My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอนพิเศษ] 19-02-62 P.4
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด

สนใจโฆษณาติดต่อ laopedcenter[at]hotmail.com คลิ๊กรายละเอียดที่ตำแหน่งว่างเลยครับ

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด

ผู้เขียน หัวข้อ: My Family : Secret Me คนนี้ต้องลับ! [ตอนพิเศษ] 19-02-62 P.4  (อ่าน 23734 ครั้ง)

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0
 :pig4: :L2:

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3
Secret Me  คนนี้ต้องลับ!
ตอนที่ 6   





ผมวิ่งตามเข้าไปกระชากไอ้คนใกล้มือที่สุดแล้วเหวี่ยงออกไป  ทั้งกลุ่มแตกฮือเมื่อเห็นผม  ส่วนคำนับเบิกตากว้างคงเพราะไม่คิดว่าจะโดนตามมา   

“ไอ้โป๊ยกั๊ก?”

“หวัดดี”  ส่งยิ้มให้ไอ้เปรี้ยว  ผมไม่ค่อยแปลกใจที่มันรู้จักผม  ขนาดผมยังรู้จักมันได้เลยนี่นา

“มึงมาที่นี่ทำไม”  มันถาม

“แล้วมึงล่ะ  มาทำอะไรใกล้โรงเรียนกู?”

“กูมีธุระกับคนนี้”  ไอ้เปรี้ยวเอาคางชี้คำนับ

“อ้อ~  พอดีกูเองก็มีธุระกับมันเหมือนกัน”  ผมชี้คำนับ

“แต่มันมากับกู  ต้องเคลียร์กับกูก่อน” 

“เรื่องอะไรล่ะ  หรือว่าเรื่องทุนเรียนต่อนั่น?”  เลิกคิ้วถามพร้อมรอยยิ้มมุมปาก

“มึงบอกมันเหรอ?”  ไอ้เปรี้ยวหันไปถามคำนับ   

“ใช่  แล้วที่ตามมึงมานี่ก็เพื่อบอกว่ากูเปลี่ยนใจแล้ว  กูจะไม่สละทุน”  ผมเลิกคิ้วหันไปมองคำนับ  รู้สึกดีที่วันนั้นผมบังคับตามมันกลับบ้านด้วย  ดีใจที่มันเปลี่ยนใจคิดเรียนต่อ

“แต่มึงรับปากแล้ว”  ไอ้เปรี้ยวหรี่ตา  แสดงท่าทีคุกคามออกมาทันทีที่ได้ยินคำพูดนั้น

“กูว่าวันนั้นคำนับมันไม่ได้รับปากนะ  มันแค่บอกว่าจะมาให้คำตอบ  หรือไม่ใช่?”

“อือ  วันนั้นกูบอกว่าจะมาให้คำตอบอีกที”  ไอ้เปรี้ยวเลิกคิ้วมองคำนับ  แต่ไม่ได้พูดอะไร

“ถึงคำนับจะปฏิเสธยังไงมึงก็คงไม่ได้เสียเปรียบอะไรหรอกมั้ง  ในเมื่อมึงไม่ได้เกี่ยวข้องอะไรกับทุนนั่น”

“กูแค่มาเป็นตัวแทนพูดคุยเฉยๆ ถ้ามันไม่สละทุนกูก็ไม่ได้ว่าอะไรอยู่แล้ว แต่มันอาจจะอยู่ในโรงเรียนยากหน่อยเพราะคนที่เขาต้องการทุนคงอยากเอาคืน”

“มึงไม่ต้องห่วงมันหรอก  มันคงเอาตัวรอดได้อยู่แล้ว  หมดธุระแล้วใช่ไหมกูจะได้พามันไปคุยธุระของกูต่อ”

“ธุระของคนอื่นน่ะจบแล้ว  แต่ของกูยัง”

“มีอะไร?”  คำนับขมวดคิ้วเอ่ยถาม

“ไปคุยกันที่อื่น”  ไอ้เปรี้ยวพยักเพยิดให้คำนับตามไป

“คุยตรงนี้ก็ได้”  คำนับไม่ยอมเดินตาม  เขาขมวดคิ้วพลางเหลือบตามองผม  คงรู้สึกแปลกๆ กับคำพูดนั้นของไอ้เปรี้ยว

“บอกให้ตามมาไม่ได้ยินหรือไง!”  ไอ้เปรี้ยวคว้าแขนคำนับ  ส่วนผมยื่นมือคว้าแขนไอ้เปรี้ยวอีกที 

“คำนับมันไม่อยากไปไม่ได้ยินหรือไง!”

“โป๊ยกั๊ก  เรื่องนี้ไม่เกี่ยวกับมึง”

“ทำไมจะไม่เกี่ยวในเมื่อหมอนี่เป็นเด็กในโรงเรียนกู”

จากนั้นเหตุการณ์กลายเป็นชุลมุนวุ่นวายขึ้นมาทันที  เพราะผมไม่ยอมให้คำนับไปกับไอ้เปรี้ยวมันเลยต่อยผม  คำนับเห็นแบบนั้นเลยถีบมันกระเด็น  พรรคพวกของมันอีกสี่-ห้าคนก็รุมเข้ามา  โชคดีว่าคำนับเองไม่ใช่คนยอมอะไรง่ายๆ จึงได้โต้ตอบกลับ  พอโดนต่อยก็เตะคืน  โดนถีบมาผมก็ใส่ท่าจระเข้ฟาดหางให้พวกมันลงกองกับพื้น  ได้แผลเขียวช้ำคนละแผลสองแผล  หนักสุดคงเป็นผมที่คิ้วแตกปากแตกจนเจ็บไปทั้งหน้า  ไอ้เปรี้ยวเห็นลูกน้องโดนสอยร่วงเกือบหมดมันเลยโมโหหนักกว่าเก่า  มันควักมีดออกมาพุ่งตรงมาทางผม  ผมเองก็พุ่งสวนเข้าหามัน  จัดท่ากางขาทรงตัวแล้วคว้าหมับ  จับมันทุ่มสุดแรง  คนกระเด็นไปทางมีดกระเด็นไปทาง  ลูกน้องมันยืนตาค้างพอตั้งสติได้ก็กรูกันเข้ามาอีก

“เฮ้ย  โป๊ยกั๊ก”

“อะไร?”  ต่อยไอ้ที่มันพุ่งมาพร้อมหันมาทางคำนับที่กำลังหน้าเหยเก

“ฉันลืมไปว่ามีเรื่องไม่ได้  เดี๋ยวอดได้ทุน”

“เอ้า  แล้วก็เพิ่งบอก!”  ผมถีบลูกน้องไอ้เปรี้ยวกระเด็นแล้วหันมาคว้าแขนคำนับวิ่งออกจากซอย  ได้ยินเสียงไอ้เปรี้ยวตะโกนไล่หลังพร้อมสั่งลูกน้องให้ไล่ตาม  ผมเร่งฝีเท้าให้เร็วขึ้นอีกตอนมันเอื้อมมือไปด้านหลัง  เห็นนะโว้ย  ว่ามีปืนอ่ะ!

“เฮ้ย  กระวาน!”  ผมตกใจอ้าปากค้างจนหัวใจแทบกระดอนออกทางปากเมื่อเห็นเจ้าก้อนนุ่มนิ่มยืนแอบอยู่หน้าปากซอยพร้อมโทรศัพท์มือถือในมือที่กำลังบันทึกภาพเหตุการณ์เมื่อครู่  “บอกว่าให้อยู่ในรถไง  ตามมาทำไม!”  ลากคำนับแขนหนึ่งลากกระวานแขนหนึ่งวิ่งตรงไปยังรถของเราที่จอดอยู่  พอถึงก็ยัดทั้งสองคนที่ลากมาเข้าเบาะหลังแล้วเบียดตามไป  “ออกรถๆ!”

“ไม่ต้องห่วงค่ะ  หนูโทร.หาพี่ไธม์แล้ว  พี่ไธม์บอกว่าจะให้เพื่อนตำรวจในเขตนี้แวะมาดู”

“เฮ้อ~”  พวกเราสามคนถอนหายใจพร้อมกัน  ก่อนจะนึกได้ว่าบางอย่างผิดปกติ  ผมหันไปทางคนขับทันที

“เพก๊า!!!!”  ผมร้องเสียงหลง  ใครให้น้องขับรถวะ!

มองดูข้างหลัง  พอเห็นว่าเป็นระยะปลอดภัยกระวานก็เปลี่ยนไปขับรถแทน  เพกาแลบลิ้นยิ้มเผล่ด้วยท่าทางน่ารักตอนโดนผมมองคาดโทษ  พวกเราทั้งหมดตรงกลับบ้านทันที  แม่ที่เห็นเลือดบนหน้าผมทำเพียงแค่เลิกคิ้วมองแล้วยักไหล่ก่อนจะเดินไปหยิบกล่องทำแผลออกมาโยนให้

“แม่ดูคร่าวๆ แล้วแผลไม่ลึกมาก  เจ็บเองก็ทำแผลเองนะจ๊ะลูกรัก”  พูดจบก็เดินออกไป 

“หนูอยากช่วยทำแผลให้นะคะ  แต่...แต่...”  เห็นน้องสาวหน้าขาวซีดเลยได้แต่ถอนหายใจ

“กระวาน....”

“ไม่ๆ ฉันกลัวเลือดพอๆ กับผีนั่นแหละ”  แล้วก็วิ่งหนีหายไปเลย  เอ๊า  ยังไงล่ะทีนี้  จะไปส่องกระจกทำแผลตอนนี้คงไม่ได้  เกิดคำนับเห็นสิ่งผิดปกติขึ้นมาจะซวยเอา

“โป๊ยกั๊ก!”  พ่อเปิดประตูวิ่งเข้ามาหน้าตาตื่นตกใจ  นี่คงตรงมาจากร้านเพราะใครสักคนโทร.ไปบอกแน่ๆ

“พ่อใจเย็นๆ ก่อนนะ”  ผมคว้าแขนพ่อที่กำลังจับหน้าผมพลิกซ้ายพลิกขวาแล้วชี้ไปยังคำนับที่นั่งนิ่ง

“อ้อ  เพื่อนโป๊ยกั๊กซินะ?”  พ่อหันไปทางคำนับ  เขายกมือไหว้พ่อ  ในดวงตามีประกายไหววูบพาดผ่าน  ครู่เดียวก็จางหายไป

“สวัสดีครับ”

“ชื่ออะไรล่ะเรา?”

“ครับ  คำนับครับ”

“ชื่อแปลกดี  ว่าแต่โป๊ยกั๊กเจ็บมากไหมลูก?”  พ่อหันมาถาม

“นิดหน่อยครับ  พ่อ  ผมขอน้ำกับขนมให้เพื่อนหน่อยซิครับ”  คำนับเหลือบมองเมื่อผมพูดคำว่าเพื่อน

“ได้  ยังไงเราก็ทำแผลให้โป๊ยกั๊กทีนะ” 

“เร็วดิ”  ผมเอาคางชี้กล่องปฐมพยาบาลให้คำนับหยิบมาหลังจากพ่อลุกเข้าห้องครัวไปแล้ว

“ฉันทำเป็นที่ไหน  ทำไมไม่ให้พ่อนายทำให้?”

“ตัวต้นเหตุคือนายไม่ใช่พ่อฉันสักหน่อย”

“แล้วใครใช้ให้เสือก?”

“แล้วใครกันน้าที่ส่งสายตาขอความช่วยเหลือ”

“ไม่ได้ทำ!”

“หืม  ยังไม่ได้เอ่ยชื่อเลยนะว่าเป็นนายอ่ะ”  ผมยกยิ้ม  “โอ๊ย! ไอ้ครับ!”  มันเอาสำลีชุบแอลกอฮอล์แปะแผลผม!

“กวนตีนดีนัก  เอ่อ  แหะ แหะ”  มันหันไปหัวเราะให้พ่อที่โผล่หน้าออกมาจากห้องครัวเพราะได้ยินเสียงร้องของผมเมื่อกี้  ผมหัวเราะกับท่าทางนั้น  ไม่อยากแกล้งมันแล้ว  เดี๋ยวมันเอาแอลกอฮอล์ราดหน้าจะเสียโฉมยิ่งกว่าเดิม  ผมยิ่งไม่ค่อยหล่ออยู่ด้วย

ผมเพิ่งสังเกตชัดๆ คำนับถือว่าเป็นคนหน้าตาดีในระดับหนึ่งเลย  คราวก่อนผมว่ามันก็หน้าตาออกจะธรรมดานี่หว่า?  ผิวเนียนละเอียดติดที่ว่าซีดไปหน่อยเหมือนเด็กขาดสารอาหาร  คิ้วเรียวยาวพาดรับกับดวงตาโต  จมูกโด่ง  ริมฝีปากบาง  แต่เพราะชอบทำหน้าตาไร้อารมณ์เลยดูไร้เสน่ห์ชวนมอง  ติ่งหูสองข้างมีร่องรอยถูกเจาะ  คาดว่าเมื่อก่อนหมอนี่คงเกเรและร้ายพอตัว  การที่ไอ้เปรี้ยวมองเห็นส่วนนี้ของคำนับจนอยากเขมือบนี่แสดงว่ามันคงลอบสังเกตมานานพอดู

แผลตรงหางคิ้วเล็กแค่หนึ่งเซนไม่จำเป็นต้องเย็บ  พอคำนับล้างแผลเสร็จแม่ก็เดินมาดูแล้วตัดพลาสเตอร์ฆ่าเชื้ออันเล็กยื่นส่งให้เพื่อปิดแผลและรั้งให้ขอบแผลชิดติดกัน

“เอ้านี่  น้ำแข็ง  ครับเอาประคบรอยฟกช้ำนะ”  พ่อยื่นถุงน้ำแข็งห่อผ้าส่งให้คำนับ  อีกอันยื่นส่งให้ผมประคบมุมปาก

“ขอบคุณครับ”  คำนับรับมา  สายตาคู่นั้นหรุบลงต่ำยามที่พ่อเข้ามาใกล้

“ปากแตกกันแบบนี้คงต้องงดอาหารรสจัด  เดี๋ยวเย็นนี้พ่อทำอาหารจืดๆ แล้วกัน”

“งั้นผมขอตัวกลับ...”

“ไม่ได้  เราต้องอยู่กินข้าวเย็นด้วยกันก่อน”  พ่อกดบ่าคำนับให้นั่งลงตามเดิม

“แต่แม่...”

“เดี๋ยวฉันโทร.หาน้าแป้งให้”  ผมผุดลุกขึ้นล้วงโทรศัพท์ออกมากดโทร.ออก

“นายมีเบอร์แม่ฉันได้ไง?”

“วันที่ไปบ้านนายคราวก่อนไง”  ผมยักคิ้วให้อีกฝ่าย

ผมเห็นเพกากับกระวานสบตากัน  ทุกคนในบ้านรู้จักภูธเรศกับบดินทร์แต่ไม่มีใครรู้จักคำนับและไม่เคยเห็นผมพาเขามาบ้าน  ดังนั้นการที่พ่อรั้งให้คำนับอยู่กินข้าวเย็นก็เพื่อทำความรู้จักคุ้นเคย  พ่อกับแม่ไม่เคยห้ามเรื่องคบเพื่อน  แต่เพื่อนทุกคนของลูกพ่อแม่ต้องรู้จัก  รู้จักลามไปถึงครอบครัวเลยด้วยซ้ำ  แล้วถ้าวันไหนโทร.มาบอกว่าจะค้างบ้านเพื่อนคนนี้นะ  ทุกคนในบ้านก็จะ  อ้อ  พักบ้านนี้เหรอ  จากนั้นก็จะคลายความเป็นห่วงลงเพราะรู้จักคุ้นเคยกันดีแล้ว

“เดี๋ยวผมไปส่งเพื่อนก่อนนะครับ”  หลังอาหารเย็นจบลงผมลุกขึ้นเตรียมไปส่งคำนับ

“ฉันกลับเอง”

“พ่อไปส่งเองดีกว่า”

“ไม่เป็นไรครับ  ผมกลับเองได้”  คำนับปฏิเสธรัวเร็ว

“ไม่ได้  พ่อรั้งลูกชายบ้านอื่นให้อยู่กินข้าวจนมืดค่ำ  ดังนั้นพ่อต้องไปส่งให้ถึงบ้าน”  คำนับหันมามองผม  คงกำลังคิดว่าให้ผมไปส่งแต่แรกคงสิ้นเรื่องสิ้นราวไปแล้ว  ผมยักไหล่  ถ้าพ่อเอ่ยปากแล้วก็ตามนั้นแหละครับ

ดีนะที่พรุ่งนี้เป็นวันเสาร์  ไม่อย่างนั้นถ้าคำนับเอาหน้าเขียวๆ ม่วงๆ ไปโรงเรียนคงกลายเป็นเรื่องใหญ่


*********

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3





วันนี้ผมมีนัดกับภูธเรศและบดินทร์หลังประชุมกันว่า  พวกเราสามคนตกลงใจไปเรียนมหาวิทยาลัยเดียวกันแม้จะคนละคณะฯ ก็ตาม  บดินทร์เรียนแพทย์อย่างที่ตั้งใจ  ภูธเรศเข้าคณะมนุษย์  ผมเข้าบริหาร  วันนี้เลยพากันไปดูหอพักสำหรับทั้งสองคนเนื่องจากผมไป-กลับจึงไม่ได้อยู่หอพักกับพวกเขา

“เฮ้ย  น้อง  ยกให้มันเร็วๆ หน่อยซิ  ขวางทางลูกค้าคนอื่นน่ะเห็นไหม”

“ครับพี่”

ผมจะไม่หันไปมองเลยถ้าเสียงตอบรับนั้นไม่คุ้นหู  ร่างผอมสูงของใครบางคนกำลังยกลังของเข้าไปในร้านอาหารของทางห้าง  ดูก็รู้ว่าคงหนักเอาเรื่อง  ปกติการขนของแบบนี้จะมีรถเข็นทุ่นแรงแต่คำนับกลับต้องยกโดยไม่มีทั้งเครื่องทุ่นแรงและคนช่วย

“ไหนดูซิว่าฉันเจอใคร?”  ผมลากแขนไอ้ภูกับไอ้ดินเดินตรงเข้าไปหาพร้อมกับโทรศัพท์ในโหมดวิดีโอ

“พวกน้องเป็นใครครับ  กรุณาอย่ามาขวางการทำงาน...”

