไม?”

“กูหมั่นไส้มัน”

“เอ้า  มึงนี่”

“ก็มันเป็นเพื่อนไอ้เน่า  อีกอย่างกูยังไม่หายหงุดหงิดกับกานพลู  ไอ้ครับเสือกโผล่เข้ามาในสายตากูพอดี  ช่วยไม่ได้”  ยักไหล่ว่าหมอนั่นผิดเองที่เดินเข้ามาในลานสายตาผม

“มึงนี่มันจริงๆ เล้ย”

ผมนั่งคิดอะไรไปเรื่อยเปื่อยพลางกัดแซนวิซจนหมด  จนเสียงกริ่งบอกเวลาเข้าเรียนภาคบ่ายนั่นแหละถึงได้รู้ตัวว่าน้ำที่ฝากซื้อยังมาไม่ถึงมือ

“กูว่าแม่งเชิดเงินหนีไปแล้วม้าง?”

“....”

ดังนั้นพอกริ่งบอกเวลาเลิกเรียนผมรีบวิ่งตรงไปยังห้องสองทันที  ให้ภูธเรศถามคนอื่นดูว่าห้องสองเรียนวิชาอะไรพอรู้ก็เตรียมลับหมัดไว้พร้อม  คำนับ  นายโดนแน่!

“ไอ้ครับเหรอ?  พอกริ่งดังมันก็ออกไปแล้ว”

ไวกว่าผมอีก!

ผมวิ่งไปทางห้องน้ำเมื่อถามคนอื่นๆ ว่าไอ้ครับไปทางไหน  เห็นหลังมันแวบหายไปทางสนามหลังโรงเรียนก็รีบตามไป  ตอนแรกตั้งใจว่าจะเข้าไปกระชากมันมาชกสักทีโทษฐานที่มันเชิดเงินผมหนี  แต่เห็นท่าทางมันหันซ้ายเหลียวขวาเหมือนกลัวใครมาเห็นผมเลยหลบอยู่หลังพุ่มไม้แอบดู

รั้วโรงเรียนล้อมไว้สูงก็จริง  แต่พวกเด็กเกเรมักจะมามั่วสุมกันแถวนี้และแอบหนีโรงเรียนบ่อยๆ จึงมีเก้าอี้กับโต๊ะมาวางไว้ใต้กำแพงอยู่หลายตัว  อาจารย์ฝ่ายปกครองเคยมากวาดล้างไปหลายทีแต่ก็ยังมีมาอยู่เรื่อยๆ ไม่ขาด

ผมเห็นมือหลายคู่จับขอบกำแพงก่อนที่หัวของใครอีกหลายคนจะโผล่ออกมา  พวกมันปีนข้ามกำแพง  กระโดดเข้ามายืนอยู่หน้าไอ้ครับ

ไอ้เปรี้ยว?

ไอ้เปรี้ยวเด็กช่างกลที่ผมไม่ค่อยชอบหน้า โดยปกติพวกเราสองโรงเรียนไม่ค่อยแวะมาข้องเกี่ยวกันต่างคนต่างอยู่  ทำไมวันนี้มันแอบปีนเข้าโรงเรียนผม  แล้วไอ้ครับไปรู้จักมันได้ยังไง

ผมควานหาโทรศัพท์มือถือมาเปิดโหมดวิดีโอเพื่อถ่ายเหตุการณ์ตรงหน้า  เห็นสีหน้าไม่สู้ดีของคำนับแล้วอดสงสัยไม่ได้ว่าพวกมันเกี่ยวข้องกันยังไง

หรือคำนับมันจะค้ายา?

ไม่ได้การล่ะ  ผมต้องถ่ายวิดีโอเก็บไว้เป็นหลักฐาน  ผมรู้ว่าไอ้เปรี้ยวมันติดยาแต่ไม่รู้ว่าขายด้วยหรือเปล่า  ผมเคยช่วยพี่ไธม์หาข้อมูลพวกเด็กเกเรอยู่พักหนึ่งส่งให้หน่วยเพื่อนพี่ไธม์  อีกอย่างคำนับมันเป็นเด็กทุน  เห็นภูธเรศบอกว่ามันกำลังขอทุนเรียนต่อมหาวิทยาลัยด้วย  ขืนมันคบกับไอ้เปรี้ยวจริงคงไม่ได้ทุนเรียนต่อแน่

“ว่าไง  คิดได้หรือยัง?”

“อือ  กูขอเวลาคิดอีกนิด”  คำนับพยักหน้า  ไอ้เปรี้ยวยกยิ้ม  หน้าตาเลวๆ ของมันดูเลวกว่าเดิมหลายสิบเท่าเวลามันยิ้มแบบนี้

“คิดให้ดี เงินไม่ใช่น้อยๆ” ไอ้เปรี้ยวพ่นควันบุหรี่ใส่หน้าคำนับ   

“แล้วกูจะได้เงินตอนไหน?”  มันถามพลางหันหน้าหนีควัน

“ถ้ามึงบอกปฏิเสธทางโรงเรียนเมื่อไหร่ก็เมื่อนั้น”

“แล้วกูจะแน่ใจได้ยังไงว่าคนที่จ้างมึงมาจะจ่ายเงินกูจริง”

“อันนี้มึงก็ต้องยอมเสี่ยงเอาเอง”

“....”  คำนับยืนนิ่งกำหมัดแน่น  คงรู้สึกโกรธเพราะไม่มีอะไรยืนยันในสิ่งที่มันตัดสินใจ  ผมขมวดคิ้วตอนเห็นไอ้เปรี้ยวตบแก้มคำนับเบาๆ พร้อมรอยยิ้มมุมปาก  ตาเจ้าเล่ห์ของมันจับจ้องคนตรงหน้าไม่วางตา  ไอ้เปรี้ยวแกล้งอ้อยอิ่งปลายนิ้วไว้บนแก้มคำนับอยู่นานกว่าจะยอมดึงมือกลับไป

