Episode 16 part2
งานแถลงข่าวเริ่มขึ้นตามเวลาที่กำหนดเอาไว้ บรรยากาศด้านนอกเต็มไปด้วยสื่อมวลชนสายบันเทิงทั้งจากเว็บไซต์ข่าวและหนังสือพิมพ์ อีกทั้งยังมีบรรดากลุ่มแฟนคลับและครอบครัวของเหล่านักแสดงใหม่คนอื่นๆที่มาร่วมงานเปิดตัวในวันนี้ด้วยอีก ภูออกไปนั่งยังจุดที่ถูกจัดเอาไว้ให้ด้วยความอึดอัดใจที่อัดแน่นอยู่ในอกจนเกินจะบรรยายออกมาเป็นคำพูดได้ เพราะเพียงแค่ต้องออกมาพบเจอสายตาผู้คนแปลกหน้านับร้อยคู่ก็ทำให้เขารู้สึกประหม่าจนแทบทำอะไรไม่ถูกแล้ว นี่ยังมีความน่ารำคาญจากจอสที่คอยตามประกบไม่ห่างและเจ้ากี้เจ้าการสั่งให้ตนต้องทำอย่างนั้นอย่างนี้ตามต้องการอีก เดิมทีเมื่อออกมาในตอนแรกเด็กหนุ่มก็ยังแอบโล่งใจว่าที่นั่งของจอสถูกจัดเอาไว้ห่างจากของตน แต่ความสบายใจก็คงอยู่ได้ไม่นานเมื่อทันทีที่จอสเห็นภูนั่งลงตรงไหน เขาก็รีบเข้ามาจัดการยึดที่นั่งข้างๆโดยไม่สนใจคำทักท้วงจากผู้เป็นเจ้าของเดิม
“ไปนั่งตรงที่ๆเค้าจัดไว้ให้สิ!” ภูใช้ศอกกระทุ้งเตือน ตาเหลือบมองไปทางเด็กสาวที่กำลังมองมาด้วยท่าทางขอให้ช่วย
“ไม่เอา จะนั่งตรงนี้” จอสทำมึนใส่ไม่ยอมลุก จนในที่สุดเด็กสาวผู้ซึ่งถูกแย่งที่ก็จำใจต้องไปนั่งตรงที่ของจอสแทน
ภูบอกตัวเองให้หันเหความสนใจไปหาสิ่งที่จะทำให้ตนรู้สึกดีขึ้น เด็กหนุ่มกวาดสายตามองไปท่ามกลางผู้คนมากมายเบื้องหน้าจนในที่สุดก็พบกับกรรณที่ยืนปะปนอยู่กับกลุ่มช่างภาพสื่อมวลชนคนอื่นๆ รอยยิ้มที่อีกฝ่ายส่งมาเมื่อสายตาทั้งสองสบเข้าหากันนั้นทำให้ภูรู้สึกดีขึ้นได้แทบจะทันที และเมื่อมองไปยังอีกจุดหนึ่งทางด้านหลังเส้นที่แบ่งเอาไว้เป็นโซนที่นั่งสำหรับกลุ่มแฟนคลับและครอบครัว ภูก็ยังเห็นพ่อกับแม่และสาลี่รวมไปถึงเพื่อนคนอื่นๆในกลุ่ม อีกทั้งยังมีสองสาวพิมกับส้มที่พาแฟนคลับอีกกลุ่มใหญ่มาให้กำลังใจในวันนี้ แม้จะยังรู้สึกประหม่าและหวาดระแวงกับพฤติกรรมซุบซิบชี้มาทางตนที่สาลี่ทำกับเพื่อนคนอื่นๆ อีกทั้งยังเขินกับเสียงเชียร์และตะโกนเรียกจากกลุ่มแฟนคลับ แต่มันก็ทำให้ใจชื้นขึ้นกับการที่ไม่ต้องพบเจอเรื่องทั้งหมดนี้ตามลำพัง เมื่อหันกลับไปทางกรรณอีกครั้ง ตากล้องหนุ่มส่งสัญญาณมืออันเป็นที่รู้กันว่าให้ภูยกมือทักทายกล้อง เด็กหนุ่มตอบสนองต่อสัญญาณนั้นอย่างคุ้นเคย จริงอยู่ที่ถึงแม้ว่าเรื่องการแสดงออกต่อหน้ากล้องจะเป็นสิ่งที่ไม่ถนัดสำหรับภู แต่หากบุคคลที่อยู่หลังเลนส์นั้นเป็นกรรณ ทุกอย่างก็กลับกลายเป็นง่ายดายได้อย่างไม่น่าเชื่อ