“อ้าว  ไอ้ครับนี่หว่า?” ผมแสร้งร้องเสียงดังตกใจขัดจังหวะการพล่ามของพี่ชายตัวผอมเกร็งที่ชี้นิ้วสั่งคำนับเมื่อครู่นี้  พร้อมสะกิดไอ้ดินเบาๆ โดยไม่ให้คนอื่นเห็น  ใบหน้าเรียบเฉยยังมีรอยช้ำเขียวๆ ม่วงๆ ประดับอยู่ประปราย

“ทำไมมึงไม่ใช้รถเข็นตรงนั้นอ่ะคำนับ  แบกของแบบนี้เกิดหลังเสียขึ้นมาว่าไง?”

“หลังหักขึ้นมาบริษัทไม่รับผิดชอบด้วยนะมึง  กูรู้”  ภูธเรศยืดอกลอยหน้าลอยตาพูด 

“หรือว่าบริษัทนี้เขาห้ามใช้เครื่องทุ่นแรงอย่างรถเข็นของ?”  ผมเหลือบมองรุ่นพี่ร่างแคระคนนั้นซึ่งกำลังมีสีหน้าไม่สู้ดี

“แบบนี้ถ้าเกิดอะไรขึ้นมามึงฟ้องได้เลยนะ”

“ยืนเฉยอยู่ทำไม  ไปเอารถเข็นมาซิ!”  รุ่นพี่คนนั้นหันไปตะคอกคำนับ

คำนับเหลือบมองผมหากไม่ได้พูดอะไร  และไม่ได้ตอบโต้รุ่นพี่คนนั้น  เขาทำเพียงเดินไปเอาของออกจากรถเข็นก่อนจะเอามาใส่ของจากรถบรรทุกแล้วเข็นเข้าห้างไป  รุ่นพี่นั่นเหลือบมาทางพวกเราเป็นระยะ  พอเห็นเราสามคนไม่ขยับไปไหนพร้อมโทรศัพท์ในมือก็ทำทีเป็นยกของลงจากรถรอให้คำนับมาเข็น  โถ  เมื่อกี้เห็นคำนับทำคนเดียวหมดทุกอย่างเลยนี่หว่า

“เลิกงานกี่โมง?”

“ปกติสี่โมงเย็น  ต้องไปส่งของอีกห้างหนึ่ง”  ผมยกนาฬิกาขึ้นดู  ตอนนี้เป็นเวลาบ่ายสาม  ผมยืนอยู่ที่เดิมไม่ไปไหนเพื่อรอถามคำนับ  มีภูธเรศกับบดินทร์เล่นเกมในโทรศัพท์แข่งกันอยู่ด้านหลัง

“เย็นนี้ไปกินข้าวร้านพ่อโป๊ยกั๊กกัน”  ภูธเรศชะโงกหน้าพูด

“แต่เย็นนี้ฉันต้องไปช่วยแม่ทำความสะอาดร้านกับเตรียมของทำโจ๊กพรุ่งนี้เช้า  ไม่ว่างหรอก”

“อ่าฮะ”  ผมพยักหน้าเมื่อคำนับปฏิเสธ  “งั้นนายไปทำงานต่อเถอะ”  ผมหันหลังเดินออกมาพร้อมเพื่อนทั้งสองคน  แต่ยังทันเห็นสีหน้าเหงาๆ ของคำนับตอนที่พวกผมเดินจากมา



“อ้าว ครับ  กลับมาแล้วเหรอลูก  เพื่อนๆ ลูกนี่ใจดีทุกคนเลยเนอะ  ดูซิ  ช่วยแม่ทำความสะอาดร้านแถมยังช่วยเตรียมของสำหรับวันพรุ่งนี้ให้ด้วย  แป๊บเดียวก็เสร็จเรียบร้อย”

“เพื่อน?”

“ใช่จ้ะ  สามคนนี้ไง”  น้าแป้งผายมือมาทางผมและไอ้ภู ไอ้ดิน  เราสามคนยิ้มกว้างจนปากแทบฉีกถึงหูเมื่อโดนเอ่ยชม

“พวกนายมาทำอะไรที่บ้านฉัน?”

“หืม  ตาก็ไม่ได้บอดนี่หว่า?”  ไอ้ภูเอียงหน้ามองคนที่เพิ่งเดินเข้ามาในบ้าน  คำนับกวาดตามาหยุดที่หน้าพวกเราทีละคน

“ปะ  ไปกันได้แล้ว”  ผมปัดฝุ่นออกจากกางเกง  เดินมาคล้องคอคำนับให้ออกจากบ้าน

“ไปไหน?”

“ร้านหิ้วปิ่นโตของพ่อโป๊ยกั๊กไง”  ภูธเรศยิ้มหน้าบานเพราะกำลังจะได้กินของอร่อย

“ไม่เอา  ฉันจะอยู่กินข้าวกับแม่ที่บ้าน”

“เสียใจ  ข้าวหมดแล้วโว้ย  แล้วน้าแป้งก็บอกว่าจะรอปิ่นโตมาส่ง”

“ปิ่นโตไหน?” คำนับทำหน้างงไม่เลิก

“ปิ่นโตจากที่ร้านฉันไง”

“ไม่เอา!”  ผมขยับแขนออกแรงล็อกคอจนอีกฝ่ายดิ้นไม่หลุด  ลากกันมาขึ้นแท็กซี่โดยมีบดินทร์ขนาบข้าง  ส่วนภูธเรศนั่งข้างหน้าคู่กับคนขับ

พวกเรามาถึงร้านในเวลาไม่นาน  ผมลากคำนับเข้าร้านอาหาร  อีกฝ่ายเหลียวมองไปทั่วอย่างตื่นตาตื่นใจ  มีลูกค้าบางคนหันมามองพวกเราเป็นระยะคำนับเลยก้มหน้าลงจนคางชิดอก

“อ้าว  เจอกันอีกแล้วนะ”

“สะ  สวัสดีครับ”  คำนับยกมือไหว้พ่อ  เอ๊ะ  แล้วทำไมมันต้องหูแดงเวลาเจอพ่อผมด้วยวะ?

“ตามสบายนะ  โป๊ยกั๊กพาเพื่อนไปนั่งเถอะ”

“คือ..ฉันจะกลับ”  คำนับทำท่าลุกลี้ลุกลน

“ทำไม?”

“ฉัน  ไม่เหมาะจะเข้าร้านแบบนี้หรอก”  ผมเหลือบมองเสื้อผ้าของคำนับที่เปรอะเปื้อนจากการขนของเมื่อตอนกลางวัน  หน้าตามันแผล่บ  หัวยุ่งอีกต่างหาก

“นี่ร้านอาหารธรรมดา  ไม่ใช่บนห้าง  นายจะอายอะไร?”

“คือ...”  คำนับเหลือบมองพ่อผมอีกครั้ง  แล้วก็ก้มหน้า 

บ๊ะ  ไอ้หมอนี่  คิดอะไรไม่ดีกับพ่อชาวบ้านเขาหรือเปล่าวะ!

“ถ้างั้นก็เข้าห้องน้ำไปล้างหน้าล้างตาไป”  ผมดันคำนับไปทางเค้าท์เตอร์  ด้านหลังเป็นห้องน้ำของทางสต๊าฟ  ส่วนห้องน้ำของลูกค้าอยู่ทางด้านนอก

“จะเข้าห้องน้ำเหรอลูก”  พ่อหันมาถามพร้อมรอยยิ้มอบอุ่น

“ครับ  ผมอยากล้างหน้า”

“ได้ซิ  เอ้านี่  ผ้าขนหนู”  พ่อหันไปเปิดตู้เล็กด้านข้างหยิบผ้าส่งให้

“ขอบคุณครับ”

เนี่ย  ไม่เข้าใจว่ามันจะเขินพ่อผมไปทำไม  เห็นมันทำท่าเอียงอายเป็นสาวน้อยแล้วหงุดหงิดขึ้นมาเลย

หลังเสิร์ฟอาหารให้ลูกค้าหมดแล้วผมก็หยิบจานอาหารไปวางบนโต๊ะของเพื่อนๆ มีสเต็กหมูพริกไทยดำ  มันฝรั่งทอด  มันบดเนื้อเนียน  ผักโขมอบชีส  พิซซ่าโฮมเมดเน้นเครื่องจนพูนอีกสองถาด

ภูธเรศกับบดินทร์จัดการอาหารตรงหน้าโดยไม่รอคำเชื้อเชิญ  ส่วนอีกคนกลับนั่งนิ่งไม่ขยับ  คำนับเม้มปากมองอาหารพลางเหลือบตามองผม

จ๊อก~~~

“ท้องร้องขนาดนี้ยังไม่หยิบมีดหยิบส้อมขึ้นมาอีก?”

“ก็...”

“รอให้กูป้อนหรือไง?”  โมโหครับ  เลยขึ้นคำหยาบคาย  ทั้งๆ ที่หิวแล้วทำไมถึงไม่กิน

“แป๊ะมึงซิ  กูเกรงใจ”  แหม่  ไม่มียอมเสียเปรียบเลย  หยาบคายไปก็หยาบคายกลับมา

“เวลาท้องหิวก็โยนสมบัติผู้ดีทิ้งไปเหอะ  ดูอย่างไอ้สองคนนี้ดิ๊”

“อ้าว  ไอ้เหี้-ยกั๊ก!”  ไอ้ภูเตะขาผมจากใต้โต๊ะ  แต่ขอโทษหลบทันครับ

ในที่สุดคำนับก็ยอมหยิบมีดหยิบส้อมจัดการอาหารตรงหน้า  พิซซ่าโฮมเมดสองถาดหมดลงอย่างรวดเร็วในพริบตา  ไอ้ภูถึงขนาดเรอออกมาเสียงดังไม่อายสายตาใครจนไอ้ดินตบหัวมันไปทีหนึ่งที่มันบังอาจทำตัวอุบาทว์กลางร้านอาหาร

“เป็นยังไงบ้างเด็กๆ”  พ่อเดินเข้ามาหาหลังจัดการครัวเสร็จแล้วเรียบร้อย  คำนับใช้หลังมือเช็ดปากขยับนั่งตัวตรงแน่วเหมือนถูกใครเอาเข็มจิ้มตูด  ผมกดมุมปากกลั้นหัวเราะเมื่อเห็นซอสจากพิซซ่าติดข้างแก้มมัน

“ไม่ว่าพ่อจะทำอะไรออกมาก็อร่อยหมดทุกอย่างเลยครับ”  ไอ้ภูเสนอหน้าตอบคนแรก  พ่อมองจานเปล่าที่เกลี้ยงเกลาแล้วยิ้มกว้าง

“ดีใจที่ได้ยินอย่างนี้นะ  ครับ  อาให้คนไปส่งปิ่นโตที่บ้านแล้วนะ”

“เอ๊ะ?”  คำนับเงยหน้ามองพ่อเมื่อได้ยินประโยคนั้น

“เป็นห่วงคุณแม่ที่รอทานข้าวอยู่ที่บ้านใช่ไหมล่ะ  อาให้คนไปส่งปิ่นโตแล้ว  ไม่ต้องห่วง  แล้วก็นะ  อาหารฝีมืออาอร่อยขนาดนั้นเชียวเหรอ?”

“?”

“ถึงขนาดซอสเปื้อนแบบนี้”  พ่อหยิบผ้าเช็ดหน้าออกมาจากกระเป๋าเสื้อแล้วเช็ดแก้มของคำนับเบาๆ

“พ่อ  อย่าเรี่ยราด!”  ผมถลึงตามองพ่อบังเกิดเกล้า  เห็นหน้าคำนับมันไหม  แดงจนเป็นมะเขือเทศสุกแล้ว!

“เรี่ยราดอะไรเหรอ?”  ไม่ต้องมาเอียงคอถามทำหน้าตาบ้องแบ๊วเลย  เดี๋ยวจะฟ้องแม่!

“อ่อยเรี่ยราดไง”  ผมกอดอกฮึดฮัด  นี่อุตส่าห์ตามมาเฝ้าถึงร้านแล้วนะ  พ่อยังมาปล่อยเสน่ห์ใส่คนอื่นได้อีก

“พูดอะไรน่ะเรา?”  พ่อส่ายหัวก่อนจะกลับไปอยู่หลังเค้าท์เตอร์ปล่อยให้ลูกๆ พูดคุยกันเต็มที่
 .
.

พระจันทร์โผล่พ้นขอบฟ้า  อากาศยามค่ำไม่ร้อนแรงเหมือนช่วงกลางวันจังหวะการก้าวของเราจึงไม่จำเป็นต้องเร่งรีบ  ผมรับรู้ได้ถึงสายตาของคนด้านข้างหากไม่ได้เอ่ยเร่งอะไร

“คือ...ขอบใจนะ”

“เรื่องอะไร?”

“ก็เรื่องเมื่อวานกับวันนี้”

“อื้อหือ  ไม่รอให้ฉันลงไปอยู่ในหลุมเสียก่อนล่ะถึงค่อยพูด”

“งั้นถือว่าเมื่อกี้ไม่ได้พูดแล้วกัน!”

“แหม  งอนเหรอจ๊ะ?”

“จ๊ะพ่อง!  อ๊ะ!”  คำนับกลอกตาหลังหลุดสบถออกมา  เพราะคำว่าพ่อง  คือพ่อผม

“พูดจาหยาบคาย  เดี๋ยวพี่ตบปากนะ”  ผมเอานิ้วจิ้มรอยช้ำม่วงตรงมุมปากคำนับแรงๆ ไปหนึ่งที

“โอ๊ย  นี่มันไม่เดี๋ยวแล้วไหม”

“อ่ะๆ  ไม่แกล้งแล้วก็ได้”  ผมหัวเราะคิกคัก  อย่างที่บอกว่าการแกล้งคำนับสนุกกว่าแกล้งกระวานเยอะเลย

“บ้านนายก็ดูอบอุ่นดี  ทำไมถึงมีลูกชายนิสัยเสียแบบนายได้วะ?”

“ถ้าอย่างฉันเรียกนิสัยเสีย  แล้วอย่างนายจะเรียกว่าอะไร?”

“....ช่างเหอะ  กลับบ้านไปเลยไป”  คำนับดูอับจนคำพูด  เขาโบกมือไล่ผมเมื่อเราเดินมาถึงหน้าบ้าน

“เปิดบ้านก่อนดิ”  ผมพยักเพยิด

“เออน่า ไปได้แล้วไป”

“เดี๋ยวนายแอบหนีแม่ไปเที่ยว  เปิดประตูเข้าบ้านเลย  เร็วๆ”

“จิ๊!”  คำนับไขกุญแจเสร็จก็เข้าบ้านปิดประตูดังปังใส่หน้าผมทันที

ผมยืนนิ่งอยู่พักหนึ่งก่อนจะหัวเราะเบาๆ  แล้วหันหลังออกเดิน  จังหวะนั้นประตูบ้านที่ปิดสนิทค่อยๆ เปิดแง้มออกมา  ผมหันกลับไปมอง  เลิกคิ้วเมื่อเห็นคำนับชะโงกหน้าจ้องมองมา

“ขอบใจจริงๆ นะโว้ย  ทั้งเรื่องเมื่อวานและวันนี้”

“อือ”  ผมพยักหน้ารับ  โบกมือให้เขาเข้าบ้าน

อา  คืนนี้อากาศดีจังเลยน้า~






โปรดติดตามตอนต่อไป








สวัสดีค่ะ เอาโป๊ยกั๊กขี้เก๊กมาส่งค่ะ  หลังจากตอนนี้  ตอนต่อไปอาจมาช้านิดนึงนะคะ  เนื่องจาก...หมดคลังสต๊อกค่ะ  แฮ่
เหมือนเดิม  ขอให้สนุกกับการอ่านนะคะ  มีตรงไหนผิดพลาดบอกกล่าวแนะนำกันได้เสมอค่ะ


ด้วยรัก
ทราย

ออฟไลน์ cheezett

  • เป็ดมหาวิทยาลัย
  • *
  • กระทู้: 471
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +19/-3
ชอบมากๆๆ ลงชื่อติดตามม

รอตอนต่อไปค่ะ  :pig4: :L1:

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ทำไมโป๊ยกั๊กนิสัยไม่ดีแบบนี้ละคะ ไปแกล้งครับทำไมครับน่าสงสารนะ ชอบเขาก็บอกเขาไปดีๆสิมาแกล้งกันเจ็บๆแบบนั้นใช้ได้ที่ไหน แล้วที่ครับหน้าแดงกับคุณพ่อนี่คือยังไงหว่า หลงเสน่ห์คุณพ่อหรืออย่างไร ส่วนกานพลูที่ออกมาเดือนละครั้งนี่ทำไมเหมือนมันมีปมดราม่าเบื้องหลังอีกละ หรือยังไงโป๊ยกั๊กไม่ชอบให้ออกมาอย่างนี้เหรอ

ปล.ที่ว่ากานพลูออกมาแค่คืนเดือนดับก็คือแรม 15 ค่ำนั้น ดูตามปฏิทินแล้วก็ออกมาได้แค่ครั้งเดียวนะคะไม่ใช่สอง

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ครับหลงรักพ่อกั๊กละซิ พ่อกั๊กหน้าหวานนิ ส่วนกั๊กหึงพ่อตัวเองแม่นก่อ  :katai3:

ออฟไลน์ insomniac

  • เป็ดแสนดี
  • เป็ดHephaestus
  • *
  • กระทู้: 1482
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +111/-3
สงสารกานพลูจังออกมาได้แค่เดือนละสองครั้ง
แต่ดูๆไปก็เหมือนคนสองบุคลิกมากกว่าจะเป็นคนละคนกันจริงๆ ทั้งคู่ก็คือโป๊ยกั๊กนั่นแหละ เพียงแต่พลังพิเศษทำให้สะท้อนบุคลิกที่สองออกมาในรูปเงาในกระจก แต่ถ้าไม่ใช่ก็สงสารกานพลูจริงๆ

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3
Secret Me  คนนี้ต้องลับ!
ตอนที่7





[คำนับ]



   ผมยังคงทำงานกับบริษัทนี้ต่อ  ถึงแม้บางครั้งจะถูกเอาเปรียบจากรุ่นพี่บางคนก็ตาม  ยังไงซะก็มีการเปลี่ยนคู่ทำงานทุกเดือนอยู่แล้ว  อีกอย่างเพราะผู้จัดการใจดียอมให้ผมทำแค่ช่วงเสาร์-อาทิตย์ได้  เพราะวันจันทร์ถึงศุกร์ผมต้องไปโรงเรียน  วันนี้โชคดีที่การขนของเสร็จค่อนข้างเร็วจึงมีเวลาพักผ่อนนานขึ้น  ผมขออนุญาตรุ่นพี่ไปซื้อขนมปังในฟู๊ดคอร์ท  ขณะรอพนักงานคิดเงินผมก็หันไปเห็นร่างคุ้นตาของใครบางคนในโซนของสดกับเครื่องครัว  ใจผมเต้นตึกตักขึ้นมาทันที  พอรับขนมกับเงินทอนแล้วเลยรีบเดินเข้าไปหาเขา

“สวัสดีครับ”

“อ้าว  ครับ”  อาสีฟ้า  คุณพ่อของโป๊ยกั๊กยิ้มกว้าง  ดวงตาภายใต้แว่นกรอบใสยิบหยีดูใจดี

“มาซื้อของหรือครับ?”