คำนับไม่ใช่คนหล่อเหลา เพียงแค่หน้าตาดีแบบธรรมดาบ้านๆ คิ้วเรียวยาวพาดเฉียง  จมูกโด่งริมฝีปากบาง  หน้าตามันดูยียวนคล้ายนักเลงโต  บางครั้งก็ดูรั้นๆ จนอยากแกล้ง  คำนับเป็นคนตัวสูงเพราะแบบนั้นเลยทำให้ดูผอมมาก  ผิวติดจะขาวซีดแบบเด็กขาดสารอาหาร  ไม่เห็นมีจุดไหนที่จะทำให้ไอ้เปรี้ยวมันติดใจจนอยากเขมือบเลยนี่นา

“อาทิตย์หน้ากูจะมาเอาคำตอบ”

ไอ้เปรี้ยวกับพรรคพวกปีนกำแพงกลับออกไป  ผมเก็บโทรศัพท์ลงกระเป๋าเมื่อเห็นไอ้ครับเดินมาทางนี้  พอมันเดินไปตรงที่ผมซ่อนตัวได้สองก้าวผมก็ผุดลุกขึ้นยืนแล้วคว้าหลังคอมันลากเข้าด้านหลังพุ่มไม้  เหวี่ยงมันไปติดต้นไม้แล้วตามคว้าหมับเข้าคอขาวๆ นั่น

“มึงรู้จักกับไอ้เปรี้ยวได้ไง?”  ผมหรี่ตาจ้องมันถามเสียงเบา

“มึงพูดอะไรไม่รู้เรื่อง  อึ้ก!”  ผมออกแรงกดลำคออีกนิดจนใบหน้าขาวซีดนั้นซีดกว่าเดิม

“อย่ามาโกหก”

“ไม่มีอะไร  มันแค่เห็นกูขวางหูขวางตาเท่านั้น”

“กูบอกว่าอย่าโกหก! แค่ขวางหูขวางตาบ้านมึงถึงขนาดปีนรั้วโรงเรียนเข้ามาเนี่ยนะ?”

“อึ้ก!”

“ตอบ!”

“มันเรื่องของกู!”

“ถ้ามึงคบมันก็ไม่ใช่แค่เรื่องของมึง”

“?”

“มึงรู้ไหมว่ามันอาจค้ายา?”

“ก็...”  คำนับเสหลบตา

“ถ้ามึงรู้แต่ยังยอมให้มันมาหาแบบนี้คิดจะเป็นผู้สมรู้ร่วมคิดเหรอ?”

“ไม่ใช่!”

“งั้นบอกมา”

“กูไม่ได้คิดจะขายยา  แล้วไม่คิดจะยุ่งเกี่ยวกับไอ้เปรี้ยวมันนานด้วย”

“แล้ว?”  ผมรู้สึกว่าคำตอบของคำนับยังไม่หมดแค่นี้

“แล้วมึงเสือกมายุ่งอะไรกับกู”  ไอ้ครับพยายามผลักมือผมออก  มันปฏิเสธผมเลยยิ่งหงุดหงิดหนักกว่าเดิม

“เพราะไอ้เปรี้ยวหรอก  ไม่ใช่เพราะมึง”

“งั้นเอามือออกไป  อย่ามาเสือกกับชีวิตกู!” 

“ได้  แต่ถ้ามึงคิดจะเอายามาขายในโรงเรียนกูเอามึงตายแน่!”

ผมปล่อยคำนับเป็นอิสระ  มันไอโขลกพลางไถลตัวนั่งทันทีเมื่อผมปล่อยมือ  เหลือบมองรอยแดงบนคอมันแล้วก็ได้แต่เดาะลิ้นไม่ชอบใจ  เห็นแก้มขาวๆ ซีดๆ ที่ถูกไอ้เปรี้ยวลูบแล้วต้องหรี่ตามอง  ผมทรุดตัวลงนั่งบนส้นเท้าตรงหน้าคำนับ  คว้าคางมันมาจับพลิกซ้ายพลิกขวา

“ทำบ้าอะไร!”  ไอ้ครับพยายามปัดมือผมออก

“ไอ้เปรี้ยวมันติดใจอะไรมึง?”

“ไม่ได้ติดใจบ้าบออะไรทั้งนั้น  ปล่อย!”

“กูเห็นมันมองมึงเหมือนจะแดกเข้าไปทั้งตัว”

“?”

ผมสะบัดปลายนิ้วจนคำนับหน้าหัน  มันหันกลับมามองตาขวางใส่

“ถ้ากูเห็นมึงยื่นมือรับยาจากไอ้เปรี้ยวเมื่อไหร่...”

“......”  มันเงยหน้ามองเมื่อผมเว้นช่วงคำพูด

“มึงตายแน่!”  ขู่เสร็จก็เดินจากมา

ความจริงแล้วผมไม่ใช่คนดีขนาดที่จะมานั่งจับตาดูว่าใครขายยาเล่นยา  เพียงแต่รู้เข้าโดยบังเอิญแล้วไม่เข้าไปยุ่งแค่นั้น  เรื่องแบบนี้มันอยู่ที่ตัวคน  ขืนทำตัวเป็นพ่อพระคงได้ไปนอนอยู่ก้นหลุมหาศพไม่เจอเข้าสักวัน  ผมไม่อยากให้คนในครอบครัวเดือดร้อนเท่านั้นแหละ  แต่กับคำนับ...

ทำไมผมต้องเข้าไปยุ่งกับมันด้วยวะ?

มันจะโยนอนาคตตัวเองทิ้งโดยการไปยุ่งกับไอ้เปรี้ยวก็เรื่องของมัน  มันจะคบไอ้เปรี้ยวเป็นเพื่อนหรือจะยอมโดนไอ้เปรี้ยวเขมือบเป็นขนมหวานก็ไม่ใช่เรื่องของผม  แต่...

