บทที่ 11
วันหยุดของดาวเดือน
ผมรู้สึกเหมือนกำลังอยู่ในโลกของความฝัน โลกที่มีหมอกอยู่ในนั้น...หมอก คนที่ผมแอบมองเขามานานหลายปี คนที่ผมไม่เคยคาดหวังว่าเขาจะมองเห็นผม คนที่ผมไม่เคยคาดหวังว่าชีวิตนี้ผมจะได้ใกล้ชิดกับเขาขนาดนี้
คนที่ผมไม่เคยคาดหวังว่าหัวใจของเราจะตรงกัน
“อมยิ้มอะไรอยู่คนเดียว”
ปากกาสีแดงเคาะลงที่หน้าผากผมเบาๆ ทำเอาผมหลุดออกจากภวังค์ หมอกยิ้มขำแล้วก็ส่ายหน้าเบาๆที่เห็นผมสะดุ้งตกใจเพียงแค่เขาสะกิดผมเพียงนิดเท่านั้น
“จะยิ้มไม่ได้รึไง อ่านหนังสือไปสิ” ผมว่า
“ก็ยิ้มได้อยู่หรอก แต่ทำหน้าเหมือนคนเมากลิ่นเมล็ดกาแฟคั่ว ตลกดี” หมอกว่าแล้วก็ก้มหน้าอ่านหนังสือต่อ ผมบุ้ยปากอย่างหมั่นไส้ ยิ่งรู้จักทำไมยิ่งปากร้ายขนาดนี้นะคุณหมอก
ตอนนี้เราทั้งสองคนอยู่ที่ร้าน Chill ร้านเดิมที่ผมและหมอกเคยมากินขนมเค้กด้วยกันครั้งแรก ร้านนี้เป็นร้านกาแฟที่นักศึกษาในมอนิยมมากินกาแฟหรือของหวานกันที่นี่ และนักศึกษาก็ยังนิยมเอาหนังสือหรือเอางานมาทำกันที่นี่ด้วย เนื่องจากทางร้านมีสิ่งอำนวยความสะดวกทุกอย่าง มีโซนทำงานที่สามารถเสียงดัง พูดคุยกันได้ แล้วก็มีโซนอ่านหนังสือไว้สำหรับคนที่เบื่อการอ่านหนังสือที่ห้องแล้วหอบหนังสือมาอ่านที่ร้านก็ยังได้
และผมก็ไม่รู้ว่าหมอกผีเข้าหรือธาตุไฟเข้าแทรก ถึงได้ลากผมออกมาจากห้องพร้อมหนังสือกฎหมายเล่มใหญ่ พอเปิดประตูเข้าไปในร้าน ทุกสายตาก็พุ่งมาที่ผมและหมอกโดยไม่ได้หมาย และก็เหมือนเดิมที่หมอกมักจะทำตัวเป็นทองไม่รู้ร้อน เดินหน้ามึนไปสั่งกาแฟและของหวานเสร็จก็ลากผมไปนั่งที่โต๊ะว่างติดริมหน้าต่างเฉย ใครจะมองอะไรยังไงก็ไม่สนใจ ใครจะซุบซิบเรื่องของเราก็ทำเป็นหูทวนลม
เรื่องหน้ามึน ไม่สนใจโลก ผมนี่ยกให้เป็นอันดับหนึ่งเลย : (
ติ้ง~
เสียงแจ้งเตือนดังขึ้น ผมมองหน้าจอโทรศัพท์ตัวเองที่สว่างวาบขึ้นมา พอเห็นว่าเป็นเพลิงที่ทักผมมา ก็ไม่ลังเลที่จะเข้าไปตอบทันที
Plerng : บลู อยู่กับหมอกป่ะ
BLUEBLUR : ใช่ ทำไมเหรอ
Plerng : อยู่ไหนกันอ่ะ นี่ทักมันไปหลายรอบแล้ว มันก็ไม่ยอมตอบ
BLUEBLUR : ร้าน Chill มามั้ย นั่งกันอยู่สองคน วังเวงเว่อร์
Plerng : อยู่กันสองคนเหรอ กูเข้าใจล่ะว่าทำไมมันถึงไม่ยอมตอบกู
เข้าใจอะไรวะ...