พิธีกรผู้ดำเนินรายการทำหน้าที่ตามสคริปต์ที่วางเอาไว้อย่างไหลลื่น จนกระทั่งมาถึงช่วงแห่งการแนะนำตัวนักแสดงใหม่ทั้งสิบสองคนแบบทีละคน ภูเฝ้ามองเก็บรายละเอียดสิ่งที่คนก่อนหน้าของตนทำเพื่อเอามาปรับใช้ยามถึงคิวของตัวเองจะได้ไม่เผลอทำอะไรผิดพลาดให้ขายหน้า จนกระทั่งพิธีกรประกาศชื่อของเขาพร้อมกับแสงไฟที่สาดเข้ามาเพื่อเน้นจุดความสนใจ เด็กหนุ่มลุกขึ้นยืนและทำตามสคริปต์ที่ซ้อมมาตลอดทั้งสัปดาห์กับพี่ช้าง นั่นคือการแสดงออกถึงความเป็นมิตรและสดใสแบบเกินขอบเขตที่มนุษย์ธรรมดาพึงมี ความอายถ้าละทิ้งไปไม่ได้ก็ต้องควบคุมจนมันอยู่ในระดับที่พอเหมาะ อย่าให้มันครอบงำจนสติหลุด ซึ่งเมื่อทำได้ก็กลับกลายเป็นว่าอาการเขินอายเหล่านั้นมันได้กลายเป็นเสน่ห์เอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขาไปโดยไม่รู้ตัว เมื่อมองไปทางกรรณ ตากล้องหนุ่มก็รัวกดชัตเตอร์เพื่อเก็บภาพพร้อมกับส่งสัญญาณมือด้วยการยกนิ้วโป้ง อันมีความหมายว่าทำได้ดีมากซึ่งนั่นก็ทำให้ภูสบายใจขึ้นกว่าตอนเริ่มหลายเท่าเลยทีเดียว
หลังจากหมดช่วงเวลาสำหรับตัวเอง เด็กหนุ่มก็รีบนั่งลงกลับไปประจำที่เดิมขณะที่พิธีกรประกาศชื่อคนต่อไป ทันทีที่หย่อนก้นแตะลงบนพื้นเก้าอี้จอสก็เอี้ยวตัวหันมาหาภูและใช้มือจับปอยผมของเขาที่ปรกอยู่ข้างใบหน้าขึ้นมาทัดไว้หลังใบหูก่อนจะหยิกแก้มเบาๆก่อนจากมา ภาพนั้นก่อให้เกิดเสียงกรี้ดกร้าดดังสนั่นลั่นมาจากทางโซนของเหล่าบรรดาแฟนคลับ พิธีกรสาวก็ช่างเป็นงานไม่ปล่อยให้โมเมนต์อันแสนจะมีค่านั้นผ่านไปโดยเสียเปล่ารีบพูดแซวเด็กหนุ่มทั้งสองทันที จอสแสร้งทำเป็นเขินก่อนจะชี้นิ้วไปทางกลุ่มแฟนคลับสาววายที่กำลังแสดงออกอย่างชัดเจนว่าหยิบไม้พายเดินขึ้นเรือพร้อมออกทะเลแล้ว ในขณะที่ภูมีบางสิ่งที่ต้องห่วงมากกว่านั้น เด็กหนุ่มรีบมองไปทางกรรณและพบว่าอีกฝ่ายก็กำลังมองมาทางตนเช่นกันด้วยสายตาที่บ่งบอกอย่างชัดเจนว่าไม่พอใจกับภาพที่เห็น