ตอนที่เห็นสีหน้าเจ็บปวดของมันตอนที่ไอ้เปรี้ยวพูดเรื่องเงินผมก็รู้สึกว่าบางที...  บางทีผมอาจช่วยคำนับได้


เฮ้อ  แส่หาเหาใส่หัวตัวเองอีกแล้วซิเรา









โปรดติดตามต่อไป



สวัสดีค่า  เอาโป๊ยกั๊กตอนที่ 4 มาส่งแล้ว  เอ  รู้สึกว่าเรื่องของน้องเล็กจะนำหน้าพี่ชายทั้ง2ไปแล้ว TT หวังว่าคนอ่านจะไม่งงกันนะคะ  เช่นเคยค่ะ  มีตรงไหนผิดพลาด บอกกล่าว แนะนำกันได้เสมอนะคะ

ด้วยรักและคิดถึง



ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
กานพูล ออกมาได้เดือนละ 2 ครั้ง แล้วอย่างนี้จะมีแฟนได้ไหมเนี่ย หรือจะมีแฟนคนเดียวกับกั๊ก น่าลุ้น ๆ  :katai3:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3


Secret Me  คนนี้ต้องลับ!
ตอนที่5




“มึงได้ยินข่าวเรื่องที่ไอ้ครับมันจะสละทุนป้ะ?”  ผมละสายตาจากกระดานดำหันมามองเพื่อนเมื่อโดนสะกิดแขน

“สละทุน?”

“ใช่  ไอ้ครับมันขอทุนเรียนต่อมหาวิทยาลัย  แต่จู่ๆ เมื่อวานมันก็เข้าไปบอกอาจารย์ที่ปรึกษาว่าจะไม่ขอทุนแล้ว”  ภูธเรศยื่นโทรศัพท์ในมือส่งให้ผม  หน้าต่างการสนทนาของมันกับเพื่อนห้องสองยังเปิดค้างไว้

“มันก็ไม่ใช่เรื่องของเราป่ะวะ?”  ผมยื่นโทรศัพท์คืนแล้วทำท่าไม่สนใจ  หากในหัวปรากฏภาพของคำนับกับไอ้เปรี้ยวเมื่ออาทิตย์ก่อน  หรือว่าการสละทุนของคำนับจะเกี่ยวกับไอ้เปรี้ยว  แต่ไอ้เปรี้ยวไม่ใช่คนโรงเรียนนี้  ไม่มีส่วนเกี่ยวข้องกับทุนนี้นี่นา

ตอนเย็นหลังเลิกเรียนผมบอกปัดกลุ่มเล่นบาส  หนีกลุ่มฟุตบอล  เลี่ยงชมรมคาราเต้  โดดชมรมมวยไทยเพื่อตามหลังใครบางคนออกจากโรงเรียน  คำนับเดินผ่านภัตตาคารอาหารแห่งหนึ่งก่อนจะหยุดเท้ามองเหม่อเข้าไปในนั้น  ผมมองตาม

เขาเหม่อมองอยู่นานจึงค่อยเดินต่อ  ผมเหลือบเห็นพวกไอ้เปรี้ยวอยู่ไกลลิบจึงเร่งฝีเท้าพุ่งเข้าไปลากตัวคำนับเข้าข้างทาง  เขาตกใจเกือบร้องเสียงหลงดีที่ผมอุดปากไว้ได้ทัน

“นายนัดกับพวกไอ้เปรี้ยวเหรอ?”

“?”  คำนับขมวดคิ้วเมื่อได้ยินคำถาม  ก่อนจะส่ายหัว

“งั้นมาทำอะไรที่นี่”  คำนับแกะมือผมออก  เบนสายตาไปทางที่ผมมอง  เขาขมวดคิ้วแน่นคงเพราะเห็นกลุ่มไอ้เปรี้ยวอย่างที่ผมพูด

“ไม่เกี่ยวอะไรกับนาย”

“อ้อ  นี่คิดจะเดินเข้าไปหามัน?”

“อย่ามายุ่ง!”  คำนับผลักอกผมให้ออกห่างเตรียมเดินจากไป  ผมรั้งเขากลับเข้ามาจุดเดิม

“คิดจะเดินไปให้มันเขมือบหรือไง”

“พูดบ้าอะไรของนาย?”  คำนับไม่ใส่ใจคำถาม

“ช่างเถอะ  งั้นฉันถามเรื่องที่นายสละทุนเรียนต่อก็ได้”

“!”

“คิดอะไรอยู่ถึงสละทุนนั่น”  ตอนที่ไอ้ภูไอ้ดินตีกับไอ้เน่า  ทั้งสามคนพยายามกันคำนับออกไปเพราะกลัวเขาจะไม่ได้ทุนเรียนต่อ  แต่เจ้าตัวกลับมาสละทุนเนี่ยนะ?

“....”

“ตอบ!”

“อย่ามาเสือกน่า!”  คำนับตะคอกกลับ  อาจเพราะผมกดดันเขาเกินไป  แต่ว่า...โดนด่าว่าเสือกแล้วก็ขอเสือกให้เต็มที่เลยแล้วกัน

“เกี่ยวกับเรื่องที่นายคุยกับไอ้เปรี้ยววันนั้นหรือเปล่า?”

“บอกว่าอย่ามายุ่ง”  คำนับเตรียมด่าต่อ  ผมควักมือถือออกมากดเข้าไฟล์วิดีโอ เปิดเล่นแล้วยื่นไปตรงหน้าเขา

“คนที่บ้านนายรู้หรือเปล่าว่านายจะสละทุน?”

ผมยกยิ้มเมื่อเห็นคำนับเงียบ  ดวงตาเรียวยาวคู่นั้นจ้องภาพเคลื่อนไหวในมือถือผมเขม็ง

“ฉันว่าฉันน่าจะไปเที่ยวบ้านนายสักหน่อยนะ  ว่าไหม?”