Plerng : ถึงมันจะไม่ยอมตอบกูว่าอยู่ไหน แต่กูจะไปเป็นมารขัดขวางความสุขมันเอง เดี๋ยวตามไปนะจ๊ะบลู
ผมจินตนาการหน้าของเพลิงในตอนนี้ออกเลยว่ามันกำลังทำหน้ายังไง พอวางโทรศัพท์ลงก็แอบเหล่มองหมอกที่ยังนั่งอ่านหนังสืออยู่ตรงหน้า ถ้าผมบอกหมอกว่าเพลิงจะมาหา หมอกจะหงุดหงิดรึเปล่านะ...หรือรอให้เพลิงมาเซอร์ไพร์สตรงหน้าเลยดีมั้ย
นั่งให้ความคิดของตัวเองตีกันนานอยู่หลายนาที เสียงกระดิ่งหน้าร้านก็ดังขึ้น ผมที่มองเห็นผู้ชายร่างสูงใหญ่เดินเข้ามาพร้อมๆกับลูกค้าทุกคนที่อ้าปากค้าง ผิดกับหมอกที่นั่งหันหลังให้ลูกค้าคนใหม่ของร้าน เลยยังไม่เห็นว่าเพลิงกำลังเดินตรงดิ่งมาที่โต๊ะของเราแล้ว
“ฮัลโหลลลลล เพื่อนร๊ากกกกกกกก”
ร่างของเดือนมหา’ลัยกอดหมับที่ด้านหลังของหมอก ผมเห็นว่าหมอกสะดุ้งตกใจนิดๆก่อนจะได้ยินเสียงแรดๆของเพลิงดังที่ข้างหู เพลิงปล่อยให้หมอกเป็นอิสระแล้วก็นั่งลงเบียดโซฟาหมอกอย่างระราน เลยทำให้หมอกต้องถดตัวไปที่โซฟาอีกฝั่งอย่างช่วยไม่ได้
ดูๆไปแล้วก็เริ่มสงสารหมอก นี่ผมคิดผิดหรือคิดถูกที่ชวนให้เพลิงมาที่นี่กันเนี่ย
“ปล่อยให้กูทักหาตั้งนาน แต่ไม่ยอมตอบกูเลยน๊า แอบมานั่งสวีทกับเพื่อนกูนี่เอง” เพลิงยังพูดไม่หยุด ผมที่นั่งอยู่ตรงข้ามทำตัวไม่ถูกกับประโยคนั้นของเพลิง เลยยกบลูเบอร์รี่สมูตตี้ขึ้นมาดื่มแก้เก้อ รู้สึกคอแห้งยังไงก็ไม่รู้
“ก็กูรู้ว่าถ้ามึงมา มึงก็จะมาทำตัวอย่างนี้ไง”
ดวงตาเรียวของหมอกมองเพลิงตั้งแต่หัวจรดเท้าด้วยสายตาที่แบบ เออ...ถ้าผมโดนมองแบบนั้นผมคงจะรู้สึกกลัวบ้างอ่ะ แต่มันใช้ไม่ได้กับเพลิงเลยแม้แต่นิด ใบหน้าของเดือนมหา’ลัยยังฉีกยิ้มแฉ่ง แล้วก็จิ้มขนมปังปิ้งบนโต๊ะขึ้นกินหน้าตาเฉย
“ที่กูทำอย่างนี้เพราะกูหมั่นไส้มึงไงครับ ออร่าสีชมพูรอบตัวพวกมึงนี่แบบเหม็นอ่ะ”
“เหม็นอะไร” ผมเผลอขมวดคิ้วถามด้วยความสงสัย เพลิงก็หันมายิ้มให้ผมก่อนจะตอบด้วยเสียงอันดัง
“เหม็นความรักไงบลู”
พอเพลิงพูดอย่างนั้น ผมก็รู้สึกร้อนขึ้นมาทันที...ร้อนไปทั้งหน้าหมดแล้ว ทำไมคนพวกนี้ชอบแกล้งผมกันจังครับ สนุกกันมากใช่มั้ย
“เลิกแกล้งบลูได้แล้วมึง เขินหน้าแดงหมดแล้วนั้น” หมอกพูดเรียบๆ แต่ที่พูดมาเนี่ย มันยิ่งทำให้ผมหน้าแดงมากขึ้นเถอะ ถ้าจะเลิกแกล้งกันก็เลิกพูดสิโว้ย
“หยุดพูดกันทุกคนนั้นแหละ ไม่ได้เขินสักหน่อย อากาศในนี้มันร้อนเฉยๆ”