หลังจากจบงานและเสร็จสิ้นการให้สัมภาษณ์กับบรรดาสื่อมวลชนที่รออยู่แล้ว ภูรีบกลับเข้าไปด้านหลังเวที กรรณซึ่งรออยู่ที่นั่นตั้งแต่ก่อนหน้าที่เด็กหนุ่มจะไปถึงก็รีบเข้ามาฉวยคว้าแขนลากอีกฝ่ายไปสะสางสิ่งที่ค้างคาใจอยู่ทันที
“เมื่อกี้นั่นอะไร?” กรรณถาม แม้จะไม่พอใจแต่ก็ยังอยากให้ภูได้อธิบายตัวเองก่อน
“ไม่รู้ เค้าทำของเค้าเอง ผมไม่เกี่ยวนะ” ภูแสดงออกอย่างชัดเจนว่าไม่มีส่วนรู้เห็นและเป็นแค่ผู้ถูกกระทำ
“ไอ้นั่นมันเด็กแว้นที่มาส่งบ้านวันนั้นไม่ใช่หรือไง?” กรรณจำได้แม่น
“ก็ใช่ ผมก็เพิ่งรู้เหมือนกันว่าเค้าก็เซ็นเข้าสังกัดช่องด้วย” ภูพยายามแกะมือของกรรณที่จับกุมตนเอาไว้ออก “พี่ปล่อยเถอะ คนเริ่มมองกันแล้ว”
“มีอะไรกันสองคนนี้ มาจับมือถือแขนทำอะไรกันตรงนี้ บอกแล้วไงว่าอย่าประเจิดประเจ้อ” พี่ช้างรีบเข้ามาแยกเมื่อเห็นท่าไม่ดี
“พี่ไม่เห็นเหรอบนเวที ว่าภูโดนไอ้เด็กจอสนั่นทำอะไร?” กรรณฟ้อง
“จอส วาโย? เจ้าหนุ่มลูกครึ่งนั่นน่ะเหรอ?” พี่ช้างจำได้ “พี่ก็นึกว่าที่เห็นนั่นเธอกับจอสเตี๊ยมกันไว้แล้วซะอีก”
“เปล่าครับ เค้าทำของเค้าเอง” ภูส่ายหน้าปฏิเสธ
“งั้นนายจอสอะไรนี่ก็จัดว่ารู้งานใช้ได้เลย” พี่ช้างดูมีท่าทีพอใจ “เป็นแบบนี้ก็ดี ง่ายไปอีกหนึ่งเปลาะ”
“ไหงงั้นอ่ะ?” ภูไม่เข้าใจว่าทำไมผู้จัดการของตนจึงดูไม่เดือดร้อนกันเรื่องนี้เลย “ที่พี่ไม่ให้ผมเปิดเผยเรื่องแฟนก็เพราะกลัวเสียภาพลักษณ์ แล้วอันนี้มันไม่เข้าข่ายทำให้เสียภาพลักษณ์เหมือนกันเหรอครับ?”
“ไม่เสียหรอก ถ้ามันอยู่ในระดับแค่คู่จิ้น” พี่ช้างอธิบายให้ภูเข้าใจ “ดาราหน้าใหม่ๆเกิดขึ้นทุกวัน ถ้าไม่มีกระแสอะไรมาดันมาหนุนก็รุ่งยาก ถ้าเธอมีกระแสการเป็นคู่จิ้นวาย ก็จะได้แฟนคลับของทางจอสเพิ่มมาอีก กระแสทั้งสองคนก็จะหนุนไปด้วยกัน ช่องก็อาจจะป้อนงานคู่ให้ มีผลงานแจ้งเกิดได้เร็วกว่าคนอื่นๆ”
“ผมว่าไม่จำเป็น” กรรณไม่เห็นด้วย “ที่ผ่านมาภูก็เด่นได้ด้วยตัวเค้าเองมาตลอด ไม่เห็นต้องไปหวังพึ่งไอ้เด็กนั่นเลย”
“อย่าเอาเรื่องส่วนตัวมาเกี่ยวกับเรื่องงานนะกรรณ นี่แหละ เพราะคิดไว้แล้วว่าต้องเป็นอย่างงี้พี่ถึงไม่อยากให้เธอสองคนเริ่มคบกันในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อแบบนี้” พี่ช้างเอ็ด “แยกแยะด้วย พี่ไม่ได้บอกว่าน้องต้องไปคบอะไรกับนายจอสนั่นจริงๆ ก็แค่การแสดงในอีกรูปแบบหนึ่งเท่านั้นเอง แล้วอีกหน่อยพอติดลมบนก็ไม่ต้องมาทำอะไรแบบนี้แล้ว ลับหลังกล้องน้องมันก็เป็นของเธอเหมือนเดิม”
“แต่…” กรรณพยายามหาข้อโต้แย้งแต่ก็จนปัญญา
“ว่าไงล่ะภู เอาตามที่พี่พูดไหม? เดี๋ยวพี่จะไปคุยกับทางผู้จัดการของเด็กนั่นไว้เลย จะได้เดินหน้าไปพร้อมๆกัน” พี่ช้างหันมาถามภู
ภูสับสนไปหมด ไม่รู้ว่าตนควรจะตัดสินใจอย่างไรดี ตามองสลับไปมาระหว่างพี่ช้างที่กำลังจ้องหน้าตนรอคำตอบกับกรรณที่ยืนหัวเสียอยู่ ก่อนจะตัดสินใจว่าจะให้ความรู้สึกของคนสำคัญของตนเป็นปัจจัยแรกของการตัดสินใจในทุกเรื่อง
“พี่กรรณ พี่ว่าไง?” ภูถามกรรณ “ถ้าพี่ไม่โอเค ผมก็ไม่ทำนะ”
“จะบ้าตาย เบื่อจริงๆพวกคู่รัก พอมีแฟนแล้วคิดตัดสินใจอะไรเองไม่ได้เลย” พี่ช้างกุมขมับ “กรรณ คิดดีๆแล้วกันนะ จะทำเพื่อตัวเองหรือทำเพื่อน้อง เธอพาน้องมาฝากพี่ ก็ควรจะเคารพการตัดสินใจของพี่ด้วย”
กรรณเองก็ดูสับสนไม่แพ้ภู สงครามขนาดย่อมในจิตใจกำลังสู้รบปรบมือกันอย่างดุเดือดระหว่างสองฝ่ายอันได้แก่ความถูกต้องและความต้องการ ช่วงแรกนั้นความต้องการดูเหมือนจะมีกำลังมากกว่าจากอารมณ์หึงหวง แต่ด้วยวุฒิภาวะที่เติบโตมาตามวัยวุฒิ ในที่สุดเหตุผลก็เริ่มตีตื้นขึ้นมาได้และส่งผลให้ความถูกต้องเป็นผู้กำชัยชนะในที่สุด
“เอาเลยครับ” กรรณกลั้นใจตอบออกไป “ถ้าพี่คิดว่ามันจะดีกับภู ผมก็ไม่ขัดแล้ว”
“พี่แน่ใจนะ?” ภูรู้สึกเป็นกังวลเพราะสีหน้าอีกฝ่ายไม่ได้แสดงออกว่ายินดีแม้แต่น้อย
“แน่ใจสิ” กรรณพยายามปรับสีหน้าให้ดีขึ้นเพื่อให้เด็กหนุ่มคนรักคลายใจ “ก็อย่างที่เราคุยกันวันนั้นไง ทุกอย่างจะเป็นยังไงก็ไม่สำคัญ แค่สุดท้ายแล้วเราเป็นคนสำคัญที่สุดของกันและกันก็พอ”
“เออ ก็เท่านั้นแหละย่ะ” พี่ช้างถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอกที่เรื่องยุ่งยากนี้หาจุดจบลงได้เสียที
พี่ช้างรับหน้าที่ประสานงานกับทางฝั่งของจอสเพื่อจะวางแผนในการปั่นกระแสให้เด็กหนุ่มทั้งสอง ในขณะที่ภูเมื่อเสร็จจากงานแล้วก็ยังต้องไปร่วมงานฉลองที่กลุ่มแฟนคลับจัดให้ เมื่อถามกรรณว่าเขาจะไปด้วยหรือไม่ อีกฝ่ายตอบมาเพียงว่าขอดูก่อนโดยอ้างว่ายังมีงานต้องจัดการอีกนิดหน่อย หากเสร็จทันก็จะตามไป ซึ่งนั่นทำให้ภูยิ่งเป็นกังวลว่าอีกฝ่ายอาจกำลังคิดมากเรื่องข้อตกลงที่เพิ่งทำไปและตนก็ยังไม่มีโอกาสได้ปรับความเข้าใจแบบเป็นส่วนตัวเลย
ในงานเลี้ยงบรรยากาศเป็นไปอย่างสนุกสนาน เว้นก็แต่เพียงเด็กหนุ่มผู้เป็นเจ้าของงานที่ตอนนี้ร่างกายหนักอึ้งไปด้วยความกลัดกลุ้มใจ เขาพยายามทำตัวให้ร่าเริงยิ้มแย้มทักทายเหล่าแฟนคลับและคุยกับกลุ่มเพื่อนเพื่อไมให้งานกร่อย จนเมื่อสบจังหวะมีโอกาส ภูก็หลบออกมานอกงานเพื่อโทรหากรรณ ทว่าไม่ว่าจะพยายามกี่ครั้งอีกฝ่ายก็ไม่ยอมรับสาย เด็กหนุ่มทนฟังเสียงรอสายดังจนกระทั่งมันตัดเข้าระบบฝากข้อความซ้ำไปซ้ำมา อารมณ์เริ่มหงุดหงิดจิตใจวุ่นวายเต็มไปด้วยความคิดฟุ้งซ่าน ในตอนนั้นเองสาลี่ที่ดูเหมือนจะสังเกตเห็นความผิดปกติของเพื่อนซี้จึงแอบตามออกมาดูก็จึงค่อยปรากฎตัวขึ้นและเข้ามาถามไถ่ถึงสถานการณ์ปัจจุบันที่อีกฝ่ายกำลังเผชิญ
“แก มีอะไรรึเปล่าวะ?” เธอนั่งลงข้างๆภูที่กำโทรศัพท์เอาไว้แน่น สีหน้าเหมือนพร้อมจะร้องไห้ได้ทุกเวลา
“ชั้นว่า ชั้นตัดสินใจผิดไปอีกแล้วว่ะ” ภูตอบเสียงเหนื่อยอ่อน “ชั้นทำให้พี่กรรณเค้าไม่สบายใจ”
ภูเล่าเรื่องทุกอย่างให้สาลี่ฟังอย่างละเอียด ทั้งเรื่องของจอส เรื่องของข้อตกลงที่ทำในวันนี้ และท่าทีตอบสนองที่กรรณมีต่อเรื่องทั้งหมด สาลี่ฟังอย่างตั้งใจจนกระทั่งอีกฝ่ายพูดจบจึงค่อยแสดงความคิดเห็น
“คิดมากน่ะ มันก็แค่เรื่องงาน อีกอย่างนะ พี่เค้าก็โตแล้ว ไม่ใช่เด็กๆ ต้องเข้าใจเหตุผลสิ” สาลี่แตะบ่าของภู “ชั้นก็ไม่รู้นะว่าอะไรเป็นอะไร หลังๆก็ไม่ค่อยมีเวลาได้คุยกับแกเลย แต่ก็ไม่อยากให้แกคิดมากไป ทั้งที่ความจริงมันอาจจะไม่เป็นแบบที่แกคิดก็ได้”
“แต่เค้าไม่รับสายเลยนะ” ภูกดโทรอีกรอบ แต่ผลก็ออกมาเหมือนเดิม
“เค้าอาจจะกำลังยุ่งอยู่ก็ได้” สาลี่พยายามบอกให้ภูมองในแง่ดี “เค้าก็บอกแล้วนี่ว่าจะตามมา แกก็ทำใจให้สบายแล้วไปรอข้างในเถอะ พวกน้องๆเค้ามาเพื่อยินดีกับแกนะเว้ย ชั้นก็ด้วย วันนี้มันวันของแก แกควรจะทำตัวให้มีความสุข”
“สุขไม่ออกแล้วแบบนี้” ภูถอนหายใจ พยายามสั่งตัวเองไม่ให้ร้องไห้
“ชั้นว่าอีกแป๊ปนึงแกก็สุขได้แล้วล่ะ” สาลี่มองไปทางถนนด้านหน้าร้านอาหารอันเป็นสถานที่จัดงานแล้วจึงชี้ให้ภูมองตามตนไป
ที่ริมถนนนั้น แท็กซี่คันหนึ่งเพิ่งขับออกไปหลังจากจอดส่งกรรณลงเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เมื่อเห็นภูที่กำลังนั่งจับเจ่าอยู่ด้านหน้าร้านชายหนุ่มก็รีบโบกมือทักทายและเดินเข้าไปหา สาลี่รีบหลบฉากออกมาปล่อยให้คู่รักได้มีเวลาส่วนตัวเพื่อปรับความเข้าใจกัน
“ทำไมมานั่งตรงนี้ล่ะ?” กรรณถาม
“รอพี่ไง” ภูตอบ “โทรหาเท่าไหร่พี่ก็ไม่ยอมรับสาย”
“ขอโทษที ลืมโทรศัพท์ไว้ที่บ้านก่อนออกมา” กรรณล้วงกระเป๋ากางเกงให้ภูดูเพื่อยืนยันว่าเป็นดังที่พูดจริงๆ “รีบกลับไปเอาไฟล์รูปส่งให้ลูกค้า แล้วก็เอาโทรศัพท์ไปชาร์จแบตฯ พออาบน้ำเปลี่ยนเสื้อผ้าเสร็จตอนออกมาก็ลืม มานึกได้ตอนนั่งรถมาครึ่งทางแล้ว ก็เลยตามเลย”
“ผมนึกว่าพี่โกรธ นึกว่าพี่…” เสียงของภูขาดห้วง เมื่อได้ยินคำอธิบาย ความโล่งใจก็ทำให้เขาปลดปล่อยความเครียดทั้งหมดที่อดกลั้นเอาไว้ออกมา น้ำตาหยดใหญ่ๆไหลอาบแก้ม เด็กหนุ่มร้องไห้สะอึกสะอื้นเหมือนเด็กๆ แม้จะรู้สึกว่ากำลังทำตัวน่าอายแต่ก็ไม่อาจอดกลั้นไว้ได้อีกต่อไปแล้ว “ผมนึกว่าพี่โกรธเรื่องที่ผมไปตกลงกับพี่ช้าง นึกว่าจะไม่อยากคุยกันแล้ว”
“คิดอะไรแบบนั้น พี่บอกแล้วไงว่าพี่โอเค” กรรณนั่งลงข้างๆและใช้มือปาดน้ำตาออกจากแก้มของภู “พี่โอเคกับทุกอย่างตั้งแต่นายหันมาถามพี่ก่อนจะตัดสินใจแล้ว เพราะมันทำให้พี่รู้ว่านายแคร์ความรู้สึกพี่มากแค่ไหน”
“กลับบ้านเลยได้ไหม?” ภูสูดน้ำมูกและเช็ดคราบน้ำตาที่ยังเกรอะกรังออกจากหน้า “ตาผมแดงบวมไปหมด ไม่อยากเข้าไปเจอหน้าใครแล้ว”
“อีกเดี๋ยวก็น่าจะได้เวลาเลิกแล้ว อดทนอยู่ต่อให้จบจะดีกว่านะ ทุกคนเค้ามาเพื่อนายกันทั้งนั้น แล้วไหนจะเพื่อนๆอีก พักหลังก็ไม่ค่อยได้มีเวลาเจอกันเลยไม่ใช่เหรอ วันนี้มารวมตัวกันได้ก็ใช้เวลาด้วยกันให้เต็มที่สิ” กรรณยกมือขึ้นลูบหัวเด็กหนุ่ม แต่ก็ไม่ลืมจะมองรอบตัวอย่างระแวดระวังเพื่อปกป้องภาพลักษณ์ของภูไม่ให้เสียหาย
“รออีกแป้ปนึงค่อยกลับเข้าไปนะ ขอพักให้ตาหายแดงก่อน” ภูขอเวลานอกเพิ่มก่อนจะต้องกลับเข้าไปทำหน้าที่บุคคลสาธารณะต่อจนจบงาน
เมื่อความกังวลที่หนักอกอยู่ได้ถูกคลี่คลายออกไปแล้ว การกลับเข้าไปทำตัวร่าเริงมีความสุขกับบรรดาแฟนคลับข้างในอีกครั้งก็ไม่ใช่เรื่องยากอีกต่อไป จนกระทั่งงานเลี้ยงมาถึงจุดสิ้นสุด ภูยืนส่งบรรดากลุ่มแฟนคลับทุกคนจนหมดถึงคนสุดท้ายแล้วจึงค่อยกลับเข้าไปหากรรณและสาลี่ที่ยังรออยู่ด้านในร้านกับเพื่อนคนอื่นๆ ภูค่อนข้างโล่งใจที่พบว่ากรรณเข้ากับกลุ่มเพื่อนของตนได้ดีเป็นปี่เป็นขลุ่ยราวกับเป็นคนวัยเดียวกัน จากตอนแรกที่คิดกังวลว่าอีกฝ่ายอาจจะต้องมานั่งเบื่อ แต่กลับกลายเป็นว่าตนเสียอีกที่กลายเป็นคนที่พูดน้อยที่สุดในวง เด็กหนุ่มใช้เวลากับเพื่อนทุกคนอย่างไม่รีบร้อน พยายามเก็บเกี่ยวความสุขและความสบายใจที่มีในตอนนี้ให้ได้มากที่สุด เพราะรู้ดีว่านับจากนี้ไปภาระหน้าที่และความรับผิดชอบต่อตารางชีวิตอันแน่นขนัดของตนจะพรากสิ่งเหล่านี้ออกไปอย่างไร้หนทางฉุดรั้ง
เป็นเวลาเกือบตีสองกว่าที่ทุกคนจะแยกย้ายกันกลับบ้าน สาลี่เสนอตัวจะขับรถไปส่งทั้งภูและกรรณที่บ้าน ภูผล็อยหลับไประหว่างการเดินทางด้วยความอ่อนเพลียจากสิ่งที่ต้องเผชิญมาทั้งวัน กรรณมองเด็กหนุ่มคนรักของตนที่หลับตาพริ้มอยู่ข้างๆบนเบาะหลังของรถ ริมฝีปากที่เผยออ้าออกเล็กน้อยโดยไม่รู้ตัวยามหลับไหลทำให้ใบหน้านั้นยิ่งทวีความน่าเอ็นดูจนเกินจะหักห้ามใจเอาไว้อยู่ อีกทั้งด้วยความที่สาลี่เองก็รู้เรื่องความสัมพันธ์ระหว่างเขาทั้งสองอยู่แล้ว จึงคิดว่าไม่น่าจะเสียหายอะไรหากจะฉวยโอกาสนี้ก้มลงไปหอมแก้มภูสักฟอด จนกระทั่งได้ทำลงไปตามต้องการแล้วจึงสังเกตเห็นว่าเด็กสาวผู้รับหน้าที่สารถีคนขับกำลังลอบมองมาผ่านทางกระจกมองหลังของรถ เมื่อถูกจับได้แบบคาตาเช่นนี้กรรณก็ไม่มีอะไรที่จะทำได้มากไปกว่าการแค่นหัวเราะออกมาแก้เขิน
“ไม่เป็นไรหรอกพี่ น่ารักดี” สาลี่อดหน้าแดงกับภาพที่เห็นไม่ได้ “ภูมันน่ารักเนอะ เวลาหลับยิ่งเหมือนเด็กเลย”
“ใช่ น่ารักมาก” กรรณไม่มีข้อโต้แย้งสำหรับเรื่องนี้ “ถึงจะเป็นคนชักนำให้เค้ามาทำงานเอง พี่ก็ยังอดกลัวไม่ได้ว่าสักวันชีวิตในวงการจะทำให้เค้าต้องเสียความน่ารักไป”
“ไม่หรอกค่ะพี่ หนูเชื่อว่าไม่มีอะไรเปลี่ยนคนแบบไอ้ภูได้หรอก” สาลี่ยิ้มออกมาเมื่อนึกถึงตัวตนของเพื่อนสนิทที่ไม่เคยเปลี่ยนแปลงเลยนับตั้งแต่วันที่รู้จักกันมา “ภูมันโตมาแบบไข่ในหิน ก็เลยออกจะเด๋อๆด๋าๆไม่ค่อยประสีประสาอะไรเท่าไหร่ บางทีการได้เข้ามาอยู่ตรงนี้ มันก็อาจจะช่วยให้ภูมันโตเป็นผู้ใหญ่ขึ้นกว่าที่เป็นอยู่ ซึ่งหนูว่ามันก็ไม่ใช่เรื่องที่แย่หรอกนะ”