คำนับยังคงจ้องของในมือผมไม่ละสายตา  และก่อนที่ผมจะทันรู้ตัวเขาก็พุ่งเข้ามาเพื่อแย่งโทรศัพท์ซึ่งบันทึกหลักฐานมัดตัวเขาเอาไว้  ผมขยับเท้าก้าวถอยหลัง  เบี่ยงตัวไปด้านข้างแล้วคว้าคอเสื้อคำนับที่พุ่งถลาเข้ามาเอาไว้แน่น  ก่อนยกขาข้างที่ขยับไปด้านหลังขึ้นเข่าใส่ท้องคำนับเต็มแรง

“อุ้ก!”

“จุ๊ๆ ทำไมต้องให้ฉันใช้กำลังด้วยนะ  นายเป็นมาโซคิสเหรอ? พูดดีๆ ไม่รู้เรื่องชอบให้ซ้อมตลอด”

“แก!”  คำนับจุกจนต้องทรุดตัวลงกองกับพื้น

“เอาล่ะ  ทีนี้เราจะไปบ้านนายกันได้หรือยัง?”  ผมทรุดตัวลงนั่งให้ใบหน้าเสมอกับคำนับ  เอ่ยถามพร้อมรอยยิ้มสดใสราวพระอาทิตย์ในฤดูร้อน

“อือ”  คนบนพื้นพยักหน้ารับ  ผมเลยคว้าแขนข้างหนึ่งของเขาพาดคอ  พลางกอดเอวบางๆ เพื่อพยุงเขาขึ้นยืน

บ้านของคำนับเข้าไปในซอยค่อนข้างลึก  บ้านสองชั้นขนาดไม่กว้างนัก  ด้านล่างเปิดเป็นร้านขายโจ๊กช่วงเช้าวันเสาร์-อาทิตย์  แม่ของคำนับที่กำลังวุ่นอยู่ในครัวเดินออกมารับพลางส่งยิ้มกว้าง

“เป็นเพื่อนของเจ้าครับเหรอ?”

“สวัสดีครับ”

“ไหว้พระเถอะลูก  มาๆ เข้านั่งในนี้ก่อน”  แม่ของคำนับลากแขนผมไปนั่งใกล้พัดลมที่สุด  คนเป็นลูกเดินไปเทน้ำดื่มเสร็จหันมาเห็นก็โวยวายเสียงดัง

“แม่  พามันเข้ามาในบ้านทำไม!”

“เอ๊ะ  ลูกคนนี้นี่  เพื่อนมาทั้งทีปล่อยให้ยืนอยู่หน้าบ้านได้ยังไงกัน  แม่ชื่อแป้งนะ  เป็นแม่เจ้าครับมัน  แล้วชื่ออะไรล่ะเรา?”

“โป๊ยกั๊กครับ”

“อื้อ  แสดงว่าที่บ้านต้องชอบทำอาหารแน่ๆ”  แม่ของคำนับผงกหัวเมื่อได้ยินชื่อผม 

“คุณพ่อเปิดร้านอาหารครับ”

“งั้นเหรอ  จริงซิ  หิวหรือเปล่าลูก  กินข้าวก่อนไหม?” 

“มันไม่กินหรอก!”  คำนับคว้าแขนแม่เอาไว้ไม่ยอมให้ตักข้าวให้ผม

“เอ๊  ลูกคนนี้”

“แม่อย่าสิ้นเปลือง...”

“ผมกำลังหิวพอดีเลยครับ”

“เห็นไหม? เพื่อนลูกหิวแล้ว  เอางี้  เดี๋ยวแม่ตักข้าวให้แล้วลูกพาเพื่อนขึ้นไปกินชั้นบนนะ”

“มะ...แม่!”

ผมหัวเราะเมื่อน้าแป้งหันไปตักอาหารใส่จาน  กับข้าวสอง-สามอย่างถูกตักใส่ถ้วยใบเล็ก  ข้าวเปล่าสองจานถูกจัดใส่ถาดใบใหญ่ยื่นมาให้คำนับถือ

“ลูกก็ขึ้นไปกินกับเพื่อนนะ”

“แล้วแม่ล่ะ?”

“แม่ยังไม่หิวหรอก”

“ขอบคุณครับ  เดี๋ยวผมจะกินลูกน้าแป้ง  เอ้ย  กับข้าวฝีมือน้าแป้งให้เกลี้ยงเลย”  คำนับถลึงตามองเมื่อได้ยินผมพูดสองแง่สามง่ามชวนคิดลึก  ก่อนจะหันทำปากยื่นกับแม่

“แต่ว่า...”

“หิวจังน้า~ ห้องนายไปทางนี้ใช่ป่ะ?”  ผมแย่งถาดอาหารในมือเขามาถือ  หันหลังเดินขึ้นบันไดไปชั้นสองโดยที่เจ้าของไม่ทันเชื้อเชิญ

“อย่าเดินมั่วซั่วนะ”

“นี่ห้องนายเหรอ?”  ผมถือวิสาสะเปิดเข้าห้องฝั่งขวามือโดยไม่ได้รับเชิญ  ห้องติดถนนและเป็นทิศตะวันออก  เดาเอาว่าคำนับต้องนอนห้องนี้เพื่อที่น้าแป้งจะได้ไม่ถูกรบกวนจากรถที่ขับบนถนนช่วงกลางคืน  แน่นอนว่าผมเดาถูกเมื่อเห็นเขาตีสีหน้าบึ้งตึงไม่ชอบใจ

ห้องคำนับเล็กกว่าห้องของผมกับกระวานเสียอีก  ผมวางถาดอาหารลงบนโต๊ะหนังสือข้างหน้าต่าง  เตียงสามฟุตครึ่งมีกองหนังสือสุมอยู่จนเต็ม  ผมกวาดของบนนั้นลงมาวางข้างเตียงแล้วกระโดดขึ้นไปนอนเกลือกกลิ้ง

“ลงมา!”