“ร้อนตรงไหนวะ เปิดแอร์หนาวจนกูนึกว่าอยู่ขั้วโลกเหนือ...โอ๋ๆๆ ไม่แกล้งแล้วๆ” พอเห็นว่าผมชี้นิ้วใส่หน้า เพลิงก็รีบกลับคำพูดทันที ผมมองทั้งหมอกและเพลิงที่ยังยิ้มขำไม่หยุดแล้วก็ไม่รู้จะเอาหน้าไปไว้ไหน เลยยกชีทเรียนของตัวเองขึ้นมาบังหน้าเสียเลย
“งอนหรือเขินวะมึง”
“ไม่รู้เหมือนกัน แต่ถ้างอนจริงกูค่อยง้อ”
“หมั่นไส้ว่ะไอ้หมอก หน้าบานเลยนะมึง”
“หึ...แล้วสรุปมึงมีอะไร ถึงถ่อมาหากูถึงที่นี่”
“ก็เรื่องงานที่อาจารย์สมรแกสั่งไงวะ มึงมีใบงานป่ะ กูจะยืมมึงไปถ่ายเอกสาร”
“อยู่ในแฟ้ม เอาไปดิ”
“เออ...ก็แค่นี้แหละ เสือกลีลาไม่ยอมตอบ กูเลยมาเป็นมารขวางความสุขมึงตรงนี้ไง”
ผมฟังบทสนทนาของหมอกและเพลิงพร้อมกับลดชีทเรียนในมือลงก็เห็นว่าเพลิงหยิบเอาใบงานในแฟ้มของหมอกแล้ว แต่ก่อนที่เพลิงจะลุกออกไปก็หันมาคุยกับผมเสียก่อน
“ไปแล้วนะบลู แล้วเจอกันพรุ่งนี้”
“อืม”
“เจอกันที่ไหน” หมอกขมวดคิ้ว มองทั้งผมและเพลิงด้วยสายตาที่เก็บความสงสัยไว้ไม่มิด
“พรุ่งนี้พวกดาว-เดือนมีถ่ายแบบให้มหา’ลัย...ทำไม...มึงกลัวว่ากูจะตีท้ายครัวมึงรึไง”
เพลิงโยนระเบิดพร้อมกับเบ้ปากใส่หมอกทีนึงแล้วก็รีบชิ่งหนีออกจากร้านไป ผมได้ยินหมอกก่นด่าเสียงเบาจนจับใจความไม่ได้ รู้แต่ว่าต้องด่าเพลิงแน่นอน ใบหน้าหล่อนั้นส่ายหัวอย่างเอือมๆก่อนจะหันมามองหน้าผม
“พรุ่งนี้ต้องไปถ่ายแบบกี่โมง”
“พี่เขานัดตอนเก้าโมงเช้าอ่ะ ทำไมเหรอ”
“เดี๋ยวไปส่ง”
.
..
…
เช้าวันอาทิตย์ที่ควรจะเป็นเวลาพักผ่อนของใครหลายๆคน แต่ไม่ใช่สำหรับผมที่มีตำแหน่งรองชนะเลิศอันดับ 2 การประกวดดาว-เดือนของมหาวิทยาลัยค้ำคออยู่ ถึงไม่ใช่เดือนมหาวิทยาลัยเหมือนไอ้เพลิง แต่ผมก็ยังต้องช่วยงานของมหาวิทยาลัยมากไม่แพ้เพลิง งานวันนี้ก็เช่นกันที่ให้พวกเราที่ได้ตำแหน่งมาถ่ายแบบโปรโมตมหาวิทยาลัย
ผมแบกร่างพังๆมาถึงรถของหมอกที่จอดรอรับอยู่ที่เดิมเหมือนทุกวัน ต่างกันแค่วันนี้ผมมาด้วยชุดเสื้อยืด กางเกงบอล และรองเท้าแตะ เพราะพวกชุดต่างๆที่กองเขามีให้พร้อมอยู่แล้ว ต่างจากหมอกที่เป๊ะตั้งแต่หัวจรดเท้า ร่างสูงสมส่วนอยู่ในเสื้อเชิ้ตสีดำเรียบๆเข้าชุดกับกางเกงสีดำเนื้อดี รองเท้าหนังหัวแหลมมันวาว กลิ่นน้ำหอมแนวสปอร์ตที่หมอกฉีดมาในวันนี้มันก็เข้ากับลุคที่หมอกแต่งมาเหลือเกิน
หมอกดูดีมาก...
ดูดีจนผมได้แต่คิดว่าคนที่ควรจะไปถ่ายแบบในวันนี้ควรจะเป็นเขามากกว่าที่จะเป็นผมซะอีก
“แต่งตัวจัดเต็มอย่างนี้ จะไปไหนเหรอ”
“นี่เต็มแล้วเหรอ...ก็แค่หยิบๆเสื้อผ้าในตู้มาใส่เอง”
เออ...นี่เรียกไม่เต็มเหรอ ตอนแรกผมนึกคนที่นั่งข้างๆผมนี่คือดารากำลังจะไปออกงานอีเวนท์ด้วยซ้ำๆ
“ต้องแอบด่าอยู่ในใจแน่ๆเลยใช่มั้ย”
หมอกมองหน้าผมแล้วก็ยิ้มขำก่อนจะผลักหัวผมเบาๆ ผมปัดมือหมอกออกแล้วก็ลูบผมที่มันยุ่งให้เป็นทรงไปด้วย ทำไมชอบยีผมกันจังเนี่ย
“ไม่แกล้งแล้ว...ที่แต่งขนาดนี้เพราะจะพาแม่ไปชอปปิ้งน่ะ ไปห้างเลยต้องดูดีนิดนึง”
“อ้าว ถ้ามีธุระทำไมไม่บอกกันล่ะ ความจริงเราไปที่มอพร้อมกับเพลิงก็ได้นะ” เพราะยังไงผมก็ต้องไปที่เดียวกับเพลิงอยู่แล้ว ถ้ารู้ว่ารบกวนหมอกอย่างนี้ ผมคงจะปฏิเสธตั้งแต่เมื่อวานแล้ว
“ไม่เป็นไรหรอกน่า ทำหน้าเครียดไปได้ เหลือเวลาอีกตั้งเยอะกว่าจะไปหาแม่ ไหนจะต้องวนกลับมารับไอ้ควันที่ยังอาบน้ำไม่เสร็จอีก...แล้วถ่ายแบบเสร็จกี่โมงล่ะ”
“พี่เขาบอกว่าสี่โมงเย็นน่ะ”
ถึงผมจะเกรงใจมากขนาดไหน แต่หมอกก็แค่ยิ้มบางๆแล้วก็พาผมมาส่งถึงที่หมาย ผมลงจากรถแล้วจะเดินเข้าไปในตึกแต่เสียงทุ้มที่ดังขึ้นจากด้านหลังก็ทำให้ผมชะงักปลายเท้าแล้วหันไปมองคนที่อยู่ในรถเสียก่อน
“เดี๋ยวเลิกแล้วจะมารับนะ”
“ไม่เป็นไรหรอก เราเกรงใจเวลาของหมอกกับครอบครัว ค่อยเจอกันพรุ่งนี้เลยดีกว่า”
“ก็บอกว่าจะมารับไง เสร็จแล้วก็รอก่อน เข้าใจมั้ย”
“ก็ได้” ผมไม่อยากขัดใจหมอก เพราะคนหล่อเริ่มทำหน้าบูดแล้วที่ผมเกรงใจอย่างนั้น ผมโบกมือลาจนกระจกรถปิดสนิท พอหมอกขับรถออกไปแล้วผมก็เดินเข้าไปในตัวอาคารที่ใช้สำหรับการถ่ายแบบในวันนี้
“สวัสดีครับพี่ๆ”
ผมทักทายพี่ๆที่เจอกันตั้งแต่ช่วงประกวด พอหลังจบการประกวดดาว-เดือนแล้ว พวกพี่เหล่านี้ก็ยังตามดูแลพวกผมอยู่เสมอ