“ใช่  ของขาดนิดหน่อยน่ะ  ว่าแต่เราเถอะทำงานที่นี่เหรอ?”

“งานพิเศษแค่ช่วงเสาร์-อาทิตย์ครับ”  ผมก้มลงมองเสื้อผ้าตัวเองดูว่าสกปรกมากไหม

“ขยันจังเลยน้า~”

“ก็นิดหน่อยครับ  ต้องเก็บเงินไว้เรียน”

“อ้อ  ได้ยินว่าเราขอทุนของมหาวิทยาลัยราชภัฏสวนดุสิต  สาขาอุตสาหกรรมอาหารงั้นเหรอ?”

“ครับ”  ผมยิ้มเขิน  มือไม้ไม่รู้จะวางตรงไหนจึงยกขึ้นเกาหลังคอ

“แสดงว่าต้องเรียนเก่งมาก”

“ไม่ขนาดนั้นหรอกครับ”

“พยายามเข้านะ  สายนี้อาจจะยากหน่อยแต่ไม่เกินความพยายาม  อาเชื่อว่าครับทำได้แน่”

“....”  ผมยืนนิ่ง  ประโยคนั้นสร้างกระแสความรู้สึกหนึ่งขึ้นในอก  หัวตาร้อนผ่าวจนแทบกลั้นน้ำตาเอาไว้ไม่อยู่  ผมสูดหายใจแล้วเงยหน้ายิ้มให้พ่อของโป๊ยกั๊ก  “ขอบคุณครับ”

“อืม”

“แล้วนี่อาฟ้าซื้อของครบหรือยังครับ?”

“ขาดอีกสอง-สามอย่างนะ”

“งั้นเดี๋ยวผมเข็นรถให้นะครับ”

“หืม  เอาซิ”

ผมเข็นรถให้อาฟ้าจนซื้อของครบพอจ่ายเงินเสร็จ  คิดจะไปส่งเขาที่รถก็นึกได้จึงเอ่ยปากถาม

“อาฟ้ามาคนเดียวหรือครับ?”  ถ้ามาคนเดียวผมจะได้ไปช่วยขนของขึ้นรถ

“มากับโป๊ยกั๊กน่ะ  นี่รออยู่ร้านหนังสือโน่น  เดี๋ยวอาโทร.ตามโป๊ยกั๊กก่อนนะแล้วเราไปกินข้าวกัน”  พูดไปมือก็กดโทร.ออกรวดเร็ว

“เอ่อ  ผมขอตัวก่อนดีกว่าครับ”

“ทำไมล่ะ?  อาว่าไปกินข้าวด้วยกันก่อนดีกว่า”

“อ๊ะ  ถึงเวลางานแล้วครับ  ไว้วันหลังนะครับอาฟ้า”  ผมยกมือไหว้ลาแล้วรีบเผ่นทันที

แค่โดนบังคับให้ไปกินข้าวกลางวันด้วยกันทุกวันจันทร์ถึงศุกร์  ตอนเย็นโดนตามเป็นเงา  แค่ห้าวันนั้นก็พอแล้วมั้ง  ให้เสาร์-อาทิตย์ผมได้รอดพ้นจากหมอนั่นบ้างเถอะ  ขอร้องล่ะ!

*********



“วันนี้พ่อเจอครับที่ห้างด้วย”

“หืม?”  ผมเงยหน้าจากกระปุกเครื่องเทศขึ้นมองพ่อ

“เขาเรียนอยู่ชั้นเดียวกับลูกใช่ไหม  ที่ลูกบอกว่าเขาได้ทุนเรียนต่อน่ะ  แต่ว่านะ...ไปทำงานแบบนั้นจะดีเหรอ?”

“ครับ?”

“ใช่  ครับนั่นแหละ”  พ่อเท้าแขนกับเค้าท์เตอร์  ครับ  ในที่นี้หมายถึงว่าผมขานรับพ่อ  ไม่ได้เอ่ยชื่อเจ้านั่นสักหน่อย  “พ่อว่าถ้าเขาคิดทำงานพิเศษเพื่อหาเงินเรียนน่าจะไปทำตามร้านอาหารดีกว่านะ  อย่างน้อยก็ได้เรียนรู้เรื่องอาหาร  ไปทำงานใช้แรงแบบนั้นจะมีเวลาเตรียมตัวเหรอ?”

ผมเก็บเอาคำพูดพ่อมาคิด  พอถึงวันจันทร์ช่วงพักเที่ยงหลังกินข้าวเสร็จ  คำนับเตรียมตัวลุกขึ้นจากไป  จังหวะที่เขาเดินผ่านผมยื่นเท้าไปขัดขาจนเขาสะดุดหัวเกือบทิ่มพื้น

“ทำบ้าอะไร!”

“ตะโกนทำไม  พูดเบาๆ ก็ได้ยินเหอะ”

“...”  นายขัดขาฉันทำไม?  คำนับขยับริมฝีปากโดยไม่ส่งเสียง  ผมขมวดคิ้ว  หมอนี่กำลังกวนตีนผมอยู่ใช่ไหม?  ผมเลยยกเท้าเตะน่องเขาไปทีหนึ่งแรงๆ

“นั่ง!”

“...จะไปอ่านหนังสือ”  แววตาหลุกหลิกมาก!

“ไม่เชื่อ”

“บ๊ะ!”  คำนับหงุดหงิดเมื่อผมไม่ยอมให้เขาไป

“ไม่ให้ไป”

“โป๊ยกั๊ก  นี่มึงหลงไอ้ครับขนาดนี้เลยเหรอ  ถึงขนาดไม่ให้ห่างตัวเลย?”  ภูธเรศทำตาโตจมูกบานยื่นหน้ามาถามด้วยท่าทางทะเล้น

“ที่พูดนี่ปากใช่ไหม?”  ผมเหลือบมองเพื่อนด้วยหางตา

“นุ่มนิ่มน่าจูบขนาดนี้ก็ปากน่ะซิ  เนอะดินเนอะ”  ไม่พูดเปล่า  ยื่นปากไปทางบดินทร์อีกต่างหาก

“กูนึกว่าตูด”

“ไอ้กั๊ก!”

“โว้ย  กูปวดขี้!”

“.....”

ผมนั่งสตั๊นไปสามวินาที  คำนับตะโกนลั่นก่อนวิ่งไปโน่นแล้ว  เร็วชนิดไม่เห็นฝุ่นเลยทีเดียว  ถึงว่าเมื่อกี้เห็นขนแขนเขาลุกตั้งเชียว  ที่แท้ก็ข้าศึกบุกประชิดนี่เอง

ผมนั่งรออยู่นานแต่ไม่เห็นคำนับกลับมาเลยได้แต่เข่นเขี้ยวในใจ  อุตส่าห์มีเรื่องจะพูดด้วย  ซ้ำยังใจดีปล่อยให้ไปขี้ก่อนแล้วค่อยกลับมาคุย  ดันหายหัวไปอีก  เย็นนี้เจอดีแน่นอน!

ตอนเย็นผมดักรอคำนับที่หน้าโรงเรียน  พอเห็นผมก็ทำท่าหันหลังหนี  เลยต้องกระโจนเข้าไปหิ้วคอเสื้อเหมือนหิ้วลูกแมวออกมา  ดึงกระเป๋าของอีกฝ่ายมาค้นพร้อมยึดบัตรประชาชนเอาไว้

“เฮ้ย  ทำอะไรวะ?”

“เอ้า  เวลาสมัครงานก็ต้องใช้บัตรประชาชนป่าววะ”

“สมัครงาน?”

“ใช่”

“นายจะสมัครก็ใช้บัตรนายซิ  เอาของฉันไปทำไม  อ้อ  นี่คิดจะทำเรื่องไม่ดีแล้วโยนความผิดให้ฉันใช่ไหม?”  คำนับโวยวาย

“ติดนิสัยไอ้ภูมาหรือไง  ตีโพยตีพายเบอร์ใหญ่เว่อร์”

“เบอร์เล็กเบอร์ใหญ่ก็ช่าง  เอาคืนมา!”

“ไม่”  ผมจัดการลากคำนับออกจากโรงเรียน  เพกาที่ยืนรออยู่เลิกคิ้วมองพวกเราสองคนก่อนจะยิ้มให้คนข้างๆ ผม

“พี่ครับก็จะไปที่ร้านเหรอคะ?”

“ร้านไหน?”

“ก็ร้านหิ้วปิ่นโตไงคะ”

“?”

“ใช่”  ผมตอบน้องสาวขณะที่คำนับยังมีสีหน้างงๆ

“ไม่ครับ  พี่จะรีบไปทำงาน”

“ใครอนุญาต?”  ผมยึดคอเสื้อคำนับเอาไว้อีกครั้ง  เขาดิ้นจนคอเสื้อรัดแน่นเกือบหายใจไม่ออก  หน้างี้แดงไปหมด  เฮอะ  บอกแล้วไงว่าเย็นนี้จะเจอดี

“ปล่อย!”

“หยุดดิ้นเป็นแมวได้แล้วน่า”  คำนับถลึงตามองอย่างไม่ชอบใจ  ถ้าคำนับเป็นแมวคงเป็นแมวป่าดุร้าย

“ถ้าฉันเป็นแมวงั้นนายมันก็ไอ้หมาบ้า!”  ผมพยักหน้าหงึกหงักตอบรับ  พอเห็นว่าผมไม่เจ็บแสบกับคำพูดของเขาคำนับก็ส่งเสียงฮึดฮัดไม่ชอบใจ

ผมเหลือบมองใบหน้ามู่ทู่ของคำนับแล้วรู้สึกอารมณ์ดีมาก  แกล้งใครก็ไม่สนุกเท่ากับการแกล้งเขา  อาจเป็นเพราะคำนับมีปฏิกิริยาไม่เหมือนคนอื่นๆ  คำนับสู้ผมไม่ได้ก็ยังจะสู้  ชอบแส่หาเรื่องให้ตัวเองเจ็บตัวตลอด  และแววตาเขาก็ไม่เคยยอมแพ้สักครั้ง

ผมลากคำนับไปที่ร้าน  ก่อนจะโยนร่างผอมๆ ของเขาไว้ตรงหน้าเค้าท์เตอร์  พ่อหันมามองก่อนจะยิ้มกว้างส่งให้

“ครับ  มาแล้วเหรอ?  ตัดสินใจไวดีจัง”

“ครับ?”

“อาดีใจนะที่เราจะมาทำงานพิเศษที่นี่  จะได้เรียนรู้เผื่อเอาไว้ใช้ในอนาคตเนอะ  ยินดีต้อนรับนะ”

“เดี๋ยวก่อนครับอาฟ้า!”  คำนับยันกายขึ้นยืนตัวตรง  เขามองหน้าพ่อสลับกับผมไป-มาด้วยความงุนงง  “ใครมาทำงานพิเศษที่นี่นะครับ?”

“ก็เราไง”  พ่อบอกพร้อมชี้นิ้วไปที่คำนับ  “เอ๊ะ  นี่โป๊ยกั๊กยังไม่พูดกับเราเหรอ?”

“นาย!”  คำนับหันมาถลึงตาใส่ผมอีกแล้ว

“เอ้า  ก็ตอนกลางวันนายหนีไปทำไมล่ะ?”

“ไม่ได้หนี  ฉันไปขะ...”  ขี้  คำนับชะงักคำว่าขี้พลางเหลือบไปทางพ่อผม  ส่วนพ่อที่กำลังรอฟังก็เอียงคอสามสิบองศา  เบิกตาโตเล็กน้อย  ผมถอนหายใจเฮือกแล้วเดินเข้าไปดันแก้มพ่อให้หัวตั้งตรง 

“อ้อ  นายไปขี้  แล้วเสือกไม่กลับมาฟังที่ฉันจะบอกไง”

“ก็ใครมันจะไปรู้เล่าว่านายจะพูดเรื่องนี้  ว่าแต่...อาฟ้าครับ”  คำนับพยายามชะโงกหน้ามองไปทางด้านหลังของผม  เมื่อครู่พอดันหัวพ่อให้ตั้งตรงผมก็เนียนยืนบังพ่อเอาไว้ให้พ้นสายตาคำนับ  ขืนหมอนี่เห็นท่าทางของพ่อเมื่อกี้เดี๋ยวได้หน้าแดงหูแดงอีก

“ว่าไง?”  พ่อชะโงกหน้าออกมาจากหลังผม  นั่นไง  ว่าแล้วเชียวว่าคำนับต้องหน้าแดง  ไม่ต้องดูก็รู้ว่าพ่อทำตาโตๆ ยิ้มหวานๆ อยู่แน่

“คือผมมีงานพิเศษทำอยู่แล้ว”

“อ้อ  งานส่งอาหารแช่แข็งของบริษัท...ใช่ไหม  ที่อาไปเจอเราที่ห้าง”

“ครับ”

“อืม  ที่อาชวนให้ครับมาทำงานที่นี่เพราะอยากให้ครับได้ฝึกเข้าครัวน่ะ  คิดว่าอย่างน้อยน่าจะมีประโยชน์กับเราตอนเรียนก็เลยให้โป๊ยกั๊กไปชวนเรามา”

“....”  คำนับนิ่งอึ้ง  คงเพราะไม่คิดว่าพ่อผมจะคิดเผื่อเขาในเรื่องของอนาคต

“ดูท่าโป๊ยกั๊กคงไม่ได้พูดให้ฟังแต่ลากเรามาล่ะซิ”  ผมยักไหล่เมื่อพ่อหันมาส่งสายตาคาดโทษ  “โป๊ยกั๊ก  ทำแบบนี้ไม่ดีนะรู้ไหม  ไปฉุดลูกเขาแบบนี้พ่อแม่เขาจะคิดยังไง  หืม?”

“พ่อครับ  ผมไม่ได้ไปฉุดลูกสาวใครมาทำเมียเสียหน่อย  ดูพูดจาเข้า”  เกิดคนอื่นมาได้ยินจะเข้าใจผิดไปถึงไหนเนี่ย

“เอ่อ  ถ้าอย่างนั้นผมขอเวลาหน่อยนะครับ  จู่ๆ ให้ลาออกมาแบบนี้เดี๋ยวเขาหาคนมาทำงานไม่ทัน”

*********

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3





อาทิตย์ต่อมาหลังขึ้นเดือนใหม่คำนับก็มาช่วยงานที่ร้าน  พ่อสอนให้คำนับรู้จักอุปกรณ์ต่างๆ ในครัว  สอนการแยกแยะเครื่องเทศชนิดต่างๆ  การเลือกใช้วัตถุดิบในการทำอาหาร  เทคนิคต่างๆ แบบคร่าวๆ  ผมนี่ถึงกับอ้าปากค้างตอนเห็นพ่อนั่งจดรายการว่าจะสอนอะไรคำนับบ้าง  ทำอย่างกับคำนับกำลังจะไปแข่งเป็นเชฟระดับชาติอย่างนั้นแหละ

“ครับจะได้คอยช่วยพ่อที่ร้านได้ไง  ยิ่งช่วงนี้ซันมาขอลาหยุด  ยิ่งวุ่นไปใหญ่ มีครับมา  ช่วยได้เยอะเลย  อีกอย่างตอนไปเรียนจะได้ไม่ลำบากมาก  อย่างน้อยก็มีความรู้ความชำนาญมากกว่าคนอื่น”

พ่อให้คำนับมาเรียนรู้งานตั้งแต่เช้าเพราะอยากให้เริ่มตั้งแต่การเตรียมของที่จะใช้ทำอาหารในแต่ละวัน  เขาเลยลำบากหน่อยตรงที่ต้องตื่นมาช่วยน้าแป้งต้มโจ๊กตอนเช้ามืด  จัดร้านเปิดร้านแล้วขึ้นรถเมล์มาที่ร้านหิ้วปิ่นโต  อย่างวันนี้ก็เช่นกัน

ผมมองใต้ตาดำคล้ำของคำนับแล้วส่ายหัวก่อนจะวางถุงโจ๊กลงตรงหน้าเขาพร้อมถ้วยใบเขื่อง  คำนับหยุดมือที่กำลังหั่นผักเงยหน้าขึ้นมอง

“อะไร?”

“โจ๊กน้าแป้ง”

“หืม? นายไปที่ร้านมาเหรอ?”

“ใช่  แวะช่วยแม่นายเก็บของเสร็จแล้วค่อยมา  น้าแป้งฝากโจ๊กมาให้นายด้วย”

“.......”  คำนับมองถุงโจ๊กตรงหน้านิ่ง

“นายนี่เก่งนะ  ตื่นก่อนไก่มาช่วยน้าแป้งต้มโจ๊กแล้วยังมาเตรียมวัตถุดิบที่ร้านนี้อีก”  เห็นหน้าซึมๆ ของแมวผอมตรงหน้าแล้วรู้สึกแปลกๆ ยังไงไม่รู้เลยเอ่ยปากชมเสียหน่อย

“นายไปช่วยแม่ฉันมากี่วันแล้ว”

“เอ๊ะ?”  ผมที่กำลังกอดอกหาคำพูดมาปลอบใจเขาชะงักนิ่ง  “ก็...เพิ่งไปนี่แหละ”  พูดได้แค่นั้นเมื่อคำนับเหลือบสายตามอง  ปากบางๆ ขบเม้มแน่น คิ้วเรียวยาวขมวดน้อยๆ  โอ๊ย  แล้วทำไมผมต้องรู้สึกจี๊ดๆ ในหัวใจกับสายตาเจ้าแมวนี่ด้วยล่ะเนี่ย

แววตาของคำนับรู้สึกผิด  เขารีบตื่นมาช่วยน้าแป้งก็จริงแต่เพราะต้องรีบมาช่วยงานที่ร้านนี้ด้วย  ดังนั้นหลังขายโจ๊กเสร็จน้าแป้งเลยต้องทำงานเก็บกวาดหลังจากนั้นคนเดียว

“น้าแป้งบอกว่าเก็บโต๊ะเก้าอี้ไม่กี่ตัวน่ะสบายมาก  ส่วนหม้อไหจานชามแช่น้ำเอาไว้ให้นายไปล้างตอนเย็น  ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่ได้ช่วยแม่นาย”  ผมตบปุๆ ลงบนบ่าคำนับแล้ววิ่งไปหลังร้าน 

วันนี้เพกาเข้ามาปลูกผักแต่เช้าเนื่องจากช่วงบ่ายมีนัดกับเพื่อนๆ  ผมต้องเป็นคนไปส่งเพราะช่วงนี้กระวานไม่ค่อยว่าง  เห็นว่าได้งานทำแล้ว  เป็นงานกลางคืน  ดังนั้นช่วงกลางวันจึงหลับเป็นตาย  นี่ผมกำลังคิดว่าไว้ว่างๆ จะแอบไปดูที่ทำงานของกระวานเสียหน่อยว่าทำงานอะไร  อยู่ตรงไหน   ทำงานกลางคืนแถมเงินดีแบบนี้มันดูไม่ค่อยน่าไว้ใจยังไงไม่รู้  กลัวถูกหลอกไปทำงานไม่ดี  หรือถ้ามีคนพลุกพล่านกระวานอาจลำบากกับเสียงในหัวของคนพวกนั้น

“เพกาจะปลูกผักเหรอ?”  ผมหลุดจากภวังค์  เหลือบมองคำนับที่เดินไปหาเพกาตรงแปลงผัก  เขาเลิกคิ้วมองแปลงดินว่างเปล่าตรงหน้าสลับกับอีกแปลงซึ่งมีผักโตเต็มที่ใบเขียวชอุ่ม  คงแปลกใจว่าเมื่อวานแปลงนั้นเพิ่งปลูกทำไมวันนี้ถึงโตพร้อมเก็บเกี่ยวแล้ว

“ใช่ค่ะ”

“งั้นเดี๋ยวพี่ขุดหลุมให้นะ”  คำนับเดินไปหยิบเสียมมาขุดลึกพอประมาณ  เพกาตามอยู่ด้านหลังคอยหยอดเมล็ดผักแล้วกลบดิน  ผมเห็นดังนั้นเลยคว้าฝักบัวไปรดน้ำให้

“เย็นนี้พี่ครับอย่าลืมเอาผักกลับบ้านด้วยนะคะ”

“ไม่เป็นไรหรอก  เก็บไว้ใช้ในร้านดีกว่า”

“โตไวจนกินไม่ทันแล้วต่างหาก  พี่ครับเอาไปให้น้าแป้งทำกับข้าวก็ได้ค่ะ  นี่นะเดี๋ยวพรุ่งนี้ก็โตแล้ว”

“อะไรนะ?”  คำนับหยุดมือเงยหน้ามองเพกา

“เพกาหมายถึงเดี๋ยวในแปลงนี้ก็โต  นายแบ่งเอาไปกินยังเหลืออีกบาน”

“อ้อ”

ผมหรี่ตามองน้องสาว  เพกาย่นคอแลบลิ้นยิ้มแหย  ที่พูดไปเมื่อกี้คงเพราะลืมตัว  เนื่องจากปกติอยู่ในบ้านตัวเองก็ไม่จำเป็นต้องระวังตัวอะไร

ช่วงบ่ายพ่อพาคำนับออกไปซื้อของ  ส่วนผมไปส่งน้องสาวที่จุดนัดหมาย  ลงไปซื้อกาแฟเย็นดับร้อนก่อนสายตาจะเหลือบไปเห็นใครบางคน

ไอ้เน่า  นวพล

ความจริงแล้วนวพลมันไม่ได้ชื่อเน่าหรอก  มันชื่อเนา  แต่ที่เรียกมันว่าเน่าเพราะไม่ชอบหน้ามันล้วนๆ เจอมันที่นี่ไม่รู้ว่าเพราะมันแอบตามเพกามาหรือเปล่า

“เฮ้ย  ไอ้เน่า!”  คนที่กำลังเปิดประตูร้านเข้ามาสะดุ้งโหยง  พอหันมาเห็นผมก็ถอยหลังกรูดเตรียมวิ่งหนี  ผมลุกพรวดคว้าคอมันแล้วลากเข้าร้านกาแฟ

“มึงมาทำไมที่นี่?”

“กูต้องถามมึงมากกว่ามั้ง  แอบตามน้องกูมาหรือไง?”

“เพกาอยู่แถวนี้เหรอ?”  ถ้ามีหางมันคงกระดิกส่ายไม่หยุด  ผมถลึงตาใส่จนมันย่นคอหนีแทบไม่ทัน

“เดี๋ยวกูต่อยคว่ำ!”

“อะไรกันเล่า  กูแค่ชอบน้องเพกาเฉยๆ ทีมึงยังแย่งไอ้ครับไปจากกูเลย”  ผมถลึงตามองมันอีกรอบ  คราวนี้เพิ่มความโหดเข้าไปอีกหน่อย

“ไอ้ครับเป็นของมึงตั้งแต่เมื่อไหร่?”

“เป็นมาตั้งแต่เด็กแล้วเหอะ  โอ๊ย!”  ความรู้สึกไม่ชอบใจ  ไม่พอใจพุ่งขึ้นในอก  ผมคว้าแขนนวพลมาบีบแน่นจนแขนมันแทบหักคามือ  นวพลมีสีหน้าบิดเบี้ยวไม่บอกก็รู้ว่าคงเจ็บมาก  แต่ผมยังไม่ปล่อยมือ

“พูดมาให้ชัด!”

“มึงเป็นอะไรของมึงเนี่ย  ปล่อยกู  กูเจ็บ!”

“กูบอกว่าให้พูดไง”  ผมกดเสียงต่ำ  ก้มหน้าลงอีกนิดเพื่อกดดันอีกฝ่าย  ในหูอื้ออึง  ไม่รู้ว่าที่รู้สึกอยู่ตอนนี้คืออะไร

“พูดอะไรเล่า”

“เรื่องคำนับ”

“ไอ้ครับกับกูเป็นเพื่อนกันตั้งแต่เด็ก”

“แล้ว?”

“แล้วอะไร  มันก็แค่นั้นแหละ”

“เมื่อกี้มึงเรียกว่าไอ้ครับของมึง?”

“ก็เพื่อนของกูไง”

“....อ้อ”  ผมสะบัดแขนของนวพลออกอย่างรังเกียจ  กระแอมไอแล้วหันหน้าไปทางอื่นเพื่อซ่อนอาการผิดปกติเมื่อครู่

“แล้วมึงโมโหเรื่องอะไร?”

“.....”

“อย่าบอกนะว่าเพราะคำพูดเมื่อกี้  ที่กูบอกว่าไอ้ครับเป็น...อุ๊บ!”  ผมหันเอามือไปปิดปากนวพลแรงๆ หรือจะเรียกว่าตบก็ได้

“เมื่อกี้จะพูดว่าอะไรนะ?”  นวพลส่ายหน้าหวือเมื่อเห็นสายตาของผม  ถ้ามึงล้ออีกคำเดียวกูเตะมึงให้ร่างหักครึ่งแน่  ไอ้เน่า!

“ก็แค่เหงาที่ช่วงนี้มันไม่มากินข้าวด้วย”

“มึงไม่มีเพื่อนคนอื่นหรือไง?”  ผมแสร้งกระแอมไอ  เพราะตอนกลางวันของทุกวันผมบังคับให้คำนับมากินข้าวกับพวกผมที่ใต้ต้นเสลา  มีครั้งหนึ่งนวพลเคยแอบตามคำนับไปด้วย  มันเมียงมองไม่กล้าเข้าไป  เลยเจอภูธเรศแกล้งจนวิ่งหนีกลับห้องแทบไม่ทัน

“มี  แต่ปกติกูกินข้าวกับมันทุกวัน”

“มึงเป็นเพื่อนกับคำนับนานแล้วเหรอ?”  ผมเปลี่ยนเรื่อง  ไม่อยากฟังว่าพวกมันสองคนตัวติดกันขนาดไหน  ไม่รู้ทำไมเหมือนกัน  แต่รู้สึกคันยิบๆ ในหัวใจชอบกล

“ตั้งแต่เด็กแล้ว”

“งั้นมึงก็รู้จักน้าแป้งดิ”

“อือ   เมื่อเช้าเพิ่งไปกินโจ๊กน้าแป้งมา  ว่าแต่  เหมือนกูจะเห็นมึงในร้านด้วยนะ  ใช่มึงหรือเปล่า?”

“ตาฝาดละ  กูจะไปทำไม”

“เออ  นั่นดิ”

“ว่าแต่พ่อคำนับไปไหนวะ  กูไม่เคยเห็น”

“เสียไปหลายปีแล้ว”

“....”  ผมหุบปากเงียบ

“จะว่าไปเมื่อก่อนที่บ้านไอ้ครับเปิดร้านอาหารด้วยนะ  เหมือนบ้านมึงเลย”

“หืม?”

“เป็นร้านอาหารไทย  แบบไทยโบราณเลยอ่ะ  พ่อมันเป็นพ่อครัว  ตอนนั้นเหมือนกำลังจะขยายร้านหรือยังไงนี่แหละ  ไปกู้เงิน  เห็นว่าโดนโกงเลยล้ม”

“งั้นเหรอ?”

“กูได้ยินมาจากแม่อีกทีอ่ะ  เห็นว่าเพราะพ่อไอ้ครับเชื่อเพื่อนมั้ง  เอาร้านค้ำประกันอะไรสักอย่าง  สุดท้ายถูกโกงจนหมดตัว  แม้แต่ร้านก็ไม่เหลือ  พ่อไอ้ครับตรอมใจ  ล้มป่วยแล้วเสียไปเมื่อหลายปีก่อน”

“เพราะแบบนี้หมอนั่นเลยเหมือนแมวป่าซินะ?”  ไม่เชื่อใจใคร  ไม่ค่อยมีเพื่อนมากนัก  แต่น่าแปลกที่คำนับดูจะชื่นชมพ่อผมตั้งแต่ครั้งแรกที่เจอหน้า

หรือว่ามันแอบชอบพ่อผมวะ?

ไม่มั้ง?

“หืม? มึงว่าอะไรนะ?”

“เปล่าไม่มีอะไร  กูบ่นลอยๆ”  ผมเหลือบมองนวพล  สั่งกาแฟให้มันแก้วหนึ่ง  ลุกขึ้นแล้วตบบ่ามันเบาๆ ก่อนจะเดินออกจากร้าน

“เออ  แล้วน้องเพกาอยู่ตรงไหนอ่ะ?”  มันหันมาถาม  ผมหยุดเท้ายกมือชี้หน้ามันทันที

“ถ้ากูรู้ว่ามึงแอบไปคุยกับน้องกูกูกลับมากระทืบมึงแน่”

“เอ้า  ไอ้ขี้หวง  ทีกูทวงเพื่อนคืนมึงยังไม่ให้”

“มึงว่าอะไรนะ?”  ผมตะโกนถามจากหน้าร้าน

“มึงหูฝาดแล้ว! กูแค่บ่นลอยๆ”

ผมหรี่ตามองมันอีกครั้งก่อนจะกลับไปที่รถเตรียมกลับร้าน  ในหัวยังคงมีเรื่องของคำนับเต็มไปหมด  ผมหักพวงมาลัยเลี้ยวเปลี่ยนเส้นทาง

เคยเห็นคำนับมายืนมองที่นี่เป็นนานสองนาน...ที่ตรงนี้อาจเคยเป็นที่ตั้งของสิ่งสำคัญในอดีตของเขา  หากตอนนี้มันกลับเปลี่ยนไปเป็นโรงแรมขนาดใหญ่แทน

ครั้งหนึ่งมันอาจเคยเป็นร้านอาหารมาก่อน






โปรดติดตามตอนต่อไป









สวัสดีค่ะ ^^
คลานเข่า....แหะๆๆๆ
หายไปนานมากเลยเนอะ  ตั้งแต่เดือนเมษาแน่ะ  ขอโทษที่ไม่ได้มาลงตอนต่อนะคะ  ตั้งแต่ 15 เมษามาจนถึงต้นเดือน พค. นี่เพิ่งได้มีโอกาสหายใจแบบโล่งๆ นี่แหละค่ะ  ฮืออออ แถมไม่มีเวลาแต่งต่อเลยค่ะ  วันไหนได้นอนเกิน 5 ชั่วโมงนี่แทบจะร้องไห้ด้วยความดีใจ TAT บางวันก็เบลอชนิดความจำดับสูญมาก  เดือนนี้ดีขึ้นแล้วค่ะ  ไม่ค่อยยุ่งมาก  ขอเวลาจูนอารมณ์เพื่อแต่งต่อก่อนนะคะ  ส่วนวันนี้เอาตอนที่ 7 มาส่งก่อนเน้อ 
ขอบคุณที่ยังรอและตามมาให้กำลังใจกันนะคะ
กอดดดดด



ด้วยรักและคิดถึง ^^
ทราย

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE

ประกาศที่สำคัญ


ตั้งบอร์ดเรื่องสั้น ขึ้นมาใครจะโพสเรื่องสั้นให้มาโพสที่บอร์ดนี้ ถ้าเรื่องไหนไม่จบนานเกิน 3 เดือน จะทำการลบทิ้งทันที
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=2160.msg2894432#msg2894432



รวบรวมปรับปรุงกฏของเล้าและการลงนิยาย กรุณาเข้ามาอ่านก่อนลงนิยายนะครับ
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=459.0



สิ่งที่ "นักเขียน" ควรตรวจสอบเมื่อรวมเล่มกับสำนักพิมพ์
https://thaiboyslove.com/webboard/index.php?topic=37631.0






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26
ดีใจ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
ครับคงคิดถึงพ่อซินะ.  :กอด1:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ donut4top

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 396
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +16/-0
เพิ่งเจอเรื่องนี้ ชอบพลังวิเศษของคนในบ้านนี้มาก ส่วนพี่โป๊ยกั๊กก็แสนหวงงงงงงงงงงงคนในครอบครัว

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

(โป๋ย)กั๊กสมชื่อ

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
ครับคงเห็นอาฟ้าเหมือนพ่ตัวเองอะ ยิ่งอาฟ้ามาใส่ใจขนาดนี้อีกครับไม่ติดอาฟ้าก็ไม่รู้จะว่าไงแล้ว ก็หวังว่าโป๊ยกั๊กจะไม่หวงจนออกนอกหน้าอีกนะ เป็นอะไรกันละหืมม?  :hao3:

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3



Secret Me  คนนี้ต้องลับ!
ตอนที่ 8
   




ผมลุกออกจากเตียงขณะที่กระวานยังคงหลับอุตุเช่นเคย  เมื่อคืนกว่าเขาจะกลับบ้านก็ดึกมากแล้ว  ได้ยินแว่วๆ ว่าเพราะเป็นวันนี้เขาเลยกลับมานอนบ้านแทนการใช้สวัสดิการของที่ทำงาน  ใช่  กระวานได้งานทำแล้ว  เป็นงานที่ต้องทำตอนกลางคืนพักกลางวัน  ทำมาได้หนึ่งอาทิตย์แล้ว  เห็นคุยโวว่างานนี้เหมาะกับตัวเองสุดๆ แถมยังได้เงินดีอีกต่างหาก  พอถามก็ไม่ยอมบอกว่างานอะไร  พูดแค่ว่า  พร้อมเมื่อไหร่จะบอกเอง  แต่ผมว่าถ้าโป๊ยกั๊กรู้คงตามไปดูถึงที่แน่ๆ  รายนั้นหวงพี่หวงน้องจนขึ้นชื่อ  ในบ้านต่างรู้กันดี  หวังว่าโป๊ยกั๊กคงไม่ไปอาละวาดจนกระวานต้องออกจากงานหรอกนะ
   
ผมตรงไปยังลานหลังบ้านที่พี่ชายคนโตกำลังออกกำลังกายอยู่  ก่อนจะชะงักเท้าถอยหลังหนีแทบไม่ทันเมื่อจู่ๆ ก็มีแรงกระแทกบางอย่างพุ่งเฉียดหน้าไป
   
“หวา~”  พี่ไธม์พลิกหมัดที่เฉียดข้างแก้มผมไป  แบออกแล้วคว้าไหล่ผมไม่ให้ล้มก้นจ้ำเบ้า 
   
“กานพลูน่าจะมาฝึกไว้บ้างน้า”
   
“หูย  แบบนั้นผมคงกลายเป็นกระสอบทรายให้พี่ฝึกแทน”
   
“พี่ไม่ใช้น้องชายตัวเองแทนกระสอบทรายหรอกน่า”  คิ้วเรียวของพี่ไธม์ขมวดเล็กน้อย  ผมเลยรีบเข้าไปกอดแขนชื้นเหงื่อของพี่ชาย
   
“ผมแค่เปรียบเปรยเฉยๆ หรอก  ผมรู้น่าว่าพี่ไธม์รักพวกเราแค่ไหน  ไม่มีทางใช้น้องมาแทนกระสอบทรายหรอกเนอะ”
   “แม้จะดูขัดๆ กับหน้าตาแต่ท่าทางแบบนี้ก็น่ารักแหละนะ”  พี่ไธม์หัวเราะแล้วยีหัวผมจนผมยุ่ง  โธ่เอ้ย ผมแค่อยากอ้อนดูบ้างนี่นา  เห็นเพกาทำแล้วน่ารักเลยลองดูสักหน่อย  ถ้าได้ผลกะว่าจะไปอ้อนแม่เพื่อขอบิ๊กไบท์คันนั้นเสียเลย  แต่ดูท่า...คงทำแล้วดูไม่น่ามองเท่าน้องสาวคนเล็กของบ้านแน่ๆ

เวลาพี่ไธม์กลับบ้าน  ทุกเช้าจะซ้อมต่อสู้กับโป๊ยกั๊กตลอด  ตัวโป๊ยกั๊กเองก็ชอบเล่นกีฬา  ดังนั้นทักษะการต่อสู้ของเขาจึงค่อนข้างดีถึงดีมาก  เวลาตีกลับใครไม่เคยแพ้  เว้นอีกฝ่ายมีอาวุธโป๊ยกั๊กจะเผ่นแน่บทันที  บอกว่าชีวิตมีค่ามากกว่าจะเอาไปทิ้งไปตายข้างถนนแบบนั้น 

ส่วนผมไม่สู้เลย  ให้เอาตัวรอดในสถานการณ์ต่างๆ น่ะพอไหว  แต่ให้ไปต่อสู้ต่อยตีผมไม่เอาด้วยหรอก  ผมกลัวเจ็บ  ผมกลัวเลือด  ผมไม่อยากถูกแกล้งเลยไม่แกล้งคนอื่น  อ๊ะ  แต่เว้นไว้คนหนึ่ง...

โป๊ยกั๊กแกล้งเขาทุกวันเลยล่ะ  ผมเลยคุ้นเคยกับเขาไปโดยปริยาย  พอคุ้นหน้าและรู้จักผมเลยอยากลองแกล้งเขาดูบ้าง  วันนั้นถึงได้แย่งขนมปังกับเขาไงล่ะ

วันนี้วันอาทิตย์และเขาคงมาทำงานแต่เช้า คำนับเป็นคนขยัน  เขาเรียนรู้งานจากพ่อ  จากพี่ชายสองคนในร้านแถมหัวไวอีกต่างหาก  พ่อเลยยิ่งชื่นชมเข้าไปใหญ่  เวลาโดนพ่อชมเขาจะหูแดงหน้าแดง  ดูน่ารังแก  เอ้ย  น่าแกล้ง  ไม่ใช่ๆ  น่ารักซิ  ผมไม่ใช่คนนิสัยเสียแบบโป๊ยกั๊กเสียหน่อย

“หวัดดี”  ผมเอ่ยทักทายพร้อมรอยยิ้ม

“อืม”  แต่คำนับแค่ส่งเสียงรับในคอแล้วทำงานของตัวเองต่อ

“เจอกันอีกแล้วเนอะ”   

“หา!”  คิ้วเรียวยาวขมวดฉับ  ตาเรียวตวัดมองคล้ายไม่พอใจ  ดูซิๆ เหมือนแมวเจ้าอารมณ์จริงๆ ด้วย!

“แค่นี้แมวป่าก็โกรธแล้วเหรอ?”

“ฉันไม่ใช่แมวป่า  นายน่ะซิหมาบ้า!”  คำนับถลึงตาใส่  หวา  ไม่เห็นน่ากลัวเลย  สงสัยเป็นเพราะผมคุ้นเคยกับเขาแล้ว  หน้าตาไร้อารมณ์ไม่เป็นมิตรของเขาจึงใช้ไม่ได้ผล  ถ้าเป็นปกติหรือเป็นคนอื่นทำผมอาจจะเผ่นหนีตั้งแต่โดนตะคอกคำแรกแล้วก็ได้

“ใช่ๆ อย่างโป๊ยกั๊กเรียกว่าหมาบ้าคงไม่ผิด”  ผมพยักหน้าเห็นด้วยกับคำเรียกขานนั้น

“อะไรของนาย?”  คำนับผงะถอยหลัง

“ช่างเถอะๆ ว่าแต่คำนับมีอะไรให้เราช่วยไหม?”

“....นายไม่สบายเหรอ?”  เขาทำหน้าตาหวาดระแวง  สายตายังคงจับจ้องที่ผมไม่ถอนไปไหน

“เอ๊ะ  ก็ไม่นะ?”  ผมยกหลังมือแตะหน้าผากตัวเองเพื่อวัดอุณหภูมิ

“หัวกระแทก?”

“เปล่า”

“กินยาลืมเขย่าขวด?”

“ไม่”

“แล้วเป็นบ้าอะไรทำไมต้องพูดเพราะ  ดูซิ  ขนลุกหมดเลย”  ไม่พูดเปล่าคำนับยกแขนให้ดู  โอ้  ขนแขนลุกชันจริงๆ ด้วยแหะ

“เอ้า  พูดจาไพเราะผิดตรงไหน?”  ผมทำปากยื่นกระเง้ากระงอดใส่  คำนับถึงกับก้าวถอยหลังติดกันถึงสามก้าว

“ก็...ก็ไม่ผิดหรอก  แต่ไม่คิดว่านายจะมาพูดเพราะกับฉันด้วย”

“คำนับเป็นคนพิเศษไง”  ผมยิ้มกว้างส่งไปให้  คาดหวังว่าเขาจะเห็นความจริงใจของผม  แต่...

“อี๋!”

“....”

แล้วคำนับก็วิ่งหนีหายออกไป...

ผมสุดแสนจะเสียใจ  เสียใจหนักมาก!  เพราะโป๊ยกั๊กดูสนใจเขาเป็นพิเศษผมเลยอยากทำความรู้จัก  และทำให้คำนับรู้สึกดีๆ กับโป๊ยกั๊ก  ไหงกลายเป็นว่าทำให้เขาวิ่งหนีแทนละเนี่ย  ผมไม่น่ารักเหรอ  เอ๊ะ  หรือมันจะขัดกับหน้าตาอย่างที่พี่ไธม์พูด?

เอ้า  นี่น่ะ  กานพลูนะไม่ใช่โป๊ยกั๊ก  ขอทำตัวน่ารักสักวันไม่ได้เหรอ?


.
.

ช่วงสายผมออกมาซื้อของกับคำนับตามใบรายการของพ่อ  พ่อบอกว่าให้คำนับเป็นคนเลือก  ถ้ามีอันไหนคุณภาพผิดจากที่พ่อเคยซื้อให้ผมเปลี่ยนและบอกคำนับถึงวิธีการเลือกของ

ผมเลือกไข่สดแผงใหญ่ใส่รถเข็น  วันนี้อาหารเย็นจะมีไข่ม้วนของโปรดผม  ผมกับโป๊ยกั๊กชอบอาหารไม่ค่อยเหมือนกัน  โป๊ยกั๊กชอบรสจัด  ผมชอบรสจืด  มีอย่างเดียวที่กินเหมือนกันนั่นคือ  ไข่ม้วน  ดังนั้นเวลาที่ผมออกมาจากกระจก  ไข่ม้วนจึงถูกทำขึ้นโต๊ะอาหารเย็นทุกครั้ง

“คำนับเลือกซิ  เดี๋ยวเราเข็นรถให้เอง”

“ไม่เอาอ่ะ”  คำนับยังคงมองผมด้วยสายตาหวาดระแวงไม่ต่างจากเมื่อเช้า  “แล้วไข่นี่ที่ร้านยังเหลืออีกเยอะไม่ใช่เหรอ?”

“อืม  อันนี้เอากลับบ้าน  เย็นนี้เราจะกินไข่ม้วน”

“อ้อ”  คำนับขมวดคิ้วหากไม่ได้พูดอะไรต่อ

“จริงซิ  แวะซื้อน้ำก่อนนะ”

“อือ”  ผมตรงไปยังร้านขายน้ำ  สั่งน้ำมะพร้าวให้ตัวเองกับน้ำอัดลมให้คำนับ  คำนับรับแก้วไปแล้วเงยหน้ามองผม

“มีอะไรเหรอ?”

“ทำไมไม่ใช่น้ำเก๊กฮวย?”

“เราจำได้ว่าคำนับชอบกินน้ำอัดลม”

“ก็ไม่ได้ชอบขนาดนั้น  แล้วทำไมของนายถึงไม่ใช่น้ำเก๊กฮวยล่ะ?”

“เราชอบน้ำมะพร้าว?”

“ห้ะ?”

“หมายถึงว่า  วันนี้มันร้อน  น้ำมะพร้าวน่าจะชื่นใจกว่า”

“....”  คำนับหรี่ตามองคล้ายไม่เชื่อ  แหงล่ะ  ในห้างที่แอร์เย็นจนอยากใส่เสื้อกันหนาวมาเดินแบบนี้  พูดไปใครจะเชื่อว่าร้อน

หลังจากเลือกซื้อของครบตามที่ต้องการแล้วพวกเราก็ออกจากห้าง  ขณะที่กำลังขนของใส่กระโปรงท้ายรถอยู่นั้น  เสียงยียวนของผู้ชายคนหนึ่งดังขึ้นทางด้านหลัง  ผมเงยหน้าขึ้นมอง  ถ้าจำไม่ผิดเหมือนจะเป็นรุ่นพี่ที่ทำงานเก่าของคำนับ

“อ้าว  นึกว่าลาออกไปไหน  ออกมาให้ผัวเลี้ยงเหรอมึงอ่ะ?”  ผู้ชายคนนั้นยกยิ้มมุมปากใส่คำนับ  คนข้างๆ ผมกำหมัดแน่น  พอเห็นแบบนั้นผมเลยคว้าแขนเขาเอาไว้  พลางส่ายหน้าน้อยๆ เป็นเชิงห้ามเมื่อคำนับหันมามอง  ดวงตาเรียวยาวมองผมอย่างไม่เข้าใจว่าห้ามทำไม

“พี่ต้องเข้าใจอะไรผิดแน่ๆ เลยครับ  ผมกับคำนับเป็นเพื่อนกันเฉยๆ”

“อ้าว  นึกว่าใคร  วันนี้ไม่เห็นเก่งเหมือนคราวก่อนเลยล่ะ?”

“ผมไม่เก่งอะไรหรอกครับ  ว่าแต่พี่จะมาหาเรื่องอะไรพวกเราล่ะครับ  พวกเราไปทำอะไรให้พี่ตอนไหน?”  ผมเลิกคิ้วเอ่ยถาม  พลางกระตุกแขนให้คำนับใจเย็นลง

“มึงไม่ได้ทำแต่ไอ้หน้าจืดนี่มันทำ  เพราะมึงลาออกหัวหน้าเลยหาว่ากูรังแกรุ่นน้องจนมาหักเงินเดือนกู!”  หน้าตาผู้ชายคนนั้นดูโกรธมาก  ผมหันไปทางคำนับ

“ตอนลาออกนายบอกหัวหน้าว่ายังไงน่ะ?”

“ก็บอกว่าไม่สบายใจจะทำงานนี้ต่อ  แค่นี้”

“แค่นี้?”

“อื้อ  แล้วหัวหน้าเขาก็โยงไปนู่น”  คำนับเอาคางชี้อดีตรุ่นพี่  “แต่เพราะปกติทำตัวไม่ดีด้วยแหละมั้งหัวหน้าถึงโยงไปแบบนั้นได้”

“ไอ้!”

“หวา!”  ผมผวาคว้าแขนคำนับถอยหลังหนีหมัดจากคนตรงหน้า  อีกมือก็ปิดกระโปรงท้ายรถรวดเร็ว  ผู้ชายคนนั้นตั้งหลักหันมาทำตาขวางแล้วปรี่เข้ามาอีกครั้ง

“ทำไมนายต้องปากเสียตอนนี้ด้วยเนี่ย!”  ผมร้องโวยวายพลางลากเขาวิ่งหนีไปทั่ว

“เฮ้ย  ปล่อย  จะวิ่งหนีทำไม  มันอยากมีเรื่องก็มาซัดกันสักตั้ง!”  คำนับยื้อแขนให้หลุด  ผมยิ่งกำแน่นขึ้นพลางส่ายหน้าอย่างเอาเป็นเอาตาย  พร้อมเบะปากเตรียมร้องไห้เมื่อนึกถึงว่าหากโดนต่อยปากแตกคงเจ็บน่าดู

“ไม่เอาอ่ะ  เดี๋ยวโดนต่อย”

“ต่อยก็ต่อยซิวะ”  คำนับมองผมเหมือนเห็นตัวประหลาด

“ไม่เอาหรอก  เราสู้ไม่เก่ง  กลัวเจ็บด้วย   ไปเถอะๆ”  ผมลากคำนับวิ่งหนีไปรอบลานจอดรถ  คำนับที่สู้แรงผมไม่ได้จำเป็นต้องวิ่งตามแบบฝืนๆ จนวนกลับมาที่เดิม  ผมกดรีโมทปลดล็อก  หันซ้ายหันขวาพอไม่เห็นผู้ชายคนนั้นก็ลากคำนับ  ดันเขาขึ้นรถแล้วขับออกจากที่นี่รวดเร็ว  หวังว่าคราวหน้าถ้าเจอกันรุ่นพี่คนนั้นจะอารมณ์เย็นลงนะ  ผมไม่อยากเห็นคำนับมีเรื่องต่อยตีกับคนอื่นไปทั่ว

“นายเป็นบ้าไปแล้วเหรอ? หรือไม่สบาย? ทำไมไม่สู้?”  คนด้านข้างหันมาตวาดใส่ผมเสียงดัง

“ถ้าเลี่ยงได้เราก็ไม่ควรไปมีเรื่องต่อยตีซิ  ปากแตกกินข้าวไม่ได้ไม่ใช่เรื่องล้อเล่นนะ!”  ผมอธิบายด้วยสีหน้าจริงจัง

“........”  คำนับอ้าปากมองมาคล้ายไม่อยากเชื่อในสิ่งที่ได้ยิน

ป่วย  ป่วยแน่ๆ ผมได้ยินคำนับพึมพำเสียงเบาพลางมองมาทางผมด้วยท่าทางหวาดระแวง

ช่างเถอะๆ ปล่อยเป็นหน้าที่โป๊ยกั๊กไปรับมือเอาเองหลังจากนี้แล้วกัน  ตอนนี้ผมคิดถึงไข่ม้วนจะแย่แล้ว!



**********

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3


“ขอบใจนะที่เมื่อวานไปช่วยสอนฉันเลือกของ”

“ห้ะ?”

“ที่อาฟ้าใช้ไปซื้อของไง  แล้วก็แม่ฝากมาบอกว่าขอบใจสำหรับไข่ม้วน  อร่อยมาก”

“....”  ผมนิ่งเงียบ  ขมวดคิ้วและพยายามนึกให้ออกมาว่าเมื่อวานผมไปไหนทำอะไรกับคำนับมาบ้าง  แต่คิดเท่าไหร่ก็คิดไม่ออก

เมื่อวานเป็นวันแรมสิบห้าค่ำ  เป็นวันที่กานพลูออกมา  เป็นวันที่ผมเหมือนหลับไปยี่สิบสี่ชั่วโมง  เป็นการหลับมาราธอนและจำสิ่งที่กานพลูทำไม่ได้สักอย่าง  ผมไม่รู้ช่วงเวลาที่กานพลูออกมา  เขาจำเรื่องราวของผมตอนเป็นโป๊ยกั๊กได้หรือไม่

“ฉันคงไม่ได้ทำอะไรแปลกๆ ใช่ไหม?”

“....”  คำนับขมวดคิ้วมองผม  นิ่งไปครู่ใหญ่ก่อนจะตอบกลับมา  “ทำซิ”

“เฮ้ย  ทำอะไรวะ?”

“วิ่งหนีหัวซุกหัวซุน”

“วะ  วิ่งหนี?”

“อืม  วิ่งหนีนักเลง”

“....”

“นายจำไม่ได้เหรอ?”

“ดะ  ได้ซิ  จำได้อยู่แล้ว!”

ผมตกอยู่ในอาการพูดไม่ออกไปพักใหญ่  เพราะแบบนี้ไงผมถึงไม่ชอบกานพลูมันนัก  กานพลูมันเหยาะแหยะ  ไม่สู้คน  กลัวเจ็บอีกต่างหาก  ทั้งๆ ที่ผมก็ตัวออกโตขนาดนี้มีอะไรต้องกลัวนักเลงพวกนั้นจนต้องวิ่งหนี  ฝีมือต่อสู้ก็ฝึกซ้อมกับพี่ไธม์ทุกวันมันไม่คิดจะเอาออกมาใช้บ้างเลยหรือไง!  ถ้าเกิดเป็นคู่กรณีเก่าแล้วผมจะเอาหน้าไปไว้ที่ไหน  ปัดโธ่โว้ย  ไอ้เจ้ากานพลู!

ผมพรูลมหายใจอย่างหงุดหงิด  ทุกครั้งหลังจากที่กานพลูออกมามักจะทำให้ผมหัวเสียในวันถัดมาเสมอ   ไม่ได้  จะให้คำนับรู้ความลับนี้ของผมไม่ได้เด็ดขาด!

“อันนี้น้าแป้งทำเหรอ?”  ผมเบี่ยงประเด็นไปยังสิ่งของในมือคำนับพร้อมกับที่ภูธเรศและบดินทร์กลับมาจากซื้อน้ำ

ผมมองกล่องข้าวในมือคำนับ  อาจเป็นเพราะว่าเขาทำงานช่วยที่ร้านพ่อผมมาได้สอง-สามอาทิตย์แล้ว  เลยเกิดมีความคิดอยากจะลองฝีมือถึงได้มีอาหารกล่องนี้ขึ้นมา  ผมถามทั้งๆ ที่รู้คำตอบ  น้าแป้งต้องรีบไปทำงาน  ตอนเช้าคงไม่มีเวลามาเตรียมอาหารหน้าตาพิถีพิถันแบบนี้แน่

“เปล่า  ฉันทำเอง”  พอได้รับคำยืนยันผมก็ยกยิ้มมุมปากก่อนจะกดมันลงอย่างรวดเร็วเพื่อไม่ให้ใครเห็น  จากนั้นจัดการฉกกล่องอาหารในมือคำนับออกมา

“เอามานี่”

“เฮ้ย!”  คำนับผวาตามเพื่อแย่งกล่องข้าวคืน

“โห นายทำเองเหรอ?”  ภูธเรศทำเสียงตกใจ  เบิกตาโตตื่นเต้นแล้วก้มลงมองกล่องข้าวของคำนับในมือผม

“หน้าตาน่ากินอยู่นะ”  บดินทร์ที่ก้มลงมาดูอีกคนเปรยขึ้น

“ฉันจะกินอันนี้”  ผมบอกพลางดึงกล่องข้าวเข้าหาตัว

“ของนายก็มี  มาแย่งฉันทำไม!”  คนข้างๆ ผมโวยวายเสียงดัง  หน้าตาดูตกใจมาก  และยิ่งเขาพยายามแย่งคืนผมยิ่งยื้อขึ้นสุดแขนพลางใช้มืออีกข้างดันหน้าคำนับออกห่าง

“ก็อยากกินอันนี้”

“นายมาแย่งฉันกินแบบนี้ฉันจะกินอะไรเล่า?”  พอรู้ว่าสู้ไม่ไหวคำนับเลยถอนหายใจยอมแพ้  แล้วกลับไปนั่งตามเดิม

“กินส่วนของฉันไปซิ”  ผมดันปิ่นโตของตัวเองไปตรงหน้าคำนับ

“แต่อันนี้อาฟ้าทำให้นายนี่นา”

“ไม่กินตอนกลางวัน  ตอนเย็นฉันก็ได้กินฝีมือพ่ออีกแหละน่า  แต่ตอนนี้ฉันอยากลองของแปลก”  ผมยักคิ้วกวนประสาทใส่หน้าคำนับ  หยิบอาหารใส่ปากทั้งๆ ที่สายตายังไม่ละไปจากใบหน้าของเขา  ดูก็รู้ว่าคำนับกำลังลุ้นนั่นแหละ

“.....”  ผมขมวดคิ้วขณะค่อยๆ รับรสชาติของอาหารในปาก  พอคำนับเห็นท่าทางนั้นก็เริ่มหน้าเสียทำท่าจะเข้ามาแย่งอาหารคืนอีกครั้ง  ภูธเรศเห็นผมไม่คายทิ้งจึงพุ่งมาหยิบไปป้อนไอ้ดินหนึ่งคำ  พลางใส่ปากตัวเองอีกคำ

“อืม  ใช้ได้ๆ”  ไอ้ภูร้องขึ้น  พยักหน้าหงึกหงักชูนิ้วโป้งให้คำนับ

“ถึงจะยังสู้ฝีมือพ่อฟ้าไม่ได้  แต่มีโอกาสพัฒนา”  ไอ้ดินยกนิ้วโป้งอีกคน  คำนับยิ้มมุมปากก่อนจะเลื่อนสายตามามองผม  ตาเรียวๆ นั่นจ้องมองมาเพื่อเค้นเอาคำตอบ  ปากบอกว่าไม่ให้กินแต่กลับรอลุ้นว่าคนอื่นจะพูดถึงฝีมือตัวเองยังไง  ผมกัดริมฝีปากพยายามไม่หลุดหัวเราะกับท่าทางนั้นของเขา

“ไม่ได้เรื่อง”

“ห้ะ?”  คำนับหน้าสลดเมื่อได้ยินผมพูดอย่างนั้น  ไหล่ห่อลงท่าทางหมดเรี่ยวแรง

“แต่กูวะ...”  ผมเหลือบสายตาจ้องภูธเรศที่กำลังจะเอ่ยค้านคำพูดของผม  จ้องเขม็งจนมันหุบปากแล้วนั่งเงียบๆ

“ถ้าอยากพัฒนาก็ต้องทำบ่อยๆ”

“อืม”  คำนับอยากเป็นเชฟ  ดังนั้นเขาจึงอยากทำอาหารให้อร่อย  และคนกินมีความสุขเมื่อได้กินอาหารฝีมือเขา

“พรุ่งนี้ทำมาอีก”

“เอ๊ะ?”  เขาเงยหน้าขึ้นหลังห่อเหี่ยวจากคำพูดนั้นของผม

“ทำมาให้ฉัน  แล้วฉันจะช่วยบอกให้นายว่าฝีมือนายพัฒนาถึงขั้นไหน”

“ทำไมต้องทำให้นายกินด้วย”

“เพราะฉันกินอาหารรสเลิศมาทุกวันไงล่ะ?”

“?”

“ถ้านายทำอาหารอร่อยได้เท่าที่พ่อฉันทำก็ถือว่าผ่านไง”

“เออ ใช่ๆ ถ้าอร่อยเหมือนที่พ่อฟ้าทำก็ถือว่าเก่งไง  เนอะ”  ภูธเรศตบมือรัวเห็นด้วยกับคำพูดของผม

“ใช่ๆ เดี๋ยวพวกเราจะช่วยด้วยเหมือนกัน  เนอะภู?”  ผมเหลือบมองบดินทร์อย่างไม่ชอบใจ  และมันก็คงรู้ว่าผมไม่ค่อยพอใจเท่าไหร่ที่พวกมันมาแย่งความสนุกนี้

“ขอบใจพวกนายมากนะ!”  ผมละสายตาจากเพื่อนซี้ทั้งสองคน  หันกลับมาเจอรอยยิ้มเจิดจ้าของคำนับแล้วพลันชะงักนิ่ง  หัวใจกระตุกวูบจนเผลอยกมือลูบอก

อาหารของคำนับใส่ชูรสมากไปหรือเปล่าวะ  ถึงทำให้หัวใจเต้นผิดจังหวะ 

ผมหยิบอาหารที่คำนับใส่ปากอีกคำ  และอีกคำจนหมด...

พรุ่งนี้จะให้ไอ้ภูกับไอ้ดินมาแย่งไม่ได้เด็ดขาด!









“พ่อว่าอะไรนะ?”  ผมถามขณะที่กำลังนั่งรถกลับบ้าน  หลายวันมานี้พ่อทำหน้าที่เป็นขับรถรับ-ส่งผมกับเพกาเพราะกระวานมีงานอื่นทำแล้ว  เห็นออกบ้านตั้งแต่หัวค่ำ  สายๆ นู่นแหละถึงได้กลับเข้ามานอน  ถามว่างานอะไรก็ไม่ยอมบอก  จนพ่อเอ่ยออกมาเมื่อครู่  ทำเอาผมหันไปมองคนพูดคอแทบเคล็ด

“อาบ อบ นวด”

“กระวานทำงานร้านอาบ อบ นวด?”

“ใช่  พ่อเพิ่งรู้เหมือนกัน”  พ่อถอนหายใจด้วยสีหน้ากลัดกลุ้ม

“พ่อ~”  เพกาเหลือบมองพ่อแล้วก็มองหน้าผม  คล้ายไม่อยากให้พ่อพูดต่อ

“เพการู้เรื่องนี้อยู่แล้วใช่ไหม?”  ผมหันมาเค้นเอากับน้องสาว  เพกาหน้าซีดก่อนจะพยักหน้าเบาๆ เป็นการยอมรับ

“แล้วทำไมไม่บอกพี่” จ้องหน้านางฟ้าคนเดียวของบ้านอย่างไม่ค่อยพอใจที่ถูกปิดบัง

“ถ้าบอกก็ต้องเป็นแบบนี้ไง”

“แบบนี้น่ะแบบไหน?”

“เนี่ย  เดี๋ยวก็อาละวาด”  เพกาเบะปากใส่ผมพลางสะบัดหน้าหนี

“ไม่ว่าเพกาบอกตอนไหนถ้าพี่รู้ก็จะอาละวาดอยู่ดี!”

“พี่โป๊ยกั๊กอ่ะ!”

“อย่าทะเลาะกันซี่”  พ่อห้ามทัพ

จนเมื่อถึงบ้านผมก็เดินวนไปเวียนมาเหมือนหนูติดจั่น  คิดว่าถ้าโทรศัพท์ไปบอกให้กระวานกลับบ้านตอนนี้  ฝ่ายนั้นคงไม่มีทางยอมแน่  กระวานน่ะเห็นเป็นก้อนนุ่มนิ่มแบบนั้นแต่ดื้อมาก  สุดท้ายเลยกดโทรศัพท์ตามสองเพื่อนซี้ให้มาหาที่บ้านเพื่อวางแผนการ

บดินทร์เป็นคนใจเย็นรอบคอบคอยช่วยคิดแผน  ส่วนภูธเรศบ้ายุเหมาะเป็นลูกมือที่ดี  ตอนนี้พวกเราทั้งสามคนนั่งอยู่ในห้องรับแขก  ผมทิ้งงานที่ร้านไม่ไปช่วยอย่างทุกที  ซึ่งพ่อก็ไม่ว่าอะไรเพียงแค่ส่ายหัวนิดหน่อยเท่านั้น  ส่วนเพกาน่ะเอาแต่เมียงมองอยู่ห่างๆ อย่างห่วงๆ แต่ไม่รู้ว่าห่วงใครระหว่างผมกับกระวาน

“ให้กูโทร.ไปตามไอ้ครับไหม?”  ไอ้ภูถือโทรศัพท์เตรียมกด

“จะตามมันมาทำไม?”

“อ้าว  จะได้ครบแก๊งค์ไง”

“ไม่ต้อง  มึงอย่าลืมว่าคำนับมันเด็กทุน  ถ้าไปแล้วระหว่างนั้นเกิดมีเรื่องขึ้นมามันจะเดือดร้อน”  อีกอย่าง  ผอมขนาดนั้นจะต่อยคนล้มไหมยังไม่รู้เลย  น่ากลัวแขนคงหักเสียก่อน  หนำซ้ำพรุ่งนี้เขายังต้องตื่นแต่เช้ามาช่วยน้าแป้งต้มโจ๊กอีก  ขืนลากมาอดหลับอดนอนดึกดื่นจะไม่มีแรงเอาน่ะซิ  กลายเป็นผมบาปอีกที่ลากเขามาหมดแรงต้มโจ๊ก

“.......”

“อะไร? พวกมึงเงียบแล้วมองหน้ากูแบบนี้หมายความว่ายังไง?”

“มึงห่วงไอ้ครับมันขนาดนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?”  บดินทร์หรี่ตาจ้องมองพร้อมคำถาม

“ห่วงอาไร๊  มึงก็ว่าไปเรื่อย!”  ผมปฏิเสธรัวเร็ว

“เสียงสูงเชียวนะมึง”  ภูธเรศหัวเราะ มองผมด้วยดวงตาพราวระยับ

“มึงคิดเหมือนกูไหมบีหนึ่ง” ไอ้ดินหันไปหาคู่หู

“กูว่ากูคิดเหมือนมึงว่ะบีสอง”  แล้วพวกมันก็พากันจ้องหน้าผมด้วยสายตาน่าโดนกระทืบ

“หยุดคิดเลย!”

“จะไม่ให้คิดได้ไง  ขนาดสรรพนามที่เรียกมันมึงยังให้ความแตกต่าง”  บดินทร์คนช่างสังเกตเอ่ยขึ้น

“แตกต่างยังไง?”  ผมว่าผมปฏิบัติกับพวกมันเหมือนๆ กันนะ

“เวลาพูดกับพวกกู  เรียกกูมึง  ทีกับไอ้ครับพูดนาย-ฉัน  เนี่ย  สองมาตรฐาน!”  ภูธเรศสาธยาย

“พี่ไธม์ไม่ชอบให้กูหยาบคาย”

“เหรออออ”

“จริง  พวกมึงคือคนพิเศษไง  เพื่อนสนิทกูงี้”  ผมหัวเราะเสียงดังฮาๆ  พลางตบบ่าพวกมันคนละทีสองทีแบบเน้นๆ

“ตอแหลลลล”

เพี๊ยะ!  ผมตบหลังพวกมันไปอีกคนละที  โทษฐานทำสายตาน่าหมั่นไส้และส่งเสียงน่าตบกะโหลก

พอพวกมันทักแบบนี้ผมถึงได้สังเกตตัวเองว่าผมพูดจากับคำนับแตกต่างจากเวลาพูดกับเพื่อนอยู่บ้างนิดหน่อย  ไม่รู้ซิ  ผมไม่อยากเรียกจิกเขาว่ากู-มึง  ถึงมันจะแสดงถึงความสนิทสนมขั้นพื้นฐานของการเป็นเพื่อนกันก็เถอะ 

“เลิกพูดเรื่องนี้ได้แล้ว”  ผมโบกมือไล่ความคิดมากของเพื่อนทั้งสองทิ้งแล้วกอดคอพวกมันมาสุมหัว  พวกเรานั่งรถแท็กซี่ไปยังสถานเริงรมย์ตามที่อยู่ในมือ

กระวานนะกระวาน  ไปทำงานที่ไหนไม่ทำ  ดันไปทำที่อาบ อบ นวด  มันอันตรายแค่ไหนไม่รู้หรือไง  อีกอย่างหูแบบนั้นยังเอาตัวเองไปอยู่ในที่อโคจรอีก  อยากหัวระเบิดตายหรือไง!

คอยดูซิ  ฉันจะไปลากคอนายกลับบ้านให้ได้!











โปรดติดตามตอนต่อไป








สวัสดีค่า  มาช้าอีกเช่นเคย แหะๆๆๆ  แต่คาดว่าเดือนหน้าจะได้มาลงถี่ขึ้นแล้วค่ะ  ชีวิตน่าจะกลับมาปกติแล้ว (?) แม้จะยุ่งๆ เรื่องรับประเมินแต่ก็ไม่น่าจะยุ่งหัวหมุนเท่าช่วงที่ผ่านมา (มั้ง?) 
มีตรงไหนผิดพลาดติ-ให้คำแนะนำกันได้เช่นเคยนะคะ  มีบางอย่างที่พลาด  หลุดหูหลุดตาไปบ้าง  บอกกันได้เสมอค่ะ  น้อมรับฟังเน้อ ไม่ต้องเกรงใจนะคะ  จะได้ปรับปรุงเนอะ (แต่อย่าพูดจารุนแรงนะคะ  จิตใจอ่อนไหว ฮ่ะๆๆๆๆ)
ปล.หวังว่ากานพลูจะช่วยให้ทุกคนมีความสุขนะคะ
ปลล.อย่าเพิ่งลืมโป๊ยกั๊กกันนะคะ ^^ อ้อ  แล้วอย่าเกลียดเจ้าเด็กนี่เลยนะ  เห็นกร่างแบบนี้น่ะก็แค่เด็กน้อยคนหนึ่ง  เดี๋ยวเขาก็จะเปลี่ยนแปลงค่ะ ^^


ด้วยรักและคิดถึง
ทราย




#โป๊ยคนหวงพี่
#MyFamSMe #คนนี้ต้องลับ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

ไม่เนียนเลยนะกานพลู  เด๋วคำนับก็จับได้หรอก

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
อย่าบอกนะ ว่าไปแล้วติดใจอาบ อบ นวด  :laugh:

CoMMuNiTY Of ThAiBoYsLoVE






ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
หวังว่าโป๊ยกั๊กไปแล้วคงจะไม่ไปเจอภาพบาดตาของพี่ชายกับคุณเจ้าของหรอกนะ ไม่งั้นคงอาละวาดหนักแน่

ออฟไลน์ sine

  • เป็ดเด็กช่าง
  • *
  • กระทู้: 321
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +129/-3


Secret Me  คนนี้ต้องลับ!
ตอนที่ 9




   พวกเราสามคนยืนเมียงมองอยู่ห่างจากหน้าร้านประมาณสองช่วงตึกพลางยกกระดาษในมือขึ้นดูว่าชื่อร้านถูกต้องไหม  และเพื่อให้แน่ใจว่าเรามาถูกที่จริงๆ

Wonderful Land

อื้อหือ  นี่ชื่อร้านอาบ อบ นวดหรือสวนสนุก?

ยังไม่ทันอ่านชื่อร้านจบผมก็เห็นคนที่ต้องการตัวเดินออกมาจากข้างใน  เจ้าก้อนนุ่มนิ่มอยู่ในชุดทำงานเข้ารูปดูดีเชียวล่ะ  แต่มันดูขัดตาอีตรงเสื้อกั๊กสีชมพูนี่แหละ  หวานแหววซะไม่มี  ใบหน้าน่ารักนั่นยิ้มแย้มให้คนรอบข้าง  พูดคุยเจื้อยแจ้วไม่หยุด  บนลำคอมีหูฟังสุดรักคล้องเอาไว้หากเขาไม่ได้ใช้มันครอบหูเอาไว้อย่างทุกที  ผมเหลือบสายตามองโดยรอบทันที  ที่นี่มีคนเดินพลุกพล่านไปมา  ดูก็รู้ว่าคนมาเที่ยวคงไม่คิดเรื่องทำงานกับการเรียนในหัวหรอก  ถ้าเรื่องลามกล่ะไม่ต้องเดา  แต่กระนั้นกระวานก็ยังคงไม่ใช้หูฟังเพื่อหลีกหนีคนเหล่านี้

   ผมหรี่ตามองพี่ชายคนรองของบ้านก่อนจะสาวเท้าเข้าไปหา  ภูธเรศกับบดินทร์กลับรั้งแขนเอาไว้คนละข้าง

   “มึงจะเดินปรี่เข้าไปแบบนี้ไม่ได้”

   “มึงต้องวางแผน”

   “วางแผนอะไร?  เข้าไปตามพี่ชายกลับบ้านไม่ต้องวางแผนอะไรหรอกมั้ง?”

   “มึงดูนู่น”  บดินทร์บุ้ยใบ้ปากไปอีกด้าน  ทางนั้นมีชายใส่สูทดำเดินไปมา  ให้ความรู้สึกเหมือนพวกมาเฟียหรือแก๊งค์พี่โหดแบบในหนัง  ผมขมวดคิ้ว  กระวานมาทำงานในสถานที่แบบไหนกัน!  โดนหลอกมาหรือว่าโดนข่มขู่? ไม่ได้การล่ะ  ผมจะยอมให้กระวานทำงานในที่แบบนี้ไม่ได้!

   “เฮ้ย  โป๊ยกั๊ก!”  ผมตรงเข้าไปหากระวานโดยไม่ฟังเสียงร้องเรียกของเพื่อนด้านหลัง

   “กระวาน!”  ผมแผดเสียงตะโกนจนอีกฝ่ายสะดุ้งตกใจ  กระวานเบิกตามองมา  ใบหน้าขาวดูซีดกว่าเดิม  รู้ตัวเลยว่าผมคงทำสีหน้าท่าทางน่ากลัวแค่ไหนพี่ชายถึงกับก้าวถอยหลังไปหนึ่งก้าว  ชายตัวโตสองคนตรงทางเข้าร้านพอเห็นผมเดินเข้าไปพร้อมกับเห็นท่าทีแปลกๆ ของกระวานก็ขยับเข้ามาขวางเอาไว้ทันที

   “หลีกไป”

   “ถ้าคุณไม่ใช่ลูกค้า  กรุณาอย่าส่งเสียงดังรบกวนแขกท่านอื่น”  หนึ่งในนั้นพูด  ผมจึงเพิ่งเห็นว่ามีลูกค้าบางคนหันมามอง  บ้างทำสีหน้าอยากรู้อยากเห็น  บ้างมีท่าทีไม่สนใจ

   “ไม่หลีกเหรอ? ได้!”  ผมกำหมัดแน่นพร้อมลุยเต็มที่  ชายตัวโตทั้งสองคนเอื้อมมือไปหลังกางเกง

   “เดี๋ยว!”  กระวานที่เห็นท่าไม่ดีตะโกนแทรกเสียงดังแล้ววิ่งมาคั่นกลางระหว่างผมกับพี่เบิ้มสองคน  “นี่น้องชายผมเอง!”  สองคนนั้นจ้องหน้าผมสลับกับกระวานไปมา  สงสัยจะไม่เชื่อว่าเราเป็นพี่น้องกัน  เห็นแบบนั้นผมเลยชักสีหน้าใส่

   “ไม่ต้องพูดมากแล้ว  กลับบ้าน!”

   “เฮ้ย  ไม่ได้”  กระวานพยายามดึงแขนให้หลุดเมื่อผมคว้าหมับเข้าตรงข้อมือของเขา  ผมขมวดคิ้วไม่พอใจ  ดูซิ  กระวานชักจะดื้อใหญ่แล้ว

   “ทำไมไม่ได้?”

   “คุณกระวานเป็นพนักงานของเรา  คุณมากระชากลากถูกันไปแบบนี้ไม่ได้ครับ”  หนึ่งในนั้นเอ่ยบอก

   “แต่ผมเป็นน้องเขา  และตอนนี้ผมมารับเขากลับบ้าน”

   “ยังไม่ถึงเวลาเลิกงานของคุณกระวานครับ”

   “ก็ไม่ต้องรอให้เลิก  เพราะกระวานจะไม่ทำงานที่นี่อีก”  สองคนนั้นเป็นฝ่ายขมวดคิ้วบ้างแล้วเมื่อได้ยินอย่างนั้น

   “ไม่เอาน่าไอ้กั๊ก”  เพื่อนทั้งสองคนวิ่งตามเข้ามาพยายามบอกให้ผมใจเย็นลง

   “เรื่องนี้คุณต้องไปคุยกับคุณจักรพรรดิเอง”

   “ที่นี่เป็นจีนโบราณเรอะ  มีจักรพรรดิด้วย?  งั้นอย่างฉันนี่ต้องเรียกอะไร  ฮ่องเต้?”  พี่เบิ้มสองคนคอตั้งตรง  หน้าตึง  มือกลับไปตรงหลังกางเกงอีกครั้งเมื่อได้ยินผมพูดจา

   “โป๊ยกั๊ก! คุณจักรพรรดิเป็นเจ้านายฉัน”  กระวานดุผมเสียงเข้ม  โอเค  ผมยอมเงียบก็ได้
   .
   .



   อาบ อบ นวด ที่นี่ให้ความรู้สึกไม่ค่อยเหมือนอาบ อบ นวดในความคิดของผมสักเท่าไหร่  ที่นี่เป็นคลับที่ดูดีมากแห่งหนึ่ง  เมื่อเดินเข้าไปจะมีทางแยก  ด้านซ้ายเป็นแผนกธุรการ  การเงิน  ฝั่งขวาตรงทางเข้ามีการ์ดสวมสูทดำยืนอยู่  ส่วนนี้แยกไปเป็นสถานเริงรมย์  คือมีตู้กระจกและสาวสวยอยู่ข้างในอย่างที่เคยเห็นในการ์ตูนนั่นแหละ 

   ตอนนี้ผมนั่งเผชิญหน้ากับคนที่ชื่อจักรพรรดิ  เจ้านายของกระวาน  ผู้ชายตัวสูงชะลูด  ทั้งๆ ที่ผมว่าตัวเองสูงแล้วนะแต่เขายังสูงกว่าผมเสียอีก  เรือนผมสีดำหวีเรียบไปด้านหลังนั้นยาวระต้นคอ  ดวงตาสีนิลเย็นชาและสูทสีดำเรียบกริบบนตัวยิ่งทำให้เขาดูน่าเกรงขาม

   นี่มันพวกมาเฟียชัดๆ เลยไม่ใช่หรือไง

   เจ้าของใบหน้าหล่อเหลานั้นจ้องตรงมาเงียบๆ  ผมเองก็ไม่ยอมละสายตา  มีกระวานนั่งกระสับกระส่ายอยู่ตรงกลางระหว่างเขากับผม

   “เอ่อ”  บรรยากาศในห้องรับแขกของสำนักงานคงกดดันเกินไป  กระวานจึงมีเหงื่อซึมขมับ  เขาคงอยากสลายความอึดอัดนี้เลยส่งเสียงขึ้นมา

   “ผมมารับพี่ชายกลับบ้าน”  ผมเอ่ยแทรกทะลุกลางปล้อง  กระวานอ้าปากค้างกะพริบตาปริบ

   “คนของผมน่าจะบอกคุณแล้วว่ายังไม่ถึงเวลาเลิกงานของเขา”

   “ใช่”  ผมยกมือแคะหูด้วยท่าทางกวนๆ คนตรงหน้ายังคงตีหน้าเรียบอ่านความรู้สึกไม่ออก  “แต่ผมก็บอกแล้วเหมือนกันว่าผมไม่ยอมให้พี่ชายมาทำงานที่ร้านนี้” คราวนี้เขามีปฏิกิริยา  ดวงตาดุๆ คู่นั้นหรี่ลงก่อนจะตวัดไปมองตัวต้นเหตุ

   “คุณไม่ได้บอกคนที่บ้านหรือไงว่าทำงานที่นี่”

   “เอ่อ  บอกนะ” กระวานขยับตัวไปมาท่าทางมีพิรุธ

   “บอกว่ายังไง?”  นายหน้าดุหันไปถามกระวาน

   “ก็  ก็บอกว่า  ..ว่าทำงานที่ wonder land”

   “เพราะแบบนี้ทุกคนในบ้านเลยเข้าใจว่ากระวานมาทำงานที่สวนสนุก”  ผมเอนหลังพิงพนักโซฟาเอ่ยปากต่อบทสนทนาของพี่ชาย  ไม่ใช่ว่าเจ้าตัวไม่บอกแต่บอกไม่ครบต่างหาก!

   “........”  เจ้าของสวนสนุกถึงกับพูดไม่ออก

   “กระวานมีปัญหา...สุขภาพ”  ผมชี้ที่หูตัวเอง  “เขาไม่ควรมาอยู่ในที่แบบนี้  ไม่งั้นเขาจะไม่สบาย”

   “ไม่ๆ โป๊ยกั๊ก  ตอนนี้ฉันสบายดี”  กระวานเหลือบมองเจ้านายตัวเองแล้วรีบหันมาพูดกับผมรัวเร็ว  ผมหรี่ตามองพี่ชายเพื่อจับสังเกตว่าเขากำลังพยายามปิดบังอะไรอยู่หรือเปล่า  ปกติไม่ต้องให้ผมเอ่ยปาก  กระวานก็มักจะไม่เข้าใกล้คนที่มีความคิดแนวนี้อยู่แล้ว  น่าแปลกที่ยอมมาทำงานในร้านอาบ อบ นวด

   “ผมจะยอมให้คุณพาพี่ชายกลับบ้านก็ได้นะถ้าคุณยอมชดใช้หนี้ที่พี่คุณก่อ”

   “หนี้?”

   “แหวนมูลค่าหลักสิบล้าน”

   “สิบล้าน!”  ผมหันไปมองพี่ชายคนรองของบ้าน  “เงินไม่พอใช้พี่น่าจะบอกพวกเราซิ  ไปขโมยของเขาได้ไง?”

   “จะบ้าเรอะ! ไม่ได้ขโมยโว้ย”  กระวานถลึงตามอง  “พอดีมีอุบัติเหตุนิดหน่อย  แล้วฉันทำแหวนคุณจักรพรรดิหาย”

   “หายจริงเหรอ  หาดูดีหรือยัง?”

   “หาดีแล้วซิ  เพราะไม่เจอไงฉันถึงต้องมาทำงานใช้หนี้แบบนี้”

   “แหวนอะไรแพงขนาดนั้น  โม้หรือเปล่า?”  ผมพยายามหาเหตุผลมารองรับ  แหวนบ้าอะไรราคาหลักสิบล้าน  เออ  ถ้าราคาหลักสิบล้านจริงนี่มีอีกสักวงไหม ผมอยากจะขโมยไปขายแล้วเอาเงินให้คำนับไปเรียนต่อจัง  โว๊ะ  นี่ผมกำลังคุยเรื่องซีเรียสของพี่ชายอยู่  ทำไมไพล่ไปคิดถึงเจ้านั่นได้ล่ะเนี่ย

   “แหวนนั้นเป็นของสำคัญของผม  และพี่ชายคุณทำของสำคัญของผมหายไป  เขาต้องชดใช้”  นายหน้านิ่งเอ่ยเสียงเรียบ

   “คุณกำลังขู่อยู่เหรอ?”  ผมผละจากพนักโซฟา  ค้อมตัวไปข้างหน้าจ้องตากับเขาอย่างไม่เกรงกลัว

   “ก็ถือว่าใช่”  เขาจุดยิ้มมุมปากดูเจ้าเล่ห์และอันตรายขึ้นมา

   “....”  ผมจ้องเข้าไปดวงตาสีดำคู่นั้น  กำลังคิดประเมินว่าจะทำอย่างไรต่อไปดี  พลันบ่าก็โดนสะกิดจากด้านหลัง

   “โป๊ยกั๊ก  พี่ใหญ่โทร.มา”  บดินทร์ยื่นโทรศัพท์ของตัวเองส่งมาให้  ผมลังเลอยู่ครู่หนึ่งก่อนจะยอมรับโทรศัพท์ของเพื่อนมาแนบหู  ผมปิดเสียงโทรศัพท์เปิดเป็นระบบสั่นเอาไว้  และแน่นอนว่ามันสั่นเป็นเครื่องนวดตั้งแต่ผมก้าวเท้าเข้ามา  เพราะรู้ว่าพี่ชายคนโตจะต้องโทร.มาแน่นอนผมตั้งใจจะไม่รับจนกว่าจะลากตัวกระวานกลับบ้านได้  สุดท้ายก็ต้องคุยกันเพราะผมลืมสั่งเพื่อนว่า  อย่ารับสายของพี่ไธม์

   “ครับ”

   ‘โป๊ยกั๊ก  กลับบ้าน’

   “ไม่”

   ‘อย่าดื้อ  ถือว่าพี่ขอร้อง’

   “แต่กระวานกำลังตกอยู่ในอันตรายนะพี่”  นายหน้าดุขมวดคิ้วฉับกับคำพูดของผม  “เขาบังคับให้กระวานใช้หนี้ด้วย  ผมว่าไม่เป็นมาเฟียก็ยากุซ่าแน่ๆ”

   “เอ่อ”  กระวานยิ้มแหย  เขาเหลือบมองเจ้านายตัวเองที่ตีหน้าตึงคอตั้ง 

   ‘เรื่องนั้นพี่จะตรวจสอบเอง  ส่วนเราน่ะกลับบ้านไปได้แล้ว  มันอันตราย’

   “นั่นไง  ขนาดพี่ยังว่าอันตราย  ผมยิ่งไม่ควรปล่อยให้กระวานอยู่ที่นี่”  ผมเถียง  ไม่ยินยอมกลับง่ายๆ ส่วนกระวานกำลังขยับตัวไปมา

   “โป๊ยกั๊ก  นายกลับไปก่อนนะ  แล้วเราค่อยคุยกันเรื่องนี้ทีหลัง”  ผมขมวดคิ้วใส่พี่ชายทั้งสองคน  แม้พี่ไธม์จะไม่เห็นก็เถอะ

   ‘กระวานไม่เป็นอะไรหรอก  แต่เรานั่นแหละ  ยุ่มย่ามมากไปไม่เป็นเรื่องดี’

   “แต่...”  สรุปคนที่น่าเป็นห่วงคือผม  ไม่ใช่กระวานเหรอ? 

   ‘เราจะคุยเรื่องนี้กันทีหลัง  เมื่อพี่กลับบ้าน  โอเค๊?’

   “ถ้าไม่โอเคล่ะ?”

   ‘คำตอบมีข้อเดียว  โป๊ยกั๊ก’  โอเค  น้ำเสียงพี่ไธม์เริ่มเปลี่ยนแล้ว  ดังนั้นผมควรทำตัวเป็นเด็กดียอมกลับบ้านง่ายๆ ตามคำสั่งของพี่ชายคนโต

   ผมยอมออกจากสวนสนุกนั่นโดยปล่อยให้กระวานทำงานต่อไปอย่างไม่เต็มใจ  ไม่รู้ว่าใครโทร.หาพี่ไธม์  คงไม่ใช่เพื่อนทั้งสองคนของผมแน่  เดาว่าคงเป็นเพกา  เพราะฝ่ายนั้นไม่อยากให้ผมบุกมาที่นี่เท่าไหร่

   ผมไม่โกรธเพกาหรอกที่โทร.ไปฟ้องพี่ไธม์  เข้าใจแหละว่าน้องคงเป็นห่วง  ผมเป็นคนใจร้อน  พอรู้เรื่องก็รีบแจ้นมาที่นี่เพราะกลัวกระวานจะรู้สึกแย่  อย่างที่รู้ว่าหูของกระวานนั้นค่อนข้างพิเศษกว่าคนทั่วไป  ผมเลยอดเป็นกังวลไม่ได้ว่าพี่ชายคนรองจะลำบากแค่ไหนกับงานแบบนี้  อีกอย่างกลัวเจ้าก้อนนุ่มนิ่มนั่นโดนหลอก  คนสมัยนี้น่ากลัวจะตาย  ไว้ใจได้ที่ไหนกัน

   หลังจากนั้นผมก็อยากจะเอาความกังวลทั้งหมดทิ้งลงแม่น้ำ  เมื่อพี่ชายตัวดียิ้มแป้นแล้นหัวเราะเสียงดังลั่นบ้าน  บอกว่างานนี้เหมาะกับความสามารถของตัวเองสุดๆ แถมเงินดีอีกต่างหาก

สวนสนุกนั่นไม่ได้มีแค่สาวสวย  หากยังมีหนุ่มน้อยหน้าตาดีด้วย  แยกออกไปในส่วนของตึกอีกหลัง  มีทั้งอาบ อบ นวดหนุ่มน้อยสำหรับผู้หญิง  อาบ อบ นวดหนุ่มน้อยสำหรับผู้ชาย  โอ้โห  อะไรจะครบวงจรขนาดนี้! 

แม่ที่ได้ยินถึงกับตาโตเท่าไข่ห่าน  ท่าทางตื่นเต้นปากก็พูดว่า  อยากไปๆ เล่นเอาพ่อถึงกับอ้าปากค้าง  จากนั้นก็นั่งหันหลังให้แม่พลางร้องไห้กระซิกๆ บอกว่าแม่ไม่สนใจพ่อแล้วถึงอยากไปอาบ อบ นวดหนุ่มน้อย  ผมเห็นแม่ยกยิ้มมุมปากอย่างเจ้าเล่ห์ก่อนจะโอบไหล่พ่อเข้ามา


ผมเดาว่าคืนนี้พ่อต้องกลายเป็น  ‘หนุ่มน้อยในตู้กระจก’  ให้แม่แหงๆ




**********

   


ความจริงแล้วผมไม่ได้เป็นคนเชื่ออะไรง่ายๆ
   
แต่ช่วงนี้มีข่าวลือหนาหู... 

เพกาเป็นคนน่ารัก  ยิ้มแย้มแจ่มใส  อัธยาศัยดี  เข้ากิจกรรมของโรงเรียนไม่ขาด  การเรียนก็นับว่าอยู่ในอันดับต้นๆ ใครหลายๆ คนต่างชอบเพกา  ใช่  หลายคน  แต่ไม่ควรมีคำนับเป็นหนึ่งในนั้น!

“เฮ้ย  สรุปคำนับมันจีบเพกาจริงเหรอวะ?”

“มึงเอาอะไรมาพูด”  ผมหันขวับไปตะคอกเสียงเขียวใส่เพื่อนชมรมไอคิโด

“อ้าว  กูเห็นมันไปกินข้าวกลางวันกับมึงทุกวัน  นึกว่าตีสนิทเข้าทางมึง”  ผมยืดอกขึ้น  ในอกฟูฟ่องแปลกๆ

“แล้วไง  มันแค่ไปกินข้าวกับกูกับไอ้ภู  ไอ้ดิน”

“เหรอ  มันเข้ากลุ่มเหรอ  งั้นเมื่อวานที่กูเห็นมันเดินไปกับเพกานี่ไม่มีอะไรในกอไผ่ใช่ไหม?”

“ห้ะ?”  ผมหันขวับไปจ้องหน้าคนพูดอีกครั้ง

“หรือว่ามันเป็นพ่อสื่อให้ไอ้เน่าเพื่อนมันวะ?”

ผมหูอื้อตาลาย  ไม่ได้ยินอีกแล้วว่าเพื่อนคนนั้นพูดว่าอะไรอีก  รู้แต่เพียงว่าโกรธมาก  ผมเป็นคนพาคำนับเข้าบ้านเอง  หากเขาจะฉวยโอกาสนี้จีบเพกาหรือช่วยเพื่อนจีบผมจะทำยังไง ตีอกชกตัว?

ไม่  ผมจะชกมันนั่นแหละ!