“ไม่อ่ะ”

คำนับเข้ามาฉุดผมให้ลงจากเตียง  แต่เรื่องอะไรผมจะยอมง่ายๆ  ผมแกล้งเกร็งตัวออกแรงรั้งไม่ขยับเขยื้อนจนเมื่ออีกฝ่ายโมโหฉุดแขนผมเต็มแรงผมจึงยอมผ่อนอาการเกร็งตัวลง

“เหวอ!”

คำนับที่ออกแรงดึงผมสุดตัวเซถอยหลังล้มลงบนพื้นเสียงดังโครม  โดยมีผมทาบทับอยู่ด้านบนจากการโดนฉุด  เพราะรู้อยู่ก่อนแล้วว่าจะเป็นอย่างนี้ผมจึงรีบเอามือรองหลังหัวของเขาเอาไว้

“อูย~”  หลังมือกระแทกพื้นเต็มแรง  หนำซ้ำยังมีหัวของคำนับกระแทกซ้ำก็เล่นเอาเจ็บไม่ใช่น้อยจนต้องสูดปาก

“....”  คำนับจ้องหน้าผมคล้ายกับยังตั้งสติไม่ทัน  พอหายมึนก็ทั้งผลักทั้งถีบผมออกเพื่อให้พ้นตัว

“เบาๆ ซิวะ  ร้องดังเดี๋ยวน้าแป้งก็ตกใจหรอก”

“เบาพ่อง!”  คงโมโหมาก  ทั้งแก้มทั้งหูคำนับถึงได้แดงขนาดนั้น  เขาลุกขึ้นจัดเสื้อผ้าให้เข้าที่แต่ไม่วายเหลือบตามองผมอย่างเอาเรื่อง 

“นี่เบากว่าตอนเข่าใส่นายอีก”  ผมยิ้มกว้าง  ไม่ได้รู้สึกผิดสักนิด

“แล้วไม่ต้องมาเรียกแม่ฉันว่า น้าแป้งด้วย”

“อ้าว  งั้นให้เรียกอะไร  พี่แป้งงี้เหรอ?”

“หุบปากไปเลย!”

ผมยักไหล่  ไม่กลัวเสียงขู่ของเขาสักนิด   แหม  แกล้งคำนับนี่สนุกกว่าแกล้งกระวานอีก!

“ไหนว่าหิว  จะแดกไหม?”

“แดกครับแดก  แต่พูดจาไม่เพราะนะเราน่ะ”

“เสือก!”

อาหารฝีมือแม่แป้งอร่อยมาก  เป็นรสชาติแบบไทยแท้ซึ่งหากินได้ยาก  ทั้งแกงลูกกล้วย  แกงรัญจวน และยำทวาย  พ่อเคยทำให้กินเมื่อนานมาแล้วผมยังติดใจไม่หาย  หลังจัดการอาหารจนหมดผมก็นั่งผึ่งพุงลุกไม่ขึ้น

“เอาล่ะ  ทีนี้เราก็มาคุยกันได้แล้ว”  ผมดึงแขนคำนับตอนที่เขากำลังเก็บจานเปล่าใส่ถาดเพื่อยกลงไปชั้นล่าง   เขากลอกตาหลุกหลิกไปมา  สงสัยกำลังหาทางหนี   “เร็ว!”  ออกแรงรั้งนิดเดียวก็นั่งแหมะแล้ว  เนี่ย  ชอบให้ใช้กำลังอยู่เรื่อย

“คุยอะไร?”

“เรื่องทุน  ไอ้เปรี้ยวมันให้นายสละทุนแลกกับเงินใช่ไหม?”

“....”

“เงินนั่นมันมากมายถึงขนาดต้องแลกกับอนาคตนายเลยเหรอ?”

“มันก็มากพอจะต่ออนาคตนั่นแหละ”

“นายแน่ใจเหรอ? ฉันมาบ้านนายครั้งแรกยังดูรู้เลยว่าน้าแป้งภูมิใจในตัวนายแค่ไหน”

“เรื่องนั้น...”

“แล้วฉันก็เชื่อว่าแม่นายต้องดีใจมากแน่ๆ ที่นายได้ทุนเรียนต่อ”  คำนับเม้มปากแน่น  “ฉันรู้ว่านายเป็นคนฉลาด”  สอบได้อันดับหนึ่งติดกันทุกปีไม่ฉลาดได้ยังไงกันเล่า  “คงไม่ต้องให้ฉันบอกมั้งว่าควรเลือกอนาคตสั้นๆ ที่ไอ้เปรี้ยวเอามาเสนอ  หรืออนาคตยาวไกลที่นายกำลังจะเขี่ยทิ้ง”

“ฉัน...”

“นายมีเรื่องเดือดร้อนต้องใช้เงินก้อนนี้ด่วนเหรอ?”  คำนับก้มหน้า  พยายามหันหนีไปจากผม  “ฉันสัญญาว่าจะไม่หัวเราะถ้านายพูด”

“ฉันอยากเป็นเชฟ  อยากเปิดร้านอาหาร  แต่นายก็รู้ว่าการจะเรียนพวกนี้ไม่ใช่เรื่องง่ายถ้าไม่มีเงินมากพอ  แม่ฉันทำงานเป็นแม่บ้านที่บริษัท... เงินก็แค่พอหมุนเวียนใช้ในบ้านเท่านั้น”

 “อ่าฮะ  แล้วนายได้คุยกับน้าแป้งบ้างหรือยัง  เรื่องเรียนน่ะ?”