“ตายแล้ววว น้องบลูคะ หนูอาบน้ำมารึยังคะลูก” พี่ดาวมองผมด้วยสีหน้าตื่นๆ เห็นสภาพผมที่ยืนอยู่ตรงนี้คงคิดว่าผมมาด้วยชุดนอนแน่ๆ
“อาบมาแล้วสิครับ ไม่เชื่อมาดมก็ได้”
“จ้า เชื่อก็ได้ ไปๆ ไปแต่งตัว แต่งหน้าได้แล้ว จะได้มาถ่ายรูปกัน”
พี่ดาวไล่ผมไปที่ห้องแต่งตัวแล้วเธอก็หันไปดูความเรียบร้อยของฉากและไปคุยกับพี่ต้นที่เป็นตากล้องต่อ ผมเลยเดินไปทางขวาซึ่งเป็นห้องแต่งตัวสำหรับผู้ชายทั้งหมด
พอเปิดเข้าไปในห้อง ผมก็เห็นเพียงความเงียบงัน นี่ผมมาเร็วเกินไปงั้นเหรอ...ยังไม่มีใครมาสักคนเลยแหะ...ผมกวาดตามองไปรอบๆ วางกระเป๋าไว้ที่โซฟาแล้วก็เดินไปหยิบชุดนักศึกษาที่แปะชื่อผมไว้ออกมา กำลังจะก้าวเข้าไปในห้องเปลี่ยนชุด แต่ผมก็ต้องหยุดปลายเท้าเสียก่อนเมื่อประตูห้องเปลี่ยนชุดตรงหน้าเปิดออก
“อ่าว...หวัดดี”
“เออ...สวัสดีไอติม”
ผมยิ้มบางๆให้ไอติมที่อยู่ในชุดนักศึกษาเรียบร้อยแล้ว ใบหน้าขาวใสนั้นยังไม่ได้แต่งหน้า แต่แก้มขาวก็มีสีแดงระเรื่อเหมือนคนสุขภาพดี ผมหลบทางให้ไอติมเดินออกมาจากห้องเปลี่ยนชุด และผมก็เดินเข้าไปในห้องเล็กๆนั้นแทน ระหว่างเราไม่ได้พูดอะไรกันอีก...ความจริงไอติมก็ไม่ค่อยจะพูดกับใครอยู่แล้วอ่ะนะ...
หลังจากเปลี่ยนชุดเสร็จ ผมก็เดินออกมาจากห้องเปลี่ยนชุด เห็นว่าทั้งห้องนั้นไม่ได้มีเพียงแค่ผมและไอติมอีกแล้ว ผมเดินเข้าไปหาเพลิงที่นั่งอยู่ที่โซฟา แต่พอเห็นหน้ามันแล้วผมก็คิดว่าตอนนี้ถ้าผมไปผูกมิตรกับไอติมคงจะดีกว่าคุยกับมันแน่ๆ
ไปโมโหใครมาวะ...หน้าบูดชิบหาย
“เพลิง...มึงไปเปลี่ยนชุดดิ” ผมบอกเพลิงที่ยังรัวแป้นพิมพ์ในโทรศัพท์ไม่หยุด พอได้ยินเสียงผมมันก็ชะงักแล้วกดล็อคหน้าจอโทรศัพท์ ก่อนจะลุกขึ้นยืนเต็มความสูง
“อืม”
ตอบแค่นั้นแล้วก็เดินเข้าห้องเปลี่ยนชุดไป สงสัยมันต้องไปกินรังแตนมาแน่ๆ หงุดหงิดเหมือนมนุษย์เมนส์ไม่มา เมื่อวานยังดีๆอยู่เลย หรือมันทะเลาะกับแฟนของมันอีกแล้วกันนะ?
ครืดดดดด
เสียงสั่นโทรศัพท์ของเพลิงดังขึ้นพร้อมกับหน้าจอที่สว่างวาบ ผมไม่ได้ตั้งใจจะอ่านหรอกนะ แต่ข้อความที่แจ้งเตือนนั้นมันปรากฏอยู่ตรงหน้า เลยทำให้ผมเห็นว่าใครเป็นคนส่งมา
SaiTarn : โตๆแล้ว อย่าทำตัวงี่เง่าได้มั้ย
“บลู”
เสียงนุ่มๆดังขึ้นเรียกให้ผมหลุดออกจากภวังค์ ผมหันไปทางเสียงเรียกก็เห็นว่าไอติมนั่งอยู่หน้ากระจก ผมเลยเดินไปหารองเดือนมหา’ลัยและนั่งลงที่เก้าอี้ว่างอีกตัวเพื่อให้พี่ๆมาแต่งหน้าและทำผมให้พวกเรา
“มีอะไรเหรอไอติม”
“เมื่อเช้านี้ใครมาส่งเหรอ”
“อ้อ...หมอกน่ะ มีอะไรรึเปล่า”
“หมอกงั้นเหรอ...” ผมได้ยินเสียงไอติมพึมพำเบาๆ ก่อนที่จะสั่นศีรษะช้าๆ “ไม่มีอะไรหรอก...แค่สงสัยเฉยๆ”
“สับสนหมอกกับควันรึเปล่า เราจำได้ว่าควันเคยพูดให้ฟังว่าเป็นเพื่อนสนิทกับไอติม”
“ควันพูดถึงเราด้วยงั้นเหรอ” ไอติมหันมามองผมอย่างสนใจ ผมเลยรีบพยักหน้าตอบ
“ใช่ๆ เคยบอกให้เราช่วยดูแลไอติมด้วยนะตอนที่อยู่ในกองประกวดอ่ะ”
“อย่างนั้นเหรอ” เห็นไอติมพึมพำแล้วก็หลับตาลงคล้ายคนอ่อนล้า แก้วตาใสปิดลงพร้อมกับที่พวกพี่ๆเข้าไปรุมแต่งหน้าและทำผมให้ไอติม ผมเลยหันมาให้พี่ทรายลงรองพื้นต่อ ผมมองผ่านกระจกไปด้านหลังก็เห็นเพลิงที่เปลี่ยนชุดเสร็จแล้วกำลังนั่งหน้าบึ้งกดโทรศัพท์ยิกๆอยู่คนเดียวเช่นเดิม ไม่มีใครกล้าไปยุ่งกับมันเลยสักคน
“น้องบลูจ๊ะ เดี๋ยวพี่แต่งหน้าให้น้องบลูเสร็จแล้ว ช่วยเรียกเพลิงมาให้พี่หน่อยนะ”
“ได้ครับ...ว่าแต่ปกติพี่ก็เรียกเองนี่นา” ผมถามพี่ทรายที่หยิบลิปกลอสมาทาให้ผม เธอยิ้มแห้งๆแล้วแอบเหล่มองเพลิงที่ยังไม่หยุดจ้องโทรศัพท์ของตัวเอง
“พี่กลัวอ่ะ...ไม่รู้เพลิงไปโกรธใครมา กลัวโดนลูกหลงเอาน่ะสิ”
.
..
...
หลังจากที่ผมแต่งหน้าและทำผมเสร็จ ผมก็ยืนขึ้นเต็มความสูง พี่ทรายเข้ามาเช็คดูความเรียบร้อยอีกรอบ จัดชายเสื้อ ดูปกเสื้อจนเรียบร้อยแล้วเธอก็ส่งสายตาให้ผมไปเรียกเพลิงมาแต่งหน้าได้แล้ว ผมเลยสูดลมหายใจเข้าลึกๆแล้วก็เดินเข้าไปหาคนหน้าบึ้งที่โซฟา
“เพลิง”
“หืม?”
“พี่ทรายให้เรียกไปแต่งหน้า”
“อืม เดี๋ยวไป ขอเวลาอีกห้านาที”
เพลิงพูดกับผม แต่กลับไม่มองหน้าผมเลย ใบหน้าของเดือนมหา’ลัยยังคงจ้องหน้าต่างห้องแชทอยู่อย่างนั้น ผมเห็นว่ามีเพียงแค่ฝั่งของเพลิงที่ส่งข้อความไปเพียงฝ่ายเดียว ต่างจากอีกฝั่งที่ไม่ตอบอะไรกลับมาสักนิด แต่เพลิงก็ยังนั่งจ้องโทรศัพท์อยู่อย่างนั้นราวกับว่าถ้าจ้องไปนานๆแล้วอีกฝั่งจะตอบกลับมาสักที
“มึงทะเลาะกับแฟนเหรอ” ผมเลียบๆเคียงๆถาม ก็คนมันอดสงสัยไม่ได้นี่นา
“อืม”
“ชื่อสายธารเหรอ...”
“ใช่ ทำไมรู้” เพลิงหันมามองหน้าผมแล้วขมวดคิ้วหนาด้วยความสงสัย
“เออ...ขอโทษนะ แต่ตอนที่มึงเข้าไปเปลี่ยนชุดในห้อง เขาก็ส่งข้อความมาพอดี เลยบังเอิญเห็นน่ะ”
“ไม่เป็นไร มึงไม่ได้ผิดอะไรนี่” ว่าแล้วเพลิงก็หันไปสนใจโทรศัพท์ในมือต่อ แต่ผมก็ยังมีความสงสัยที่อยู่ในใจไม่หมด แถมรั้งปากไว้ไม่อยู่ด้วย
“แฟนมึงสวยรึเปล่าวะ”
“น่ารัก...แฟนกูโคตรน่ารักเลย”
“รุ่นเดียวกับเรามั้ยหรือรุ่นน้อง” ผมยังถามต่อ พอถามถึงคนๆนั้นแล้วเพลิงก็ยิ้มออกมาเลย คงจะรักมากจริงๆสินะ
“ไม่ใช่ เป็นรุ่นพี่”
“เหยดดดดดด รุ่นพี่เหรอมึง ชอบกินหญ้าแก่นี่หว่า”
“หึๆ ของแบบนี้แหละอร่อย กูไปแต่งหน้าล่ะ”
พูดจบเพลิงก็ลุกไปนั่งหน้ากระจกเลย ทิ้งผมไว้ที่โซฟาเช่นเดิมพร้อมกับความลับของเพลิงที่ผมพึ่งได้รู้...แฟนของเพลิงชื่อสายธาร...น่ารักมาก แถมยังเป็นรุ่นพี่ด้วย
ไม่ธรรมดาจริงๆครับเพื่อนผม
หลังจากนั้นพวกเราก็เริ่มถ่ายแบบกัน ผมถูกจับคู่กับอุ๋งอิ๋งจากคณะพยาบาลศาสตร์ เธอได้ตำแหน่งเดียวกันกับผมครับ เราค่อนข้างสนิทกันอยู่แล้ว เลยไม่เกร็งมาก พอถ่ายกับเธอเสร็จ ผมก็รอจนดาวและเดือนแต่ละคู่ถ่ายกันจนเสร็จ เห็นเพลิงได้ถ่ายแบบคู่น้ำหวาน ผมไม่กล้าสู้หน้าเธอเลยเพราะเธอเหมือนโกรธผมอยู่เนืองๆจากการที่ผมตอบแชทเธอไปคราวนั้นว่าเป็นแค่เพื่อนกับหมอก แต่หมอกดันออกมาพูดอีกอย่าง ส่วนเพลิงที่มันทำหน้าหงุดหงิดมาตั้งแต่เช้า ตอนนี้ก็กลับมายิ้มร่าเริงเป็นปกติแล้ว ทั้งกองถ่ายจึงสบายใจ สงสัยคงจะเคลียร์กับแฟนกันแล้วสินะ ส่วนไอติมที่ผมเห็นใบหน้าล้าๆในช่วงที่แต่งหน้า พอเข้ามาอยู่ในเฟรม คนตัวขาวก็โดดเด่นมาก ยิ้มแล้วเหมือนโลกทั้งใบสว่างขึ้นมาทันตา
บรรยากาศในกองถ่ายนั้นเป็นไปด้วยดี พวกเราถ่ายแบบกันหลายเซ็ตมากๆ เพราะถ่ายครั้งเดียวและใช้งานกันทั้งปีเลย การถ่ายแบบในวันนี้เลยกินเวลายาวจนถึงเย็น ผมตาแห้งจนต้องหยอดน้ำตาเทียมอยู่หลายรอบ แอบมองนาฬิกาก็พบว่าตอนนี้มันเลยเวลาที่นัดหมอกไว้แล้ว แถมโทรศัพท์ของผมยังทิ้งไว้ในห้องแต่งตัว ไม่รู้ว่าป่านนี้หมอกจะมารอรึยัง
“น้องบลูไหวมั้ยลูก”
พี่ดาวเดินเข้ามาหาผมเมื่อพี่ต้นลั่นชัตเตอร์เสร็จแล้วผมก็ก้มหน้าทันที เธอเดินเข้ามาพร้อมกับขวดน้ำตาเทียมของผม ผมขอบคุณพี่ดาวแล้วก็หยอดตาจากนั้นก็กระพริบตาช้าๆ
“หนูเอาแว่นมารึเปล่า พี่ว่าถ่ายเสร็จแล้วถอดคอนแทคเลนส์ออกดีกว่านะ”
“ครับ”