มีบางสิ่งที่ผมไม่เข้าใจความโกรธครั้งนี้  มันไม่เหมือนเวลาโมโหคนอื่นๆ ที่เข้ามาจีบเพกา  มันเจ็บยอกแปลกๆ  ลมหายใจอึดอัด  และทุกครั้งในสถานการณ์แบบนี้ผมจะเห็นเพียงหน้าน้องสาวตัวเอง  ห่วงหวงไม่อยากให้น้องมีแฟนก่อนเวลาอันควร  คราวนี้กลับต่างออกไปเมื่อผมเห็นแต่เพียงหน้าของคำนับ  ยิ่งคิดว่าเขาไปหัวร่อต่อกระซิกกับใครที่ไม่ใช่ผม  ผมยิ่งโมโห

น่าแปลก   แปลกมากจริงๆ

ผมไม่อยากเชื่อคำพูดของเพื่อนจากชมรมไอคิโดคนนั้นจึงลองลอบสังเกตว่าคำนับมีท่าทางอะไรแปลกๆ กับเพกาหรือไม่

“มึงบ้าหรือเปล่า?  หวงน้องเกินไปแล้วนะ”  ภูธเรศถอนหายใจแล้วส่ายหัวเมื่อผมยืนมองน้องสาวตัวเองกับคำนับช่วยกันปลูกผักตรงแปลงหลังร้าน  นี่ไม่ใช่ครั้งแรกเสียหน่อยที่เขาสองคนช่วยกันปลูกผักแบบนี้  ทำไมผมต้องคิดมากด้วยนะ  ผมถอนหายใจ  บอกตัวเองว่าอาจคิดมากไปและควรไปช่วยพ่อทำความสะอาดร้านได้แล้วก่อนจะเริ่มเปิดร้านและมีลูกค้ามา  จังหวะที่หมุนตัวกลับสายตาดันเห็นท่าทีของคนหลังร้านผิดแปลก  คำนับวางเสียมขุดดินอันเล็กและถอดถุงมือออก  ก่อนจะล้วงผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดเหงื่อให้เพกาแผ่วเบา  น้องสาวคนสวยของผมยิ้มกว้างเจิดจ้า  ปากขยับพูดไม่หยุด  ขณะที่คำนับหัวเราะอารมณ์ดี
.
.





ผมไม่ได้ยินเสียงอะไรเลยนอกจากเสียงร้องวี๊ดของเพกา  ความรู้สึกเจ็บตรงกำปั้นเมื่อผมส่งมันกระแทกใบหน้าของคำนับ  ผมกระชากเขาที่นั่งข้างเพกาขึ้นมาแล้วชกจนเขาล้มคว่ำ  เพกาเข้ามาผลักผมออกแล้วตะโกนอะไรบางอย่าง  แต่ผมไม่ได้ยิน

คำนับมีท่าทีตกใจ  มือผอมซีดยกกุมแก้มตัวเอง  ดวงตาสีน้ำตาลเข้มคู่นั้นตวัดมองผมคล้ายมองคนแปลกหน้า  เป็นดวงตาเหมือนเมื่อครั้งแรกที่ถูกเขามอง  และนั่นยิ่งทำให้ในอกผมหน่วงหนักกว่าเดิมนับร้อยเท่า

“มึงจีบน้องกูให้ตัวเองหรือให้เพื่อนมึง?”

“พี่โป๊ยกั๊ก! หยุดเลยนะ!”

“ตอบ!” ไอ้ภูกับไอ้ดินวิ่งเข้ามาฉุดไหล่ผมคนละข้าง  เพกาน้ำตาคลอหากผมเอาแต่จ้องหน้าของคนบนพื้น  คำนับมองนิ่ง  เขาหรุบสายตาลงพลางถอนหายใจ  แล้วลุกขึ้นยืนปัดเศษดินตามกางเกง  ก่อนจะเดินออกไปโดยไม่มองผมอีก

“ไอ้ครับ!”  ผมผวาจะตามเขาไปหากแขนกลับโดนน้องสาวรั้งเอาไว้

“พี่โป๊ยกั๊ก!”  เพกาตวาดกลับ  ผมก้มลงมองหน้าน้องสาวที่เบะปากจะร้องไห้

“.....”

“พี่ชกพี่ครับทำไม”

“ก็มัน...จะ...เพกา”

“ใช่ที่ไหน!”  น้องสาวคนเดียวของบ้านเริ่มร้องไห้  เพการู้ว่าประโยคต่อไปของผมคืออะไรจึงเอ่ยแทรก  “พี่ครับไม่ได้จีบหนูสักหน่อย”

“แต่มันเช็ด...”

“ก็แค่เช็ดเหงื่อ! มือหนูเปื้อนดินพี่ครับเลยเช็ดให้”

“แล้วหัวเราะอะไรกัน”  ผมขมวดคิ้ว  นี่ต่างหากคือข้อสงสัยของผม

“ทำไมจะหัวเราะไม่ได้?”

“ก็...”

“พี่บ้าไปแล้วหรือไง  จะไม่ให้พี่ครับหัวเราะหรือยิ้มกับใครเลยหรือไง”

“....”  คล้ายมีมือมาบีบบางอย่างในอกให้แตกดังโพล๊ะ  ความรู้สึกอึดอัดที่ผมไม่เข้าใจเมื่อครู่พลันกระจ่างเมื่อฟังคำพูดของเพกา  ผมไม่ได้หวงน้องเหมือนอย่างทุกที  ไม่ได้โกรธที่คำนับอยู่ใกล้เพกา  แต่ผมไม่พอใจ  ไม่พอใจที่เขาแสดงท่าทีสนิทสนมกับเพกา  ยิ้มและหัวเราะกับใครที่ไม่ใช่ผม...

“เรากำลังคุยเรื่องเจ้าหญิงกัน  แล้วพี่ก็เข้ามากระชากพี่ครับเฉยเลย”

“คุยเรื่องเจ้าหญิง?”

“ใช่!”  เพกาทำปากยื่น เช็ดน้ำตาป้อยแล้วส่งค้อนมาให้วงใหญ่

เจ้าหญิงคือแมวเพศผู้ของบ้านเรา  แมวที่พ่อเข้าใจผิดคิดว่าเป็นตัวเมียจึงตั้งชื่อให้มันเสียน่ารักน่าชัง  แมวสีดำตัวเขื่องขี้เล่นและฉลาดแสนรู้  แมวที่กระวานไม่ชอบและพี่ไธม์ไม่ค่อยอยากจับสักเท่าไหร่  แมวที่พ่อหลงนักหลงหนา  แมวที่ผมชอบจับมันมาผูกโบว์สีชมพูเพราะอยากแกล้งมัน 

แมวตัวเดียวกันนั้นที่ทำให้คำนับยิ้มและหัวเราะกับวีกรรมทั้งหลายของมันที่เพกาเล่า



********
   



“มึง  แล้วกูจะทำยังไงดี?”  อยากทึ้งหัวตัวเอง  แต่ก็กลัวจะหัวล้านผมเลยได้แต่นั่งคอตกปรับทุกข์กับเพื่อนทั้งสองคน  เมื่อวานหลังเหตุการณ์นั้นคำนับก็กลับบ้านทันที  มาวันนี้ตอนถึงเวลากินข้าวก็ไม่ปรากฏตัวให้เห็น

   “สมน้ำหน้า  ทำอะไรไม่รู้จักคิด”  ภูธเรศค้อนตากลับ
   
“กูแค่หวงน้อง...”

“มึงหวงเพกาหรือหึงคำนับ  เอาดีๆ”  บดินทร์เอ่ยขัด  ไม่เชื่อในสิ่งที่ผมบอก

“หึงบ้านแป๊ะมึงซิ”  ผมถลึงตาใส่เพื่อนรักทั้งสอง

“ฟังข่าวลือไร้สาระมา  แถมไปจ้องจับผิดมันอีก  เป็นไงล่ะคราวนี้”

“แหม  มึงก็...คนเรามันต้องมีผิดพลาดกันบ้างป่าว”  แถจนสีข้างถลอก  แสบไปหมดทั้งแถบละครับงานนี้  แล้วทำไมผมต้องรู้สึกโล่งใจด้วยนะที่ข่าวลือนั้นไม่ใช่ความจริง  ประหลาดชะมัดเลย

“พลาดจังเบ้อเร่อ”  ไอ้ดินทับถมไม่หยุด

“วันนี้แม่งเลยไม่กล้ามากินข้าวด้วยเลย  แถมยังหนีหน้าอีกต่างหาก”

“ก็หมัดไอ้โป๊ยกั๊กเบาเสียที่ไหน  ขืนพูดจาไม่ถูกหูอีก  เกิดโดนชกขึ้นมาคราวนี้ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โตเลยนะโว้ย”

จะพูดให้รู้สึกผิดอีกนานไหมวะเนี่ย  ไอ้เพื่อนบ้า!  อยากตะโกนใส่แบบนี้แต่มีชนักติดหลังไง  ขืนโวยวายใส่พวกมัน  เกิดไม่ช่วยผมหาวิธีขอโทษคำนับขึ้นมาจะลำบากเอาได้

“มึงทำมันเจ็บตัวฟรี  เตรียมง้อมันหรือยัง”

“ทำไมต้องง้อ  ไม่ได้เป็นอะไรกับมันสักหน่อย  แค่ขอโทษก็พอไหม?”

“อ้อเหรอ  แล้วไอ้อาการเครียดเขม็งตอนคิดว่ามันจีบเพกาคืออะไร”  บดินทร์และภูธเรศผลัดกันรุกถามผมไม่หยุด

“เพกายังไม่ควรมีแฟนไง  และมันไม่ควรจีบน้องกู”

“โกหกไม่เนียนครับคุณ”  ไอ้ภูเบะปาก 

“มันไม่ได้โกหก  แต่มันไม่รู้ต่างหากว่าตัวเองคิดอะไร  รู้สึกยังไง”  บดินทร์ยกยิ้มมุมปากแล้วยักคิ้วให้คู่หูตัวเอง

“คิดอะไร?  รู้สึกอะไร?”  อย่ามายั่วให้ผมไขว้เขว  เห็นท่าทางมันแล้วอยากถีบมากบอกตรง

“ก็คิดแบบที่แตกต่างออกไปไง  รู้สึกแตกต่างแบบที่ไม่เคยเป็นกับใครมาก่อน”  ผมขมวดคิ้วกับประโยคนั้นของบดินทร์

“อะไรของมึงไอ้ดิน?”

“ตอนนั้นมึงโมโหอะไร?”

“....”

“มึงไม่พอใจอะไร?”

“...”  ผมนิ่งเงียบ  ก็พอจะรู้อยู่แล้วแหละว่าผมโมโหคำนับ  โกรธคำนับที่เข้าใกล้เพกา

“เวลามึงต่อยคนที่มาจีบเพกา  มึงจะดึงน้องมึงมาไว้ข้างหลังตัวเอง  ซัดอีกฝ่ายจนล้มคว่ำ  ไม่สนหน้าอินทร์หน้าพรหม”

“แต่นี่มึงเอาแต่จ้องหน้าไอ้ครับ  ไม่สนใจเพกาเลย”

“มะ...”  อ้าปากจะปฏิเสธ  ภูธเรศก็ตบมือแปะแล้วเอ่ยพูดพร้อมกับสีหน้ารู้แจ้ง

“แบบนี้เขาเรียกว่าหึง”

“หึง?”

“ใช่”

“หึงใคร?”

“เพกา  มึงหึงเพกา  ไม่อยากให้เพกาเข้าใกล้คำนับ”

“มึงรู้สึกกับคำนับแบบที่ไม่ได้รู้สึกกับคนอื่น”

“มึงห่วงใย”  พวกมันสลับกันพูดคนละประโยค  ผมหันซ้ายแลขวาฟังเพื่อนพูดแล้วขมวดคิ้ว

“มึงฟิวส์ขาดเพราะคิดว่ามันจะมีแฟน  ไม่ใช่เพราะมันจีบเพกา”

“พวกมึงอย่ามามั่ว!”  ผมตะโกนใส่หน้าเพื่อน

“มึงอารมณ์เสียตอนมันไปเจอคนอื่น”  ผมนึกตาม  ตอนที่คำนับไปเจอไอ้เปรี้ยว  ผมไม่พอใจ  นั่นยอมรับ  แต่เป็นเพราะไม่อยากให้มันไปยุ่งกับคนไม่ดีต่างหาก

“มึงใจเต้นตอนมันยิ้มให้” เอ่อ  อันนี้ไม่เถียงนะ  หลายวันมานี้ผมใจเต้นกับรอยยิ้มของคำนับจริงๆ

“มึงเผลอมองตามมันทุกฝีก้าว”

“เว่อร์ล่ะ  กูจะไปมองมันได้ไง  อยู่คนละห้อง”  ผมยิ้มเยาะให้ไอ้ภูที่ทำท่าวิเคราะห์อย่างผู้เชี่ยวชาญ  มันค้อนใส่เมื่อโดนตอกกลับค้านคำพูดมัน

“มึงเกาะติดกับมันทุกวัน”

“....”  อันนี้ชักเถียงไม่ออกแหะ

“มึงไม่อยากให้มันห่างสายตา”

“กูแค่กลัวพวกไอ้เปรี้ยวมาลากคอมันไปกระทืบต่างหาก”

“มึงอย่ามาตอแหล!”  ไอ้ภูตะคอกใส่ท่าทางหมดความอดทน

“เอ้า?”

“ตอนนี้มึงยิ้มปากจะฉีกถึงหูแล้วไหม  อย่ามาเนียนว่าไม่รู้สึกอะไรกับไอ้ครับมัน”

“เอ๊ะ?”  ผมยิ้มงั้นเหรอ?

ผมยิ้มกับการที่โดนเพื่อนวิเคราะห์ว่าชอบคำนับงั้นเหรอ?  ไม่มั้ง?

คำนับก็เหมือนเพื่อนคนอื่นๆ นั่นแหละ เหมือนไอ้ภู  ไอ้ดิน  ที่บังคับให้อยู่ใกล้เพราะจะได้คอยสอดส่องไม่ให้พวกไอ้เปรี้ยวมันลากไปกระทืบเท่านั้น  ที่บุกไปหาถึงบ้านเพราะแค่อยากรู้ว่าบ้านเขาอยู่ตรงไหน  ทำอะไร  ทำไมต้องยอมรับเงินจากคนที่จ้างไอ้เปรี้ยวด้วย

ที่ให้มากินข้าวด้วยกันทุกวันเพราะเห็นว่าคำนับผอมเกินไป  ควรบำรุงให้มากหน่อยเลือดจะได้ไปเลี้ยงสมองเยอะๆ จะได้ไม่ชวดทุนที่ทำเรื่องขอไป

ที่บังคับให้กินน้ำเก๊กฮวยเหมือนตัวเองเพราะคำนับจะได้รู้ไงว่าผมชอบอะไร  จะได้ไม่ขัดใจผมอีก  แล้วถ้าชอบเหมือนผมได้ยิ่งดี  ประหยัดเวลาในการซื้อ

และถึงแม้กับข้าวฝีมือคำนับจะอร่อยสู้พ่อฟ้าไม่ได้  แต่ผมก็อยากกิน  หนำซ้ำไม่อยากแบ่งให้ไอ้ภูกับไอ้ดินกิน  กลัวมันท้องเสียไง  ไว้คำนับทำอาหารเก่งเมื่อไหร่ค่อยมากินตอนนั้นก็ยังไม่สาย


ผมไม่อยากให้คำนับจีบเพกา  ไม่อยากให้คุยกับคนอื่น


ไม่อยากให้เขายิ้มกับใคร


ถ้าจะยิ้ม  จะหัวเราะละก็...





แค่ทำกับผมคนเดียวก็พอ...











โปรดติดตามตอนต่อไป










สวัสดีค่า
คำแรกเลยคือ.....
อย่าเพิ่งโกรธโป๊ยกั๊กกันเลยนะคะ TAT  เอ็นดูนางเต๊อะ  เด็กไม่เคยมีความรักก็งี้ (ฉันแถให้แกแล้วนะโป๊ย)
เอาน่า  ถ้านางรู้ตัวว่ารักเขาเมื่อไหร่ก็คงทำตัวน่ารักขึ้นแหละ  แต่อย่างว่า  โป๊ยกั๊กเป็นพวกความรู้สึกต่อเรื่องนี้ช้า  นางก็จะแสดงออกแปลกๆหน่อย  ก็แบบว่านั่นน่ะ...ของเขานะ  อย่ามายุ่ง  ไรงี้

เช่นเคยค่า  ขอให้สนุกกับเรื่องนี้นะคะ  มีตรงไหนผิดพลาดแนะนำติติงได้ค่ะ เพื่อจะได้กลับไปปรับปรุงเนอะ
ปล. คราวนี้คนตรวจคำผิดไม่สบายค่ะ  หวังว่าน่าจะไม่มีตรงไหนรอดหูรอดตานะคะ  (แต่งเองอ่านเองตรวจเองเข้าใจอยู่คนเดียว  กลัวมันหลุดไปเหมือนกันค่ะ TAT)

#คนนี้ต้องลับ

ออฟไลน์ DrSlump

  • เป็ดEros
  • *
  • กระทู้: 3360
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +104/-2
 :pig4: :pig4: :pig4:

โป๋ยกั๊ก    สมชื่อ

กั๊กแปดตลบ

ออฟไลน์ areenart1984

  • เป็ดArtemis
  • *
  • กระทู้: 4805
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +167/-7
เพื่อนว่าให้แบบนี้  รู้ตัวยังว่าหึง  :hao3:

ออฟไลน์ B52

  • เป็ดZeus
  • *
  • กระทู้: 13215
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +420/-26

ออฟไลน์ Rumraisin

  • เป็ดHestia
  • *
  • กระทู้: 673
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +5/-0
ถ้าจะกั๊กเหมือนชื่อขนาดนี้ อยากให้ครับโกรธนานๆเลยค่ะ  :hao3: หมั่นไส้โป๊ยกั๊กจริงๆ ขอบคุณค่ะ  :กอด1:

ออฟไลน์ titansyui

  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2386
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +119/-0

ออฟไลน์ Al2iskiren

  • เป็ดDemeter
  • *
  • กระทู้: 1775
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +80/-3
ในความหวงน้อง มีความหึงซ่อนอยู่
ถถถถถ พ่อคนรู้ตัวช้า หาวิธีง้อน้องครับด่วนๆ

ออฟไลน์ TachibanaRain

  • มาโกโตะเทนชิ
  • เป็ดHermes
  • *
  • กระทู้: 2402
  • ให้คะแนนชื่นชมคนนี้: +76/-3
โดนโกรธยาวแน่โป๊ยกั๊กเอ้ย ทีนี้ครับจะรู้สึกเคว้งและเสียใจมั้ยอะกลัวน้องจะโดนรังแกอีก ส่วนเรื่องกระวานนี่อยากอ่านบ้างแล้วฝากนักเขียนทวงนิยายให้หน่อยได้มั้ยคะ ฮาา

 

สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด สนใจลงโฆษณา คลิกดูรายละเอียด


สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด
สนใจ คลิกดูรายละเอียด สนใจ คลิกดูรายละเอียด