“คุยแล้ว  แม่อยากให้ฉันเรียน....”   คำนับนิ่งไปไม่พูดต่อ  เขาหันไปมองกรอบรูปบนโต๊ะหนังสือ  ผมมองตามสายตานั้น  ในกรอบรูปเป็นภาพของคำนับ  น้าแป้งและอีกคนคงเป็นพ่อของเขา  คาดว่าอาจจะกำลังนึกถึงเรื่องก่อนหน้านี้  ผมไม่ได้เอ่ยขัด  ให้เขาสูดลมหายใจอยู่พักใหญ่และรอฟัง  “แต่ฉันไม่รู้ว่าจะไปหาเงินจากไหน? ถึงฉันจะได้ทุนเรียนก็จริง แต่ค่าอย่างอื่นที่ต้องใช้ระหว่างนั้นก็ไม่ใช่น้อยๆ เลย  ฉันศึกษาดูแล้ว  ค่าอุปกรณ์เทอมหนึ่งตกเป็นหมื่น  แม่ทำงานทุกวันไม่ได้พักเลย  ยิ่งเห็นเขาเหนื่อยแบบนี้ฉันยิ่งรู้สึกผิด”

“กู้พ่อฉันก่อนไหม?”

“อะไรนะ?”

“ก็เหมือนกู้ กยศ. ไง”

“เดี๋ยวๆ! เรื่องนี้มันไม่เกี่ยวกับนาย  ทำไมนายต้องยื่นมือเข้ามาด้วย”

“ฉันเสียดายทุนนั่น”  คำนับเงยหน้ามองผม  “ถ้านายยอมทิ้งศักดิ์ศรีเพื่อรับเงินจากคนที่จ้างไอ้เปรี้ยว  ก็ลดศักดิ์ศรีมายืมเงินพ่อฉันดีกว่า  อย่างน้อยอนาคตนายก็มีโอกาสหาเงินมาคืนพ่อฉันได้”

“แต่ฉันกับนายเพิ่งรู้จักกัน  พ่อนายไม่รู้จักฉัน แล้ว  แล้ว...”

“ฉันรู้จักนายมาตั้งสองอาทิตย์แล้วนี่”

“....”

หลังจากนั้นเราต่างคนต่างเงียบ  ผมปล่อยให้คำนับได้ใช้ความคิดโดยไม่เอ่ยขัดหรือก่อกวนอะไรเขาอีก  พักใหญ่ผมจึงขยับตัวคว้ากระเป๋าเป้ขึ้นสะพายบ่า

“เอาล่ะ  ฉันกลับก่อนแล้วกัน พรุ่งนี้อย่าลืมไปโรงเรียนล่ะ”

ผมกลับบ้านไปคุยเรื่องนี้กับพ่อ  บ้านเราไม่ได้ร่ำรวยอะไร  ไม่ได้มีเงินเหลือใช้  หนำซ้ำปีนี้ผมต้องเข้ามหาวิทยาลัยอีก  คงต้องใช้เงินอีกเยอะ  แต่ผมไม่อยากให้อนาคตของใครบางคนดับวูบไปแบบนั้น  มันน่าเสียดายเกินไป  อีกอย่างตีกันมาหลายที  ก็นับว่าเป็นเพื่อนกันได้อยู่  ...มั้ง  การช่วยเหลือเพื่อนก็ไม่ถือว่าเสือกอะไรมากมายนี่หว่า

**********

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3



“เฮ้ย  เงินแบงค์ร้อยอยู่ไหน?”  ผมตบปุลงบนบ่าจนอีกฝ่ายสะดุ้งโหยงเงยหน้าจากขนมปัง  ผมทิ้งให้ภูธเรศกับบดินทร์เฝ้ากล่องข้าวใต้ต้นเสลามุมเดิมก่อนวิ่งห้อมาอีกห้องตั้งแต่กริ่งพักเที่ยงดัง

“อ่ะ  อยู่นี่”  คำนับล้วงเงินออกจากกระเป๋ายื่นส่งให้

“ไปซื้อน้ำมาเลย”

“ไปซื้อเองซิ”

“นายนั่นแหละไปซื้อ”  คำนับถลึงตามองเมื่อโดนตบเกรียนเบาๆ ไปหนึ่งที  ผมยกยิ้มมุมปากขยับเท้าเข้าใกล้แล้วเหยียบเท้าอีกฝ่าย  ผมก้มหน้าลงถาม  ใบหน้าขาวซีดของคำนับห่างแค่คืบ  เขาเงยหน้าถลึงตาใส่  “จะไปไม่ไป?”

“ไม่!”

“เหรอ?”  ผมขยี้เท้าแรงขึ้นอีก

“โอ๊ย!”

“จะไปได้หรือยัง?”

“เออ!”

“สี่แก้วนะโว้ย!”  ผมตะโกนไล่หลัง

เนี่ย  พูดคำเดียวไม่รู้เรื่อง  ต้องให้ลงไม้ลงมือ  คำนับนี่ต้องป็นมาโซคิสแหงเลยผมมั่นใจ

“อ้ะ”  แก้วน้ำเก๊กฮวยถูกยื่นมาตรงหน้าพร้อมกับเงินทอน  ผมไม่ได้ยื่นมือออกไปรับ  ภูธเรศกับบดินทร์เบิกตากว้างจ้องหน้าคำนับคล้ายไม่เชื่อว่าหมอนี่จะเดินเอาน้ำมาให้ผม

“นั่งลง”

“ไม่  ฉันจะไปกินข้าว”

“ไหนข้าวนาย  ขนมปังเหี่ยวๆ ก้อนนั้นอ่ะนะ?”

“เออ!” โมโหด้วยแฮะ

“นั่งลง”  ผมเก็บรอยยิ้มสั่งคำนับอีกครั้ง  “จะให้ฉันตีนายอีกไหม?”

“หือ?”  เพื่อนสนิททั้งสองคนหันมาจ้องหน้าผม  แต่ผมไม่มองมันหรอก  เดี๋ยวหลุดฟอร์มคนโหด

คำนับนั่งลงข้างภูธเรศห่างจากผมประมาณสี่ช่วงแขน  ซึ่งถ้าเรียงก็คือ  คำนับ ภูธเรศ  บดินทร์และผม

“ย้ายก้นมานั่งตรงนี้”

“....”