ผมยิ้มให้พี่ดาว แล้วเธอก็เดินออกจากเฟรมไป พี่ต้นถ่ายภาพพวกเราทั้งสิบคนอีกประมาณห้าภาพ ทุกอย่างก็จบลง ผมขอบคุณพี่ๆทุกคนที่ทำให้งานในวันนี้ผ่านไปด้วยดี แล้วไปเปลี่ยนชุดคืน ดีที่ผมเอาแว่นและตลับใส่คอนแทคเลนส์มาเผื่อไว้ด้วยเพราะคิดว่าถ่ายภาพทั้งวันขนาดนี้ดวงตาของผมคงจะทนไม่ไหว
ผมเปลี่ยนกลับมาเป็นชุดเดิมแล้วก็สวมแว่นสายตาแทนคอนแทคเลนส์ เห็นเพลิงยืนรออยู่ก็เลยเดินไปหามันที่ยังกดโทรศัพท์ไม่หยุด
“ใส่แว่นแล้วแปลกไปเลยว่ะมึง”
“มันดูไม่ดีเหรอ” ผมถามอย่างเป็นกังวล ตั้งแต่เข้ามหา’ลัยมา ผมก็ใส่แว่นเฉพาะเวลาอยู่ที่ห้องเท่านั้น พอใส่แว่นแล้วเจอเพลิงทักอย่างนี้เลยเสียความมั่นใจไปเลย
“เปล่าหรอก มึงใส่แล้วมันเข้ากับมึงดี ไอ้หมอกเห็นแล้วคงจะหลงตาย”
“จะบ้าเหรอ” ผมตีแขนเพลิงแรงๆไปที เพลิงหัวเราะร่วนแล้วกอดคอผมเดินออกมาจากตึกด้วยกัน พอเดินลงบันไดมาแล้วเราทั้งคู่ก็หยุดปลายเท้าลง เพลิงรีบปล่อยแขนที่พาดไหล่ผมไว้ทันที แล้วยกมือเหมือนยอมแพ้คนที่กำลังยืนพิงรถเบนซ์ตรงหน้า
“เปล่านะครับ...ผมไม่ได้ทำอะไรเลยนะครับคุณหมอก”
“กูยังไม่ได้พูดอะไรเลย” หมอกพูดเสียงนิ่งๆ แต่สายตาที่มองเพลิงนี่ผมเห็นแล้วรู้สึกเสียวสันหลังวาบ
“ก็พูดไว้ก่อน เดี๋ยวมึงไปคิดบัญชีกับกูทีหลังไง”
“กูคิดแน่...ไปบลู ขึ้นรถ” พอพูดกับเพลิงเสร็จก็หันมาบอกผม ผมพยักหน้าแล้วบอกลาเพลิงที่ยืนยิ้มเผล่อยู่ด้านข้าง จากนั้นหมอกก็ขับรถออกมาทันที
“ทำไมถึงได้ใส่แว่นล่ะ” หมอกถามผมขึ้นขณะที่รถหยุดหน้าไฟแดง
“ใส่คอนแทคเลนส์ถ่ายรูปมาทั้งวันแล้วมันแสบตาน่ะ เลยถอดออก แล้วหมอกไปชอปปิ้งกับแม่เป็นยังไงบ้าง” ผมหันมาถามสารถีที่ยังเป๊ะทุกระเบียบนิ้วเหมือนเมื่อเช้านี้
“ก็ดี แม่ซื้อของเยอะเลย ตอนนี้กำลังดูหนังอยู่กับควัน”
“อ่อ” ผมรับคำแล้วเตรียมลงจากรถเมื่อหมอกขับมาถึงคอนโดของผม แต่แปลกที่คราวนี้หมอกเลี้ยวรถเข้ามาจอดในลานจอดรถแทนที่จะจอดเทียบฟุตบาทเพื่อให้ผมลงอย่างทุกวัน
“มีอะไรเหรอหมอก”
“ไปเปลี่ยนชุดสิ จะพาไปกินข้าวข้างนอก”
“หืม? จะไปไหน”
“ไปกินข้าวกับแม่เราไง”
ผมไม่ได้หูฝาดไปใช่มั้ย...หมอกบอกจะพาผมไปกินข้าวกับแม่...
แม่ของหมอก...
อ่า...นี่ผมกำลังฝันอยู่แน่ๆเลย
tbc.
พอมาถึงตอนนี้แล้ว เห็นตัวละครใหม่กันมั้ยคะ?
เราจะวางแพลนไว้แล้วว่าจะเขียนเรื่องอะไรบ้าง ตามไปดูในเพจกันนะคะ
ขอบคุณทุกคนที่ติดตามกันจนถึงตอนนี้ค่ะ อย่าพึ่งหายไปไหนกันนะคะทุกคน