Episode 11 part2
“ไม่ได้เจอกันตั้งนานเลย” กรรณยอมเป็นฝ่ายทำลายความเงียบเอง
“ผมต้องพูดมากกว่ามั้งคำนั้น” ภูตัดพ้อ “พี่ต่างหากที่เป็นฝ่ายหลบหน้า”
“ขอโทษนะ” กรรณไม่มีข้อแก้ตัวสำหรับเรื่องนั้น “พี่เองก็ลำบากใจเหมือนกัน”
“ผมไม่เข้าใจเลย พี่อธิบายให้ผมฟังได้มั้ย?” เด็กหนุ่มขอร้อง เกือบจะเป็นวิงวอน “ตกลงว่าเรื่องคืนนั้น มันคืออะไร?”
“เราไม่พูดถึงเรื่องนั้นอีกได้มั้ย?” กรรณฟุบหน้าลงกับมือตัวเองเหมือนไม่อยากรับรู้ “พี่ว่ามันจะดีที่สุดถ้าเราไม่พูดถึงมันอีกแล้วกลับไปเป็นเหมือนที่เคยเป็นมาก่อนหน้านั้น”
“ทำไมล่ะ?” ภูไม่เข้าใจว่าทำไมมาถึงขั้นนี้แล้วอีกฝ่ายถึงยังคงต้องตั้งกำแพงเอาไว้
เด็กหนุ่มจ้องคู่สนทนาของตนเขม็ง หวังคาดคั้นเอาคำตอบที่ต้องการให้ได้หลังจากต้องอดทนรออย่างกระวนกระวายฝ่ายเดียวมาทั้งสัปดาห์ กรรณเงยหน้าขึ้นจากฝ่ามือมามองภูแวบหนึ่งก่อนจะฟุบกลับลงไปตามเดิม ในตอนนั้นเองเสียงบานประตูสับปิดดังปังที่ลั่นมาจากชั้นสองกลายเป็นเหมือนระฆังที่ช่วยชีวิตกรรณเอาไว้ได้ทัน เพราะมันทำให้ภูสะดุ้งสุดตัวและรีบวิ่งออกจากห้องรับแขกขึ้นไปยังชั้นสองเพื่อควบคุมสถานการณ์ก่อนที่จอสจะเพ่นพ่านลงมาข้างล่าง ซึ่งก็ทันอย่างฉิวเฉียดเพราะเมื่อขึ้นไปถึงก็พบกับเจ้าตัวปัญหาที่กำลังตั้งท่าจะเดินลงบันไดมาพอดี
“ออกมาทำไม? กลับเข้าไปเดี๋ยวนี้!” ภูพูดเสียงกระซิบพลางผลักอีกฝ่ายให้กลับเข้าไปในห้องแล้วปิดประตู
“ปวดฉี่!!!” จอสตอบเสียงดังจนภูต้องเอามือไปปิดปากไว้
“อดทนอีกแป้ปนึง โอเคมั้ย?” ภูต่อรอง “ลูกผู้ชาย แค่นี้ต้องทนได้”
“ว้อยยย อะไรแบบนี้มันไม่ใช่เรื่องที่จะมาขอกันได้นะ” จอสคำรามพลางแกะมือที่ปิดปากตนอยู่ออก ระบบขับถ่ายเริ่มเรียกร้องหนักขึ้นจนเขาอยู่นิ่งไม่ได้ “นายนั่นแหละ มัวทำอะไรอยู่ ขังเราไว้ในห้อง แล้วก็มัวไปคุยอะไรกับใครข้างล่างอยู่นั่นแหละ”
“ไม่ใช่เรื่องของนาย” ภูตอบปัดไป
“หึ… แบบนี้ชัดเลย” จอสยิ้มแบบคนที่รู้เท่าทันอีกฝ่าย “แฟนมาล่ะสิ?”