“นับหนึ่งถึงสามถ้าไม่ลุกฉันเหยียบนายแน่”

พรึ่บ!  คำนับลุกขึ้นย้ายตัวเองมานั่งข้างผมทันที  ไอ้ภูกับไอ้ดินอ้าปากเหวอเงยหน้ามองคำนับเดินย้ายที่  แล้วผมสนไหม  ไม่  เดี๋ยวหลุดฟอร์ม   ผมยื่นกล่องข้าวที่เหลืออีกชั้นไปวางตรงหน้าคำนับ

“เฮ้ย  ทีกูสองคนมึงให้มาแค่ชั้นเดียว”  ไอ้ภูโวยวายเพราะผมให้มันแบ่งกันกินกับไอ้ดิน  ผมหันไปถลึงตาใส่เพื่อนจนมันต้องยอมหุบปากอยู่เงียบๆ แต่ไม่วายยื่นหน้ามาดูผมกับคำนับอย่างอยากรู้อยากเห็น  ดูตามันซิ  วิบวับเหมือนเจอเรื่องสนุกยังไงยังงั้น  เรื่องเสือกนี่ขอให้บอก  ภูธเรศสู้ตาย!

“กิน!”

“กูมีขนมปังแล้ว  เฮ้ย!”  ผมแย่งขนมปังมาจากมือขาวซีดนั่น

“จะกินดีๆ หรือจะให้จับยัดปาก”

“เออ”  คำนับตักอาหารใส่ปาก  แค่คำแรกเขาก็ทำตาโต  ครั้นเห็นว่าผมมองอยู่ก็แสร้งกระแอมไอทำเป็นไม่เห็นแล้วกินต่อ

ไอ้ภูมองคำนับสลับกับผมแล้วหันไปกระซิบกระซาบกับไอ้ดินพลางหัวเราะคิกคัก  ด้วยความหมั่นไส้เลยยกเท้าถีบพวกมันไปคนละที  พอจัดการอาหารตรงหน้าหมดคำนับก็ปิดฝากล่องอาหารยื่นคืน

“ไม่ขอบใจหรอกนะ  เพราะนายมาบังคับให้ฉันกินเอง”

“รู้อยู่แล้วแหละว่านายเป็นพวกไร้มารยาท”

“นายไม่ยิ่งกว่าฉันหรือไง”

ผมยักไหล่  ด่าแค่นี้ไม่เจ็บหรอกเพราะผมหน้าด้าน  พอคำนับเห็นผมไม่แสบไม่คันก็หงุดหงิด  นี่แหละ  ผมชอบตอนเขามีท่าทีแบบนี้  มันดูมีชีวิตชีวาและดีกว่าตอนที่เขาทำหน้าตาไร้อารมณ์ไม่สนโลกเสียอีก

“งั้นฉันไปแล้ว”

“เดี๋ยว”  ผมดึงมือคำนับมายัดแบงค์ร้อยใบใหม่ลงไป

 “อะไร? ค่าจ้างที่ฉันมากินข้าวด้วยเหรอ?”  ริมฝีปากบางๆ นั่นบิดขึ้นเล็กน้อยคล้ายรอยยิ้ม

“พรุ่งนี้ซื้อน้ำมาให้ด้วย”

“ไม่เอา  ฉันไม่ใช่เบ๊นายสักหน่อย”

“งั้นเป็นเสียซิ”

“นี่!”

“ถ้าพรุ่งนี้เที่ยงฉันไม่เห็นนายถือน้ำสี่แก้วมารอที่นี่ฉันบุกถึงห้องแน่”

“เออ!”  คำนับกระแทกเท้าหันหลังเตรียมเดินจากไป

“เดี๋ยว”

“อะไรอีก!”  ตาวาวแล้วอ่ะ  ดูท่าจะโกรธมาก

“น้ำแก้วนี้ของนาย”

“?”  เขาทำท่าจะเอ่ยปฏิเสธผมเลยชี้หน้า  “ฉันไม่ชอบน้ำเก๊กฮวย”

“แต่ฉันชอบ”

“ชอบก็กินเองซิ”

“ก็ฉันจะให้นายกิน”  ผมเลิกคิ้ว  กดคางลงต่ำพลางเดาะลิ้นทำทีไม่พอใจที่ถูกเขาขัดใจ

“....”

“กิน”

“ค่อยไปกินที่ห้อง”

“เดี๋ยวนี้”  ผมจิ๊ปากอีกครั้ง  คำนับขมวดคิ้วยกแก้วน้ำเก๊กฮวยขึ้นดูดทีเดียวครึ่งแก้ว  พอเห็นเขาทำท่าขนลุกผมก็รีบกดมุมปากไม่ให้เผลอหลุดหัวเราะออกมา

“พอใจหรือยัง?”

“อ่าฮะ  ไปได้”  ผมโบกนิ้วชี้กับนิ้วกลางไล่เขาด้วยท่าที่คิดว่าเท่ห์ที่สุด  “พรุ่งนี้น้ำเก๊กฮวยสี่แก้ว”  คำนับเหลือบตามองผมพลางเม้มปากแน่นแล้ววิ่งออกไป

“กูไม่กินน้ำเก๊กฮวยได้ไหม?”  ไอ้ภูแทรกขึ้นพร้อมสีหน้าเหยเก  “ขอเป็นเป๊บซี่แทนได้ป่าว?”

“กูกินพวกมึงก็ต้องกินกับกู”

“มึงไม่ได้หมายถึงว่าไอ้ครับกิน  พวกกูต้องกินเป็นเพื่อนมัน  งี้หรือเปล่า?”  ไอ้ภูเบ้ปากใส่ผม  ส่วนผมยิ้มตาหยีให้เพื่อนรัก

“กูหมายถึงพวกมึงต้องกินเหมือนกูต่างหาก  เข้าใจ๊?”