“สนิทกันมาแต่เด็กแบบนี้ ไม่ตกใจเหรอพอรู้ว่าเค้าไม่ได้เป็นเหมือนผู้ชายทั่วไป” กรรณถาม
“ตอนแรกที่รู้ก็ตกใจนิดหน่อย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่หรอกค่ะ จะชอบผู้ชายหรือผู้หญิง ยังไงไอ้ภูก็คือไอ้ภูคนเดิม” สาลี่ตอบตามความรู้สึกที่มี “ก็ดีจะได้หายสงสัยไปอีกเรื่อง เพราะเมื่อก่อนก็เคยมานั่งคิดว่าทำไมมันไม่มีแฟนสักที เวลาหนูมีแฟนมันก็ชอบน้อยใจ บ่นว่าเหงาที่หนูไม่มีเวลาให้มัน”
“พอมาตอนนี้ก็กลายเป็นภูไม่มีเวลาให้ลี่แทน” กรรณนึกขำกับชีวิตที่จู่ๆก็กลับตาลปัตรของเพื่อนทั้งสอง
“ก็ดีแล้วล่ะ ตัวติดกับมันมากก็ขายไม่ออกกันพอดี” สาลี่ทำเป็นโล่งใจทั้งที่ในความเป็นจริงเธอเองก็รู้สึกเหงาเหมือนกันที่เพื่อนซี้ต้องห่างหายออกไปจากชีวิต
“ก็พูดไป เราเองก็ไม่ใช่ว่าจะขี้เหร่ เดี๋ยวก็เจอคนดีๆเองแหละ” กรรณให้ความหวัง
“ผู้ชายดีๆหนีไปเป็นเกย์หมดแล้ว ดูอย่างพี่กับไอ้ภูสิ” สาลี่ถอนหายใจ “แต่หนูก็ดีใจนะ ที่ความรักครั้งแรกของภูมันสมหวัง ดีใจที่คนๆนั้นที่มันรออยู่เป็นพี่”
“พี่ก็ดีใจ” กรรณยิ้มน้อยๆขณะมองไปยังภูซึ่งหลับสนิทจนคออ่อนปล่อยให้ศรีษะเอนมาพิงไหล่ของตนแล้ว
“ดูแลเพื่อนหนูดีๆนะพี่ รักมันมากๆ” สาลี่หันมาบอกกับกรรณ ความรู้สึกบางอย่างเต็มตื้นอยู่ในอก “เพราะนั่นคือสิ่งเดียวที่คนดีๆแบบมันสมควรได้”
ถึงแม้สาลี่จะไม่ออกปาก แต่เจตนาของกรรณก็ไม่ได้แตกต่างจากนั้นแม้แต่น้อย ยิ่งเมื่อได้เห็นว่าตลอดเวลาที่ผ่านมาภูแคร์ความรู้สึกของตนมากเพียงใด ความตั้งใจที่จะตอบสนองกลับไปด้วยสิ่งเดียวกันก็ยิ่งมากขึ้นตาม เพราะอนาคตล้วนแล้วแต่ไม่แน่นอน ไม่มีใครรู้ว่าสิ่งใดจะผ่านเข้ามาในวันข้างหน้า และสิ่งที่มีจะสิ้นสุดลงตรงไหน เขาทั้งสองอาจจะอยู่ด้วยกันอย่างมีความสุขตลอดไป หรือถ้าหากทุกสิ่งจะต้องเหลือเพียงแค่ความทรงจำ เขาก็อยากจะให้มันเป็นความทรงจำที่สว่างไสวที่สุดในหัวใจของเด็กหนุ่มทุกครั้งที่ระลึกถึง ด้วยเหตุนี้กรรณพยักหน้ารับคำฝากฝังนั้นด้วยความเต็มใจเป็นอย่างยิ่ง
To be continued...