“ก็บอกไม่ใช่เรื่องของนายไง” ภูไม่ต่อความยาวสาวความยืด “ฟังนะ นายอาจจะไม่เข้าใจ แต่ไม่เป็นไรหรอก เพราะเราก็ไม่ได้คาดหวังอะไรแบบนั้นจากนาย แค่รู้เอาไว้แค่เรื่องนี้มันสำคัญกับเรามากก็พอ เดี๋ยวเราจะรีบจัดการให้เรียบร้อย นายก็ช่วยอดทนรออีกแป้ปนึงเถอะ”
“แฟนจริงๆด้วยสินะ…” จอสพูดออกมาเสียงแผ่ว ใบหน้ายังคงยิ้ม หากแต่ถ้าภูมีแก่ใจจะสังเกตเพียงนิดก็จะรู้ได้โดยไม่ยากว่าน้ำเสียงของอีกฝ่ายไม่ได้สดใสเท่าเมื่อครู่แล้ว “เอาเถอะ รีบๆแล้วกัน ไม่งั้นจะฉี่ใส่เตียงนี่แหละ”
ภูพยักหน้าตกลงก่อนจะรีบกลับลงไปยังชั้นล่าง กรรณยังคงอยู่ในห้องรับแขกเหมือนเดิมและมองมาทางบันไดอย่างเป็นกังวล จนเมื่อเห็นเด็กหนุ่มกลับลงมาจึงค่อยถอนหายใจออกมาอย่างโล่งอก
“มีอะไรรึเปล่า? เสียงเมื่อกี้เกิดอะไรขึ้น?” กรรณถาม
“ไม่มีอะไรครับ ผมเปิดประตูห้องเอาไว้ ลมมันแรงเลยพัดประตูปิดเสียงดัง” ภูปดไป
“แต่พี่ได้ยินเหมือนใครอยู่บนนั้นเลย…” กรรณยังคงสงสัย
“เมื่อกี้พี่พูดถึงไหนนะครับ?” ภูรีบดึงความสนใจของอีกฝ่ายออกจากชั้นสอง
“อ่า… ก็… ที่พี่จะบอกก็คือ…” กรรณดูจะยังคาใจแต่ก็ยอมพูดต่อจากที่ค้างไว้เมื่อครู่ “พี่เข้าใจ ถ้านายไม่อยากกลับไปเป็นเหมือนเมื่อก่อน พี่เองก็เป็นฝ่ายผิดเองที่หลบหน้านายหลังจากทำอะไรแบบนั้นลงไป”
“ถ้าไม่อยาก ผมจะโทรหาพี่ทำไมทั้งที่พี่ไม่ยอมรับ ทั้งที่พี่บอกจะโทรกลับแต่ก็ไม่โทร” ภูระบายสิ่งที่อัดอั้นในใจออกมา“ผมจะนั่งรอจนเห็นพี่กลับมาถึงบ้านทุกวันทำไม ทั้งที่รู้ว่าพี่ตั้งใจกลับมาดึกๆเพราะไม่อยากเจอหน้าผม”
“พี่รู้” กรรณก้มหน้านิ่ง “แล้วพี่ก็รู้ว่านายไม่ได้ต้องการแค่นั้นด้วย แต่พี่ยังไม่พร้อม”
“ก็แสดงว่ายังพอมีหวัง” ภูพยายามมองหาความเป็นไปได้ให้กับตัวเอง
“ก็อาจจะ… แต่ถ้าสุดท้ายแล้ว เรื่องของเรามันเป็นไปไม่ได้ ก็ขอให้รู้ไว้ว่ามันไม่ใช่ความผิดของนายนะ” กรรณพูดคล้ายกับอยากให้เด็กหนุ่มเผื่อใจเอาไว้
“งั้นผมก็คงไม่มีทางเลือกอะไรมากแล้วล่ะ นอกจากมีความสุขกับสิ่งที่พี่พอจะให้ผมได้ในตอนนี้” ภูทำใจยอมรับข้อเสนอที่เป็นดั่งทางแยกนั้น
โล่งใจหรือใจหาย ภูไม่อาจแน่ใจได้ เป็นความรู้สึกที่ก้ำกึ่งกันราวกับถูกหลอมรวมจนผสมผสาน ในส่วนของความโล่งใจคือการได้รับรู้ว่ากรรณคิดเช่นไรกับตน และได้รู้ว่าความรู้สึกนั้นมันตรงกับที่ตนรู้สึกกับเขา หากแต่ความใจหายก็ตามมาจนชิดแผ่นหลังในไม่กี่อึดใจหลังจากนั้น เมื่อได้ยินถ้อยคำยืนยันว่าความสัมพันธ์ของทั้งคู่จะถูกแช่แข็ง ไม่อาจเติบโตไปได้มากกว่าที่เป็น อย่างน้อยก็ในตอนนี้ อีกทั้งยังไม่มีคำอธิบายใดๆเพิ่มเติมถึงสาเหตุแห่งความไม่พร้อมที่อีกฝ่ายพูดมา แต่เด็กหนุ่มก็เลือกที่จะยืนอยู่ในสถานะแห่งความมองโลกในแง่ดี และพร่ำบอกให้ตนเองพอใจกับสิ่งที่พอจะมีได้ในขณะนี้ ส่วนที่เหลือให้เป็นเรื่องของอนาคต เพราะมันย่อมดีกว่าการต้องมานั่งทนทุกข์ทรมานอยู่ตามลำพังเหมือนเช่นตลอดทั้งสัปดาห์ที่ผ่านมาอย่างแน่นอน
ถึงแม้ว่าวันนี้ภูจะว่างทั้งวัน แต่กรรณกลับไม่ได้เป็นเช่นนั้น เขายังมีคิวงานรออยู่ยาวเหยียดตั้งแต่ช่วงเช้ายันบ่าย เด็กหนุ่มเดินออกไปส่งอีกฝ่ายที่หน้าประตูรั้ว และเฝ้าดูจนกระทั่งลับสายตาจึงค่อยวิ่งกลับเข้าบ้านไปยังห้องนอนของตน ข้างในนั้นจอสนอนขดตัวงอเป็นกุ้งอยู่บนเตียง สีหน้าท่าทางบ่งบอกถึงความอดทนอย่างสุดกลั้นที่กำลังจะสิ้นสุดลงในไม่ช้า เมื่อได้รับสัญญาณจากเจ้าบ้านว่าทางสะดวกแล้วเขาก็รีบกระโจนออกจากห้องนอนไปยังห้องน้ำตามทางที่ภูชี้บอกทันที ก่อนจะตามมาด้วยเสียงกดน้ำของชักโครกที่ดังขึ้นทิ้งห่างจากนั้นไปไม่กี่อึดใจ
“เกือบปล่อยเรี่ยราดแล้วมั้ยล่ะ” จอสเดินตัวปลิวกลับมาจากห้องน้ำลงมายังชั้นล่างอย่างสบายใจ
“ขอโทษที ให้รอนานไปหน่อย” ภูหยิบอุปกรณ์ทำแผลออกมาจากตู้ใส่อุปกรณ์ปฐมพยาบาลประจำบ้าน “ทีนี้ก็ถอดเสื้อนายออกก่อน เดี๋ยวจะดูแผลตรงข้อศอกให้”
“โอ๊ย ไม่ต้องหรอก แค่นี้อ่ะ สบายๆ” จอสทำอวดเก่ง “เราอ่ะฟื้นตัวเร็ว แป้ปเดียวก็หายแล้ว”
“เหรอ?” ภูทดสอบด้วยการทิ่มก้านสำลีเข้าไปกลางแผล
“โอ๊ย!!! ทำบ้าไรเนี่ย!! ” จอสร้องลั่นบ้าน “พวกทารุณเด็ก!!”
“เก่งได้ไม่นานเลยนะ” ภูหัวเราะออกมา “ถอดเสื้อมา รีบทำรีบเสร็จ ปล่อยไว้เดี๋ยวแขนเน่า”
“เออ ก็ได้ เบาๆนะ” จอสยอมแพ้
เสื้อแจ๊กเก็ตถูกถอดออกวางพาดไว้บนโซฟา จอสตั้งท่าจะถอดเสื้อยืดตัวในออกอีกแต่ภูร้องห้ามเอาไว้ก่อน ด้วยจำได้จากตอนทำงานร่วมกันว่ารูปร่างของอีกฝ่ายส่งผลทางใจต่อผู้คนรอบข้างได้มากแค่ไหน และมันคงไม่ส่งผลดีต่อการอยู่ตามลำพังในรูปแบบนี้เป็นแน่แท้ เด็กหนุ่มจัดท่าให้อีกฝ่ายนั่งหันหลังและหันข้อศอกที่มีแผลมาทางตน ก่อนจะใช้สำลีชุบน้ำเกลือล้างแผลทำการเช็ดเอาเศษฝุ่นหรือหินที่ติดอยู่ในแผลออกจนสะอาด จากนั้นจึงล้างด้วยน้ำเกลืออีกรอบ หากทว่าถึงแม้แผลจะดูเรียบร้อยขึ้นกว่าตอนแรกพอสมควรแล้ว แต่สภาพของมันก็ยังดูร้ายแรงจนเกินกว่าจะรักษาได้ด้วยการใส่ยาและปิดพลาสเตอร์เหมือนแผลมีดบาดทั่วไป
“คงต้องถึงมือหมอแล้วล่ะแบบนี้” ภูบอกกับอีกฝ่ายเมื่อเห็นว่าเกินความสามารถตนจะรับมือ
“ไม่!” จอสส่ายหน้าลูกเดียว “ไม่มีทาง ไม่ ไม่ และไม่!”
“แผลขนาดนี้จะไม่ไปหาหมอได้ยังไง?” ภูเริ่มหงุดหงิดกับความดื้อของจอส
“บอกแล้วไงเดี๋ยวก็หาย ไม่ต้องไปหรอกน่า” จอสไม่มองหน้าภูขณะพูด
“อย่าบอกนะว่า…” ภูเริ่มระแคะระคายบางอย่าง
“เปล่า ไม่ใช่แบบนั้น” จอสร้อนตัว
“ยังไม่ทันพูดอะไรเลย” ภูเริ่มมั่นใจ
“ไม่ว่านายจะพูดอะไรก็ไม่ใช่ทั้งนั้นแหละ” จอสรีบหยิบเสื้อมาสวมกลับคืน
“กลัวหมอสินะ” ภูจับจุดอ่อนของจอสได้อยู่หมัด
“พูดบ้าอะไร! ใครจะไปกลัวอะไรแบบนั้นกัน นี่จอสนะ!” จอสหันมาทำเก่งข่มใส่
“ถ้าไม่กลัวก็ต้องไปหาหมอได้สิ ไม่เห็นจะมีปัญหาอะไรเลย ใช่มั้ย?” ภูท้าทายแล้วตามด้วยคำสบประมาทเพื่อกระตุ้นอีกฝ่าย “แต่พนันกันได้เลยว่าใจเสาะแบบนายน่ะไม่กล้าไปหรอก”
“เอางี้ใช่มั้ย? ได้!” จอสรับคำท้า “งานนี้ต้องมีคนแพ้แน่ จะเดิมพันด้วยอะไรดี?”
“ก็ว่ามา” ภูตอบรับ ใจคิดวางแผนไว้ว่าเพียงแค่จะเออออห่อหมกไปก่อนเพื่อให้อีกฝ่ายยอมไปให้หมอทำแผลให้ หากเดิมพันของอีกฝ่ายเกิดพิสดารจนเกินจะรับ ค่อยหาทางชิ่งหนีเอาทีหลัง
“ถ้าเรายอมให้หมอทำแผลให้จนเสร็จ นายต้องทำตามที่เราขอทุกอย่าง” จอสยื่นเดิมพัน “ตกลงมั้ย?”
“ก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่” ภูออกจะแปลกใจเสียด้วยซ้ำกับเดิมพันที่ดูจะธรรมดาจนผิดปกติวิสัยของอีกฝ่าย
เมื่อทำข้อตกลงกันจนเป็นที่เรียบร้อย ภูก็นำทางพาอีกฝ่ายมาจนถึงสถานพยาบาลเอกชนที่อยู่ใกล้สุดในละแวกบ้าน ซึ่งถ้าเป็นการเดินทางด้วยเท้าตามปกติจะใช้เวลาเพียงสิบนาที หากแต่วันนี้กว่าภูจะพาตัวจอสที่อยู่ในสภาพปากกล้าขาสั่นมาถึงได้ก็กินเวลาไปเกือบครึ่งชั่วโมง ด้วยที่ว่าอีกฝ่ายเอาแต่พยายามหาเรื่องหลบเลี่ยงอยู่ตลอดทาง จนเด็กหนุ่มต้องคอยเอาเรื่องการเดิมพันมาปลุกใจเป็นระยะๆ จอสยืนมองประตูสีขาวของคลินิกที่อยู่เบื้องหน้าด้วยแววตาหวาดสะพรึง แต่เมื่อหันไปเจอใบหน้าของภูที่กำลังยิ้มเยาะอยู่อย่างขบขัน เขาก็ฮึดสู้กลั้นใจผลักเปิดและก้าวขาอันสั่นเทาเดินเข้าไปข้างในเพื่อรักษาศักดิ์ศรีของตนเองที่ดูคล้ายจะเหลือน้อยลงในทุกขณะ