“อ๋อออ  ก็ได้  เข้าใจก็ได้”  ผมคว้าคอไอ้ภูมากอด  กดแรงลงบนบ่ามันจนมันนิ่วหน้า

“แล้วมึงไปแกล้งไอ้ครับมันทำไม?”  บดินทร์หรี่ตามองผมอย่างจับผิด

“สนุกดีออก”

“หน้าตามันไม่สนุกกับมึงเลยนะเว้ย”  บดินทร์ผู้เคร่งขรึมขัดคอ

“ไอ้กั๊กสนุกคนเดียวก็พอแล้วมั้ง”  ภูธเรศสนับสนุนผม  เพราะถ้าผมมีเหยื่อรายใหม่ผมก็จะแกล้งมันน้อยลง

“มึงก็ตามใจไอ้โป๊ยกั๊กมากไปแล้วนะ”

“หึงเหรอจ๊ะตัวเอง~”  ไอ้ภูโผเข้าไปกอดไอ้ดิน  นัวเนียไม่ยอมปล่อย  คนโดนก่อกวนเพียงแค่เอามือดันหน้าจนไอ้ภูหงายหลัง  แล้วถามว่ามันเข็ดไหม  ก็ไม่  ซ้ำยังพุ่งเข้าหาเพื่อปล้ำจูบต่ออีก

*********

ผมโบกมือลาภูธเรศกับบดินทร์แล้วขึ้นรถที่กระวานจอดรอ  เพกายิ้มกว้างก่อนจะยื่นขนมส่งให้เมื่อผมเข้าไปนั่งในรถ  ผมไถลตัวพิงเบาะรถอย่างเกียจคร้าน  เหลือบมองปิ่นโตสามชั้นที่ว่างเปล่าแล้วยกยิ้มมุมปาก

คำนับถูกผมบังคับซื้อน้ำเก๊กฮวยมาให้พร้อมบังคับกินข้าวพร้อมกันมาได้สาม-สี่วันแล้ว  ตอนแรกหมอนั่นซื้อน้ำเก๊กฮวยมาสามแก้ว  ส่วนอีกแก้วของตัวเองเป็นเป๊บซี่  พอเห็นแบบนั้นผมเลยแย่งแก้วเป๊บซี่ให้ภูธเรศแล้วเอาน้ำเก๊กฮวยมากรอกคำนับ  หลังจากนั้นหมอนั่นก็ไม่กล้าซื้อน้ำอย่างอื่นมาอีกเลย

กระวานเหยียบคันเร่งเตรียมเร่งเครื่องเมื่อกำลังจะพ้นเขตโรงเรียน  ช่วงจังหวะนั้นพลันสายตาผมก็จับภาพกลุ่มไอ้เปรี้ยวที่กำลังเลี้ยวเข้าซอย  กลางวงนั่นมีใครบางคนที่ผมคุ้นตาอยู่ในนั้น  จะไม่คุ้นได้อย่างไรในเมื่อช่วงนี้ผมบังคับให้เขาตัวติดกับผมทุกวัน

คำนับ

“กระวานจอดรถ!”  ผมผุดลุกขึ้นนั่งตัวตรงตบหลังเบาะรัวแรงจนกระวานตกใจเหยียบเบรกดังเอี๊ยด

“อะไร!”  พี่ชายคนรองหันมาถาม

“ฉันจะลงจากรถ  เดี๋ยวนายขับไปจอดให้ห่างจากตรงนี้หน่อย  แล้วก็อย่าลงมา”

“เฮ้ย  มีเรื่องอะไรหรือไง  หรือนายจะไปตีใครอีกแล้ว?”

“พี่โป๊ยกั๊กอย่าไปเลยนะคะ  เราโทร.แจ้งตำรวจดีกว่า”  เพกาทำสีหน้าวิตกกังวล  คงเพราะรู้ว่าผมจะลงรถไปทำอะไร  ในเมื่อเพกาเห็นคนกลุ่มนั้นกับคำนับเหมือนผม

“ถ้าขืนรอหมอนั่นอาจโดนยำเละ”

“หมอนั่นเป็นเพื่อนนายหรือไง?”

“...ก็อาจใช่”  ผมชะงักเมื่อกระวานถาม  “ทำตามที่ฉันบอก”  ผมไม่รอให้กระวานซักต่อรีบเปิดประตูลงจากรถ

“พี่โป๊ยกั๊ก!”  เสียงเพกาตะโกนดังอยู่ด้านหลัง  ผมเร่งฝีเท้าตรงดิ่งไปยังซอยที่พวกไอ้เปรี้ยวลากคำนับเข้าไปในนั้น

ใครก็ตีหมอนั่นไม่ได้นอกจากฉันคนเดียว!









โปรดติดตามตอนต่อไป










สวัสดีค่า  วันนี้เอาโป๊ยกั๊กมาส่งเร็วหน่อยเพราะพรุ่งนี้จะไม่อยู่ค่ะ
มาถึงตอนที่ 5 แล้วเนอะ  สี่ตอนก่อนพระ-นายของเรากว่าจะสนทนาพาทีกันก็เจ็บตัวเสียแล้ว  ซ้ำยังปะหน้ากันแค่นิด้เยวด้วย  แต่จะว่าไปในสี่ตอนที่ผ่านมาได้เขียนเรื่องราวเกี่ยวกับครอบครัวป่วนๆ มันก็สนุกดีน้า แฮ่  หลังจากตอนที่ 5 ไป  พระ-นายของเราก็จะใกล้ชิดกันแล้วค่ะ(?)  ตีกันแบบนี้รอดูตอนที่เขารักกันนะคะ  ว่าจะหลงกันแค่ไหน ฮิ
เช่นเคยค่ะ  ขอให้อ่านอย่างมีความสุขนะคะ

ขอบคุณสำหรับกำลังใจที่คอยให้กันนะคะ
กอดดดดดด

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
 o13

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ตอนไปถ้าครับหลงรักกานพลู กั๊กจะทำไงดีล่ะ นี่คิดเล่น ๆ นะ แต่มันก็อยากรู้จริง ๆ  :hao3:

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด